♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว  (อ่าน 38335 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 18

Mojito Cheesecake
: บิสกิตบดละเอียด/เนย/ครีมชีส/ครีมข้น/มะนาว/น้ำตาล/ไข่ไก่/กลิ่นรัม/เหล้ารัม :




วันหยุดหมดไปแล้ว การเรียนของปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยความขี้เกียจ ผมยังนอนคลุมโปงอยู่ทั้งๆ ที่นาฬิกาปลุกดังผ่านไปเกือบห้านาที ไม่เป็นไร นอนต่ออีกหน่อยคงไม่สายมีเรียนตั้งสิบโมง แต่ในตอนที่กำลังจะจมสู่ห้วงนิทราก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่หลายครั้งจนต้องดีดคัวขึ้นจากเตียงอย่างเลี่ยงไม่ได้ อาจจะเป็นแม่หรือป๋า...

ผมเดินงัวเงียไปเปิดประตู ดวงตารีปรือจนแทบจะปิด มองไม่ชัดด้วยซ้ำว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นใคร แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นผู้ชาย ป๋าเหรอวะ โอย ง่วงฉิบหาย เมื่อคืนไม่น่าเล่นเกมเพลินเลย

"ป๋าเหรอ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงียก่อนจะเปิดปากหาวแล้วเซไปพิงกับกรอบประตูอย่างหมดสภาพ ตอนนี้ไม่พร้อมจะเสวนากับใครจริงๆ แต่ในระหว่างที่ยังมึนๆ เบลอๆ กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนตรงหน้า อะไรวะ ป๋าขำเหรอ

"ไม่ใช่ป๋า แต่เป็นพ่อทูนหัวครับ"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเอื้อมมืออุ่นๆ หนาๆ มาดึงแก้มกันเบาๆ ผมเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจแล้วพบว่าคนตรงหน้าคือพ่อทูนหัวจริงๆ พี่ทาร์ตตัวเป็นๆ เลยว่ะ แล้วทำไมต้องมาเห็นกันในสภาพนี้ด้วย อายเว้ย

"อื้อ เจ็บนะครับ มาปลุกอะไรผมแต่เช้าเนี่ย"
ผมตีมือพี่ทาร์ตเพราะเริ่มเจ็บแก้ม เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมผละออกไป ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนยิ้มที่สามารถทำให้ใครๆ หลงใหลได้ น่าอิจฉาชะมัด

"ลืมนัดของเราหรือไง"
พี่ทาร์ตเอ่ยปากถามก่อนจะเอื้อมมือมาจิ้มหน้าผากกันเบาๆ คล้ายกระตุ้นให้ผมใช้สมองประมวลผลว่าตัวเองลืมอะไรหรือเปล่า แต่คิดจนคิวขมวดก็ยังคิดไม่ออก แย่แล้วดิกู ปลาทองไปอีก

"นัดอะไรเหรอ ลืมไปแล้วครับ หาว"
ผมเปิดปากหาวอีกครั้งแล้วพยายามปรือตามองคนตรงหน้าว่ามีปฏิกิริยาตอบกลับแบบไหน ใบหน้าหล่อเหลามุ่ยลงเล็กน้อยก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นมาขยี้หัวกัน เพิ่มความยุ่งเหยิงไปอีก แค่นี้ก็จะหวีไม่ออกอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ปัดป้องอะไรหรอก ชอบ... อบอุ่นดี

"กินปลาทองแทนข้าวหรือไงวะ เพิ่งนัดกันไปเมื่อคืนเอง"
พี่ทาร์ตว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนผมสะดุ้งเพราะความตกใจแล้วถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว ไม่ใช่ว่ารังเกียจแต่ยังไม่ได้แปรงฟันไง... เหม็นจะตาย

"นัดเมื่อคืนเหรอ อ้อ จะพาไปกินติ่มซำอะเหรอ ขอโทษๆ ผมลืม"
นึกไปนึกว่ากลับจำได้ว่าตัวเองนัดอะไรเอาไว้ ตอนนั้นคงกำลังติดพันเล่นเกมเลยไม่ค่อยให้ความสนใจ ดีแค่ไหนที่พี่ทาร์ตไม่ได้โกรธกัน ไม่อย่างนั้นผมคงแย่แน่ๆ

"จำได้ก็รีบไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะเข้ามอสายอีก"
พี่ทาร์ตพูดจบก็ผลักหัวกันเบาๆ แล้วยังดันหลังไล่ให้ไปอาบน้ำอย่างจริงจัง ผมว่าเขาเนียนเข้ามาอยู่ในห้องนอนมากกว่า เพราะมือหนาเอื้อมไปปิดประตูห้องซะอย่างนั้น เจ้าเล่ห์เนอะคนเรา ยิ่งได้ชื่อว่าเป็นแฟน อะไรๆ ก็แสงออกมากยิ่งขึ้น

"โห พี่จะกินให้หมดร้านเลยเหรอไง ถ้าจะใช้เวลานานจนผมไปเรียนสายอะ"
ผมเอี้ยวตัวไปถามพี่ทาร์ตขณะที่มือเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพาดบ่าและหยิบชุดนักศึกษาติดมือไปด้วย เรื่องอะไรจะมายืนเปลือยแต่งตัวให้เขาดูล่ะ เดี๋ยวนี้ความหื่นแปะหราอยู่บนหน้าจนชวนให้ขนลุกยังไงไม่รู้ ถ้าเผลอวันไหนตำแหน่งเมียคงมาแทนแฟนอะ...

"อาจจะกินอย่างอื่นต่อไง"
เขาพูดก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ไม่ได้สนใจเลยว่าเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนๆ ของตัวเองจะยับ ผมได้แต่เหล่มองเขาอย่างหวาดระแวง เพราะไอ้คำว่าอยากกินมันดูกำกวมยังไงไม่รู้ เสียวสันหลังแปลกๆ

"กินอะไรอีก..."
ผมถามกลับไปแล้วขยับตัวออกห่าง ไม่ค่อยไว้ใจเพราะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่น พลาดมากที่ปล่อยให้เขามานอนกลิ้งอยู่ในห้องแบบนี้ ถึงจะเป็นแฟนและรู้จักกันมาทั้งชีวิต แต่มากที่สุดก็คือกอด... ไม่ได้ถึงขั้นลึกซึ้งอะไร ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป น่าจะดีกว่า ยังไม่อยากกลายเป็นของตาย

"ก็อย่างเช่น... ปูน"
พี่ทาร์ตมองกันด้วยสายตากรุ้มกริ่มแล้วดันตัวเองขึ้นมาจากเตียง ผมเบิกตาโตแล้วถอยหลังไปจนถึงห้องน้ำ ด่าในใจยังไม่ขาดคำ เป็นไงล่ะ แสดงความหื่นชัดเจนขึ้นทุกวัน แม่ง! ไม่อยากจะเชื่อว่าชีวิตเขาไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน

"เฮ้ย ลามก! ไม่คุยด้วยแล้ว"
ผมโวยวายเสร็จก็พุ่งตัวเข้าห้องน้ำและปิดประตูกดล็อกแทบจะทันทีแล้วเอนตัวพิงกับเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้า เมื่อครู่รู้สึกว่าใจเต้นแรงแถมร้อนๆ ตรงแก้ม ไม่น่าไปเขินกับความหื่นนั่นเลย

หลังจากที่พากันออกไปกินติ่มซำที่อยู่ในตัวเมืองก็ได้เวลาที่พี่ทาร์ตจะวนไปส่งกันที่มหา'ลัยแล้ว จริงๆ ผมอยากขับรถไปเองเพราะลำบากคนข้างๆ แต่ในเมื่อเขาดื้อจะทำแบบนี้ก็เลิกห้าม ไม่อยากทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กน้อย

"วันนี้เลิกเรียนกี่โมง"
เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเราใกล้ถึงมหา'ลัยเข้าไปทุกที ผมที่เอาแต่มองท้องฟ้าอึมครึมเลยสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันกลับไปตอบ

"สี่โมงครับ"
ผมตอบออกไปแค่นั้นก่อนจะลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขา ไม่ว่าจะเมื่อไหร่คนๆ นี้ก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจได้เสมอ เขาเป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะพี่ เพื่อน คนรัก หรือแม้แต่ป๋าคนที่สอง... ไม่ได้พูดโอเว่อร์อะไร เพราะถ้าผมเผลอทำอะไรผิดก็จะช่วยตักเตือน

"โอเค รอหน้าคณะ เดี๋ยวพี่มารับ"
พี่ทาร์ตยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วจอดรถที่หน้าคณะพอดิบพอดี ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงครึ่งแล้ว ไม่สายว่ะ เกินคาด นึกว่ารถจะติดซะอีก ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองจากหลังรถ แต่ตอนกำลังจะหันตัวกลับมันรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ขยับเข้ามาใกล้... อีกแล้ว ระยะอันตรายแบบนี้

"พี่ทาร์ต... อย่าขยับมาใกล้สิครับ"
ผมบอกเขาทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ขยับไปไหน นี่โก่งก้นให้หน้ารถอยู่นะเว้ย เมื่อยก็เมื่อย แต่อย่าคิดว่าพี่ทาร์ตจะเห็นใจกันเลย เอาแต่หัวเราะเสียงต่ำๆ น่าขนลุก

"ให้พี่หอมแก้มก่อนสิ แล้วจะปล่อยให้ลงจากรถ"
น้ำเสียงทุ้มเจือไปด้วยความทะเล้นนั้นดังขึ้นข้างหูทำให้ผมหน้าร้อนอย่างควบคุมไม่ได้ อยู่ๆ ก็หน้าด้านขอหอมแก้มกันซะอย่างนั้น แล้วใช่ว่ารถตัวเองจะติดฟิล์มดำอะไรมากมาย ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง แค่สถานที่ก็ไม่เหมาะสมแล้ว แต่จริงๆ คือผมเขินว่ะ

"คืออะไรวะ มาขอหอมแก้มกันหน้าด้านๆ"
ผมบ่นอุบอิบก่อนจะเหลียวมามองหน้าคนที่ยังส่งยิ้มสดใสมาให้ น่าหมั่นไส้จนต้องใช้มือผลักไหล่เขาออกไปห่างๆ แต่พอกลับมานั่งก็โดนพี่ทาร์ตใช้แขนข้างหนึ่งมาคร่อมกันไว้ โอย ไอ้กู๊ดหรือไนน์ก็ได้มาช่วยเคาะกระจกรถขับไล่ความหื่นของไอ้บ้านี่ทีเถอะ

"เฮ้ย ไม่เล่นนะพี่ทาร์ต ผมจะไปเรียน"
ผมดันใบหน้าหล่อที่เริ่มขยับเขามาใกล้ให้ออกห่างแล้วพยายามหาทางหนีลงจากรถ แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อประตูยังไม่ได้ปลดล็อก เกลียดจริงๆ เลยเว้ย คราวหน้าจะเป็นคนขับเอง หึ!

"หอมแก้มนิดเดียวเองครับ ไม่ได้เหรอ"
พี่ทาร์ตใช้เสียงนุ่มๆ กับแววตาอ้อนๆ มองกัน ผมเบนสายตาหลบเพราะไม่มีความสามารถพอที่จะทนทานมัน ไม่ได้เล่นตัว แต่นี่มันกลางมหา'ลัยนะเว้ย เกรงใจชาวบ้านเขาบ้างเถอะ คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ

"ไม่เอา นี่มันหน้าคณะนะเว้ย ถอยออกไปได้แล้วครับ ผมจะสายแล้วเนี่ย"
ผมแกล้งโวยวายแล้วดันตัวพี่ทาร์ตออกแล้วกอดกระเป๋าของตัวเองเอาไว้แน่น ยกขึ้นมาปิดบริเวณหน้าจนเหลือแค่ลูกตาโผล่สองข้าง ดูสิว่ายังจะหาวิธีหอมแก้มกันอีกหรือเปล่า

"พูดแบบนี้แสดงว่าเวลาอื่นทำได้งั้นสิ"
พี่ทาร์ตส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ ผมว่าผมพลาดล่ะที่พูดไม่เคลียร์ แต่ช่างแม่งเถอะ เวลานี้ขอเอาตัวรอดก่อนแล้วกัน จะสายแล้วเนี่ย เมื่อครู่เห็นไอ้กู๊ดอยู่แว๊บๆ เดินขึ้นอาคารไปแล้วมั้ง

"โอย ครับๆ ปล่อยผมลงเถอะ"
ผมบอกปัดๆ ไปก่อนจะจ้องหน้าพี่ทาร์ตสลับกับแผงควบคุมที่อยู่ประตูฝั่งนู่น ปลดล็อกสิวะ!

"ได้ครับ ตอนเย็นจะมาทวงนะ"
พูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือกดปุ่มปลดล็อกประตูให้ แต่ไม่วายเอื้อมมือมาจับต้นแขนเพื่อเป็นการรั้งอีกครั้ง คือลากผมกลับบ้านเลยไหม ไม่ต้องเรียนมันแล้วถ้าจะลากันยาวขนาดนี้

"เจ้าเล่ห์จริงๆ เลยว่ะ"
ว่าอีกคนด้วยน้ำเสียงดุๆ แต่ดูเหมือนเขาจะยิ่งชอบใจเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของผม แล้วไอ้มือที่จับแขนเนี่ย เปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะมาปลุกอารมณ์อะไรกันตอนนี้ไม่ทราบ

"ไม่ชอบเหรอ"

"ใครจะชอบวะ ถ้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ"
ผมแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะเปิดประตูรถแต่พี่ทาร์ตยังไม่ยอมปล่อย สรุปว่าต้องการอะไรครับพ่อคุณ สายแล้วจริงๆ เนี่ย เหลือบสายตาไปเห็นไอ้ไนน์โบกมือให้กันตรงลานคณะแล้วรู้สึกอยากวิ่งไปหามันใจจะขาด คือคนอื่นเริ่มมองมาทางนี้แล้ว เพราะจอดรถนานเกินไป

"โอเคๆ ตั้งใจเรียนครับ เจอกันตอนเย็น"
พูดจบเขาก็ปล่อยมือออกจากต้นแขนพร้อมกับส่งยิ้มให้ ผมพยักหน้ารับแล้วกระโดดลงจากรถไปยืนบนพื้นถนนแล้วยื่นหน้าเข้าไปในรถอีกรอบเพื่อบอกลา

"ครับ ขับรถดีๆ ล่ะ"
พูดจบก็พุ่งตัวเข้าไปหอมแก้มพี่ทาร์ตอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบปิดประตูแล้วจ้ำอ้าวออกมาจากตรงนั้นแทบจะทันที ก็มันทนไม่ได้ที่เห็นรอยยิ้มหงอๆ ของเขานี่หว่า หอมแก้มแค่นั้นคงไม่เป็นอะไร อีกอย่างก็ไม่น่าจะมีใครเห็น... มั้ง

"ไนน์"
ผมเรียกชื่อของสาวสวยที่ยืนฉีกยิ้มอยู่ตรงหน้าบันได ข้างกายมันปราศจากแฟนหนุ่มลูกครึ่งเกาหลี แปลกๆ ว่ะ ปกติเห็นตัวติดกันจนปาท่องโก๋ยังอาย แล้วทำไมวันนี้แยกกันได้

"หวัดดีคุณเพื่อน ใครมาส่งแก นอกใจพี่ทาร์ตเหรอ"
ไนน์ถามด้วยน้ำเสียงฉุนๆ แล้วยกมือเรียวๆ ขึ้นมาฟาดลงบนต้นแขน ผมได้แต่มุ่ยหน้าใส่มัน เจ็บนะเว้ย แล้วคิดเองเออเองอะไรเนี่ย ใครนอกใจ ไม่มีซะหน่อย พวกมึงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูคบกับเขาแล้ว

"นอกใจบ้าอะไรวะ เปล่าซะหน่อย พี่ทาร์ตซื้อรถใหม่เฉยๆ"
ผมบอกไปตามความจริงแล้วมองไปทางอื่น อยู่ๆ ก็โดนเพื่อนแซวซะอย่างนั้น

"แหมๆ พูดแบบนี้ไปถึงขั้นไหนกันแล้วจ๊ะ"
มันยังคงแซวอย่างต่อเนื่องให้ผมได้หน้าร้อนเล่นๆ แม่ง... ทำไมต่องเขินด้วยวะ เรื่องแค่นี้เอง ภูมิต้านทานจะต่ำเกินไปแล้วไหมกูเนี่ย เรื่องพี่ทาร์ตมีอิทธิพลสำหรับผมมากเกินไปแล้ว

"ไม่บอก ว่าแต่แกเถอะ ทำไมมาเรียนคนเดียว แฟนไปไหน"
ผมมองหาแฟนไอ้ไนน์ไปทั่วบริเวณลานหน้าคณะแต่กลับไม่พบ ได้ยินเสียงมันยืนถอนหายใจอยู่ข้างๆ เลยหันไปมอง สีหน้าดูไม่ดีเลยว่ะ

"ไม่สบายอะ เดี๋ยวตอนเที่ยงจะแวะไปเยี่ยมหน่อย"
ไอ้ไนน์ทำหน้าเพลียๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เดาได้ว่าคงนอนอยู่โรงพยาบาลแน่ๆ มันคงไม่ลงทุนไปๆ มาๆ ระหว่างมหา'ลัยกับบ้านหรอก ไกลจะตาย

"อ๋อ โอเค แล้วไอ้กู๊ดล่ะ มาหรือยัง"
ผมถามหาไอ้กู๊ดเพราะตอนจะลงจากรถเห็นมันรีบๆ เดินไปทางไหนสักทาง ไอ้ไนน์ที่เป็นคนโดนถามชี้นิ้วขึ้นไปด้านก่อนจะย่นจมูกใส่กัน อะไรของมันเนี่ย ทำอย่างกับหมั่นไส้ใครอยู่

"วิ่งขึ้นห้องเรียนไปแล้ว มันวีดีโอคอลกับแทจุนอะ แกว่าสองคนนี้แปลกๆ ปะ ออร่าสีม่วงฟุ้งๆ ยังไงก็ไม่รู้"
ไอ้ไนน์ตอบด้วยน้ำเสียงแสดงความอยากรู้ ดูๆ ไปคล้ายๆ กำลังมโนอะไรสักอย่างแน่ๆ สาววายนี่จะจับคู่ผู้ชายหมดโลกเลยหรือยังไง แต่ผมให้คะแนนเต็มสิบนะ เพราะครั้งนี้มันทายถูก สองคนนั้นมีซัมติงกันจริงๆ แต่มากหรือน้อยอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน

"คิดมากน่า ขึ้นไปเรียนเหอะ เดี๋ยวจะโดนอาจารย์ด่า"
ผมบอกปัดๆ เพราะไม่อยากให้ไอ้ไนน์ไปแซวอะไรไอ้กู๊ดเยอะ เพราะกลัวว่าอะไรๆ จะเปลี่ยนไป ปล่อยให้ความสัมพันธ์ของมันกับแทจุนเติบโตเรื่อยๆ ดีกว่า ใครอย่าไปเร่งหรือรั้งอะไรเลย คนอยู่ไกลกันอะไรก็ไม่แน่นอน

ผมเดินเข้าห้องเรียนแล้วเห็นไอ้กู๊ดยังนั่งวีดีโอคอลอย่างสบายใจ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เพิ่มจำนวนขึ้น แถมยังหันมายิ้มให้กันอีก ดูชิลล์ๆ ไม่ตึงเครียด บางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง ปล่อยให้ไอ้ไนน์แซวคงสนุกกว่านี้มั้ง

"ทำไรมึง"
ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปในระยะกล้อง เห็นแทจุนกำลังโบกไม้โบกมือทักทายกันด้วยรอยยิ้มสดใส แต่อย่าหวังว่าจะได้ยินเสียง ก็ไอ้กู๊ดมันใส่หูฟัง...

"ถึงขั้นไหนแล้วพวกมึงสองคน"
ผมดึงหูฟังออกข้างหนึ่งแล้วกระซิบถามมันในขณะที่ไนน์ก็ต่อสายหาคุณแฟน ไอ้กู๊ดไหวไหล่เป็นเชิงบอกว่าก็ไม่มีอะไร คุยกันเฉยๆ แต่เชื่อไหมว่าหน้าหล่อๆ นั่นดูมีความสุขมากกว่าแต่ก่อนเยอะ

"ก็เหมือนเดิม มึงจะคุยปะ กูเริ่มขี้เกียจแล้ว"
มันทำท่าจะถอดหูฟังอีกข้างมาให้กัน แต่ผมเลือกส่ายหน้าแทนคำตอบ แทจุนมันอยากคุยกับไอ้กู๊ดมากกว่าเถอะ ไม่อย่างนั้นจะวีดีโอคอลมาหาทำไม

"ไม่คุยอะ ถ้ามึงขี้เกียจก็วางสายดิ"

"เออๆ"
ไอ้กู๊ดตอบผมแล้วหันไปคุยอะไรกับคนในโทรศัพท์อยู่สองสามนาทีก่อนจะวาง ปากบอกขี้เกียจแต่พอแทจุนอ้อนเข้าหน่อยก็ยอมคุยต่อ น่าหมั่นไส้ คนเดี๋ยวนี้ปากไม่ตรงกับใจโคตรเยอะว่ะ

ปีการศึกษาใหม่การเรียนก็เพิ่มระดับความยากยิ่งขึ้น ไวยากรณ์ภาษาเกาหลีที่ได้เรียนไปนั้นแทบจะกระอักเลือดเพราะมันเยอะจนจำสลับกันไปหมด ค่อยกลับไปทบทวนที่บ้านก็แล้วกัน ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงก่อนจะเอนตัวไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยขบออกจากร่างกาย ไอ้กู๊ดนั่งหาวปากกว้างจนแมลงวันเกือบบินเข้าปาก

"เราไปเยี่ยมแฟนก่อนนะ ตอนบ่ายพวกแกจองที่นั่งเพื่อด้วย"
ไนน์หันมาบอกกันด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ส่วนผมก็ชะงักการกระทำตัวเองแล้วพยักหน้ารับ ส่วนไอ้กู๊ดโบกมือไล่โดยไม่เปล่งเสียง สภาพมันเหมือนจะหลับได้ทุกเมื่อ

"ไปแดกข้าวกัน กูง่วง"
ไอ้กู๊ดเอ่ยเสียงงัวเงียก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเอื้อมมือมาดึงคอเสื้อกัน ผมรีบตามมันไปแล้วมองด้วยสายตาเบื่อหน่าย อะไรคือชวนไปกินข้าวแต่บอกง่วง เกี่ยวกันตรงไหนวะ งงฉิบหาย

"จะแดกหรือจะนอนเอาสักอย่าง"
ผมสะบัดมือไอ้กู๊ดออกจากคอเสื้อเพราะมันเริ่มรั้งจนหายใจไม่ออก ไอ้กู๊ดหันมามองด้วยใบหน้าง่วงๆ แล้วหาวเป็นคำตอบ สรุปคือยังไงวะ แดกหรือนอน

"ปูน!"
เสียงใครคนหนึ่งตะโกนมาจากที่ไกลๆ ทำให้ผมหันไปมอง แต่เมื่อสายตาพบกับเขากลับต้องชะงัก ทำไมถึงจำเสียงไอ้กายไม่ได้วะ รู้แบบนี้จะทำเป็นไม่ได้ยินไม่เห็นก็สิ้นเรื่อง เวรเอ้ย

"กู๊ด มึงตื่นได้แล้ว"
ผมจับแขนเพื่อนเขย่าก่อนจะออกแรงกระชากมันให้เดินหนีไอ้กายที่จ้ำอ้าวมาทางนี้ ไม่อยากคุย เพราะไม่มีอะไรดีขึ้นสักครั้ง พยายามแล้วพยายามอีก ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่ผิดใช่ไหมที่จะตีตัวออกห่าง ใครบอกว่าใจร้ายก็เชิญ

"เชี่ยปูน เบาๆ ควายหายเหรอมึง"
ไอ้กู๊ดบ่นกระปอดกระแปดแล้วมุ่ยหน้าใส่กัน ดีหน่อยที่มันไม่ได้รั้งตัวเอาไว้เลยทำให้พวกเรายังคงความเร็วในการเดินอยู่ แต่มันจะไปทันคนที่วิ่งตามมาได้ยังไงล่ะ แม่ง

"ปูน อย่าหนีดิวะ"
คนที่วิ่งตามหลังมาเอื้อมมือจับไหล่ผมเอาไว้ ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวเลยเซถลาไปด้านหลัง เกือบจะปะทะกับอกแกร่ง แต่ไอ้กู๊ดกระชากแขนไว้ได้ทัน แม่ง ระบมไปทั้งตัวแล้วกู

"อะไรของมึงไอ้กาย ตามไอ้ปูนมาทำไม"
ไอ้กู๊ดจับข้อมือผมเอาไว้แล้วเดินมายืนขวางตรงกลาง ดูท่าทางมันจะตื่นเต็มตาพร้อมรบกับไอ้กายเต็มที่

"กูจะคุยกับไอ้ปูน มึงหลีกดิ"
ไอ้กายพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ ดวงตาคมจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของผม แต่ไอ้กู๊ดไม่ได้หลีกทางให้ เพราะมันรู้ว่าถึงจะคุยไปเหตุการณ์ก็จบแบบเดิม คือไม่เคลียร์ ไม่รับฟัง ดึงดันจะจีบต่อ

"กูไม่ให้คุย มึงมันขี้ตื้อ พูดเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ต้องการอะไรวะกาย"
ไอ้กู๊ดเริ่มเสียงดังจนคนแถวนั้นหันมามอง ผมได้แต่จับไหล่เพื่อนเพื่อให้มันสงบสติอารมณ์ลงบ้าง ยังไม่อยากดังไปทั่วมหา'ลัยเพราะเรื่องแบบนี้ อายฉิบหาย

"มึงอยากโดนต่อยใช่ไหม กูบอกให้หลีกไปไง!"
ไอ้กายตวาดเสียงดังลั่นจนทำให้คนทั่วบริเวณแตกหือออกไป ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเพราะท่าทางและสายตาดุๆ ของมัน ไอ้กู๊ดหน้าแดงคล้ายกับคนโมโห ทำท่าจะเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายแต่ผมรั้งมันไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง รวบกอดจากด้านหลังคงช่วยอะไรได้เยอะ

"กู๊ด มึงใจเย็น อย่ามีเรื่อง เดี๋ยวกูเคลียร์เอง"
ผมบอกมันให้สงบสติอารมณ์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไอ้กู๊ดหันมามองกันด้วยใบหน้าบ่งบอกว่ากูจะไม่ยอมให้มึงคุยกับไอ้กายสองต่อสองแน่

"แต่มึงเคลียร์กับมันมาหลายรอบแล้วนะเว้ย"
ไอ้กู๊ดสะบัดมือผมออกจากไหล่แล้วหันมองหน้าไอ้กายอย่างเอาเรื่อง รู้ว่ามันห่วงแต่เรื่องนี้ใครก็เคลียร์ไม่ได้ และครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ

"เออน่า รอบนี้ถ้ามันยังไม่ฟังกูต่อยแม่ง"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วเอื้อมมือไปตบบ่ามันเป็นการยืนยันว่าตัวเองจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้แน่ๆ ไอ้กู๊ดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพยักหน้ายินยอม

"อืมๆ ถ้ามีอะไรเรียกกูนะ รอตรงนี้"
ไอ้กู๊ดบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะเหลือบมองไอ้กายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไว้ใจ ผมแตะไหล่มันแล้วคลี่ยิ้มให้

"ตามมาดิ"
ผมหันไปพูดกับกายแล้วเดินนำมันไปที่หลังตึกคณะ เพราะที่นั่นเงียบสงบไม่มีคนพลุกพล่านเหมาะสำหรับการคุย

"รีบพูดมา กูหิวข้าว"
ผมบอกออกไปแบบนั้นเมื่อถึงที่หมาย เพราะไม่อยากให้มันตึงเครียดจนเกินไป เรายืนอยู่ห่างกันประมาณสามก้าว กายผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะมองกันด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง ทำไมถึงยังหวังอยู่ผมก็ไม่เข้าใจ

"ปูน... กูขอโอกาส"
คำขอร้องหลุดออกจากปากของกายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องพยายามขนาดนี้ อยากให้เรื่องคู่จิ้นเป็นจริงเพราะมันช่วยให้เขาดังหรือชอบกันจริงๆ

"ไม่ว่ะกาย อย่ามาขอร้องกันแบบนี้ คนอื่นที่เขาสนใจมึงมีเยอะแยะ อย่าเสียเวลากับคนอย่างกูเลย"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง ไม่รู้ต้องพูดอะไรทำนองนี้มากี่รอบแล้ว แต่ก็อยากจะบอกอยากจะย้ำว่ามันคงเหมือนเดิมและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีก หัวใจคนเราบังคับกันไม่ได้ กายก็น่าจะรู้ดี ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่รักก็คือไม่รัก ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยแม้แต่นิดเดียว

"แต่คนที่กูสนใจมีมึงคนเดียว"
กายขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาคมสั่นไหวราวกับจะร้องไห้ มือที่เอื้อมมาสัมผัสหัวไหล่กันนั้นช่างให้ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ไม่เคยคิดว่าเพลย์บอยสักคนจะเป็นแบบนี้ได้เลย ชีวิตพวกเขาสามารถเลือกใครที่ดีกว่าผมได้อีกเยอะ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย

"ขอบคุณที่มึงชอบกู แต่กูเป็นแฟนกับพี่ทาร์ตแล้ว"
ผมเลือกตอบแบบนั้นออกไปเพื่อหมายจะให้กายสำนึกว่าไม่ควรยุ่งกับคนที่มีเจ้าของ แต่เสียงหัวเราะต่ำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของเขาทำให้รู้ว่ามันไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก คนๆ นี้ไม่ได้แคร์คำว่าสถานะอะไรเลย เป็นประเภทที่อยากได้ก็ต้องได้ล่ะมั้ง

"เหอะ... แค่เป็นแฟน เดี๋ยวก็เลิกกันได้"
คำพูดของกายทำให้ผมรู้สึกโมโห มันใช่อย่างที่เขาว่ามา สักวันเราอาจจะต้องเลิกกัน แต่มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่สามารถให้ใครมาตัดสินได้ ผมถือว่าคนๆ นี้ปากหมา

"นั่นมันก็เรื่องของพวกกูหรือเปล่า จะเป็นยังไงมึงก็ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินอะไร"
ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดทั้งๆ ที่ความรู้สึกข้างในอยากจะพุ่งไปต่อยหน้ามันให้ยับๆ แต่ไม่อยากมีเรื่อง เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อน ถึงแม้จะไม่สนิทก็เถอะ

"แน่ใจเหรอว่ามันรักมึง"
คำถามของมันทำให้ผมต้องกำหมัดไว้แน่น พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลับตาลงเพื่อนะงับอารมณ์โกรธที่มีมากขึ้น อยากจะสั่นคลอนความรู้สึกกันหรือยังไง ไม่มีทางหรอก ผมเชื่อใจพี่ทาร์ตมากพอ กว่าเราจะเป็นแฟนกันได้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เท่านั้นก็พอจะพิสูจน์ได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

"กูแน่ใจ เพราะเขาพิสูจน์ตัวเองให้เห็น"

"เหอะ... ถ้าไม่มีมัน คนๆ นั้นที่ยืนข้างมึงเป็นกูได้ไหมล่ะ"
กายจับไหล่ทั้งสองข้างของผมไว้แน่นแล้วออกแรงบีบเพื่อคาดคั้นจะเอาคำตอบ ถามว่าสงสารไหม ตอบได้เลยว่าไม่  เพราะผมไม่ได้บังคับให้เขามารัก ไม่เคยให้ความหวังใดๆ ทั้งนั้น

"ไม่... เพราะกูไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ เข้าใจไหม"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาคมเพื่อย้ำว่าสิ่งที่พูดออกไปมันคือความจริง และมันไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงไปไหน แต่กายเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น เพราะเขาหลับตาลงก่อนจะตะโกนใส่หน้า

"กูไม่เข้าใจ!"
หลังจากที่เสียงตะโกนจบลงกายก็ขยับเข้ามาใกล้จนผมไม่ทันตั้งตัว ทุกอย่างมันเร็วไปหมด ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย แม่ง!

"อื้อ!"
มันจูบลงมาบนริมฝีปากแบบบดขยี้ไม่แคร์ว่าความรู้สึกในตอนนี้จะแย่แค่ไหน ผมดิ้นขืนแรงสุดชีวิตแล้วต่อยเข้าที่ใบหน้าของไอ้กายเต็มแรง จะไม่ยอมอีกแล้ว วันนี้มันต้องจบสักที ยืดเยื้อเกินไป

"ไอ้เหี้ยกาย!"
ผมตะโกนด่ามันที่ล้มลงไปนั่งอยู่บนพื้น มุมปากซ้ายแตกจนมีเลือดซึมออกมา มือเรียวยกขึ้นหมายจะเช็ดสัมผัสของไอ้กายทิ้ง มันเสียความรู้สึก มันแย่ มันหดหู่ ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเราพังทลายลงแล้ว ใครจะหาว่าใจร้ายก็เชิญ เพราะผมไม่สามารถทำใจได้กับเรื่องนี้

"ปูน... กะ กูขอโทษ"
กายละล่ำละลักพูดคำขอโทษทั้งๆ ที่มุมปากของเขายังมีเลือดซึมออกมา ผมมองหน้ามันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า สำหรับเรื่องนี้มันควรจบลงซะที ตอนนี้และเวลานี้

"พอกันที มึงไม่ต้องมายุ่งกับกูอีก จบ เลิก!"
ผมตะโกนออกไปแล้วเดินหนีออกมาจากตรงนั้น คราวนี้ทุกอย่างจบแล้วจริงๆ เพราะก่อนจากมาผมเห็นกายนั่งร้องไห้ไร้เสียงสะอื้น

กู๊ดยืนรออยู่ที่เดิมจริงๆ มันหันมาเจอผมแล้วรีบสาวเท้าเข้ามาหากันอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางคงเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ดีแล้วที่เพื่อนสนิทไม่ต้องมารับรู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง มันน่าอายและอาจจะทำให้กายโดนกระทืบ

"มึงเป็นไงบ้าง เคลียร์ได้ไหม"
ไอ้กู๊ดถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน มันมองจ้องกันอย่างไม่วางตา ผมเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วอดที่จะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ นี่ล่ะนะเพื่อนสนิทที่รักกันจริงๆ

"อือ จบแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ"
ผมบอกก่อนจะพาดแขนยาวๆ ไว้บนไหล่ของมันแล้วออกแรงดันให้เดินไปพร้อมๆ กัน ไม่อยากกลายเป็นเป้านิ่งนานๆ ไอ้กู๊ดอาจจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ หน้าตาที่ไม่สดใส ปากที่โดนบดขยี้ หึ น่าสมเพช อยากร้องไห้ว่ะ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ผิดเลยด้วยซ้ำ ทำไม...

"เหรอวะ แต่สีหน้ามึงไม่ดีเลย"
มันถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ซึ่งผมได้แต่แสร้งฉีกยิ้มกว้างเหมือนไม่มีอะไร เพราะไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว ความรู้สึกแย่ๆ มันจุกอยู่ที่อก ทำไมรู้สึกผิดกับพี่ทาร์ต...

"เออน่า กูสบายดี"

"โอเคๆ จะเชื่อมึง"

ตลอดคาบบ่ายผมไม่ได้คุยอะไรกับใครเลยแม่แต่คำเดียว ทำเป็นตั้งใจเรียนทั้งๆ ที่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา หัวสมองว่างเปล่าไม่สามารถซึมซับความรู้อะไรได้เลยสักอย่าง จนถึงเวลาสี่โมงก็เก็บทุกอย่างลงกระเป๋าอย่างกับคนไร้วิญญาณ แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไรมาก เพราะไอ้กู๊ดและไอ้ไนน์รู้ดีว่าควรปฏิบัติตัวแบบไหน

"ถ้าไม่ไหวมึงลาก็ได้นะพรุ่งนี้"
ไอ้กู๊ดบอกขณะที่มันเดินมาส่งผมหน้าคณะ ส่วนไอ้ไนน์แยกไปอีกทางแล้วเพราะรีบไปหาแฟนที่โรงพยาบาลอีกรอบ ผมส่ายหน้าให้กับเพื่อนสนิท เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องทิ้งการเรียนหรอก แต่สิ่งที่กำลังจะเจอควรจัดการยังไงดี

"ไหวดิวะ มึงจะกลับบ้านเลยปะ"
ผมคลี่ยิ้มปิดท้ายประโยคไปเพื่อให้มันสบายใจ ไอ้กู๊ดมองกันนิ่งๆ ครูหนึ่งก่อนจะยอมตอบอะไรออกมา

"เออ เดี๋ยวจะกลับแล้ว รอพี่ทาร์ตมารับมึงนี่ล่ะ"

"ไม่ต้องรอ พี่ทาร์ตมาแล้ว นู่นไง"
ผมชี้นิ้วไปในทิศทางที่พี่ทาร์ตกำลังขับรถตรงมา ตอนเย็นขับบีเอ็มฯ ด้วยว่ะ สงสัยกลัวรถจะตายแน่ๆ เลย

"โอเค พรุ่งนี้เจอกันนะมึง"
ไอ้กู๊ดบอกลาก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่ากันแล้วเดินแยกไปทางลานจอดรถของคณะ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับพี่ทาร์ต กลัวเขาจะเสียใจที่ผมปล่อยให้คนอื่นมาขโมยจูบไปได้ ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่ได้ตั้งใจแต่รู้สึกผิดอยู่ดี

"สวัสดีครับพี่ทาร์ต"
ผมทักทายอีกคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะสอดตัวเข้าไปนั่งในรถ พี่ทาร์ตคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนจะออกรถไปอย่างช้าๆ




ต่อด้านล่างเนอะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ตลอดทางตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกจากมหา'ลัยก็ไม่มีใครเปิดปากพูดอะไรสักคำ มีแต่เสียงเพลงเบาๆ ที่ถูกเปิดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ ผมเอาแต่มองไปด้านนอกเพราะความรู้สึกแย่ๆ ยังคงฝังอยู่ในจิตใจ ควรจะบอกพี่ทาร์ตเรื่องที่เกิดขึ้นหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ยอกแล้วเขารู้ทีหลังจะเป็นยังไงกันนะ

"ปูน... เป็นอะไรหรือเปล่า"
เสียงทุ้มเอ่ยถามกันด้วยความเป็นห่วง มือหนาเอื้อมาแตะเบาๆ ที่ข้างแก้มเหมือนอยากให้ผ่อนคลาย ผมหลุบดวงตาลงต่ำเพราะตอนนี้ความคิดกำลังตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

"มีเรื่องนิดหน่อยครับ แต่มันจบแล้วล่ะ"

"ระบายกับพี่ได้นะ"

"ครับ"

แล้วเราก็เงียบกันอีกครั้งจนถึงร้านอาหาร ระหว่างกินข้าวเราก็หยิบเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยเล่นไปเรื่อย แต่ผมรู้ว่าพี่ทาร์ตสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขาเลือกที่จะเงียบไม่คาดคั้นและรอให้ทุกอย่างหลุดออกจากปากผมเอง ดีนะ มันดีมากๆ ที่ไม่โดนกดดัน เพราะมีเวลาทำใจกับผลที่จะตามมา

นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม ผมยังนั่งเล่นอยู่ในสวนเพราะนอนไม่หลับและไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ระหว่างอาบน้ำก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะบอกเรื่องของกายในวันนี้ให้พี่ทาร์ตฟัง จะได้ไม่มีอะไรรบกวนจิตใจอีก และเหมือนเขาจะรับรู้ได้ ร่างสูงเลยกระโดดข้ามรั้วมาหากันแล้ว

"นั่งเลี้ยงยุงหรือไง"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงติดตลกก่อนจะนั่งลงข้างๆ กันแล้วใช้มือหนาโยกหัวกันเบาๆ ผมหลับตาลงเพื่อรับสัมผัสนั้น ชอบเวลาที่เขาทำแบบนี้ มันอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

"นั่งคิดถึงพี่ทาร์ตอยู่ต่างหาก"
ผมแกล้งหยอดเขาไปแบบนั้นก่อนจะขยับเข้าไปโอบกอดรอบเอวของเขาเอาไว้แล้วซุกหน้าลงกับอกแกร่ง พี่ทาร์ตครางเบาๆ ด้วยความแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรซอกแซกออกมา คงรอให้ผมเล่าสินะ พร้อมแล้วล่ะ

"วันนี้ผม... ไปเคลียร์กับไอ้กายมาล่ะ"
ผมเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย พยายามที่จะควบคุมมันแล้วแต่ทำไม่ได้จริงๆ กลัวไปหมด กลัวทุกอย่าง

"อื้ม แล้วเป็นยังไงบ้างครับ"
พี่ทาร์ตถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์ มือหนายกขึ้นลูบหัวกันเบาๆ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกก่อนจะพูดต่อไป

"จบแล้วครับ มันจบแล้วจริงๆ พี่ทาร์ตสบายใจได้ ฮึก..."
จบแต่โคตรแย่ ร้องไห้ออกมาจนได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่มันทำกับผม

"ร้องไห้ทำไมปูน"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงตกใจก่อนจะใช้มือหนาเชยคางกันขึ้นให้สบตา ผมได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง

"ผมขอโทษนะพี่ทาร์ต ขอโทษจริงๆ อึก"
ผมพร่ำขอโทษคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ อยากลบความรู้สึกแย่ๆ ที่มันจุกอกทิ้งไปสักที กลัวพี่ทาร์ตจะโกรธ...

"ขอโทษเรื่องอะไรครับ โอ๋ๆ นะคนดี"
พี่ทาร์ตใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดกับผมก่อนจะใช้นิ้วมือปาดน้ำตาให้กันอย่างแผ่วเบา ริมฝีบางบางสั่นระริกพยายามควบคุมทุกอย่างให้นิ่งที่สุด แต่ทำไม่ได้ หัวใจจะพังหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เพราะมันปวดหนึบไปหมดแล้ว

"ขอโทษ ฮึก ผมขอโทษที่ปล่อยให้ไอ้กายจูบ ขอโทษ"
ในที่สุดผมก็บอกออกไปแล้ว ต้องยอมรับผลที่ตามมาใช่ไหม จะโดนโกรธก็ไม่แปลก นั่นเป็นจูบแรกที่ควรเป็นของพี่ทาร์ตนี่นา

"....."
เขานิ่ง แววตาบ่งบอกได้ว่าตกใจแค่ไหน ยิ่งพี่ทาร์ตไม่ยอมพูดอะไรออกมามันยิ่งทำให้ผมลนลาน โกรธเหรอ ไม่พอใจกันใช่ไหม...

"ฮึก พี่ทาร์ตโกรธผมเหรอ ผมขอโทษ"
ผมถามย้ำก่อนจะซุกหน้าลงกับอกแกร่งแล้วกระชับอ้อมกอดแน่นราวกับกลัวว่าคนๆ นี้จะหายไปต่อหน้าต่อตา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คงรับไม่ได้แน่ๆ

"ไม่... พี่ไม่ได้โกรธ แต่ทำไมปูนถึงปล่อยให้กายจูบล่ะ"
น้ำเสียงของพี่ทาร์ตสั่นไม่แพ้กัน แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังควบคุมอารมณ์อยู่ ผมรู้ว่าคนๆ นี้มีเหตุผลพอ รับฟังกันได้มากพอเลยกล้าบอกความจริงออกไป

"ผมไม่ทันตั้งตัว ฮึก มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป ตอนที่กำลังเคลียร์ปัญหาแต่ไอ้กายไม่ยอมฟัง"
ผมพูดรัวปนกับเสียงสะอื้นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง แต่พี่ทาร์ตกลับใช้มือเชยคางให้สบตากันอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้แสดงออกว่าโกรธเคือง ไม่ได้ถือโทษ มันมีแต่ความอ่อนโยนและเป็นห่วงที่สื่อมา

"ไม่เป็นไรๆ ไม่ร้องนะครับ พี่ไม่ได้โกรธ"
น้ำเสียงนุ่มๆ ทำให้ผมคลายความกังวลลงไปได้เยอะพอตัว รอยยิ้มละมุนของพี่ทาร์ตส่งผลให้ผมกล้าขออะไรบางอย่างออกไป

"ฮึก พี่ทาร์ต... จูบผมหน่อยได้ไหม ลบสัมผัสไอ้กายให้ที"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่ติดจะสั่นเครือเพราะยังไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้ พี่ทาร์ตหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะใช้มือประคองใบหน้ากันอย่างอ่อนโยน

"อื้ม ได้สิครับ"
จบคำพูดนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมหลับตาลงเพื่อนอรับสัมผัสที่โหยหา ริมฝีปากหยักประทบลงบนเปลือกตาค่อยๆ ไล่ลงไปเรื่อยๆ จนมาจุดหมาย

จุมพิตแสนอ่อนโยนชวนให้หัวใจเต้นแรง ลิ้นร้อนไล่เลียริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง จนรู้สึกวาบหวาม ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการรุกล้ำมากกว่านั้น แต่สามารถทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบหอมหวานจากคนที่ตัวเองรัก คล้ายๆ สัมผัสของกายจะค่อยๆ จางลงไป เลือกที่จะจำเพียงเท่านี้ แค่คนนี้เพียงคนเดียว

ขอบคุณที่รักและเข้าใจกันนะครับพี่ทาร์ตของผม




-------------------------------------------------------

จบเรื่องกายแล้วนะ.... ถึงจะโดนจูบแต่จบ
พี่ทาร์ตเขาไม่แคร์เรื่องจูบแรกก็ดีไป ไม่งั้นน้องปูนโดนโกรธ(?)แน่เลย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
ไอ้กายอาจมีสิทธิ์โดนพี่ทาร์ตตืบได้ ถ้าได้เจอกันนะ   พี่ทาร์ตลบรอยให้แล้ว ปูนไม่ต้องคิดมาก

รอลุ้นคู่ปากหนักอีกคู่ แทจุงถึงจะอยู่ไกล แต่รักแท้ย่อมชนะทางไกลได้ เอาใจช่วยแทจุง

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 19

Scones
: แป้งเค้ก/ผงฟู/เนยเค็ม/น้ำตาล/ไข่ไก่/นมจืด :





หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นที่ผมกล้าขอให้พี่ทาร์ตจูบตัวเองต่างคนก็ต่างไม่กล้าสบตากัน ความรู้สึกขัดเขินแปลกๆ เมื่อไหร่ที่มองปากหยักของอีกฝ่าย เมื่อนั้นมันจะรู้สึกว่าแก้มร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ อย่างเช่นตอนนี้ แม้แต่นั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามกันแท้ๆ ยังไม่กล้าเงยหน้าเลย เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย ทำไมการควบคุมหัวใจตัวเองลำบากขนาดนี้

"ลูกทะเลาะกันเหรอ"
ป้าอุ่นถามขึ้นในขณะที่เธอนั่งลงข้างๆ ผม ดวงตาอ่อนโยนมองหน้าลูกชายตัวเองอย่างต้องการคำตอบ ถ้าให้ตอบตามความจริงอาจจะช็อกกันทั้งบ้านก็ได้

"เปล่าครับม๊า ไม่ได้ทะเลาะกัน"
เสียงทุ้มเอ่ยตอบก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากชามข้าวต้มตรงหน้า เขามองป้าอุ่นเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆ แต่พอเจอสายตาของผมกลับเบนหลบ แบบนี้ใครจะไปเชื่อว่าล่ะ ถ้ารู้ว่าจูบกันแล้วขัดเขินแบบนี้จะไม่กล้าขอเลย แม่ง... ทำไงดีวะ

"แต่พวกลูกไม่มองหน้ากันเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า"
ป้าอุ่นมองผมสลับกับพี่ทาร์ตด้วยใบหน้าสงสัย เราทั้งสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันเงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะเบนหนีอย่างรวดเร็ว พยายามแล้วแต่มัน... เขิน แต่ไม่นานนักไอ้ฟ่อนที่นั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ มานานก็เอ่ยขึ้นแทน อยากเอาขิงซอยในจานปาใส่หน้าฉิบหาย พูดบ้าอะไรเนี่ย

"เขาคงเขินกันน่ะม๊า ข้าวใหม่ปลามันก็งี้แหละ หมั่นไส้!"
ไอ้ฟ่อนมองกันด้วยสายตาหมั่นไส้แล้วเบะปากจนคว่ำ ผมสะดุดลมหายใจตัวเองเกือบทำช้อนในมือร่วง ทั้งๆ ที่รู้ว่าป้าอุ่นเขาไม่ได้ขัดขวางอะไรถ้าคบกัน แต่มันก็แปลกๆ... มันทำตัวไม่ถูกว่ะ ส่วนพี่ทาร์ตนั่งยิ้มปากฉีกไปแล้ว เปลี่ยนอารมณ์ไวโคตรๆ ตามไม่ทัน

"นี่ เจ้าฟ่อน ไปหมั่นไส้อะไรพี่เขาล่ะ ตัวเองน่ะรีบๆ กินข้าวเลย อินมารอแล้วมั้ง"
ป้าอุ่นตีเข้าที่แขนของไอ้ฟ่อนก่อนจะเร่งให้มันกินข้าว เพราะทุกคนได้ยินเสียงรถของใครบางคนเข้ามาจอดแล้ว เช้าขนาดนี้ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าเป็นพี่อินมารับไอ้ตัวแสบไปส่ง คู่นี้ก็ดูจะสนิทสนมกันมากขึ้น ออร่าความรักฟุ้งกระจาย

"ครับๆ ตามบัญชาเลยม๊า"
น้องตอบก่อนจะรีบกินข้าวตามที่ป้าอุ่นบอก เธอหันมายิ้มให้ผมแล้วตักกับข้าวนั่นนี่ใส่ถ้วยให้ สายตาอบอุ่นที่มองมานั้นทำให้เกิดอาการเขินอย่างห้ามไม่ได้ เหมือนแม่สามีมองลูกสะใภ้เลยว่ะ แม่ง...

หลังจากจัดการมื้อเช้ากันเรียบร้อยผมก็โดนพี่ทาร์ตลากมานั่งเล่นในสวน ไม่ยอมให้กลับบ้าน แถมยังไปปล่อยเจ้าขนมออกมาวิ่งเล่นในสนามด้วย มันน่ารักและโตไวมาก กินจุด้วยนะ อยากขโมยจริงๆ เลย

ผมนั่งมองมันวิ่งไปรอบๆ สนามหญ้าหยอกล้อกับผีเสื้อที่บินผ่านไปผ่านมา แต่ด้วยความที่ขาสั้นช่วงกระโดดเลยดูตลก จนเผลอขำออกมา ขนาดจะข้ามรั้วเตี้ยๆ ยังทำไม่ได้เลย อะไรจะมุ้งมิ้งขนาดนี้วะ

"เฮ้ยๆ อย่างับขากางเกงดิไอ้ขนม เพิ่งซื้อมาใหม่นะ"
เสียงพี่ทาร์ตโวยวายเมื่อเจ้าขนมวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหาเจ้านายมันแล้วงับเข้าที่ขากางเกงตัวใหม่เอี่ยม ได้ข่าวว่าเป็นแบรนด์ Diesel ตัวละหกพันกว่าบาท ไม่แปลกที่จะเหวเสียงดัง อืม... แพงฉิบหาย ผมนี่ไม่กล้าแตะต้องเลยว่ะ

"ขนมมานี่ อย่าไปยุ่งกับกางเกงพ่อ"
ผมว่าก่อนจะเอื้อมมือไปอุ้มไอ้ขาสั้นมาวางบนตักแล้วเล่นกับมัน ขนมชอบงับนั่นงับนี่เป็นกิจวัตร บางครั้งงับมือจนได้แผลกันเลยทีเดียว

"แม่งชอบงับโน่นนี่ตลอด"
พี่ทาร์ตบ่นพึมพำแล้วส่งสายตาดุๆ มาให้ไอ้ขนมที่ตอนนี้นอนราบไปกับตักผมเรียบร้อยแล้ว พอลูบหัวเข้าหน่อยก็ทำเป็นเคลิ้มปรือตาจะหลับตลอด หูตั้งๆ นั่นก็น่างับ มันเขี้ยวว่ะ

"งอนไอ้ขนมหรือไง"
ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลอบมองพี่ทาร์ตที่ยังพะวงกับขากางเกงตัวเองอยู่ เข้าใจว่าเพิ่งซื้อใหม่เลยไม่ได้ว่าอะไรเขากลับไปมากนะ

ดวงตาคมของพี่ทาร์ตละจากขากางเกงมามองหน้าผมแล้วส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ ใบหน้าหล่อๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรให้คาดเดาได้เลย แต่เขาส่งมือหนามาขยี้หัวไอ้ขนมเล่นจนมันลุกขึ้นมาไล่งับอีกแล้ว เนี่ยก็ชอบแกล้งหมาตลอด

"หมั่นไส้ว่ะ อยากฟัดให้น่วม"
พูดออกมาด้วยน้ำเสียงมันเขี้ยวเต็มทนแต่สายตากลับมองมาที่ผมให้รู้สึกหายใจติดขัด ที่พี่ทาร์ตอยากฟัดนั่นคนหรือหมากันแน่วะ ชักไม่แน่ใจแล้ว ถึงจะคุยกันได้ปกติแต่ไม่สามารถสบตากันได้นานๆ มันเขินเมื่อนึกถึงตอนที่เราจูบกัน

"ฟัดไอ้ขนมน่ะเหรอ"
ผมถามก่อนจะคว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่มีเสียงแจ้งเตือนข้อความไลน์ดังขึ้น นิ้วเรียวกำลังจะกดเข้าแอพพลิเคชั่นสีเขียวกลับต้องชะงักค้างเมื่อคำตอบจากพี่ทาร์ตมันชวนให้...

"อยากฟัดคนที่อุ้มไอ้ขนม โคตรน่ารัก"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าก่อนจะขยับหน้าเข้ามาใกล้กัน ผมเกือบเผลอทำโทรศัพท์ในมือหล่อนเพราะตกใจกับการจู่โจมแบบไม่มันตั้งตัว ดวงตารีเบิกกว้างกรอกไปซ้ายทีขวาทีอย่างลนลาน หลังชนกับพนักเก้าอี้ขนาดนี้จะให้หนีไปทางไหนล่ะ ม้วนหน้ากลิ้งไปตามสนามดีไหม

"ไม่น่ารักเว้ย แล้วมาหื่นอะไรตอนนี้ ขยับไปไกลๆ เลย"
ผมบอกแล้วอุ้มไอ้ขนมมาขวางระหว่างเราเอาไว้ จริงๆ ยกขึ้นมาบิดบังใบหน้าที่ร้อนวูบวาบต่างหาก เสียงหัวเราะต่ำดังมาจากพี่ทาร์ตที่ยอมขยับออกไป ดูท่าทางจะมีความสุขมากที่ได้แกล้งกันแบบนี้ ระวังตัวไว้เถอะมีโอกาสเมื่อไหร่จะเอาคืนให้สาสม หึ

"เนี่ย ขนาดโมโหยังน่ารักเลย แก้มแดงด้วย"
พี่ทาร์ตยังไม่วายเอ่ยแซวกันด้วยน้ำเสียงร่าเริงแถมยังเอื้อมมือมาหยิกแก้มกันจนรู้สึกเจ็บ ไม่รู้จะมันเขี้ยวอะไรกันนักหนา หน้าตาก็ไม่ได้น่ารักหรือตัวเล็กเหมือนไอ้ฟ่อนสักหน่อย ไม่เข้าใจจริงๆ

"พอๆ จะกลับบ้านแล้ว"
ผมปัดป่ายมือพี่ทาร์ตออกจากใบหน้าตัวเองแล้วอุ้มไอ้ขนมคืนพ่อมันไป จริงๆ ก็อยากจะลักพาตัวกลับไปที่บ้านเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ว่าไม่มีเวลาเล่นด้วย งานกองท่วมหัวต้องส่งพรุ่งนี้อีกเพียบ

"เฮ้ย จะไปไหน เดี๋ยวพาออกไปข้างนอก"
พี่ทาร์ตร้องเสียงดังแล้วรับไอ้ขนมไปไว้บนตัก ดวงตาคมมองกันอย่างไม่เข้าใจ ซึงผมก็งงเหมือนกัน วันนี้ไม่ได้นัดอะไรนะ อยู่ๆ จะพาไปข้างนอกได้ไง

"หา จะไปไหน ผมจะกลับไปทำงานเนี่ย มันต้องส่งพรุ่งนี้"
ผมบอกแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หัวคิ้วขมวดแน่น พี่ทาร์ตย่นจมูกใส่กันนิดหน่อยเหมือนเด็กโดนขัดใจ ก็ตัวเองไม่ได้นัดเอาไว้ ช่วยไม่ได้

"งั้นตอนเย็น พาไอ้ขนมไปเดินเล่น"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ ใบหน้าหล่อๆ ที่ตอนนี้งอง้ำทำให้ผมอดจะคลี่ยิ้มไม่ได้ สาบานว่าโตแล้ว... ดูๆ ไปก็น่ารักอยู่หรอก

"ก็ได้ครับ งั้นผมกลับบ้านก่อนนะ"
ผมตอบรับแล้วมองหน้าพี่ทาร์ต เขาคลี่ยิ้มกลับมาอย่างอารมณ์ดี รู้สึกเหมือนคนมีอาการไบโพล่ายังไงไม่รู้

"โอเคครับ"

"เจอกันตอนเย็นนะขนม"
ผมหันไปลาเจ้าหมาบนตักของเขาแล้วอุ้มมันขึ้นมาจุ๊บ อยากจะฟัดสักรอบแต่กลัวติดใจจนเป็นอันไม่ได้ทำงานกันพอดี แต่ตอนที่จะส่งมันกลับไป พี่ทาร์ตก็ส่งสายตาสื่อความหมายบางอย่างมาให้... อิจฉา

"อิจฉาหมาว่ะ มีจุ๊บลาด้วย"
พี่ทาร์ตบ่นพึมพำแล้วบุ้ยปากคล้ายเด็กๆ ผมมองการกระทำนั้นก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ทำให้เขาช้อนตามองกัน ดูก็รู้ว่ากำลังงอน

"ไปดีกว่า"
ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วปล่อยให้ขนมวิ่งไปรอบๆ สนามหญ้าก่อนจะเดินไปที่รั้วแล้วกระโดดข้ามกลับบ้าน ได้ยินเสียงบ่นงุ้งงิ้งๆ ของพี่ทาร์ตตามหลังแล้วได้แต่ยิ้มเหมือนคนบ้า มีแฟนน่ารักชีวิตก็มีสีสันดีเนอะ

ผมนั่งปั่นงานไปเรื่อยๆ มีตอบไลน์บ้างอะไรบ้างเมื่อมีคนทักมา แต่ข้อความล่าสุดทำให้มือที่กำลังเขียนรายงานชะงักกึก ถ้าตาไม่ฝาดจะเห็นว่าแทจุนส่งมาเป็นภาษาไทยที่แอบไปซุ่มเรียน ใจความคือ... 'ช่วงชูซอก (วันขอบคุณพระเจ้า) จะมาเที่ยวภูเก็ต' มันเป็นวันหยุดยาวประมาณสี่วัน คือช่วงนั้นผมกำลังสอบ โอ้ย วุ่นวายฉิบหายเลย

Poon : จะมาจริงๆ เหรอ

ผมพิมพ์ถามกลับไปเป็นภาษาเกาหลีเพราะไม่อยากเจอภาษาไทยที่ต้องแปลอีกรอบ ถ้าแทจุนจะมาเที่ยวช่วงนั้นจริงๆ อาจจะต้องฝากพี่ทาร์ต พี่อินหรือไอ้ฟ่อนให้ดูแลแทน รอไม่นานเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา

Taejun : อือ ช่วงนั้นว่าง จะไปหากู๊ด ~

ขอเบะปากมองบนด้วยความหมั่นไส้สักสองสามทีแล้วกัน แม่ง จะมาหาไอ้กู๊ดแล้วบอกผมเพื่ออะไรวะ ผมยังสงสัยอยู่เลยนะว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปถึงไหนแล้ว เพราะจะหวังให้เพื่อนสนิทเล่าคงเป็นไปไม่ได้ ก็รายนี้ปากแข็งเหมือนกับพี่ทาร์ตไม่มีผิด

Poon : ช่วงนั้นสอบ ไม่มีใครว่างหรอก
Taejun : ไม่เป็นไร อยากเจอกู๊ดก็แค่นั้นเอง คึคึ ~

เกลียดเว้ย เคยบอกว่าคิดถึงผมสักคำไหมล่ะ มาแนวนี้ต้องขอให้เซอร์ไพร์สไอ้กู๊ดแน่ๆ นี่ก็เพื่อนนะ ให้ความสำคัญหน่อย ถึงอีกคนจะเป็นว่าที่แฟนก็เถอะ น้อยใจไอ้แทจุน!

Poon : ไปบอกกู๊ดดิ มาบอกเราทำไม ไม่สำคัญเท่ามันสักหน่อย
Taejun : น้อยใจเหรอ ~ เราซื้ออัลบั้มศิลปินวงที่ปูนชอบไปฝากด้วยนะ

ผมชะงักมือที่กำลังจะพิมพ์ต่อเมื่อเห็นข้อความจากแทจุนเด้งขึ้นมา รอยยิ้มเล็กๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก ไอ้เพื่อนต่างแดนคนนี้รู้ใจจริงๆ ยอมไม่โวยวายอะไรมากก็ได้วะ

Poon : บอกไอ้กู๊ดหรือยังว่าจะมา
Taejun : ไม่บอก อยากเซอร์ไพร์ส ~
Poon : แผนสูงนะ
Taejun : ไม่ใช่ซะหน่อย ปูนไปรับเราที่สนามบินได้ไหมอ่า
Poon : มาถึงกี่โมงล่ะ

ผมเหลือบดูปฏิทินแล้วค้นหาตารางสอบกลางภาคในแฟ้มงานออกมาเปรียบเทียบ วันนั้นไม่มีสอบพอดีคงปลีกตัวไปรับแทจุนได้

Taejun : ห้าทุ่มกว่าๆ อะ

เอ่อ... ผมคงหนีพี่ทาร์ตออกไปรับแทจุนคนเดียวไม่ได้แล้วล่ะ ดึกดื่นขนาดนั้น ทางที่ดีคือบอกและชวนเขาไปด้วยกันดีที่สุด ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอาการพ่อแง่แม่งอนเกิดขึ้นชัวร์ๆ

Poon : ได้ จะไปรับ

ผมตอบก่อนจะวางโทรศัพท์เอาไว้แล้วกลับมานั่งปั่นงานต่อให้เสร็จๆ เพราะเหลือบดูเวลาแล้วเหลืออีกไม่นานพี่ทาร์ตต้องกระโดดข้ามรั้วมาหากันแน่ๆ เพราะเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วส่งข้อความมาบอกกันว่าจะเอามื้อเที่ยงมาส่งให้ เป็นแฟนที่โคตรบริการดี ทำอาหารเก่ง ทำขนมเก่ง จนรู้สึกว่าตัวเองน้ำหนักขึ้น... ถ้าอ้วนแล้วไม่รักกันล่ะน่าดู

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงประตูกระจกเลื่อนเปิดออก ร่างสูงพี้อมกับจานอาหารในมือตรงเข้ามาหาผมที่นั่งหน้ามึนอยู่ที่โต๊ะทำงาน ตอนนี้อยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วนอนแผ่บนพื้นชะมัด สมองบวมหมดแล้วเว้ย

"มาแล้วครับคุณหนู"
น้ำเสียงสดใสดังขึ้นเมื่อจานสปาเก็ตผัดพริกแห้งเบคอนวางลงบนโต๊ะ ผมรีบยื่นหน้าเข้าไปสูดกลิ่นหอมๆ ก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมาจับให้มั่น ท้องร้องแล้ว หิวสุดๆ

"น่ากินมาก"
ผมพูดจบก็จ้วงสปาเก็ตตี้เข้าปากทันที ไม่ได้สนเลยว่ามันจะร้อนแค่ไหน ตอนนี้หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว เมื่อรสชาติของอาหารสัมผัสลิ้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก มันอร่อยจนต้องรีบเคี้ยวและกลืนเพื่อตักคำใหม่เข้าปาก อร่อยมาก!

"เบาๆ เดี๋ยวติดคอ"
พี่ทาร์ตว่าเสียงดุก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัวและกลับมาพร้อมแก้วน้ำเปล่าเย็นๆ เขาวางมันลงแล้วลากเก้าอี้มาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

"ไม่กินเหรอ"
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเห็นเขาถือจานมาแค่ใบเดียว พี่ทาร์ตส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนจะเอื้อมมือหยิบทิชชู่มาเช็ดมุมปากให้กัน... ดูแลดีขนาดนี้ไม่รักได้ไงล่ะ

"ไม่ล่ะ พี่ชิมจนอิ่มแล้ว"
เขาตอบก่อนจะผละมือออกไปแล้วนั่งมองผมที่ยังจ้วงสปาเก็ตตี้เข้าปากไม่หยุด จริงๆ ก็แอบเขินที่โดนบริการเช็ดปากไปเมื่อครู่ แต่ไม่มีเวลาเขินเท่าไหร่เพราะความหิวมีมากกว่า

ผมนั่งกินสปาเก็ตตี้จนหมดจานแล้วต่อด้วยสโคนที่พี่ทาร์ตเพิ่งเดินกลับไปเอามาให้ ทำอะไรก็อร่อยไปทุกอย่างจนเริ่มอิจฉาและหวงขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ ถ้าวันหนึ่งมีใครมาหลงรักเขาแบบที่ผมกำลังเป็นอยู่ จะทำยังไง...

"ท้องจะแตกอะพี่ทาร์ต ไม่ไหวแล้ว"
ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นลูบท้องด้วยท่าทางเพลียๆ กินเสร็จก็รู้สึกอืดอยากได้อีโนสักซอง แต่พี่ทาร์ตกลับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองกันอยู่นั่นล่ะ มีความสุขอะไรนักหนา

"กินเก่งนะเรา"

"ก็พี่ทาร์ตทำอร่อยไง ผมอ้วนแล้วเนี่ย"
ผมบอกก่อนจะบุ้ยปากโทษคนที่นั่งข้างๆ กัน อ้วนเพราะเขานั่นล่ะ ปกติกินเยอะที่ไหนกัน

"อ้วนก็รัก"
พี่ทาร์ตหยอดคำหวานก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวกัน ผมก้มหน้าลงแล้วทำปากขมุบขมิบ อ้วนก็รักบ้าอะไรวะ คิดจะพูดก็พูดไม่เห็นใจคนฟังบ้างหรือไง หัวใจจะพัง

"ขี้โม้ว่ะ จะทำงานต่อแล้ว พี่กลับบ้านเลยปะ"
ผมบ่นก่อนที่ปลายประโยคจะถามเขากลับไป พี่ทาร์ตส่ายหน้าวืดแล้วชี้ไปที่อุปกรณ์ต่างๆ นานาที่เขาแบกมาจากบ้าน ทั้งโน้ตบุค เอกสาร แฟ้มงานกองพะเนินไปหมด นี่คิดจะมานั่งทำงานด้วยกันหรือไง เหงาเหรอหรือกลัวผมหนีนัดตอนเย็น...

"ไม่ล่ะ แบกโน้ตบุคมานั่งทำงานเป็นเพื่อนแล้ว"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมา ตอนนี้เองที่เพิ่งสังเกตว่าเขาเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านสบายๆ อย่างกางเกงบอลขาสั้นกับเสื้อยืดสีดำ ขนาดใส่แบบนี้ยังหล่อเลย คนอะไรน่าอิจฉาชะมัด

"อ๋อ โอเค แล้ววันนี้ไม่เข้าร้านขนมเหรอ"
ผมถามด้วยควาทอยากรู้ พี่ทาร์ตชะงักการกระทำแล้วหันมามองด้วยสายตาหงอยๆ เหมือนกับว่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจให้คิด จริงๆ แล้วช่วงนี้ก็ไม่ค่อยเห็นว่าเขาจะเข้าไปที่ร้านขนมเลย

"หึ ป๊าบอกให้เริ่มศึกษางานโรงแรมได้แล้ว"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ แล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟา มือหนาเริ่มต้นเปิดโน้ตบุคเพื่อทำงานอย่างที่เขาบอกก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้ตามไปแต่ก็หันมองเขาอยู่ตลอด

"พร้อมไหม"
ผมถามด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพี่ทาร์ตยังไม่พร้อมสำหรับงานบริหาร เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากันก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ ทำไมดูน่าเป็นห่วงแบบนี้ ผมสามารถช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่านะ อย่างแบ่งเบาความหนักใจนั่นจัง

"ไม่พร้อม แต่สุดท้ายก็ต้องทำอยู่ดี"
พี่ทาร์ตพูดจบก็ก้มหน้าก้มตาเปิดเอกสารในมือเพื่ออ่านมัน หัวคิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ทำให้ผมตัดสินใจที่จะเดินไปนั่งข้างๆ เขา หวังว่ากำลังใจจากคนๆ นี้จะช่วยอะไรได้บ้าง

"สู้ๆ นะครับพี่ทาร์ต อย่าเครียดล่ะ มีอะไรอยากระบายก็พูดกับผมได้นะ ยินดีรับฟังเสมอ"
ผมบอกก่อนจะใช้มือตบบ่าเขาเบาๆ พี่ทาร์ตหันมามองแล้วพยักหน้ารับก่อนจะฝืนคลี่ยิ้มออกมา วันหนึ่งคนเราจะมีกี่อารมณ์กันนะ

"ขอบคุณครับ"

"อื้อ ก็เป็นแฟนกันนี่"
ผมบอกก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเพื่อให้อีกคนคลายความเครียดที่มีลงบ้าง และเหมือนว่าเขาจะรับรู้เลยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงติดเจ้าเล่ห์นิดๆ

"อยากเลื่อนสถานะไหมล่ะ"
เขาถามก่อนจะสอดมือเข้ามารั้งรอบเอวของผมให้ขยับชิดกับตัวเอง ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดลงมาบนใบหน้าทำให้รู้ว่าระยะห่างตอนนี้มันอันตรายแค่ไหน หัวใจเต้นรัวจนรู้สึกรำคาญไปหมด

"ห๊ะ ยังจะมีอะไรให้เลื่อนอีก จะให้ผมเป็นพ่อเหรอ"
ผมถามกวนๆ ออกไปเพื่อกลบเกลื่อนอาการขัดเขินแล้วใช้มือดันอกแกร่งให้ถอยออกไปห่างๆ กลัวว่สเขาจะได้ยินเสียงหัวใจเต้น กลัวเขาขยับเข้ามาใกล้กว่านี้

"ใช่ที่ไหนว่ะ"
พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่แล้วใช้นิ้วแข็งๆ ดีดหน้าผากกัน ผมถึงกับซี๊ดปากเพราะมันเจ็บ รักกันยังไงทำร้ายร่างกายแบบนี้เนี่ย เดี๋ยวแม่งงับจมูกเลย ยิ่งหมั่นไส้ที่มันโด่งจนจะทิ่มหน้า

"อ้าว แล้วอะไรล่ะ"
ผมยอมรับว่าโคตรงง มันจะมีสถานะอะไรให้เลื่อนขั้นไปอีกล่ะ สำหรับพวกเราแล้วคำว่าแฟนคงเป็นที่สุด... แต่เหมือนผมจะลืมอะไรไปสักอย่างนะ

"ก็... เมียไงครับ"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วก้มลงมาขโมยหอมแก้มกันอย่างรวดเร็ว ผมที่กำลังช็อกกับคำพูดพวกนั้นเลยปล่อยให้เขาทำตามใจกว่าจะได้สติกลับมาอีกครั้งก็ตอนอีกคนโน้มหน้าลงมาใกล้หมายจะจูบปากนั่นล่ะ แม่งเอ้ย เกือบเป็นไปตามนั้นแล้วไหมล่ะ เผลอไม่ได้เลยจริงๆ เว้ย

"ทะลึ่งว่ะ ใครจะยอมเป็นเมียพี่!"
ผมโวยวายแล้วดิ้นหลุดออกจากอ้อมกอดของพี่ทาร์ต ส่งสายตาดุๆ ไปให้เขาเป็นการขู่แล้วเดินตึงตังกลับไปที่โต๊ะทำงานด้วยใบหน้าร้อนๆ ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังตามหลังมายิ่งหงุดหงิดจนคว้าเอายางลบที่อยู่ใกล้มือขว้างใส่พี่ทาร์ต จะบ้าตายๆๆๆ แม่ง คนบ้าอะไรบอกให้เป็นเมียได้หน้าตาเฉย ถ้ายอมก็ใจง่ายน่ะสิ ไม่มีทาง!

"หยุดหัวเราะ!"
ผมโวยวายเสียงดังแล้วส่งสายตาดุๆ ให้พี่ทาร์ตที่ไม่ยอมหยุดหัวเราะสักที ไม่รู้มันตลกอะไรนักหนา เดี๋ยวก็ไล่กลับไปทำงานที่บ้านเลยนี่

"โอย ทำไมต้องขว้างยางลบใส่พี่ด้วยเนี่ย หัวโนแล้วมั้ง"
เหมือนพี่ทาร์ตจะเพิ่งคิดได้ว่าผมขว้างยางลบใส่เขาเลยถามว่าแบบนั้น แถมยังสร้างมโนว่าหัวจะปูดอีก บ้าไปแล้ว

ผมเลิกสนใจพี่ทาร์ตแล้วดึงสติกลับมาทำงานต่อ เราต่างคนต่างไม่มีใครส่งเสียงดังนอกจากเปิดเอกสารไปมา กว่าจะได้เวลาหายใจหายคอก็เกือบห้าโมงเย็น แต่อีกคนดูเหมือนจะเงียบผิดปกติไปสักพักหนึ่งแล้ว พอหันกลับไปมองที่โซฟาก็เห็นว่าหลับคอพับคออ่อนไปแล้ว...   คงเหนื่อยสินะ

ผมลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วยืดตัวบิดขี้เกียจก่อนจะเดินตรงไปที่โซฟาแล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ คนที่ยังนอนหลับตาพริ้มหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากเมื่ออีกคนละเมอไม่ได้ศัพท์ ดูท่าทางน่าแกล้งยังไงไม่รู้

"นี่... พี่ทาร์ตครับ"
ผมเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนักแล้วใช้มือจิ้มแก้มของเขาเล่น ไรหนวดจากๆ ทำให้ใบหน้าของพี่ทาร์ตดูเข้มขึ้น ปกติแล้วไม่เคยปล่อยให้มันยาวเลย ช่วงนี้คงวุ่นๆ กับการศึกษางานบริหารเข้าจริงๆ

"อือ"
เสียงครางในลำคอดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างกายสูงใหญ่ล้มตึงลงบนโซฟาอย่างแรง ผมถึงกับอ้าปากหวอด้วยความตกใจ เขาจะเจ็บมากหรือเปล่า แต่พอจะขยับเข้าไปดู พี่ทาร์ตก็ขมวดคิ้วและลืมตาขึ้นช้าๆ ดูมึนๆ งงๆ ตลกดี

"พี่ครับ เจ็บหรือเปล่าน่ะ"
ผมถามก่อนจะมองใบหน้างัวเงียของเขา พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นแล้วส่ายหัวแทนคำตอบก่อนพยายามใช้แขนพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ท่าทางทุลักทุเลจนต้องหัวเราะออกมา อยากช่วยนะ แต่ขอขำก่อนแล้วกัน เหมือนคนเมาเหล้าเลยว่ะ

"เมื่อกี้ปลุกเหรอ รู้สึกเหมือนโดนเขย่าตัว"
พี่ทาร์ตโคลงหัวไปมาเพื่อไล่อาการมึน ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ รู้สึกทึ่งที่เขาคิดว่าโดนเขย่าตัว ทั้งๆ ที่ล้มตึงไปขนาดนั้น ไม่สะเทือนไปถึงตับไตไส้พุงหรือไง

"เอ่อ... ไม่ใช่เขย่าครับ พี่ทิ้งตัวลงบนโซฟาต่างหาก"
ผมไขข้อข้องใจให้กับเขาแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พี่ทาร์ตเหลือบมองกันเล็กน้อยก่อนจะเอนหัวมาพิงไหล่กันแบบเนียนๆ ได้ทีหาโอกาสนัวเนียตลอด

"อ๋อ... อือ กี่โมงแล้ว"
เขาถามก่อนจะกดจมูกลงบนต้นแขนของผมอย่างออดอ้อน ทำให้ขนในกายลุกชันอย่างห้ามไม่ได้ คิดจะทำอะไรก็ทำไม่เห็นใจกันบ้างหรือไงวะ หน้าร้อนจะแย่แล้วเนี่ย

"อ่า ห้าโมงเย็นแล้วครับ"
ผมมองนาฬิกาติดพนังแล้วตอบเขาไป ดวงตารีเหลือบมองศีรษะทุยๆ ของพี่ทาร์ตแล้วหลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นผมของเขาชี้โด่ชี้เด่ มันเป็นมุมที่คนนอกยากจะเห็น ผู้ชายเพอร์เฟ็คยามเพิ่งตื่น... น่ารักดี

"อือ... หลับไปตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลยว่ะ"
พี่ทาร์ตพึมพำกับตัวเองแล้วผละตัวออกไปเพื่อเก็บโน้ตบุคและเอกสารให้เรียบร้อย สงสัยจะเตรียมตัวออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแล้วมั้ง

"จะแบกกลับบ้านใช่ไหม เดี๋ยวผมช่วยนะ"
ผมอาสายื่นมือเข้าไปหวังจะช่วยพี่ทาร์ตหอบของทั้งหมดกลับไปที่บ้าน แต่เขาขมวดคิ้วมองกัน แววตาแสดงความงงออกมาเต็มที่ ทำให้การกระทำชะงักไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย ผมทำอะไรผิดอะ

"ใครบอกจะกลับบ้าน คืนนี้จะนอนนี่"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่น ดวงตาคมจ้องมองกันไม่ยอมละไปไหนจนทำให้ผมรู้สึกหวาดระแวง จริงอยู่ที่แม่กับป๋าไม่อยู่บ้าน แต่เขาจะมานอนที่นี่เพื่ออะไร... กลัวผมเหงาเหรอ ไม่ใช่มั้ง

"เดี๋ยวๆ ทำไมจะนอนที่นี่"
ผมถามก่อนจะขยับตัวหนีเพราะไม่ไว้ใจในตัวอีกคน พี่ทาร์ตตอนจะหื่นก็หื่นแบบไม่ทันตั้งตัว กลัวจะรับมือไม่ไหวว่ะ ขืนเกิดหน้ามืดตามัวปล้ำกันขึ้นมาจะหนีไปไหนรอด...

"นอนไม่ได้หรือไง"
ถามเหมือนเป็นเรื่องปกติทั้งๆ ที่มันไม่ปกติ ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยพี่ทาร์ตไม่เคยต้องมานอนค้างที่นี่สักหน่อย ถึงจะเปลี่ยนสถานะก็แยกกันอยู่บ้านใครบ้านมัน ไม่ได้ตัวติดเป็นปาท่องโก๋ขนาดนั้นสักหน่อย

"ก็ถามว่าจะนอนทำไม บ้านตัวเองก็มี"
ผมเหลือบสายตามองใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ทำไมแค่เสี้ยวสินาทีเขาถึงดูเจ้าเล่ห์ขึ้นขนาดนี้

"อยากนอนกับปูนไง"
คำพูดกำกวมดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ขยับรวดเดียวมาคร่อมกันเอาไว้ ด้วยความตกใจและอยากหนีห่างผมเลยทิ้งตัวลงบนโซฟานอนราบ แต่ดูเหมือนจะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกคนทำอะไรได้สะดวกขึ้น อย่างเช่นหน้าหล่อๆ ที่โน้มลงมาจนปลายจมูกแตะกันให้หัวใจสั่นเล่นๆ อยากจะบ้า

"เฮ้ย นอนความหมายไหน"
ผมถามด้วยน้ำเสียงตกใจแล้วใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกคนด้านบนเพื่อบังคับให้เขาถอยห่าง และมันก็ได้ผลเมื่อพี่ทาร์ตยอมผละออกไปก่อนจะเบะปากใส่กัน ท่าทางเอาแต่ใจชะมัด


นอนเฉยๆ คิดอะไรเนี่ย หรือว่าอยากให้พี่ทำอย่างอื่น"
น้ำเสียงขี้เล่นมาพร้อมกับการฉวยโอกาสจุ๊บลงมาไวๆ ที่ริมฝีปากแล้วผละออกไป ผมได้แต่นิ่งค้างอ้าปากหวอเพราะไม่ทันตั้งตัว โดนขโมยจูบหน้าตาเฉยเลย!!

"พี่ทาร์ตแม่ง..."
ผมเบนสายตาไปทางอื่นแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าเพราะไม่มีวิธีไหนจะหลบใบหน้าแดงๆ ของตัวเองได้อีก ไม่ชินกับการโดนรุกแบบนี้ หัวใจจะวายแล้ว ทำยังไงดี อุณหภูมิในห้องนั่งเล่นเพิ่มขึ้นหรือเปล่านะ ร้อนจัง

"หึหึ เตรียมตัวพาไอ้ขนมไปเดินเล่นดีกว่า"
เขาหัวเราะเสียงต่ำอย่างพอใจที่เห็นท่าทางเขินอายของผมก่อนจะผละออกไปแล้วเดินหายไปที่บ้านตัวเอง คงกลับไปอุ้มไอ้ขนมแน่ๆ ผมเลื่อนมือลงแล้วถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งออก เพิ่งผ่านการโดนจุ๊บไปเมื่อครู่ แล้วควรวางตัวยังไงอีกล่ะคราวนี้ โอย จะบ้า

เรามาถึงสวนหลวงในเวลาเกือบหกโมงเพราะต้องฝ่าดงรถติดหลังเด็กๆ เลิกเรียน ไอ้ขนมมีท่าทางตื่นเต้นตั้งแต่ได้ขึ้นรถ เพราะนานๆ ครั้งพี่ทาร์ตจะพามันไปไหนไกลๆ ปกติแล้วเดินเล่นแค่ในหมู่บ้าน

ผมล็อกสายสูงให้เจ้าหมาขาสั้นอย่างแน่นหนาแล้วหันไปยิ้มเป็นสัญญาณว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแล้วดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถพร้อมๆ กัน เชื่อไหมว่าคนมาเดินออกกำลังกายเยอะมาก... จริงๆ แล้วผมมาที่นี่ครั้งแรกในรอบสามสี่ปีเลยมั้ง

"คนเยอะเนอะ"
พี่ทาร์ตชวนคุยในขณะที่เราเดินไปข้างๆ กัน ผมพยักหน้ารับคำของเขาก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นไอ้ขนมมีท่าทางตื่นเต้น วิ่งไปทางซ้ายทีขวาที คงแปลกใจและแปลกที่

"ขนมตลกว่ะ ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น"

"เลี้ยงหมาหรือกระต่ายชักไม่แน่ใจ ตื่นตูมเหลือเกิน"

"นั่นดิ อาจจะเป็นกระต่ายแฝงตัวมา"
เราหัวเราะให้กับคำพูดที่ไร้สาระนั่นแล้วพาเจ้าขนมเดินวนรอบสวนหลวง ดีที่เตรียมตัวมาในชุดออกกำลังกาย ไม่อย่างนั้นคงมีรำคาญเสื้อผ้ากันบ้าง เพราะเหงื่อไหล่จนแผ่นหลังชุ่มไปหมด อ่า... มาเดินออกกำลังกายบ้างก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้รู้สึกตัวเองจะบวมๆ พิกล

"นั่งพักก่อน เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำมาให้"
พี่ทาร์ตชี้ไปที่ม้านั่งตัวยาว ผมมองเขาอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพยักหน้าแล้วทิ้งตัวลงโดยอุ้มไอ้ขนมขึ้นบนตัก ไม่อยากให้มันเดินไปเดินมาอีก แค่นี้ขาสั้นๆ ก็จะเบะออกแล้ว สงสาร

"โอเคครับ"
ผมตอบรับก่อนจะส่งยิ้มให้ พี่ทาร์ตเดินออกไปก็ได้แต่มองแผ่นหลังชื้นเหงื่อนั่นแล้วคลี่ยิ้มบาง น่าซบชะมัดเลยคนอะไร

"พ่อแกนี่หล่อทุกองศาจริงๆ เลยนะขนม"
ทั้งชมทั้งเหน็บแนมและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน ขนาดโทรมเหงื่อซกแบบนั้นสาวๆ ที่มาออกกำลังกายยังเหลียวหลังจนคอแทบเคล็ด จริงๆ แล้วก็หวงเขาเหมือนคู่รักปกติทั่วไป แต่ไม่ค่อยแสดงออกแค่นั้นเอง กลัวจะได้ใจกันไปใหญ่

มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวไอ้ขนมเพราะมันเขี้ยวเมื่อคิดถึงใบหน้าหล่อๆ ที่เป็นเจ้าของ เจ้าขาสั้นดิ้นไปมาก่อนจะนอนผึ่งพุงกลมๆ ให้ผมเล่น ชอบนักนะที่ให้คนนั้นคนนี้ขยำท้องตัวเอง ในขณะที่กำลังเพลินอยู่นั้นก็รู้สึกว่าใครบางคนมาหยุดยืนตรงหน้า คงจะเป็นพี่ทาร์ตนั่นล่ะ แต่ทำไมไปไวมาไวจัง...




ต่อด้านล่างเนอะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2017 16:53:25 โดย Ch0cmint »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"พี่ทะ... เอ่อ"
ผมเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่าคนตรงหน้าเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เขาส่งยิ้มมาให้แล้วมองเจ้าขาสั้นบนตัก สงสัยจะชอบหมาพันธุ์นี้เลยอยากถามข้อมูลหรือเปล่านะ

"สวัสดีครับ"
เขาเอ่ยทักทายพร้อมด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะดูดีแต่พี่ทาร์ตหล่อกว่า นี่ไม่ได้หลงแฟนนะเออ

"สวัสดีครับ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบเพราะปกติไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าหยิ่งแต่ทำตัวไม่ถูก

"ขอนั่งด้วยได้ไหม"
เขาเอ่ยขออนุญาตแล้วชี้มาที่ว่างๆ ข้างๆ ตัว ผมมองแล้วพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เพราะไม่มีเหตุผลจะงกที่ว่างไว้

"อ้อ เชิญเลยครับ"

"หมาน่ารักนะครับ"
เขาบอกแบบนั้นแต่สายตาไม่ได้มองไอ้ขนมเลยสักนิด เพราะโฟกัสมันอยู่ที่ใบหน้าของผมซะอย่างนั้น รู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ จนเผลอชะงักมือที่เกาพุงหมาอยู่ เชี่ยอะไรเนี่ย

"อ่า... ครับ มันน่ารัก"

"ชื่ออะไรครับ"
เขาถามต่อ สายตายังไม่ได้ละไปจากใบหน้าของผม ความรู้สึกตอนนี้มันร้องบอกว่าน่าจะโดนจีบ ไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่ดูจากภาพรวมแล้ว ใช่แน่ๆ แม่ง...

"มันชื่อขนมครับ"
ผมบอกชื่อหมาบนตักไป แต่คนข้างๆ กลับขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นโบกเป็นพัลวันว่าไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ ฉิบหายแล้วไหมล่ะ

"ไม่ๆ ผมหมายถึงชื่อคุณ"

"อ่า..."

"ชื่ออะไรครับ"
เขาจ้องหน้ารอคำตอบจากผมด้วยแววตามุ่งมั่น คือมึงกดดันกูเหรอ ไม่บอกได้ไหมล่ะ เกิดอยากจะเป็นคนหยิ่งหรือหูหนวกชั่วขณะสุดๆ แล้วนี่พี่ทาร์ตไปซื้อน้ำถึงพังงาหรือไง นานแล้วนะเว้ย

"ปูน... ครับ"
พอใจยัง ตอบไปแล้ว เออ... ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกหูขนาดนั้นคงได้คำตอบแล้วล่ะผม

"อ๋อ เปียกปูนหรือเปล่าครับ"
ยังจะถามต่ออีก ตาที่ใช้มองเป็นประกายจนน่าขนลุก บ้าไปแล้ว ท่าทางผมเหมือนคนเป็นเกย์หรือไงวะ ผู้ชายถึงได้มาจีบกันนักวะ จะว่าหล่อหรือน่ารักก็ห่างไกล คิดว่างั้นนะ

"ใช่ครับ"
ผมตอบแล้วเริ่มมองหาพี่ทาร์ตไปทั่วบริเวณ แม่ง หายหัวไปซื้อน้ำหรือแอบขับรถกลับบ้านแล้วกันแน่

"น่ากินดีนะครับ"
ผมชะงักค้างเมื่อประโยคนั้นหลุดออกจากปากคนข้างๆ คือแม่ง ถ้าจะตรงขนาดนี้ขอเบอร์ขอไลน์ไปคุยเลยไหม รู้สึกเหมือนถูกคุกคามแบบเงียบๆ เนียนๆ น่ากลัวว่ะ ไม่ไหวแล้ว

กูว่าสถานการณ์ชักอันตรายแล้วว่ะ เชี่ยเอ้ย เมื่อไหร่พี่ทาร์ตจะกลับมาสักที ผมแทบจะลุกหนีเมื่อเห็นริมฝีปากคนข้างๆ กำลังขยับ แต่โชคดีที่คนในความคิดเดินมาทางนี้พอดี โอ้ย แฟนพี่มึงจะตายแล้ว รีบๆ เลย!

"ปูน!"
เสียงเรียกที่ดังมาก่อนตัวทำให้ผมดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว คนข้างๆ กันสะดุ้งนิดหน่อยแล้วมองไปทิศทางที่พี่ทาร์ตกำลังเดินมา ถ้าสังเกตจะเห็นว่าเขากำลังขมวดคิ้วด้วย หึ แฟนผมหล่อกว่าคุณนะเออ ท่าทางจะสูงกว่าด้วย นี่ไม่ได้อวด

"พี่ทาร์ต ไปนานจังวะ"
ผมอุ้มไอ้ขนมแล้วเดินเข้าไปแทบจะกระแซะไหล่ ทำได้คงเอาตัวสิงอีกคน ดูท่าทางคนข้างๆ มีอาการคันปากอยากถามแน่ๆ นี่ใคร

"นานเหรอ ไม่เกินสิบนาทีเอง คิดถึงเหรอไง"
พี่ทาร์ตพูดหยอกแล้วอุ้มไอ้ขนมไปครอบครองแทนแล้วยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้กัน ผมรับไว้แล้วยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับไป

"กลับบ้านเหอะ หิวแล้ว"
ผมบอกพี่ทาร์ตแล้วเกาะแขนเขาด้วยมือข้างหนึ่ง กำลังจะออกแรงดันให้เดินไปข้างหน้าแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อคนที่นั่งอยู่เอ่ยทักขึ้นมา ไอ้นี่ขี้สงสัยเกินไปแล้ว... ชะตาจะขาดยังไม่รู้ตัวอีก

"พี่ชายเหรอครับ"
เขาถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม แต่พี่ทาร์ตกลับหน้าตึงเมื่อมองไปที่อีกฝ่ายเหมือนจะจับสังเกตได้ เหลือบสายตามาทางผมเล็กน้อยแล้วถอนหายใจสั้นๆ งานเข้าครับ ซวยแน่ๆ

"ไม่ใช่ครับ นี่แฟนผม ขอตัวนะ"
ผมบอกรัวๆ แล้วรีบดึงแขนพี่ทาร์ตออกมาจากบริเวณนั้น เพราะถ้ายังอยู่ต่ออาจจะเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นได้ ก็ใบหน้าหล่อๆ ถะมึงทึงอย่างกับอะไรดี...

"ปูน หยุดเดิน"
เดินมาได้สักระยะที่ทาร์ตก็พูดขึ้นและรั้งตัวเองเอาไว้ไม่ยอมเดินตามมา ผมถึงกับเผลอกลั้นหายใจแล้วหยุดตามที่เขาบอก บรรยากาศรอบตัวให้ความรู้สึกอึนๆ ทะมึนๆ คล้ายๆ สงครามเย็น

"เมื่อกี้ 'มัน' มาจีบเหรอ"
ถามด้วยน้ำเสี่ยงชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาคมฉายแววไม่พอใจ ผมทำได้แค่ยิ้มแหยแล้วพยักหน้ารับเพราะไม่สามารถเลี่ยงได้ เห็นๆ อยู่ว่าคนนั้นออกอาการจะจีบกัน คิดแล้วยังแอบขนลุกตอนบอกว่าน่ากินอยู่เลย ฮึ่ย

"อือ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากหรอก"
ผมตอบไปตามความจริง เพราะคุยกันแค่เรื่องหมากับเรื่องชื่อ ไม่ได้เข้าเรื่องจริงจังอะไร ถ้ามากกว่านั้นอาจจะมีเรื่องก็ได้ เพราะพี่ทาร์ตไม่ได้ใจเย็น

"รู้จักมันมาก่อนหรือเปล่า"
ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ จนรู้สึกว่าถ้าเขาเกิดใจร้อนเดินกลับไป คนๆ นั้นคงโดนต่อยแน่ๆ ผมเลยกอดแขนเขาแล้วถูจมูกเบาๆ คล้ายจะอ้อน เวลานี้ไม่อายใครแล้ว ขอเอาใจแฟนก่อน

"ไม่รู้จักครับ"

"อืม จะไม่พามาที่นี่แล้ว"
เหลือบสายตามองกันแล้วถอนหายใจเฮือก ผมพยักหน้ารัวๆ รับคำทันที ไม่มาก็ไม่มา ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเรื่องสวนสาธารณะอยู่แล้ว จากบ้านถึงที่นี่ก็ไกลพอตัวเลย

"อ่า... โอเคๆ ตอนนี้กลับบ้านไปกินข้าวกันดีกว่าเนอะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ แล้วกระตุกแขนให้เขาออกเดิน ไอ้ขนมหลับคอพับคออ่อนไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้รับรู้เลยส่าพ่อตัวเองอารมณ์บูดแค่ไหน

"กลับไปอาบน้ำ เดี๋ยวไปดินเนอร์ที่ร้านกัน"

"ครับผม แล้วแต่พี่ทาร์ตเลย"
ตอนนี้อะไรก็ตามใจหมดแล้วครับ ไม่อยากให้เขางอนมันง้อยาก...




-----------------------------------------------

ความสัมพันธ์คืบคลานไปเรื่อยๆ มีหึงกันบ้างกรุบกริบ 55555
ตอนหน้าแทจุนจะโผล่มาแล้ว ~~~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2017 16:54:19 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
ปูนเริ่มเสน่ห์แรงพี่ทาร์ตก็หวงไปซิทีนี้

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
พอเป็นพ่อแม่ลูกแล้วปูนมีความฮอตเบอร์แรงนะคะ

ทาร์ตมีความกวน ความป่วน แล้วความอ้อยมาเต็ม เจ้าเล่ห์แถมให้ด้วย แต่ก็ยังเท่ห์และดูดี
ปูนสายอ่อยที่แท้จริง ชอบตรงที่ยอมรับใจตัวเอง มีความแจ่ม และชัดเจน เกรียนหน่อย
ยั่วเค้าก่อน พอเค้าเล่นกลับ ทำหลอนซะงั้น

อินชิฟฟ่อนน่ารักค่ะ ไม่เสียแรงที่กลับมาหาเนาะอินเนาะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 20

Apple Tart
แป้งสาลี/ผงฟู/เนยจืด/ไข่ไก่/น้ำตาลไอซิ่ง/เกลือ/แอปเปิ้ล/อบเชย :




"พี่ทาร์ตตื่นเว้ย!"
ผมกำลังพยายามปลุกคนที่เข้านอนตั้งแต่ตอนสองทุ่มเนื่องจากว่าเขาเพิ่งกลับจากร้านขนม วันนี้มีออเดอร์พิเศษเลยต้องเข้าไปช่วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ สภาพตอนกลับมาถึงบ้านอย่างกับซอมบี้ ดูท่าทางเหนื่อยอ่อน ตาปรือจนแทบหลับกลางอากาศ เห็นแบบนั้นก็เลยไล่ให้ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อน เพราะตอนสี่ทุ่มครึ่งต้องออกไปรับแทจุน... แล้วดูเวลานี้สิ เลยมาเกือบจะห้าทุ่มแล้วพี่ทาร์ตยังไม่ยอมตื่นเลย จะถีบตกเตียงแล้วนะเว้ย

"ถ้าไม่ตื่นผมจะไปรับแทจุนคนเดียวแล้วนะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ไม่ได้หวังว่าคนที่นอนหลับอยู่จะได้ยินอะไร ก็พอรู้ว่าเขาทำงานหนักและเหนื่อย แต่ทางไปสนามบินมันเปลี่ยวแถมเขาลือว่าผีเฮี้ยนอีก ใครจะกล้าไปคนเดียววะ แม่ง

"เฮ้ย ไม่ได้ ตื่นแล้วๆ"
พี่ทาร์ตคว้าข้อมือของผมไว้แทบจะทันทีแล้วดีดตัวขึ้นจากเตียง ดีแค่ไหนแล้วที่ผมตกใจแค่สะดุ้ง ไม่ได้โอเว่อร์ถึงขนาดกำหมัดต่อย ดึกดื่นค่อนคืนเล่นแบบนี้ได้ไงวะ หัวใจจะวาย

"ไวๆ เลยครับ เครื่องจะแลนด์ดิ้งแล้ว"
ผมย่นจมูกใส่คนที่นั่งเสยผมตัวเองด้วยใบหน้ามึนๆ แถมยังไม่ยอมปล่อยข้อมือกันอีก ต้องจูนสมองให้หรือเปล่าล่ะเนี่ย

"โอเคๆ หาว จะให้พี่ขับหรือแฟนจะขับเองครับ"
พี่ทาร์ตยอมปล่อยมือกันแล้วขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง มือหนาควานหากุญแจรถที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ผมมองสภาพของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วได้แต่หัวเราะ ชุดนอนขายาวแขนยาวลายสติ๊ซนี่มันอะไรกันวะ ของไอ้ฟ่อนหรือเปล่าเนี่ย โอ้ยทำไมตลกแบบนี้ แล้วดูสรรพนามที่พัฒนาขึ้นมาเถอะ เรียกผมว่าแฟน ตั้งใจจะให้เขินทุกวี่ทุกวันเลยสินะ เออ ยอมซูฮกเลย ทำสำเร็จ

"ผมขับเองก็ได้ พี่ไปนอนในรถเถอะ"
เห็นสภาพของเขาแล้วก็ไม่กล้าใช้งานอะไร กลัวจะพากันลงไปนอนเชยชมต้นหญ้าข้างทางซะก่อนจะถึงสนามบิน พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแล้วหาวหวอดออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินนำลงไปชั้นล่างของบ้านตัวเอง อย่าเข้าใจผิดว่าเขาไปนอนบ้านผมนะ วันนี้แม่กับป๋าอยู่ ไม่ดีๆ ไอ้เรื่องลายชุดนอนนี่คาใจจริงๆ ขอถามหน่อยเหอะ

"พี่ทาร์ต... เอาชุดนอนใครมาใส่อะ โคตรมุ้งมิ้งเลยเนี่ย"
ผมมองเขาอีกครั้งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ ได้ยินเสียงร้องเฮ้ยเบาๆ จากพี่ทาร์ตด้วย นี่อย่าบอกนะว่ายังไม่รู้ตัวว่าใส่ชุดนอนลายอะไร ตลกแดกเกินไปแล้วครับคนหล่อ

"แม่งเอ้ย เบลอๆ หยิบชุดนี่ออกมาใส่จนได้"
พี่ทาร์ตบ่นพึมพำเมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย สีหน้าดูหงุดหงิดชอบกล นี่ตกลงว่าหลับตาหยิบชุดมาใส่อย่างนั้นเหรอ ให้ตายๆ เอ๋อเกินไปแล้วแฟนผมเนี่ย

"ชุดไอ้ฟ่อนเหรอ"
ผมถามก่อนจะออกรถไปอย่างไม่รีบร้อน ถึงจะเป็นช่วงเวลากลางคืนก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ส่วนเรื่องแทจุนจะแลนด์ดิ้งแล้วคงไม่มีปัญหา เพราะสนามบินคนเยอะ น่าจะไม่เหงาเท่าไหร่

"หึ ชุดพี่นี่ล่ะครับ แต่ไอ้ฟ่อนซื้อมาฝากจากญี่ปุ่น โอ้ย เหี้ยเอ้ย อุตส่าห์จุกๆ ไว้ในตู้ ใครแม่งรื้อออกมาข้างนอกวะ"
ท้ายประโยคพี่ทาร์ตบ่นกับตัวเองยกใหญ่ มือหนาๆ ดึงทึ้งเสื้อแรงๆ ถ้ามันขาดนี้ซวยเลยนะ ผมยังไม่อยากเจอซิกแพคกระแทกตาตอนนี้ ดูท่าทางจะเกลียดชุดลายการ์ตูนแบบนี้เอามากๆ ก็มันแบ๊วซะจนทำให้คนใส่ดูน่ารักไปเลย ถ้าเดาไม่ผิดไอ้ฟ่อนนั่นล่ะที่เป็นคนรื้อออกมา มันก็ขี้แกล้งไม่ต่างจากพี่ชายหรอก เกรียนพอๆ กัน

"เฮ้ย เดี๋ยวชุดก็ขาดหรอก พี่ใส่มันก็น่ารักดีนะครับ"
ผมร้องห้ามเพราะกลัวชุดมันจะขาดขึ้นมาจริงๆ ดูจากประเทศที่ซื้อมาแล้วคงแพงใช่เล่น เสียดายของ พี่ทาร์ตชะงักมือไปหลังฟังประโยคเมื่อครู่จบ ดวงตาคมมองกันอย่างเขินๆ เดี๋ยวๆ แค่ชมว่าน่ารัก อย่าเสียการทรงตัวสิเว้ย

"เหรอ พี่คิดว่าน่าเกลียดมาตลอด มันไม่เข้ากับหน้าตา"
พี่ทาร์ตก้มลงมองชุดที่ตัวเองใส่อีกครั้งก่อนจะละสายตามามองกัน ผมรู้สึกได้ว่าถูกจ้องอยู่ ถ้าไม่ติดว่ากำลังขับรถจะหันไปเผชิญหน้าด้วย มืดแบบนี้กล้าครับ ถ้าสว่างอะโคตรป๊อด

"น่ารักครับ ผมพูดจริงๆ ชอบนะ..."
ผมบอกเสียงแผ่วที่ปลายประโยค ความหมายคือชมว่าเขาน่ารักแบบเต็มๆ แต่โคตรอาย พี่ทาร์ตเหลือบดวงตาคมที่ปรือปรอยมามองกันแล้วกระตุกยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก แม่ง... คิดอะไรอยู่ว่ะ ขนาดในรถมืดนะเนี่ย โอย

"บอกชอบพี่เหรอ"
น้ำเสียงติดทะเล้นกึ่งง่วงดังขึ้น ทำให้ผมสะดุดลมหายใจตัวเองแล้วยืดหลังตรงแทบจะทันที เหมือนกับเขาอ่านใจออกเลยว่ะ แบบนี้แย่แน่ๆ ต้องรีบปฏิเสธก่อนจะได้ใจไปกันใหญ่

"เฮ้ย มั่ว บอกว่าชอบชุดต่างหาก"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งตะโกน ดวงตากรอกหลุกหลิกไปมา กลัวว่าจะโดนจับได้ชะมัด

"อ๋อเหรอ จะเชื่อก็ได้ เออ พี่ของีบหน่อยนะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ปูนเปิดเพลงได้เลยไม่ต้องเกรงใจ"
ดีหน่อยที่พี่ทาร์ตมีอาการง่วงสะสมมากกว่าจะมาเถียงเอาเรื่องอะไร ผมรีบพยักหน้ารับทันที เพราะแค่มีเขานั่งเป็นเพื่อนกันตลอดทางก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุยก็ได้

"โอเคครับ เดี๋ยวถึงสนามบินผมปลุกเนอะ"

"อืม"

ไม่นานเท่าไหร่ผมก็เลี้ยวรถจู๊คสีแดงสดเข้าเขตสนามบินนานาชาติ เสียงแจ้งเตือนแอพพลิเคชั่นไลน์ทำให้ต้องละสายตาจากถนนตรงหน้าครู่หนึ่งเพื่อมองหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะพบว่าแทจุนส่งข้อความมาตามกันเป็นรอบที่สอง ดีหน่อยที่เพื่อนคนนี้ไม่มีนิสัยจิกเหมือนนกไม่อย่างนั้นคงแย่แน่ๆ

"พี่ทาร์ตครับ ถึงสนามบินแล้วนะ"
ผมบอกก่อนใช้มือข้างซ้ายเขย่าแขนเขาเล็กน้อย ดวงตาคมค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก พี่ทาร์ตพยักหน้ารับคำแล้วหาวหวอดออกมาสองครั้งติด ดูไปดูมาก็สงสารว่ะ ไม่น่าลากมาด้วยกันเลย

"แทจุนมารอยัง"
พี่ทาร์ตถามก่อนจะขยับนั่งตัวตรงแล้วมองออกไปที่ฝูงคนรอรถอยู่หน้าประตูทางออก ผมพยักหน้าแทนคำตอบแล้วชี้ไม้ชี้มือไปในทิศทางที่เพื่อนของตัวเองยืนอยู่

"ตรงนั้นๆ คนที่ใส่เสื้อยืดสีแดง"

"อ๋อ... แม่ง เด่นสุดๆ"

"เดี๋ยวผมลงไปช่วยมันขนของขึ้นรถ พี่รอในรถก่อนนะครับ"
ผมบอกก่อนจะเปิดประตูรถออกแต่พี่ทาร์ตกลับใช้มือรั้งต้นแขนกันเอาไว้

"เดี๋ยวลงไปช่วย"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงงัวเงียไม่หาย สภาพแบบนี้ใครจะกล้าขอช่วยล่ะ กลัวเดินๆ แล้วหลับกลางอากาศ

"ไม่เป็นไรๆ รอก่อนนะครับ"
ผมหันไปบอกและคลี่ยิ้มหวานๆ ให้เขาไป พี่ทาร์ตขมวดคิ้วมองกันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ

"ก็ได้"

ผมลงจากรถแล้วตรงเข้าไปหาแทจุนที่เอาแต่ก้มมองโทรศัพท์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นสีแดงในมือ ถ้าจะรอข้อความไลน์ตอบกลับก็อย่างหวังเลย...

"แทจุน"
ผมเรียกและเข้าไปสะกิดไหล่อีกคนเบาๆ แทจุนเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วโผเข้ากอดกันแทบจะทันที ไม่รู้มันพล่ามอะไรเป็นภาษาเกาหลีมากมายที่ข้างหู ฟังไม่รู้เรื่องแถมน้ำเสียงเครือๆ คล้ายกำลังร้องไห้... เวร นี่ปล่อยให้รอนานเกินไปใช่ไหม

"ปูน! นึกว่านายจะไม่มารับเราแล้วซะอีก ไลน์ไปก็ไม่ตอบ"
แทจุนพ่นภาษาเกาหลีออกมาเป็นชุดโดยที่ไม่ยอมคลายอ้อมกอดจากตัวผมเลยด้วยซ้ำ การกระทำแบบนี้ทำให้หลุดยิ้มออกมาได้ไม่ยาก คนอะไรขี้กลัวเหลือเกิน แต่ไม่แปลกหรอก ก็เล่นข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยวคนเดียว

"คิดอะไรแบบนั้น ปล่อยเราก่อนเถอะ หายใจไม่ออกแล้ว"
ผมตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับไปเพราะมันใช้ได้ง่ายกว่าเยอะ แล้วอีกอย่างเดี๋ยวพอขึ้นรถไปก็พูดเกาหลีไม่ได้อยู่ดี พี่ทาร์ตคงมองแรงใส่

"โอเคๆ ไปกันเถอะ เราง่วงมากเลย"
แทจุนปรับตัวด้วยการตอบเป็นภาษาอังกฤษกลับมาแล้วยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ อยู่ๆ ความสงสัยบางอย่างก็ผุดขึ้น ตลอดเวลาบนเครื่องบินมันไม่หลับเลยหรือยังไงกัน

"ไม่ได้นอนบนเครื่องหรือไง"
ผมถามในขณะที่ช่วยลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปที่รถ แทจุนส่ายหัวรัวๆ แล้วคลี่ยิ้มกว้างออกมา

"ตื่นเต้น!"
คำเดียวตอบได้ทุกอย่างจนผมไม่ได้ถามอะไรต่อ พอมาถึงรถก็จัดการเก็บกระเป๋าเรียบร้อย แทจุนเปิดประตูขึ้นด้านหน้าแต่เจอกับพี่ทาร์ตที่นั่งอยู่เลยผงะถอยหลังไป ดีที่เขาหลับ ไม่อย่างนั้นคงต่างคนต่างตกใจน่าดู

"ใครอะ"
แทจุนถามเสียงเบาแล้วมองหน้าผมสลับกับพี่ทาร์ต อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าแก้มตัวเองร้อนๆ ขึ้นมาซะเฉยๆ โอย เขินว่ะ ต้องตอบจริงๆ เหรอ

"ถามไม่ตอบอะ"
แทจุนจ้องผมเขม็งแล้วทำท่าจะปลุกพี่ทาร์ตให้ตื่นขึ้นมาตอบ แต่ผมยกมือห้ามไว้ได้ทันการ จะบ้าตายเว้ย เอาไปส่งให้ไอ้กู๊ดเลยได้ไหม ไม่อยากวุ่นวายไปกว่านี้แล้วเนี่ย

"แฟน ไปขึ้นด้านหลังได้แล้ว"
ผมตอบก่อนจะโบกมือไล่แทจุนให้ไปขึ้นรถสักที ป่านนี้ด้านหลังคงสาปแช่งแล้วที่จอดนานเกินไป แต่อย่าคิดว่าจะรอดพ้นการโดนแซว ไม่มีทางซะหรอก เฮ้อ

"หล่อกว่ากู๊ดอีก... สุดยอดเลย"
แทจุนพูดจบก็หัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลัง ผมกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ไม่ชอบโดนแซวอะไรแบบนี้ในระยะประชิดเลย เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าพี่ทาร์ตจะตื่นขึ้นมาตอนไหน เสี่ยงเหลือเกินเว้ย ถ้าพูดอะไรผิดไปคงโดนงอนเป็นวันๆ

"เงียบน่า เดี๋ยวพี่เขาก็ตื่นหรอก"
ผมพูดเสียงเบาแล้วเหลือบสายตามองพี่ทาร์ตเล็กน้อย ดีหน่อยที่เขายังหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แต่แทจุนไม่ได้สำนึกหรอกเพราะเขายื่นหน้ามาโผล่ระหว่างเบาะ

"คบกันมานานยัง"
ถามอีกแล้ว เสือกจริงๆ วุ้ย คนเกาหลีเป็นแบบนี้ทุกคนปะวะเฮ้ย

"ถามเยอะ"
ผมว่ากลับไปสั้นๆ ก่อนจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่ข้างหู แทจุนมันถอนหายใจแรงมาก... ขนจมูกปลิวออกมาบ้างปะเนี่ย

"ก็อยากรู้ ~"
เสียงหวานๆ ลากยาวก่อนที่หัวทุยๆ จะเคาะลงมาบนลาดไหล่ ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางเด็กน้อยของเพื่อนแล้วตอบๆ ไป เพราะถ้าเล่นตัวนานๆ อาจจะทำให้พี่ทาร์ตตื่น

"ประมาณสี่เดือน"

"อ๋อ ~ อยากคบกับกู๊ดแบบนี้บ้างจัง"
เสียงเพ้อๆ จนผมพอจะนึกใบหน้าของแทจุนออก มันคงยิ้มกว้าง ทำตาหวานๆ อยู่แน่ๆ

"จีบมันให้ติดก่อนเถอะ"
ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะโดนแทจุนใช้มือหยิกแขนแบบไม่แรงมานัก ได้ยินเสียงขยับตัวฮึดฮัดไปมา เด็กโดนขัดใจก็งี้ล่ะ น่ารักดี

"ไม่ให้กำลังใจกันเลย"

กว่าจะถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน ผมแนะนำพี่ทาร์ตกับแทจุนให้รู้จักกันหลังจากขนของลงจากรถเรียบร้อยแล้ว ดูท่าทางจะเข้ากันได้ดีล่ะมั้ง หรือเพราะง่วงเลยไม่แสดงท่าทีอะไรมาก

"เดี๋ยวแทจุนไปนอนที่ห้องแขกนะ"
ผมบอกก่อนจะช่วยแทจุนยกกระเป๋าขึ้นไปชั้นบนของบ้าน พี่ทาร์ตขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพราะอั้นฉี่มานาน แถมตอนที่รู้ว่าเด็กเกาหลีต้องนอนบ้านผมเขาก็จะย้ายมานอนด้วย... นี่เรียกว่าขี้หวงได้ปะวะ

"หึ ทำไมต้องนอนห้องแขกด้วยอะ นอนกับปูนไม่ได้เหรอ"
แทจุนมุ่ยหน้าลงเมื่อผมพาเขาไปที่ห้องรับรองแขกที่ให้แม่บ้านเตรียมไว้ ความจริงก็อยากให้ไปนอนด้วยกัน แต่ไม่ได้หรอก ไหนจะพี่ทาร์ตอีกล่ะ

"พี่ทาร์ตนอนกับเรา แทจุนจะไปเบียดด้วยหรือไง"
ผมบอกก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วลากกระเป๋าเดินทางของแทจุนเข้าไป คนที่เดินตามหลังมาส่งเสียงผิวปากแซวกันทันทีทันใด อยากจะเอาอะไรสักอย่างฟาดปากมันจริงๆ เลยเถอะ น่ารำคาญวุ้ย

"อู้ ~ นอนเฉยๆ เหรอ"
เสียงทะเล้นเอ้ยแซวกันก่อนที่ร่างเล็กๆ จะเข้ามาเกาะแขนกันแล้วยื่นหน้ากวนๆ มามอง ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยยกมือขึ้นดีดหน้าผากเขา จะแซวอะไรก็ดูสถานการณ์ ดูอารมณ์คนโดนบ้าง แก้มจะระเบิดตายแล้วเว้ย แถมลุ้นอีกว่าพี่ทาร์ตจะโผล่ขึ้นมาชั้นบนตอนไหน

"นอนเฉยๆ สิ จะให้ทำอะไรล่ะ"
ผมตอบแล้วผละตัวออกจากแทจุนก่อนจะบอกให้เขาอาบน้ำและพักผ่อน ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็ไปเคาะประตูเรียก แต่ก่อนจะออกมาจากห้องก็ไม่วายโดนเพื่อนตัวเล็กแซวเข้าให้

"อย่าเสียงดังมากนะ เดี๋ยวเรานอนไม่หลับ คิกๆ"

อยากจะเอาไม้หน้าสามฟาดปากมันจริงๆ เลยเว้ย ทำให้ผมหน้าร้อนได้อีกแล้วนะไอ้เกาหลี!

ผมเดินกลับเข้าห้องนอนแล้วต้องผงะเมื่อเห็นพี่ทาร์ตนั่งโงนเงนอยู่ปลายเตียง เหมือนเขากำลังรออยู่ ทำไมไม่นอนล่ะวะ เห็นสภาพแล้วความรู้สึกผิดมันจุกอกฉิบหายเลยเนี่ย

"พี่ทาร์ตครับ รอผมเหรอ"
ผมเดินเข้าไปแตะไหล่คนที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ดวงตาคมปรือขึ้นมองก่อนจะเอนมาซบลงที่หน้าท้อง เล่นเอาสยิวขนลุกขนพองเลยว่ะ ตรงนี้ไม่ใช่หมอนนะเว้ย อย่า... อย่าไถลลงไปต่ำกว่านี้สิเฮ้ย!

"อือ... นอนกัน"
ครางรับแล้วอยู่ๆ ก็เอนหลังลงบนเตียงโดนที่พาผมไปด้วย การที่ไม่ได้ตั้งตัวทำให้ต้องกลับตาแน่นเพราะตกใจ ใบหน้าซบอยู่กับซอกคอหอมกรุ่นของเขา อ่า... แม่ง ฟินอะ ทำไงดี ลืมไปเลยว่านอนทับกันอยู่

"พี่... ทาร์ต ปล่อยผมเถอะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยเพราะหัวใจเริ่มทำงานหนักเมื่อสัมผัสได้ว่าลมหายใจอุ่นๆ ของพี่ทาร์ตจรดต้นคอของตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจนได้ยินเสียงกรนเบาๆ ถึงได้รู้ว่าอีกคนหลับสนิทไปแล้ว

ลองขยับตัวเพื่อที่จะลงไปนอนบนเตียงให้สบายแต่กลับพบว่าไม่สามารถทำได้เนื่องจากพี่ทาร์ตกระชับอ้อมกอดไว้แน่นราวกับว่ากลัวผมจะหายไป และด้วยความง่วงที่เข้ามาเยือนอยู่ก่อนหน้าทำให้สติจางหายก่อนจะทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลังแล้วจมลงสู่นิทรา นอนบนตัวคนก็อุ่นดีนะ ว่าไหม

เสียงเคาะประตูดังรัวๆ ทำให้ผมนิ่วหน้าเพราะมันรบกวนการนอน ดวงตารีปรือขึ้นเล็กน้อยด้วยความหงุดหงิดก่อนจะพบว่าตัวเองลงมานอนบนเตียงเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่วายไปหนุนแขนพี่ทาร์ตอีก ถ้าปวดเมื่อยตัวขึ้นมาอย่ามาโทษกันนะเว้ย ก็พี่ไม่ยอมปล่อยกันเอง

"ปูน! เปิดประตูหน่อย"
เสียงเรียกด้วยภาษาเกาหลีทำให้ผมสะดุ้งเพราะเพิ่งคิดได้ว่าเมื่อคืนเพิ่งไปรับแทจุนมาจากสนามบิน พอได้สติก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินโซซัดโซเซไปเปิดประตู แม่ง... เป็นบ้าอะไรมาเคาะเรียกตั้งแต่ฟ้าใกล้สางเนี่ย โอย เพลีย

"มีอะไร"
ผมถามออกไปด้วยภาษาอังกฤษแทนเพราะสมองไม่สามารถประมวลผลได้มากกว่านั้น เกือบหลุดภาษาบ้านเกิดด้วยซ้ำ ดีนะยั้งปากไว้ได้ทัน

"อยากไปหากู๊ดแล้ว!"
แทจุนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ใบหน้าหวานๆ ที่ตอนนี้มีแววสนุกสนานทำให้ผมขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิม รู้สึกว่าหน้าผากจะย่นกลายเป็นตาแก่อยู่แล้ว นี่มันเพิ่งกี่โมงครับคุณ เพิ่งจะหกโมงเช้า มึงจะอะเลิทไปไหนครับเพื่อน ยิ่งวันนี้ไม่มีเรียนอย่าหวังว่าไอ้กู๊ดมันจะต้อนรับเลย อย่างน้อยก็เที่ยงนู่นล่ะกว่าจะตื่น

"ใจเย็นๆ มันยังเช้าอยู่เลย กู๊ดยังไม่ตื่น"
ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงงัวเงีย หัวเอนพิงขอบประตูที่แงมไว้แค่ให้หน้าโผล่ออกไปคุยกับอีกคนได้ ไม่มีทางซะหรอกที่จะเปิดกว้างจนเห็นสภาพพี่ทาร์ตที่นอนอยู่ด้านใน แม่ง... เสื้อถลกจนเห็นซิกแพคขาวๆ อืม ผมไม่ได้คิดอะไร เชื่อเถอะ หลังๆ มานี่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะแพ้หุ่นเขาอยู่ด้วย คบกันเป็นแฟนแล้วนิสัยเปลี่ยนหรือไงวะ

"เรานอนไม่หลับอะ ขอเข้าไปนั่งเล่นในห้องหน่อยสิ"
แทจุนพูดจบก็ทำท่าจะผลักประตูเข้ามาและนั่นก็ทำให้ผมรีบขวางเขาไว้ทันที จะบ้าหรือยังไงที่จะเข้ามานั่งเล่นในห้อง ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่ทาร์ตนอนอยู่

"เฮ้ยๆ พี่ทาร์ตนอนอยู่ กลับห้องไปเลย"

"หา เอ๊ะ โอ้ ลืมไปเลย ขอโทษๆ ไม่กวนแล่วดีกว่า คงอยากสวีทกันสินะ ~"
แทจุนทำเสียงประหลาดๆ ก่อนจะยิ้มกริ่มแล้วเอ่ยแซวกัน ผมกำลังจะคว้าคอเสื้อของมันเพื่อตบหัว แต่ช้าไป เขาวิ่งเข้าห้องนอนไปแล้ว โอย แม่งเอ้ย สวีทบ้าอะไรล่ะ นอนหลับเป็นตายขนาดนั้น

"สวีทพ่อง..."

แล้วทำไมกูต้องหน้าร้อนด้วยเนี่ย โอ้ย

ช่วงสายของวันทุกคนก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาบนโต๊ะอาหาร มีผม แทจุนแล้วก็พี่ทาร์ต ส่วนป๋ากับแม่ไปต่างประเทศอีกแล้ว... ขยันเที่ยวขยันทำงานกันจริงๆ เลย เอาเงินเก็บไว้ที่ไหนกันนักหนาเนี่ย

"ลองชิมสิ"
ผมเลื่อนจานเมนูอาหารเช้าที่เพิ่งออกไปสอยจากตลาดใกล้บ้านมา ได้โรตีใส่ไข่ใส่กล้วยราดนม ขนมปังปิ้งทาเนยน้ำตาล ชาเย็น กาแฟเย็น ขนมจีน ทอดมันปลา หมี่หุ้นป้าฉ่าง(หมี่ขาวผัดซีอิ๊วกับน้ำซุปกระดูกหมู) แทจุนมองอย่างชั่งใจก่อนจะใช้ส้อมจิ้มของหวานเป็นอันดับแรก

"อร่อยปะ"
ผมถามด้วยภาษาอังกฤษแล้วมองดูคนที่กำลังเคี้ยวโรตีด้วยใจจดจ่อ แทจุนจะชอบหรือเปล่าว่ะ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์เลยสักนิด

"อื้อ อร่อยๆ แล้วอันนี้อะไรอะ"
ในที่สุดแทจุนก็ยิ้มออกมาแล้วชี้นิ้วมาที่จานทอดมันปลา ผมว่าคราวนี้มันต้องบ่นว่าเผ็ดแน่ๆ เพราะรสชาติพริกเกาหลีกับพริกไทยไม่เหมือนกัน

"เขาเรียกว่า 'ทอด-มัน-ปลา' ทำจากเนื้อปลาผสมเครื่องแกง"
ผมเน้นย้ำทีละคำแล้วอธิบายว่าอาหารตรงหน้าทำมาจากอะไร แทจุนมองมันนิ่งๆ อยู่สักครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจจิ้มทอดมันปลาใส่ปากแบบเต็มคำ คือ... อย่ามาร้องโอดโอยว่าเผ็ดทีหลังนะเว้ย

"จะไหวปะนั่น"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นแล้วมองหน้าแทจุนที่เริ่มไม่สู้ดีนัก ผมรีบยื่นแก้วน้ำให้กับเขาทันที ดูท่าทางจะเผ็ดแล้วล่ะ

"แฮ่ก สไปซี่!"
โวยเสียงดังก่อนจะซัดน้ำเข้าไปรวดเดียวจนหมดแก้ว แถมไม่พอยังเดินไปเปิดตูเย็นเพื่อเติมเองอีก ผมได้แต่นั่งหัวเราะเบาๆ กับท่าทางน่ารักๆ นั่น ถ้าไอ้กู๊ดได้มาเห็นจะว่าอะไรบ้างไหมนะ

"พี่ทาร์ตจะกินขนมจีนหรือหมี่หุ้น ผมให้เลือกก่อน"
ผมเท้าคางรออีกคนเลือก แต่ดูเหมือนพี่ทาร์ตจะไม่ได้สนใจของกินตรงหน้าเลยสักนิดเพราะมัวแต่จ้องหน้ากันไปมา สายตาเจ้าเล่ห์ๆ แบบนั้นชวนขนลุกฉิบหาย ลางไม่ดีแล้วว่ะ

"มีอย่างอื่นอีกปะ"

"หึ ก็มีเท่าที่ไปซื้อด้วยกันไง"
ผมพูดจบก็ขมวดคิ้วมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามหาอะไรอีกในเมื่อของกินก็มีเท่าที่เห็น

"ปูนไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวเลือกมื้อเช้าของพี่เหรอวะ"
บ่นเสียงอุบอิบแต่คิดเหรอว่าผมไม่ได้ยินน่ะ นั่งใกล้กันแค่นี้เนี่ย... จะบ้าตาย ทำไมเดี๋ยวนี้พี่ทาร์ตชอบหยอดอะไรหื่นๆ กลัวว่าสักวันจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนี่ดิ

"....."
ผมเงียบเพราะไม่รู้จะอ้าปากพูดอะไร มันทั้งเขินทั้งทำตัวไม่ถูกจนต้องจิ้มขนมปังปิ้งยัดใส่ปากไปสองสามชิ้น แถมด้วยการดูดชาเย็นตามไปอึกใหญ่ แม่ง เกือบสำลักตายไปอีก

"โอ๊ะ... ทาร์ตฮยองทำอะไรเพื่อนผมหรือเปล่าอะ หน้าแดงจัง"
ไอ้นี่ก็มาได้ถูกเวล่ำเวลาเหลือเกิน เห็นตอนที่ผมทำตัวไม่ถูกแถมยังหน้าแดงแบบนี้ อย่าคิดว่าจะรอดการโดนแซวจากแทจุนเลย โคตรฝันเฟื่อง

"ก็นิดหน่อยน่า"
ไอ้พี่ทาร์ตนี่ก็จริงจัง โกหกบ้างก็ได้มั้งเฮ้ย ผมก็ได้แต่นั่งเม้มปากฟังเขาพูดกันไป กลัวร่วมวงสนทนาแล้วเกิดเสียงสั่นไง

"อู้ ~ อิจฉาจัง"
แทจุนยังแซวไม่เลิก และผมคิดว่าต้องพูดอะไรสักอย่างให้มันหยุดพูดสักที พี่ทาร์ตก็เอาแต่หัวเราะเสียงต่ำอยู่ข้างๆ จะบ้าตายแล้ว!

"เงียบๆ แล้วนั่งกินไปเลย"
ผมโวยแล้วเงยหน้าไปจ้องแทจุนกับพี่ทาร์ตสลับกันหวังว่าจะหยุดแซว แต่คนที่ได้ชื่อว่าแฟนทำเพียงไหวไหล่แล้วหยิบขนมจีนไปเทใส่จาน ส่วนเพื่อนยิ้มร่าแล้วเอื้อมมือมากยิกแก้มกันซะงั้น

"คิกๆ ครับ ~"

มื้อเช้าจบลงผมก็โดนคนตัวเล็กรบเร้าให้นัดไอ้กู๊ดให้หน่อย แต่เนื่องจากดูเวลาแล้วอีกคนคงยังไม่ตื่น ควรจะพามันไปเที่ยวรอบเมืองก่อนปะวะ หรือตัดสินใจโทรไปปลุกเพื่อนขี้เซาดี

"ขมวดคิ้วทำไม เครียดอะไรครับแฟน"
พี่ทาร์ตที่เมื่อครู่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นมามองกันก่อนจะใช้นิ้วอุ่นๆ นวดหว่างคิ้วให้ ผมเหลือบสายตามองเขาแล้วใช้หัวทุยๆ เคาะลงบนลาดไหล่กว้างหลายๆ ครั้ง คนอีกคนหลุดหัวเราะออกมา จริงๆ ก็ขี้เกียจพาแทจุนไปเที่ยว แต่อีกใจคือกลัวไอ้กู๊ดด่าสวนกลับมาว่ารบกวนเวลานอน ทำไงดีวะเนี่ย

"โทรไปปลุกไอ้กู๊ดดีปะ"
ผมถามก่อนจะใช้จมูกถูไปบนลาดไหล่ของพี่ทาร์ตเพราะคิดไม่ตก เมื่อคืนเห็นไอ้กู๊ดบ่นๆ ว่านอนไม่หลับเพราะกินกาแฟไปเยอะ เลยไม่อยากกวนมัน

"ก็โทรไป ถ้าตัวเองไม่อยากรับหน้าที่ไกด์จำเป็น"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะใช้มือขยี้หัวกันเบาๆ นี่รู้นิสัยหมดแล้วใช่ไหมว่าช่วงนี้ขี้เกียจขับรถ อยากไปไหนก็อ้อนเขาถึงจะอายอยู่บ้างก็เถอะ แต่มันก็สบายดีนี่

"อือ... แล้ววันนี้พี่ทาร์ตไปไหนปะ"

"มีเข้าโรงแรมตอนบ่าย มีอะไรหรือเปล่า"

"อยากกินปิ้งย่าง"
ผมผละตัวออกมาแล้วมองหน้าคนข้างๆ ด้วยสายตาออดอ้อน อยู่ๆ ก็อยากเพิ่มพุงให้ตัวเองมื้อเย็นซะอย่างนั้น

"ไว้ตอนเย็นจะมารับ โอเคไหม"
พี่ทาร์ตคลี่ยิ้มให้ ผมแทบจะพุ่งเข้าไปกอดเพราะดีใจ อยากกินมาหลายวันแล้ว แต่เพื่อนก็ไม่ว่าง ชวนไอ้ฟ่อนก็เบะปากใส่ คนข้างๆ ก็เพิ่งจะว่างเย็นวันนี้

"โอเคเลย ห้ามผิดคำพูดนะเว้ย"
ผมรีบคงตอบรับแล้วเหล่มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ เพราะบางครั้งที่นัดกันดิบดี พี่ทาร์ตก็งานเข้าซะอย่างนั้น แต่ไม่โกรธหรอกเพราะเข้าใจดีว่าอะไรเป็นอะไร

"ไม่ผิดแน่ๆ ครับ ตอนนี้โทรไปปลุกไอ้กู๊ดก่อนเถอะ แทจุนออกมาจากห้องน้ำแล้ว"

สุดท้ายผมก็ยอมโดนด่ามากกว่าจะขับรถออกไปข้างนอก ช่วงนี้เป็นโรคขี้เกียจ ไปไหนมาไหนพี่ทาร์ตบริการตลอด ติดนิสัยแล้วไง อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ก็มีแฟนดี เอาใจใส่ ดูแลเก่ง ทำอาหารเป็น ทำขนมก็อร่อย หล่ออีก แม่ง... อิจฉาว่ะ อยากเป็นคนแบบนั้นบ้าง

ปี๊นๆ

เสียงแตรรถดังขึ้นที่นอกรั้วทำให้ผมต้องลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วลากแทจุนออกมาหน้าบ้าน เห็นลุงคนสวนกำลังจะไปเปิดประตูก็เลยห้ามไว้

"ผมเปิดเองครับ"

"ได้ครับคุณหนู"
เกลียดสรรพนามที่ลุงเรียกฉิบหายเลย หนูยักษ์อะดิ




ต่อด้านล่างเนอะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ผมเดินไปเคาะกระจกรถไอ้กู๊ดหลายครั้งเพราะมันกำลังก้มทำอะไรสักอย่างอยู่ พอมันกันหน้ามาเท่านั้นล่ะถึงกับเบิกตาโตแล้วอ้าปากพะงาบๆ เพราะเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หึ ไม่คิดว่าจะเจอเซอร์ไพร์สแบบนี้สินะ

ไอ้กู๊ดลดกระจกลงแล้วยืดตัวมาแทบจะข้ามเบาะมาทางนี้ หน้าตาโคตรตลกเลยว่ะ หมดหล่อก็คราวนี้ล่ะ แทจุนนี่ยิ้มหวานแถมยังขยับตัวมาหลบด้านหลังผมอีก เอาเข้าไปเว้ย จะได้ไปไหนกันไหมวันนี้

"แทจุนมาได้ไงวะมึง!"
ไอ้กู๊ดถามเสียงดังจนผมสะดุ้ง แทจุนคงไม่ต่างกันเพราะรีบหุบยิ้มฉับ แต่อาจจะฟังไม่รู้เรื่องก็ได้เพราะมันพูดภาษาไทย แสดงอาการตื่นเต้นแบบนั้น สงสัยคงต้องแกล้งสักหน่อย

"เซอร์ไพร์สมึงไง หยุดยาวช่วงวันชูซอก"
ผมตอบก่อนจะยักคิ้วกวนๆ ให้ ไอ้กู๊ดถึงกับไปไม่เป็นเพราะเห็นมันเม้มปากแน่นเชียว ดีใจล่ะสิที่เขาถ่อสังขารบินมาจีบถึงที่นี่ น่าอิจฉาว่ะ แทจุนก็ลงทุนโคตรๆ เลย

"แม่ง... กูนึกว่าฝัน"
ไอ้กู๊ดพูดเสียงเหมือนคนกำลังเหม่อลอย ดวงตาเยิ้มหวานอย่างกับคนเสพกัญชา ดูท่าทางจะเป็นเอามากว่ะ นี่ไม่ใช่ว่าชอบเขาไปแล้วหรือไง แต่การกระทำไม่ตรงกับใจอะไรอย่างนั้น นิสัยนี่ถอดแบบมาจากไอดอลมันเลย จะใครที่ไหนถ้าไม่ใช่พี่ทาร์ตที่นอนดูหนังอยู่ในบ้าน

"หึหึ พาแทจุนไปเที่ยวด้วย"
ผมบอกก่อนจะดึงแขนแทจุนให้ออกมายืนข้างๆ กัน ไม่รู้จะไปหลบด้านหลังทำไมในเมื่อยื่นหน้าออกมามองไอ้กู๊ดอยู่ดี จะเขินหรืออยากอยู่ใกล้เขาก็เอาสักอย่างเถอะ ผมตามความคิดไม่ทัน

"เออๆ ได้ แล้วนี่แทจุนพักที่ไหน"
ไอ้กู๊ดตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่ท้ายประโยคกลับทำหน้าฉงนสงสัยเสียเต็มประดา เห็นแทจุนยืนอยู่ตรงนี้ยังจะถามอีกเหรอว่าพักที่ไหน ผมคงไม่ลงทุนไปรับมันมาจากโรงแรมตั้งแต่เช้าหรอก

"บ้านกูสิ ทำไม จะให้ย้ายไปนอนคอนโดมึงเหรอ"
ผมแกล้งถามแล้วเหล่สายตามองมันอย่างคนรู้ทัน แต่ไอ้กู๊ดดันสะดุ้งแล้วรีบโบกมือเป็นพัลวัน จะปฏิเสธอะไรให้มันเนียนหน่อยเถอะคุณเพื่อน แต่จะยอมปล่อยไปแล้วกัน ถ้าแซวไปอาจจะโดนเอาคืนหนักกว่า

"เฮ้ย เปล่าเว้ย มึงก็พูดไป"

"หึหึ ก็แค่ถามเอง ดูแลกันดีๆ หรืออยากให้กูไปด้วย"
ผมแกล้งถามมันต่อ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการถลึงตาใส่ ทำไมอะ แค่หวังดีกลัวเพื่อนทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่กับแทจุนแค่สองคนไง ทำไมมองกันอย่างกับผมจะไปฆ่าใครอย่างนั้นล่ะ

"ก้าง"
มันพึมพำอะไรสักอย่างแต่ผมไม่ได้ยิน แม่ง... แอบด่าหรือเปล่าวะ

"อะไรนะ"

"เปล่า มึงอยู่บ้านไปเหอะ เดี๋ยวกูพาแทจุนทัวร์เอง"
มีความยืนยันชัดเจนว่าจะไปกันแค่สองคนผมก็ไม่อยากขัดศรัทธาใครสักเท่าไหร่เลยเปิดประตูรถแล้วดันหลังแทจุนให้ขึ้นไปนั่งแล้วปิดประตูให้ นี่บริการให้เพื่อนไปเดทกันอย่างดิบดีเลยนะ หลังจากนี้ต้องมีรางวัลให้กันบ้างแล้วมั้ง

"เออๆ จะกลับตอนไหนโทรมาบอกก่อนนะ เพราะตอนเย็นกูออกไปกินปิ้งย่างกับพี่ทาร์ต"

"สวีทกับผัวอีกแล้ว"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้กัน ผมถึงกับแยกเขี้ยวใส่เพราะคำว่าผัว จะบ้าหรือไงคนเขายังไม่ได้เสียกันจะตัดสินได้ไงว่าใครเป็นรุกหรือรับ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ที่ไหนเล่าเรื่องแบบนี้

"ผัวบ้านมึง! รีบๆ ไปเลย"
ผมโวยแล้วรีบโบกมือไล่พวกมันให้ออกไปพ้นๆ จากบ้านสักที ไม่อย่างนั้นผมต้องยืนหน้าแดงอยู่ตรงนี้ไปอีกนานแน่ๆ ก็ไอ้สองคนเนี่ยมันนักแซวติดอันดับเลยนะเว้ย

"หึหึ ครับๆ"   

ช่วงบ่ายหมดไปกับการนอนกลางวันซึ่งนานๆ ครั้งผมจะทำ เพราะไม่ค่อยชินเท่าไหร่ และอีกอย่างกลางคืนจะตาสว่างซะอย่างนั้น ดวงตารีเหลือบมองนาฬิกาติดผนังแล้วต้องขมวดคิ้วยุ่งเมื่อพบวาเวลาตอนนี้ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้ว พี่ทาร์ตก็ไม่ยอมโทรหากันสักที แต่จะให้ผมตามเขามันก็ใช่เรื่อง ไม่ได้เป็นคนงี่เง่าเอาแต่ใจขนาดนั้น

ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินลงมาชั้นล่างเพื่อที่จะหาอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างรอแฟนมารับไปกินมื้อเย็น สายตาไปสะดุดเข้ากับของเล่นเจ้าหมาเด็กเลยคิดขึ้นได้ว่าไปเล่นกับมันหน่อยดีกว่า ไม่เจอไอ้ขนมมาสองสามวันแล้วเนื่องจากพี่ทาร์ตเอาไปเยี่ยมแม่มันที่บ้านพี่อิน

“อื้อ ทำบ้าอะไรเนี่ยพี่อิน เดี๋ยวใครมาเห็น”
ผมชะงักเท้าที่กำลังจะเดินไปปีนรั้วข้างบ้านเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง จำได้ว่าเป็นเสียงไอ้ฟ่อน แต่บริบทการพูดมันทำให้คิดลึกอย่างเลี่ยงไม่ได้ พี่อินกับมันกำลังทำอะไรอยู่กันนะ ต่อมเผือกเริ่มทำงานอีกแล้วไง

“ใครจะเห็นล่ะ ไอ้ทาร์ตก็ยังไม่กลับบ้าน ส่วนม๊ากับป๊าของฟ่อนก็ไปงานเลี้ยงกันแล้ว”
เสียงพี่อินดังขึ้นทำให้ผมแอบอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ในเขตรั่วบ้านของตัวเองแล้วแอบดูผ่านซี่รั้วด้วยใจจดจ่อ ภาพที่เห็นไม่ค่อยชัดเจนแต่พอจะเดาได้ก็คือ พี่อินกำลังกอดไอ้ฟ่อนอยู่ ใบหน้าหล่อๆ อย่างกับนายแบบกำลังโน้มต่ำคล้ายกำลังจะจูบ... เฮ้ย เดี๋ยวนะ นี่ผมตกข่าวอะไรหรือเปล่า เขาคบกันแล้วเหรอวะ

“ไม่เอาเว้ย หื่นเกินไปแล้วนะพี่อิน”

“แค่จะจูบเอง ไม่ได้ปล้ำสักหน่อย”
ห๊ะ... เดี๋ยวๆ จะมาปล้ำอะไรกันข้างรั้วบ้านกูวะเนี่ย ยังไม่อยากดูหนังสดนะเว้ย

“อย่ามาใช้มุกนี้นะพี่อิน จูบทีไรยาวทุกที”
เดี๋ยวๆ ไอ้จูบแล้วยาวคืออะไรวะเฮ้ย นี่พวกมึงสองคนไปถึงขั้นไหนกันแล้ว ผมอยากวิ่งเข้าไปถามจริงๆ ว่าพี่อินขืนใจไอ้ฟ่อนไปแล้วงั้นเหรอ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะอยากรู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นยังไง

“หึหึ แต่ฟ่อนก็ชอบไม่ใช่เหรอ”
เสียงพี่อินบ่งบอกถึงความเจ้าเล่ห์ได้อย่างชัดเจน ถึงผมจะมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดจากมุมนี้ก็รู้ได้เลยว่าเป็นยังไง หล่อร้ายว่ะ เผลอๆ จะหื่นกว่าพี่ทาร์ตด้วยซ้ำ

“ไอ้บ้า หน้าด้านเกินไปปะ อื้อ อย่าไซร้คอดิ มันขนลุก”
ผมได้แต่ยืนร้องเหี้ยในใจดังๆ เมื่อใบหน้าหล่อเหลาก้มลงซุกไซร้ซอกคอไอ้ฟ่อน เลื่อนมือมาปิดตาตัวเองแต่ไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อเผลอกางนิ้วออกดูซะอย่างนั้น เหมือนเป็นคนโรคจิตเลยว่ะกู อยากร้องไห้ ทำไมต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ในวันที่อยากไปเล่นกับไอ้ขนมล่ะ

“เข้าบ้านกันเถอะ”
พี่อินชวนไอ้ฟ่อนเข้าบ้านคืออะไรวะ ผมควรกระโดดข้ามรั้วไปห้ามเขาสองคนหรือโทรไปบอกให้พี่ทาร์ตรีบกลับบ้านอะ เริ่มทำอะไรม่ถูกแล้วนะเว้ย

“ไม่เอาเว้ย กลับบ้านไปเลยนะ”
ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เพราะรู้สึกโล่งเมื่อน้องชายข้างบ้านเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง แถมยังผลักพี่อินจนถอยห่างตัวเองออกไปได้ นับว่ามีความเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี ส่วนพี่คนนี้ขอยืนเชียร์และให้กำลังใจอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็แล้วกัน ไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องผัวเมีย เอ้ย เรื่องส่วนตัว

“ใจร้ายจัง”
พี่อินบอกแบบนั้นแต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มเหมือนกำลังมีความสุขนักหนา ถ้าให้เดาคงแกล้งไอ้ฟ่อนเล่นแน่ๆ นิสัยเสียเหมือนแฟนผมไม่มีผิด

“ไม่ใจร้ายผมก็เสียตัวสิ ไปเลยๆ กลับบ้าน”
ไอ้คำว่าเสียตัวของน้องทำให้ผมหน้าร้อนยังไงไม่รู้ นี่คู่มึงจะนำหน้าคู่กูไปขนาดนั้นเลยเหรอวะ ไม่ได้สิ ยังเด็กอยู่นะเว้ย ต้องรักนวลสงวนตัวไว้ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชายก็เถอะ

“โอเคๆ กลับก็กลับ เจอกันพรุ่งนี้นะแฟน”

“ขี้ดู่ ใครแฟนพี่ห๊ะ”
เอ้า ตกลงอะไรยังไงกันแน่วะ ถึงขนาดไซร้คอกันแบบนั้นยังไม่ได้เป็นแฟนอีกหรือไง หรือข้ามขั้นไปเป็นผัวเมียกันเลยอะ ผมก็ได้แต่ยืนเกาหัวอยู่หลังต้นไม้แบบนี้ อยากรู้ก้อยากรู้ แต่จะให้ถามตรงๆ ก็ดูแปลก ไหนจะทำให้เขารู้ว่าเราแอบดูอีก

“ยอมขนาดนี้ยังไม่เรียกว่าแฟนอีกเหรอ”
พี่อินพูดก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไอ้ฟ่อนอีกครั้ง ผมเผลอกลั้นหายใจไปหนึ่งจังหวะเพราะลุ้นจนตัวโก่ง เอาจริงๆ ก็เห็นด้วยนะที่เขาบอกว่ายอมขนาดนี้ยังไม่เรียกว่าแฟนอีกเหรอ สถานะระหว่างสองคนนี้คลุมเครือกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก

“ไม่! กลับไปเลยไป”

“จ้าๆ กลับแล้ว”

เรื่องราวของพี่อินกับไอ้ฟ่อนจบลงแค่นั้นเพราะอีกฝ่ายยอมกลับบ้านจริงๆ ส่วนไอ้น้องชายข้างบ้านกลับยืนยิ้มกริ่มแล้วบิดตัวไปมาแทบจะเป็นเกลียว แหม ต่อหน้าเขาทำปากแข็ง พอลับหลังนี่ระทวยแล้วระทวยอีก ทำไมใครๆ ก็ชอบเอานิสัยของพี่ทาร์ตมาใช้จังวะ ฟอร์มจัดอย่างนั้นเหรอ ไม่เห็นจะเท่เลย พูดตรงๆ แสดงออกตรงๆ ยังจะดีกว่าอีก

“ปูน มายืนทำอะไรตรงนี้”
ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างหู เพราะไม่คิดว่าเขาจะโผล่มาเงียบๆ แบบนี้ เมื่อครู่เกือบกำหมัดต่อยหน้าไปแล้วไหมล่ะ ถ้าไม่เอะใจว่ามันคุ้นๆ หู

“โหย ตกใจหมดเลย”
ผมหันไปบอกแล้วขยับตัวหนีออกมาเล็กน้อย พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นราวกับสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ดีแล้วๆ ยังไม่อยากเล่าเรื่องไอ้ฟ่อนกับพี่อินให้เขาฟังหรอก

“ไปกินปิ้งย่างกันเถอะ ผมหิวไส้จะกิ่วแล้วเนี่ย”

“พี่ซื้อของมาทำกินเองที่บ้านแล้ว”

“เฮ้ยจริงดิ งั้นรีบๆ ไปเตรียมของกันเลย”

“ครับๆ ไอ้หมู”

ตอนนี้จะเรียกว่าหมูหรือช้างก็ยอมรับแบบไม่เถียงแล้วครับ เพราะเรื่องกินสำคัญกว่า!





---------------------------------------------

พี่ทาร์ตกับปูนนี่ความสัมพันธืเรื่อยๆ ไม่หวือหวา
ส่วนกู๊ดกับแทจุนเนี่ย ไม่มีใครรู้ว่าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว
พี่อินกับฟ่อนนี่... มันสองแง่สองง่าม ช่วนให้คิดลึก ลึกม๊ากกก

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
สงสัยพี่อินจะแซงหน้าได้ฟ่อนเป็นเมียก่อนพี่ทาร์ตแน่

อิจฉากู๊ดมีว่าที่แฟนตามมาหาถึงถิ่น งานนี้เรื่องอะไรจะให้ปูนไปเป็น กขค.

เสียดายพี่ทาร์ตไม่ได้เห็นฉากพี่อินไซ้รฟ่อน  ถ้าได้เห็นไม่รู้จะเข้าไปต่อยเพื่อนป่าว 555

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 21

Lemon Tart
: แป้งพายหวาน/ไข่ไก่/น้ำตาล/มะนาวเขียว/มะนาวเหลือง/น้ำมะนาว/แป้งข้าวโพด/เนยจืด :




ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วแต่ผมยังนั่งคิดเรื่องๆ หนึ่งไม่ตกสักที เมื่อไหร่ที่มีเวลาว่างมันก็ผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจบแทบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว ตกลงว่าพี่อินกับไอ้ฟ่อนไปถึงขั้นไหนกัน นี่ไม่ได้เสือกอะไรแค่เป็นห่วงน้อง จริงจริ๊ง

"ปูน เครียดอะไรนักหนา หน้าผากย่นหมดแล้ว"
เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วรีบส่ายหัวปฏิเสธอย่างไว กลัวเขาจะจับได้ว่าคิดอะไรอยู่ ที่จริงพี่ทาร์ตก็ไม่ได้เทพขนาดอ่านใจใครได้ กลัวตัวเองหลุดพูดมากกว่า

"ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่ทำอะไรอยู่ครับ"
ผมตอบไม่เต็มเสียงนักแล้วเงยหน้าขึ้นมองพี่ทาร์ตที่ผละตัวห่างออกไปเพื่อทำอะไรบางอย่างในช่วงสายของวันเสาร์ และอีกอย่างวันนี้เป็นวันสำคัญของไอ้ฟ่อนด้วย แก่ขึ้นอีกปีแล้วสินะ

"ทำเลมอนทาร์ต"
พี่ทาร์ตตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปเตรียมส่วนผสมต่อ ด้วยความที่ผมสนใจเลยลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปดูเขาว่าทำอะไรบ้าง เอาง่ายๆ คืออยากกินนั่นล่ะ

"ทำให้ไอ้ฟ่อนเหรอ"
ผมถามกลับไปเมื่อคิดได้ว่าเลมอนทาร์ตคงเป็นเค้กวันเกิดของไอ้ฟ่อน และคำตอบที่ได้คือการพยักหน้าของคนข้างๆ แบบนี้ก็แอบชิมก่อนไม่ได้สิวะ เซ็งเลย

"อืม... ของโปรดมัน อีกอย่างไอ้อินจะทำเซอร์ไพร์สอะไรไม่รู้ด้วย"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วกันไปหยิบนั่นหยิบนี่ใส่ในชามผสมไปเรื่อย แถมยังส่งมะนาวกับเลมอนมาให้ผมอีก นี่คือการบังคับไม่ใช่ขอช่วยสินะ อยู่ๆ ก็เกิดสงสัยขึ้นมาอีกว่าพี่อินมีเซอร์ไพร์สอะไรวะ

"ขูดผิวมะนาวกับเลมอนให้พี่หน่อย ทำเป็นใช่ไหม"

"เอ่อ คิดว่าน่าจะทำได้"
ผมตอบไปมองลูกมะนาวไป เห็นที่ขูดชีสวางอยู่ใกล้ๆ ก็คิดว่าคงไม่ยากอะไร แค่เอาผิวถูกไปมาแค่นั้น ง่ายๆ น่า

"งั้นช่วยหน่อยเนอะ"
พี่ทาร์ตหันมายิ้มให้กันทำให้ผมรีบหยิบลูกมะนาวแล้วพยักหน้ารับกลับไปเร็วๆ ช่วยอะไรได้ก็อยากจะช่วย ทำตัวมีประโยชน์กับเขาบ้าง พี่ทาร์ตจะได้ภูมิใจว่ามีแฟนน่ารัก

"อื้อ"

"คั้นน้ำด้วยนะ"

"ครับๆ ตามบัญชาเลย"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วรีบทำสิ่งที่พี่ทาร์ตขอช่วยให้เสร็จเรียบร้อย เพราะก่อนสี่โมงต้องจัดการเอาลูกโป่งอัดแก๊สฮีเลียมมาตกแต่งห้องนั่งเล่นอีก แม่ง... จะอลังการเกินไปแล้วเว้ย นี่ขนาดแสดงออกว่าไม่สนใจน้องนะ หึหึ พี่ชายสุดยอดปากแข็งแห่งปีจริงๆ


"พี่ทาร์ต... ไอ้ฟ่อนกลับมาตอนไหนอะ"
ผมถามหลังจากที่ร้านทำบอลลูนมาส่งของเรียบร้อยแล้ว จัดห้องเตรียมพร้อมที่จะเซอร์ไพร์สไอ้ฟ่อนเต็มที่ มองๆ ดูแล้วให้บรรยากาศคล้ายๆ กับท้องฟ้าสดใสตอนเช้า ลูกโป่งสีขาว สีน้ำเงิน และสีฟ้าลอยติดเพดาน และมีอีกหนึ่งลูกขนาดใหญ่บรรจุกลิตเตอร์อยู่ภายในและเขียนอักษรอวยพรวันเกิดเอาไว้ อย่างกับงานวันเกิดน้องสาว แต่ก็น่ารักดี

"คงประมาณทุ่มสองทุ่มมั้ง ไอ้อินน่าจะพาไปแหลมพรมเทพหลังเลิกเรียนพิเศษ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาแล้วหย่อนตัวลงบนโซฟากลางห้องรับแขกแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปบรรยากาศตรงหน้าเอาไว้ แต่บังเอิญว่ากล้องมันโฟกัสมาที่ผมด้วยนี่สิ

"เฮ้ย ถ่ายอะไรเนี่ย"
ผมรีบเดินไปนั่งข้างๆ พี่ทาร์ตแล้วยื่นหน้าเข้าไปมองที่จอสี่เหลี่ยมซึ่งมันกำลังแสดงผลรูปใบหน้าเหวอๆ กับพื้นหลังสวยๆ ช่างไม่เข้ากันสุดๆ

"ลบเดี๋ยวนี้เลย โคตรน่าเกลียด"
ผมโวยเล็กน้อยก่อนจะทำท่าแย่งโทรศัพท์มากดลบเอง แต่ด้วยความที่พี่ทาร์ตแขนยาวเลยยืดตัวหนีไปไกล แล้วคนที่คว้าได้แต่อากาศอย่างผมจะทำอะไรได้นอกจากคว่ำหน้าลงบนตัวเขา โอย อายฉิบหายชีวิต!

"หืม จะทำอะไรพี่ครับ เอาหน้าซุกตักกันแบบนี้"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าใกล้ๆ ใบหู ผมรีบใช้แขนยันตัวขึ้นจากตักของเขาอย่างทุลักทุเล ที่ก็แคบแถมยังหาตำแหน่งวางมือไม่ได้อีก กว่าจะลุกขึ้นได้ก็ใช้เวลานานจนเริ่มได้ยินเสียงหัวเราะอีกคนดังขึ้น ตลกตรงไหนวะ!

"ไอ้บ้า ล้มเว้ยล้ม ไม่ได้จะทำอะไร"
ผมโวยวายทันทีที่กลับมานั่งได้ ใบหน้าบูดบึ้งบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง อีกอย่างคือแก้มร้อนจนอยากเอาหมอนมาปิด แม่ง แบบนี้พี่ทาร์ตก็รู้หมดว่าผมแอบหื่น

"หึหึ นึกว่าพิศวาสพี่ซะอีก"
พี่ทาร์ตขยับเข้ามากระแซะไหล่กันไม่พอยังเอามือมาดึงแก้มอีก ผมมองเขาตาขวางแล้วใช้หมัดต่อยลงที่ท้องจนอีกคนตัวงอ นี่ก็โอเว่อร์ไปไหนวะ เห็นแล้วอยากจะหาค้อนมาเคาะหัวให้ยุบจริงๆ

"ชาติหน้าเถอะ!"

"พี่ไม่รอนานขนาดนั้นหรอกน่า"
พี่ทาร์ตรวบแขนของผมเอาไว้แล้วกระตุกจนใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบเดียว ลมหายใจอุ่นๆ สลับปะทะกันไปมา ให้ความรู้สึกกระอักกระอวนแปลกๆ จนไม่กล้าสบตา กลัวตัวเองจะเข้าไปจูบเขาก่อนน่ะสิ ริมฝีปากหยักสีส้มแบบนั้น มันเชิญชวนให้ลิ้มลองอยู่ตลอดเวลา บางทีก็รู้สึกเกลียดความหื่นที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยเกินไปในช่วงนี้ เผลอๆ อาจจะเป็นผมเองที่ยอมถวายตัวให้เขา โดยไม่ต้องร้องขอ แค่คิดก็อายแล้วเว้ย

"อะ อะไร หมายความว่าไง"
ผมถามออกไปเสียงตะกุกตะกักและเมื่อพี่ทาร์ตขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ก็ทำให้ผมต้องใช้หน้ามุดอกเขาอย่างห้ามไม่ได้ ก็กลัวว่าจะโดนขโมยจูบแบบไม่ทันตั้งตัวอีกนี่หว่า ถึงจะสมยอมก็เถอะ แต่มันมองหน้ากันลำบากทุกทีที่ทำแบบนั้น เพราะเกิดอาการเขินเมื่อนึกย้อนไป... อืม ภูมิต้านทานต่ำ

"เปล๊า ไปทำกับข้าวดีกว่า"
พี่ทาร์ตหัวเราะเบาๆ แล้วยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจไปมาจนชายเสื้อเปิด ไอ้ผมที่ไม่ได้คิดอะไรมากก็คว้ามันไว้เพราะอยากรั้งคนที่กำลังหนี แอบเห็นซิกแพคขาวๆ ที่น่าอิจฉาด้วยว่ะ

"หนีเหรอวะ"

"หึ มันจะหกโมงแล้ว ไม่หิวเหรอ"
พี่ทาร์ตหันมาเลิกคิ้วใส่กันแล้วมองชายเสื้อของตัวเองที่โดนรั้งไว้ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากหยักจนผมต้องรีบปล่อยมือทันที เดี๋ยวเขาจะคิดว่าผมพิศวาสอะไรอีก จริงๆ ก็แค่แอบมองซิกแพคนั่นนิดหน่อย ก็คนมันอยากมีแบบนั้นบ้าง แค่นั้นเอง ช่วงนี้ถ้านิสัยเปลี่ยนไปก็โทษเขาเลย! ก็มันรู้สึกคล้ายๆ โดนอ่อยตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

"ก็... หิว งั้นผมกลับไปอาบน้ำที่บ้านก่อนแล้วกัน อีกชั่วโมงจะกลับมาใหม่"
ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนข้างๆ กัน พี่ทาร์ตพยักหน้ารับแล้วเอื้อมมือมาวางบนหัวก่อนจะโยกไปมา ที่จริงมันก็น่ารำคาญนิดๆ แต่รู้สึกดีมากกว่าเลยไม่ได้ปฏิเสธอะไรไป

"โอเคครับ รีบๆ มาล่ะ พี่รออยู่"
พี่ทาร์ตบอกแล้วผละมือออกจากหัว ผมเม้มปากเข้าหากันเพราะคำพูดนั่น 'รอ' เหมือนเราเป็นคนสำคัญของเขา รู้สึกดีจนเขินขึ้นมานิดๆ

"อะ อื้ม"

ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่ครึ่งชั่วโมงและหมดเวลาที่เหลืออีกครึ่งชั่วโมงไปกับการคุยโทรศัพท์ ไอ้กู๊ดมันอยากมางานวันเกิดไอ้ฟ่อนแต่เกิดติดธุระกะทันหัน แถมด้วยการคุยเรื่องแทจุน จากที่ฟังๆ แล้ว รู้สึกเหมือนมันจะชอบเขาแล้วล่ะ อีกไม่นานคงได้ยินข่าวดีจากทั้งคู่

"ปูน!"
เสียงเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำจากชั้นล่างของบ้านทำให้ผมรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องแทบทันที ป๋ายืนอยู่ที่ตีนบันไดพร้อมกับกล่องของขวัญในมือ เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาไอ้ฟ่อนจังวะ

"ครับป๋า เดี๋ยวปูนลงไป"
ผมตอบก่อนจะรีบลงบันไดไปหาป๋าที่ใส่ชุดสูทเตรียมพร้อมจะไปงานเลี้ยง เขาทำหน้าดุๆ ใส่กันเพราะไม่พอใจที่ผมวิ่ง... ก็มันลืมตัว

"เดี๋ยวก็กลิ้งเป็นลูกหมูตกบันได"
ป๋าว่าด้วยเสียงดุๆ แล้วส่งกล่องในมือมาให้กัน ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ เพราะรู้ว่าตัวเองทำผิด

"ฝากให้ชิฟฟ่อนด้วย ป๋ากับแม่ไปงานเลี้ยงก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย"

"โอเคครับผม ขับรถดีๆ นะป๋า"
ผมโบกมือลาป๋าด้วยรอยยิ้มแล้ววางกล่องของขวัญเอาไว้บนโต๊ะกระจกก่อนจะเดินตัวปลิวไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่มเพื่อดับกระหาย กำลังคิดอยู่ว่าแอบดูละครสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยไปบ้านพี่ทาร์ตก็ยังไม่สาย แต่ว่าทำไม่ได้หรอกเพราะเจ้าตัวเดินดุ่มๆ เข้ามาหากันแล้ว...  เข้านอกออกในสบายเลยนะ หมั่นไส้

"มาตามครับ"
คำพูดตรงไปตรงมาทำให้ผมต้องลดแก้วน้ำดื่มลงแล้วย่นจมูกใส่เขา เหมือนจะรู้ทันกันไปซะทุกอย่างจนไม่สามารถหนีได้

"รู้เหรอว่าผมจะไปเลทน่ะ"
ผมถามออกไปตรงๆ แล้วยืนพิงสะโพกกับเค้าน์เตอร์ จ้องหน้าพี่ทาร์ตอย่างไม่เกรงกลัวทั้งๆ ที่ในใจแอบหวั่นไม่น้อยว่าเขาจะฉวยโอกาสกันไหม

"มาตามไปกินข้าวเย็นต่างหาก"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนแล้วยกมือขึ้นบีบจมูกกันเบาๆ ผมถึงกับรู้สึกหน้าร้อนอย่างห้ามไม่ได้ ทุกอย่างดูมุ้งมิ้ง นุ่มนวลยังไงไม่รู้ เหมือนอะไรสักอย่างที่เป็นสีพาสเทล

"ละ แล้วไม่รอกินพร้อมกับไอ้ฟ่อนเหรอ"
ผมเบนสายตาหนีไปทางอื่นในขณะที่พี่ทาร์ตผละมือออกจากจมูกไปเกลี่ยแก้มแทน มืออยู่ไม่สุขจริงๆ เลยให้ตายสิ มันรู้สึกอึนๆ มึนๆ คล้ายจะเป็นลมยังไงไม่รู้ สงสัยจะเขินจนหน้ามืด ใครก็ได้ช่วยปูนที ~

"หึ ส่วนของงานเลี้ยงไอ้ฟ่อนมีแต่ของหวานกับขนมขบเคี้ยวหรอก มื้อเย็นน่ะพี่จะดินเนอร์กับปูนสองคน"
พี่ทาร์ตก้มลงมาจุ๊บแก้มกันอย่างฉวยโอกาส ผมได้แต่หันมาแยกเขี้ยวใส่แต่พูดอะไรไม่ออกกับความน่ารักของเขา บางครั้งก็ไม่อยากเชื่อว่าเสือผู้หญิงเวลามีแฟนและหยุดที่ใครสักคนจะทำตัวแบบนี้ มันน่าหลงใหลจนหนีไปไหนไม่ได้จริงๆ

"เจ้าเล่ห์ตลอดเลยว่ะ"
ผมบ่นอุบอิบแล้วขยับถอยหลังออกมาแล้วเดินไปหยิบกล่องของขวัญเพื่อจะตรงไปยังบ้านพี่ทาร์ต เขาตามกันมาติดๆ แถมยังวาดแขนแกร่งโอบไหล่อีก เอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ แฟนมีความสุขผมก็สบายใจแล้ว

เก้าอี้ถูกเคลื่อนออกจากโต๊ะโดยฝีมือของพี่ทาร์ตเพื่อทำการอำนวยความสะดวกให้กับผม อย่าถามว่าตอนนี้รู้สึกยังไง เพราะตอบได้แค่คำเดียวว่าโคตรเขิน แสงเทียนทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูโรแมนติกขึ้นทันตาเห็นถึงมันจะทำให้มองอาหารตรงหน้าไม่ชัดก็เถอะ แต่ไม่เป็นไร ผมชอบ... ชอบทุกอย่างที่เขาทำให้

"เพิ่งหักทำไก่ทอดเกาหลีครั้งแรก ไม่รู้จะกินได้หรือเปล่า ปูนลองชิมดู"
พี่ทาร์ตตักปีกไก่ทอดใส่จานของผมแล้วมองด้วยสายตาคาดหวัง สีสันรูปลักษณ์ของมันเหมือนถอดแบบมาจากเกาหลีไม่มีผิด กลิ่นหอมของโคชูจังลอยเตะจมูกจนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเริ่มทำงาน

"จะกินแล้วนะ"
ผมบอกก่อนจะหยิบไก่ทอดขึ้นมาด้วยมือเพราะแบบนี้มันกินสะดวกกว่า ไม่ต้องรักษาท่าทางอะไรมากหรอก ตอนเป็นพี่น้องปฏิบัติแบบไหนตอนเป็นแฟนก็ปฏิบัติแบบนั้น ส่วนหนึ่งเพราะเราเป็นผู้ชายเหมือนกันเลยไม่ต้องสร้างภาพอะไร

ผมงับไก่เข้าปากแล้วพบกับความกรอบนอกนุ่มใน รสชาติซอสที่เคลือบภายนอกให้ความกลมกล่อมเหมือนสูตรต้นฉบับอย่างไรอย่างนั้น มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเพราะมันอร่อยอย่างที่คาดไว้จริงๆ พี่ทาร์ตเก่งจริงๆ แบบนี้ต้องอ้อนให้ทำบ่อยๆ แล้วสินะ

"อร่อยมากเลยพี่ทาร์ต"
ผมบอกก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ทอดอีกชิ้นมาใส่จาน รอบนี้ขอกินพร้อมข้าวเม็ดอวบอ้วนด้วยก็แล้วกัน อืม... โคตรฟินอะบอกเลย

"ดีใจที่ชอบ งั้นลองซุปเนื้อกับหมูสามชั้นตุ๋นด้วยสิ"
พี่ทาร์ตตักหมูสามชั้นตุ๋นสีน้ำตาลที่ส่งกลิ่นหอมของเครื่องเทศใส่จานให้กัน พร้อมด้วยกิมจิอีกพอดีคำ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็พยักหน้ารับและตักมันใส่ปากตามคำเชิญ รสชาติของมันหวานๆ กลมกล่อม เนื้อหมูเปื่อยกำลังดี ความเปรี้ยวของผักช่วยตัดเลี่ยนได้อย่างยอดเยี่ยม อร่อยทุกอย่างเลยว่ะ

"อร่อยอีกแล้ว แบบนี้ผมอ้วนตายพอดี"
ผมว่าก่อนจะมุ่ยหน้าใส่ แต่มือก็ยังเอื้อมไปตักซุปเนื้อสีส้มอมแดงใส่ปาก รสเผ็ดร้อนกำลังพอดีบวกกับเนื้อวัวที่ต้มจนเปื่อย บอกเลยว่าถ้ากินตอนฝนตกอากาศเย็นๆ มันโคตรจะฟิน อย่างตอนนี้... โรแมนติกไปอีกว่ะ

"กินไปเหอะถ้ามีความสุข จะอ้วนจะผอมพี่ก็ยังรักปูนเหมือนเดิม"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข สายตาที่ใช้มองกันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ผมหยุดชะงักการกินของตัวเองทันทีเมื่อคำบอกรักนั้นทำให้แก้มร้อน ไม่รู้ทำไมไม่เคยชินสักที... แต่นานๆ ครั้งเขาจะบอกคำนี้ หัวใจเต้นแรงว่ะ ทำไงดี

"มาปากหวานอะไรตอนนี้วะพี่ทาร์ต มันเลี่ยน"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเลย ดีนะที่แสงเทียนไม่ได้สว่างจนทำให้เห็นแก้มแดงๆ ในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงได้เอาหน้ามุดจานไก่ทอดเพื่อหนีความเขินกันบ้างล่ะ

"หืม เลี่ยนจริงเหรอ พี่ว่าไม่นะ"
พี่ทาร์ตยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกิดเงาดำทาบทับลงบนจานอาหาร ลมหายใจอุ่นๆ ที่ตกกระทบลงบนศีรษะทำให้รู้ว่าระยะห่างของเรานั่นเหลือน้อยเต็มที ถ้าเกิดว่าผมเงยหน้าขึ้นไปคงโดนจูบที่ไหนสักแห่งแน่ๆ แค่คิดก็รู้สึกขนลุกแล้ว...

"กินข้าวไปเลย อย่าแกล้ง"
ผมบอกทั้งๆ ที่ยังก้มหน้า รออยู่สักพักก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรกลับมาเลยเงยหน้าเพื่อมองอีกฝ่ายว่าทำอะไรอยู่ แต่ในจังหวะนั้นเองที่ริมฝีปากหยักฉกจุมพิตเข้าที่หน้าผากแล้วผละตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ให้ตาย... นี่วันเกิดไอ้ฟ่อนหรือวันครบรอบของเรากันแน่วะ

"พี่ทาร์ต... ชอบฉวยโอกาสว่ะ"
ผมบอกแล้วเม้มปากเพื่อมองหน้าเขานิ่งๆ อย่างคาดโทษ ทั้งๆ ที่ต้องโกรธแต่ทำไมตอนนี้กลับรู้สึกว่าอยากยิ้มเหลือเกิน เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรักบางครั้งก็อยู่เหนือการควบคุมทั้งหมด เสียการทรงตัวอย่างสิ้นเชิง

"แค่นี้ยังน้อยไป ถ้าพี่ไม่เกรงใจก็จับปูนฟัดไปแล้ว"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายซะเต็มประดา ใบหน้าที่เหมือนหมาหงอยไม่ได้ทำให้น่าสงสารเลยสักนิด แต่มันกลับทำให้ผมต้องเม้มปากแน่นกว่าเดิมเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์อยากโวยวายเพราะความเขิน อะไรคือจะจับฟัดระหว่างกินข้าวว่ะ จะหื่นมาเกินไปแล้ว แบบนี้ผมจะรอดจากเขาไปได้อีกนานแค่ไหน

"หยุดเลย รีบๆ กินข้าวครับ เดี๋ยวไอ้ฟ่อนจะกลับมาแล้ว"
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่สนใจพี่ทาร์ตอีก แต่หูก็ยังแว่วได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ จากเขา คนอะไรน่าหมั่นไส้ชะมัดเลย แกล้งกันได้ทุกวี่ทุกวันจริงๆ เว้ย

เวลานี้ผมกำลังนั่งตบยุงอยู่หน้าบ้านเพราะรอไอ้ฟ่อนกับพี่อินกลับบ้าน ส่วนพี่ทาร์ตกำลังคุยโทรศัพท์อยู่อีกมุมหนึ่ง สาเหตุที่ต้องทรมานแบบนี้ก็เพราะว่าอีกไม่เกินห้านาทีพวกเขาจะมาถึง ต้องเตรียมผ้าปิดตาบลาๆ วุ่นวายสุดๆ ดีนะ ที่งานวันเกิดไม่ได้มีแขกคนอื่นนอกเหลือจากเราสี่คน ป้าอุ่นและลุงตั้มก็ไปงานเลี้ยงเหมือนบ้านผม

"ปูนเข้าไปรอข้างในเหอะ เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการเอง"
พี่ทาร์ตเดินกลับมาหากันหลังจากคุยโทรศัพท์จบ เขาบอกให้ไปรอข้างในเพราะผมเริ่มต้นเกาแขนตัวเองจนแดงไปหมด จริงๆ ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมยุงชอบรุมกัดนักหนา ไม่ได้ใจบุญอะไรเลย

"ไม่เป็นไร เอ้ย พี่อินมาแล้วๆ"
ผมบอกก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วรีบเดินไปเปิดประตูรั้วทันที โดยมีพี่ทาร์ตตามมาติดๆ รถครอบครัวเข้ามาจอดเรียบร้อยพร้อมกับร่างบางที่ก้าวลงมาอย่างทุลักทุเลเพราะโดนพี่อินเอาผ้าอะไรสักอย่างคลุมหัวไว้ จริงๆ น้องจะโวยวายเอาออกก็ได้แต่ไม่ทำ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ไอ้ฟ่อนก็แพ้ทางคนๆ นี้ตลอด

"เฮ้ยๆ เดี๋ยวตกรถ นั่งอยู่เฉยๆ เลย"
เสียงพี่อินโวยวายดังลั่นเมื่อเห็นไอ้ฟ่อนพยายามจะลงจากรถทั้งๆ ที่โดนผ้าคลุมหัว จริงๆ แล้วไม่ต้องตื่นตูมขนาดนั้นก็ได้ ผมว่าน้องคงลืมตาแอบดูพื้นแล้วลงมาได้สำเร็จล่ะ ไม่อย่างนั้นคงหัวทิ่มไปนานแล้ว

"ก็เพราะใครล่ะวะ เอาผ้ามาคลุมหัวกันแน่ แล้วขู่ว่าถ้าเอาออกจะปล้ำ"
น้ำเสียงหงุดหงิดของไอ้ฟ่อนทำให้ผมกับพี่ทาร์ตหันมองหน้ากันแทบทันที ไม่คิดเลยว่าพี่อินจะใช้วิธีนี้บังคับน้อง... โคตรล้ำว่ะ เป็นผมจะไม่เชื่อฟัง เอ้ะ โทษๆ ไม่ใช่ดิ โอย เบลอว่ะ สงสัยกินอิ่มแล้วง่วง

"ก็เราไม่เชื่อฟัง ดื้อ"

"ก็พี่อินเล่นอะไรเป็นเด็กๆ"

"น่า... ทำตามกันสักครั้ง"

"ก็ทำอยู่นี่ไง"

"ดีมากครับ เดี๋ยวพี่พาเข้าบ้าน"

แล้วทั้งสองคนก็จูงมือกันกะหนุงกะหนิงเข้าบ้านแล้วปล่อยให้ผมกับพี่ทาร์ตมองตามไปอย่างอึ้งๆ ก็ไหนเตี๊ยมกันอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายพี่อินจัดการเองจนหมดเกลี้ยง คืออะไร งงเว้ย

"คือ..."
ผมพูดได้แค่นั้นเพราะคิดอะไรไม่ออก รู้สึกว่ามันเบลอๆ มึนๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ตกลงว่าหลังจากนี้ไม่ต้องทำตามแผนที่วางเอาไว้แล้วใช่ไหม พี่อินแค่หันมายิ้มให้แล้วไม่สนใจพวกเราอีกเลย... คือ งงอะ

"คิดอะไรมากล่ะครับ ให้ไอ้อินจัดการ เราแค่รอดูก็พอว่ามันจะมีเซอร์ไพร์สอะไรมากกว่าลูกโป่งพวกนั้น"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วพาดแขนแกร่งลงบนไหล่ของผม นี่ก็เนียนแต๊ะอั๋งกันจังเลยว่ะ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้อยากรู้แล้วว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลุ้นฉิบหาย

ไอ้ฟ่อนยืนคว้างอยู่กลางห้องรับแขกภายใต้ความมืดที่มีแค่แสงสว่างจากเทียนเล่มเล็กๆ บนเลมอนทาร์ต พี่อินคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมายโดยที่ผมยืนอยู่ด้านหลังของน้องเพื่อที่จะเอาผ้าคลุมหัวน้องออก พี่ชายคนดีรออยู่ตรงมุมห้องเพื่อกดเปิดสวิตซ์ไฟ

"ฟ่อน..."
เสียงพี่อินเรียกชื่อไอ้ฟ่อนอย่างนุ่มนวล ผมแทบจะออกอาการเขินแทนมันเมื่อเห็นดวงตาคมที่มองมา ทั้งอ่อนหวานทั้งแสดงความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน เซอร์ไพร์สที่ว่าอาจจะขอเป็นแฟนหรือเปล่า ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วผมอาจจะเดาถูก

"หือ..."
ไอ้ฟ่อนตอบกลับมาแค่นั้นทำให้ทั้งผมและพี่อินแทบจะเข่าอ่อน นึกว่ามันจะมีปฏิกิริยาตื่นเต้นมากกว่านี้ อย่าบอกนะว่าลืมวันเกิดตัวเอง

"วันนี้วันอะไรครับฟ่อน"

"วันเสาร์ไง พี่อินถามอะไรแปลกๆ นี่จะลืมตาแล้วเอาผ้าออกจากหัวได้ยังอะ อึดอัด"

แม่ง... ลืมวันเกิดตัวเองจริงๆ ว่ะ ได้ยินเสียงหัวเราะจากมุมมืดกับเสียงถอนหายใจจากพี่อิน ส่วนผมง้างกำปั้นจะเคาะหัวไอ้ฟ่อนอยู่แล้ว... เสียบรรยากาศสุดๆ

"วันนี้วันเกิดมึง ลืมเหรอวะ"
ผมก้มลงกระซิบข้างหูมันด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ไอ้ฟ่อนตกใจเล็กน้อยแล้วตอบกลับมาเสียงเบา

"ห๊ะ... จริงดิ ฟ่อนลืมอะพี่ปูน โอย ก็ว่าทำไมไอ้พี่อินทำตัวแปลกๆ"

"ฟายเอ้ย แดกปลาทองแทนข้าวเหรอ"
ผมลอบด่ามันไปด้วยเพราะตอนนี้น้องคงโต้กลับอะไรไม่ได้ โวยวายไม่ได้ เป็นโอกาสทองดีๆ นี่เอง

"ก็คนมันลืมปะวะ"

"เออๆ มึงนี่นะ"

"พี่ไม่คิดว่าฟ่อนจะขี้ลืมขนาดนี้ว่ะ แต่ยังไงก็ สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
พี่อินพูดหลังจากที่เราแอบกระซิบกระซาบกันอยู่เกือบสองนาที ผมรีบดึงผ้าคลุมออกจากหัวน้องหลังฟังประโยคนั้นจบแล้วรอลุ้นว่าปฏิกิริยาต่อไปของไอ้ฟ่อนจะเป็นอย่างไร




ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
“เฮ้ย... เลมอนทาร์ตน่ากินอะ”
ฟ่อนพูดเมื่อมันเห็นสิ่งที่พี่อินถืออยู่ชัดๆ ผมแทบจะตบหัวน้องเพราะดูเหมือนผิดโฟกัสไปอยู่มาก แทนที่จะแสดงอาการดีใจกลับกลายเป็นว่าตื่นเต้นกับของกิน โอย นี่มันอะไรกันเนี่ย แล้วเสียงหัวเราะจากมุมมืดคืออะไรวะ ตลกนักเหรอไง

“แม่ง... ไม่ตื่นเต้นหน่อยเหรอวะที่โดนเซอร์ไพร์สวันเกิดแบบนี้ ห่วงแต่เรื่องกินจริงๆ”
พี่อินว่าด้วยเสียงฉุนๆ ก่อนจะยื่นเลมอนทาร์ตที่มีเทียนปักอยู่ให้มันเป่า ไอ้ฟ่อนหัวเราคิกคักออกมาแล้วทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือพุ่งไปจูบปากคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วแล้วหลับตาเพื่ออธิษฐาน... โอ้โห นี่มันล้ำกว่าอะไรทั้งหมด มึงไม่กลัวพี่ชายบ้างหรือไงวะ

พี่อินถึงกับเบิกตาโตแล้วยังทำหน้าอึ้งๆ เหมือนไม่เชื่อว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ไอ้ฟ่อนเป่าเทียนดับไปแล้วก่อนที่ไฟทั้งห้องรับแขกจะสว่างขึ้นด้วยฝีมือของพี่ทาร์ต คราวนี้ล่ะที่ไอ้น้องตัวดีร้องว้าวซะเสียงดังจนทุกคนตกใจ แสดงว่ามันชอบสินะ

“โหย ชอบอะ สวยมากเลย ขอบคุณทุกคนนะครับ รักน้า”
น้องบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแล้ววิ่งไปกอดพี่ทาร์ตเป็นคนแรก เจ้าคนที่ไม่ชอบแสดงความรักกับน้องก็เอาแต่ผลักหัวทุยๆ นั่นออกห่าง ส่วนผมได้แต่รับกอดจากน้องมาเต็มๆ พร้อมกับจุมพิตที่แก้มแรงๆ หนึ่งทีให้คนขี้หึงตรงมุมห้องได้แยกเขี้ยวใส่ ส่วนกับพี่อินไอ้ฟ่อนไม่ได้กอดอะไร แค่ไปยืนตรงหน้าแล้วคลี่ยิ้มหวานๆ ดุท่าทางคงเขินกันพอตัวเลยว่ะ หลังจากนี้จะเจอฉากขอเป็นแฟนปะ เรามารอดูดีกว่า

“ปูนว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ผมหันไปมองด้านข้างตัวเอง เพิ่งรู้ว่าพี่ทาร์ตมายืนตรงนี้ เขามองตรงไปที่เพื่อนสนิทกับน้องชายของตัวเองที่จ้องกันไปกันมา ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเคยคิดจะหวงไอ้ฟ่อนบางหรือเปล่า แต่บางทีอาจจะเพราะว่าอีกคนคือพี่อินก็เป็นได้เลยไว้ใจ

“ก่อนจะตอบผมขอถามอะไรก่อนดิ”
ผมตัดสินใจแล้วว่าจะถามเรื่องที่ค้างคาใจมาหลายวัน สิ่งที่เห็นวันนั้นมันเกินคำว่าแค่จีบกันแล้วจริงๆ แทบจะข้ามขั้นไปเป็นผัวเมียเลยมั้ง พี่ทาร์ตเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่าก่อนจะพยักหน้าอนุญาตเมื่อผมไม่ยอมเปิดปากสักที ก็กำลังชั่งใจอยู่

“คือ... สองคนนั้นยังไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ”
ผมถามเบาๆ แล้วมองไปที่พี่อินกับไอ้ฟ่อน ไม่รู้พวกเขาสองคนจะยืนมองกันอีกนานแค่ไหนวะ ถ้าเป็นปลากัดอาจจะท้องไปแล้วก็ได้

“ก็เหมือนจะยัง แต่แม่งการกระทำมันเป็นผัวเมียกันได้แล้ว”
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายกับกำลังเบื่อหน่ายทั้งสองคนอย่างเต็มที่ แต่มันทำให้ผมถึงกับหันขวับไปมองหน้าเขาทันที ไอ้แบบนี้แสดงว่าต้องไปแอบรู้อะไรมาแน่ๆ จะตรงกับที่ผมคิดไว้หรือเปล่าวะ

“ห๊ะ... อย่าบอกนะว่าพี่เห็นเหมือนผม”

“เดี๋ยวๆ ปูนไปเห็นอะไรมา”
พี่ทาร์ตรีบละสายตามามองผมแทบจะทันที เราจ้องกันไปมาเพื่อสื่อความหมายบางอย่างแบบไม่ใช้เสียง แต่เชื่อไหมว่าไม่ชัดเจนหรอก

“เอ่อคือ...”
ผมยังพูดไม่จบก็ได้ยินเสียงพี่อินดังขึ้นมาขัดซะก่อน เราทั้งสองคนเลยเบนความสนใจไปที่พวกเขาและรอฟังว่าจะเกิดอะไรต่อจากนี้ จะมีหนังรักฉากหวานๆ ตรงนี้น่ะเหรอ...

“ฟ่อน... พี่ก็จีบเรามานานแล้วนะ ตอนนี้พร้อมจะเป็นแฟนกันหรือยัง”
เป็นอย่างที่คาดจริงๆ พี่อินเซอร์ไพร์สไอ้ฟ่อนด้วยการขอเป็นแฟน... ต่อหน้าต่อตาคนอื่นซะด้วย อยากได้พยานรักหรือยังไงวะ แต่ก็ดีนะ ถือว่าเป็นการเปิดเผยไม่ได้ปิดบังอะไร

“เฮ้ย ขอต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ไม่อายหรือไงวะพี่อิน”
ไอ้ฟ่อนพูดแบบนั้นแล้วเหลือบสายตามามองผมกับพี่ทาร์ตเล็กน้อย เหมือนจะดูว่าพวกเราสนใจมันแค่ไหน เอาจริงๆ นะ เรื่องแบบนี้ใครมันพลาดก็โง่เต้มทนแล้ว จ้องกันตาไม่กระพริบขนาดนี้

“ทีเมื่อกี้จูบพี่ต่อหน้าทุกคนยังไม่อายเลย ขอเป็นแฟนแค่นี้ทำไมต้องอายวะ”
เรื่องนี้ผมกับพี่ทาร์ตพยักหน้ารัวๆ เพราะเห็นด้วย แค่พี่อินขอเป็นแฟนทำไมต้องอายวะ ไอ้ฟ่อนถึงขนาดขโมยจูบยังหน้าด้านหน้าทนอธิษฐานกับเค้กวันเกิดได้แบบไม่สะทกสะท้าน บางทีก็คิดว่าตรรกะครอบครัวนี้แปลก... พี่กับน้องไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ในบางเรื่อง

“อะ... ยอกย้อนเหรอพี่อิน เดี๋ยวฟ่อนไม่ตกลงเลยนี่”
ไอ้ฟ่อนก้มหน้าหลบสายตาพี่อินด้วยท่าทางเขินอายที่คนนอกมองว่าน่าถีบและแอบเล่นตัว ทั้งๆ ที่ดูท่าทางอยากจะตอบตกลงไปตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ผมไอ้แต่ยืนเบะปากอย่างหมั่นไส้โดยไม่ทันระวังอีกคนที่มายืนซ้อนหลังกันตอนไหนก็ไม่รู้ รู้อีกทีก็โดนพี่ทาร์ตเอามือมากอดเอวนั้นล่ะ เห็นเข้าพลอดรักกันตัวเองอิจฉาหรือไง

“ไม่เป็นไร พี่มีวิธีให้เราตกลง”
พี่อินยังคงตอบโต้กับไอ้ฟ่อนต่อไป ผมว่าเขาเริ่มเจ้าเล่ห์ขึ้นแล้วนะ เหมือนๆ พี่ทาร์ตที่เอาหน้ามาซุกซอกคอกันตอนนี้ พอไม่ขัดขืนหรือออกปากไล่ก็ลวนลามกันใหญ่โต แม่ง... กำลังลุ้นเรื่องชาวบ้านอยู่อย่ามากวนตอนนี้สิวะ ตีมือก็แล้ว หยิกแขนก็แล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าเขาจะยอมปล่อย เอาเถอะ คงไม่คิดปล้ำกันตรงนี้หรอก... มั้ง

“ยังไงห๊ะ”
เฮ้ยๆ มันกำลังจะทะเลาะกันหรือเปล่าวะนั่น

“ปล้ำไง”
เออะ... แบบนี้คงทะเลาะกันตัวเปล่าเสื้อผ้าไม่เกี่ยวล่ะมั้ง เฮ้ย พี่อินแม่งหื่นกว่าพี่ทาร์ตแล้ว ตอนแรกนึกว่าจะเป็นชายหนุ่มสุภาพภูมิฐานน่ายำเกรงวะอีก ที่ไหนได้นิสัยไม่ต่างกันเลยว่ะ แล้วนี่ไอ้คนด้านหลังมันเริ่มเอามือมาลูบเอวกันตั้งแต่เมื่อไหร่

“ไอ้บ้า ไม่ต้องมาปล้ำคนอื่นเลย ยอมเป็นแฟนก็ได้เหอะ”
ไอ้ฟ่อนตกลงเป็นแฟนกับพี่อินในขณะที่ผมหาทางแกะมือพี่ทาร์ตออกจากตัว ทำไมมันวุ่นวายแบบนี้วะเนี่ย เมื่อครู่ยังเผือกเรื่องชาวบ้านอยู่เลย ทำไมตอนนี้ต้องมาหาทางเอาตัวรอดล่ะ

“ตกลงเป็นแฟนกันแล้วนะ ห้ามคืนคำ”
มาช่วยผมก่อนไหมครับพี่อิน ไอ้พี่ทาร์ตมันจะอุ้มผมขึ้นห้องอยู่แล้วเนี่ย หน้าไอ้ฟ่อนไม่ได้มีคราบอะไรติดหรอกไม่ต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้เว้ย ช่วยสนใจสรรพสิ่งรอบข้างกันหน่อย เฮ้ๆ

“ใครจะไปคืนคำกันเล่า รักขนาดนี้”
ในขณะที่ไอ้ฟ่อนเขินม้วนอยู่ทางนั้น ผมก็ได้จังหวะต่อยท้องไอ้พี่ทาร์ตแบบพอดิบพอดี และมันส่งผลให้คนหื่นกามถึงกับตัวงอ ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกเพราะความเจ็บปวด สมน้ำหน้า อยากทำอะไรไม่ดูเวล่ำเวลาเอง ถ้าอยู่ในห้องนอนก็ว่าไปอย่าง... 

“เลี่ยนๆ ทาร์ตนี่มึงจะกินกันไหม ถ้าไม่กูจะเอาไปกินกับปูนสองคนแล้วนะ”
พอเขาตั้งตัวได้ก็หันไปทำหน้าบอกบุญไม่รับกับสองคนนั้นแถมยังฉุดแขนผมให้เดินไปร่วมวงอีกด้วย จริงๆ อยากสารภาพว่าตามไม่ทัน เปลี่ยนอารมณ์ไวยิ่งกว่าพายุอีก อยู่ด้วยกันนานๆ ไป ใครจะเป็นบ้าก่อนกันวะ

“เฮ้ย อิจฉาแล้วพาลเหรอมึงอะ”
พี่อินหันมาต่อปากต่อคำกับพี่ทาร์ตแล้วคว้าตัวไอ้ฟ่อนไปกอดไว้แนบอก ปกติแล้วน้องมันจะดีดดิ้นหนีอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้กลับซบหน้าลงบนอกแกร่งซะอย่างนั้น ดูไปดูมาก็แอบหมั่นไส้เล็กๆ น้องชายเรามันแรดจริงๆ ว่ะ

“อะไร ใครอิจฉา แฟนกูน่ารักกว่าไอ้ฟ่อนอีก”
พี่ทาร์ตบอกอีกคนอย่างไม่ยอมแพ้แล้วดึงผมเข้าไปกอดไว้บ้าง แต่อย่าหวังว่าจะยอมง่ายๆ เลย เพราะถ้าปล่อยให้เขาทั้งคู่ฟาดฟันกันไปมาแบบนี้ มีหวังโดนจูบโชว์แน่ๆ ลางสังหรณ์มันบอกแบบนั้น

ผมดันอกพี่ทาร์ตให้ออกห่างซึ่งมันก็ได้ผล เพราะเขายังมีความผิดติดตัวอยู่ก่อนหน้านี้เลยไม่กล้าทำอะไรมาก แต่ไม่วายยักคิ้วกวนๆ ใส่พี่อินอีก สรุปว่าเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่ใช่คู่แข่งนะ ทำไมแสดงอาการอยากเอาชนะกันขนาดนี้

“แหม ไอ้คนหลงแฟน”
พี่อินแขวะกลับมาสั้นๆ แต่นั่นเป็นตัวจุดประเด็นเรื่องที่ผมอยากรู้มานานแสนนานเลยล่ะ พูดง่ายๆ คงเข้าตัวเองล้วนๆ โดยที่คนอยากรู้ไม่ต้องพยายามอะไรให้ยุ่งยากแม้แต่นิดเดียว

“มึงก็ไม่ต่างปะไอ้อิน อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะที่มึงจะปล้ำน้องกูหน้าบ้านน่ะ แม่ง ไม่อายเจ้าที่บ้างวะ”
เข้าประเด็นแล้วก็ยาวเลยครับพี่น้อง ไอ้ฟ่อนที่โดนพาดพิงถึงกับสะดุ้งแล้วผละตัวออกมาอย่างเนียนๆ มันกำลังจะหนีจากสถานการณ์น่าอึดอัดแต่มีหรือที่ผมจะยอมเลยคว้าข้อมือแล้วพาน้องเดินหนีออกมาจากบริเวณนั้น ปล่อยให้พี่ๆ ทะเลาะกันเองจนหนำใจ

“อายก็แปลกแล้ว มึงก็รู้ว่ากูหน้าด้าน”

“ไอ้อิน... นั่นน้องกูมีพ่อมีแม่ คิดจะปล้ำได้ยังไงวะ”

“พูดงี้ต้องการอะไร”

“ถ้ามึงอยากได้มันเป็นเมีย ก็มาขอหมั้นก่อน”

“โห ไอ้คนขี้หวงน้อง”

“ใครบอกว่ากูหวง มึงมั่ว”

มันเป็นสิ่งที่ดังไล่หลังเราทั้งสองคนมาจนเงียบหายไปในที่สุดเมื่อผมลากน้องมาจนถึงลานจอดรถหน้าบ้านซึ่งมีกรงไอ้ขนมตั้งอยู่ด้วย ฟ่อนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บ่งบอกว่าไม่อยากให้ซักถามอะไรเรื่องที่พี่ทาร์ตพูดออกมามากนัก แต่พอดีว่าผมอยากรู้มานานเลยไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ หรอก ขอโทษนะที่ทำให้ผิดหวังที่พี่เป็นคนขี้เผือก...

“ฟ่อน...”
ผมเรียกชื่อน้องเพื่อลองเชิงดูปฏิกิริยาตอบรับ แล้วมันก็เป้นอย่างที่ขาดไว้จริงๆ ว่าเขารู้ตัว มันหันมาทำหน้าหงอยใส่กันก่อนที่แขนเล็กๆ จะเขามากอดรอบแขนไว้ด้วยท่าทางออดอ้อน อย่าคิดว่าจะยอมใจอ่อนนะเว้ย ไม่มีทาง ในเมื่อเริ่มเผือกแล้วก็ต้องผือกให้จบ มันคือปรัชญาชีวิต

“ไม่ถามเรื่องเมื่อกี้ได้ไหมอะ”
ไอ้ฟ่อนพูดเสียงอู้อี้เพราะมันเอาแต่ซบหน้าอยู่กับต้นแขนของผม ไม่รู้ว่าจะอายอะไรนักหนาทั้งๆ ที่กล้าทำเรื่องแบบนั้น ยังจำได้ดีว่าตอนเกิดเหตุการณ์น้องไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแบบเด็ดขาดเลย เหมือนใจหนึ่งก็ยอมใจหนึ่งก็กลัว

“ต้องถามสิวะ มันประเจิดประเจ้อนะเรื่องแบบนั้น”
น้ำเสียงของผมเริ่มดุ เพราะคิดถึงภาพเหตุการณ์วันนั้นแล้วจำฝังใจ ถ้าหากว่าคนที่มาเจอไม่ใช่ผมจะเป็นยังไง...

“พูดแบบนี้แสดงว่าพี่ก็เห็นเหรอ”
ไอ้ฟ่อนถามเสียงสั่น ซึ่งผมก็พยักหน้ารับแบบไม่ปิดบัง เห็นแบบเต็มสองตาถึงจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่เพราะมองลอดซี่รั้วก็เถอะ

“เออดิ วันที่มึงยืนนัวเนียกับพี่อินที่ลานจอดรถ กูกำลังจะกระโดดข้ามรั้วมาเล่นกับไอ้ขนมพอดี”
ผมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้อย่างลื่นไหล แต่รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนขึ้นพิกล ทำไมต้องมีฉากไซร้คอให้ขนลุกเล่นด้วยล่ะวะ เหลือบสายตาไปมองไอ้ฟ่อนก็พบว่ามันยืนหน้าแดงก่ำอยู่ไม่ห่างกัน

“แม่ง... ก็บอกพี่อินแล้วนะว่าเดี๋ยวมีคนมาเห็นอะ”
น้องบ่นอุบอิบทำให้ผมหน้าตึงขึ้นมาทันที อะไรคือตัดพ้อพี่อินวะ ควรจะตกใจไม่ใช่หรือไง ตลกแล้วมึง

“ปฏิเสธเขาไม่เด็ดขาดเองปะมึง”
ผมว่าเสียงดุแล้วแจกมะเหงกให้ไอ้ฟ่อนไปหนึ่งครั้งเพราะหมั่นไส้ เรื่องแบบนี้มันต้องผิดกันทั้งสองฝ่ายนั่นล่ะ คนหนึ่งก็หื่นเกินไป อีกคนก็คล้อยตามเขาซะอย่างนั้น

“ก็... อือ มันรู้สึกดีนี่หว่า”
ไอ้ฟ่อนก้มหน้าลงต่ำแล้วเข้ามากอดผมไว้แน่น ใบหน้าหวานๆ ซุกลงที่อกไม่ยอมสบตากัน เข้าใจว่าต้องมาพุดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นมันอายแค่ไหน แต่... ช่างมันเถอะ คิอะไรไม่ออกเลยว่ะตอนนี้

“แม่ง... ไปไม่เป็นเลยกู โอ้ย”

“พี่ปูนอ่า อย่าดุ”
น้ำเสียงอ้อนๆ ทำให้ผมต้องยกมือลูบหัวปลอบมันอย่างเต็มใจ ไม่ได้จะดุอะไรหรอกน่า

“กูเปล่า แต่อยากเตือน”

“อื้อ จะไม่ทำอีกแล้ว ถ้าพี่อินทำจะทุบแม่งเลย”
ไอ้ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมหลุดหัวเราะจนได้ ที่จริงก็แค่ออกปากห้ามแบบเด็ดขาดก็คงพอแล้ว ถึงขนาดจะไปทุบเขากลัวว่ามันจะโดนลากไปปล้ำแน่ๆ

“เออๆ กลับไปกินเลมอนทาร์ตกันเหอะ กูเล็งมาตั้งแต่บ่ายแล้ว”
พอนึกขึ้นได้ว่าในบ้านยังมีเลมอนทาร์ตรออยู่ก็อยากกินขึ้นมา อุตส่าห์เล็งไว้ตั้งแต่บ่ายตอนนี้สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้วยังไม่ได้แตะเลย เพราะไอ้ฟ่อนกับพี่อินนั่นล่ะ เซอร์ไพร์สกันไม่เสร็จสิ้นสักที

“แหม นึกว่าอยากกินคนทำมากกว่า”
ไอ้ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนก่อนจะเอาไหล่มากระแซะกัน จนทำให้ผมต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่ อะไรดลใจให้คิดแบบนั้นวะ โคตรอกุศลเลย ขนลุก!

“ไอ้ฟ่อน”
ผมกดเสียงต่ำเรียกชื่อน้องเป็นการขู่ว่าถ้ามึงยังพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกจะหาอะไรมาอุดปากจริงๆ

“จ้าๆ กินเลมอนทาร์ตจ้า ปะๆ”
สุดท้ายมันก็ต้องยอมแพ้ผมอยู่ดีล่ะน่า


----------------------------------------------

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
คู่ฟ่อนแซงหน้าไปแล้ววววว
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
พี่อินแกคิดแต่จะปล้ำฟ่อนอย่างเดียว 555


ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 22

Matcha Cream Brulee
: ผงชาเขียว/วิปปิ้งครีม/ไข่แดง/น้ำตาล :




ถ้าถามถึงชีวิตรักของผมกับพี่ทาร์ตในช่วงนี้แล้วล่ะก็ถือว่าดำเนินไปอย่างราบรื่นแต่เสียอยู่อย่างเดียวตรงที่เขามีเวลาว่างไม่มากนักเนื่องจากต้องศึกษางานบริหารโรงแรมหนักขึ้นกว่าเดิม จะไปเที่ยวด้วยกันแต่ละครั้งนี่นัดแล้วนัดอีก โดนเบี้ยวตลอด

อย่างวันนี้ผมก็โดนทิ้งให้คว้างอยู่บ้านทั้งๆ ที่ตอนแรกจะไปดูหนัง อืม... ช่างเหอะ ผมเข้าใจว่าอะไรสำคัญกว่ากัน แต่ก็งดเหงาไม่ได้จนต้องปีนรั้วไปหาไอ้ฟ่อนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในสวน มันขึ้นมอหกแล้ว กำลังเตรียมสอบเข้ามหา'ลัยล่ะ

"ฟ่อน!"
ผมย่องเข้าไปด้านหลังก่อนจะตะโกนเสียงดังพอตัวเพื่อให้มันตกใจ แต่ผิดคาดตรงที่น้องยังนั่งนิ่งๆ แต่ไอ้ขนมสะดุ้งตื่นแทน หมดสนุกเลยแบบนี้ เฮ้อ

"พี่ปูนเล่นอะไร หูจะแตกแล้วเนี่ย"
ฟ่อนหันมาบ่นกันเบาๆ แล้วย่นจมูกใส่ ท่าทางของมันนิ่งเฉยซะจนผมหมดอารมณ์จะแกล้ง และได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะอุ้มไอ้ขนมมาไว้บนตัก

"ไม่ตกใจบ้างเหรอวะ เซ็ง"
ผมบ่นก่อนจะก้มลงจับให้ไอ้ขนมนอนหงายท้องแล้วใช้มือเกาพุงมันเล่น ฟ่อนหัวเราะออกมาเบาๆ ราวกับเรื่องเมื่อครู่มันตลกนักหนา ก็ใช่สินะ ผมหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ขนาดนั้น อายไหมล่ะ

"ไม่อะ ช่วงนี้สมาธิดี แล้วนี่ผีเข้าเหรอถึงได้ข้ามรั้วมาหาฟ่อนได้อะ"
มันพูดเสียงทะเล้นแล้วถอดแว่นสายตาวางไว้ตรงหน้าก่อนจะหันมามองกัน ผมเบ้ปากใส่เพราะคำพูดเมื่อครู่แทงใจดำ ไม่แปลกที่น้องจะสงสัยหรือเหน็บแนม เพราะร้อยวันพันปีจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นสักครั้ง ปกติแล้วรำคาญไอ้เด็กคนนี้จะเป็นจะตาย ยากที่จะเดินเข้ามาหาเอง

"พี่มึงอะดิ เบี้ยวนัดกูอีกแล้ว ลุงตั้มให้ศึกษางานหนักขนาดนั้นเลยเหรอ"
ผมพูดเสียงอ่อยแล้วละมือจากท้องไอ้ขนม อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากร้องไห้แปลกๆ เพราะช่วงนี้เวลาจะคุยกันแบบปกติยังไม่มีเลย แต่เพราะคำว่างานยุ่ง ก็เลยไม่กล้างอแงใส่กลัวเขาจะเหนื่อยมากกว่าเดิม

"พี่ทาร์ตแอบมีกิ๊กปะเนี่ย ช่วงนี้ป๊าให้พักร้อนนะ ไม่เห็นจะป้อนงานอะไรเลย"
ไอ้ฟ่อนโผล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่างงสุดชีวิต แต่ผมกลับเครียดและขมวดคิ้วแน่น โพกัสแค่ประโยคแรก เพราะในใจก็แอบหวั่นกลัวว่าพี่ทาร์ตจะแอบมีคนอื่นจริงๆ เพราะหน้าก็แทบไม่ได้เห็นเลย...

"เดี๋ยวต่อยปากแตก ทำให้กูคิดมากอะ"
ผมพูดไม่เต็มเสียงนักเพราะในหัวความคิดกำลังตบตีและหาเหตุผลต่างๆ มาแย้งกันตลอด มันต้องไม่ใช่อย่างที่ไอ้ฟ่อนพูดสิวะ ก็พี่ทาร์ตเขาบอกว่ารักผม... ต้องเชื่อใจกันสิ ห้ามระแวง ห้ามกังวล ห้ามๆๆ

"เอ้า ก็พี่ทาร์ตพักร้อนอยู่จริงๆ ตั้งแต่วันพฤหัสแล้ว"
ไอ้ฟ่อนพูดย้ำสิ่งที่ตัวเองรู้มาอย่างชัดเจน แต่มันทำให้ผมถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเองเพราะว่าตั้งแต่วันพฤหัสที่มันบอกมานั้นยังไม่ได้เจอหน้าพี่ทาร์ตสักครั้ง เขากลับบ้านดึกออกไปทำงานเช้าตลอด แล้วเรื่องพักร้อนคืออะไร หรือน้องแค่อยากอำกัน...

"มึงอย่าอำ พี่ทาร์ตบอกกูว่าช่วงนี้งานยุ่งมากนี่ จะพักร้อนได้ไงวะ"
ผมแย้งขึ้นเมื่อคิดทบทวนสิ่งที่พี่ทาร์ตบอกและกระทำกับตัวเอง พยายามเชื่อ... เชื่อว่าเขายังคงซื่อสัตย์อยู่เหมือนเดิม หรือจริงๆ แล้วตั้งแต่คบกันมาไม่เคยมีความจริงใจให้กัน ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย ทั้งๆ ที่คิดว่าทุกอย่างจะไปได้สวย เพราะที่ผ่านมาเรื่องมือที่สามไม่เคยมีปัญหา ไม่มีใครกล้าแทรกกลางระหว่างเรา

"ไม่เชื่อโทรไปถามป๊าได้เลย ฟ่อนจะโกหกพี่ปูนทำไมอะ แล้วอีกอย่างนะ... อย่าลืมเด็ดขาดว่าพี่ทาร์ตเป็นเสือผู้หญิงมาก่อน นิสัยเดิมๆ อาจจะกลับมาก็ได้"
คำพูดยาวยืดของฟ่อนมันตอกย้ำชัดเจนว่าพี่ทาร์ตกำลังโกหกคำโตใส่กัน ใบหน้าและดวงตาของมันไม่ได้มีแววล้อเล่นเลยสักนิด ผมได้แต่นั่งเงียบกำมือแน่นจนขึ้นข้อขาว หัวใจกำลังสั่นไหว ความกลัวกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ และที่สำคัญขอบตากำลังร้อนผ่าว คล้ายจะร้องไห้... ผมกำลังคิดมากและอ่อนแอ พี่ทาร์ตกำลังเบื่อหรือนิสัยเดิมๆ มันแก้ไม่หายอย่างนั้นเหรอ ควรจัดการยังไงดี ควรทำอะไร ควรรู้สึกแบบไหนล่ะ ช่วยบอกที

"เชี่ยฟ่อน... กูร้องไห้จริงๆ นะเว้ยถ้าเป็นแบบนั้น"
ผมพูดเสียงสั่นแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง เผื่อว่ามันจะช่วยให้ขอบตาหายร้อนได้บ้าง แต่เปล่าเลย ยิ่งทำแบบนี้มันกลับรู้สึกโหยหาสัมผัสบางอย่างจากพี่ทาร์ต ไม่ว่าจะเป็นการจับมือ ลูบหัว แตะต้องตัว  หอมแก้ม หรือแม้กระทั่งจูบ... ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับรักครั้งแรกและคาดว่าคงเป็นรักสุดท้ายแบบนี้

"แค่เตือนให้คิด ไม่ใช่ว่าจะเป็นจริงสักหน่อยนี่ มีอะไรก็หันหน้าคุยกันสิครับ"
ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงก่อนจะใช้มือลูบไหล่กันเป็นการปลอบประโลม แต่สิ่งที่น้องแนะนำมันพูดง่ายแต่ตอนจะทำจริงๆ ควรเริ่มต้นยังไงล่ะ

"จะให้กูคุยอะไรล่ะฟ่อน ถามตรงๆ งี้เหรอว่าทำไมต้องโกหก มีกิ๊กหรือเปล่าเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว"
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า มีบางช่วงขาดหายจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง ตอนแรกก็เชื่อว่าเขางานหนัก แต่ตอนนี้มันกลับพังทลายเหลือแค่ความหวาดระแวง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพี่ทาร์ตคงมีเหตุผลที่จำเป็นต้องโกหกก็เป็นได้ แต่มันไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลยนี่สิ

"ก็ลองดู มันไม่เสียหายนะพี่ปูน พี่ทาร์ตคงจะตอบอะไรกลับมาบ้าง"

"ไม่อะ กูไม่กล้า กูกลัวคำตอบ..."
ยอมรับว่าป๊อด เพราะยังไม่กล้าถามและยังไม่ได้เตรียมใจสำหรับคำตอบ

"ฟ่อนเข้าใจนะ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เรื่องของคนสองคนน่ะ ต้องเคลียร์กันเอาเอง"

"เออ กูรู้ ขอเวลาทำใจก่อนดิวะ เหี้ยเอ้ย"
ผมสบถออกไปแล้วฟุบหน้าลงบนโต๊ะ บางทีความมืดอาจจะทำให้จิตใจสงบลงได้บ้าง อากาศตอนนี้คงร้อนไปหน่อยล่ะมั้ง เลยทำให้อะไรๆ ก็รู้สึกแย่ไปหมด เพิ่งเข้าใจคำว่ามีรักก็ต้องมีทุกข์ก็คราวนี้นี่เอง ทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบจริงๆ สินะ เฮ้อ

"ใจเย็นๆ น่า กินขนมปะ เดี๋ยวฟ่อนไปหยิบมาให้ หรือจะเป็นน้ำอัญชันดี"
ฟ่อนถามก่อนจะใช้มือแตะไหล่กันเบาๆ ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองแต่อย่างใด เพราะกลัวว่าน้ำตาจะไหล

"ขอน้ำอัญชันก็พอ..."
ถ้ามีน้ำบัวบกคงขอมาแทนแล้วล่ะ ไว้แก้ช้ำใน... เพราะตอนนี้บอบช้ำเหลือเกิน

"โอเค รอก่อนนะ"
เสียงฝีเท้าไกลออกไปแล้ว ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ฟ่อนหายไป แต่ความมืดในอ้อมแขนของตัวเองบวกกับความเหนื่อยล้าจากการปั่นงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อวันปิดเทอมสิ้นปีก็ดึงให้สติสัมปชัญญะจมลงสู่ห้วงนิทรา

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงยวบด้านข้าง ดวงตารีพยายามมองหนาแสงสว่างที่มีน้อยนิดภายในห้อง เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเผลอหลับไปนาน เดี๋ยวนะ ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะในสวนไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมตอนนี้...

"ตื่นแล้วเหรอครับ"
น้ำเสียงทุ้มต่ำของคนที่เป็นสาเหตุให้เตียงยวบดังขึ้น ผมชะงักความคิดแล้วหันไปมองพี่ทาร์ตด้วยความตกใจ เขากลับมาตั้งแต่ตอนไหน แถมยังแบกกันขึ้นมาบนห้องตัวเองอีก

"คะ ครับ พี่ทาร์ต... อุ้มผมขึ้นมาเหรอ"
ผมพยายามขยับตัวเพื่อที่จะลุกขึ้นนั่งแต่กลับโดนมือหนาจิ้มหน้าผากเอาไว้เป็นเชิงห้าม

"นอนไปครับ มีไข้ต้องพักผ่อน"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง และตอนนี้เองที่ผมได้ตระหนักว่าตัวเองไม่ปกติ ทั้งปวดเมื่อยตัวและปวดตา เมื่อครู่คงตกใจมากไปหน่อยไม่ทันรู้สึกอะไร แย่จริงๆ

"อือ ขอโทษที่ทำให้ลำบาก"
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ยอมสบตากับพี่ทาร์ต ตอนนี้ทุกอย่างมันดูกระอักกระอวนไปหมด

"ทำไมพูดแบบนั้นวะปูน พี่ไม่ได้ลำบากอะไร"
พี่ทาร์ตขมวดคิ้วยุ่งแล้วพยายามจับใบหน้าของผมเอาไว้อย่างเบามือ แต่ตอนนี้แค่การสัมผัสจากอีกคนก็ทำให้น้ำตารื่นขึ้นมาได้ มันทรมานที่ต้องคอยเก็บความรู้สึกเวลาโดนคนที่รักโกหก

"ก็ช่วงนี้งานเยอะไม่ใช่เหรอ แค่ดูแลตัวเองก็คงเหนื่อย ไม่ต้องดูแลผมเพิ่มหรอก"
พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมถึงหัว ไม่อยากเห็นสายตาเป็นห่วงเป็นใยนั้น เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร รักหรือแค่สงสารกันนะ

"ปูนเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมพูดจาแปลกๆ"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับสัมผัสเบาๆ ที่แตะลงมาบนหัว ผมเม้มปากแน่นเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้ อยากรู้ว่าทำไมต้องโกหก แต่ไม่กล้าถาม หัวใจมันสั่นไหว ความคิดปั่นป่วนไปหมด

"ไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้งานยุ่งเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ"

"อืม... ก็ต้องเข้าไปที่โรงแรม มีประชุม"
ประชุมอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ จะโกหกกันตลอดชีวิตเลยหรือยังไง

"งั้นเหรอ... แต่ฟ่อนบอกผมว่าพี่พักร้อนยาวจนถึงสิ้นปี"
ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวจนหลุดปากถามออกไป หัวใจราวกับถูกมือของใครบางคนบีบเค้น มันปวดหนึบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ถ้าคำตอบของเขาคือการที่ต้องแบ่งเวลาให้ใครอีกคน ผมคง... เสียใจ

"คือเรื่องนั้นมัน..."

"ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อว่าพี่ทาร์ตมีเหตุผลมากพอที่โกหก"
พี่ทาร์ตยังพูดไม่ทันจบแต่ผมก็แทรกขึ้นเพราะตอนนี้ไม่พร้อมจะฟังอะไรทั้งนั้น น้ำตามันกำลังไหลลงมาเงียบๆ โดยไร้เสียงสะอื้นใดๆ ทำไมต้องกลายเป็นคนอ่อนแอขนาดนี้ ทำไมต้องกลายเป็นคนคิดมากเวลามีความรัก ถ้าเป็นแต่ก่อนเรื่องแบบนี้มันธรรมดามากเลยนะ... รับได้อยู่แล้ว

"ปูน..."
พี่ทาร์ตเรียกชื่อกันด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบกระซิบ ผมไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาดูกระอักกระอวน ถ้าเป็นปกติแล้วไม่ว่าจะยังไงต้องบังคับให้ฟังคำอธิบาย แต่นี่เหมือนกับว่าจะยอมปล่อยเรื่องมันผ่านไป

"ผมขอนอนต่อหน่อยนะ ดีขึ้นแล้วจะกลับบ้านเองครับ"
ผมตัดบทเองแล้วหลับตาลง ไม่ได้สนใจว่าหลังจากนั้นพี่ทาร์ตจะพูดอะไรบ้าง เพราะไม่อยากฟังเองล่ะมั้ง เขาเลยไม่อยากพูดอะไร จริงๆ ถ้าจะโทษคงต้องโทษตัวผมที่ใจไม่แข็งพอ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่จะเป็นฝ่ายตั้งคำถามนั้นกับพี่อีกรอบนะ

จากวันนั้นมาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผมกับพี่ทาร์ตยังคงมึนตึงใส่กันไม่เลิก จริงๆ เขาก็พยายามเข้ามาคุยด้วย แต่ความไม่พร้อมอะไรหลายๆ อย่างของตัวเองจึงหาทางหลีกเลี่ยงอยู่ร่ำไป

ผมกำลังนั่งหายใจทิ้งรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ ทุกอย่างรอบตัวดูหน้าเบื่อไปซะหมด ทั้งๆ ที่ไอ้กู๊ดก็มาหาถึงที่บ้าน แถมยังหอบขนมมาฝากอีก ณ ตอนนี้ของโปรดก็ไม่ได้ช่วยเยียวยาหัวใจเอาซะเลย ทำไมถึงเป็นคนขี้ขลาดขนาดนี้

"มึงจะถอนหายใจอะไรนักหนาวะไอ้ปูน"
คนที่แช่น้ำอยู่ในสระถามขึ้นด้วยใบหน้าสงสัย ผมได้แต่เลิกคิ้วมองมันแล้วส่ายหน้าตอบกลับไป มือเรียวก็ลูบหัวไอ้ขนมที่แอบขโมยมาจากบ้านนู้นไปด้วย คิดถึงเจ้าของหมาว่ะ ป่านนี้จะไปทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

"กูรู้ว่ามึงมีเรื่องไม่สบายใจ ระบายบ้างก็ได้ เก็บไว้แล้วเงินจะงอกขึ้นมาหรือไง"
ไอ้กู๊ดเบ้ปากใส่กันราวกับว่าโดนขัดใจเพราะผมเอาแต่ปิดบัง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเฝ้าถามว่าเป็นอะไรหรือเครียดอะไร ความจริงแล้วก็อยากระบายให้ใครสักคนฟัง แต่กลัวจะโดนหาว่างี่เง่า คิดมาก หรืออีกอย่างคือ กลัวเขาสันนิษฐานเรื่อราวตามไอ้ฟ่อน...

"แซะกูจังนะมึง"
ผมมองหน้ามันครู่เดียวก่อนจะก้มหน้าลงไปเกาหูให้ไอ้ขนมต่อ ไม่อยากให้ไอ้กู๊ดทำหน้าตาเป็นห่วงมากกว่านี้ เพราะสงสารเพื่อนที่ต้องมาคอยกังวลกับตัวเอง

"ก็ดูสภาพมึงดิ เหมือนคนเครียดตลอดเวลา ไม่ยิ้มไม่หัวเราะ"
ไอ้กู๊ดเอ่ยน้ำเสียงจริงจังแล้วเอามือที่เปียกน้ำขึ้นมาวางไว้บนขาของผม อยากจะด่ามันที่ทำกางเกงชื้นแต่ก็พูดไม่ออกเพราะแววตาคมนั้นกำลังฉายแววเป็นห่วงกันอยู่ คงไม่ได้ตั้งใจแกล้งอะไร คงแค่ใช้การสัมผัสให้รู้ว่าเพื่อนคนนี้ยินดีจะรับฟังเรื่องราวต่างๆ เสมอ

"เฮ้อ อืม... ก็เครียดนิดหน่อย"
ในที่สุดผมก็ยอมแพ้แล้วปล่อยลมหายใจออกมายาวๆ ดวงตารีเสมองไปทางอื่นอย่างใช้ความคิดว่าควรเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจากตรงไหนดี แค่คิดถึงต้นเหตุก็พาลให้รู้สึกจุกหน้าอกยังไงไม่รู้

"กูว่าไม่หน่อยแล้ว หน้าเหมือนคนขี้ไม่ออกสะสม"
ไอ้กู๊ดพยายามพูดตลกให้ขำ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะผมยังหาจุดเริ่มต้นที่จะเล่าเรื่องไม่เจอ

"ก็ไม่ขนาดนั้น... มั้ง"
ผมกำลังโกหกแบบไม่แนบเนียนเอาซะเลย เพราะปลายประโยคกลับเผลอต่อท้ายด้วยคำที่แสดงความไม่แน่ใจอย่างชัดเจน ส่งผลให้เพื่อนสนิทที่ยังแช่ตัวอยู่ในน้ำขยับถอยห่างออกไปจากขอบสระแล้วจ้องมองกันอย่างต้องการคำตอบ

"เป็นอะไร ไหนว่ามา เดี๋ยวกูเป็นที่ปรึกษาให้เอง"
น้ำเสียงจริงจังของไอ้กู๊ดมาพร้อมกับแววตาแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน มือหนาเฉยผมที่เปียกชื้นขึ้นเพราะมันบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้า อยู่ๆ ก็มีความคิดอยากจะเก็บภาพเมื่อครู่ไว้ให้แทจุนดู เพราะเพื่อนสนิทดูเท่เหลือเกิน

"จะดีเหรอวะ"
ผมถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ

"ดีสิ"
ไอ้กู๊ดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"จริงเหรอ"
ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลงกว่าเดิมเมื่อเริ่มกลัว

"เออ"
ไอ้กู๊ดตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างบอกว่ากำลังไม่สบอารมณ์และกำลังจะหมดความอดทน อาจจะปล่อยให้ผมเข้าโหมดอยู่กับตัวเองจนเครียดตายได้ ไอ้นี่ใจเด็ดกว่าที่ทุกคนเห็น บางทีถ้าเพื่อนงี่เง่ามากๆ มันก็เลิกสนใจไปเลย

"กู..."
ผมพูดได้แค่นั้นแล้วปิดปากเงียบเพราะอยู่ๆ ก็กลัวขึ้นมาอีกแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกคิดมากวุ่นวายกับสิ่งที่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานจากคนๆ เดียวสักที ถึงพี่ทาร์ตจะเคยเป็นเสือผู้หญิง แต่เขาเคยสัญญาว่าจะไม่ทำให้ผมเสียใจนี่... ต้องเชื่อมั่นสิถึงจะถูก แต่ต้องขอโทษจริงๆ ที่ไม่สามารถจัดการตัวเองได้จนต้องพาคนอื่นๆ เดือดร้อนไปด้วย

"ไอ้เชี่ย ไม่ต้องเล่าละ เบื่อการเล่นตัวของมึงฉิบหาย"
ความคิดยังไม่ทันจัดเรียงดี ไอ้กู๊ดก็หมดอารมณ์จะเป็นที่ปรึกษาลงซะก่อน มันทำท่าจะออกตัวว่ายน้ำไปอีกฝั่งของสระ แต่ผมกับร้องเรียกชื่อเอาไว้ด้วยเสียงที่ดังลั่น ลืมตัวไปหน่อยคนข้างบ้านคงไม่ปาขี้ใส่หรอกมั้ง

"เฮ้ยๆ กลับมาฟังกูก่อนไอ้กู๊ด ขอร้อง!"
ผมแทบกระโดดตามมันลงไปในสระเพื่อรั้งเอาไว้ถ้าไม่ติดว่าไอ้หมาขาสั้นนอนหลับตาพริ้มอยู่บนตัก เพราะไอ้กู๊ดยังคงไม่หยุดที่จะว่ายน้ำออกไปอีกฝั่ง ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ แฟนทิ้ง เพื่อนยังมาทิ้งอีก มีอะไรดราม่ามากกว่านี้อีกไหมชีวิต

ผมมองมันว่ายน้ำวนไปวนมาอยู่สองรอบก่อนจะมาโผล่หัวอยู่ตรงหน้ากัน หยดน้ำจากเส้นผมค่อยๆ ไหลลงมาตามใบหน้าหล่อคม ตอนนี้ถ้าสาวๆ มาเห็นไอ้กู๊ดในสภาพนี้คงกรี๊ดจนคอแตกไปข้าง ไหนจะเจอส่วนบนที่เปลือยเปล่าขาวสว่าง บวกกับซิกแพคแน่นๆ ที่เห็นร่ำไร อยากจะบอกว่ามันใส่กางเกงตัวสั้นสำหรับว่ายน้ำอีกด้วย อะไรๆ มันก็ชัดเจน... เชื่อว่าใครหลายๆ คนคงน้ำลายไหล แต่ไม่ใช่ผมที่คิดพิศวาสหรอก อิจฉามากกว่า

"อย่าลีลาอีก ไม่งั้นกูหนีกลับบ้านปล่อยให้มึงเครียดตายอยู่นี่ล่ะ"
ไอ้กู๊ดกระโดดขึ้นมานั่งข้างๆ กัน ทำให้น้ำกระเซ็นมาโดนกัน ถึงจะชุ่มช่ำไปไม่น้อยแต่ผมไม่คิดจะด่าอะไร แต่กับเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพี่ทาร์ตกับตัวเองให้ฟังตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน สีหน้าของมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเนื้อเรื่องที่ดราม่าเข้าไปทุกขณะ จนสุดท้ายก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาเมื่อสิ้นเสียงพูด

"คือสรุปสั้นๆ ว่า ช่วงนี้พี่ทาร์ตไม่มีเวลาให้มึงเลย แต่ไอ้ฟ่อนบอกว่าป๋าให้เขาพักร้อน เท่ากับว่ามึงโดนโกหก กูเข้าใจถูกปะ"
ไอ้กู๊ดพูดสรุปสิ่งที่ผมเล่าไปเมื่อครู่ออกมาสั้นๆ เพื่อยืนยันว่าตัวเองเข้าใจเรื่องถูกและไม่มีอะไรผิดพลาด

"อือ"
ผมตอบกลับไปแค่นั้นแล้วทอดสายตามองไปยังพื้นน้ำในสระที่นิ่งสนิทและกำลังต้องแสงยามบ่ายเป็นประกายระยับ สวยจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแบบนั้นสักนิดเดียว ระบายเรื่องออกไปแต่ไม่ได้รู้สึกว่าดีขึ้นเลย ทุกๆ อย่างยังหน่วงอยู่ในหัวใจ

"อีกอย่างคือ มึงคิดมากตามที่ไอ้ฟ่อนสันนิษฐานว่าพี่ทาร์ตอาจจะมีกิ๊ก"
น้ำเสียงราบเรียบสรุปออกมาต่อและนั่นทำให้ผมชะงักมือที่กำลังลูบหัวลูบหางไอ้ขนม ลมหายใจเผลอสะดุดกึกไปหนึ่งจังหวะ หัวใจกระตุกวูบและค่อยๆ ปวดหนึบทีละนิด อ่า... จะตายไหมนะ

"อะ อืม"

"คิดมากอะไรนักหนาวะมึง ไม่มีอะไรหรอก"
ไอ้กู๊ดบอกแบบนั้นก่อนจะเอื้อมแขนมากอดไหล่กันทั้งๆ ที่ตัวมันยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ ไม่มีกะจิตกะใจจะว่าเลยปล่อยเลยตามเลยแถมยังซบหัวลงบนลาดไหล่กว้างเพื่อพักพิงร่างกาย แต่หัวใจนี่สิจะเอายังไงกับมันดี ในเมื่อคนที่ครอบครองไม่ดูแลแบบนี้...

"ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ มึงก็หาเหตุผลที่เขาต้องโกหกกูดิ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย มือเรียวยังคงทำหน้าที่ลูบขนไอ้ขนมต่อเพราะเชื่อว่าอาจจะทำให้ใจสงบลงได้บ้าง แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรหรอก

"อาจจะหนีไปซุ่มทำอะไรหรือเปล่า นี่กูเดานะ"
ไอ้กู๊ดเอื้อมมืออีกข้างมาลูบหัวกันอย่างทุกลักทุเลรู้สึกถึงความพยายามที่จะปลอบของเพื่อน แต่ผมไม่สามารถสลัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไปจากสมองได้จริงๆ พยายามแล้ว พยายามอีกจนท้อ เหนื่อยจนล้า บางทีก็อยากร้องไห้ออกมา

"ซุ่มคิดวิธีจะทิ้งกูไหมล่ะ หึ"
ผมหัวเราะเยาะกับความคิดเลวร้ายของตัวเอง ทั้งๆ ที่ในใจร้องตะโกนว่ามันคงไม่เป็นความจริง แต่ปากก็ยังพูดทำลายความรู้สึกที่เปราะบาง ทำไมคนที่กำลังเสียใจต้องซ้ำเติมตัวเองกันนะ ผมคิดว่าเข้าใจแล้วล่ะ เพราะอยากให้แผลเป็นมันเจ็บจนชา...

"มึงคิดเล็กคิดน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยปูน เหมือนผู้หญิงเลยเหอะ"
เหมือนรูปแบบประโยคคำถามที่ไม่ต้องการทำตอบ ราวกับพูดเรื่อยเปื่อยไปตามประสาคนห่วงเพื่อน แต่ผมกลับชะงักแล้วลอบมองใบหน้าด้านข้างของไอ้กู๊ด นั่นสินะ ตั้งแต่ตอนไหนกันที่กลายเป็นคนคิดมากและกลัวสิ่งที่ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองมากขนาดนี้ เพราะพี่ทาร์ตกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตอย่างนั้นเหรอ เมื่อไตร่ตรองดูแล้วพบว่ามันใช่... เพราะเขาพิเศษและสำคัญมากกว่าใครๆ

"ตั้งแต่มีแฟน... มันเป็นของมันเอง กูไม่ได้อยากมีนิสัยผู้หญิงแบบนี้นะกู๊ด รู้ตัวว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน แต่มันห้ามไม่ได้ว่ะ"
ผมพูดออกมายาวเหยียดก่อนจะผละตัวออกจากเพื่อนสนิทแล้วก้มหน้าก้มตามองไอ้ขนมที่อยู่บนตัก คิดถึงพี่ทาร์ต อยากเจอหน้า อยากคุย อยากกลับมายิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน สัมผัสซึ่งกันและกันอีกครั้ง...

"เอ้อ อย่าว่าตัวเอง กูเข้าใจนะ ก็พี่ทาร์ตเป็นแฟนคนแรกของมึงนี่ จะคิดมากก็คงไม่แปลกมั้ง"
ถึงไอ้กู๊ดจะพยายามเข้าใจกัน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะคำลงท้ายประโยค สุดท้ายเป็นผมที่งี่เง่าเองหรือเปล่านะ คิดไปเอง มโนไปเอง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง พี่ทาร์ตจะเบื่อกันหรือเปล่า

"แล้วตอนมึงมีแฟนคนแรกเป็นแบบกูไหม..."
ผมถามออกไปด้วยเสียงที่เบาหวิว รู้สึกว่าตัวเองอาจเป็นคนไร้เหตุผล เอาแต่หนีปัญหาที่ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ไม่ยอมฟังคำอธิบายเพราะคิดว่าจะโดนโกหกซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งๆ ที่บอกเองว่าเขาน่าจะมีเหตุผลมากพอในการกระทำครั้งนี้ แต่ทำไมห้ามระแวงไม่ได้ แย่ที่สุด ผมเป็นแฟนที่แย่มากๆ สินะ

"โอ้ย อย่าถามเลย กูจำไม่ได้แล้วปูน นานเกินไป"
ก็คงนานสำหรับมันจริงๆ ล่ะมั้ง บางทีแฟนคนแรกอาจจะไม่ใช่รักครั้งแรกก็ได้ จริงไหม

"เฮ้อ กูจะบ้าตายว่ะ"
ผมถอนหายใจหนักๆ แล้วเอนตัวลงบนพื้นโดยไม่สนว่าเสื้อผ้าจะสกปรกหรือเปล่า กำลังจะยืดขาลงจุ่มน้ำในสระก็คิดได้ว่าไอ้ขนมยังอยู่บนตัก เกือบได้ลงไปออกกำลังกายแล้วไหมล่ะเจ้าขาสั้น

"ใจเย็นน่า เอาเป็นว่าวันนี้มึงก็ลองคุยกับพี่เขาดีๆ อีกสักครั้ง ทุกอย่างมันอาจจะดีขึ้นก็ได้"

"แต่กู... ยังไม่พร้อมว่ะ อีกสักสองสามวันได้ไหม"
ผมยังทำใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าอยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับพี่ทาร์ตแค่ไหน ลองคิดดูถ้าเรื่องที่เขามีคนอื่นมันจริงขึ้นมา ตอนนั้นผมต้องแสดงสีหน้าแบบไหน ยิ้ม หัวเราะ โกรธ หรือร้องไห้ และควรรู้สึกยังไงกันล่ะ

"เฮ้ย ไม่ได้ๆ มึงจะปล่อยเรื่องให้ยืดเยื้อไปถึงไหนวะ เป็นตายยังไงก็ต้องคุยกันวันนี้ เคลียร์ให้จบด้วย ถ้าไม่งั้นกูจะไม่คุยกับมึง"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง หน้าตาก็ดูตื่นๆ เหมือนกับว่าถ้าผมไม่คุยกับพี่ทาร์ตวันนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่โต อาการแบบนี้มันก็แปลกๆ แต่ผมไม่มีเวลาสนใจขนาดนั้นหรอก

"อ้าว อะไรวะ ข้อต่อรองอะไรของมึง"
ผมถามออกไปแล้วมองเพื่อนสนิทด้วยความไม่เข้าใจ รู้สึกตัวเองเริ่มตาร้อน ปวดหัว ไข้แดกแล้วมั้งเนี่ย พักผ่อนไม่เพียงพอมาเกือบสองอาทิตย์ เมื่อวานยังโดนฝนตอนออกไปข้างนอกอีก เจริญล่ะชีวิต

"เออน่า กูแค่เป็นห่วงเพื่อน อยากให้มึงมีความสุขมากกว่ามานั่งคิดมากเป็นตุเป็นตะอยู่คนเดียวแบบนี้"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวกันเบาๆ ก่อนที่มันจะยอมลุกขึ้นไปเอาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวสักที ไม่ใช่ว่าน้ำแห้งไปแล้วหรือยังไงวะ ความรู้สึกช้าไปไหมเพื่อน

"เออ จะลองดู"
สุดท้ายก็บอกออกไปแบบนั้นให้เพื่อนสบายใจ ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะกล้าทำอะไรหรือเปล่า

ไม่รู้ว่าปล่อยให้ตัวเองนอนหลับไปนานแค่ไหนหลังจากกินข้าวและกินยาเรียบร้อย แต่การที่เตียงยวบลงนั่นเองที่ปลุกผมจากนิทราแสนหวาน ร่างกายสูงใหญ่ที่คุ้นเคยกำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นในแฝงด้วยความคิดถึง อยากจะดึงคนๆ นี้เข้ามากอดเหลือเกิน ควรเริ่มต้นจากอะไรดี เปิดปากพูดหรือพุ่งตัวเข้าหาเพื่อสัมผัส

"ไม่สบายขนาดนี้เลยเหรอปูน"
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามกันพร้อมกับมือหนาที่คอยลูบแก้มอย่างแผ่วเบา ผมเม้มปากแล้วเบนสายตาหนีเพราะไม่กล้ามองเขาตรงๆ แต่ความคิดถึงมาตลอดหลายวันส่งผลให้ต้องพลิกตัวไปกอดแล้วซุกหน้าลงกับต้นขาแกร่งนั่น

"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกชื่อเขาเสียงสั่น มีอะไรอยากถามมากมายแต่ปากไม่ยอมขยับมากกว่านั้น ทุกอย่างมันจุกออกจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดได้เลย

"กำลังคิดมากเรื่องพี่อยู่ใช่ไหม"
เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะประคองหัวผมให้นอนเกยตัก ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาและใช้ปลายจมูกสัมผัสเข้าที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา ตอนนี้ไม่อยากปฏิเสธเลยว่าความคิดสะเปะสะปะจางหายไปเกินครึ่ง ผมแพ้เขาทุกทางจริงๆ สินะ

"พี่ทาร์ต... บอกผมที อึก"
พยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้ แต่สุดท้ายก็กลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่อยู่ หัวใจกำลังเต้นแรงอย่างกับเพิ่งผ่านการวิ่งหนักๆ มา

"ไม่งอแงนะครับ พี่ไม่ได้นอกใจปูนสักหน่อย เชื่อไอ้ฟ่อนเหรอ"
พี่ทาร์ตพูดปลอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะประคองตัวผมให้พิงอยู่แนบอกแล้วโอบกอดเอาไว้ไม่ห่าง มือหนายกขึ้นลูบหัวอย่างแผ่วเบา มันอบอุ่นจนอยากหยุดเวลาเอาไว้แค่นี้เหลือเกิน

"ก็... มันน่า อึก คิดนี่ครับ"
ผมซุกหน้าลงกับอกแกร่งเพื่อเก็บซ่อนความอ่อนแอ แต่น้ำตาที่ไหลลงมากลับซึมเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าของพี่ทาร์ต ใครไม่รู้ก็โง่แล้วว่าผมกำลังร้องไห้อย่างหนัก พยายามเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดชีวิต เพราะกลัวเขารำคาญ

"ไม่ได้ตั้งใจจะโกหก ก็แค่ไม่ได้บอก"
พี่ทาร์คกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วกดจมูกโด่งลงกลางกระหม่อม ผมยิ่งเบียดตัวเข้าแนบชิดอย่างกับเด็กๆ ที่ต้องการการโอ๋จากคนที่รัก

"....."

"พี่บอกว่าไม่ว่างเพราะต้องจัดการเรื่องเจน"
คำสารภาพของพี่ทาร์ตทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น หัวคิ้วขมวดแทบจะผูกโบว์ได้ เพราะอะไรพี่เจนถึงกลับมาวุ่นวายในชีวิตเขาอีก ทั้งๆ ที่หายไปเป็นปีแล้ว... เธอเป็นคนทิ้งไปเองมีสิทธิ์อะไรในการกลับมาอีกเหรอ

"อะไรนะ ทำไมอยู่ๆ ถึง..."
ผมถามออกไปได้แค่นั้นแล้วเผลอกำหมัดแน่น ไม่เข้าใจในการกลับมาของพี่เจนเลยสักนิด แล้วทำไมพี่ทาร์ตต้องปิดบังกัน เพราะยังแคร์ ยังใส่ใจเธอหรือเปล่า



ต่อด้านล่างน้า

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"เขาโผล่มาที่โรงแรม ยังไงก็จะขอคืนดีให้ได้ พี่ไม่รู้หรอกว่าเจนมีแผนหรืออะไรยังไง แต่เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะพี่รักปูน"

"แล้วทำไม... ทำไมไม่บอกผมตรงๆ"
ผมสะอึกกับสิ่งที่พี่ทาร์ตบอก จะว่าเขาแคร์ผมก็ใช่แต่เรื่องแบบนี้ควรบอกกันตรงๆ ไม่ให้เหรอ ยิ่งปิดบังก็ยิ่งทำให้คิดมาก ถ้าแค่บอกตรงๆ ผมจะเป็นกำลังใจให้เขา ไม่เข้าไปก้าวก่ายอะไร เพราะเชื่อว่าคนๆ นี้สามารถจัดการเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง

"เพราะไม่อยากให้ปูนคิดมาก และพี่คิดว่าตัวเองสามารถจัดการเรื่องนี้ได้"
ความคิดของเขาไม่ผิดอะไร ผมยอมรับอย่างไม่มีข้อกังหา แต่...

"ฮึก ไม่บอกกันแบบนี้ผมก็คิดมากเหมือนกันนะเว้ย กลัวโดนทิ้ง พี่ทาร์ตไม่รู้หรือไง"
ผมพูดทุกสิ่งที่คิด ทุกสิ่งที่กลัวออกไปหมด ตอนนี้ไม่ได้กลัวแล้วว่าเขาจะรำคาญหรือเปล่าที่มีแฟนแสนงี่เง่าแบบนี้  ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เอาซะเลย มีอะไรบ้างไหมที่ตัวเองจะสามารถแบ่งเบาภาระที่เขาต้องเผชิญได้

"โอ๋ๆ พี่รักปูนนะ จะทิ้งได้ยังไง"
พี่ทาร์ตก้มลงหอมแก้มกันอย่างรักใคร่ แล้วกระชับกอดแน่นขึ้นจนดึงผมขึ้นไปนั่งบนตักได้สำเร็จ น่าอายฉิบหาย รู้สึกว่าสถานการณ์มันล่อแหลมแปลกๆ แต่ไม่มีแรงจะขัดขืนอะไรเพราะร้องไห้ไปเยอะ รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้นด้วย

"ห้ามทิ้งครับ ถ้าทิ้งนะ... อึก จะโกรธข้ามชาติเลย"
ผมพูดไปสะอื้นไปก่อนจะพลิกตัวเอาหน้าซุกไหล่ของเขาเอาไว้ ไม่สนใจแล้วว่าตัวเองจะดูเป็นเด็กน้อยแค่ไหนในสายตาเขา ตอนนี้แค่อยากได้ความอบอุ่น ความห่วงใยและความรักจากคนๆ นี้

"ไม่มีทาง ไม่ทิ้งไปไหนแน่ครับ เชื่อพี่สิ"
เขาบอกก่อนจะใช้มือช้อนคางผมขึ้นมาเพื่อที่จะได้สบตากัน ทุกๆ อย่างที่สื่อออกมานั้นเต็มไปด้วยความหนักแน่นและจริงใจ

"อื้อ เชื่อครับ"

"เอ้อ อีกอย่างนึง พี่หายไปเตรียมของเล็กๆ น้อยๆ ให้ปูนด้วยล่ะ"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะขยับตัวยุกยิกเพื่อหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมผละตัวออกมาเพื่อให้เขาทำอะไรได้สะดวก แล้วมองด้วยความสงสัย

"อะไรเหรอครับ"
ผมถามเมื่อเห็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วมันน่าจะเป็นของที่มีค่าพอตัว แต่ไม่กล้าเดาหรอกว่าคืออะไร

"เอาไปเปิดดูสิ"
พี่ทาร์ตส่งกล่องในมือมาให้กันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแบมือรับมันมาเปิดออก ของด้านในทำให้ความรู้สึกตอนนี้แปลกประหลาด หัวใจเต้นแรง หน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

"พี่ทาร์ต แหวนนี่มัน..."
มันคือแหวนทองคำขาวเกลี้ยงๆ วงหนึ่ง ที่มีขนาดรูปทรงไม่ใหญ่เกินไป ผมมองหน้าพี่ทาร์ตอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์สักเท่าไหร่ ทำไมอยู่ๆ ถึงให้แหวนกัน เนื่องในโอกาสอะไร จะบอกว่าคบกันครบรอบหกเดือนก็ไม่น่าจะเป็นของมีค่าแบบนี้สิ แปลกมา แต่ก็ดีใจมาก

"จองไว้ก่อนไง คบกันครบห้าปีเมื่อไหร่จะมาขอแต่งงาน"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและส่งรอยยิ้มละมุนมาให้กัน ผมก้มหน้าลงมองแหวนโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เพราะว่าสนใจแต่ไม่สามารถสบตากับคนตรงหน้าได้ ทำไมเขาชอบทำอะไรให้หัวใจเต้นแรงแบบนี้วะ ไม่กลัวผมจะเขินตายก่อนหรือยังไง


"หวงก้างว่ะ เป็นผมปะที่ต้องจองพี่ทาร์ตไว้ก่อน หล่อขนาดนี้"
ผมบ่นอุบอิบโดยไม่ยอมมองหน้าพี่ทาร์ตเลยสักนิด เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำหน้าตางอแงใส่เขาอีกรอบ คนอะไรก็ไม่รู้ฮอตฉิบหาย แต่ดีหน่อยที่เขาเลิกนิสัยเสือผู้หญิงไปแล้ว...

"ตัวเองนั่นล่ะ เสน่ห์แรงจะตาย เดี๋ยวไอ้กู๊ด เดี๋ยวไอ้กาย ต้องกันไว้ก่อนสิ"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาดึงแก้มกันด้วยความหมั่นไส้ทำให้ผมถึงกับยอมเงยหน้าขึ้นแล้วแยกเขี้ยวใส่เพราะเถียงไม่ออกเรื่องนั้นจริงๆ ไม่ได้ไปยั่วพวกมันสักหน่อยนี่หว่า ผมไม่ผิดเหอะ

"อะไรเล่า... ใส่ให้หน่อย"
ผมเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนั้นต่อแล้วยื่นกล่องแหวนให้เขา พี่ทาร์ตทำเพียงเลิกคิ้วแต่ไม่ยอมรับมันไปสักที เหมือนต้องการอะไรสักอย่างเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน

"หอมแก้มพี่ก่อนดิ เดี๋ยวใส่ให้"
พี่ทาร์ตยิ้มทะเล้นแล้วยื่นแก้มมาใกล้ๆ ผมถึงกับเบ้ปากใส่แล้วผลักไหล่ให้เขาออกไปไกลๆ แค่ขอแค่นี้ยังหากำไรจากคนอื่นอยู่ได้ มันน่าหมั่นไส้ไหมล่ะ อย่าคิดว่าจะยอมกันง่ายๆ

"หึ ใส่เองก็ได้วะ"
ผมหยิบแหวนขึ้นมาเตรียมจะใส่เองเพราะไม่อยากให้พี่ทาร์ตได้ใจไปมากกว่านี้ ยังไม่หายงอนเรื่องที่เขาหายไปและปิดบังเรื่องพี่เจนนะเว้ย ใครจะไปทำแบบนั้นล่ะ ฝันไปเถอะ

"โอ๋ๆ ไม่แกล้งแล้ว มาๆ พี่ใส่ให้เนอะ"
พี่ทาร์ตรีบคว้ามือผมไว้แล้วแย่งแหวนไปถือเองก่อนจะบรรจงสวมมันไว้บนนิ้วนางด้านซ้าย อยู่ๆ ก็โดนจับจองซะอย่างนั้น เสียเปรียบนะแต่ก็มีความสุข

"อะ..."
ผมหลุดเสียงร้องเมื่อพี่ทาร์ตบรรจงประทับรอยจูบลงบนนิ้วนาง แก้มที่เห่อร้อนบ่งบอกให้รู้ว่าตัวเองกำลังเขิน หัวใจที่เต้นแรงบ่งบอกให้รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกรักผู้ชายคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม...

"รักปูนนะครับ"
คำบอกรักหวานหูดังขึ้นเมื่อสายตาของเราประสานกัน

"รักพี่ทาร์ตเหมือนกัน"
ผมตอบรับความรู้สึกของเขาด้วยการขยับเข้าไปใกล้และมอบจุมพิตแสนหวานให้กับคนที่รัก ขอให้เรามีความสุขกันแบบนี้ไปอีกนานๆ




-----------------------------------------------

ดราม่าพอหอมปากหอมคอเนอะ
เรื่องนี้ควรมี NC หรือเปล่าน้า 55555

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 23

Mango Crepe
: แป้งอเนกประสงค์/ไข่ไก่/นมสด/น้ำเปล่า/เกลือ/เนยจืดละลาย/มะม่วงสุก/น้ำมะนาว/น้ำตาล :




ทุกอย่างผ่านไปไวราวกับเรื่องโกหก เวลาหนึ่งปีที่พี่ทาร์ตเคยขออิสระไว้กับลุงตั้มก็จบลง และวันนี้เป็นวันแรกที่เขาต้องเขาทำงานในโรงแรมตำแหน่งผู้จัดการโรงแรม... ผมไม่รู้หรอกว่าวันๆ หนึ่งเขาต้องทำอะไรบ้าง เอกสารจะกองเต็มโต๊ะขนาดไหน ผู้ชายคนหนึ่งที่ยังอยู่ในวัยเรียนคนนี้ก็ทำได้แค่ให้กำลังใจ ถ้าเรียนจบเมื่อไหร่สัญญาว่าจะช่วยทำงานให้ดีที่สุด

ผมนั่งขยี้หัวตัวเองไปมาหลังจากตื่นนอนได้แค่ห้านาทีเพราะได้ยินเสียงพี่ทาร์ตลุกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำแต่งตัว ตอนนี้เราผลัดกันนอนบ้านนั้นทีบ้านนี้ทีจนโดนพวกผู้ใหญ่แซวว่าเป็นคู่รักปาท่องโก๋ ถามว่าเขินไหม ตอบได้เลยว่าโคตรๆ แต่คงไม่เท่าไอ้ฟ่อนที่หอบผ้าหอบผ่อนไปนอนบ้านพี่อินยาวๆ เว้นแค่เสาร์อาทิตย์จะกลับมาค้างกับครอบครัว มันอ้างว่าเพื่อความสะดวกสบายในการไปโรงเรียน... ก็ว่ากันไป

"ฟ่อน ตื่นมาทำไม"
พี่ทาร์ตที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพด้านบนเปลือยเปล่าอวดซิกแพคขาวๆ ส่วนด้านล่างมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวสะอาดปิดบังร่างกาย ผมที่ไม่กล้ามองเขาตรงๆ ได้แต่นั่งหน้าร้อนแบบไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองแพ้หุ่นคนตรงหน้ายังไงก็ไม่รู้ ประมาณว่าอยากสัมผัส... แค่คิดก็รู้สึกถึงความหื่นที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างแล้ว โอย จะบ้า

"ก็... เอ่อ"
พูดไม่ออก จะบอกว่าตื่นมาส่งเขาไปทำงานก็กระดากปาก มันคล้ายๆ กับละครหลังข่าวที่พวกศรีภรรยาเขาทำกัน แต่เผอิญว่าผมเป็นแฟนแถมเป็นผู้ชายอีกด้วย มันเลยดูแปลกๆ

"ปวดฉี่เหรอ"
พี่ทาร์ตยังคงตั้งคำถามต่อในขณะที่เขาเริ่มจัดการใส่เสื้อผ้าต่อหน้าต่อตา ดีหน่อยที่ยังมีความเกรงใจไม่ปลดผ้าขนหนูทิ้ง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องขุดหลุมมุกหนีแล้วล่ะ

"เปล่าครับ"
ผมตอบกลับไปแล้วลอบมองพี่ทาร์ตเป็นระยะโดยไม่ให้เขารู้ตัว อยากจะเดินเข้าไปผูกเนคไทให้ แต่คิดไปคิดมาแล้วมันโคตรจะแต๋วและดูหวานๆ ยังไงชอบกล อันที่จริงแล้วอายมากกว่าที่ทำอะไรแบบนั้นให้ กลัวโดนแซว

"หรือว่าอยากตื่นมาส่งพี่ไปทำงาน"
จึก... เหมือนได้ยินเสียงอะไรสักอย่างปักลงกลางอกเมื่อคำถามต่อมาจบลง ผมอ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะหาอะไรมาปฏิเสธ ในขณะที่พี่ทาร์ตยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินเข้ามาหากันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว ดวงตารีเบนหลบภาพตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ก็ใครใช้ให้เอาซิกแพคมาแยงตากันแบบนี้ล่ะวะ

"บะ บ้า ใครเขาจะทำแบบนั้น ผมไม่ใช่เมียพี่นะเว้ย"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองมือตัวเอง ก็ไม่รู่ว่ามันมีอะไรน่าสนใจแต่ดีกว่าต้องสบตากับพี่ทาร์ตเป็นร้อยเท่า ตอนนี้รู้สึกว่าระบบหายใจทำงานยากเหลือเกิน ควบคุมยังไงให้ตัวเองไม่พ่นลมออกทางจมูกหนักแบบนี้ ฟังๆ แล้ว คล้ายกับคนเพิ่งวิ่งรอบสนามจบ

"ไม่ใช่งั้นเหรอ อืม... แล้วอยากเป็นไหมล่ะครับ"
น้ำเสียงกรุ้มกริ่มดังขึ้นข้างหูทำให้ผมสะดุ้งเฮือกแล้วถอยหลังหนีออกมา แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดพลาดถึงได้หงายหลังตึงลงบนเตียง พี่ทาร์ตเลยสบโอกาสที่จะตามมาคร่อมไว้ ใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบและสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ค่อนไปทางร้อน... ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นวะ ถ้าผมไม่ผลักไสเขาออกไป

"ถะ ถามอะไร ผมเป็นผู้ชายจะเป็นเมียได้ยังไง"
ผมถามออกไปเสียงแผ่วก่อนจะพยายามมองหาอะไรสักอย่างมากั้นใบหน้าของเราสองคน แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นใจให้ทำอย่างนั้น ในเมื่อพี่ทาร์ตเล่นปิดบังทุกช่องทางเอาตัวรอดอย่างสมบูรณ์ คราวนี้ตายๆ ไอ้ปูนเอ้ย

"ได้สิ ลองดูไหมล่ะ รับรองว่าใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง"
พี่ทาร์ตเอ่ยน้ำเสียงกระเส่าก่อนจะใช้ปลายจมูกโด่งไล่คลอเคลียกับพวงแก้ม ผมหดคอหนีเพราะรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมา ยอมรับว่ามันวาบหวามชวนหลงใหลมัวเมา แต่ผมยังไม่พร้อม... ก็ใครหลายคนเคยบอกว่าครั้งแรกโคตรเจ็บ ถึงตลอดมาจะย้ำเตือนความเป็นผู้ชายของตัวเองอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้รู้ว่าเป็นฝ่ายรับให้เขาคงเหมาะที่สุด

"ฮื่อ ไม่เอาครับ"
ผมร้องออกมาอย่างขัดใจก่อนจะใช้มือดันหน้าอกของเขาให้ถอยห่าง หัวใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ตัวมันร้อนๆ คล้ายคนกำลังเป็นไข้

พี่ทาร์ตกดตัวลงมาแนบชิดอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้จนสามารถกดริมฝีปากลงมาทาบทับตำแหน่งเดียวกันจนสำเร็จ จากนุ่มนวลไม่รุกล้ำในตอนแรกค่อยๆ ไต่ระดับความร้อนแรงจนลิ้นชื้นสามารถแทรกผ่านรอยแยกเข้ามาเก็บเกี่ยวความหวานได้สำเร็จ กว่าเราจะผละออกจากกันก็ตอนที่น้ำลายเริ่มปริ่มที่มุมปาก

"พี่จะรอปูนพร้อมกับเรื่องนี้นะครับ"
น้ำเสียงอ่อนโยนถูกส่งมาให้ผมใจสั่นเล่นๆ ร่างสูงผละตัวออกไปยืนนิ่งๆ ข้างเตียงแต่ไม่วายจ้องกันด้วยสายตาหวานเชื่อม เจอคำพูดแบบนี้จะให้ตอบกลับยังไงวะ เขาเรียกมัดมือชกให้สมยอมเป็นเมียหรือเปล่า...

"อือ... รีบติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อยเลยครับ เดี๋ยวก็ไปทำงานวันแรกสายหรอก"
ผมลุกขึ้นนั่งแล้วส่งสายตาดุๆ ไปใช้พี่ทาร์ตที่ยังคงยืนนิ่งๆ ไม่ยอมติดกระดุมเสื้อสักที

"หึ แฟนช่วยแต่งตัวให้หน่อยสิครับ"
เขาบอกแบบนั้นก่อนจะตรงเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้ แล้วส่งสายตาออดอ้อนมาให้กันจนต้องเบนหน้าหนี ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้พี่ทาร์ตชอบทำตัวน่ารักใส่กันนักนะ ไปทำอะไรผิดเอาไว้หรือเปล่าเนี่ย มันน่าสงสัย

"อะไรเล่า พี่ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ"
ผมบอกปัดแล้วพยายามดิ้นขลุกขลักให้เขายอมปล่อยมือสักที แต่ไม่เป็นผลเพราะร่างสูงกลับโอบแขนรอบเอวแล้วกระชับอ้อมกอดแทน อยู่กับพี่ทาร์ตถ้าไม่ตั้งสติหรือระวังตัวให้ดีก็จะโดนจู่โจมระยะประชิด ลมหายใจกระทบใบหน้าแบบนี้ล่ะ... แต่อย่าให้รู้ว่าไปทำกับคนอื่นด้วย ผมไม่ปล่อยเอาไว้แน่ จะกระทืบให้จมดินเลยคอยดู นี่ไม่ได้หวงเลย

"ก็อยากอ้อนแฟนนี่ครับ ไม่ได้เหรอ"
พูดจบก็เอาหน้าซุกลงมาที่ซอกคอแล้วไซร้เบาๆ คล้ายกำลังอ้อนและหยอกล้อไปในตัว ผมที่โดนรวบกอดไว้เลยไม่มีทางขัดขืนใดๆ ได้แต่หลับตาแน่นเพราะรู้สึกวายหวามแปลกๆ เกิดความวูบโหวงตรงท้องน้อยจนเสียงสั่นแทบฟังไม่รู้เรื่อง

"อะ... เออๆ ผมติดกระดุมให้ก็ได้ ปล่อยดิ อื้อ!"
ผมยังพูดไม่ทันจบพี่ทาร์ตก็ทำการอุกอาจดูดเม้มซอกคอจนแรงๆ เชื่อว่ามันต้องขึ้นเป็นรอยแดงแน่ๆ แล้ววันนี้ผมมีเรียนนะเว้ย โอ้ย ไอ้กู๊ดแม่งแซวยันแก่แน่ๆ

"น่ารักจังวะปูน ถ้าวันไหนพี่รอไม่ไหวอย่าหาว่าผิดสัญญาเลย ก็แฟนแม่งน่าฟัดขนาดนี้"
เขาทำหน้ามันเขี้ยวกันซะเต็มประดาแล้วกดจมูกโด่งฝังลงบนแก้มผมแรงๆ สองของ ครั้นจะดิ้นหนีก็เปล่าประโยชน์ พี่ทาร์ตโคตรแรงควายเลยแม่ง

"ไอ้... หยุดพูดไปเลยนะเว้ย"
ผมกระทืบเท้าพี่ทาร์ตแล้วผละตัวออกมาในขณะที่เข้าร้องลั่นเพราะเจ็บ สมน้ำหน้าที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องทำให้คนอื่นเขินจนตัวแทบระเบิด ไอ้เรื่องติดกระดุมก็จัดการไปเองแล้วกัน คนเจ้าเล่ห์แบบนี้ผมจะไม่หลงกลอีกแล้วเว้ย... นอกจากสมยอมเองอะนะ

พี่ทาร์ตไปทำงานแล้วเท่ากับว่าหลังจากวันนี้ผมต้องขับรถไปเรียนเอง ไม่มีสารถีอย่างที่ผ่านๆ มา ยอมรับว่ารู้สึกโหวงๆ ยังไงชอบกล ต้องโทษเขานั่นล่ะที่ทำให้ติดนิสัยเสียๆ มา ครั้นจะอ้อนแม่หรือป๋าให้ไปส่งคงโดนโวยวายยกใหญ่ เซ็งว่ะ ขี้เกียจด้วย

"อ้าวปูน แม่เตรียมอาหารเช้าให้แล้วนะ มีเรียนกี่โมง"
แม่ร้องเรียกและถามกันในขณะที่ผมกำลังก้าวลงจากบันได กลิ่นหอมของอาหารช่วยยืนยันคำพูดของเธอได้เป็นอย่างดี หิวแล้วแต่กลับคิดถึงฝีมือพี่ทาร์ตแทน

"เรียนสิบโมงครับผม หาว ~"
ผมตอบแม่กลับไปแล้วเดินเซไปหาเธอก่อนจะรวบเอวบางๆ มากอดไว้แล้วซุกหน้าลงกับลาดไหล่อย่างออดอ้อน ความขี้เกียจบวกกับความง่วงทำให้อะไรๆ ไม่สดใสเอาซะเลย

"มาอ้อนแม่แบบนี้จะเอาอะไรหืม"
เธอถามด้วยน้ำเสียงสูงๆ แล้วใช้มือนุ่มตบหัวกันเบาๆ ผมส่ายหัวไปมาเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าต้องการอะไร แค่รู้ว่าอยากอ้อน...

"ปูนขี้เกียจจังเลย"
ผมบอกแม่ก่อนจะผละตัวออกมาเมื่อเธอใช้มือฟาดลงที่ต้นแขนไม่แรงมากนัก ใบหน้าสวยๆ ขมวดคิ้วแน่นแล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มกันอย่างกับผมเป็นเด็กตัวน้อยกำลังงอแงอยากได้ของเล่น

"ขี้เกียจไปเรียนหรือขี้เกียจขับรถเอ่ย"
แม่ถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วจูงมือผมให้นั่งลงเพื่อกินข้าวเช้า วันนี้ป๋าออกไปทำงานไวกว่าปกติเพราะมีแขกวีไอพีเข้าพัก ต้องไปเลี้ยงรับรองอะไรทำนองนั้น

"มันก็ทั้งสองอย่างอะแม่"
ผมบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมาจิ้มไส้กรอกทอดขนาดพอดีคำใส่ปาก แม่ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างสื่อความหมายแล้วหยิบขวดซอสมะเขือเทศมาบีบไว้ข้างจานให้ หลังจากนี้ผมต้องเตรียมรับมืออะไรสักอย่างจากคำพูดของเธอแน่ๆ

"เหรอค่ะ นึกว่างอแงที่พี่ทาร์ตเขาไม่ได้ไปส่งซะอีก"
แม่หัวเราะน้อยๆ แล้วกินอาหารในจานตัวเองต่อด้วยรอยยิ้ม ผมถึงกับชะงักมือที่กำลังจะจิ้มไข่ดาวทันที ทำไมโดนรู้ทันไปซะหมดนะ แสดงออกมากไปเหรอ แย่ว่ะ แบบนี้ก็โกหกใครไม่ได้อะดิ

"เปล่าซะหน่อย ปูนชอบขับรถไปเองมากกว่าน่า"
ผมบอกปัดๆ แล้วจิ้มไข่ดาวเข้าปากก่อนจะเคี้ยวหงุบหงับอย่างสบายอารมณ์ จริงๆ ก็แอบคิดอยู่ว่าพี่ทาร์ตจะได้กินข้าวเช้าบ้างแล้วหรือยังนะ เพราะเขาออกไปพร้อมๆ กับป๋านั่นล่ะ

"แต่พี่เขาไปส่งก็ดีเหมือนกันใช่ไหมล่ะ"
แม่ยังไม่วายเอ่ยแซวกันด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแถมเธอยังหยิกแก้มผมเป็นเชิงหยอกล้ออีกด้วย อะไรกันวะ ทำไมมีแต่คนรุมแซวผมล่ะ แบ่งไปทางพี่ทาร์ตบ้างเหอะ

"แม่ครับ ~"
ผมเสียงด้วยน้ำเสียงสูงๆ เพื่อบ่งบอกว่าให้แม่หยุดแซวกันสักที แค่นี้ก็อายจะแย่แล้ว แต่ดูเหมือนเธอกำลังมีความสุขที่ได้แกล้งลูกชายเหลือเกิน โอย เดี๋ยวจะขุดพื้นบ้านเป็นหลุมหลบภัยจริงๆ แล้วนะเว้ย

"อะไรคะ"
แม่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะลุกขึ้นแล้วคว้าจานเปล่าไปเก็บแล้วกลับมาพร้อมนมรสจืดหนึ่งแก้ว เธอยื่นมาให้ซึ่งผมก็รับเอาไว้แล้วดื่มจนหมด

"โธ่ รู้ทันตลอดอะ"
ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็เกิดเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุขของแม่ดังขึ้นมา รู้สึกดีนะ ที่พวกท่านรับความรักระหว่างเพศเดียวกันได้ แถมยังไม่มีทีท่าว่ารังเกียจอะไร แถมยังดูรักพี่ทาร์ตซึ่งปกติก็เป็นคนโปรดอยู่แล้วมากขึ้นไปอีก เหมือนเขากำลังยืนยันว่าลูกรักใครแล้วมีความสุขพ่อแม่ก็พลอยมีความสุขไปด้วยจริงๆ นี่สินะที่เขาเรียกว่าครอบครัวที่เข้าใจกัน

ผมนั่งเท้าคางด้วยความเบื่อหน่ายเพราะเสียงหึ่งๆ ของอาจารย์สอนภาษาเกาหลีวันนี้ฟังดูน่ารำคาญชอบกล ไม่รู้เพราะง่วงจนสมองไม่อยากรับอะไรหรือเพราะมัวแต่คิดถึงคนที่ไปทำงานกันแน่ รู้สึกว่าตัวเองจัดการอะไรไม่ได้เลยตอนนี้ คล้ายๆ คนกำลังเมาไร้สติสัมปชัญญะ

"ไอ้ปูน เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไงวะ ดูลอยๆ"
เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ กันเอ่ยถามเสียงเลาแต่กลับทำให้ผมสะดุ้งจนทำปากกาตกลงบนตัก เมื่อครู่เผลอคิดอะไรเพลินๆ ไม่นึกว่าจะมีคนเปิดปากคุยด้วยเลยไม่ทันตั้งตัว

"เปล่าๆ แล้วนี่ไอ้ไนน์หายไปไหน ไม่มาเรียนเหรอ"
ผมเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะรู้ว่าไอ้กู๊ดคงสังเกตถึงความไม่ปกติบางอย่างในตัวผม มันจ้องหน้ากันนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ

"มันไม่สบาย นี่มึงไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มเลยเหรอไง"
ไอ้กู๊ดขมวดคิ้วมองกันแล้วใช้ปากกาในมือจิ้มลงบนแก้มของผม ไม่มีการปัดป้องเกิดขึ้นแต่กลายเป็นหลบสายตาแทน จริงๆ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เอาแต่สนใจพี่ทาร์ตจนไม่ยอมจับโทรศัพท์เลย ก็ใจมันหวิวๆ ที่เขาต้องไปทำงานท่ามกลางคนเป็นร้อยๆ แถมสาวๆ ยังสวยอีกด้วย...

"เออ พอดีแบตฯ มันหมดว่ะ เพิ่งได้ชาร์ตก่อนออกมาเรียนนี่ล่ะ"

"อืมๆ ตอนเที่ยงจะกินข้าวกับกูก่อนหรือกลับบ้านเลย"
ประโยคคำถามสามัญที่ต้องถามทุกครั้งในวันที่เลิกเรียนเที่ยง ส่วนมากผมจะรีบกลับบ้านเพราะพี่ทาร์ตมารับไปกินข้าว แต่เนื่องจากเทอมนี้และต่อๆ ไปคงต้องตัวติดกับไอ้กู๊ดแทนแล้วล่ะ...

"กินข้าวกับมึงก่อน ไปห้างด้วยก็ดี กูยังไม่อยากกลับบ้านว่ะ"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะหยิบปากกาที่ตั้งอยู่บนตักออกมาจนงานที่อาจารย์มอบหมายลงสมุดตรงหน้า ทั้งๆ ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องลอกไอ้กู๊ดส่งอยู่ดี เพราะตั้งแต่ต้นคาบยันท้ายคาบ ความรู้ไม่เข้าสมองเลยสักตัว

"อะไร มาแปลก ปกติต้องรีบไปตัวติดกับพี่ทาร์ตไม่ใช่หรือไง"
ไอ้กู๊ดถามออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัย แต่ผมกลับชะงักมือที่เขียนงานอยู่ดื้อๆ คิดย้อนไปถึงเมื่อเดือนก่อนยังทำตัวติดเป็นปาท่องโก๋กับเขาอยู่เลย... แต่ตอนนี้อะไรๆ มันก็เปลี่ยน ต่างคนต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ผมเข้าใจแต่มันก็ไม่ชินเลย

"ก็... พี่ทาร์ตไม่อยู่บ้านแล้ว"
ผมพูดเสียงอ่อยก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ พยายามแล้วที่จะไม่คิดมากและไม่ทำตัวงี่เง่า แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ

"ห๊ะ พี่ทาร์ตไปไหนวะ"
ให้กู๊ดทำหน้าเหวอเมื่อผมบอกว่าพี่ทาร์ตไม่อยู่บ้านแล้ว เดาง่ายๆ มันคงคิดว่าพี่เขาย้ายไปอยู่ที่อื่นมากว่า ซึ่งความจริงแล้วแค่ไม่ว่างมากินข้าวเที่ยงด้วย

"ทำงานดิ วันนี้เริ่มงานที่โรงแรมวันแรก"
ผมบอกก่อนจะใช้มือเท้าคางอีกครั้ง อาจารย์หน้าชั้นเรียนบอกเลิกคลาสอย่างพอดิบพอดีเลยทำให้การฟุบลงไปกับโต๊ะไม่ได้ผิดอะไร ตอนนี้อยากเอาสมองตื้อๆ ตันๆ ไปโยนทิ้งฉิบหาย คิดถึงแต่หน้าพี่ทาร์ตทั้งวัน... ไม่ใช่ว่าโดนของอะไรเข้าหรอกนะ

"อ๋อ... ไอ้ที่มึงดูลอยๆ นี่ คิดถึงผัวใช่ปะ"
คราวนี้ไอ้กู๊ดเปลี่ยนท่าทีและน้ำเสียงเป็นกวนตีนกันทันที ผมหันไปถลึงตาใส่เพราะคำว่าผัวคำเดียว ไอ้นี่ก็อีกคน ชอบยัดเยียดตำแหน่งเมียพี่ทาร์ตให้กันตลอด อย่าเผลอนะมึง กูจะยุให้ไอ้แทจุนรุกมึงบ้างแล้วจะรู้สึก

"ผัวบ้าอะไรของมึง เพ้อเจ้อละ"

"ยังไม่ได้กันอีกเหรอ"
มันถามต่อด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มจนผมต้องยกมือขึ้นตบหัวไอ้กู๊ดแบบไม่ออมแรง ผลที่ได้คือมันยู่ปากใส่แถมด้วยการบ่นงุ้งงิ้งฟังไม่เป็นภาษา

"ไอ้บ้า ถามอะไรของมีง น่าเกลียด"
ผมด่ามันก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในสมุดที่เพิ่งจดไป แต่เชื่อไหมว่าไม่มีอะไรผ่านเข้าสมองเลยสักนิด ตัวอักษรมันเบลอๆ ไปซะหมด แก้มก็พาลร้อนขึ้นมาเมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า

"ก็เห็นคบกันมานานแล้วนี่หว่า"
ผมหันขวับไปมองเพื่อนสนิททันทีเพราะไม่คิดว่ามันจะพูดออกมาแบบนั้น จะคบกันนานได้ยังไงวะ ครึ่งปีเองเถอะ

"นานอะไรของมึงเนี่ย ยังไม่ครบปี"
ผมตอบเสียงเบาแล้วเหลือบสายตามองไอ้กู๊ด มันไหวไหล่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบอะไรบางอย่างให้หัวใจกระตุก

"ถ้ากูเป็นพี่ทาร์ตคงไม่ปล่อยมึงให้ซิงมาจนถึงทุดวันนี้หรอกไอ้ปูน"
มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นจนผมเผลอสะดุดลมหายใจเมื่อคิดตามประโยคนั้น มีความเป็นไปได้สูงที่พี่ทาร์ตจะไม่ปล่อยให้ผมรอดมือเขาไปได้ แต่นี่แฟนนะเว้ย คงไม่คิดจะปล้ำกัน แล้วพี่เจนล่ะ... หรือเพราะเป็นผู้ชายด้วยกันถึงไม่กล้าทำอะไรวู่วาม

"พูดบ้าๆ เลิกคุยเรื่องนี้เหอะ"

"มึงไม่คิดว่ามันแปลกบ้างหรือไงที่อดีตเสือผู้หญิงอย่างพี่ทาร์ตไม่ปล้ำมึงสักที"

"ทำไมวะ เขาบอกว่ารอวันที่กูพร้อมไง"
จริงๆ ก็ปล้ำ แต่ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นไม่ยอมปล่อย... แล้วยังไงวะ ทำไมชอบมีคนทำให้คิดมากเรื่องพี่ทาร์ตอยู่เรื่อย ปวดหัวเว้ย

"อ๋อเหรอ ไม่คิดว่าระหว่างรอเขาไปฟันคนอื่นฆ่าเวลาบ้างหรือไง"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วลงมือจดงานต่อไปเหมือนประโยคนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวลอะไร แต่ผมกลับขมวดคิ้วแน่นด้วยความเครียด ไม่เคยคิดมาก่อนว่าพี่ทาร์ตจะไปฟันใครระหว่างที่รอ... ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ควรจะทำยังไงดี

"ไอ้กู๊ดมึงจะปากหมาเกินไปแล้ว"
ผมว่ามันไปแบบนั้นทั้งๆ ที่ความคิดเริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง คราวที่แล้วก็ไอ้ฟ้อนคราวนี้มาเป็นไอ้กู๊ดอีก ถึงจะพยายามเชื่อใจแต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่ะ แม่งเอ้ย อยากจุดรูอยู่ไม่ต้องรับรู้อะไรจริงๆ แล้วนะเว้ย

"เอ้า นี่กูพูดให้คิดตาม ไม่ได้ยุยงเลยจริงๆ"
เออ... เข้าใจแต่มันทำให้เครียดเว้ย เพิ่งผ่านเรื่องไอ้ฟ่อนกรอกใส่สมองไปไม่ถึงเดือนเอง

"แม่ง..."

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปนับจากวันแรกที่พี่ทาร์ตเริ่มทำงาน เขาไม่เคยย่างกรายมาค้างที่บ้านผมเลยแม้แต่วันเดียว ปากบอกว่าเหนื่อยอย่างนั้นอย่างนี้แล้วอีกอย่างคือกลัวควบคุมอารมณ์หื่นของตัวเองไม่ได้ ครั้นจะเลิกคิดเรื่องที่เพื่อนสนิทกรอกหู กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างมันวนเวียนอยู่ในสมองหนักขึ้น แถมตกตะกอนจนรู้สึกระแวง ยอมรับว่าเป็นแฟนที่แย่ คิดมาก แต่การกระทำของอีกฝ่ายมันน่าสงสัยจริงๆ

"ปูน"

"....."

"น้องปูน"

"....."

"แฟนครับ!"

"ห๊ะๆ ครับ มีอะไรเหรอ"
ผมสะดุ้งสุดตัวจนหัวเกือบจะชนหลังคารถ ตอนนี้พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปห้างกัน เพื่อกินข้าวเที่ยงและดูหนังสักเรื่อง แต่เมื่อครู่คงเหม่อไปหน่อยเลยไม่ได้ยินที่พี่ทาร์ตเรียกก่อนหน้านี้

"เป็นอะไร เห็นนั่งเหม่อมาตั้งแต่ออกจากบ้าน"
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงก่อนจะเอื้อมมือมาแตะแก้มกันเบาๆ ในขณะที่รถติดไฟแดง ผมสะดุ้งอีกครั้งเพราะไม่คิดว่าเขาจะถูกเนื้อต้องตัวกันหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสมาร่วมอาทิตย์ ขนาดหน้ายังไม่ได้เห็น จะเอาเวลาที่ไหนอยู่ใกล้กัน เขาเล่นกลับจากโรงแรมดึกดื่นทุกวัน ไม่รู้จะรักงานอะไรนักหนา... แอบซุกใครไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้

"มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยครับ"
ผมบอกไปแบบนั้นก่อนจะขยับตัวหนีมือเย็นๆ ของเขา ดวงตารีเบนออกไปมองวิวด้านนอกเพราะไม่รู้จะทำตัวยังไงดีในตอนนี้ กำลังคิดไม่ตกว่าควรจะถามตรงๆ ดีหรือดูพฤติกรรมของเขาต่อ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเกินไป

"มีอะไรก็บอกพี่ได้นะปูน คิดมากคนเดียวมันเหนื่อย"

"อื้อ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่จะบอกนะ"

"ครับ"

เราถึงห้างกันตอนเที่ยงกว่าๆ เลยตกลงกันว่าไปซื้อตั๋วหนังรอบบ่ายประมาณบ่ายสองก่อนแล้วค่อยไปหาอะไรกิน ระหว่างเรื่องมัมมี่กับมินเนี่ยนทำให้ผมลังเลอย่างหนัก เพราะมันน่าดูทั้งคู่... เอาไงดีวะ คนละแนวด้วยดิ ไม่รู้พี่ทาร์ตชอบแบบไหน

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียนคนที่ยืนมองโปสเตอร์หนังอยู่ข้างๆ กัน ดูเหมือนเขาจะสนใจเรื่องมัมมี่มากพอตัวเพราะทอมครูซเป็นนักแสดงนำ แต่ผมก็อยากดูมินเนี่ยนด้วยนี่ดิ ตะแยกกันก็แปลกๆ อีก

"หืม"
เขาครางรับในลำคอก่อนจะเบนสายตาออกจากโปสเตอร์หนังแล้วเลิกคิ้วใส่กันเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

"อยากดูเรื่องอะไร"
ผมชี้นิ้วไปที่เรื่องมัมมี่กับมินเนี่ยนแล้วลอบมองปฏิกิริยาของพี่ทาร์ต เขายิ้มออกมาก่อนจะเนียนวาวแขนแกร่งพาดไหล่กัน

"ตามใจปูนเลย"
เขาบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ แถมกระชับแขนดันให้ผมแนบชิดมากขึ้นโดยไม่แคร์สายตาประชาชีที่ลอบมองอยู่ห่างๆ เลย เชื่อว่าพวกนั้นไม่ได้คิดอะไรนอกจากว่าพี่ทาร์ตหล่อหรอก

"ไม่เอาดิ พี่อยากดูเรื่องไหน"
ผมถามย้ำอีกครั้งเพราะกลัวว่าวันหยุดที่แสนมีค่าของพี่ทาร์ตจะต้องมาเบื่อหน่ายเพราะโดนชวนดูการ์ตูนแบบนี้ อยากให้เขามีความสุขที่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน

"เรื่องไหนก็ได้ น่าดูทั้งคู่นะ"
พี่ทาร์ตหันมายิ้มให้กันเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง ผมยังไม่แน่ใจว่าถ้าตัดสินใจไปแล้วจริงๆ จะทำให้เขาไม่รู้สึกเบื่อได้

"แน่ใจเหรอว่าดูได้ทั้งสองเรื่องอะ"
ผมถามอีกครั้ง ดูน่ารำคาญแต่ก็อยากมั่นใจ

"ต้องแน่ใจสิ"
พี่ทาร์ตตอบย้ำอีดครั้งแล้วผละมือออกจากไหล่แล้วเลื่อนมาดึงแก้มผมแทน

"ปูนเลือกหนังพี่เลือกอาหาร โอเคปะ จะได้ไม่ต้องคิดมากแบบนี้ รู้ตัวไหมว่าคิ้วจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว"
เขาเลื่อนมือมีคลึงหว่างคิ้วให้ผมต่อย่างอ่อนโยน สายตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง อยู่ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจจนสิ่งที่คิดมากมาตลอดหนึ่งอาทิตย์จางลงไปเยอะ

"อื้อ งั้นดูมินเนี่ยนนะ"

"ครับผม ~ ขอที่นั่งโซฟานะ"
รักความสบายจริงๆ เลยแฟนผม

หลังจากซื้อตั๋วหนังกันเรียบร้อยแล้วพี่ทาร์ตก็เลือกเข้าร้านชาบูแบบบุฟเฟ่ต์ ผมได้ขัดอะไรเพราะสามารถกินได้ทุกอย่างอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะเมื่อเช้าตื่นสายเลยหิวเป็นอย่างมาก บวกกับตกลงกันไว้แล้วว่าเขาจะเป็นฝ่ายเลือกร้านอาหารเอง กว่าจะอิ่มก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าเลยต้องรีบพากันไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้าโรงหนัง

ผมที่กลับออกมาจากห้องน้ำถึงกลับชะงักเมื่อเห็นว่าพี่ทาร์ตยืนคุยกับใครบางคนด้วยท่าทางสนิทสนม เธอเป็นสายสวยหุ่นดี ผมสีดำยาวสลวยถึงกลางหลัง แต่งตัวด้วยชุดเดรสสั้นเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย  ดูๆ แล้วเหมาะสมกับเขาทุกประการ... ตลกเนอะ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นแฟนแต่กลับไม่มีความมั่นใจอะไรเลย

“ทาร์ตมากับใครเหรอคะ”
เสียงหวานๆ เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าสวยคลี่ยิ้มสดใสจนผมเผลอมองด้วยความอิจฉา บางครั้งถ้าพี่ทาร์ตเลือกผู้หญิงคนนี้อาจจะดีกว่า เขาจะได้มีครอบครัวอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งควรมี

“ผมมากับแฟน นุ่นล่ะมากับใคร”
พี่ทาร์ตถามกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ทุกอย่างระหว่างทั้งสองคนดูละมุนละไม จนคนที่ผ่านไปผ่านมาอาจจะคิดว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกันก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงต้องแอบฟังอยู่ตรงนี้ คงอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างพวกเขาล่ะมั้ง ถึงจะหน่วงๆ ในใจก็เถอะ

“โห ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าทาร์ตมีแฟนแล้ว คงสวยมากแน่ๆ เลยใช่ปะ นุ่นมากับเพื่อนค่ะ”
ไม่เลย แฟนพี่ทาร์ตไม่ได้สวยเลยครับ หน้าตาธรรมดาๆ ตัวสูง เสียงทุ้ม ไม่มีความน่ารักอ่อนโยนอะไรเลย

“ไม่หรอกครับ เฮ้ย ปูน มานี่ๆ”
ผมกำลังจะหาที่หลบใหม่เพราะพี่ทาร์ตกำลังหันซ้ายหันขวา แต่ไม่ทันเพราะเขาเห็นผมก่อนแล้วเรียกซะเสียงดังโดยไม่เกรงใจคนที่ผ่านไปผ่านมา แถมยังกวักมือให้กันจนไม่หนีไปไหนเลย เลยจำต้องคลี่ยิ้มแหยๆ แล้วเดินเข้าไปหาเขาทั้งสองคนแทน

“ออกมาจากห้องน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย พี่ก็ว่าเราตกส้วมไปแล้วซะอีก”
พี่ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนดึงข้อมือของผมให้ขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้พี่นุ่นมองไม่ได้เลยได้แต่ขืนตัวเองไว้จนเขาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

“ปล่อยก่อนครับพี่ทาร์ต”
ผมบอกเขาเสียงกระซิบเพราะโดยพี่นุ่นมองมาด้วยสายตาสนใจ พี่ทาร์ตไม่ยอมทำตามแต่ออกแรงบีบข้อมือกันแน่นขึ้น ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ในเวลานี้

“ทำไม”
เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงดังปกติ ไม่ได้แคร์เลยว่าคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ จะได้ยินอะไรแปลกๆ

“เขามองอยู่...”
ผมตอบเสียงแผ่วแล้วแอบเหลือบมองพี่นุ่นไปด้วย ส่วนพี่ทาร์ตถอนหายใจออกมาแล้วออกแรงกระตุกจนไหล่ของเราชนกันในที่สุด ครั้นจะผละตัวออกก็คงไม่ทันแล้วเพราะโดนสายตาดุๆ ของเขาห้ามเอาไว้

“เอ่อ... คนนี้น่ะเหรอแฟนของทาร์ตน่ะ”
พี่คนสวยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ภาพตรงหน้ามันฟ้องว่าเราทั้งสองคนเกินเลยมากกว่าคำว่าพี่น้องไปแล้ว ยืนจับมือถือแขนแถมยังโดนโอบเอวแบบนี้คงปฏิเสธอะไรไม่ได้

“อื้ม คนนี้ล่ะครับ ตกใจปะ”
พี่ทาร์ตถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบราบแต่ใบหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ เอาไว้ พี่นุ่นดูจะอึ้งๆ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าว่าตกใจจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องปกติที่คนๆ หนึ่งเห็นเขาเป็นผู้ชายแมนๆ มาตลอดแต่ที่ไหนได้กลับมีแฟนเป็นเพศเดียวกันซะอย่างนั้น

“ก็... นิดหน่อยอะ ไม่คิดว่าทาร์ตจะมีแฟนเป็นผู้ชาย”

“นั่นสินะ เอาเป็นว่าผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ ไว้เจอกันที่โรงแรม”
พี่ทาร์ตบอกกับพี่นุ่นแบบนั้นก่อนจะลากผมออกมาจากตรงนั้นโดยไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่เชื่อไหมว่ามีบางอย่างในดวงตาคู่สวยนั้นบ่งบอกว่ากำลังเสียดาย...

“พี่ทาร์ต... รู้ใช่ปะว่าเธอคิดอะไรอยู่”
ผมถามในขณะที่เราทั้งสองคนกำลังมุ่งหน้าตรงไปที่โรงหนังโดยที่พี่ทาร์ตไม่ได้ปล่อยมือผมแต่อย่างใด อายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเพราะกลัวเขาจะโดนมองไม่ดี แต่ช่างเถอะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้รู้ว่าคนๆ นี้ก็มีเจ้าของแล้วนะ

“อืม... ถ้าบอกไม่รู้ก็คงโกหกใช่ไหมล่ะ”
พี่ทาร์ตเหลือบมองกันเล็กน้อยแล้วปล่อยมือผมออกเมื่อเรามายืนต่อแถวเพื่อซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำอัดลม ผมพยักหน้ารับคำเพราะรู้ดีว่าสายตาผู้หญิงคนนั้นมันชัดเจนจนใครๆ ก็สมารถดูออกได้ว่าคิดอะไรอยู่




ต่อหน้าถัดไปจ้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด