[จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]  (อ่าน 64281 ครั้ง)

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ลำนำจักรพรรดิ

เขา หย่งเซิงได้รับมอบหมายให้ลอบปลงพระชนม์ เหวินเจิ้ง ฮ่องเต้ที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาจึงต้องแฝงตัวเข้าไปเป็นราชองครักษ์เพื่อหาโอกาสลอบปลงพระชนม์ ทว่า ฮ่องเต้เหวินเจิ้งที่ใครๆต่างก็ขนานนามว่าโหดเหี้ยม กลับแตกต่างจากทุกข่าวลือที่เขาเคยได้ยินมา ความใกล้ชิดและตัวตนของเหวินเจิ้งกำลังแทรกซึมเข้ามาในหัวใจที่แกร่งกล้าดุจหินผาของเขาทีละน้อย เขาจะหักใจสังหารคนผู้นี้ได้หรือ..!?


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2017 18:15:41 โดย hyegena »

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ
«ตอบ #1 เมื่อ07-03-2017 14:52:27 »

น่าสนใจมากกมาลงเร็วๆน้า

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ
«ตอบ #2 เมื่อ07-03-2017 14:56:13 »

บทนำ
   “ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นอย่างน้อมนอบพลางเหลือบมองชายหนุ่มผู้ที่ถูกเรียกว่าฝ่าบาทเล็กน้อย ดวงตาของขันทีเฒ่าฉายแววเวทนาสงสาร

   ‘ฝ่าบาท’ กำลังยืนเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง นัยน์ตาดำขลับจับจ้องไปยังที่ไกลแสนไกลอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะกระพริบตาหนึ่งครั้ง ความเหนื่อยล้าในดวงพลันมลายหายไป เหลือเพียงความเด็ดเดี่ยว

   ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มหันกลับมามองเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลาย ไล่ไปทีละคน ทีละคน ผู้ถูกมองต่างขนลุกซู่ด้วยความหวาดหวั่น

   “ลำบากพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าสู้อุตส่าห์วางแผนล่อลวงจนเราขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จคงจะเหนื่อยไม่น้อย” เหวินเจิ้งแสยะยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจ

   “ฝ่าบาท ทรงระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่านางกำนัลและขันทีต่างรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะทันที สวี่กงกงมองภาพเหล่านั้นพลางถอนหายใจเล็กน้อย

   “ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เหวินเจิ้งปรายตามองเหล่าข้าราชบริพารเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม

   “ลุกขึ้นเถิด เราดูเหมือนกำลังมีโทสะหรือ”

   “มิได้พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าข้าราชบริพารรีบละล้าละลั่กตอบ

   “อื้ม” เหวินเจิ้งครางรับอย่างพอใจ ก่อนจะเดินออกไปที่ประตูตำหนักโดยไม่สนใจว่าเท้าจะไปเหยียบมือของใครเข้า “ได้เวลาเสียที เรารอที่จะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ไม่ไหวแล้ว”

   เหล่านางกำนัลและขันทีที่ถูกร่างโปร่งเหยียบมือแม้จะเจ็บแต่ก็ไม่มีใครกล้าร้อง ทำได้เพียงก้มหน้าลงจนศีรษะจรดพื้นอย่างหวาดหวั่น

   สวี่กงกงเห็นเช่นนั้นก็รีบเดินตามร่างโปร่งไป

   ชายเสื้อสีเหลืองทองโบกสะบัดท่ามกลางแสงอาทิตย์ราวกับจะเรืองแสงได้ แผ่นหลังแผ่ไอแห่งอำนาจอันน่าเกรงขาม ทว่าขันทีเฒ่าอย่างเขารู้ดี ว่าเบื้องหลังท่าทีข่มขวัญผู้คนนั้นที่แท้แล้วเป็นเพียงชายหนุ่มผู้น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น..

------------------------------------------------------

จิตตก : สวัสดีค่าา ทุกคน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายแนวจีนโบราณที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวังหลวง ถ้าหากชอบและสนใจก็เม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ  :hao4:

ปล.ตอนนี้กำลังหัดใช้บอร์ดอาจจะมีงงๆ หรือบรรทัดไม่สวยบ้าง จิตตกจะปรับปรุงในตอนต่อไปนะคะ  :hao4:

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part1]
«ตอบ #3 เมื่อ07-03-2017 15:04:37 »

บทที่ 1
   ฮ่องเต้เหวินเจิ้ง ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุสิบเก้าชันษา พระองค์เป็นพระโอรสองค์ที่สี่แห่งอดีตฮ่องเต้เหวินเต๋อและพระสนมหลงเหยา ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงบัลลังก์ขององค์ชายทั้งสิบเอ็ดพระองค์ ผู้ที่สามารถฝ่าฟันมาจนถึงบัลลังก์มังกรได้สำเร็จคือองค์ชายสี่หรือเหวินเจิ้ง

   สมัยที่ยังเป็นองค์ชายสี่ พระองค์ได้ชื่อว่าเป็นองค์ชายที่รูปงามที่สุด พระองค์มีดวงตาสีดำขลับ จมูกเชิดรั้น ริมฝีปากอวบอิ่ม และผิวขาวนวล รูปร่างสูงโปร่งท่วงท่าสง่างามเฉกเช่นชนชั้นสูง ใบหน้ามักจะประดับรอยยิ้มละไมเสมอ จนผู้คนกล่าวขานว่าพระองค์เป็นเทพเซียนที่กลับชาติมาเกิด จนกระทั่ง..

   พระองค์ทรงใช้เลือดของเหล่าพี่น้องร่วมบิดามาเป็นบันไดขึ้นสู่บัลลังก์

   หลังจากขึ้นครองราชย์พระองค์ได้สั่งประหารชีวิตพี่น้องร่วมสายเลือดสามพระองค์และเนรเทศองค์ชายอีกสี่พระองค์ ส่วนเหล่าองค์หญิงล้วนถูกจับอภิเษกสมรสเชื่อมสัมพันธ์ไปยังต่างแดนทั้งสิ้น และก่อนขึ้นครองราชย์เพียงหนึ่งวัน พระองค์ได้สั่งประหารชีวิตพระสนมชายาของพระองค์ทุกนางอย่างโหดร้าย ฮ่องเต้เหวินเจิ้งจึงเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดในประวัติศาสตร์    

   และเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาแห่งยุค หลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์เพียงหนึ่งปี ราษฎร์ต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขุนนางที่คดโกงเอาเปรียบประชาชนถูกลงโทษประหารชีวิตอย่างไม่มีข้อยกเว้น ด้านการศึกสามารถรวบรวมแว่นแคว้นขยายดินแดนจนเป็นที่เลื่องลือ

   จึงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ประชาชนว่าแท้จริงแล้วฮ่องเต้เหวินเจิ้งนั้นเป็นทรราชผู้โหดร้ายหรือเป็นกษัตริย์ผู้รักและใส่ใจราษฎร์กันแน่



   รัชสมัยเหวินเจิ้งปีที่หก

   ฉึก!

   เสียงธนูปักเข้าไปกลางเป้าเรียกเสียงปรบมือเบาๆ

   “ฝ่าบาท ทรงพระปรีชายิ่งนัก”

   “ทั้งที่ลมแรงขนาดนี้ยังยิงได้ตรงกลางเป้า”

   “ยากนักที่จะหาใครยิงเข้าเป้าติดต่อกันถึงเก้าครั้ง”

   เสียงชื่นชมของเหล่าขุนนางอำมาตย์ยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด

   เหวินเจิ้งในชุดสีเหลืองทองปักลายมังกรยกมือขึ้นเล็กน้อย เสียงชมเซ็งแซ่เงียบหายไปทันที

   “ใต้เท้ากู.. ท่านเป็นเสนาบดีฝ่ายกลาโหมแท้ๆ กลับไม่สามารถยิงธนูให้ตรงเป้าติดต่อกันเก้าครั้งหรือ” เสียงถามเนิบนาบยากจะแยกแยะอารมณ์ทำให้ใต้เท้ากูร้องแย่แล้วในใจ

   “ฝ่ะ.. ฝ่าบาท กระหม่อมสามารถขอรับ” ใต้เท้ากูรีบโค้งตัวตอบอย่างน้อมนอบ เหงื่อผุดซึมที่ใบหน้าและแผ่นหลังจนเปียกชื้น ฮ่องเต้เหวินเจิ้งอารมณ์แปรปรวนมากเพียงใด เขาล้วนประจักษ์แจ้งแก่ใจ

   “ใต้เท้ากูสามารถยิงติดต่อกันได้ถึงเก้าครั้งหรือ” ร่างโปร่งยังคงเอ่ยถามพลางควงลูกธนูไปมา ใต้เท้ากูเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนและควรจะตอบอย่างไรถึงจะรอดไปจากสถานการณ์นี้

   “..ขอรับ” ใต้เท้ากูตอบออกไปในที่สุดไม่กล้าให้ฮ่องเต้ยืนรอคำตอบนานกว่านี้ เมื่อได้ยินเสียงฮ่องเต้หัวเราะเบาๆ ขนก็ลุกซู่ขึ้นมาทันที

   “ถ้าเช่นนั้นท่านต้องแพ้เราแล้วล่ะ” สิ้นคำเหวินเจิ้งก็เปลี่ยนจากควงธนูมาเป็นขึ้นศรแล้วยิงออกไปทันที ธนูดอกนั้นทะลุผ่านลูกศรดอกแรกที่ปักอยู่บนเป้าจนแยกเป็นสองเสี่ยงก่อนจะเข้าไปปักอยู่กลางเป้าแทนที่ดอกเดิม   
ใต้เท้ากูตะลึงจนตาค้าง

   “ใต้เท้ากู รู้ไหมว่าทำไมเราถึงสามารถยิงเข้าเป้าติดต่อกันถึงสิบดอก” เสียงเนิบนาบยังคงดังเข้าโสตประสาทของใต้เท้ากู

   “กะ.. กระหม่อม เบาปัญญา..” ใต้เท้ากูตอบเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าเหวินเจิ้งเดินเข้ามาใกล้ก็ก้มหน้าจนค้างชิดอก

   “เพราะสิบดอก มันเท่ากับจำนวนพี่น้องของเราพอดี“ เหวินเจิ้งก้มลงพูดที่ข้างหูของใต้เท้ากูด้วยเสียงไม่เบานัก เหล่าขุนนางและข้ารับใช้ต่างได้ยินกันทุกคน “เราเลยต้องฝึกยิงเอาไว้ เผื่อว่าวิญญาณของพี่น้องจะมาตามจ้องล้างจองผลาญเรา เราจะได้ป้องกันตัวเองได้“

   น้ำเสียงเนิบนาบนุ่มทุ้มสร้างความหวาดหวั่นให้ใต้เท้ากูไม่น้อยจนเข่าอ่อนทรุดตัวลงไป แรงกดดันมหาศาลที่แผ่ขยายออกมาจากดวงตาคู่งามทำให้เหงื่อไหลซึมเต็มแผ่นหลัง ใต้เท้าเฒ่าจำต้องรวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดเงยขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างอ้อนวอน

   “ฝะ.. ฝ่าบาท”

   “แย่จริง ดูเหมือนท่านจะแก่ลงไปมาก แค่ยืนนานหน่อยก็หมดแรงเสียแล้ว เดี๋ยวคงมีคนครหาว่าเราใช้งานขุนนางหนักเป็นแน่.. ทำอย่างไรดี” น้ำเสียงลำบากใจของฮ่องเต้ทำให้เหล่าขุนนางและข้ารับใช้ต่างรับรู้เป้าหมายของอีกฝ่ายในบัลดล

   “กระหม่อม กระหม่อมแก่ตัวลงไปมากแล้วจริงๆพ่ะย่ะค่ะ จึงวางแผนไว้ว่าจะเกษียณ ฝ่าบาท.. ฝ่าบาททรงพระเมตตาด้วย” ใต้เท้ากูรีบตอบจนลิ้นพันกัน

   “เราอนุญาต” น้ำเสียงตอบกลับฟังดูร่าเริงสดใสจนใกล้เคียงกับเสแสร้ง ใต้เท้ากูได้ยินดังนั้นเส้นเลือดที่ขมับก็เต้นตุ๊บๆ

   “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้ากูกัดฟันตอบ เหวินเจิ้งคงตั้งใจจะให้เขาลามือจากงานราชการเพียงแต่ไม่ยอมเอ่ยปากไล่เขาตรงๆ กลับบีบบังคับให้เขาพูดออกมาเอง

   “ไม่มีปัญหา จริงสิ ไหนๆท่านก็จะเกษียณแล้ว เห็นแก่ที่ท่านทำคุณงามความดีให้กับราชสำนักมากมาย เราจะให้โอกาสท่านบริจาคทรัพย์สินแก่ราษฎร์เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน เจ้าเห็นว่าอย่างไรบ้าง” เหวินเจิ้งเอามือไพร่หลังถามเอ่ยถามอย่างใจดี

   “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้ากูกำหมัดแน่นก่อนจะคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณอีกฝ่ายทั้งที่ใจเคืองแค้น

   เหวินเจิ้ง! เจ้าเด็กนี้มันรู้ว่าเขายักยอกเงินค่าเสบียงเป็นแน่จึงคิดจะให้เขาจ่ายคืนทั้งหมด เผลอๆเขาอาจจะต้องจ่ายมากกว่าตอนที่เขายักยอกมาก็เป็นได้

   “ลุกขึ้นเถิด” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็เดินออกไปจากลานธนูทันทีโดยไม่หันกลับมามองเหล่าขุนนางที่ยืนตัวสั่นอย่างหวาดหวั่นและใต้เท้ากูที่กัดฟันกรอดจ้องมองแผ่นหลังของฮ่องเต้อย่างแค้นเคือง




   ห้องทรงพระอักษร

   “ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าเรื่องในวันนี้จะสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าขุนนาง” สวี่กงกงตัดสินใจเอ่ยขึ้นขณะที่เห็นฮ่องเต้กำลังเดินเข้าห้องทรงพระอักษร ร่างสูงโปร่งชะงักก่อนจะหันหลังกลับมาอย่างกะทันหัน จนทำให้ขบวนตามเสด็จต่างก็หยุดชะงักไปตามๆกัน

   “ต่างคนต่างไม่พอใจ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรเสียหาย” ใบหน้างามยังคงประดับรอยยิ้ม ก่อนจะสะดุดเขากับกลุ่มราชองครักษ์ด้านหลัง

   สวี่กงกงมองตามสายตาของเหวินเจิ้งก่อนจะเอ่ยแนะนำ

   “เป็นราชองรักษ์กลุ่มใหม่ มาแทนกลุ่มเดิมที่พระองค์ทรงไล่ออกไปอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

   “เจ้ากำลังตำหนิเราหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจพลางเดินไปยังกลุ่มราชองครักษ์

   เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เดินมาหาพวกเขาต่างก็คุกเข่าทำความเคารพ

   “ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ”

   “ลุกขึ้น” สิ้นเสียงเหล่าราชองครักษ์ก็ลุกขึ้นทั้งที่ตาหลุบต่ำ เหวินเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ถามต่อด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเป็นคนของใครกันบ้างล่ะ”

   เหล่าราชองครักษ์หลายนายต่างสะดุ้งตกใจ ด้วยไม่นึกว่าฮ่องเต้จะถามตรงๆเช่นนี้

   เหวินเจิ้งมองสำรวจราชองค์รักษ์ทั้งแปดนายทีละคน ตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์.. ไม่สิ ตั้งแต่เขาเป็นองค์ชายสี่ ก็มักจะมีสายของเหล่าขุนนางและองค์ชายพระองค์อื่น แฝงตัวมาเป็นคนใกล้ตัวเสมอ ทั้งขันที นางใน หรือแม้แต่เหล่าพระสนมชายาของเขาเองก็ด้วย

   เขาชินชาเสียแล้วกับการถูกจับตามอง การเชื่อใจใครสักคนก็เหมือนกับการเดินบนปากเหว ไม่รู้ว่าจะมีมือยื่นมาผลักเขาตอนไหน เขาได้เรียนรู้ด้วยตนเองตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นองค์ชายสี่ผู้ใสซื่อ

   “กระหม่อมเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่งพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังแทรกความคิด เหวินเจิ้งมองไปยังเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่หลังสุดของแถว ชายหนุ่มผู้นั้นมีร่างกายสูงใหญ่กำยำสีผิวครามเข้ม ดวงตาดำสนิทเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางสีอ่อน ใบหน้าเฉยแผ่รัศมีเย็นชา

   “อืม.. ได้ยินว่าบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่งที่ถูกเราสั่งตัดนิ้วไปนิ้วหนึ่ง ตอนนี้เป็นใต้เท้ากรมอาญาอยู่นี่นา” เหวินเจิ้งแสร้งเอานิ้วจิ้มคางทำท่าครุ่นคิด

   ตอนนั้นบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่ง หย่งจื่อ บังเอิญเดินชนเขาตอนกำลังหงุดหงิดอัครเสนาบดีหย่งพอดี เขาจึงสั่งตัดนิ้วอีกฝ่ายหนึ่งนิ้วแล้วส่งไปให้อัครเสนาบดีหย่งดู

   โทษฐานที่อัครเสนาบดีหย่งบังอาจส่งคนปลอมเป็นราชองครักษ์มาคอยจับตาดูเขา เขาจัดการไล่ออกให้จนหมดตอนนี้อีกฝ่ายก็ส่งกลุ่มใหม่มาหรือนี้ แถมยัง.. เป็นบุตรชายของตน ช่างกำเริบเสิบสานนัก

   “กระหม่อมเป็นบุตรชายจากภรรยารองพ่ะย่ะค่ะ พึ่งกลับมาจากการฝึกวิชา” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ทีแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายจะฮึดฮัดกัดฟันตอบเสียอีก ในใจพลันรู้สึกสนใจขึ้นมา

   เหล่าราชองครักษ์ต่างแอบมองกันไปมา พวกเขาพอจะเคยได้ยินเรื่องฮ่องเต้สั่งตัดนิ้วใต้เท้ากรมอาญามาบ้าง ทุกคนในวังล้วนรู้กันดี ว่าอัครเสนาบดีหย่งกับฮ่องเต้นั้นเหมือนน้ำกับน้ำมัน มักจ้องหาเรื่องกันไปมาเสมอ แถมยังมีข่าวลือว่าอัครเสนาบดีหย่งแอบลักลอบซ่องสุมกำลังเพื่อโค่นล้มฮ่องเต้เหวินเจิ้งอีกด้วย

   เหล่าขุนนางส่วนใหญ่ที่เกลียดชังเหวินเจิ้งต่างเข้าร่วมกับอัครเสนาบดีหย่งกันหมด รวมทั้งพวกเขาทุกคนเองก็ถูกเหล่าขุนนางซื้อตัวมาให้คอยจับตาดูฮ่องเต้เอาไว้ เรียกได้ว่าคนที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้เหวินเจิ้งนั้นแทบไม่มีเหลืออีกแล้วในวังหลวงแห่งนี้

   “เจ้ามีชื่อว่าอะไรหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเปิดเผยฐานะตนเองขนาดนี้ ไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าหรือไรนะ

   “หย่งเซิงพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความน้อมนอบทำให้เหล่าองครักษ์คนอื่นต่างตัวสั่นอย่างเป็นกังวล หากฮ่องเต้ไม่พอใจขึ้นมาพวกเขาอาจหัวขาดได้ทุกเมื่อ

   “ดี! หย่งเซิงเรารับเจ้าไว้ ส่วนคนอื่นๆไปเสีย” เหวินเจิ้งส่งยิ้มละไมให้เหล่าองครักษ์อย่างใจดี ทำเอาพวกเขาเคลิ้มไปช่วงขณะก่อนที่จะรู้สึกถึงความร้ายแรงของคำพูดนั้น
   “ฝ่าบาท โปรดเมตตาด้วย!” เหล่าองครักษ์ต่างคุกเข่าโขกศีรษะอ้อนวอนทันที หากพวกเขาถูกส่งกลับไปไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง

   หย่งเซิงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนิ่งเฉยราวกับเป็นคนนอก เหวินเจิ้งจับตามองใบหน้าเย็นชานั้นแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

   “หากหย่งเซิงอยากให้พวกเจ้าอยู่ เราจะอนุญาตตามนั้น” คิ้วดกดำของหย่งเซิงกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าสบตาผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้โดยตรง เห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้อยากใจกว้าง

   เหล่าองครักษ์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบตามองร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิงอยากชั่งใจ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการให้พวกเขาอ้อนวอนหย่งเซิงหรือไม่ จึงทำตัวกันไม่ถูก

   “กระหม่อมไม่อนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบของหย่งเซิงนำความแปลกใจมาให้เหวินเจิ้งและเหล่าข้าราชบริพารที่อยู่แถวนั้น

   เหวินเจิ้งมองสำรวจหย่งเซิงอีกครั้ง คนผู้นี้ไม่ยินยอมจะอ้อนวอนเขาเช่นนั้นหรือ

   ช่างเถิด..

   เหวินเจิ้งหมุนกายเดินตรงเข้าไปในตำหนักทันทีไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นอีก หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เดิมทีเขาคิดว่าฮ่องเต้จะบันดาลโทสะใส่เขาเสียอีก

   “ฝ่าบาท” สวี่กงกงเอ่ยเรียกเหวินเจิ้งที่กำลังก้าวพ้นเข้าไปในประตูตำหนัก เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือเล็กน้อยสวี่กงกงก็ถอนหายใจเบาๆพลางหันมาเอ่ยกับเหล่าราชองครักษ์ “ฝ่าบาทอนุญาตแล้ว พวกเจ้าก็จงทำหน้าที่ให้ดี.. ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ”

   น้ำเสียงสวี่กงกงราบเรียบทว่าดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เหล่าองครักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ มีเพียงแค่หย่งเซิงเท่านั้นที่ไม่ยอมละสายตาจากสวี่กงกงที่เดินเข้าไปในตัวตำหนักอย่างครุ่นคิด

   “ฝ่าบาท จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยถามขึ้นพลางรินชาไปวางไว้บนโต๊ะทรงพระอักษรอย่างใส่ใจ เมื่อเห็นว่าเหวินเจิ้งก้มหน้าก้มตาอ่านฎีกาไม่ตอบอะไรอยู่นานจึงตั้งท่าจะเดินออกไปรอที่ด้านนอกแต่กลับได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเสียก่อน

   “ข้าเหนื่อยแล้ว” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่สายตายังจับจ้องที่ฎีกา นัยน์ตาสวี่กงกงไหวระริก

   นานๆครั้งพระองค์จะเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้า‘ กับเขา นั้นหมายความพระองค์กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน สมัยที่พระองค์ยังเป็นเพียงองค์ชายสี่..

   สวี่กงกงพยายามกลืนก้อนเหนียวหนืดลงคอก่อนจะกลั้นใจเอ่ย

   “ฝ่าบาท มิสมควรเลยพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม

   “เราเข้าใจแล้ว”

   “กระหม่อมขอตัว” สวี่กงกงโค้งกายก่อนจะถอยออกไปนอกห้องทิ้งให้เหวินเจิ้งอยู่เพียงลำพัง

   เหวินเจิ้งวางฎีกาลงบนโต๊ะอย่างเบามือ จ้องมองถ้วยชาที่สวี่กงกงเทไว้ให้อยู่นาน ก่อนจะเอื้อมไปหยิบแล้วเทน้ำชาในถ้วยทิ้งลงพื้นจนเปียกชุม รอยยิ้มที่ประดับไว้บนใบหน้าเสมอพลันมลายหายไป

   เหนื่อย..

   เหนื่อยเหลือเกิน..

   ดวงตาคู่งามตวัดมองไปยังภาพเหมือนของอดีตฮ่องเต้เหวินเต๋อที่เขาสั่งให้คนเอามาแขวนเอาไว้ ก่อนจะแสยะยิ้มส่งให้บิดาในภาพ

   “ข้ามิยอมให้ท่านได้ดั่งใจหรอก.. จับตาดูข้าเอาไว้ให้ดีเถิด ข้าจะทำให้ท่านผิดหวังจนต้องร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดเชียวล่ะ”

   กล่าวจบเหวินเจิ้งปรายตามองไปยังหน้าตาเห็นเงาร่างของราชองครักษ์ผู้หนึ่ง

   หย่งเซิง.. รีบหน่อย อย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียล่ะ



   “วันนี้ฝ่าบาทจะค้างคืนนอกตำหนักไหมพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยถามขึ้น ด้านหลังมีขันทีห้องทะเบียนยืนรออยู่

   เหวินเจิ้งเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกาพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง

   “มืดขนาดนี้แล้วหรือ” เอ่ยจบเหวินเจิ้งก็หันกลับมาจับจ้องขันทีห้องทะเบียนพลางยื่นมือออกไป เมื่อขันทีห้องทะเบียนเห็นเช่นนั้นก็รีบนำสมุดทะเบียนไปวางไว้บนฝ่ามือเหวินเจิ้งทันที

   อืม.. ครั้งล่าสุดเขาไปหากุ้ยเฟยมางั้นหรือ

   “..ฝ่าบาท มีเหล่าหญิงงามนางในที่ยังมิได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ฝ่าบาทอีกมากเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีห้องทะเบียนกลั้นใจเอ่ยขึ้น ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์มาหกปีแล้ว แต่กลับยังไม่มีวี่แววของสายเลือดมังกรเลย เขาที่เป็นขันทีฝ่ายทะเบียนรู้สึกกดดันนัก

   “งั้นหรือ” เหวินเจิ้งตอบกลับเนิบๆพลางพลิกอ่านสมุดทะเบียนต่อ

   “หรือว่าวันนี้จะไปหาฮองเฮาดีพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีฝ่ายทะเบียนรีบเสนอ ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็แปลกนัก อดีตฮ่องเต้ทุกยุคทุกสมัยต่างมีสนมนางในราวพันกว่าคน แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันดูจะไม่สนใจในนารีเอาเสียเลย เหล่าสนมนางในก็น้อยแสนน้อยเสียจนน่าใจหาย

   ปับ!

   ขันทีห้องทะเบียนสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นฮ่องเต้ปิดสมุดทะเบียนอย่างแรง ก่อนจะพลิกหน้ารัวเร็วแล้วจิ้มไปที่หน้าหน้าหนึ่ง

   “เต๋อเฟยหรือ.. วันนี้ข้าจะไปตำหนักเต๋อเฟย” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็ลุกขึ้นทันที สวี่กงกงรีบจุดโคมไฟก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลให้รีบวิ่งไปแจ้งตำหนักเต๋อเฟยว่าฮ่องเต้จะเสด็จไป

   เมื่อเหวินเจิ้งเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษรก็จงใจเดินช้าๆเสียจนผู้ติดตามด้านหลังเริ่มหงุดหงิดงุ่นง่าน

   “เราคงต้องให้เวลาเต๋อเฟยได้แต่งตัว พรมเครื่องหอม.. จุดธูปปลุกกำหนัดเสียหน่อย” เหวินเจิ้งหันไปพูดกับสวี่กงกงเสียงดัง เหล่าผู้ติดตามต่างหน้าแดงด้วยความกระดากอายก่อนจะเปลี่ยนเป็นซีดขาวในประโยคสุดท้าย

   “ฝ่าบาท” สวี่กงกงเอ่ยปรามอย่างลำบากใจ เหวินเจิ้งหัวเราะเบาๆในลำคอ

   การต้องไปหาเหล่าสนมนางในกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับเขาไปนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขารู้สึกว่าพวกนางล้วนไร้เสน่ห์ อาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าพวกนางช่างเสแสร้งแสดงเก่ง หรืออาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ามีเหล่าขุนนางชักใยพวกนางอยู่เบื้องหลัง

   หรืออาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่เห็นศพของพระชายาและเหล่าสนมสมัยยังเป็นองค์ชายสี่ก็มิอาจรู้ได้

   เหวินเจิ้งเดินนำขบวนเสด็จไปยังสระบัว ก่อนจะหยุดยืนเอามือไพร่หลังจ้องมองดอกบัวที่อยู่ในสระเนินนาน เมื่อรู้สึกปวดคอจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อนคลายความเมื่อยขบ ชั่วขณะนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นหนึ่งในราชองครักษ์กำลังเงยหน้ามองพระจันทร์อยู่

   ใบหน้าหล่อเหลาเมื่อต้องแสงจันทร์ยิ่งดูมีเสน่ห์ลึกลับ เหวินเจิ้งแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียนอีกฝ่าย

   “อาเซิง” หย่งเซิงชะงักก่อนจะหันหน้ามามองเขาท่ามกลางสายตาแปลกใจของข้ารับใช้คนอื่นๆ วิธีเรียกที่สนิทสนมเช่นนี้มิควรออกมาจากปากฮ่องเต้เลย หย่งเซิงชั่งใจเล็กน้อยก่อนเดินมาตามเสียงเรียก ในใจรู้สึกขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายเรียกเขาอย่างสนิทสนม โดยปกติเขาก็เป็นคนเก็บตัวไม่ชอบสุงสิงกับใคร และยิ่งไม่ชอบให้คนอื่นมาเรียกเขาอย่างสนิทสนมเสียด้วย

   เมื่อเห็นหย่งเซิงเดินเข้ามาใกล้เหวินเจิ้งก็เห็นความไม่พอใจฉายชัดในดวงตาดำสนิทของอีกฝ่าย

   “ฝ่าบาท?” หย่งเซิงค่อมหัวเล็กน้อยพลางรอให้เหวินเจิ้งสั่งงาน มิคาดอีกฝ่ายกลับถามคำถามที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นต้องประหลาดใจ

   “เราเรียกเจ้าว่าอาเซิงได้หรือไม่” หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขามิชอบถูกเรียกอย่างสนิทสนม แต่เมื่อเห็นดวงตาคู่งามของอีกฝ่ายเฝ้ารอคำตอบจากเขาอย่างใจจดใจจ่อก็รู้สึกคันยิบๆในหัวใจ ถ้าปฏิเสธจะเป็นเช่นไรหนอ

   “เรียกหย่งเซิงเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ไวเท่าความคิด หย่งเซิงตอบปฏิเสธอย่างไร้เหยื่อใย หย่งเซิงเห็นเหวินเจิ้งยิ้มกว้างขึ้นแต่ชั่วขณะหนึ่งก็เห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายไหววูบเช่นกัน แต่เพียงแวบเดียวก็หายไปจนเขาจับไม่ถูกว่ามันเป็นอารมณ์แบบไหน

   “หย่งเซิง.. เจ้าไปฝึกวิชาที่ไหนมาหรือ” หัวใจหย่งเซิงแกว่งเล็กน้อยเมือได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเช่นนั้น ความรู้สึกเสียดายวาบผ่านหัวใจ

   “เขาเทียนซานพ่ะย่ะค่ะ”

   “พระจันทร์ที่ภูเขาเทียนซานเหมือนที่นี้หรือไม่” เหวินเจิ้งถามขึ้นพลางมองไปยังพระจันทร์บนท้องฟ้า ก่อนหลับตาให้แสงจันทร์สาดส่องใบหน้า เกิดเป็นภาพอันงดงามตระการตา เหล่าผู้ติดตามต่างทอดถอนหายใจด้วยความชื่นชม หย่งเซิงมองสีหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายพลางตอบ

   “ไม่เหมือนพ่ะย่ะค่ะ เขาเทียนซานอยู่สูงกว่าวังหลวงมากนัก ยามขึ้นไปบนยอดเขาจะเห็นพระจันทร์ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือเท่านั้น”

   หลังจากมายืนใกล้ชิดกันเช่นนี้แล้วหย่งเซิงถึงพึ่งรู้ว่าเหวินเจิ้งนั้นสูงน้อยกว่าตนหนึ่งช่วงหัว ทั้งที่ยามมองอีกฝ่ายไกลๆอีกฝ่ายดูสูงสง่าเหนือผู้คนแท้ๆ

   “แต่ก็ยังไขว่คว้าไว้ไม่ได้อยู่ดี” เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูราบเรียบเสียจนน่าหดหู่  เหวินเจิ้งลืมตาขึ้นมาแสยะยิ้มให้หย่งเซิงก่อนจะเดินผ่านร่างสูงใหญ่ไปยังตำหนักเต๋อเฟย

   ขบวนเสด็จรีบหันขบวนกลับเดินตามร่างสูงโปร่งไปทันที หย่งเจิ้งเงยหน้ามองพระจันทร์ครึ่งดวงอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหันกายเดินตามขบวนเสด็จไป

   “ฮ่องเต้เสด็จ!” เสียงขันทีแหลมสูงประกาศทันทีเมื่อเห็นขบวนเสด็จ

   “ถวายพระพรเพค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ” นางกำนัลและขันทีต่างคุกเข่าลงแทบเท้า ท่ามกลางผู้คนที่คุกเข่ามีหญิงงามนางหนึ่งกลับยืนมองเหวินเจิ้งที่เดินเข้ามาใกล้ หญิงงามนางนั้นเพียงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย

   “ฝ่าบาท” เสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้นอย่างเย้ายวน เหวิงเจิ้งยกยิ้มละไมพลางเข้าปรี่เข้าไปประคองพระสนมเต๋อเฟย-หลี่หง อย่างเอาใจ

   “หงเอ๋อเหตุใดเจ้าจึงไม่รออยู่ในตำหนักเล่า อากาศเย็นเช่นนี้จะทำให้เจ้าจับไข้เอาได้” น้ำเสียงตำหนิไม่จริงจังของเหวินเจิ้งทำให้แววตาของพระสนมเต๋อเฟยไหววูบ

   “หม่อมฉันอยากพบพระองค์ให้เร็วขึ้นอีกนิดเพคะ” น้ำเสียงตัดพ้อของพระสนมเต๋อเฟยทำให้มุมปากของเหวินเจิ้งยกยิ้มมากขึ้น แต่มันมิได้ส่งไปถึงดวงตา

   พระสนมเต๋อเฟยเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ ฮ่องเต้พระองค์นี้โหดร้ายเย็นชานัก ยามที่พระองค์เสด็จมาที่ตำหนักเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้พูดคุยด้วย หากบังเอิญพบกันตอนกลางวันหรือนอกตำหนักพระองค์จะทำเพียงส่งรอยยิ้มละไมมาให้แล้วเดินจากไปราวกับพวกนางเป็นเพียงดอกไม้ริมทาง ไม่เคยหยุดพูดคุยด้วยแม้คำสองคำ

   “วันนี้พระจันทร์สวยนัก หากหงเอ๋อไม่รังเกียจ เจ้าอยากจะกินลมชมจันทร์กับเราหรือไม่” เหวินเจิ้งไม่สนใจคำพูดประจบเอาใจของอีกฝ่าย แต่กลับชวนนางออกมาชมจันทร์แทน เหล่านางกำนัลและขันทีห้องทะเบียนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ

   ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ นั้นหมายความว่าวันนี้พระองค์จะไม่ทรงร่วมอภิรมย์กับพระสนมเต๋อเฟย

   แน่นอนว่าพระสนมเต๋อเฟยก็ฟังคำนัยนั้นออกจึงจึงพยายามฝืนยิ้มตอบกลับ

   “แน่นอนเพคะ” กล่าวจบนางก็หันไปส่งสัญญาณให้นางกำนัลยกเก้าอี้และโต๊ะออกมาในสวน รวมถึงสุราและกับแกล้มอีกด้วย

   เหวินเจิ้งประคองพระสนมเต๋อเฟยเดินมาที่สวนอย่างเอาใจใส่ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมกันลมของตนเองออกแล้วใส่ให้นางแทน

   “ฝ่าบาท..”

   “เรามิอยากให้เจ้าจับไข้ สวมเอาไว้เถิด” พระสนมเต๋อเฟยมองการกระทำอย่างเอาใจทุกอย่างด้วยแววตาเจ็บปวด นางรู้ว่าที่พระองค์ทำลงไปทั้งหมดคือ ‘หน้าที่’ เมื่อพระองค์ก้าวออกไปจากตำหนักแห่งนี้แล้วทั้งสองคนจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันอีกครั้ง

   “ขอบพระทัยเพคะ” พระสนมเต๋อเฟยก้มหน้าซ่อนความเจ็บปวดก่อนจะเอ่ยถามหลังจากเห็นพระองค์นั่งลงแล้ว “ช่วงนี้พระองค์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”

   “เราพึ่งสั่งตัดมือญาติผู้พี่ของเจ้าไปเมื่อวันก่อน นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรใหม่เลย” เหวินเจิ้งตอบพร้อมรอยยิ้มละไม

   พระสนมเต๋อเฟยและเหล่าข้าราชบริพารต่างลอบกลืนน้ำลายลงคอ พระองค์จะคุยเรื่องนี้ขณะชมจันทร์จริงหรือ

   “หม่อมฉันรู้สึกระอายนัก ได้ยินมาว่าญาติผู้พี่ของหม่อมฉันยักยอกเงินจากท้องพระคลังออกไปไม่น้อย” พระสนมเต๋อเฟยรีบเอ่ยอย่างเอาใจ ตอนที่นางรู้ว่าญาติผู้พี่ของนางทำอะไรลงไปนางถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ฮ่องเต้เหวินเจิ้งลงโทษขุนนางหนักหน่วงนัก ไม่สนว่าพวกเขาจะมีเชื้อสายกับพระสนมฮองเฮา เพียงพระองค์เห็นว่าสมควรก็ตัดสินโทษทันที

   นางเคยได้ยินว่าหลานของฮองเฮาเคยกระทำความผิดวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ผู้คน เมื่อฮ่องเต้รู้เข้าก็สั่งตัดลิ้นโดยทันที แม้ว่าฮองเฮาจะไปคุกเข่าขอร้องก็ไม่เป็นผล หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของฮ่องเต้และฮองเฮาก็หมางเมินเหินห่าง

   นางเองก็หวาดกลัวว่าจะเป็นเช่นนั้น นางรู้ว่าพระสนมชายาส่วนใหญ่ในฮ่องเต้เหวินเจิ้งนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดของตระกูล รวมถึงนางเองก็ด้วย ฮ่องเต้ทรงรู้ดีกว่าใครจึงรักษาระยะห่างกับพวกนางเรื่อยมา แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องมาหาพวกนางถึงตำหนัก พระองค์จะทรงใจดีจนทำให้หัวใจของสตรีในวังหลังสั่นไหว รวมถึงนางเองก็ด้วย

   “เรามิได้พูดเพื่อให้เจ้ารู้สึกระอาย” เหวินเจิ้งเกี่ยวปอยผมของเต๋อเฟยไปทัดไว้ข้างหู

   พระสนมเต๋อเฟยหน้าแดงซ่าน หากเป็นบุรุษอื่นเมื่อได้เห็นใบหน้างดงามเช่นนี้กำลังเขินอายคงใจอ่อนระทวยรีบโอบกอดนางไว้ในอ้อมอก 

   แต่เขามิใช่..

   เขาดูแลหญิงงามอย่างอ่อนโยนทั้งที่หัวใจเฉยชา ปล่อยให้นางหลงอยู่ในวังวนของความอบอุ่นอ่อนโยนของเขา เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องกำจัดตระกูลของนาง นางจะได้เปลี่ยนจากความรักเป็นความแค้นอย่างโง่งม

   เขากำลังรอคอย..
------------------------------------------------------------------------

จิตตก : เหวินเจิ้งระบบความคิดอาจจะแปลกพิกลไปบ้าง ความจริงแล้วมีสาเหตุนะคะ  :hao4:

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part1]
«ตอบ #4 เมื่อ07-03-2017 15:25:30 »

ชอบความร้ายของนางเชื่อว่าต้องมีเหตุผลอิอิอิ

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part1]
«ตอบ #5 เมื่อ07-03-2017 15:26:30 »

ฮ่องเต้นางเคะชิมิ :hao6:

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part1]
«ตอบ #6 เมื่อ13-03-2017 15:16:15 »

บทที่ 2

            “ฝ่าบาท.. เสด็จบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นในที่สุดเมื่อเห็นว่าเวลานี้ใกล้เช้าแล้ว อีกหนึ่งชั่วยามก็ได้เวลาเสด็จออกว่าราชการแล้ว เหวินเจิ้งยังคงทรงงานอยู่ในห้องทรงพระอักษรอยู่เลย

            เหวินเจิ้งเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกา ใต้ตามีรอยหมองคล้ำจากการอดนอน ดวงตาดำขลับมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่มืดมิด

            “ยังอีกหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามเบาๆ

            “ยังพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยตอบอย่างรู้ใจ

            นับตั้งแต่ที่พระองค์เสด็จไปเยือนตำหนักเต๋อเฟยวันนั้น พระองค์ก็เสด็จไปติดต่อกันถึงเจ็ดวันติด สร้างความสับสนวุ่นวายให้กับวังหลัง เหล่าพระสนมนางในต่างแวะเวียนมาแสดงตัวเพื่อเรียกร้องความสนใจให้พระองค์ไปเยือนตำหนักพวกนางบ้าง

            พึ่งจะสองสามวันนี้เองที่พระองค์ทรงหยุดไปเยี่ยมเยือนตำหนักเต๋อเฟยและเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทรงพระอักษร

            “เราจะออกไปอ่านฎีกาที่ศาลา” หลังจากนิ่งคิดสักพัก เหวินเจิ้งก็ลุกขึ้นแล้วส่งสัญญาณให้ขันทีข้างนอกเข้ามาขนฎีกาตามออกไป

            “ไม่บรรทมอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง สีพระพักตร์ของเหวินเจิ้งดูเหนื่อยล้ากว่าปกติถึงสามส่วน นี้ก็เข้าวันที่สามแล้วที่พระองค์เอาแต่นั่งอานฎีกาไม่ยอมกลับตำหนัก ทำเอาพวกขันทีและราชองครักษ์ใต้ตาดำคล้ำไปตามๆกัน

            “เราต้องเตรียมความพร้อม” เหวินเจิ้งหันมายิ้มละไมให้สวี่กงกง ท่วงท่าดูอ่อนล้าเชื่องช้ากว่าปกติเพราะอดนอน สวี่กงกงเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจแรงๆหนึ่งที พระองค์คิดจะทำอะไรใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เพียงแต่เขาไม่สามารถห้ามอะไรได้

            เหวินเจิ้งเดินช้าๆไปยังศาลากลางสวนบัว นั่งลงแล้วก็กางฎีกาออกทันทีก่อนจะชะงักแล้วเงยหน้ามองเหล่าผู้ติดตาม

            “พวกเจ้าถอยห่างออกไปเสียหน่อยเถิด ยืนใกล้เราเช่นนี้เราก็ไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์กันพอดี” เหล่าราชองครักษ์ ขันที และนางกำนัลเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้ากันไปมาเล็กน้อยก่อนจะถอยห่างออกไป เหวินเจิ้งเห็นเหล่าผู้ติดตามถอยไปเพียงนิดเดียวก็ยกยิ้มก่อนจะเอ่ยไล่ “เหลือไว้แค่คนสองคนพอที่เหลือออกไปนอกศาลาเสีย.. ไม่สิแค่หย่งเซิงไว้คนเดียวพอ”

            เหวินเจิ้งเห็นหย่งเซิงยืนหน้านิ่งใบหน้าไม่มีวี่แววของความเหนื่อยล้าจึงจงใจรั้งอีกฝ่ายไว้ให้ยืนเฝ้าตน คนอื่นเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็ล่าถอยไป

            “หย่งเซิงเจ้าได้นอนบ้างหรือไม่” เหวินเจิ้งเอ่ยถามทั้งที่สายตายังจับจ้องที่ฎีกา หย่งเซิงปรายตามองเหวินเจิ้งเล็กน้อยก่อนตอบ

            “ฝ่าบาทไม่บรรทมแล้วกระหม่อมจะนอนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

            “หื้ม.. เช่นนั้นทุกครั้งที่เรานอนเจ้าก็แอบไปงีบด้วยงั้นหรือ”

            “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นมนุษย์ไม่อาจตื่นได้ตลอดเวลา” น้ำเสียงเรียบนิ่งมั่นคงของหย่งเซิงทำให้เหวินเจิ้งรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด ตั้งแต่ที่หย่งเซิงมาเป็นราชองครักษ์ให้เขา บางครั้งเขาก็เรียกอีกฝ่ายมาพูดคุยเล่นบ้าง เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าพูดคุยกับเขาอย่างเป็นตัวของตัวเอง

            เพิ่งจะสองสามวันมานี่เองที่เขาไม่ได้เรียกอีกฝ่ายมาพูดคุยด้วยเลย..

            “เช่นนั้นสามสี่วันนับจากนี้ไป เจ้าก็จงตื่นเป็นเพื่อนเราไปก่อนเถิด หลังจากนั้นเจ้าอาจจะได้โอกาสแอบงีบไปสักพักใหญ่” หย่งเซิงมองร่างโปร่งที่ดูเหนื่อยล้าของ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ ในน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยของเหวินเจิ้งเจือความตื่นเต้นรอคอยระคนอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย

            “...” เมื่อเหวินเจิ้งเห็นหย่งเซิงไม่ตอบจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย

            หย่งเซิงไม่เคยหลบตาเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่พบกันครั้งแรก ทั้งที่เขาควรสั่งลงโทษอีกฝ่ายแต่เขาก็ไม่ได้ทำ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีคนกล้าสบตาเขาโดยตรง นัยน์ตาของอีกฝ่ายดำสนิทแต่กลับมีเสน่ห์ลึกลับ ยิ่งมองนานเข้ายิ่งเหมือนถูกดูดเข้าไปในบ่อน้ำที่ไร้ก้นบึง

            “ข้าชอบลูกตาของเจ้า” เหวินเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไม เหล่าผู้ติดตามสะดุ้งเล็กน้อย คนปกติมักจะบอกว่าชอบดวงตาของอีกฝ่าย แต่ฮ่องเต้พระองค์นี้กลับใช้คำว่าลูกตาเสียอย่างนั้น ฟังดูน่ากลัวพิกล

            หย่งเซิงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

            “ฝ่าบาทคงไม่สั่งควักลูกตาของกระหม่อมกระมัง” หากฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้เกิดอยากได้ลูกตาเขาขึ้นมา เขาไม่อยากจะควักให้หรอกนะ

            เหวินเจิ้งได้ยินอีกฝ่ายตอบเช่นนั้นก็ยิ้มค้างไปเล็กน้อยก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังจนลั่นศาลา หย่งเซิงและเหล่าผู้ติดตามต่างมองฮ่องเต้อย่างใจลอย

            ริมฝีปากอวบอิ่มยักโค้งจนตาหยี ดวงตาดำขลับเป็นประกายราวกับดวงดารานับหมื่น ใบหน้ายามหัวเราะของฮ่องเต้ช่างดูคล้ายกับเด็กน้อยก็มิปาน ใบหน้างดงามเมื่อต้องแสงจันทร์เปล่งประกายราวกับเทพเซียน

            หย่งเซิงมองภาพตรงหน้าด้วยจิตใจสั่นไหว ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกว่าฮ่องเต้เสียสติผู้นี้งดงามอย่างที่ใครๆก็ว่ากัน จนกระทั่งตอนนี้ หย่งเซิงจ้องมองดวงตายักโค้งของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล

            ก่อนหน้านี้เหวินเจิ้งมักส่งยิ้มละไมให้ผู้คนเสมอ เขารู้สึกไม่ชอบรอยยิ้มของอีกฝ่าย เพราะมันเสแสร้งอวดดีและเย่อหยิ่ง ทว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว รอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงของอีกฝ่ายมีเสน่ห์ชวนมองเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าตอนที่อีกฝ่ายเป็นเพียงองค์ชายสี่ผู้ใสซื่อจึงได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในแผ่นดิน

            “เพราะลูกตามันอยู่กับเจ้าจึงได้ดูสวยงาม ไม่ต้องห่วงเรามิอยากได้ลูกตาที่ไร้ชีวิตหรอก” เมื่อหัวเราะจนพออกพอใจแล้วเหวินเจิ้งก็เอ่ยออกมาในที่สุด

            หน้าตาหวาดระแวงของหย่งเซิงช่างตราตึงใจเขานัก นานๆทีได้เห็นสีหน้าอื่นๆของอีกฝ่ายบ้างก็ดีเหมือนกัน

            “ฝ่าบาท ใกล้เวลาออกว่าราชการแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเข้ามาเอ่ยเตือน

            เหวินเจิ้งมองท้องฟ้าที่ใกล้สว่างอย่างเสียดาย

            บางเวลาก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน..

 

            “ฝ่าบาท.. นี้มันหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” ใต้เท้าหลี่เอ่ยถามเสียงสั่นเมื่อฝ่าบาทสั่งให้ขันทีนำสมุดบันทึกเล่มหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า

            “เราคิดว่าท่านจะคุ้นเคยกว่าเราเสียอีก นี้คือสมุดบัญชีที่เจ้าเอาไว้จดบันทึกเครื่องบรรณาการที่เจ้าขโมยไปอย่างไรเล่า” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของอีกฝ่ายมิได้ทำให้ใต้เท้าหลี่ใจเย็นลงกลับเพิ่มความร้อนล้นให้จนเหงื่อผุดซึมเต็มใบหน้า

            เหล่าขุนนางต่างมองกันไปมาด้วยความตกใจ

            “กระหม่อม.. กระหม่อมมิเคยเห็นสมุดเล่มนี้มาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ ตะ.. ต้องมีคนใส่ร้ายกระหม่อม..” ใต้เท้าหลี่เอ่ยตอบเสียงสั่นพลางคุกเข่าลงกับพื้นหน้าบัลลังก์ ใครกันบังอาจทรยศเขาแอบลักลอบเข้าไปในจวนของเขาแล้วขโมยสมุดบันทึกเล่มนี้มา

            “ไม่มีหรอกใต้เท้าหลี่ เป็นเราแอบปีนเข้าตำหนักท่านเอง” เหล่าขุนนางตัวเย็นวาบทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

            “ปะ.. เป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีรายงานว่าฝ่าบาทออกนอกวัง..” ใต้เท้าหลี่หลุดคำพูดออกมาอย่างโง่งม ก่อนจะรีบตะครุบปิดปากตนเอง ขุนนางคนอื่นได้แต่แอบด่าทอใต้เท้าหลี่ผู้โง่งมในใจ มีเพียงอัครเสนาบดีหย่งเท่านั้นที่ยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ได้

            เหวินเจิ้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าลงมาจากบัลลังก์มังกร ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูใต้เท้าหลี่เสียงดัง

            “ดูเหมือนคนที่พวกเจ้าส่งมาจับตามองเราจะมีฝีมือไม่เท่าไรกระมัง”

            “ฝ่าบาทการเสด็จออกนอกวังโดยไร้ซึ่งผู้ติดตาม มิสมควรเลยพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขึ้นในที่สุด เหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นพลางเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

            “ฝ่าบาททรงไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เหวินเจิ้งมองภาพเหล่านั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

            “หากเราไม่ออกไปด้วยตนเองเราจะได้สมุดบันทึกเล่มนี้มาหรือ ในเมื่อพวกท่านสามัคคีปกป้องกันและกันเช่นนี้ใยมิจับมือเดินเข้าคุกไปพร้อมกันเสียเลยเล่า” เหล่าขุนนางชะงักก่อนจะรีบคุกเข่าเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง

            “ฝ่าบาทได้โปรดคลายโทสะด้วย!”

            “ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้าชอบคิดว่าเรามีโทสะอยู่เรื่อย” เหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนทันที

            ใต้เท้าหลี่รับรู้ได้ถึงลางร้ายในบัลดล เจ้าคนพวกนี้กำลังสลัดเขาทิ้ง!

            “ฝ่าบาท! กระหม่อ..” ใต้เท้าหลี่กัดฟันเอ่ย หากเขาจะต้องตายเขาจะลากเจ้าพวกนี้ลงไปด้วย

            “ใต้เท้าหลี่ ในเมื่อทำผิดก็ต้องยอมรับผิด ในวันนี้กระหม่อมเองก็ตั้งใจจะมาทูลฝ่าบาทเรื่องนี้เช่นกัน คนของกระหม่อมได้บังเอิญพบใต้เท้าหลี่นัดพบคนต่างแคว้นในที่ลับ จึงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อลอบตามสืบจึงได้รู้ว่า ใต้หลี่แอบคบค้าสมาคมกับคนต่างแคว้นมานานแล้ว” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขัดขึ้น ใต้เท้าหลี่ได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างตะลึงงัน

            เมื่อเหล่าขุนนางอื่นเห็นเป็นเช่นนั้นก็รีบเออออทันที

            “กระหม่อมก็เคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ”

            “มิน่าช่วงนี้ใต้เท้าหลี่จึงร่ำรวยนัก”

            “ที่แท้ใต้เท้าก็ได้รับผลประโยชน์บางอย่างนี้เอง”

            “พวกเจ้าโกหก!” ใต้เท้าหลี่ตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทนก่อนจะปรี่เข้าไปพยายามทำร้ายอัครเสนาบดีหย่ง

            เมื่อเหล่าขุนนางเห็นเป็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปดึงตัวใต้เท้าหลี่ออกมาจนเกิดความวุ่นวายในท้องพระโรง ทหารต่างก็รีบเข้ามาคุมตัวใต้เท้าหลี่อย่างรู้งาน

            หย่งเซิงมองความวุ่นวายในท้องพระโรงจากหน้าประตู สายตาไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงโปร่งในชุดสีเหลืองทอง ที่มองดูเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยรอยยิ้มทว่าดวงตาดำมืดราวกับกำลังมองมดปลวกก่อนจะหันกายกลับขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์

            มือบางเอื้อมมือไปหยิบแท่นฝนหมึกก่อนจะโยนเข้าไปท่ามกลางการยื้อยุด

            เหล่าขุนนางและทหารชะงักทันทีเมื่อเห็นว่ามีน้ำอะไรบางอย่างหยดใส่ใบหน้าและลำตัว เมื่อเห็นว่าเป็นหมึกสีดำก็หน้าเปลี่ยนสี มองไปยังบัลลังก์มังกรทันที เห็นตัวการนั่งส่งรอยยิ้มละไมมาให้ พวกเขาก็ได้แต่กัดฟันอย่างโกรธแค้นก่อนจะรีบทำตัวสงบเสงี่ยม เดินกลับไปยังที่ของตน

            หย่งเซิงบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย

            ทหารหน้าดำจับกุมใต้เท้าหลี่เอาไว้พลางกดให้อีกฝ่ายคุกเข่าลง เหวินเจิ้งมองดูเหล่าขุนนางที่ทั้งตัวเปื้อนไปด้วยน้ำหมึกคนละจุดสองจุดก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

            “ความผิดของท่านนับว่าไม่น้อยเลย ใต้เท้าหลี่ตั้งแต่นี้ต่อไปท่านจะถูกถอดยศขุนนาง คนในสกุลหลี่มิอาจรับราชการได้อีก ส่วนตัวท่านและผู้สมรู้ร่วมคิดจะต้องถูกประหารด้วยการแขวนคอในเช้าของวันพรุ่งนี้ เลิกได้” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็สะบัดชายเสื้อเดินออกจากท้องพระโรงไปทันที ไม่สนใจเสียงตะโกนอย่างเคืองแค้นและสิ้นหวังของใต้เท้าหลี่อีก

            “สวี่กงกง” เหวินเจิ้งเอ่ยเรียกขันทีคนสนิทด้วยน้ำเสียงเนิบนาบขณะกำลังกลับตำหนัก

            “ฝ่าบาท” สวี่กงกงรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ร่างโปร่งทันที

            “ข่าวเรื่องใต้เท้าหลี่ดังไปถึงตำหนักเต๋อเฟยหรือยัง” เขารอไม่ไหวแล้ว..

            เหล่าผู้ติดตามได้ยินดังนั้นก็สูดหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ พระสนมเต๋อเฟยเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของใต้เท้าหลี่ หากพระนางรู้ว่าพระสวามีของนางสั่งประหารบิดาบังเกิดเกล้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

            “ทูลฝ่าบาท คงจะเร็วเกินไป..” สวี่กงกงมองใบหน้าด้านข้างของเหวินเจิ้ง ในดวงตาฝ้าฟ่างมีหลากหลายความรู้สึกผสมปนเป

            “ส่งคนไปแจ้งเสีย เราจะเดินให้ช้าลงหน่อย.. จริงสิ บอกนางด้วยว่าเราอดนอนมาหลายคืน ร่างกายเราจึงทั้งอ่อนล้าและเชื่องช้า” เหวินเจิ้งเอามือไพล่หลังสั่งเสียงเรียบ

            เหล่าบรรดาผู้ติดตามต่างงุนงงสงสัยกับคำสั่งของฮ่องเต้ ทว่าก็ไม่มีใครกล้าซักถาม หย่งเซิงที่อยู่ด้านหลังสุดมองแผ่นหลังโปร่งบางก่อนจะละสายตาไปยังสวี่กงกงที่หลุบตาต่ำรับคำสั่ง หากสังเกตดีๆจะเห็นร่างกายของขันทีเฒ่าสั่นน้อยๆ หย่งเซิงหรี่ตามองอย่างใช้ความคิด

            ฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ตั้งใจจะทำอะไรกัน

            เหวินเจิ้งเดินทอดน่องเรื่อยเฉื่อยไปตามทางจนกระทั่งมาถึงตำหนักเต๋อเฟยในที่สุด

            “พวกเจ้ารออยู่นี้แหละ เราจะเข้าไปปลอบพระสนมสักหน่อย” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้น สวี่กงกงได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบปรี่มาที่ข้างกายเหวินเจิ้ง

            “ให้กระหม่อมไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงก้มหน้าหลุบตาต่ำ เสียงที่เปล่งออกมาดูสั่นน้อยๆ เหวินเจิ้งปรายตามองขันทีแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยอนุญาต

            “ตามใจเจ้า” เสียงนุ่มฟังดูตื่นเต้นระคนคาดหวังจนหย่งเซิงใจไม่ดี รีบกวาดตามองไปรอบๆก่อนจะรีบเดินเข้าไปขวางทางเหวินเจิ้ง

            ร่างโปร่งชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหย่งเซิงเข้ามาขวางทางก่อนจะเลิกคิ้วน้อยๆเป็นเชิงถาม

            “ขันทีผู้ทำหน้าที่ประกาศไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยเตือนอีกฝ่ายไม่สนใจคิ้วเรียวของฮ่องเต้ที่เริ่มขมวดเข้าหากัน

            “แล้วอย่างไร” เหวินเจิ้งเอ่ยถามเสียงเรียบ แม้ใบหน้าจะยังคงประดับรอยยิ้ม

            “..กระหม่อมจะเข้าไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยตอบ

            “ไม่ต้อง” เหวินเจิ้งเอ่ยตัดบททันทีตั้งท่าจะเดินต่อแต่ก็ถูกอีกฝ่ายหยุดไว้

            “กระหม่อมมิได้ขออนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงกล่าวจบก็เดินนำเข้าไปทันที เหวินเจิ้งได้แต่มองอีกฝ่ายตาปริบๆ เหล่าผู้ติดตามเองก็เหงื่อซึมด้วยความหวาดหวั่น เจ้าหย่งเซิงมันไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร เหตุใดจึงได้ใจกล้าขัดคำสั่งฮ่องเต้เช่นนี้

            ในขณะที่เหวินเจิ้งกำลังชะงักก็มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากในตำหนัก เหวินเจิ้งเบิกตากว้างก่อนจะรีบเดินจนเกือบวิ่งเข้าไปในตำหนักทันที หย่งเซิงที่ได้ยินเช่นกันก็รีบปรี่เข้าไปประชิดตัวเหวินเจิ้งเพื่อระวังภัย

            ภายในตำหนักเละเทะไปด้วยเศษแจกันและข้าวของต่างๆ นางกำนัลและขันทีต่างคุกเข่าร้องไห้มองไปยังด้านบนมีร่างของสาวงามนางหนึ่งกำลังผูกคอตายอยู่บนขื่อ

            เหล่าผู้ที่ติดตามเหวินเจิ้งเข้ามาต่างอุทานด้วยความตกใจ

            “พระสนม!!”

            เหวินเจิ้งมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง เสียงร้องไห้ของเหล่านางกำนัลดังอื้ออึงสะท้อนไปมาในโสตประสาท

            “มัวทำอะไรกันอยู่ รีบนำพระสนมลงมาสิ!!” สวี่กงกงตวาดเสียงดังเหล่าทหารรีบนำตัวพระสนมลงมาทันที

            หย่งเซิงเหลือบมองเหวินเจิ้งที่ยืนจ้องมองร่างไร้วิญญาณของพระสนมด้วยแววตาผิดหวัง หย่งเซิงหรี่ตาอย่างครุ่นคิด ฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ต้องการอะไรกันแน่ ทีแรกเขาคิดว่าเหวินเจิ้งอยากจะเห็นพระสนมเต๋อเฟยมาคุกเข่าขอร้องตนให้ไว้ชีวิตใต้เท้าหลี่ แล้วก็นั่งรอดูพระนางตรอมใจตายด้วยความทุกข์ทรมาน

            แต่เมื่อเห็นดวงตาดำขลับของอีกฝ่ายฉายแววผิดหวังและเหนื่อยล้าความคิดเหล่านั้นก็อันตรธานหายไป บางที.. อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น เมื่อมองไปยังสวี่กงกงเห็นอีกฝ่ายลอบถอนหายใจด้วยความ.. โล่งอก?

            เหตุใดการตายของพระสนมเต๋อเฟยจึงทำให้สวี่กงกงรู้สึกโล่งอกได้

            ‘ฝ่าบาททรงเป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมอำมหิต หลงใหลใบหน้าทุรนทุรายของมนุษย์ ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้ที่ส่งพระองค์ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์’

            แวบหนึ่งเสียงของท่านพ่อลอยเข้ามาในหัว นี้เป็นสิ่งที่ท่านพ่อบอกเขาก่อนที่เขาจะมารับตำแหน่งราชองครักษ์ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเชื่อถือคนโลภเช่นท่านพ่อ แต่ทว่าเสียงลือเล่าอ้างก็มากมายเสียจนยากจะไม่รับฟัง

            เหวินเจิ้ง.. เจ้าโหดเหี้ยมอำมหิตจริงหรือ?

            เหวินเจิ้งค่อยๆเดินไปใกล้ร่างที่ไร้วิญญาณของพระสนมเต๋อเฟย ใบหน้านางซีดเผือกดวงตาเบิกโพลง บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตาติดอยู่เลย เหวินเจิ้งเอื้อมมือไปปิดตาที่เบิกโพลงของหญิงงาม บนใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้มอย่างที่เคยก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ

            “เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง..” ถึงแม้จะเอ่ยเพียงเบาๆ แต่เพราะห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเสียงทุ้มจึงฟังก้องกังวาน นางกำนัลคนสนิทได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกปวดใจแทนเจ้านายอย่างยิ่งจึงเผลอเอ่ยต่อว่าอย่างไม่กลัวเกรง

            “เป็นฝ่าบาทต่างหากที่ทำให้พระสนมผิดหวัง ช่วงหลายวันมานี้พระนางมีรอยยิ้มทุกวันด้วยคิดว่าพระองค์ทรงโปรดปรานนาง! แต่ที่ไหนได้ ฝ่าบาทกลับสั่งประหารชีวิตนายท่านอย่างไร้เยื่อใย พระสนมรู้สึกอดสูสิ้นหวังเสียจนคิดสั้น เป็นเพราะฝ่าบาท เป็นเพราะฝ่าบาท!”

            “บังอาจ!!” สวี่กงกงตวาดเสียงดังราชองครักษ์รีบรุดเข้ามาจับตัวนางกำนัลปากมากไว้ทันที

            เหวินเจิ้งละสายตาจากร่างไร้วิญญาณของพระสนมเต๋อเฟย หันมาหานางกำนัลที่ถูกจับกุมก่อนจะเดินเข้าไปหานางอย่างช้าๆ ริมฝีปากของเหวินเจิ้งบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มทั้งที่ดวงตาดำมืด จ้องมองนางกำนัลตัวเล็กราวกับจ้องมดปลวก

            นางกำนัลคนสนิทตัวสั่นเครือด้วยความหวาดกลัวทันที พึ่งรู้ตัวว่าตนเองได้ทำเรื่องที่โง่เขลาที่สุดลงไปเสียแล้ว

            “นางกำนัลน้อย ใต้เท้าหลี่ยักยอกเครื่องบรรณาการรวมทั้งสมคบคิดกับต่างแคว้น หากเราไม่สั่งประหารคงเป็นเหล่าราษฎร์ที่ต้องขึ้นอยู่บนขื่อนั่นแทนพระสนม” เสียงนุ่มทุ้มกดดันของเหวินเจิ้งทำให้ผู้คนที่ได้ยินต่างหนาวเหน็บ ไอแห่งอำนาจแผ่กระจายออกมาจากร่างโปร่งบางจนคนไม่กล้าสบตามองตรงๆ

           “เป็นเราหรือใต้เท้าหลี่ที่พาพระสนมไปอยู่บนนั้น” เหวินเจิ้งถามออกมาอีกคำพลางจับคางนางกำนัลคนสนิทให้เชิดมองหน้าตน นางกำนัลรีบเอ่ยตอบอย่างหวาดกลัว

           “ปะ.. เป็นใต้เท้าหลี่เพคะ” เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไปก่อนจะถามคำถามที่ทำให้ผู้คนตะลึงงัน

           “เจ้าแค้นเราหรือไม่ อยากฆ่าเราไหม” นางกำนัลรีบส่ายหัวอย่างแรง

          “หม่อมฉันไม่กล้า หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ!”

          เหวินเจิ้งมองนางกำนัลที่ส่ายหัวอย่างแรงด้วยดวงตาที่ยากจะอ่านออก

           “ตรงนี้มีจดหมายพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยขึ้นพลางเดินไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ด้านหน้าเขียนไว้ว่า ‘ฮ่องเต้เหวินเจิ้ง’

           เหวินเจิ้งมองตามร่างของหย่งเซิงที่เดินถือจดหมายมาให้ก่อนจะคลี่อ่าน

          ‘ฝ่าบาท.. หม่อมฉันไม่รู้ว่าเหตุใดพระองค์จึงเลือกหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ตั้งใจจะใช้หม่อมฉันเป็นเครื่องมือเพื่อฆ่าพระองค์ หากแต่หม่อมฉันไม่ยินยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่พระองค์คาดหวังหรอกเพคะ แม้ว่าพระองค์จะสั่งประหารท่านพ่อของหม่อมฉันย่างเลือดเย็น แต่หม่อมฉันมิอาจตัดใจสังหารพระองค์อย่างเลือดเย็นเช่นนั้นได้ พระองค์คงผิดหวังและสงสัย ฝ่าบาท.. ไม่มีหญิงสาวคนใดจะหักใจสังหารบุรุษที่นางรักอย่างลึกซึ้งได้หรอกเพคะ แต่หม่อมฉันก็จะแก้แค้นพระองค์ด้วยความตายของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะคอยเฝ้าดูสีหน้าผิดหวังและเหนื่อยล้าของพระองค์จากตรงนี้ และภาวนาให้พระองค์มิอาจสมหวังอยู่ร่ำไป.. ฝ่าบาท ขอให้พระองค์มีชีวิตยืนยาวเพคะ.. หงเอ๋อ..’

         ขอให้ข้ามีชีวิตยืนยาวหรือ..

         เหวินเจิ้งยกยิ้มก่อนจะหัวเราะเบาๆในลำคอแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงดังราวกับคนบ้าจนทำให้ผู้คนขวัญผวา

         หงเอ๋อ เจ้าทำได้เจ็บแสบนัก!

         หย่งเซิงมองเหวินเจิ้งที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของร่างโปร่งฟังดูโหยหวนจนคล้ายกับสิ้นหวังนัก

        “นาง.. นางขอให้เรามีชีวิตยืนยาว” เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะทั้งที่นัยต์ตาแดงก่ำ

       “ฝ่าบาท” สวี่กงกงเรียกอีกฝ่ายอย่างลำบากใจ ต่อไปต้องมีข่าวลือว่าฮ่องเต้เห็นร่างไร้วิญญาณของพระสนมแล้วหัวเราะชอบใจเป็นแน่..

----------------------------------------------------------

จิตตก : ใช่เเล้วเรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นเคะที่น่าสงสาร(?) ค่ะ แต่เหตุผลคืออะไรต่อรอดูกันต่อไป 5555

เรื่องนี้จะมาต่ออาทิตย์ละ 1 ตอนนะคะ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ  :hao4:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
«ตอบ #7 เมื่อ13-03-2017 20:15:57 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
«ตอบ #8 เมื่อ14-03-2017 14:13:20 »

 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
«ตอบ #9 เมื่อ14-03-2017 17:26:11 »

 :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
« ตอบ #9 เมื่อ: 14-03-2017 17:26:11 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
«ตอบ #10 เมื่อ14-03-2017 20:10:08 »

มาต่อๆๆๆๆๆๆๆ :mew1:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
«ตอบ #11 เมื่อ15-03-2017 08:50:15 »

สนุกนะ :mew1:

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
«ตอบ #12 เมื่อ23-03-2017 12:03:40 »

บทที่ 3

          ดังคาดผ่านไปเพียงสามวันก็มีข่าวลือว่าฮ่องเต้ทรงโปรดการเห็นพระศพของเหล่าพระสนมนางใน ชื่อเสียงความโหดเหี้ยมของพระองค์ยิ่งแผ่กระจายออกไปไกลจนเหล่าขุนนางต่างไม่กล้าส่งบุตรสาวเข้าวังด้วยความหวาดกลัว ทว่า..

          “ฝ่าบาท ตำแหน่งพระสนมไม่อาจว่างเว้นไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

          “ทรงแต่งตั้งนางในขึ้นเป็นพระสนมเต๋อเฟยเถิด”

          “ฝ่าบาท นี้ก็ผ่านมานานแล้วยังไม่มีวี่แววของเชื้อสายมังกรอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

          “หงเอ๋อของเราจากไปไม่ถึงเจ็ดวันดี พวกเจ้าก็อยากหาคนมาแทนที่นางเสียแล้ว” เหวินเจิ้งแสร้งทำน้ำเสียงอ่อนใจ ก่อนเอ่ยต่อ    “จริงสิ ใต้เท้าโหวบุตรสาวของท่านเป็นอย่างไร เราได้ยินว่านางโตแล้วงดงามนัก”

          “ทูลฝ่าบาท บุตรสาวของกระหม่อมยังอายุน้อยนัก..” ใต้เท้าโหวรีบเอ่ยด้วยความกังวล มีข่าวลือว่าฝ่าบาทชอบมองดูพระศพ จะให้บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนเข้าไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร

           “เรามิได้บอกว่าจะแต่งนางเสียหน่อย ท่านอย่าได้กังวลไป” เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะ วันนี้พระพักตร์ของพระองค์ดูอ่อนล้ากว่าที่เคย ราวกับคนไม่ได้นอนมาหลายวัน

           “ฝ่าบาท แต่งตั้งพระสนมจากนางในที่เคยเข้าถวายงานพระองค์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางคนอื่นรีบเสนอ เพราะกลัวว่าความซวยจะตกมายังบุตรสาวของตน

           “เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถิด มีเรื่องสำคัญมากกว่าเรื่องบนเตียงของเรามากมายนัก” เหวินเจิ้งเอ่ยตัดบท เหล่าขุนนางอาลักษณ์ต่างสะดุดกับวาจาล่อแหลมของคนเป็นฮ่องเต้จนใบหน้าแดงซ่าน

            เหตุใดสวรรค์จึงหลับหูหลับตามอบใบหน้างดงามเช่นนี้มาให้กับคนวิปริตเช่นนี้หนอ..

            เหวินเจิ้งมองผู้อาวุโสทั้งหลายในท้องพระโรงในใจอดรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ได้ เจ้าพวกคร่ำครึ!

            “เหตุใดฎีกาเรื่องทำนบกั้นน้ำพังจึงมาไม่ถึงเราเสียที” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางมองใบหน้าซีดเผือกของขุนนางในท้องพระโรง

            “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อนจึงต้องใช่เวลาอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยตอบขึ้นเสียงดังกังวาน เหล่าขุนนางรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที

            “ก็แค่ทำนบกั้นน้ำพัง มีอันใดซับซ้อน หรือขุนนางของเราไร้ความสามารถเพียงแค่เรื่องนี้ก็จัดการมิได้หรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มใสซื่อ เหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นต่างก็ลอบกลืนน้ำลาย เหตุใดฮ่องเต้จึงขยันหาเรื่องพวกเขานัก

            “เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย

            “ต้องรีบหน่อย ราษฎร์ของเรากำลังลำบาก” เหวินเจิ้งพึมพำออกมาเบาๆ จนแทบไม่มีใครได้ยินยกเว้นเพียงหย่งเซิงที่มีกำลังภายในกล้าแกร่ง ดวงตาดำสนิทจ้องมองไปยังร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์

            เหวินเจิ้ง.. ที่แท้แล้วท่านเป็นคนเช่นไร



          ท่ามกลางความมืดมิด มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งโผนทะยานออกจากตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ร่างนั้นเคลื่อนไหวแผ่วเบาและรวดเร็ว สามารถวิ่งผ่านศีรษะของทหารยามได้โดยที่ทหารยามยังไม่ทันรู้ตัว เพียงพริบตาเดียวร่างนั้นก็ออกมาอยู่นอกวังได้เป็นผลสำเร็จ

            เงาร่างโปร่งเอามือไพล่หลังพลางเดินผ่านตรอกซอกซอยอย่างช้าๆก่อนจะหยุดชะงัก ร่างโปร่งยืนนิ่งรออยู่นานก่อนจะถอนหายใจแรงๆอย่างผิดหวังหนึ่งที

            “หากไม่ได้มาสังหารเราก็ออกมาเถิด ออกมาจับตาดูเราใกล้ๆดีกว่า” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นในที่สุด

            “ฝ่าบาทรู้ตัวเร็วนัก” หย่งเซิงก้าวออกมาจากมุมมืด แสงจากพระจันทร์เต็มดวงทำให้เห็นใบหน้าของร่างสูงใหญ่ได้อย่างชัดเจน

            หย่งเซิงจ้องมองฮ่องเต้ผู้เคยสวมแต่เสื้อสีเหลืองทอง บัดนี้อยู่ในชุดสีดำรัดรูปดูทะมัดทะแม่ง ผ้าสีดำช่วยขับเน้นให้ผิวขาวสะอาดของพระองค์ยิ่งดูเปล่งกระกายมากขึ้น ดวงตาคู่งามยามต้องแสงจันทร์ดูสว่างไสว

            “เป็นเจ้านี้เอง” เหวินเจิ้งปรายตามองหย่งเซิงเล็กน้อยก่อนจะบิดมุมปากเป็นรอยยิ้มอย่างเคย “หากเจ้าตามเรามาตั้งแต่ที่ตำหนักบรรทม ก็ไม่ถือว่ารู้ตัวเร็วหรอก”

            เหวินเจิ้งเอ่ยจบก็เดินต่อทันที ไม่สนใจว่าหย่งเซิงจะตามมาหรือไม่

            “ฝ่าบาทจะออกไปไหนค่ำมืดเช่นนี้”

            “ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนเราก็ออกไปไหนมิได้อยู่แล้ว”

            “ฝ่าบาทดูคุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองนัก”

            “เวลาเบื่อหน่ายเราก็ออกมาเที่ยวเล่นบ้าง”

            “วิชาตัวเบาของฝ่าบาทไม่เลวเลย ใครเป็นผู้ฝึกสอนให้หรือ”

            “วันนี้เจ้าพูดมากจนเราแปลกใจเลยเชียว”

            “…”

            หย่งเซิงมองใบหน้าด้านข้างที่แสนงดงามของอีกฝ่าย นี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสงสัยสนใจในตัวผู้อื่นเช่นนี้จนอดที่จะสักถามมิได้ ยิ่งนานวันเข้าอีกฝ่ายก็ยิ่งเข้ามาในมโนสำนึก เหวินเจิ้งมักจะทำให้เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้จนบางทีก็อยากผ่าสมองของอีกฝ่ายออกมาดูว่าในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่

            เหตุใดพระองค์ถึงชอบยั่วโทสะเหล่าขุนนางนัก เหตุใดบางครั้งจึงได้มีท่าทีผิดหวังเมื่อเห็นว่าเหล่าขุนนางไม่ยอมระเบิดโทสะ

            เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าพระองค์กำลังรอคอย.. ให้ใครสักคนมาปลิดชีวิตที่แสนเหน็ดเหนื่อยของพระองค์

            “เจ้าจะมองเราให้ทะลุเลยหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยขณะหันไปสบตาหย่งเซิง ดวงตาดำขลับคู่นั้นฉายแววหยอกเย้าจนหย่งเซิงต้องเก็บสายตากลับไป ใบหูคร้ามเข้มแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย เหวินเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็อดเย้าต่อมิได้ “ใบหูเจ้าดูน่ารักนัก”

            หย่งเซิงยกมือขึ้นมาเกาหูแก้เก้อ ฮ่องเต้ผู้นี้เสียสติจริงๆ คราแรกก็ชมลูกตาเขาคราวต่อมากลับชมใบหู

            “ตกลงฝ่าบาทกำลังไปที่ไหนกัน” หย่งเซิงถามขึ้นอีกครั้งน้ำเสียงฟังดูห้วนกว่าเคย แต่เหวินเจิ้งกลับมิได้เก็บมาใส่ใจ พลางตอบ

            “ที่นี้ไง” หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า พบว่าเป็นทำนบกั้นน้ำที่พังทลายจนน้ำไหลเข้าสู่ที่นา

            “ทำนบกั้นน้ำ?”

            “ใช่” เหวินเจิ้งเดินลุยน้ำเข้าไปมองดูความเสียหายที่เกิดขึ้น หย่งเซิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เหวินเจิ้งไม่สนใจว่าเสื้อผ้าจะเปื้อนดินโคลนยังคงเดินสำรวจตรวจสอบที่นาท่ามกลางแสงจันทร์โดยมีหย่งเซิงเดินตามประกบอยู่ตลอดเวลา

            “เหนื่อย” เหวินเจิ้งบ่นเบาๆพลางยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะหันกายเดินไปยังศาลานั่งพักของชาวนา หย่งเซิงเงยหน้ามองพระจันทร์คาดเดาว่าคงผ่านมาหลายเพลาแล้ว ตัวเขาที่ฝึกยุทธ์อย่างหนักมาตั้งแต่เด็กไม่มีเหงื่อซึมแม้แต่น้อย

            เหวินเจิ้งทิ้งตัวลงนอนบนศาลาอย่างเหนื่อยอ่อนโดยมีหย่งเซิงตามมานั่งข้างๆ เหนื่อยตัวที่เลอะเทอะเต็มไปด้วยโคลนไม่ทำให้อีกฝ่ายดูหม่นหมองเลยแม้แต่น้อยกลับทำให้ฮ่องเต้ผู้นี้ดูงดงามจับตา

            “หย่งเซิง กลิ่นตัวเจ้าเหมือนกบเลย” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังนอนหลับตาอยู่ เพราะพวกเขาเดินลุยนามาทำให้กลิ่นตัวไม่น่าพิศมัยนัก

            “ฝ่าบาทเองก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตอบเสียงเรียบพลางพินิจพิเคราะห์ใบหน้ายู่ยี่เพราะความเหนื่อยอ่อนของอีกฝ่าย

            “แท้จริงแล้ว เรากำลังไล่เจ้าไปนั่งไกลๆ”

            “เป็นเช่นนี้เอง”

            “…”

            “...”

            “..เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ”

            “กระหม่อมต้องอารักขาฝ่าบาท”

            “กลางทุ่งนาเช่นนี้ คงมีเพียงกบเท่านั้นที่สังหารเราได้”

            เหวินเจิ้งลืมตาลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของอีกฝ่าย

            “นั่นเจ้ากำลังหัวเราะหรือ” เหวินเจิ้งถามขึ้น น้ำเสียงเจือความตื่นเต้นอยู่หลายส่วน หย่งเซิงรีบกลั้นนหัวเราะแล้วตีหน้าขรึมเช่นเดิม

            “มิได้หัวเราะพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งแสร้งทำสีหน้าผิดหวังก่อนจะเอ่ย

            “ว้า เรานึกอยากเห็นสีหน้ายามหัวเราะของเจ้าเหลือเกิน” หย่งเซิงกระแอมไอเพื่อไล่ความรู้สึกคันยิบๆที่หัวใจ

            “ขออภัยที่ทำให้ผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งก่อนจะเหม่อมองพระจันทร์ มือบางยกขึ้นทำท่าจะไขว่คว้าอยู่หลายครั้งก่อนจะเอ่ยถามคนข้างตัว

            “พระจันทร์ที่เขาเทียนซานอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือจริงหรือ”

หย่งเซิงนิ่งมองร่างโปร่งบางข้างตัวก่อนจะเอ่ยตอบ

            “แต่ก็มิอาจไขว่คว้าอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้ม

            “เจ้ายอกย้อนเราหรือ”

            หลังจากที่คอยติดตามอารักขาเหวินเจิ้งมาเกือบเดือน เขาได้ค้นพบว่าฮ่องเต้ผู้โหดเหี้ยมอำมหิตนั้น แท้ที่จริงแล้วช่างเปราะบางนัก ในบางครั้งที่ร่างโปร่งคิดว่าไม่มีใครเห็นมักจะแสดงสีหน้าท่าทางเหนื่อยล้าออกมาบ่อยครั้ง เหวินเจิ้งเป็นกษัตริย์ที่ทำงานหนักยิ่งกว่าใครๆเขารู้ดี แม้จะเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมกับขุนนางแต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งประชาชน

            อย่างเช่นวันนี้..

            “.. ฝ่าบาทมักแอบหนีออกมานอกวังเสมอหรือพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตัดสินใจลองถามเหวินเจิ้งอีกครั้ง อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม

            “บางครั้งที่เรารู้สึกถูกปิดหูปิดตา เราก็ต้องเดินออกมาดูด้วยตนเอง”

            “วิชาตัวเบาของฝ่าบาทไม่ธรรมดาเลย วรยุทธ์ขอ..” หย่งเซิงยังเอ่ยไม่ทันจบ เหวินเจิ้งก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

            “เราทำได้เพียงวิชาตัวเบาเท่านั้น วิชาอื่นๆล้วนอ่อนด้อย” เหวินเจิ้งรีบเอ่ยราวกับกลัวว่าเขาจะคิดว่าอีกฝ่ายเก่งกาจเสียอย่างนั้น

            “เหตุใดท่านอาจารย์ของฝ่าบาทจึงสอนเพียงวิชาตัวเบากันเล่าพ่ะย่ะค่ะ” หากมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศเช่นนี้เกรงว่าอาจารย์ของฝ่าบาทคงเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่ง น่าแปลกที่สอนเพียงวิชาตัวเบาให้ลูกศิษย์

            “เพราะเรามิใช่ศิษย์ของคนผู้นั้น คนผู้นั้นเป็นอาจารย์ของพี่สามต่างหาก เราเพียงขอให้ท่านสอนวิชาตัวเบาให้เพื่อเอาไว้ใช้เวลาหนีเท่านั้น” น้ำเสียงเรียบเรื่อยฟังดูหดหู่ในความรู้สึกของหย่งเซิงจนเผลอหลุดคำถามที่ค้างคาใจออกมา

            “ฝ่าบาท.. อยากเป็นฮ่องเต้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งเหลือบตามองหย่งเซิงอย่างตกตะลึง ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง หย่งเซิงมองอากัปกิริยาน่ารักน่าเอ็นดูนั้นอย่างเผลอไผล เนินนานถึงมีเสียงหลุดออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่ม

            “เจ้าเป็นคนแรกในชีวิตที่ถามคำถามนี้กับเรา” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางส่งยิ้มให้หย่งเซิง เป็นรอยยิ้มธรรมดามิใช่การขู่ขวัญเสแสร้ง เป็นเพียงรอยยิ้มหนึ่งที่ออกมาจากใบหน้าของมนุษย์ หย่งเซิงรู้สึกคันคะเยอในใจอยากเอื้อมมือไปสัมผัสริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มนั้นเหลือเกิน

            “แล้วฝ่าบาทจะทรงตอบหรือไม่” หย่งเซิงเอ่ยถามเสียงเบา เหวินเจิ้งลุกขึ้นมานั่งข้างหย่งเซิงพลางเหม่อมองออกไปยังที่ไกลแสนไกล

            “เราอยากเป็นเพียงองค์ชายสี่ของเหล่าพี่น้องไปจนวันตาย” เสียงนุ่มทุ้มเจือความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

            “..เพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงหลอกล่อให้ผู้คนคิดสังหารพระองค์หรือ” เหวินเจิ้งได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนั้นชะงักไปเล็กน้อย

            “เจ้าฉลาดเสียจนน่ากลัว” หย่งเซิงไม่อยากได้ยินคำชมจากอีกฝ่ายเพราะนั้นหมายความว่าคนผู้นี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

            คนผู้หนึ่งต้องท้อแท้สิ้นหวังมากเพียงไรจึงได้มีความคิดที่อยากจะตายไปให้พ้นๆ

            “หย่งเซิง เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องสังหารเราจงอย่าได้ลังเล.. เราคาดหวังในตัวเจ้า” หย่งเซิงเห็นอีกฝ่ายส่งรอยยิ้มคาดหวังมาให้ หัวใจราวกับร่วงหล่นสู่พื้นจนต้องยกมือขึ้นมาทาบอกว่ามันอยู่ที่เดิมหรือไม่ เหวินเจิ้งไม่ทันเห็นท่าทีแปลกๆของหย่งเซิง เพียงแค่หันกลับไปมองพระจันทร์บนฟากฟ้าดั่งเดิม

            หย่งเซิงมองใบหน้าด้านข้างของเหวินเจิ้ง หากคนผู้นี้ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพียงแค่จินตนาการหัวใจก็ปวดหนึบจนร่างสั่นสะท้าน เขาไม่อาจรับความสูญเสียอันน่ากลัวนี้ไหว จิตใจที่บอบช้ำจนสิ้นหวังของอีกฝ่าย เขาต้องฟื้นฟูให้มันกลับมาเข้มแข็ง


            แต่เขาจะทำได้หรือ.. ในเมื่อเขาเองก็ถูกส่งมาสังหารอีกฝ่ายเช่นกัน..
------------------------------------------------------

จิตตก : เริ่มเผยอดีตของเหวินเจิ้งทีละน้อยแล้วว คอมเม้นติชมได้นะคะ

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3]
«ตอบ #13 เมื่อ23-03-2017 12:33:10 »

อดีตเริ่มเผยแล้ว ขอยาวๆเลย

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3]
«ตอบ #14 เมื่อ23-03-2017 17:35:50 »

 :mew1:

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3]
«ตอบ #15 เมื่อ23-03-2017 21:11:14 »

บอกวันที่บอกหน้าด้วยนะคะ นักอ่านคนหลังจะได้ตามง่ายๆ

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part4] [29/03/17] [P.1]
«ตอบ #16 เมื่อ29-03-2017 21:26:27 »

   
      บทที่ 4 ยาพิษ

          “อาเซิง เจ้าควรจะเริ่มลงมือเสียที” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขึ้นขณะจ้องมองบุตรชายคนรองด้วยใบหน้าเฉยชา ตอนนี้พวกเขาอยู่ในจวนสกุลหย่ง เมื่อเดือนก่อนเขาได้ส่งลูกชายของภรรยารองเข้าไปเป็นราชองรักษ์เพื่อรอเวลาลงมือ แต่เจ้าลูกคนนี้กลับยังรีรอไม่ลงมือเสียที จนเขาร้อนใจไปหมดแล้ว

            หย่งเซิงเองก็มองหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาด้วยสีหน้าเฉยชาดุจเดียวกัน

            “ข้าจะตัดสินใจเองว่าจะเริ่มลงมือเมื่อไร” เสียงทุ้มตอบกลับไปอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญจนอัครเสนาบดีหย่งต้องขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ

            “อาเซิง! เจ้าลืมข้อตกลงของเราไปแล้วหรือ”

            หย่งเซิงมองใบหน้าผู้เป็นบิดาพลางสงสัยว่าเหตุใดท่านพ่อของเขาถึงได้โหดเหี้ยมนัก

            “ท่านพ่อ การวางยาพิษฮ่องเต้มิใช่เรื่องง่ายจะทำสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร ข้ามิอยากเป็นแพะรับบาปให้พวกท่านหรอกขอรับ” หย่งเซิงพูดเสียงเหี้ยมพลางปรายตามองใบหน้าที่เริ่มเขียวคล้ำด้วยความโกรธของผู้เป็นบิดา

            ใช่.. ท่านพ่อสั่งให้เขาลอบวางยาพิษเหวินเจิ้ง ยาพิษชนิดนี้เป็นยาพิษหายาก เมื่อกินเข้าไปทีละน้อยจะทำให้อีกฝ่ายเริ่มล้มป่วยอย่างช้าๆ ต่อให้เป็นหมอเทวดาก็ยากจะตรวจพบว่าถูกพิษ

            “อาเซิง ตอนนี้ข้างกายฮ่องเต้ไม่มีคนของพระองค์อีกแล้ว” สิ้นคำของอัครเสนาบดีหย่งร่างสูงใหญ่ก็สูดหายใจด้วยความหนาวเหน็บ

            ‘ข้างกายฮ่องเต้ไม่มีคนของพระองค์อีกแล้ว’

            เขาเองก็รู้อยู่แล้ว นอกจากสวี่กงกงแล้ว ข้ารับใช้คนอื่นล้วนถูกส่งมาจับตาดูเหวินเจิ้งทั้งสิ้น และดูเหมือนเจ้าตัวก็รู้อยู่แล้ว ดังนั้นเหวินเจิ้งจึงมักจะแอบออกไปนอกวังเพื่อสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยตัวของพระองค์เอง

            พอคิดว่าคนผู้นั้นต้องใช่ชีวิตเช่นนี้มาโดยตลอดก็อดรู้สึกหนาวเหน็บมิได้ พระองค์ยืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางคมดาบที่หันเข้ามาหาพระองค์ ทว่าคมดาบเหล่านั้นกลับไม่ยอมแทงมาบนร่างของพระองค์โดยตรง ทำเพียงสร้างบาดแผลเล็กน้อยให้พระองค์รู้สึกทรมานจงใจไม่ให้พระองค์ตาย เพราะเหตุนี้พระองค์จึงได้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าใช่หรือไม่

            “เพราะเหตุใดจึงไม่สังหารพระองค์ให้ตายไปเสีย” เหตุใดต้องปล่อยให้พระองค์ทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ หย่งเซิงต่อประโยคหลังในใจ

            “เพราะคนของอดีตฮ่องเต้คอยคุ้มครองพระองค์อยู่ แต่บัดนี้ไม่มีเหลืออีกแล้ว” อัครเสนาบดีหย่งไม่ทันเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของบุตร

            “ท่านสั่งฆ่าพวกเขาหรือ” อัครเสนาบดีหย่งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะหึในลำคอก่อนจะเอ่ยตอบ

            “ใช่ แต่ก็เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น” หย่งเซิงมองบิดาอย่างสงสัย “อีกครึ่งเป็นฝีมือของฝ่าบาท”

            หย่งเซิงเบิกตากว้างอย่างหาได้ยาก แต่เพียงพริบตาเดียวสีหน้าก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม

            “เพราะเหตุใด” อัครเสนาบดีหย่งปรายตามองลูกชายก่อนจะยกยิ้ม

            “ข้าจะรู้ความคิดของฮ่องเต้เสียสติได้อย่างไร อาเซิง เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยพันธ์นี้เพียงแค่เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว”

            หย่งเซิงหลุบตาอย่างครุ่นคิดไม่ได้ตอบความอะไรอีก ก่อนจะขอตัวเดินออกมาจากจวน ระหว่างทางสวนกับหย่งหมินซึ่งกำลังเดินเข้ามาในจวนพอดี

            “น้องเซิง” หย่งหมินเอ่ยเรียกหย่งเซิงทันทีที่เห็น พร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างมาให้

            หย่งเซิงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หย่งหมินผู้นี้เป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาหลวงจึงถูกอัครเสนาบดีหย่งดูแลอย่างดีต่างกับเขาที่เกิดจากภรรยารอง ต้องถูกส่งเข้าไปเสี่ยงอันตรายวางยาพิษฮ่องเต้ เขารู้ดีหากเกิดเรื่องอะไรผิดพลาดขึ้นมา ท่านพ่อของเขาพร้อมที่จะโยนความผิดทุกอย่างให้กับเขา ให้เขาเป็นแพะรับบาปแต่เพียงผู้เดียว

            หลังจากนั้นก็อาศัยความดีความชอบสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป เพราะสายเลือดของตระกูลเหวินนั้นหายสาบสูญไปสิ้นแล้ว

            “เจ้ามีธุระอะไร” หย่งเซิงเอ่ยถาม เขาไม่ชอบเสวนากับคนโง่ หย่งหมินคือแบบอย่างของคนโง่โดยแท้

            “เจ้ากลับมาเมืองหลวงแล้วแต่ไม่ยอมมาทักทายข้าบ้างเลย หากท่านแม่รองรู้เข้าคงร้องห่มร้องไห้เสียใจที่ไม่ได้สอนมารยาทให้เจ้าก่อนตาย” คำพูดยั่วยุของหย่งหมิงไม่ได้สะกิดโทสะของหย่งเซิงแม้แต่น้อย

            “ข้าไม่รู้ว่าจะไปพบเจ้าด้วยสีหน้าอย่างไรดี หลังจากรู้ว่าเจ้าด้วนไปเสียแล้ว” หย่งหมินหน้าเขียวคล้ำขึ้นทันที กำหมัดแน่นด้วยความโมโห

            หย่งเซิงมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบเฉย หย่งหมินราวกับเด็กถูกเก็บมาเลี้ยงไม่รู้จักเก็บอารมณ์ความรู้สึก ช่างแตกต่างจากเขาและท่านพ่อเหลือเกิน

            “เจ้ารู้เช่นนั้นแล้วทำไมยังไม่ฆ่ามันอีก!” หยิ่งหมินตะโกนด้วยโทสะจนบ่าวรับใช้ต้องรีบปรี่มาเอ่ยปราม

            “คุณชาย.. ใจเย็นหน่อยขอรับ”

            “เจ้ามันโง่เกินกว่าจะอธิบาย” กล่าวจบหย่งเซิงก็เดินจากไปทันที ทิ้งให้หย่งหมินยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตรงนั้นก่อนจะตะโกนไล่หลัง

            “ก็ไม่โง่มากไปกว่าแม่ของเจ้าหรอก ไม่มีใครต้อนรับแท้ๆแต่ก็ยังอยากกระเสือกกระสนเข้ามาในศาลบรรพบุรุษตระกูลหย่ง!” เสียงตะโกนของหย่งหมินไม่ได้ทำให้หย่งเซิงสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด ร่างสูงใหญ่ยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคงไม่แม้แต่จะหันกลับมามองร่างที่ดิ้นพล่านด้วยความเดือดดาลของหย่งหมิง

 

            “หย่งเซิง เจ้าหายไปไหนมา” หย่งเซิงชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงเรียบเรื่อยอันคุ้นหู ก่อนจะหันไปมองยังต้นเสียง

            “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

            “ไม่ต้องมากพิธี เจ้ายังมิได้ตอบคำถามเราเลย” เหวินเจิ้งเอียงคอส่งยิ้มให้หย่งเซิงอย่างหยอกเย้า หย่งเซิงปรายตามองท่าทางน่ารักนั้นเพียงแวบเดียวก่อนจะหลุบตาลงต่ำ

            สวี่กงกงเหลือบมองคนทั้งสองด้วยแววตาครุ่นคิด หรือว่าฝ่าบาท.. จะมีเป้าหมายใหม่เสียแล้ว

            “กระหม่อม.. ไปปรึกษาหารือเรื่องสำคัญกับอัครเสนาบดีหย่งมาพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตอบพลางลอบมองปฏิกิริยาของเหวินเจิ้ง ไม่ยอมให้รายละเอียดเล็กน้อยบนใบหน้าของอีกฝ่ายหลุดลอดสายตาไปได้   

            สวี่กงกงเห็นนัยน์ตาของเหวินเจิ้งเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยก็เริ่มมั่นใจให้ความคิดของตนมากขึ้น มือเหี่ยวย่นกำเป็นหมัดแน่น ตัวเขาเพียงคนเดียวมิอาจหยุดยั้งฝ่าบาทได้..

            แน่นอนว่าหย่งเซิงก็เห็นประกายในดวงตาคู่งามนั้นเช่นกัน

            “พวกเจ้าเป็นพ่อลูกกันย่อมมีเรื่องอยากคุยกันมากมาย”

            “ฝ่าบาทอยากทราบหรือไม่ว่าพวกหม่อมปรึกษากันเรื่องใด” หย่งเซิงเอ่ยถาม คิดไว้ว่าหากเหวินเจิ้งอยากรู้ เขาจะตอบอีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบัง แต่ผิดคาด เขาเห็นเหวินเจิ้งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นัยน์ตาคู่งามฉายแววหวาดหวั่น แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไป

            “ไม่ เราไม่อยากรู้” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็เดินจากไปทันที หย่งเซิงหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด เมื่อกี้เขาใช่ตาฝาดไปเองหรือไม่..

            ขณะที่ตั้งใจจะเดินตามขบวนเสด็จไปพลันได้ยินเสียงเรียกของหญิงสาว

            “เซิง? อาเซิง! เจ้าคืออาเซิงหรือ” หย่งเซิงหันไปตามเสียงเรียกพบว่าเป็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขา นางใส่ชุดผ้าแพรอย่างดีคาดว่าคงเป็นนางในที่มีตำแหน่งไม่น้อย

            นางรูปร่างเพียวบาง ดวงตากลมโต จมูกเชิดรั้นริมฝีปากสีสดด้วยชาด โดยรวมแล้วเขายังนึกไม่ออกว่านางเป็นใคร

            “พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยตอบใบหน้ายังคงนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก หญิงสาวหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม

            “เจ้าจำข้ามิได้หรือ”

            “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตอบกลับอย่างไม่ลังเล ใบหน้าหญิงสาวยิ่งเผือกสีลง

            “เป็นข้าเอง เหม่ยลี่ อย่างไรเล่า” หย่งเซิงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็รีบพูดต่อ “ข้าบุตรสาวคนโตแห่งสกุลเหม่ย เป็นเพื่อนบ้านกับเจ้าเมื่อสมัยก่อน”

            เหม่ยลี่.. เหมือนกับเขาเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อน

            ‘เจ้าเลิกตามข้าเสียที’

            ‘อาเซิง มาเล่นกับลี่เอ๋อเถอะ’

            เขาจำได้แล้ว! นางเป็นเพื่อนบ้านของเขา สมัยที่เขาและท่านแม่ถูกไล่ออกมาจากตระกูลหย่ง ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุหกปีค่อนข้างเก็บตัวไม่ชอบสุงสิงกับเด็กคนอื่น แต่เหม่ยลี่กลับชอบเข้ามาป้วนเปี้ยนเดินตามเขาเสมอและเขาก็มักจะเดินหนีด้วยความรำคาน สุดท้ายเมื่อเขาอายุเจ็ดปีเขาก็ตัดสินใจตามอาจารย์ที่เป็นจอมยุทธ์ออกไปฝึกวิชาที่ภูเขาเทียนซาน หลังจากนั้นเขาก็ลืมเลือนเรื่องของเด็กคนนั้นไปจนสิ้น

            “เป็นท่านนี่เอง” หย่งเซิงค่อมหัวเล็กน้อย ปกติเขาเป็นไม่ค่อยสนใจผู้อื่นอยู่แล้ว มีคนมากมายที่เขาลืมเลือนไปเพราะไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

            เหม่ยลี่ตาเป็นประกายทันทีที่รู้ว่าหย่งเซิงจำนางได้แล้ว

            “ไม่ได้เจอกันนานเลย ท่านเปลี่ยนไปมากจนข้าเกือบจำไม่ได้เชียว” เหม่ยลี่มองหย่งเซิงอย่างเคลิบเคลิ้ม หย่งเซิงมีเค้ารางของความหล่อเหลามาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเป็นคนเงียบขรึมทำให้นางรู้สึกสนใจใคร่รู้ สุดท้ายก็เป็นนางที่ไม่อาจลืมเลือนเขาได้ ทั้งที่คิดว่าชาตินี้คงไร้วาสนาที่จะได้พบกันอีกแล้วแท้ๆ

            หย่งเซิงไม่ตอบคำเพียงค่อมหัวเล็กน้อยด้วยใบหน้าเรียบเฉย

            “ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไรหรือ เหตุใดจึงไม่ส่งข่าวคราวมาบ้าง” น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าทำให้นางกำนัลที่ตามมาข้างหลังรีบออกปากเตือน

            “นางหญิง! หากใครมาเห็นเขาจะไม่เหมาะนะเพคะ” เหม่ยลี่หันไปถลึงตาใส่นางกำนัลคนสนิท

            “ช่างปะไร อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็มิได้โปรดข้าอยู่แล้ว ข้าจะไปไหนจะคุยกับใครก็เรื่องของข้า”

            หย่งเซิงเหลือบมองใบหน้าของเหม่ยลี่เล็กน้อย นางเป็นหญิงสาวที่ได้นอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับเหวินเจิ้ง เมื่อคิดเช่นนี้ หย่งเซิงรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจ

            “กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่อยากคุยกับหญิงนางนี้อีกแล้ว กล่าวจบหย่งเซิงก็หมุนกายจะเดินจากไปทันที

            “ดะ.. เดี๋ยวสิ” เหม่ยลี่รีบผวาเอ่ยรั้งอีกฝ่าย หย่งเซิงชะงักเท้าก่อนจะหันกลับมา

            “เจ้า.. เป็นราชองครักษ์หรือ” นางเอ่ยถามอย่างหวั่นใจ

            “พ่ะย่ะค่ะ”

            เหม่ยลี่หน้าซีดลงทันที เขาเป็นราชองครักษ์ของบุรุษที่นางต้องถวายงานให้เช่นนั้นหรือ เหตุใดสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้งนางเช่นนี้

            “ถ้าไม่มีอะไรแล้วกระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงไม่สนใจใบหน้าซีดเผือกอย่างน่าสงสารของเหม่ยลี่เพียงหมุนกายเดินจากไปทันที

            เหม่ยลี่เข่าอ่อนจนนางกำนัลต้องรีบเข้ามาพยุงตัวเอาไว้

            “นายหญิง! เป็นอะไรไปเจ้าคะ” นางกำนัลถามอย่างร้อนใจ เหม่ยลี่ยกมือที่สั่นเทาห้ามมิให้นางกำนัลเสียงดัง

            “ข้าไม่เป็นไร” นางตอบทั้งที่สายตายังคงจับจ้องแผ่นหลังของบุรุษที่นางหลงรักจนมิอาจลืมเลือน

            เมื่อได้พบกันนางถึงรู้ว่าตนคิดถึงคะนึงหาอีกฝ่ายมากเพียงใด เพียงแต่นางไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นผู้หญิงของคนที่นางรักอีกแล้ว เพราะนางได้กลายเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทไปแล้ว! มือขาวเนียนกำเป็นหมัดแน่นจนเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ

            ไม่สิ! นางยังมีโอกาส ขอเพียงนางทำให้หย่งเซิงหันมารักนางได้เท่านั้นก็พอแล้ว เพราะอีกไม่นานจะไม่มีฮ่องเต้เหวินเจิ้งอีกต่อไป!

            เหม่ยลี่บิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ากลัว สวรรค์ได้ต่อวาสนาให้นางกับหย่งเซิงแล้ว และนางจะคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ไม่ยอมปล่อยเชียวล่ะ



--------------------------------

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามนะคะ

ในที่สุดตอนนี้ก็มีนางรอง(?) โผล่ออกมาแล้วว

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3] [23/03/17] [P.1]
«ตอบ #17 เมื่อ30-03-2017 11:53:47 »

มันดูลึกลับ ซ่อนเงื่อนไว้เยอะ

ออฟไลน์ tonnum18

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 83
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3] [23/03/17] [P.1]
«ตอบ #18 เมื่อ30-03-2017 16:38:29 »

อ่านครั้งเดียวทุกตอนจนหมด อ่านมาแล้วสงสารฮ่องเต้จริงๆ
เป็นเราก็คงเบื่อหน่ายอยากไปให้พ้นๆ ซะ  เมื่อไม่มีใครจริงใจ
ด้วยสักคน

ออฟไลน์ แพท

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3] [23/03/17] [P.1]
«ตอบ #19 เมื่อ01-04-2017 07:03:29 »

รออยู่น่ะค่ะ อัพบ่อยๆน่ะค่ะะะะะ  :katai4: :hao7: :katai2-1: :ling1: :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3] [23/03/17] [P.1]
« ตอบ #19 เมื่อ: 01-04-2017 07:03:29 »





ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3] [23/03/17] [P.1]
«ตอบ #20 เมื่อ01-04-2017 15:56:45 »

 :o8: :o8: :o8: :o8:  น่าสนุกกกก

ออฟไลน์ hyegena

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
«ตอบ #21 เมื่อ05-04-2017 21:19:07 »

   
         บทที่ 5 คำสั่ง

            แสงจากโคมไฟส่องให้เห็นใบหน้างดงามของร่างโปร่งบางที่จดจ่ออยู่กับการนั่งอ่านฎีกาเฉกเช่นทุกวัน บางครั้งหย่งเซิงก็นึกสงสัยว่าฎีกาเหล่านั้นมีอะไรน่าสนใจนักบ้างครั้งอีกฝ่ายจึงได้ผุดรอยยิ้มขำขัน บ้างครั้งเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน โดยรวมแล้วทุกครั้งที่เปิดอ่านมุมปากของเหวินเจิ้งจะมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ แต่แตกต่างกันที่ความรู้สึกที่แสดงออกมาเท่านั้น

            น้อยครั้งมากเท่านั้นจริงๆที่จะมีรอยยิ้มสุขใจ และทุกครั้งที่ได้มองเขารู้สึกว่ามุมปากเขาเหมือนจะบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยตามไปด้วย

            “หย่งเซิง เจ้าดูจะชอบมองเราจริงๆ” เหวินเจิ้งหันไปสบตากับหย่งเซิงที่ยืนมองมาจากทางหน้าต่าง หย่งเซิงรีบหลุบตาต่ำอย่างเก้อเขิน

            บ้าจริง!เขาเผลอเรอเช่นนี้อีกแล้ว

            ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากร่างโปร่งหย่งเซิงก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ

            “เข้ามานี่สิ” หย่งเซิงลังเลเล็กน้อยก่อนจะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไป

            “มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้พ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งมองใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงก่อนจะเลือนสายตาไปยังใบหูแดงก่ำ ในใจก็พลันรู้สึกสุขใจอย่างประหลาด

            เจ้าคนผู้นี้ช่างมีใบหูที่น่ารักนัก!

            “นั่งสิ” หย่งเซิงเงยหน้าขึ้นมองเหวินเจิ้งอย่างแปลกใจ เห็นอีกฝ่ายผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ถ้าเจ้านั่งตรงนี้จะได้เห็นหน้าเราชัดหน่อย”

           น้ำเสียงหยอกเย้าของเหวินเจิ้งทำให้หย่งเซิงหน้าแดงด้วยความโกรธ

           “มิเป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตอบปฏิเสธเสียงแข็ง

           “แต่เราชอบให้เจ้ามองนี่นา” ยิ่งเหวินเจิ้งเอียงคออย่างน่ารัก หย่งเซิงก็ยิ่งจนด้วยคำพูด จำใจนั่งลงฝั่งตรงข้ามของอีกฝ่าย

           สวี่กงกงที่ยืนรอรับใช้เหวินเจิ้งอยู่นอกห้องอดจะเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจมิได้ ปกติยามฝ่าบาทอ่านฎีกามักไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้แท้ๆ สวี่กงกงมองไปรอบๆเห็นว่าราชองครักษ์คนอื่นต่างก็ทิ้งระยะห่างจากห้องทรงพระอักษรไปไกล มีเพียงเขาและหย่งเซิงเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ใกล้

            ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมีเขาเพียงคนเดียว..

            “..ฝ่าบาท” หลังจากนั่งมองเหวินเจิ้งอยู่นาน หย่งเซิงก็ตัดสินใจถามเรื่องที่ค้างคาใจ

            “ว่ามา” เหวินเจิ้งตอบกลับทั้งที่ตายังคงไล่อ่านฎีกา

            “เหตุใดพระองค์จึงไม่ปลิดชีพตนเองเสียเล่าพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งชะงักเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายกลับ

            “เจ้าอยากรู้จริงหรือ”
 
            “พ่ะย่ะค่ะ”

            “เพราะเรากลัวเจ็บ หากต้องแทงดาบเข้ามาในอกตัวเองกว่าจะตายก็ต้องชะงักไปหลายครั้งเพราะความเจ็บปวดฟังดูทรมานเกินไป หากปาดคอไม่ลึกพอก็เจ็บเช่นกัน จมน้ำตาย..แค่กลั้นหายใจข้าก็ทรมานแล้ว ไม่นับศพที่ดูไม่น่าพิศสมัยอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกัดลิ้นมันต้องเจ็บมากแน่ๆ โดยสรุปแล้วคือเราขี้ขลาดนั้นเอง” เหวินเจิ้งอธิบายพร้อมรอยยิ้มละไม หย่งเซิงแปลกใจเล็กน้อย ที่แท้แล้วเพราะอีกฝ่ายกลัวเจ็บหรือ

            “แล้วโดนผู้อื่นสังหารจะไม่เจ็บหรือพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนั้นก็ผุดรอยยิ้มภูมิใจ

            “เช่นนั้นเราจึงเลือกเฉพาะคนที่มีความแค้นกับเราอย่างไรเล่า ผู้ที่มีความแค้นมักทุกโทสะครอบงำทำให้เวลาสังหารจะยิ่งเด็ดเดี่ยวไม่ลังเล” เหวินเจิ้งเงยหน้าสบตาหย่งเซิงก่อนจะกล่าวต่อ “แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น เพราะเจ้าเป็นวรยุทธ์ เราคิดว่าเราคงไม่ทรมานมากนัก”

            หย่งเซิงฟังแล้วรู้สึกขัดใจนัก

            “เช่นนั้นกระหม่อมจะทำให้เจ็บสุดๆ จนฝ่าบาทไม่อยากตายอีกเลยตลอดชีวิต” เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจอยู่นาน ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

            “เจ้ากำลังทำให้เราไม่อยากตายหรือ” เหวินเจิ้งจงใจใส่น้ำเสียงหยอกเย้าหวังเห็นอีกฝ่ายเก้อเขินจนทำตัวไม่ถูก แต่สิ่งที่ตอบกลับมากลายเป็นสายตาลึกซึ้งยากจะคาดเดาจนเหวินเจิ้งมึนงง

            “แล้วได้ผลหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

            เหวิ้งเจิ้งจ้องมองสายตาลึกซึ้งของอีกฝ่ายอยู่นาน ภาพความทรงจำที่แสนทรมานและสิ้นหวังประดังประดังเข้ามาจนหัวใจปวดหนึบ

            “..ข้าเหนื่อยกับชีวิตในชาตินี้เสียแล้ว” ไม่รู้อะไรดลใจให้เหวินเจิ้งกลับไปใช้สรรพนามแทนตัวว่า ‘ข้า’ กับหย่งเซิง เพราะเขาเป็นฮ่องเต้ไม่อาจพูดจาทัดเทียมกับข้าราชบริพารได้ แต่บางที.. เขาก็เหนื่อยล้าจนอยากกลับไปเป็นเพียงองค์ชายสี่ของราชวงศ์ แต่ในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับองค์ชายสี่อีกต่อไปแล้ว มีเพียงฮ่องเต้เหวินเจิ้งเท่านั้น

           หย่งเซิงมองนัยน์ตาที่สลับซับซ้อนของเหวินเจิ้งก็รู้สึกสงสารจับใจ

           “เช่นนั้นช่วงชีวิตที่เหลือของท่าน ก็หันมาพึ่งพาข้าเถิด” เหวินเจิ้งมองใบหน้าของหย่งเซิง การได้ยินใครบ้างคนพูดคุยกับเขาอย่างทัดเทียมให้ความรู้สึกสนิทสนมเช่นนี้เอง เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีเนินนานนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมานั่งบนบัลลังก์มังกรแห่งนี้ เหวิงเจิ้งมองลึกเขาไปในดวงตาดำสนิทของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล ดวงตาคู่นั้นฉายแววสงสารเวทนาและรักใคร่เอ็นดู..

           รักใคร่เอ็นดู..?

           รักใคร่เอ็นดู!!

           เหวินเจิ้งเบิกตากว้างมองใบหน้าหย่งเซิงอีกครั้งและอีกครั้ง มันก็ยังคงเป็นสายตาเช่นเดิม ทั้งที่ใบหน้าหย่งเซิงเรียบเฉยเหมือนปกติแท้ๆ แต่เหตุใดสายตาอีกฝ่ายจึงได้หวานซึ้งนัก

           หัวใจที่เคยอ่อนล้าเริ่มเต้นแรงเสียจนในหูอื้ออึงตาลาย ใบหน้างดงามร้อนซู่ รู้สึกร่างกายฟูฟองจนแทบระเบิดออก

           “ค.. ใครจะไปพึ่งพาเจ้ากัน” เสียงที่ตอบออกไปสั่นพร่าอย่าไงไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเป็นฮ่องเต้นะ เรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานก็เคยผ่านมาหมดแล้วแท้ๆ เหตุใดจึงควบคุมตนเองไม่ได้เช่นนี้

           หย่งเซิงเห็นใบหน้าเหวินเจิ้งแดงก่ำน้ำเสียงสั่นพร่าก็รู้สึกสุขใจอย่างประหลาด จ้องมองใบหน้าร้อนรนนั่นอย่างเพลิดเพลิน

           “บังอาจ! จ้องหน้าเราทำไม ออกไปได้แล้ว” ยิ่งเห็นหย่งเซิงจ้องตนก็ยิ่งรู้สึกขัดเขิน

           “ฝ่าบาทชอบให้กระหม่อมมองมิใช่หรือ” หย่งเซิงเอ่ยตอบหน้าตาย เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกจนด้วยคำพูด เป็นเขาที่ขุดหลุมดักตัวเองแท้ๆ

           เหวินเจิ้งกระแอมไอเล็กน้อยแก้เก้อก่อนจะยกฎีกาขึ้นมาอ่านต่อ เมื่อยังรู้สึกถึงสายตาของหย่งเซิงก็ยกฎีกาสูงขึ้นมาอีกจนบดบังใบหน้าจากอีกฝ่าย พยายามตั้งสมาธิการฎีกาต่อแม้ว่าจะยากเย็นเต็มที

           ฝ่ายหย่งเซิงที่เห็นท่าทางเก้อเขินของอีกฝ่ายก็รู้สึกแปลกใจ เหตุใดฮ่องเต้เสียสติผู้นี้จึงได้มีท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้หนอ

            อ่า.. มุมปากเขากำลังยกยิ้มอีกแล้ว

 

            “หย่งเซิง เจ้าเดินใกล้เรามากไปหรือไม่” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นขณะกำลังเดินไปยังห้องทรงพระอักษรหลังออกว่าราชการเสร็จ หลังจากเรื่องราวน่าประหลาดใจในห้องทรงพระอักษรวันนั้น หย่งเซิงก็ดูจะใกล้ชิดเขามากเป็นพิเศษ อย่างเช่นตอนนี้

            โดยปกติแล้วราชองครักษ์มักเดินตามหลังท้ายขบวนเสด็จ แต่หย่งเซิงกลับเดินขึ้นมาตีเสมอสวี่กงกงที่อยู่ด้านหลังเขา สวี่กงกงที่เคยเคร่งครัดกฎระเบียบเองก็ดูจะผ่อนปรนให้หย่งเซิงไม่น้อย

            “กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทชอบให้กระหม่อมมองพระพักตร์ จึงคิดว่าอยู่ใกล้ๆ คงทำให้พระองค์พอใจไม่น้อย” หย่งเซิงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย เสียงไม่สะดุด คิ้วไม่กระตุกเลยแม้แต่น้อย

            เจ้าคนผู้นี้เอ่ยเรื่องหน้าอายได้หน้าตายนัก ในเมื่อหย่งเซิงไม่อายแล้วเหตุใดเขาต้องอายด้วย

            “เช่นนั้นก็อย่าได้ละสายตาจากเราเลยเชียว” ไม่รู้ทำไมพอคำพูดนี้หลุดออกจากปากหัวใจเหวินเจิ้งก็เต้นระรัว

ไม่เขาต้องไม่แพ้!

            “พ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มมั่นคงของหย่งเซิงทำให้เหวินเจิ้งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ใบหน้างดงามแดงก่ำขึ้นเล็กน้อยในขณะที่พยายามตีหน้ายิ้มละไมอย่างเคย

            “..ดี”

            หย่งเซิงกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม โชคดีที่เหวินเจิ้งค่อยข้างเป็นคนแปลกประหลาด ที่ผ่านมาพวกข้ารับใช้ต่างเดาความคิดของพระองค์ไม่ถูก ดังนั้นเขาจะใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือ ใกล้ชิดพระองค์ให้เต็มที่

            เหล่าผู้ติดตามข้างหลังต่างลอบมองคนทั้งสองอย่างประหลาดใจ แต่ก็มิได้เก็บมาใส่ใจ ฝ่าบาทนั้นความคิดความอ่านไม่เหมือนผู้อื่น ขอเพียงยังคงทำตัวเฉกเช่นปกติพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้นาย ‘ที่แท้จริง’ ทราบ

            เหวินเจิ้งเดินต่อไปสักพักก็หยุดชะงักทำเอาเหล่านางกำนัลและราชองครักษ์ข้างหลังที่หยุดเดินไม่ทันชนต่อกันเป็นแถวๆ โชคดีที่หย่งเซิงและสวี่กงกงชะงักเท้าทันมิเช่นนั้นคงชนฮ่องเต้จนล้มครืนกันไปหมด เหวินเจิ้งปรายตามองขบวนเสด็จที่เริ่มยุ่งเหยิงเล็กน้อยก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินหนี เมื่อผู้ติดตามเห็นเช่นนั้นก็รีบสาวเท้าเดินตามแต่เมื่อเข้าใกล้ ฮ่องเต้ก็ชะงักเท้าอีกครั้ง จนขบวนเสด็จที่มักเดินกันอย่างเรียบร้อยเริ่มแตกฮือ

            เหวินเจิ้งหัวเราะในลำคอเบาๆและทำอย่างนี้อีกสองสามรอบ เมื่อเริ่มเห็นสีหน้าไม่พอใจของเหล่าข้าราชบริพารก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

            เหล่านางกำนัลและราชองครักษ์ได้และกัดฟันแน่นด้วยความขุ่นเคือง

            เจ้าฮ่องเต้เสียสติ!

            หย่งเซิงมองดูการกระทำเด็กๆของเหวินเจิ้งอย่างอ่อนใจ นี้คงเป็นวิธีระบายความเครียดและระบายความแค้นของอีกฝ่ายกระมัง เหวินเจิ้งคงรู้ถึงความคิดของสายสืบพวกนี้ดี จึงจงใจกลั่นแกล้งให้คนพวกนี้โกรธ

            เขาสังเกตว่าฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้มักกลั่นแกล้งผู้อื่นอย่างพิศดาลนัก บางครั้งจงใจทำกระดาษที่หมึกยังไม่แห้งดีปลิวใส่นางกำนัล บางครั้งจงใจเดินชนขันทีให้ฎีกามากมายล่วงลงพื้น บางครั้งชักกระบี่ของราชองครักษ์ขึ้นมาทดสอบความคมด้วยการตัดเสื้อของอีกฝ่าย และบางครั้งถึงขนาดแกล้งทำท่าจะตกสระบัวเพื่อล่อให้ขันทีกับราชองครักษ์กระโดดลงไปช่วย ส่วนตัวเองก็ยืนยิ้มละไมมองดูความวุ่นวายทั้งหมดอย่างสนุกสนาน

            และทุกครั้งพระองค์ก็จงใจให้ทุกคนรู้เสียด้วยว่ากำลังถูกกลั่นแกล้ง หากทั้งหมดที่เหวินเจิ้งทำไปเป็นเพียงการเอาคืนที่ถูกทรยศหักหลังก็นับว่าแสบพอดู ทุกการกระทำของเหล่าขุนนางเหวินเจิ้งล้วนดูออกทั้งสิ้น เขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่า หากเหวินเจิ้งคิดอยากจะนั่งบัลลังก์ต่อไปจริงๆก็คงไม่มีผู้ใดสามารถฉุดฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ลงจากบัลลังก์ได้

            เพราะข้างกายฮ่องเต้เสียสติจะมีราชองครักษ์โง่งมเช่นเขาอยู่ด้วย..

-----------------------------

บทนี้แอบหวาน(?) เล็กน้อย

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันค่ะ

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
«ตอบ #22 เมื่อ06-04-2017 06:49:01 »

ตอนเป็นแค่องค์ชายเหวินเจิ้งต้องนิสัยน่ารักมากแน่ๆ
เป็นฮ่องเต้ที่น่าสงสารชะมัด

เหวินเจิ้งท่าทางท่านจะมีเหม่ยลี่เป็นคนที่อยากผลิดชีพท่านอีกคนแล้วนะ

ออฟไลน์ kiolkiol

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
«ตอบ #23 เมื่อ06-04-2017 07:57:15 »

รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
«ตอบ #24 เมื่อ06-04-2017 08:06:15 »

 :pig4:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
«ตอบ #25 เมื่อ06-04-2017 09:48:55 »

สนุกมากๆเลยมาต่อเรื่อยๆนะ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
«ตอบ #26 เมื่อ06-04-2017 13:29:49 »

 :mew1:

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
«ตอบ #27 เมื่อ06-04-2017 14:12:16 »

เหล่ยลี่แกช่างบังอาจนัก!!!

ปล.ไอพวกขุนนางข้าราชบริพารว่าฮ่องเต้เสียสติ แต่พวกแกที่จ้องจะฆ่าเค้านี่ไม่ชั่วช้ากว่าเหรอ บ้านเมืองก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น เกลียดจริงๆไอพวกคนชั่ว!!  :fire: :fire:

ออฟไลน์ นางฟ้าเชียงชุน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
«ตอบ #28 เมื่อ06-04-2017 14:31:30 »

ชอบบบบบบบบบบ ฮ่องเต้โคตรน่ารักเลย นิสัยแท้จริงขี้แกล้งมาก

ออฟไลน์ lilowria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
«ตอบ #29 เมื่อ06-04-2017 19:18:33 »

งือออออ เราชอบแนวนี่เลยยย จีนโบราณบรรยายดีๆ แบบนี้ ขอบคุณจ้า ทีมฮ่องเต้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด