บทที่ 11 จอมปราชญ์
ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่น การได้นอนเต็มอิ่มทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายได้รับการชาร์จพลังเต็มที่จริงๆ ตื่นขึ้นมาก็ยังคงเจอชเนาเซอร์นอนอยู่ข้างๆ เหมือนเคย ยังดีหน่อยที่ตอนนี้ปลดผ้าคลุมออกแล้ว เลยไม่หลอนเหมือนกับตอนแรก
นั่งรอไม่นานสี่คนที่เหลือก็เดินออกมาจากป่าพร้อมกับอาหารทั้งเนื้อสัตว์และผลไม้ที่น่าจะพอสำหรับทุกคน ผมเลยปลุกชเนาเซอร์ไปล้างหน้าล้างตา พอเตรียมผ้าเสร็จกำลังจะเดินไปที่แม่น้ำ ไซเลอร์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วจับบ่ารั้งไว้
“มีอะไรรึเปล่าครับ” ผมหันไปถามด้วยความสงสัย
“เดินขึ้นไปเหนือน้ำหน่อยนะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“พวกข้าให้อาหารมังกรที่ตรงริมน้ำ... มันไม่น่าดูเท่าไหร่ เจ้าอย่าเห็นเลย เพราะฉะนั้น เดินเลยไปเหนือน้ำหน่อยจะดีกว่า”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม อดจะรู้สึกดีกับความเอาใจใส่ของพี่แกไม่ได้ อยากจะบอกเหลือเกินว่าผมไม่ได้บอบบางขนาดนั้น ปกติอยู่ที่โน่นเวลาเข้าครัวก็ต้องทำทั้งปลาทั้งไก่ เพราะมันเป็นงานที่ผู้ชายน่าจะทำมากกว่าผู้หญิงที่ใจอ่อนกว่า พอหันกลับไปก็เจอกับสายตาล้อเลียนของชเนาเซอร์ เห็นแล้วก็อยากจะเอารองเท้าปาใส่หน้าเหมือนเดิม แต่ต้องอดใจไว้เพราะฝีมือสู้ไม่ได้ เลยได้แต่ส่ายหัวแล้วเดินนำไปทางที่ไซเลอร์ชี้บอก
หลังจากกินอาหารกันเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางกันต่อ คราวนี้ผมขึ้นหลังมังกรด้วยความระวังมากขึ้น หึๆ อย่าหวังจะล้อซะให้ยากเลย ไม่เข้าใจจริงๆ ผู้ชายเหมือนๆ กัน จะล้อเพื่อ? ไอ้คนที่โดนล้ออีกคนก็ทำเฉย ไม่ปฏิเสธสักคำ ชิน? หรืออะไร? ไม่เข้าใจพี่แกจริงๆ หรือจะเป็นเพราะที่นี่เรื่องความรักของเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติ ถึงล้อได้ล้อดีกันเหลือเกิน เพลียใจจริงๆ
ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ มาเกือบค่อนวัน ในที่สุดก็เห็นเมืองใหญ่ปรากฏสู่สายตาตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินพอดี แสงยามเย็นอาบเมืองทั้งเมืองให้กลายเป็นสีทองดูอบอุ่นละมุนละไมเหมือนอยู่ในฝัน ไซเลอร์บอกว่าถึงจุดหมายของเราแล้ว
เมืองหลวงของอาณาจักร
‘เคลเบรอส’
มาสทิฟฟ์ที่บินนำหน้าค่อยๆ เบนหัวมังกรลดระดับลงจนแลนดิ้งสู่พื้นดินบนลานกว้างในสวนของคฤหาสน์หลังหนึ่ง
พอลงจากมังกรได้ผมก็มองรอบตัวอย่างสนใจ ลานที่เรายืนอยู่เป็นสนามหญ้าที่ได้รับการดูแลอย่างดี รอบข้างปลูกต้นไม้และดอกไม้อย่างสวยงามร่มรื่น ยังไม่ทันได้สังเกตละเอียดกว่านั้นก็มีคนห้าคนวิ่งตรงมาหา ผมเผลอถอยหลังไปแอบหลังไซเลอร์โดยไม่รู้ตัว แต่คนพวกนั้นไม่ได้สนใจผมสักนิด มาถึงก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่งแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านมาสทิฟฟ์ ท่านเบตันให้มาเชิญไปที่ห้องทำงานครับ แล้วก็ขอเชิญทุกท่านด้วย”
“รู้แล้ว ขอบใจมาก ลุกขึ้นเถอะ ฝากเอามังกรไปเก็บให้ด้วย”
“ครับ” คนทั้งห้ารับคำอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะไปรับสายจูงจากเจ้าของมังกรคนละตัว คนที่นำหน้าหันมามองก้อนหิน ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไซเลอร์เอ่ยปากขึ้นก่อน
“ไม่ต้องหรอก ไปเถอะ” เขาหันไปมองมาสทิฟฟ์อย่างลังเล แต่พอมาสทิฟฟ์พยักหน้าให้ก็จูงมังกรเดินไปทางประตูใหญ่ๆ อีกด้าน ผมเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอก เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอรัดมันแน่นไป ก็เมื่อตอนที่มันเงยเอาหัวมากระแทกอกเบาๆ แล้วจ้องตาแป๋ว ผมยิ้มให้มันอย่างเอ็นดูแล้วคลายแขนลง พอหันไปขอบคุณไซเลอร์ก็ได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา ทำไมโดนมองอย่างนี้ทีไร รู้สึกร้อนขึ้นมาทุกที
“ปกป้องกันจริงนะ” มาสทิฟฟ์พูดยิ้มๆ
“เข้าไปข้างในกันเถอะ” แล้วก็คว้าแขนพรีซาเดินนำไป
เหอะ... ยืนมองแล้วพากันยิ้มอย่างเดียวก็เงียบไปเลย เดี๋ยวขัดขาแม่ง!
ผมเดินรั้งท้ายตามทุกคนเข้ามาทางประตูฝั่งตรงข้ามกับประตูที่มังกรเพิ่งเดินเข้าไป ภายในตกแต่งจากวัสดุและเฟอร์นิเจอร์อย่างสวยงาม บ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของคฤหาสน์เป็นอย่างดี บ้านของหมอนี่ๆ รวยไม่ใช่เล่นเลยแฮะ น่าจะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย พอผ่านห้องโถงผมก็ได้แต่สนใจภาพที่ประดับฝาผนัง เพราะนอกจากจะมีภาพของคนในบ้านแล้ว ก็มีรูปถ่ายคู่กับสัตว์เลี้ยงอย่างมังกรกับหมาปะปนมามากมาย หมาอะไรวะ ตัวใหญ่อย่างกับหมี
เพราะมัวแต่มองรอบตัวเลยไม่ทันตั้งตัวเมื่อทุกคนหยุดเดินทำให้ชนหลังไซเลอร์จนเกือบจะหงาย พอตั้งหลักได้ก็คลำหน้าผากป้อยๆ คนอะไรหลังแข็งชะมัด ไซเลอร์หันมาถามขำๆ ว่าเป็นอะไรรึเปล่า ผมอุบอิบขอโทษแล้วก็ตอบว่าไม่เป็นไร ก่อนจะเห็นว่าเรามายืนอยู่หน้าประตูห้องห้องหนึ่งซึ่งมาสทิฟฟ์กำลังยืนเคาะอยู่ พอได้ยินเสียงอนุญาตก็เปิดออกแล้วเดินเข้าไป
ผมยืนลังเล ไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปด้วยไหม หรือจะขอรออยู่ข้างนอกดี ไซเลอร์ก็แตะแขนเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เดินเข้าไปได้ พอเดินเข้าไปข้างในทุกคนก็เตะเท้าชิดแล้วโค้งคำนับอย่างนุ่มนวลให้กับคนในห้องทั้งห้าที่ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์กับมารพอๆ กัน
“ตามสบายเถอะ” คนพูดนั่งเก้าอี้ตรงหัวโต๊ะ ดูตัวเล็กที่สุดในห้องถ้าเทียบกับยักปักหลั่นอีก 4 คน ที่นั่งขนาบข้างทั้งซ้ายขวา พอพูดจบก็ลุกขึ้น สายตาอ่อนโยนคู่นั้นมองตรงมาที่ผม
“ให้พวกบ้าพลังคุยกันไป เราไปคุยกันสบายๆ ที่สวนดีกว่านะ ก้อนดินใช่ไหม” ผมทำหน้าประหลาดใจ เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ
“เจ้าอยากพบข้าไม่ใช่เหรอ” หือ... ผมอยากพบ? ตอนไหน? พอผมทำหน้าเอ๋อใส่ คนตรงหน้าก็หัวเราะเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ อืม เหมือนจะเอ็นดูละมั้ง ก่อนจะพูดต่อ
“คงต้องแนะนำตัวกันก่อนสินะข้ามอลทีส จอมปราชญ์แห่งเคลเบรอส” ห๊ะ! นี่เหรอจอมปลวก เอ๊ย! จอมปราชญ์ที่ลุงเซเรสแนะนำให้มาหา ว่าแต่รู้ได้ยังไงน่ะ! ที่นี่มีโทรศัพท์ด้วยเหรอ หรือใช้โทรจิตกัน ผมหันไปมองไซเลอร์อย่างงงๆ ก็ได้รับแค่รอยยิ้มปลอบโยนกลับมา พี่ครับ ผมอ่านสีหน้าไม่ออก ใช้โทรจิตไม่เป็น กรุณาอธิบายเป็นคำพูดด้วย ผมงง??? แต่คนที่ทำผมงงก็มิได้นำพา ยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ส่วนคนที่อยู่ขวามือคือท่านเบตันพ่อของมาสทิฟฟ์ ถัดไปคือท่านคานาริโอพ่อของพรีซา ส่วนทางซ้ายมือคือท่านอลาสกันพ่อของไซเลอร์และท่านไวเลอร์พ่อของร็อต”
“สวัสดีครับ” ผมเผลอยกมือที่กอดก้อนหินขึ้นไหว้ด้วยความลืมตัว จนมันเกือบจะหล่น แต่หันมากอดผมไว้ทัน ซึ่งดูทุกคนก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะแปลกใจอะไร ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองรึเปล่า ว่าบรรยากาศจะดูผ่อนคลายขึ้นอีกด้วย ผมรีบคว้าก้อนหินมากอดไว้เหมือนเดิม มันพ่นลมเหมือนขัดใจ แต่พอลูบหัวเบาๆ มันก็ยอมอยู่นิ่งๆ แต่โดยดี
“ผมก้อนดินครับหรือจะเรียกดินเฉยๆ ก็ได้ ส่วนนี่ก้อนหิน ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านครับ” ผมพูดอย่างนอบน้อมที่สุด ผู้ใหญ่จะได้รู้สึกเอ็นดู ถึงหน้าตาท่านๆ จะเหมือนอยากกินหัวคนอื่นอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ
“ยินดีที่ได้รู้จัก ก้อนดิน” เสียงหนักแน่นของท่านอลาสกันดังขึ้น ขณะที่คนอื่นก็ผงกหัวรับคนละที ส่วนคนลูกก็ยิ้มกว้างกว่าทุกครั้งจนผมรู้สึกแปลกๆ เอ่อ... เริ่มรู้สึกเหมือนจะร้อนๆ ขึ้นมาอีกละ
“รู้จักกันแล้วนะ ทีนี้เราก็ไปคุยกันข้างนอกเถอะ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย ควรจะเลิกแปลกใจกับเรื่องทุกอย่างของที่นี่ได้แล้ว ผมก้มหัวเป็นเชิงขอตัวกับท่านๆ ในห้อง สบตากับไซเลอร์ที่เหมือนจะมีแววกังวลใจ ก่อนจะเดินตามท่านมอลทีสไป
พอไปถึงสวนก็เพิ่งรู้ว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่บริเวณโดยรอบจุดคบไฟและตะเกียงให้แสงสว่างไปทั่วอาณาบริเวณ กลิ่นดอกไม้กลางคืนโชยมาตามลมหอมจับใจ ท่านมอลทีสหยุดตรงพุ่มดอกไม้สีขาวพุ่มใหญ่ก่อนจะหันกลับมา
“เอ้า มีอะไรจะถามข้าก็ว่ามา” ผมพยายามรวบรวมความคิดและนึกคำถามที่อยากจะรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจของตัวเองก่อนที่จะเริ่มหยั่งเชิงด้วยคำถามแรก
“ท่านรู้ใช่ไหมครับว่าผมไม่ใช่คนที่นี่”
“เจ้าอยากรู้แค่นี้เหรอ” อยากจะกระโดดงับคอท่านจริงๆ ให้ตายสิ อย่าตอบคำถามด้วยคำถามสิครับ บอกแล้วไงว่าผมงง?
“ก็ผมแปลกใจนี่” อดจะบ่นงึมงำคนเดียวไม่ได้ คนตรงหน้าก็หัวเราะอย่างขำๆ โธ่! ตั้งใจแกล้งกันนี่
“ผมอยากรู้ว่ามีวิธีให้ผมกลับบ้านได้ไหมครับ” ผมถามอย่างจริงจังมากขึ้น
“วิธีน่ะมี แต่เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าอยากกลับไป” ผมนิ่งไปนิดกับคำถามที่ถามกลับมา
“เจ้าถามตัวเองรึยังว่าจะกลับไปเพื่ออะไร กลับไปหาใคร แล้วเจ้าจะทิ้งมังกรที่เจ้ากอดไว้ได้ลงเหรอ” ผมก้มลงมองก้อนหินที่ขยับตัวหันมากอดแล้วเอาหัวถูอกผม นั่นสิ... จะทิ้งมันลงเหรอ? ผมลูบหัวมันอย่างเหม่อๆ ซึ่งมันก็เอียงหัวแนบกับฝ่ามืออย่างออดอ้อนทันที
“เอาเถอะ การจะกลับไปที่โลกของเจ้าได้มันต้องรอเวลา ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้ เจ้ายังมีเวลาตัดสินใจอีกสักพัก ลองอาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อน เผื่ออะไรหรือใครจะทำให้เจ้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น” คนตรงหน้าพูดยิ้มๆ
“แล้วผมเลี้ยงก้อนหินได้เหรอครับ ไม่ต้องเอาไปคืนพ่อแม่มันเหรอ” ผมถามอย่างกังวลใจ
“เลี้ยงได้สิ สำหรับที่นี่ มังกรตัวเต็มวัยจะแยกจากพ่อแม่ไปใช้ชีวิตเพียงลำพังและหาคู่ของตัวเอง ถ้าจะไปจับหรือซื้อจากผู้ล่ามังกร ก็ต้องเป็นผู้ที่มังกรยอมรับเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของมันได้ ส่วนที่เจ้าได้มานั้น...” ท่านมอลทีสเว้นช่วงไว้มองก้อนหินที่กอดผมยิ้มๆ
“แสดงว่ามันยอมรับเจ้าแล้ว และคงมีแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่สามารถเลี้ยงมันได้”
“ผมสงสัยอีกอย่างครับ ตั้งแต่เดินทางมาผมพยายามมองหามังกรสีเขียวมาตลอด เผื่อจะเจอกับพ่อแม่หรือญาติของมัน แต่ก็เห็นแค่มังกรขาวกับมังกรดำ ยังไม่เจอสีเขียวเลยสักตัว ทำไมล่ะครับ เพราะมันผ่าเหล่าเหรอ พ่อแม่มันถึงได้ทิ้งมันไป” ผมถามพร้อมกับลูบหัวมันไป ท่านมอลทีสยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเหม่อมองไปทางทิศที่เราจากมา
“ข้ามีนิทานจะเล่าให้ฟัง” หือ? คำถามของผมมันเกี่ยวกับนิทานตรงไหน?
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... มีโลกอยู่ใบหนึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมกับมิติต่างๆ ที่ซ้อนทับกันอยู่มากมาย แต่ละมิติจะมีประตูที่เชื่อมต่อกันอยู่เพื่อให้สามารถเดินทางไปหากันได้เมื่อมิติใดมิติหนึ่งล่มสลาย แต่บางครั้งประตูมิติก็ไม่เสถียร ทำให้คนพลัดหลงไปยังมิติอื่นโดยไม่ตั้งใจ
จึงมีมิติที่เป็นแกนกลางเอาไว้คอยรองรับคนที่หลงมาแล้วทำหน้าที่ส่งกลับไปยังมิติเดิม ถ้าคนๆ นั้นต้องการอยู่ที่นี่ก็สามารถอยู่ได้ แต่ต้องเป็นคนที่มีจิตใจดีเท่านั้น เพราะถ้าเป็นผู้ที่จิตใจมืดบอด อาจจะทำให้เสี่ยงต่อความมั่นคงของทุกมิติได้ จึงต้องส่งกลับไปเพียงอย่างเดียว
และในการควบคุมประตูมิตินั้นต้องใช้พลังจากไวเวิร์น มังกรมรกต ซึ่งเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ในการส่งกลับ แต่เนื่องจากมังกรเป็นสัตว์ที่มีสัญชาตญาณของสัตว์มากกว่ามนุษย์ จึงต้องมีมนุษย์ผู้ถูกเลือกให้เป็นผู้ผูกจิตกับมังกรคอยควบคุมอีกที ถ้าวันใดที่มนุษย์ผู้นั้นตายไป มังกรก็เข้าไปสู่อีกมิติเพื่อจะวางไข่ ละสังขาร แล้วตายจากไปด้วย ต้องรออีกร้อยกว่าปี มังกรถึงจะฟักออกมาใหม่ และต้องรอจนกว่ามังกรจะโตเต็มวัยถึงจะกลับมาทำหน้าที่ได้อีกครั้ง
ระหว่างนั้นคิงของแต่ละอาณาจักรต้องเป็นคนรับหน้าที่ในการดูแลประตูมิติแทน โดยแต่ละอาณาจักรจะมีเกล็ดมังกรอาณาจักรละชิ้นอยู่ในครอบครอง กรณีเร่งด่วนสามารถขอความเห็นชอบจากทั้งสามอาณาจักรใช้เกล็ดมังกรส่งกลับไปได้เลย แต่ถ้าไม่เร่งด่วนและป้องกันความผิดพลาดก็ต้องรอช่วงเวลาที่ประตูมิติแปรปรวนมากที่สุด คือช่วงเดือนแปดของปีอธิกมาสในการส่งกลับไป” พูดจบก็หันกลับมามองผมที่ยืนช็อคไปแล้ว
นิทาน... มันเป็นแค่นิทาน ใช่ไหม!?!
อยากจะภาวนาให้มันเป็นแค่นิทาน แต่สายตาที่มองมาอย่างจริงจังของท่านมอลทีสทำให้ผมพูดไม่ออก ได้แต่อ้าแล้วหุบ อ้าแล้วหุบเหมือนปลาฮุบเหยื่ออยู่อย่างนั้น
“ฟังนิทานจบแล้ว มีอะไรจะถามอีกไหม” ผมได้แต่สูดหายใจลงลึกๆ เพื่อตั้งสติ
“มีใครรู้เรื่องนี้บ้างครับ” ผมก้มลงมองก้อนหิน
“ไม่มีหรอก เจ้าพวกที่รับเจ้ามาก็รู้เพียงว่าต้องรับมนุษย์และลูกมังกรที่เจอจากป่าไวท์กลับมาเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของมัน เพราะยังมีพวกหลงมิติที่หน่วยไล่ล่ายังหาไม่เจอหลงเหลืออยู่ จึงไม่ควรมีคนรู้เรื่องนี้มากนัก จนกว่ามันจะโตและมีพลังมากเพียงพอที่จะจัดการส่งคนพวกนี้กลับไปยังมิติได้”
“จะมีคนฆ่ามันเหรอครับ”
“ไม่หรอก สิ่งที่คนพวกนั้นต้องการไม่ใช่ชีวิตของมัน แต่เป็นพลังในการเดินทางไปยังมิติต่างๆ ต่างหาก บางมิติก็มีอัญมณีมากมายจนเหมือนจะไร้ค่าเหมือนกรวดหิน บางมิติก็มีพลังงานหลากหลายที่เป็นเหมือนของดาษดื่นธรรมดา ถ้าสามารถผ่านไปเอามายังมิติที่คนต้องการได้...” ท่านมอลทีสเว้นวรรคไว้ให้ผมคิดต่อเอง
ผมถอนหายใจอย่างปลงๆ ความโลภนี่เป็นของคู่กันกับมนุษย์เป็นธรรมดา แต่ก็สร้างปัญหาได้ทุกอย่างจริงๆ
“อีกอย่าง” ท่านมอลทีสชะงัก ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“ในตำนานบอกว่า... ถ้าใครได้กินหัวใจมังกรจะทำให้คนๆ นั้นเป็นอมตะ”
“ห๊ะ!!!” กินหัวใจมังกรเนี่ยนะ จิตใจทำด้วยอะไร พอเห็นหน้าผมที่เหมือนจะแดกหัวคน ท่านมอลทีสก็ยิ้มก่อนจะพูดต่อ
“มันเป็นแค่ตำนาน แต่ข้าเชื่อว่าคงอยากจะมีคนลองเป็นแน่ ถึงจะไม่มีอาวุธหรือพิษใดสามารถทำร้ายมันได้ แต่เจ้านั่นแหละจะเป็นจุดอ่อนเดียวของมัน เพราะสิ่งที่จะทะลุผิวหนังของมันได้ก็มีเพียงกรงเล็บของมันเองเท่านั้น” ผมฟังแล้วรู้สึกเครียดขึ้นมาทันที ถ้าไม่อยากเป็นภาระหรือไม่อยากให้มันเป็นอันตราย ผมจะต้องแกร่งขึ้นสินะ
“แล้วเมื่อไหร่มันถึงจะโตเต็มที่ล่ะครับ” ผมก้มลงมองไอ้ตัวดีที่ตัวยังเท่าลูกหมาอยู่เลย
“ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน บางตัวอาจจะใช้เวลาแค่ปีเดียว บางตัวอาจจะ 10 หรือ 20 ปีก็ได้”
“เอ่อ... กว่ามันจะโต ผู้ผูกจิตด้วยมิตายก่อนเหรอครับ” หรือไม่ก็คงแก่หงำเหงือก หมดน้ำยาจะทำอะไรแล้ว
“ตามปกติ คนที่เป็นผู้ผูกจิตกับมังกรจะเป็นคนที่นี่ ซึ่งมีอายุขัยถึง 200 ปี ไม่เคยได้ยินว่าเป็นคนที่มาจากมิติอื่น อย่างเจ้ามาก่อนเลย”
สะ... สองร้อยปี!!! แล้วที่อยู่ตรงหน้านี่...???
“ฮ่าๆ ไม่ต้องมองอย่างนั้น ข้ายังไม่แก่ แค่ 50 กว่าปีเอง” ครับ... ไม่แก่ก็ไม่แก่
“มีอะไรสงสัยอีกไหม”
“แล้วถ้าเกิด... ถ้าเกิดผมเลือกที่จะกลับไปมิติเดิมล่ะครับ ก้อนหินจะเป็นยังไง”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ... อย่างที่บอก ไม่เคยมีผู้ผูกจิตที่มาจากต่างมิติมาก่อน เลยไม่แน่ใจในผลกระทบที่จะเกิด หากเจ้ากลับไป มันอาจจะตาย หรืออาจจะโตต่อไปก็ได้ ข้าบอกไม่ได้จริงๆ”
“...”
“เอาเถอะ อย่าเพิ่งคิดอะไรไปก่อนเลย เหลืออีกตั้งปีกว่าๆ กว่าจะถึงเดือนแปดสองหนของปีอธิกมาส ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ตัดสินใจไป ระหว่างนี้ข้าจะให้เจ้าพวกนั้นคอยคุ้มครองเจ้าไปก่อน”
“ขอบคุณมากครับ ผมจะพยายามระวังตัว ว่าแต่... ผมต้องทาสีมันแบบนี้ต่อไปไหมครับ สีที่พกมาด้วยก็ใกล้จะหมดแล้ว”
“เพื่อความปลอดภัยของมัน ทาไว้ก็ดีนะ ถ้าหมดก็มาเอาที่ข้าได้ ว่าแต่... ท่านสบายดีไหม” ผมชะงักแล้วมองหน้าท่านมอลทีสทันที
“ท่านเป็นอาจารย์ของข้าเอง ระหว่างที่ข้าเดินทางไปหามังกร ข้าหลงเข้าไปในนั้น และได้เรียนศาสตร์พยากรณ์จากท่าน”
“ตอนที่ผมออกมาท่านสบายดีครับ” ผมตอบอย่างเหม่อๆ นึกถึงลุงเซเรสแล้วก็ยังอดห่วงไม่ได้ ก่อนที่ความคิดจะชะงักกึก เอ่อ... ท่านมอลทีสอายุ 50 กว่าๆ แล้วลุงเซเรสล่ะ!!!
“ดีจริง” คงไม่ใช่แค่ผมที่เป็นห่วงท่าน อย่างน้อยผมก็มีศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันอีกคนที่ยังคงนึกถึงลุงอยู่เสมอ
“เราจะได้เจอกันอีกไหมครับ” ท่านมอลทีสยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ต้องได้เจอสิ ข้ามั่นใจ” ผมยิ้มอย่างดีใจ
“อ้อ! อีกอย่างข้าว่าเจ้าใช้แทนตัวเองว่า ‘ข้า’ แบบคนที่นี่ดีกว่านะ จะได้ดูกลมกลืนและดูไม่ผิดสังเกต”
“ครับ ผม เอ๊ย! ข้าจะพยายาม”
โครกกกกกกก!
หือ? ผมก้มลงมองก้อนหินที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ ท่าทางจะหิวแฮะ ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับท่านมอลทีสก่อนจะหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ฮ่าๆๆ ก้อนหินเงยมามองหน้าเคืองๆ แล้วก็เอาหัวกระแทกอกอีกที
“ไปๆ ไปหาอะไรกินกันก่อน มันจะได้โตไวๆ” อือ เห็นทีต้องขุนมันซะแล้ว จะได้โตเร็วๆ อย่างท่านมอลทีสว่า
เมื่อเดินกลับไปก็เห็นไซเลอร์รออยู่ที่ห้องโถงด้วยสีหน้ากังวลใจ
“ท่านเบตันให้เชิญท่านมอลทีสกับดินไปที่ห้องอาหารเลยครับ”
“หึๆ ทนไม่ไหวจนต้องมารอเองเลยเหรอ” ไซเลอร์ได้แต่ทำหน้าไม่ถูกเหมือนจะเขิน เห็นแล้วพาลจะเขินด้วยพิกล ท่านมอลทีสเดินนำไป ปล่อยให้ผมกับไซเลอร์เดินตามหลัง
“เอ่อ ผมขอพาก้อนหินไปล้างมือก่อนได้ไหมครับ”
“ได้สิ ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น” พอไซเลอร์พูดจบ ผมก็เดินไปทางทิศที่เขาชี้ทันที ได้ยินเพียงเสียงคุยของทั้งคู่แว่วๆ มาแต่จับใจความไม่ได้
“ได้โอกาสแล้ว ก็พยายามเข้านะ”
“ครับ ท่านมอลทีส”
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
#sirin_chadada เดี๋ยวได้เผือกแน่นอนค่ะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ แหะๆ
#ommanymontra

#DeShiWa พิเศษใส่ใจมากค่ะ ฮิ้ววววว
#papapajimin เฮียแกรอของแกมานานจริงๆ ค่ะ หึๆๆๆ
#maekkun

#B52 เดี๋ยวได้เผือกแน่ ถ้าถึงเวลาค่า
#MayA@TK อยู่กับพี่ไซโดนตามใจค่ะ เลยเป็นตัวของตัวเองได้ 5555
#rayaiji 5555555555 ขอฮาแป๊บ ใช้คำได้สะใจมากค่ะ
#zuu_zaa

#♥►MAGNOLIA◄♥ แอบกระซิบว่า เค้าเคยเจอกันตัวเป็นๆ เลยค่ะ ตะ... แต่ ก้อนดินจำไม่ได้แค่นั้นเอ๊งงงง
#ซีเนียร์ ถ้าเจอก็จะรีบสอยมาเลี้ยงเหมือนกันค่ะ มันเขี้ยว

#แฟนตาเซีย ปีกกุดๆ คงจะบินได้ช้าอยู่นะคะ ถถถ
#mirage ไม่อยากบอกว่าตอนแรกจะตั้งว่าชิวาวาจริงๆ แต่มันหมดมาดมังกรไปหน่อยเลยเหลือแค่ชิวาค่ะ 55555
#poppycake อาจจะเป็นทายาทของพระอินทร์ ผิดๆ คนละแนว 55555
#•♀NoM!_KunG♀• มาแล้วววว ขอบคุณมากค่า รอไปก่อน เอร๊ยยย
#duck-ya รอหน่อยนะคะ คงได้เฉลยแน่นอน หึๆๆๆ
#mild-dy

#alternative ขอบคุณมากค่า อยากไปโรงฝึกมากกว่าค่ะ เจอมังกรเยอะกว่านี้อีกกกก
#Mynun มาแล้วค่า สงสัยถูกสะกดจิต
#Melonlove อยากได้เหมือนกันค่ะ งื้ออออ
#Zetnezz

#prangasia ได้รับป้ายไฟแล้วสู้ตายค่ะ
#i_Tipz

[/color]