[จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]  (อ่าน 64133 ครั้ง)

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #120 เมื่อ02-06-2017 00:46:10 »

สนุกมากเลยค่ะ จะรอน้าาาาา แอบค้างนิดๆ

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #121 เมื่อ02-06-2017 12:35:53 »

อะเด๊ะ อย่างค้างงงงงง

ออฟไลน์ goldentime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #122 เมื่อ02-06-2017 23:27:18 »

 :katai1:อย่างค้างคาใจ โอ้ยๆ

ออฟไลน์ April❤

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #123 เมื่อ06-06-2017 20:45:10 »

มันคือออ!!!!

ออฟไลน์ rsmrypngpth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #124 เมื่อ07-06-2017 00:16:21 »

ยาทำให้ผชตั้งครรภ์? กินแล้วก็จะเหนื่อยๆ หน่อย เหมื่อนฮ้องเต้? อิอิ ก็มโนไป

รออยู่นา

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
«ตอบ #125 เมื่อ07-06-2017 21:03:06 »

บทที่ 13 ราชองค์การ

             “บุตรชายของพี่สามอย่างไรเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยไขความกระจ่างให้หย่งเซิง

             “องค์ชายสาม.. มีบุตรชายด้วยหรือ” เขาไม่เคยได้ยินสวี่กงกงเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน เท่าที่เขารู้องค์ชายสามนั้นมีนางสนมถึงหกคน แต่ก็ยังไม่มีนางสนมคนใดตั้งครรภ์

             “แม่ของเหวินอี้เป็นบ่าวรับใช้ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ พี่สามจึงไม่ได้แพร่งพายเรื่องนี้เพราะกลัวว่าเหวินอี้จะตกเป็นเป้าหมายของพวกนางสนม” ความริษยาของหญิงสาวคร่าชีวิตเด็กน้อยมาไม่รู้ตั้งเท่าไร

             เขาที่เติบโตมาในวังหลวงรู้ดี พี่น้องของเขาหลายสิบคนก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็กเพราะเหตุผลทางการเมืองไร้สาระ

             “ท่านแม่ของเหวินอี้เล่า”

             “ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับเหล่านางสนมตั้งแต่วันที่พี่สามถูกประหาร”

             หย่งเซิงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย หญิงสาวเหล่านั้นคงไม่มีหน้าอยู่ต่อ หากสามีต้องโทษพวกนางก็เหมือนก้าวเข้าไปในโลงศพก้าวหนึ่งแล้ว ชั่วชีวิตมิอาจแต่งงานใหม่ ทั้งยังโดนชาวบ้านรังเกียจ มีชีวิตอยู่ทรมานยิ่งกว่าตาย

             “เพราะเหตุนี้ท่านจึงยอมให้สวี่กงกงอยู่เคียงข้างท่านหรือ” เพื่อให้สวี่กงกงดูแลเหวินอี้ต่อ เหวินเจิ้งจึงไม่ได้ไล่สวี่กงกงไปดังเช่นคนอื่นๆ

             “สวี่กงกงปากมากกว่าที่ข้าคิดไว้” เหวิงเจิ้งตอบน้ำเสียงราบเรียบยากจะฟังออกว่าโมโหหรือไม่

             “ข้าเองก็อยากรู้เรื่องราวของท่าน” เหวินเจิ้งชะงักเท้าหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ เมื่อเห็นใบหูของหย่งเซิงแดงก่ำขึ้นเล็กน้อยเหวินเจิ้งก็อดที่จะหัวเราะเบาๆมิได้

             “เช่นนั้นก็ถามข้าเถิด” เหวินเจิ้งเดินเอามือไพล่หลังเข้ามาหาหย่งเซิงก่อนจะเอาศีรษะไปพิงบนบ่ากว้าง

             หย่งเซิงลอบกลืนน้ำลายกับท่าทางน่ารักของอีกฝ่าย

             “เช่นนั้น.. วันที่ใต้เท้าจางเสียชีวิต ท่านให้สวี่กงกงปล่อยข่าวลือว่าวันนั้นท่านอ่อนแอ มิใช่ต้องการให้รู้ถึงหูอดีตพระสนมเต๋อเฟย แต่ต้องการให้รู้ถึงหูเหวินอี้ใช่หรือไม่” เหวินเจิ้งเบิกตากว้างจ้องมองหย่งเซิงอย่างไม่เชื่อสายตา

             “เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้.. “ เขารู้สึกทึ่งนัก เพียงหย่งเซิงได้พบเหวินอี้วันนี้ก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากมายเช่นนี้แล้ว

             “ท่านคงมีแผนจะพาเหวินอี้กลับเข้าวัง” หย่งเซิงอมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นสีหน้าที่หลากหลายของเหวินเจิ้ง

             “ใช่ แม้มันจะล่มไปตอนนั้น แต่ตอนนี้คงได้เวลาแล้ว” เหวินเจิ้งยิ้มจนดวงตาโค้งทั้งที่ใบหน้าซีดเซียว

             ตอนนั้นเขาตั้งใจปล่อยข่าวออกไปเพื่อให้เหวินอี้รู้ว่าเขากำลังจะตาย และต้องการให้เหวินอี้เตรียมตัวให้พร้อม แต่เป็นเพราะอดีตพระสนมเต๋อเฟยฆ่าตัวตายเสียก่อนทำให้แผนนั้นเป็นอันต้องพับเก็บไป

             “อาเจิ้ง.. ไม่มีช่วงเวลาใด.. ที่ท่านไม่อยากตายบ้างเลยหรือ” หย่งเซิงจ้องมองใบหน้าสุขสมของอีกฝ่ายอย่างขัดใจ เพียงคิดว่าโลกใบนี้จะไม่มีเหวินเจิ้งอีกต่อไป เพียงแค่คิดว่าไม่อาจพบเจออีกฝ่ายได้อีก เขาก็รู้สึกราวกับถูกควักหัวใจทั้งเป็น ในอกวูบโหวง แม้ยังหายใจแต่ก็ไร้ซึ่งชีวิต

             เหวินเจิ้งไม่ตอบเพียงเดินเข้ามาใกล้หย่งเซิงก่อนจะประทับริมฝีปากเย็นชืดลงบนริมฝีปากอุ่นร้อน เขาไม่อาจทนสายตาเว้าวอนของหย่งเซิงได้ มันทำให้เขาใจอ่อน ทำให้เขาเจ็บปวด

             เจ็บปวดที่หัวใจของหย่งเซิงมิอาจเป็นของเขา

             หย่งเซิงชะงักไปเล็กน้อยกับริมฝีปากที่เย็นเหยียบจนน่ากลัวของเหวินเจิ้ง ขณะที่กำลังจะจูบตอบเหวินเจิ้งก็ผละออกไปเสียก่อน

             “บางครั้ง.. ก็มีช่วงเวลาที่ข้าดีใจ ที่ยังมีชีวิตอยู่” ช่วงเวลาที่อยู่กับเจ้า เหวินเจิ้งเลือกที่จะเก็บประโยตสุดท้ายเอาไว้กับตัวเอง นำพาความรู้สึกอันเร้นลับนี้ไปสู่ปรโลกด้วยกัน ช่วงเวลาสุดท้ายนี้เขามีความสุขนัก “ช่วงนี้.. ข้ามีความสุขทุกวันเลย”

             หย่งเซิงมองรอยยิ้มของเหวินเจิ้งอย่างหลงใหล มือแกร่งดึงตัวร่างโปร่งเขามากอดโดยไม่รู้ตัว กลัวว่าหากปล่อยมือ เหวินเจิ้งจะมะลายหายไปพร้อมกับสายลม หย่งเซิงกดใบหน้าของเหวินเจิ้งให้แนบกับอกเขา เขาอยากรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

             เหวินเจิ้งหลับตาลงช้าๆซึมซับความอบอุ่นจากร่างสูงใหญ่ ปล่อยวางเรื่องราวทั้งหลายบนโลกนี้ทิ้งไว้ข้างหลัง มีเพียงความอบอุ่นที่โอบกอดเขาอยู่นี้เท่านั้นที่เป็นความจริง

             “หย่งเซิง เจ้าเรียกชื่อเราสักหลายครั้งได้หรือไม่” เหวินเจิ้งอู้อี้

             “อาเจิ้ง.. อาเจิ้ง.. อาเจิ้ง” เหวินเจิ้งซึบซับน้ำเสียงอบอุ่นท่ามกลางสายลมที่โชยอ่อนในป่าไผ่

             หย่งเซิง.. ความสุขเดียวในชาตินี้ของข้าก็คือเจ้า


              “ฝ่าบาท พระวรกายของพระองค์เป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งแสร้งตีสีหน้าเคร่งเครียด
กลางท้องพระโรงแห่งนี้ขุนนางหลายคนกำลังทรมานกับการกลั้นรอยยิ้ม ยิ่งได้เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ยามนี้ พวกเขายิ่งอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ

             เหวินเจิ้งในยามนี้ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ใต้ตาคล้ำริมฝีปากแห้งผาก

             “ดังที่พวกท่านเห็น เราไม่สบายเล็กน้อย” น้ำเสียงที่เคยนุ่มทุ้มกังวานเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจบัดนี้แห้งผากราวกับอยู่ในทะเลทราย ทว่าบนใบหน้าซีดเซียวของเหวินเจิ้งยังคงประดับรอยยิ้มละไม ดวงตาคู่งามยังคงสุกใสไม่เห็นแม้แต่ความเจ็บปวดเล็กน้อย

             เหล่าขุนนางหลายคนกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ พวกเขาอยากเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดของเหวินเจิ้งเหลือเกิน ให้สมกับที่พวกเขาเป็น ในวันที่รู้ว่าบุตรสาวต้องถูกฆ่าตายอยากโหดเหี้ยมเมื่อหกปีก่อน

             ทีแรกพวกเขาต่างดีอกดีใจที่สามีของบุตรสาวจะได้เป็นถึงฮ่องเต้ อำนาจบารมีต่างตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา แต่เพียงแค่คืนเดียว คือเดียวเท่านั้นที่เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างไป บุตรสาวของพวกเขาถูกฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ฆ่าตาย พวกเขาสู้เก็บกดความเกลียดชังเอาไว้ยาวนานถึงหกปี เพื่อรอวันนี้ วันที่ฮ่องเต้ทุกข์ทรมานเจ็บปวดไปทั้งสรรพกาย

             แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด บนใบหน้างดงามไร้ซึ่งความเจ็บปวด มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่ซีดเซียวลงอย่างน่าตกใจ ความตายเช่นนี้สบายเกินไปสำหรับคนชั่วช้าเช่นเหวินเจิ้ง!

             “กระหม่อมเป็นกังวลเหลือเกินฝ่าบาท” ขุนนางคนหนึ่งแสร้งทำสีหน้าลำบากใจทั้งที่ในใจยิ้มกริ่ม

             “พวกท่านเป็นกังวลเช่นนี้ เรารู้สึกซาบซึ้งนัก” เหวินเจิ้งไล่มองขุนนางทีละคนด้วยรอยยิ้ม ไม่แสดงสีหน้าเจ็บป่วย แม้แต่แผ่นหลังก็ยังคงตั้งตรงอย่างสง่างาม

             เหล่าขุนนางตารีบก้มหน้าหลบสายตาก่อนจะทยอยคุกเข่าเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงราวกับซ้อมมาหลายสิบรอบ
             
             “ฝ่าบาทโปรดรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             “ฝ่าบาทโปรดรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             “ฝ่าบาทโปรดรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             เหล่าขุนนางตะโกนกึกก้องราวกับเสียขวัญที่นายเหนือหัวกำลังล้มป่วย เหวินเจิ้งมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้เหล่าขุนนางตะโกนจนเสียงแหบแห้ง เหล่าขุนนางเหงื่อซึมด้วยความเหน็ดเหนื่อย เมื่อไม่มีคำสั่งห้ามปรามจากฮ่องเต้พวกเขาก็ไม่กล้าหยุด จนอัครเสนาบดีหย่งทนไม่ไหวลุกขึ้นมากล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

             “ฝ่าบาท เรื่องการบ้านการเมืองปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

             “เราก็แปลกใจอยู่ว่าฎีกาที่ส่งถึงเรามันลดลงไป ที่แท้มีอัครเสนาบดีหย่งคอยแอบขโมยไปนี้เอง” เหวินเจิ้งแสร้งทำเป็นนึกได้พลางปิดปากอุทานอย่างแปลกใจ “เรากำลังคิดอยู่เลยว่าเป็นขุนนางคนใดกันที่คิดอยากเป็นฮ่องเต้จนอดรนทนมิได้”

             อัครเสนาบดีหย่งหน้าตึงก่อนจะกัดฟันตอบ

             “กระหม่อมเพียงคิดอยากแบ่งเบาภาระของพระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

             “ภาระจับโจรชั่วของท่านยังมิลุล่วงไม่ต้องกระเสือกกระสนมารับภาระของเราหรอก” เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะไม่ไว้หน้าอัครเสนาบดีหย่งจนเหล่าขุนนางมองหน้ากันเลิกลั่ก

             หย่งเซิงที่ยืนเฝ้าระวังอยู่หน้าตำหนักหลุดยิ้มเล็กน้อย แม้เหวินเจิ้นจะถูกพิษรุมเร้าแต่ก็มิยอมอ่อนข้อให้กับคนที่คิดเอาเปรียบราษฎร์

             ไม่ว่าตัวเหวินเจิ้งและคนอื่นจะคิดอย่างไร สำหรับเขาเหวินเจิ้งก็เป็นฮ่องเต้ที่ดี ทั้งรักและใส่ใจราษฎร์ แต่ก็ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานจนเกินไป อดีตฮ่องเต้ตัดสินใจผิดพลาด ทั้งยังใช้วิธีการที่โหดร้ายเพื่อบีบบังคับให้เหวินเจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ ผลสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสี่ผู้อ่อนโยนคือความสิ้นหวังจนเกิดอาการต่อต้านและเก็บกด

             แม้ในยามที่เหนื่อยล้าเช่นนี้แผ่นหลังของเหวินเจิ้งก็ยังคงตั้งตรงอย่างสง่างามมิอาจแสดงความอ่อนแอให้ใครหน้าไหนในวังหลวงได้เห็น เพราะเหวินเจิ้งรู้ดีว่าผู้คนทั้งวังต่างก็กำลังรอคอยช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ใบหน้าของเหวินเจิ้งบิดเบี้ยวด้วยความทรมานจนต้องร้องขอความตาย โดยไม่มีใครรู้ว่าเหวินเจิ้งเองก็กำลังรอคอยช่วงเวลานั้นอยู่เช่นกัน

             หย่งเซิงกำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงเบื้องหลังรอยยิ้มของร่างโปร่ง

             เหวินเจิ้งกำลังรอคอยความตายอย่างมีความสุข..

             “ฝ่าบาท เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมไม่มีอะไรจะแก้ตัวพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่นพลางเอ่ยเสียงลอดไรฟัน

             เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี้หักหน้าเขา!

             “หากท่านรู้ตัวเราย่อมมิอาจต่อว่าท่าน” เหวินเจิ้งกดเสียงลงต่ำสร้างความหวาดหวั่นให้เหล่าขุนนาง “จริงสิ ช่วงนี้เกิดภัยแล้งขึ้น ควรได้เวลาจัดเตรียมพิธีขอฝนแล้ว”

             พิธีขอฝน?

             เหล่าขุนนางอำมาตย์ต่างลอบมองหน้ากัน เหตุใดฝ่าบาทจึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งที่เมื่อกี้ยังต่อว่าอัครเสนาบดีหย่งอยู่เลย

             “ฝ่าบาทจะจัดพิธีขอฝนหรือพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าฝ่ายพิธีการรีบเอ่ยถาม ระยะนี้น้ำในแม่น้ำแห้งเหือดราษฎร์ต่างต้องทนทุกข์เพราะไม่มีน้ำใช้ พืชผลและสัตว์ป่าต่างก็ล้มตาย ราคาน้ำพุ่งขึ้นสูง ทุกปีวังหลวงจึงต้องจัดพิธีขอฝนเพื่อขจัดภัยแล้ง

             “เรื่องขจัดภัยแล้งยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี” เหวินเจิ้งเอ่ยเนิบๆ “เอาเป็นพรุ่งนี้เลยดีกว่า”

             พรุ่งนี้!!

             “พรุ่งนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าฝ่ายพิธีการถามกลับอย่างตื่นตระหนก เขาจะจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมภายในวันเดียวได้อย่างไรกัน

             “ใช่ พรุ่งนี้” เหวินเจิ้งยิ้มละไม เวลาของเขาเหลือไม่มากแล้วเรารู้ดี ยามนี้พิษได้แทรกซึมไปทั่วร่างแม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บปวด เขาไม่รู้ว่าจะทนความเจ็บปวดนี้ไปได้นานเท่าไร ดังนั้นเขาต้องรีบเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนจะสายเกินไป

             ใต้เท้าฝ่ายพิธีการรีบหันขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าคนอื่นแต่ก็ไม่มีใครให้ความร่วมมือจึงได้แต่คอตก

             “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าฝ่ายพิธีการคิดหาทางจัดเตรียมงานให้ทันพลางก่นด่าฮ่องเต้เสียสติในใจ

             “จริงสิ.. เราร่างราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาทไว้เรียบร้อยแล้ว” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นเรียบๆพลางส่งสัญญาณให้สวี่กงกง

             สวี่กงกงรีบนำราชองการลับมาวางบนโต๊ะอย่างรู้งาน

             เหล่าขุนนางต่างแตกตื่นหันมามองราชโองการที่วางบนโต๊ะเป็นตาเดียว เหวินเจิ้งมองท่าทีแตกต่างตื่นของเหล่าขุนนางอย่างขบขัน

             “ฝะ.. ฝ่าบาททรงเลือกผู้สืบทอดราชบัลลังก์แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

             “คนผู้นั้นเป็นใครกันหรือพ่ะย่ะค่ะ”

             “หรือว่าฝ่าบาททรงมีพระโอรสแล้ว”

             อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่นพลางมองท่าทีแตกตื่นของเหล่าขุนนางอย่างขุ่นเคือง

             พวกโง่! หากฝ่าบาทมีพระโอรสจริงเขาจะต้องเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้แน่ เขาไม่รู้ว่าฝ่าบาทได้ทรงเลือกใครไป แต่ที่แน่ๆมันไม่เป็นผลดีต่อเขาแน่

             “เงียบ!” อัครเสนาบดีหย่งตะโกนลั่นก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาทเชิญกล่าวต่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

             เหวินเจิ้งขัดใจที่อัครเสนาบดีหย่งมาหยุดความวุ่นวายในท้องพระโรง เขากำลังสนุกกับอาการหน้าซีดปากสั่นของพวกโง่งมอยู่เลย

             “พวกเจ้ามิต้องเป็นห่วงไป คนที่เราเลือกย่อมคู่ควรทั้งฐานะและสติปัญญาความสามารถ” เหวินเจิ้งส่งรอยยิ้มให้กับเหล่าขุนนางในท้องพระโรงที่ยืนเบิกตากว้างจนแทบฉีกขาด

             “ใครกันพ่ะย่ะค่ะที่มีฐานะที่คู่ควรต่อบัลลังก์มังกร” ขุนนางคนหนึ่งหลุดถามออกมาอย่างมึนงง เท่าที่พวกเขารู้เหล่าพี่น้องของฮ่องเต้แม้จะมีสนมชายาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครมีบุตรชายเลยแม้แต่คนเดียว แล้วผู้ใดกันที่จะมีฐานะที่คู่ควรแก่การสืบทอดราชบัลลังก์

             “ไม่ต้องรีบร้อนไป พิธีขอฝนในวันพรุ่งนี้ เราจะให้คนผู้นั้นเป็นผู้ทำพิธี”

             ตามธรรมเนียมของแคว้นแล้วพิธีขอฝนเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่มีบารมีเท่านั้นจึงจะสามารถดำเนินพิธีได้ หากผู้ทำพิธีมีบารมีไม่มากพอ พิธีขอฝนจะล้มเหลวทำให้เกิดภัยแล้ง นับแต่โบราณมาผู้ทำพิธีจึงมักจะเป็นฮ่องเต้เพราะเชื่อกันว่าเป็นผู้ที่มีบารมีสูงสุดในแผ่นดิน

             “ฝ่าบาทได้โปรดไต่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             “ฝ่าบาทได้โปรดไต่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             “ฝ่าบาทได้โปรดไต่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าอ้อนวอน ไม่ยอมรับการตัดสินใจที่กะทันหันเช่นนี้ หากฝ่าบาทมีคนที่เลือกแล้วจริงๆสิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดต้องสูญเปล่าเป็นแน่ เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะใช้ทายาทของฝ่าบาทเป็นหุ่นเชิดทางการเมืองเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว แต่เมื่อฝ่าบาทไม่ยอมมีทายาทเสียทีเช่นนั้นพวกเขาก็จำต้องเปลี่ยนแผนการ

             พวกเขาสู้อุตส่าห์ปล่อยข่าวคุณงามความดีของอัครเสนาบดีหย่งมากมาย เพื่อรอเวลาที่ฝ่าบาทสิ้นใจพวกเขาจะสถาปนาอัครเสนาบดีหย่งขึ้นเป็นฮ่องเต้ท่ามกลางการสนับสนุนของราษฎร์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับผิดพลาดไปหมด เมื่อฝ่าบาทได้เขียนราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาทไว้แล้ว

             หากคนที่ฝ่าบาทหามาสามารถทำให้พิธีขอฝนสำเร็จลุล่วงไปได้จริงๆ พวกเขาก็จะไม่มีข้อโต้แย้งในการแต่งตั้งองค์รัชทายาท!

             “ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ” เหวินเจิ้งลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แผ่นหลังตั้งตรงอย่างสง่างามพลางก้าวเดินออกไปตามทางเดินอย่างช้าๆ ไม่สนใจเหล่าขุนนางที่นั่งคุกเข่าอย่างโกรธแค้นแม้แต่น้อย

             อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันแน่น เมื่อเห็นว่าเหวินเจิ้งเดินพ้นนอกประตูไปแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินไปคว้าแขนของหย่งเซิงที่กำลังเดินตามขบวนเสด็จของเหวินเจิ้ง

             หย่งเซิงหัวคิ้วกระตุกก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับท่านพ่อของเขา

             “เจ้า! รายงานข้ามาเดี๋ยวนี้ ระยะฝ่าบาทเสด็จไปพบใครบ้าง” อัครเสนาบดีหย่งกดเสียงต่ำพยายามควบคุมน้ำเสียงให้สุขุมดังเช่นปกติ แต่ยามนี้มันช่างยากเย็นเหลือเกิน

             อำนาจและบัลลังก์ที่เขารอคอยมาโดยตลอดบัดนี้กำลังถูกชิงไป!

             “ฝ่าบาททรงประชวรจะเสด็จไปพบผู้อื่นได้อย่างไร” หย่งเซิงตอบเสียงเรียบไม่สนใจใบหน้าเขียวคล้ำของผู้เป็นบิดาที่บัดนี้บิดเบี้ยวราวกับพญามาร

             “โกหก! หากฝ่าบาทมิได้เสด็จไปที่ใดแล้วเหตุใดจึงหาคนมารับตำแหน่งองค์รัชทายาทได้”

             “หากท่านพ่อมิเชื่อข้า ก็ลองถามเอากับคนของท่านพ่อที่ส่งเข้าไปจับตาดูฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงรู้สึกรำคานใจนัก ระยะนี้ร่างกายเหวินเจิ้งย่ำแย่ลงไปมาก บางครั้งก็ทรงล้มลงไปเพราะหมดแรงเอากลางคันก็มี หากไม่มีเขาคอยอยู่ใกล้ๆ เหวินเจิ้งคงล้มหัวฟาดพื้นไม่ต่ำกว่าวันละสิบรอบเป็นแน่

             อัครเสนาบดีหย่งจ้องมองใบหน้าเรียบสนิทของหย่งเซิงอย่างครุ่นคิด ก็จริงอย่างที่หย่งเซิงว่า หากมีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติไปคนของเขาจะต้องมารายงานเขาอยู่แล้ว แต่การที่ไม่มีใครมารายงานเพราะทุกอย่างปกติดีมิใช่หรือ แล้วฝ่าบาทจะหาคนมารับตำแหน่งได้อย่างไร หรือพระองค์เพียงต้องการกลั่นแกล้งเขา

             ไม่! ต้องไม่ใช่แน่ ฝ่าบาทเป็นคนเช่นไรเขาล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ หากไม่มีโอกาสชนะฝ่าบาทจะไม่มีวันเผยไพ่ตายใบสุดท้ายแน่ นั้นหมายความว่าคนที่ฝ่าบาทพามาจะต้องมีตัวตนอยู่จริง และยังมีฐานะสูงส่งคู่ควรแก่การสืบทอดราชบัลลังก์อีกด้วย

             “เจ้า.. คิดดีแล้วหรือยัง” อัครเสนาบดีหย่งทำใจให้เย็นลงก่อนเอ่ยถามหย่งเซิงด้วยสีหน้าคาดคั้น

             หย่งเซิงรู้ในทันทีว่าอัครเสนาบดีหย่งหมายถึงเรื่องใด

             “คำตอบข้ายังคงเหมือนเดิม” ท่านพ่อต้องการให้เขาอยู่รับใช้ตระกูลหย่งไปชั่วชีวิตโดยแลกกับการที่เขาได้แต่งงานกับเหม่ยลี่

             เพียงแต่เขาไม่เคยคิดแต่งงานกับเหม่ยลี่ก็เท่านั้น เขาได้มอบหัวใจให้กับคนอื่นไปเสียแล้ว

             “เจ้า..” อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันกรอด

             “ท่านพ่อไปหาคนอื่นเถิด” กล่าวจบหย่งเซิงก็สะบัดแขนที่ถูกเกาะกุมออกแล้วเดินตามขบวนเสด็จของฮ่องเต้ไป

             “ท่านอัครเสนาบดี..” เหล่าขุนนางต่างเป็นกังวลจนนั่งไม่ติด กลัวว่าแผนที่วางไว้จะพังพินาศ ขั้วอำนาจกำลังจะเปลี่ยนมืออีกครั้ง พวกเขาจำต้องเลือกข้างให้ถูก

             แน่นอนว่ามีขุนนางหลายคนเริ่มลังเลที่จะสนับสนุนอัครเสนาบดีหย่งต่อ ในขณะที่หลายคนเลือกที่จะสนับสนุนต่อไปเพราะมีความแค้นกับเหวินเจิ้ง

             เหล่าขุนนางเริ่มแตกออกเป็นสองฝ่าย หินก้อนเล็กๆที่เหวินเจิ้งโยนทิ้งลงในน้ำกำลังสร้างคลื่นใต้น้ำเล็กๆที่มองไม่เห็น

             ผู้ที่ยืนหยัดต่อคลื่นใต้น้ำได้นานที่สุดจะเป็นผู้ชนะ



---------------------------------------------------------------------

ความจริงแล้ว เหวินเจิ้งเป็นหนุ่มจอมมืดมน(?)

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #126 เมื่อ07-06-2017 21:14:23 »

รอต่อ รอๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #127 เมื่อ07-06-2017 21:41:26 »

 :pig4:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #128 เมื่อ07-06-2017 21:42:39 »

 :mew1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #129 เมื่อ07-06-2017 22:33:32 »

สงสารฮ่องเต้จริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
« ตอบ #129 เมื่อ: 07-06-2017 22:33:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #130 เมื่อ08-06-2017 09:08:45 »

ฮองเต้ใกล้หมดภาระแล้ว

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #131 เมื่อ17-06-2017 12:07:22 »

ฮืออออออออ ฮ่องเต้ของน้องงงงง  :ling1:

ออฟไลน์ little_pig

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #132 เมื่อ24-06-2017 23:04:59 »

ฮือออออ อยากเห็นฮ่องเต้มีความสุข สงสารเหลือเกิน

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #133 เมื่อ25-06-2017 13:53:47 »

 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1051
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #134 เมื่อ27-06-2017 07:07:03 »

ขอให้อาเจิ้งได้ออกไปอยู่นอกวังอย่างสงบกับอาเซิงด้วยเถอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #135 เมื่อ27-06-2017 17:31:16 »

น่าสงสาร

ออฟไลน์ mam79

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #136 เมื่อ30-06-2017 17:08:37 »

สงสารเหวินเจิ้งที่สุด

ออฟไลน์ April❤

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #137 เมื่อ30-06-2017 18:17:06 »

 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #138 เมื่อ03-07-2017 09:01:40 »

รออยู่นะครับ

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #139 เมื่อ08-07-2017 17:59:10 »

บทที่ 14 เงื่อนไข
          “เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง” เสียงทุ้มแห้งผากเสียจนน่าใจหาย หลังจากจบการว่าราชการในวันนี้เขาก็รีบรุดมาหาเหวินอี้ เขาไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดใดๆขึ้นทั้งสิ้น

          เหวินอี้จ้องมองเหวินเจิ้งที่กำลังนั่งพิงเก้าอี้โยกอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้างดงามซีดเซียวกำลังหลับตาลงราวกับกำลังดื่มด่ำในในสรรพเสียงของธรรมชาติรอบตัว

          ตอนนี้พวกเขาอยู่หน้าบ้านซึ่งรายล้อมไปด้วยต้นไผ่ดูร่มรื่นและสวยงาม

          “ขอรับท่านน้า” เหวินอี้ตอบอย่างมั่นใจ เขาไม่อยากให้ท่านน้าต้องเป็นกังวล

          “อาอี้.. เมื่อใดที่เจ้าประทับนั่งบนบัลลังก์แล้ว ยากนักที่จะลุกขึ้นออกมาทั้งที่ยังมีชีวิต” เหวินเจิ้งโยกเก้าอี้ไปมาเบาๆก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าจะอยู่อย่างหวาดระแวงและโดดเดี่ยว เจ้าจะมิอาจเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้ใดได้ ทุกสายตาจะสอดส่องมองหาจุดอ่อนของเจ้า สายเลือดของเจ้าจะมีค่านับทองพันชั่ง พวกเขาจะถูกลากเข้าไปในวังวนแห่งการแก่งแย่งชิงอำนาจ ท้ายที่สุดพวกเขาจะมองเจ้าเป็นเนื้อร้ายที่ต้องตัดทิ้ง”

          นี้คือสิ่งที่เขารู้เห็นมาตลอดทั้งชีวิต เหล่าพี่น้องเปลี่ยนไปอย่างไรเขาได้เห็นมาแล้วกับตา บัลลังก์สามารถเปลี่ยนเด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ให้เป็นมือสังหารได้อย่างน่ากลัว บัลลังก์ที่เปียกปอนไปด้วยฝนเลือดแห่งนี้เขาไม่เคยคิดอย่างจะนั่งมันเลยสักครั้ง  หากเลือกได้เขาจะขอเป็นองค์ชายไร้อำนาจมองดูพี่น้องขึ้นนั่งบนบัลลังก์จากบนพื้นที่ไกลๆก็เพียงพอแล้ว เขาขอมีอิสระที่จะเชื่อใจผู้คน แสดงความรู้สึกอย่างใจนึกโดยไม่ต้องสนใจความคิดของใครๆ มีลูกมีครอบครัวที่อบอุ่นสามารถส่งยิ้มให้กันอย่างจริงใจ

          หากเขาเลือกได้..

          เหวินอี้จ้องมองใบหน้าซีดเซียวของผู้เป็นน้าก่อนจะเบือนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าด้านบน ที่ยามนี้ถูกบดบังด้วยต้นไผ่สูงลิ่ว แสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องลงมาได้เพียงเล็กน้อย

          “ข้าเชื่อใจเพ่ยหลิน หากเขาทรยศข้า ข้าก็จะขอตายทั้งที่ยังเชื่อมั่น” น้ำเสียงเหวินอี้หนักแน่นเกินกว่าที่เด็กอายุเพียงสิบห้าปีจะพูดออกมาได้

          เหวินเจิ้งบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม

          “เจ้าเหมือนพี่สามไม่มีผิด” ทีแรกเขาคิดว่าเหวินอี้จะเหมือนกับพี่สามแค่เรื่องหน้าตาหล่อเหลาเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะถอดแบบนิสัยออกมาด้วย นิสัยเชื่อมั่นในตนเอง เมื่อได้เลือกเส้นทางที่จะก้าวเดินแล้ว จะไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีก

          และยัง.. เชื่อมั่นในตัวผู้อื่นจนตัวตาย

          พี่สามตายเพราะเชื่อมั่นในตัวผู้อื่นมาเกินไปจนถูกใส่ร้าย แล้วเหวินอี้เล่า เจ้าจะมีชะตากรรมเดียวกันหรือไม่

          “ท่านน้า ข้าเชื่อใจเพียงเพ่ยหลินเท่านั้น” ราวกับรู้ว่าเหวินเจิ้งกำลังคิดอะไรอยู่ เหวินอี้จึงรีบชิงตอบ เขาจะยอมตายเมื่อคนที่ทรยศเขาคือเพ่ยหลิน แต่หากมิใช่ ก็อย่าหวังว่าเขาจะยอมตายเลย!

          “ส่วนนิสัยข้อนี้เจ้าเหมือนข้า” เหวินเจิ้งลืมตาก่อนจะส่งยิ้มให้เหวินอี้ ขนาดรู้ว่าหย่งเซิงวางยาเขา เขายังไม่นึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะต้องการความตายอยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่หากเป็นคนอื่นเขาคงหาทางให้อีกฝ่ายตายตกตามกันไปด้วยเพื่อความสะใจ ที่แท้แล้ว นิสัยก็สืบทอดกันผ่านการเลี้ยงดูนี่เอง

          เหวินอี้อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆ

          “ข้าอยากนิสัยเหมือนท่านมากกว่าท่านพ่อเล็กน้อย” เขาไม่ค่อยมีความทรงจำกับท่านพ่อมากนัก แต่กับท่านน้าเขามีมากมายเหลือเกิน ทั้งสมัยที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่และในตอนนี้ แม้หลังจากที่ท่านน้าขึ้นครองราชย์จะไม่ค่อยได้พบกันมากนัก แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผูกพัน

          เขารู้ว่าท่านน้าโหยหาความตาย และรู้ว่าตัวเขามิอาจฉุดรั้งท่านน้าไว้ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงหวัง ว่าท่านน้าจะได้พบกับใครสักคนที่จะมอบชีวิตใหม่ให้กับท่านน้า

          ใครสักคน..

          “หากเจ้านิสัยเหมือนเรา เจ้าคงครองราชย์ได้ไม่นานนัก” เขามีนิสัยขี้เบื่อและรักอิสระ

          “ถ้าเช่นนั้นข้าขอเหมือนท่านน้าสักสามส่วนเถิด” เหวินอี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไม เรียนอย่างท่าทางของเหวินเจิ้ง

          เหวินเจิ้งยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะหลับตาลง

          “อาอี้ เจ้าต้องหล่อเหลามากกว่านี้อีกสิบส่วนจึงจะเหมือนข้า”

          “ข้าหล่อเหลากว่าท่านน้ามากนัก” เหวินอี้รีบแย้ง เพ่ยหลินบอกเขาอยู่บ่อยๆว่าเขาหล่อเหลากว่าบุรุษวัยเดียวกันมาก หากเติบใหญ่กว่านี้จะต้องหล่อเหลามากขึ้นอีกแน่

          อีกอย่าง ท่านน้าเขามิได้หล่อเหล่าเสียหน่อยต้องเรียกว่างดงามต่างหากเล่า

          “หึๆ เพ่ยหลินบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ”

          “เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องให้ผู้อื่นบอกหรอก”

          “อาอี้ เจ้าจะต้องมีความสุขกว่าข้าแน่” น้ำเสียงแหบแห้งฟังดูหนักแน่นในความรู้สึกของเหวินอี้ เหวินอี้ขอบตาร้อนผ่าวก่อนจะพยายามกลืนก้อนเหนียวหนืดในลำคอ เขารู้ว่าเวลาของท่านน้าเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว จากนี้ไปเขาอาจไม่ได้เจอท่านน้าผู้นี้อีก

          เหวินอี้สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าขับไล่ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์

          “ท่านเองก็ต้องมีความสุขนะขอรับ” เหวินอี้เอ่ยเสียงเบาหวิว ปล่อยให้สายลมพัดพาประโยคเมื่อครู่ปลิวหายไปราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน



          หย่งเซิงจ้องมองร่างโปร่งบนเก้าอี้โยกจากภายในตัวบ้าน ดวงตาดำสนิทเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เพราะเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทำให้มีประสาทหูดีกว่าคนปกติทั่วไป บนสนทนาของคนทั้งสองเขาล้วนได้ยินทั้งหมด

          “ท่านเซิง น้ำชาขอรับ” เพ่ยหลินถือถาดชาเข้ามายืนข้างๆหย่งเซิงแล้ววางลงบนโต๊ะริมหน้าต่าง เมื่อเห็นหย่งเซิงไม่ตอบรับก็มองตามสายตาหย่งเซิงออกไปเห็นเหวินอี้และเหวินเจิ้งอยู่ข้างนอก “ท่ายืนของท่านอี้นับวันจะยิ่งเหมือนฝ่าบาทเข้าไปทุกที"

          เพ่ยหลินเอ่ยกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นเหวินอี้ยืนเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังของเด็กหนุ่มตั้งตรงดูองอาจสง่างามนัก แม้เหวินอี้จะสวมชุดชาวบ้านธรรมดาแต่ก็ไม่สามารถปกปิดสายเลือดสูงศักดิ์ในกายได้

          หย่งเซิงละสายตาจากเหวิงเจิ้งหันไปมองใบหน้าสวยที่หน้าซีดลงเล็กน้อยเมื่อถูกใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงจ้องมอง

          “ขะ.. ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ” เพ่ยหลินเอ่ยเสียงสั่น เขาเพียงแค่หาเรื่องชวนคุยเท่านั้น เหตุใดต้องหันมาจ้องกันด้วย ฮือๆ น่ากลัวจังเลย

          “เจ้าเป็นอะไรกับเหวินอี้” หย่งเซิงไม่สนใจท่าทีหน้าซีดปากสั่นของอีกฝ่าย เพียงถามเรื่องที่เขาสงสัย

          เพ่ยหลินรูปร่างบอบบาง ผิวขาวเนียนละเอียดริมฝีปากอวบอิ่ม ใบหน้าสวยหวานมากกว่าสตรีหลายคนที่เขาเคยพบเจอเสียอีก ดูจากบทสนทนาของเหวินอี้และเหวินเจิ้งแลดูทั้งคู่จะไว้ใจเพ่ยหลินมาก

          “ขะ.. ข้าหรือ ข้าเป็นหมอประจำตัวของท่านอี้” เพ่ยหลินเอ่ยพลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เหวินอี้บอกว่าเขาขี้ขลาดแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆเสียด้วย เขามักจะหวาดกลัวคนแปลกหน้า นอกจากท่านอี้แล้วเขาแทบไม่ออกไปพบปะผู้คน ครั้งนี้เห็นว่าหย่งเซิงเป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้ใจ จึงได้รวบรวมความกล้าเอาน้ำชามาให้ ไม่นึกเลยว่าจะถูกจ้องด้วยสายตาดุดันเช่นนี้

          “แค่หมอหรือ” หย่งเซิงขมวดหัวคิ้วเข้าหากัน

          “ข้าทำเป็นเพียงรักษาคน เรื่องอื่นข้าไม่เก่งหรอก” นอกจากเรื่องรักษาแล้วเขาเงอะงะซุ่มซ่ามนัก

          หย่งเซิงสบตาเพ่ยหลินนิ่ง นิ่งเสียจนเพ่ยหลินรู้สึกประหม่าต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาไป ทำไมผู้ติดตามของฝ่าบาทจึงน่ากลัวนัก อ่า.. โลกใบนี้ไม่มีใครใจดีเหมือนกับท่านอี้จริงๆ ฮือๆ

          “วังหลวงเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม อย่างเจ้าเข้าไปไม่นานก็คงถูกฉีกทึ้ง” เพ่ยหลินเป็นคนใสซื่อ หากเข้าไปเกรงว่าจะกลายเป็นจุดอ่อนของเหวินอี้

          เพ่ยหลินได้ยินเช่นนั้นก็ชะงัก ก่อนจะเงยหน้าสบดวงตาดำสนิทของหย่งเซิงอย่างแน่วแน่

          “ท่านไม่ต้องห่วง ข้ามิใช่จุดอ่อนของท่านอี้” หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของเพ่ยหลินเปลี่ยนไปต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เพราะเป็นเรื่องของเหวินอี้หรือถึงทำให้คนขี้ขลาดแปรเปลี่ยนเป็นกล้าหาญ

          วังหลวงที่มีเหวินอี้นั่งอยู่บนบัลลังก์จะเน่าเฟะหรือสวยงามบางทีอาจจะขึ้นอยู่กับคนผู้นี้

          “ฮ่องเต้จำเป็นต้องมีพระสนมนางในมากมายเพื่อถ่วงดุลอำนาจ เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดหรือยังว่าจะไปอยู่ส่วนไหนในหัวใจของเหวินอี้” สายตาของเพ่ยหลินเหมือนกับเขายามที่เขามองเหวินเจิ้ง สายตาหลงใหลรักใคร่ แม้เหวินอี้และเหวินเจิ้งจะดูไม่ออก แต่เขารู้ พวกเขามีสายตาที่เหมือนกัน

          เพ่ยหลินเบิงตากว้างจนแทบฉีกขาด ใบหน้าสวยแดงก่ำ

          “ทะๆๆ ท่านรู้หรือ”

          หย่งเซิงไม่ตอบเพียงละสายตาจากเพ่ยหลินมองออกไปที่นอกหน้าต่าง มองไปยังร่างของคนที่เขาถวิลหา
         
          “สายตาเจ้าเหมือนของข้า” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเพ่นหลินก็นิ่งเงียบก่อนจะเอ่ยตอบเบาๆ

          “ตัวตนของท่านอี้ฝังรากลึกในหัวใจข้า ข้ายอมเจ็บปวดที่ได้อยู่ข้าท่านอี้ มากกว่าเจ็บปวดที่ไม่ได้พบ” ชาตินี้ต่อให้เขาต้องตายเพราะความรัก เขาก็ไม่มีวันทอดทิ้งท่านอี้ให้อยู่เพียงลำพัง

          เพ่ยหลินมองออกไปยังนอกหน้าต่าง มองแผ่นหลังองอาจที่แม้จะดูเล็กไปสักหน่อยในยามนี้ ทว่าไม่กี่ปีข้างหน้า แผ่นหลังนี้จะเติบใหญ่ กลายเป็นแผ่นหลังที่ผู้คนทั้งแผ่นดินจะต้องพึ่งพิงอาศัย

          เขาจะคอยมองแผ่นหลังตั้งตรงนี้จากข้างหลัง ไม่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือสัมผัส แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าจะยื่นมือไปปกป้อง นี้คือหัวใจรักของเขา..



          “ฝ่าบาท”

          “หื้ม”

          “กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขอ”

          “..หายากนักที่เจ้าจะอยากได้อะไรจากเรา” เหวินเจิ้งเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกา ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว หลังจากที่เขาแอบลอบออกไปพบเหวินอี้เมื่อกลางวัน เมื่อกลับถึงตำหนักเขาก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกตัวอีกทีก็ฟ้ามืดแล้ว ยังมีงานอีกหลายอย่างที่เขาต้องจัดการให้เสร็จก่อนที่อาอี้จะมารับช่วงต่อ

          วันพรุ่งนี้ เป็นวันชี้ชะตา..
         
          เขาฝืนตัวเองมากนานเกินพอแล้ว..

          “แล้วฝ่าบาทจะพระราชทานให้กระหม่อมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

          “หากมีเพียงเราที่ช่วยเจ้าได้ เรายอมไม่ใจร้าย” เหวินเจิ้งยกยิ้ม เขารักใคร่หย่งเซิงเช่นนี้จะใจร้ายปฏิเสธได้อย่างไร อีกอย่างเขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว เขาอยากจะใกล้ชิดหย่งเซิงอีกนิด หากหย่งเซิงมีเรื่องที่ต้องการจากเขา เช่นนั้นเขาจะใช้มันเป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายสมยอมเขาเสียเลย

          หย่งเซิงมองท่าทางเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายอย่างขบขัน นับตั้งแต่เขาเรียกชื่อเหวินเจิ้งวันนั้น ยามเจ้าตัวคิดอ่านสิ่งใดล้วนแสดงออกทางสีหน้าทั้งหมดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา และเขาเองก็ชอบที่จะมองมันเสียด้วย

          “เรื่องนี้มีเพียงพระองค์ที่ช่วยได้พ่ะย่ะค่ะ”

          “ว่ามาเถิด” เขายินดีจะช่วยทุกอย่าง เหวินเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

          “กระหม่อมอยากให้พระองค์ลบชื่อของเหม่.. พระสนมเต๋อเฟยออกจากรายชื่อบุคคลที่ต้องโดนฝังข้างกายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

          รอยยิ้มของเหวินเจิ้งชะงักค้าง ก่อนจะถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู

          “อะไรนะ”

          “ลบชื่อของพระสนมเต๋อเฟยออกแล้วใส่ชื่อของกระหม่อมลงไปแทนเถิด” หย่งเซิงมองใบหน้าที่ซีดเผือกอย่างรู้สึกผิด

          ความปวดใจความน้อยใจฉายชัดในดวงตาคู่งามของเหวินเจิ้ง ที่แท้หย่งเซิงก็ต้องการให้เขาไว้ชีวิตเหม่ยลี่นี่เอง นี้คือวิธีช่วยเหม่ยลี่ที่เขาเคยได้ยินวันนั้นสินะ การร้องขอจากเขา..

          หย่งเซิงรู้ว่าเขาจะต้องรับปากแน่..

          “.. ได้สิ” เจ้าถึงกับเอาชีวิตของตนมาแลก เราจะใจร้ายกับเจ้าได้อย่างไร

          นี้เป็นครั้งแรกที่เหวินเจิ้งรู้สึกว่าการรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้ามันยากเย็นถึงเพียงนี้ ตอนนี้เขารู้สึกท้อแท้และเหน็ดเหนื่อย ทุกครั้งที่คิดว่าจะไม่หวังคือมันเป็นตอนนี้ที่เราเผลอมีความหวังไปโดยไม่รู้ตัวนี้เอง

          ทำไมเจ้าจึงไม่รักข้า..

          ทำไมหัวใจของเจ้าจึงมอบให้กับหญิงสาวผู้นั้น..

          นี้เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกของเขารุนแรงขนาดนี้

          “ฝ่าบาท..” หย่งเซิงหมุนหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นเหวินเจิ้งหน้าซีดลงจนน่าตกใจ

          “ได้สิหย่งเซิง แต่เรามีเงื่อนไข” เหวินเจิ้งฝืนยกยิ้ม ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาแต่เขาไม่ยินยอมให้มันไหลลงมา “หากเจ้าหลับนอนกับเราสักครั้ง เราสัญญาว่าจะลบรายชื่อให้”

          หย่งเซิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเหวินเจิ้งยามนี้ช่างดูเจ็บปวดรวดร้าวราวกับนกน้อยไร้ที่พักพิง ราวกับเขาเป็นฟางเส้นสุดท้าย ราวกับกำลังขอร้องอ้อนวอนเขาอย่างสิ้นหวัง

          เขาทำให้เหวินเจิ้งเจ็บปวดอีกแล้ว..

          หย่งเซิงกำหมัดแน่น เขารู้สึกโมโหตัวเองเหลือเกินที่ทำอะไรไม่คิด!

          “อืม.. ยากไปหรือ เช่นนั้นก็ช่างเถิดเห็นแก่ที่เจ้าช่วยเหลือเรา เราจะยอมรับเงื่อนไขก็ได้” เมื่อเห็นหย่งเซิงนิ่งไป เหวินเจิ้งก็คิดไปว่าอีกฝ่ายรังเกียจ

          ความรู้สึกอับอายถาถมเขาสู่หัวใจอันอ่อนแอ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้โหดร้าย แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะบังคับฝืนใจราชองครักษ์ธรรมดา ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน

          เหวินเจิ้งก้มหน้าจนคางชิดอกพลางเขียนราชโองการทั้งที่มือสั่นเทา เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าของเขายามนี้ ใบหน้าที่กำลังอ่อนแอและอับอายอย่างน่าสมเพช ความน้อยเนื้อต่ำใจสร้างความเจ็บปวดมากมายมหาศาลให้กับหัวใจ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดมันเอาไว้

          หากเป็นก่อนหน้านี้ ก่อนที่เขาจะรับรู้หัวใจตัวเอง.. เขาคงสามารถออกปากบังคับอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม แต่ตัวเขาในตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว

          ที่แท้ความรักทำให้คนเจ็บปวดถึงเพียงนี้

          “ฝ่าบาท..” หย่งเซิงลุกขึ้นตั้งใจจะเดินเข้าไปหาเหวินเจิ้ง เขาไม่อาจทนดูอีกฝ่ายเจ็บปวดเช่นนี้ได้อีกแล้ว ราวกับความเจ็บปวดของอีกฝ่ายส่งผลถึงเขาด้วย เขารู้สึกเจ็บปวดจนหายใจแทบไม่ออก

          “สวี่กงกง!” เหวินเจิ้งตะโกนเรียกสวี่กงกงทั้งที่เสียงแหบแห้งเพื่อหยุดความเคลื่อนไหวของหย่งเซิง

          หย่งเซิงชะงักเท้าพร้อมกับที่สวี่กงกงเปิดประตูเข้ามา

          “ฝ่าบาท” สวี่กงกงเอ่ยถามอย่างฉงน เกิดอะไรขึ้นบรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงดูอึดอัดนัก

          “นี้คือราชโองการ เราจะประกาศต่อหน้าเหล่าขุนนางด้วยตัวของเราเอง” สวี่กงกงรีบปรี่เข้าไปรับราชโองการ เมื่อเห็นเนื้อความในราชโองการ ใบหน้าเหี่ยวย่นก็ซีดเผือก

          “ฝ่าบาท!”

          “สวี่กงกง.. เราหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด” เหวิงเจิ้งกดเสียงต่ำทำให้สวี่กงกงไม่กล้าเอ่ยอะไรต่อทำได้เพียงค่อมศีรษะแล้วเดินออกจากห้องไปทั้งที่ใบหน้าซีดเผือก

          ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หย่งเซิงยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ถอยกลับไปนั่งและไม่ได้ก้าวเข้ามาหา เพียงมองดูเหวินเจิ้งกางฎีกาออกอ่านอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ

          ใบหน้าเหวินเจิ้งยามนี้เรียบเฉยเสียจนน่ากลัว เขาไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นกำลังซ่อนความรู้สึกแบบไหนอยู่

          “ฝ่าบาท..”

          “เจ้าไม่ต้องขอบใจเราหรอก อย่างไรเสีย เราก็เป็นหนี้เจ้า” เหวินเจิ้งเอ่ยขัดทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ม้วนฎีกา “หนี้ที่เจ้าช่วยส่งเราไปหาความตาย”

          “กระหม่อมทำเพื่อตัวเองมิใช่เพื่อพระองค์” หย่งเซิงจ้องหน้าเหวินเจิ้งนิ่ง อยากจะจับอีกฝ่ายมาเขย่าแรงๆ ให้รู้สึกตัวเสียทีว่าเขาเองก็ปวดใจที่ต้องทนเห็นเหวินเจิ้งอดทนต่อความเจ็บปวดที่รุมเร้า ถึงอยากนั้นอีกฝ่ายก็ไม่เคยร้องขอให้ช่วยรักษา ไม่เคยแสดงความเจ็บปวดให้ผู้อื่นเห็น อย่างน้อยก็ต่อหน้าเขา ให้เขาได้มีโอกาสช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของอีกฝ่ายบ้าง สักนิดก็ยังดี

          “จริงสิ เจ้าทำเพื่อมารดาของเจ้า เราเองก็เผลอลืมไป” เหวินเจิ้งยกยิ้มเยาะ ก่อนจะตวัดตามองดวงตาดำสนิทที่ทำให้เขาหวั่นไหว หัวใจของเขาในตอนนี้โดนขยี้จนแหลกเหลว

          แม้บอกตัวเองว่าไม่หวัง แท้จริงแล้วเขาก็ยังอดที่จะมีความหวังมิได้

          เพราะเขายังเป็นมนุษย์..

          “…” เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำของเหวินเจิ้ง หย่งเซิงก็อดที่จะใจหายไม่ได้

          “หย่งเซิง เราเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือไม่” เหวินเจิ้งเอ่ยถามออกมาเบาๆ อย่างน้อยในเวลาเช่นนี้เขาก็อยากให้หย่งเซิงจดจำเขาที่เป็นฮ่องเต้ผู้สง่างาม เขาไม่สนว่าผู้อื่นจะมองเขาเช่นไร เพียงหย่งเซิงเท่านั้น เพียงแค่หย่งเซิงจดจำฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ไว้ในส่วนเล็กๆของหัวใจ เท่านี้ก็พอแล้ว

          “..พ่ะย่ะค่ะ” คำตอบของหย่งเซิงช่างหนักแน่นมั่นคงเสียจนหัวใจเขาสั่นไหว

          “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกวักมือเรียกให้หย่งเซิงเข้ามาใกล้

          เมื่อหย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็รีบเดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกัน

          “หย่งเซิง เรารู้ว่า.. จะไม่มีคืนพรุ่งนี้สำหรับเราอีกแล้ว” เหวินเจิ้งเอื้อมมืออันสั่นเทาตั้งใจจะจับมือหย่งเซิงแต่ก็เกิดลังเลขึ้นมา กลัวว่าหย่งเซิงจะรังเกียจ

          หย่งเซิงมองท่าทีลังเลนั้นอย่างเจ็บปวดใจก่อนจะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือที่ชะงักค้างนั้นแทน เหวินเจิ้งจ้องมองมือใหญ่อันแสนอบอุ่นนั้นนิ่ง ก่อนจะเงยหน้าสบดวงตาดำสนิท

          “ให้กระหม่อมได้มอบความอบอุ่นให้กับมือที่เหยียบเย็นคู่นี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยพลางกระชับมือเหวินเจิ้งไว้แน่น

          เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าวก่อนจะเบือนหน้ากลับไปอ่านฎีกาที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งที่ยังจับมือหย่งเซิงไว้แน่น เขาไม่อยากแสดงความไม่เอาไหนให้หย่งเซิงได้เห็น

           เพียงชั่วขณะสั้นๆนี้ หัวใจเขารู้สึกอบอุ่น ทุกข์สุขของเขาล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าของมืออันอบอุ่น เมื่อครู่เขายังเจ็บปวดเจียนตาย แต่ตอนนี้กลับสงบลงมาก

          เหงื่อเริ่มซึมออกจากฝ่ามือจนเปียกชุ่ม แต่เขากลับไม่นึกรังเกียจแม้แต่น้อย ยังคงอยากจะจับมือคู่นี้เอาไว้ เพียงรับรู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปล่อยมือเขาเช่นกัน

          ในคืนสุดท้ายของชีวิต เขาจะขอเห็นแก่ตัวสักครั้ง

          “เช่นนั้น ตลอดทั้งคืนนี้.. จนกว่าดวงตะวันขึ้นสู่ขอบฟ้า เจ้าห้ามปล่อยมือจากเราเด็ดขาดเลยนะ” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากฎีกา เขาไม่กล้ามองไม่กล้ารับรู้ว่าหย่งเซิงจะมองเขาด้วยสายตาเช่นไร

          เขากลายเป็นคนขี้ขลาดไปเสียแล้ว..

          “พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงไร้ซึ่งความลังเลทำให้เหวินเจิ้งคลายความขึงเครียดลงมุมปากบิดขึ้นเป็นรอยยิ้ม


          ตลอดทั้งคืนนี้ มือคู่นี้ของหย่งเซิงจะเป็นของเขาเพียงคนเดียว..



-------------------------------------------------------------------

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
« ตอบ #139 เมื่อ: 08-07-2017 17:59:10 »





ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #140 เมื่อ08-07-2017 18:05:14 »

บทที่ 15 สิ้นพระชนม์

          “ฝ่าบาทได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ..” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมพลางเหลือบมองร่างโปร่งที่กำลังเอามือไพล่หลังมองออกไปยังนอกหน้าต่าง

          เหวินเจิ้งหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะเหม่อมองท้องฟ้า แสงแดดวันนี้เจิดจ้ากว่าที่เคย จนเขาตาพร่ามัว.. ไม่สิ ต้องบอกว่าเขาตาพร่ามัวเพราะยาพิษที่อยู่ในร่างกายเสียมากกว่า

          แม้แต่การหายใจก็เป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว ร่างกายเจ็บปวดราวกับโดนเข็มทิ่มแทง เขาต้องฝืนกลั้นจนสุดกำลังเพื่อไม่ให้เผลอกรีดร้องออกมา

          เหวินเจิ้งปรายตามองเหล่าขันทีและนางกำนัลที่ยืนก้มหน้าอย่างนอบน้อมอยู่ด้านหลัง คนพวกนี้กำลังรอดูเขาทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด น่าเสียดายที่เขาไม่มีความคิดจะแสดงให้พวกมันได้เห็น

          “อยู่ๆ เราก็นึกถึงวันแรกที่ขึ้นครองราชย์ขึ้นมา” เหวินเจิ้งเปล่งเสียงออกมาอย่างอยากลำบาก น้ำเสียงของเขาแหบแห้งจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สนใจยังคงเอ่ยต่อ “ตอนนั้นเจ้าก็เอ่ยเตือนเราเช่นนี้”

          “กระหม่อมจำได้พ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยตอบ พยายามควบคุมสีหน้าให้นิ่งสงบอย่างสุดความสามารถ เขาเป็นขันทีที่รับใช้ฮ่องเต้มาถึงสามรัชสมัย ตอนนี้ถึงเวลาเปลี่ยนรัชสมัยอีกครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งที่ยากที่สุดสำหรับเขา

          “สวี่กงกง เรามิอาจยกโทษให้เจ้า.. แต่เราหวังว่าเจ้าจะรักษาสัญญา”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          ขันทีและนางกำนัลต่างลอบสบตากัน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เสียสติคิดทำการใด แต่ต้องมิใช่เรื่องดีเป็นแน่ พวกเขาควรจะนำความไปถวายอัครเสนาบดีหย่งหรือไม่

          เหวินเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอาการเจ็บปวดจากพิษ ในสมัยที่เขายังเป็นองค์ชายสี่ เขาเคยถูกพิษมาแล้วถึงห้าครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่เจ็บปวดเท่าครั้งก่อนๆ นี้ใช่ความปราณีของหย่งเซิงหรือไม่ ช่างเถิด ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะปล่อยวางทุกอย่างลงเสีย

          เมื่อความเจ็บปวดเบาบางลงแล้วเหวินเจิ้งก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินออกจาตำหนักไปโดยมีสวี่กงกงเดินตามไปติดๆ

          “ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม” เหวินเจิ้งเอ่ยถามเสียงเบา สวี่กงกงรีบเดินขึ้นมาตีเสมอก่อนตอบ

          “พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงลอบมองใบหน้าด้านข้างของเหวินเจิ้งอย่างลังเลก่อนจะกลั้นใจถาม “เรื่องราชโองการลับกระหม่อมคิดว่า..”

          “ให้เป็นไปตามนั้น” เหวินเจิ้งเอ่ยขัด สวี่กงกงได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าลงอย่างจำใจ



          “ฮ่องเต้เสด็จ!!” เสียงแหลมสูงของขันทีประกาศเสียงดังลั่นทำให้บริเวณรอบๆลานพิธีเงียบลงไปถนัดตา เหวินเจิ้งก้าวเดินอย่างมั่นคงสง่างามท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนางทุกคน แม้ใบหน้าของเหวินเจิ้งจะซีดขาวแต่ก็ไม่อาจบดบังรัศมีแห่งอำนาจที่แผ่ออกมาจากดวงตาคู่งามได้

          “ถวายบังคมฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ..”

          เหวินเจิ้งยกยิ้มพลางปรายตามองเหล่าขุนนางที่คุกเข่าถวายบังคมอวยพรเขา คนพวกนี้รู้ทั้งรู้ว่าเขากำลังจะตายแต่ก็ยังอวยพรเขาอย่างแข็งขันช่างน่าขันนัก

          “ลุกขึ้น” เสียงแหบแห้งทว่าเต็มไปด้วยพลังอำนาจ เหล่าขุนนางกำหมัดแน่น แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่เหวินเจิ้งคือผู้ที่เหมาะสมจะเป็นฮ่องเต้อย่างแท้จริง จะมีสักกี่คนที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ทั้งที่ร่างกายถูกพิษ คนผู้นี้ไม่แสดงอาการเจ็บปวดแม้แต่น้อย ไม่ร้องขอยาถอนพิษ ไม่ร้องขอการรักษา

          ทั้งที่ใบหน้าซีดเซียวแต่ดวงตากลับสุกใสเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี ริมฝีปากงามคู่นั้นยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มอย่างน่าหวาดหวั่น

          ยาพิษทำอะไรฮ่องเต้เสียสติไม่ได้..

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหล่าขุนนางต่างลุกขึ้นอย่างเจ็บใจ

          “ฝ่าบาท ผู้ทำพิธีเล่าพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยถาม เมื่อคืนเขาส่งคนเข้าไปจับตาดูฝ่าบาทที่ตำหนักมากกว่าทุกวันแต่กลับไม่มีเรื่องใดผิดปกติ เหวินเจิ้งมิได้เรียกใครเข้าพบ และไม่ได้ออกไปไหน ถ้าเช่นนั้นอีกฝ่ายจะหาใครมาทำพิธีกัน หรือว่าจะเป็นเพียงแผนการเพื่อยั่วยุเขาเท่านั้น

          เหวินเจิ้งส่งยิ้มให้อัครเสนาบดีหย่งแทนคำตอบ ก่อนจะหันมาประกาศเสียงก้องกังวาล

          “เริ่มพิธีได้”

          เหล่าขุนนางต่างหันไปจับจ้องยังประตูปลัมพิธี ไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เดินหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลาทว่าอ่อนเยาว์ ดวงตาดำขลับเปล่งรัศมีกดดันผู้คน ริมฝีปากบางเม้มสนิท ท่วงท่าการเดินแลดูองอาจเสียจนยากที่จะละสายตา

          เหล่าขุนนางเบิกตากว้าง

          “องค์ชายสาม..” เด็กหนุ่มคนนี้มีใบหน้าละม้ายคล้ายองค์ชายสามที่สวรรคตไปแล้วเหลือเกิน

          อัครเสนาบดีหย่งจ้องมองเด็กหนุ่มตาค้างก่อนจะมองเลยไปยังร่างสูงใหญ่ที่เขาคุ้นเคยที่อยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่ม

          อาเซิง!!

          เหตุใดอาเซิงจึงได้เดินมาพร้อมกับเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับองค์ชายสามกัน หรือว่า..

          อัครเสนาบดีหย่งหันขวับมามองเหวินเจิ้งที่ยืนยิ้มละไมบนแท่นประทับ เหวินเจิ้งปรายตามองกลับมาก่อนจะบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่น

          อาเซิงทรยศเขา!!

          “นั่น.. บุตรชายท่านอัครเสนาบดีหย่งมิใช่หรือ”

          “เหตุใดจึงได้มาพร้อมกับเจ้าเด็กที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับอดีตองค์ชายสามกัน”

          เสียงซุบซิบนินทาดังเซ็งแซ่ทั่วปลัมพิธี ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มปริศนา หย่งเซิง อัครเสนาบดีหย่ง และฮ่องเต้อย่างสับสน

          เหวินอี้ในชุดทำพิธีขอฝนเดินมาหยุดที่กลางลานก่อนจะรินสุราใส่จอกเพื่อถวายแด่แท่นปลัมพิธีโดยไม่หวั่นเกรงสายตาของผู้ใด

          เหวินอี้รู้ดีกว่าพิธีกรรมนี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด เขาจะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นเขาจะถูกครหาว่าเป็นตัวกาลกิณีของแผ่นดิน เหวินอี้ดื่มสุราในจอกเล็กก่อนจะเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนกำลังจะตกแล้ว..

          แปะ..

          เหวินเจิ้งแบมือรองรับเม็ดฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าพลางยกยิ้ม ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของเหล่าขุนนาง

          ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของราชวงศ์ นี้เป็นครั้งแรกที่ฝนตกลงมาในวันที่ทำพิธีขอฝน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าระไม้คล้ายอดีตองค์ชายสามที่ค่อยๆย่างเท้าเข้ามาหาเหวินเจิ้ง

          “ถวายบังคมฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ” เหวินอี้คุกเข่าถวายบังคมอย่างนอบน้อม

          “ลุกขึ้น”

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหวินอี้ลุกขึ้นก่อนจะสบตากับเหวินเจิ้งที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ในดวงตาดำขลับของเหวินเจิ้งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจเมื่อมองสบมายังดวงตาของเหวินอี้

          “คนผู้นี้คือใครกันพ่ะย่ะค่ะ!” อัครเสนาบดีหย่งถูกความโกรธครอบงำจนลืมตัวตะโกนถามเสียงดังท่ามกลางสายตาของทุกผู้ในลานพิธี

          ยิ่งเห็นหย่งเซิงเดินไปหยุดยืนข้างหลังเหวินอี้ราวกับจะอารักขายิ่งทำให้อัครเสนาบดีหย่งหน้าดำทะมึนด้วยโทสะ

          “คนผู้นี้คือองค์รัชทายาทของเรา เหวินอี้บุตรแห่งองค์ชายสามเหวินห่าน” เหวินเจิ้งตอบกลับอยากไม่สะทกสะท้านกับท่าทีโกรธขึ้งของอัครเสนาบดีหย่ง

          ขุนนางอำมาตย์เมื่อได้ยินฐานะที่แท้จริงของเหวินอี้ต่างก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อแปดปีก่อนมีขุนนางหลายฝ่ายที่ตั้งตนสนับสนุนให้องค์ชายสามขึ้นครองราชย์ แต่เมื่อองค์ชายสามถูกใส่ความว่าวางยาพิษองค์ชายเก้าทำให้เหล่าขุนนางที่สนับสนุนองค์ชายสามต้องหันไปรับใช้อัครเสนาบดีหย่ง

          เหวินเจิ้งแสยะยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของขุนนางหลายคน เขารู้ว่ามีขุนนางหลายคนที่ยังคงจงรักภักดีต่อพี่สามอยู่ หากขุนนางเหล่านี้รู้ว่าเหวินอี้คือบุตรชายของพี่สามจะต้องให้ความสนับสนุนเหวินอี้อย่างแน่นอน

          หากมีคนค่อยช่วยเหลือเหวินอี้อยู่อย่างน้อยเขาจะได้วางใจลงสักเล็กน้อย..

          “เป็นไปไม่ได้ อดีตองค์ชายสามไม่มีบุตรชายพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งยกยิ้ม ในปีนั้นเขาเป็นคนวางแผนใส่ร้ายองค์ชายสามด้วยมือของเขาเอง ในตอนนั้นเขาส่งคนออกสะกดรอยตามองค์ชายสามทุกฝีก้าว หากองค์ชายสามมีบุตรจริงเขาจะต้องรู้เป็นคนแรก

          เหวินอี้ปรายตามองอัครเสนาบดีหย่งด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อกลับกำเป็นหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ท่านน้าเคยบอกเขาว่าอัครเสนาบดีหย่งคือคนที่ใส่ความบิดาของเขา! ครั้งแรกที่ได้ยินเขาทั้งโกรธทั้งอาฆาต หากไม่มีเพ่ยหลินคอยอยู่เคียงข้างเขาอาจจะจอมจมลงไปสู่ความเคียดแค้นอย่างโง่งม เขารู้ว่าตอนนี้ตนไร้กำลัง ดันนั้นเขาต้องคว้าอำนาจมาอยู่ในมือให้ได้ เมื่อมีอำนาจเขาจะลงโทษทุกคนที่บังอาจทำผิดต่อบิดาของเขาและบิดาของเพ่ยหลิน

          เหวินอี้ไล่มองเหล่าขุนนางอำมาตย์ที่อยู่โดยรอบสร้างความกดดันให้ผู้คนจนกระทั้งมาหยุดที่อัครเสนาบดีหย่ง

          อัครเสานบดีหย่ง.. เจ้าจะต้องชดใช้ให้ข้า!

          “ท่านจะบอกว่าเราโกหกหรือ” เหวินเจิ้งถามกลับทั้งที่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม

          “กระหม่อมมิกล้า เพียงแต่หากคนผู้นี้คือบุตรแห่งองค์ชายสามจริง เช่นนั้นต้องมีหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งแค่นเสียงลอดไรฟัน เขาจะไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้เป็นอันขาด

          เหวินเจิ้งอ้าปากกำลังจะตอบแต่กลับชะงักค้าง หัวใจกระตุกรั่วเร็วจนหน้ามืด ฃต้องเอื้อมมือไปค้ำยันโต๊ะไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป

          หย่งเซิงหรี่ตาลงเมื่อเห็นท่าทีของเหวินเจิ้ง หรือว่าอาการกำเริบ

          “ฝ่าบาท” สวี่กงกงรีบปรี่เข้ามาตั้งใจจะช่วยพยุงแต่เหวินเจิ้งกลับยกมือห้าม

          “เรา.. ไม่เป็นไร” เหวินเจิ้งรู้สึกถึงโลหิตที่กระจุกอยู่ที่คอก่อนจะพยายามกลืนก้อนโลหิตนั้นลงไป เขาจะไม่มีวันล้มลงต่อหน้าคนพวกนี้! เหวินเจิ้งไล่มองเหล่าขุนนางที่จับจ้องมาที่เขา ก่อนจะปล่อยมือที่ค้ำยันโต๊ะออกแล้วหันไปสบตาอัครเสนาบดีหย่ง “เรานี้แหละคือหลักฐาน”

          “ฝ่าบาท..” เสียงพูดคุยเซ็งแช่ดังขั้นอีกครั้ง

          “เจ็ดปีก่อนองค์ชายสามได้ฝากฝังเหวินอี้ให้ไว้กับเรา” เหวินเจิ้งไล่มองเหล่าขุนนางทั้งที่ดวงตาพร่ามัว “เราได้เลี้ยงดูเด็กคนนี้เป็นการลับ.. เพื่อความปลอดภัย”

          ประโยคสุดท้ายเหวินเจิ้งจงใจหันกลับมาสบตาอัครเสนาบดีหย่ง

          ฮ่องเต้รู้.. ว่าเขาใส่ความองค์ชายสาม

          อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันกรอด

          “หากพวกท่านเคยพบอดีตองค์ชายสามสักครั้ง ไม่มีวันที่พวกท่านจะไม่เชื่อคำเรา” เหวินเจิ้งกดเสียงลงต่ำอย่างขู่ขวัญ เหวินอี้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพี่สามถึงแปดส่วน หากจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ก็คงจะยากเกินไปสักหน่อย

          “อดีตองค์ชายสามต้องโทษประหารข้อหาวางยาพิษเชื้อพระวงศ์จนถึงแก่ความตาย หากจะให้บุตรชายของพระองค์ขึ้นเป็นฮ่องเต้อาจจะถูกครหาเอาได้พ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขัด “หากมิใช่เพราะพระเมตตาของอดีตฮ่องเต้ คนในครอบครัวทั้งหมดอาจจะต้องถูกประหารไปด้วย”

          ข้อหาวางยาพิษเชื้อพระวงศ์มิใช่เรื่องเล็ก โดยปกติต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร แต่เป็นเพราะเชื้อสายขององค์ชายสามคือเหล่าเชื้อพระวงศ์ทำให้บทลงโทษต้องลดหลั่นกันไป

          “แต่ก็มิได้ถูกประหาร.. หากบิดามีความผิดบุตรก็ต้องเป็นผู้รับผิดด้วยหรือ อัครเสนาบดีหย่งท่านมิใช่คนจิตใจคับแคบมิใช่หรือ” เหวินเจิ้งเอามือไพล่หลังก่อนจะเดินลงบันไดมาชั้นเดียวกับเหล่าขุนนางที่ยืนท่ามกลางสายฝน เหวินเจิ้งแบบมือออกไปข้างหน้าเพื่อรองรับน้ำฝนที่ตกกระทบลงสู่มือ “ท่านจะบอกว่าผู้ที่สร้างปาฏิหาริย์เช่นนี้มิคู่ควรแก่การขึ้นครองราชย์หรือ”

          อ่า หายใจลำบากเหลือเกิน.. หากไม่ออกมาตากฝนเกรงว่าเขาอาจจะเป็นลมล้มลงไปแล้ว

          มืออีกข้างที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อของเหวินเจิ้งกำหมัดแน่น ปล่อยให้เล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ตอนนี้เขาแทบมองอะไรไม่เห็นแล้ว ทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด ร่างกายหนาวสะท้าน ทุกลมหายใจเข้าออกช่างเจ็บแสบราวกับมีเข็มนำหมื่นเล่มมาปักอยู่บนอก

          แต่เขายังล้มไม่ได้!

          เหล่าขุนนางต่างมองไปยังอัครเสนาบดีหย่งเป็นตาเดียว ในเมื่อมีผู้ที่สามารถเรียกฝนได้เช่นนี้จะบอกว่าคนผู้นี้ไม่เหมาะสมก็ไม่ได้ จะบอกว่ามิใช่บุตรของอดีตองค์ชายสามก็มิได้อีก ตอนนี้พวกเขาต่างจนด้วยคำพูด

          “คนผู้นี้คือบุตรของนักโทษประหารพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยลอดไรฟัน

          “แต่มิใช่นักโทษประหาร” เหวินเจิ้งยังคงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

          “...” โทสะอัดแน่นอยู่เต็มอกของอัครเสนาบดีหย่ง เขาอดทนรอมาตลอด รอวันที่อำนาจจะตกอยู่ในมือเขา ทั้งที่อีกเพียงนิดเดียว อำนาจทั้งหมดก็จะเป็นของเขา!!


ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #141 เมื่อ08-07-2017 18:05:33 »

          อัครเสนาบดีหย่งตวัดสายตาไปยังหย่งเซิงอย่างเครียดแค้น เจ้าลูกไม่รักดีทรยศเขา!! มันสมรู้ร่วมคิดกับเหวินเจิ้งมาโดยตลอด เขาจะฆ่ามัน ฆ่ามัน!!

          “ท่านอัครเสนาบดี..” อำมาตย์คนสนิทเอ่ยเรียกเบาๆเพื่อเตือนสติ หากวู่วามไปคงไม่ดีแน่

          อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันแน่น เขาจะต้องไม่แพ้! เขารอมาหลายสิบปี ตอนนี้หากต้องรอต่อไปอีกนิดจะเป็นอะไรไป เขาต้องสงบสติอารมณ์เอาไว้ ใจเย็นลงกว่านี้..

          เหวินอี้ขัดใจเล็กน้อยที่เห็นอัครเสนาบดีหย่งใจเย็นลง ทีแรกเขาคิดว่าจะได้เห็นคนผู้นี้คลุ้มคลั่งด้วยความโกรธแค้นเสียอีก หากเป็นเช่นนั้นก็คงจะจัดการง่ายขึ้น

          แต่ช่างเถิด เขายังมีเวลาอีกมาก เขาจะค่อยๆทำให้มันลิ้มรสความทรมานของการถูกใส่ร้ายป้ายสีเหมือนกับบิดาของเขา!

          “ยังมีใครคัดค้านอยู่ไหม” เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าหลบสายตาของเหวินเจิ้ง เมื่อไม่มีใครพูดอะไรเหวินเจิ้งก็ส่งสัญญาณให้สวี่กงกงก่อนจะเอ่ย “เหวินอี้รับราชโองการ”

          ทุกคนในลานต่างคุกเข่าหมอบราบกับพื้นเพื่อรับราชโองการ สวี่กงกงรีบนำราชโองการสองฉบับมามอบให้กับเหวินเจิ้งด้วยดวงตาแดงก่ำ

          “ให้กระหม่อมประกาศแทนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้พระพักตร์ของฮ่องเต้ซีดเผือกจนน่าใจหาย

          เหวินเจิ้งส่งยิ้มให้สวี่กงกงก่อนจะรับราชโองการมาหนึ่งฉบับ มือของเขาสั่นเทายากที่จะควบคุมถึงอย่างนั้นราชโองการทั้งสองฉบับนี้เขาก็อยากจะเป็นคนประกาศเอง

          “ขอแต่งตั้งให้เหวินอี้บุตรแห่งเหวินห่านเป็นองค์รัชทายาท หากเรา.. เหวินเจิ้งมีอันเป็นไปเจ้าจงขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์แทนเรา จงดูแลรักษาบ้านเมืองให้ราษฎร์อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข จงเป็นฮ่องเต้ผู้เมตตาและเที่ยงธรรม นำพาบ้านเมืองไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองสืบไป” เสียงแหบแห้งทว่าทรงพลังสมกับเป็นเจ้าแห่งชีวิต เหล่าขุนนางอำมาตย์ต่างเจ็บใจที่มิอาจทำให้คนผู้นี้ด่างพร้อยได้แม้แต่น้อย

          “กระหม่อมน้อมรับราชโองการ.. ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหวินอี้เงยหน้าสบตาเหวินเจิ้งก่อนจะตอบรับอย่างหนักแน่น เขาจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีเหมือนกับท่านน้าของเขา..

          เหวินเจิ้งพยักหน้าให้เหวินอี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่าย เด็กคนนี้จะต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้แน่

          “เรายังมีของขวัญให้พวกเจ้าอีกฉบับ” เหวินเจิ้งกล่าวพลางหยิบราชโองการอีกหนึ่งฉบับขึ้นมาถือไว้ ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนในลานรวมถึงหย่งเซิง “ในรัชสมัยฮ่องเต้เหวินเจิ้งจะยกเลิกกฎการฝังข้ารับใช้และสนมนางในในสุสานของพระองค์ จะไม่มีผู้ใดต้องถูกฝังไปพร้อมกับพระศพของข้านับจากนี้และตลอดไป”

          เหล่าขุนนางอำมาตย์เบิกตาโพลง จะไม่มีการฝังข้ารับใช้นั้นหมายความว่าพระองค์จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในปรโลก!

          อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่นก่อนจะมองไปยังหย่งเซิงที่เบิกตากว้างจ้องมองเหวินเจิ้ง ที่แท้อาเซิงร่วมมือกับฮ่องเต้เพื่อช่วยเหม่ยลี่นี้เอง มิน่าเล่าเมื่อเขายื่นข้อเสนออาเซิงถึงไม่ยอมรับเพราะได้ทำข้อตกลงกับฮ่องเต้เอาไว้ก่อนแล้ว

          บังอาจนัก!!

          เหวินเจิ้งยกยิ้มจนดวงตายักโค้งเมื่อเห็นหย่งเซิงมองเขาด้วยสีหน้าสับสนก่อนจะดวงตาจะพร่ามัวอีกครั้ง ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงเต้นของหัวใจ

          หย่งเซิง..

          หย่งเซิง..

          หย่งเซิง.. ข้าชอบเจ้า ชอบมาก ชอบเกินกว่าจะฉุดรั้งเจ้าไว้กับข้า ชอบเกินกว่าจะพรากเจ้าไปจากคนที่เจ้ารัก

          ข้ามิอาจพรากชีวิตเจ้า..

          เหวินเจิ้งพยายามกระพริบตาเพื่อปรับสายตาให้มองเห็นได้ชัดขึ้นอีกนิดก็ยังดี เขาอยากเห็นหย่งเซิงเป็นคนสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ หย่งเซิง.. ผู้ทำให้เขารู้จักความรักเป็นครั้งแรก เป็นความสุขเล็กๆเพียงหนึ่งเดียวของเขาในวังหลวงที่แสนโหดร้ายแห่งนี้

          “รับราชโองการเสีย” เหวินเจิ้งแค่นเสียงลอดไรฟัน เขารับรู้ได้ถึงรสคาวของเลือดที่อยู่ในปาก ร่างกายของเขาไม่อาจฝืนไหวอีกแล้ว

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหล่าขุนนางอำมาตย์แม้จะสับสนแต่ก็กล่าวออกมาจากพร้อมเพียงกัน

          เมื่อเห็นว่าเหล่าขุนนางรับราชโองการแล้วเหวินเจิ้งก็หันหลังเดินออกไปนอกลานพิธีทันที ทิ้งสายตางุนงงสับสนของเหล่าขุนนางเอาไว้เบื้องหลัง

          “อั๊ก!” เมื่อเดินพ้นออกมาจากลานพิธีเหวินเจิ้งก็กระอักเลือดออกมาคำโต

          “ฝ่าบาท” สวี่กงกงรีบเข้ามาประคองร่างของเหวินเจิ้งเอาไว้อย่างร้อนรน ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทสั่งเขาเอาไว้ว่าหลังจากประกาศราชโองการให้ไล่ขันทีและนางกำนัลรับใช้ออกให้หมด ทีแรกเขายังสับสนว่าฝ่าบาทต้องการจะทำอะไรแต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

          ฝ่าบาททรงไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็นวาระสุดท้ายของพระองค์..

          สวี่กงกงดวงตาแดงก่ำเมื่อเห็นเลือดกองโต

          “สวี่กงกง.. เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี้อีก” เขาได้สั่งให้สวี่กงกงดูแลรับใช้เหวินอี้ นับตั้งแต่ที่เขาประกาศราชโองการไปแล้ว

          “ให้กระหม่อมอยู่กับฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

          “...” เหวินเจิ้งไม่ตอบเพียงผลักสวี่กงกงออกไป ก่อนจะเดินโซซัดโซเซออกไปทางตำหนัก

          สวี่กงกงมองตามแผนหลังของเหวินเจิ้งที่ค่อยๆห่างไกลออกไปก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันหลังกลับไปทางลานพิธี

          ฝ่าบาทวางใจเถิด กระหม่อมจะต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน

          หมับ!

          อยู่ๆเหวินเจิ้งรู้สึกแน่นที่ต้นแขน เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นหย่งเซิง..

          “เหวินอี้เล่า” เหวินเจิ้งฝืนยกยิ้มทั้งที่ลมหายใจหอบถี่

          “สวี่กงกงไปดูแลแล้ว”

          หย่งเซิงหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเลือดที่มุมปากของเหวินเจิ้ง หัวใจของหย่งเซิงหดรัดแน่นจนเจ็บร้าว

          “เจ็บหรือไม่” หย่งเซิงถามเสียงเบา ยิ่งเห็นเหวินเจิ้งทรมานเขาก็ยิ่งเจ็บปวด เป็นเขาที่ทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพเช่นนี้ “กระหม่อมไม่มีทางเลือก”

          หย่งเซิงเอ่ยพลางเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของเหวินเจิ้ง

          เหวินเจิ้งจ้องมองดวงตาดำสนิทที่บัดนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ด้วยสายตาสับสน

          หย่งเซิง เจ้ากำลังเจ็บปวดเพื่อข้าหรือ..

          “.. เราไม่.. เจ็บ” เหวินเจิ้งเค้นเสียงตอบอย่างยากลำบาก เขาไม่อยากให้หย่งเซิงต้องรู้สึกผิดเพราะเขา ที่แท้เขากลายเป็นคนโง่งมเพราะความรักไปเสียแล้ว

          “.. โกหก” หย่งเซิงกัดฟันกรอดหัวใจสั่นสะท้าน หย่งเซิงคว้าตัวเหวินเจิ้งมากอดแนบอก เขามิอาจทนเห็นเหวินเจิ้งต้องทนทุกข์ทรมาน

          “พา.. เรากลับตะ.. ตำหนัก.. ที” เขาไม่อยากให้ใครเห็นความทุกข์ทรมานของเขานอกจากหย่งเซิง

          “ได้” หย่งเซิงอุ้มเหวินเจิ้งไว้แนบอกก่อนจะเหินตัวไปยังตำหนักบรรทม

          เหวินเจิ้งหลับตาลงฟังเสียงหัวใจของหย่งเซิงที่เต้นอย่างหนักแน่นมั่นคงที่ข้างหู

          “หย่งเซิง.. เรานิสัยไม่ดี.. อย่างที่คนเขาว่ากัน.. จริงๆ”

          “อย่าพึ่งพูดอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยปราม ยิ่งพูดอีกฝ่ายจะยิ่งทรมาน

          “เราอยากให้เจ้ามี.. ชีวิตต่อไป.. ทุกๆวัน.. เจ้าจะต้องนึกขอบคุณเรา.. ที่ปล่อยให้เจ้า.. มีชีวิตอยู่กับ.. คนรักของเจ้า” เขาช่วยชีวิตทั้งสองคนมิให้ต้องถูกฝังทั้งเป็น เขาจะกลายเป็นคนที่อยู่ในความทรงจำของหย่งเซิง คนที่หย่งเซิงมิอาจลืมไปชั่วชีวิต

          หย่งเซิงหมุนหัวคิ้วเข้าหากัน เขาไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด

          เมื่อเปิดประตูเข้ามาในตำหนักหย่งเซิงก็วางเหวินเจิ้งลงบนแท่นบรรทมอย่างแผ่วเบา

          “พระองค์จะต้องอดทน” หย่งเซิงจับมือเหวินเจิ้งแน่น ดวงตาดำสนิทฉายชัดถึงความเป็นกังวล

          เหวินเจิ้งอมยิ้มจ้องมองใบหน้าของคนที่เขาโหยหา

          “เรา.. อดทนมา.. นานแล้ว” เขาเค้นเสียงตอบ แม้จะเหนื่อยล้า แม้จะหายใจลำบาก เขาก็อยากพูดคุยกับหย่งเซิงอีกสักนิด

          “เหตุใดพระองค์จึงเขียนราชโองการเช่นนั้นเล่า” หย่งเซิงอดที่จะตำหนิเหวินเจิ้งไม่ได้ ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าจะฝังเขาลงในสุสานเดียวกัน แต่อีกฝ่ายกลับยอมถูกฝังเพียงคนเดียว

          เหวินเจิ้งยิ้มไม่ตอบคำ มีเพียงสวรรค์ที่รู้ ว่าเขาโง่งมเพียงใด เพราะรักจึงมิอาจยอมให้อีกฝ่ายตายได้

          “หย่งเซิง..” เหวินเจิ้งเค้นเสียงเรียกอีกฝ่าย ตอนนี้เขามองอะไรแทบไม่เห็นเลย สายตาของเขาเริ่มถูกความมืดเข้าครอบงำ เขาอยากจะมองหน้าหย่งเซิงให้นานอีกนิดจึงพยายามฝืนลืมตาทั้งที่ดวงตามืดบอด

          “กระหม่อมอยู่นี้” หย่งเซิงจับมือเหวินเจิ้งให้แน่นขึ้น “พระองค์มิได้ตัวคนเดียว”

          เสียงหอบหายใจดังก้องไปทั่วตำหนักที่ไร้ผู้คน

          หากเป็นฮ่องเต้องค์อื่นเมื่อกำลังสิ้นพระชนม์จะต้องมีเหล่าขุนนางอำมาตย์มาร้องห่มร้องไห้เพื่อแสดงความเสียใจ แต่เขาในตอนนี้กลับพอใจ.. เพียงแค่มีหย่งเซิงข้างกาย ความตายก็ไม่ทรมานนัก

          “.. น่าเสียดาย.. ที่เรา.. ยังมิเคยได้ชมจันทร์.. บนเขาเทียนซาน”

          “.. กระหม่อมจะพาพระองค์ไป” หย่งเซิงใช้นิ้วมือไล่เช็ดน้ำตาที่ไหลเปื้อนใบหน้างดงามของเหวินเจิ้ง

          พึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขากำลังร้องไห้.. ทำไมน้ำตาถึงได้ไหล เขามิได้รู้สึกเศร้าเสียใจ เพียงแต่รู้สึกเสียดายเล็กน้อยเท่านั้น

          เสียดายที่เขาไร้วาสนา..

          “ชาติหน้า.. หากได้พบกัน.. เจ้าก็ช่วยพาเราไปที.. นะ” เสียงของเหวินเจิ้งแผ่วเบาลงเรื่อยๆจนหย่งเซิงต้องแนบหูลงชิดริมฝีปากของอีกฝ่ายจึงจะได้ยิน

          “กระหม่อมจะพาพระองค์ไปทุกที่ที่พระองค์อยากไป.. ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงยกมืออีกข้างขึ้นปิดตาของเหวินเจิ้ง เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องทรมานนานนัก

          เหวินเจิ้งรับรู้ได้ว่ามือของหย่งเซิงสั่นระริก หย่งเซิงเอง.. ก็เสียดายเช่นกันหรือ

          หากชาติหน้ามีจริง หากเขาได้เกิดเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เขาอยากจะรักหย่งเซิงอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้รับความรักตอบ แม้จะเป็นความรักข้างเดียวชั่วชีวิต ขอเพียงเขามีโอกาสได้อยู่เคียงข้างหย่งเซิงให้มากหน่อย มากกว่าชาตินี้ โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขมาเป็นกำแพงขวางกั้น..

          “แค่ก!” เหวินเจิ้งไอจนตัวโยก เริ่มหายใจติดขัดในจมูกอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

          วาระสุดท้าย..

          “ฝ่าบาท.. ชีวิตในชาติหน้าของพระองค์.. ทรงมอบให้กระหม่อมเถิด..”

          เสียงของหย่งเซิงเริ่มห่างไกลออกไปเรื่อยๆจนแทบจับใจความไม่ได้ ร่างกายของเขาหนาวเหน็บ ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมสติสัมปชัญญะอย่างช้าๆ

          เขารู้สึกได้ว่ามุมปากกำลังยกยิ้ม

          ท่านพ่อ.. ข้ากำลังไปหาท่าน.. มองดูท่านร่ำไห้อย่างผิดหวัง.. ข้าสมน้ำหน้าท่านนัก..

          ในที่สุด.. การรอคอยของข้าก็สิ้นสุดลงเสียที

 

          ฮ่องเต้เหวินเจิ้งสิ้นพระชนม์ท่ามกลางความยินดีปรีดาของเหล่าราษฎร์และเหล่าขุนนาง พระองค์ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมอำมหิต บัลลังก์ของพระองค์แลกมาด้วยชีวิตของเหล่าพี่น้องและสนมชายา

          เล่ากันว่าพระองค์สิ้นพระชนม์เพียงลำพังในตำหนักอันเวิ้งว้าง ไม่มีขันทีหรือขุนนางคนใดร่ำไห้ให้พระองค์ แม้แต่พิธีส่งพระศพก็ยังเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีพิธีไว้อาลัย ไม่มีพระสนมคนใดเข้าร่วมพิธี มีเพียงฮองเฮาที่เสด็จออกจากวังหลวงไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในวัดอันห่างไกล

          ความดีที่พระองค์ทรงทำไว้มีเพียงเรื่องเดียวคือราชโองการสุดท้าย ยกเลิกกฎการฝังสนมนางในไว้ในสุสานของพระองค์ ไม่มีพระสนมนางในคนใดที่ต้องสละชีพ

          ทว่าความแค้นที่เหล่าขุนนางมีต่อพระองค์ยังคงไม่หมดไป ว่ากันว่าเหล่าขุนนางที่เคยถูกฮ่องเต้เหวินเจิ้งพรากบุตรสาวต่างคิดแค้น ขุดหลุมฝังพระศพของพระองค์จนเละไม่มีชิ้นดี แต่กลับไม่พบอะไรในสุสาน

          พระศพของฮ่องเต้เหวินเจิ้งหายไปอย่างไร้ล่องรอย..

          สร้างความสะเทือนขวัญให้แก่ผู้คน ควบคู่ไปกับข่าวของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เหวินอี้ที่สร้างปาฏิหาริย์ในพิธีขอฝน ภัยแล้งได้หมดไปจากแผ่นดินในวันนั้น

          วันที่ฮ่องเต้เหวินเจิ้งสิ้นพระชนม์..


-------------------------------------------------------

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #142 เมื่อ08-07-2017 18:10:35 »

บทที่ 16 ชาตินี้..

          เขารู้สึกอบอุ่น..

          รู้สึกอบอุ่นราวกับกำลังถูกใครบางคนโอบกอด อ้อมกอดที่เขามักเก็บไปนอนฝัน อ้อมกอดที่เขาโหยหา อ้อมกอดของหย่งเซิง..

          แต่เขาตายไปแล้ว..

          ตายอย่างมีความสุข.. เพราะมีหย่งเซิงอยู่เคียงข้าง..

          ที่แท้โลกหลังความตายก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด..

          เขาทั้งรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยน จนเขารู้สึกสงสัย..

          เขาตายแล้วจริงหรือ เหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงต้นไผ่ที่แสนคุ้นเคย..

          ป่าไผ่..

          ในขณะที่เขากำลังพยายามเงี่ยหูฟังเสียงต้นไม้ อยู่ๆความอบอุ่นที่โอบล้อมตัวเขาก็ค่อยๆถอนตัวออกไปจนเขาต้องรีบคว้าความอบอุ่นนั้นไว้อย่างหวงแหน

          ชั่วขณะที่ความอบอุ่นถอนตัวไปเขารู้สึกใจหายคล้ายกับกำลังสูญเสียสิ่งสำคัญ มันทำให้เขาหวาดผวา

          เจ้าความอบอุ่นนั้นชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมกลับมาโอบกอดเขาเหมือนเดิมจนเขาต้องเป็นฝ่ายกอดมันไว้แน่น

ข้าพึ่งถูกหย่งเซิงสะบั้นรักเจ้าก็จะมาผละจากข้าไปอีกหรือ..

          เขาอดพร่ำเพ้อในใจไม่ได้ ใครจะรู้ว่าแม้แต่ในโลกหลังความตายเช่นนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด เขานึกว่าหากตายไปแล้วจะไม่เจ็บปวดเสียอีก

          หย่งเซิงเจ้าจะมีอิทธิพลต่อหัวใจเราไปถึงชาติหน้าจริงหรือ..

          อยู่ๆเขาก็รู้สึกอุ่นวาบที่ศีรษะ เจ้าตัวอบอุ่นนี้กำลังปลอบโยนเขาหรือ อ่า.. ชักอยากจะร้องไห้เสียแล้ว

          “ท่านน้ายังไม่ฟื้นหรือ”

          เสียงของเด็กหนุ่มที่เขาคุ้นเคยดังเข้ามาในหัว

          “ยังพ่ะย่ะค่ะ.. แต่คงอีกไม่นาน” เสียงทุ้มแฝงความรักใคร่เอ็นดูอย่างปิดไม่มิดทำให้เขาสนใจยิ่งกว่าเสียงของเด็กหนุ่มคนเมื่อกี้

          เสียงนี้.. ช่างคุ้นเคย

          “งั้นหรือ.. ความจริงท่านมิต้องมากพิธีกับข้าเช่นนั้น” เสียงของเด็กหนุ่มแฝงความขบขันไม่น้อย

          “ฝ่าบาทควรจะทำตัวให้ชินเสียพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าของเสียงทุ้มดูจะไม่ค่อยสนใจน้ำเสียงขบขันของเด็กหนุ่มเท่าไรนัก “แล้วออกมาจากวังหลวงเช่นนี้จะไม่เป็นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

          เขาชอบเสียงทุ้มนี้เหลือเกิน

          “ท่านไม่ต้องห่วง วิชาตัวเบานี้ข้าฝึกมาตั้งแต่เด็ก” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ

          “กระหม่อมหมายถึงท่านหมอหลวงประจำตัวพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

          “.. เพ่ยหลินไม่รู้หรอก” เสียงของเด็กฟังดูลังเลเล็กน้อย

          เพ่ยหลิน..?

          เหตุใดชื่อของเพ่ยหลินจึงมาปรากฏในโลกหลังความตาย

          “หากฝ่าบาทเสด็จมาที่นี้บ่อยเช่นนี้กระหม่อมอาจจะต้องเป็นคนไปบอกเอง”

          “หากข้าไม่มาด้วยตนเองท่านก็มิยอมส่งข่าวไปที่วังอยู่ดี” เสียงของเด็กหนุ่มกดต่ำอย่างมีโทสะ

          “หากมีโอกาสที่ความจะแตกแม้เพียงสักนิด กระหม่อมจะไม่ขอเสี่ยงพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเองก็ขู่ขวัญไม่แพ้กัน ความอบอุ่นที่วางทาบอยู่บนศีรษะของเขาหายไปแล้ว

          “แต่คนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือน้าของข้านะ ท่านหย่งเซิง” เสียงของเด็กหนุ่มดังใกล้เข้ามา

          หย่งเซิง?

          จะเป็นไปได้อย่างไร มิใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรอกหรือ

          ความอบอุ่นที่อยู่รอบตัวมลายหายไป เหลือไว้เพียงความหนักอึ้งของศีรษะ เขาพยายามลืมตา ในลำคอรู้สึกแห้งผากร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง

          ความทรมานนี้เจ็บปวดคล้ายกับตอนมีชีวิตอยู่

          “ตอนนี้อาเจิ้งเป็นของข้าแล้ว”

          อาเจิ้ง..

          เสียงทุ้มที่เขาคิดถึงกำลังเรียกชื่อของเขา..

          หัวใจที่เคยหยุดเต้นไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงเต้นของหัวใจและเสียงทุ้มของใครอีกคน

          สรรพสิ่งรอบข้างเริ่มชัดเจนขึ้นในความรู้สึก เสียงของต้นไผ่ กลิ่นของป่า ความอบอุ่นที่แสนคุ้นเคย..

          “.. หย่.. เซิง..” แสงสว่างวาบเข้ามาในดวงตาจนอดที่จะหรี่ตาลงไม่ได้ เสียงของเขาแหบแห้งราวกับคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาแรมเดือน ในคอรู้สึกแห้งผาก ร่างกายหนักอึ้งไปเสียทุกส่วน

          “อาเจิ้ง!”

          “ท่านน้า!”

          น้ำเสียงร้อนรนระคนดีใจสองเสียงดังเข้ามาใกล้จนเขาต้องฝืนลืมตาอย่างยากลำบาก เขาอยากจะมั่นใจ ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน

          ที่นี้ต้องไม่ใช่ตำหนักบรรทมที่แสนน่ากลัว

          ที่นี้ต้องไม่ใช่วังหลวงที่แสนเน่าเฟะ

          ที่นี้ต้องไม่มีสายตาผู้คนคอยจับผิด

          เขาไม่ได้กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด

          เขาไม่ได้กำลังถูกโซ่ตรวนที่ชื่อว่าฮ่องเต้ล่ามคออยู่

          เขาไม่ได้กำลังมีชีวิตอยู่..

          ใบหน้าที่คุ้นเคยของคนสองคนฉายชัดในดวงตา

          หย่งเซิง.. เหวินอี้..

          เหวินเจิ้งดวงตาเบิกโพรงมองใบหน้าของคนทั้งสองสลับไปมา ในหัวสับสนวุ่นวายราวกับพึ่งโดนทุบด้วยของแข็ง ก่อนจะจ้องไปยังใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงที่บัดนี้นัยน์ตาดำสนิทฉายชัดไปด้วยความเป็นห่วง กังวลระคนโล่งใจ หลากหลายความรู้สึกปะปนกันจนเขามึนงง

          “เจ้า.. ไม่ได้.. ฆ่า.. เรา” เหวินเจิ้งเค้นเสียงอย่างโกรธเคือง แม้หัวใจจะอ่อนยวบไปแล้วหกส่วนทันทีที่เห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของอีกฝ่าย

          แต่ความผิดหวังที่ว่าเขายังคงเป็นฮ่องเต้เหวินเจิ้งยังมีมากกว่า ทั้งที่เขาได้เตรียมใจเอาไว้แล้วแท้ๆ ทั้งที่คิดว่าจะไม่ต้องกลับไปนั่งบนบัลลังก์ที่น่าขยะแขยงนั้นแล้วแท้ๆ

          “.. เจ้า.. สนุกนัก.. หรือ..” ที่มาล้อเล่นกับความรู้สึกของข้า เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าว เขารู้สึกเหนื่อย.. แต่กลับไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา

          ตอนนี้ร่างกายเขาขยับไม่ได้ทำได้เพียงจ้องหน้าของคนที่ทำให้เขาทั้งรักทั้งผิดหวัง

          “เอ่อ.. ข้าออกไปรอข้างนอกนะท่านน้า” เหวินอี้รู้สึกกระอักกระอวนจนไม่กล้าอยู่ต่อ เขาเองก็ถือว่ามีส่วนรู้เห็นกับแผนการในครั้งนี้ ดังนั้นปล่อยให้หย่งเซิงแก้ปัญหาไปก่อน จากนั้นเขาค่อยมาสมทบจะดีกว่า

          หย่งเซิงไม่สนใจเหวินอี้ที่แอบย่องออกไป เพียงเดินไปหยิบน้ำแกงไก่อุ่นๆบนโต๊ะก่อนจะกลับมานั่งที่ข้างเตียง

          “ดื่มเสีย ท่านมิได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว” หย่งเซิงเอ่ยพลางอุ้มเหวินเจิ้งให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอาหมอนไปรองไว้ที่แผ่นหลัง

          เหวินเจิ้งแม้จะรู้สึกเจ็บใจแต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะขัดขืน เขาในตอนนี้ไร้สิ้นเรี่ยวแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว

          “.. เจ้าไม่ตอบ.. คำถาม.. เรา” เหวินเจิ้งไม่สนใจช้อนที่ยื่นมาจ่อปาก สายตายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าที่เขาหลงใหลอย่างผิดหวัง

          หย่งเซิงมองดวงตาดำขลับที่แดงก่ำไปด้วยแรงอาฆาตแค้นระคนผิดหวังท้อแท้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

          ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ดื้อดึงแค่ไหนเขาเองรู้ดีแก่ใจ หากเขาไม่ตอบเหวินเจิ้งก็คงไม่ยอมดื่มแน่ ทั้งที่ทรมานขนาดนี้แท้ๆยังไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ

          “ข้ามิได้วางยาพิษท่าน สิ่งที่อยู่ในสุราวันนั้นคือยาจำศีล” หย่งเซิงเว้นระยะให้เหวินเจิ้งทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด เขารู้ดีว่าเหวินเจิ้งในสภาพนี้คิดอ่านได้ช้านัก “มันจะทำให้ท่านค่อยๆอ่อนแรงลงจนหยุดหายใจไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานท่านก็จะฟื้น หากตรวจจับชีพจรแม้แต่หมอที่เก่งที่สุดก็ยังคิดว่าท่านต้องยาพิษ”

          ยาจำศีล..

          หากเป็นเช่นนั้นจริงเหตุใดข้าถึงมีอาการเจ็บปวดไปทั่วร่างกายราวกับต้องยาพิษเล่า

          “เพราะท่านฟื้นต้านพิษไม่ยอมหลับยอมนอนยาจึงถูกกระตุ้นให้แสดงผลรุนแรงขึ้น” หย่งเซิงตอบคำถามราวกับอ่านใจได้ เดิมทียาจำศีลจะทำให้ผู้ดื่มยาต้องอยู่ในสภาวะอ่อนแรงจนไม่แรงขยับตัวและหลับใหลในที่สุด

          แต่เป็นเพราะเหวินเจิ้งไม่ยอมนอนทั้งยังใช้กำลังภายในแอบลอบออกมาจากวังทำให้ยาจำศีลถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง โชคดีที่ผลของยาอยู่ไม่เช่นนั้นยาจำศีลอาจจะกลายเป็นยาพิษไปจริงๆ..

          “.. เจ้า.. ทำแบบนี้ทำไม..” ดวงตาดำขลับฉายแววสับสน จนหย่งเซิงใจอ่อนยวบมือแกร่งยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าซีดเซียวของเหวินเจิ้งอย่างแผ่วเบา

          “ข้ามิอาจสูญเสียท่านไปได้” เหวิงเจิ้งมองเข้าไปในดวงตาดำสนิทที่ฉายแววเจ็บปวด “ข้าสังหารฮ่องเต้เหวินเจิ้งไปในชาติที่แล้ว ดังนั้นชีวิตในชาตินี้ของท่าน.. อาเจิ้ง จงเป็นของข้าเถิด”

          หย่งเซิงยังคงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่าเขารู้สึกได้ถึงความเว้าวอนในน้ำเสียงที่เกือบจะใกล้เคียงกับการขอร้อง

          เหวินเจิ้งต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเข้าใจสิ่งที่หย่งเซิงต้องการจะสื่อ

          “ฝ่าบาท.. ชีวิตในชาติหน้าของพระองค์.. ทรงมอบให้กระหม่อมเถิด..”

          ที่แท้ความหมายที่อีกฝ่ายพูดเอาไว้ก่อนเขาจะสิ้นใจหมายถึงแบบนี้เอง หย่งเซิงต้องการจะช่วยให้เขามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ในฐานะของเหวินเจิ้งคนธรรมดา มิใช่ฮ่องเต้เหวินเจิ้ง..

          “ท่านเป็นอิสระแล้ว”

          ราวกับคำพูดของหย่งเซิงช่วยพังทลายกำแพงแห่งความหวาดระแวง

          ตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้ว..

          “.. ขะ.. ข้า..” เขารู้สึกสับสนไปหมด นี้เป็นเรื่องจริงหรือความฝัน เขามีเรื่องราวมากอยากจะพูดแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร

          หย่งเซิงยกยิ้มพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเหวินเจิ้งก่อนจะคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบ ต่อไปนี้เหวินเจิ้งจะเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น..

          หลังจากเหวินเจิ้งร้องไห้ไปพักใหญ่ เมื่อใจสงบลงก็อดที่จะรู้สึกเก้อเขินมิได้ นี้เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ต่อหน้าผู้อื่น แม้แต่ตอนที่ยังเป็นองค์ชายสี่เขายังไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าพี่สามและน้องเจ็ดเลยด้วยซ้ำ

          “ทำไม.. เจ้าถึงไม่บอกข้า..” น้ำเสียงของเหวินเจิ้งอู้อี้และแหบแห้งเสียจนฟังแทบไม่ออก

          หย่งเซิงจึงปล่อยตัวอีกฝ่ายออกเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวมีสีระเรื่อเพราะความขัดเขิน ในใจของหย่งเซิงก็อดที่จะรู้สึกปิติยินดีมิได้

          “ท่านดื่มน้ำแกงสักนิดเถิด แล้วข้าจะบอกท่าน” เหวินเจิ้งแม้ไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้ลำคอของเขาแห้งผากเกินไปจริงๆจึงยอมอ้าปากรับน้ำแกงอุ่นๆที่อีกฝ่ายป้อนให้ ทีแรกเขาคิดว่ามันจะเย็นชืดแล้ว แต่เมื่อมันไหลลงคอจึงรู้ว่ามันยังอุ่นอยู่ “ข้าเกรงว่า หากบอกท่านเสียแต่ทีแรกท่านคงไม่ยอมให้ความร่วมมือ”

          เหวินเจิ้งพยายามทำทุกวิถีทางให้ตัวเองตาย เขากลัวว่าเหวินเจิ้งจะไม่ยอมมีชีวิตอยู่เพื่อเขา

          “.. หากตอนนี้ข้า.. ไม่ยอมเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างสงสัย หากเขาไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกฝ่ายจะทำอย่างไร

          “ข้าจะขังท่านไว้กับข้า มิยอมให้ท่านตายอย่างไรเล่า” หย่งเซิงยกยิ้ม ต่อให้ต้องจับเหวินเจิ้งมัดไว้เขาก็จะทำ จะไม่ยอมให้เหวินเจิ้งวิ่งเข้าหาความตายอีกเป็นครั้งที่สอง “โชคดีที่ท่านสัญญาว่าจะยกชีวิตในชาตินี้ของท่านให้ข้าแล้ว”

          “ข้าไปสัญญากับเจ้าตอนไหน” เหวินเจิ้งขมวดคิ้วสงสัย หลังจากดื่มน้ำแกงที่อีกฝ่ายป้อนไปหลายคำตอนนี้เสียงเขาดีขึ้นมาก

          “ตอนที่ท่านกำลังจะตายอย่างไรเล่า” หย่งเซิงตอบหน้าตายในขณะที่เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าไปตอบรับตอนไหน แม้จะจำได้ลางๆว่าเคยได้ยินหย่งเซิงพูดทำนองนี้อยู่ก็ตาม

          “...”

          เมื่อเห็นเหวินเจิ้งเงียบไปหย่งเซิงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยอย่างจำนน

          “ข้าโกหก ท่านยังมิได้ตอบรับข้า”

          เหวินเจิ้งมองใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงเงียบๆ บ้างทีอาจจะเป็นอย่างที่หย่งเซิงบอก หากเขารู้แต่แรกคงไม่ยอมร่วมมือด้วยเป็นแน่..

          “เพราะ.. หัวใจของเจ้ามิได้มอบให้ข้า เช่นนั้นแล้วชีวิตของข้าจึงได้ว่างเปล่าอย่างไรเล่า” หากหัวใจของหย่งเซิงเป็นของเขา เขาก็ยินดีจะมอบชีวิตให้อีกฝ่าย แต่หัวใจของหย่งเซิงได้มอบให้ผู้อื่นไปแล้ว ปล่อยให้หัวใจของเขาเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ ไม่อาจลอยกลับที่เดิมได้อีกต่อไป

          แม้แต่ตัวเขายังมิอาจปลอบโยนหัวใจของตนเองได้เลย

          “หากข้ามอบหัวใจให้ท่าน ท่านจะมอบชีวิตของท่านให้ข้าหรือไม่” ไม่ใช่แค่หัวใจ เขาสามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้กับฮ่องเต้เสียสติตรงหน้า ไม่ว่าอะไร หากทำให้อีกฝ่ายยอมมีชีวิตเคียงข้างเขา..

          “หย่งเซิง เจ้ามิอาจพูดพล่อยๆกับข้า” เหวินเจิ้งกดเสียงต่ำ เขาได้รับรู้ด้วยตัวของเขาเองแล้วว่าการมีความหวังลมๆแล้งๆมันน่ากลัวอย่างไร ราวกับเขาตกจากที่สูงแล้วถูกขยี้ซ้ำอีกครั้ง มันสิ้นหวังเสียจนยากที่จะกลับมายืนหยัด เขาไม่อยากจะรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว

          “ข้ามอบมันให้ท่านนานแล้ว..” หย่งเซิงจ้องมองดวงตาดำขลับที่เจ็บช้ำอย่างแน่วแน่ อย่างให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเขา “ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน.. หัวใจรักของข้าจะเป็นของท่านตลอดไป”

          เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกเจ็บใจที่ตอนนี้ร่างกายของเขาขยับไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเขาอยากจะชกตัวเองให้สุดแรง เขากลัวว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเพียงภาพหลอน จะเป็นเพียงจินตนาการที่เขาสร้างขึ้น กลัวว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเขายังนอนอยู่ที่ตำหนักบรรทมอันหนาวเหน็บ กลัวว่าเมื่อมองไปรอบข้างจะเห็นสายตาสอดรู้สอดเห็นของเหล่าขันที กลัวว่าจะต้องออกไปว่าราชการท่ามกลางพวกโฉดชั่ว

          กลัวว่าหย่งเซิงจะเป็นเพียงมือสังหารไร้หัวใจที่ถูกส่งมาเพื่อฆ่าเขา..

          หย่งเซิงมองดวงตาดำขลับที่เต็มไปด้วยความสับสนก่อนจะโน้มตัวเข้าไปประทับจุมพิตอย่างแผ่วเบา เขารับรู้ได้ถึงความเย็บเชียบของริมฝีปากคู่งาม ในใจพลันรู้สึกปวดหนึบ เขาจะแทนที่ความเย็นเหยียบด้วยความอบอุ่นจากร่างกายเขา หย่งเซิงทั้งขบเม้มทั้งดูดดุ้นเมื่อเหวินเจิ้งเผลออ้าปากเขาก็อาศัยจังหวะนั้นเขาสำรวจโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างถือสิทธิ์

          เหวินเจิ้งหลับตาลงดำดิ่งไปกับรสสัมผัสที่เขาโหยหาก่อนจะรู้สึกเจ็บแปล็บที่ปลายลิ้น

          หย่งเซิงกัดเขา!

          แม้จะเจ็บแต่เขาก็ไม่มีเรียวแรงพอจะขืนตัวเองออกมา ทำได้เพียงโอนอ่อนผ่อนตาม เมื่อเขาเริ่มหายใจติดหย่งเซิงถึงจะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ

          “อาเจิ้ง.. ท่านจงใช้เวลาทั้งชีวิตของท่านพิสูจน์เอาเถิด” หย่งเซิงยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นริมฝีปากของเหวินเจิ้งเริ่มมีสีระเรื่อมากขึ้นแม้จะมาจากอาการช้ำจากรสจูบของเขาก็เถอะ

          เหวินเจิ้งรู้สึกสับสนมึนงงไปชั่วขณะ ที่แท้เหวินเจิ้งกัดเขาก็เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างเป็นความจริง เช่นนั้น..

          “ลี่เอ๋.. เหม่อยลี่เล่า” เมื่อเห็นสายตาคมกริบของหย่งเซิงเขาจึงต้องรีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกเหม่ยลี่จนลิ้นพันกัน

          “นางเป็นเพียงเพื่อนสมัยเด็กของข้า” เขาไม่ชอบที่เหวินเจิ้งเอ่ยเรียกผู้อื่นอย่างสนิทสนม

          “เช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อนาง” นี้เป็นเรื่องที่คาใจเขามาตลอด เหตุใดหย่งเซิงถึงยอมโดนฝังแทนเหม่ยลี่ หากมิใช่เพราะทั้งสองคนรักกันจะมีเหตุผลอื่นได้อย่างไร

           หย่งเซิงชะงักไปเล็กน้อยตั้งใจว่าจะไม่ตอบคำ แต่เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลของเหวินเจิ้งก็อดที่จะใจอ่อนมิได้

          “ข้ามิได้เอาชีวิตเข้าแลก.. ข้าเพียงมิอยากให้ท่านถูกฝังเพียงลำพัง แม้จะเป็นเพียงป้ายหลุมศพธรรมดาก็ตาม” หากเป็นไปได้ เขาอยากจะถูกฝังร่วมกับเหวินเจิ้ง เขาตั้งใจไว้ว่าจะนำป้ายชื่อของเขาลงไปฝังเคียงข้างป้ายชื่อของเหวินเจิ้ง หากหลุมศพของเหวินเจิ้งถูกทำลาย อย่างน้อยก็จะมีป้ายชื่อของเขาไปเป็นเพื่อน

          เขาไม่อาจทนเห็นเหวินเจิ้งต้องโดดเดี่ยว แม้จะเป็นเพียงป้ายหลุ่มศพก็ตาม

          เหวินเจิ้งเข้าใจทุกอย่างในทันที ยิ่งได้เห็นใบหูแดงก่ำของอีกฝ่ายหัวใจเหวินเจิ้งก็ยิ่งลิงโลด มุมปากบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มจนดวงตายักโค้งทั้งที่ใบหน้าแดงเรื่อก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

          ที่แท้เป็นเขาที่คิดไปเองว่าอีกฝ่ายมีใจให้เหม่ยลี่ ที่แท้ตลอดมาหย่งเซิงมีใจให้เขามาโดยตลอด ที่แท้เป็นเขาเองที่มองไม่เห็น

          ความโล่งใจ ความดีใจ ความตื่นเต้น ความรู้สึกทั้งหลายหลอมรวมกลายเป็นหยดน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้างดงาม ทั้งที่เขากำลังยิ้มแต่น้ำตากลับไหลอย่างห้ามไม่อยู่

          หัวใจที่เคยเคว้งคว้างในอากาศลอยกลับเข้าที่เดิมของมันพร้อมกับเกาะกำบังอันแข็งแกร่งที่คอยห่อหุ้มจนเขารู้สึกตัวเบาวิวจนแทบลอยได้

          หย่งเซิงดึงเหวินเจิ้งเข้ามากอด หัวใจของเขาเองก็ได้รับการเติมเต็มแล้วเช่นกัน

          “ชีวิตของท่านมอบให้ข้าเถิด” หย่งเซิงเอ่ยขออีกครั้ง หากไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายเขาก็มิอาจวางใจได้ เขาอยากมั่นใจว่าเหวินเจิ้งจะอยู่กับเขาตลอดไป

          “.. ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”

          “อะไรหรือ” หย่งเซิงถามกลับทันทีอย่างร้อนใจ ตอนนี้ต่อให้ต้องควักหัวใจออกมาวางบนฝ่ามือของอีกฝ่ายเขาก็ยอมแล้ว

          “เจ้าให้ข้าเรียกว่า.. อาเซิงได้หรือไม่” สิ่งนี้เป็นเป็นแผลใจของเขามาโดยตลอด ยิ่งเห็นเหม่ยลี่เรียกชื่อหย่งเซิงอย่างสนิทสนมแผลใจของเขาก็เริ่มขยายวงกว้าง แม้แต่ความทรงจำที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ยอมให้เขาเรียกชื่อก็ยังติดแน่นฝังตรึงเสียจนน่ากลัว

          “ท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นบนแผ่นดินนี้ที่ข้าอยากให้เรียกชื่อของข้ามากที่สุด” เขายังเสียใจมาตลอดที่ปฏิเสธเหวินเจิ้งในวันนั้น เขาอยากได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของเขาอีกสักครั้ง แต่ก็ละอายใจเกินกว่าจะพูดออกมา โชคดีที่เหวินเจิ้งเองก็อยากเรียกชื่อของเขาเช่นกัน มันทำให้เขาอดที่จะเฝ้ารอมิได้ แต่ว่าตอนนี้เขามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น “อาเจิ้ง มอบชีวิตท่า..”

          “ข้ามอบให้เจ้าหมดเลย อาเซิง.. ข้าจะเป็นชายบำเรอของเจ้า” คำตอบของเหวินเจิ้งทำเอาหย่งเซิงสำลักน้ำลายตัวเอง ใบหูครามเข้มแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง

          ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้มันน่านัก..



          “ท่านน้าจะไปแล้วหรือ” เหวินอี้เอ่ยถามขึ้น

          ท่านน้าฟื้นขึ้นมาได้สิบห้าวันแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าคงจะใช้เวลานานกว่านี้กว่าท่านน้าจะหายดี แต่ที่ไหนได้ ท่านหย่งเซิงคอยตามติดท่านน้าเป็นเงาตามตัว ทั้งทำน้ำแกงบำรุงให้ทั้งพาท่านน้าออกไปเดินออกกำลังจนตอนนี้ท่านน้ากลับมาแข็งแรงยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

          “ข้าจะเดินทางเช้าของวันพรุ่งนี้” เหวินเจิ้งตอบพลางเอามือไพล่หลังเดินเอื่อยๆรับลมที่พัดพาป่าไผ่

          “แล้วท่านจะกลับมาที่นี้อีกไหม” เหวินอี้มองท่าทางองอาจสง่างามราวกับเทพเซียนของอีกฝ่ายอย่างชื่นชม ท่านน้าของเขาในตอนนี้งดงามเสียยิ่งกว่าตอนเป็นฮ่องเต้เสียอีก เขารู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของท่านน้าในตอนนี้เป็นรอยยิ้มที่กลั่นออกมาจากใจ หาใช่หน้ากากที่ใช้หลอกลวงผู้อื่นเฉกเช่นเมื่อก่อน

          “ข้าจะไม่กลับมาที่นี้อีกแล้ว” เหวินเจิ้งหยุดเดินก่อนจะหันมาจ้องมองเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าระไม้คล้ายกับเขาอยู่หกส่วน “ข้ายินดีจะถูกฝังอยู่ข้างนอกนั้น ชาติหน้าข้าจะเกิดเป็นคนป่า”

          เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะแต่เหวินอี้รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริง ท่านน้าคงอยากจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี้

          “เช่นนั้น เราคงมิได้พบกันอีก” แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่เมื่อเทียบกับการที่ท่านน้าจะต้องตายจากไปแบบนี้ถือว่าดีกว่ามาก ขอเพียงท่านน้ามีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

          “ฮ่องเต้เหวินอี้ เราขอฝากราษฎร์ของเราด้วย” เหวินเจิ้งก้มลงคุกเข่าต่อหน้าของเหวินอี้ที่ยืนเบิกตากว้างตกใจกับท่าทางของท่านน้า “ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆปีพ่ะย่ะค่ะ”

          “ท่านน้า..” เหวินอี้รีบลงไปพยุงเหวินเจิ้ง ไม่นึกเลยว่าท่านน้าจะแกล้งเขาเช่นนี้

          “ข้าพูดจริงนะ” เหวินเจิ้งอมยิ้มเมื่อเห็นสายตาตำหนิของอีกฝ่าย “ข้าอยากให้เจ้าดูแลราษฎร์ให้ดี แล้วก็อายุยืนๆหน่อย”

          “ท่านน้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องราษฎร์และอายุของข้าหรอก” เหวินอี้ขมวดคิ้วเข้าหากัน ท่านน้าชอบเห็นว่าเขาเป็นเด็กอยู่เรื่อย

          “ข้าควรห่วงเรื่องความรักของเจ้าและเพ่ยหลินมากกว่าหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยเย้า เขารู้ว่าเจ้าเด็กนี้ชอบเพ่ยหลินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ตัวของเพ่ยหลินนั้นไม่รู้คิดอย่างไรบ้าง

          “ท่านน้า!” ใบหน้าหล่อเหลาของเหวินอี้ขึ้นสีระเรื่อ

          “ต้องขอบคุณเพ่ยหลินที่ทำให้เจ้าเป็นฮ่องเต้ได้สำเร็จ” ความรู้เรื่องสมุนไพรของเพ่ยหลินไม่ธรรมดาเลย

          “ท่านยังโกรธที่พวกข้ารู้เรื่องยาจำศีลแต่ไม่ได้บอกท่านอยู่หรือ” วันนั้นเพ่ยหลินดูออกทันทีว่ายาที่อยู่ในขวดหยกที่หย่งเซิงมอบให้เขาเป็นยาจำศีล ดังนั้นเขาจึงรู้แผนของหย่งเซิงมาโดยตลอด แต่เพราะกลัวว่าท่านน้าจะไม่ยอมร่วมมือด้วยจึงไม่ได้บอกความจริง

          “เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคิดว่าข้าโกรธนัก” เหวินเจิ้งบ่นอุบตั้งแต่สมัยเป็นฮ่องเต้ยันตอนนี้ บ้างครั้งเขาเพียงแกล้งโมโหไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้โกรธเป็นจริงเป็นจังเสียหน่อย “ข้าหมายถึงเรื่องที่เพ่ยหลินทำให้ฝนตกวันนั้นต่างหาก”

          “หากเพ่ยหลินเอ่ยปากเองก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว”

          เหวินเจิ้งปรายตามองเหวินอี้ที่ยกยิ้มอย่างภูมิใจ

          “เจ้าเองก็โง่งมเพราะความรักเหมือนกันหรือ” เหวินเจิ้งพึมพำเสียงเบาเสียจนเหวินอี้ฟังไม่รู้เรื่อง

          “ท่านว่าอย่างไรนะ”

          “เปล่า” เหวินเจิ้งเดินต่อพลางกล่าวว่า “ในเมื่อมีเพ่ยหลินอยู่ข้างเจ้าข้าก็วางใจ”

          เหวินอี้ชะงักพลางมองแผ่นหลังที่ตั้งตรงอย่างสง่างามของเหวินเจิ้ง ในดวงตาดำขลับของเด็กหนุ่มฉายแววอาลัยอาวรณ์ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นจริงจัง


          ท่านน้า.. สักวันหนึ่ง.. เราจะต้องได้พบกันอีกครั้ง



--------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #143 เมื่อ08-07-2017 18:14:41 »

ตอนพิเศษ รอคอย

          “เราจะนอนกันที่นี้หรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามขึ้นพลางนั่งย่องๆดูหย่งเซิงก่อกองไฟ

          “มืดแล้วไม่ควรเดินทางต่อ”

          “หื้ม.. ข้าพึ่งเคยนอนที่แบบนี้ครั้งแรก” เหวินเจิ้งมองไปรอบๆที่มีแต่ป่าไม้ ไม่มีบ้านเรือนแม้สักหลังเดียว

          เขาไม่เคยออกมานอกกำแพงเมืองหลวงเลยสักครั้งทั้งชีวิตอาศัยอยู่แต่ภายในกำแพงหนาๆ ไกลที่สุดที่เขาเคยไปก็คือบ้านในป่าไผ่นั้นเท่านั้น

          “หลังจากนี้ท่านจะได้นอนอีกหลายครั้งเชียวล่ะ” หย่งเซิงยกยิ้มเมื่อเห็นเหวินเจิ้งมองสำรวจนั้นนี้อย่างสนใจ ชุดชาวบ้านธรรมดาที่อีกฝ่ายใส่อยู่ไม่อาจกลบรัศมีสูงศักดิ์ที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของอีกฝ่ายได้จริงๆ

          “จริงสิ.. เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าแล้วแต่ข้ายังมิได้ทำหน้าที่ของข้าเลย” เหวินเจิ้งเอ่ยยิ้มๆ

          “หน้าที่อะไรหรือ” เขาจำไม่เห็นได้ว่าเคยแบ่งหน้าที่กันตอนไหน

          เหวินเจิ้งยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะโถมตัวเข้าหาหย่งเซิงที่นั่งอยู่กับพื้นจนอีกฝ่ายหงายหลังไป

          “ชาย บำ เรอ อย่างไรเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยจบก็กดจูบลงไปบนริมฝีปากอุ่นร้อน

          นับตั้งแต่ที่เขาฟื้นขึ้นมาหลังจากจูบกันวันนั้นแล้วหย่งเซิงก็ไม่ได้แตะต้องเขาอีกเลย เจ้าคนผู้นี้ปล่อยให้เขารอเก้อมาหลายเสียหลายวัน

          ใบหูครามเข้มขึ้นสีเล็กน้อยก่อนจะผลักเหวินเจิ้งออกเบาๆ เหวินเจิ้งแม้จะขัดใจแต่ก็ไม่อาจต้านทานกำลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้

          “ทำไมเล่า เจ้ามิยอมแตะต้องข้าหรือว่าเจ้าทำไม่เป็น” เหวินเจิ้งขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่เคยทำกับบุรุษเช่นกันแต่ว่าเรื่องนี้เขาได้ศึกษามาแล้ว เหวินเจิ้งหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อก่อนจะเอ่ยต่อ “หนังสือนี้ข้าไปขอมาจากพ่อค้าที่เจอกันเมื่อกลางวัน มันเขียนวิธีการไว้เสียละเอียดหยิบ ข้าได้ศึกษาจนขึ้นใจแล้ว”

          เขาอยากสนิทสนมกับหย่งเซิงให้มากกว่านี้

          “ศะ.. ศึกษา!” หย่งเซิงอุทานเสียงดังอย่างลืมตัว

          “ใช่ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรองรับอารมณ์ดิบเถื่อนของเจ้าเอง” เหวินเจิ้งยิ้มกริ่ม พลางลงมือปลดเชือกคาดเอวของหย่งเซิงอย่างชำนาญแต่ยังไม่ทันที่จะถอดออกก็ถูกมือใหญ่จับเอาไว้เสียก่อน เหวินเจิ้งขมวดคิ้วอย่างขัดใจ

          “ไม่ได้”

          “ทำไม”

          “ร่างกายท่านยังไม่หายดี” อีกอย่างเขากลัวว่าจะมีใครผ่านมาเห็นเข้า เขาไม่อยากให้ใครหน้าไหนได้เห็นใบหน้ายามร่วมรักของเหวินเจิ้งเด็ดขาดแม้แต่เสียงก็ไม่ได้

          “ข้าแข็งแรงดียิ่ง” เหวินเจิ้งเอ่ยอย่างขัดใจ ตอนนี้ร่างกายเขาแข็งแรงเสียยิ่งกว่าแต่ก่อนอีก ต้องขอบคุณร่างสูงที่คอยประคบประหงมอย่างดีคอยตุ๋นน้ำแกงไก่ให้เขากินเสียทุกมื้อ แถมยังบังคับพาเขาใช้วิชาตัวเบาเพื่อฝึกพละกำลังอีกต่างหาก

          “รอให้แข็งแรงกว่านี้ก่อน”

          “แข็งแรงกว่านี้ข้าก็เป็นม้าศึกแล้ว”

          “อย่างน้อยก็อีกสักหนึ่งเดือน”

          “เจ้าเห็นข้าเป็นพระหรือ”

          “…”

          “เจ้าไม่อยากร่วมรักกับข้าหรือไร” เหวินเจิ้งยันศอกไว้บนอกแกร่งของหย่งเซิงพลางเท้าคางถามอีกฝ่าย

          “เปล่า” ใบหูคร้ามเข้มแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย

          “.. เช่นนั้นเจ้าก็บอกเหตุผลมาสิ” พอเห็นใบหูแดงก่ำนั้น เหวินเจิ้งก็อดใจอ่อนไม่ได้

          “.. ครั้งแรกของท่าน.. ควรจะเป็นที่ที่ดีกว่านี้” ยิ่งพูดใบหูของหย่งเซิงก็ยิ่งแดงขึ้น

          “เช่นที่ไหนเล่า” เหวินเจิ้งรู้สึกร้อนซู่ที่ใบหน้า หัวใจเต้นโครมครามจนอื้ออึ้ง

          “เช่น.. บนภูเขาเทียนซาน.. ท่ามกลางดวงจันทร์” พอได้ยินเหตุผลของหย่งเซิงหัวใจของเหวินเจิ้งก็อ่อนยวบ

          ที่แท้เจ้ากล้ามโตนี้ก็คิดเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ด้วยหรือ..

          เหวินเจิ้งฟุบหน้าลงกับอกของหย่งเซิงอยากหมดแรง ใบหน้าของเขาเห่อร้อนเสียจนแทบจะปริแตก ในอกฟูฟ่องไปด้วยความสุขใจ

          “อาเจิ้ง..” เขาเองก็ไม่ใช่ว่าไม่อยาก เพียงแต่เขาอยากให้เหวินเจิ้งมีความทรงจำที่ดีกับมัน เขาอยากพาเหวินเจิ้งไปยังที่ที่มีเพียงแค่เขาสองคน ที่ที่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้อย่างใกล้ชิด ที่ที่เป็นของพวกเขา

          “อาเซิง.. ข้าโชคดีที่เหลือเกินที่ได้พบเจ้า..” เขามีความสุขจนหวาดกลัวไปหมด หากวันใดวันหนึ่งไม่มีหย่งเซิงอยู่เคียงข้างเขาอีกต่อไป.. หากวันนั้นมาถึง..

          หย่งเซิงวางมือลงบนศีรษะได้รูปที่ฟุบอยู่บนอกของเขา เขารู้ว่าเหวินเจิ้งนั้นผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากมาย ความหวาดระแวงยังคงอยู่เป็นเงาตามตัวของอีกฝ่ายยากที่จะสลัดหลุด

          เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ค่อยๆเยียวยาเหวินเจิ้งทีละน้อย ให้ความหวาดกลัวค่อยๆมลายหายไปทีละน้อยแทนที่ด้วยความรักของเขา

          “อาเจิ้ง.. ชั่วชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ไปข้าจะใช้มันไปกับท่าน ดังนั้นท่านก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ของท่านค่อยๆพิสูจน์คำพูดของข้าไปชั่วชีวิตเถิดนะ”   

          ตอนนี้หัวใจของเขาสองคนกำลังเต้นประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน

          เหวินเจิ้งอมยิ้ม หัวใจที่เคยหวาดหวั่นสงบลงเป็นครั้งแรก ความสุขนี้ที่หย่งเซิงมอบให้ เขาจะไม่ยอมปล่อยมันไปชั่วชีวิต..

           “อาเซิง.. เจ้าเผด็จการกว่าที่ข้าคิดไว้.. ข้าไม่กล้าขัดขืนเจ้าแล้ว”



-----------------------------------------------------

จิตตก : จบแล้วค่า // ปาดเหงื่อ

มาต่อแบบรวดเดียวจบเพราะดองมาสักพักใหญ่ 555555

นี้เป็นนิยายเรื่องแรกของเราเลย

การเขียนนิยายมันสนุกเพราะว่ามีคนอ่าน ต้องขอบคุณนักอ่านทุกคนจริงๆ

ทั้งนักอ่านเงาและนักอ่านที่คอมเม้นทุกคน

คอมเม้นของทุกคนเป็นแรงใจให้เราจริงๆค่ะ  :hao4:

หวังว่าจะได้เจอกันอีกในเรื่องต่อๆไปนะค่ะ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
«ตอบ #144 เมื่อ08-07-2017 18:29:23 »

เป็นเรื่องที่สนุกมากค่ะ ถ่ายทอดความรู้สึก หน่วง เศร้า เสียใจ ชอบ รัก ผ่านตัวละครได้ดีมาก อ่านแล้วอินมากค่ะ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2922
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โธ่...อุตส่าห์รอเขาเป็นของกันและกันเลยนะเนี่ย....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2017 20:14:15 โดย arij-iris »

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
จบแฮ้ปปี้ก็ดีแล้วค่ะ ตอนที่อ่านฉากตายนี่น้ำตาไหลเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะคะ รัก o13 o13 :bye2: :bye2: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
เป็นนิยายที่ดีและสนุกมากค่ะ ชอบมากกกกกกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด