บทที่ 1
ฮ่องเต้เหวินเจิ้ง ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุสิบเก้าชันษา พระองค์เป็นพระโอรสองค์ที่สี่แห่งอดีตฮ่องเต้เหวินเต๋อและพระสนมหลงเหยา ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงบัลลังก์ขององค์ชายทั้งสิบเอ็ดพระองค์ ผู้ที่สามารถฝ่าฟันมาจนถึงบัลลังก์มังกรได้สำเร็จคือองค์ชายสี่หรือเหวินเจิ้ง
สมัยที่ยังเป็นองค์ชายสี่ พระองค์ได้ชื่อว่าเป็นองค์ชายที่รูปงามที่สุด พระองค์มีดวงตาสีดำขลับ จมูกเชิดรั้น ริมฝีปากอวบอิ่ม และผิวขาวนวล รูปร่างสูงโปร่งท่วงท่าสง่างามเฉกเช่นชนชั้นสูง ใบหน้ามักจะประดับรอยยิ้มละไมเสมอ จนผู้คนกล่าวขานว่าพระองค์เป็นเทพเซียนที่กลับชาติมาเกิด จนกระทั่ง..
พระองค์ทรงใช้เลือดของเหล่าพี่น้องร่วมบิดามาเป็นบันไดขึ้นสู่บัลลังก์
หลังจากขึ้นครองราชย์พระองค์ได้สั่งประหารชีวิตพี่น้องร่วมสายเลือดสามพระองค์และเนรเทศองค์ชายอีกสี่พระองค์ ส่วนเหล่าองค์หญิงล้วนถูกจับอภิเษกสมรสเชื่อมสัมพันธ์ไปยังต่างแดนทั้งสิ้น และก่อนขึ้นครองราชย์เพียงหนึ่งวัน พระองค์ได้สั่งประหารชีวิตพระสนมชายาของพระองค์ทุกนางอย่างโหดร้าย ฮ่องเต้เหวินเจิ้งจึงเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดในประวัติศาสตร์
และเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาแห่งยุค หลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์เพียงหนึ่งปี ราษฎร์ต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขุนนางที่คดโกงเอาเปรียบประชาชนถูกลงโทษประหารชีวิตอย่างไม่มีข้อยกเว้น ด้านการศึกสามารถรวบรวมแว่นแคว้นขยายดินแดนจนเป็นที่เลื่องลือ
จึงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ประชาชนว่าแท้จริงแล้วฮ่องเต้เหวินเจิ้งนั้นเป็นทรราชผู้โหดร้ายหรือเป็นกษัตริย์ผู้รักและใส่ใจราษฎร์กันแน่
รัชสมัยเหวินเจิ้งปีที่หก
ฉึก!
เสียงธนูปักเข้าไปกลางเป้าเรียกเสียงปรบมือเบาๆ
“ฝ่าบาท ทรงพระปรีชายิ่งนัก”
“ทั้งที่ลมแรงขนาดนี้ยังยิงได้ตรงกลางเป้า”
“ยากนักที่จะหาใครยิงเข้าเป้าติดต่อกันถึงเก้าครั้ง”
เสียงชื่นชมของเหล่าขุนนางอำมาตย์ยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด
เหวินเจิ้งในชุดสีเหลืองทองปักลายมังกรยกมือขึ้นเล็กน้อย เสียงชมเซ็งแซ่เงียบหายไปทันที
“ใต้เท้ากู.. ท่านเป็นเสนาบดีฝ่ายกลาโหมแท้ๆ กลับไม่สามารถยิงธนูให้ตรงเป้าติดต่อกันเก้าครั้งหรือ” เสียงถามเนิบนาบยากจะแยกแยะอารมณ์ทำให้ใต้เท้ากูร้องแย่แล้วในใจ
“ฝ่ะ.. ฝ่าบาท กระหม่อมสามารถขอรับ” ใต้เท้ากูรีบโค้งตัวตอบอย่างน้อมนอบ เหงื่อผุดซึมที่ใบหน้าและแผ่นหลังจนเปียกชื้น ฮ่องเต้เหวินเจิ้งอารมณ์แปรปรวนมากเพียงใด เขาล้วนประจักษ์แจ้งแก่ใจ
“ใต้เท้ากูสามารถยิงติดต่อกันได้ถึงเก้าครั้งหรือ” ร่างโปร่งยังคงเอ่ยถามพลางควงลูกธนูไปมา ใต้เท้ากูเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนและควรจะตอบอย่างไรถึงจะรอดไปจากสถานการณ์นี้
“..ขอรับ” ใต้เท้ากูตอบออกไปในที่สุดไม่กล้าให้ฮ่องเต้ยืนรอคำตอบนานกว่านี้ เมื่อได้ยินเสียงฮ่องเต้หัวเราะเบาๆ ขนก็ลุกซู่ขึ้นมาทันที
“ถ้าเช่นนั้นท่านต้องแพ้เราแล้วล่ะ” สิ้นคำเหวินเจิ้งก็เปลี่ยนจากควงธนูมาเป็นขึ้นศรแล้วยิงออกไปทันที ธนูดอกนั้นทะลุผ่านลูกศรดอกแรกที่ปักอยู่บนเป้าจนแยกเป็นสองเสี่ยงก่อนจะเข้าไปปักอยู่กลางเป้าแทนที่ดอกเดิม
ใต้เท้ากูตะลึงจนตาค้าง
“ใต้เท้ากู รู้ไหมว่าทำไมเราถึงสามารถยิงเข้าเป้าติดต่อกันถึงสิบดอก” เสียงเนิบนาบยังคงดังเข้าโสตประสาทของใต้เท้ากู
“กะ.. กระหม่อม เบาปัญญา..” ใต้เท้ากูตอบเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าเหวินเจิ้งเดินเข้ามาใกล้ก็ก้มหน้าจนค้างชิดอก
“เพราะสิบดอก มันเท่ากับจำนวนพี่น้องของเราพอดี“ เหวินเจิ้งก้มลงพูดที่ข้างหูของใต้เท้ากูด้วยเสียงไม่เบานัก เหล่าขุนนางและข้ารับใช้ต่างได้ยินกันทุกคน “เราเลยต้องฝึกยิงเอาไว้ เผื่อว่าวิญญาณของพี่น้องจะมาตามจ้องล้างจองผลาญเรา เราจะได้ป้องกันตัวเองได้“
น้ำเสียงเนิบนาบนุ่มทุ้มสร้างความหวาดหวั่นให้ใต้เท้ากูไม่น้อยจนเข่าอ่อนทรุดตัวลงไป แรงกดดันมหาศาลที่แผ่ขยายออกมาจากดวงตาคู่งามทำให้เหงื่อไหลซึมเต็มแผ่นหลัง ใต้เท้าเฒ่าจำต้องรวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดเงยขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างอ้อนวอน
“ฝะ.. ฝ่าบาท”
“แย่จริง ดูเหมือนท่านจะแก่ลงไปมาก แค่ยืนนานหน่อยก็หมดแรงเสียแล้ว เดี๋ยวคงมีคนครหาว่าเราใช้งานขุนนางหนักเป็นแน่.. ทำอย่างไรดี” น้ำเสียงลำบากใจของฮ่องเต้ทำให้เหล่าขุนนางและข้ารับใช้ต่างรับรู้เป้าหมายของอีกฝ่ายในบัลดล
“กระหม่อม กระหม่อมแก่ตัวลงไปมากแล้วจริงๆพ่ะย่ะค่ะ จึงวางแผนไว้ว่าจะเกษียณ ฝ่าบาท.. ฝ่าบาททรงพระเมตตาด้วย” ใต้เท้ากูรีบตอบจนลิ้นพันกัน
“เราอนุญาต” น้ำเสียงตอบกลับฟังดูร่าเริงสดใสจนใกล้เคียงกับเสแสร้ง ใต้เท้ากูได้ยินดังนั้นเส้นเลือดที่ขมับก็เต้นตุ๊บๆ
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้ากูกัดฟันตอบ เหวินเจิ้งคงตั้งใจจะให้เขาลามือจากงานราชการเพียงแต่ไม่ยอมเอ่ยปากไล่เขาตรงๆ กลับบีบบังคับให้เขาพูดออกมาเอง
“ไม่มีปัญหา จริงสิ ไหนๆท่านก็จะเกษียณแล้ว เห็นแก่ที่ท่านทำคุณงามความดีให้กับราชสำนักมากมาย เราจะให้โอกาสท่านบริจาคทรัพย์สินแก่ราษฎร์เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน เจ้าเห็นว่าอย่างไรบ้าง” เหวินเจิ้งเอามือไพร่หลังถามเอ่ยถามอย่างใจดี
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้ากูกำหมัดแน่นก่อนจะคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณอีกฝ่ายทั้งที่ใจเคืองแค้น
เหวินเจิ้ง! เจ้าเด็กนี้มันรู้ว่าเขายักยอกเงินค่าเสบียงเป็นแน่จึงคิดจะให้เขาจ่ายคืนทั้งหมด เผลอๆเขาอาจจะต้องจ่ายมากกว่าตอนที่เขายักยอกมาก็เป็นได้
“ลุกขึ้นเถิด” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็เดินออกไปจากลานธนูทันทีโดยไม่หันกลับมามองเหล่าขุนนางที่ยืนตัวสั่นอย่างหวาดหวั่นและใต้เท้ากูที่กัดฟันกรอดจ้องมองแผ่นหลังของฮ่องเต้อย่างแค้นเคือง
ห้องทรงพระอักษร
“ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าเรื่องในวันนี้จะสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าขุนนาง” สวี่กงกงตัดสินใจเอ่ยขึ้นขณะที่เห็นฮ่องเต้กำลังเดินเข้าห้องทรงพระอักษร ร่างสูงโปร่งชะงักก่อนจะหันหลังกลับมาอย่างกะทันหัน จนทำให้ขบวนตามเสด็จต่างก็หยุดชะงักไปตามๆกัน
“ต่างคนต่างไม่พอใจ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรเสียหาย” ใบหน้างามยังคงประดับรอยยิ้ม ก่อนจะสะดุดเขากับกลุ่มราชองครักษ์ด้านหลัง
สวี่กงกงมองตามสายตาของเหวินเจิ้งก่อนจะเอ่ยแนะนำ
“เป็นราชองรักษ์กลุ่มใหม่ มาแทนกลุ่มเดิมที่พระองค์ทรงไล่ออกไปอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากำลังตำหนิเราหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจพลางเดินไปยังกลุ่มราชองครักษ์
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เดินมาหาพวกเขาต่างก็คุกเข่าทำความเคารพ
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้น” สิ้นเสียงเหล่าราชองครักษ์ก็ลุกขึ้นทั้งที่ตาหลุบต่ำ เหวินเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ถามต่อด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเป็นคนของใครกันบ้างล่ะ”
เหล่าราชองครักษ์หลายนายต่างสะดุ้งตกใจ ด้วยไม่นึกว่าฮ่องเต้จะถามตรงๆเช่นนี้
เหวินเจิ้งมองสำรวจราชองค์รักษ์ทั้งแปดนายทีละคน ตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์.. ไม่สิ ตั้งแต่เขาเป็นองค์ชายสี่ ก็มักจะมีสายของเหล่าขุนนางและองค์ชายพระองค์อื่น แฝงตัวมาเป็นคนใกล้ตัวเสมอ ทั้งขันที นางใน หรือแม้แต่เหล่าพระสนมชายาของเขาเองก็ด้วย
เขาชินชาเสียแล้วกับการถูกจับตามอง การเชื่อใจใครสักคนก็เหมือนกับการเดินบนปากเหว ไม่รู้ว่าจะมีมือยื่นมาผลักเขาตอนไหน เขาได้เรียนรู้ด้วยตนเองตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นองค์ชายสี่ผู้ใสซื่อ
“กระหม่อมเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่งพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังแทรกความคิด เหวินเจิ้งมองไปยังเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่หลังสุดของแถว ชายหนุ่มผู้นั้นมีร่างกายสูงใหญ่กำยำสีผิวครามเข้ม ดวงตาดำสนิทเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางสีอ่อน ใบหน้าเฉยแผ่รัศมีเย็นชา
“อืม.. ได้ยินว่าบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่งที่ถูกเราสั่งตัดนิ้วไปนิ้วหนึ่ง ตอนนี้เป็นใต้เท้ากรมอาญาอยู่นี่นา” เหวินเจิ้งแสร้งเอานิ้วจิ้มคางทำท่าครุ่นคิด
ตอนนั้นบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่ง หย่งจื่อ บังเอิญเดินชนเขาตอนกำลังหงุดหงิดอัครเสนาบดีหย่งพอดี เขาจึงสั่งตัดนิ้วอีกฝ่ายหนึ่งนิ้วแล้วส่งไปให้อัครเสนาบดีหย่งดู
โทษฐานที่อัครเสนาบดีหย่งบังอาจส่งคนปลอมเป็นราชองครักษ์มาคอยจับตาดูเขา เขาจัดการไล่ออกให้จนหมดตอนนี้อีกฝ่ายก็ส่งกลุ่มใหม่มาหรือนี้ แถมยัง.. เป็นบุตรชายของตน ช่างกำเริบเสิบสานนัก
“กระหม่อมเป็นบุตรชายจากภรรยารองพ่ะย่ะค่ะ พึ่งกลับมาจากการฝึกวิชา” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ทีแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายจะฮึดฮัดกัดฟันตอบเสียอีก ในใจพลันรู้สึกสนใจขึ้นมา
เหล่าราชองครักษ์ต่างแอบมองกันไปมา พวกเขาพอจะเคยได้ยินเรื่องฮ่องเต้สั่งตัดนิ้วใต้เท้ากรมอาญามาบ้าง ทุกคนในวังล้วนรู้กันดี ว่าอัครเสนาบดีหย่งกับฮ่องเต้นั้นเหมือนน้ำกับน้ำมัน มักจ้องหาเรื่องกันไปมาเสมอ แถมยังมีข่าวลือว่าอัครเสนาบดีหย่งแอบลักลอบซ่องสุมกำลังเพื่อโค่นล้มฮ่องเต้เหวินเจิ้งอีกด้วย
เหล่าขุนนางส่วนใหญ่ที่เกลียดชังเหวินเจิ้งต่างเข้าร่วมกับอัครเสนาบดีหย่งกันหมด รวมทั้งพวกเขาทุกคนเองก็ถูกเหล่าขุนนางซื้อตัวมาให้คอยจับตาดูฮ่องเต้เอาไว้ เรียกได้ว่าคนที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้เหวินเจิ้งนั้นแทบไม่มีเหลืออีกแล้วในวังหลวงแห่งนี้
“เจ้ามีชื่อว่าอะไรหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเปิดเผยฐานะตนเองขนาดนี้ ไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าหรือไรนะ
“หย่งเซิงพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความน้อมนอบทำให้เหล่าองครักษ์คนอื่นต่างตัวสั่นอย่างเป็นกังวล หากฮ่องเต้ไม่พอใจขึ้นมาพวกเขาอาจหัวขาดได้ทุกเมื่อ
“ดี! หย่งเซิงเรารับเจ้าไว้ ส่วนคนอื่นๆไปเสีย” เหวินเจิ้งส่งยิ้มละไมให้เหล่าองครักษ์อย่างใจดี ทำเอาพวกเขาเคลิ้มไปช่วงขณะก่อนที่จะรู้สึกถึงความร้ายแรงของคำพูดนั้น
“ฝ่าบาท โปรดเมตตาด้วย!” เหล่าองครักษ์ต่างคุกเข่าโขกศีรษะอ้อนวอนทันที หากพวกเขาถูกส่งกลับไปไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง
หย่งเซิงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนิ่งเฉยราวกับเป็นคนนอก เหวินเจิ้งจับตามองใบหน้าเย็นชานั้นแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หากหย่งเซิงอยากให้พวกเจ้าอยู่ เราจะอนุญาตตามนั้น” คิ้วดกดำของหย่งเซิงกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าสบตาผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้โดยตรง เห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้อยากใจกว้าง
เหล่าองครักษ์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบตามองร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิงอยากชั่งใจ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการให้พวกเขาอ้อนวอนหย่งเซิงหรือไม่ จึงทำตัวกันไม่ถูก
“กระหม่อมไม่อนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบของหย่งเซิงนำความแปลกใจมาให้เหวินเจิ้งและเหล่าข้าราชบริพารที่อยู่แถวนั้น
เหวินเจิ้งมองสำรวจหย่งเซิงอีกครั้ง คนผู้นี้ไม่ยินยอมจะอ้อนวอนเขาเช่นนั้นหรือ
ช่างเถิด..
เหวินเจิ้งหมุนกายเดินตรงเข้าไปในตำหนักทันทีไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นอีก หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เดิมทีเขาคิดว่าฮ่องเต้จะบันดาลโทสะใส่เขาเสียอีก
“ฝ่าบาท” สวี่กงกงเอ่ยเรียกเหวินเจิ้งที่กำลังก้าวพ้นเข้าไปในประตูตำหนัก เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือเล็กน้อยสวี่กงกงก็ถอนหายใจเบาๆพลางหันมาเอ่ยกับเหล่าราชองครักษ์ “ฝ่าบาทอนุญาตแล้ว พวกเจ้าก็จงทำหน้าที่ให้ดี.. ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ”
น้ำเสียงสวี่กงกงราบเรียบทว่าดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เหล่าองครักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ มีเพียงแค่หย่งเซิงเท่านั้นที่ไม่ยอมละสายตาจากสวี่กงกงที่เดินเข้าไปในตัวตำหนักอย่างครุ่นคิด
“ฝ่าบาท จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยถามขึ้นพลางรินชาไปวางไว้บนโต๊ะทรงพระอักษรอย่างใส่ใจ เมื่อเห็นว่าเหวินเจิ้งก้มหน้าก้มตาอ่านฎีกาไม่ตอบอะไรอยู่นานจึงตั้งท่าจะเดินออกไปรอที่ด้านนอกแต่กลับได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเสียก่อน
“ข้าเหนื่อยแล้ว” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่สายตายังจับจ้องที่ฎีกา นัยน์ตาสวี่กงกงไหวระริก
นานๆครั้งพระองค์จะเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้า‘ กับเขา นั้นหมายความพระองค์กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน สมัยที่พระองค์ยังเป็นเพียงองค์ชายสี่..
สวี่กงกงพยายามกลืนก้อนเหนียวหนืดลงคอก่อนจะกลั้นใจเอ่ย
“ฝ่าบาท มิสมควรเลยพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม
“เราเข้าใจแล้ว”
“กระหม่อมขอตัว” สวี่กงกงโค้งกายก่อนจะถอยออกไปนอกห้องทิ้งให้เหวินเจิ้งอยู่เพียงลำพัง
เหวินเจิ้งวางฎีกาลงบนโต๊ะอย่างเบามือ จ้องมองถ้วยชาที่สวี่กงกงเทไว้ให้อยู่นาน ก่อนจะเอื้อมไปหยิบแล้วเทน้ำชาในถ้วยทิ้งลงพื้นจนเปียกชุม รอยยิ้มที่ประดับไว้บนใบหน้าเสมอพลันมลายหายไป
เหนื่อย..
เหนื่อยเหลือเกิน..
ดวงตาคู่งามตวัดมองไปยังภาพเหมือนของอดีตฮ่องเต้เหวินเต๋อที่เขาสั่งให้คนเอามาแขวนเอาไว้ ก่อนจะแสยะยิ้มส่งให้บิดาในภาพ
“ข้ามิยอมให้ท่านได้ดั่งใจหรอก.. จับตาดูข้าเอาไว้ให้ดีเถิด ข้าจะทำให้ท่านผิดหวังจนต้องร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดเชียวล่ะ”
กล่าวจบเหวินเจิ้งปรายตามองไปยังหน้าตาเห็นเงาร่างของราชองครักษ์ผู้หนึ่ง
หย่งเซิง.. รีบหน่อย อย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียล่ะ
“วันนี้ฝ่าบาทจะค้างคืนนอกตำหนักไหมพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยถามขึ้น ด้านหลังมีขันทีห้องทะเบียนยืนรออยู่
เหวินเจิ้งเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกาพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
“มืดขนาดนี้แล้วหรือ” เอ่ยจบเหวินเจิ้งก็หันกลับมาจับจ้องขันทีห้องทะเบียนพลางยื่นมือออกไป เมื่อขันทีห้องทะเบียนเห็นเช่นนั้นก็รีบนำสมุดทะเบียนไปวางไว้บนฝ่ามือเหวินเจิ้งทันที
อืม.. ครั้งล่าสุดเขาไปหากุ้ยเฟยมางั้นหรือ
“..ฝ่าบาท มีเหล่าหญิงงามนางในที่ยังมิได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ฝ่าบาทอีกมากเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีห้องทะเบียนกลั้นใจเอ่ยขึ้น ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์มาหกปีแล้ว แต่กลับยังไม่มีวี่แววของสายเลือดมังกรเลย เขาที่เป็นขันทีฝ่ายทะเบียนรู้สึกกดดันนัก
“งั้นหรือ” เหวินเจิ้งตอบกลับเนิบๆพลางพลิกอ่านสมุดทะเบียนต่อ
“หรือว่าวันนี้จะไปหาฮองเฮาดีพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีฝ่ายทะเบียนรีบเสนอ ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็แปลกนัก อดีตฮ่องเต้ทุกยุคทุกสมัยต่างมีสนมนางในราวพันกว่าคน แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันดูจะไม่สนใจในนารีเอาเสียเลย เหล่าสนมนางในก็น้อยแสนน้อยเสียจนน่าใจหาย
ปับ!
ขันทีห้องทะเบียนสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นฮ่องเต้ปิดสมุดทะเบียนอย่างแรง ก่อนจะพลิกหน้ารัวเร็วแล้วจิ้มไปที่หน้าหน้าหนึ่ง
“เต๋อเฟยหรือ.. วันนี้ข้าจะไปตำหนักเต๋อเฟย” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็ลุกขึ้นทันที สวี่กงกงรีบจุดโคมไฟก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลให้รีบวิ่งไปแจ้งตำหนักเต๋อเฟยว่าฮ่องเต้จะเสด็จไป
เมื่อเหวินเจิ้งเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษรก็จงใจเดินช้าๆเสียจนผู้ติดตามด้านหลังเริ่มหงุดหงิดงุ่นง่าน
“เราคงต้องให้เวลาเต๋อเฟยได้แต่งตัว พรมเครื่องหอม.. จุดธูปปลุกกำหนัดเสียหน่อย” เหวินเจิ้งหันไปพูดกับสวี่กงกงเสียงดัง เหล่าผู้ติดตามต่างหน้าแดงด้วยความกระดากอายก่อนจะเปลี่ยนเป็นซีดขาวในประโยคสุดท้าย
“ฝ่าบาท” สวี่กงกงเอ่ยปรามอย่างลำบากใจ เหวินเจิ้งหัวเราะเบาๆในลำคอ
การต้องไปหาเหล่าสนมนางในกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับเขาไปนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขารู้สึกว่าพวกนางล้วนไร้เสน่ห์ อาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าพวกนางช่างเสแสร้งแสดงเก่ง หรืออาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ามีเหล่าขุนนางชักใยพวกนางอยู่เบื้องหลัง
หรืออาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่เห็นศพของพระชายาและเหล่าสนมสมัยยังเป็นองค์ชายสี่ก็มิอาจรู้ได้
เหวินเจิ้งเดินนำขบวนเสด็จไปยังสระบัว ก่อนจะหยุดยืนเอามือไพร่หลังจ้องมองดอกบัวที่อยู่ในสระเนินนาน เมื่อรู้สึกปวดคอจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อนคลายความเมื่อยขบ ชั่วขณะนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นหนึ่งในราชองครักษ์กำลังเงยหน้ามองพระจันทร์อยู่
ใบหน้าหล่อเหลาเมื่อต้องแสงจันทร์ยิ่งดูมีเสน่ห์ลึกลับ เหวินเจิ้งแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียนอีกฝ่าย
“อาเซิง” หย่งเซิงชะงักก่อนจะหันหน้ามามองเขาท่ามกลางสายตาแปลกใจของข้ารับใช้คนอื่นๆ วิธีเรียกที่สนิทสนมเช่นนี้มิควรออกมาจากปากฮ่องเต้เลย หย่งเซิงชั่งใจเล็กน้อยก่อนเดินมาตามเสียงเรียก ในใจรู้สึกขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายเรียกเขาอย่างสนิทสนม โดยปกติเขาก็เป็นคนเก็บตัวไม่ชอบสุงสิงกับใคร และยิ่งไม่ชอบให้คนอื่นมาเรียกเขาอย่างสนิทสนมเสียด้วย
เมื่อเห็นหย่งเซิงเดินเข้ามาใกล้เหวินเจิ้งก็เห็นความไม่พอใจฉายชัดในดวงตาดำสนิทของอีกฝ่าย
“ฝ่าบาท?” หย่งเซิงค่อมหัวเล็กน้อยพลางรอให้เหวินเจิ้งสั่งงาน มิคาดอีกฝ่ายกลับถามคำถามที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นต้องประหลาดใจ
“เราเรียกเจ้าว่าอาเซิงได้หรือไม่” หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขามิชอบถูกเรียกอย่างสนิทสนม แต่เมื่อเห็นดวงตาคู่งามของอีกฝ่ายเฝ้ารอคำตอบจากเขาอย่างใจจดใจจ่อก็รู้สึกคันยิบๆในหัวใจ ถ้าปฏิเสธจะเป็นเช่นไรหนอ
“เรียกหย่งเซิงเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ไวเท่าความคิด หย่งเซิงตอบปฏิเสธอย่างไร้เหยื่อใย หย่งเซิงเห็นเหวินเจิ้งยิ้มกว้างขึ้นแต่ชั่วขณะหนึ่งก็เห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายไหววูบเช่นกัน แต่เพียงแวบเดียวก็หายไปจนเขาจับไม่ถูกว่ามันเป็นอารมณ์แบบไหน
“หย่งเซิง.. เจ้าไปฝึกวิชาที่ไหนมาหรือ” หัวใจหย่งเซิงแกว่งเล็กน้อยเมือได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเช่นนั้น ความรู้สึกเสียดายวาบผ่านหัวใจ
“เขาเทียนซานพ่ะย่ะค่ะ”
“พระจันทร์ที่ภูเขาเทียนซานเหมือนที่นี้หรือไม่” เหวินเจิ้งถามขึ้นพลางมองไปยังพระจันทร์บนท้องฟ้า ก่อนหลับตาให้แสงจันทร์สาดส่องใบหน้า เกิดเป็นภาพอันงดงามตระการตา เหล่าผู้ติดตามต่างทอดถอนหายใจด้วยความชื่นชม หย่งเซิงมองสีหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายพลางตอบ
“ไม่เหมือนพ่ะย่ะค่ะ เขาเทียนซานอยู่สูงกว่าวังหลวงมากนัก ยามขึ้นไปบนยอดเขาจะเห็นพระจันทร์ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือเท่านั้น”
หลังจากมายืนใกล้ชิดกันเช่นนี้แล้วหย่งเซิงถึงพึ่งรู้ว่าเหวินเจิ้งนั้นสูงน้อยกว่าตนหนึ่งช่วงหัว ทั้งที่ยามมองอีกฝ่ายไกลๆอีกฝ่ายดูสูงสง่าเหนือผู้คนแท้ๆ
“แต่ก็ยังไขว่คว้าไว้ไม่ได้อยู่ดี” เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูราบเรียบเสียจนน่าหดหู่ เหวินเจิ้งลืมตาขึ้นมาแสยะยิ้มให้หย่งเซิงก่อนจะเดินผ่านร่างสูงใหญ่ไปยังตำหนักเต๋อเฟย
ขบวนเสด็จรีบหันขบวนกลับเดินตามร่างสูงโปร่งไปทันที หย่งเจิ้งเงยหน้ามองพระจันทร์ครึ่งดวงอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหันกายเดินตามขบวนเสด็จไป
“ฮ่องเต้เสด็จ!” เสียงขันทีแหลมสูงประกาศทันทีเมื่อเห็นขบวนเสด็จ
“ถวายพระพรเพค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ” นางกำนัลและขันทีต่างคุกเข่าลงแทบเท้า ท่ามกลางผู้คนที่คุกเข่ามีหญิงงามนางหนึ่งกลับยืนมองเหวินเจิ้งที่เดินเข้ามาใกล้ หญิงงามนางนั้นเพียงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“ฝ่าบาท” เสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้นอย่างเย้ายวน เหวิงเจิ้งยกยิ้มละไมพลางเข้าปรี่เข้าไปประคองพระสนมเต๋อเฟย-หลี่หง อย่างเอาใจ
“หงเอ๋อเหตุใดเจ้าจึงไม่รออยู่ในตำหนักเล่า อากาศเย็นเช่นนี้จะทำให้เจ้าจับไข้เอาได้” น้ำเสียงตำหนิไม่จริงจังของเหวินเจิ้งทำให้แววตาของพระสนมเต๋อเฟยไหววูบ
“หม่อมฉันอยากพบพระองค์ให้เร็วขึ้นอีกนิดเพคะ” น้ำเสียงตัดพ้อของพระสนมเต๋อเฟยทำให้มุมปากของเหวินเจิ้งยกยิ้มมากขึ้น แต่มันมิได้ส่งไปถึงดวงตา
พระสนมเต๋อเฟยเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ ฮ่องเต้พระองค์นี้โหดร้ายเย็นชานัก ยามที่พระองค์เสด็จมาที่ตำหนักเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้พูดคุยด้วย หากบังเอิญพบกันตอนกลางวันหรือนอกตำหนักพระองค์จะทำเพียงส่งรอยยิ้มละไมมาให้แล้วเดินจากไปราวกับพวกนางเป็นเพียงดอกไม้ริมทาง ไม่เคยหยุดพูดคุยด้วยแม้คำสองคำ
“วันนี้พระจันทร์สวยนัก หากหงเอ๋อไม่รังเกียจ เจ้าอยากจะกินลมชมจันทร์กับเราหรือไม่” เหวินเจิ้งไม่สนใจคำพูดประจบเอาใจของอีกฝ่าย แต่กลับชวนนางออกมาชมจันทร์แทน เหล่านางกำนัลและขันทีห้องทะเบียนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ
ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ นั้นหมายความว่าวันนี้พระองค์จะไม่ทรงร่วมอภิรมย์กับพระสนมเต๋อเฟย
แน่นอนว่าพระสนมเต๋อเฟยก็ฟังคำนัยนั้นออกจึงจึงพยายามฝืนยิ้มตอบกลับ
“แน่นอนเพคะ” กล่าวจบนางก็หันไปส่งสัญญาณให้นางกำนัลยกเก้าอี้และโต๊ะออกมาในสวน รวมถึงสุราและกับแกล้มอีกด้วย
เหวินเจิ้งประคองพระสนมเต๋อเฟยเดินมาที่สวนอย่างเอาใจใส่ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมกันลมของตนเองออกแล้วใส่ให้นางแทน
“ฝ่าบาท..”
“เรามิอยากให้เจ้าจับไข้ สวมเอาไว้เถิด” พระสนมเต๋อเฟยมองการกระทำอย่างเอาใจทุกอย่างด้วยแววตาเจ็บปวด นางรู้ว่าที่พระองค์ทำลงไปทั้งหมดคือ ‘หน้าที่’ เมื่อพระองค์ก้าวออกไปจากตำหนักแห่งนี้แล้วทั้งสองคนจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันอีกครั้ง
“ขอบพระทัยเพคะ” พระสนมเต๋อเฟยก้มหน้าซ่อนความเจ็บปวดก่อนจะเอ่ยถามหลังจากเห็นพระองค์นั่งลงแล้ว “ช่วงนี้พระองค์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”
“เราพึ่งสั่งตัดมือญาติผู้พี่ของเจ้าไปเมื่อวันก่อน นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรใหม่เลย” เหวินเจิ้งตอบพร้อมรอยยิ้มละไม
พระสนมเต๋อเฟยและเหล่าข้าราชบริพารต่างลอบกลืนน้ำลายลงคอ พระองค์จะคุยเรื่องนี้ขณะชมจันทร์จริงหรือ
“หม่อมฉันรู้สึกระอายนัก ได้ยินมาว่าญาติผู้พี่ของหม่อมฉันยักยอกเงินจากท้องพระคลังออกไปไม่น้อย” พระสนมเต๋อเฟยรีบเอ่ยอย่างเอาใจ ตอนที่นางรู้ว่าญาติผู้พี่ของนางทำอะไรลงไปนางถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ฮ่องเต้เหวินเจิ้งลงโทษขุนนางหนักหน่วงนัก ไม่สนว่าพวกเขาจะมีเชื้อสายกับพระสนมฮองเฮา เพียงพระองค์เห็นว่าสมควรก็ตัดสินโทษทันที
นางเคยได้ยินว่าหลานของฮองเฮาเคยกระทำความผิดวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ผู้คน เมื่อฮ่องเต้รู้เข้าก็สั่งตัดลิ้นโดยทันที แม้ว่าฮองเฮาจะไปคุกเข่าขอร้องก็ไม่เป็นผล หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของฮ่องเต้และฮองเฮาก็หมางเมินเหินห่าง
นางเองก็หวาดกลัวว่าจะเป็นเช่นนั้น นางรู้ว่าพระสนมชายาส่วนใหญ่ในฮ่องเต้เหวินเจิ้งนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดของตระกูล รวมถึงนางเองก็ด้วย ฮ่องเต้ทรงรู้ดีกว่าใครจึงรักษาระยะห่างกับพวกนางเรื่อยมา แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องมาหาพวกนางถึงตำหนัก พระองค์จะทรงใจดีจนทำให้หัวใจของสตรีในวังหลังสั่นไหว รวมถึงนางเองก็ด้วย
“เรามิได้พูดเพื่อให้เจ้ารู้สึกระอาย” เหวินเจิ้งเกี่ยวปอยผมของเต๋อเฟยไปทัดไว้ข้างหู
พระสนมเต๋อเฟยหน้าแดงซ่าน หากเป็นบุรุษอื่นเมื่อได้เห็นใบหน้างดงามเช่นนี้กำลังเขินอายคงใจอ่อนระทวยรีบโอบกอดนางไว้ในอ้อมอก
แต่เขามิใช่..
เขาดูแลหญิงงามอย่างอ่อนโยนทั้งที่หัวใจเฉยชา ปล่อยให้นางหลงอยู่ในวังวนของความอบอุ่นอ่อนโยนของเขา เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องกำจัดตระกูลของนาง นางจะได้เปลี่ยนจากความรักเป็นความแค้นอย่างโง่งม
เขากำลังรอคอย..
------------------------------------------------------------------------
จิตตก : เหวินเจิ้งระบบความคิดอาจจะแปลกพิกลไปบ้าง ความจริงแล้วมีสาเหตุนะคะ
