บทที่ 24 จำจาก
“ไซเลอร์!!! ทำไมสภาพเจ้าถึงได้เป็นแบบนี้?”
เสียงของชเนาเซอร์ที่สื่อสารมาทางจิตดังขึ้นอย่างตกใจเมื่อกลับมายังจุดนัดพบแล้วเห็นสภาพของข้าที่ยังคงพันผ้าพันแผลไว้ นี่ถ้าได้มาเจอสภาพของข้าก่อนหน้านี้สักอาทิตย์คงจะตกใจหนักกว่านี้เป็นแน่ เพราะตั้งแต่สามารถใช้ร่างแปลงได้ ข้าก็ไม่เคยหมดสภาพขนาดนี้มาก่อน
“เดี๋ยวข้าเล่าให้ฟังพร้อมกันทีเดียว แล้วทางฝั่งของเจ้าได้ข่าวอะไรบ้างไหม” ข้าถามด้วยความกังวล เพราะร่างกายข้าได้รับบาดเจ็บ ทำให้ไม่สามารถช่วยตามหาได้อย่างเต็มที่ จึงอดจะรู้สึกเป็นกังวลและอดจะรู้สึกผิดไม่ได้
“ในเขตที่ข้ารับผิดชอบข้าพยายามวนหาตั้งหลายรอบก็หาไม่พบ ขนาดข้าไล่หาทั่วเขตที่เราทั้งคู่รับผิดชอบก็ยังไม่มีวี่แววเลย เฮ้อ! คงต้องรอดูฝั่งมาสทิฟฟ์กับพรีซาและทีมอื่นๆ อีกที เผื่อจะมีใครสักคนหาพบก็ได้” ชเนาเซอร์ตอบด้วยสีหน้าขัดใจที่ไม่พบเป้าหมายที่เราตามหา
“อืม ยังไงก็ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยหาเผื่อในส่วนของข้าด้วย ข้าขอโทษที่แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“เฮ้ย! ไม่เป็นไร ที่จริงข้าก็หาโอกาสเปิดหูเปิดตาด้วยแหละ แหะๆ ข้าซะอีกที่ต้องขอโทษที่ไม่เอะใจตอนที่ตระเวนหาเข้ามาในเขตเจ้าแล้วไม่ได้กลิ่นของเจ้า ไม่งั้นถ้ามาช่วยเจ้าเร็วกว่านี้ เจ้าก็คงไม่ต้องบาดเจ็บแบบนี้” ชเนาเซอร์บอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าโชคไม่ดีเอง ขืนให้เจ้ามาช่วยในร่างนี้เจ้าอาจจะแย่ไปด้วย แค่เจ้าช่วยทำหน้าที่ในส่วนของข้า ข้าก็ขอบใจเจ้ามากแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าคงจะรู้สึกผิดมากไปกว่านี้”
“เจ้าก็อย่าคิดมากเลย มันเป็นเหตุสุดวิสัยนี่นา”
“อืม...” แต่ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณชเนาเซอร์จริงๆ ที่ช่วยทำหน้าที่ในส่วนของข้าด้วย
“งั้นไปกันเถอะ ป่านนี้คนอื่นๆ คงรอกันแล้ว เจ้าพอจะลุกไหวไหม” ชเนาเซอร์ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“...”
“มีอะไรรึเปล่าไซเลอร์” พอเห็นข้าเงียบและมีสีหน้าเป็นทุกข์ชเนาเซอร์ก็ถามด้วยความแปลกใจ
“ข้า... เป็นห่วงก้อนดิน” ข้าตอบแล้วถอนหายใจด้วยความหนักใจ
“ห๊ะ! ก้อนดิน? คืออะไร” ชเนาเซอร์ถามอย่างงงๆ
ข้าจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่ได้พบให้ชเนาเซอร์ฟังก่อน
“อะไรนะ? เจ้าสร้างสัญญาผูกจิตกับเขาไปแล้ว!!!” เมื่อฟังจบ ชเนาเซอร์ก็ถามด้วยความตกใจ
“ใช่” ข้าตอบรับอย่างหนักแน่นและมั่นใจว่าข้าทำถูกต้องแล้ว และจะไม่มีวันเสียใจไปชั่วชีวิต
“ชนาเซอร์”
“หือ” ชเนาเซอร์ขานรับทั้งๆ ที่ยังดูมึนๆ กับเรื่องที่ข้าเล่าให้ฟังอยู่
“ข้า... ไม่อยากกลับ” ข้ายังไม่อยากทิ้งก้อนดินไปในตอนนี้เลย
“เฮ้อ! ข้าก็พอเข้าใจนะไซเลอร์ แต่แผลของเจ้ายังไม่หายดี ยังไงก็ต้องกลับไปรักษาตัวก่อน อีกอย่าง... เรายังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ” ชเนาเซอร์บอกอย่างลำบากใจ
“ข้ารู้” รู้ดี แต่หัวใจมันไม่อยากจะยอมรับ
“เฮ้อ! เอาเถอะ กลับไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยก่อนค่อยหาทางกลับมาหาก้อนดินของเจ้าก็แล้วกันนะ ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว ไปเถอะ เดี๋ยวพรีซาจะกินหัวเอา” ชเนาเซอร์ตบบ่าข้าเหมือนจะให้กำลังใจ
หัวใจข้าหนักอึ้งขึ้นมาทันที ถ้าก้อนดินกลับมาไม่พบข้าจะเป็นยังไง ข้ารู้แต่ว่าเขาจะต้องเสียใจมากแน่ๆ เพราะก้อนดินห่วงใยวสุของเขาเหลือเกิน
ข้าอยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วอยู่รอก้อนดินที่นี่
“ไซเลอร์”
แต่ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะข้าไม่อาจทิ้งหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบไปได้
ข้าหลับตาลงอย่างปวดร้าว สูดลมหายใจรับกลิ่นของก้อนดินที่ยังเจือจางอยู่ในอากาศเพื่อประทับไว้ในหัวใจ
ได้แต่เอ่ยคำขอบคุณและคำลาในใจ
อีกคำที่คงติดค้างก้อนดินไปจนวันตาย
คือคำว่า ‘ขอโทษ’
ขอโทษนะก้อนดิน
ข้าขอโทษที่ไม่สามารถทำตามคำขอของเจ้าได้
ขอโทษที่ไม่สามารถรอเจ้าอยู่ตรงนี้
ขอโทษที่ไปอยู่กับเจ้าไม่ได้
ข้าขอโทษนะ ‘ก้อนดินของข้า’
ข้าได้แต่หวังว่าสักวันจะได้เอ่ยทุกคำที่อยู่ในหัวใจให้เจ้ารับฟังด้วยตัวของข้าเอง
ก่อนจะตัดใจลืมตาขึ้นมาบอกกับชเนาเซอร์ด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“ไปกันเถอะ”
หลังจากภารกิจเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี เนื่องจากทีมที่รับผิดชอบเขตอื่นพบเป้าหมายแล้วสามารถพากลับไปคืนยังอาณาจักรรุคได้อย่างปลอดภัย
ทีมของเราก็กลับมาที่เคลเบรอส ข้าเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เพื่อนและครอบครัวของข้าฟังอย่างละเอียด ทุกคนยอมรับการตัดสินใจในการผูกจิตของข้า เพราะสำหรับชาวเคลเบรอส ถ้าใครมีบุญคุณต่อเราแล้ว เราต้องตอบแทนให้ถึงที่สุด สำหรับข้า ถ้าในตอนนั้นไม่ได้พบกับก้อนดิน ป่านนี้ข้าก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้
พอรักษาตัวจนหายดีแล้ว ก็มีภารกิจประเดประดังเข้ามาอีกมากมายให้เราต้องจัดการ เนื่องจากปีนี้เป็นปีอธิกมาส ประตูมิติมีความแปรปรวนมากกว่าช่วงปีอื่นๆ ทุกทีมจึงต้องทำหน้าที่กันอย่างหัวหมุน ต้องค้นหาผู้ที่หลงมิติมาเพื่อส่งกลับไปยังมิติเดิม
โดยเฉพาะกลุ่มมนุษย์ที่หลงมาแล้วได้รู้เรื่องของมังกรมรกตและคิดจะใช้ประโยชน์จากเกล็ดของมันในทางมิชอบ ทั้งสามอาณาจักรจึงต้องร่วมมือกันค้นหาและจับตัวส่งกลับอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อสิ่งมีชีวิตมิติอื่นๆ นอกจากนี้เรายังต้องข้ามไปรับคนจากมิติของเราที่หลุดไปยังมิติอื่นกลับมายังดินแดนไวเวิร์นเหมือนเดิมอีกด้วย
แต่ยังไม่มีภารกิจไหนที่ต้องกลับไปที่มิตินั้นอีกสักครั้ง แม้จะเป็นเรื่องที่ดีที่ประตูมิติของที่นั่นมั่นคง แต่ข้าก็อดไม่ได้ที่จะนับวันเฝ้ารอที่จะได้กลับไปที่นั่นจนแทบจะคลั่งใจตาย ได้แต่ทนทุกข์ทรมาน กระวนกระวายใจ เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้ก้อนดินจะเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า ป่านนี้แล้วจะลืม ‘วสุ’ ไปของเขาแล้วหรือยัง
จนวันหนึ่งโชคชะตาก็เข้าข้างข้า เมื่อทีมของเราได้รับภารกิจใหม่ให้ไปส่งตัวมนุษย์ที่หลงมาจากมิตินั้น ท่านมอลทีสสั่งให้เราไปในร่างมนุษย์ได้ แต่ให้ใส่ผ้าคลุมปิดหน้าไป เพราะคืนนั้นเป็นคืนฮัลโววีน ท่านมอลทีสบอกว่ามันเป็นเทศกาลที่มนุษย์บางกลุ่มในโลกนั้นจะจัดงานเลี้ยงที่ต้องแต่งตัวแปลกๆ ไปร่วมงานพอดี
หลังจากที่ข้าและเพื่อนๆ จัดการภารกิจส่งคนกลับที่เดิมเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากยังเหลือเวลานัดอีกเล็กน้อย ข้าจึงขอเพื่อนๆ แวะไปหาก้อนดินก่อน อยากไปดูให้เห็นกับตาว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า ถ้าเขาสบายดีข้าจะได้สบายใจขึ้นบ้าง
“เจ้าไปเถอะ ข้าจะรอที่จุดนัดพบแล้วกัน” พรีซาบอกและตบบ่าอย่างเข้าใจ
“เฮ้ย! เดี๋ยวสิไซเลอร์”
ข้าไม่สนใจเสียงเรียกของพรีซา ได้แต่รีบวิ่งไปยังสถานที่ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับก้อนดินอย่างรวดเร็ว
เมื่อไปถึงข้าได้แต่ยืนนิ่ง เพราะตรงซุ้มต้นไม้ที่ข้าเคยพักรักษาตัว จากที่เคยเป็นป่ารก ตอนนี้ถูกถางจนโล่งเตียน เหมือนเตรียมจะสร้างอะไรสักอย่าง เห็นแล้วอดรู้สึกใจหายไม่ได้ เพระที่นี่ถือเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของข้ากับก้อนดิน
ข้ายืนนิ่งเงี่ยหูฟังสิ่งต่างๆ รอบตัว ก่อนที่จะวิ่งไปยังทิศทางที่เสียงดนตรีลอยตามลมมา ได้แต่หวังว่าจะได้พบก้อนดินที่นั่น เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มที
เมื่อมาถึงจุดกำเนิดของเสียงดนตรี ก็พบกับกลุ่มคนที่แต่งตัวประหลาดๆ อย่างที่ท่านมอลทีสได้บอกไว้อยู่ในสนามหญ้าโล่งๆ ที่ประดับด้วยไฟสลัวๆ ทั่วสนามซึ่งกว้างพอที่จะจุคนได้หลายร้อยคน ซึ่งตอนนี้แต่ละคนกำลังเดินกันขวักไขว่ บ้างก็ยืนรับประทานอาหาร บ้างก็พูดคุย หัวเราะกันอยู่แทบจะเต็มพื้นที่
ข้าสอดส่ายสายตามองหาก้อนดิน เมื่อไม่พบก็หลับตาลงรวบรวมสมาธิสูดหากลิ่นอันคุ้นเคย
ก้อนดินอยู่นี่... เขาอยู่ที่นี่
ข้าลืมตาขึ้นมาด้วยความยินดี
ข้ารีบเดินตามกลิ่นไป จนได้เห็นก้อนดินยืนคุยอยู่กับใครคนหนึ่งใกล้ๆ กับซุ้มเครื่องดื่ม เขาดูตัวสูงกว่าครั้งสุดท้ายที่เจออีกเล็กน้อย
คิดถึงเหลือเกิน
ด้วยความคิดถึงที่ล้นใจ ทำให้ข้าเผลอเดินไปจับแขนก้อนดินไว้อย่างไม่รู้ตัว
“หือ? ใครน่ะ” ก้อนดินถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ก่อนจะเอียงคอมองแล้วถามต่อ
“แต่งชุดอะไรหว่า มนุษย์ล่องหนเหรอ” ก้อนดินยิ้มให้อย่างสดใสจนข้ารู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ
“ว่าแต่ใครเนี่ย” ก้อนดินก้มตัวลงแล้วชะโงกหน้ามาส่องหน้าของข้า
แต่มนต์บังหน้าที่พรีซาร่ายไว้ยังคงอยู่ จึงทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของข้าได้
ให้ตายสิ! ข้าลืมไปเสียสนิท อยากจะรีบมาให้ก้อนดินเห็นหน้า อยากให้เขาจดจำข้าในร่างของมนุษย์บ้าง แต่ดันลืมว่ายังไม่ได้ให้พรีซาแก้มนต์บังตาก่อนมา จะแก้เองก็ไม่ได้ในเมื่อสำหรับเวทย์นี้ผู้ใดเป็นผู้ร่าย ผู้นั้นต้องเป็นผู้แก้เท่านั้น
ข้าอยากจะฆ่าตัวเองนัก!
“มองไม่เห็นเลยอะ เดี๋ยวนะ ขอนึกดูก่อน ตัวใหญ่ๆ อย่างกับยักษ์กับมารขนาดนี้น่าจะเป็นนักกีฬาหรือไม่ก็รุ่นพี่” ก้อนดินทำท่าครุ่นคิด
“อืม... ใครหว่า”
“ข้า...”
“ไอ้ดิน” อยู่ๆ ก็มีคนๆ หนึ่งวิ่งแทรกเข้ามาหาก้อนดินอย่างรวดเร็ว พอมาถึงก็จับแขนก้อนดินแล้วลาก
“เฮ้ย! อะไรวะ”ก้อนดินร้องอย่างตกใจ
“มึงรีบไปเลยไอ้ดิน คุณไฟมึงไปหาเรื่องรุ่นพี่ กำลังจะโดนรุมกระทืบแล้ว”
“ห๊ะ! ฉิบหายแล้ว”
“เออ.. ถ้ายังไม่รีบไปฉิบหายแน่ๆ”
จากที่คนๆ นั้นเป็นฝ่ายลากก้อนดิน กลายเป็นก้อนดินเป็นฝ่ายลากคนๆ นั้นไปแทน
พอก้อนดินจะไปข้าก็เผลอยกมือจับแขนเขาไว้แน่น
“ก้อนดิน”
“หือ เดี๋ยวมาทายใหม่นะ พอดีผมมีธุระ ไปละ”
พูดยังไม่ทันจบ ก้อนดินก็ปลดมือข้าทิ้ง แล้ววิ่งจากไป
ข้าได้แต่มองมือที่โดนดึงออก รู้สึกวูบโหวงเหมือนทำของสำคัญหายไป
แต่พอตั้งสติได้ ข้าก็ก้าวขาเพื่อจะวิ่งตามก้อนดินไป
“ไซเลอร์” ชเนาเซอร์แหวกผู้คนตรงเข้ามาหา
“ถึงเวลากลับแล้ว” ข้ามองไปทางที่ก้อนดินวิ่งจากไป แล้วได้แต่หลับตาลงด้วยความปวดร้าว
“ไปกันเถอะ” ชเนาเซอร์ก้าวมาตบบ่าเบาๆ
“อืม”
อย่างน้อย... แค่ได้เห็นว่าก้อนดินมีความสุขดีข้าก็พอใจแล้ว
แต่ข้าคิดผิด...
เมื่อในวันหนึ่ง ข้ามีโอกาสได้กลับมาในมิตินี้อีกครั้ง
หลังจากปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้ยังมีเวลาเหลืออีกหลายวันกว่าจะถึงกำหนดกลับ ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของท่านมอลทีสหรือเปล่า เพราะท่านพูดอะไรแปลกๆ ก่อนที่ข้าจะมา
“อดทนไว้ก่อนนะไซเลอร์”
“ครับ” ถึงจะไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ข้าก็รับคำด้วยความเคยชิน
ข้าสืบหาที่อยู่ของก้อนดินจากข้อมูลที่เขาเคยเล่าให้ฟังจนพบ เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ก้อนดินจึงน่าจะอยู่ที่บ้าน พอได้โอกาสข้าก็ลอบเข้าไปในบ้านที่ก้อนดินอาศัยอยู่ หวังว่าจะได้เห็นก้อนดินบ้างสักนิดก็ยังดี
“ย่าครับ ดอกมะลินี่ต้องเก็บเยอะไหม”
หัวใจข้าเต้นอย่างยินดี เมื่อได้ยินเสียงของเขา
ข้าแทรกตัวเข้าไปในพุ่มไม้ลอบแอบมองก้อนดินที่กำลังเก็บดอกไม้สีขาวๆ ที่ออกดอกพราวเต็มต้นด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
“เก็บมาแค่เต็มจานก็พอลูก” เสียงหญิงชราในบ้านตอบกลับมา
“คร้าบบบบ” ก้อนดินรับคำด้วยน้ำเสียงสดใสจนข้าอดจะยิ้มไม่ได้
“ดอกมะลินี่หอมจริงๆ เอาไว้สร้างบ้านแล้ว เอาไปปลูกไว้ข้างบ้านดีกว่า” ก้อนดินเก็บดอกไม้ไป ฮัมเพลงไปอย่างอารมณ์ดี
ข้ามองรอยยิ้มสดใสนั้นด้วยความโหยหา
คิดถึง
คิดถึงเหลือเกิน ก้อนดินของข้า
พอเขาเก็บดอกไม้เสร็จก็เดินเข้าบ้านไป ข้าเกือบจะเผลอเดินตามไป แต่ต้องพยายามห้ามใจตัวเองไว้
“แค่นี้พอไหมครับย่า”
ข้าขยับไปหลบอยู่ข้างหน้าต่าง เสียดายที่มองไม่เห็นหน้า แต่ขอแค่ได้ยินเสียงนานอีกสักนิดก็ยังดี
“พอแล้วลูก”
“งั้นดินไปรีดผ้าก่อนนะครับ”
“จ้ะ ขอบใจมากนะลูก”
“คร้าบบบบ” แล้วเสียงฝีเท้าของก้อนดินก็ไกลออกไป พร้อมทั้งกลิ่นของเขาก็จางลง
ข้าหลับตาลงซึมซับกลิ่นของก้อนดินที่ยังเจือจางอยู่ทั่วบริเวณด้วยความคิดถึง แต่ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับไปที่จุดนัดพบ คำพูดของคนข้างในที่เอ่ยชื่อก้อนดินก็ทำให้ข้าชะงักและหยุดฟังทันที
“ดีจังนะนม ที่ก้อนดินมันกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมได้” เสียงของหญิงสาวด้านในพูดขึ้นมา
“เฮ้อ! นั่นสิ เห็นมันกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉันก็โล่งใจ” หญิงชราที่คุยกับก้อนดินในตอนแรกตอบกลับไป ข้าเดาว่านางน่าจะเป็นย่าของก้อนดินตามที่เขาเคยเล่าให้ฟัง
แต่ฟังบทสนทนาแล้วข้าได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทำไมถึงบอกว่าดีขึ้น ก่อนหน้านี้ก้อนดินเป็นอะไร เลยอยู่รอฟังต่อไป
“สงสารดินมัน อยากเลี้ยงหมาก็เลี้ยงไม่ได้ เพราะคุณไฟดันแพ้ขนสัตว์ ตอนที่มันมาเล่าว่าเจอหมาหลงมานี่ตาเป็นประกายเชียว ดีที่ช่วงนั้นคุณไฟไม่อยู่ เรื่องก็เลยไม่แตก ดูมันมีความสุขมากจนฉันอดจะยิ้มไปกับมันไม่ได้ ต้องคอยแอบช่วยห่อข้าวห่อน้ำให้มันเอาไปเลี้ยงหมา กลัวคุณหญิงรู้แทบตาย ยิ่งพอมันบอกว่าครูเทพยอมให้ไปฝากหมาไว้ที่ค่ายมวยได้มันก็ดีใจใหญ่ ขนาดโดนคุณหญิงตียังไม่สลดเลย แต่วันที่หมาตัวนั้นหายไป วันที่ก้อนดินกลับมาในสภาพตัวเปียกโชก ฉันก็สงสารมันมากเลยค่ะนม”
“อืม... วันที่หมาตัวนั้นหายไป พอกลับมาถึงก้อนดินก็กอดฉันไว้แล้วก็เอาแต่ร้องไห้ ปากก็พร่ำบอกว่ามันไม่อยู่แล้ว ทั้งๆ ที่ตั้งแต่รู้ความมาก็ไม่เคยร้องหนักขนาดนี้ นึกถึงตอนนั้นแล้วก็สงสารมันจนแทบจะร้องไห้ตามหลานไปจริงๆ” หญิงชราผู้เป็นย่าของก้อนดินเงียบไปก่อนจะพูดต่อ
“มันไปรอหมาตัวนั้นตั้งหลายวันทั้งๆ ที่ไม่สบายอยู่แท้ๆ ฉันมันก็แย่ที่ไม่ได้สังเกตว่าหลานตัวเองป่วย แถมช่วงนั้นก็ดันมีพายุเข้า ฝนก็ตกหนักลงมาทุกวัน มันก็ยังจะไปยืนตากฝนรออยู่ทุกวัน ใครห้ามก็ไม่ฟัง ใครพูดก็ไม่เชื่อ ท่านทูตบอกจะหาหมาตัวใหม่มาให้มันก็ไม่เอา มันบอกว่าจะรอวสุของมัน ดินมันซึมลงทุกวันจนฉันเป็นห่วงแทบจะขาดใจ” นางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ส่วนข้า... ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอากาศไม่เพียงพอต่อการหายใจ
“สงสัยช่วงนั้นจิตใจมันคงอ่อนแอเลยทำให้ร่างกายที่เคยแข็งแรงพลอยอ่อนแอไปด้วย จนวันที่มันหมดสติไปเพราะไข้ขึ้นสูงนั่นแหละถึงได้รู้กันว่ามันป่วย มันฝืนไว้เพราะอยากไปรอหมา น่าตีจริงๆ” แม้ปากจะพูดอย่างนั้น แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเอื้อเอ็นดู
“นั่นสิคะ วุ่นวายกันทั้งบ้าน คุณไฟกลับมาเห็นสภาพดินแล้วอาละวาดบ้านแทบแตก แต่แปลกนะคะ... พอฟื้นไข้มากลับลืมหมดทุกอย่าง”
อะไรนะ...!!!
“หมอบอกว่าอาจจะเกิดจากสภาพจิตใจ เพราะเสียใจมากเลยทำให้สมองตัดความทรงจำช่วงนั้นออกไปเอง แต่ก็ดีแล้วละ ฉันก็ไม่อยากเห็นก้อนดินมันทุกข์แบบนั้นเลย เห็นแล้วฉันรู้สึกใจจะขาดตามมันไปด้วย”
“นั่นสิคะนม เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เห็นมันกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้วค่อยโล่งใจหน่อย”
ข้าได้แต่ยืนอึ้งกับความจริงที่เพิ่งได้รู้ รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนใกล้จะขาดใจตาย
เป็นเพราะข้าที่ทำร้ายเขา
เป็นเพราะข้าที่ทำให้ก้อนดินต้องเป็นทุกข์
เป็นเพราะข้าที่ทำให้ก้อนดินเสียใจ
เป็นเพราะข้าคนเดียว
ก้อนดิน... ข้าขอโทษ
ข้าเดินจากบ้านหลังนั้นมาท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ฟ้าเอาคืนให้ก้อนดินใช่ไหม หากเป็นไปได้ข้ายินดีจะยอมรับโทษทุกอย่าง ถ้ามันจะสามารถทำให้ข้าสามารถย้อนเวลากลับไปอยู่กับก้อนดินได้ เพื่อไม่ให้เขาต้องเจ็บปวด ต่อให้ต้องอยู่กับก้อนดินในร่างแปลงไปจนวันตาย... ข้าก็ยอม
ข้าได้แต่ปล่อยให้น้ำตาร่วงหล่นลงมาปะปนกับสายฝน
ข้าไม่รู้ตัวว่าเดินไปถึงจุดนัดพบได้อย่างไร เมื่อไปถึงเพื่อนๆ ต่างตกใจเมื่อเห็นสภาพของข้าและรับรู้ถึงสภาพจิตใจที่เศร้าหมองของข้า แต่ข้ายังไม่พร้อมจะเล่าอะไรให้ฟัง เลยได้แต่เงียบและจมอยู่กับความรู้สึกผิดเพียงลำพัง
แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านข้าก็มีสติมากขึ้น จึงเล่าทุกอย่างที่ได้รับรู้มาให้ครอบครัวและเพื่อนๆ ฟังพร้อมกันด้วยความทุกข์ใจ ท่านแม่ฟังข้าเล่าไปร้องไห้ไปด้วยความสงสารก้อนดิน
หลังจากนั้น ข้าก็ได้แต่จมอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเอง นับวันก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น ซึมลงทุกวัน กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนร่างกายผ่ายผอมลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ล้มป่วยลงเพราะความตรอมใจ
สมควรแล้วละ ข้าเป็นสาเหตุที่ทำให้ก้อนดินต้องทุกข์ใจและป่วยหนัก ในตอนนี้ข้าล้มป่วยลงบ้างก็ยุติธรรมดี
นับวันอาการของข้าก็ยิ่งทรุดลง ทุกคนในอาณาจักรและเพื่อนๆ ที่เคยปฏิบัติภารกิจร่วมกันอีกสองอาณาจักรก็มาเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่รักษาด้วยยาหรือด้วยเวทย์อาการก็ไม่ดีขึ้น เพราะอาการของข้าเป็นอาการทางใจ ทั้งครอบครัวและเพื่อนๆ ของข้าต่างทุกข์ใจไปตามๆ กัน
จนวันที่ท่านมอลทีสกลับมาจากปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนร่วมกับจอมปราชญ์ของอีกสองอาณาจักรเรียบร้อยแล้ว เมื่อกลับมาถึงเคลเบรอสก็ตรงมาเยี่ยมข้าที่บ้านทันที
เมื่อมาถึงห้องของข้า ท่านมอลทีสกลับกวาดสายตามองหน้าเพื่อนๆ ของข้าทีละคน ซึ่งแต่ละคนก็หลบสายตากันไปคนละทางอย่างมีพิรุธ
“หยุดความคิดพวกเจ้าเลยนะ เจ้าพวกลูกหมา” ท่านมอลทีสหันไปเอ็ดเพื่อนๆ ของข้าที่ยังยืนหันหน้าหนีไปคนละทิศละทางด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ข้าหันไปมองหน้าเพื่อนๆ อย่างแปลกใจ พอหันไปมองท่านมอลทีสด้วยความสงสัย ท่านก็บอก
“เจ้าพวกนี้วางแผนจะไปขโมยก้อนดินมาที่นี่” ข้าเบิกตากว้างอย่างตกใจ พอเห็นแต่ละคนทำหน้าเกรงๆ ใส่ท่านมอลทีสก็อดจะทั้งขำและซาบซึ้งกับความหวังดีของเพื่อนๆ ไม่ได้
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิดกฎอย่างร้ายแรง หากทำลงไปจริงๆ แล้วจะต้องรับโทษหนักก็ยังคิดที่จะทำเพื่อข้า ยังดีที่ตอนนี้ท่านพ่อ ท่านแม่ กับท่านพี่ไซรอสติดธุระสำคัญเลยไม่ได้อยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นคงโดนท่านพ่อเอ็ดอีกคนเป็นแน่
ข้านิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหันไปถามสิ่งที่คิดและตัดสินใจไว้ตั้งแต่เริ่มล้มป่วยกับท่านมอลทีส
“ข้ากลับไปหาเขาได้ไหม” ในเมื่อพาก้อนดินมาไม่ได้ ข้าก็ยืนยันว่าพร้อมจะสละทุกสิ่งทุกอย่าง แม้จะต้องเป็นสัตว์เลี้ยงให้ก้อนดินในร่างแปลงไปชั่วชีวิต... ข้าก็ยอม
“อดทนรอไปก่อนนะ” ท่านมอลทีสยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“สักวันเจ้าจะได้รับโอกาสให้ได้อยู่ใกล้เขา” ท่านมอลทีสหัวเราะขำเมื่อเห็นแววตาข้าเป็นประกายขึ้นมา
“เฮ!” ส่วนเพื่อนๆ ต่างก็ส่งเสียงด้วยความดีใจอย่างกับเป็นเรื่องของตัวเอง
“ถึงตอนนั้นก็อย่าปล่อยให้หลุดมือก็แล้วกัน” ท่านมอลทีสพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเมื่ออาการดีใจของเพื่อนๆ และเห็นแววตาที่เริ่มมีชีวิตชีวาของข้า
“ครับ ข้าจะรอ ถึงวันนั้น ข้าจะไม่มีวันปล่อยมือเขาไปอีกแล้ว ขอบคุณมากครับท่านมอลทีส”
แล้วคำทำนายของท่านมอลทีสก็เป็นเหมือนความหวังหล่อเลี้ยงชีวิตและหัวใจของข้าให้เต้นต่อไป
ระหว่างที่รอเวลาให้คำทำนายเป็นจริง ข้าก็เอ่ยปากขอพื้นที่ตรงริมแม่น้ำจากท่านพ่อท่านแม่และพี่ไซรอส ซึ่งทุกคนก็ยอมยกให้ข้าด้วยอย่างเต็มใจ
ข้าเก็บเงินที่ได้จากการทำงานทุกเหรียญ เริ่มออกแบบและสร้างบ้านในฝันที่ก้อนดินอยากได้ โดยไม่ยอมรับเงินที่ท่านพ่อท่านแม่เสนอมาให้ เพราะข้าอยากสร้างบ้านหลังนี้ให้ก้อนดินด้วยความตั้งใจและความสามารถของข้าเอง
เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ข้าก็ตั้งชื่อว่า “เรือนวสุธา” ตามที่ก้อนดินเคยบอกไว้ แล้วตั้งหน้าตั้งตานับวันนับคืนรอเจ้าของของมันเข้ามาอาศัย
(มีต่อค่ะ)