♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว  (อ่าน 38337 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
หวงถึงขนาดที่แทบจะกระโจนไปซัดกายยังไม่แน่ใจตัวเองอีกนะพี่ทาร์ต
ต้องรอกายรุกหนักกว่านี้เหรอถึงจะแน่ใจได้น่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1

พี่ทาร์ตไม่ต้องรีบนะ
ค่อยๆคิด

รอให้น้องปูนโดนคนอื่นคว้าไปก่อน
 :laugh5:

อยากเจอพี่อิน
ฟ่อนมีคู่ปรับละ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 11

Tiramisu
: เลดี้ฟิงเกอร์/มาร์คาร์โปเน่/วิปปิ้งครีม/น้ำตาลไอซิ่ง/น้ำเปล่า/ผงกาแฟ/เหล้ารัม :




อากาศช่วงสายในวันอาทิตย์ช่างร้อนอบอ้าวจนอยากแก้ผ้านอนแช่น้ำ ไอ้คนที่นัดกันไว้ว่าจะมาล้างรถให้ก็หายหัวเข้ากลีบเมฆไปตั้งแต่เช้า ถามไถ่จากไอ้ฟ่อนก็ได้คำตอบแค่ว่าออกไปทำธุระให้ป้าอุ่น ตอนนี้ผมเลยมานั่งเอกเขนกอยูริมสระในบ้านของพี่ทาร์ต ข้างๆ กันมีร่างบางนั่งทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์อยู่ ได้ยินเสียงบ่นออกจากริมฝีปากบางเป็นระยะก็ไม่ต้องเดาเลยว่ามันยากแค่ไหน

"พี่ปูน... ช่วยฟ่อนแก้โจทย์ข้อนี้หน่อยดิ งมมานานแล้วอะ ทำไม่ได้สักที"
ไอ้ฟ่อนขยับหนังสือคณิตศาสตร์มาตรงหน้าแล้วสะกิดแขนเบาๆ ผมหันไปเลิกคิ้วใส่ก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ แค่เห็นก็จะเป็นลมอยู่แล้ว ตอนเรียนมัธยมแค่ตัวหลักก็แทบกระอักเลือด นี่ตัวเสริม... ขอบาย


"ฟ่อน... กูจบสายภาษา คณิตเสริมจะไปรู้เรื่องอะไรวะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แล้วผลักหนังสือคณิตกลับไปให้เจ้าของ ไอ้ฟ่อนเบะปากทำท่าจะร้องให้ใส่กันก่อนจะเท้ามือรองรับหัวตัวเองเอาไว้ ก็อยากช่วยอยู่หรอก แต่จนปัญญาจริงๆ

"เค้าลืมไปว่าตัวไม่ถนัดคณิต"
หันมาทำปากจู๋ใส่กันก่อนจะก้มลงไปอ่านโจทย์อีกรอบ ผมได้แต่เบ้ปากใส่มันเพราะรู้สึกขนลุกกับสรรพนามที่ถูกยกขึ้นมาใช้ มุ้งมิ้งอย่างกับคนเป็นแฟนกันเลยว่ะ

"เออ รอพี่ทาร์ตกลับมาสอนแล้วกัน"
ผมบอกน้องไปแบบนั้นก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวมันแรงๆ ด้วยความหมั่นไส้ ทำการบ้านไม่ได้แค่นี้ถึงกลับต้องดราม่าอะไรขนาดนั้นวะ นั่งเป็นปลาทูคอหักไปได้ ไอ้ฟ่อนเหลือบสายตามองกันแล้วย่นจมูกใส่แต่ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด รู้หรอกว่าชอบให้เล่นหัวน่ะ

"พี่ปูน... ถามอะไรหน่อยดิ"
อยู่ๆ ฟ่อนก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมชะงักมือที่กำลังขยี้หัวมันเล่นแล้วเลิกคิ้วใส่ ดวงตารีมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ

"ถามเรื่องอะไร"
ผมดึงมือกลับมาตั้งไว้ด้านหน้าของตัวเองแล้วจ้องมองอีกคนเพื่อรอคำถาม ไอ้ฟ่อนเม้มปากเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำไมรู้สึกสถานการณ์มันตึงเครียดแปลกๆ วะ

"คิดดีแล้วเหรอเรื่องพี่ทาร์ตอะ"
คำถามจากปากไอ้ฟ่อนทำให้ผมเผลอสะดุดลมหายใจตัวเองไปหนึ่งจังหวะ ดวงตารีจ้องมองคนตรงข้ามด้วยแววตาสงสัย ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันต้องการคำตอบในทิศทางใด กว้างจนไม่สามารถโฟกัสอะไรได้เลย

"หมายถึงอะไร"
ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสงสัยแล้วเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้าง ไอ้ฟ่อนยืดตัวขึ้นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยิงคำตอบที่แคบลง

"ก็แบบ... แน่ใจแล้วเหรอว่าพี่ปูนชอบพี่ทาร์ตจริงๆ"

"ทำไมถามแบบนี้วะฟ่อน"

"ก็เรารู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ใช่ไหมล่ะ ฟ่อนก็อยากให้พี่ปูนทบทวนดีๆ ว่าความรู้สึกที่มีตอนนี้แค่ความผูกพันหรือชอบกันแบบเชิงชู้สาวจริงๆ"
ไม่แปลกอะไรที่น้องจะกังวลเรื่องนี้ ก็จริงอย่างที่มันว่า เพราะการที่เรารู้จักกันมานานทำให้ความสัมพันธ์อะไรๆ มันแนบแน่นกว่าคนปกติทั่วไป แต่ตัวผมคิดมาดีแล้วจริงๆ ถ้ารู้สึกแค่พี่น้องคงไม่ต้องเสียใจเวลาที่เขาบอกว่าจะไปขึ้นเตียงกับคนอื่น ไม่ต้องมานั่งหงุดหงิดเวลาเขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่คุยกับสาวๆ หรอก อาการชัดขนาดนั้นถ้าสังเกตตัวเองสักหน่อย คำตอบก็อยู่แค่เอื้อม ถึงไม่มีประสบการณ์แต่ก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณและเรื่องเล่าจากเพื่อนๆ ที่เคยมีแฟน

แต่สำหรับเสือผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองเก่งเรื่องความรักอาจจะยอมรับได้ยากเมื่อเผลอรักเพศเดียวกัน

"ไม่ต้องห่วงหรอก กูแทบตีลังกาคิดอยู่แล้ว สุดท้ายก็ได้คำตอบเหมือนเดิมคือชอบจริงๆ"
ผมพูดติดตลกเพราะไม่อยากให้น้องต้องมาเครียดไปอีกคน รู้ว่าไอ้ฟ่อนทั้งรักทั้งหวงเราสองคนมากแค่ไหน คงไม่อยากให้ใครเสียใจล่ะมั้ง

"โหย พูดอะไรไม่เกรงใจฟ่อนเลยอะ อกหักอยู่นะเนี่ย"
น้องย่นจมูกใส่กันแล้วแสร้งทำท่าขยี้ตาร้องไห้ ผมได้แต่นั่งมองแล้วส่ายหัวอย่างปลงๆ กับท่าทีแบบนั้น อยากจะแนะนำให้มันไปสอบเข้านิเทศศาสตร์การแสดงมากกว่าการสอบเป็นทันตะแพทย์อย่างที่ได้ตั้งใจไว้ซะอีก

"อย่ามาตอแหล มึงไม่ได้ชอบกูแบบนั้นสักหน่อย"
ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือผลักหัวไอ้ฟ่อนด้วยความหมั่นไส้ มันจิ๊ปากเบาๆ แล้วแยกเขี้ยวใส่กันจนเห็นเหล็กดัดฟันสีฟ้าพาสเทล ภาพรวมของมันคือเด็กผู้ชายน่ารักๆ คนหนึ่ง น่าทะนุถนอม ทำไมไม่เกิดมาเป็นน้องสาวก็ไม่รู้

"รู้ได้ไง ตอนแรกเค้าก็ชอบตัวแบบนั้นนั่นล่ะ แต่ตัดใจไปนานแล้วเถอะ เลยเปลี่ยนมาปลื้มๆ แทน"
พูดจบก็ยู่ปากใส่กันก่อนจะเอาหัวทุยๆ มาโหม่งลงบนอกของผมเบาๆ ทำไมชอบเลือกใช้สรรพนามชวนสยองนั่นทุกทีวะ ขนลุกเหมือนจะปวดอึยังไงไม่รู้ แทนที่จะเลือกสนใจเนื้อหาสำคัญในประโยคนั้นผมกลับปัดมันทิ้งแบบไม่ใยดี ไม่อยากให้ไอ้ฟ่อนก่อดราม่าหรอก

"เกลียดสรรพนามที่มึงใช้จัง ขนลุก"
ผมเหล่ตามองก่อนจะทำท่าลูบแขนตัวเองไปมา ไอ้ฟ่อนถึงกับมองเขม็งแล้วเบะปากใส่รัวๆ อยากดีดจังวะ หมั่นไส้

"โด่ คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิดอะ งอน!"
ยังจะมาตัดพ้อด้วยน้ำเสียงแสนงอนอีก แต่อย่าคิดว่าผมจะโอ๋น้องล่ะ เพราะมันบากที่สุดแล้ว ง้อมากๆ เดี๋ยวจะติดนิสัยเคยตัว อาจจะต้องรอพี่อินอะไรนั่นมาดูแลไอ้ฟ่อนจริงๆ นั่นล่ะ

"ทำการบ้านไปเลยไป เพ้อเจ้ออยู่ได้"
ผมดึงแก้มมันด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะออกปากไล่ให้กลับไปสนใจการบ้าน ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจไปมาโดยไม่แคร์สายตาอาฆาตของไอ้ฟ่อนเลยสักนิด

ขายาวๆ ก้าวเดินไปตามขอบสระเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ของตัวเอง เปิดเทอมใหม่กับวิชาเรียนใหม่ทำให้วิตกกังวลอยู่ไม่น้อย ไหนจะตอนซัมเมอร์ต้องไปเรียนที่เกาหลีใต้อีก... ใช้เวลาเป็นเดือนๆ ก็เท่ากับว่าต้องห่างพี่ทาร์ตด้วย แต่บางทีมันคงช่วยให้อีกคนไตร่ตรองหัวใจตัวเองมากขึ้นและไวขึ้นก็ได้มั้ง

"กลับมาแล้ว"
เสียงทุ้มที่ฟังกี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยเบื่อดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของสระน้ำ ทำให้ผมชะงักเท้าที่กำลังจะเดินต่อแล้วหมุนตัวไปมองเขาที่หอบหิวไก่ทอดชื่อดังติดไม้ติดมือกลับมาด้วย พี่ทาร์ตวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันเมื่อเห็นผมยื่นอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

"ว้าวๆ ไก่ทอด หอมอะ ขอกินชิ้นนึงนะพี่ทาร์ต"
ไอ้ฟ่อนเอื้อมมือไปกำลังจะเปิดกล่องไก่ทอดแต่พี่ทาร์ตกลับยั้งเอาไว้แล้วทำหน้าดุใส่ก่อนจะพยักพเยิดหน้ามาทางผม

"อะไรเนี่ย ขี้งกอะ!"
ไอ้ฟ่อนโวยวายเสียงดังก่อนจะโดนพี่ทาร์ตจับหัวแล้วบังคับให้หันหน้ามามองผมที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะสนใจ แต่ไปๆ มาๆ เกิดอยากรู้ว่าสองพี่น้องเขาทะเลาะอะไรกันอีก

"ชวนปูนก่อน ตะกละนะมึง"
พี่ทาร์ตพูดเสียงไม่ดังมากนักก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันแล้วปล่อยไอ้ฟ่อนไว้ตรงนั้น ขายาวๆ ของเขาก้าวตรงมาหาผม ที่จริงตะโกนชวนกันก็ได้หรือเปล่า ไม่เห็นต้องเข้ามาใกล้เลย หรือมีจุดประสงค์อื่นกันนะ

"ปูน..."
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อกันเมื่อพี่ทาร์ตเดินมาหยุดตรงหน้า ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่ามีอะไรก่อนจะต้องเอียงคอเพราะความสงสัยเพิ่มขึ้นเมื่อเขายื่นมือมาให้กัน

"ทำอะไรน่ะ"
ผมถามออกไปแล้วขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ไม่ไว้ใจท่าทางแสนแปลกประหลาดของเขาจริงๆ นะ แล้วแววตาเป็นประกายที่มองมานั่นชวนให้ขนลุกชอบกล ไม่ใช่ว่าพี่ทาร์ตคิดจะทำอะไรแผลงๆ หรอกนะ...

"ไปกินไก่ทอดกัน"
ปากชวน ในตายิ้ม แต่มือที่ยื่นมาคืออะไรล่ะ จะให้ตีหรือจับ

"ได้ครับ แต่จะยื่นมือมาทำไมล่ะ"
ถามขึ้นเสียงเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นถูปลายจมูก รู้สึกอยากจามยังไงไม่รู้ ใครแอบนินทาอะไรหรือเปล่าวะ ผมเหลือบมองไปทางไอ้ฟ่อนก็เห็นน้องมันนั่งเท้าคางเบะปากมองมาทางนี้ คงหมั่นไส้พี่ชายตัวเองสินะ

"ก็จับมือไง เดี๋ยวพี่พาไป"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วส่ายมือไปมาตรงหน้า ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่นเมื่อฟังประโยคเมื่อครู่จบ แค่เดินวนสระน้ำกลับไปที่โต๊ะ มันจะหลงทางหรือยังไงวะ ไม่ใช่พาไปถนนคนเดินอะไรแบบนั้นหรือเปล่า... ตรรกะอะไรของพี่ทาร์ตวะ

"ห๊ะ... พี่คิดว่าผมเป็นเด็กหรือไงเล่า เดินไปเองได้ครับ"
ผมรีบไพร่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลังเหมือนคนแก่ ยังไงๆ ก็จะไม่ยอมจับมือพี่ทาร์ตแน่นอน แววตาที่เขามองมามันทำให้ดูไม่น่าไว้ใจเอามากๆ ขายาวๆ ก้าวถอยหลังเพราะความระแวงอย่างไม่รู้ตัว

"ใครบอกว่าจะให้เดินไป"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วก้าวตามผมมาจนระยะห่างของเราเหลือแค่ไม่กี่คืบ ใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์แสดงให้เห็นว่าอีกเดี๋ยวคงต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ ยิ่งเหลือบเห็นสระน้ำที่อยู่ไม่ไกลก็ยิ่งรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ยังไงไม่รู้

"หือ แล้วจะให้ผมไปยังไง เหาะไปเหรอ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ แล้วก้าวถอยหลังอีกครั้ง แต่พี่ทาร์ตกลับคว้าข้อมือกันเอาไว้แล้วคลี่ยิ้มหวานชวนขนลุก ครั้นจะสะบัดออกก็ยากลำบาก

"ก็... ไปแบบนี้ไงครับ"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นก่อนที่จะรับรู้ว่าโลกมันเอียงแปลกๆ แม้แต่เวลาร้องโวยวายยังไม่มีในเมื่อเขาปล่อยมือแล้วใช้เท้าถีบผมตกน้ำ อยากมากที่สุดได้แต่อ้าปากค้างและหลับตาปี๋ด้วยความตกใจ ตีปีกแทบตายก็ไม่ได้ช่วย!

ตูม!

ไอ้ พี่ เหี้ย!!

ผมว่ายน้ำไม่เป็น!!!

นั่นคือสิ่งที่ผมตะโกนอยู่ข้างในเพราะไม่สามารถเปล่งเสียงได้เมื่อจมอยู่ก้นสระ แม่งเอ้ย ไม่รักไม่ว่าแต่อย่าฆ่ากันสิวะ

ในขณะที่กำลังตะเกียกตะกายขึ้นจากสระน้ำด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันจะได้โผล่หัวขึ้นไปด้านบนกลับได้ยินเสียงคนกระโดดลงมาแล้วคว้าตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้แล้วพากันขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

"แค่กๆๆๆ"
ผมไออย่างหนักเพราะสำลักน้ำ แสบตาแสบจมูกจนไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบคอของพี่ทาร์ตเอาไว้แน่น โกรธก็โกรธแต่กลัวว่าตัวเองจะจมน้ำอีกรอบ

"สำลักน้ำเหรอวะ"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะใช้มือลูบหน้ากันเบาๆ เพื่อให้ลืมตาขึ้นได้สะดวก ผมสะบัดหน้าหนีแล้วใช้กำปั้นข้างหนึ่งทุบเข้าที่แผ่นหลังขอเขาเพื่อระบายความโกรธ รู้ทั้งรู้ว่าผมว่ายน้ำไม่เป็นยังจะแกล้งกันด้วยวิธีนี้อีก ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมาจะทำยังไงวะ

"เล่นอะไรของพี่! ถ้าผมจมน้ำตายจะทำยังไงวะแม่ง แค่กๆ"
ผมโวยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดที่ติดแหบแห้งเพราะแสบคอ ก่อนจะมองหน้าพี่ทาร์ตอย่างเอาเรื่องโดยลืมไปเลยว่าร่างกายแนบชิดและปลายจมูกแทบชนกัน

"ใครจะปล่อยให้ตาย พี่ก็รีบกระโดดตามมานี่ไง โกรธเหรอครับ"
น้ำเสียงนุ่มๆ ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากหยัก ใบหน้าหล่อเหลาฉายแวววิตกกังวลอย่างหนัก ผมอยากจะผลักเขาออกไปไกลๆ แต่ทำได้แค่เบือนหน้าหนี ถ้าปล่อยมือจากลำคอแกร่งมีหวังได้จมน้ำอีกรอบแน่ๆ ไม่อยากเสี่ยงเลยว่ะ

"รู้ทั้งรู้ว่าผมว่ายน้ำไม่เป็นปะ เล่นแบบนี้ไม่สนุกนะพี่ทาร์ต คนจมน้ำมันทรมานแค่ไหนรู้บ้างไหม"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเครือเพราะรู้สึกจมูกตันๆ ราวกับคนจะร้องไห้ กำปั้นทุบลงบนหลังของพี่ทาร์ตอีกครั้งเพื่อต้องการลงโทษให้กับการทำผิดครั้งนี้ โกรธนะ แต่ตกใจมากกว่าที่โดนแกล้งแบบนี้

พี่ทาร์ตไม่ได้ร้องโวยวายอะไรแต่กระชับวงแขนที่อยู่รอบเอวของผมให้แน่นขึ้น ดวงตาคมที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาขยับตัวเข้าหาขอบสระก่อนจะดันตัวผมให้ขึ้นไปนั่งบนนั้น ส่วนตัวเองก็เบียดเข้ามายืนอยู่ตรงระหว่างขา  ท่านี้มันชวนให้ขัดเขินและคิดไปไกลยังไงไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องปั้นหน้าโกรธไว้ก่อน

"ฟ่อนไปเอาผ้าขนหนูมาดิ อย่าเอาแต่บ่น"
พี่ทาร์ตเอี้ยวตัวไปพูดกับไอ้ฟ่อนที่ยังโวยวายเป็นแบ็คกราวน์อยู่ด้านหลัง ได้ยินเสียงจิ๊ปากของมันก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระทืบเท้าแสดงความไม่พอใจ ดวงตาคมเบนมามองกันอีกครั้งก่อนที่มือหนาเอื้อมมาสัมผัสแก้มกันอย่างอ่อนโยน อยากจะลุกหนีไปไกลๆ แต่สุดท้ายก็ได้แต่นั่งตัวแข็งรอดูการกระทำของคนตรงหน้า

"พี่ขอโทษนะครับที่แกล้งปูนแรงไปหน่อย จะให้ทำอะไรก็ยอม แต่อย่าโกรธกันไหม"
น้ำเสียงอ้อนๆ กับสายตาเศร้าที่ช้อนมองกันไม่ละไปไหนทำให้ผมต้องเบนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้ จากที่โกรธจะเป็นจะตายกลับกลายเป็นว่าต้องมาแพ้การง้อของเขาด้วยวิธีง่ายๆ ที่แทบไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลยแบบนี้ อยากยกขาถีบหน้าอกคนตรงหน้าสักครั้งแต่ใจไม่แข็งพออีก การชอบใครสักคนมันทำให้เราอ่อนแอแบบนี้นี่เอง แย่เนอะ

"จะกลัวผมโกรธไปทำไมครับ ทีก่อนแกล้งยังไม่คิดอะไรเลย"
ผมพูดเสียงตึงๆ ทั้งๆ ที่ในใจหายโกรธเขาไปนานแล้ว แต่ลึกๆ กลับอยากรู้ว่าคนตรงหน้าสามารถทนง้อกันได้นานสักเท่าไหร่ อยากทดสอบว่าเขาจะเบื่อคนอย่างผมหรือเปล่าถ้าวันใดวันหนึ่งเกิดงอแงหนักขึ้นมา

"พี่กลัวปูนจะหนี ไม่ยอมเจอหน้ากัน"
พี่ทาร์ตขยับตัวถอยหลังออกไปทำให้ผมรีบดึงขาขึ้นจากน้ำทันที ไอ้ฟ่อนที่เดินกลับมาหย่อนผ้าขนหนูให้กันก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเพื่อทำการบ้านต่อ ใบหน้าหวานๆ ยุ่งเหยิงไปหมด คงแอบไม่พอใจพี่ชายตัวเองที่ตั้งใจถีบผมตกน้ำล่ะมั้ง

"ถ้าผมหนีแล้วมันยังไงครับ"
ผมหันกลับไปถามคนที่ยังลอยตัวอยู่ในสระด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ได้ยินเสียงไอ้ฟ่อนชะงักมือที่เปิดกระดาษครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มเปิดต่อไป อันที่จริงแล้วมันคงตั้งใจจะมาแอบฟังคนอื่นคุยกัน เพราะเท่าที่ดูจากการบ้านนั่นแล้วเหลือแต่ข้อที่ไม่สามารถทำได้ทั้งนั้น ได้นิสัยขี้เสือกมาจากไหนวะ

"พี่คงกระวนกระวายเหมือนคืนนั้น..."
พี่ทาร์ตตอบจบก็ขึ้นจากสระมานั่งข้างๆ กันแล้วหันมามองหน้าด้วยดวงตาสั่นไหว ผมเม้มปากเน้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะยิ้มกับคำพูดที่ได้ฟังไปก่อนจะดึงผ้าขนหนูที่ไอ้ฟ่อนเอามาให้คลุมหัว เกลียดอาการเขินไม่เลือกที่เลือกเวลาของตัวเองฉิบหาย

"จะสวีทอะไรเกรงใจน้องบ้าง จะเป็นเบาหวานอยู่ละ"
เสียงทุ้มๆ หวานๆ ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้ผมและพี่ทาร์ตหันไปมองไอ้ฟ่อนพร้อมๆ กัน ใบหน้าน่ารักบึ้งตึงแถมยังจิ๊ปากใส่กันอีก กำลังจะอ้าปากด่าสักหน่อแต่อีกคนกลับไวกว่า

"สวีทบ้าอะไรของมึง ไปไกลๆ ไป น่ารำคาญ มานั่งเบะปากเป็นตูดเป็ดอยู่ได้"
พี่ทาร์ตออกปากไล่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด สีหน้าที่แสดงออกบ่งบอกว่ารำคาญจริงๆ ไอ้ฟ่อนถึงกับถลึงตาใส่ก่อนจะรวบเก็บสัมภาระทั้งหมดไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินกระทืบเท้าตึงตังจากไป ดูท่าทางหลังจากนี้เขาคงต้องหาอะไรมาเซ่นน้องตัวเองหนักแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเรื่องจะถึงหูพ่อแม่

ผมหันไปต่อยแขนพี่ทาร์ตอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ เพราะจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องไปด่าไอ้ฟ่อนขนาดนั้นก็ได้

"อะ ต่อยพี่ทำไมเนี่ย"
พี่ทาร์ตทำหน้ายุ่งก่อนจะลูบแขนไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ผมเลือกที่จะเงียบแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยความยากลำบากเล็กน้อยเพราะเสื้อผ้าแนบเนื้อทำให้ขยับตัวยาก

"อย่าลืมไปล้างรถให้ผมด้วย"
ผมบอกแค่นั้นก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้แล้ววิ่งหนีกลับบ้านทันทีโดยไม่ฟังเสียงตะโกนไล่หลังมา เกือบลื่นตรงสนามหญ้าแต่ดีที่ทรงตัวได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงนอนกลิ้งร้องโอดโอยอยู่ตรงนี้แน่ๆ

เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มถูกถอดกองเอาไว้ที่พื้นกระเบื้องในห้องน้ำอย่างลวกๆ ก่อนเจ้าของร่างกายเปลือยเปล่าจะพาตัวเองเข้าไปรับสายน้ำเย็นๆ จากฝักบัวอันโต ในตอนแรกกะว่าจะเปลี่ยนชุดอย่างเดียว  แต่เมื่อประเมินอากาศของวันนี้แล้วควรอาบน้ำเลยดีกว่า

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปผมก็เดินลงบันไดมายังชั้นล่างของบ้านเพื่อหาอะไรกิน นึกเสียดายไก่ทอดเจ้าดังที่พี่ทาร์ตซื้อมาฝาก เพราะมัวแต่หงุดหงิดกันไปมาเลยอดกิน ในตอนที่มือกำลังจะเปิดตู้เย็นนั้นกลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคล้ายๆ กับน้ำกำลังไหล ดวงตารีหันมองผ่านกระจกหน้าต่างบานใหญ่ก็พบกับร่างสูงที่คุ้นเคยในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นกำลังลงมือล้างรถ

ผมตัดสินใจผละมือออกจากตู้เย็นแล้วเดินออกไปที่หน้าชายคาเพื่อมองพี่ทาร์ตทำตามสัญญาอย่างเงียบๆ รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มัมปากเมื่อเขาเริ่มก้มลงสำรวจคราบสกปรกที่ล้อรถ... จะละเอียดไปถึงไหนกันนะ ป้าอุ่นน่าจะเปิดร้านคาร์แคร์ให้เขามากกว่าการผลัดดันให้เป็นผู้บริหารโรงแรมนะ เหมาะกว่ากันเยอะ

"แอบมองเหรอ"
เสียงทุ้มทักขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ได้หันมามองกันทำให้ผมสะดุ้งจนทำอะไรไม่ถูก เผลอหันมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กเพราะสงสัยว่าพี่ทาร์ตรู้ได้ยังไงว่ามีคนยื่นอยู่ด้านหลัง เมื่อครู่ก็แอบย่องมาแท้ๆ แต่พอตั้งสติได้กลับพบว่ากระจกรถน่าจะเป็นสาเหตุได้เป็นอย่างดี น่าอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีไหมล่ะ แอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปตั้งนาน น่าอายชะมัด

"อะ อะไร ใครแอบมองวะ ผมเพิ่งเดินออกมา"
ผมเฉไฉแล้วแกล้งมองไปทางอื่นเหมือนกำลังชมนกชมไม้ หัวใจเต้นระรัวเพราะกลัวอีกคนไม่เชื่อกัน... แต่ใครเชื่อก็บ้าแล้วจริงๆ เห็นเต็มสองตาในกระจกขนาดนั้น พลาดอย่างไม่น่าให้อภัย และเกลียดความเซ่อซ่าของตัวเองสุดๆ

"อ๋อเหรอ จะทำใจเชื่อก็ได้ครับ"
น้ำเสียงกวนๆ ถูกส่งออกมาตามด้วยการหัวเราะเบาๆ แต่ทว่าไหล่สั่นจนน่าหมั่นไส้ ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกงุ่นง่านก่อนจะคว้าลูกบอลยางเล็กๆ ที่หลานมาลืมทิ้งเอาไว้ขว้างใส่แผ่นหลังแกร่งนั่น ปากพูดอย่างการกระทำเป็นอีกอย่าง แบบนี้มันเรียกกวนตีน!

"เฮ้ยๆ ประทุษร้ายกันแบบนี้เลยเหรอ เดี๋ยวจะโดนเอาคืนนะ"
พี่ทาร์ตหันมาโวยใส่กันแล้วทำท่าจะฉีดน้ำมาทางนี้ ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบหนีมาหลบหลังประตูแล้วยักคิ้วกวนๆ ส่งกลับไป ใครจะยอมโง่โดนแกล้งเป็นครั้งที่สองล่ะ ถึงอากาศจะร้อนแต่ไม่พร้อมเปียกบ่อยๆ

"ไม่อยู่ให้พี่เอาคืนหรอกครับ ไปหาอะไรกินดีกว่า"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าภายในบ้าน ได้ยินพี่ทาร์ตตะโกนไล่หลังบอกว่าอุตส่าห์แย่งไก่ทอดจากไอ้ฟ่อนมาให้ทำไมไม่สนใจ ก็ใครจะไปรู้ว่าเขายังนึกถึงผมล่ะ อยู่ๆ ก็ทำให้คนอื่นยิ้มจนปวดแก้ม จะรับผิดชอบกันบ้างหรือเปล่าวะ

สุดท้ายก็จบลงที่ผมมานั่งโซ้ยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเกาหลีแบบแห้งรสเผ็ดที่กำลังเป็นที่นิยมในโลกโซเซี่ยล มีปูดอัดกับเต้าหู้ปลาใส่จานแยกเพื่อไว้กินแก้เผ็ด ตอนแรกก็อยากกินมันพร้อมๆ กันอยู่หรอก แต่ท่าทางคงไม่รอดเลยใช้วิธีนี้ดีกว่า โทรทัศน์ตรงหน้ากำลังฉายรายการเพลงยามบ่ายเลยทำให้ความสนใจตกอยู่ที่ศิลปินเกาหลีตรงหน้าจนไม่รู้ตัวเลยว่าใครอีกคนเดินเข้ามาในบ้านแล้ว

กล่องไก่ทอดถูกวางลงบนโต๊ะกระจกก่อนที่เจ้าของมันจะทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นอย่างหมดแรง ผมเผลอสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัวที่เขาเอนหัวมาซบตรงขาอ่อน รู้สึกสยิวแปลกๆ ว่ะ แล้วนี่ไม่กลัวว่ามาม่าจะหยดลงไปโดนหรือยังไงกันนะ ผมกำลังกินอยู่นะเว้ย

"พี่ทาร์ต มาพิงอะไรตรงนี้วะ ขึ้นมานั่งดีๆ ข้างบนนี่ แต่ถ้าเหนื่อยก็ไปนอนที่ห้องผมก่อนก็ได้"
ผมบอกก่อนจะวางตะเกียบในมือลงแล้วก้มมองคนที่ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหน ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกหนักๆ ก็พอเดาได้ว่าคงเหนื่อย แดดร้อนอีก... ไม่น่าใช้เขาล้างรถให้เลยว่ะ รู้สึกผิดยังไงไม่รู้

"พรุ่งนี้..."
อยู่ๆ ก็เริ่มประโยคด้วยคำนึ้เลยทำให้ผมต้องดึงสายตากลับมาสนใจเส้นผมยุ่งเหยิงของพี่ทาร์ตแทนที่จะเป็นศิลปินเกาหลีในโทรทัศน์

"หือ"
ผมครางตอบในลำคอแล้วรอให้เขาพูดประโยคถัดไปด้วยใจจดจ่อ

"จะเปิดเทอมแล้วสินะ"
เป็นประโยคคำถามที่เหมือนไม่ต้องการคำตอบแต่มันทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นได้เพราะน้ำเสียงที่พี่ทาร์ตใช้มันฟังดูไม่ปกติ แถมมือหนาที่วางทิ้งลงข้างตัวในเมื่อครู่นั้นได้กลายเป็นกำปั้นใหญ่ๆ ไปแล้ว เครียดแทนกันหรือยังไงวะ ก็แค่เปิดเทอมเอง ไม่เห็นจะตื่นเต้นเลย
 
"ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า"
ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเหล่สายตามองมาม่าที่ตอนนี้กำลังอืด อยากกินก็อยากกินแต่ก็กลัวว่าถ้าตักแล้วมันจะหยดใส่หัวพี่ทาร์ต ถ้าเป็นแบบนั้นเชื่อว่างานคงงอกแน่นอน

"พี่ไปส่งนะ"
พี่ทาร์ตพูดอะไรสักอย่างออกมาในขณะที่ผมเผลอให้ความสนใจกับศิลปินที่ชอบในโทรทัศน์เลยทำให้ไม่รู้ว่าต้องการสื่ออะไร

"หา... เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ผมฟังไม่ค่อยถนัด"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงมึนๆ งงๆ พี่ทาร์ตขยับหัวเล็กน้อยก่อนจะได้ยินเสียงสูดชมหายใจเข้าและปล่อยออกมาแรงๆ

"พรุ่งนี้ให้พี่ไปส่งที่มหา'ลัยนะ"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ทำให้ผมหัวใจกระตุก ความรู้สึกตอนนี้ทั้งแปลกใจและตื่นเต้น แต่อยู่ๆ มาทำตัวแบบนี้ต้องการอะไรวะ แถมยังเสียเวลาๆ ไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับมหา'ลัยอีก ไม่ใช่ว่าจะอยู่ใกล้กันซักหน่อย

"เฮ้ย จะไปส่งทำไมพี่ ผมขับรถไปเองง่ายกว่า เสียเวลาเปล่าๆ น่า"
ที่จริงก็อยากให้ไปส่งอยู่หรอกเพราะขี้เกียจขับรถไปเรียนเอง แต่ที่พูดออกไปทั้งหมดเพื่อจะลองเชิงของเขาว่ามีเหตุผลอะไรที่อยากดั้นด้นทำแบบนั้น เพราะระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ แถมยังต้องตื่นเช้าอีก... พยายามอะไรขนาดนั้น

"อยากไปส่ง"
เสียงทุ้มตอบกลับมาก่อนที่เขาจะผละตัวออกไปนั่งตรงๆ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตากัน ผมผงะไปเล็กน้อยเพราะก่อนหน้านี้เอาแต่จ้องกลางกระหม่อมพี่ทาร์ตอยู่นานสองนาน ไม่ให้สัญญาณอะไรก่อนก็ตั้งตัวไม่ถูกน่ะสิ

"ตื่นเช้านะครับ ผมเรียนแปดโมง"

"ไม่เป็นไร ตื่นได้"

"พี่ทาร์ต... ทำไมงอแงวะ"
ผมบ่นอับอิบก่อนจะเบนสายตาหลบเขาที่จ้องกันไม่ละไปไหน มือเรียวเอื้อมหยิบจานมาม่ากลับมาโซ้ยอีกครั้งทั้งๆ ที่มันอืดจนแหยะ จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อเผลอใจเต้นแรงขึ้นมาจนทำตัวไม่ถูก กินกลบเกลือนความรู้สึกดีที่สุด

"ก็ไม่อยากให้ใครมาทำคะแนนกับปูนนี่หว่า"
พี่ทาร์ตพูดเสียงเบาก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น ผมชะงักมือที่จับตะเกียบทันทีก่อนจะรู้สึกว่าแก้มร้อนวูบวาบขึ้นมาซะอย่างนั้น นี่เขากินยาผิดหรือลืมเขย่าขวดกันแน่... มาม่าก็เผ็ดแถมยังเขินอีก หน้าจะแดงขนาดไหนวะเรา ไม่อยากจะส่องกระจกเลย

"โห... ใครเขาจะมาทำคะแนนกันครับ ไม่ใช่คนหล่อเลือกได้แบบพี่สักหน่อย"
ทั้งๆ ที่เขินจะตายอยู่แล้วแต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นใส่เขาไปแบบนั้น ยอมรับว่าทำตัวไม่ถูก มือไม่สั่นจนไม่สามารถจับตะเกียบได้ อาการหนักเกินไปหรือเปล่าวะกู ทำอย่างกับพี่ทาร์ตสารภาพรักอย่างนั้นล่ะ โอเวอร์ฉิบหาย แต่มันควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ นะ

"ไอ้กายไง..."
ชื่อของเพื่อนร่วมคลาสเรียนของผมถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็น จริงๆ แล้วไอ้กายมันไม่เคยออกตัวว่าจะจีบกันแบบจริงๆ จังๆ เลยนะ แต่หลังจากที่เขม่นกับพี่ทาร์ตไปแล้วอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้ เพราะปกติมันไม่เคยส่งไลน์มาหากันถ้าไม่มีอะไรสำคัญ แต่ช่วงนี้สิ... ข้อความอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ผมยังไม่ได้เปิดอ่านเลย

"อ๋อ... ก็อาจจะมั้ง"
แกล้งพูดไปแบบนั้นเพื่อจะดูปฏิกิริยาของคนที่หันขวับมาถลึงตาใส่กัน ผมเผลอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์นั่น จะโดนฆ่าหรือเปล่าวะกู

"ปูน"
เสียงแข็งมาเชียว... แถมยังยกมือหน้ามาบีบต้นขากันอีก แค่แกล้งเอง อย่าจริงจังได้ไหมเล่า ผมกลัวตายเป็นเหมือนกันนะเว้ย แต่ด้วยความอยากรู้ผมเลยทำหน้ามึนๆ แบบคนไม่รู้เรื่องอะไรแล้วตั้งคำถามกลับไปอีกรอบ

"อะไรครับ ทำไมต้องเสียงแข็งใส่"

"พี่จริงจัง"
น้ำเสียงกับแววตาไม่มีล้อเล่นเลยแม่แต่นิดเดียวจึงทำให้แอบกลัว แต่ไม่หวั่นเพราะรู้สึกว่าตอนพี่ทาร์ตหงุดหงิดเรื่องผมมันดูน่ารักยังไงก็ไม่รู้ น่าขย้ำว่ะ

"เอ้า แล้วผมล้อเล่นตอนไหนวะ นี่ก็จริงจังครับ เลิกระแวงได้แล้ว ผมไม่ได้ใจง่ายขนาดนั้น ชอบพี่ทาร์ตครับไม่ได้ชอบกาย เข้าใจยัง"
ผมก็จริงจังเป็นเหมือนกัน แต่ระหว่างพูดนี่รู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่แก้มทั้งสองข้าง ดวงตารีเบนมองไปทางโทรทัศน์ที่กลายเป็นโฆษณาขั้นรายการไปแล้ว จริงๆ จบประโยคก็อยากจะลุกหนีไปไกลๆ แต่จะทำไงได้เมื่อพี่ทาร์ตยังจับขากันไม่ปล่อยแบบนี้

"อืม... ขอเขินสองวินะ"
พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแถมยังเอื้อมมือมาบีบแก้มกันเล่นอีก จากที่เคยทำหน้าอย่างกับจะไปฆ่าใคร ตอนนี้ยิ้มจนแทบเหมือนคนเสียงสติ โคตรไบโพล่าเลยไหมล่ะ ผมหลงชอบคนแบบนี้ไปได้ยังไงนะ งงตัวเองอยู่เหมือนกัน

"ไปเล่นตรงนู้นเลยไปไอ้พี่ทาร์ต กวนตีนว่ะ"
ผมพูดพร้อมกับตีมือพี่ทาร์ตที่กำลังบีบแก้มกันอยู่ด้วยความโมโห คนเขาอุตส่าห์พูดซึ้งๆ กลับโดนกวนตีนซะอย่างนั้น รู้แบบนี้ปล่อยให้กังวลจนประสาทเสียไปเลยคงดีกว่า หมั่นไส้

พี่ทาร์ตย่นจมูกใส่กันเล็กน้อยและทำท่าจะโถมตัวเข้ามากอดรัดกัน ผมกำลังจะลุกหนีแต่เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อนทำให้การกระทำทุกอย่างกยุดชะงัก มือหนาล้วงกระเป๋าแล้วหยิบเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมออกมา ดวงตาคมมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก่อนที่มุมปากจะขยับยิ้มเหมือนกำลังดีใจ

"เดี๋ยวพี่ขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ"
เขาหันมาบอกกันแล้วรีบเดินออกไปจากตรงนี้ด้วยท่าทางอารมณ์ดีกว่าเก่า ผมได้แต่นั่งขมวดคิ้วและนึกกังวลอะไรบางอย่างขึ้นมา เพราะชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นมันติดใจเหลือเกิน

พี่อินนี่มันเป็นเพื่อนสนิทหรือกิ๊กกันแน่วะ ไม่ว่าเขาจะโทรมาเมื่อไหร่พี่ทาร์ตเป็นอันต้องหนีไปคุยไกลๆ ทุกที...




ต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2017 16:33:53 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
หกโมงเช้าเหมาะแก่การตื่นนอนเพื่อลุกไปอาบน้ำ แต่ผมยังคงนอนซุกผ้าห่มนิ่งๆ แล้วหลับตานับเลขอย่างช้าๆ ขอนอนต่ออีกสักห้านาทีเถอะ ไม่พร้อมจริงๆ แต่ความคิดกลับสะดุดเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูสองสามครั้ง...

"ปูนตื่นหรือยัง"
เสียงทุ้มต่ำที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นที่ด้านนอก ผมเบิกตาโผลงแล้วดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจ อาการง่วงในตอนแรกจางหายไปจนหมด ก็ใครจะไปคิดว่าคนอย่างพี่ทาร์ตจะตื่นเช้าได้ขนาดนี้

"ตะ ตื่นแล้วครับ"
ผมตอบกลับไปเสียงตะกุกตะกักก่อนจะสะบัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน พี่ทาร์ตมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

"หัวเหมือนรังนกเลยว่ะ ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพี่รอข้างล่าง"
เขาเอื้อมมือมาขยี้หัวกันหลังจบประโยคแล้วทำท่าจะหันหลังกลับเพื่อเดินลงไปชั้นล่าง แต่ผมกลับรั้งไหล่ของเขาเอาไว้ด้วยท่าทางอึกอัก ทำไมเจอหน้ากันตอนตื่นนอนถึงได้ขัดเขินแบบนี้ ตอนที่นอนด้วยกันไม่เห็นจะเป็นเลยวะ... งงตัวเอง

"หือ มีอะไรครับ"
พี่ทาร์ตหันมามองกันด้วยใบหน้าสงสัย สังเกตดูดีๆ แล้วเขาไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยสักนิด แถมยังได้กลิ่นสบู่อ่อนๆ จากร่างตรงหน้าอีกด้วย ตื่นเช้าไม่พอแถมยังอาบน้ำแล้ว แปลกมาก ควรเป็นผมไม่ใช่เหรอที่ตื่นเต้นน่ะ

ผมผละมือออกจากไหล่ก่อนจะลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ ปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อยเพราะกำลังตัดสินใจว่าควรจะถามอะไรหรือเปล่า แต่สุดท้ายความอยากรู้ก็ชนะ

"ทำไมตื่นเช้าจังวะพี่"

"อ๋อ... ก็กลัวปูนจะหนีพี่ไปมหา'ลัยเองน่ะสิ เลยตื่นมาดักรอ"
พี่ทาร์ตยักคิ้วกวนๆ มาให้กันก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเท้ากับกรอบประตูเอาไว้แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมา ผมผงะถอยหลังด้วยความประหม่าแล้วคว้าลูกบิดไว้แน่นเตรียมจะปิดมันลง

"เอิ่ม... ผมไปอาบน้ำล่ะ"
ตอบกลับไปแค่นี้แล้วเหวี่ยงประตูปิดอย่างรวดเร็ว แข้งขาอ่อนจนแทบจะกองไปนั่งอยู่กับพื้น ทั้งคำพูดและแววตาของพี่ทาร์ตช่างน่ากลัวเหลือเกิน คนเจ้าชู้นี่มีเสน่ห์เหลือล้นจริงๆ ชักจะหวงกลัวว่าเขาจะทำแบบนี้กับคนอื่นแล้วสิ...

ตอนนี้รถบีเอ็มฯ ป้ายแดงกำลังมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยชื่อดังของจังหวัดภูเก็ต ด้วยจราจรที่ติดขัดรองจากกรุงเทพมหานครนั้นทำให้ผมต้องพกอาหารเช้าอย่างแซนวิชสองชิ้นและนมจืดหนึ่งกล่องมากินด้วย ส่วนพี่ทาร์ตดื่มแค่กาแฟดำมาจากที่บ้านเท่านั้น

"ไม่คิดว่ารถจะติดขนาดนี้"
พี่ทาร์ตบ่นอุบอิบก่อนจะเอื้อมมือเปิดวิทยุเพื่อฟังฆ่าเวลา ผมเคี้ยวแซนวิชอยู่เลยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ที่จริงจะไปกินข้าวที่มหา'ลัยก็ได้ เพราะปกติก็ทำแบบนั้น แต่วันนี้กลับมีประชุมตอนเช้า รุ่นพี่เพิ่งแจ้งมา... เจริญเนอะ

"เลิกเรียนกี่โมง"
พี่ทาร์ตยิงคำถามใส่กันก่อนจะหันมามอง ผมที่กำลังคาบแซนวิชคาปากเลยยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้วเป็นการบอกแทน เขาจะเข้าใจไหมว่าผมเลิกบ่ายสอง...

"หือ บ่ายสองเหรอ"
ถามกลับมาในขณะที่กำลังเข้าเกียร์เพื่อออกรถ ผมพยักหน้ารับแล้วรีบกลืนแซนวิชลงคอเพื่อตอบคำถามเขากลับไป

"อือๆ บ่ายสองครับ"

"โอเค"

พวกเราผ่านภาวะรถติดมาได้จนถึงมหา'ลัยเกือบแปดโมง ผมลงจากรถที่หน้าตึกคณะของตัวเองและกำลังยืนบอกลากับพี่ทาร์ตอยู่เล็กน้อย ก็กลัวเขาหลงทางนี่หว่า

"พี่จำทางกลับได้ใช่ไหม"
ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่เขากลับมาก็ไม่เคยผ่านมาทางนี้เลยสักครั้ง ถ้าเกิดหลงทางขึ้นมาคงแย่

"แน่นอน ระดับนี้แล้ว"
พี่ทาร์ตว่าด้วยน้ำเสียงกวนๆ ก่อนจะขยิบตาให้กัน ผมยอมรับว่าเบาใจที่เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่ก็อดห่วงไม่ได้จนต้องย้ำอีกรอบ

"ถ้าไม่แน่ใจหรือหลงทางรีบโทรหาผมนะเว้ย"
จริงๆ จีพีเอสก็มีนะ แต่อยากให้เขาโทรหาผมมากกว่า...

"โอเคครับคุณหนูปูน"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แถมยังทำมินิฮาร์ทให้กันอีกด้วย ทายสิว่าผมเขินหรือเปล่า...

"ไอ้พี่ทาร์ต!"
ตะโกนกลบเกลื่อนความรู้สึกข้างในเพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองต้องกน้าแดงแน่ๆ นี่โมโหนะไม่ได้เขินอะไรเลย

"อะไร... ไปเรียนได้แล้วน่า ตั้งใจด้วย"
พี่ทาร์ตโบกมือไล่กันแต่กลับส่งยิ้มหวานมาให้ ผมถอนหายใจอย่างปลงๆ ก่อนจะอ้าปากตอบรับกลับไป

"คะ..."
ผมเพิ่งได้อ้าปากพูดไปแค่นั้นเสียงทุ้มต่ำก็ตะโกนเรียกกันมาแต่ไกล

"ปูน!!"
ผมหันขวับไปตามเสียงนั่นก่อนจะรู้สึกว่าตัวชาไปหมด ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะเรียกกันเสียงดังแบบนี้ อย่างมากก็แค่ส่งยิ้มให้ แล้ววันนี้มันวันวิปโยคห่าเหวอะไรเนี่ยไอ้กาย!!!

เหลือบหางตาไปเห็นพี่ทาร์ตนั่งหน้าตึงอยู่ก็รู้เลยว่า... งานเข้ากูแน่ๆ ให้ตายเถอะ




-------------------------------------------------------


ตอนที่ 11 มาแล้วฮะ... ฟินไม่ฟินยังไงบอกเราได้นะ 55555

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 12

Chocolate Crape Cake
: เนยจืด/นมข้นจืด/ไข่ไก่/แป้งเค้ก/เกลือ/น้ำตาล/กลิ่นวนิลลา/ผงโกโก้/วิปปิ้งครีม/นมข้นจืด/น้ำ/แป้งข้าวโพด/ไข่แดง/เจลาติน :





'ปูน!!'

เสียงจากนรกหรืออย่างไรทำไมฟังแล้วแสลงหูแบบนี้ก็ไม่รู้ อยากหันไปชี้หน้าด่าว่าวันนี้ผีเข้าเหรอถึงเรียกชื่อดังขนาดนี้ หรือจงใจกันแน่นะ... ผมหันไปยิ้มแหยๆ ให้กับพี่ทาร์ตก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วทักทายไอ้กายกลับไป

"เออ หวัดดี"
ผมทักด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้ยิ้มหรือทำสีหน้าใดๆ ออกไป ใบหน้าของไอ้กายดูมีความสุขเหลือเกินเพราะมันฉีกยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้ และก้าวเท้าเข้ามาหากัน อยากจะโบกมือไล่ไปไกลๆ แต่ทำได้แค่ยืนรอหายนะมาถึง แม่งเอ้ย เปิดเทอมวันแรกก็มีเรื่องเลยหรือไงวะ จะบ้าตาย

"มีคนมาส่งด้วยเหรอวะ น่าอิจฉา"
มันเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกันก่อนจะพาดแขนหนักๆ ลงบนไหล่ของผมแล้วโน้มตัวลงเพื่อมองคนที่นั่งหน้าตึงอยู่ในรถ อยากผลักไอ้กายออกไปไกลๆ แต่กลับโดนมันรัดแน่นมากขึ้นไปอีกเท่าตัว ไอ้บ้านี่แกล้งกันชัดๆ ยั่วโมโหพี่ทาร์ตเห็นๆ

"โอ้... นึกว่าใครที่ไหนใจดีมาส่งไอ้ปูน ที่แท้ก็ 'พี่ชาย' ข้างบ้านมันนี่เอง สวัสดีนะครับ"
ไอ้กายแสร้งทำหน้าตกใจแล้วพูดประโยคเหล่านั้นออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เน้นคำว่าพี่ชายจนผมรู้สึกว่ามันจงใจตอกย้ำสถานะของพี่ทาร์ต คนที่นั่งอยู่ในรถขบกรามจนขึ้นเป็นสันนูนก่อนจะหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์คุกรุ่นในตอนนี้ ขอให้เขาทำได้ด้วยเถอะ ผมยังไม่อยากเป็นข่าวดังไปทั่วมหา'ลัยว่าโดนผู้ชายสองคนแย่ง... ดูหลงตัวเองเนอะ แต่สถานการณ์ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงจะตาย

"ตั้งใจเรียน ตอนบ่ายจะมารับ"
พี่ทาร์ตไม่สนคำทักทายของไอ้กายแล้วหันมาพูดกลับผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอจะเดาได้ว่าเขาคงไม่อยากอาละวาดตอนนี้เลยหาทางเลี่ยง จริงๆ ก็อยากแกล้งทำเป็นงุ้งงิ้งกับคนข้างๆ อยู่หรอก แต่กลัวว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตจนแก้ยาก เลยหยุดความคิดเอาไว้ดีกว่า

"ครับ พี่ก็ขับรถกลับดีๆ นะ"
ผมบอกก่อนจะส่งยิ้มให้เขาแล้วปิดประตูรถลง บีเอ็มฯ คันสวยแล่นออกไปอย่างรวดเร็วทันที สุดท้ายก็ทำได้แค่ยืนมองจนลับตาแล้วหันมาปัดแขนไอ้กายออกจากไหล่ น่าอึดอัดเป็นบ้าที่อยู่ๆ มันก็ลุกขึ้นมาทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดแบบนี้

"เป็นบ้าไรของมึง ร้อยวันพันปีไม่เคยจะทักกูแบบนี้"
ผมถามออกไปด้วยเสียงฉุนๆ ดวงตารีจ้องมองไอ้กายอย่างจับผิด มันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะไหวไหล่แบบคนไม่แคร์อะไร

"อยากทัก ไม่ได้เหรอวะ"
มันตอบกลับมาเสียงใสแถมด้วยยักคิ้วกวนๆ ก่อนจะทำท่าจะยกแขนขึ้นมากอดคอกันอีกครั้งแต่ผมเบี่ยงตัวหลบได้ทันเลยทำให้ไอ้กายเผลอส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา

"อย่ามาตอแหล"

"พูดไม่เพราะเลยว่ะ แต่กูไม่ถือสาหรอก"
ไอ้กายพูดจบก็ขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดทำให้ผมต้องถอยห่างจากมัน คนอื่นรอบๆ ตัวเราต่างเริ่มมองมาทางนี้ บ้างยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป บ้างแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บ้างแอบกรี๊ดเบาๆ อยากจะบ้าตาย

"เรื่องของมึงเหอะ"
ผมบอกเสียงไม่พอใจก่อนจะหันหลังเพื่อเดินไปยังสถานที่นัดประชุม แต่ต้องชะงักเท่าเมื่อคนด้านหลังก้าวตามมาและพูดอะไรบ้างอย่างที่ชวนขนลุก

"เรื่องของเราได้ปะ"
ไอ้กายก้มลงมากระซิบใกล้ๆ ผมเบิกตากว้างก่อนจะก้าวขายาวๆ หนีแล้วหมุนตัวกลับมาถลึงตาใส่ด้วยความรู้สึกโมโห ไม่รู้ทำไมถึงมีลางสังหรณ์ว่าอีกไม่นานงานของผมจะงอกมากกว่าเดิมหลายเท่า

"พูดเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย"
ผมโวยเสียงดังแล้วขมวดคิ้วหนักๆ มือจับสายสะพายกระเป๋าแน่นเพราะหาที่ระบายอารมณ์ไม่ได้ ไอ้กายเหมือนจะไม่รับรู้ว่าบรรยากาศตอนนี้กำลังอึมครึมแค่ไหน มันเลยเอาแต่ยิ้ม และเป็นยิ้มที่โคตรเจ้าเล่ห์

"ก็อยากมีเรื่องของเราบ้าง ไม่ได้เหรอวะคู่จิ้น"
เรียกกันด้วยคำที่เพื่อนๆ ชอบล้อ ผมถึงกับคิ้วกระตุกและอยากปล่อยหมัดใส่หน้ากวนๆ ของไอ้กายสักที แต่ทำได้ที่ไหนเมื่อมีแฟนคลับของมันจ้องมองอยู่ คิดดูนะถ้าพลั้งมือต่อยไป ตีนกี่คู่จะปะทะกับร่างกายผม แค่เถียงกันไปมาก็กลัวจะโดนเขม่นแล้ว

"ไม่ จะไปไหนก็ไป กวนประสาทนะมึง"
ผมโบกมือไล่มันไปไกลๆ แต่อีกคนกลับไม่สะทกสะท้านแถมยังก้าวขาเข้ามาใกล้ก่อนจะเอื้อมมือยึดไหล่ไว้แน่น พอสะบัดตัวหนีกลับโดนจับแน่นขึ้น ไอ้นี่...

"ไม่เอา วันนี้กูจะเกาะติดมึงทั้งวัน"
แล้วมันก็บอกถึงสาเหตุที่ทำตัวแบบนี้จนทำให้ผมดึงมือไอ้กายออกเพราะเริ่มไม่พอใจเอามากๆ แล้ว ยิ่งคุยยิ่งออกทะเล ปวดหัวว่ะ แล้วเมื่อไหร่ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสองคนจะโผล่มาสักที เข้ามาขัดเหตุการณ์ประสาทแดกนี่ทีเถอะ จะไม่ไหวแล้ว กลัวเผลอยกตีนถีบ

"ไอ้กาย มึงเป็นบ้าเหรอไง อย่ามายุ่งกับกู"
บอกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มทนก่อนจะก้าวขายาวๆ ออกมาโดยไม่รอฟังอะไรทั้งนั้น แต่ยังไม่ถึงไหนก็โดนมืออุ่นๆ รั้งกันเอาไว้จนต้องหันไปมอง

"อย่าปฏิเสธคนที่กำลังจีบตัวเองได้ปะวะไอ้ปูน นี่กูจริงจัง"
ไอ้กายพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแต่แววตาที่มองมากลับมรแต่ความจริงจัง ผมไม่แน่ใจหรอกว่าโดนแกล้งหรือเปล่าเลยกลั้นใจถามออกไปอีกรอบ

"ห๊ะ... ว่าอะไรนะ"

"กูกำลังจีบมึง ชัดยัง"
ชัด... ชัดกันกูอยากซัดหน้ามึงสักทีเนี่ย!!

"ไม่ๆ เดี๋ยวๆ อะไรของมึงไอ้กาย ผีเข้าเหรอไง พวกเรามันแค่คู่จิ้น ไม่ใช่คู่จริง"
ผมสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมอย่างแรงแล้วเหล่สายตามองมันอย่างจับผิดก่อนจะยกนิ้วขึ้นชี้หน้ามัน ไอ้กายสูดลมหายใจเข้าลุกๆ ก่อนจะพึมพำบางอย่างที่ทำให้ตัวชา

"ตอนแรกก็คิดงั้น แต่ตอนนี้อยากเปลี่ยนแล้วว่ะ"
ใบหน้า น้ำเสียง และแววตาบ่งบอกให้รู้เลยว่าครั้งนี้ไม่มีการล้อเล่นใดๆ ทุกอย่างที่พูด ทุกอย่างอย่างที่ได้ยินล้วนจริงจัง แต่ผมไม่อยากเสียความเป็นเพื่อนเลยพยายามหาทางแก้ไข

"อย่าล้อเล่น กูไม่ขำนะกาย"
ย้ำไปแบบนั้นเผื่อมันจะเปลี่ยนคำพูดบ้าง แต่ไม่เลย ไอ้กายไม่ยอมละความพยายามของมันจริงๆ

"กูชอบมึงแบบจริงจังและจะไม่ยอมแพ้พี่ชายมึงด้วย จำไว้"
มันทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินกระแทกไหล่ผมผ่านไปทางสถานที่นัดประชุม

"ไอ้..."
ผมส่งเสียงได้แค่นั้นก่อนจะหุบปากเงียบแล้วเริ่มยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ถามว่ารู้สึกดีไหมที่มีคนมาสารภาพรัก ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็ดี แต่นั่นเพื่อน และผมก็ไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคน จะจีบไปก็เปล่าประโยชน์ ถึงพี่ทาร์ตจะมีวิธีพิสูจน์อะไรร้ายๆ เลวๆ ก็ไม่เคยบังคับฝืนใจใคร แต่ไอ้กายแตกต่างออกไป อารมณ์ประมาณว่าอยากได้ก็ต้องได้ เขาไม่ให้ต้องแย่งมา... ฉิบหายแน่ๆ ชีวิตที่แสนสงบสุขคงไม่มีเหลืออีกแล้ว

ประชุมเรื่องกีฬาคณะจบผมก็เข้าเรียนวิชาแรกด้วยอารมณ์ปั่นป่วนเพราะไอ้กายเอาแต่มองมาทางนี้จนไอ้กู๊ดที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติต้องเอื้อมมือมาสะกิดกันยิกๆ นี่ถ้ามีไอ้ไนน์ร่วมวงคงสาธยายกันยาว ดีหน่อยที่มันไปนั่งงุ้งงิ้งกับแฟนแล้ว

"มึง... วันนี้ไอ้กายมันแปลกๆ ปะวะ ทำไมหันมามองพวกเราบ่อยจัง"
ไอ้กู๊ดขยับเข้ามากระซิบใกล้ๆ ในขณะที่ผมกำลังจดสิ่งที่อาจารย์กำลังพูด ตอนแรกก็ไม่อยากตอบอะไรหรอกแต่เริ่มรำคาญที่มันสะกิดนี่ล่ะ เรียนภาษาเกาหลีอยู่นะเว้ยไม่ใช่ภาษาไทย

"มึงจะสนใจมันทำไม ฟังอาจารย์สอนเหอะ"
ผมตอบกลับไปทั้งๆ ที่มือยังทำหน้าที่จดรายละเอียดต่างๆ ไม่อยากสนใจไอ้กายสักเท่าไหร่เพราะกลัวว่ามันจะคิดเป็นอย่างอื่น มีใจให้อะไรแบบนั้น ขนลุกว่ะ

"โหย ถ้ามันไม่ทะแม่งๆ กูจะไม่กวนการตั้งใจเรียนของมึงเลยเนี่ย แบบว่า... ไอ้กายมองอย่างกับจะแดกกัน ขนลุก"
ไอ้กู๊ดพูดจบก็ยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองไปมา ผมชะงักมือก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ ถ้าไม่ยอมหาคำตอบให้มันก็คงไม่หยุดพูดสักที

"ถ้ากูบอกมึงต้องสัญญาว่าจะไม่ตกใจ"

"หา... งงว่ะ แต่ทำตามก็ได้"
มันเอียงคอใส่กันแต่ก็ยอมรับปาก และผมหวังว่าไอ้กู๊ดจะทำตามที่พูด

"เออ ไอ้กายมันจะจีบกู"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วจ้องตาไอ้กู๊ดที่กำลังอ้าปากค้าง ตาเบิกกว้าง ดูเหมือนจะตกใจไม่แพ้ผมเมื่อเช้าเลย แต่ไอ้สิ่งที่มันสัญญาไว้นี่ฟังทลายแบบไม่ทันตั้งตัวเลยว่ะ

"ห๊ะ ไอ้...!!! อุบ"
ไอ้กู๊ดตะโกนออกไปเสียงดังลั่นแต่ผมยกมือขึ้นอุดปากมันไว้ได้ทัน คนอื่นๆ เลยไม่ได้สนใจอะไรพวกเรามากนัก ถลึงตามองกลับไปเพื่อบอกให้รู้ว่ามันกำลังทำผิด

"เสียงดังหาเตี๋ยมึงเหรอวะ"
ผมว่าเสียงรอดไรฟันก่อนจะผละมือออกจากปากของมันแล้วตบเข้าไปหนึ่งทีด้วยความโมโหเล็กๆ ไอ้กู๊ดหลับตาปี๋ก่อนจะได้ยินเสียงซี๊ดปากตามมา สมน้ำหน้า เจ็บๆ จะได้จำและไม่ทำอีก

"โทษๆ กูช็อกอะ สัตว์เอ้ย เอาจริงดิ"
มันก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่แล้วพูดประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงสูงเหมือนไม่อยากเชื่อ อย่าว่าแต่มันเลย ผมก็ไม่อยากเชื่อ แต่ประเมินจากสายตาของไอ้กายแล้วมันเอาจริงแน่ๆ และไม่รู้ว่าจะหาทางสลัดมันทิ้งได้เมื่อไหร่ด้วย

"จะไปรู้มันเหรอวะ เมื่อเช้าอยู่ๆ ก็บอกจะจีบกูและไม่ยอมแพ้พี่ทาร์ตด้วย แม่ง ชีวิตกู โอย เบื่อ"
ผมวางปากกาลงแล้วพูดแบบใส่อารมณ์ ตอนนี้อาจารย์จะสอนอะไรก็ช่างแม่งแล้ว ได้ระบายความอึดอัดกับเพื่อนสนิทแล้วรู้สึกผ่อนคลายลงมาหน่อย ไม่ต้องช่วยหาทางออกแต่รับฟังกันก็ยังดี

"ฉิบหายแล้วไหมล่ะมึง จะเกิดศึกชิงนางเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดเหลือบสายตามองแผ่นหลังของไอ้กายแล้วทำหน้าเหยเกใส่ ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี แล้วไอ้คำพูดศึกชิงนางอะไรนั่นดูทุเรศสิ้นดี กูเป็นผู้ชายนะเว้ย

"ไอ้กู๊ด เดี๋ยวกูต่อยคว่ำ ศึกชิงนางเชี่ยไรของมึงเนี่ย ขนลุก"
ผมง้างหมัดข่มขู่มันด้วยใบหน้าบึ้งตึง ไอ้กู๊ดรีบยกมือไหว้ปรกๆ แล้วบอกว่าล้อเล่นๆ ก่อนจะกลับไปนิ่งสงบกันทั้งคู่ แค่การมาเรียนวันแรกก็ต้องเจอเรื่องเครียดแล้วเหรอวะ...

"พี่ทาร์ตล่ะมึง คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว"
ไอ้กู๊ดเปลี่ยนเป้าหมายในการถามทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจไปหนึ่งจังหวะ อยู่ๆ ก็รู้สึกหนักอกหนักใจขึ้นมาเฉยๆ ไม่รู้ต้องรอพี่ทาร์ตไปถึงเมื่อไหร่ เหนื่อยนะแต่ไม่ท้อ ก็คนมันชอบคนมันรักไปแล้ว ให้เลิกคงยาก

"ความรู้สึกช้ายิ่งกว่าหอยทาก"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายก่อนจะเบนหน้าไปมองกระดานไวท์บอร์ดหน้าคลาสเรียน มือเรียนควานหาปากกาอีกครั้งเพื่อจนเนื้อหาสาระของวิชาเรียนนี้ลงไป ใกล้จะหมดเลิกเรียนแล้ว... คาดว่าหายนะคงมาเยือนเหมือนเมื่อเช้าอีกครั้งแน่ๆ เพราะเห็นไอ้กายมองมาทางนี้อยู่เรื่อยๆ คอไม่เคล็ดบ้างเหรอวะ

"บางทีมีเรื่องไอ้กายเข้ามาคงเป็นตัวกระตุ้นได้บ้างล่ะมั้ง"
ไอ้กู๊ดถูคางไปมาแบบคนใช้ความคิด ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ เพราะดูท่าทางพี่ทาร์ตเมื่อเช้าแล้วสายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจจริงๆ อาจจะเพราะถูเด็กเมื่อวานซืนหยามเอาหรือเปล่านะ

"ก็อาจจะ... เมื่อเช้าพี่ทาร์ตหน้าตึงฉิบหาย ตอนไอ้กายเข้ามาทักกู"
ผมเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงเช้าให้ไอ้กู๊ดฟังแล้วนึกย้อนไปถึงสีหน้าท่าทางของพี่ทาร์ต ถ้าความรู้สึกนั้นที่แสดงออกเป็นการหึงหวงก็คงดี

"กูว่าพี่ทาร์ตแม่งกั๊กว่ะ อาจจะรู้ตัวว่าชอบมึงแต่ยังปากแข็งไรงี้"
ไอ้กู๊ดสันนิษฐานออกมาแบบนั้นด้วยท่าทางมั่นใจเต็มร้อย แต่ผมกับย่นจมูกแล้วส่ายหน้าไปมา ไม่ใช่เพราะปากแข็งหรอกเชื่อสิ พี่ทาร์ตเป็นคนพูดตรงจะตาย ถ้ายอมรับว่าชอบผมคงจีบเช้าเย็นไปแล้ว

"เหอะๆ ไม่ยอมรับมากกว่าว่าตัวเองจะเผลอชอบผู้ชาย แถมเป็นน้องที่รู้จักมาตั้งแต่เกิดอีก"
ผมหัวเราะเย้ยหยันตัวเองก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง คิดถึงเรื่องนี้ทีไรมีอันต้องเหี่ยวเฉาทุกที เหมือนร่างกายขาดสารอาหารเยียวยา หมดแรงจะทำอะไรต่อ ไม่รังเกียจแต่ยากจะยอมรับ... คิดแล้วก็หงุดหงิด

"เออว่ะ เอางี้ๆ มึงก็ลองๆ ทำเป็นสนใจไอ้กายปะ เผื่อพี่ทาร์ตมันจะยอมรับความรู้สึกตัวเองสักที"
ไอ้กู๊ดเสนอแนวทางมาทำให้ผมต้องเอียงหน้ามองมันเล็กน้อย ก็เห็นด้วยกับความคิดมัน แต่คาดว่าผลจะออกมาทางตรงกันข้ามมากกว่า ตอนนี้ดีหน่อยที่เป็นเวลาพักสิบห้านาทีแต่ไอ้กายไม่ได้เข้ามายุ่งวุ่นวาย เอาแต่ใช้สายตาหวานๆ มองมา แค่นี้ก็ขนหัวลุกไปหมดแล้ว

"ก็น่าลอง แต่กูกลัวว่าพี่มันจะตัดใจซะก่อนอะดิ"
ผมพูดสิ่งที่คิดออกไป เพราะมีความเชื่อว่าพี่ทาร์ตจะไม่ดันทุรังจีบคนที่ไม่สนใจตัวเองอีกแล้ว ปกติก็ไม่เคยเล่าว่าไปสานสัมพันธ์กับใครก่อนด้วย มีแต่สาวๆ เข้าหา

"โอย วุ่นวายจังวะ เรื่องพี่ทาร์ตกูว่าเอาไว้ก่อนเถอะ จัดการเรื่องไอ้กายก่อนแล้วกัน"
สุดท้ายไอ้กู๊ดก็ฉลาดขึ้นมาสักที เพราะเรื่องที่ต้องรีบจัดการตอนนี้คือไอ้ตัวที่ยังส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้กันต่างหาก สิ่งที่อยากทำมากที่สุดคือเลิกเรียนปุ๊ปหายตัวปั๊ป เอาแบบที่ไอ้กายหาตัวไม่เจอจะดีมาก

"เออ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ และเริ่มเข้าสู่โหมดเด็กเรียนอีกครั้งจนหมดคาบ

เวลาเที่ยงตรงที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยลดอุณหภูมิให้กันเลยทำให้เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามใบหน้า โรงอาหารคนเยอะอย่างกับหนอนดูแล้วไม่น่าเอาตัวเองเข้าไปเบียดเสียดสุดๆ ผม ไอ้กู๊ดและไอ้ไนน์กำลังยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ด้านนอก

"แก... ไปกินข้าวข้างนอกเหอะ ไหนๆ ก็มีเวลาพักตั้งสองชั่วโมง"
ไอ้ไนน์พูดขึ้นมาแล้วรั้งแขนผมกับไอ้กู๊ดให้เดินออกมาจากบริเวณนั้น ไม่มีใครขัดอะไรออกไปเพราะเห็นสภาพโรงอาหารก็เพลียไปตามๆ กันกับจำนวนคนที่ล้นทะลัก

"เออ ไปข้างนอกก็ดี ขี้เกียจไปเบียดกับคนอื่น"
ผมพูดก่อนจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อตรงหน้าผากไปด้วย เกิดมาเป็นคนขี้ร้อนก็ลำบากแบบนี้ล่ะ เสื้อนักศึกษาที่เคยยัดไว้ในกางเกงตอนนี้กลับปล่อยชายออกมาด้านนอก เหมือนเด็กเกเรแต่มันไม่ไหวจริงๆ

"จะไปกินที่ไหน"
ไอ้กู๊ดถามก่อนจะหันซ้ายทีขวาทีเพื่อขอความคิดเห็น ผมพยักพเยิดหน้าไปทางไอ้ไนน์ให้มันตัดสินใจ ตอนนี้จะกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ขอเป็นร้านติดแอร์แล้วกัน

"เซ็นทรัลปะ จะไปซื้อน้ำหอมด้วย"
ไอ้ไนน์บอกสถานที่ด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผมถึงกับแอบเบ้ปากในความคิดของมัน เอาจริงๆ คงตั้งใจจะไปช็อปอยู่แล้วแน่ๆ

"นี่แกวางแผนมาแล้วใช่ไหมวะ"
เป็นไอ้กู๊ดที่ถามออกไปด้วยใบหน้าเหยเก ดวงตาคมมองจับผิดเพื่อนสนิทของตัวเอง ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามนั้นเลยทำให้ไอ้ไนน์ทำท่าลุกลี้ลุกลน

"เปล่านะเว้ย ก็แบบ... เพิ่งคิดได้เมื่อกี้เลย"
มันว่าเสียงสูงก่อนจะเบนสายตาหลบพวกเรา ผมได้แต่หันไปมองไอ้กู๊ดแล้วถอนหายใจใส่กันอย่างรู้ทัน เป็นแบบนี้ตลอดล่ะไอ้ไนน์น่ะ โกหกไม่เนียนเอาซะเลย

"เหรอจ๊ะ แล้วไม่ชวนแฟนแกไปด้วยหรือไง"
ไอ้กู๊ดถามด้วยเสียงกวนๆ ก่อนจะทำท่ามองหาแฟนของเพื่อน ไอ้ไนน์ส่ายหัวพรืดก่อนจะเบะปากลงเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าน้อยใจหนุ่มเกาหลีเข้าแล้ว

"อยากชวนอยู่หรอก แต่มันมีประชุมหลีดฯ"
ไอ้ไนน์พูดเสียงหงอยๆ ผมเลยได้แต่ยกมือขึ้นไปตบบ่าให้กับลังใจมัน ก็ต้องทำใจในเมื่อแฟนเป็นหลีดฯ คณะ งานเยอะกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา ขนาดผมเป็นนักกีฬาบาสฯ ยังไม่วุ่นวายเหมือนไอ้เกาหลีนั่นเลย

"อ๋อ แล้วจะเอารถใครไปวะ"
ไอ้กู๊ดถามขึ้นแล้วมองไปทางไอ้ไนน์ ดูจากท่าทางแล้วรถมันคงยังไม่ได้เติมน้ำมันเลยจะให้หญิงสาวคนเดียวของกลุ่มเสียสละ

"รถแกได้ปะปูน"
ไอ้ไนน์รีบพูดขึ้นราวกับรู้ว่าไอ้กู๊ดคิดอะไร แต่จะเอารถผมไปได้ยังไง ในเมื่อมันจอดนิ่งอยู่ที่บ้านน่ะ

"ไม่ได้เอารถมา"
ผมตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้มเมื่อเดาได้ว่าต้องโดนถามอะไรต่อแน่ๆ ก็ปกติขับรถมาเรียนทุกวันนี่หว่า

"แล้วเมื่อเช้าแกมายังไงเนี่ย"
ไอ้ไนน์ถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัยแต่ไอ้กู๊ดนี่ล้อเลียนกันเต็มที่ อยากยกมือโบกหัวมันสักที หมั่นไส้ว่ะ ไม่น่าเล่าอะไรให้ฟังเลยไง แม่ง

"เอ่อ... เฮ้ย มึงๆ รีบไปเลย ไอ้กายเดินมาทางนี้แล้ว!"
กำลังจะตอบคำถามไอ้ไนน์แต่สายตาดันเหลือบเห็นกลุ่มไอ้กายกำลังเดินมาทางนี้ และเหมือนเจ้าตัวจะเห็นผมแล้วแถมฉีกยิ้มกว้างให้กันอีกก็เลยหันไปเร่งไอ้กู๊ดด้วยสีหน้าแตกตื่น

"เชี่ย ไปๆ ไอ้ไนน์อย่าทำหน้าเอ๋อ ไปรถแกเลย!"
ไอ้กู๊ดอ้าปากค้างแล้วรีบคว้าข้อมือไอ้ไนน์กับผมออกเดินแทบจะทันทีโดยไม่สนว่ายังตกลงไม่ได้ว่าต้องไปรถใคร มันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินจริงๆ

"ดะ เดี๋ยวๆ อะไรอะ หนีไอ้กายทำไม"
ไอ้ไนน์ถามขณะที่ถูกลากไปยังลานจอดรถด้วยสีหน้ามึนๆ งงๆ แต่ดีที่มันไม่ขัดขวางอะไร ไม่อย่างนั้นไอ้กายคงถึงตัวผมในไม่ช้าเพราะได้ยินเสียงทุ้มๆ ตะโกนเรียกชื่อตามมา แม่งเอ้ย ขายหน้าฉิบหาย

"ค่อยเล่าได้ปะวะ ตอนนี้ขึ้นรถก่อนเหอะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรนเมื่อเราเข้าสู่เขตลานจอดรถและเห็นเป้าหมายเป็นมาสด้าสองสีแดงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

"เออๆ ก็ได้"
ไอ้ไนน์ตอบมาด้วยน้ำเสียงอึนๆ ก่อนจะสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของไอ้กู๊ดแล้วควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าถือ

"ไปรถแกนะไนน์"
ไอ้กู๊ดรีบบอกออกไปทันที ก่อนจะโดนไอ้ไนน์ค้อนขวับใส่พร้อมกับส่งกุญแจรถที่มันเพิ่งควานหาเมื่อครู่

"เออ!!"

มาสด้าสองสีแดงเคลื่อนตัวไปตามถนนวิชิตสงครามเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต ผมทำหน้าที่สารถีโดยความสมัครใจและแสร้งตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถเพราะไม่อยากเล่าเรื่องไอ้กายให้ไนน์ฟัง ไม่ใช่จะปิดบังอะไร แต่คิดแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ชวนขนลุก

"ปูน..."
เสียงหวานเรียกชื่อกันทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ไม่อยากจะสนใจเลยแต่มันขยับเข้ามาดึงแก้มกันซะอย่างนั้น โอย จะรู้ดีเกินไปแล้วว่ากำลังบ่ายเบี่ยง

"โอยๆ ทำอะไรของแกวะ เจ็บ"
ผมร้องเสียงหลงเมื่อไนน์เพิ่มแรงบีบมากขึ้น มันแยกเขี้ยวใส่กันก่อนจะผละมือออกไปแล้วจ้องเขม็ง ไอ้กายก็นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ได้ไม่ช่วยกันเลย ขอให้แม่งเวียนหัวอ้วกแตก

"เล่ามาไวๆ อย่าให้ฉันโมโห"
ความเป็นคุณแม่หวงลูกเกิดขึ้นทันทีทันใดทำให้ผมต้องลอบถอนหายใจออกมาเพราะไม่สามารถหาทางหลบเลี่ยงต่อไป ไอ้กู๊ดเหลือบมองกันเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจแล้วก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ต่อ ช่วยอะไรไม่ได้เลยว่ะ ถีบตกรถซะดีไหมเนี่ย

"ไอ้กายจะจีบเรา..."
ผมพูดเสียงเบาแต่เชื่อว่าทั้งรถได้ยินชัดเจน ไอ้ไนน์ถึงกับอ้าปากพะงาบๆ แล้วเขย่าแขนกันอย่างกับแผ่นดินไหว ดีนะที่ตอนนี้รถกำลังติดไฟแดงอยู่ ไม่อย่างนั้นคงเกิดอุบัติเหตุขึ้น

"เฮ้ย... มันเอาจริงเหรอแก ฉันอยากจะบ้า ไอ้กายชอบผู้ชายเหรอ"
ถามทั้งๆ ที่ยังไม่หยุดเขย่าแขนกัน ผมได้แต่ดึงมือมันออกแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบกลับไป เรื่องรสนิยมทางเพศคนอื่นจะไปรู้ได้ยังไง แค่คนใกล้ตัวอย่างพี่ทาร์ตยังมืดบอดเลย

"มันเป็นไบ กูตอบแทนให้ เคยเห็นมันไปเที่ยวบาร์เกย์ที่ป่าตอง"
เสียงทุ้มๆ ของไอ้กู๊ดตอบแทนขึ้นมาในจังหวะที่ผมกำลังออกรถพอดิบพอดี เกือบแตะเบรกหัวทิ่มแล้วไหมล่ะ นี่คือข้อมูลใหม่สดๆ ร้อนๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้รู้เกี่ยวกับไอ้กายเลยนะ เห็นแมนๆ แบบนั้นเป็นเสือใบเหรอ บางทีก็คิดว่าโคตรกำไรชีวิต หญิงก็ได้ชายก็ดี ส่วนผมกับไอ้กู๊ดนี่ต่างจากมันตรงที่ไม่ได้ชอบผู้ชายคนไหนไปทั่ว

"ห๊ะ... แล้วแกรู้ได้ยังไงอะ ไปกับเขาด้วยเหรอ"
ไอ้ไนน์ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มประดา ผมแทบเอาหัวโขกคอนโซลหน้ารถให้ตายๆ ไป ในเมื่อบทสนทนาอยู่ระหว่างที่รับบัตรจอดรถของห้างพอดี พูดเสียงเบาๆ ก็ได้ปะวะ ชาวบ้านเขารู้เรื่องกันทั้งเมืองแล้วเนี่ย

ผมรีบกดปิดกระจกทันทีเมื่อได้รับบัตรจอดรถ เห็นพนักงานสาวส่งยิ้มแปลกๆ มาให้กันเลยต้องรีบเหยียบคันเร่งพุ่งตัวทันทีเมื่อที่กั้นเปิดขึ้น เดาว่าเธอคงได้ยินตั้งแต่บาร์เกย์แน่ๆ

"เปล่าเว้ย แค่เดินผ่านแถวนั้นพอดี ถึงเราจะเคยชอบไอ้ปูน แต่ไม่ได้พิศวาสผู้ชายคนอื่นนะ"
ไอ้นี่ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าตัวเองไม่ได้เป็นไบ ผมควรดีใจไหมที่ทำให้มันหลงผิดมาชอบตัวเองชั่วขณะหนึ่ง

"อ้อ... ตกใจ กำลังจะถามว่าหนุ่มๆ ในนั้นหล่อหรือเปล่า"
ไอ้ไนน์พูดเสียงกลั้วหัวเราะจนผมรู้สึกขนลุก ที่เป็นประเด็นคู่จิ้นกับไอ้กายทุกวันก็เพราะมันเลย แม่งเอ้ย เอาเรื่องตอนนี้ทันไหม

"แกนี่นะ เลิกเป็นสาววายสักทีเหอะ"
ผมกำลังจะอ้าปากด่ามันแต่ไอ้กู๊ดไวกว่า เออ ใช่ อยากจะพูดแบบนั้นอยู่พอดี ขอบใจเว้ยเพื่อน แต่ดูท่าทางสาวสวยคนเดียวบนรถจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย เพราะหน้าตาเธอยังระรื่นจนน่าหมั่นไส้ เกลียดเพื่อนตัวเองผิดไหม

"เอ้า ความชอบส่วนบุคคลอะ อย่าละเมิดสิทธิกันดิ"
ไอ้ไนน์เริ่มขึ้นเสียงใส่ไอ้กู๊ด เรื่องสาววายนี่ว่าไม่ได้เลยนะ เธอจะเดือดทันที ก็นะ ความชอบส่วนบุคคลที่ทำให้คนอื่นมีแววเดือดร้อนก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอก อยากจิ้นก็จิ้นคนอื่นสิวะ ไม่ใช่ดึงเพื่อนตัวเองไปพัวพันแบบนี้ แล้วอะไรคือการเอี้ยวตัวจากเบาะหน้าไปทุบคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง แถมผมยาวๆ ยังปัดมาโดนหน้ากันอีก กระชากแม่ง หงุดหงิดแล้วนะ อากาศก็ร้อน วู้!

"เลิกตีกันสักที รำคาญ"
หลังจบประโยคนั้นทุกคนก็คืนสู่สภาพปกติแทบจะทันที




ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ชั่วโมงเรียนภาคบ่ายถูกยกเลิกเพราะอาจารย์ติดภารกิจด่วน ผมเลยต้องกดโทรศัพท์ต่อสายไปบอกพี่ทาร์ตว่าให้มารับที่ห้างแทนที่เป็นมหา'ลัย เขาตอบรับมาด้วยน้ำเสียงเร่งรีบแล้ววางไป คงกำลังยุ่งกับการทำขนมล่ะมั้ง... อยากไปหาที่ร้านจัง แต่ไม่ได้ขับรถตัวเองก็เกรงใจ จะให้เพื่อนไปส่งคงโดนแซวร่วมเดือน เหอะๆ

"แกๆ ช่วยไปเลือกน้ำหอมหน่อยดิ"
ไอ้ไนน์กระตุกแขนเสื้อกันยิกๆ แล้วชี้ไปทางร้าน Victoria's Secret เห็นสภาพร้านแล้วอยากถอยหลังหนีมาก แต่เธอกลับลากผมไปจนได้ แล้วนี่ไอ้กู๊ดเบิกเงินหมดตู้เอทีเอ็มแล้วหรือไงวะ หายตัวไปเลย

"เลือกเองดิวะ แกเป็นคนใช้นะเว้ยไม่ใช่เรา"
ผมดึงแขนมันออกแล้วยืนทำหน้าบูดอยู่ตรงนั้น น้ำหอมกลิ่นหวานๆ สำหรับผู้หญิงจะให้ช่วยเลือกยังไงวะ ไม่เข้าใจความคิดไอ้ไนน์เลย ถ้าเป็นแฟนกันยังพอเข้าใจ ประมาณว่า 'ตัวเองชอบกลิ่นไหนเหรอช่วยเลือกหน่อย'

"น่าๆ อย่าบ่นนักสิ เดี๋ยวฟ้องพี่ทาร์ต"
ไอ้ไนน์ยักคิ้วกวนๆ หลังจากพูดจบ แต่ผมอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าเธอจะรู้จักพี่ทาร์ต ยังไม่ได้บอกอะไรสักคำนะเว้ย...

"เดี๋ยวๆ แกรู้จักพี่ทาร์ตได้ไงวะ"
ผมละล่ำละลักถามจนลิ้นแทบจะพันกัน มือทั้งสองข้างจับไหล่ไอ้ไนน์เพื่อเค้นเอาคำตอบ ตอนนี้รู้สึกหน้าชาแปลกๆ ว่ะ จะบ้าตาย

"ตอนแกไปเข้าห้องน้ำไอ้กู๊ดเล่าให้ฟังอะ ไม่มีแฟนมาทั้งชีวิต แต่ดันชอบผู้ชายโคตรหล่อเนี่ยนะ ย้อนแย้งมาก!"
เสียงหวานดังขึ้นพร้อมด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง ไอ้ไนน์ปัดมือผมทิ้งแล้วย่นจมูกใส่อีกครั้ง ย้อนแย้งยังไงวะ... ก็ชอบพี่ทาน์ตผิดตรงไหน

"เอ้า ก็มันชอบนี่กว่า แต่เราไม่ได้เป็นเกย์นะเว้ย"
ผมบอกไอ้ไนน์ด้วยเสียงสั่นๆ ยังกลัวว่าเพื่อนจะคิดว่าตัวเองเป็นเกย์ เธอมองกันด้วยแววตาขี้เล่นก่อนจะส่งมือมาตีต้นแขนแบบหยอกล้อ

"โอ้ย รู้แล้วย่ะ ไม่ต้องทำหน้าเหมือนโลกจะแตกได้ไหม มองนมผู้หญิงจนเหลียวหลังคงเป็นเกย์มั้งแกน่ะ ฉันเข้าใจน่า"
เหมือนจะดูดีแต่คำพูดโคตรน่าเกลียดเลย

"เออๆ ก็กลัวเข้าใจผิด"
ผมตอบแบบขอไปทีแล้วบอกให้ไอ้ไนน์เริ่มเลือกซื้อน้ำหอมของมันสักทีเพราะพนักงานยืนทำหน้าบูดมองพวกเราสองคนเถียงกันนานแล้ว

สุดท้ายเลือกกลิ่นน้ำหอมไปราวๆ หนึ่งชั่วโมงกลับไม่ได้อะไรมาเลย แถมตัวผมยังมีกลิ่นวานิลลาติดมาด้วย เพราะไอ้ไนน์เอามาฉีดใส่นี่ล่ะ... รู้สึกตัวเองน่ากินยังไงก็ไม่รู้ แต่จะไม่คิดมากเลยถ้าคนที่มารับจะไม่มองกันด้วยสายตาแปลกๆ แบบนี้


"มองอะไรพี่ทาร์ต"
ผมถามกลับไปก่อนจะมองสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอนนี้เรายังคงเดินอยู่ในห้างแต่แยกย้ายกับเพื่อนๆ หมดแล้ว แต่คุณชายเขาบอกว่าขอเดินเล่นสักพักเพราะขี้เกียจกลับไปทำงานที่ร้านขนมเนื่องจากมีลูกค้าสาวๆ เข้ามาเยอะจนน่ารำคาญ ถ้ามาอุดหนุนธรรมดาจะไม่ว่าอะไรเลยแต่นี่ขอถ่ายรูปไปด้วย เขาเลยอารมณ์ไม่ดี

"กลิ่น..."
พี่ทาร์ตพูดแค่นั้นแล้วทำจมูกฟุดฟิดแล้วก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ผมผละตัวออกแล้วยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเบาๆ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทำไมมองมาทางนี้แปลกๆ วะ หรือคนข้างๆ จะหน้าตาดีเกินไป

"อ๋อ กลิ่นวนิลลาเหรอ"
ผมถามออกไปเมื่อคิดได้ว่าตัวเองมีกลิ่นแปลกปลอมติดเสื้อผ้าอยู่ กลิ่นอย่างกับขนมแหนะ...

"ใช่"
พยักหน้าตอบกลับมาแต่ดวงตายังจ้องใบหน้ากันไม่ละสายตาไปไหน รู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ แถมยังเดินใกล้กันจนรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายอีกคน

"เพื่อนมันฉีดน้ำหอมใส่อะ เหม็นเหรอพี่"
ผมดึงเสื้อตัวเองขึ้นมาดมอีกครั้ง จะว่าหอมมันก็หอมนะ แต่ถ้าคนไม่ชอบกลิ่นอะไรหวานๆ คงเหม็น จริงๆ ไอ้ไนน์จะเอากลิ่นมะพร้าวมาฉีดกันด้วยแต่ดีที่หลบทัน

"เปล่า... แต่มันน่ากิน"
ทำไมต้องทำเสียงแหบวะ... ขนลุก!

"....."
มองด้วยดวงตาเป็นประกายแบบนั้นหมายความว่ายังไง กลิ่นวนิลลาน่ากินหรือตัวผมที่มีกลิ่นวนิลลาน่ากินวะ...

ระหว่างทางกลับบ้านผมก็ได้ชีสทาร์ตจากร้าน Bread Talk ติดไม้ติดมือกลับมาหกชิ้น นั่งแกะกินอย่างเอร็ดอร่อยจนเจ้าของรถหันมามองตาเขียวใส่ จะว่าตัวเองทำหกเลอะเทอะก็ไม่น่าจะใช่นะ ทำอะไรผิดอีกล่ะ หรือคิดเรื่องไอ้กายขึ้นมาได้

“จะซื้อมาทำไมไอ้ชีสทาร์ตเนี่ย”
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงฉุนๆ แล้วเอื้อมมือมาผลักกล่องขนมบนตักผมเล่น

“ซื้อมากินไงครับ ถามแปลกๆ หรือว่าพี่จะเอาด้วย”
ผมทำท่าจะเปิดฝากล่องเพื่อหยิบขนมอีกชิ้นให้กับพี่ทาร์ตแต่ต้องชะงักเมื่อเจ้าตัวถอนหายใจออกมาแรงๆ เหมือนกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง ดวงตารีเหลือบมองคนข้างกายอย่างกล้าๆ กลัวๆ หรือกูเผลอเหยียบขี้หมาขึ้นรถเนี่ย ตายห่าแน่ๆ

“แค่บอกว่าอยากกินขนมอะไร พี่ทำให้เอง ไม่เห็นต้องซื้อของคนอื่นกินเลย”

“ซื้อกินง่ายกว่านี่ครับ อีกอย่างก็เกรงใจด้วย”

“พี่เต็มใจทำให้”
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงละมุนจนทำให้ใจผมเต้นรัว อยากจะหนีไปจากตรงนี้จะตายอยู่แล้ว ไอ้ความอ่อนโยนนี่มันคืออะไรกันนะ...

“อ่า...”
เถียงอะไรไม่ออกเลยว่ะ เขินอยู่

“นี่...”
หลังจากที่เงียบไปเกือบห้านาที พี่ทาร์ตก็เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน ทำให้ผมที่สาละวนกับการเล่นเกมโทรศัพท์ต้องหยุดชะงักมือแล้วให้ความสนใจเขาแทน

“ครับ”

“พรุ่งนี้เรียนกี่โมง”

“สิบโมงครับ มีอะไรหรือเปล่า”
ผมเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น อะไรบ้างอย่างกำลังร้องเตือนว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์เดจาวู...

“จะไปส่ง”
พูดออกมาเหมือนเป็นเรื่องที่ทำประจำโดยไม่มีความลังเลใดๆ ในน้ำเสียง ถึงจะไม่เห็นใบหน้าเต็มๆ ก็รู้ว่ามุมปากหยักนั้นกระตุกเป็นรอยยิ้ม คิดอะไรอยู่ถึงคอยรับหน้าที่สารถีไปรับไปส่งกันเนี่ย เดี๋ยวผมเคยตัวมันจะแย่เอานะเว้ย

“ห๊ะ ผมไปเองได้น่าพี่ ไม่อยากรบกวน”

“ไม่ได้”

“ทำไมอะ ปกติผมก็ไปเรียนเองนะ”
ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสงสัยขั้นสุด หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแทบจะเป็นปม พี่ทาร์ตกำลังพูดเรื่องอะไรวะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นะ

“ตอนนี้มันไม่ปกติแล้วไง”
งงในงงเลยคราวนี้ อะไรที่ไม่ปกติกันวะ

“อะไรที่ไม่ปกติครับ”

“ไอ้กายไงที่ไม่ปกติ มันกำลังจีบปูนไม่ใช่เหรอ”
พี่ทาร์ตเหลือบสายตามามองกันเล็กน้อยก่อนจะดับเครื่องยนต์เมื่อพารถเข้าจอดในบริเวณบ้านของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองกันด้วยความจริงจังจนผมผงะถอยไปด้านหลังจนติดกระจก ทั้งตกใจที่เขารู้เรื่องนี้ ทั้งกลัวว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรแผลงๆ

“เฮ้ย... ใครบอก”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแล้วยกกล่องชีสทาร์ตขึ้นมากอดเอาไว้ระดับออก ดวงตารีหลุบต่ำลงเมื่อไม่สามารถมองคนตรงหน้าได้เลย หัวใจเต้นระรัวเหมือนเด็กที่แอบไปทำความผิดแล้วโดนผู้ใหญ่จับได้

“พี่รู้แล้วกัน”

“.....”

“พี่หวง และจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งปูนไปจากพี่เด็ดขาด เพราะว่าพี่...”

“พี่ปูน พี่ทาร์ต!!!!!!!!!!!!!!”

ไอ้สัตว์ฟ่อน!!! มึงจะเรียกกูหาพระแสงอะไรตอนนี้เนี่ย แล้วไอ้คำพูดท้ายประโยคของพี่ทาร์ตคืออะไรทำไมต้องหน้าแดงด้วย ถามย้ำได้ปะ อยากรู้... แต่ตอนที่กำลังจะอ้าปาก เขาก็เปิดประตูหนีลงไปจากรถแล้ว โอย กูจะฆ่ามึงไอ้น้องเลว!!!!!!!!!!




--------------------------------------------

อ่าวๆๆๆๆ พี่ทาร์ตพูดอะไรเนี่ยเฮ้ยย ~~~~~~

ไปรอลุ้นในตอนหน้าเนอะว่าน้องปูนจะได้คำตอบหรือเปล่า

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ฟ่อนนนนนนนนนนนนนน เดี๋ยวปั๊ดฟาดเลยนี่ทำไมต้องมาขัดจังหวะด้วยย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 13

Caramel Custard
: น้ำตาล/น้ำ/นม/ไข่ไก่/ไข่แดง/ฝักวานิลลา :





ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้วผมก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นก่อนพี่ทาร์ตลงจากรถเขาพูดอะไรทิ้งท้ายเอาไว้ ไม่ใช่ว่าละเลยปล่อยผ่าน แต่เพียรถามครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ได้คำตอบ หาเรื่องเบี่ยงไปเรื่อย แม่ง ทำตัวเป็นคนมีความลับไปได้ แอบซุกกิ๊กไว้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้...

ในตอนนี้ผมนั่งหน้ามึนอยู่ในครัวแต่ไม่ใช่บ้านตัวเองนะ เพราะไอ้พี่ทาร์ตโผล่หน้ามาชวนกันทำขนมตั้งแต่เช้า ด้วยความที่เห็นแก่กินเลยตามเขามา ส่วนไอ้ฟ่อนไปเรียนพิเศษตามเคย จะขยันอะไรนักหนาก็ไม่รู้ ดวงตารีจับจ้องแผ่นหลังกว้างที่ขยับไปด้านซ้ายทีขวาทีเพราะกำลังเตรียมส่วนผสมของคาราเมลคัสตาร์ด อยากเข้าไปช่วยแต่คิดขึ้นได้ว่ารออยู่เฉยๆ อาจจะดีกว่า

"ปูนครับ"
หลังจากที่ไม่มีใครเปิดปากส่งเสียงอยู่นาน พี่ทาร์ก็ตทำลายความเงียบด้วยการเรียกกัน ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเผลอมองแผ่นหลังกว้างนั่นซะเพลิน นึกว่าเขารู้ตัว แต่เปล่าเลย ยังคงเตรียมส่วนผสมขนมอยู่เหมือนเดิม ขอถอนหายใจด้วยความโล่งอกหน่อยแล้วกัน เฮ้อ ถ้าโดนจับได้คงแซวไม่เลิกแน่ๆ เกลียดจริงๆ

"มีอะไรครับ"
ผมถามกลับไปแล้วขยับตัวไปพิงพนักเก้าอี้เพื่อคลายความเมื่อยล้าช่วงเอว เพราะก่อนหน้านี้นั่งตัวงอแล้วเอามือเท้าคางไว้บนโต๊ะ เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าตั้งใจมองพี่ทาร์ตมากแค่ไหน ก็คนมันชอบมันรัก ใครไม่เข้าใจก็ปล่อยไปเถอะ

"ตอกไข่ให้หน่อย แยกไข่แดงกับไข่ขาวด้วย"
พี่ทาร์ตพูดเหมือนกับเป็นเรื่องปกติโดยไม่หันมามองกันเหมือนเดิม ทำไมพี่มันดูวุ่นวายจังวะ ไหนบอกว่าคัสตาร์ดไม่ยากไง ผมถึงกับอ้าปากค้างแล้วมองซ้ายมองขวาหาไข่ไก่ที่เขาบอก ใช้ให้ตอกใส่ถ้วยไม่มีปัญหาหรอกแต่แยกแดงขาวนี่ต้องทำยังไง เห็นในทีวีชอบเอาขวดพลาสติกมาดูด... หนีกลับบ้านได้ปะวะ ไม่อยากกินขนมแล้ว

"ไหนไข่อะ"
ผมถามสั้นๆ ไม่แสดงพิรุธที่ว่าตัวเองทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นออกไปให้พี่ทาร์ตล้อ แต่ดูเหมือนว่าคนขี้แกล้งแบบเขาจงใจใช้กันมากกว่า สนุกมากปะเนี่ย เห็นไหล่สั่นๆ กำลังกลั่นหัวเราะอยู่ใช่ไหมวะ เดี๋ยวเอาถาดวางพิมพ์ตีหัวแม่ง

"อยูที่พี่ เดินมาเอาดิ"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะเอี้ยวหน้ามามองกันเล็กน้อย ผมก็ว่าง่ายลุกจากเก้าอี้เดินไปหาเขาหวังจะได้ไข่ไก่ตามที่ต้องการ จมูกได้กลิ่นหอมๆ เหมือนน้ำตาลไหม้ สงสัยจะทำคาราเมล เคยดูในรายการทำขนม เขาเอาน้ำตาลทรายตั้งไฟใช่ปะ พอมันละลายก็เอาน้ำใส่ลงไป... ทฤษฎีอาจจะได้ แต่ปฏิบัติติดลบ ใครๆ ก็รู้

"ไหนอะไข่ ไม่เห็นจะมี ลืมซื้อหรือเปล่า"
ผมมองซ้ายมองขวาไปทั่วเค้าน์เตอร์วางเตา โดยสภาพแล้วไม่น่าจะเอาไข่ไก่มาตั้งตรงนี้ได้เลย พี่ทาร์ตแกล้งอำกันหรือเปล่าวะ ชาตินี้จะได้กินไหม แล้วเขาก็หันมายิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะมองต่ำ ต่ำลงเรื่อยๆ จนผมเขาใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ใครใช้ให้ลามกตอนนี้วะ เตะผ่าหมากซะดีไหม

"นี่ไงไข่ มีสองฟองกับกล้วยหนึ่งลูก"
พูดออกมาหน้าระรื่นในขณะที่ผมกัดฟันกรอด ไม่รู้ว่าควรโมโหหรือเขินก่อนดู หน้าด้านเล่นมุกห้าบาทสิบบาทมาได้ไงวะ อายบ้างไหมอยากด่าจริงๆ

"ไอ้พี่ทาร์ต ลามก!"
ผมตะโกนใส่หน้าแล้วยกเท้าเตะหน้าแข้งอีกคน แต่พี่ทาร์ตหลบได้ก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากยกใหญ่ แล้วดูสิ คาราเมลหยดเลอะเทอะไปหมดแล้ว จะยกที่คนๆ นั่นออกไปจากหม้อทำซากอะไร

"ก็เห็นถามหาไข่"
ยังพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้ พี่ทาร์ตวางไม้พายในมือลงแล้วเริ่มหาผ้าไปเช็ดคราบคาราเมลที่เปราะไปทั่ว ตอนแรกก็อยากช่วยอยู่หรอก แต่ไม่แล้ว หมั่นไส้คนลามกว่ะ

"หมายถึงไข่ไก่เว้ย ไข่ไก่อะ ไข่พี่เอามาทำขนมได้ที่ไหนวะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแล้วเดินหนีไปทางตู้เย็นเพราะคิดว่าไข่ไก่อยู่ในนั้นชัวร์ๆ จะไม่หลงกลให้พี่ทาร์ตแกล้งได้อีกแล้ว เสียเซลฟ์ชะมัด

"ไข่พี่ทำขนมไม่ได้ แต่ทำปูนได้นะ"
พูดด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่มซึ่งทำให้ผมได้แต่ยืนหน้าร้อนอยู่ที่ตู้เย็น ไข่ที่เพิ่งหยิบมาแทบร่วงลงกับพื้น ไอ้บ้า! พูดอะไรของพี่ทาร์ตวะ ถ้าจะหยอดกันแบบนี้ผมลาตายดีกว่า โอยแม่ง ไม่กงไม่กินมันแล้ว จะกลับบ้าน ไม่ไหวแล้ว

"พี่ทาร์ตแม่ง ผมไม่คุยด้วยแล้วนะ ลามกฉิบหาย"
ผมวางไข่ไก่ลงในช่องเหมือนเดิมแล้วปิดประตูตู้เย็นอย่างแรง ไม่แคร์ว่ามันจะหลุดหรือพังแต่อย่างใด มันไม่ใช่ของผมไงล่ะ ขายาวๆ กำลังจะก้าวหนีออกจากห้องครัว แต่มือหนาๆ อุ่นๆ ของพี่ทาร์ตกลับรั้งหัวไหล่กันเอาไว้ แม่ง ตกใจจนสะดุ้งเลยไง ช่วงนี้ทำไมขวัญอ่อนจังวะ

"อย่าเพิ่งไปสิ พี่แค่ล้อเล่นน่า"
พี่ทาร์ตพูดเสียงอ่อยก่อนจะรีบปล่อยมือออกจากไหล่ ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ จริงๆ ก็ไม่ได้อะไรนักหรอกกับความลามกของเขา ผิดเองล่ะที่หวั่นไหวไปกับอะไรก็ตามที่เป็นพี่ทาร์ต นิดๆ หน่อยๆ ก็เขิน ก็ใจสั่น ถ้าสุดท้ายผิดหวังขึ้นมาจะเจ็บแค่ไหนกันนะ ไม่เคยอกหักด้วยสิชีวิต

"ครับๆ รีบทำเถอะ อยากกินขนมแล้ว"
ผมตอบออกมาด้วยน้ำเสียงอึนๆ แต่ก็ยอมกลับไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ปล่อยให้พี่ทาร์ตทำนั่นทำนี่ด้วยตัวเอง เขาเดินไปหยิบไข่ไก่มาตอก แยกไข่แดงไข่ขาวออกจากกันด้วยความชำนาญ มองๆ ไปก็เพลินดี อยากทำขนมเป็นบ้างจัง

"มองกันขนาดนั้น อยากกินขนมแน่เหรอปูน"
พี่ทาร์ตเงยหน้าช้อนตามองกันแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ผมสะดุ้งแล้วขยับตัวจนชิดพนักพิงก่อนทำหน้าตาเหลอหลา โดนจับได้ว่าแอบมองไม่สนุกเลย อายจนอยากเอาหน้ามุดใต้โต๊ะ วันนี้เผลอมองเขาไปกี่รอบแล้ววะ

"อยากกินขนมดิ จะให้อยากกินอะไรล่ะ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมากดเล่น ที่จริงแล้วไม่อยากมองหน้าพี่ทาร์ตน่ะ อยู่กับผู้ชายเจ้าเล่ห์ต้องเอาตัวรอดเป็น ถึงจะแถจนสีข้างเลือดซิบก็เถอะ

"นึกว่าอยากกินพี่"
พูดออกมาด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มชวนให้อยากเข้าไปคลุกวงใน... ซะที่ไหนกัน มันน่าหมั่นไส้จนอยากถลาเข้าไปบีบคอต่างหาก พูดแบบให้ความหวังกันแบบไม่ปิดบัง ถ้าผมอยากกินเขาขึ้นมาจริงๆ จะยอมเหรอไง ชอบกันหรือเปล่ายังไม่รู้เลย หยอดเอา เต๊าะเอา คิดว่าใครมันจะทนได้นานล่ะ ไม่สนุกแล้ว อึดอัด

"ไม่คิดอะไรก็หยุดให้ความหวังสักที ไม่สนุกว่ะ"
ผมว่าเสียงเครียดแล้ววางโทรศัพท์ในมือลงอย่างหมดแรง โดนไอ้กายจีบยังเหนื่อยน้อยกว่าโดนพี่ทาร์ตหยอดเล็กหยอดน้อยแบบไม่รู้อนาคตอีก เปลี่ยนใจไปชอบคนที่ชอบเราตอนนี้ทันปะ แต่ไม่หรอก มันสายเกินถอนตัวแล้วว่ะ

พี่ทาร์ตชะงักมือที่กำลังจะเอาถาดขนมเขาเตาอบไปครู่หนึ่งก่อนจะทำต่อให้เสร็จๆ แล้วหันมามองผมด้วยใบหน้าจริงจัง ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแววตาขี้เล่นหลงเหลืออีกแล้ว ถ้าหายใจผิดจังหวะโทษพี่ทาร์ตไปเลยนะ

"รู้ได้ไงว่าพี่ไม่คิด"
พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะเท้ามือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะแล้วโน้มตัวมาใกล้กัน ผมที่นั่งอยู่ได้แต่เอนหลังจนติดพนักเกาอี้แล้วเบนสายตามองไปทางอื่น เกลียดคำถามแบบนี้ เพราะผมไม่รู้คำตอบจริงๆ ใครจะไปกล้าเดาใจเสือผู้หญิงแบบพี่ทาร์จล่ะ

"ก็พี่ไม่เคยบอกปะวะ ว่ารู้สึกยังไงกับผมกันแน่ ไม่อยากเข้าข้างตัวเองอีกแล้วว่ามีความหวัง บางทีผมก็กลัวจะเสียใจ"
ผมพูดประโยคยาวยืดที่เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก ทั้งกลัว ตื่นเต้น คาดหวัง อึดอัด น้อยใจ เสียใจ แทบจะบ้าได้เลยล่ะมั้ง อยากเอาน้ำเย็นๆ มาราดหัวจะได้สงบจิตสงบใจลงบ้าง แล้วมันเรื่องบ้าอะไรที่ชวนพี่ทาร์ตเข้าโหมดดราม่าทั้งๆ ที่กำลังจะได้กินขนมหวาน...

"พี่เคยบอกไปแล้วว่ารู้สึกยังไง"
พี่ทาร์ตใช้น้ำเสียงราบเรียบอย่างกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่สามารถจับได้เลยว่าแกล้งหรือจริงจัง ผมเหลือบสายตามองเขาอย่างจับผิด ตอนไหน เมื่อไหร่ ยังไง ทำไมผมไม่รู้เรื่องล่ะ

"ตอนไหน ไม่เห็นจะรู้เรื่อง"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว กลัวมันจะเป็นคำตอบเมื่อเนิ่นนานมาแล้วอย่างเช่น 'พี่หวงก้าง' มันไม่ใช่ปะวะแบบนั้น หรือผมฟุ้งซ่านคิดไปเอง คราวนี้พี่ทาร์ตออกจะจริงจัง คงไม่แกล้งหรอกมั้ง ถ้าแกล้งผมเสยปลายคางยับแน่ คนยิ่งอารมณ์แปรปรวนอยู่

"วันที่ไปรับมาจากมหา'ลัย"

"วันไหนว่ะ ก็ไปรับไปส่งทุกวันจนจะปิดเทอมแล้วมั้ง"
ผมตอบกลับอย่างรวดเร็ว เพราะตั้งแต่เปิดเทอมยันปัจจุบันนี่พี่ทาร์ตไปส่งกันทุกวันจนไอ้กู๊ดกับไอ้ไนน์หมดมุกจะแซว ส่วนไอ้กายก็เร่งทำคะแนนจนน่าโมโห ตวาดมันไปจนทุกคนตกใจ ก็น่ารำคาญ บอกไปร้อยรอบแล้วว่าไม่ต้องพยายาม ไม่ฟังกันเอง ช่วยไม่ได้

"วันแรก"
ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ก่อนจะเบนสายตาหนีกันเหมือนกำลังทำความผิด ไอ้พี่ทาร์ตแม่ง... ก็ว่าทำไมไม่ยอมเปิดปากบอกกันสักทีว่าพูดอะไรออกมาวันนั้น แต่เดี๋ยวก่อน ใช่สถานการณ์เดียวกันไหม ขอถามให้แน่ใจ

"ไอ้ที่ผมพยายามถามว่าพี่พูดอะไรวันที่ฟ่อนมาขัดจังหวะนะเหรอ"
ผมถามแล้วจ้องพี่ทาร์ตเขม็ง เจ้าตัวยังคงมองไปทางอื่นแล้วเบี่ยงตัวออกไปดึงถาดขนมออกมาจากเตาอบ นี่ถือเป็นการถ่วงเวลาอะไรหรือเปล่า ยังคุยกันไม่จบ กลับมาตอบก่อนดิ ค้างคาฉิบหาย เหมือนเขามีญาณหยั่งรู้เลยหันกลับมาสบตากัน

"ใช่"
ตอบรับพร้อมพยักหน้าเบาๆ เป็นการยืนยัน เออ ให้มันได้แบบนี้สิ ช่วงหลังๆ คือผมถอดใจเพราะขี้เกียจถาม แล้วดูตอนนี้สิ มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ

"ผมไม่ได้ยิน... บอกอีกครั้งเถอะนะ"
ผมตั้งใจจะอ้อนอย่างสุดกำลังทั้งๆ ที่อยากว้ากเต็มทน เรื่องสำคัญขนาดนั้นปล่อยผ่านมาได้ยังไงเป็นเดือนๆ แม่ง ไม่ได้โง่แต่ก็เหมือนควายเลยว่ะ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง

"ตั้งใจฟังดีๆ จะบอกครั้งเดียว ห้ามถามซ้ำ โอเคไหม"
พี่ทาร์ตยื่นคำขาดด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะกลับมายืนเท้าโต๊ะและโน้มตัวมาใกล้ๆ ผมไม่ได้ผละตัวไปไหน จะเรียกว่าท้าทายคงไม่ผิด อยู่ใกล้กันนี่ล่ะจะได้ฟังชัดๆ ไม่อยากพลาดอีกแล้ว แต่ก็ถามๆ ไว้ก่อน ถ้าไม่ได้ยินอีกต้องทำยังไง

"ถ้าไม่ได้ยินอีกล่ะ"

"เชื่อสิว่าได้ยินแล้วจะจำไปจนตาย"
พี่ทาร์ตกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มที่เดาไม่ออกว่าดีหรือร้ายกันแน่ เพราะระยะที่เราอยู่กันตอนนี้มันใกล้จนหน้าใจหาย ปลายจมูกแทบแตะกัน อะไรๆ ก็พล่ามัวไปหมด ทั้งใบหน้าทั้งสมอง เบลอฉิบหาย

"โม้ว่ะ"
พูดได้แค่นั้นล่ะ กลัวว่าคนตรงหน้าจะจับน้ำเสียงสั่นๆ ของตัวเองได้ ก็มันตื่นเต้น พี่ทาร์ตกำลังจะบอกความรู้สึกที่มีต่อผมเชียวนะ ถ้าเกิดคำตอบคือไม่ชอบกันนี่ร้องไห้ใส่แม่งจริงๆ ด้วย จะหนีไปซบอกไอ้ฟ่อนประชดแม่ง...

"ขยับเขามาใกล้ๆ"
เขาบอกก่อนกระดิกนิ้วเป็นการเรียก แต่ผมบุ้ยปากขมวดคิ้วแน่น จะให้ขยับไปใกล้กว่านี้อีกก็จูบกันแล้วครับพี่น้อง บ้าหรือเปล่า! แต่พี่ทาร์ตคงรู้ว่าผมคิดอะไรเลยเอียงหน้าเข้ามาใกล้และทำการกระซิบข้างหูแทน... ใกล้แบบนี้นี่เอง เผลอคิดสัปดนไปเยอะ โทษที

"พี่... ชอบปูนนะ"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปล่งคำที่ทำให้ผมใจเต้นแรงออกมาจากริมฝีปากหยัก มันดังก้องไปทั้งโสตประสาทการรับฟังวนไปวนมาไม่รู้จบ เหมือนกำลังซึมซับทุกอย่างให้ฝังรากหยั่งลึกลงในสมอง แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมาทันตาเห็นและยากเกินควบคุม สติกำลังหลุดลอยเหมือนเคว้งคว้างอยู่ในความฝัน จริงๆ เหรอวะ ที่ได้ยินมาหูไม่ได้ฝาดใช่ไหม ทำยังไงดี

"....."
เงียบไร้เสียงตอบรับเพราะผมกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้เตรียมใจ ความรู้สึกตอนนี้คล้ายๆ กับว่าสอบติดทุนเรียนต่อเมืองนอกที่ฝันไว้เลยว่ะ แต่อาจจะดีกว่านั้นสิบเท่าหรือเปล่า ก็แค่การคาดเดา อยากแหกปากตะโกนมากกว่าว่าดีใจ ไม่อกหักแล้ว เขิน อาย โอย หลากหลายอารมณ์จนใกล้เหมือนคนบ้า มุมปากพาลจะยิ้มอยู่เรื่อยแต่กลับเม้มปากไว้ ไบโพล่าถามหาแล้วไง

"จะจีบอย่างจริงจังแล้วนะ"
พี่ทาร์ตพูดต่อไปอีก บ่นอะไรวะ

"....."

"ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ หรือช็อกไปแล้วเนี่ย เฮ้ ฟังกันอยู่หรือเปล่า"
พี่ทาร์ตเพิ่มเสียงขึ้นเล็กน้อยพร้อมกลับโบกมือไปมาตรงหน้า ผมรับรู้แต่ไม่สามารถขยับได้ มีเพียงหลุบตาลงต่ำเท่านั้น ไม่กล้าทำอะไรเลยตอนนี้ กลัวฝันสลาย

"....."

"เฮ้ย ถ้าไม่พูดอะไรพี่จูบจริงๆ นะ"
น้ำเสียงโคตรจริงจังแถมขยับตัวออกพร้อมจะพุ่งจู่โจมเข้ามาที่ตำแหน่งใหม่อย่างเต็มที่ ผมก็ต้องได้สติสิครับจะรออะไรล่ะ ยังไม่อยากเสียจูบให้นะเว้ย เดี๋ยวหัวใจวายตายซะก่อน

"เดี๋ยวๆ หยุดก่อน โอย ผมฝันอยู่หรือเปล่าวะ"
ผมห้ามด้วยน้ำเสียงแตกตื่นก่อนจะเอ่ยถามลอยๆ ในประโยคหลังแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา ยังไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาเลยสักนิด บทจะยากก็ยากจนท้อใจ แต่พอง่ายก็ง่ายจนน่าใจหาย มีอะไรพอดีบ้างเนี่ย

"ฝันบ้าอะไร เพ้อเจ้อแล้ว"
พี่ทาร์ตว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือหนามาขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิง ไม่รู้ติดคราบขนมมาบ้างหรือเปล่าแต่ผมไม่มีเวลาจะมานั่งคิดวิเคราะห์ขนาดนั้น ยังอึ้งอยู่...

"ชอบผม... จริงๆ เหรอ"
ผมพูดน้ำเสียงลอยๆ มองหน้าพี่ทาร์ตนิ่ง รู้สึกว่าเขาจะแก้มแดงด้วยล่ะ ความรู้สึกคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เขิน...

"ครับ คิดหัวแทบแตกวันละหลายล้านรอบ แต่ต้องขอบคุณไอ้กายนะ ที่ทำให้พี่รู้ใจตัวเองสักที"
พี่ทาร์ตหัวเราะเบาๆ ปิดประโยคแล้วเลื่อนมือมาดึงแก้มกันจนเจ็บ ผมปัดออกก่อนจะตั้งสติแกล้งแหย่เขากลับไป ก็ยังไม่แน่ใจว่าชอบกันจริงๆ เหรอ ขอพิสูจน์เน้นๆ อีกรอบนะ

"โห... ผมควรจะไปหอมแก้มขอบคุณไอ้กายปะเนี่ย"
พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วเหล่สายตามองพี่ทาร์ตที่ยังไม่ขยับตัวไปไหน เขาแยกเขี้ยวใส่กันก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างยึดไหล่เอาไว้ อย่ามาจริงจังได้ปะวะ ใจคอไม่ดีเลย อย่าหายใจรดหน้ากันแบบนี้สิ ทำอะไรไม่ถูกแล้ว

"อยากตายเหรอครับน้อง พี่ไม่ใจดีให้ปูนทำอะไรแบบนั้นหรอกนะ"
พี่ทาร์ตเสียงแข็งใส่กันและเพิ่มแรงบีบที่ไหล่ขึ้นอีกเพราะผมไม่ยอมสบตา ก็ใครมันจะกล้า ไม่คิดว่าเขาจะโหดแบบนี้นี่หว่า

"หวงเหรอไง ไม่ได้เป็นอะไรกันนะ"
ผมยังทำใจดีสู้เสือไปเรื่อย ก็คนมันอยากรู้ ความกลัวน่ะแพ้อยู่แล้ว

"เออครับ หวงไง เป็นแฟนกันไหมล่ะ"
เสียงสะบัดกว่าเดิมสิบเท่า แถมยังเปลี่ยนจากยึดไหล่มาคว้าท้ายทอยกันและยังบังคับให้จ้องตาอีก ใครก็ได้เรียกรถฉุกเฉินมารับผมเถอะครับ หัวใจจะวายอยู่แล้ว ทำไมหึงหวงได้น่ารักขนาดนี้วะคนเรา ขอแกล้งต่ออีกหน่อยเนอะ

"เดี๋ยวๆ ไหนเมื่อกี้บอกว่าจะจีบกัน"
ผมใช้มือดันอกพี่ทาร์ตให้ขยับออกไปไกลๆ เพราะกลัวว่าเขาจะบุ่มบ่ามดันท้ายทอยผมเข้าไปจูบน่ะสิ ท่าทางขาดสติได้ง่ายอีกด้วย

"กลัวปูนเปลี่ยนใจไปชอบไอ้กาย"
พี่ทาร์ตบอกเสียงอ่อนก่อนจะยอมปล่อยกันให้เป็นอิสระแล้วหันหลังกลับไปจัดการขนมคัสตาร์ดที่เพิ่งทำเสร็จนั่น นึกว่าลืมไปแล้วซะอีก...

"คิดมากว่ะ ไม่ชอบไอ้กายหรอก มั่นใจได้"
ผมพูดเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะลุกไปยืนข้างๆ พี่ทาร์ต ไม่ใช่ว่าอยากอยู่ใกล้หรอกนะ จะมาเอาขนมไปกินต่างหากเว้ย คิดมากนะเราน่ะ

"ถ้างั้นก็เตรียมตัวโดนพี่จีบกลับได้เลย รักเมื่อไหร่จะขอเป็นแฟน"
พี่ทาร์ตส่งจานคัสตาร์ดมาให้กันแล้วส่งยิ้มหวาน ผมแทบทำขนมตกพื้น จะบ้าตาย หัวใจเต้นแรงจนปวดหน้าอกไปหมด

"บะ... บอกตัวเองเหรอ"
ผมงึมงำให้ลำคอแล้วถือจานขนมไปนั่งกินเงียบๆ โดยไม่สนใจว่าพี่ทาร์ตจะทำอะไรต่อ ก็ไอ้เรื่องรักน่ะ ผมรักอยู่แล้ว ก็มีแต่เขานั่นล่ะที่ยัง... สรุปว่าความรักครั้งนี้เพิ่งสำเร็จไปขั้นตอนเดียวสินะ รอยาวๆ ไป

"อืม... คงใช่ ไม่อยากคบใครเพราะแค่ชอบ มันดูฉาบฉวย อยากคบกันตอนที่รักแล้วมากกว่า"
พูดซะซึ้ง... เอาโล่ชายหนุ่มดีเด่นไปเลย หวังว่าระหว่างที่จะรักผมคงไม่มีใครมาแทรกกลางซะก่อนนะ ถ้ามีผมจะฆ่าทิ้งทั้งพี่ทาร์ตทั้งเขาคนนั้นเลยแม่ง!

"อื้อ"

จากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลาสามเดือนแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติสุข ไม่มีอะไรที่ดูคล้ายการจีบเลยสักนิดเดียว ไปรับไปส่งเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีขนมมาให้กินทุกเช้า จนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีพุง... แผนการให้ผมอ้วนจนไม่มีใครมาเกาะแกะของไอ้พี่ทาร์ตปะวะ เลวสุดๆ จากที่เคยหยอดๆ กันกลับเงียบไป ไม่เข้าใจตรรกะคนหล่อเท่าไหร่ว่ะ งง

จีบคือการนิ่งๆ ใส่กันเหรอ ไม่จีบคือการหยอดเหรอ โอย ปวดหัวเว้ย!

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียกชื่อสารถีจำเป็นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เขาเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยก่อจะกลับไปสนใจถนนเหมือนเดิม วันนี้จะไปเที่ยวหาดไนยางแถวๆ สนามบิน เหมือนจะมาเดทกันสองคน แต่ก็ไม่ใช่ เพราะเบาะหลังมีไอ้ฟ่อนนั่งอยู่

"ครับ"
ตอบกลับมาสั้นๆ แค่นั้น ผมหาทางไปไม่ถูกเลยไง ไอ้ฟ่อนก็ดีหลับกรนเสียงดังจนรถสะเทือนแทรกเสียงดนตรีได้โคตรน่าเกลียด ไปเหนื่อยคอพับคออ่อนมาจากไหนวะนั่น

"เดือนหน้าจะไปเรียนซัมเมอร์ที่เกาหลีแล้วนะ"
ผมบอกเขาไปเพื่อให้รับรู้ แต่มากกว่านั้นคืออยากให้พี่ทาร์ตแสดงอาการอะไรบ้างก็ได้ที่ทำให้รู้ว่าความรู้สึกชอบกันยังเหมือนเดิม ไม่ใช่นิ่งกว่าปกติแบบนี้ แอบใจเสียอยู่นะเว้ย หรือเผลอไปเจอใครที่ตรงสเปคเข้าให้

"เหรอ ไวจัง ไปนานเท่าไหร่วะ"
พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแถมยังไม่หันมาสนใจกันอีกทั้งๆ ที่รถติดไฟแดง หลังจากวันนั้นมาแทบไม่สบตากันเลยด้วยซ้ำ มีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่าวะ

"ก็เดือนกว่าๆ มั้ง ตามกำหนดการที่อาจารย์ให้มา"

"อ้อ... ตามไปด้วยได้ปะ"
พูดทีเล่นทีจริงให้พอใจชื้นขึ้นมาบ้าง ผมหลุดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะสายหัวพรืด จะตามไปได้ยังไงกัน ไปเรียนนะไม่ใช่ไปเที่ยว

"ไม่ได้ดิ จะตามไปทำไม"
ผมตอบกลับไปก่อนจะแอบมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาร์ต ถ้าสังเกตอย่างละเอียดดูเหมือนเขาจะออกอาการกล้าๆ กลัวๆ หรือว่าจีบใครไม่เป็นเลยไม่รู้จะเริ่มยังไงหรือเปล่านะ... ถ้าถามตรงๆ จะได้คำตอบไหม

"....."
เงียบแบบไม่มีสัญญาณตอบรับ เฮ้ย อะไรวะ

"พี่ทาร์ต ถามอะไรหน่อยดิ"
ผมเอ่ยปากต่อเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พี่ทาร์ตครางอือในลำคอเป็นการตอบรับเพราะกำลังออกตัวรถอยู่

"ไหนจีบอะ..."
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงกวนตีนสุดๆ ไม่ได้เรียกร้องอะไรหรอกนะ แต่มันดูราบเรียบจนน่าใจหาย

"นี่ไงจีบ"
พี่ทาร์ตยกมือขึ้นมาจีบพร้อมกับหัวเราะไปด้วย ผมคว้าขวดน้ำมาฟาดหัวเขาได้ปะวะ กวนตีนแล้ว!

"กวนตีน ถามจริงๆ นะ เลิกชอบผมแล้วเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ มือเรียวบีบเข้าหากันเพราะกลัวคำตอบ ดวงตารีหลุบลงมองต่ำเพราะกำลังคิดทบทวนอย่างหนัก

"ไม่ใช่แบบนั้น แค่จีบไม่เป็น... พอจะเริ่มจริงๆ มันเขินว่ะ หยอดไม่ออก เต๊าะไม่ได้ แล้ว สมองรวนไปหมด"
พี่ทาร์ตพูดเสียงอ้อมแอ้มแล้วยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแรงๆ กลัวเหลือเกินมามันจะเป็นรอยแดง ผมแทบจะยิ้มแก้มแตกเมื่อฟังจบ ที่แท้ก็เป็นคนจีบใครไม่เป็นนี่เอง แต่อย่าว่าเลย ผมก็ไม่เคยโดนใครเข้ามาจีบจังๆ เหมือนกัน เขาอาจจะใช้วิธีเนียนๆ อยู่ก็ได้

"อ่า..."

"แต่พี่ก็มีวิธีของพี่น่า ปูนอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าโดนจีบก็ได้"
หันมายักคิ้วใส่กันอีก เจ้าเล่ห์นักนะคนเรา

"คงงั้นมั้ง เนียนเกิน"
ผมย่นจมูกใส่ก่อนจะมองออกไปด้านนอก วิวทะเลโผล่เข้ามาในสายตาแล้ว อยากลงไปเล่นน้ำจัง แต่อย่าเลย จมขึ้นมามันไม่สนุกเท่าไหร่

"หึหึ"
เสียงหัวเราะชวนขนลุกของพี่ทาร์ตดังขึ้น แต่ผมไม่สนใจแล้วล่ะ ทะเล ทะเล ~ จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบหรอก แต่มากับคนที่ชอบ อะไรๆ ก็ดูสนุกไปหมด ยกเว้นไอ้ฟ่อนนะ รายนั้นคือก้าง แต่พี่ทาร์ตบอกว่าเดี๋ยวจะมีคนมาสมทบ... ใครวะ อยากรู้จริงๆ

"โอ้ย มดกัดอะ ใครทำน้ำตาลหกในรถเนี่ย"
เสียงทุ้มหวานดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ใบหน้าน่ารักที่ยิ้มทะเล้นขยับมาตรงกลางทำให้ผมกับพี่ทาร์ตเบิกตาโพลง ไอ้เด็กนี่แกล้งหลับ

"ไอ้ฟ่อน/ไอ้ฟ่อน!!!!"
ประสานเสียงแบบไม่ได้นัดหมายแล้วแจกมะเหงกให้น้องมันไปคนละทีสองที สมน้ำหน้า เผือกดีนักนะมึง

ผมและพี่ทาร์ตช่วยกันคนข้าวของที่จะนำมาปิคนิกลงจากรถโดยมีไอ้ฟ่อนทำหน้าที่ปูเสื่อให้ สบายไปปะมึง... หน้าเขกกะโหลกให้ร้าว แต่ช่างมันเถอะ พูดไปก็เปลืองน้ำลาย เดี๋ยวสักพักก็จะมีชายหนุ่มดีกรีนายแบบมาสมทบ เพิ่งเค้นเอาจากปากคนมีความลับได้เมื่อครู่นี่เอง คำตอบคือ 'พี่อิน'

"ไอ้ฟ่อน มึงคิดจะช่วยพี่บ้างปะวะ นั่งรออย่างกับคนเป็นง่อย!"
พี่ทาร์ตคงสุดจะทนเลยหันไปตวาดน้องสุดที่รักด้วยน้ำเสียงโมโหเต็มทน คนบ้าอะไรแบกแตงโมทั้งลูกมาทะเล บอกให้ผ่าเรียบร้อยมาจากบ้านมันก็งอแง จะเอามาเล่นปิดตาตีหรือไง

"ก็ไม่อยากเข้าไปเป็นก้างขวางคอใครอะ มันบาป!"
พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่พอยังเบะปากใส่กันอีก ไอ้ผมที่ถือกล่องจานนี่แทบจะโยนใส่มัน แต่พี่ทาร์ตที่แบกลูกแตงโมอยู่จะขว้างทิ้งแล้ว... รายนี้เขาไม่ชอบกินแตงโมน่ะ บอกว่าน้ำมันเยอะไปทำให้ปวดฉี่บ่อย

"ก้างเหี้ยไร มาช่วยถือของเร็วๆ เลย แตงโมมึงเนี่ย ถ้าไม่เอากูจะโยนทิ้งแล้วนะ"
พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดแต่ผมเห็นนะว่าพี่ทาร์ตแอบยิ้มน่ะ นี่แกล้งน้องมันใช่ไหม ไม่ได้จะว่าแค่สะใจ...

"อย่านะ!!"
เสียงตะโกนดังลั่นพร้อมกลับร่างเล็กๆ รีบลุกขึ้นมาทางนี้ สงสัยจะหวงแตงโมมากนะนั่น เดินก้าวยาวแทบจะวิ่งมาเชียว พี่ทาร์ตก็เอาแต่กลั้นขำจนหน้าดำหน้าแดง ตลกว่ะ

"พี่ทาร์ตแกล้งมันหรือไง"
ผมถามออกไปตรงๆ ก่อนจะหยิบถุงขนมขบเคี้ยวติดมือมาด้วย ขี้เกียจเดินหลายรอบมันเสียเวลา

"เออ หมั่นไส้ เดี๋ยวจะให้อินจัดการให้เข็ด"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้ววางแตงโมลงก่อนจะหยิบตะกร้าพลาสติกใส่กล่องอาหารเดินตามผมมา

"เอ้อ..."
ผมพูดได้แค่นั้นล่ะ เพราะไม่เข้าใจว่าพี่อินอะไรนั่นจะจัดการฟ่อนยังไง...

ห้าโมงเย็นแล้ว ไอ้คนที่จะมาร่วมแจมยังไม่ถึงสักที ไม่เข้าใจว่าไปตกหลุมตกบ่ออยู่ที่ไหนหรือเปล่า แต่ตอนที่กำลังจะอ้าปากถามเขาก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จะไปไหนล่ะนั่น

"เดี๋ยวมานะ ไปรับอินที่สนามบิน"
เขากระซิบเบาๆ เพื่อที่จะให้ผมได้ยินคนเดียวเพราะไม่อยากให้ไอ้ฟ่อนโวยวาย ดูจากท่าทางแล้วมันน่าจะไม่ชอบพี่อินเอามากๆ สงสัยสมัยเด็กโดนแกล้งไว้เยอะมั้ง เคยได้ยินน้องบ่นๆ ว่า อ้วนดำแบบนั้นใครเขาจะมอง... นี่มันปัจจุบัน ยืนยันด้วยดีกรีนายแบบนะเว้ย อยากจะบอกว่าผมเคยเห็นรูปผ่านๆ ด้วยเถอะ ขาว หล่อ ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงกรี๊ดคอแตกไปแล้ว

"โอเคๆ"
ผมตอบกลับพร้อมกับทำมือเป็นสัญลักษณ์ว่าตกลง ไอ้ฟ่อนที่กำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปอยู่ไม่ไกลนั่นไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยว่าจะมีคนมาเยือน

พี่ทาร์ตขับรถออกไปจากบริเวณนี้แล้ว ผมยังคงนั่งแกะขนมขบเคี้ยวกินไปเรื่อยๆ อาหารที่เอามายังถูกเก็บไว้อย่างดี ไม่ต้องห่วงว่ามันจะเย็นเพราะเป็นกล่องเก็บความร้อนอย่างดี

"พี่ทาร์ตหายไปไหนอะ หรือพี่ปูนกินเข้าไปแล้ว"
ถามด้วยหน้าตากวนตีนก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเสื่อ ผมหยิบขนมขบเคี้ยวในถุงปาใส่ไอ้ฟ่อนด้วยอารมณ์หงุดหงิดปนเขิน คิดได้ยังไงว่าจะกินพี่ทาร์ตเข้าไปวะ นั่นคนนะเว้ย ตัวอย่างกับควาย

"โอ้ย ไรอะ"
ไอ้ฟ่อนใช้มือปัดป่ายขนมก่อนจะหันมายู่ปากใส่กัน อยากงอนก็งอนไป ผมไม่ง้อและไม่สนใจหรอกนะ หน้าที่เป็นคู่กัดให้กับมันกำลังจะหมดลงแล้ว ดูท่าทางพี่อินอะไรนั่นจะชอบเด็กนี่ด้วยเถอะ... แอบเห็นไลน์พี่ทาร์ตที่คุยกับเพื่อนพอดีไง ไม่ได้เสือกเลย ก็วันนั้นเขาฝากโทรศัพท์ไว้กับผมเองนี่ ไม่ผิดนะ

"พูดอะไรไม่รู้จักคิด"

"แหม ก็แค่ล้อเล่นอะ แล้วพี่ทาร์ตไปไหน"
ยังจะมาทำเสียงล้อเลียน น่าฟาดสักทีไหมล่ะ

"ไปแถวๆ นี้ล่ะ เดี๋ยวก็กลับมา"
ผมตอบกลับไปแล้วหยิบขนมใส่ปากเหมือนเดิม ทำตัวไม่มีพิรุธสุดๆ




ต่อด้านล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2017 16:34:26 โดย Ch0cmint »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"งั้นพี่ปูนไปเดินริมทะเลเป็นเพื่อนหน่อยดิ"
ไอ้ฟ่อนขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดเสียงอ้อนๆ แต่ผมกลับกรอกตามองรอบตัวก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ จะไปไหนได้ยังไงของเต็มซะขนาดนี้

"ต้องเฝ้าของไง"
ผมตอบแล้วชี้ของรอบตัวให้มันดูชัดๆ ว่าทำไมถึงต้องปฏิเสธ ไอ้ฟ่อนเบะปากใส่ก่อนจะทำท่าฮึดฮัดลุกขึ้นจากเสื่อ นี่มึงเป็นเมนส์หรือยังไง อารมณ์แปรปรวนซะจริงๆ

"โด่ ไปคนเดียวก็ได้ เชอะ"
มันพูดจบก็สะบัดก้นเดินออกไปเลย ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังบางนั่นก่อนจะถอนหายใจออกมาแบบปลงๆ ใครได้ไอ้ฟ่อนเป็นแฟนคงปวดหัวตายแน่ๆ เอาแต่ใจชะมัด เฮ้อ

ไม่เกินครึ่งชั่วโมงรถบีเอ็มฯ คันสวยก็กลับมาจอดบริเวณเดิม ประตูเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่ไม่คุ้นตาก้าวลงมาจากฝั่งซ้ายมือ ผิวไม่ขาวมากแต่ดูสุขภาพดี ใส่เสื้อกล้ามสีดำโชว์กล้ามแขนแน่นๆ ผมได้แต่นั่งอ้าปากค้างเมื่อเขาถอดแว่นตากันแดดออก ดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วหนาเรียงตัวสวย ทรงผมไถข้าง เจาะหู โคตรแบดบอย ฉิบหาย หล่อกว่าพี่ทาร์ตอีกมั้งพี่อินเนี่ย ไอ้ฟ่อนเอ้ย ไหนคนที่มึงบอกว่าอ้วนดำวะ พลาดอย่างรุนแรง

พี่ทาร์ตโบกมือมาทางผมที่ยังนั่งอ้าปากค้าง พอได้สติกลับมาเลยคลี่ยิ้มส่งไปให้แล้วยกมือขึ้นสวัสดีพี่อินที่เดินมาข้างๆ จากการสังเกตแล้วดูเป็นคนอารมณ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่ายล่ะมั้งก็เขายักคิ้วให้ด้วยนี่

“เด็กมึงเหรอวะทาร์ต น่ารักดีนี่”
เดินมาถึงปุ๊ปก็ถามกันด้วยประโยคชวนเขิน พี่อินทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แล้วใช้แขนยาวๆ พาดมาบนไหล่ของผม พี่ทาร์ตแทบจะเข้ามากระชากกันแต่ดีหน่อยที่เขายั้งมือทัน

“ปล่อยเลยไอ้อิน คนนี้ของกู ห้ามยุ่ง โน่นๆ เป้าหมายมึง เดินอยู่ตรงโน่น”
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงรอดไรฟันแล้วชี้มือชี้ไม้ไปที่ไอ้ฟ่อน น้องมันก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าพี่ชายที่แสนดีกำลังถวายตัวเองให้กับเพื่อนสนิท ผมเกือบจะหัวเราะออกไปเมื่อพี่อินจ้องไปทางนั้นไม่วางตา สงสัยจะแอบชอบมานานมากแล้วมั้ง รู้ตัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เด็กเลยหรือไง

“แหม ทีกับน้องมึงไม่หวงอย่างนี้บ้างวะทาร์ต”
พี่อินหันกลับมาพูดกวนประสารทพี่ทาร์ตอีกครั้งแต่ยอมเอาแขนหนักๆ ออกจากไหล่ผมก่อนจะคลี่ยิ้มเป็นมิตรให้กัน ดูท่าทางขี้แกล้งเหมือนกันเลยว่ะ เพื่อนสนิทคู่นี้

“ให้มึงหวงแทนไง ไปเลยไป รีบไปทำคะแนน ไอ้อ้วนดำ”
พี่ทาร์ตผลักไหล่พี่อินออกไปแล้วแทรกตัวลงมานั่งระหว่างกลางจนแทบจะเกยตักผมอยู่แล้ว อยากขำแต่ไม่กล้าขำเพราะไม่รู้ว่าพี่อินเป็นคนนิสัยยังไงกันแน่ ดูจากภายนอกก็เฮฮาร่าเริงกับคนสนิทอยู่หรอก แต่กับคนไม่สนิทอย่างผมล่ะ ไม่กล้าเสี่ยงเลย

“ไม่คิดว่าฟ่อนจะกระโดดถีบกูบ้างเหรอ”
พูดด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ แต่สายตากลับจ้องมองไปที่ไอ้ฟ่อนอยู่อย่างนั้น

“อย่ามาตอแหล มึงดุยิ่งกว่าหมาบางแก้วอีก ไอ้ฟ่อนจะกล้าทำอะไร”
พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่ก่อนจะดันพี่อินให้ลุกขึ้นสักที คนหน้านิ่งเมื่อสักครู่เหล่มองเล็กน้อยก่อนจะยอมทำตามที่เพื่อนสุดประเสริฐต้องการ

“ให้มันจริง กูไปล่ะ”
แล้วนายแบบสะเทือนหาดไนยางก็เดินจากไป สังเกตว่าไอ้ฟ่อนเห็นแล้วล่ะว่าใครมาเยือน แต่คงจำไม่ได้ ปล่อยเขารื้อฟื้นความหลังเถอะ ไม่อยากยุ่ง เรื่องของตัวเองก็วุ่นวายพอแล้ว

“พี่ทาร์ต... พี่อินนี่ดุจริงเหรอวะ เห็นหน้าตายิ้มแย้มขนาดนั้น”
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ล้วนๆ พี่ทาร์ตเหลือบมองกันก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“ดุ ดุมากตอนไม่พอใจ แต่มันมีเหตุผลนะ”
พี่ทาร์ตยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วมองลงไปที่หาด ภาพตรงนั้นคือฟ่อนเอาแต่เดินหนีพี่อินด้วยอารมณ์แบบไหนก็เดาไม่ได้ ดูท่าทางคู่นี้คงต้องจูนกันอีกนานล่ะมั้งนั่น

“น้องมันจะชอบพี่อินเหรอ”
ผมยังคงถามต่อไป จริงๆ ก็แอบเป็นห่วงฟ่อนเหมือนกัน อยู่ๆ พี่ชายก็เอาคนที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้าในวัยเด็กกลับมาให้เจอกันแบบนี้ แถมยังออกตัวสนับสนุนเพื่อนสินทโดยไม่หวงน้องตัวเองอีก

“ก็ต้องรอดูต่อไป แต่พี่เชื่อว่าอินจะทำสำเร็จ”

ตามนั้น รอดูต่อไปทั้งเรื่องของเราและเรื่องของไอ้ฟ่อน




---------------------------------------------

ในที่สุดปูนก็ได้รู้แล้วเนอะว่าพี่ทาร์ตพูดอะไรในวันนั้น
ใครอยากเจอพี่อิน โผล่มาแล้วเน้อ... อ้วนดำในวันนั้น คือสุดหล่อในวันนี้ 5555

ปล. วันนี้วันเกิดเราล่ะ เย่ แก่ขึ้นอีกปีแล้ว ~

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
HBD จ้า :b: :b: :b:

ฟ่อนว่าที่สามีหล่อๆอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ nolirin

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +274/-5
HBD นะคุณนักเขียน :L2:

พี่ทาร์ตนี้ฟอร์มเยอะ ท่ามากจริงๆ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 14

Banoffee
: แคร๊กเกอร์บด/เนยละลาย/กล้วยหอม/Toffee Caramel/วิปปิ้งครีม/น้ำตาลไอซิ่ง/ผงเจลาติน/ผงโกโก้ :

Chiffon's Part






ผมกำลังหงุดหงิดและเป็นแบบนี้มาร่วมหนึ่งเดือนแล้ว เพราะไอ้ตัวป่วนที่ชื่อ 'พี่อิน' มาฝากท้องที่บ้านทุกเช้า ไม่รู้จะมาเดือดร้อนคนอื่นเขาทำไม แถมยังอาสาไปส่งที่เรียนโรงเรียนอีก หึ นั่งรถสองแถวไปเองยังจะดีกว่าอีก เบื่อๆๆๆ ทำไมตอแยกันขนาดนี้นะ น่ารำคาญชะมัด!

ส่วนพี่ทาร์ตก็อีกคนที่ยอมสละเก้าอี้ของตัวเองบนโต๊ะอาหารให้กับเพื่อนรักนั่งข้างๆ ผม พอจะลุกขึ้นเพื่อหนีก็โดนม๊าใช้สายตาดุๆ ปรามกันตลอด เพราะเป็นการแสดงกิริยาที่เสียมารยาท เลยจำทนกินข้าวเช้าแบบไม่มีอารมณ์

"กินหมูทอดปะ เดี๋ยวตักให้"
คนด้านข้างหันมาถามกันในขณะที่ผมตักข้าวต้มใส่ปาก เหลือบมองพี่อินด้วยหางตาแล้วส่ายหน้าให้ ไม่อยากกินอะไรที่เขาตักให้หรอก เดี๋ยวจะหาว่ามีใจ

"ผักบุ้งล่ะ ชอบกินไม่ใช่เหรอ"
พี่อินยังคงพยายามที่จะตักอาหารบนโต๊ะให้กัน ผมถึงกับชะงักมือที่กำลังตักไข่เค็มแล้วหันไปถลึงตาใส่เขา จะอะไรนักหนา นั่งเงียบๆ แล้วกินข้าวของตัวเองไปมันจะตายเหรอวะ

"ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว นั่งกินเงียบๆ ไปเลย อย่ามายุ่งกับฟ่อน"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงรอดไรฟันแล้วตักไข่เค็มใส่ชามข้าวต้มของตัวเองได้สำเร็จ กินต่อไปโดยไม่สนใจว่าพี่อินจะทำหน้าแบบไหน จริงๆ แล้วไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก แต่ในอดีตเคยออกปากหนักแน่นว่าจะไม่พลั้งเผลอไปชอบเขาไง ตอนนี้ก็กำลังทำใจแข็งอยู่... แม่ง เจอกันครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทะเลก็บอกจะจีบกันเลย ใครตั้งตัวทันก็แปลกแล้ว ประสาท

"พี่ทาร์ตไปส่งฟ่อนหน่อย"
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จผมก็วิ่งโล่ไปเกาะแขนพี่ชายที่เตรียมตัวเอารถออกเพื่อไปส่งพี่ปูนที่มีเรียนเช้าเหมือนกัน ถึงโรงเรียนกับมหา'ลัยจะอยู่กันคนละทางก็เถอะ ไม่อยากไปกับพี่อินแล้ว ดุจะตาย พูดไม่เพราะก็โดนด่า ใครจะชอบลงล่ะแบบนั้น เหอะ!

พี่ทาร์ตหันมามองผมเหมือนเป็นตัวประหลาดก่อนจะใช้มือใหญ่ผลักหัวกันจนรู้สึกมึน เกิดเป็นฟ่อนซะอย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก และด้วยความอิจฉาริษยาที่พี่ชายตัวเองแย่งพี่ปูนไป เห็นเขาอยู่ด้วยกันมันหงุดหงิดยังไงไม่รู้

"ไปกับไอ้อินนู่น มันออกมาจากบ้านแล้ว"
พี่ทาร์ตโบกมือไล่แล้วพยักพเยิดหน้าไปทางเพื่อนสนิทของตัวเองที่กำลังใส่รองเท้าอยู่หน้าประตูบ้าน ผมเบ้ปากแล้วส่ายหัวอย่างหนักเป็นการปฏิเสธ ทนให้พี่อินไปส่งที่โรงเรียนมาเป็นอาทิตย์แล้ว อึดอัดจะตาย

"ไม่เอาอะ พี่ทาร์ตทำไมชอบยัดเยียดฟ่อนให้พี่อินจังวะ"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วเดินไปยืนค้ำหัวพี่ทาร์ตที่กำลังสอดตัวเข้าไปนั่งที่คนขับ ไม่กล้ามัดมือชกขึ้นรถเขาหรอก กลัวจะโดนถีบลงมาถ้าไม่ได้รับอนุญาต เพราะรายนี้ก็โหดกับน้องกับนุ่งเหลือเกิน มันน่าน้อยใจจะตาย

"กูยัดเยียดอะไร มันอุตส่าห์แหกตาตื่นตั้งแต่เช้าเพื่ออาสาไปส่งมึงที่โรงเรียนนะฟ่อน ไม่เห็นใจบ้างเหรอวะ ขับรถมาตั้งไกล"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วใช้มือดันท้องผมให้ขยับตัวออกไปเพื่อจะปิดประตูรถแล้วเปิดประจกลงมาคุยกันแทน พี่อินมีความพยายามให้การจีบสูงก็จริง เพราะบ้านของเราอยู่กันคนอำเภอด้วยซ้ำ ออกหน้าออกตาจีบจนป๋ากับม๊ารู้ เชื่อเขาเลย! ทุกคนลืมไปแล้วเหรอว่าผมชอบพี่ปูนเนี่ย

"ฟ่อนไม่ได้ขอร้องพี่อินปะวะ ก็มาเอง จะเห็นใจไปทำไม"
ผมพูดก่อนจะย่นจมูกใส่พี่ทาร์ตแล้วเหลือบมองร่างสูงของใครบางคนที่ยืนพิงรถครอบครัวสีดำอยู่นอกรั้ว รอทำไมก็ไม่รู้ งานการไม่มีทำหรือไงกันนะ

"ทำไมมึงต่อต้านมันจัง กับคนอื่นที่เข้ามาจีบไม่เห็นพูดจาร้ายขนาดนี้ ขอเหตุผลหน่อยได้ปะ ถ้ามันดีพอกูจะบอกอินให้"
พี่ทาร์ตดึงชายเสื้อพละของผมให้โน้มตัวลงมาคุยกับแบบสบตา แต่แบบนี้ก็โกหกไม่ได้น่ะสิเลยปัดป่ายมือเขาออกแล้วขยับตัวออกห่างทันที

"....."
อย่าว่าแต่จะหาเหตุผลที่ไม่ชอบพี่อินมาบอกพี่ทาร์ตเลย เพราะเหตุผลคือที่บอกไปตอนต้นนั่นล่ะ... เรื่องจะโกหกก็คิดไม่ออกเลยได้แต่ยืนนิ่งๆ ทิ้งเวลาเดินไปเรื่อยๆ พอรู้ตัวแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูถึงกับเบิกตาโต ฉิบหายแล้ว เจ็ดโมงครึ่ง!

"โอย สายแล้วๆ ฟ่อนไปโรงเรียนก่อนนะ"
ผมบอกลาพี่ทาร์ตแล้วรีบวิ่งไปหาสารถีชั่วคราวของตัวเองที่ยืนรออยู่นานแล้ว พี่อินขำเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพหัวฟูจากการวิ่งมา เหนื่อยก็เหนื่อย รีบก็รีบ ตลกอะไรนักหนาวะคนเรา

"หัวเราะอะไร แฮ่ก รีบขึ้นรถสิ ฟ่อนสายแล้วนะพี่อิน!"
ผมโวยใส่คนที่ยังยืนหัวเราะอยู่อย่างไม่ทุกข์ร้อน ดวงตาคมจ้องมองกันแบบสื่อความหมายก่อนจะยอมเดินไปขึ้นรถโดยไม่พูดอะไร ไม่อยากเสียเวลาตีความหรอก ไม่ได้เก่งการเดาใจคนขนาดนั้น

ผมขึ้นรถได้ก็รีบรัดเข็มขัดนั่งตัวตรงแล้วกอดกระเป๋าเป้ที่ปักตราโรงเรียนเอาไว้ พี่อินกำลังออกรถไปแบบไม่รีบร้อน อยากจะหันไปว้ากให้รถแตก ปกติตีนผีจะตายมาทำใจเย็นตอนคนอื่นรีบเขาเรียกกวน!

"พี่อิน... แกล้งเหรอ"
ผมหันขวับไปถามอีกคนที่ฮัมเพลงสบายอารมณ์ เขาหันมาเลิกคิ้วใส่กันเหมือนไม่เข้าใจ หน้าปัดแสดงตัวเลขดิจิตอลว่าความเร็วแค่หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แทบจะคลานสำหรับรถยนต์ ช่วงเช้าภูเก็ตก็จราจรติดขัดไม่แพ้กรุงเทพฯ นะเว้ย

"แกล้งอะไร ตอนแรกจะไปกับไอ้ทาร์ตไม่ใช่เหรอไง พี่ไปส่งก็บุญแล้ว"
พี่อินพูดด้วยเสียงราบเรียบไม่ได้ยี่หระว่าผมจะโกรธหรือเปล่า มันก็จริงของเขาที่พูดมาเพราะตั้งแต่ตอนกินข้าวก็โดนปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมหลวมตัวมาด้วยอีกแน่ๆ แล้วตอนนี้คืออะไร นั่งจุ้มปุ๊กเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่เนี่ย หน้าไม่อายแถมยังหงุดหงิดใส่เขาอีก

"สาบานว่าที่พูดมานี่จีบกันอยู่"
บ่นพึมพำกับตัวเองแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ไลน์หาเพื่อนว่าอาจจะไปโรงเรียนสาย ไม่คิดเลยว่าพี่อินหูดีขนาดนี้...

"ไม่ได้จีบ แค่จะเตือนสติให้รู้ว่าที่ทำอารมณ์เสียใส่กันแบบนั้นมันไม่สมควร"
พี่อินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ในความคิดของผมคือเขากำลังดุกัน เป็นผู้ชายที่มีเหตุผลและไม่ยอมใครทั้งนั้น แต่ก็ใจดีเกินกว่าใครๆ จะรู้ อย่าเช่นโดนปฏิเสธแต่ก็ยังรออยู่เป็นต้น

"รู้แล้ว แต่ฟ่อนรีบ ไม่อยากโดนตัดคะแนนความประพฤติ"
ผมบ่นโดยไม่มองหน้าพี่อิน ยอมรับว่าเขาน่ากลัวเวลาดุหรือไม่พอใจ ต่างกับไอ้อ้วนดำเมื่อหลายปีที่แล้วที่คอยจะเป็นลูกไล่กันอยู่เสมอ

"ได้ แต่ฟ่อนต้องขอโทษพี่ก่อน"
พี่อินพูดทั้งๆ ที่ตาคมยังจ้องมองถนนเบื้องหน้า ผมได้แต่เม้มปากเข้าหากัน หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว ทำไมต้องบังคับให้ขอโทษด้วย ไม่อยากพูดนี่ จะทำไมล่ะ ถึงจะกลัวแต่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก

"อะไรนักหนาวะพี่อิน จอดรถให้ฟ่อนขึ้นสองแถวไปเหอะ เรื่องเยอะ"
ผมกระแทกเสียงแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวทันที ถ้าหากว่าเขาจอดรถก็จะลง ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปโรงเรียนต่อให้ทันเวลาได้ยังไง เพราะรถสองแถวที่ว่ามานั้นขับช้ากว่าพี่อินอีกเถอะ แต่การอยากเอาชนะคนๆ หนึ่งมันทำให้ขาดสติได้จริงๆ

"แค่ขอโทษมันยากนักหรือไง ทำตัวก้าวร้าวกับผู้ใหญ่เหรอ"
น้ำเสียงไม่ได้ดุอะไร แต่ให้ความรู้สึกกดดันอย่างน่ากลัว ผมไม่ยอมแพ้ทั้งๆ ที่อาจจะทำให้เราทะเลาะกันได้ รู้ตัวว่างี่เง่า อยากเอาชนะบ้างไม่ได้หรือไง

"พี่อินบังคับฟ่อน"
ผมพูดก่อนจะหันไปมองใบหน้าด้านข้างของพี่อินที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาทำแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดุๆ

"แล้วใครผิดครับ"

"หึ..."
ครับ ผมผิดและไม่มีอะไรจะแก้ตัว สุดท้ายก็แพ้คนๆ นี้อีกแล้ว ตลอดหนึ่งเดือนที่กลับมาพบกันอีกครั้งทำให้รู้ว่าความเอาแต่ใจใช้กับคนๆ นี้ไม่ได้ผลเลย ถึงจะดุ จะเข้มงวด ไม่หวาน แต่สุดท้ายหัวใจก็สั่นไหวกับการกระทำสุดเบสิก ไปรับ ไปส่ง สอนการบ้าน พาไปกินข้าว พาไปเที่ยว ดูเหมือนพี่น้องทั่วไป ทำไมล่ะ... ทำไมถึงใจแข็งไม่ได้

"ไม่เถียงแล้วหรือไงเด็กน้อย"
น้ำเสียงกึ่งหยอกล้อแต่ไม่กวนตีนดังขึ้นในขณะที่รถติดไฟแดง พี่อินหันหน้ามามองกันพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ยอมรับว่ามีเสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่อใครลุ่มหลง รวมถึงตัวผมด้วยแต่ไม่อยากยอมรับ ไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเองเลย

"ทำไม เด็กแล้วไง ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องมาจีบดิ"
ผมพูดกลับไปแล้วทำใจกล้าจ้องตาพี่อินอย่างไม่ลดละ เขาคลี่ยิ้มบางก่อนจะเบือนหน้าหนีเมื่อรถคันด้านหน้าเริ่มเคลื่อนตัว

ทำไมอยู่ๆ ก็เกลียดรอยยิ้มอ่อนแรงของเขากันนะ

"ถ้ามันจีบยากจีบเย็นขนาดนี้ พี่อาจจะทำตามที่ฟ่อนขอในสักวันจริงๆ ก็ได้"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใสแต่แววตาไม่ได้แฝงไว้ด้วยความสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว ทำไมพูดเหมือนว่าจะถอดใจล่ะ จีบมาแค่หนึ่งเดือนเองนะเว้ย...

"อืม ตามสบายเลยครับ"
ตอบกลับไปแบบนั้นด้วยปากที่หนักของตัวเองแต่แอบใจหายวาบ อยู่ๆ ก็ทำเป็นจะยอมแพ้ง่ายๆ เพราะคำพูดประชดประชันเล็กน้อยนี่น่ะเหรอ ไม่เห็นใจคนที่หวั่นไหวไปแล้วบ้างหรือไงกัน... พี่อินดุ พี่อินร้าย ฟ่อนเกลียดที่สุดเลย!

รถครอบครัวสีดำเคลื่อนตัวมาจอดเทียบริมฟุตบาทไกลจากประตูโรงเรียนเกือบยี่สิบเมตรเพื่อไม่ให้การจราจรติดขัด เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงตรงแล้ว สุดท้ายก็สายจนได้ แต่ผมไม่โกรธพี่อินแล้วล่ะ ตอนนี้มีแต่ความคิดสับสนก็เท่านั้น

"เลิกเรียนกี่โมง"
พี่อินถามขึ้นในขณะที่ผมกำลังก้าวลงจากรถ มือเรียวกระชับสายสะพายกระเป๋าแล้วพาดไว้บนไหล่ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"หนึ่งทุ่มครับ วันนี้เรียนพิเศษ"
ผมตอบก่อนจะทำท่าปิดประตู แต่พี่อินก็สางเสียงห้ามกันเอาไว้ซะก่อน รีบก็รีบ ครูยืนมองจนแยกเขี้ยวใส่แล้วเนี่ย อะไรนักหนาวะคนเรา

"เดี๋ยวสิ"

"อะไรอีกล่ะครับ ครูจะกินหัวผมอยู่แล้ว"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดแต่พยายามไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า กลัวจะโดนเทศน์อะไรยืดยาวอีก ตอนนี้แทบจะวิ่งไปกอดขาครูเวรหน้าประตูรั้วอยู่แล้ว ส่งสายตากดดันมาให้ไม่พอเสียงเพลงชาติยิ่งตอกย้ำว่าผมโดนหักคะแนนความประพฤติแน่ๆ

"เลิกเรียนจะมารับ ห้ามหนีไปไหน"
พี่อินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ก็อุตส่าห์คลี่ยิ้มบางส่งมาให้กัน ผมพยักหน้าไปส่งๆ เพราะไม่มีเวลาจะเถียงด้วยแล้วรีบปิดประตูรถวิ่งไปหาครูเวรทันที

ปกติแล้วหลังเลิกเรียนผมจะชอบหนีพี่อินกลับรถเมล์ไม่ก็ให้เพื่อนไปส่งที่บ้านตลอด ก็เขาชอบพาไปกินข้าวที่ร้านบรรยากาศโรแมนติก... แถมยังดูแลเอาใจใส่ดิบดี กลัวใจตัวเองจะหวั่นไหวหนักขึ้นๆ เลยอยากตีตัวออกห่าง แต่วันนี้เหตุสุดวิสัยไม่มีเวลาเถียงจริงๆ ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็เกิดเพราะผมขี้เกียจจะหนีแล้ว

ตอนนี้โรงเรียนเลิกแล้วแต่ผมกับเพื่อนยังเตร็ดเตร่อยู่แถวๆ ร้านอาหาร กว่าจะเริ่มเรียนพิเศษก็ตั้งห้าโมงเย็นขอหาอะไรกินก่อนดีกว่า

"ฟ่อนกินไรดีวะ"
เพื่อนสนิทเอ่ยปากถามเมื่อพวกเราตกลงกันไม่ได้ว่าจะกินอะไรเป็นมื้อเย็น ผมกรอกตามองซ้ายทีขวาทีก่อนจะตัดสินใจชี้มั่วๆ ไปที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ตอนนี้ขี้เกียจจะคิดอะไรเพราะเผลอเหลือบสายตาไปเห็นใครบางคนที่ตามตอแยกันตั้งแต่เปิดเทอมวันแรก เด็กวิทยาลัยใกล้ๆ นี่ล่ะ

"แน่ใจว่าจะกินร้านนั้น"
ใครบางคนถามขึ้น ผมรีบพยักหน้าแล้วดันหลังพวกมันให้เดินเข้าไปในร้านทันที เพราะเหมือนกับอีกฝ่ายกำลังจะตรงมาทางนี้ ซึ่งมันไม่ดีแน่ๆ ไม่อยากเป็นข่าวลงบอร์ดโรงเรียนสักเท่าไหร่ อาย

"รีบไปไหนวะมึง"

"ไอ้ป๊อป"
บอกชื่อคนที่ตามตอแยตัวเองแค่นั้นทุกคนก็รีบก้าวเท้าเข้าไปในร้านโดยไม่อิดออดทันที ใครๆ ก็รู้ว่า 'ป๊อป' นิสัยเถื่อนมากแค่ไหน หล่อก็ไม่ช่วยอะไรว่ะ

เลิกเรียนพิเศษผมก็รีบก้าวเท้ายาวๆ ไปที่รถครอบครัวคันสีดำแทบจะทันทีเพราะเลทมาเกือบสิบนาทีที่ปล่อยให้พี่อินรอ แต่จนแล้วจนรอกใครบางคนก็โผล่ออกมาจากมุมอับแล้วคว้าข้อมือกันไว้แน่น ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้านั้นชัดๆ ฉิบหายจริงๆ ก็คราวนี้ล่ะ...

"จะรีบไปไหนล่ะน้องฟ่อน"
ป๊อปพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะออกแรงกระตุกข้อมือของผมจนถลาเข้าไปหาอกแกร่งแบบไม่ทันตั้งตัว พยายามขัดขืนแต่สุดท้ายก็แพ้แรงควายๆ ของมัน เพราะขนาดร่างกายต่างกันเกินไป เสียเปรียบสุดๆ ที่เกิดมาตัวเล็กแถมยังผอมอีก

"จะทำอะไรวะ ปล่อยเลยนะไอ้เชี่ยป๊อป"
ผมโวยวายเสียงดังแต่ก็โดนมือหยาบๆ ยกขึ้นปิดปากเอาไว้ แขนแกร่งอีกข้างล็อกเอวไว้อย่างแน่นหนา ตอนนี้ความกลัวแทบจะทำให้ขาดสติ ได้แต่ภาวนาในใจว่าพี่อินจะเห็นสภาพของผมบ้าง

"จีบดีๆ ไม่ชอบ ปล้ำซะดีไหม หืม"
เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูชวนให้รู้สึกขยะแขยงจนต้องเบี่ยงหน้าหลบเท่าที่จะสามารถทำได้ พยายามดิ้นจนสุดชีวิตก็ไม่เป็นผล ปลายจมูกที่แตะลงมาบนซอกคอนั้นส่งผลให้ขอบตาร้อนผ่าว ผมกำลังจะร้องไห้ โคตรแย่ พี่อินแม่ง... ไม่สนใจกันเลย

"ทำอะไรวะ!"
ตอนที่กำลังจะหลับตาลงเพราะไม่สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้นั้น เสียงที่คุ้นเคยและผมชอบบ่นอยู่เสมอว่ามันน่ารำคาญกลับฟังดูแล้วอุ่นใจในตอนนี้ พี่อินก้าวลงมาจากรถด้วยใบหน้าเคร่งเครียดที่สามารถมองเห็นได้จากแสงสลัว ไอ้ป๊อปชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือออกจากปากผมแต่ยังไม่ยอมปล่อยออกจากอ้อมแขน

"เป็นใครครับ อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นดีกว่าน่า"
ไอ้ป๊อปพูดด้วยเสียงยียวนแล้วกระชับอ้อมแขนมาขึ้นกว่าเก่า ผมยกขากระแทกกลางลำตัวของมันแล้วกำหมัดต่อยหน้าไปหนึ่งครั้งตอนที่มันเผลอมัวแต่คุยกับพี่อิน ได้จังหวะก็รีบวิ่งไปหาคนที่ยืนทำหน้ายักษ์อยู่ ตอนนี้ไม่คิดว่าเขาน่ารำคาญอีกแล้ว

"ฟ่อน!! ต่อยกูเหรอวะ"
ไอ้ป๊อปตะโกนด้วยเสียงเกรี้ยวกราดแล้วย่างสามขุมเข้ามาเรื่อยๆ พี่อินดึงข้อมือให้ผมไปยืนอยู่ด้านหลัง ในเวลานี้ความรู้สึกหวั่นไหวเพิ่มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ คล้ายๆ นางเอกในละครหลังข่าวเลยว่ะกู ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายแต่ต้องให้คนอื่นปกป้อง แย่ว่ะ

"ทำไมจะยุ่งไม่ได้ ในเมื่อฟ่อนเป็นคนของผม"
พี่อินพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง มือหนาเลื่อนมากุมมือกันไว้ราวกับจะบอกว่าเขาจัดการเรื่องตรงหน้าเอง ผมก็ไม่ได้คิดเถียงอะไรแต่แค่ตกใจที่โดนแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบนั้น ไม่รังเกียจแต่หน้าร้อนวูบ ทำไงดี...

"เป็นพี่ชายหรือพ่อมันล่ะ"
ไอ้ป๊อปยังคงกวนตีนไม่เลิก ผมอยากจะด่าว่าถ้าพอกูเด็กขนาดนี้ก็แปลกแล้ว ถามวอนโดนถีบไหมล่ะ แต่พี่อินมีคำตอบที่เด็ดกว่าจนผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ

"เป็นผัวครับ ชัดหรือยัง คราวหน้าอย่ามาวุ่นวายกับคนของผมอีก"
ชัดจนอยากจะกระโดดงับหัว พี่อินกล้าใช้คำว่าผัวได้ยังไงกันวะ แค่บอกว่าแฟนก็พอไหม เล่นพูดแบบนี้ผมเสียหายนะเว้ย อย่าเอาความซิงคนอื่นมาล้อเล่นนะ แบบนี้ต้องรับผิดชอบรู้ไหม!

"ไหนบอกว่าโสดวะฟ่อน หลอกให้ตามจีบอยู่ได้ เหี้ยเอ้ย"
ไอ้ป๊อปสบถด่ากันก่อนจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆ ดูท่าทางอารมณ์เสียมาก ผมรู้ว่ามันจริงจังแต่ด้วยนิสัยเหี้ยๆ ชอบกร่าง ชอบบังคับ ไม่มีความเกรงใจ เจ้าชู้ เลยทำให้คนๆ นี้ไม่น่าสนใจอย่างมาก

"ใครหลอกวะ มึงตามจีบกูเองเถอะ อย่ามาใส่ความคนอื่น"
ผมบอกไอ้ป๊อปออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด จะมากล่าวหากันแบบนี่ได้ยังไง ในเมื่อไม่เคยหลอกอะไรมันสักนิดเดียว ไอ้เรื่องที่บอกว่าไม่มีแฟนมันคือความจริงนี่ แต่ไม่ได้เต็มใจหรือเปิดโอกาสให้จีบเลยสักครั้ง ใครผิดเหรอเรื่องนี้ อยากถามจริงๆ

พี่อินบีบมือผมแน่นแล้วหันมามองกันด้วยสายตาคาดโทษเพราะพูดคำไม่สุภาพออกไปอาจจะทำให้ไอ้ป๊อปเดินเข้ามาหาเรื่องเราทั้งสองคน แต่ผมรู้นิสัยมันดีว่าถ้าประเมินสถานการณ์แล้วตัวเองมีสิทธิ์ชนะน้อยก็จะไม่ทำนิสัยกร่างเกินจำเป็น ก็เล่นขนาดตัวต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้... ใครจะกล้าหือวะ

"ถ้าอยากเขี่ยฟ่อนทิ้งเมื่อไหร่บอกด้วยนะ รออยู่ว่ะ"
แต่ไอ้ป๊อปไม่ได้แคร์เลยว่าคำพูดของพี่อินจริงจังแค่ไหน มันยังคงใช้สายตาโลมเลียร่างกายผม ปฏิเสธแทบตายแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล ขนาดเขาออกตัวว่าเป็นผัว... ยังไม่สะทกสะท้าน

"เสียใจด้วยนะครับ เพราะผมไม่มีวันทิ้งเขา"
พี่อินพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม หน้าตาจริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ ดูแน่วแน่มากกว่าตอนจีบกันอีก ถึงสถานการณ์มันหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดไหน ผมก็ยังหวั่นไหวและเผลอยอมรับหัวใจตัวเองไปแล้วว่าชอบเขา... กลืนน้ำลายตัวเองจนได้ แม่ง

"หึ จะคอยดู"
ไอ้ป๊อปชี้นิ้วมาที่เราสองคนแล้วแสยะยิ้มปิดท้ายคำพูดก่อนจะเดินหายไปอีกทางหนึ่ง พี่อินถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกันกลับมาสบตากับผมที่ยังคงยืนควบคุมจังหวะหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นแรง ดวงตาคมมองสำรวจไปตามร่างกายคล้ายกับว่าจะหาร่องรอยช้ำที่โดนไอ้ป๊อปทำร้าย

"เจ็บตรงไหนหรือเปล่าฟ่อน"
น้ำเสียงนุ่มถามขึ้นทำให้ผมต้องโถมตัวเข้าไปกอดเขาทันที ไม่รู้เพราะอะไรถึงอยากได้รับไออุ่นจากพี่อิน ขอบตาที่เคยร้อนผ่าวในตอนนี้กลับมาน้ำตาไหลลงมาเล็กน้อย

"ไม่เจ็บ... แต่ตกใจ"
ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะใบหน้าซบลงบนไหล่อีกคน พี่อินโอบแขนรอบเอวเพื่อกอดตอบกันไว้หลวมๆ ก่อนจะโยกตัวไปมาเหมือนเวลาปลอบเด็กตัวเล็กๆ ถึงมันจะดูปัญญาอ่อนแต่ผมชอบนะ ชอบมากด้วยเพราะเขาเป็นคนทำมัน

"ไม่เป็นไรนะ ปลอดภัยแล้ว"
มือใหญ่ลูบหัวกันอย่างอ่อนโยน ไม่มีคำปลอบที่ไพเราะอะไรแต่แค่นั้นก็ทำให้ผมอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ พี่อินชนะแล้ว เขาทำสำเร็จในเวลาแค่หนึ่งเดือน ไม่ต้องจีบให้เอิกเกริกแต่ใช้วิธีค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในชีวิต คล้ายๆ กับที่พี่ทาร์ตทำ ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาได้เกือบยี่สิบปี

"อือ ขอบคุณนะพี่อิน"
ผมตอบกลับไปก่อนจะผละตัวออกมาแล้วใช้มือเช็ดใบหน้าที่ทั้งมันและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาทิ้งลวกๆ พี่อินโคลงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะพยักพเยิดหน้าไปทางรถครอบครัวที่จอดแน่นิ่งรอเราทั้งสองคนนานแล้ว

"ครับๆ ขึ้นรถแล้วไปหาอะไรกินกันเถอะ ไส้กิ่วแล้วเนี่ย"
พี่อินพูดติดตลกก่อนจะให้แขนแกร่งพาดลงมาบนไหล่กันแล้วดันให้ผมเดินเคียงคู่ไปกับเขา วันนี้จะไม่ต่อต้านและยอมเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่เป็นการตอบแทนที่เขาช่วยเหลือก็แล้วกัน

"อื้อ"

ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ที่ผมทำตัวเป็นเด็กดีไม่หือไม่อือไม่หนีเวลาที่พี่อินมารับไปส่งที่โรงเรียนจนตอนนี้โดนพี่ทาร์ตเรียกคุยเพราะรู้สึกว่าน้องชายตัวเองแปลกไป ดูเหมือนจะห่วงความรู้สึกเพื่อนสนิทมากกว่าอีก... เซ็งสุดๆ

"ถามจริง ทำไมช่วงนี้ทำตัวเป็นเด็กดีกับไอ้อินจังวะ กูพลาดอะไรไปหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตนั่งเท้าคางมองผมในขณะที่พวกเรากำลังนั่งผ่อนคลายอยู่ริมสระน้ำ วันนี้พี่ปูนออกไปทำรายงานกับเพื่อนเลยทำให้พี่ชายว่างมานักซักฟอกกัน คิดอยากจะเบี่ยงเบนเปลี่ยนเรื่อง แต่เชื่อว่าเขาคงไม่ยอมหรอก ห่วงเพื่อนจะโดนปั่นหัวจะตาย หึ

"ปลง ขี้เกียจจะหนีแล้ว"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะไหวไหล่ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ใครจะบอกกันตรงๆ ล่ะว่าตกหลุมที่พี่อินตกไว้แล้ว อายแย่ ยิ่งพี่ทาร์ตเป็นพวกชอบแซวอีก ไม่ไหวๆ

"ขี้เกียจจะหนีหรือชอบไอ้อินแล้ว ตอบให้ดีๆ"

"ก็ตอบดีแล้วไง ขี้เกียจก็คือขี้เกียจดิพี่ทาร์ต ต้องการอะไรจากฟ่อนเนี่ย"
ผมแสร้งทำเสียงหงุดหงิดแล้วหยิบมันฝรั่งทอดใส่ปาก พี่ทาร์ตจ้องมองกันไม่วางตาก่อนจะเอื้อมมือใหญ่มาผลักหัวกัน  เอะอะก็ทำร้ายร่างกาย เอะอะก็ด่า สาบานว่านี่น้องไม่ใช่ทาส! คนมันสองมาตรฐานจนน่าหมั่นไส้ พอกับพี่ปูนเอาใส่อย่างนั้นอย่างนี้ หึ

"โกหก นิสัยอย่างมึงน่ะนะจะยอมใครง่ายๆ ชอบไอ้อินแล้วก็บอก อย่าทำปากแข็ง"
พี่ทาร์ตเหล่สายตามองกันอย่างจับผิด ผมได้แต่เบนสายตาหนีไปทางอื่น เขารู้จักนิสัยน้องชายตัวเองดีทั้งๆ ที่ชอบทำตัวไม่สนิทด้วย แต่ความจริงแล้วคือคนที่เข้าใจกันมากกว่าใคร เพราะแบบนี้เลยเกลียดที่โดนซักฟอกจากพี่ชาย หลีกเลี่ยงไม่ได้ โกหกยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่

"ถ้าชอบพี่อินแล้วไม่บอกใครมันจะทำไมอะ"
ผมถามเป็นการหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงกวนๆ ให้อีกคนรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จริงจังอะไร ดวงตากลมทอดมองน้ำสีฟ้าในสระแล้วพาลคิดถึงใบหน้าของพี่อิน เมื่อวานเพิ่งแกล้งผลักกันที่ตรงนี้ เปียกกันทั้งคู่

"หึ มึงก็รู้อยู่แก่ใจหรือเปล่าว่าไอ้อินมันเสน่ห์แค่ไหน สาวๆ ตอมอย่างกับขี้"
พี่ทาร์ตพูดติดตลกแต่มันคือความจริงที่เพื่อนสนิทของเขาเสน่ห์แรง ก็ดีกรีนายแบบเก่านี่นะ เรื่องแบบนี้มันห้ามได้ที่ไหน แอบหวั่นใจนะถ้าตัวเองยังปากแข็งแบบนี้ แต่ถ้าชอบถ้ารักกันจริงต้องไม่ใจง่ายกับคนอื่นสิ จริงไหม

"ก็งั้นๆ ล่ะน่า ถ้าพี่อินชอบฟ่อนจริงต้องรอได้สิ"
ผมพูดก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา เหลือบสายตามองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วแอบยิ้มกริ่ม ใกล้ถึงเวลานัดออกไปข้างนอกกับใครบางคนแล้วสิ ทั้งๆ ที่ผ่านมาก็ไปกินข้าวด้วยกันบ่อย แต่ครั้งนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ 'เดทครั้งแรกอย่างเป็นทางการ'

"ตามใจมึง ถ้าวันไหนอกหักอย่ามางอแงใส่แล้วกัน มันน่ารำคาญ"
ตามสไตล์พี่ทาร์ตคือปากร้ายแต่ใจดี ถึงเวลาผมอกหักขึ้นมาจริงๆ ก็คอยปลอบกัน ถึงไม่มีถ้อยคำสวยหรูแต่การอยู่ข้างๆ กันก็มากเกินพอแล้วกับพี่น้องสายเถื่อนอย่างเรา

"ร้ายกับน้องตลอด"
ผมบ่นเสียงอุบอิบแต่ก็แอบระบายยิ้มบางๆ ในคำพูดทำร้ายจิตใจนั้นมันแฝงความห่วงใยไว้เต็มๆ พี่ทาร์ตทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นมาโบกหัวกันแต่ต้องชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดาได้ไม่ยากคงเป็นพี่ปูนโทรมา ก็แหม... ปากจะฉีกถึงหูแล้วคนเรา หมั่นไส้

"โอเคๆ รอยี่สิบนาที เดี๋ยวไปหา"
พี่ทาร์ตพูดกับคนปลายสายด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะกดวางสายแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดูท่าทางพี่ปูนคงชวนไปกินข้าวเที่ยงด้วยแน่ๆ ก็งี้ล่ะนะ คนกำลังมีความรัก อะไรๆ ก็ดูสดใสไปซะหมด น่าอิจฉาจริงๆ

"กูออกไปกินข้าวกับปูนนะ แล้วมึงล่ะจะไปด้วยไหม"
พี่ทาร์ตหันมาถามกันด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง เนื่องจากป๊ากับม๊าออกไปงานสังสรรค์อะไรสักอย่าง แม่บ้านก็ลาหยุด ผมส่ายหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มสดใสแล้วตอบกลับไป

"เดี๋ยวมีคนมารับ ไม่ต้องห่วง"
พูดจบก็ขยิบตาให้ไปทีนึง พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่ก่อนจะยกมือขึ้นโบกลา แถมยังบอกว่าขากลับจะซื้อชีสเค้กญี่ปุ่นกลับมาฝาก ดูเถอะคนเรา ปากร้ายใจดีตลอดนั่นล่ะ

นั่งรอไม่ถึงยี่สิบนาทีหลังจากพี่ทาร์ตออกไป เสียงรถยนต์อีกคันก็ขับมาจอดที่หน้าประตูรั้ว ผมลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกไปจากประตูรั้ว พี่อินลดกระจกลงแล้วส่งยิ้มหวานมาให้กัน อากาศร้อนทำไมอารมณ์ดีนักนะคนเรา

"พร้อมไปเดทแล้วหรือไง"
เขาถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นแต่ผมกลับหน้าร้อนอย่างห้ามไม่ได้จนตกยกมือขึ้นมาพัดๆ

"ถามมากน่า ร้อนจะตายแล้ว ปลดล็อกประตูไวๆ เลย"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะพี่อินไม่ยอมปลดล็อกประตูให้ เขามัวแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่แยแสว่าคนด้านนอกจะร้อนสักแค่ไหน เหงื่อเริ่มออกแล้วนะเว้ย ไม่อยากมีกลิ่นนะ!

"สงสัยจะร้อนจริง แก้มแดงมาก"
พี่อินยังไม่หยุดแซวกันจนผมอยากจะเอื้อมมือไปต่อยหน้าสักที ทำไมชอบแกล้งกันนักนะ ไม่น่าเป็นเด็กดีเลยให้ตายเถอะ ต่อไปในอนาคตถ้าเป็นแฟนกันจะไม่แหย่ผมเช้ากลางวันเย็นเหรอไง

"อือ! เร็วๆ สิ"
ย่นจมูกใส่ไปก่อนจะกระโดดโหยงๆ เร่งคนด้านในให้เปิดประตูสักที ได้ขึ้นรถเมื่อไหร่จะฟาดให้สักทีโทษฐานปล่อยให้ผมยืนตากแดด

"ครับๆ คุณหนู"
เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นก่อนที่มือหนาๆ จะเอื้อมไปกดปลดล็อกประตูให้กันด้วยใบหน้าระรื่น ผมรีบพุ่งขึ้นรถโดยไม่รอช้าแล้วฟาดมือลงไปบนต้นแขนแกร่งด้วยความหมั่นไส้ แต่แทนที่เขาจะร้องโวยวายกลับมองหน้ากันด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ วันนี้ชีวิตของผมคงไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ... ฮือ




ต่อด้านล่างเนอะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
เดทครั้งแรกของพวกเราทั้งสองคนไม่ได้มีอะไรแปลกแตกต่างจากคู่อื่นอะไร กินข้าว ดูหนัง เดินทอดน่องดูนั่นชมนี่ไปเรื่อย แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงพองโตได้ถึงเพียงนี้ ผมไม่อยากยอมรับว่ากำลังมีความสุข แต่มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ จนต้องก้มหน้าก้มตามองมือตัวเองตลอดทางที่เรานั่งรถกลับบ้าน ถ้าเหลือบมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนสวยที่ถูกสวมใส่อยู่จะพบว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว... ยังไม่อยากจากกันเลย ถึงแม้ว่าวันถัดไปพี่อินจะมารับกันอยู่ดีก็เถอะ

หลังจากนี้พี่อินต้องไปทำงานที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ แม่ง ใครใช้ให้มีเงินเปิดกิจการแบบนั้นวะ สาวๆ รุมตอมอย่างกับขี้ทุกวัน ผมก็หวงเป็นแต่ไม่แสดงออกแค่นั้นเอง จะบอกว่าชอบเขาเข้าแล้วตรงๆ ก็กระดากปาก เคยพูดไปหลายรอบว่าไม่มีทางหลงกลแน่ๆ สุดท้ายเป็นไงล่ะ... แพ้เขาหมดทุกทาง

“ก้มมองมือตัวเองไม่เมื่อยคอบ้างหรือไง”
เสียงทุ้มเอ่ยถามกันเมื่อเจ้าตัวสังเกตมาสักพักว่าผมเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาตลอด ตอนนี้นอกจากความรู้สึกเขินแล้วยังมีความรู้สึกกังวลเข้ามาร่วมด้วย ปากอยากจะห้ามแต่รู้ว่านั่นคืองานที่พี่อินต้องทำ ลำบากเนอะ หลวมตัวไปชอบคนหล่อเนี่ย อยากวิ่งโล่ไปหาพี่ปูนแล้วถามเคล็ดลับการหักห้ามใจตัวเองไม่ให้หึงหวงจัง

“ไม่นี่ แล้วต้องไปที่ร้านต่อเหรอ”
ผมออกปากถามก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของสารถีส่วนตัวในเวลานี้ เขาเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“ใช่ วันนี้ต้องขึ้นไปร้องเพลงด้วย ลูกค้าขอมาเป็นกรณีพิเศษ”
พี่อินตอบด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย ดูท่าทางไม่ค่อยพอใจที่โดนขอร้องแบบนั้น ก็ในเมื่อเจ้าตัวขี้อายเรื่องการร้องเพลงจะตายไป แต่ที่จำใจยอมทำคงเพราะลูกค้าวีไอพีหรือมีความสำคัญกับเจ้าตัวมากล่ะมั้ง แค่คิดก็รู้สึกใจแป้วแล้ว

“ทำไมอะ เป็นเจ้าของร้านต้องร้องเพลงด้วยเหรอ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ พยายามไม่จริงจัง ไม่อยากให้เขาจับความรู้สึกที่ผมกำลังมีอยู่ตอนนี้ได้เลย ไม่ใช่ว่าอยากปิดบังอะไร แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าพี่อินจะชอบเด็กกะโปโลอย่างนี้จริงๆ ตัวเลือกของเขามีทั้งผู้หญิงผู้ชายพร้อมเสนอตัวนับสิบ... อาจจะเห็นผมเป็นของเล่นหรือเปล่านะ

“วันเกิดลูกค้าวีไอพี”
พี่อินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ใส่ใจลูกค้ารายนี้สักเท่าไหร่ ผมได้แต่พยักหน้าเพราะไม่รู้จะถามอะไรต่อ ถ้าขอตามไปที่ร้านด้วยก็คงไม่ได้ ก็เป็นแค่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแถมยังมีเรียนตอนเช้าอีก จะเอ่ยปากขอร้องพี่ทาร์ตกับพี่ปูนก็ใช่เรื่อง ปล่อยพวกเขาอยู่ในโลกสีชมพูไปเถอะ อีกไม่นานก็ต้องห่างกันเพราะอีกคนมีเรียนซัมเมอร์ที่เกาหลี

“ฟ่อน...”
รถเคลื่อนมาถึงหน้าประตูรั้วพร้อมกับเสียงทุ้มเรียกชื่อกันทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองกลับสู่โลกของความเป็นจริง ต้องบอกลากันแล้วสินะสำหรับค่ำคืนนี้... เฮ้อ ความสุขมักผ่านไปไวเสมอ

“ขอบคุณครับ สำหรับวันนี้”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเบาหวิวแล้วปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว ขาด้านซ้ายกำลังจะก้าวลงจากรถแต่ต้นแขนกลับถูกพี่อินใช้มือใหญ่รั้งกันเอาไว้ซะก่อน ดวงตาคมกำลังจ้องมาทางนี้อย่างมีความหมาย แต่มันแปลความหมายได้ยากเหลือเกิน ผมมันยังเด็ก ไม่สามารถเดาความคิดใครออกขนาดนั้นหรอก

“มีอะไรหรือเปล่า”
ผมถามกลับไปแล้วมองมือใหญ่ที่รั้งแขนกันสลับกับใบหน้าหล่อเหลาของพี่อินอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ยอมปล่อยกันสักที ต้องรีบไปที่ร้านไม่ใช่หรือไง มาเสียเวลากับเด็กกะโปโลแบบนี้เดี๋ยวก็เสียงงานเสียลูกค้าหรอก เขาขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะจ้องมาด้วยสายตาสั่นไหว ปากหยักเม้มเข้าหากันครู่หนึ่งแล้วคลายออกเหมือนคนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างจบแล้ว

“ถ้ารั้งกันสักคำ พี่จะไม่ไปที่ร้าน”
ถ้อยคำแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากหยักพร้อมกับแรงบีบที่ต้นแขนเพิ่มขึ้น ผมเบนหลบดวงตาคมแทบจะทันทีเพราะรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวาบขึ้นมาเฉยๆ ทำไมรู้สึกว่าพี่อินกำลังอ้อนขอความสนใจจากผมอยู่กันนะ อยากให้แสดงอาการหึงหวงออกไปหรือยังไงนะ

“ฟ่อนมีสิทธิ์อะไรไปรั้งพี่อินล่ะ นั่นลูกค้าวีไอพีนะ”
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาไม่แพ้กัน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาพี่อินจริงๆ ในตอนนี้ กลัวว่าจะเจอสายตาของลูกหมาตัวน้อยที่ชอบใช้อ้อนเจ้าของเวลาต้องการอะไรบางอย่าง ไม่ชินกับเขาในโหมดนี้เลย โหมดที่สามารถทำให้ใครต่อใครยอมแพ้ได้ง่ายๆ

“สิทธิ์ของคนที่พี่ชอบและกำลังจีบอยู่”
พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังและแฝงไปด้วยความหนักแน่น ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงมาบนใบหน้า ผมผละตัวหนีจนหลังชนกับประตูรถ รู้สึกว่าอุณหภูมิสูงขึ้นหรือเปล่านะ ทำไมเหงื่อออกวะ ใจเต้นแรงด้วยสิ พี่อินจะได้ยินหรือเปล่า

“ถ้ารั้งแล้วจะไม่ไปจริงๆ หรือไง นั่นงานของพี่อินนะ”
พูดเสียงอ้อมแอ้มก่อนจะควานมือสะเปะสะปะดันหน้าอกแกร่งของพี่อินให้ขยับออกห่าง ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมาเลยทำให้ผมหันขวับไปจ้องตาเขาอย่างเอาเรื่อง แต่กลับโดนฮุกหมัดใส่เต็มๆ กับคำพูดประโยคถัดไป

“ก็แค่ลูกค้าคนเดียว พี่ไม่ได้ถวายหัวให้กับงานขนาดนั้น แต่กับฟ่อนพร้อมถวายใจและตัวให้เลย”

“ไอ้บ้า... ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ห้ามไปที่ร้านนะ ฟ่อนขอร้อง”
ด่าเขาในต้นประโยคแต่ท้ายอ้อนจนรู้สึกอาย อยากเอาหน้ามุดหนีที่ไหนสักแห่งเมื่อพี่อินคลี่ยิ้มกว้างขึ้นแทบจะทันที ไม่น่าเลย ไม่น่าหลุดปากห้ามเขาไปแบบนั้นเลย เมื่อไหร่จะหยุดแสดงออกให้เขารู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง อยากแสดงบทคนปากแข็งต่อเพื่อลองใจอีกสักหน่อย แต่คงไม่มีโอกาสแล้วล่ะ ความแตก

“หึหึ ได้ครับ น่ารักจัง”

“อะไรเล่า ปล่อยเหอะ จะเข้าบ้านแล้ว พี่ทาร์ตชะเง้อจนคอเป็นกะเหรี่ยงแล้วนั่น”
ผมยืดตัวขึ้นแล้วจิ้มลงไปบนกระจกรถให้ดูพี่ชายตัวเองพี่ยืนรออยู่ตรงประตูรั้ว คล้ายๆ กะเหรี่ยงจริงๆ นั่นล่ะ คงยืนด่ากันด้วยสินะว่าทำไมไม่ยอมลงจากรถสักที คนเรามันก็ต้องล่ำลากันบ้างเป็นธรรมดา


“โอเคๆ พรุ่งนี้จะมารับไปโรงเรียนนะ”
พี่อินพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยอมปลดล็อกประตูให้กัน

“อื้อ... กลับบ้านดีๆ”
ผมหันไปยิ้มให้แล้วบอกลาอีกรอบก่อนจะก้าวลงมาจากรถ เหลือบเห็นพี่ทาร์ตที่ปลายสายตากำลังยืนแยกเขี้ยวอยู่ สงสัยยุงคงรุมกัด ในตอนที่กำลังจะปิดประตูรถ พี่อินก็อ้าปากพูดอะไรบ้างอย่างธรรมดาๆ ออกมาแต่ทำให้คนฟังรู้สึกดี

“ฝันดีครับ”

“อื้อ... เหมือนกัน”

กลัวว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับแทนน่ะสิ




-------------------------------------------------------


พาร์ทนี้มอบให้ความหวานของน้องฟ่อนกับพี่อินคนดี(?) เลย

ปล. ขอบคุณทุกคนที่อวยพรวันเกิดเราน้า แล้วก็ขอบคุณที่คอยติดตามอ่านกัน
จริงๆ แล้วอยากอ่านความคิดเห็นของทุกคนที่อ่านเรื่องนี้น้า 555555
แต่ไม่เป็นไร เราเข้าใจ ขอให้ตามอ่านจนจบและติดตามกันไปเรื่อยๆ ก็พอ

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
คู่นี้เร็วเวอร์  5555  o13 o13

ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
ดีใจแทนพี่อินที่จีบน้องฟ่อนติด พี่อินรักมั่นคงมาก  อยากอ่าน พาร์ทของพี่อินทำไมถึงได้นึกรักฟ่อนที่ยังอายุน้อย  หรือหวังเลี้ยงต้อย 555

พี่ทาร์ตปากบอกยกน้องให้เพื่อน แต่ก็มีแอบหวงน้องอยู่เหมือนกัน

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 15

Kiwi Mousse
: กีวี่เขียว/วิปปิ้งครีมชนิดผง/น้ำเย็นจัด/ผลไม้ตกแต่ง :

Tart's Part




ในตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่ากีวี่มูสที่ตัวเองเพิ่งทำเสร็จไปหมาดๆ เมื่อหลายนาทีก่อนไม่อร่อยเลย ทั้งๆ ที่ก็ทำตามสูตรเป๊ะๆ เหมือนทุกครั้ง อาจจะเพราะไม่มีสมาธิหรือมัวแต่เหม่อคิดถึงใครบางคนที่หนีไปเรียนซัมเมอร์ไกลถึงเกาหลี แค่นึกถึงก็ต้องถอนหายใจอีกระลอก

ผมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วแนบหน้าลงกับท่อนแขนที่พาดยาวไปตามโต๊ะ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพ่นออกมาแรงๆ ทำแบบนี้วนไปวนมาอยู่หลายรอบจนรู้สึกว่ามีใครบางคนยืนค้ำหัวกันอยู่ เหลือบสายตาขึ้นมองก็เจอเข้ากับใบหน้าหวานๆ ของน้องชายที่ยิ้มกริ่มราวกับมีความสุขนักหนา เห็นแล้วหมั่นไส้ว่ะ

"ยิ้มอะไรนักหนา"
ผมถามน้องด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ เพราะรู้สึกว่าพักนี้มันจะมีอะไรปิดบังอยู่ แต่ด้วยความที่เป็นพี่ชายเลยพอเดาออกว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องไอ้อินหรอก ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงๆ พวกปากตรงกับใจทำอะไรก็ดีไปซะหมด อิจฉาเพื่อนชะมัด

"คนมีความสุขก็ต้องยิ้มเป็นธรรมดาดิ แล้วพี่ทาร์ตจะทำหน้าบึ้งไปถึงเมื่อไหร่"
คนตัวบางลากเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบแก้วกีวี่มูสไปกินอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่เอ่ยปากขอสักคำ แต่ผมขี้เกียจจะด่าเลยเงียบไปแล้วจ้องไอ้ฟ่อนอย่างเบื่อหน่าย ก็คนมันคิดถึงปูนนี่หว่า จะให้ฉีกยิ้มได้ยังไง นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว เฟซไทม์หรือไลน์ไปหาก็คุยกันได้นิดเดียว เพราะฝั่งนู้นตรงปรับตัวนั่นนี่ และข่าวร้ายสุดๆ คือห้องพักของไอ้กายอยู่ติดกับเขาด้วย แม่ง...

“ไม่รู้ ก็มันเบื่อ วันนี้มึงออกไปไหนหรือเปล่า”
ผมขยับตัวยืดเส้นยืดสายก่อนจะอ้าปากหาวออกมาอีกระลอก ว่าจะชวนน้องชายตัวดีออกไปกินข้าวเที่ยงตามด้วยเลี้ยงไอติมมันสักหนึ่งมื้อ เพราะตั้งแต่กลับมาอยู่ภูเก็ต ยังไม่เคยพามันไปไหนจริงๆ จังๆ สองคนพี่น้องสักที อีกอย่างคือเริ่มหมั่นไส้เพื่อนตัวเองแล้วที่มาแย่งความสนใจจากไอ้ฟ่อนไป... ตอนนี้กูเหงา กูจะพาลทุกคน ป๊ากับม๊ารอดตัวเพราะหนีไปต่างจังหวัดแล้ว หึ หน้าโลว์ซีซั่นก็แบบนี้ ออกทัวร์กันไม่ลืมหูลืมตา

“ถามทำไมอะ”
ไอ้ฟ่อนเงยหน้าขึ้นจากแก้วกีวี่มูสแล้วมองกันด้วยดวงตาเป็นประกาย มีแววหยอกล้อจนผมต้องส่งมะเหงกไปให้มันหนึ่งที เกลียดความรู้ทันจริงๆ เลยให้ตายเถอะ

“จะชวนไปกินข้าวเที่ยง ว่าไงล่ะ หรือนัดไอ้อินเอาไว้”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ทั้งๆ ที่จริงแล้วอยากให้น้องตอบว่าไม่ได้นัดใครเอาไว้ใจจะขาด หรือถ้านัดจะให้โทรไปยกเลิกเดี๋ยวนี้ ใครจะว่านิสัยเสียก็ช่าง ตอนนี้พาลแล้วเว้ย เหลือบมองโทรศัพท์เป็นรอบที่ล้านของมันก็ยิ่งหงุดหงิด ปูนยังไม่ตอบไลน์กันเลยสักครั้ง จะให้โทรไปก็กลัวจะรบกวนวันหยุดแสนสบายของคนเรียนซัมเมอร์

“ก็... นัดกันไว้นั่นล่ะ แต่เป็นมื้อเย็น”
ไอ้ฟ่อนตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วตักกีวี่มูสใส่ปากอีกครั้ง ใบหน้าหวานคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข จนผมไม่รู้ว่าเพราะกินขนมอร่อยหรือคิดถึงไอ้อินกันแน่ ทำยังไงให้หายหมั่นไส้มันดีวะ

“ชอบมันแล้วอะดิ ยอมไปไหนมาไหนด้วยเกือบทุกวันขนาดนี้”
ผมว่าด้วยน้ำเสียงหยอกล้อแล้วจ้องไอ้ฟ่อนตาไม่กระพริบ น้องผงะถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น แก้มขาวๆ ทั้งสองข้างเริ่มมีสีแดงระเรื่อปรากฏให้เห็น อาการแสดงออกไปถึงไหนต่อไหนแต่เชื่อดิว่าปากแข็ง ไม่รู้นิสัยเหมือนใครเนอะ...

“อะไรเล่า ก็สบายดีออกไม่ใช่เหรอ มีคนไปรับไปส่งแถมเลี้ยงข้าวด้วย”
มันตอบกลับมาเสียงอ้อมแอ้มแล้วเอื้อมมือมาหยิบกีวี่มูสแก้วใหม่ไปนั่งกิน ด้วยความที่มือคงสั่นเลยทำให้ขนมเลอะติดขอบปาด เดือดร้อนให้พี่ชายอย่างผมที่หมั่นไส้อยู่แล้วส่งทิชชู่ไปเช็ดตรงตำแหน่งนั้นแรงๆ จนไอ้ฟ่อนสะดุ้งแล้วหันมาแยกเขี้ยวใส่กัน

“มึงนี่ตอบไม่ตรงคำถามเนอะ กูแค่อยากรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบไอ้อินก็แค่นั้น พล่ามอะไรมายาวเหยียด”
ผมว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อจะไปเก็บอุปกรณ์ทำขนมให้เข้าที่เข้าทาง เพราะเดี๋ยวต้องพาไอ้ตัวแสบออกไปกินข้าวตามที่ตัวเองต้องการ ดวงตาคมยังเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความหวัง แต่มันกลับมืดสนิทคล้ายกับอีกคนที่อยู่ฝั่งโน้นหายสาบสูญ แม่ง จะเลิกคิดถึงเขาสักสิบนาทีมันจะตายไหมวะ เสือกปากหนักบอกจะจีบเขาอีก เวรเอ้ย ไม่ได้เป็นอะไรกันจะไปหึงหวงเรื่องไอ้กายได้ยังไง เซ็ง


“เออน่า เลิกพูดเรื่องนี้เหอะ ว่าแต่กีวี่มูสอร่อยอะ”
ไอ้ฟ่อนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนผมที่กำลังล้างอุปกรณ์อยู่ต้องเหลียวหลัง มันอร่อยตรงไหนวะ จืดก็จืด... ไม่เข้าใจเลยว่าลิ้นใครมีปัญหากันแน่

“อร่อยตรงไหนวะ กูว่ามันจืดๆ”
ผมบอกน้องไปแบบนั้นก่อนจะหันกลับมาล้างอุปกรณ์ของตัวเองต่อ ขืนช้าอยู่อาจจะหิวข้าวตายกันไปข้างหนึ่ง เพราะว่าตอนนี้เลยเวลาเที่ยงมาเกือบสามสิบนาทีแล้ว ไอ้ฟ่อนเดินมายืนข้างๆ แล้วเอาแก้วกีวี่มูสที่กินหมดแล้วมาใส่อ่างล้างจานก่อนจะพูดอะไรที่ทำให้ผมชะงักไปหลายวินาที แม่ง แทงใจ

“อร่อยเหมือนเดิมนะ พี่ทาร์ตมัวแต่คิดถึงพี่ปูนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเปล่าล่ะ”
ไอ้ฟ่อนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินหนีเมื่อเห็นผมทำหน้ายักษ์ใส่ เกือบจะเอามือที่ติดฟองน้ำยาล้างจานป้ายปากหมาๆ ของมันแล้วไหมล่ะ ได้ทีแซวใหญ่เลยนะมึง ถ้าไม่ติดว่าต้องอ้อนน้องไปกินข้าวด้วยกันคงวิ่งไล่เตะก้นไปแล้ว

“ไปไกลๆ เลยมึง เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวจะพาออกไปกินข้าวแล้ว”
ผมออกปากไล่แล้วเช็ดมือกับเสื้อตัวเองอย่างติดนิสัยก่อนจะเดินออกจากครัวด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ โทรศัพท์ที่อยู่ในมือยังคงเงียบสนิทไม่มีการตอบรับจากปูนเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วไอ้น้องชายตัวดีทำไมถึงยังยืนเป็นหุ่นขี้ผึ้งอยู่ตรงนี้ล่ะวะ หรือต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีก

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดิ”
ผมออกปากไล่น้องอีกรอบก่อนจะได้คำตอบเป็นการพยักหน้า มือเรียวของมันส่งโทรศัพท์มือถือมาตรงหน้าของผมพร้อมกับจอสี่เหลี่ยมแสดงว่ากำลังคอลไลน์กับใครอีกคนหนึ่งอยู่ ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นรายชื่อนั้นอย่างชัดเจน

“กำลังคุยกับพี่ปูนอยู่อะ”
ไอ้ฟ่อนตอบกันด้วยน้ำเสียงยียวนก่อนที่มันจะโยกตัวหลบมือหนาของผมที่ยื่นไปข้างหน้าเพื่อจะแย่งโทรศัพท์มือถือมาคุยซะเอง ทำไมปูนไม่ตอบไลน์วะ แอบน้อยใจนะเนี่ย จะรู้ตัวบ้างไหมว่าทำให้คนอื่นคิดถึงมากแค่ไหน

“เอาโทรศัพท์มานี่ กูจะคุย”
เนื่องจากไม่อยากทำร้ายน้องตัวเองด้วยการใช้กำลังเลยใช้น้ำเสียงในการข่มขู่แทน ซึ่งดูท่าทางแล้วจะไม่ได้ผลเพราะไอ้ฟ่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วฟ้องคนปลายสายแทบจะทันที แม่งเอ้ย มีน้องไม่รักดีอยู่ข้างคนอื่นก็แบบเนี่ย ห่วงปูนอย่างกับอะไรดีแถมไม่ช่วยพี่ชายตัวเองจีบอีกคนด้วย ให้มันได้แบบนี้สิวะ

“พี่ปูนๆ พี่ทาร์ตจะตีฟ่อนอะ”
ไอ้ฟ่อนทำน้ำเสียงออดอ้อนคนปลายสายแต่ใบหน้ายิ้มเยาะให้พี่ชายของมันเต็มที่ ผมหมั่นไส้เลยแจกมะเหงกให้จนได้ ยั้งมือไม่ไหวจริงๆ ให้ตายเถอะ อยากคุยกับปูนก็ไม่ได้คุย ยังจะโดนหาว่าแกล้งน้องอีก... ดูเลวมาก

“ฮือ! พี่ทาร์ตเขกหัวฟ่อนอะพี่ปูน ไม่ต้องไปคุยด้วยเลยนะ นิสัยแย่มากอะ”
ไอ้ฟ่อนยังคงออกปากฟ้องปูนอย่างไม่หยุดหย่อน แต่คราวนี้มันเดินหนีไปอยู่อีกฝั่งของห้องนั่งเล่นเรียบร้อยแล้ว แถมยังแลบลิ้นปลิ้นตามาให้กันอีก ผมได้แต่ยืนแยกเขี้ยวแล้วโบกมือไล่ให้มันไปแต่งตัวสักทีเพราะรู้สึกหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว เรื่องของอีกคนไว้ค่อยเคลียร์เอาเองจะดีกว่า มีตัวยุแยงตะแคงรั่วอยู่เดี๋ยวมันจะพังไม่เป็นท่า

น้องวางสายหลังจากที่ออดอ้อนออเซาะอีกคนจบแล้วยอมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักที ผมเลยได้โอกาสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นสีเขียวมะนาวเพื่อคอลหาปูนแทบจะทันที แต่รออยู่นานนับนาทีก็ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย นี่จะเชื่อคำไอ้ฟ่อนจริงๆ เหรอ ไม่อยากคุยกับผมเหรอไงวะ... เริ่มคิดมากแล้วนะเว้ย โกรธอะไรหรือเปล่าเนี่ย เมื่อวานก็ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย กำลังจะกดต่อสายอีกรอบแต่ก็ต้องชะงักมือไว้แค่นั้นเพราะไอ้ฟ่อนลงมาจากชั้นบนพอดี การแต่งตัวแทบจะทำให้ผมสำลักน้ำลายตัวเอง

“แต่งตัวอะไรของมึงเนี่ยไอ้ฟ่อน อย่างกับเด็กประถม”
ผมถามด้วยน้ำเสียงสูงเล็กน้อยเมื่อเห็นน้องแต่งตัวด้วยชุดเอี๊ยมยีนส์ละใส่เสื้อด้านในเป็นสีเหลืองสดใส มองๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนมินเนี่ยนหลุดออกมาจากการ์ตูนไม่มีผิด มองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเบ้ปากใส่มัน ไหวหรือเปล่าวะ ผีเข้าสิงให้แบ๊วขนาดนี้เลยเหรอ

ไอ้ฟ่อนเบะปากใส่ผมก่อนจะเดินตรงมาแล้วใช้หมัดเล็กๆ ต่อยลงที่แขนเป็นการบอกว่ามันกำลังไม่พอใจกับคำวิจารณ์เมื่อครู่ อยากจะตะโกนกรอกหูเหลือเกินว่าไม่เจ็บเลยสัดนิด เหมือนมดกัดก็แค่นั้นเอง

“พูดมากอะ จะไปกินข้าวปะ ถ้าไม่ไปฟ่อนจะโทรเรียกพี่อินให้มารับตอนนี้เลยนะ”
ไอ้ฟ่อนยืนกอดอกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งๆ ชวนปวดหัว น้องขู่มาแบบนั้นเลยทำให้ผมแค่ส่ายหัวไปมาแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะพาดแขนแกร่งวางบนไหล่ของอีกคนอย่างรักใคร่...

“เดี๋ยวนี้หัดขู่กูนะมึง”
ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วใช้แขนดันท้ายทอยน้องเพื่อให้มันหัวทิ่มไปด้านหน้า ไอ้ฟ่อนทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะหันมามองกันตาเขียวอย่างไม่กลัวเกรง นับวันยิ่งปีกกล้าขาแข็งเข้าเรื่อย ยิ่งมีไอ้อินคอยหนุนหลังยิ่งเสียนิสัย ก้าวร้าวจริงๆ ไอ้เด็กคนนี้

“ทำไมอะ ให้น้องสำคัญบ้างไม่ได้หรือไง อะไรๆ ก็พี่ปูนตลอด ฟ่อนน้อยใจเป็นเหมือนกันนะเว้ย”
ไอ้ฟ่อนสะบัดแขนผมออกแล้วขยับตัวไปยืนกอดอกอยู่ไกลๆ หน้าตาบ่งบอกว่ามันน้อยใจอย่างที่พูดจริงๆ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพยักหน้าไปอย่างช่วยไม่ได้ ยอมรับเลยว่าตั้งแต่เล็กจนโตสนใจปูนมากกว่า เพราะน้องชายคนนี้ไม่ค่อยเชื่อฟังสักเท่าไหร่ ชอบเอาแต่ใจตัวเองอยู่เรื่อย

“เออๆ มึงก็สำคัญเหมือนกันละน่า อย่าน้อยใจ ไปๆ กูหิวข้าวจะตายแล้ว”
ผมเดินเข้าไปหาน้องแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวทุยๆ นั่นอย่างเอ็นดู ที่จริงก็รักมันมากกว่าใครนั่นล่ะ แต่กลัวจะได้ใจไปหน่อยเลยไม่แสดงออกสักเท่าไหร่ ไอ้ฟ่อนส่งเสียงหึเบาๆ แต่ก็ไม่ปัดป้องอะไรทั้งสิ้น แถมยังเปลี่ยนมาเกาะแขนกันอย่างออดอ้อนอีก หนึ่งนาทีร้อยอารมณ์หรือเปล่าวะคนเรา ตามไม่ทันจริงๆ

“เลี้ยงข้าวแล้วต่อด้วยไอติมน้า”
เสียงทุ้มหวานอ้อนขอสิ่งที่ต้องการแถมยังเอาหน้าเล็กๆ มาถูไถต้นแขนอย่างน่ารัก ผมเหลือบสายตามองก่อนจะสายหัวไปมาอย่างปลงตก ถึงจะปากร้ายกับน้องแค่ไหนแต่สุดท้ายก็แพ้มันทุกทีล่ะน่า อยากให้ปูนทำแบบนี้บ้างจังคงฟินดี เฮ้อ

“เออๆ”
ก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วนี่เนอะ จะปฏิเสธได้ยังไงกันล่ะ จริงไหม

ประมาณห้าโมงเย็นผมก็ส่งไม้ต่อให้กับไอ้อินที่มารับฟ่อนไปเดินตลาดนัดชิลล์วาแถวๆ ร้านหมูกระทะเจ้าดัง ส่วนตัวเองหอบสังขารเปื่อยๆ กลับมาที่บ้าน ตลอดทั้งวันปูนไม่ยอมติดต่อกลับมาเลยสักครั้งเหมือนบุคคลหายสาบสูญก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งหรือโกรธกันแน่ แต่เอาจริงๆ ยังคิดไม่ออกเลยว่าไปทำอะไรผิดเอาไว้เนี่ย จะร้องไห้แล้วนะเว้ย ถูกเมินตอนอยูห่างกันแบบนี้ กลัวนะ... กลัวเขาจะไปหวั่นไหวกับคนอื่น ไว้ใจแค่ไหนก็อดกังวลไม่ได้จริงๆ โรคคิดมากกำลังมาเยือนสินะ

ผมจอดรถบีเอ็มฯ ลูกรักไว้เรียบร้อยแล้วก้าวขาเข้าบ้านอย่างเอื่อยเฉื่อย ต้องอยู่บ้านคนเดียวในเวลาแบบนี้ไม่ดีเอาซะเลย แม่บ้านก็กลับไปแล้วด้วย จะมีอะไรน่าเบื่อกว่านี้อีกไหมล่ะชีวิต ตอนที่กำลังจะหย่อนก้นลงบนโซฟาตัวโตกลับรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงสั่นครืดๆ ตอนที่มือหนาล้วงลงไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่งขึ้นมาก็ได้แต่ลุ้นว่าอาจจะเป็นคนที่เฝ้ารอมาทั้งวัน เมื่อดวงตาคมเจอรายชื่อสายโทรเข้าก็ทำให้มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มแทบจะทันที อยากจะตะโกนให้ก้องโลกว่าดีใจขนาดไหน ปูนคอลไลน์กลับมาหากันแล้วเว้ย!

“ปูน หายไปไหนมาทั้งวันครับ!”
ผมถามออกไปด้วยเสียงที่ดังกว่าแกติจนแทบจะกลายเป็นการตะโกน ความรู้สึกในตอนนี้มีทั้งตื่นเต้น ดีใจและเป็นห่วงผสมปนเปกันไปหมด และดูเหมือนว่าปลายสายเห็นเป็นเรื่องขำขันเพราะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ รอดออกมา งอนซะดีไหมวะ...

‘ใจเย็นๆ ครับ ขอโทษที่ไม่ได้รับสายและก็ไม่ได้ตอบไลน์เนอะ พอดีว่ามีเรียนเสริมภาษานิดหน่อย แล้วอีกอย่างก็ลืมชาร์ตแบตฯ ด้วย’
เสียงทุ้มที่ผมนึกชอบในช่วงพักหลังมานี้ตอบกลับมา เหตุผลที่ได้ฟังนั้นทำให้ความเป็นห่วงลดลงไปเยอะแต่ความคิดถึงกลับไม่จางหายไปแม้แต่นิดเดียว มือหนาที่ว่างอยู่อีกข้างคว้าหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศขึ้นมากดเปิด

“อ๋อ พี่ก็เป็นห่วง กลัวจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น”
ผมบอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ปลายสายครางรับคำเบาๆ ก่อนที่จะได้ยินอะไรบางอย่างดังลอดเข้ามา เหมือนเป็นภาษาต่างดาวเลยว่ะ

‘ปูน คาจา!’ (ปูน ไปกันเถอะ)
เสียงใครวะ แล้วแม่งเสือกพูดภาษาเกาหลีที่กูแปลไม่ออกอีก... เริ่มกังวลว่าจะมีใครมาชอบคนของตัวเองหรือเปล่า จากที่นั่งนิ่งยิ้มแย้มจนปากจะฉีกกลับต้องหุบลงเพราะความกังวล

‘เฮ้ย แทจุน ออดีเอคาโย๊?’ (แทจุน จะไปไหน)
เสียงปูนถามกลับเป็นภาษาเกาหลีดังห่างออกไปคล้ายๆ กับว่าเขาผละออกจากโทรศัพท์ไป ผมได้แต่นั่งขมวดคิ้วและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายแล้วก็ไม่เข้าใจที่ฝั่งนู้นสื่อสารกันอยู่ดี แม่งเอ้ย ต้องไปเข้าคอร์สเรียนภาษาเกาหลีบ้างแล้ว

‘ปัลรี วา!’ (มาเร็วๆ สิ!)

‘เออๆ คาโย (เออๆ ไป) เอ้อ พี่ทาร์ต แค่นี้ก่อนนะ ไม่รู้ไอ้แทจุนมันจะรีบไปไหน ไว้ผมโทรไปหาใหม่เนอะ บายครับ’
ปูนกลับมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงเร่งรีบก่อนจะวางสายไปดื้อๆ แล้วคนที่รออยู่จะทำอะไรได้นอกจากอ้าปากพะงาบๆ เพราะรั้งอีกคนไม่ทัน แม่งเอ้ย หงุดหงิดจนขว้างโทรศัพท์ไว้บนโซฟาแล้วไม่หันไปสนใจมันอีกเลย ไอ้แทจุนอะไรนั่นรีบไปตายที่ไหนของมันวะ อย่าให้เจอตัวนะ พ่อจะต่อยให้คว่ำ กล้ามาขัดขวางความคิดถึงอันมีมากล้นของผมซะได้ กว่าจะได้คุยกันมันลำบากแค่ไหนไม่มีใครรู้หรอก!

แสงแดดยามเช้าส่องรอดรอยแยกของผ้าม่านเข้ามากระทบใบหน้ามันเยิ้มจนรู้สึกแสบตา ผมพลิกตัวตะแคงแล้วดึงผ้านวมขึ้นคลุมถึงหัวเพื่อจะนอนต่อ ไม่อยากตื่นขึ้นมาพบความจริงที่ว่าเมื่อวานปูนหายไปทั้งคืน ไม่มีติดต่อกลับมาอย่างที่เคยบอกไว้ ไลน์ไปก็ไม่ยอมตอบเหมือนเดิม จากที่เคยหงุดหงิดจนแทบต่อยคนๆ หนึ่งได้ แต่ตอนนี้กลับเป็นห่วงอีกคนมากกว่า ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างในเวลานี้

เสียงเคาะประตูสองสามครั้งดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ผมที่กำลังจะข่มตานอนอีกครั้งต้องสะบัดผ้านวมออกด้วยความหงุดหงิด ลุกขึ้นนั่งได้สักพักถึงจะลงจากเตียงไปเปิดประตูให้อีกคน ดวงตาคมหรี่มองบุคคลที่ยืนยิ้มกว้างอยู่หน้าห้องแล้วต้องขมวดคิ้วฉับ นี่มันวันอาทิตย์แสนสุข เวลาแค่แปดโมงเช้า ทำไมไอ้ฟ่อนถึงตื่นไวนักนะ ปกติไม่สิบโมงไม่มีทางเห็นหน้ามันแน่ๆ

“อะไรของมึง”
ผมถามด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ไอ้ฟ่อนทำหน้าขยะแขยงใส่กันก่อนจะชูอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือ

“พูดหยาบกับน้องตลอด เดี๋ยวก็ไม่ให้คุยกับพี่ปูนซะเลย”
ไอ้ฟ่อนบ่นเสียงกระปอดกระแปดก่อนจะยัดโทรศัพท์ที่กำลังเปิดวีดีโอคอลทิ้งเอาไว้ ดวงตาคมเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอก็หลุดยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือดึงมันมาเป็นของตัวเองแทบจะทันที เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรักมันทำให้คนเรารู้สึกคิดถึงได้มากขนาดนี้

“ปูน... มอร์นิ่งครับ”
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาระดับหน้าแล้วส่งยิ้มออกไปทันที ดูเหมือนปูนจะกำลังเดินอยู่ตามถนนแหล่งช็อปปิ้งของชาวเกาหลีแน่นอน ที่นู่นคงเวลาประมาณสิบโมงแล้วสินะ

‘ปิดเครื่องหนีผมทำไม งอนเหรอ’
ปูนถามด้วยสีหน้าบึ้งตึงจนผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อนึกได้ว่าตัวเองลืมชาร์ตแบตฯ โทรศัพท์เช่นกัน ไม่ได้งอนเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพราะมันดูงี่เง่ามากเกินไป แค่รู้สึกหงุดหงิดและเป็นห่วงมากกว่าที่อยู่ๆ หายไปทั้งคืนแบบนั้น จะไม่ว่าอะไรเลยถ้าไลน์มาบอกกันสักคำว่าสุดท้ายแล้วโดนไอ้แทจุนนั่นลากไปที่ไหนของกรุงโซล

“ใครจะไปงอนปูนล่ะครับ พี่ลืมชาร์ตแบตฯ แค่นั้นเอง”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นไอ้ฟ่อนทำหน้าตาล้อเลียนอยู่ไม่ไกล อยากจะตบกบาลให้แยกแต่มันยังมีความดีความชอบที่เอาโทรศัพท์มาให้คุย ผมเลยทำแค่โบกมือไล่แล้วขยับปากแบบไร้เสียงว่าเดี๋ยวจะเอาเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมไปคืนให้เอง และน้องก็เชื่อฟังยอมทำตามคำสั่งนั้นอย่างดิบดี แต่ก่อนไปก็ไม่วายหันมาแลบลิ้นใส่

“เดี๋ยวกูเตะให้พับคาบันได”
เผลอออกเสียงด่ามันไปจนได้เลยทำให้คนในโทรศัพท์ชักสีหน้ายุ่งมาให้กัน ส่วนไอ้ฟ่อนวิ่งลิ่วๆ ลงไปชั้นล่างแล้ว เดี๋ยวต้องหาเวลาเอาคืนให้ได้ ไม่ปล่อยไว้หรอก

‘เมื่อไหร่จะญาติดีกันสักทีครับพี่ทาร์ต’
ปูนถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ดูมีความสุขต่างจากผมที่เอาแต่คิดถึงอีกฝ่าย ด้านหลังเหมือนจะเห็นไอ๊กู๊ด น้องไนน์แล้วก็แฟน ส่วนผู้ชายอีกคนที่ตัวเล็ก ผิวขาวๆ นั่นช่างไม่คุ้นตา เดินไหล่แทบจะชิดกับคนของผมอยู่แล้ว... แม่ง ว่าจะไม่แสดงอาการหึงหวงพร่ำเพรื่อแล้วไง แต่ทำไม่ได้ว่ะ

“ก็เป็นแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่เล็กจนโต เปลี่ยนไม่ได้หรอก”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป เพราะโฟกัสของดวงตาในตอนนี้จับจ้องบุคคลที่กำลังจะตกขอบจอแบบไม่ละไปไหน อยากรู้ว่ามันคือใครและทำไมต้องเดินเบียดปูนจนแทบจะสิงด้วย หรือเป็นไอ้เด็กเกาหลีที่ชื่อแทจุนเมื่อวานนั่นวะ มึงมีคดีกับกูเยอะนะ…

‘พี่ทาร์ต ทำไมตาเหล่วะ’
น้ำเสียงสงสัยถามกลับมาแบบนั้นเลยทำให้ผมรู้สึกตัวว่าเผลอจ้องไอ้เด็กเกาหลีนั่นนานไปหน่อย ปูนขมวดคิ้วแน่นแล้วมองผ่านกล้องมาอย่างต้องการคำตอบ ในจังหวะนี้อยากรู้อะไรก็จะถาม แต่พยายามควบคุมอารมณ์และสติในสมกับความเป็นผู้ใหญ่ ถ้าแสดงอาการงี่เง่าออกไปอาจจะทำให้อีกคนเบื่อหน่ายเอาได้

“คนที่เดินอยู่ข้างๆ นั่นใครวะ ทำไมต้องเบียดกันขนาดนั้น”
พยายามแล้วที่จะคงน้ำเสียงแบบปกติเอาไว้ แต่เผลอขมวดคิ้วมองหน้าจอโทรศัพท์มากไปหน่อยเลยทำให้คนอีกฝั่งกระตุกมุมปากจนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

‘หึงเหรอพี่ทาร์ต’
น้ำเสียงหยอกล้อดังมาจากคนทางนู้น ใบหน้าของปูนบ่งบอกว่ามีความสุขที่ได้แกล้งกันแบบนี้ ผมยอมรับกับตัวเองในใจว่าหึงเด็กคนนี้แต่ไม่พูดออกไปหรอก กลัวว่าจะได้ใจกันไปใหญ่ แค่นี้มันก็เอื้อมมือไปกอดคอไอ้หนุ่มเกาหลีนั่นเยาะเย้ยแล้ว ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ ผมแกล้งเขาไว้เยอะเหรอเลยโดนเอาคืนเนี่ย

“เปล่าครับ แค่ถามเฉยๆ”
ผมตอบเสียงนิ่งก่อนจะเบนสายตาออกจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วทำเป็นเดินไปหยิบผ้าขนหนูเพื่อเตรียมจะอาบน้ำ ทั้งๆ ที่ในใจอยากกลับไปนอนต่อมาก

‘อ๋อ เหรอครับ งั้นวันนี้ผมย้ายไปนอนที่บ้านของแทจุนดีกว่า บรรยากาศโคตรดี’
ปูนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วหันไปพูดอะไรบางอย่างกับไอ้แทจุนก่อนอีกฝ่ายจะฉีกยิ้มกว้างและพยักหน้ารับอย่างขันแข็ง  ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่สามารถแปลความหมายที่เขาสื่อสารกันได้เลย น่าหงุดหงิดชะมัด

“นอนหอก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ อย่าไปลำบากคนอื่นเขาสิ”
ผมบอกน้องไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบพยายามไม่แสดงอาการอะไรมากมายให้อีกคนจับพิรุธได้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันที่ทำให้ปูนยังคงยืนยันที่จะไปนอนที่บ้านไอ้ตัวเล็กแทจุนอยู่ได้

‘ลำบากตรงไหนอะ แทจุนชวนผมไปนอนตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันแล้ว’
ปูนเลิกคิ้วแล้วมองผมด้วยแววตาเป็นประกาย ถ้าอยู่ใกล้ๆ คงจะโดนโบกหัวไปนานโทษฐานที่รังแกหัวใจคนแก่แบบนี้ ความอดทนของคนเรามีจำกัดและตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวเองต้องเลิกปากแข็งสักที ไม่อย่างนั้นอีกคนคงหอบเสื้อผ้าไปนอนบ้านไอ้แทจุนแน่ๆ เพราะตอนนี้ไอ้เด็กเกาหลีนั่นเริ่มเอนหัวมาซบที่ไหล่แล้ว แม่ง... กระซิบกระซาบอะไรไม่รู้ น่าหงุดหงิดชะมัด แถมเสียงแซวเป็นภาษาเกาหลีจากก๊วนเพื่อนด้านหลังก็ทำลายสติของผมไปจนหมด

“พี่ไม่ให้ไป จบนะ”
ผมพูดเสียงแข็งแล้วมองจ้องหน้าจออย่างไม่วางตา ใบหน้าตอนนี้คงคล้ายๆ คนโมโหนอนไม่พออะไรทำนองนั้น เพราะจากสภาพแล้วแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ ตอนนี้เพิ่งคิดได้ว่าตัวเองดูแย่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเกาหลีซะแล้ว อายเขาไม่ไหมล่ะ วีดีโอคอลทั้งๆ ที่เพิ่งตื่นและยังไม่ได้อาบน้ำเนี่ย


‘ไม่จบครับ บอกเหตุผลมาสิว่าทำไมต้องห้ามผมด้วย’
เนื่องจากตัวของเราทั้งสองคนอยู่ไกลกัน ปูนเลยกล้าพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาด้วยใบหน้าทะเล้น แถมยังใช้มือข้างที่เหลือเอื้อมไปลูบผมแทจุนราวกับเอ็นดูนักหนาอีกด้วย ไม่เข้าใจเลยว่าเขาต้องการให้ผมหึงไปถึงเมื่อไหร่ ยิ่งได้ยินเสียงไนน์กรี๊ดกร๊าดผมยิ่งสติแตก อยากเก็บข้าวของแพ็คใส่กระเป๋าบินไปเกาหลีคืนนี้เลยจริงๆ แต่ติดที่ว่าป๊ากับม๊าไม่อยู่บ้านและยังมีภาระดูแลไอ้ฟ่อนอีก ส่งมันไปอยู่บ้านญาติสักสองสามวันจะเป็นอะไรไหม เบาๆ เลยคงโดนตัดออกจากกองมรดกแน่ๆ เพราะบ้านนี้รักลูกชายคนเล็กมากกว่าคนโต

“….”
หาคำตอบของคำถามเจอแต่ปากกลับหนักจนมันไม่ยอมขยับแถมยังเม้มเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บไปหมด ผมลดโทรศัพท์มือถือลงจนกล้องมันส่องเห็นแค่เพดานบ้าน ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะส่งเสียงลอดมาตามสายเหมือนคล้ายกำลังข่มขู่กัน ซึ่งมันได้ผลเป็นอย่างมาก เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าปูนมีอิทธิพลต่อใจของตัวเองมากแค่ไหน

‘เงียบเหรอ ผมถือว่าพี่ทาร์ตไม่มีเหตุผลนะ’
น้ำเสียงทางนู้นจริงจังจนผมต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมตัวพูดประโยคขัดเขินออกไป

“แม่ง... พี่หวงปูน พอใจหรือยัง”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะให้อีกฝ่ายได้ยินอย่างชัดเจนโดนที่กล้องโทรศัพท์ยังวางส่องเพดานอยู่เหมือนเดิม ในตอนนี้ไม่กล้าสู้หน้าปูนทั้งๆ ที่อยู่คนละประเทศ เพราะไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าความหึงหวงเป็นยังไง วางตัวไม่ถูกจริงๆ แล้วอีกอย่างกลัวจะโดนล้อจนอายน่ะสิ ไม่อยากหน้าแดงให้คนอื่นเห็น เพราะตรงนั้นไม่ได้มีแค่คนๆ เดียวน่ะสิ

‘ก็แค่นั้น ทำปากแข็งไปได้วะคนเรา’
ปูนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะยิ้มกว้างให้กับผมที่ยังคงวางโทรศัพท์ไว้บนตักเหมือนเดิม ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ยอมแพ้แล้วจริงๆ กับคนๆ นี้ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ปล่อยให้น้องชายข้างบ้านเข้ามาสำรวจหัวใจ จนเข้ามาลงหลักปักฐานจองพื้นที่ภายในเกือบครบทั้งสี่ห้อง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่เคยสร้างเรื่องลำบากใจให้แม้แต่นิดเดียว แถมยังช่วยเหลือทุกเรื่องที่สามารถช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็นแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว หนูทดลองขนมสูตรใหม่ๆ เป็นเพื่อนกินเหล้า หรือแม้แต่การให้กำลังใจในขณะที่ผมต้องเลือกทางเดินชีวิตตัวเอง แบบนี้คงปล่อยให้หลุดมือไม่ได้จริงๆ

“แกล้งพี่นี่หว่า”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเช่นเดียวกันก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาที่ระดับใบหน้าของตัวเองอีกครั้ง และในตอนนี้เองที่ไอ้กู๊ดโผล่หน้าเข้ามาแทนที่จะเป็นแทจุน ได้ยินน้องมันพูดประมาณว่า ‘ไอ้ปูนเขินล่ะ’ แค่เท่านั้นก็ทำให้มุมปากกระตกเป็นรอยยิ้มได้ไม่ยาก ที่แท้อีกคนก็รู้สึกไม่ต่างกันนี่เอง แต่มีความสุขได้ไม่นานก็ถูกทำลายด้วยประโยคยาวๆ

‘ก็ทำตัวให้น่าแกล้งเองนี่ครับ แต่ตอนนี้ผมต้องวางแล้วล่ะ ตอนค่ำๆ จะโทรหาเนอะ บายครับ’
สายตัดไปโดยที่ผมไม่ได้บอกลาปูนอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรแม้แต่นิดเดียว กลับรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ต่างคนจะมีเวลาเป็นส่วนตัว ว่างเมื่อไหร่ค่อยหาเวลามาคุยกันก็ยังไม่สาย เพราะชีวิตนี้คงหนีไปไหนไกลไม่ได้อีกแล้วล่ะ ก็เผลอฝากหัวใจตัวเองไม่กับคนข้างบ้านแล้วนี่ จะเอาคืนก็ไม่ได้ซะด้วย




ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผ่านมาอีกหนึ่งอาทิตย์ ความรู้สึกคิดถึงใครอีกคนยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้การทำงานในร้านขนมน่าเบื่อลงไปถนัดตา ทั้งๆ ที่เคยชอบมันมากแท้ๆ อาจจะเพราะไม่มีคนคอยกวนหรือเรียกร้องจะกินขนมอยู่ใกล้ๆ เหมือนที่ผ่านมา ไม่มีใครคอยมาช่วยเสิร์ฟในบางวันที่ว่างจากการเรียน อยากไปหาว่ะ แต่จะหาข้ออ้างอะไรให้ป๊ากับม๊าไม่สงสัยดี... จริงๆ ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร กลัวพวกท่านจะด่าเอามากกว่าว่าจะดูแลปูนได้จริงๆ หรือไง ทำตัวเสเพลเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาทั้งชีวิต เฮ้อ

ผมกำลังตีแป้งเพื่อทำชีสเค้กญี่ปุ่นแต่ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงม๊าร้องเรียกมาจากทางด้านหน้าร้านราวกับใครเกิดอุบัติเหตุขึ้น แต่มันคงไม่มีอะไรหรอกเชื่อสิ... เจอมาเยอะเจ็บมาเยอะย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องตัดสินใจวางมือลงเพราะไม่อย่างนั้นเธอก็จะส่งเสียงอยู่แบบนั้น

“ครับม๊า เดี๋ยวออกไป”
ผมตะโกนตอบรับเสียงเรียกของม๊าก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนสีดำสนิทไร้ลวดลายออกแล้ววางทิ้งไว้บนเค้าน์เตอร์ ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เดินออกไปที่ส่วนด้านหน้าของร้าน ดวงตาคมเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของตัวเองกำลังอุ้มลูกหมาตัวหนึ่งไว้ในอ้อมแขน จำได้ว่าไม่ได้สั่งให้มันเอามาให้วันนี้นี่ ผิดพลาดอะไรหรือเปล่าวะ ก็คนเลี้ยงยังเรียนซัมเมอร์อยู่ที่เกาหลีนี่หว่า

ประตูกระจกหน้าร้านถูกเปิดออกด้วยฝีมือของผม ไอ้อินที่กำลังอุ้มลูกหมาพันธุ์คอร์กี้ไว้ในอ้อมแขนส่งยิ้มกว้างมาให้กันแล้วก้าวเข้ามาหาโดนมีสายตาของม๊ามองตามอย่างสนใจ

“เอาหมามาทำไมวะ”
ผมถามก่อนจะมองหน้าหมาสลับกับหน้าคน ไอ้อินไม่ตอบอะไรสักอย่างแต่กลับส่งเจ้าขาสั้นตัวเล็กมาให้กัน แล้วจะทำอะไรได้นอกจากยื่นมือไปรับมันมาอุ้มไว้ โคตรน่ารักน่าฟัดจนทำให้คิดถึงใครบางคนที่บ่นนักบ่นหนาว่าชอบหมาพันธุ์นี้และอยากได้มาเลี้ยงสักตัว

“เอามาทำไม”
ผมถามเพื่อนย้ำอีกครั้งก่อนจะใช้มืออีกข้างลูบหัวมันเล่น ขนนุ่มๆ ทำให้เพลินอยู่ไม่น้อย เชื่อว่าถ้าไอ้ฟ่อนกับปูนได้เห็นเจ้าขาสั้นคงแห่กันมาให้ความสนใจจนละเลยเจ้าของมันแน่ๆ

“เอามาให้มึงนั่นล่ะ พอดีพี่สาวกูมันต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดด่วน เลยไม่มีคนเลี้ยง”
ไอ้อินพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวหน้าร้านตรงสวนหย่อมเล็กๆ โดยที่ม๊ารออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจที่มันพูดแล้วก้มลงมองสิ่งมีชีวิตขาสั้นด้วยความเอ็นดู

ก่อนที่ปูนจะเดินทางไปเกาหลีผมมีโอกาสไปเที่ยวบ้านไอ้อินแล้วเจอพี่สาวของมันเลี้ยงหมาพันธุ์คอร์กี้เอาไว้และกำลังมีลูกตัวเล็กๆ น่ารักอยู่สี่ตัว เธอบอกว่าจะหาคนรับเลี้ยงต่อสักสองตัวเพราะแค่แม่กับพ่อหมาก็ไม่ค่อยมีเวลาให้มันแล้ว ได้โอกาสดีก็เลยอาสาตัวเองรับเลี้ยงเจ้าขาสั้นเพศผู้มาหนึ่งตัว กะว่าจะไปรับมันหลังจากที่ปูนกลับมา เพราะอยากเซอร์ไพร์ส แต่ตอนนี้ผิดแผนไปหน่อย

“แล้วตัวอื่นๆ ล่ะ”
ผมถามก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบ้างแล้ววางไอ้เจ้าขาสั้นไว้บนตักก่อนจะค่อยๆ ใช้มือลูบหัวมันเบาๆ ดูเหมือนง่วงๆ เพลียๆ ยังไงไม่รู้ สภาพคล้ายๆ กับคนเมารถเลยว่ะ ตลกดี

“ป๋าเลี้ยงพ่อกับแม่มัน ส่วนกูเลี้ยงหนึ่ง อีกตัวให้ลูกพี่ลูกน้องไปแล้ว”
ไอ้อินตอบก่อนจะเบะปากลงน้อยๆ ผมเข้าใจว่าอาการแบบนั้นสื่อว่าแม่ของมันคงผลักไสเจ้าขาสั้นให้ตัวหนึ่งอย่างที่คนรับเลี้ยงไม่เต็มใจ ไม่ใช่ว่าเกลียดหรือกลัวแต่เพราะกลัวว่าจะไม่มีเวลามายุ่งกับไอ้ฟ่อนต่างหาก รู้ทันหรอกน่า

“อ๋อ เออ ขอบใจนะมึง น่ารักว่ะ”

“น่ารักกว่าปูนอีกเหรอวะ”
มันพูดเสียงดังฟังชัดจนผมได้แต่เบิกตาโพลงมองใบหน้าหล่อเหลานั่นอย่างตกใจ จะแซวอะไรไม่ว่าหรอกแต่ตอนนี้ม๊านั่งจิบชาหัวโด่ร่วมโต๊ะอยู่เนี่ย พูดออกมาได้ยังไงวะ กูยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครในบ้านนอกจากไอ้ฟ่อนเลยนะเว้ย แม่งเอ้ย แล้วดูคุณนายอุ่นสิ จ้องหน้ากันราวกับจะคาดคั้นเอาความจริงในตอนนี้ให้ได้ ตายแน่ๆ ไม่รอดชัวร์

“เชี่ยนี่ ม๊าอยู่”
ผมบอกเสียงรอดไรฟันแล้วหันไปยิ้มแหยให้ม๊า แต่ดูจากสายตาของเธอที่มองมานั้น วันนี้คงไม่รอดแน่ๆ เตรียมใจยอมรับชะตากรรมหลังจากไอ้อินกลับไปแล้วได้เลย ขนมก็อย่าหวังว่าจะได้กลับไปทำอีกเลย น้าซันคงรับช่วงต่อไปแล้ว

“เออว่ะ โทษทีๆ”
ไอ้อินก้มหัวขอโทษก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมาแล้วเบนสายตาหนีจากผมและม๊า ดูท่าทางต้องเผชิญเรื่องนี้คนเดียวแน่ๆ จะตายไหมวะ ยังไม่ได้ขอปูนเป็นแฟนเลยนะ...

“ม๊าว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันนะทาร์ต”
น้ำเสียงที่เคยหวานหยดย้อยบัดนี้กับแข็งกร้าว ผมได้แต่หลุบสายตาลงต่ำแล้วพยักหน้ารับหงึกหงัก ไอ้ขาสั้นหลับจนส่งเสียงกรนออกมา หนีกันหน้าด้านๆ เลยนะ ไม่คิดจะเผชิญเรื่องนี้เป็นเพื่อนพ่อมึงหน่อยเหรอวะ

“ครับม๊า...”
ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ดวงตาคมเหลือบเห็นมือเรียวของม๊าที่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะเหมือนกำลังใช้ความคิด คงพอจะรู้อะไรบางอย่างจากคำแซวของไอ้อินแล้วแน่ๆ เลยว่ะ... แต่ไม่ต้องกลัวจะโดนดราม่าเรื่องลูกชายชอบเพศเดียวกันหรอกนะ บ้านนี้เปิดกว้างตั้งแต่รู้ว่าไอ้ฟ่อนเป็นเกย์แล้ว

“เอ้อ งั้นกูกลับก่อนเนอะ ไว้เจอกันเพื่อน สวัสดีครับม๊า”
ไอ้อินที่นั่งเงียบไปสักพักกลับเอ่ยปากออกมาอย่างรวดเร็วและรีบยกมือไหว้ม๊าก่อนจะก้าวขายาวๆ ไปขึ้นรถของมันที่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จนผมไม่สามารถรั้งได้ทัน ตอนที่กำลังจะตะโกนเรียกเพื่อนสนิทก็โดนสายตาดุๆ ของเธอขัดไว้ นี่ถ้าเดินอยู่คงล้มหัวทิ่มพื้นไปแล้ว

“.....”
ไอ้เหี้ย ทิ้งกูหน้าตาเฉย เวรเอ้ย จะทำอะไรได้นอกจากแอบด่าเพื่อนสนิทในใจแล้วส่งยิ้มหวานประจบประแจงไปให้ม๊า ดูท่าทางวันนี้คงโดนสอบสวนอีกยาวนานล่ะมั้ง แต่เป็นไงก็เป็นกันเพื่อความรักที่สวยงาม ผมจะไม่ยอมแพ้อะไรทั้งนั้น สู้เว้ย!

แต่ว่าก่อนจะโดนซักฟอกขอส่งรูปไอ้ขาสั้นไปอวดปูนหน่อยก็แล้วกัน พร้อมกับส่งข้อความถามความคิดเห็นเรื่องตั้งชื่อไปด้วย ก็นี่มันลูกของเรานี่นา ถือเป็นพยานรักเลยนะเนี่ย หึหึ

 


--------------------------------------

พี่ทาร์ตมันขี้หึงแต่ปากแข็ง... น้องปูนเลยแกล้งซะนี่ สมน้ำหน้า
เรื่องถึงหูม๊าแล้ว... คราวนี้ล่ะ จะเอาตัวรอดยังไงหนอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
พี่ทาร์ตก็ตอบไปตามตรงเลยดิว่า ชอบน้องปูน รักจริง หวังแต่ง

สงสัยปูนต้องหาคนมาทำให้พี่ทาร์ตหึงบ่อยๆ เจ้าตัวจะได้หายปากแข็ง
 

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
ม๊าต้องทำใจนะม๊า  ลูกชายไปทั้ง 2 คนเลย

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 16

Japanese Soft Cake
: เนยเค็ม/โอวาเล็ต/น้ำตาล/ไข่แดง/แป้งเค้ก/กลิ่นวนิลลาผง/ไข่ขาว/ครีมออฟทาร์ทาร์ :




วันนี้มีเรียนแค่ช่วงเท่านั้น แต่มันเป็นเช้าที่ทรหดเกินไปเพราะต้องเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกาหลีเป็นภาษาเกาหลี อยากจะบอกลาอาจารย์เหลือเกิน แต่ทำได้แค่นั่งเท้าคางแล้วถอนหายใจเฮือกไปเรื่อย โทรศัพท์มือถือที่สั่นครืดๆ อยู่ในกระเป๋ากางเกงเรียกร้องความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี แต่ไม่มีเวลาจะหยิบมันขึ้นมาดูเลย ถ้าขืนวอกแวกแม้แต่นาทีเดียวอาจจะต้องนั่งเบลอไปทั้งคาบ

   “จะถอนหายใจอีกนานไหมมึง แก่ไปเป็นสิบปีแล้วมั้ง”
   คนที่นั่งข้างๆ กันเอ่ยทักออกมาด้วยน้ำเสียงติดรำคาญเล็กน้อย มือหนาๆ ของไอ้กู๊ดจดรายละเอียดที่อาจารย์พูดไอ้เยอะกว่าผมอยู่มาก มันหัวดีแถมยังหูดีอีกต่างหาก แต่เรื่องอะไรที่ต้องชวนคุยทำลายสมาธิคนอื่นด้วยวะ

   “ช่างกูไหมล่ะ อย่าชวนคุยดิวะ ฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย”
   ผมบอกกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่แพ้กัน กษัตริย์ราชวงศ์โชซอนชื่ออะไรวะ... ตอนเรียนเป็นภาษาอังกฤษที่ไทยก็ไม่ได้จำด้วยไง อยากจะขว้างปากกาใส่หน้าไอ้กู๊ดเหลือเกินแต่ทำไม่ได้ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วต้องพึ่งลอกสมุดจดของมันอยู่ดี

   “ค่อยถามกูหลังจบคาบก็ได้น่า มึงหันไปทางสองนาฬิกาหน่อยดิ”
   ไอ้กู๊ดยังคงชวนคุยไม่หยุดจนผมต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่แทนที่จะเป็นตามคำขอที่ได้ยินไปเมื่อครู่ ไม่รู้มันอยากได้อะไรนักหนา

   “หันพ่อง กูเรียนไม่รู้เรื่องเว้ย”
   ผมพูดเสียงรอดไรฟันแล้วเอาปากกาในมือจิ้มแขนมันไปแรงๆ อย่างนึกหมั่นไส้ ไอ้กู๊ดรีบผละตัวหนีแล้วทำหน้ามู่ทู่ใส่ แต่ไม่วายเอื้อมมือมาผลักหัวกันให้หันไปทางสองนาฬิกาจนได้

   “ไอ้…!”
   พูดออกไปได้แค่นั้นแล้วรีบหุบปากฉับเมื่อเห็นสายตาหวานๆ ของใครคนหนึ่งมองมาทางนี้ ผมรีบหันหน้ากลับแล้วยกมือขึ้นบังด้านข้างแทบจะทันที ทำไมต้องมารู้สึกขนลุกกับไอ้กายตอนอยู่ที่นี่ด้วยวะ ยังไม่เลิกคิดจีบกันอีกหรือยังไง ทั้งๆ ที่มันโดนผู้หญิงเกาหลีล้อมรอบขนาดนั้น

   “เชี่ย มันมองกูมานานแค่ไหนแล้ววะกู๊ด”
   ผมถามเพื่อนข้างๆ ด้วยเสียงเบาสุดๆ เพราะกลัวคนอื่นๆ โดยรอบจะได้ยินที่เราคุยกัน ไอ้กู๊ดกระตุกยิ้มมุมปากแล้วตอบกลับมาด้วยเสียงเย้าแหย่ น่าต่อยให้ฟันหลุดไหมล่ะคนเรา

   “ตั้งแต่เดินออกมาจากหอพักแล้วมึง มองมาเป็นระยะๆ จนกูแอบขนลุกแทนแล้วเนี่ย”
   รอยยิ้มทะเล้นให้ตอนแรกของเพื่อนสนิทเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่สื่อถึงความขยะแขยงอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้ว่าไอ้กู๊ดไม่ได้รังเกียจอะไรเรื่องแบบนี้หรอก แต่มันเป็นเพราะสายตาหวานเยิ้มของไอ้กายมากกว่า มองอย่างกับจะกินเข้าไปทั้งตัว ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว สมมติว่าเปลี่ยนเป็นพี่ทาร์ตผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะไม่ขนลุก...

   “มันจะชอบอะไรกูนักหนาวะ”
   ผมยังคงขอความคิดเห็นจากเพื่อนด้วยใบหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เหลือบสายตามองไปทางสองนาฬิกาอีกครั้งก็พบว่าไอ้กายหันหน้ากลับไปสนใจอาจารย์แล้ว เลยลดมือลงวางไว้บนโต๊ะอย่างเดิม ตอนนี้จะให้ตั้งใจเรียนก็คงไม่ทัน เพราะหูอื้อจนฟังอะไรไม่รู้เรื่อง เสียสมาธิฉิบหาย เพราะไอ้กีดคนเดียวเลยไง แต่มันมีความสามารถจดเลคเชอร์ได้เหมือนเดิม

   “งั้นกูถามมึงกลับว่าจะชอบพี่ทาร์ตอะไรนักหนา ตอบได้ไหม”
   ไอ้กู๊ดถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่ทำให้ผมต้องเบิกตาโตแล้วตอบกลับไปแทบจะทันที

   “มันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอวะ”
   
“นั่นไง มันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”
ตอบกลับมาแบบนั้นทำให้ผมหุบปากสนิท เพราะขนาดตัวเองยังไม่มีเหตุผลที่ชอบพี่ทาร์ตแล้วคนอย่างไอ้กายจะมีเหตุผลหรือยังไง เฮ้อ

   “ช่างแม่งเถอะ ถ้ากูไม่สนใจมันคงเลิกตอแยไปเอง”
   ผมบอกไอ้กู๊ดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายแล้วทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ผมหยิบปากกาขึ้นมาขีดเขียนอะไรเล่นไปเรื่อยเพราะตามบทเรียนไม่ทันแล้ว เซ็งว่ะ เมื่อไหร่จะเลิกเรียนสักที รู้สึกอึดอัดอีกแล้วเพราะหางตาเหลือบไปเห็นไอ้กายมองมาทางนี้ แม่ง... ขอให้โดนอาจารย์ทำโทษสักทีเถอะ

   “เออ หวังว่าจะเป็นอย่างที่มึงพูด”
   ไอ้กู๊ดบอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาตั้งใจเรียนต่อไป ส่วนไอ้ไนน์มันช่างน่าอิจฉาที่ได้นั่งข้างๆ แฟนตัวเอง เฮ้อ จะว่าไปก็เริ่มคิดถึงพี่ทาร์ตขึ้นมานิดๆ ว่ะ

   เสียงของอาจารย์บอกว่าถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ทำให้ผมยืดตัวแล้วบิดไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบของร่างกายที่นั่งแช่อยู่ที่เดิมมาตั้งสี่ชั่วโมง ไอ้กู๊ดหาวหวอดออกมาหลายรอบจนสาวๆ ที่สนใจมันอยู่ถึงกับพากันหัวเราะคิกคักแล้วเอาแต่ซุบซิบกันว่า ‘ควียอวอ’ ผมขมวดคิ้วแน่นแล้วได้แต่คิดว่ามันน่ารักตรงไหน จากที่ดูแล้ว โคตรน่าเกลียด ปากก็ไม่ยอมปิด

   “ไปหาอะไรกินกันมึง หิว”
   ไอ้กู๊ดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อมันเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วเหวี่ยงกระเป๋าเป้ไปด้านหลังเพื่อเตรียมออกไปจากห้องเรียน แต่ขายังไม่ทันได้ก้าวตามเพื่อนสนิทออกไป มือของใครอีกคนกลับคว้าไหล่เอาไว้ด้วยแรงที่มากพอดู และเมื่อหันไปสบตาถึงกับต้องอ้าปากค้าง นี่ไอ้กายมีวิชาหายตัวเหรอ จากตรงนั้นถึงตรงนี้อย่างน้อยน่าจะใช้เวลาสักสามสิบวินาทีสิ

   “มึงจะไปไหน กูไปด้วยได้ปะ”
   ไอ้กายถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะปล่อยมือออกจากไหล่เมื่อผมจ้องเขม็ง แล้วดูความน่ารักของเพื่อนสนิทสิ เดินลิ่วๆ ไปจนถึงประตูห้องเรียนเพิ่งรู้สึกตัวว่าอยู่คนเดียว ฉิบหาย นี่ถ้าผมโดนฉุดระหว่างทางมันก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไหม น่ากลัวชะมัด

   “อย่ามาตามติดกู แยกกันไปเหอะ”
   ผมก้าวถอยหลังออกมาจากตรงนั้นเตรียมตัวจะหันหลังแต่มือของไอ้กายกลับคว้าไหล่กันไว้อีกครั้ง และคราวนี้ออกแรงบีบจนรู้สึกปวดแปลบไปหมด

   “ทำไมปฏิเสธกันจังวะปูน กูชอบมึงจริงๆ นะ”
   ไอ้กายพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ แต่แววตาไม่ได้แสดงความเจ็บปวดออกมาแต่อย่างใด ดูๆ แล้วมันสื่อความหมายว่าอยากเอาชนะกันมากกว่า ผมถอนหายใจออกไปเฮือกใหญ่แบบที่ไม่กลัวว่าจะโดนอีกคนทำร้าย พูดเรื่องนี้มากี่รอบแล้วก็ไม่รู้ เริ่มเบื่อ เบื่อมาก และขี้เกียจจะทน

   “แต่กูไม่ได้ชอบมึงไงกาย จะพยายามให้เสียเวลาทำไมวะ เป็นเพื่อนกันดีจะตาย ไม่ต้องเลิกกันด้วย”
   ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงจังที่พยายามชักจูงให้อีกคนเชื่อตามอย่างนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันอาจจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกแล้ว ตะขิดตะขวงใจแปลกๆ แต่ปกติเราก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

   “มึงรู้แล้วว่ากูคิดไม่ซื่อแบบนี้ แน่ใจแค่ไหนว่าเป็นเพื่อนกันจะไม่มีวันเลิก”
   กายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งผมอาจคิดผิดเรื่องที่มันอยากเอาชนะ คงจะชอบกันจริงๆ แต่หัวใจคนบังคับกันไม่ได้ ไม่ว่ายังไงความรู้สึกแบบนั้นก็รับไว้ไม่ได้หรอก

   “กู...”

   “ไอ้เชี่ยปูน ไส้กูจะขาดแล้วไหมล่ะ ไวๆ เลย”
   เสียงเรียกของไอ้กู๊ดที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เป็นตัวช่วยอย่างดีที่ทำให้ผมหลุดจากสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า ไม่รู้จะตอบออกไปยังไงที่มันจะทำร้ายจิตใจอีกคนน้อยที่สุด แต่คำนวณแล้วคงเป็นไปไม่ได้ พูดยังไงก็เจ็บอยู่ดี

   “เออๆ ไปแล้วๆ”
   ผมหันไปตอบไอ้กู๊ดที่เดินเข้ามาในห้องแค่ไม่กี่ก้าวแล้วหยุดอยู่ตรงนั้น คงไม่อยากเข้ามาวุ่นวายอะไรเรื่องส่วนตัวนัก

   “ปูน...”
   เสียงเรียกเบาๆ ดังมาจากคนตรงหน้าดึงให้สายตาของผมกลับไปสนใจเขาอีกครั้ง ผมต้องไปแล้ว... เราควรจบเรื่องนี้ที่มันยืดเยื้อมาหลายเดือนสักที ถึงจะบอกกายไปว่ามีแฟนแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่ละความพยายามอยู่ดี

   “จบเรื่องนี้เถอะ กูขอร้อง”
   ผมทิ้งประโยคสุดท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินหนีออกมา เพราะรู้ว่าขืนยังอยู่ที่เดิมอาจจะทำให้เรื่องยิ่งบานปลาย ไม่ได้หันไปดูเลยสักนิดว่ากายจะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา ถึงจะรู้ว่าตัวเองใจร้ายแต่มันอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วก็ได้

   กลับมานอนแผ่ที่หอพักอย่างคนหมดแรง ด้านข้างมีเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงเล่นเกมแบบสบายอารมณ์ ไม่สนว่าใครจะทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แม้แต่ไอ้ไนน์ชวนไปเดินเที่ยวแถวๆ มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวามันยังไม่สนใจ แปลก...

   “เล่นเกมอะไรวะ”
   ผมถามทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่แต่ตะแคงด้านข้างเพื่อมองหน้าเพื่อนสนิทได้ถนัด ไอ้กู๊ดยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนคนกำลังมีความสุข เล่นเกมมันสนุกขนาดนั้นเลยหรือยังไงวะ สงสัยจริงๆ

   “ROV”
   ตอบกลับมาสั้นๆ ทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น ไม่ใช่เพราะไม่รู้จักแต่ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทของตัวเองจะเล่นเกมประเภทนี้กับเขาด้วย ผมเคยลองอยู่ครั้งหนึ่ง แต่แม่งเข้าไปไม่ถึงนาทีก็ตาย ตายซ้ำตายซาก ทนเล่นได้อยู่ประมาณสามสี่วันก็ลบมันออกจากโทรศัพท์ คงไม่มีฝีมือทางด้านนี้จริงๆ

   “ติดเกมนะมึง”

   “เออน่า ผ่อนคลายนิดๆ หน่อยๆ”
   ไอ้กู๊ดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดีมากถึงมากที่สุด แต่ผมกลับสงสัยว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปแน่ๆ ปกติแล้วมันต้องตื่นเต้นเวลาจะได้เจอสาวๆ สิ... แล้วนี่อะไรวะ กลายเป็นคนติดเกม ไม่สนโลกอีกต่างหาก

   “ขนาดไอ้ไนน์ชวนมึงไปเดินเล่นแถวอีฮวาก็ยังไม่ไปเนี่ยนะ โคตรแปลก หรือหันมาชอบผู้ชายแบบเต็มตัวแล้ว”
   ผมถามหยั่งเชิงไปแบบนั้นก่อนจะใช้แขนยันตัวเพื่อลุกขึ้นนั่งแล้วแอบเหล่มองปฏิกิริยาของเพื่อนสนิท ไอ้กู๊ดชะงักไปแค่ครู่เดียวเท่านั้นแล้วกลับมาเป็นปกติ อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป ปิดยังไงก็ปิดไม่อยู่หรอก อย่าลืมว่ารู้จักกันมาตั้งนาน

   “แหม... ก็พูดไป แค่ขี้เกียจเว้ย แดดร้อนจะตาย”
   ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติโดยที่ไม่ยอมละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ จากที่สังเกตผมว่าตอนนี้มันไม่ได้เล่นเกมแล้วล่ะ ก็เห็นรัวนิ้วพิมพ์ข้อความซะขนาดนั้น...

   “เออ ให้มันจริง ไม่ใช่ว่าแอบเหล่หนุ่มๆ เกาหลีอยู่นะ”
   ผมแซวออกไปโดยไม่คิดอะไร เพราะเห็นไอ้กู๊ดมันอัธยาศัยดีคุยกับชาวบ้านไปทั่ว ถึงผู้ชายเกาหลีจะไม่แสดงออกมาชอบเพศเดียวกันเพราะประเทศของเขาต่อต้าน แต่หนึ่งในคนที่คุยด้วยนั้นต้องมีสักคนที่ชอบเพื่อผม ที่เห็นได้ชัดก็น่าจะเป็น... หึหึ

   “หึ... อย่างกูอยู่เฉยๆ ก็พอ”
   คราวนี้มันละสายตาออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยมแล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้กัน แบบนี้ชัดเจนแล้วล่ะ ถ้าให้เดาคงเป็นคนที่ผมรู้จักดีแน่ๆ

   “พูดงี้แสดงว่ามีคนมาจีบเหรอ”
   ผมถามมันด้วยน้ำเสียงอยากรู้ แต่ไอ้กู๊ดกลับยักคิ้วกวนๆ ให้แล้วขยับตัวหนี

   “ถามมากว่ะ จะนอนก็นอนไปเลย จะเล่นเกมต่อแล้ว”
   มันทำน้ำเสียงไม่พอใจใส่กันก่อนจะเอียงโทรศัพท์เพื่อเล่นเกมอีกครั้ง และเสียงดนตรีที่เล็ดลอดออกมานั้นยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เล่นเกม ROV เนี่ย ใครรบกวนแม่งโดนด่าแน่ๆ มันต้องใช้สมาธิสูง ผมเข้าใจเพื่อน แต่มันอดไม่ได้ที่จะล้วงความลับนี่หว่า

   “มีพิรุธนะ”
   เหล่มองมันเล็กน้อยแล้วทิ้งตัวลงนอนราบบนเตียงด้วยท่าเดิม ไอ้กู๊ดแยกเขี้ยวใส่กันก่อนจะคำรามออกมา คิดว่าน่ากลัวตายล่ะไอ้หล่อ เดี๋ยวตบกบบาลเลยนี่

   “ช่างกูเหอะน่า ถึงเวลาก็รู้เรื่องเอง”

   “เออๆ ไม่กวนก็ได้”

พี่ทาร์ต : *แนบรูปหมาคอร์กี้*
พี่ทาร์ต : ช่วยตั้งชื่อหน่อย
ข้อความตั้งแต่เมื่อเช้าปรากฏขึ้นสู่สายตา รู้สึกผิดหน่อยๆ ที่ไม่ได้สนใจโทรศัพท์ให้มากกว่านี้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมแทบจะร้องออกมาดังๆ ก็คือรูปหมาคอร์กี้ขาสั้นหน้าตาน่ารัก อยากได้!!

ปูน : เฮ้ยยย หมาใครวะ น่ารักอะ!

ผมพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความตื่นเต้นแล้วเปลี่ยนมานอนหงายรอคำตอบจากพี่ทาร์ต แต่รอแล้วรออีกผ่านไปเกือบห้านาทีก็ไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะอ่านผมเลยวางโทรศัพท์ลงแล้วตัดสินใจนอนหลับอย่างที่ได้บอกไอ้กู๊ดไว้ตอนแรก สงสัยไม่ว่างล่ะมั้ง ตื่นมาค่อยว่ากันอีกที
 
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าทั้งห้องสว่างด้วยแสงไฟจากหลอดนีออน ผมลุกขึ้นนั่งแล้วใช้มือขยี้หัวตัวเองไปมาก่อนจะมองหาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้อยู่บนเตียงเหมือนเดิม แต่ตอนที่กำลังจะอ้าปากเรียกกลับได้ยินเสียงน้ำไหลดังเบาๆ มาจากทางห้องน้ำเลยทำให้เบาใจลง
 
ผมควานหาโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะข้างเตียงโดยไม่หันไปมองก่อนจะสแกนนิ้วปลดล็อก หน้าแชทที่เปิดค้างไว้ปรากฏขึ้น จากที่ง่วงๆ ทำให้ตื่นเต็มตาได้ไม่ยากเมื่อได้อ่านข้อความจากพี่ทาร์ต
 
พี่ทาร์ต : หมาพี่เอง
ปูน : จริงดิ ซื้อมาเหรอ!
 
ผมพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็วเพราะตื่นเต้นเมื่ออีกคนเป็นเจ้าของหมาขาสั้นตัวนั้น ไม่อยู่ด้วยกันแค่อาทิตย์สองอาทิตย์มีอะไรให้เซอร์ไพร์สตลอดเลยว่ะ
 
พี่ทาร์ต : เปล่า พี่สาวไอ้อินให้มาฟรี ชอบปะ?
ปูน : ชอบ! อยากกลับไปเล่นด้วย ._.
พี่ทาร์ต : ช่วยตั้งชื่อมันก่อน
ปูน : หมาพี่ทาร์ตก็ตั้งแต่เลย ผมคิดไม่ออก

มาถึงตรงนี้ผมตอบข้อความไปด้วยหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เรื่องอะไรที่จะให้คนอื่นตั้งชื่อหมาของตัวเองกันล่ะ ไม่ได้เป็นเจ้าของร่วมกันสักหน่อย แต่ไม่นานความสงสัยทั้งหมดก็จบลงเมื่ออีกฝ่ายส่งข้อความกลับมา
 
พี่ทาร์ต : เอ้า พี่เป็นพ่อ ส่วนปูนเป็นแม่ จะไม่ช่วยกันตั้งชื่อลูกหน่อยเหรอ??

ผมถึงกับนั่งอ้าปากค้างเมื่อได้อ่านข้อความที่พี่ทาร์ตส่งมาจบ ความร้อนค่อยๆ คืบคลานขึ้นมาบนใบหน้าอย่างช่วยไม่ได้ อะไรคือการยกให้เป็นแม่ของเจ้าหมาคอร์กี้นั่นล่ะ... เคยถามความสมัครใจกันก่อนหรือเปล่า มือสั่นจนพิมพ์อะไรตอบกลับไปไม่ได้แล้วเนี่ย
 
ปูน : ห๊ะ....
ปูน : อะไรนะ

ผมพิมพ์ตอบไปได้แค่นั้นก่อนที่เสียงเปิดประตูห้องนจ้ำจะดึงความสนใจไปทั้งหมด ร่างกายสมส่วนของเพื่อนสนิทก้าวออกมาจากห้องน้ำ ท่อนล่างมีแค่บ็อกเซอร์ตัวสั้นปกปิดเอาไว้ ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าตามแบบฉบับของมันเวลาจะเข้านอน ตกลงตอนนี้เวลากี่โมงแล้ววะเนี่ย ไม่คิดจะกินข้าวเย็นกันหน่อยเหรอ
 
“กี่โมงแล้ววะมึง”
ผมถามออกไปด้วยความเบลอไม่หาย เพราะพี่ทาร์ตนั่นล่ะที่ทำให้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้ขนาดนี้ ไอ้กู๊ดมองกันอย่างกับเจอตัวประหลาดก่อนที่มันจะเดินมาทิ้งตัวลงข้างๆ แล้วใช้มือหนาผลักหัวเบาๆ
 
“จับโทรศัพท์อยู่ไม่ใช่หรือไง แล้วจะถามกูเพื่อ”
ไอ้กู๊ดมองหน้าผมสลับกับโทรศัพท์ในมือของผมแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ คนเพิ่งได้สติเลยยิ้มออกไปแหย่ๆ เออว่ะ จะถามเพื่อนทำไม ดวงตารีเหลือบมองเวลาแล้วต้องเม้มปากเข้าหากันแน่น สองทุ่มแล้ว... ส่วนพี่ทาร์ตยังไม่ตอบอะไรกลับมา
 
“เออลืมไป แล้วนี่มึงไม่ไปหาอะไรกินเหรอ”
ผมถามคนที่ขยับตัวไปพิงหัวเตียงด้วยท่วงท่าสบาย ใบหน้าดูมีความสุขมากกว่าเมื่อตอนบ่ายซะอีก ต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นระหว่างที่ผมนอนหลับไปแน่นอน แต่ว่ามันคืออะไรล่ะ อยากรู้จริงๆ การเผือกเรื่องคนอื่นน่าจะทำให้ผมใจเย็นลงได้
 
“มีคนเอาข้าวมาให้แล้ว”
มันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงระรื่น ใบหน้ากรุ้มกริ่มอย่างเห็นได้ชัด ไอ้คนที่เอาข้าวมาให้นี่มันยังไงๆ อยู่นะ จะใช่คนที่ผมแอบสงสัยอยู่หรือเปล่า แต่จะให้ถามไปตรงๆ ไอ้กู๊ดมันคงไม่ตอบหรอก ไอ้นี่ชอบปิดบังจะตาย
 
“ใครวะ”
แกล้งถามไปอย่างนั้นล่ะ เผื่อมันหลุดปากบอกบ้าง ก็เห็นอารมร์ดีจนน่าหมั่นไส้ขนาดนี้
 
“ไม่ต้องถามมากน่า มีส่วนของมึงด้วย เดี๋ยวมากินกัน”
มันบอกปัดแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขายาวๆ กำลังจะก้าวออกไปจากตรงนี้แต่มันกลับหันหน้ามามองกันแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ผมหันซ้ายหันขวาเพราะไม่เข้าใจว่าเพื่อนสนิทกำลังสื่ออะไรออกมากันแน่
 
“อืมๆ ปิดบังกูจังนะ”
ผมตอบกลับไปแล้วจ้องตามันกลับ สายตาของไอ้กู๊ดที่มองมาเหมือนกำลังจับผิดอะไรบางอย่างอยู่...
 
“เออน่า แต่ว่ามึงไม่สบายเหรอ เห็นหน้าแดงมานานแล้ว”
คำถามตรงๆ ของไอ้กู๊ดทำให้ผมต้องยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองอย่างรวดเร็ว ดวงตารีเบนหลบไปทางอื่นแทบจะทันที หัวใจเริ่มเต้นรัวเพราะกลัวว่าจะโดนจับได้ ไม่น่าหวั่นไหวกับข้อความที่พี่ทาร์ตส่งมาให้เลย... ก็แค่แกล้งกันให้เขินเท่านั้นเอง ใช่ปะวะ
 
“เฮ้ย เปล่า ไม่ได้ป่วยอะไร สบายดีเว้ย”
ผมตอบก่อนจะลูบแก้มตัวเองไปมา ไม่รู้ต้องทำยังไงแก้มมันถึงจะหายแดงสักที แต่ดูไอ้กู๊ดจะแสดงตัวว่าเป็นห่วงกันมากกว่าปกติ เพราะมันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงความอุ่นของลมหายใจ จะเข้ามาจูบกันเลยไหมล่ะเพื่อน!

ผมขยับตัวหนีแล้วคว้าหมอนมากอดเอาไว้แน่นราวกับว่ารักมันมาก ใบหน้าครึ่งล่างซุกลงหาความนุ่มหวังตะปกปิดใบกน้าที่กำลังแดงเห่อมากกว่าเดิม นึกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว แต่เปล่าเลย โดนไอ้กู๊ดทักยิ่งอาการหนัก
 
“แต่หน้ามึงแดงมากนะ”
มันย้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นน้ำเสียงเชิงล้อเลียน มือหนาเอื้อมมาดึงแก้มกันด้วยความมันเขี้ยว ผมเงยหน้าขึ้นจ้องมันเขม็งเพราะเจ็บ... เบาๆ หน่อยก็ไม่ได้วะ ก็ใช่สิ เรามันเป็นคนที่ไม่ใช่สำหรับเขาแล้วนิ อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้คนที่เข้ามาจีบไอ้กู๊ดเป็นแทจุนหรือเปล่า
 
“เอาไปอ่านไป ขี้เกียจเถียงกับมึงแล้ว”
ผมที่ทนความเสือกของเพื่อนไม่ไหวส่งโทรศัพท์ในมือไปให้มันอ่านข้อความของพี่ทาร์ตเอาเอง ถึงเครื่องจะล็อกแต่ไอ้กู๊ดมันก็สามารถจำรหัสได้ ไม่รู้มันเดาถูกได้ยังไง แต่จะให้เปลี่ยนก็กลัวตัวเองจำไม่ได้ งานเข้าไปอีกเวลาสแกนนิ้วไม่ผ่าน

ผมมองการกระทำของไอ้กู๊ดอยู่เงียบๆ โดยที่ภายในนั้นลุ้นแทบตาย ไม่รู้ว่ามันจะแซวอะไรกลับมาเมื่อได้อ่านข้อความที่พี่ทาร์ตส่งมา จริงๆ อยากคิดว่านั่นคือการจีบแต่ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะโดนแกล้งจากเขามากกว่า จะบอกว่าผมโง่ก็คงได้ คนไม่เคยมีแฟนไม่เคยมีความรักนี่หว่า ไม่มั่นใจอะไรหรอก ถ้าไม่บอกออกมาตรงๆ
 
“โอ๊ะ... นี่พี่ทาร์ตจีบมึงเหรอวะ โคตรมึนเลย”
ไอ้กู๊ดหันมาพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อก่อนจะส่งโทรศัพท์กลับมาให้ ผมเม้มปากแน่นเมื่อฟังประโยคนั้นจบ ตกลงว่าพี่ทาร์ตจีบกันจริงๆ เหรอวะ
 
“จีบเหรอ... กูนึกว่าโดนแกล้ง”
ผมพูดเสียงเบาแล้วมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ยังไม่มีการตอบอะไรกลับมา ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังโดนจีบจริงๆ แล้วอย่างนั้นเหรอ มันทั้งเขิน ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น เพราะพี่ทาร์ตสารภาพว่าชอบกันมาตั้งหลายเดือน แต่ไม่เห็นวี่แววจะจีบจริงจังสักที
 
“ห่า... มึงนี่ก็ซึนจังเว้ย โดนจีบยังไม่รู้อีก ถ้าไม่เชื่อก็ถามพี่ทาร์ตดู”
มือหนาๆ ผลักหัวกันเบาๆ ก่อนจะขยี้เส้นผมจนยุ่งเหยิง ดวงตาคมของเพื่อนสนิทที่มองมาบ่งบอกได้ว่ามีความเอ็นดูกันแค่ไหน

"บ้า... มันคงไม่ตอบกู"
พูดออกไปด้วยเสียงเบาหวิวแล้วก้มหน้าจนปลายคางแทบชิดกับอก ไม่ไหวแล้วจริงๆ ในตอนนี้ แก้มร้อนมาก ตัวก็เริ่มร้อนขึ้นมานิดๆ ไม่แน่ใจว่าเขินหรือไข้ขึ้นจริงกันแน่ แยกไม่ออกแล้ว

"ไม่ลองไม่รู้เว้ย กูไปเตรียมของกินดีกว่า"
ไอ้กู๊ดพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปเตรียมอาหารตามที่ปากได้พูดเอาไว้ ผมไม่วายทอดสายตามองเพื่อนสนิท กล่องในมือมันนั่น... ลายโปเกม่อนที่แทจุนชอบนี่หว่า ใช่แน่ๆ หึ แต่ตอนนี้ผมควรจะเอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า

แม่ง เอาวะ ถามก็ถาม จะได้รู้กันไปเลยว่าตัวเองโดนจีบหรือเปล่า!
 
ปูน : โอย นี่จีบ?

กดส่งไปแล้วก็ได้แต่นั่งจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมตาเขม็ง ไม่นานข้อความก็ขึ้นว่าถูกอ่านแล้ว แต่มันเงียบเกินไป เงียบจนแอบใจหาย นี่เขาจะไม่ตอบจริงๆ เหรอ หรือเป็นผมเองที่เข้าใจผิดไป... แต่พอละสายตาไปทางอื่น โทรศัพท์กลับสั่นเตือนขึ้นมาซะอย่างนั้น บ้าจริง

พี่ทาร์ต : อืม... จีบ
พี่ทาร์ต : จีบแล้วนะ จีบจริงๆ
พี่ทาร์ต : ปูน... เงียบทำไมวะ ไม่ชอบเหรอ

พอคำตอบที่อยากได้โผล่ขึ้นมาให้อ่าน หัวใจก็แทบจะหยุดเต้น ไม่ได้โอเวอร์เกินความเป็นจริง ในชีวิตที่ครั้งหนึ่งโดนคนที่ตัวเองชอบจีบ จะไม่รู้สึกดีใจมากๆ บ้างเหรอวะ อยากตะโกนบอกว่าเปล่าเว้ย ชอบ ชอบจะตายอยู่แล้ว แต่มันตอบไม่ได้ไง เข้าใจคนที่กำลังเขินจนทำอะไรไม่ถูกหรือเปล่าวะไอ้พี่ทาร์ต ถึงตัวจะไกลกันก็ยังขยันทำให้หวั่นไหวได้ เก่งเกินไปแล้วนะ

พี่ทาร์ต : มันเสี่ยวไปใช่ปะ ขอโทษ
พี่ทาร์ต : จะหามุกอื่นมาจีบแล้วกันเนอะ

ไอ้นี่ก็ขยันพูดเองเออเองไปเรื่อย บทจะตอบไวก็รัวอย่างกับ M16 พอบทจะเงียบเสือกเป็นช่วงเวลาสำคัญตลอด แม่ง คนบ้าอะไรเนี่ย ไม่รู้ว่าเผลอชอบไปได้ยังไงกัน แต่ด่าเขาก็ยังยิ้มออกมาจนปวดแก้มอยู่ดี มีความสุขอะ

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะพิมพ์ข้อความตอบกลับ ถ้าขืนยังปล่อยทิ้งช่วงแบบนี้เดี๋ยวพี่ทาร์ตก็พูดเองเออเองอีก จากที่ดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ กลับเครียดขึ้นมาทันตา

ปูน : ... เชี่ย เขินอะ ทำไงดี
ปูน : แงงงงง

สิ่งที่ผมกดส่งไปก็มีเพียงเท่านั้น ไม่มีความสามารถพอที่จะสรรหาคำอะไรได้ดีกว่านี้อีกแล้ว กัวใจเต้นโครมครามจนน่ากลัว ไม่เคยเป็นแบบนี่เลยจริงๆ หรือต้องไปหาหมอแล้วนะ ร่างกายผิดปกติเหลือเกิน ต้องพาต้นเหตุอย่างพี่ทาร์ตไปด้วยหรือเปล่านะ... (เหมือนตอนโดนงูกัดแล้วเอางูตัวนั้นไปโรงพยาบาลด้วย)

พี่ทาร์ต : หึหึ
พี่ทาร์ต : โทรหาได้ไหม ว่างอยู่หรือเปล่า

ข้อความต่อจากนั้นทำให้ผมสะอึกเล็กน้อย ทำให้เขินผ่านตัวอักษรไม่พอยังจะโทรมาซ้ำเติมกันอีกเหรอวะ ไม่ได้เป็นคนที่มีภูมิต้านทานเรื่องนี้สูงเลย เห็นใจกันหน่อยไม่ได้เหรอ

"ไอ้เชี่ยปูน มากินข้าว นั่งยิ้มเป็นคนบ้าอยู่ได้"
เสียงติดหงุดหงิดของไอ้กู๊ดเรียกสติให้ผมกลับสู่โลกความเป็นจริง เกิดอาการสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างรีบๆ

ปูน : อีกสัก 10 นาทีค่อยโทรมาได้ไหมครับ ผมขอกินข้าวก่อน ไอ้กู๊ดจะแดกหัวผมแล้ว

ส่งข้อความเสร็จก็วางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเตียงเพราะโดนสายตาของเพื่อนสนิทกดดัน ผมก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหาไอ้กู๊ดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วจัดการกินข้าวที่วางอยู่ตรงหน้าทันที อยากจะอวดว่ามันโคตรอุดมสมบูรณ์สุดๆ เนื้อย่าง ผักสด กิมจิ ซุปเต้าเจี้ยว ต็อกโปกี โพซัม(หมูสามชั้นนึ่ง) และข้าวผัดกระเทียม นี่มันยิ่งกว่าร้านอาหารอีก สงสัยจนต้องเอ่ยปากถาม ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับแน่ๆ

“กูถามจริงเหอะกู๊ด ใครเอามาให้มึงกินเนี่ย เลี้ยงดีฉิบหาย”
ผมพูดทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวข้าวไม่หมด ก็มันเกิดสงสัยขึ้นมาตอนนี้ ถ้าปล่อยไปนานเดี๋ยวจะลืมซะหมด ไอ้กู๊ดเหลือบตามองกันก่อนจะทำหน้าขยะแขยงใส่ อะไรวะ แค่นี้ก็รับไม่ได้เหรอ





ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“มึงควรกลืนข้าวก่อนถาม สกปรกฉิบหาย”
มันบ่นด้วยเสียงฉุนๆ ก่อนจะส่งกระดาษทิชชู่มาถูที่มุมปากของผมอย่างแรง ไม่บ่อยนักหรอกที่ไอ้กู๊ดจะทำอะไรแบบนี้ คนอื่นคงมองว่าบรรยากาศฟุ้งๆ สีชมพู แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก เพื่อนดูแลเพื่อนแปลกตรงไหน ก็เจ้าตัวเขายืนยันเองว่า ‘เคยชอบ’ ไม่ได้กำลังชอบผมอยู่สักหน่อย และท่าทางในเวลานี้คงมีคนที่ถูกใจมากกว่าแล้ว

“อือ”
ผมครางอือในลำคอก่อนจะรีบเคี้ยวข้าวแล้วกลืนอย่างรวดเร็ว เกือบสำลักจนต้องคว้าแก้วน้ำมากระดกตามไปติดๆ ถ้าเกิดไอออกไปนะ โดนด่าหูชาแน่ๆ

“คราวนี้ถามได้หรือยังวะ”
ผมพูดจบก่อนจะอ้าปากให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามมองราวกับเด็กที่อวดว่าตัวเองกลืนข้าวจนหมดแล้ว ไอ้กู๊ดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต 

“ใครเอาของกินมาให้”
ผมถามย้ำอีกครั้งแล้วใช้ตะเกียบคีบโพซัมใส่ปาก เพราะไม่อยากนั่งจ้องเพื่อนสนิทสักเท่าไหร่ บรรยากาศมันคงตึงเครียดเกินไป

“อืม... กูจำเป็นต้องตอบด้วยเหรอวะ”
ไอ้กู๊ดเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูจากสีหน้าแล้วมันตั้งใจกวนตีนกันเห็นๆ แต่จากน้ำเสียงที่ใช้ตอบกลับมานั้นคงจะยอมตอบอะไรออกมาบ้างแล้วล่ะ

“ไม่จำเป็น แต่กูสงสัย”
ผมตอบออกไปแบบนั้นก่อนจะคีบเนื้อย่างใส่ถ้วยข้าวของไอ้กู๊ดเป็นการเอาใจ ดวงตาคมเหลือบมองกันอย่างรู้ทันก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วตอบคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์

“แทจุน”
ชื่อของคนที่ผมคิดไว้หลุดออกมาจากปากหยักนั่นอย่างง่ายดาย ไม่มีทีท่าแสดงความอึดอัดหรือไม่ชอบใจ ทำให้กล้าที่จะตั้งคำถามต่อได้ไม่ยาก

“เฮ้ย จริงดิ แทจุนจีบมึงเหรอ”
ผมถามสิ่งที่คิดออกไปอย่างลืมตัว ไอ้การตะล่อมถามอะไรนั่นทิ้งไปเถอะ ปากไวกว่าสมองไปเยอะ ส่วนไอ้กู๊ดถึงกับชะงักมือที่คีบต็อกโปกีค้างไว้ ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมองสบตาแทบจะทันที

“เอาข้าวมาให้กินนี่จำเป็นต้องจีบด้วยเหรอ”
น้ำเสียงกวนๆ ถามกลับมา ก่อนที่มุมปากจะกระตุกเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมผงะไปเล็กน้อยกับคำพูดนั้น มันก็จริงที่ทำดีต่อกันไม่จำเป็นต้องจีบเสมอไป แต่บรรยากาศแปลกๆ รอบตัวพวกเขาล่ะ... ไม่ได้จีบจริงๆ เหรอวะ ผู้ชายเกาหลีหน้าสวยๆ ส่วนมากก้แมนทั้งนั้นด้วยสิ

“อ่าว... ไม่ใช่จริงๆ เหรอวะ”
ผมพึมพำเสียงเบาเพราะรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ที่เรื่องราวมันไม่ได้เป็นไปตามคาด จะไม่โทษใครหรอกเพราะตัวเองไม่ได้เก่งเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ แค่อยากให้ไอ้กู๊ดมีคนที่รักจริงๆ บ้าง ไม่ใช่เอาแต่เที่ยวเล่นควงคนนั้นคนนี้ไปวันๆ อย่างเดิม เห็นมันใช้ชีวิตแล้วรู้สึกหงุดหงิด จะหาว่าชอบจุ้นจ้านเรื่องเพื่อนก็คงได้

“หึหึ เออ ตามที่มึงคิดนั่นล่ะถูกแล้ว”
มันหัวเราะเสียงต่ำออกมาจนน่าขนลุกก่อนจะหันไปสนใจอาหารตามเดิม ผมเหลือบมองพฤติกรรมของเพื่อนสนิทอยู่เงียบๆ ดูเหมือนจะมีความสุขดีล่ะมั้ง ยกตัวอย่างวันนี้ก็ไม่ยอมไปเดินดูสาวๆ อย่างที่เคยทำ แทจุนคงถูกใจไอ้กู๊ดอยู่ไม่น้อย

ผมลอบยิ้มก่อนจะกลับไปตั้งใจกินข้าวอีกครั้ง แต่เสียงริงโทนที่คุ้นเคยกลับดังขึ้นจนต้องวางช้อนวางตะเกียบแล้วเดินไปรับสายอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อดวงตารีพบกับชื่อสายโทรเข้าก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย พี่ทาร์ตโทรมาหลังจากเวลาผ่านไปแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง... คงรอไม่ไหวแล้วจริงๆ

“สวัสดีครับพี่ทาร์ต”
ผมกรอกเสียงลงไปแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ไอ้กู๊ดส่งสายตาดุๆ มาให้เพราะยังกินข้าวไม่เสร็จ นี่ยังสงสัยว่ามีพ่อเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแทนที่จะเป็นเพื่อนสนิทหรือเปล่านะ

‘กินข้าวเสร็จหรือยัง’
   น้ำเสียงราบเรียบถามกลับมาแบบที่ผมไม่สามารถเดาอารมณ์ออกเลย ไม่รู้ด้วยว่าอีกคนมีธุระอะไรสำคัญ

“ยังเลยครับ แต่คุยได้นะ”
ผมตอบไปตามความจริงเพราะไม่อยากโกหก ใจหนึ่งก็อยากรู้ด้วยว่าพี่ทาร์ตจะคุยเรื่องอะไร รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

‘ไปกินก่อน พี่รอได้’
น้ำเสียงฟังหงอยๆ ขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนอยากเล่าให้ฟังแต่ก็ไม่อยากให้ผมลำบากอะไรประมาณนั้น

“ไม่เอาครับ พี่อุตส่าห์โทรมาแล้ว มีอะไรด่วนหรือเปล่าเนี่ย”

‘อืม... พี่จะบอกว่าม๊ารู้เรื่องของเราแล้วนะ’

“.....”

อะไรนะ โลกกำลังจะแตกเหรอ!!

เช้าวันใหม่ที่อากาศช่างสดใสแต่ผมกลับนั่งตาโหลอยู่บนเตียงหลังจากโดนไอ้กู๊ดปลุก ที่เห็นสภาพเป็นแบบนี้เพราะนอนไม่หลับมาทั้งคืน หัวสมองมันเอาแต่คิดเรื่องของป้าอุ่นวนไปเวียนมาไม่รู้จักจบสิ้น จากคำบอกเล่าของพี่ทาร์ตที่ว่า...

‘ม๊าไม่ขัดอะไรเรื่องที่พี่กับปูนชอบกันนะ แต่มันมีปัญหาอยู่นิดหน่อย’
‘ยังไงครับ ลุงตั้มเหรอ’
‘ไม่ใช่ๆ ม๊าไม่เชื่อว่าพี่จะดูแลใครได้ กลัวจะทำให้ปูนลำบากและเสียใจ’
‘…..’
‘ปูน... คิดเหมือนม๊าพี่หรือเปล่าครับ’
‘ผมเชื่อว่าพี่สามารถดูแลผมได้ แต่ไอ้เรื่องทำให้เสียใจ มันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ คนเราไม่ได้เพอร์เฟ็คไปซะทุกอย่างนี่’
‘นั่นสินะ กลับมาเมื่อไหร่มีเซอร์ไพร์สรออยู่นะ’


ดีใจที่ลุงกับป้ารับเรื่องพวกนี้ได้ แต่เซอร์ไพร์สอะไรวะ ทำไมผมต้องคิดมากด้วย ลางสังหรณ์มันร้องเตือนว่ากลับไปครั้งนี้อาจจะมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป อาจจะเป็นเรื่องานของพี่ทาร์ต เรื่องที่ต้องรับมือกับครอบครัวรวมทั้งสัมคมรอบด้าน หรือแม้กระทั่งสถานะความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน

“ปูน”

“.....”

“เชี่ยปูน!”

“ห๊ะๆ อะไรวะ แผ่นดินไหวเหรอ!”
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเพื่อนสนิท ใบหน้าหันไปทางซ้ายทีขวาทีเพราะตกใจ แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากไอ้กู๊ดคือเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก สรุปคือมันเกิดอะไรขึ้น... งงไปหมดแล้ว

“จี้ว่ะไอ้ปูน แผ่นดินไหวที่ไหน มึงนั่งเหม่อต่างหาก”
ไอ้กู๊ดพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กันในสภาพที่เตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอก เนื่องจากวันนี้ไม่มีเรียนเลยนัดกันว่าจะไปเที่ยวพระราชวังสักหน่อย

“เหรอวะ โทษที กูเบลอๆ มึนๆ”
ผมบอกก่อนจะใช้สันมือเคาะหัวตัวเองสองสามทีเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา อาการคิดมากจนนอนไม่พอส่งผลให้เบลอขนาดนี้เลยเหรอวะ แล้ววันนี้จะเอาชีวิตรอดกลางแดดร้อนเที่ยงวันได้อย่างไร

“เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไงวะ สภาพเหมือนหมีแพนด้าเลยมึง”
ไอ้กู๊ดถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะใช้นิ้วเรียวๆ จิ้มมาที่แก้มของผมเหมือนช่วยเรียกสติอีกแรง ถ้าคนอื่นมาเห็นคงคิดไปไกล แต่สำหรับเราแล้วเรื่องแบบนี้ช่างธรรมดาเหลือเกิน

“เออ คิดอะไรนิดหน่อย กูไปอาบน้ำก่อนนะ”

“เออๆ เดี๋ยวไปหาอะไรมาให้กินแล้วกัน”

ผมใช้เวลาถอดเสื้อผ้าไม่ถึงหนึ่งนาทีแต่ใช้เวลาไปกับการนั่งปลดทุกข์เกือบชั่วโมง ประเด็นคือเผลอหลับจนไอ้กู๊ดต้องมาเคาะประตูเรียกให้รีบอาบน้ำ กว่าจะจัดการตัวเองเรียบร้อยก็ปาไปสิบโมงเช้าแล้ว ขายาวๆ ก้าวออกมาจากห้องน้ำก่อนที่สายตาจะปะทะกับน้อยยิ้มหวานๆ ของผู้มาเยือนใหม่ ไอ้แทจุนที่ในมืออุดมไปด้วยถุงพลาสติกสีดำ เชื่อว่าด้านในคงเป็นของกินที่ซื้อมาฝากหวานใจมันแน่ๆ น่าอิจฉาเว้ย

“อันนยอง ปูน ~”
คำทักทายเป็นภาษาเกาหลีลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูสดตามแบบฉบับคนเกาหลีผิวขาว ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ยังง่วงอยู่เลยเว้ย ให้ตายสิ เปลี่ยนแผนเป็นนอนอยู่ที่ห้องได้ไหม แล้วส่งมันสองคนไปเดทกัน เหมือนพิธีกรรายการเทคกายเอ้าท์ไปอีกอะกู

“อันนยอง หาว ~”
หาวตบท้ายไปอีกหนึ่งครั้งเลยทำให้แทจุนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะส่งกล่องอาหารเช้าหน้าตาน่ากินมาให้ มันเป็นข้าวตัมใส่ธัญพืชและเนื้อสัตว์ ภาษาเกาหลีจะเรียกว่า ‘จุค’

   “ม็อกจา!” (กินกันเถอะ)

   “อือ”

   ระหว่างที่นั่งกินข้าวก็เกิดความหมั่นไส้อย่างช่วยไม่ได้ ก็ใครใช้ให้ไอ้กู๊ดเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วมองแทจุนแบบไม่ละสายตาล่ะวะ แต่มันเนียนนะ ไม่ยอมให้เขารู้ตัวหรอก แต่ผมนี่สิแทบจะปากคว่ำอยู่รอมร่อแล้ว คิดถึงพี่ทาร์ตเว้ย อยากกลับบ้านแล้วเนี่ย

   “แดกคนแทนข้าวเลยไหมล่ะ จ้องเขาอยู่ได้”
   ผมหันไปพูดเสียงรอดไรฟันใส่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไอ้กู๊ดสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะละสายตาจากแทจุนมามองผมแทน มันเลิกคิ้วอย่างคนไม่รู้เรื่องราวอะไร แบบนี้มันยิ่งหน้าหมั่นไส้ฉิบหาย สนใจแต่ไม่แสดงออก ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายจีบอยู่ได้ เจ้าเล่ห์นักนะคนเรา

   “พูดอะไรของมึง เพ้อเจ้อจัง”
   ไอ้กู๊ดพูดด้วยเสียงทะเล้นแล้วตักโจ๊กใส่ปากก่อนจะเหลือบมองแทจุนที่นั่งกินข้าวแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมที่อยากเผือกเต็มที่เลยส่งคำถามไปให้เพื่อนสนิทอีกระลอก

   “ชอบเหรอถามจริง”

   “ยัง... แต่ก็น่าสนใจดี”




-------------------------------------------------

ปูนมาทวงบัลลังก์คืนแล้วนะเออ หลังจากหนีไปกบดานสองตอน
เจ้ากู๊ดเจอคนน่าสนใจเข้าแล้วล่ะ น้องปูนคงเป็นหมาหัวเน่า 5555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
ถ้าพี่ทาร์ตรู้ว่ากายยังรุกปูนไม่เลิก คงรีบบินมาเฝ้าปูนแน่

พี่ทาร์ตบทจะจีบก็รุกหนักเลย เล่นเอาปูนไปไม่เป็น เพราะมัวแต่เขิน

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 17

Chocolate Mint Macaron
: อัลมอนด์ป่น/น้ำตาลไอซิ่ง/ไข่ขาว/น้ำตาลเกล็ดละเอียด/สีผสมอาหาร/ดาร์กช็อกโกแลต/วิปปิ้งครีม/กลิ่นมิ้นท์ :





แสงแดดยามเที่ยงวันลอดผ่านหน้าต่างเครื่องบินที่กำลังแลนด์ดิ้งสู่สนามบินนานาชาติภูเก็ตปลุกให้ใครบางคนที่นั่งหลับมาราวๆ สี่สิบห้านาทีลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวตัวเองไปมาแล้วหันไปมองคนด้านข้างด้วยความเบื่อหน่าย เชี่ย กรนดังฉิบหาย อายชาวบ้านเขาไหมล่ะ

"เชี่ยกู๊ด ตื่น"
ผมออกเสียงเรียกไอ้กู๊ดที่ยังนั่งหลับสัปหงกอยู่ตรงกลาง อีกด้านเป็นเป็นเพื่อนรวมสาขา ส่วนไอ้ไนน์เกาะติดแฟนมันอย่างกับปลิง คิดแล้วก็หงุดหงิด... 

"อือ"
มันครางรับเสียงงัวเงียก่อนจะทิ้งหัวหนักๆ ของมันลงมาบนไหล่แล้วอ้าปากหาวหวอดจนผมต้องยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเอง แม่งเอ้ย เหม็นน้ำลายบูดสุดๆ จำได้ว่าก่อนขึ้นเครื่องมันแดกไก่บอนชอนรสกระเทียมมา น้ำตาจะไหล

"เชี่ยกู๊ด ปากเหม็นกระเทียมฉิบหาย"
ผมบ่นเสียงอู้อี้ก่อนจะกระตุกไหล่ให้คนที่นอนพิงกันอยู่ถอยออกไปสักที แต่คงามหน้าด้านของมันมีเยอะเลยไม่ยอมขยับตัวไปไหนแถมยังสอดมือเข้ามากอดรอบแขนกันอย่างออดอ้อนอีก ถ้าเป็นพี่ทาร์ตจะไม่ว่าสักคำ อย่าหาว่าลำเอียงเลยก็ความรู้สึกมันแตกต่างกันนี่

"ทำอย่างกับปากมึงไม่เหม็น กินมาด้วยกัน"
มันบอกเสียงงัวเงียก่อนจะผละตัวออกแล้วเหล่สายตามองกันอย่างเอาเรื่อง มือหนายกขึ้นขยี้ตาตัวเองไปมา ดูยังไงก็น่าหมั่นไส้ ไม่เห็นจะน่ารักอย่างที่คนอื่นพูดกัน ทีผมทำพี่ทาร์ตบอกว่าเหมือนเด็กอนุบาล... อยากถามจริงๆ รักกันแน่เหรอวะ

"กูอมลูกอมแล้วเถอะ"

"ครับๆ พ่อคนปากหอม เครื่องจะแลนด์ดิ้งแล้วเหรอวะ"
ไอ้กู๊ดเอี้ยวตัวมาทางผมเพื่อมองบรรยากาศด้านนอกผ่านหน้าต่างเครื่องบิน ผมพยักหน้ารับก่อนจะใช้มือดันอกมันที่แนบลงมา แค่อยากแกล้ง ไม่ได้อึดอัดอะไร แถมสาวๆ ที่กำลังมองมายังแอบกรี๊ดกร๊าดอีก... สมัยนี้อะไรนิดอะไรหน่อยพวกเธอก็จิ้นไปซะหมด เพลียใจจัง

"เออดิ ลดระดับบินแล้ว"
ผมตอบกลับเพื่อยืนยันอีกครั้ง ไอ้กู๊ดเงยกน้าขึ้นมาเบะปากให้กันเล็กน้อยก่อนจะดึงตัวกลับไปนั่งที่เดิม ดวงตาคมจ้องมองไปทางด้านหน้าเมื่อเห็นแอร์โฮสเตสกำลังกลับมาทำหน้าที่ตัวเองอีกครั้ง ความเจ้าชู้กลับมาแล้วหรือไงนะ

"มีคนมารับยัง"
มันถามเมื่อหมดความสนใจในตัวแอร์โฮสเตสสาวพวกนั้น มือหนาควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก่อนจะหยิบขึ้นมากดเปิดเครื่องเมื่อล้อเครื่องบินแตะพื้นเรียบร้อยแล้ว

"มีแล้ว"
ผมตอบกลับไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดเครื่องเช่นกัน หน้าจอปรากฎข้อความจากแอพพลิเคชั่นสีมะนาวจากคนที่อาสามารับถึงสนามบิน ทำให้มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มได้อย่างง่ายดาย

'พี่อยู่สนามบินแล้ว ถ้าถึงก็ไลน์มานะ'

"ใครวะ"
ไอ้กู๊ดลุกขึ้นยืนก่อนจะขยับตัวออกจากที่นั่งอย่างยากลำบาก เพราะแต่ละคนต่างก็อย่างลงจากเครื่องเต็มทน ผมลุกตามออกไปแล้วแทรกเข้าที่ช่องว่างเล็กๆ มีมันเป็นเพื่อนโคตรได้ประโยชน์

"ไม่บอก"
ผมบอกเสียงทะเล้นก่อนจะเปิดที่เก็บกระเป๋าบนหัวแล้วหยิบสัมภาระของเพื่อนและของตัวเองลงมาถือไว้ ไม่ใช่กระเป๋าอะไรแต่เป็นพวกของฝากมากกว่า แล้วไอ้ตุ๊กตากระต่ายอ้วนตุ๊ต๊ะในมือก็ทำให้ผมเขินแปลกๆ ไม่ได้เข้ากับหน้าตาเลยไง แทจุนแม่ง... ไม่รู้จะซื้อให้ทำไม ตัวใหญ่จนยัดใส่กระเป๋าเป้ไม่ได้เนี่ย

"เฮ้ย จะกลับด้วยไง"
เสียงประท้วงเบาๆ จากไอ้กู๊ดที่ยืนอยู่ด้านหลังทำให้ผมชะงักอาการขัดเขินของตัวเองเอาไว้แล้วกระชับกอดตุ๊กตาแน่นขึ้นแล้วหันไปตอบคำถามของเพื่อนอย่างจริงจัง

"อ๋อ... พี่ทาร์ตมารับ เดี๋ยวกูบอกให้ว่าไปส่งมึงด้วย"

"ดีๆ กูซื้อของมาฝากพี่เขาด้วย"
ดูมันจะตื่นเต้นมากกว่าผมที่ไม่ได้เจอพี่ทาร์ตแรมเดือนอีกนะ สรุปว่าไอ้กู๊ดมันแอบชอบเขาด้วยหรือเปล่า มีของฝากกันอีก ทะแม่งๆ แล้วนะมึง

"ห๊ะ มีซื้อของฝากด้วย ตกลงอะไรยังไง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้เต็มทนแต่ขาก็ยังก้าวไปข้างหน้าเพื่อลงจากเครื่องบิน ดีหน่อยที่ช่วงเที่ยงยังมีงวงช้างให้เดินสบายๆ เข้าภายในตัวอาคาร ลองกลับจากกรุงเทพฯ เวลาดึกๆ สิ ขึ้นรสบัสมหาประลัยทุกที

"ไม่บอกหรอก ความลับ"
เสียงกวนๆ ของไอ้กู๊ดดังมาจากด้านข้างทำให้ผมง้างมือเอาตุ๊กตาฟาดมันด้วยความหมั่นไส้ เรื่องไอ้แทจุนยังไม่เคลียร์เสือกมีลับลมคมในเรื่องพี่ทาร์ตอีก ไม่กลัวว่ามันจะตีท้ายครัวหรอก กลัวจะไปสนิทกันแล้ววางแผนแกล้งผมแบบแปลกๆ นี่สิ

"ไอ้เชี่ยนี่"
ด่ามันในขณะที่โดนดึงตุ๊กตากระต่ายอ้วนออกไปจากมือ ไอ้กู๊ดขยับไหล่มากระแซะกันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ต่อยสักทีได้ไหม หมั่นไส้ว่ะ โคตรๆ ด้วย

"หึงเหรอๆ"
มันยังคงกวนตีนไม่เลิกแถมยังเอาตุ๊กตามาดันหน้ากันอีก แล้วไอ้ที่บอกว่าผมหึงน่ะ ไม่ใช่เลย ความมโนส่วนตัวของมันล้วนๆ

"เกลียดมึงจริงๆ"
ผมแยกเขี้ยวใส่มันแล้วดึงตุ๊กตามากอดไว้เหมือนเดิม ถึงจะเขินแค่ไหนก็อดหมั่นไส้ไอ้กู๊ดไม่ได้หรอก เพราะมันเอาแต่จะคอยขโมยเจ้ากระต่ายอ้วนอยู่เรื่อย ด้วยเหตุผลที่ว่าคิดถึงแทจุน หอกหัก ตอนถามว่าชอบเขาหรือเปล่ากลับปฏิเสธ ปากไม่ตรงกับใจว่ะ แอบติดนิสัยนี่มาจากใครหรือเปล่าก็ไม่รู้

หลังจากรับกระเป๋าเดินทางใบโตเรียบร้อยผมก็ไลน์หาพี่ทาร์ตว่ายืนรออยู่ประตูทางออกของอาคาร ไม่นานนักรถที่ไม่คุ้นตาก็ขับมาเทียบที่ที่เรายืนอยู่ ร่างสูงที่ไม่ได้เจอกันเป็นเดินๆ ก้าวลงจากมาทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นหันมองแทบจะเป็นตาเดียว มารับคนนี่ต้องแต่งตัวเต็มยศเหมือนจะไปเดินแบบด้วยเหรอว่ะ หมั่นไส้

"โอ้โห นั่นนายแบบหลุดออกมาจากนิตยสารหรือไงวะ ขับจู๊คสีแดงด้วย โคตรเฟี้ยว"
เสียงไอกู๊ดตื่นเต้นจนผมต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ทำอย่างกับไม่รู้จักพี่ทาร์ตอย่างนั้นล่ะ แค่ใส่แว่นกันแดดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กางเกงสแล็กที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกัน เอาจริงๆ ก็เนี๊ยบตั้งแต่กัวจรดเท้าเหมือนนายแบบในนิตยสารจริงๆ แต่ที่ผมสนใจมากกว่านั้นคือ... รถใคร

"มึงจำพี่ทาร์ตไม่ได้หรือไงวะ"
ผมถามกลับไปแล้วโบกมือให้กับคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ไอ้กู๊ดทำหน้าเหลอหลาแล้วจ้องพี่ทาร์ตแทบตาถลน สงสัยจะจำไม่ได้จริงๆ

"เชี่ย ไม่เจอกันเดือนสองเดือนหล่อขึ้นกว่าเดิมอีก แม่งเอ้ย อิจฉามึงจริงๆ"
ไอ้กู๊ดฉีกยิ้มกว้างให้คนที่เดินเข้ามาช่วยยกกระเป๋าขึ้นด้านหลังโดยไม่เอ่ยปากทักทายอะไรเพราะต้องรีบทำเวลา มีรถต่อคิวอยู่ด้านหลังอีกเยอะ ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีกลับยืนเฉยๆ ไม่ยอมขยับไปไหน แต่ลูกตากลับเหลือบมองพี่ทาร์ตอย่างสนใจ

"อะไรของมึง อยากเป็นเมียพี่ทาร์ตเหรอไง"
ผมเหน็บมันด้วยความหมั่นไส้ อิจฉาอะไรกันล่ะ คนอย่างพี่ทาร์ตความรู้สึกช้าแถมบางครั้งยังทำอะไรไม่รู้จักคิดอีก ถ้าอดทนไม่พออาจจะทางใครทางมันไปนานแล้วก็ได้

"แหนะ ถามงี้แสดงว่ามึงจะเป็นเมียให้พี่ทาร์ตงั้นสิ"
ไอ้กู๊ดเข้ามากระแซะไหล่ ทำน้ำเสียงล่อเลียนจนผมคิ้วกระตุก เมื่อครู่ประชดเว้ย เบี่ยงประเด็นมาเป็นผมอยากเป็นเมียพี่ทาร์ตได้ยังไงวะ เรื่องแบบนี้ใครจะยอม เป่ายิงฉุบก็ไม่ได้ด้วย เรื่องใหญ่ของชีวิตผู้ชายนะ

"เปล่าเว้ย เรื่องแบบนี้ใครดีใครได้"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เชื่อมั่นว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถ้าจะโดนจิ้มขึ้นมาจริงๆ ก็แค่ดราม่าใส่เท่านั้น ยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง ถ้าพูดกันตามรูปลักษณ์ภายนอกก็เถียงไม่ออกว่าตำแหน่งเมียเหมาะสมกับตัวเองที่สุด เพราะคิดสภาพพี่ทาร์ตเป็นเมียไม่ออก มันสยองพิลึก

"จะคอยดู"

"เออคอยดูเถอะ เพื่อนมึงจะเป็นชายเหนือชาย"
ยืดอกอย่างมั่นใจประกอบคำพูดของตัวเอง พร้อมกับยักคิ้วกวนๆ ให้ แต่ไอ้กู๊ดกลับเบ้ปากใส่อย่างคนไม่เชื่อแล้วพึมพำอะไรบางอย่างออกมา

"ออนท็อปสินะ"
มันพึมพำเสียงเบาอย่างกับคนแอบตด ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักอย่าง ได้ยินแค่คำลงท้าย 'สินะ' นินทาอะไรกูอีกล่ะไอ้แสนดี!

"มึงว่าไงนะ"
ผมถามย้ำแต่ไอ้กู๊ดกลับทำหูทวนลม กำลังจะอ้าปากด่ามันอยู่แล้วกลับโดนเสียงทุ้มๆ ของพี่ทาร์ตขัดไว้ ลืมไปเลยว่าคนอื่นเขาต่อคิวรับคนอยู่ จะโดนด่าไหมเนี่ย

"เอ้า ขึ้นรถเว้ย อย่ามัวแต่คุยกัน"
พี่ทาร์ตโบกมือไล่ให้ขึ้นรถ ผมรีบเดินไปเปิดประตูรุแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งทันที พี่ทาร์ตก็เช่นเดียวกัน แต่เวลาผ่านไปสักพักกลับไม่ได้ยินเสียงของเพื่อนสนิท มันทำบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย!

"ปูน... ทำไมไอ้กู๊ดไม่ยอมขึ้นรถสักที"
พี่ทาร์ตถามออกมาก่อนจะขมวดคิ้วมองไปทางด้านหลังรถ ผมเบนสายตาตามไปก็เห็นเพื่อนสนิทยืนก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงนั้น ไม่ยอมเปิดประตูขึ้นมาสักที ทำอะไรหล่นกรือเปล่าก็ไม่รู้ อาจจะต้องลงไปช่วยหา

"เดี๋ยวผมถามให้"
ผมบอกพี่ทาร์ตก่อนที่กระจกไฟฟ้าจะลดลง ยื่นหน้าออกไปมองไอ้กู๊ดที่ยังไม่หยุดก้มๆ เงยๆ สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่ากำลังงงสุดขีด

"เชี่ยกู๊ด ยืนหาอะไรของมึง ขึ้นรถเว้ย"
ผมตะโกนออกไป ไอ้กู๊ดถึงกับสะดุ้งเฮือก แล้วนรีบเดินมาหากัน หน้าตายังดูงงๆ เบลอๆ อยู่เลย

"เปิดไงอะ"
มันถามก่อนจะชี้ไปที่ประตูรถ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกโบว์ ผมหลุดขำเล็กน้อยที่ไอ้กู๊ดหาที่เปิดประตูรถไม่เจอ เป็นเรื่องธรรมดาที่คนส่วนใหญ่จะคิดว่าจู๊คมีสองประตูสี่ที่นั่ง เพราะลักษณะภายนอกตีความได้แบบนั้น

"ข้างหน้าต่าง มึงดู ที่เปิดประตูอยู่ตรงนั้น"
ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วชี้นิ้วระบุตำแหน่งให้ไอ้กู๊ดเดินไปดู มันทำตามแล้วไล่สายตาไปเรื่อยๆ จนอยู่ๆ ก็ชะงักไปแล้วหันหน้ามายิ้มกว้างให้กันอย่างกับเด็กเจอของเล่นใหม่

"เชี่ย เจอแล้วๆ"
มันบอกด้วยน้ำเสียงดีใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามานั่งด้านใน ส่วนพี่ทาร์ตกดปุ่มเลื่อนกระจกขึ้นแล้วรีบออกรถทันทร เมื่อได้ยินเสียงแตรจากด้านหลังกดไล่

"สรุปคือมึงหาที่เปิดประตูรถไม่เจอเหรอกู๊ด"
พี่ทาร์ตที่ขับรถออกมาได้สักพักถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ แต่ไอ้กู๊ดไม่ได้ขำตาม คงจะอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ผมก็เคยเป็นแบบมันนะ คิดว่าจู๊คมีสองประตู จากความสงสัยเลยไปเซิร์ทในกูเกิ้ลดูความจริงเลยกระจ่าง... ไม่อย่างนั้นคงได้โชว์โง่เป็นเพื่อนไปแล้ว

"อย่าขำดิพี่ โคตรอาย"
ไอ้กู๊ดบ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วเอามือมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้ ท่าทางน่ารักน่าชังแต่น่าถีบมากกว่าเลยทำให้ผมคว้าโทรศัพท์มือถือกดถ่ายรูปมันเอาไว้แล้วส่งต่อให้แทจุนทางไลน์โดยพิมพ์ข้อความต่อท้ายว่า 'กู๊ดกำลังอาย' เป็นภาษาเกาหลี รู้ล่ะว่าเพื่อนชอบกัน จะช่วยเป็นกามเทพให้ ส่วนเรื่องกามอารมณ์ไปจัดการเอาเอง

"อายอะไรวะ กูก็เคยคิดว่ามันมีสองประตู เกือบหน้าแตกตอนไปดูรถที่โชว์รูมด้วยซ้ำ"
พี่ทาร์ตพูดต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่มีทีท่าว่ามันเป็นเรื่องประหลาดแต่อย่างใด ผมก็คิดแบบนั้น คนออกแบบดีไซน์ก็ล้ำไป... ล้ำจนคนอื่นดูโง่

"จริงดิ นึกว่าโง่อยู่คนเดียว"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงโล่งอกแล้วโผล่หน้ามาตรงระหว่างเบาะ ใบหน้าดูมีชีวิตชีวามากกว่าตอนแรก แต่มันหารู้ตัวไม่ว่าผมขายเพื่อนข้ามประเทศ โทรศัพท์ที่สั่นครืดๆ อยู่ในมือบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแทจุนรับรู้แล้ว หึ

รู้สึกตัวเองชนะเพราะมีไลน์แทจุน ส่วนมันไม่มี ดูสิว่าจะทำวิธีไหนให้ได้ไป ปากบอกแค่สนใจ แต่เพ้อไม่หยุดหย่อน น่าหมั่นไส้.... คิดไปคิดมาผมคงแพ้ เพราะไอ้เกาหลีนั่นน่าจะออดอ้อนเอาทุกโซเชี่ยลของไอ้กู๊ดไปซะก่อน โธ่เว้ย!

"เฮ้ย ไม่รู้ไม่ได้แปลว่าโง่เว้ย"
พี่ทาร์ตออกตัวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ผมก็คิดตามนั้นนะว่าคนไม่รู้ไม่ได้โง่ แต่ถ้ารู้แล้วไม่จำนั่นล่ะโง่

"จริงด้วย เออๆ ผมซื้อของมาฝากด้วยนะ"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยเสียงกระตือรือร้นก่อนจะหยิบถุงกระดาษมาแกว่งไปมา ผมอยากคว้ามาเปิดดูแต่กลัวเสียมารยาทเกินไป

"อะไรวะ"
พี่ทาร์ตถามก่อนจะเหลือบสายตามองทางกระจก สีหน้าดูแปลกใจไม่น้อยที่ไอ้กู๊ดซื้อของมาฝาก ไม่ได้สนิทอะไรกัน แต่อย่าลืมว่าพี่เป็นไอดอลของมันนะเว้ย

"ไม่บอก ค่อยเอาไปแกะดูที่บ้านนะ"
ไอ้กู๊ดยักคิ้วกวนๆ กลับมาแล้ววางถุงของฝากไว้ตรงเบาะหลังตามเดิม ผมอยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไรแล้วมันแอบไปซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังจะอ้าปากถามด้วยความเผือกแต่ต้องชะงักไปเมื่อเจ้าของมันเอ่ยปาก โคตรขัดใจอะบอกเลย

"เออๆ ขอบใจ แล้วปูนไม่ซื้ออะไรมาฝากพี่บ้างเหรอครับ"
พี่ทาร์ตเหล่สายตามามองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจถนนหนทางข้างหน้าต่อ ดูก็รู้ว่ากำลังคาดหวังอะไรบางอย่างจากผม แต่ด้วยความที่ว่าไม่ถนัดซื้อของฝากใครเลยได้ขนมเกาหลีกลับมา

"หูย แม่ง คนสองมาตรฐานอย่างชัดเจน"
ไอ้กู๊ดบ่นอุบอิบเมื่อได้ยินประโยคสุภาพจากปากพี่ทาร์ต มันเป็นเรื่องปกติของเขาอยู่แล้วที่จะพูดหยายกับคนอื่นแล้วพูดหวานกับผม เป็นแบบนี้มานานแล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ตั้งแต่จำความได้เลยมั้ง

"บ่นอะไร เดี๋ยวกูถีบตกรถ"
คนข้างๆ ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อขู่ไอ้กู๊ดก็เท่านั้นล่ะ ใครจะไปกล้าถีบคนให้ตกรถเล่า แต่ดูท่าทางไอ้คนโดนว่าจะกลัวจริงๆ เพราะมันอ้าปากค้างกระพริบตาปริบๆ น่าสงสารจริงๆ ไม่รู้จักนิสัยขี้แกล้งของพี่เขาล่ะสิ

"โอย เปล่าครับ นอนดีกว่า คร่อก"
หนีกันหน้าด้านๆ ทำเป็นหลับคอพับคออ่อนเหมือนปลาทูคอหัก อยากจะถีบมันตกรถเหมือนพี่ทาร์ตแล้วดิ โคตรน่าหมั่นไส้

"ไอ้นี่นิ"
พี่ทาร์ตดูจะหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ยังคงความเร็วของรถไว้เท่าเดิม ถ้าโมโหขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าเขาจะเหยียบจนมิดไมล์ ก็ถนนมันโล่งซะขนาดนี้

"เอาน่าๆ ตั้งใจครับรถเถอะครับ"
ผมตบบ่าพี่ทาร์ตเบาๆ เป็นการปลอบใจ ก่อนจะได้รับเสียงถอนหายใจและการพยักหน้าตอบรับกลับมา รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จนทำให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกล

"ไม่มีของฝากเหรอ"
นั่นไง ลางสังหรณ์ไม่เคยพลาดว่ะ พี่ทาร์ตถามย้ำอีกครั้งหลังจากที่ยังไม่ได้คำตอบอะไรจากผม

"มีสิ"
ผมตอบไปตามความจริงเพราะซื้อขนมมาฝาก มันไม่มีอะไรพิเศษมากกว่านั้น ไอ้จะซื้อพวกโสมก็แพงเกินไปอีก สรรพคุณก็อลังการงานสร้างไป คงไม่เหมากับพี่ทาร์ตสักเท่าไหร่เพราะยังไม่แก่

"อะไรเหรอ"

"ขนมจากเกาหลีไง"

"ไม่มีอย่างอื่นเหรอ"
พี่ทาร์ตถามต่อ ราวกับไม่ชอบใจที่ได้ขนม นี่มันของฝากไม่ได้ฝากซื้อสักหน่อย รับๆ ไปเหอะน่า เรื่องมากจริง ผมเหลือบสายตามองเขาก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงกวนๆ

"จะเอาอะไรล่ะ เครื่องสำอางงี้เหรอ"
ถามจบก็ลอบมองปฏิกิริยาของเขาว่าจะทำหน้าตาแบบไหน แล้วผมเกือบหลุดหัวเราะเมื่อคิวเข้มขมวดฉับจนแทบผูกโบว์ได้ แถมปากยังคว่ำลงอีก อย่างกับเด็กๆ เวลาโดนขัดใจเลย ตลกว่ะ

"ไม่ใช่เว้ย แบบพิเศษใส่ไข่น่ะ มีไหม"
อะไรคือพิเศษใส่ไข่วะ ข้าวต้มเหรอ

"ถุงยางเหรอ พิเศษใส่ไข่เนี่ย"
ผมยังคงกวนต่อไปเมื่อคิดได้ว่าพี่ทาร์ตคงหมายถึงของฝากที่ดูพิเศษกว่าขนมพวกนี้ ประมาณว่าชิ้นนี้ซื้อให้เขาโดยเฉพาะ แตกต่างจากคนอื่น

"ปูน..."
เรียกกันเสียงดุเชียว สนุกว่ะ ไม่ได้แกล้งกันนาน โคตรคิดถึงบรรยากาศแบบนี้เลย ผมไปพัฒนาสกิลการกวนประสาทคนมาจากแทจุนล่ะ

"ผมพูดอะไรผิดเหรอ"
ถามลอยหน้าลอยตาจนโดนพี่ทาร์ตค้อนใส่วงใหญ่ แค่แกล้งนิดหน่อยเอง ทำหน้าตาจริงจังไปได้น่า โอ๋นะคุณชาย

"กวนตีน"

"จะถีบผมลงจากรถอีกคนไหมล่ะ"

"ใครจะกล้า..."
พึมพำเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่พี่ทาร์ตไม่ได้เปิดเพลงไง... ทำตัวหน้ารักหัดเกรงใจ ถึงจะเป็นคนสองมาตรฐานผมก็ไม่ขัดนะ พูดเพราะกับผมแต่หยาบกับคนอื่น รู้สึกตัวเองพิเศษจัง

ผ่านไปนานเกือบห้านาทีที่ต่างคนต่างเงียบ พี่ทาร์ตตั้งใจขับรถส่วนผมนั่งคิดมุกจีบเขาไปเรื่อยๆ ครึ้มอกครึ้มใจอยากแกล้งคนข้างๆ ให้เขินบ้าง เพราะตอนอยู่ที่เกาหลีผมโดนไปหลายรอบ จนไอ้กู๊ดใช้ล้อได้จนตาย และไม่นานนักก็ได้ไอเดียจากการทวงของฝากนี่ล่ะ แจ่ม

"อืม... ตัวผมพิเศษไม่พอเหรอ"
อยู่ๆ ผมก็พูดขึ้นลอยๆ ทำให้คนที่นั่งเคาะนิ้วเป็นจังหวะเพลินๆ ขณะรถติดไฟแดง เขาหันมามองด้วยใบหน้าสงสัย คงจะงงว่าเพ้อเจ้ออะไรอยู่ บางทีคนฉลาดที่ขาดสติก็ตามใครไม่ทัน

"อะไรนะ"

"ก็แบบว่า... ผมกลับมาหาพี่ทาร์ตแล้วไง ยังพิเศษไม่พออีกเหรอ"
เออ พูดเองก็เขินตัวเองซะอย่างนั้น จากที่อยากแกล้งสบไปด้วยกลับล้มไม่เป็นท่า แม่ง... เมื่อไหร่จะเลิกแพ้ผู้ชายคนนี้สักที

"พูดงี้พี่ไปไม่เป็นเลยว่ะ..."
พี่ทาร์ตพึมพำออกมาเบาๆ หางตาเหลือบไปเห็นว่าเขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยไปมา แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีชมพูระเรื่อจางๆ จากที่ไม่กล้ามองหน้าในตอนแรก กลับกลายเป็นว่าผมตื่นเต้นที่ทำสำเร็จแล้วเอื้อมมือไปผลักไหล่เขาซะได้

"เขินอะดิ โดนผมหยอดบ้าง"
ผมถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พี่ทาร์ตผงะถอยไปเล็กน้อยแต่ไม่ได้หนีไปไหน แถมยังจ้องตากลับมาอีก

"อยากเขินเป็นเพื่อนกันไหมล่ะ"
มีท้าทายอำนาจด้วยเว้ย แต่ผมคืดวิธีตอบกลับได้แล้วล่ะ หึหึ เขินกว่าเดิมแน่ๆ

"ไม่เอาครับ ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนสักหน่อย"
พูดด้วยเสียงอ้อนๆ แล้วเบนสายตาหลบเพราะรู้สึกขนลุกกับคำพูดตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเกิดอาการเขินส่วนหนึ่ง

"โอ้ย มดกัดอะ"
เสียงไอ้กู๊ดทำลายทุกอย่างจนพังทลาย ไอ้เชี่ยเอ้ย กำลังจะเข้าจุดพีคอยู่แล้ว ขัดกันได้

"ไอ้เหี้ยกู๊ด!!!!!!!!"

เหลือเวลาก่อนเปิดเทอมประมาณหนึ่งอาทิตย์ ผมเลือกมาช่วยงานที่ร้านขนมของป้าอุ่นเพราะโดนพี่ทาร์ตขอร้องมา และออดอ้อนว่าอยากอยู่ใกล้ๆ กันตลอดเวลา ตอนแรกมันจะขัดเขินหน่อยๆ ค่อนไปทางอึดอัด แต่พอผ่านไปสักพักกลับรู้สึกสบายใจและขนลุกมากกว่า...

ก็พี่ทาร์ตโหมดอ่อยน่ะ ใครจะไปชิน ส่วนผมก็ซึนไปสิเพราะเขิน

"ปูน หน้าพี่เลอะแป้งหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตขยับหน้าเข้ามาใกล้จนผมที่กำลังยืนนวดแป้งขนมปังช่วยเขาต้องผงะถอยหลังเพราะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดอยู่ข้างหู

"อะไรพี่ ไม่เห็นจะเลอะ"
ผมขยับตัวออกมานิดหน่อยแล้วก้มหน้าก้มตานวดแป้งต่อเพราะอีกหนึ่งชั่วโมงจะได้เวลาเปิดร้านแล้ว ง่วงก็ง่วงเนี่ย โดนปลุกตั้งแต่ตีห้า

"ดูดีๆ สิครับ เมื่อกี้พี่เอามือเช็ดแก้มน่ะ มันน่าจะเลอะ"
พี่ทาร์ตพูดจบก็พองลมเต็มแก้มแล้วชี้ๆ ตรงตำแหน่งที่ตัวเองบอกว่าเลอะ ผมชะงักมือแล้วมองมันด้วยสายตาเบื่อๆ อ่อยกันอยู่ได้ นึกว่าไม่รู้หรือไงกัน แต่ใครจะไปหลงกล โง่ตายเลย แถมขาดทุนอีก

"ไม่เลอะครับ อย่ามโนดิ รีบๆ ทำขนมเถอะน่า"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ก่อนจะส่งสายตาดุไปให้อีกคนที่ยังไม่เลิกเอียงแก้มมาให้กัน พี่ทาร์ตปล่อยลมออกจากปากแล้วหดตัวกลับไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง

"อะไรว้า คนเขาอุตส่าห์อ่อย ไม่อยากหอมแก้มพี่บ้างเหรอ"
บ่นอุบอิบก่อนจะตั้งคำถามตรงท้ายประโยค ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหัวหน่ายๆ วันแรกๆ ที่โดนอ่อยก็เขินอยู่หรอก แต่หลังๆ ชักจะชินแล้ว รถอ้อยคว่ำเหรอครับพี่... ผมไม่หอมแก้มใครก่อนหรอก ขาดทุนตาย ยังไม่ได้เป็นแฟนกันด้วย หวงตัวนะเออ

"หึ ไม่ล่ะครับ ผมขาดทุนอะ"

"อยากได้กำไรไหมล่ะ หอมมาจูบกลับ"

"กำไรพี่น่ะสิ หยุดพูดไปเลยนะ"
ยอมรับว่าคราวนี้โดนจู่โจมจนรู้สึกหน้าร้อนอย่างห้ามไม่ได้ มือไม้ที่นวดแป้งก็อ่อนแรงไปหมด ไม่ทำมันแล้วเว้ย กำลังจะก้าวขาหนีเพราะไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้จริงๆ ช่วยไอ้ฟ่อนจัดร้านจะดีกว่าอีก แต่พี่ทาร์ตกลับร้องเรียกไว้

"เฮ้ยๆ จะไปไหนครับ ยังช่วยพี่ทำขนมไม่เสร็จเลยนะ"
ไม่ท้วงเปล่าแต่เดินมาคว้าแขนกันไว้ราวกับกลัวว่าผมจะหนีออกไปจากร้านนี้ มาด้วยกันนะ คิดว่าจะไปไหนรอดล่ะ... แค่จะช่วยไอ้ฟ่อนจัดร้าน จำเป็นต้องตื่นตูมขนาดนี้เลย

"ช่วยไอ้ฟ่อนจัดร้าน"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่มองหน้าพี่ทาร์ตและยังปล่อยให้เขาจับข้อมืออยู่อย่างเดิม ก็มันอุ่นดีนี่หว่า ไม่ได้เสียหายอะไรด้วย

"ไม่เอาน่า ช่วยพี่เถอะนะ ยังเหลืองานอีกเยอะเลย"
น้ำเสียงอ้อนๆ ถูกส่งมาพร้อมสายตาคล้ายลูกหมา ผมได้แต่เม้มปากแน่นแล้วเบือนหน้าหนี เพราะไม่สามารถทนมองได้ เพราะรู้สึกว่ามันน่ารักขึ้นมาซะเฉยๆ

"พี่ก็หยุดแกล้งผมก่อนสิ"
ผมบอกเสียงอ้อมแอ้มเมื่อคิดถึงประโยคหยอกล้อเมื่อครู่ 'หอมมาจูบกลับ' แล้วพาลแก้มร้อนขึ้นมาอีกระลอก ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับใครเลย

"เมื่อกี้พูดจริงนะ ไม่ได้แกล้ง"
น้ำเสียงจริงจังแต่แววตาเต็มไปด้วยความขี้เล่นจนผมต้องดึงข้อมือตัวเองออกมาแล้วกอดอกมองนิ่งๆ แกล้งกันชัดๆ

"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกเสียงดุ ถ้ายังคิดจะแกล้งกันคงไม่อยู่ด้วยจริงๆ ไม่ไหวหรอก โดนอ่อยบ่อยๆ เดี๋ยวหลวมตัวพอดี

"ครับๆ ไม่แกล้งแล้ว ช่วยพี่ต่อนะ"
พี่ทาร์ตรีบยกมือยอมแพ้แล้วขอให้ผมช่วยทำขนมต่อแบบไม่มีทีท่าจะแกล้งกันอีกแล้ว เพราะงานวันนี้เยอะจริงๆ ขนาดตื่นเช้ากว่าทุกวันยังมีแววว่สจะทำไม่ทัน เพราะมีออเดอร์นอกด้วย

"ก็ได้"

เวลาล่วงเลยมาถึงเก้าโมงทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมจำหน่ายและพร้อมส่งให้กับลูกค้าที่ออเดอร์นอก ผมเปลี่ยนหน้าที่มาเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ อย่างขนมปังปิ้งทาแยมสตรอเบอร์รี่ราดนมข้นเล็กน้อย พร้อมกับกาแฟลาเต้ให้ทุกๆ คน แต่ตอนนี้มีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เพราะผมพยายามเปิดฝากระปุกแยมมาเกือบสามนาที ในระหว่างที่พี่ทาร์ตกำลังเก็บอุปกรณ์ทำขนมไปล้าง

"พี่ทาร์ต กระปุกแยมมันเปิดไม่ออกอะครับ"
ผมหันไปบอกพี่ทาร์ตด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงเพราะปวดมือไปหมดแล้ว ต้องโทษคนที่ปิดกระปุกแยมคนสุดท้าย จะบิดเกลียวอะไรขนาดนั้นวะ





ต่อด้านล่างเนอะ








ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"เดี๋ยวพี่ช่วย"
พี่ทาร์ตผละตัวออกมาจากซิงค์ล้างจานแล้วเช็ดมือกับผ้าขนหนูแถวนั้นก่อนจะเดินตรงมาหา ผมเลยยื่นกระปุกแยมไปให้ แต่เขาไม่ยอมรับไปกลับมายืนซ้อนหลังกันแล้วเอื้อมมือมาช่วยเปิด นี่มันอะไรวะเนี่ย... ควรทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ดีวะ

"อะ..."
เมื่อแผ่นอกแกร่งแนยชิดกับแผ่นหลัง ผมก็ได้แต่ยืนแข็งเป็นหินไม่กล้าขยับตัวหนีไปไหน อุณหภูมิของร่างกายก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับร่างกายจะไหม้เป็นจุล สถานการณ์ชวนเขินนี่มันอะไรกัน หัวใจจะวายอยู่แล้ว ไอ้ฟ่อนช่วยที โผล่หน้ามาตะโกนเรียกเหมือนชั่วโมงที่แล้วทีสิ

"ออกแล้ว"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นข้างๆ ใบหูด้วยน้ำเสียงกระซิบเมื่อฝากระปุกแยมถูกเปิดออกเรียบร้อยแล้ว แต่แทนที่เขาจะถอยหลังออกไปดันรวบเอวผมเข้าไปกอดซะแน่น

"อือ ปะ ปล่อยได้แล้วครับ"
ผมบอกเสียงตะกุกตะกักแล้ววางกระปุกแยมลงบนเค้าน์เตอร์เพราะกลัวว่าจะมืออ่อนทำมันตกแตก พี่ทาร์ตไม่ได้คลายอ้อมกอดออกแต่เกยคางบนไหล่แทน รับรู้ได้ถึงชมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงมาบนต้นคอ ขนลุกอะ ตายแน่ๆ

"ขออยู่แบบนี้สักพักนะ"
น้ำเสียงสั่นๆ ดังขึ้นทำให้ผมลอบถอนหายใจเบาๆ และยอมให้เขากอดอยู่แบบนั้น ระหว่างที่เราอยู่ห่างกันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างนะ

"เป็น... อะไรหรือเปล่า"
ผมถามด้วยเสียงที่เบาไม่แพ้กันก่อนจะค่อยๆ แตะมือลงบนแขนที่โอบรอบลำตัวเอาไว้ เป็นห่วงจัง

"พูดได้เหรอ"
ถามอย่างกับกลัวผมรำคาญ

"ได้สิครับ..."
ใครจะรำคาญกันล่ะ จริงไหม

"ตอนปูนไม่อยู่ พี่คิดว่าคงอยู่ได้ตามปกติ  แต่มันไม่ใช่เลย คิดถึงฉิบหาย อยากบินไปหา อยากไปเฝ้า ยิ่งรู้ว่าไอ้กายยังไม่เลิกตื้อยิ่งรู้สึกระแวง"
ประโยคยาวๆ หลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากหยัก พี่ทาร์ตซุกหน้าลงบนไหล่ของผมก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ

"คือ... ไม่ไว้ใจผมเหรอ"
ผมถามด้วยความสับสน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ระหว่างที่เราไม่ได้เจอกัน พี่ทาร์ตคิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ เรื่องกายยอมรับว่าตอนนี้ยังค้างคาเพราะมันไม่ได้รับปากอะไร แต่อยากให้เขารู้ว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหนหรอก ผมรักเขาได้แค่คนเดียวเท่านั้น

"เปล่า กลัวไอ้กายจะทำอะไรปูน พี่เป็นห่วง พี่อยากดูแลปูนให้ได้มากกว่านี้"
คำสารภาพหลุดออกมาจากปากของพี่ทาร์ตอย่างง่ายดาย ไม่คิดเลยว่าเขาจะพูด ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเก็บทุกสิ่งทุกอย่างและเบี่ยงประเด็นไปเรื่อย ผมได้แต่เม้มปากแน่นเมื่อฟังจบ มันรู้สึกว่าหัวใจอุ่นวาบขึ้นมาทันที

"อ่า..."

"พี่พร้อมแล้วนะ"

"หือ หมายความว่ายังไงครับ"
พร้อมอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

"พร้อมเดินไปข้างหน้ากับปูนแล้ว"
ผมว่าพอจะเดาอะไรบางอย่างออกแล้วล่ะ ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาจะทำยังไงล่ะทีนี้

ตึกตัก

"เป็นแฟนกันนะ"

"....."
ผมจะตายไหม หัวใจเต้นแรงเหลือเกิน


หลังจากที่โดนขอเป็นแฟนในตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้ให้คำตอบพี่ทาร์ตไปเพราะว่าไอ้ฟ่อนเข้ามาขัดอย่างที่ผมภาวนาไว้จริงๆ แม่งเอ้ย มันผิดคิวไปแล้วไง จริงๆ อยากจะตกลงไปให้จบๆ แต่ไม่มีโอกาสสักทีเพราะว่าต่างคนต่างยุ่ง จนผ่านมาสามวันแล้ว เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในเวลาเกือบห้าทุ่ม เขาเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด ส่วนผมเพิ่งเคลียร์งานที่มหา’ลัยเสร็จ


“เพิ่งกลับบ้านเหรอปูน”
พี่ทาร์ตที่ยืนเปิดประตูรั้วเพื่อจะเข้าบ้านถามผมที่กำลังจะปิดประตูรั้วเนื่องจากเอารถเข้าไปจอดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ความรู้สึกเวลาเจอกันคือขัดเขินแปลกๆ อาจจะเพราะมันยังมีอะไรค้างคาระหว่างเราอยู่ คำตอบของคำถามนั้น หวังว่าเขาจะให้โอกาสอีกครั้ง


“อื้อ เพิ่งเคลียร์งานที่มอเสร็จน่ะครับ แล้วนี่พี่เพิ่งกลับมาถึงเหรอ”
แอบแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่พี่ทาร์ตกลับบ้านดึกขนาดนี้ ก็ในเมื่อตอนสี่โมงเย็นเขาบอกว่าเข้าภูเก็ตมาแล้วนี่ แอบไปแวะที่ไหนมาหรือเปล่านะ อาจจะเป็นบ้านพี่อินล่ะมั้ง เอ้อ ส่วนไอ้เจ้าหมาคอร์กี้ตัวน้อยนั่นได้ชื่อแล้วล่ะ โคตรแบ๊วเลย ‘ขนม’ ตอนนี้มันคงนอนกลิ้งสบายอยู่บนโซฟานุ่มๆ ในบ้านกับไอ้ฟ่อน ว่าไปแล้วก็คิดถึงอยากจับมาฟัดสักทีสองที


“พอดีแวะเอาของไปให้ไอ้อินที่บ้านน่ะ เลยคุยกันยาว”
พี่ทาร์ตตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะมีอาการเพลียเนื่องจากขับรถข้ามจังหวัดเป็นเวลานาน คงอยากพักผ่อน แต่หูของผมกลับได้ยินเสียงท้องร้องซะนี่


“อ๋อ แล้วพี่กินอะไรมาหรือยังครับ ผมซื้อน้ำเต้าหู้กับขนมปังอบมาด้วยนะ”



“ยังเลย ไอ้อินมันใจร้าย”
พี่ทาณืตตอบก่อนจะใช้มือลูบท้องด้วยใบหน้างอแง สงสัยจะโดนพี่อินใช้งานอะไรสักอย่างจนลืมกินข้าวแน่ๆ



“งั้นเอารถไปจอดแล้วมานั่งกินขนมกับผมในสวนแล้วกันเนอะ”
ผมออกปากชวนก่อนจะส่งยิ้มให้เขา พี่ทาร์ตพยักหน้ารับด้วยความดีใจแล้วรีบเอารถไปเก็บด้านในแทบจะทันที ดูๆ ไปเขาก็เหมือนเด็กคนหนึ่งนะเนี่ย น่ารักว่ะเฮ้ย


เรานั่งกินขนมจนหมดแล้วนั่งเงียบๆ เพื่อดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืน อากาศไม่ร้อนไม่หนาวมีลมพัดเอื่อยๆ ทำให้ทุกอย่างดูสบายไปหมด แม้แต่ความขัดเขินก็ลดลงทันตาเห็น ทั้งๆ ที่เราควรแยกย้ายกันไปนอนเนื่องจากถึงเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่ก็เลือกที่จะนั่งอยู่ตรงนี้


“ยังจำได้ไหม คำถามที่พี่ถามค้างเอาไว้”
หลังจากที่เงียบกันมานาน พี่ทาร์ตก็ถามขึ้นก่อนจะหันมามองกัน ผมที่เผลอสบตาเข้าพอดีเลยได้แต่เอียงคอสงสัย คำถามอะไรวะ คิดไม่ออกจริงๆ


“คำถามอะไรครับ”


“เป็นแฟนกันไหม”
ใบหน้าหล่อเหลาขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ มือหนาที่ยกขึ้นมาประคองแก้มกันนั้นยิ่งเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจให้หนักขึ้นกว่าเดิม คำถามที่จะเปลี่ยนสถานะระหว่างเรา ผมลืมมันไปได้ยังไงกันนะ


“.....”
ไม่มีเสียงอะไรหลุดออกจากปากผมเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะครั้งนี้ได้จ้องตากันและกัน ได้รับรู้ถึงความจริงใจ ความมั่นคง และความรัก หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมาซะก่อน


“ยังไม่ได้ตอบไม่ใช่เหรอครับ”
น้ำเสียงอ่อนโยนของพี่ทาร์ตทำให้แก้มทั้งสองข้างของผมร้อนวาบอย่างช่วยไม่ได้ นิ้วมือของเขาเกลี่ยไปตามริมฝีปากอย่างแผ่วเบา รู้สึกวาบหวามไปทั้งตัวและหัวใจ ผมกำลังจะละลายกลายเป็นของเหลวทั้งๆ ที่อากาศคืนนี้ก็ไม่ได้อบอ้าว


“อ่า...”


“ให้คำตอบพี่ได้ไหมครับ”
ถามย้ำอีกครั้งด้วยดวงตาที่สื่อความหมายจนผมไม่สามารถจ้องมองตรงๆ ได้ คำตอบของคำถามมีอยู่แล้ว มีมานานแล้ว ตอนนี้คิดว่าพร้อมจะตอบจริงๆ สักที หวังว่าคงไม่มีใครโผล่มาขัดอีกนะ...


“ตกลงครับ”
ตอบกลับไปเสียงเบาก่อนจะสัมผัสได้ถึงริมฝีปากที่จรดลงมาบนหน้าผาก ผมไม่ได้ขัดขืนเพียงแต่หลับตารับสัมผัสนั้นอย่างยินยอม มันช่างอ่อนหวานและนุ่มนวล ไม่รีบร้อน สัมผัสได้ถึงความทะนุถนอมและการให้เกียรติกัน ขอให้ทุกอย่างหลังจากวันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น ถึงทางที่เลือกเดินข้างหน้าจะมีปัญหาอะไรก็สัญญาด้วยหัวใจว่าจะอยู่ข้างๆ เสมอ ไม่ทอดทิ้งกันไปไหนอย่างแน่นอน


รักนะครับ พี่ทาร์ตของผม



-------------------------------------------

เขาเป็นแฟนกันแล้ว จุดพลุ !!!!

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด