เป็นหนี้ ครั้งที่ 30 บาดแผลจากการสูญเสียคนที่รักของแต่ละคนใช้เวลาในการเยี่ยวยากันนานสักแค่ไหนกัน ?
คำถามนี้อัมรินทร์เฝ้าถามตัวเองอยู่ทุกครั้งที่หลับตามาตลอดเวลาสามเดือนที่เขาสูญเสียลูกและเปลวอรุณไป สามเดือนที่ผ่านมาสำหรับเขาเหมือนเพิ่งผ่านมาเพียงแค่สามนาทีที่เขารับรู้ข่าวร้ายจากปากของหมอผู้รักษา เหมือนเพิ่งผ่านมาเพียงสามวินาทีสำหรับภาพชีพจรที่ราบนิ่งของเปลวอรุณ การสูญเสียผู้เป็นดั่งดวงใจไปในเวลาไล่เลี่ยกันถึงสองคนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ยังคงเป็นเหมือนแผลสดที่ยังไม่ได้รับการรักษาสำหรับเขา
ภาพห้องนอนที่นอกด้วยกันอยู่ทุกคืน ข้าวของทุกชิ้นของเปลวอรุณยังอยู่เดิมไม่มีการเคลื่อนย้านหรือเก็บหนี สวนถาดต้นไม้ทุกอย่างยังวางอยู่กับที หนังสือคู่มือดูแลคุณแม่ขณะตั้งครรภ์และพัฒนาการของลูกน้อยยังวางอยู่ตรงหน้า ยังวางอยู่เพื่อตอกย้ำความจริงที่มันไม่หวนกลับมาเขาได้อีก
จะไม่มีใครกลับมา...
เก้าอี้หน้าโต๊ะวางสวนอ่างหินคือที่ประจำที่เปลวอรุณมักจะมานั่งรับแสงแดดในยาวเช้าและนั่งมองอาณาจักรเล็กๆตรงหน้าด้วยความสุขทุกวันก่อนนอน แต่ในตอนนี้เมื่อเจ้าของที่หายไปคนที่มานั่งแทนที่มันทุกวันแทบจะตลอดเวลาในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานั้นคือ อัมรินทร์...
หนึ่งเดือนแรกสำหรับการสูญเสีย....
ข้อความที่ถูกส่งเข้ามายังเบอร์โทรศัพท์มือถือของอัมรินทร์ที่เชื้อมต่อกับบัญชีธนาคารทำให้เขารับรู้ถึงเงินก้อนจำนวนหนึ่งที่โอนเข้ามา ‘สามล้านแปดหมื่นบาท’ จำนวนเงินจริงของหนี้ที่เขารับปากว่าจะใช้หนี้แทนให้กับเปลวอรุณในครั้งนั้นถูกโอนคืนกลับเข้ามาในบัญชีของเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใครที่โอนเข้ามา....
แผลที่ยังคงสดใหม่กัดกินหัวใจของอัมรินทร์จนเหมือนคนที่คลุ้มคลั่งด้วยความเจ็บปวดเป็นทุนเดิมและยิ่งมีข้อความดังกล่าวเข้ามาด้วยแล้วก็เหมือนกับใครสักคนที่เอาแอลกอฮอร์ลาดลดลงบาดแผลใช้ความเจ็บแสบของมันกัดกินบากแผลให้เหวะหวะมากขึ้น
“ปล่อยฉัน! ฉันจะไปฆ่ามัน” อัมรินทร์ตะคอดเสียงลั่นเหมือนช้างตดมันที่ไม่ฟังใครและพร้อมที่จะฟาดงวงฟาดงาใส่ทุกคนที่เข้าขว้าง
“มึงจะบ้าหรือไงวะไอ้อัน!” อนิรุทธิ์เข้ามาล็อกตัวอีกฝ่ายไว้
“กูไม่ได้บ้า ไอ้รุทธิ์มึงปล่อย”
“พ่อใจเย็นก่อน” เพราะอัมรินทร์เป็นผู้ชายรูปร่างใหญ่หนาอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำทำให้เรื่องพละกำลังถือว่ามีมากกว่าลูกตาลที่ยังอยู่ในช่วงเด็กและหนุ่มจึงต้องเข้ามาช่วยล็อกแขนอีกข้างเอาไว้
“ปล่อยพ่อ พ่อจะไปเอาเลือดหัวมันออก” อัมรินทร์พยายามสะบัดแขนทั้งสองข้างให้หลุดจากคนทั้งสอง
เพี๊ยะ!
จนกระทั้งฝ่ามือหนักๆของผู้เป็นบิดาพาดลงที่ข้างแก้มจนหน้าหันนั้นแหละอาการคลั่งของอัมรินทร์จึงหยุดลง
“หยุดบ้าสักทีไอ้อัน” สุริยะที่ทนมองสภาพของลูกชายไม่ไหวจึงต้องลงไม้ลงมือตบหน้าอัมรินทร์เพื่อเรียกสติ
อัมรินทร์นิ่งไปจนลูกตาลกับอนิรุทธิ์มองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าจะเอายังไงดีจะปล่อยตัวหรือจะรั้งเอาไว้ก่อน
“ฉันรู้ว่าแกกำลังเสียใจเรื่องหนูเปลวกับลูก”สุริยะกำมือแน่นในขณะที่นภาปิดปากกลั้นสะอื้น “แต่แกก็ควรจะมีสติให้มันมากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นไอ้บ้าเหมือนที่เป็นอยู่”
สุริยะพยายามเรียกสติลูกชาย เขารู้ว่าลูกชายกำลังเสียใจแต่ไม่ใช่แค่อัมรินทร์ที่สูญเสียและเสียใจแต่ทุกๆคนที่อยู่ในที่นี้ต่างก็สูญเสียและเศร้าโศกไม่ต่างกัน
“แต่มันฆ่าเปลว” อัมรินทร์ขบกรามแน่น
“แล้วยังไง แกเลยจะทำกับไอ้หมอนั้นเหมือนที่มันทำกับลูกกับเมียแกอย่างงั้นหรอ” เขาถามกลับ
“...”
“ถ้าแกทำมันอย่างนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับที่มันทำ แกเกลียดมันแล้วแกยังทำตัวเหมือนที่มันทำอีก แกไม่นึกเกลียดตัวเองบ้างหรอไอ้อัน”
อัมรินทร์ชะงักจนในคำพูด
ชายหนุ่มเงียบและดูสงบลงสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของอนิรุทธิ์และลูกตาลก่อนจะเดินโซซัดโซเซกลับขึ้นไปด้านบน นภามองสภาพลูกชายแล้วทำท่าเหมือนจะเดินตามขึ้นไปแต่สุริยะกับรั้งแขนของภรรยาเอาไว้พร้อมส่ายหน้า เวลานี้เขารู้ดีว่าอัมรินทร์ต้องการเวลาอยู่กับตัวเองและคงจะดีหากปล่อยให้เจ้าตัวได้อยู่กับตัวเองไปก่อน
แต่ก็ใช่ว่าอัมรินทร์จะดีขึ้น....
หลังจากวันนั้นอัมรินทร์ก็เอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่บนห้องนอนของตัวเองไม่ยอมออกมาพบเจอผู้คนเหมือนคนที่เหลือแต่ร่างกายที่ไร้วิญญาณจิตใจล่องลอยไปไกลร่ำไห้ถึงจากสูญเสียแทนจะทุกค่ำคืนจนใบหน้าเริ่มอินโรยและร่างกายทรุดโทรม การงานต่างๆก็ไม่สนใจเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากโชคดีที่ว่าบิดาของเขากลับมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมทำให้การงานต่างๆที่ค้างคาได้รับการสานต่อดูแล
ช่วงปลายเดือนแรกอัมรินทร์เริ่มสงบจิตสงบใจลงได้แต่ก็ยังไม่ยอมที่จะออกกจากห้องนอนแต่ถึงอัมรินทร์จะเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ภายในห้องนอนแต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็ไม่เคยที่จะลงกรอนปิดล็อคมันตัดขาดจากโลกภายนอกที่ยังมีคนคอยห่วงหาเขาอยู่ ทุกๆวันจะมีอนิรุทธิ์ ลูกตาล ลิลดา แวะเวียนเข้ามาหาเข้ามาคุยเพื่อคล้ายความทุกข์โศก สุริยะเองแม้จะไม่ค่อยพูดตามประสาผู้ชายแต่ก็มักจะเข้ามานั่งเงียบๆบ่นนู้นบ่นนี้ให้ลูกชายฟังบางเป็นครั้งคราวและคนที่ใช้เวลาอยู่กับอัมรินทร์มากที่สุดดูเหมือนจะเป็นมารดาของเขา
อัมรินทร์ดูสงบใจลงกว่าช่วงแรกๆที่เกิดเรื่องแต่การที่ชายหนุ่มเอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยพูดค่อยจาทำหัวใจคนเป็นแม่อย่างนภาหนักอึ้ง เธอทนมองดูลูกชายตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ทุกวันก็ได้แต่น้ำตาตกในหัวอกคนเป็นแม่เจ็บแปร๊ดทุกครั้งที่เปิดประตูห้องเข้ามาเจอร่างกายที่จิตใจกรวงเปล่าของลูกชาย
“ตาอัน”
“ครับ” อัมรินทร์ขานรับมารดาหากแต่สายตาที่ควรจับจ้องคนคุยด้วยนั้นกลับเลื่อนลอยเหม่ออกไปนอกหน้าต่าง
“แม่ไม่สบายใจเอาสะเลยที่เราเป็นแบบนี้” เธอว่าอย่างกลัดกลุ้ม
“ผมสบายดีครับ”
ไม่..
ไม่จริงหรอก เธอรู้ว่าลูกชายเธอไม่ได้สบายดีอย่างที่บอกว่าเลยสักนิด
“ทุกคนเขาเป็นห่วงลูกมานะอัน” มือเรียวสีนวลเอื้อมออกไปกุมมือลูกชายของตนแน่น “ลูกไม่อยู่คนเดียวนะจ๊ะ” เธอพยายามให้กำลังใจลูกชาย อย่างน้อยในฐานะคนเป็นแม่สิ่งที่เธอพอจะทำให้ลูกชายวัยผู้ใหญ่ตรงหน้าได้ก็คงมีเพียงกำลังใจที่คอยส่งให้อยู่ข้างหลังแบบนี้
อัมรินทร์ยิ้มบาง
เขารู้ตัวดีว่ากำลังทำให้คนรอบข้างเป็นห่วงแต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงที่จะเดินหน้าต่ออกไปได้จริงๆ
ขอโทษนะครับแม่... เดือนที่สองสำหรับการสูญเสีย....
เวลาเริ่มเยี่ยวยาจิตใจที่สูญเสียอัมรินทร์เริ่มที่จะพอทำใจยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้บ้างแม้จะไม่มากแต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็เริ่มที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนในบ้านมากขึ้นกว่าช่วงเดือนแรกแต่เขาก็ยังชอบที่จะปลีกตัวออกจากผู้คนออกมาอยู่คนเดียวอยู่ดี
“คุณอัน!” เสียงของลุงอุ่นแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจที่เห็นเจ้านายหนุ่มของตนยอมเดินลงบันไดออกมาจากห้องของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือน
“ผมขอน้ำผลไม้สักแก้วสิครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอ่อนล้า
ชายมีอายุรีบกุลีกุจอทำตามสิ่งที่ชายหนุ่มขออย่างยินดี
อัมรินทร์รับแก้วน้ำผมไว้แก้วนั้นมาถือแล้วเดินออกจากบ้านไปทางประตูหลังเดินเรื่อยๆไปจนถึงสวนไทยประยุกค์ที่อยู่ด้านหลังสุดของบ้านวางแก้วน้ำผลไม้แก้วนั่นลงบนโต๊ะทรงเตี้ยแล้วทรุดนั่งลงพิงเสาของศาลาแล้วนั่งเหม่อลอย
ศาลาที่เปลวอรุณชอบมานั่งในวันหยุด...
สถานที่ที่เคยกับเปลวอรุณเคยมีความทรงจำที่ดีต่อกัน...
แก้วน้ำผลไม้เย็นฉ่ำระเหยจนหายเย็นแต่อัมรินทร์ก็ไม่คิดที่จะแตะต้องมันจนเวลาผ่านไปสองสามชั่วโมงชายหนุ่มถึงจะได้หยิบแก้วน้ำแก้วนั้นขึ้นดื่มที่เดียวหมดแก้วก่อนจะลุกเดินกลับเข้าบ้าน
ถึงมันจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่การที่ชายหนุ่มยอมที่จะเปิดประตูห้องออกมาข้างนอกด้วยตัวเองก็ย่อมถือเป็นก้าวแรกที่ดีที่พลอยทำให้เหล่าคนที่แอบเฝ้ามองคลี่ยิ้มออกมาได้
แต่คงมีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่อัมรินทร์ยังไม่ยอมที่จะทำให้ทุกคน
“พ่อ ออกไปข้างนอกกันไหม” น้ำเสียงกึ่งตื่นเต้นของลูกตาลดังขึ้นภายในห้องนอนของอัมรินทร์ วันนี้เด็กหนุ่มมีที่สำคัญที่หนึ่งที่อยากจะพาคนตรงหน้าไป
“ไว้วันหลังนะ” แต่อัมรินทร์กลับปฏิเสธมัน
ใบหน้าของลูกตาลดูเจือนลงเล็กน้องเมื่อไม่เป็นไปตามที่หวัง
แต่เด็กหนุ่มก็ใช่ว่าจะลงลาความพยายามที่นั่นเสียทีเดียว ทุกวันลูกตาลจะเดินเข้ามาในห้องของอัมรินทร์แล้วพูดประโยคเดิมซ้ำๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแม้จะโดนปฎิเสธ ไม่ใช่แค่ลูกตาลหรอกที่อัมรินทร์เอ่ยปากปฏิเสธน้ำใจแต่เป็นทุกคนที่เข้ามาร่วมถึงงานวันเปิดตัวสินค้าคอลลเลคชั่นใหม่ที่ได้ฤกษ์เปิดตัวที่อัมรินทร์เลือกที่จะนั่งดูความสำเร็จของสิ่งที่เขาตั้งตารอมันมานานผ่านจอสี่เหลี่ยมขนาดสิบสองจุดเก้านิ้วในห้องแทน
ภาพการถ่ายทอดสดภายในงานเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ที่ทางแฟนเพจของบริษัทที่ทางฝ่ายโฆษณาการตลาดทำขึ้น ภาพบรรยาการการเปิดตัวสินค้าเป็นไปตามที่เขาต้องการ ผู้คนที่ให้ความสนใจเข้าร่วมงานมีมากและที่สำคัญเสียงวิจารณ์สำหรับสินค้าชิ้นใหม่เป็นใปในทิศทางที่ดีจนเขาอดภูมิใจอยู่ลึกๆไม่ได้แม้จะฝังเพียงผ่านๆไม่ได้สนใจอะไรมากอย่างที่ควรจะเป็น
นัยน์ตาที่จ้องมองภาพการถ่ายทอดสดอยู่นั่นดูเลื่อนลอยไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเสียเท่าไร อัมรินทร์หันมามองที่หน้าจอบ้างเป็นบางครั้งสลับกับการมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มหันกลับมามองที่หน้าจออีกครั้งเมื่อเสียพิธีกรในงานประกาศเปิดตัวเครื่องประดับอัญมณีตัวใหม่ เขานั่งมองมันอย่างไม่ได้สนใจอะไรมากนักและจนกระทั้งภาพของนักออกแบบสาวเพื่อนสนิทอย่างลิลดาเดินออกมาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่ภาพจะตัดไปที่ญาติผู้พี่ของเขาอย่างอนิรุทธิ์เดินถือช่อดอกไม้ช่อโตไปมอบให้แก่นักออกแบบสาว เขามองภาพนั่นด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่แสดงออกมาว่าเขาดีใจกับคนทั้งคู่ที่มุมปากเพียงครู่เดียวแล้วเลื่อนหายไป
ภาพการถ่ายทอดสดงานเปิดตัวสินค้าดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั้งมาถึงช่วงท้ายของงานที่นักข่าวต่างเข้ามารุมล้องบิดาของเขาเพื่อถามไถถึงความรู้สึกเกี่ยวกับงานในวันนี้ข้างๆมีมารดาของเขาที่ยืนควรแขนของลูกตาลอยู่
คำถามมากมายที่ถูกไตร่ถามออกมาไม่ได้เข้าหูคนที่ฟังมันอยู่ทางไกลเสียเท่าไร จนกระทั้งคำถามหนึ่งถูกถามขึ้นมา
“ทำไมงานในวันนี้คุณอัมรินทร์ถึงไม่ได้มาร่วมในงานด้วยละคะ”
คนที่ถูกพูดถึงยิ้มเจือแล้วกดปิดหน้าจอนั่นเสียดื้อๆ
คำตอบที่เขารู้ดีอยู่แล้วว่ามันคืออะไร เขาไม่อยากที่จะได้ยินมันอีก....
ฝ่ายทางด้านคนที่ถูกถามอย่างสุริยะดูจะชะงักกึกไม่เล็กน้อยแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่าการที่ลูกชายของตนที่ควรจะมาร่วมในงานวันนี้ในฐานะหัวเรือใหญ่กลับหายเข้ากลีบเมฆไปเช่นนี้ แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับเหมือนคนน้ำท้วมปากเอาเสียดื้อๆ
“นั้นสิค่ะ แล้วภรรยาของคุณอัมรินทร์ละคะ ได้กำหนดคลอดมาแล้วหรือยัง” เพราะล่าสุดที่พวกเธอได้ข่าวมาคือภรรยาของอัมรินทร์ที่ชื่อว่าเปลวอรุณกำลังตั้งครรภ์อยู่
สองสามีภรรยาวัยไม่ใกล้ฝั่งมองหน้ากันนิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปว่าเช่นไรเกี่ยวกับลูกสะใภ้ของพวกตน
“คงไม่มีแล้วละครับ” แต่ความสับสนอึดอัดใจของพวกเขากลับหยุดลงเมื่อเด็กหนุ่มที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จากับใครมาตั้งแต่เริ่มงานเป็นฝ่ายที่เปิดปากตอบ
“หมายความว่ายังไงกับครับ” ไม่ใช่แค่นักข่าวที่ตีวงล้อมอยู่ตรงหน้า แต่ยังรวมถึงแขกเหรื่อที่มาร่วมในงานวันนี้อีกด้วยที่หันกลับมามองและให้ความสนใจกับตัวของเด็กหนุ่มที่ยืนตีหน้าขรึม
“เกิดเรื่องที่น่าเศร้าขึ้นตอนนี้พ่อกับแม่ผมยังทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยไม่สามารถมาร่วมในงานวันนี้ได้” เด็กหนุ่มตอบฉะฉานไร้ความเขินอายหรือประหม่าที่จะตอบจนสุริยะนึกพอใจและชมชอบเด็กคนนี้มาขึ้นไปอีก
“อุ๊ย ต้องขอแสดงความเสียใจนะคะ” นักข่าวสาวคนที่เป็นคนตั้งคำถามหน้าเจือนเสียเล็กน้อยก่อนจะรีบแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของคนที่เธอพลั้งปากถามออกไปด้วยความไม่รู้
“ไม่เป็นไรครับ แต่สำหรับพ่อแม่ผมแล้วเรื่องนี้มันผลต่อใจของพวกเขามาก ขออย่าได้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาให้สองคนนั้นได้ยินอีกเลยนะครับ” ลูกตาลยิ้มเป็นเชิงข้อร้อง ซึ่งนักข่าวที่อยู่ในงานทุกคนก็บรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ
สุริยะกับนภาอดที่จะแปลกใจกับคำตอบของเด็กหนุ่มอยู่บ้างที่ไม่ได้ตอบนักข่าวออกไปว่าผู้เป็นแม่ของจนจากไป ทั้งสองคนจึงลงความเห็นกันเองในใจเอาว่าตัวเด็กหนุ่มเองก็คงจะยังเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แม้จะพยายามเข้มแข็งหากแต่จริงๆแล้วเจ้าตัวก็คงจะยังทำใจยอมรับไม่ได้ที่แม่ของตนจะไม่มีวันกลับมาหา
ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสาร....
เข้าสู่เดือนที่สามสำหรับการสูญเสีย...
“ออกไปข้างนอกกันหน่อยไหม” เสียงของลูกตาลดังขึ้นอีกครั้งเหมือนอย่างทุกวัน
อัมรินทร์เงยหน้าขึ้นจากหนังสือคู่มือการดูแลคุณแม่ที่เป็นผู้ชายขณะตั้งครรภ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยไหว้วานฝากให้เด็กหนุ่มซื้อมาให้ “ไว้วันหลังนะ”
คำตอบเดิมๆที่ออกมาจากปากนั่นก็ไม่ต่างจากสิ่งที่เด็กหนุ่มคากการณ์เอาไว้อยู่แล้ว
เกือบสองเดือนแล้วที่เขาพยายามชักชวนให้อัมรินทร์ออกจากบ้านแต่ทุกครั้งกลับคว้าน้ำแหลวได้ตลอดทุกครั้ง ลูกตาลพ่นลมหายใจออกจากจมูกกวาดสายตามองสำรวจร่างกายของคนที่เขาเรียกว่าพ่อที่ซูบผอมลงแม้จะไม่มากแต่ก็พอที่จะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ว่าไหนจะใบหน้าคมคายที่ครั้งหนึ่มเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเคราให้ลำคาญตาแต่ดูตอนนี้สิกลับกับอย่างเห็นได้ชัด
“เมื่อไรจะโกนหนวด” ก็มันลำคาญลูกตา
“ไว้ก่อน” อัมรินทร์ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแม้แต่หนวดเครายังไม่คิดโกนมันออกอย่างมากก็แค่เล็มส่วนที่ยาวเกินออกแน่นอนว่าคนที่ทำก็คือนภาแม่ของเจ้าตัวที่ขึ้นมาดูลูกชายทุกวัน
“เห้อ เมื่อไรพ่อจะยอมออกจากห้องสักที” เด็กหนุ่มบ่น พลางนั่งลงกับของเตียงลูบหัวมณีนิลที่ย้ายตัวมานั่งเฝ้าอัมรินทร์ตั้งแต่ช่วงเดือนแรก
“ก็ออกนะ” คล้ายจะเถียงแม้ตาจะยังไม่ละไปจากหนังสือที่ตนอ่านจนขึ้นใจ
“แค่สวนหลังบ้าน” ลูกตาลว่าดักอย่างเหนื่อยหน่าย
“แต่อย่างน้อยก็ออกไม่ใช่หรือไง”
ลูกตาลส่ายหน้าคร้านจะต่อปากต่อคำ
“แล้วนี่ ไม่ไปทำงานหรือไง” อัมรินทร์ทักท้วงขึ้นเมื่อมองนาฬิกาแล้วพบว่าอีกไม่นานจะถึงเวลาเข้างานของเด็กหนุ่ม
“วันนี้เข้าสายได้” เด็กหนุ่มตอบอ้อมแอ้มหลบสายตา
“อยากให้ไปส่งหรือไง” อัมรินทร์ปิดหนังสือจ้องมองลูกชายที่นั่งก้มหน้าก้มตา
“ได้หรือเปล่าละ” ลูกตาลถามขึ้นคล้ายมีหวังที่จะทำให้อัมรินทร์ยอมก้าวเท้าออกจากบ้านได้
อัมรินทร์ยิ้มบางแววตาเศร้า แต่ยังไม่ทันที่อัมรินทร์จะตอบรับหรือปฏิเสธเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
อัมรินทร์และลูกตาลหันไปมองทางบานประตูที่เปิดออกช้าๆอย่างใคร่รู้พอเห็นว่าเป็นแววที่เปิดประตูเข้ามาก่อนจะได้รับอนุญาตก์ตีหน้าฉงนสงสัย
“คุณอันค่ะ มีคนมาหาค่ะ” เธอกล่าว
“ใคร”
อัมรินทร์ขวมดคิ้วสงสัยแต่ก็ยอมที่จะเดินลงบันไดตามหญิงสาวไปจนถึงห้องรับแขกพร้อมกับลูกตาล
ร่างอ้วนท้วมของของหัวหน้าแผนกการผลิตนั่งทำสีหน้าปั้นยากอยู่ที่โซฟารับแขกมืออวบก่ำประสานกันแน่นเหมือนคนกำลังคิดไม่ตกกับเรื่องบางเรื่อง
“สวัสดีครับคุณอ้วน” อัมรินทร์เอ่ยทักทายหัวหน้าแผนกร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์
“ทะ ท่านรองสวัสดีครับ” อ้วนละล้าละลังลุกขึ้นเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาหา แต่สภาพของชายหนุ่มที่เคยดูดีสง่ากับเปลี่ยนไปจนใจสะท้านสงสาร
“ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะ” ลูกตาลที่เห็นว่าแผนการในวันนี้คงจะล้มเหมือนอย่างทุกครั้งจึงของปลีกตัวออกมาก่อนเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย
“ไปดีๆละ”
ลูกตาลยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนในห้องก่อนเดินออกจากห้องรับแขกไป
เมื่อพออยู่ด้วยกันสองคนแล้วอัมรินทร์จึงทรุดตัวนั่งลงที่โซฟาตัวหนึ่งก่อนจะผลายมือเชิญแขกผู้น้อยของตนนั่งตามลงมา
“มีอะไรหรือครับถึงมาหาผมถึงที่บ้านแบบนี้” อัมรินทร์ยิ้มบางถาม
“ช่วงนี้ไม่เห็นคุณไปทำงานเลยผมก็เลยเป็นห่วงนะครับ”
“ขอบคุณครับ” อัมรินทร์กล่าวขอบคุณ
ข่าวการสูญเสียทายาทคนถัดไปของบริษัทพนักงานทุกคนรับรู้เรื่องนี้กันดีและตามรู้สึกเห็นอกเห็นใจทั้งตัวอัมรินทร์และเปลวอรุณเป็นอย่างมาก และต่างเข้าใจว่าคนทั้งคู่ยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้จึงไม่มีใครเห็นทั้งสองคนเข้าทำงานที่บริษัทอีกเลย ทางด้านสุริยะเองก็ไม่แม้จะปริปากเกี่ยวกับลูกชายและลูกสะใภ้ในที่ทำงานเลยสักครั้งจนตัวเขาเองยังคิดหนักอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าเอาของ ‘สิ่งนั่น’ มาที่นี้
“คือว่า..” อ้วนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก
อัมรินทร์เหลือบมองสีหน้าหนักใจของแขก
“คุณยังจำของที่คุณให้ผมทำเมื่อก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ครับ”
อัมรินทร์ชะงัก
“จำได้สิ” มุมปากกระตุกยิ้ม “เสร็จแล้วหรอ” เขาถามเสียงแผ่วเบา
“ครับ” มืออวบอูมหยิบซองกำมะหยี่สีขาวมุกออกมาจากกระเป๋าอย่างถนุถนอมพร้อมส่งให้คนหนุ่มกว่ารับไป
“ขอบคุณมาครับ” อัมรินทร์รับของที่ครั้งหนึ่งเคยสั่งทำด้วยรอยยิ้มคล้ายสุขใจระทมเศร้าโศกปะปนกันไปก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับขึ้นห้องไปเงียบๆทามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของหัวหน้าแผนกการผลิตที่มองตามหลังเขามา
“คุณต้องผ่านมันไปให้ได้นะครับ”
คนมองได้แต่ภาวนาเอาใจช่วยจากใจจริง
อัมรินทร์ถือห่อผ้ากำมะหยี่ถุงนั้นกลับมาที่ห้องปิดประตูและล็อกมันอย่างที่เขาไม่เคยทำมันมานาน สองขาที่คล้ายจะอ่อนแรงก้าวเดินอย่างไม่มั่นคงก้าวมาที่เตียงนอนแล้วทรุดนั่งลง
ถุงกำมะหยี่หูรูดถูกคลายออกแล้วล้วงหยิบของสิ่งหนึ่งที่อยู่ข้างในออกมา
กระพวนข้อเท้าสำหรับเด็กแรกเกิดคู่หนึ่งถูกหยิบออกมา กระพวนที่ทำมาจากเงินบริสุทธิ์แท้ชุบด้วยทองคำขาวแท้เกลี่ยงเกลาไร้ลวดลายที่ปลายสองข้างมีกระดิ่งอันเล็กๆสีขาวประดับอยู่ข้างละอัน
อัมรินทร์กำมือที่ถือกระพวนคู่นั้นแน่นน้ำตาที่ลื่อคลออยู่เริ่มไหลอาบแก้ม กระพวนข้อเท้าที่เขาคิดจะเอามาเป็นของขวัญรับขวัญลูกน้อยที่จะเกิดมาแต่ตอนนี้มันกลับไร้ซึ่งเจ้าของอย่างที่มันควรเป็น ทั้งๆที่วันที่ได้เห็นของสิ่งนี้มันควรจะเป็นวันที่เขาและเปลวอรุณมีความสุขที่สุด มันควรจะเป็นอย่างนั้นแต่ทำไมพอเอาเข้าจริงมันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาวาดฝันเอาไว้เพราะมันเหลือเพียงเขาเพียงคนเดียวที่เจ็บปวด
หากว่ากระพวกคู่นี้ทำให้อัมรินทร์หลั่งน้ำตาออกมาเพียงแรกเห็นของอีกชิ้นที่ยังอยู่ในห่อกลับทำเขาปวดร้าวยิ่งกว่าเดิม
กระพวนข้อเท้าถูกเก็บลงห่อกำมะหยี่อีกครั้งก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นกล่องกำมะหยี่สีกลีบบัวอ่อนขนาดเล็กที่ถูกหยิบออกมา อัมรินทร์เม้มปากแน่นก่อนจะกลั่นใจเปิดกล่องนั่นออกมา
แหวนแต่งงานคู่หนึ่งปรากฏสู่สายตาที่ร้อนผ่าว แหวนคู่ที่เหมือนกับทุกระเบียบนิ้วหากแต่แตกต่างกันที่ขนาดของตัววง อัมรินทร์หยิบแหวนวงที่ใหญ่กว่าขึ้นมาส่วมที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองด้วยมือที่อันสั่นเทาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ส่วนอีกวงเขาดึงมันออกมาแล้วกุมมันเอาไว้แน่นในระดับอกตรงตำแหน่งเดียวกับหัวใจ
แหวนแต่งงานที่เขาอยากจะมอบมันให้กับคนที่เขารักมากที่สุด...
“เปลว ฮึก เปลว”
................................................