JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]  (อ่าน 50440 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
มิน่า ว่าละทำไมพี่ไปป์ยอมให้นอน ยอมช่วย รุ้จักมาก่อนี่เอง แต่เซเอ้ย สงสาร ฮ่า ๆ พี่ไปป์ถีบเซสักทีแทนเรหน่อยหมั่นไส้ค่ะ

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao3: รุกแล้วรุกอีกพี่ไปป์จะใจอ่อนให้น้องจีบจริงจังยัง

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 08


พี่ไปป์หายเข้าห้องหลังไปจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทั้งที่เจ้าตัวยังกินข้าวไม่อิ่มดีด้วยซ้ำ

เสียงทีวีกลางห้องยังคงเป็นเสียงเดียวที่ยังดังอยู่ภายในห้องที่ปราศจากเสียงสิ่งมีชีวิต

ผมนอนหลับจนเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าทวีกำลังฉายมวยไทย มองนาฬิกาบอกเวลาเกือบบ่ายสามแล้ว

ห้องนอนพี่ไปป์ยังคิดปิดสนิทอย่างเคย

และอยู่ๆ มันก็ถูกกระชากเปิดออกจนผมที่เอาแต่จ้องมันตกใจและทำตัวไม่ถูกจนเผลอกระโดดผลุงขึ้นไปนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา

“สิทธาคุณได้กลับบ้านบ้างรึเปล่า” ผมเลิกคิ้วสงสัยเพราะร้อยวันพันปีพี่ไปป์ไม่เคยถามเรื่องนี้ จำได้ว่าเจ้าตัวเคยบอกไว้ว่าเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา

“ยังไม่ได้กลับเลยครับ แล้วทำไมอยู่ๆ พี่ไปป์ถามล่ะ” เป็นเมียอ่อถึงอยากรู้เรื่องส่วนตัวไอ้เซน่ะ

“พี่ชายคุณโทรมา”

“ไม่ยักรู้ว่าพี่ไปป์สนิทกับสองด้วย แล้วนี่สนิทกับพี่โซ่ด้วยป่ะ” พี่โซ่อายุมากกว่าผม 6 ปี ถ้าพี่ไปป์บอกว่ารู้จักผมจะให้แม่ยกขันหมากมาขอพี่แกเป็นเมีย ไหนๆ ก็รู้จักทุกคนในบ้านแล้วนี่นา

“ผมจะไม่รู้จักผู้บริหารระดับสูงได้ยังไง ว่าแต่คุณเถอะจะกลับบ้านได้แล้ว ที่บ้านเป็นห่วงจะแย่” ก็ถูกของเขา พี่โซ่ทำงานกับพ่อมาตั้งแต่เรียนจบปริญญาโทแล้ว ก็ไม่แปลกที่พี่ไปป์จะรู้จัก แต่เรื่องที่ว่าที่บ้านเป็นห่วงนี่ก็แอบเห็นด้วยแต่ว่าคงห่วงไม่มากหรอก ถ้าห่วงมากก็คงโทรมาตามแล้ว

“ไล่จัง เซก็มีหัวใจนะ”

“เหรอ นึกว่าไม่มี”

“นั่นสิ เซจะมีหัวใจได้ยังไง ก็หัวใจเซให้พี่ไปป์ไปหมดแล้ว” ได้ยินเสียงถอนหายใจดังเฮ้อยาวๆ อย่าว่าแต่พี่ไปป์เลย ขนาดผมเล่นเองยังอยากจะถอนหายใจให้มุกโคตรแป้กของตัวเอง

“คุณก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะสิทธา ปีนี้อายุเท่าไหร่ 22 แล้วใช่มั้ย อายุขนาดนี้หัดคิดอะไรเองได้แล้ว”

“ไหนพี่ไปป์บอกจะไม่บังคับเซไง บอกว่าเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาไม่ใช่เหรอ”

“ผมเอาปืนจี้คุณเหรอ” ผมส่ายหัว “ถ้าผมทำอย่างนั้นกับคุณเมื่อไหร่ค่อยมาหาว่าผมบังคับ”

“เซควรไปเหรอ”

“คิดว่า”

“เซยังไม่พร้อมเจอพ่อเลยอะ หนีออกจากบ้านมาตั้งนานใครจะไปกล้าสู้หน้า เซกลัวอะ ไม่รู้ว่ากลัวอะไรแต่กลัวมากเลย” แค่คิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากันก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว

“ไม่เจอกันวันนี้ วันหน้าก็ต้องเจออยู่ดี เราหนีความกลัวตลอดไปไม่ได้หรอก ผมอยากให้คุณลองเผชิญหน้ากับมันดูซักครั้งนะ” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนโยนเช่นเดียวกับแววตาที่ใช้มองกัน

“เซควรไปเจอพ่อใช่มั้ย” แม้ตลอดมาเวลาอยู่ต่อหน้าแม่จะทำเป็นปากเก่งบอกว่าจะพิสูจน์ตัวเองแต่ที่จริงแล้วผมสำนึกตลอดแหละว่าต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดก็คือผม เพียงคืนนั้นผมไม่ดื่มจนเมาแอ๋แล้วแฮ็งค์ไปงานพ่อ ถ้าผมทำตัวให้สมกับเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านซักหน่อยผมก็คงไม่ตกอยู่ในความกลัวแบบนี้

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ”

พี่ไปป์ไม่ได้ตอบว่าควรไปหรือไม่ เป็นผมเองเสียอีกที่เพียงเห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของเขา ขามันก็รีบจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำไปเลย

พอออกจากห้องน้ำก็เห็นว่าพี่ไปป์แต่งตัวเสร็จแล้วเหมือนกันเห็นแบบนั้นแล้วก็อดเลิกคิ้วสงสัยไม่ได้

“ไปทำอะไรที่มันสบายใจกัน”

ไม่รู้หรอกว่าอะไรที่สบายใจของพี่ไปป์คืออะไร ได้แต่นั่งมองเส้นทางไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งวันหยุดถนนกรุงเทพมหานครเมืองสตรีทฟู้ดก็ยังคงคลาคล่ำไปด้วยรถรา

“คุณเคยเลี้ยงหมามั้ย” อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เคยเมื่อนานมาแล้วครับ” ตั้งแต่ตอนเรียนประถมมั้ง แต่เพราะไม่ค่อยมีเวลาดูแลพอตัวนั้นจากไปก็ไม่ได้เลี้ยงอีกเลย

“แล้วตอนนี้อยากเลี้ยงหรือเปล่า”

“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรับเลี้ยงเจ้าหินผาครับ”

“ถ้าสมมติว่าได้เลี้ยงมันคุณคิดว่าตัวเองจะเลี้ยงมันได้ดีแค่ไหน”

“ไม่ทราบครับ แต่เซจะเลี้ยงมันให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้”

“เลี้ยงให้ดีที่สุดยังไง”

“ก็...” ทั้งที่ควรจะตอบออกไปให้เต็มปากแต่กลับพบว่าในหัวของผมว่างเปล่า ไม่รู้เลยว่าการเลี้ยงหมาให้ดีต้องทำยังไง

“คุณเคยมีแฟนมั้ย” อยู่ๆ ก็ถาม และผมเองก็ยิ้มกว้างเต็มใจตอบ

“เคยครับ”

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

“คิดว่ากำลังจะมีถ้าพี่ไปป์...” ยังพูดไม่ทันจบคนข้างๆ ก็ส่ายหน้าบอกให้เงียบปากบัดเดี๋ยวนี้

“ทำไมถึงเลิกกับคนก่อน”

“ไม่เข้าใจกันหลายอย่างจนสุดที่จะยื้อ”

“มันยากใช่มั้ยล่ะการมีแฟนซักคนน่ะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“ยากเพราะต่างคนต่างก็ไม่เข้าใจกัน”

“เลี้ยงหมาง่ายกว่ามีแฟนเยอะนะ หมามันไม่นอกใจเรา ไม่ขอสิ่งของราคาแพง ไม่เรียกร้องให้จำวันครบรอบ มันแค่อยากให้เรามีเวลาให้มัน เล่นกับมัน ให้ความรัก แค่นี้คุณทำได้มั้ย” ถามเหมือนจะให้ผมเลี้ยงหินผาอย่างที่เอ่ยปากไปก่อนหน้าเลย

“คิดว่าไม่น่าเกินความสามารถ”

“ผมเชื่อคุณนะ”

“พี่ไปป์เชื่อเซจริงๆ หรือแค่อยากให้กำลังใจ”

“เชื่อจริงๆ ตอนที่ผมรู้ว่าต้องดูแลคุณในฐานะพี่เลี้ยงผมไม่อยากทำเลย” อยู่ๆ ก็วกเข้าเรื่องฝึกงานเฉยไม่มีบอกกล่าวล่วงหน้า

“เพราะเซเป็นลูกชายเจ้าของช่องเหรอ”

“ไม่หรอก เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เรื่องชาติกำเนิดเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ แต่นิสัยส่วนตัวของคุณต่างหากที่ทำให้ไม่ค่อยอยากรับงานนี้เท่าไหร่”

“เพราะเกรดเซไม่ดี”

“ก็ใช่แหละ คุณอาจจะเคยได้ยินว่าผลการเรียนวัดอะไรไม่ได้ต้องดูที่ฝีมือ แต่สำหรับผม เกรดเป็นสิ่งนึงที่วัดอะไรบางอย่างในตัวของเด็กคณะเราได้ ผมมีเพื่อนคนนึงนะ สอบเข้าได้เป็นอันดับสุดท้ายของคณะ มันเข้าใจอะไรยากมากเพราะเป็นคนสมองช้า แต่คุณเชื่อมั้ยว่าตอนจบมันจบด้วยเกรดเฉลี่ย 3.5 เลยนะ”

“โห” ผมอ้าปากร้องด้วยความทึ่ง เกรดผม 6 เทอมรวมกันยังได้ไม่ถึง 3 เลย

“มันพยายามมากกว่าคนอื่นไม่รู้กี่เท่า นอนน้อยกว่า เล่นน้อยกว่า กินเหล้าน้อยกว่า ไม่มีใครบังคับแต่ทั้งหมดที่มันทำเพราะความพยายามที่จะเป็นเหมือนคนอื่น พยายามที่จะไม่เป็นภาระของคนอื่น พยายามพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ด้อยกว่าใคร”

ได้ยินอย่างนั้นแล้วคนสมองระดับปานกลางอย่างผมรู้สึกอายเลย

“คุณไม่มีความพยายามอะไรเลย กะอีแค่เรียนให้ได้เกรดดีๆ ยังทำไม่ได้แล้วจะทำอะไรได้ ผมคิดอย่างนั้นตอนเห็นเกรดของคุณ แต่พอได้เจอตัวจริงก็พบว่าไม่ได้ต่างไปจากที่คิดเลย”

แป่ว! นึกว่าจะชม

พอทำหน้าเจื่อนพี่ไปป์กลับยิ้ม

“คุณซ่อนความสามารถไว้ลึกเกินไป เกือบจะฝึกงานเสร็จอยู่แล้วถึงดึงออกมาใช้” คงหมายถึงไอเดียรายการทีวีของพวกเรา

“นี่คือกำลังชมเนอะ”

“ใช่ กำลังชม และกำลังบอกว่าเกรดเฉลี่ยเป็นด่านแรกของการพิจารณาใครซักคนเข้าทำงาน เป็นโชคดีของคุณที่เกิดเป็นลูกชายของเจ้าของช่องทีวี แต่ถ้าคุณไม่มีความสามารถสถานะทางสังคมของคุณก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้ คุณแสดงความสามารถให้ผมเห็นแล้ว และต่อไปนี้ก็อย่าลืมแสดงความสามารถของตัวเองให้คนอื่นเห็นด้วย”







หลังจากเทศน์ผมจบไปราว 8 บท กำลังจะอ้าปากเริ่มบทต่อไปพี่ไปป์ก็เลี้ยวรถเข้ามาในคอมมูนิตี้มอลล์แห่งนึงเสียก่อน จอดรถเสร็จก็เดินนำไปอย่างคล่องแคล่ว

“ที่ที่สบายใจคือที่นี่เหรอ” ทำเพียงหันมาไหวไหล่ใส่แล้วก็เดินนำไปไม่สนใจใยดีกัน

เซ้าซี้ไปก็ไร้ประโยชน์จึงทำเพียงก้าวให้ทันเพื่อจะได้เดินข้างๆ กัน จนกระทั่งมาถึงร้าน ไม่สิ เป็นเพ็ทช๊อปกึ่งๆ คลินิกรักษาสัตว์ เพียงเปิดประตูเข้าไปก็ได้รับการทักทายอย่างเป็นกันเอง

“คุณหมอเพิ่งถามถึงคุณไปป์เมื่อวานนี่เองค่ะ” เสียงทักทายพร้อมกับรอยยิ้มหวานดังมาจากคนด้านหลังเคาน์เตอร์

“ช่วงนี้งานยุ่งมากเลยครับ แล้วนี่คุณหมออยู่มั้ยครับ”

“จะเข้ามาตอน... มาพอดีเลยค่ะ” จบประโยคของพนักงานในร้านผู้ชายตัวสูงในเสื้อเชิ้ตสีโคตรแจ่มอย่างกับหลุดออกมาจากแหยมยโสธรก็ก้าวเข้ามาเกือบประชิดตัวพี่ไปป์แล้ว

“หายไปนานเลยครับคุณไปป์นึกว่ามึงตายไปแล้ว” เขาทักทายอย่างเป็นกันเอง คงจะสนิทกันมากระดับหนึ่ง

“ว่างๆ มึงควรผ่าหมาออกจากปากตัวเองบ้างนะ”

“ช่วงนี้ไม่ว่างเลยว่ะ แล้วนี่...” หลังจากถูกเมินเฉยอยู่พักคุณหมอก็หันมาให้ความสนใจผมซักที “ใครวะ ใช่ภาระที่มึงเคยเล่าให้ฟังหรือเปล่า”

พี่ไปป์แค่ไหวไหล่ นี่ผมเริ่มเกลียดท่าทางแบบนี้ของพี่แกแล้ว ใจคอจะแนะนำผมให้เพื่อนตัวเองแบบนี้เหรอ คนก่อนก็แนะนำว่าเป็นหมา คนนี้ก็บอกว่าเป็นตัวภาระ หล่อเซ็ง

“นี่หมอแอมป์ เป็นหมอสัตว์” ผายมือไปที่เพื่อนก่อนจะผายมาที่ผม “ส่วนนี่ สิทธาน้องกูที่เคยเล่าให้ฟังว่าเป็นเจ้าของไอเดียรายการ”

“เจ๋ง” หมอแอมป์ยิ้มหวานยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างเยินยอ แอบเห็นพี่ไปป์ทำหน้าปลื้มปริ่มแล้วก็รู้สึกดี

“นั่งก่อนสิจะได้คุยกัน” หมอแอมป์นำเราไปนั่งที่ระเบียงหน้าร้านซึ่งล้อมคอกสูงประมาณเอวไว้อย่างดีเพื่อให้หมาแมวได้เดินเล่น ถ้าไม่มีป้ายหน้าร้านผมคงคิดว่าที่นี่เป็นคาเฟ่สัตว์

นั่งคุยกันพักหนึ่งน้ำผลไม้ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ

“น้องเซถ้ามีปัญหาอะไรโทรปรึกษาพี่ได้ตลอดเลยนะ” อยู่ๆ พี่แกก็ว่าอย่างนั้นพร้อมยื่นนามบัตรมาให้ ผมรับมาอย่างไม่เข้าใจนัก สำรวจดูครู่หนึ่งก่อนเก็บใส่กระเป๋า

“ขอบคุณครับ”

“ได้ข่าวว่าจีบเพื่อนพี่เหรอ ไอ้กริชบอกยังจีบยากนะ” พี่หมอแอมป์ถามอย่างคนอารมณ์ดีไม่สนใจสีหน้าเซ็งๆ ของเพื่อนสักนิด ดูๆ แล้วพี่แกก็มีความเป็นตัวของตัวเองดี เข้าทางเพื่อนไม่น่าจะใช่เรื่องยากแล้วล่ะครับ

“ยากจริงครับพี่ นี่ขอแอดเฟซยังไม่ยอมเลย”

“มันไม่ค่อยเล่นหรอก”

“แต่ถ้ามีก็ดีไงครับ จะได้ส่องเวลาคิดถึง”

“พอมั้ยทั้งคู่เลย ผมนั่งอยู่นี่นะ นินทากันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็ได้เหรอ”

“น้องมันจริงใจดีออก เอามือถือมาสิ” พี่แอมป์แบมือมาตรงหน้า “มันไม่ยอมให้ใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ให้เอง” เท่านั้นแหละรีบปลดล็อคมือถือส่งให้พี่หมอแทบไม่ทัน

‘Pakorn Ch.’

รูปโปรไฟล์เป็นรูปเดียวกับไลน์ส่วนรูปหน้าปกเป็นท้องฟ้า ตั้งความเป็นส่วนตัวทุกอย่าง แน่นอนว่าคนที่ทำได้แค่แอดแต่เจ้าของแอคไม่ยอมรับก็ได้แต่นั่งส่องรูปโปรไฟล์กับรูปที่ถูกเพื่อนแท้กมาซึ่งมีอยู่น้อยนิดไปพลางๆ

“มึงไม่รับแอดน้องมันหน่อยวะ”

“เป็นพ่อกูเหรอแอมป์ แอดทิ้งไว้นั่นแหละถ้ากูอยากรับเดี๋ยวกูรับเอง แล้วช่วงนี้ที่คลินิกเป็นไงบ้างวะ มีคนเอาหมามาทิ้งไว้เยอะมั้ย”

“เมื่อวานมีคอกนึง 5 ตัว แต่มีคนรับเลี้ยงไปหมดแล้ว เนี่ยตัวสุดท้ายเค้าจะมารับตอนบ่ายนี้ ส่วนเจ้าสี่แสบมีคนอินบ๊อกซ์มาขอเยอะมากกูก็ได้แต่บอกปัดไป” เจ้าสี่แสบที่ถูกพูดถึงก็คือลูกหมาประจำสวนสนุกที่วัดนั่นแหละครับ หลังจากถ่ายรายการเสร็จพี่อาร์มก็พากลับมาด้วย ผมเองก็เพิ่งรู้วันนี้เหมือนกันว่าพวกมันถูกพามาอยู่ที่นี่

“พี่แอมป์หาบ้านให้หมายังไงครับ” ผมสนใจเรื่องนี้มากก็เลยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเป็นพิเศษ

“ก็ไปแฝงตัวในกรุ๊ปคนรักหมา ไปป์ก็ทำอยู่เหมือนกัน เรื่องรายการของเราก็มาจากกลุ่มนี้แหละรู้ใช่มั้ย”

“งั้นพวกพี่ก็รู้จักกันเพราะกลุ่มคนรักหมาเหรอครับ”

“ก็ไม่เชิงหรอก ตัวพี่อะรักหมาและก็อยากเป็นสัตวแพทย์อยู่แล้ว ส่วนไปป์ไม่รู้ว่ามันเล่าให้น้องฟังรึยัง”

“ถ้าเป็นเรื่องนั้น เล่าแล้วครับ”

“เล่าแล้ว” น้ำเสียงพี่แอมป์เหมือนไม่เชื่อคำผม แต่เจ้าตัวก็ไม่ซักต่อซ้ำยังโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบกันอีก “มันเปิดใจให้น้องมากแล้วนะ สู้อีกหน่อย”

พูดแบบนี้ผมนี่กำลังใจมาเต็มเลย

“นั่นแหละ เพราะต่างคนก็ต่างมีจุดหมายคล้ายๆ กัน ก็เลยกลายเป็นกลุ่ม ตอนแรกก็ลุ่มๆ ดอนๆ นะเพราะเรายังเด็กทั้งคู่ แต่โชคดีหน่อยที่ไปป์มันดัง ชื่อเสียงของมันช่วยพวกเราไว้ได้เยอะเลย”

“ชื่อเสียง พี่ไปป์เป็นคนดังด้วยเหรอ”

“อ้าวน้องไม่รู้เหรอว่าไอ้ไปป์เป็นเน็ตไอดอล นี่เกือบจะได้เป็นพระเอกละครแล้วนะถ้ามันไม่อินดี้อยากทำงานเบื้องหลังซะก่อนป่านนี้กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปแล้ว” น้ำเสียงพี่หมอแอมป์ตอนพูดถึงเพื่อนเต็มไปด้วยความภูมิอกภูมิใจแต่ผมนี่สิ รู้สึกหลังเขาอีกแล้ว เริ่มไม่มั่นใจในตัวเองแล้วสิว่าชอบพี่ไปป์จริงมั้ย ผมแม่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาซักอย่างเลย

“เวอร์ไปแอมป์ ไม่ขนาดนั้นซักหน่อย”

“เซเข้ามาตอนที่ไอ้ไปป์เรียนจบแล้วก็เลยไม่รู้ว่ามันน่ะโคตรฮ๊อต วันๆ นะมีแฟนคลับส่งขนมมาให้อย่างเยอะ ตอนนั้นไอ้กริชน้ำหนักพุ่งเกือบ 100 แน่ะ ถ้าไม่เชื่อลองถามเจ้าตัวก็ได้”

ดูเหมือนพี่แอมป์จะภูมิอกภูมิใจกับความไอดอลของเพื่อนมาก เล่าให้ผมฟังไปตานี่เป็นประกายเชียว มีก็แต่คนที่ถูกกล่าวถึงนั่นแหละที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยใส่ใจกับความโด่งดังของตัวเองเท่าไหร่นัก สีหน้าออกจะเบื่อหน่ายซะด้วยซ้ำ

“เคยถ่ายเอ็มวีด้วยเหรอ เพลงอะไรอะ เปิดให้ดูบ้างสิครับ” ผมยื่นมือถือให้พี่แอมป์ เฝ้ามองพี่แกกดชื่อเพลงในยูทูปอย่างใจจดใจจ่อ ทว่าเพิ่งจะวางนิ้วบนหน้าจอ มือถือก็ถูกฉกไปซะก่อน

พี่ไปป์เก็บมือถือของผมใส่กระเป๋าเสื้อก่อนเดินไปเล่นกับหมาพันธุ์โกเด้นรีทีฟเวอร์ที่นอนเล่นกับแมวอยู่ตรงฝั่งขวาของประตู ผมมองตามเขา ไม่ค่อยเข้าใจการแสดงออกเท่าไหร่ แปลก ปกติคนมีชื่อเสียงเขาออกจะภูมิใจในความเด่นดังนั้นแต่พี่ไปป์กลับต่างออกไป

“ไปป์มันอยู่กับคนเยอะๆ ไม่ค่อยได้ก็เลยไม่ค่อยชอบที่ตัวเองกลายเป็นคนดัง”

“ไม่ชอบก็ไม่เห็นต้องรับงานนี่ครับ”

“ใช่มั้ยล่ะ มันจะไม่รับงานก็ได้แต่มันก็ทำเพราะเรามีเจ้าพวกนั้น...” หมายถึงหมาแมวและสัตว์อื่นๆ ที่ทางกลุ่มดูแลอยู่ “เราต้องดูแลมัน รักษามัน จนกว่าจะหาเจ้าของใหม่ให้มันได้ ทุกขั้นตอนล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ลำพังขอรับบริจาคไม่พอใช้จ่ายหรอก เพราะงั้นไปป์ก็เลยคิดว่ามันเป็นคนเริ่ม มันก็ต้องรับรับผิดชอบ อะไรที่ทำให้มีรายได้มันก็เลยทำหมด”

พี่ไปป์แม่งโคตรคนดีของโลกใบนี้เลยว่ะ

“ตามสบายนะ พี่ต้องไปตรวจแล้ว สู้เค้าไอ้น้อง” พี่แอมป์ยกกำปั้นบอกไฟต์ติ้งก่อนจะกลับเข้าไปข้างในทิ้งผมกับพี่ไปป์ไว้ลำพัง

“เซทำให้พี่ไปป์อึดอัดรึเปล่า” ผมนั่งลงข้างเขา พี่ไปป์ละมือที่กำลังลูบขนเจ้าโกลเด้นก่อนจะหันมาเลิกคิ้วมองหน้ากัน

“อึดอัดสิ” ใจแป้วเลย “แต่ชินแล้ว”

“ต้องรู้สึกดีเนอะ”

“อื้อ แล้วคุณล่ะ รู้สึกยังไง”

“มีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ไปป์”

“ไม่ได้ถามเรื่องนั้น” หัวเราะกันเฉย แต่เห็นเขายิ้มได้ผมก็ปลื้มใจนะ

“แล้วถามเรื่องอะไร”

“พร้อมกลับบ้านรึยัง”

“ไม่รู้สิ” ผมตอบพร้อมกับนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น ทันใดนั้นเจ้าแมวสีน้ำตาลก็ปีนขึ้นมานอนบนตัก ผมลังเลที่จะลูบขนมันเพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับแมวนัก

“ลูบได้” พี่ไปป์ว่าพร้อมกับมือที่ยื่นมาจับมือผมแล้วพาไปลูบขนเจ้าแมวบนตักเบาๆ “ไม่ต้องกลัว แมวพวกนี้ฉีดยาหมดแล้ว ถึงถูกกัดก็ไม่เป็นบ้า”

ว่าที่แฟนผมนี่ทั้งใจดี รักสัตว์ และตลก

“แล้วถ้า...” ผมละมือข้างนั้นออกจากขนแมวที่ลูบแล้วให้ความรู้สึกโคตรดีพร้อมๆ กับละตรงท้ายประโยคเอาไว้ ยื่นมันไปวางบนไหล่คนตรงหน้า “ลูบพี่ไปป์นี่จะโดนกัดมั้ย”

มองหน้าคนที่คิ้วกระตุกเพียงนิดแล้วลูบไหล่เขาเบาๆ

รู้แล้วว่าหากเปรียบพี่ไปป์เป็นสัตว์เลี้ยงเขาโคตรเหมือนแมว เห็นนิ่งๆ นี่ไว้ใจไม่ค่อยได้หรอก ตอนนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไร

ป้าบ!!!

โอ้ย!!!

ผมร้องเมื่อละมือจากไหล่คนตรงหน้ามาลูบหัวตัวเองตรงที่ถูกตบประจำ

เห็นมั้ยบอกแล้วว่าพี่ไปป์ไว้ใจไม่ได้เลย

“เพื่อนเล่นเหรอ”

“ทำร้ายเซตลอดเลย โคตรเจ็บอะ” งอแงใส่พลางฉวยโอกาสวางศีรษะลงบนไหล่กว้าง แอบหวั่นใจเกรงว่าจะถูกตบอีกแต่ผิดคาด นอกจากไม่ตบแล้วพี่ไปป์ยังตบไหล่ผมเบาๆ คล้ายปลอบใจอีก

รู้สึกดีมากเลย

“ซบพอรึยัง”

“ยังรู้สึกดีอยู่เลย”

“มากไปแล้ว อยากโดนตบอีกเหรอ”

“ถ้าตบอีกนี่ขอซบอีกได้มั้ย”

“เอาดิ ถ้าคุณซบอีกผมก็ตบอีก มาดูกันว่าใครจะแน่กว่าใคร มือผมหรือหัวคุณ” น้ำเสียงน่ากลัวแล้วล่ะทีนี้ ถามว่าอยากซบมั้ย ก็อยาก แต่ถ้าถามว่าอยากถูกตบหัวมั้ยตอบเลยว่าไม่

“เข้าใจหมากับแมวเลย”

“เข้าใจว่า...”

“ก็เวลาถูกลูบหัวลูบไหล่มันรู้สึกดี”

“งั้นก็พร้อมจะกลับบ้านแล้วสิ”

“นี่ก็ชอบไล่กลับบ้านจัง”

“ถ้าไม่สบายใจมาเล่นกับเด็กๆ ที่นี่ได้เสมอนะ รู้จักกับคุณหมอเจ้าของคลินิกแล้วนี่ จำทางได้ใช่มั้ย”

“ที่ที่สบายใจหมายถึงที่นี่เหรอครับ”

“หรือคุณยังไม่ค่อยสบายใจ”

“เปล่าครับ การได้เล่นกับเจ้าพวกนี้ การได้อยู่กับพี่ไปป์ทำให้เซรู้สึกดีขึ้นมากเลย พี่ไปป์อยู่กับเซแล้วสบายใจมั้ย”

“โคตรลำบากใจ คิดตลอดเลยว่าเมื่อไหร่จะสลัดคุณให้หลุดออกไปซักที”

“ใจร้ายอ่ะ”

“แต่การได้เห็นคุณค่อยๆ พัฒนาตัวเองก็สนุกดี ถ้าไม่อยากให้ผมเบื่อก็อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง เข้าใจมั้ย”

จนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษา ตอนที่พี่ไปป์แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสบายๆ พี่แกก็ยังสอนผมไม่หยุดไม่หย่อน ชอบสอนขนาดนี้ทำไมไม่ไปเป็นอาจารย์ให้มันรู้แล้วรู้รอดวะครับ

“พี่ไปป์”

“หือ”

“ถ้าเซดีกับพ่อ เซก็ไม่ได้อยู่ห้องพี่ไปป์แล้วสิ”

“ก็...” เพิ่งจะเปิดปากพูดเสียงรองเท้าที่ดังอยู่ก่อนหน้าก็หยุดใกล้ๆ เราซะก่อน ทั้งผมและพี่ไปป์เงยหน้ามองผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียง ผู้ชายร่างสูงในกางเกงยีนส์สีเข้มเข้ารูป รองเท้าหนัง และเสื้อยืดพอดีตัวอวดสรีระแมนๆ จ้องมองพี่ไปป์ราวกับทั้งคู่รู้จักกัน เป็นผมที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนจากโลกอื่น

“ไปป์” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นให้พี่ไปป์ละสายตาแล้วลุกขึ้น

“เรากลับเถอะ” พี่ไปป์เอื้อมมือมาดึงผมให้ลุกขึ้นยืนข้างกัน ผมก็งงนิดหน่อยแต่เขาบอกให้ทำก็ทำอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“ไปป์คุยกันหน่อยสิ”

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” พี่ไปป์ตอบด้วยท่าทางและน้ำเสียงเฉยชาสุดฤทธิ์ ทว่าเขาคนนั้นกลับไม่มีท่าทีจะล่าถอย

“เอ็มโทรหาไปป์ตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับสายกันบ้าง”

“พอดีไม่รู้ว่าเบอร์ใครก็เลยไม่รู้ว่าจะรับทำไม”

“ไปป์...” น้ำเสียงเขาเว้าวอน พลางยื่นมือมาหวังสัมผัสตัวพี่ไปป์ทว่ายังไม่ทันถึงตัวคนที่เย็นชาตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ขยับหนีมาเบียดผมซะก่อน “ให้โอกาสเอ็มอธิบายบ้างสิ”

“คุณไปอยู่ที่ไหนมาตั้งนาน กลับมาอธิบายตอนนี้ไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยเหรอ พอเถอะเอ็ม คุณกำลังมีอนาคตที่ดี คุณคงไม่อยากให้อนาคตของคุณพังไม่เป็นท่าเพราะผมหรอก”

“ไปป์ไม่ทำหรอก ไปป์รักเอ็ม ไปป์ไม่มีทางทำร้ายเอ็ม”

“หรือคุณอยากลอง”

พี่ไปป์โหมดนี้น่ากลัวมาก สีหน้าเขาเหมือนสัตว์ร้ายที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อ น้ำเสียงนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก อย่าว่าแต่ผู้มาใหม่เลยที่นิ่งไป ผมเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“เอาไงดีล่ะ อยากลองมั้ย” พี่ไปป์ยกยิ้มร้ายที่มุมปาก วางมือข้างหนึ่งบนไหล่อีกฝ่ายแล้วตบเบาๆ

“ไปป์ไม่ทำหรอก”

“ก็ลองดู”

พี่ไปป์ผละออกมา มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบมือถือแล้วกดโทรออกต่อสายหาใครสักคนพูดคุยเกี่ยวกับแขกรับเชิญสำหรับรายการเช้าวันจันทร์

เนี่ยคนจริง ผู้ชายคนนั้นกำมือแน่นจ้องมองพี่ไปป์ที่คุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางสบายๆ ด้วยอารมณ์ที่ผมเองก็เดาไม่ถูก

“จ้างเอ็มไว้แล้วงั้นเหรอครับ เลื่อนออกไปก่อนสิ หรือจะยกเลิกเลยก็ได้นะ เดี๋ยวผมเคลียร์ให้ ยังไงเรตติ้งก็สำคัญกว่า รบกวนคุณวาวส่งเบอร์ผู้จัดการเอ็มให้ผมด้วยนะ เดี๋ยวผมจะโทรไปแคนเซิลเขา”

ได้ยินเสียงปลายสายดังลอดออกมาเบาๆ จับใจความไม่ได้ก่อนพี่ไปป์จะตัดสายแล้วกดโทรออกหาใครบางคนอีกครั้ง

คราวนี้คงเป็นคุณผู้จัดการ เพราะคนชื่อเอ็มตรงหน้าเราเบิกตากว้าง คิ้วขมวดมุ่น สีหน้าเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโกรธขณะพี่ไปป์คุยโทรศัพท์ไม่หยุด มองแล้วก็ได้แต่กังวลว่าเขาจะพุ่งเข้ามาต่อยพี่ไปป์รึเปล่า

“ไปป์...” เขากัดฟันกรอด เรียกชื่อเสียงลอดไรฟันเมื่อพี่ไปป์วางสาย

“บอกแล้วไงว่าถ้าไม่อยากมีปัญหาให้เลิกยุ่งกับผม”

พูดแค่นั้นแล้วก็เดินหนีไปเลย

พี่ไปป์แม่ง แม่ง แม่งโคตรร้าย





[T B C]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-12-2017 19:36:01 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 09


“ทำอย่างนี้จะดีเหรอพี่” ผมถามหลังจากลาพี่หมอแล้วกลับมานั่งกันในรถพร้อมกับสมาชิกตัวใหม่เป็นเจ้าสุนัขพันธุ์ไทยหนึ่งตัว

“ไม่ดีหรอก” ถึงปากจะบอกอย่างนั้นแต่สีหน้าพี่ไปป์ก็ไม่ดีเท่าไหร่ เขาดูกังวลมากทีเดียว

“อ้าว ไม่ดีแต่ก็ทำเนี่ยนะ แล้วพี่จะไม่เป็นไรเหรอ”

“เป็นสิ”

“พี่ไปป์” ผมเรียกเขาอย่างอ่อนใจ ทั้งที่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับตัวเองแต่ก็ยังทำเนี่ยนะ พี่คนนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

“เอาน่า ผมจัดการได้”

“เอ็มคนนั้นน่ะ แฟนเก่าพี่เหรอ”

“อือ” นัยน์ตาพี่ไปป์หม่นลงเมื่อตอบ

“ทำไมไม่เคลียร์กันให้จบล่ะพี่”

“ผมจบแล้ว”

“แต่เขายังไม่จบ” และดูจากท่าทางพี่คนนั้นแล้วก็ไม่น่าจะยอมจบง่ายๆ

“ก็เรื่องของเขา ไม่ใช่ปัญหาของผม”

“จะไม่ใช่ปัญหาของพี่ไปป์ได้ยังไงในเมื่อเขายังตามรังควานพี่ไปป์อยู่อย่างนี้”

“ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผมแต่ก็ขอบคุณนะที่เป็นห่วง” ผมโคตรเป็นห่วงพี่เลยรู้ป่าว อยากบอกแบบนั้นแต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ก็คิดว่าไม่พูดไปน่าจะดีกว่า

กลายเป็นว่าตอนนี้ความสบายใจที่เราตามหาถูกแทนที่ด้วยความห่วงใยที่ผมมีต่อพี่ไปป์ ส่วนความกลัวที่เคยมีก่อนหน้านี้กลับหายไป ชีวิตผมวันนึงนี่ต้องรู้สึกอะไรบ้างวะ

“แล้วเจ้าตัวนี้พี่ไปป์พามาด้วยทำไม”

“ไปหาหินผากัน”

“หืม” ผมครางในลำคออย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เฝ้าถามเขาตลอดทางแต่ก็ไม่ได้คำตอบ บอกแค่ว่าไปถึงก็รู้ จนเรามาถึงที่วัดพี่เจ้าของรถก็จูงเจ้าแตงไทยลงจากรถ มุ่งหน้าไปหาเจ้าหินผาที่ยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม

ไม่เจอกันไม่กี่วัน หากเมื่อมันเหลือบเห็นผมเจ้าหมาตัวโตก็กระดิกหาง ดวงตาของมันเป็นประกาย ลังเลว่าจะวิ่งเข้ามาหาผมดีมั้ย จนเป็นผมเองที่ก้าวยาวๆ เข้าไปหามัน ลูบหัว ลูบคอ กอดมันทีนึงแล้วผละออก

“เข้ากันได้ดีนะเนี่ย” พี่ไปป์ว่าเมื่อนั่งลงข้างๆ กัน มือเรียวยื่นไปลูบหัวหินผาอย่างที่มันเองก็หลับตาพริ้มยอมให้สัมผัสแต่โดยดี

“มันคิดถึงเซแหละพี่ไปป์”

“เราพาหินผากลับบ้านกัน” อีกครั้งที่พี่ไปป์ทำให้ผมอึ้งไปกับคำพูดของเขา “หินผา ไปอยู่กับเซนะ” พี่ไปป์จ้องตาเจ้าหินผา น้ำเสียงของเขาเว้าวอน ขอร้อง ทว่าเจ้าหินผากลับเอาแต่นั่งนิ่งไม่หือไม่อือ

“เหมือนมันจะไม่อยากไปเลยนะครับ”

“มาพยายามกันซักตั้งเถอะ”

มันไม่ง่ายเลยจริงๆ กับการพาหมาตัวนึงที่นั่งตากแดดตากลมรอเจ้านายที่มันรักสุดหัวใจออกไปจากที่ที่มันคิดว่าเขาจะกลับมาหามันที่นี่ ผมกับพี่ไปป์คุยกับมันจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแต่หินผาก็ยังคงนิ่ง มันมองเราเหมือนกำลังขอบคุณในความพยายาม แต่ขอร้องล่ะหินผาแกแทนคำขอบคุณของเราด้วยการตามเราไปไม่ได้เหรอ

“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” อยู่ๆ พี่ไปป์ก็พูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนหันไปมองเจ้าแตงไทย คุยอะไรกันบางอย่างเหมือนสื่อสารกันเข้าใจก่อนจะปลดเชือกจากคอปล่อยให้มันเป็นอิสระ

สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมที่ไม่คุ้นเคยกับสัตว์เลี้ยงถึงกับอึ้ง ภาพที่เจ้าแตงไทยเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าหินผมแล้วนั่งลง พวกมันมองหน้ากัน จ้องกันอยู่พักใหญ่ๆ เหมือนกำลังตกลงอะไรกันบางอย่าง สักพักแตงไทยก็ลุกขึ้นเดินตรงมาหาพี่ไปป์อย่างที่หินผาเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย

นี่มันอะไรกัน เมื่อกี้นี้คือพวกมันคุยกันเหรอ มันมหัศจรรย์มากเลย ผมไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้เจออะไรแบบนี้

“เป็นไง แตงไทยเจ๋งป่าว”

“โคตรเจ๋งอะพี่”

“งั้นกลับกัน หินผากลับบ้านกันนะ ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้กัน” พี่ไปป์พูดกับหินผาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนหันไปลูบหัวแตงไทยพร้อมกับขอบคุณและยอเจ้าหมามหัศจรรย์นั้นนานหลายนาทีกว่าจะเดินกลับไปที่รถ

ทั้งที่บอกว่าจะให้หินผาไปอยู่กับผม หากพี่ไปป์กลับพามันไปฝากไว้ทีคลินิกพี่แอมป์เพื่อให้ตรวจร่างกายแล้วค่อยมาส่งผมที่หน้าบ้าน ตบไหล่ให้กำลังใจในตอนที่กำลังเปิดประตูรถ

“คืนนี้ผมกลับไปนอนห้องพี่ไปป์ได้มั้ย”

“ถ้าสบายใจ” ตอบอย่างนั้นแล้วก็ผลักผมลงจากรถเลย

เมื่อกี้นี้คือคำอนุญาตถูกมั้ย







การเผชิญหน้ากับพ่อที่ผมไม่ได้เจอหน้าตัวเป็นๆ มาเกือบ 5 เดือน ทำให้ตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อ ไอ้เซใจเย็น คนที่นั่งอยู่ในบ้านนั่นพ่อมึง ไม่ใช่โจรป่า มึงจะกลัวเวอร์วังทำไม

ให้กำลังใจตัวเองด้วยการบอกไฟต์ติ้งๆ ในใจแล้วก้าวผ่านประตูเข้าไปในตัวบ้าน

ป้าสรแม่บ้านคนเก่าคนแก่เข้ามากอดผม บอกว่าคิดถึงอย่างนั้นอย่างนี้อย่างเอ็นดู ลูบหัวลูบหลังให้ผมผ่อนคลาย ถ้าตอนบอกลากันพี่ไปป์กอดผมแบบนี้บ้างคงลดอาการกลัวที่ครุกรุ่นอยู่ในอกได้เยอะเลย

“คุณหนูของป้า ทำไมผอมอย่างนี้ล่ะคะ” ป้าสรว่าด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเมื่อผละห่าง ดึงผมออกไปจนสุดแขนพิจารณาร่างกายที่ซูบผอมลงตั้งแต่หัวจรดเท้า

ช่วงนี้โหมงานหนักแทบไม่ได้นอน น้ำหนักก็เลยหายไปเยอะ กล้ามเนื้อที่เคยมีก็แฟบลง กล้ามนี่เหี่ยวแล้ว

“ไอ้เซ” ยังไม่ทันได้ตอบคำถามป้าสร ไอ้พี่สองก็เดินเข้ามากอดคอซะก่อน “ทำไมมึงไม่กลับไปนอนที่คอนโดวะ แม่คืนคีย์การ์ดให้แล้วไม่ใช่เหรอ”

“อยู่ที่อื่นสบายใจกว่าไง”

“อยู่กับพี่ไปป์อะนะ”

“อือ” ผมพยักหน้ารับคำ

“มึงรู้มั้ยว่าคนที่ออฟฟิศลือเรื่องนี้กันให้แซด”

“เรื่อง?”

“เรื่องมึงกับพี่ไปป์ไง เห็นบอกว่าช่วงนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยด้วย” ไม่เคยรู้เลยว่าคนที่ออฟฟิศเขาลือเรื่องนี้กัน แล้วพี่ไปป์ล่ะรู้หรือเปล่า

“ลือกันนานหรือยังวะพี่”

“ก็ได้ยินมาซักพักแต่ช่วงหลังนี่ลือกันหนักหน่อย สรุปยังไง อยู่ด้วยกันในฐานะอะไรวะ”

“ก็...”

“เอาไว้ตอบพ่อดีกว่าว่ะ ป่ะ แดกข้าว หิวสัด” เอ่อพี่มึงถ้าไม่อยากได้คำตอบแล้วจะถามหาพระแสงอะไร มันว่าจบก็ลากผมไปที่ห้องอาหารไม่ให้เวลาตั้งตัวเลย ฉิบหายแล้ว ถ้าพ่อถามเรื่องข่าวลือผมจะตอบยังไงวะเนี่ย

ทุกคนรวมตัวกันพร้อมหน้าในห้องอาหารแล้ว ผมไล่ทักทายทุกคนก่อนหยุดสายตาไว้ที่คนตรงหัวโต๊ะ เพียงสบตากับพ่อ ผมก็รู้สึกชาวาบไปทั้งร่างเลย

“สวัสดีครับพ่อ” ผมยกมือไหว้ พ่อพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนพยักพเยิดให้ไปนั่งที่ประจำ

“กว่าจะโผล่หัวมาได้ นั่งสิ จะได้กินข้าว”

“วันนี้ป้าสรทำแต่ของโปรดเธอทั้งนั้น” แม่ว่าแล้วเริ่มตักอาหารเข้าปาก

ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทุกคนต่างรับประทานอาหารกันอย่างเงียบเชียบ กระทั่งพ่อวางช้อนลงและหันมามองผมตรงๆ นั่นแหละผมจึงส่งข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ดื่มน้ำตาม ทำใจเตรียมพร้อมรับโทษกับสิ่งที่ทำลงไป

“รายการที่แกทำจะออนแอร์เมื่อไหร่” ไม่ใช่อย่างที่คิดนี่หว่า แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่เลี่ยงไม่พูดเรื่องความผิดของผม

“อีก 2 อาทิตย์ครับพ่อ”

“ได้ดูตัวอย่างที่ทีมงานส่งมาแล้ว รูปแบบรายการดีนี่ เห็นคุณปกรณ์บอกว่าเป็นไอเดียแก ทำงานใช้สมองก็เป็นเหรอ” ดะ เดี๋ยวนะ นี่พ่อชมหรือด่าแล้วไอ้เซควรดีใจหรือเสียใจ

“จริงๆ พี่ทีมงานเค้าก็ปูทางมาดีแล้วครับพ่อ เซแค่เสนอความเห็นนิดๆ หน่อยๆ ในส่วนที่ขาด”

“รู้จักถ่อมตัวด้วย” พ่อว่าแล้วยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก

“ลูกชายแม่โตขึ้นเยอะเลยเนี่ย” และแม่ก็ชม

“คงต้องยกความดีความชอบให้คุณปกรณ์” แหง่ะ ไอ้พี่โซ่พี่ชายคนโต วกเข้าเรื่องพี่ไปป์เฉย

“เออนั่นสิ ทำงานกับคุณปกรณ์เป็นยังไงบ้าง” เนี่ยกูจะรอดอยู่แล้วมั้ยพี่โซ่ มึงจะถามถึงเขาทำไมพ่อก็เลยคล้อยตามเลย

“พี่ปกรณ์ก็ดีครับ สอนเซทุกเรื่องเลย”

“อย่ากวนใจเขาให้มากล่ะ แล้วก็เรื่องย้ายไปอยู่กับเขาน่ะ ยังไง” พ่อก็ได้ยินข่าวลือนี้ด้วยเหมือนกันเหรอ ผมยิ้มเจื่อนแล้วเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เริ่มตั้งแต่วันที่หอบผ้าหอบผ่อนออกจากคอนโด เร่ร่อนไปนอนบ้านคนนั้นทีคนนี้ทีกระทั่งย้ายมาอยู่กับพี่ไปป์ถาวร

“แกนี่มันไม่มีเกรงใจเลยเนอะ” พี่โซ่นี่ไม่ต่างจากสองอ่ะ ซ้ำไอ้เซเข้าไปสิ น้องล้มแล้วรีบตามมากระทืบเลย

“พี่ไปป์ก็ไม่เห็นว่าอะไรเลย”

“เขาไม่ว่าหรือเขาเอือม” และแม่ก็ซ้ำอีก เอาเข้าไป ซ้ำไอ้เซเข้าไป

“แม่คืนคีย์การ์ดคอนโดให้แล้วไม่ใช่เหรอ กลับไปอยู่ที่ของตัวเองซะ ให้คุณปกรณ์เค้ามีเวลาส่วนตัวบ้าง” ไม่ตั้งใจจะรับปากอยู่แล้วก็เลยทำเป็นเงียบปากไว้ดีกว่า

“เรื่องเรียนต่อ” ทั้งที่มีแพลนไปเรียนต่อโทที่ต่างประเทศหลังเรียนจบถูกพูดถึงมาตั้งแต่จำความได้แต่ผมกลับลืมเรื่องนี้ไปเลย และเมื่อพ่อพูดขึ้นมาผมที่ไม่เคยค้านอะไรกลับไม่อยากไปขึ้นมาซะดื้อ

“เซต้องเรียนอีกตั้งเทอม”

“ก็ต้องเตรียมตัวไว้ พอไปถึงจะได้ไม่ตื่นเต้นตกใจ”

“ไม่ตกใจหรอก เซออกจะเก่ง”

“เหรอจ๊ะพ่อคนเก่ง ใครกันที่แม่ส่งไปเรียนซัมเมอร์ที่สวิสแล้วร้องไห้กลับมา” เรื่องมันก็นมนานมาแล้วนะแม่ ตอนนั้นเซเพิ่ง 9 ขวบเอง แต่หลังจากนั้นก็อยู่สบายนะ

“โหแม่ เมื่อไหร่จะล้อเรื่องนี้เนี่ย”

“เธเก็เอาช่อดอกไม้ไปขอโทษน้องเบลล่าสิ แม่นัดไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้สองทุ่มที่นี่” อะไรของแม่วะ

ผมงงแต่ก็ยื่นมือไปรับนามบัตรของร้านอาหารมาพิจารณา เรื่องขอโทษก็พอเข้าใจอยู่หรอกแต่ช่อดอกไม้นี่จำเป็นด้วยเหรอ

“แม่คงไม่คิดจะจับคู่เซกับน้องเบลล่าอะไรนั่นหรอกนะ”

“ก็คิด” นี่ก็ตรงไป

“เซไม่เอาด้วยหรอกไร้สาระจะตาย”

“ลองเปิดใจคบน้องรึยัง”

“แม่นี่มันปีอะไรแล้วยังจะคลุมถุงชนอีกเหรอ โคตรโบราณ เซไม่เอาด้วยหรอก” ผมค้านหัวชนฝา ไม่อยากเสียเวลาไปเจอเพราะไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่มีทางรักใครได้อีกทั้งที่รู้สึกกับพี่ไปป์มากขนาดนี้

“ฉันก็ไม่ได้บังคับเธอนะ ลองคุยดูก่อนถ้าชอบก็ถือว่าได้กำไร แต่ถ้าไม่ก็แค่เสมอตัว”

“ไม่ต้องคุยหรอก เซไม่ชอบ ยิ่งแม่สนับสนุนเซก็ยิ่งไม่เอา”

“แกมันดื้อ แค่เอาดอกไม้ไปขอโทษน้อง หลังจากนั้นก็แล้วแต่แก เด็กพวกนี้นี่ไม่ได้ดั่งใจซักคน” บ่นผมลามไปถึงพี่คนอื่นๆ แล้วก็ลุกจากโต๊ะตามพ่อไปอีกคน

“ท่าทางแม่จะอยากดองกับครอบครัวน้องเบลล่าอะไรนี่มากเลยเนอะ” พี่โซ่ที่กำลังซดของหวานอย่างเอร็ดอร่อยไร้มาดผู้บริหารว่าด้วยสีหน้าโคตรจะปลื้มปริ่มกับของที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปาก

“พี่ก็โดนเหรอ”

“โดนกันถ้วนหน้าแหละ มึงคนสุดท้าย” พี่สองตอบแทนขณะก้มหน้ากดมือถือยิกๆ

“สองก็โดนเหรอ ทั้งที่สองก็มีแฟนอยู่แล้วเนี่ยนะ”

“เออดิ โคตรซวย วันที่ไปกินข้าวกันอะเจอหญิงพอดี เกือบบ้านแตก” หญิงเป็นชื่อแฟนคนปัจจุบันของเฮียเขา รักมาก ถนอมมาก กลัวมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“เซ”

“ครับ” ขานรับพี่โซ่พร้อมกับหันไปมองหน้าแก

“ย้ายออกมาจากคอนโดคุณปกรณ์ซะ” ไม่เคยเห็นพี่โซ่จริงจังกับเรื่องของผมเท่านี้มาก่อนเลย

“ทำไมล่ะ”

“ถ้าไม่อยากให้คุณปกรณ์เดือดร้อนเพราะข่าวลือก็ควรย้ายออกมานะ” ของหวานคำสุดท้ายถูกส่งเข้าปากหากคำพูดคำจาคนกินไม่หวานอย่างของกินเลย

“โซ่ เซกำลังจีบพี่ไปป์นะ”

“หยุดเถอะ”

“ทำไม”

“ถ้าไม่อยากให้คุณปกรณ์เดือดร้อนก็หยุดเถอะ”

“เดือดร้อนอะไรโซ่ บอกให้ละเอียดสิ บอกแค่เดือดร้อนๆ แบบนี้เซจะเข้าใจมั้ยอะ”

“บอร์ดกำลังพิจารณาเลื่อนตำแหน่งให้คุณปกรณ์ และแนวโน้มก็เป็นไปในทางที่ดี ถ้าเกิดมีข่าวว่าคุณปกรณ์คบกับลูกชายเจ้าของช่อง รู้ใช่มั้ยว่าฟีตแบคเกี่ยวการเลื่อนตำแหน่งของคุณปกรณ์จะเป็นยังไง”

“เซไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องซักหน่อย” ถ้าจะเกี่ยวก็คงเป็นความดีความชอบมากกว่า พี่ไปป์สอนควายให้เป็นคนได้ขนาดนี้ก็สมควรได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว

“พวกเราเข้าใจเซ แต่คนอื่นล่ะ คนที่ไม่รู้ล่ะ คิดว่าคุณปกรณ์จะทนรับแรงกดดันพวกนั้นได้มั้ย”

“ก็คงได้ พี่ไปป์เข้มแข็งจะตาย อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายเดือนไม่เห็นพี่แกจะเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องอะไรเลย” พี่ไปป์น่ะชิวที่สุดในสามโลก

“ไม่แสดงออกไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกนะ”

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ไม่แสดงออกก็เพราะไม่รู้สึกจริงๆ” ครั้งแรกเลยมั้งที่ผมเถียงพี่โซ่ขนาดนี้ ปกติก็ก้มหน้ารับๆ ไป เพราะเขาเป็นพี่ใหญ่ผมก็เลยเกรงใจเป็นพิเศษ

“พี่คิดว่าแกจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ซะอีก รู้ไว้ซะว่าถ้ายังทำตัวเอาแต่ใจเป็นเด็กๆ แบบนี้ คุณปกรณ์ไม่มีทางมองแกในฐานะอื่นได้หรอก นอกจากน้องคนนึง”

“โซ่จะมารู้ความรู้สึกพี่ไปป์ดีกว่าเซได้ยังไง ตอนนี้พี่ไปป์ดีกับเซมากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย และอีกเดี๋ยวเค้าจะยอมรับความรู้สึกเซ”

“งั้นเหรอ คิดไปเองรึเปล่า” น้ำเสียงพี่ชายคนโตเย้ยหยันกว่าครั้งไหนๆ ฟังแล้วก็สะอึกไปเหมือนกัน

“ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน” ยืดอกตอบด้วยความมั่นใจเกินร้อย

“แล้วถ้าพี่ถามคุณปกรณ์แล้วเขาบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับเราเลยล่ะ จะทำยังไง จะยอมตัดใจรึเปล่า” พี่โซ่ว่าพลางกดโทรศัพท์มือถือ ชะเง้อมองก็พบว่าเขากำลังต่อสายหาพี่ไปป์ ไม่เอาดิ ถึงจะเป็นพี่ชายคนโตแต่ก็ไม่มีสิทธิมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวน้องนะโว้ย

หมับ!!

ผมคว้าโทรศัพท์ในมือพี่โซ่มาตัดสายแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง ป้องกันไม่ให้ถูกแย่งคืนไป

“เซจะจัดการเรื่องนี้เอง”

“ยังไง” พี่ชายทั้งสองประสานเสียงถามอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียว ผมก้มหน้าไม่ตอบเพราะยังคิดอะไรไม่ออกในสถานการณ์คับขันแบบนี้

“เซไม่รู้ ยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่เซชอบพี่ไปป์จริงๆ นะโซ่ ชอบมากเลย เซจะหยุดได้ยังไงในเมื่อชอบเค้ามากขนาดนี้” ผมปิดหน้าตัวเองด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างด้วยความกดดันที่กระอักกระอ่วนอยู่ในอก ไม่เคยคิดว่าความรู้สึกและการกระทำของตัวเองจะส่งผลต่อคนอื่นมากขนาดนี้ ตลอดมาผมคงคิดน้อยเกินไปจริงๆ

“พี่ไม่รู้นะว่าความรู้สึกชอบของเซมันเป็นยังไง แต่พี่ก็แอบสงสัยว่าเราชอบคุณปกรณ์จริงๆ หรือแค่รู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้เค้า คุณปกรณ์ดูภายนอกเค้าเป็นคนที่ดูดุและจริงจังมาก พอเราได้อยู่ใกล้เค้าได้เห็นมุมอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นเราอาจจะแค่หวั่นไหว มันจะดีกว่ามั้ยเซถ้าเราลองถอยห่างออกมา ลองทบทวนตัวเองว่าความรู้สึกที่เรามีมันเป็นแบบไหนกันแน่ ถ้าชอบจริงๆ ก็ค่อยเดินต่อ รักกันในวันที่พร้อมมันไม่มั่นคงกว่าเหรอ”

ถามว่ามั่นคงกว่าไหม ก็คงมั่นคงกว่า แต่กว่าจะพร้อมพี่ไปป์ไม่เป็นของคนอื่นไปแล้วเหรอ







กว่าจะได้เข้าออฟฟิศอีกทีก็หลังจากเจอพ่อแล้ว 1 สัปดาห์ ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรยากาศที่นั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ขอคิดในแง่ดีก็แล้วกัน เพราะตัวพี่ไปป์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ไม่เห็นจะมีท่าทีอะไร ยังดูชิลกับการไปทำงานดีเหมือนเคย

“อย่าลืมทำรายงานส่งผมล่ะ” อีกอาทิตย์เดียวการฝึกงานก็จะสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นผมคงต้องย้ายออกจากห้องพี่ไปป์จริงๆ

“พี่ไปป์ได้ยินเรื่องข่าวลือของเรามั้ย”

“ไม่ใช่มันเงียบไปแล้วเหรอ” เขาตอบเหมือนเรากำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศกันทั้งที่ผมโคตรซีเรียส

“พี่ไปป์รู้มาตลอดแต่ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลยเนี่ยนะ”

“ต้องเดือดร้อนอะไรทำไมล่ะ เราก็อยู่ด้วยกันจริงๆ”

“มันก็จริง แต่ข่าวลือมันไม่ได้ลือด้านบวก”

“แล้วใครเขาลือเรื่องดีๆ กันล่ะ”

“พี่ไปป์ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ เซเป็นห่วงพี่นะ”

“ห่วงตัวเองเถอะ หรือถ้าห่วงผมเรื่องข่าวลือมากล่ะก็ย้ายออกไปสิ” ไปน่ะไปแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้

“ถ้าเซย้ายออกพี่ไปป์จะไม่เหงาเหรอ”

“ก็คงนิดนึงมั้ง”

“ที่จริงก็เหงาใช่มั้ยล่ะ” ได้ทีขอขยี้หน่อยเถอะ

“ก็มันชินนิดหน่อยกับภาพชีเปลือยที่นอนอยู่บนโซฟา แต่เมื่อคุณฝึกงานจบความสัมพันธ์แบบพี่เลี้ยงกับน้องฝึกงานของเราก็จบลงด้วย เมื่อถึงตอนนั้นผมก็เป็นแค่พนักงานคนนึงในบริษัทของพ่อคุณ”

“ดูห่างเหินจัง” แค่คิดก็รู้สึกหดหู่แล้ว

“มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”

“พี่ไปป์อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเหรอ”

“มันควรจะเป็นอย่างนั้น” ไม่ชอบคำตอบแบบไม่ยินดียินร้ายเรื่องสถานะที่ค่อยๆ ห่างออกไปของเราจากปากพี่ไปป์เลย มันทำให้รู้สึกว่าคำพูดของผม ความรู้สึกของผมไม่เคยเดินทางถึงเขาเลย

เราเดินเข้าออฟฟิศพร้อมกัน เพียงความเย็นจากเครื่องปรับอากาศลูบไล้ผิวกายผมก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ จากสายตาหลายคู่ที่มองมา

มันต่างไปจากทุกครั้งอย่างที่ผมเองก็สัมผัสได้ ทว่าพี่ไปป์กลับทำตัวสบายๆ ประหนึ่งไม่มีใครมอง

“เชี่ยเซ โทรไปไม่รับแล้วยังเสือกไม่โทรกลับอีก พี่ปกรณ์สวัสดีครับ” ด่าผมเสร็จก็หันไปยกมือไหว้พี่เลี้ยงผมลวกๆ พี่ไปป์เพียงพยักหน้ารับก่อนจะปลีกตัวออกไป

“อะไรมึง”

“มึงได้ยินเรื่องข่าวลือของตัวเองบ้างมั้ย” ไอ้ยอดเข้ามากอดคอแล้วกระซิบขณะกวาดสายตาไปทั่ว

“เรื่องที่กูอยู่กับพี่ไปป์น่ะเหรอ”

“เออเรื่องนั้นแหละ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”

ยังพอมีเวลาก่อนเริ่มงานอยู่นิดหน่อย ผมจึงชวนไอ้ยอดไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกัน และหน้าสตูดิโอ 3 ก็มีที่นั่งว่างพอดี

“ยังไง เล่ามามึง”

“เค้าลือกันทั้งตึกว่ามึงกับพี่ไปป์เป็นมากกว่าพี่เลี้ยงกับน้องฝึกงาน”

“กูก็อยากเป็นมากกว่านั้นแต่พี่ไปป์ไม่เล่นด้วยว่ะ”

“คนที่ลือแม่งไม่รู้หรอกว่าพี่ไปป์ไม่เล่นด้วยกับมึง”

“ยังไงวะ”

“เค้าลือกันว่ามึงกับพี่ไปป์เป็นคู่ขากันน่ะสิ หาว่าพี่ไปป์เกาะมึงเพราะมึงเป็นลูกชายเจ้าของช่อง กูว่ามึงห่างพี่ไปป์ซักพักเถอะว่ะ สงสารพี่แก แล้วนี่พี่แกก็โดนลงโทษเรื่องที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนแขกรับเชิญในรายการตอนเช้าเมื่อวันจันทร์ที่แล้วด้วย พี่ไปป์แม่งเหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกเลยว่ะ”

เชี่ยแล้ว ผมแม่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย เห็นพี่ไปป์ยังทำตัวสบายๆ ก็เลยไม่ได้เอะใจเรื่องเปลี่ยนตัวแขกรับเชิญจากแฟนเก่าเขาเป็นคนใหม่

“กูควรห่างพี่เขาเหรอวะ”

“ไหนๆ พี่เขาก็ไม่เล่นกับมึงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถอยตอนนี้เถอะว่ะ”

หรือผมควรจะถอยอย่างที่คนรอบตัวของผมบอก ผมควรทำอย่างนั้นเหรอวะ

“หรือถ้ามึงเหงาก็ลองเปิดใจคุยกับน้องเบลล่าสิวะ เห็นว่าไปกินข้าวด้วยกันพร้อมดอกไม้ช่อโตไม่ใช่เหรอ” ยังมีหน้ามาแซวกันอีก นี่กำลังเครียดอยู่นะโว้ย

กับน้องเบลล่าเนี่ยแค่ไปกินข้าวกันพร้อมมอบช่อดอกไม้ตามคำสั่งแม่ จบแค่นั้น แต่น้องดูเหมือนไม่อยากจบ เธอถ่ายรูปดอกไม้อัพอินสตราแกรม แท็กผมด้วย คราวนี้เลยกลายเป็นประเด็นว่ากุ๊กกิ๊กกันหรือเปล่า กุ๊กกิ๊กบ้าบออะไร เวลาจะหายใจหายคอยังไม่มี

ว่าแต่พี่ไปป์ไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย ก็คงไม่รู้แหละมั้งเพราะไม่เห็นจะมีท่าทีอะไรเลย

ไอ้ยอดขอตัวกลับไปทำงานแล้ว ทิ้งผมให้นั่งทบทวนการกระทำของตัวเองเพียงลำพังที่หน้าสตูดิโอ 3 นั่งเงียบๆ อยู่พักนึง เสียงผู้คนที่เริ่มทยอยออกจากสตูดิโอหลังถ่ายรายการเสร็จก็ดังขึ้นให้หันไปสนใจ

และสายตาผมก็สะดุดเข้ากับคนๆ หนึ่งที่โดดเด่นกว่าใครๆ

พี่เอ็ม ผมควรเรียกเขาอย่างนั้นเพราะเขาอายุมากกว่าผม 2-3 ปีแต่ก็ยังน้อยกว่าพี่ไปป์ตั้งปีนึง เขาเป็นนักร้องจากค่ายเล็กค่ายหนึ่งที่ดูเหมือนว่ากำลังมาแรงมากในช่วงนี้ เพลงของเขาติดชาร์ตอยู่หลายที่ เคยลองฟังแล้ว ถึงไม่อยากยอมรับว่าเป็นเพลงที่เพราะดีก็ต้องยอมรับ

หลังจากเคลียร์เรื่องของตัวเองจบผมก็ออกจากออฟฟิศมา ไม่ลืมทิ้งข้อความไว้ให้พี่ไปป์ ถ้าไม่ทำเดี๋ยวจะถูกคนเจ้าระเบียบดุเอา

แวะมาเอารถที่จอดไว้คอนโดตัวเองก่อนจะแวะไปที่ที่สบายใจ

ขับรถไม่นานก็มานั่งจับเจ่าคุยกับหินผาโดยมีเจ้าแมวนอนอยู่บนตักที่คลินิกพี่หมอแอมป์แล้ว

ผมรู้ดีว่าตัวเองสร้างความลำบากให้พี่ไปป์มากแค่ไหน ถึงจะบ่นบางครั้งด่าบางทีแต่เขาก็ไม่เคยปล่อยมือจากคนหัวดื้ออย่างผมเลย ดูจะเต็มอกเต็มใจกับการสั่งสอนผมเสียอีก ถ้าหากการถอยห่างออกมาจะทำให้ชีวิตพี่ไปป์ดีขึ้น คิดว่าผมควรทำ แม้จะฝืนใจแต่ก็ต้องทำใช่มั้ย

“หน้านิ่วเชียว คิดมากเรื่องอะไรน้อง” แปลกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ พี่กริชก็โผล่มาที่นี่แล้วนั่งลงบนพื้นข้างๆ

“พี่กริช หวัดดี” ผมยกมือไหว้ท่วมหัวเหมือนท่านผู้ลงสมัครกำลังหาเสียง

“ทำหน้าเครียดไม่สมเป็นมึงเลย เครียดเรื่องอะไร เรื่องเพื่อนกูป่าว”

“ก็ประมาณนั้นพี่” แอบดีใจอยู่ลึกๆ เหมือนกันที่ได้เจอพี่กริช

“คิดอะไรมากวะแค่ทำตามหัวใจก็พอ”

“ถึงแม้ว่าจะทำให้คนที่ชอบลำบากน่ะเหรอพี่”

“ลำบากอะไร เขาเคยบอกเหรอว่าการที่มึงมาตามตอแยทำให้เขาลำบาก การที่ไอ้ไปป์ไม่ไล่มึงนั่นก็แปลว่ามันยังโอเคอยู่กับการที่มีมึงอยู่ใกล้ๆ” ได้ยินอย่างนี้แล้วก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“พี่ไปป์ไล่ผมออกจะบ่อย”

“แล้วมันไล่มึงจริงจังเบอร์ไหนล่ะ”

“ก็ไม่จริงจังเท่าไหร่” ทุกครั้งที่ไล่กันแม้น้ำเสียงจะจริงจังแต่ก็หัวเราะหรือยิ้มออกมาในตอนท้ายเสมอ

“แล้วมึงจะคิดมากทำไม”

“ที่ออฟฟิศเขาลือกันเรื่องผมอยู่กับพี่ไปป์ที่คอนโด ทั้งที่เขาลือกันไปไกลมาก แต่งเรื่องที่ทำให้พี่ไปป์ดูไม่ดีแต่เพื่อนพี่กริชก็ยังนิ่งอยู่ได้ เขาทำเหมือนไม่เดือดร้อนอะไรเลย” ผมค่อยๆ ระบายความคับข้องใจออกมาทีละนิด

“ก็มันไม่เดือดร้อนไงจะให้มันแสดงออกว่าเดือดร้อนทำไม”

“จะไม่เดือดร้อนได้ยังไงพี่”

“มึงยังรู้จักมันไม่ดีพอน่ะสิ ไอ้ไปป์เห็นมันนิ่งๆ อย่างนั้นมันก็นิ่งอย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มันเดือดร้อนมันก็จะพูดออกมาเสมอ ใครทำให้มันไม่พอใจมันก็พร้อมจะเอาคืน ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นแต่เอาคืนให้เห็นตรงนั้น นั่นแหละไอ้ไปป์ และการที่มันไม่แสดงออกก็หมายความว่ามันไม่คิดอะไรเลย สมองว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย”

ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ แต่เพราะพี่กริชรู้จักพี่ไปป์มาก่อนผมก็ไม่อยากเถียง

“มึงเถอะ มีอะไรก็พูดกับมันตรงๆ อย่าเก็บเอามาคิดคนเดียว”

“เรื่องพี่เอ็ม ผมถามพี่กริชได้ป่ะ”

“กูจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ แต่จะให้กำลังใจมึงละกัน ไอ้ไปป์ไม่เคยให้อภัยคนที่นอกใจมัน เพราะงั้นมันไม่มีทางรีเทิร์นกับไอ้เอ็มแน่ๆ และถ้าไอ้เอ็มตามกวนใจมัน ชีวิตไอ้เอ็มนั่นแหละจะเดือดร้อน มึงก็เห็นแล้วนี่”

“ถ้าเป็นเรื่องแคนเซิลงาน เรื่องนั้นพี่ไปป์ก็ได้รับผลกระทบนะครับ”

“หักเงินเดือนนิดๆ หน่อยๆ ไอ้ไปป์มันไม่เดือดร้อนหรอก เรื่องของมึงก็เหมือนกันถ้าใจมันจะเอามันก็เอา สู้หน่อย” ตบไหล่ให้กำลังใจผมป้าบๆ

ถ้าใจจะเอาก็เอางั้นเหรอ ถ้างั้นผมก็ต้องทำให้ใจพี่ไปป์ต้องการผมสินะ

“และก็นะ ถ้าทำให้มันไม่พอใจมันก็ตัดใจเทได้ง่ายๆ เลยล่ะ”

เวรละ กำลังใจกำลังมาดันมาตัดกำลังกันแบบนี้ พี่กริชนะพี่กริช

ว่าแต่พี่แกมาทำอะไรที่นี่วะ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานไม่ใช่เหรอ

“ไงมึง มานานยัง อ้าวน้องเซมีเรื่องไม่สบายใจเหรอมาถึงนี่เลย” คุณหมอเจ้าของคลินิกที่เพิ่งก้าวเข้ามาร้องทักเพื่อนก่อนหันมาทักทายผม

“ไม่ต้องห่วงมันหรอก กูให้กำลังใจมันแล้ว”

“เรื่องไปป์เหรอ” ผมพยักหน้าพี่หมอจึงยิ้มใจดีส่งมาให้ “สู้หน่อย บอกแล้วไงว่าไอ้ไปป์เปิดใจให้เรามากแล้ว”

“พอแล้ว กูให้กำลังใจมันไปเยอะแล้ว ไหนอะ หมอที่มึงจะแนะนำให้กู เร็วเลยกูอยากมีเมีย”

“ถ้าไม่เอาผู้หญิงมาล่อมึงก็ไม่มาหากูเนอะ”

ผมล่ำลาเพื่อนพี่ไปป์กับเจ้าหินผา

ตั้งใจกลับไปกินข้าวเย็นที่คอนโดพี่ไปป์แล้วค่อยบอกเรื่องที่จะย้ายออก อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำหน้ายังไงตอนที่ผมบอกเรื่องนี้ ถ้าแสดงความอาวรณ์สักหน่อยผมก็คงใจชื้นและมีกำลังใจสู้ขึ้นมาอีกหน่อย







ขากลับรถติดมาก กว่าจะกลับถึงคอนโดก็มืดแล้ว ไม่มีที่จอดรถอีกต้องอาศัยจอดริมฟุตบาธ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาโดนล็อคล้อแน่ๆ

“กินอะไรมารึยัง” ดูคำแรกที่พี่เขาทักทายตอนที่เปิดประตูแล้วโผล่หน้าเข้าไปในห้องสิ หัวใจผมพองโตอัดแน่นไปด้วยความรักเลย

“ยังเลย โคตรหิว”

“ไปคลินิกไอ้แอมป์มาเหรอ” ถามพลางยื่นโบรชัวร์ร้านอาหารมาให้

“พี่แอมป์บอกเหรอครับ”

“ไอ้กริชส่งรูปมาให้นี่ไง” คราวนี้โทรศัพท์มือถือที่เปิดรูปผมกำลังนั่งเล่นกับหินถูกยื่นมาตรงหน้า “มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”

“เรื่องพี่ไปป์แหละ”

“เรื่องผม เรื่องอะไร” เจ้าของห้องทำหน้างง

“ก็เรื่องข่าวลือ”

“คิดมากน่า ผู้ชายทั้งคู่ไม่มีอะไรเสียหายหรอก”

“แต่เซรู้สึกไม่ดี”

“แล้วจะแก้ปัญหายังไง”

“เซ...”

“จะย้ายออกเหรอ”

“คิดว่า” น้ำเสียงของผมเบาลง ไม่มั่นใจ ไม่อยากไป

“ตามใจนะ”

“พี่ไปป์อยากให้เซไปมั้ย”

“ยังไงก็ได้แหละ เอาเข้าจริงก็คงจะเหงาหน่อยๆ ล่ะมั้ง แต่เดี๋ยวก็คงปรับตัวได้”

“พี่ไปป์รั้งเซไว้สิ แค่พี่ไปป์บอกว่าไม่อยากให้เซไปเซก็จะไม่ไปนะ”

“ไปเถอะ ถ้าไม่ไปวันนี้ อีกไม่กี่วันคุณก็ต้องไปอยู่ดี ฝึกงานใกล้เสร็จแล้ว คืนดีกับพ่อแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะต้องอยู่ที่นี่แล้ว”

ยอมรับว่าโคตรผิดหวังกับคำพูดตรงๆ ของพี่ไปป์เลย และคงเพราะผมทำหน้าจ๋อยพี่แกจึงก้าวเข้ามาใกล้ วางมือลงบนไหล่แล้วตบเบาๆ

“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ ไม่ได้ตายจากกันซักหน่อย คิดถึงก็โทรมา ชวนออกไปกินเหล้าก็ได้เลย ยังไงเราก็ยังเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน”

“ไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้นซักหน่อย”

“ส่วนเรื่องความรู้สึกคุณน่ะ เอาไว้มั่นใจกว่านี้อีกหน่อยเราค่อยกลับมาคุยกัน เอางี้เนอะ”

อือ เอางี้ก็ได้




[T B C]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-12-2017 18:19:31 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ TaemyG

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 10


ผมจะย้ายออกแน่ๆ แต่ไม่ใช่คืนนี้

“ใช้ได้มั้ยครับ” ผมเลื่อนแม็คบุ๊คเครื่องเก่งของตัวเองไปตรงหน้าพี่ไปป์ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาก่อนขยับเข้าไปนั่งพิงขามองมือเรียวที่กำลังขยับอยู่บนแทร็กแพ็ด

“พิมพ์ไทยถูกแล้วนี่” ผมยิ้มรับคำชม

“เก่งใช่มั้ย”

“ต้องชมด้วยเหรอ เรื่องพิมพ์ไทยให้ถูกนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนไทยทุกคนควรทำได้รึไง”

“ชมกันหน่อยก็ได้มั้ง” ผมอาศัยจังหวะนั้นเนียนเอียงคอซบขาที่โผล่พ้นกางเกงนอนขาสั้นออกมา

ฟินว่ะ

“ก็เก่งมั้ง”

“นี่คือชมแล้วเหรอ” ผมช้อนตามอง มุ่นคิ้วเบ้หน้าไม่จริงจังใส่ให้เจ้าของตักหัวเราะนิดๆ

“ที่จริงจะไม่ชมก็ได้อะ”

“วันนี้พี่ไปป์ใจดีนะ”

“อารมณ์ดี”

“เรื่อง?”

“เรื่องที่คุณจะย้ายออก” รู้แหละว่าพี่ไปป์แค่ล้อเล่น เพราะริมฝีปากของเจ้าตัวกระตุกยิ้ม ดวงตาที่กำลังไล่ตรวจงานให้ผมก็ไม่ได้มีแววจริงจังอะไร แต่ก็ไม่ค่อยชอบคำพูดพวกนี้เท่าไหร่

“ถ้าเซย้ายออกแล้วจะเหงา” พี่ไปป์เลื่อนสายตามามอง เราจึงสบตากันตรงๆ

“จะซบอีกนานมั้ย ขึ้นมานั่งข้างบนนี่” แอบผิดหวังหน่อยๆ เลยเนี่ย นึกว่าพี่แกจะบอกว่าต้องเหงาแน่ๆ แล้วก็อ้อนให้ผมอยู่ด้วยกันต่อซะอีก

ผมขยับขึ้นมานั่งข้างกันตามคำบอกของเจ้าของห้อง วันนี้พี่ไปป์ยังสวมเสื้อตัวเดิม ตัวที่ผมเคยบอกว่าคอโคตรกว้าง ก้มทีเห็นไปถึงไหนต่อไหน และสายตาของผมก็ดันเอาแต่โฟกัสตรงนั้นซะด้วยสิ

“ขอซื้อไปทิ้งได้มั้ยเสื้อตัวนี้”

“ใส่สบายดีออก คุณไม่มีเสื้อนอนตัวเก่งเหรอ”

“ไม่อะ ปกติเซแก้ผ้านอน”

“เอาที่สบายใจเถอะ”

“มันสบายนะพี่ ต้องลองแล้วจะติดใจ”

“ไม่น่าจะติดใจ” พี่ไปป์ส่ายหน้าแบบยังไงก็ไม่เอา ไม่แก้ผ้านอนแน่ๆ

“พี่ไปป์เซพูดจริงนะ”

“เรื่อง?”

“เรื่องเสื้อตัวนี้ มันโคตรโป๊เลย ถ้าใส่ให้เซเห็นอีกเซปล้ำนะ”

“คุณทำอะไรผมไม่ได้หรอก”

“ท้าป่ะเนี่ย”

“เปล่า”

“งั้นลองมั้ย ถึงตัวเซจะไม่ได้ใหญ่โตกว่าพี่ไปป์มากแต่มั่นใจนะว่าแรงเยอะกว่าแน่ๆ”

“ไปทำรายงานตัวเองให้เสร็จเถอะ” แม็คบุ๊กถูกส่งคืนด้วยการวางไว้บนตักของผมส่วนพี่เจ้าของห้องก็ลุกจากโซฟาไป

“อยากให้พี่ไปป์อยู่เป็นกำลังใจให้จังแต่ก็รู้แหละว่าพรุ่งนี้พี่ไปป์ต้องไปทำงานคงนั่งอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้หรอก” ผมแสร้งเปรยกับแม็คบุ๊กบนตัก ถ้าพี่ไปป์เล่นด้วยก็ฟลุ๊คล่ะวะ

“ก็รู้แล้วนี่ว่ายังไงก็ไม่อยู่เป็นเพื่อนหรอกแล้วจะพูดทำไม”

เออ ไม่เล่นด้วยเลย ไม่ให้ความหวังกันซักติ๊ดเลยด้วย







รายการจะออนแอร์พรุ่งนี้แล้ว เพราะเป็นอย่างนั้นผมจึงต้องเข้าออฟฟิศอีกครั้งพร้อมพี่ไปป์ในตอนเช้าวันศุกร์ หวั่นๆ เรื่องข่าวลืออยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้ซาไปบ้างแล้วหรือยัง ถามไอ้ยอดอยู่บ่อยครั้ง มันก็บอกแหละว่าซา แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นป่ะวะ

“พี่ไปป์” ตอนเช้ารถยังติดอย่างเป็นปกติแต่เอาเข้าจริงผมไม่เคยชินกับมันเลยและคิดว่าใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่ชิน

“อะไร” ตอบรับผมเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงปกติ เคาะนิ้วกับพวกมาลัยไปตามจังหวะเพลงอีกต่างหาก ชิวอะไรขนาดนั้น รถติดขนาดนี้พี่ต้องหงุดหงิดสิ

“เรื่องข่าวลือ”

“คุณยังคิดมากเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ”

“พยายามไม่คิดแล้วแต่ก็อดคิดไม่ได้”

“อย่าไปใส่ใจกับคำพูดไม่ดีของคนอื่นให้มากเลย ไม่ดีหรอก”

“พี่ไปป์ไม่สงสัยเหรอว่าใครปล่อยข่าว”

“ผมรู้แต่ไม่บอกคุณหรอก บอกไปก็เปล่าประโยชน์ รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้” ถ้าจะไม่บอกก็ควรจะกั๊กเอาไว้สิ

“แต่เซอยากรู้ พี่ไปป์บอกหน่อย” ผมอ้อนแล้วแต่พี่ไปป์ก็ยังใจแข็ง

“ถ้าการได้รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือแล้วทำให้สบายใจขึ้นก็เชิญสืบเองละกัน” โคตรใจร้ายและผมก็อยากรู้มากจริงๆ แต่จำต้องทำเป็นไม่สนใจเพื่อเอาใจ

“ที่จริงเซไม่รู้ก็ได้แหละ แต่เซเป็นห่วงพี่ไปป์นะ เซคิดว่าเขาคงไม่ประสงค์ดีกับพี่ไปป์นั่นแหละ”

“ขอบคุณที่ห่วง” เจ้าของรถละสายตาจากถนนเบื้องหน้าเพื่อมองกันครู่หนึ่ง “แต่เรื่องข่าวลือเนี่ยไม่ทำให้ผมเดือดร้อนเท่าไหร่หรอก หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว เพราะงั้นคุณอย่ากังวลไปเลย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

“ถึงอย่างนั้นก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดีป่ะวะ”

ผ่านแยกไฟเขียว 3 วิกันมาได้ หักพวงมาลัยเข้าตึก หาที่จอดก็เป็นอันถึงออฟฟิศโดยสวัสดิภาพ

แค่เผลอคิดว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้นั่งรถมาทำงานด้วยกันก็รู้สึกวูบโหวงในหัวใจแปลกๆ

“เซ”

“ครับ” เรียกแล้วก็ไม่พูด จนผมต้องถามซ้ำ “เมื่อกี้พี่ไปป์เรียกเซป่ะ”

“อือ อยากให้เรียกไม่ใช่เหรอ เซ” พี่ไปป์เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยได้ฟังมา รอยยิ้มละลายใจปรากฏชัดบนใบหน้าหล่อเหลา ไม่ค่อยเห็นเขายิ้มแบบนี้และยิ่งเห็นว่ารอยยิ้มนั้นตั้งใจมอบให้ผมก็ยิ่งทำให้หัวใจทำงานหนัก ปลื้มจนสติขาดผึงไปเลย

ตู้ม!

ได้ยินเสียงหัวใจไอ้เซระเบิดเป็นความรักมั้ยครับ







แค่ก้าวเข้ามาในตึกพร้อมกันก็รู้เลยว่าข่าวลือยังไม่ซาไป สายตาหลายคู่ยังคงจับจ้องมาที่เรา อาจจะไม่ซุบซิบให้เห็นแต่พอลอบมองกลับไปก็เห็นว่าพวกเขากำลังทำ เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดว้าวุ่นใจไม่ได้ เว้นก็แต่คนข้างๆ ผมนี่แหละ มองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่สนใจใครเลย

“วันนี้ผมมีประชุมทั้งวันนะ” พี่ไปป์หันมาบอกพร้อมกดชั้น

“ตอนบ่ายเซต้องเข้าไปที่ออฟฟิศกับพวกพี่อาร์ม”

“เข้าไปทำอะไรอีก เทปก็ส่งมาพร้อมออนแอร์แล้วไม่ใช่เหรอ”

“รอด้วยค่ะ” ยังไม่ทันได้ตอบคำถามเสียงบุคคลที่สามก็แทรกเข้ามาซะก่อน พี่ไปป์กดเปิดลิฟต์ที่กำลังจะปิดให้เธอแทรกตัวเข้ามา “ขอบคุณค่ะคุณปกรณ์” พี่ผู้ช่วยพี่ไปป์นั่นเอง เธอยกมือไหว้หัวหน้าโดยตรงแล้วไม่ลืมส่งยิ้มให้ผมด้วย

“วันนี้มาสายนะ” จิตวิญญาณคุณปกรณ์ประทับร่าง น้ำเสียงพี่ไปป์เคร่งขรึมจนคนถูกถามไหล่ห่อลง

“พอดีหนิงออกจากบ้านผิดเวลาค่ะ” เพิ่งรู้ว่าพี่แกชื่อหนิง

คนเป็นหัวหน้าแค่พยักหน้ารับ ภายในลิฟต์โดยสารเงียบสงัด พี่หนิงหันมามองหน้าผมอยู่หลายที ผมเองก็ไม่กล้าชวนคุย เอาเข้าจริงพอเจอพี่ปกรณ์เวอร์ชั่นจริงจังก็ไม่ค่อยอย่างจะแหยมเท่าไหร่ กลัวถูกเบิ้ดกระโหลกไม่ใช่อะไร

กระทั่งลิฟต์เปิดที่ชั้นออฟฟิศพี่ไปป์ คนที่ยืนอยู่ใกล้แผงควบคุมลิฟต์ก็กดปุ่มเปิดค้างไว้ให้สุภาพสตรีก้าวออกไปก่อน

“เซ” เรียกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนตอนที่เรียกในรถ

“ครับ”

“เย็นนี้ให้ผมไปรับที่ออฟฟิศอาร์มมั้ย”

ห๊ะ! อะไรนะ ไอ้เซไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย พี่ไปป์บอกจะไปรับไอ้เซจริงๆ ใช่รึเปล่า

“ว่าไง” พอผมเอาแต่อึ้งก็เร่งเอาคำตอบ

“ดะ ได้ครับ เซจะรอนะ”

“อืม”

ตอบรับสั้นๆ แล้วก้าวออกไปทิ้งให้ผมฟินลืมโลกอยู่ในลิฟต์ลำพังกับกลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่ทำเอาผมคลั่งแทบตาย







วันนี้น่าจะเป็นวันที่ผมอารมณ์ดีที่สุดในรอบปี กระทั่งพักกลางวันลงมากินข้าวกับไอ้ยอดเพื่อนรัก ผมก็ยังยิ้มไม่หยุด

“มึงโดนตัวไหนมาไอ้เซ ยิ้มไม่หุบเลยไอ้ห่า”

“กูมีความสุขอะ กูยิ้มไม่ได้เหรอ” ตอแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างกวนตีนมัน

“มีความสุขเกินไปกูหมั่นไส้ และเนี่ยกูทุกข์อยู่ มึงจงทุกข์เป็นเพื่อนกู”

“เรื่องไรกูต้องทุกกับมึง”

“กูให้ที่ซุกหัวนอนมึงตอนมึงตกอับ” แหม นอนไม่กี่คืนทำเป็นถามหาบุญคุณ แต่ก็เอาเถอะ เพื่อนกัน แชร์ความทุกข์กับมันหน่อยก็ไม่เสียหาย

“แล้วมึงทุกข์เรื่องอะไร”

“เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกูไปถ่ายรายการแถววงเวียนใหญ่มา ยอดวิวในยูทูปโคตรน้อยอะมึง” มองหน้าไอ้ยอดตรงๆ ก็พบกับคนหน้าจ๋อย 1 อัตรา

“เนี่ยอะนะเรื่องเครียด กูนึกว่ามึงเลิกกับแฟน”

“อย่าแช่งไอ้สัด ช่วงนี้ยิ่งไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเข้าจังหวะ”

“ทำไม มึงเสื่อมเหรอ”

“ไอ้เพื่อนเวร ไม่ใช่โว้ย ของกูนี่ปึ๋งปั๋งทุกเช้า ว่าแต่มึงเถอะ” วกเข้ามาเรื่องผมได้ไง

“อย่ามายุ่งกับกู เรื่องยอดวิวมึงอะยังไงต่อ”

“วีคหน้ามึงไปเกสท์ให้กูหน่อยสิ”

“ไม่เอา กูคิดว่ากูจะไม่ว่าง”

“จะไม่ว่างเหี้ยไร มึงยังไม่มีแพลนไปไหน ไปกับกู ชวนพี่ไปป์ไปด้วยสิ รายนั้นเป็นคนดัง ยอดวิวกูต้องพุ่งพรวดๆ แน่”

“เดี๋ยว ไอ้ยอดมึงรู้เรื่องพี่ไปป์เป็นเน็ตไอดอลด้วยเหรอ”

“นี่มึงไม่รู้เหรอ แต่ก็ไม่แปลกหรอก มึงมันโง่แถมไม่ใฝ่เรียนอีก” เอ้า! ถากถางกูเข้าไป คนครับไม่ใช่หญ้าไม่ต้องถางมากหรอกเดี๋ยวเตียนหมด

“วันเสาร์ที่มึงจะนัดกูน่ะกูไม่ว่างแล้วนะ” แซะกันดีนัก ชวนไปไหนก็ไม่ไปทั้งนั้นแหละ ไอ้เซงอน

“ไม่งอนสิไอ้เซเพื่อนรัก ช่วยกูหน่อย มึงก็รู้ว่ากูทุ่มเทกับรายการมากแค่ไหน กูก็รักของกูอะมึง ยอดวิวตอนที่มึงไปกับกูครั้งก่อนก็เกือบแสนวิวแล้ว นะเซ ช่วยกู ช่วยเพิ่มพลังกายพลังใจให้กูหน่อย” ไอ้ยอดทำหน้างอแงพลางยื่นมือมาจับแขนผมขอร้องกราบกราน ไม่ได้น่าสงสารหรอกแต่น่าสมเพชเวทนาจนทนดูแทบไม่ได้

“แล้วมึงจะไปถ่ายไหน”

“จะมีงานสตรีทฟู้ดที่สวมลุม กูว่าต้องมันแน่ ปีที่แล้วกูไม่ได้ไปไงติดทำรายงานกับพวกมึงอะ”

“เออก็ได้” ผมตอบรับพลางแกะมือมันออก บอกให้มันเลิกทำตัวทุเรศๆ ซักที อายคนอื่นเขา

“พี่ไปป์ล่ะ”

“มึงก็ชวนดิ คิดว่าอย่างพี่ไปป์จะไปเหรอวะ”

“ไม่รู้สิ นี่ไอ้เซมึงไม่คิดว่านี่เป็นโอกาสเหรอวะ”

“โอกาสอะไรของมึง โอกาสที่จะถูกพี่ไปป์ด่านะเหรอ กูโดนทุกวันอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่ไอ้ควาย ไปเดทไงครับ แดกไปด้วยเดทไปด้วย มึงไม่คิดว่ามันโรแมนติกเหรอ”

“โรแมนติกพ่อง” แต่จะว่าไปก็เป็นความคิดที่ดีนะ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เปอร์เซ็นที่พี่ไปป์จะไปด้วยนี่เกือบจะติดลบด้วยซ้ำมั้ง

Rrrrr~

นึกถึงก็โทรมาเลย แปลกใจอยู่นิดหน่อยแต่ก็ต้องรีบรับเดี๋ยวคุณเขาจะพิโรธ

“อยู่ไหนอะ”

“ฟู้ดคอร์ดครับ”

“เดี๋ยวไปหา” พูดจบแล้วก็ตัดสายไปเลย

“เป็นไรมึง เมาผักชีเหรอ” คงเห็นผมมองมือถือนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาหลังจากวางสายไอ้ยอดจึงยื่นมือมาสะกิด

“พี่ไปป์จะมาหา”

“เชี่ย เป็นโอกาสที่ดี มึงก็ชวนเค้าเลย” โอกาสดีจริง ถามว่ากล้าชวนมั้ยก็กล้าชวนแหละไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้วแต่ก็หวั่นใจกลัวพี่แกปฏิเสธอยู่นิดนึง

“งานมึงมึงก็ชวนเองสิ”

“กูไม่สนิทกับพี่แกไง มึงสนิทกว่ามึงต้องช่วยกูสิ” สนิทมาก สนิทเพราะถูกตบหัวจนสมองเป่งแล้ว

“มันใช่ธุระกงการอะไรของกูป่าววะ”

“ช่วยกูหน่อยน่า นะเพื่อนรัก” ทีอย่างนี้รักกูขึ้นมาเชียว

ระหว่างที่ไอ้คนตรงข้ามขอร้องอ้อนวอน ผมก็เขี่ยผักชีในจานข้าวมันไก่ไปพลางๆ ไม่นานหลังจากนั้นพี่ไปป์ก็มาถึง

“กินข้าวกันเสร็จแล้วเหรอ”

“สวัสดีครับพี่ปกรณ์” ไอ้ยอดยกมือไหว้ให้พี่ปกรณ์รับไหว้พร้อมกับผมที่พยักหน้าตอบคำถามก่อนหน้านี้

“นั่งเป็นเพื่อนก่อนสิ” เนี่ย มาแปลก ร้อยวันพันปีไม่เคยทำตัวน่ารักแบบนี้

บอกกันแบบนั้นแล้วก็หายไปซื้อข้าวเลย ผมกับไอ้ยอดได้แต่มองตากันปริบๆ จะไม่ให้รู้สึกแปลกได้ยังไงในเมื่อพี่ไปป์ทำตัวแปลกๆ ใส่พวกเราก่อน

“พี่แกกินยาผิดซองป่ะวะ ทำไมวันนี้เฟรนลี่ผิดปกติ”

“กูไม่รู้ แต่พี่แกแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”

“นี่รึเปล่าสาเหตุที่ทำให้มึงอารมณ์ดีทั้งวัน”

“เออ น่ารักใช่มั้ยล่ะ”

“แล้วแต่มึงเลย อย่าลืมชวนพี่ปกรณ์ไปสวนลุมด้วยกันเสาร์นี้”

“ไปสวมลุมทำไม” นี่ก็มาถูกจังหวะมาก พี่ไปป์ทำหน้างงเมื่อถาม ยังไงดี ชวนตอนนี้เลยดีไหม ไหนๆ ก็เข้าเรื่องแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว “ว่าไง จะไปวิ่งที่สวนลุมกันเหรอ”

พี่ไปป์ถามซ้ำพลางวางชามก๋วยเตี๋ยวลงข้างๆ ผม

“เอ่อ ไอ้เซมีเรื่องจะคุยกับพี่ปกรณ์น่ะครับ” น่าน โยนขี้เลยนะมึงไอ้ยอด ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมเล้ย แต่ถึงอย่างนั้นพอถูกคาดคั้นด้วยสายตาก็จำต้องพูดล่ะนะ

“วันเสาร์หน้าพี่ไปป์ว่างมั้ย” ผมลองเลียบๆ เคียงๆ ถามก่อน

“ถ้าว่างแล้วจะทำไม จะชวนไปไหน แล้วคิดว่าต้องไปมั้ย” นี่กวนตีนมั้ย ตอบ

“ก็ลองชวนดู เผื่อพี่ไปป์สนใจ”

“ว่ามา” บอกให้ผมว่าก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆ คีบเส้นเล็กในชามเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างหมดมาดคุณปกรณ์ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาทำตัวสบายๆ เวลาอยู่ต่อหน้าผม “ว่าไง จะชวนไปไหน”

มองเพลินไปหน่อยแฮะ ช่วยไม่ได้ล่ะนะก็พี่ไปป์ตอนเคี้ยวข้าวโคตรน่ารัก

“คือยอดมันมีรายการที่มันทำคนเดียวในยูทูปอะครับ”

พี่ไปป์ไม่พูด ไม่ถาม เอาแต่เคี้ยวและพยักหน้ารับ

“เป็นรายการเกี่ยวการตะลอนกินนู่นนี่ครับ แล้วทีนี้ช่วงนี้ยอดวิวตกมาก มันก็ไม่มีกำลังใจ”

“ต้องการกำลังใจจากผมเหรอ” พี่ไปป์เงยหน้าขึ้น มองไปยังไอ้ยอดให้รู้ว่าเขาถามคำถามนั้นกับใคร คนถูกถามก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ตอบไม่ถูก

“คิดว่าพี่ไปป์น่าจะทำให้ไอ้ยอดมีกำลังใจ” ดังนั้นผมจึงตอบแทนให้คนฟังมุ่นคิ้วยุ่งเข้าไปอีก ถึงกระนั้นมือที่กำลังจ้วงซดน้ำซุปในชามก็ยังคงทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“ยังไง เข้าเรื่องเลยได้มั้ย อ้อมค้อมทำไม เสียเวลา”

“มันอยากชวนพี่ไปป์ไปหาอะไรกินแล้วถ่ายรายการด้วยกัน”

“ผมเหรอ” เราทั้งคู่พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง “จะไม่อึดอัดเหรอ”

“ไม่นะ” ผมตอบพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

“ไม่ได้ถามคุณ ผมถามยอด จะไม่อึดอัดเหรอ”

“ไม่น่านะพี่ ผมเข้ากับคนง่าย และอีกอย่างพี่ไปป์ก็เป็นพี่มหา’ลัย ก็คิดว่าน่าจะเข้ากันได้ดีครับ” ทีอย่างนี้พูดดี ก่อนหน้านี้ทำไมไม่พูดเอง

“คุณ ผม กับสิทธาเหรอ”

“ใช่ครับ”

“ที่ไหน”

“สตรีทฟู้ดที่สวนลุม ช่วงเย็นๆ วันเสาร์ อากาศน่าจะน่าเดินครับ” บอกเวลาสถานที่เสร็จสรรพอย่างกับพี่ไปป์รับปากแล้วอย่างนั้นแหละ

“น่าสนใจดี แต่ไม่รู้ว่าจะว่างรึเปล่า เดี๋ยวใกล้ๆ วันจะคอนเฟิร์มอีกทีนะ” ถึงแม้พี่ไปป์ยังไม่ได้รับปากแต่เชื่อเถอะว่าหัวใจไอ้ยอดกำลังเบ่งบาน รอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเหมือนตอนที่มันวิ่งมากอดผมแล้วบอกว่าแฟนคนปัจจุบันของมันรับรักนั่นแหละ

“ทำไมวันนี้พี่ไปป์ใจดีจัง” เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดเท้าคางมองเขาด้วยสายตาชื่นชมเหมือนกับคำหวานที่หยอดไป

“ปกติก็เป็นคนใจดีนะ”

“ไม่จริงอะ ปกติโหดกับเซตลอด”

“ก็ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้เรื่อง จำเป็นต้องใจดีด้วยมั้ย”

“แล้วตอนนี้เซเป็นไงบ้างอะ”

“ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน เคยบอกไปแล้วไง ทำไมต้องให้พูดซ้ำ ก๋วยเตี๋ยวอืดหมดแล้ว” ตัดบทกันดื้อๆ อย่างนั้นแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าแบบไม่สนใจพวกเราอีก

‘มองตาเยิ้มขนาดนั้น อยากแดกก๋วยเตี๋ยวหรืออยากแดกคนกินก๋วยเตี๋ยววะสัด’ โทรศัพท์มือถือในมือสั่น กดดูก็พบกับข้อความล้อเลียนจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันตอนนี้

‘มึงก็รู้คำตอบอยู่แล้วมั้ย’

‘ใกล้จะได้กินแล้วนะกูว่า’

‘สาธุครับ’

“พี่ปกรณ์ผมต้องไปทำงานแล้ว สวัสดีครับ” อ่านข้อความผมแล้วก็ลุกขึ้นยกมือไหว้คนเป็นรุ่นพี่อย่างมีมารยาท ไม่ลืมหันมายักคิ้วให้ผมแล้วค่อยปัดตูดเดินหนีไป

“รายการที่เพื่อนคุณทำชื่ออะไร” วางตะเกียบ ถามและยื่นมือถือมาให้

ผมรับมาแต่ยังไม่พิมพ์ชื่อรายการของไอ้ยอดในยูทูปให้ทันที ของแบบนี้มันต้องมียื่นหมายื่นแมวสิ

“พี่ไปป์เคยถ่ายเอ็มวี เพลงอะไรครับ”

“แค่เสิร์ชชื่อผมในกูเกิ้ลก็เจอแล้ว”

“ไม่สิ อยากรู้จากพี่ไปป์”

“เรื่องมาก เอามือถือมา” น้ำเสียงหงุดหงิดมากแต่ก็แบมือมาขอมือถือกัน น่ารักเนอะ

เราต่างก็กดมือถือของอีกฝ่าย แต่ว่านะ เห็นแอพเฟซบุ๊กแล้วก็อยากจะละลาบละล้วง

“พี่ไปป์รับเซเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กรึยัง”

“รู้แล้วจะถามทำไม” รู้แล้วครับ รู้ว่ายังไม่รับ

ผมรับมือถือคืนมา อ่อยอิ่งที่จะคืนอีกเครื่องให้เจ้าของ ที่จริงจะกดรับเองตอนนี้เลยก็ได้แต่จะดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป เดี๋ยวพี่ไปป์โกรธ ไอ้เซไม่ทำดีกว่า

“อยากให้ผมรับเป็นเพื่อนแค่ไหน”

“มาก” เปิดฟาร์มก.ไก่

“กดรับเองสิ” ทำไมใจดี อยากรู้ครับแต่ไม่ถามดีกว่า รีบกดเข้าแอพแล้วรับตัวเองเป็นเพื่อน ทว่า...ชิบหาย คนขอเป็นเพื่อนอย่างเยอะ ต้องเลื่อนหากี่วันถึงจะเจอเฟซตัวเอง

“พี่ไปป์คนขอเป็นเพื่อนโคตรเยอะ ฮ๊อตเนอะ”

“อือ”

“นึกว่าพี่ไปป์เป็นคนถ่อมตัว”

“จะกดก็รีบกด นี่จะบ่ายแล้วไม่ไปออฟฟิศโน้นแล้วเหรอ”

“เวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วจัง” ผมเบะหน้าไม่จริงจังพลางพิมพ์ชื่อเฟซตัวเองตรงช่องค้นหา กดปุ่มแว่นขยายปุ๊บเจอคนหล่อในชุดนักศึกษา สวมแว่นกันแดดอย่างเท่ห์ปั๊บ คราวนี้ก็เหลือแค่กดรับแอดแล้วนะ “พี่ไปป์กดให้หน่อยสิ” จะรับตัวเองเป็นเพื่อนก็กะไรอยู่ เห็นหน้าด้านๆ ก็แอบมียางอายฉาบไว้บางๆ เหมือนกันนะครับ

“เรื่องมากจัง” ถึงแม้จะบ่นแต่ก็ยอมรับมือถือคืนไป กดรับทันทีไม่ลังเลเลยด้วยซ้ำ

ติ๊ง!!

แจ้งเตือนมาแล้ว แค่นี้ก็เป็นเพื่อนกันแล้วเนอะ

“รู้จักกันมาตั้งหลายเดือน ไม่มีรูปคู่เลยอะ”

“จะชวนถ่ายรูปเหรอ อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ”

“ทำไมล่ะครับ พี่ไปป์เคยเป็นดาราไม่น่าจะไม่ชอบถ่ายรูปนะ” อดีตว่าที่ซุปเปอร์สตาร์นิ่งไปครู่ เห็นเหลียวไปมองรอบตัวผมเองก็มองตาม คงเพราะคนเยอะมั้ง สงสัยจะอาย

“จะถ่ายก็รีบถ่าย” สีหน้าเหมือนไม่พอใจหรอกแต่ก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ เห็นอย่างนั้นก็รีบเปิดกล้องหน้าแล้วยกขึ้นทำมุมเพื่อถ่ายให้ได้มุมหล่อๆ อยากเอาแก้มแนบแก้มด้วยซ้ำแต่ก็แอบเกรงใจอยู่นิดนึงแหละ

“พี่ไปป์ไม่ยิ้มเลย”

“เรื่องมาก” บ่นแล้วก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มจนกลายเป็นยิ้มที่ทำให้พี่ไปป์ดูดีมาก แอบกดไปตั้งหลายครั้ง และอยากกดจนเมมโมรี่เต็มแต่คนข้างๆ จับได้ซะก่อน

“ถ่ายไม่นับ รูปไหนที่หน้าผมเด๋อๆ ก็ลบทิ้งไปบ้างนะ”

“ไม่เด๋อหรอกครับ น่ารักทุกรูปแหละ”

“โม้”

“ไม่เชื่อดู” ผมขยับเข้าไปใกล้พี่ไปป์จนไหล่ชิด ค่อยๆ กดดูรูปไปพร้อมกันทีละรูป ช่างเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นหัวใจ

“หน้าเดิมทุกรูปเลย”

“น่ารักดี ลงเฟซบุ๊กแล้วแท็กพี่ไปป์ได้มั้ย” นิ่งคิดไปชั่วอึดใจหนึ่งแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ตอบ สงสัยจะไม่อยากให้อัพ แต่ไม่เป็นไรหรอก เก็บไว้ดูคนเดียวก็ได้

“เซส่งรูปให้พี่ไปป์แล้วนะ”

“อือ ผมต้องไปประชุมแล้ว” พี่ไปป์ยกชามตรงหน้ากับแก้วน้ำของเขาตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่ผมก็คว้าข้อมือห้ามไว้

“เดี๋ยวเซเก็บให้ พี่ไปป์ไปประชุมเถอะ”

“ไม่เป็นไร เกรงใจ”

“เซอยากทำให้”

“งั้นก็ขอบคุณนะ เจอกันเย็นนี้”

แจกยิ้มหล่อๆ พาให้ใจละลายแล้วก็เดินห่างออกไป ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ารอยยิ้มของพี่ไปป์ช่วยให้ลืมเรื่องข่าวลือไปชั่วขณะได้จริงๆ







การได้อยู่ร่วมกับคนที่มีพลังบวกมากๆ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราได้รับพลังนั้นไปด้วยเช่นกัน

“ตื่นเต้นว่ะ” รายการ ‘เจ้านายครับ’ ตอนที่ 1 กำลังจะฉายพรุ่งนี้ คอมเมนท์จากคนของช่องหลังจากได้ดูเทปเป็นไปในทิศทางที่ดี พอได้รับกำลังใจทุกคนก็เหมือนจะมีแรงกันมากขึ้น

ผมเองก็รู้สึกดี พอได้ลงมือทำงานจริงๆ ไอเดียต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวไม่ขาดสาย รู้สึกว่าตัวเองก็มีความสามารถอยู่ไม่น้อย

“คิดว่าพี่ไปป์จะชอบมั้ยอะพี่”

“กูชอบนะ” พี่อาร์มชะโงกหน้ามาดูตัวอย่างเสื้อยืดที่ตั้งใจจะทำขายเพื่อเอาเงินมาช่วยหมาแมวซึ่งเป็นพระเอกรายการของเรา

“หวังว่าพี่ไปป์จะชอบนะ”

“มึงนี่อะไรๆ ก็พี่ไปป์ ชอบพี่กูขนาดนั้นเลย”

“ก็ชอบ” ผมตอบง่ายๆ แต่เชื่อมั้ยว่าทุกครั้งที่พูดว่าชอบหัวใจของผมก็เบ่งบอนขึ้นมาเหมือนดอกไม้

“จริงจัง”

“มาก”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“ไม่ต้องรู้ว่าชอบพี่ไปป์ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าจากนี้และตลอดไปจะมีพี่ไปป์คนเดียว”

“เสี่ยวสัด!” เอ้า ตบหัวกันอีก คิดว่าตัวเองเป็นปลื้มจิตหรา ตบเอาๆ เจ็บเด้อ

Rrrrrr

คนนี้ก็ด้วย พอเอ่ยชื่อก็โทรมาเลย แต่วันนี้พี่ไปป์แปลกจริงๆ นะ โทรหาผมบ่อย พูดดีด้วยแปลกๆ มันก็ดีแหละแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันแปลก

“ครับพี่ไปป์”

“เซทำอะไรอยู่” เสียงสดใสมากจนไม่อยากเชื่อหู

“พี่ไปป์เล่นอะไรอยู่”

“ผมประชุมเสร็จแล้วนะ กำลังจะออกจากออฟฟิศ อยากกินอะไรมั้ย” เนี่ยร้อยวันพันปีไม่เคยถามหรอก

“อยากกินหมูสะเต๊ะอะ”

“ซื้อที่ไหน”

“มารับเซสิ เดี๋ยวออกไปกินด้วยกัน”

“น่าจะอีกซักชั่วโมงนะ ชั่วโมงเร่งด่วนรถต้องโคตรติดแน่เลย” น้ำเสียงของเขาติดอ้อนหน่อยๆ ด้วย

“ขับรถดีๆ นะครับ ไว้เจอกัน”

“อื้อ เจอกัน” พี่ไปป์วางสายไปแล้วเหลือแต่ผมที่นั่งยิ้มลำพัง หัวเราะลำพัง ฟินลำพัง จนพี่อาร์มที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาสะกิดด้วยเท้าให้ตื่นจากภวังค์

“พี่ไปป์เหรอวะ หวานกันจัง เป็นแฟนกันเหรอ”

“ก็อยากนะแต่ยังจีบไม่ติดไง แต่จะว่าไปวันนี้พี่ไปป์ใจดีมาก ใจดีผิดวิสัยคุณปกรณ์อะพี่”

“ที่จริงพี่ไปป์เป็นคนใจดีนะ”

“กับคนอื่นอาจจะใช่ไง แต่กับผมก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นป่าววะ”

“งั้นก็คงมีเหตุผลแหละมั้ง กูก็ไม่รู้ มึงอยากรู้ก็ถามดิ” อยากถามอยู่หรอกแต่ก็เสียดายความใจดีที่ได้รับอยู่ตอนนี้ กลัวว่าถ้าถามออกไปแล้วพี่ไปป์จะไม่ใจดีด้วยแล้ว

ที่จริงผมน่ะอยากเก็บความใจดีนี้ไว้กับตัวเองนานๆ นานตลอดไป




[T B C]
 :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-01-2018 18:15:16 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ยังคงสงสารน้องเซต่อไป สู้ๆนะน้อง

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

พี่ครับ 11



ไหนพี่ไปป์บอกว่าอีกชั่วโมงนึงจะมาถึงไง นี่มันผ่านมาเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว พี่แกยังไม่โผล่มาเลย

ผมเดินเลี่ยงออกมาข้างนอก พลางกดมือถือหาคนที่หายไปเลย รอสายไม่นานเขาก็รับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

เดี๋ยวนะ แอบไปหลับที่ไหนมา

“พี่ไปป์หลับเหรอ”

“อือ โทรมามีอะไร” ยังมีหน้ามาถามด้วยน้ำเสียงโคตรงัวเงียอีก

“ไหนพี่บอกจะซื้อข้าวเข้ามาไง นี่ทุกคนรอพี่ไปป์อยู่นะ” มองคนที่นั่งหิ้วท้องรอแล้วก็นึกเวทนา

“จริงเหรอ ผมสั่งข้าวไว้แหละแต่ว่ากะจะขึ้นห้องมางีบแล้วก็หลับยาวเลย ขอโทษนะ ฝากขอโทษทุกคนด้วย”

“แล้วร้านข้าวเค้าไม่โทรมาเหรอ” ปกติถ้าอาหารพร้อมแล้วที่ร้านจะโทรมาแจ้งไม่ใช่เหรอ

“นั่นสิ วางก่อนได้มั้ย เดี๋ยวขอเช็คมือถือก่อน ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวโทรกลับนะ”

“โทรมานะครับ”

“อือ”

“อย่าแอบไปหลับอีกนะ” กลัวใจพี่ไปป์จริงๆ นะ เสียงเขางัวเงียมาก และช่วงหลังมานี้เขาก็นอนดึกมากเลยด้วย

“ตื่นแล้ว”

“ตื่นแล้ว แล้วชอบเซรึยัง”

“อย่ามาฉวยโอกาส” ว่าจบก็ตัดสายไปเลย

ผมยืนยิ้มให้โทรศัพท์ ผิดมั้ยหากรู้สึกเอ็นดูคนอายุมากกว่า แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก พี่ไปป์ออกจะน่ารักขนาดนั้นนี่นา

ว่าแล้วก็น่าเห็นใจเขานะครับ เห็นทำตัวชิวๆ ที่จริงก็คงเหนื่อยมากเหมือนกัน ไม่รู้ว่าวันๆ ต้องแบกงานอะไรไว้บ้าง หลักๆ ก็ดูเรื่องรายการที่ซื้อมาจากต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่สรรหา รีเสิร์ช ติดต่อประสานงาน ทุกขั้นตอนจนออนแอร์ กระทั่งเรื่องเรตติ้ง ช่วงผมมาฝึกงานแรกๆ แล้วไม่เจอพี่เลี้ยงก็เพราะหน้าที่อันหนักหน่วงนี่แหละ ทั้งที่งานตัวเองก็เหนือบ่ากว่าแรงจนแทบแบกไม่ไหวยังมาช่วยดูแลรายการของพี่อาร์มอีก รู้แหละครับว่าเริ่มทำด้วยกันมา แต่บางทีผมก็อยากให้พี่ไปป์ปล่อยวางบ้างเหมือนกัน

นั่งหิ้วท้องรอคนสัญญาว่าจะซื้อข้าวเข้ามาไม่นาน สายเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น

พี่ไปป์...

“กำลังจะเข้าไป”

“ให้เซไปรับมั้ย”

“มาทำไมเสียเวลา ผมขับรถไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”

“ตาสว่างแล้วแน่นะ”

“สว่างแล้ว ล้างหน้าแล้ว” เสียงเขาสดใสขึ้นมากแล้วล่ะ

“เจอกันนะครับ รีบมานะ หิวมากเลย คิด...” จะบอกว่าคิดถึงซะหน่อยก็ดันชิงตัดสายกันซะก่อน เพิ่งชมว่าใจดีไปเมื่อกี้เผลอแป๊บเดียวกลายเป็นคนใจร้ายไม่ยอมรับความคิดถึงของไอ้เซซะนี่

“พี่ไปป์ว่าไงบ้างมึง กูหิวจนจะแทะบ้านได้ทั้งหลังแล้ว” พี่อาร์มที่บ่นหิวมาเป็นชั่วโมงๆ ทิ้งตัวนอนลงบนพื้นพลางลูบท้องป้อยๆ

“กำลังจะมาครับ”

“ทำไมมาช้าจังวะ ปกติพี่ไปป์ไม่ใช่คนเหลวไหลนี่หว่า”

“เห็นว่าง่วงแล้วเผลอหลับ”

“พี่ไปป์เนี่ยนะ มึงรู้มั้ยว่าพี่ไปป์อดนอนได้มากสุดกี่วัน” ผมส่ายหน้า มีหลายเรื่องที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับเขา และคิดว่าจะค่อยๆ เรียนรู้ต่อจากนี้ “เท่าที่เคยทำงานด้วยกันมา อดนอนมากสุดน่าจะซัก 4 วันได้”

“โห อยู่ได้ไง ไม่มีแอบงีบบ้างเหรอ”

“ก็คงจะมีบ้าง แต่พอเรียกก็สะดุ้งตื่น เพราะงั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่พี่แกจะเผลอหลับทั้งๆ ที่รับปากว่าจะซื้อข้าวเข้ามา”

“พี่อาร์มกำลังบอกว่าพี่ไปป์โกหก

“ไม่ได้พูด” แต่คำพูดมันส่อนี่หว่า

“พี่ไม่ได้พูดตรงๆ แต่ความหมายมันโคตรใช่ แล้วพี่คิดว่าพี่ไปป์โกหกเราทำไม หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุแล้วกลัวเราเป็นห่วง”

“ไม่รู้สิ ถ้ามึงอยากรู้ก็ลองถามดู แต่เรื่องนี้กูจะไม่ยุ่ง”

“อะไรของมึงวะพี่อาร์ม จุดประเด็นให้สงสัยแล้วก็ทิ้งกันกลางทางแบบนี้ก็ได้เหรอ นิสัยเลวว่ะพี่”

“ไม่รู้กูแค่เพ้อเพราะหิวข้าวเกินไป” ถ้าไม่ติดว่าเป็นรุ่นพี่ผมจะด่าให้แม่งลืมทางกลับบ้านเลยไอ้พี่เลว

ก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าพี่ไปป์โกหกทำไม หรือที่จริงแล้วพี่อาร์มมันแค่หิวแล้วเพ้อจริงๆ







ออฟฟิศพี่อาร์มตั้งอยู่ในทาวน์โฮม ซึ่งเป็นบ้านอีกหลังของพ่อพี่มันซึ่งขอเอาไว้ใช้งาน คิดแล้วก็แอบอิจฉาที่มีพ่อใจดี๊ดีไม่เหมือนพ่อผม

เสียงรถจอดลงตรงหน้าบ้าน ผมจึงวิ่งออกไปดูและก็พบว่าพี่ไปป์กำลังเปิดท้ายรถและขนข้าวกล่อง 2 ถุงใหญ่ลงมา

“เซช่วยนะ” ผมรีบวิ่งเข้าไปแย่งของในมือเขามาถือ พี่ไปป์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร หันไปกดล็อครถแล้วเดินนำหน้าเข้าไปเงียบๆ

ผมมองตามแผ่นหลังเขา จำได้ว่าชุดนี้เป็นชุดเดียวกับที่ใส่ออกจากบ้านเมื่อเช้า เป็นไปได้เหรอถ้าใส่ชุดนี้นอนแล้วเสื้อเชิ้ตจะไม่ยับ

“พี่ไปป์นั่งหลับเหรอ” คนถูกถามชะงักไป

“กะจะนั่งดูทีวีก็เลยเผลอหลับไป คุณสงสัยอะไรรึเปล่า”

“เปล่าครับ” เหมือนว่าข้อสันนิษฐานของพี่อาร์มใกล้ความเป็นจริงแล้วว่ะ

พี่ไปป์โกหกแน่ๆ แล้วโกหกเรื่องอะไรล่ะ ช่วงเวลาที่บอกว่านอนพี่หายไปไหนมา

“พี่ไปป์ใส่เสื้อยี่ห้ออะไร”

“ทำไม มีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“เซก็แค่อยากรู้จะได้ซื้อมาใช้บ้าง หลับขนาดนี้เสื้อยังไม่ยับ เหมาะกับวันเร่งรีบไม่มีเวลารีดเสื้อ”

“ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าโกหก” ผิดคาดแฮะ ไม่คิดว่าจะยอมรับง่ายขนาดนี้ ถ้าเป็นไอ้เซนะ แถกันจนสีข้างถลอกไปข้างอะ อารมณ์แบบถ้าคิดจะโกหกแล้วก็ต้องไปให้สุด

“แล้วพี่ไปป์โกหกทำไมครับ”

“จำเป็นต้องบอกคุณทุกเรื่องด้วยเหรอ”

“เซแค่เป็นห่วง” ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดคำนี้กับพี่ไปป์บ่อยแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าผมคิดอย่างนั้นจริงๆ รู้ว่าตัวผมเองที่น่าห่วงกว่าเขา ถึงกระนั้นก็ยังอดห่วงไม่ได้ ไม่รู้ด้วยว่าห่วงเรื่องอะไร ก็แค่เป็นห่วง เป็นห่วงจริงๆ

“ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก”

“พี่ไปป์ก็พูดอย่างนี้ตลอด”

“แล้วพูดยังไงถึงจะถูกใจ”

“พี่ไปป์ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้ เหนื่อยก็บอก ท้อก็เล่าให้กันฟัง เซอยากเป็นที่พึ่งให้พี่ไปป์บ้าง ในฐานะรุ่นน้องหรืออะไรก็ได้ที่พี่ไปป์สบายใจ”

นาทีนี้ให้ผมเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ได้เป็นคนที่อยู่ข้างๆ เขา ได้รับฟังเรื่องราวในใจ บรรเทาความเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวัน แค่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพี่ไปป์ให้ผมเป็นอะไรก็ได้จริงๆ

“ผมไปเจอเอ็มมา แต่ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ไปเคลียร์กันให้จบเท่านั้นเอง ขอบคุณที่ห่วงนะ” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนโยน มือข้างที่วางลงบนศีรษะของผมแล้วลูบเบาๆ ก็อุ่น เขายิ้มให้ผม ครู่หนึ่งก่อนจะผละออกไป “เข้าไปข้างในกัน ทุกคนน่าจะหิวแล้ว”

“พี่อาร์มหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”

“ขนาดนั้นเชียว”

“เซมีอะไรจะให้พี่ไปป์ดูด้วยนะ”

“เจ๋งป่าว”

“เจ๋งมากไม่อยากโม้”

“นี่ยังไม่โม้ถูกมั้ย”

“พี่ไปป์อะ เป็นแฟนเหรอมาแซว”







4 ทุ่มกว่าแล้วพวกเรายังคงนั่งกันอยู่ที่ออฟฟิศ พวกพี่อาร์มกำลังเตรียมรูปน้องหมาที่จะอัพลงเพจพรุ่งนี้หลังรายการจบ ส่วนผมกับพี่ไปป์นั่งดูแบบเสื้อที่จะทำขายเพื่อนำรายได้มาช่วยสัตว์

“เคยเห็นคอลเลคชั่นที่เป็นเสื้อผ้าของแม่กับลูกมั้ย” พี่ไปป์หันมาถาม

“ที่แต่งตัวเหมือนกันป่ะพี่”

“ใช่ๆ อันนั้น ถ้าเราทำเสื้อคนด้วย เสื้อสัตว์เลี้ยงด้วยคุณว่าโอเคมั้ย”

“ดีเลยนะแต่เสียดายที่ทำไม่ทันตอนแรกออนแอร์”

“ไม่เป็นไรหรอก รายการมีตั้งหลายตอน ถ้าเรตติ้งดีๆ อาจจะมีซีซั่น 2 ก็ได้นะ”

“แค่คิดก็สนุกแล้วอ่ะ” ถ้าได้ทำรายการไปดด้วยกันเรื่อยๆ คงดี

แม้ระหว่างบทสนทนาจะปราศจากเรื่องส่วนตัวแต่ก็เป็นการคุยงานที่สนุกมาก ผมรู้สึกตื่นเต้น เต็มตื้น มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก พี่ไปป์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้ไม่ใช่คุณปกรณ์ผู้น่าเกรงขาม ไม่ใช่พี่ไปป์ที่ผมเอาแต่เป็นห่วง แต่เป็นพี่ไปป์รุ่นพี่มหา’ลัยที่คอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างๆ ไม่จู้จี้ ไม่ดุด่าแต่คอยดูอยู่ห่างๆ แสดงความเห็นให้เราเอาไปคิดต่อ

เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ใช้สมองมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา

“ผมจะกลับแล้ว คุณกลับด้วยกันมั้ย”

“กลับครับ” ผมตอบรับพลางเก็บแม็คบุ๊คเครื่องเก่งใส่กระเป๋าเป้ ขณะที่พี่ไปป์ไล่คนอื่นๆ ไปพักผ่อนก่อนจะเดินนำออกจากบ้าน

ผมวิ่งตามออกมาเห็นหลังพี่ไปป์ไวๆ ย้ำอยู่เสมอว่าตัวผมกับพี่ไปป์ไม่ได้ต่างกันมากแต่เมื่อมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าแล้วผมกลับรู้สึกว่ามันเล็กและอยากปกป้อง อยากโอบกอด อยากประคอง

“ฝึกงานเสร็จแล้ว”

“ครับ” ผมตอบรับพลางคาดเข็มขัดนิรภัย

“กลับไปอยู่บ้านตัวเองได้แล้วมั้ง”

“งี้ก็ไม่ได้เจอพี่ไปป์อีกแล้วสิ” คิดแล้วก็เศร้าเลย

“มีโอกาสจะได้เจอกันเยอะแยะ วันเสาร์หน้าก็ต้องเจอกัน”

“หืม” วันเสาร์หน้ามีอะไร

“ที่นัดกับยอดไว้ไง ลืมแล้วเหรอ ความจำสั้นกว่าปลาทองอีกนะเรา”

“พี่ไปป์จะไปเหรอ” ถ้าพี่ไปป์ไปผมจะได้คิดแผนเดทไว้ไง ขอความร่วมมือจากไอ้ยอดเพื่อนรักซักหน่อยไม่เหนือบ่ากว่าแรงมันนักหรอก

“ผมนี่สายกินเลยนะ ไม่รู้เหรอ”

“ไม่เคยรู้”

“รู้ไว้ซะ” ครับ จะเมมโมรี่ใส่สมองน้อยๆ ไว้เลย

“รายงาน เดี๋ยวเซส่งให้อาทิตย์หน้านะ”

“อือ”

“ขอคะแนนเต็มได้มั้ย”

“ของ่ายๆ แบบนี้เลย”

“ทำไมล่ะ เซก็ทำงานได้ดีไม่ใช่เหรอ”

“ก็ไม่เลวแต่ก็ไม่ถือว่าดี คะแนนเต็มคงยาก”

“ก็ได้ แต่อย่ากดกันมากก็แล้วกัน พี่ไปป์รู้ป่าวว่าเกรดเซโคตรห่วย”

“เพราะคุณขี้เกียจไง”

“กิจกรรมเยอะ นี่เป็นเดือนคณะนะครับ เล่นบอลคณะด้วย แถมวันแข่งอะนักวิ่งแม่งขาเจ็บเซก็ต้องลงไปวิ่ง ชนะด้วยนะ เก่งป่ะ” ยอมรับว่าไม่ค่อยถนัดเรื่องใช้สมองแต่เรื่องใช้แรงนี่ขอให้บอก ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว

“เก่งแต่เรื่องใช้กำลังน่ะสิ” เห็นมั้ย พี่ไปป์ยังเห็นด้วยเลย

“อยากเก่งเรื่องอื่นเหมือนกันแหละ”

“ก็ตั้งใจดิ เดี๋ยวก็เก่ง”

“พี่ไปป์สอนเซหน่อยสิ”

“สอนอะไร ผมไม่มีอะไรจะสอนคุณแล้ว”

“จีบพี่ไปป์ยังไงให้ได้เป็นแฟน”

“จริงจังมั้ย”

“จริงจังสิ”

“งั้นตอบหน่อยสิว่าชอบผมเพราะอะไร”

“ก็ชอบ” เหตุผลง่ายๆ จากหัวใจ

“ตอบแบบนี้ไม่ได้ การที่เราชอบใครซักคนมันต้องมีเหตุผลสิ” พี่ไปป์ก็จริงจังเกินไป กับความรักน่ะแค่ใช้หัวใจก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ

“แล้วเหตุผลแบบไหนที่จะทำให้พี่ไปป์ชอบเซ”

“ผมชอบคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่”

“ชอบคนแก่กว่าเหรอ งี้เซก็หมดสิทธิ์สิ” ท้อแท้เลยอะ

“ความเป็นผู้ใหญ่มันไม่เกี่ยวอายุ”

“แล้วอะไรอีก”

“จริงใจ แค่นี้แหละ”

“แค่นี้เหรอ”

“ทำได้ซักข้อมั้ย”

“ตอนนี้เซจริงใจกับพี่ไปป์มากนะ ส่วนเรื่องมีความเป็นผู้ใหญ่ขอเวลาเซหน่อยแล้วจะแสดงให้เห็น พี่ไปป์รอเซนะ”

“ไม่รู้สิ รับปากไม่ได้หรอก ถ้าระหว่างที่คุณไปฝึกฝนความเป็นผู้ใหญ่มีคนที่ถูกใจเข้ามาผมจะทิ้งโอกาสได้ยังไง”

“ใจร้ายโคตร” หัวใจลีบเล็กลงเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลมอะ

“แต่เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าชอบก็รอแหละ”

“แล้วชอบรึยัง”

“ยัง” ตอบแบบขวานผ่าซากไม่เหลือเยื่อในสไตล์พี่ไปป์เขาล่ะ

“กับคนก่อนๆ ที่มาจีบปากร้ายใส่แบบนี้รึเปล่า”

“ทำไมต้องบอกล่ะ”

“พี่ไปป์อะไม่ให้ข้อมูลเลย” พูดแล้วก็ท้อแท้

“ถ้าผมให้ข้อมูลคุณเดี๋ยวคุณก็หาว่าผมอ่อยอะดิ”

“แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าชอบคนที่เป็นผู้ใหญ่และจริงใจนั่นเรียกอ่อยป่ะครับ”

โอ้ย เงียบเลย แบบนี้อ่อยชัวร์ เนี่ย กำลังใจมา เดินหน้าจีบโลดไอ้เซเอ้ย







ในห้องนอนพี่ไปป์ในช่วงเวลาเกือบตี 2 นั้นเงียบสนิทจนได้ยินเสียงนาฬิกาดังต๊อกๆ น่ารำคาญ

ในความมืด สายตาของผมยังคงจับจ้องไปยังประตูห้องนอนเพียงห้องเดียวที่ยังคงปิดสนิท ป่านนี้เจ้าของห้องคงนอนหลับฝันดีไปแล้วแน่ๆ

นอนไม่หลับว่ะ

ผมพลิกตัวแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือซึ่งคว่ำหน้าจอไว้บนโต๊ะกระจกมาเล่นฆ่าเวลา

สเตตัสล่าสุดบนหน้าจอคือภาพไอ้ยอดกับพี่เลี้ยงมันและเพื่อนๆ เขาในร้านเหล้า น่าจะเป็นงานเลี้ยงส่ง เห็นภาพนั้นแล้วก็แอบน้อยใจเหมือนกันแฮะ พี่ไปป์ไม่เลี้ยงส่งเซบ้างล่ะ

เห็นชีวิตดีๆ ของเพื่อนในเฟซแล้วก็นอยด์ว่ะ

ผมปิดแอพสร้างภาพลง เปิดยูทูปหาเพลงกล่อมเด็กฟังเผื่อจะช่วยให้หลับได้บ้าง

แต่ว่านะ ดูเพลงกล่อมเด็กทำไม ดูหน้าคนที่เราคิดถึงไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อหลับแล้วจะได้เก็บใบหน้าเขาไปฝัน

นอนดูเอ็มวีที่พี่ไปป์ฝากฝีมือเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนแล้วก็นึกเสียดาย ถึงบอกว่าที่รับงานเพราะต้องการเงินไปช่วยสัตว์ก็เถอะแต่การแสดงของพี่ไปป์โคตรดีแบบถ้าเอาดีด้านการแสดงก็คงเป็นนักแสดงชั้นแนวหน้าได้ง่ายๆ เลย

เอ็มวีที่พี่ไปป์เล่นส่วนมากเป็นเพลงเศร้า แต่เพลงที่ผมประทับใจมากเป็นเพลงที่เศร้าเหี้ยๆ เศร้าแบบถ้าอกหักอยู่อาจจะไปกระโดดตึกตายได้ง่ายๆ

ในเพลงตัวพระเอกเอ็มวีถูกแฟนที่คบกันมาเกือบ 10 ปีทิ้งไป ด้วยดนตรี เนื้อร้องเองก็เศร้าอยู่แล้ว ยิ่งดูเอ็มวีที่พระเอกแม่งร้องไห้ทั้งเพลงอารมณ์ยิ่งดาวน์ อยากดึงเข้ามากอดให้รู้แล้วรู้รอด

ดูเพลงนี้วนๆ แล้วน้ำตาก็หยดแหมะๆ

“ทำไมยังไม่นอน”

คว่ำหน้าจอมือถือแทบไม่ทัน ห้องที่เคยมีเพียงแสงไฟสลัวจากหน้าจอมือถือของผมบัดนี้ถูกฉาบด้วยแสงไฟจากห้องพี่ไปป์ที่เปิดประตูจนสุด เจ้าของห้องยืนพิงกรอบประตูมองผมที่กำลังใช้หลังมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไม่วางตา

“แล้วพี่ไปป์ล่ะทำไมยังไม่นอน”

“นอนไม่หลับ” เขาว่า สีหน้าไม่สบอารมณ์นักขณะก้าวเข้ามาหา

“ดูทีวีมั้ยครับ”

“ก็ดีนะ” พี่ไปป์นั่งลงข้างกัน ดวงตาคู่สวยยังคงจ้องหน้าผมเขม็ง ร้อนวูบเลย

“อยากซื้อเสื้อตัวนี้ไปทิ้งจริงๆ นะ”

“บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าใส่สบาย” กระพือเสื้อโชว์กันอีกนะคนเรา ไม่รู้จริงดิว่าคนข้างๆ กำลังคิดไม่ดี

“เซถามพี่ไปป์จริงๆ เลยนะ”

“ว่า”

“ไม่อยากเป็นนักแสดงจริงๆ เหรอ ทั้งที่พี่ไปป์ทำได้ดีมากเลยนะ” คนถูกถามเพียงยิ้มมุมปาก เป็นยิ้มมุมปากที่ดูกวนอยู่นัยที

“ดูเอ็มวีที่ผมเล่นแล้วซาบซึ้งมากเลยสิ”

“ไม่ได้ร้องไห้นะ” ผมปฏิเสธพร้อมใช้หลังมือปาดน้ำตาไม่ให้คนข้างๆ เห็น ทว่าก็ถูกจับได้ซะงั้น

“ผมยังไม่ได้พูดคำว่าร้องไห้ซักคำ นี่คุณร้องไห้จริงๆ เหรอ”

“ก็เพลงมันเศร้า พี่ไปป์ก็แสดงโคตรดี”

“ได้ยินคำชมจนเบื่อแล้ว”

“ถ่อมตัวบ้างก็ดีนะครับ”

“อยากให้ผมทำอย่างนั้นเหรอ”

“เป็นพี่ไปป์แบบนี้ก็ดีแล้วครับ”

“นั่นแหละเหตุผลที่ผมไม่อยากเป็นนักแสดง คุณก็น่าจะรู้ว่าการเป็นนักแสดงมันก็เหมือนการยืนอยู่ในที่สาธารณะ ถูกผู้คนจ้องมอง ต้องทำตัวดีตลอดเวลา ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้นว่ะ มันเหนื่อยมากเลยนะกับการที่ต้องฝืนทำอะไรก็ตามที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง”

“ตอนนั้นพี่ไปป์คงเหนื่อยมาก”

“ก็เหนื่อยแต่ก็ต้องทำมั้ยล่ะ ในเมื่อตัดสินใจจะช่วยชีวิตสัตว์พวกนั้นแล้วเราก็ต้องรับผิดชอบมันให้ดีที่สุด” พี่ไปป์คนดีของโลกใบนี้ เห็นมั้ยผมเลือกชอบคนไม่ผิดจริงๆ

“แล้วตอนนี้ล่ะไม่เหนื่อยแล้วใช่มั้ย”

“หลังจากไม่ต้องเป็นพี่เลี้ยงคุณก็คงไม่เหนื่อยแล้วล่ะ” พี่ไปป์ว่าปนขำให้ผมเบะปากงอนเล่นๆ

“โห ไรวะ รู้สึกแย่เลยเนี่ย”

“รู้สึกแย่แต่ยังยิ้มเนี่ยนะ คุณควรกลับไปเรียนการแสดงใหม่”

“พี่ไปป์ก็ควรไปเรียนการแสดงใหม่เหมือนกันนะจริงๆ แล้ว”

“เมื่อกี้ยังชมอยู่เลยว่าเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ”

“วันนี้ไม่เนียนเลย”

“ที่โกหกว่านอนน่ะเหรอ”

“เรื่องนอนด้วยแล้วก็เรื่องที่ทำดีกับเซผิดปกติ ไม่เนียนเลยอะ” ก็ชอบนะที่ถูกปฏิบัติต่อกันแบบนั้นแต่ถ้ามันออกมาจากข้างในไม่ใช่การแสดงคงให้ความรู้สึกที่ดีกว่านี้

“ถูกจับได้เหรอ”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ คนถูกรู้ทันจึงมุ่ยหน้า เป็นการมุ่ยหน้าที่โคตรน่ารัก

“เรื่องข่าวลือหรือเปล่าครับ บอกเซไม่ได้จริงๆ เหรอว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว” ผมคิดเรื่องนี้มาทั้งวันเลย คงเพราะผมเอาแต่พูดว่าห่วงเรื่องนี้พี่ไปป์ก็เลยหาทางช่วยให้ผมสบายใจ

“คนใกล้ๆ ตัวนี่แหละ”

“ผู้ช่วยพี่ไปป์เหรอ” สังเกตในลิฟต์และฟู้ดคอร์ด ที่ไหนที่พี่หนิงปรากฏตัวพี่ไปป์จะกลายเป็นอีกคนเลย

“ก็อย่างที่บอกแหละว่ารู้มาซักพักแล้ว แต่ไม่อยากใส่ใจ พอคุณย้ำว่าเป็นห่วงก็เลยคิดว่าน่าจะทำอะไรซักอย่าง” เห็นมั้ยล่ะ ว่าแล้วเชียว ที่ดูโคนันมาตั้งแต่จำความได้ไม่ไร้ประโยชน์ซักหน่อย

“อย่างเล่นละตบตาเหรอ”

“มันไม่ได้ผลใช่มั้ยล่ะ”

“แต่เซประทับใจนะ วันนี้เซมีความสุขมากเลย อาจเพราะชอบพี่ไปป์มากมั้งแค่เบอร์โทรพี่ไปป์โชว์ที่หน้าจอเซก็ไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว หัวใจเต้นโคตรแรงเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอกเลย”

“แล้วตอนที่ผมนั่งอยู่ข้างๆ ล่ะ”

“ลองจับดูมั้ย” แม้จะลังเลแต่ก็ลองเอื้อมมือไปจับมือพี่ไปป์มาวางที่อกซ้าย เขาไม่ได้ชักมือออกทั้งยังไล่สายตามองตั้งแต่มือของผมขึ้นมาจนสบตากัน บรรยากาศระหว่างเราแปลกหน่อยๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกดีมาก

เหมือนว่าความสัมพันธ์ของเรากำลังพัฒนา

ในความมืดที่สายตาไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อยู่ๆ ก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างให้โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้

“ไม่ถอยเหรอครับ”

“ต้องถอยด้วยเหรอ” ดูเขาท้าทายเข้าสิ คิดว่าผมไม่กล้างั้นเหรอ ที่ผ่านมาแค่อ่อนให้หรอกนะ ถ้าเอาจริงขึ้นมาล่ะก็รับรองว่าพี่ไปป์ไม่มีทางต้านทานได้หรอก

“พี่ไปป์ เซเอาจริงนะ”

“กลัวแล้ว” เขายกมืออีกข้างขึ้นมาดันอกผมให้ออกห่างก่อนลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินห่างออกไป

ทั้งที่บรรยากาศเป็นใจ คนที่ชอบก็อยู่ตรงหน้า ถ้าปล่อยให้คืนนี้จบลงด้วยความว่างเปล่าผมคงเสียดายไปตลอดชีวิตแน่

“พี่ไปป์” ผมเรียกพร้อมคว้าข้อมือเขาเอาไว้ก่อนโอกาสจะหลุดลอยไป “อยู่ด้วยกันก่อนสิ”

“ไม่ง่วงเหรอ”

“ไม่” ตอบเขาพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

“แต่ผมง่วงแล้ว”

“งั้นก็ไปนอนเถอะครับ” เลื่อนลงมาจับที่มือ

“ปล่อยมือสิ”

“ไม่อยากปล่อยเลย นอนจับมือกันเฉยๆ ก็ไม่ได้เหรอ” ลูบที่นิ้วเขาแผ่วเบา ลองอ้อนดูเผื่อฟลุ๊ค

“คุณน่ะไม่น่าไว้ใจที่สุดในโลก”

“พี่ไปป์เห็นเซเป็นคนยังไงเนี่ย”

“ไม่น่าไว้ใจไง”

“โหย เสียใจอะ ไปนอนเถอะ เซก็จะนอนแล้วเหมือนกัน” ผมปล่อยมือเขาอย่างยอมจำนน ทิ้งตัวลงบนโซฟาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปลงอย่างคนขี้ขลาด ถ้าจูบไปให้มันจบๆ ตั้งแต่ต้นก็คงไม่ต้องมานอนเสียใจอยู่แบบนี้หรอก

“ฝันดีนะเซ” ความอบอุ่นของฝ่ามือวางลงบนศีรษะ ลูบเส้นผมเหมือนเอ็นดูก่อนความอบอุ่นนั้นจะผละห่างออกไป

ก็ไม่เลวนะ ไม่ได้จูบวันนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสอีกแล้วซะหน่อย





[T B C]

เนี่ยพี่ไปป์อ่อนให้เซมากแล้วจริงๆ นะ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าเซแล้วว่าจะกล้าพุ่งชนแค่ไหน
ฝากติดตามด้วยนะคะ เรื่องราวอาจจะเรื่อยๆ ไม่ค่อยตื่นเต้น เอาไว้อ่านชิวๆ ตอนนิยายเรื่องอื่นไม่อัพก็ได้
 :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-01-2018 19:37:13 โดย แจซอล »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
สู้ๆนะ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
น้องเซ สู้ๆ นะครับ พี่ไปป์ใจดีกว่าก่อนเยอะเลย

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 12


เรตติ้งรายการตอนที่ 1 ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้

ในกรุ๊ปแชทของรายการ พี่อาร์มเอาแต่บ่นว่า ‘อีกนิดเดียวแท้ๆ’ เป็นพันๆ ครั้งจนอยากจะออกจากกรุ๊ปให้มันรู้แล้วรู้รอด จริงๆ ผมจะออกก็ได้แหละ ไม่ได้อยู่ในสถานะเด็กฝึกงานแล้วแต่เพราะยังสนุกกับการทำงานด้วยกันก็เลยแอบๆ อยู่ จนกว่าจะถูกถีบออก

ชีวิตหลังการฝึกงานก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อน แต่เหงา

ผมคิดถึงพี่ไปป์มาก หลังจากส่งรายงานฝึกงานไปเขาก็ไม่อ่านข้อความของผมอีกเลย

เรื่องไม่อ่านข้อความกวนใจผมมาก แต่ไม่เท่ากับข่าวลือสดๆ ร้อนๆ ที่ไอ้ยอดเพิ่งส่งมาโปรดคนไม่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้านอย่างผม

‘เอ็มไปป์ คู่จิ้นหรือคู่จริง’ พร้อมภาพประกอบความชัดเท่ากล้องหน้าโนเกียสมัยก่อน ในฐานะคนรู้จักพี่ไปป์ก็รู้แหละว่าผู้ชายในรูปใช่เขาจริงๆ แต่สำหรับคนอื่น ถ้าไม่แปะชื่อก็ไม่มีทางรู้ป่ะวะว่าคนในรูปคือใคร

หงุดหงิดสำนักข่าวฉิบหาย

“ไงมึง หน้างอเป็นเคียวเกี่ยวข้าว”

“เคยเห็นเคียวเกี่ยวข้าวหรือไงมึง”

สี่โมงเย็นวันเสาร์ แดดยังร้อนจนอยากจะตอกไข่ลงบนพื้นทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วแซะมากิน ไหนไอ้คนนัดมันบอกว่าเย็นๆ อากาศดีเหมาะแก่การเดินกินชิวๆ ในฟู้ดแฟร์ไง ไอ้จั๊ดง้าวมึงหลอกกู

“แล้วนี่มึงใส่หมวกใส่แว่นทำไม คิดว่าตัวเองเป็นเซเลปเหรอ”

แซะกูไม่สนใจพระอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงอยู่บนหัวเลย ถึงกูจะมีสุขภาพผิวที่ดีมากแต่ก็ไม่อยากเสี่ยงกับแดดหรอกนะครับ

“พี่ไปป์จะมามั้ยวะ กูทักแชทไปก็เงียบ ไม่ตอบไม่อ่าน” ไอ้ยอดกำมือถือแน่นพลางว่าด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง

“กูก็เหมือนกัน” ผมเองก็สิ้นหวังไม่ต่างกัน

“กูนัด 4 โมงเย็นอะ รออีกซัก 5 นาทีละกัน ถ้าไม่มาก็ช่วยอะไรไม่ได้”

ผมไม่รู้ว่าควรปลอบมันด้วยคำพูดแบบไหน เพราะผมเองก็ติดต่อพี่ไปป์ไม่ได้ ไปหาที่ห้องก็ไม่อยู่ ถามพวกพี่อาร์มก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ เพราะไม่รู้อะไรเลยถึงได้เป็นห่วงมากขนาดนี้

เรานั่งดื่มโค้กใส่ถุงจนน้ำแข็งละลายหยดลงพื้นจนแฉะพี่ไปป์ก็ยังไม่ปรากฏตัว

“กูว่าเราไปเถอะว่ะ หิวแล้ว” ไอ้ยอดว่าเสียงอ่อยขณะเช็คกล้องเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนแล้ว ใจจริงมันก็คงอยากรอแหละแต่ถ้าช้ากว่านี้แสงอาจจะหมดก่อนเราจะเดินทั่วงาน

“ไม่เป็นไรนะมึง กูอยู่นี่ทั้งคน” ผมตบไหล่ปลอบใจมันทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เราทั้งคู่เดินออกจากตรงนั้น มุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงาน ทว่าอยู่ๆ ความหวังที่มอดดับไปเมื่อครู่ก็ส่องแสงขึ้นมา

“ขอโทษที รถโคตรติดอะ” พี่ไปป์ในชุดเสื้อยืดสีขาวสกรีนข้อความสีดำกับกางเกงยีนส์พอดีตัวและรองเท้าผ้าใบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหยุดข้างหลังพวกเรา

ผมกับยอดหันมองหน้ากัน เผลอยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ เราไม่ถูกทิ้งแล้วโว้ย

“นึกว่าพี่ไปป์จะไม่มา” ไอ้ยอดพูดเสียงแผ่วคำเดียวกับความในใจของผม

“ตอนเรียนผมชอบงานฟู้ดแฟร์มากเลย ไปเดินกับเพื่อนหลายๆ คนซื้อของกินมาแล้วแบ่งกัน แต่ว่านะ ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่ค่อยมีโอกาสทำแบบนั้น พอมีคนชวนก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรอก”

“แต่วันนั้นพี่ปฏิเสธผมนะ”

“อ้าวเหรอ จำไม่เห็นได้เลย ว่าแต่เจ้าของรายการเลี้ยงใช่มั้ย”

“เอางั้นเหรอพี่ ผมไม่ค่อยมีตังค์หรอก” ไอ้ยอดหน้าเสียเลย ฐานะทางบ้านไอ้ยอดก็ไม่ได้แย่หรอกแต่เงินที่มันได้มาก็พอสำหรับมันคนเดียว

“เซเลี้ยงพี่ไปป์เอง” ทั้งสองคนเผยรอยยิ้มออกมาอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย

“เอางั้นเหรอ ผมกินจุนะ”

“เลี้ยงกูด้วยใช่มั้ย”

“ก็ต้องแบ่งกันกินป่ะวะ” ที่จริงแล้วไม่อยากเลี้ยงไอ้ยอดหรอก เข้าใจใช่มั้ย รายการของมัน ผมเป็นแขกรับเชิญมั้ย มีอย่างที่ไหนให้แขกเลี้ยงเจ้าบ้าน ประสาทจริง แต่ก็ช่างเถอะ ต่อหน้าพี่ไปป์ทำตัวเป็นคนดีให้เขาประทับใจหน่อยละกัน

เราตระเวนกินกันตั้งแต่พระอาทิตย์ส่องแสงอย่างร้อนแรงจนหลอดไฟนีออนขึ้นมาทำหน้าที่แทนเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป

จำที่ไอ้ยอดพูดตอนชวนผมกับพี่ไปป์มาถ่ายรายการด้วยกันได้มั้ย ที่บอกว่าเหมือนมาเดท ให้ตายเถอะ เดทเหี้ยไร แดกจนหมดสภาพ หน้าท้องที่เคยแน่นด้วยกล้ามเนื้อตอนนี้ก็มีไขมันส่วนเกินขึ้นมาแล้ว ส่วนพี่ไปป์ คนนั้นกินไม่ห่วงอะไรเลย ห่วงอย่างเดียวคือห่วงกิน คนบ้าอะไรกินอย่างกับปอบลง กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินแบบไม่อยากแบ่งพวกผมด้วย

“ตอนเด็กๆ ผมชอบอันนี้มากเลย พวกคุณเคยเล่นมั้ย”

อันนี้ที่พี่ไปป์พูดถึงคือสายไหมแบบหยอดเหรียญ ดึงเชือกให้เข็มที่หน้าปัดหมุน เข็มหยุดที่เลขอะไรก็ได้สายไหมจำนวนเท่านั้น เป็นการซื้อขนมที่มาพร้อมกับการเสี่ยงโชคของเด็กๆ

ผมเติบโตมาในโรงเรียนนานาชาติ ไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้หรอก ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย ส่วนไอ้ยอดก็พยักหน้าบอกว่าเคยเล่นตอนเรียนอนุบาลในโรงเรียนวัดแถวบ้าน ทั้งสองคุยกันอย่างออกรสชาติ

หลายปีที่คบกันเป็นเพื่อน ครั้งแรกเลยที่ผมอิจฉามัน อยากเรียนโรงเรียนวัดบ้างเลยว่ะ

พ่อครับ ทำไมตอนนั้นไม่ส่งเซเรียนโรงเรียนวัดล่ะ

“เซ”

ความนุ่มสัมผัสที่ริมฝีปากทันทีเมื่อผมหันไปตามเสียงเรียกของพี่ไปป์ ไม่ต้องคิดหรอกว่าจะบังเอิญจูบ มันไม่ง่ายบอกเลย

“อร่อยนะ” ถึงแม้จะไม่ใช่จูบแต่อย่างน้อยเขาก็ป้อนสายไหมถึงปากผมเลย

ผมจ้องหน้าพี่ไปป์ขณะอ้าปากรับ ค่อยๆ เคี้ยวจนคนถูกมองต้องมองไปทางอื่น เขินเลยอ่ะเด้

ยิ่งเคี้ยวยิ่งรู้สึกว่าสายไหมนี่โคตรหวาน ไม่แน่ใจว่าหวานด้วยตัวมันเองหรือหวานเพราะคนป้อนกันแน่

“มันก็จะเคลิ้มหน่อยๆ”

เกลียดไอ้ยอดว่ะ แซวไม่รู้เวร่ำเวลา เห็นมั้ยพี่ไปป์เดินหนีไปเลย มองค้อนไอ้คนถือกล้องไปทีให้มันเข้ามากอดคอแล้วหัวเราะร่วน

“แคปชั่นกูเจ๋งมั้ย”

“มึงทำอะไรก็เจ๋งทั้งนั้นแหละเพื่อน” ประชดแม่งแล้วปัดแขนมันออกเพื่อจะได้วิ่งไปหาพี่ไปป์สะดวกๆ หน่อย

ที่จริงคนกินเก่งก็ไม่ได้เดินไปไหนไกลหรอก หยุดซื้อขนมเบื้องที่ร้านข้างหน้านี่เอง ผมก้าวเข้าไปยืนข้างเขา มองมือเรียวที่กำลังหยิบเงินจากกระเป๋าหนังสีพื้น

“เดี๋ยวเซจ่ายเอง”

“ไม่ต้อง อันนี้จะซื้อไปฝากที่บ้าน”

“พี่ไปป์จะกลับบ้านเหรอ”

“อือ” ตอบผมพร้อมกับรับของมาถือแล้วจ่ายเงิน

“เมื่อไหร่ครับ”

“พรุ่งนี้เช้า”

“บ้านพี่ไปป์อยู่ไหน” เห็นไอ้ยอดถือกล้องนั่งรออยู่ข้างหน้าโน่นพวกเราจึงเดินเข้าไปหา

“จันทบุรี”

“เซยังไม่เคยไปเที่ยวจันทบุรีเลย”

“ก็ไปสิ”

“พี่ไปป์พาเที่ยวหน่อยสิ” คงจะดีมากถ้าได้ไปบ้านเขาและทำความรู้จักกับครอบครัว

“บ้านผมอยู่ในตัวเมือง ไม่ค่อยถนัดเรื่องเที่ยวหรอก แต่ผมมีเพื่อนเป็นไกด์นะเดี๋ยวแนะนำให้”

“ไม่ได้อยากไปเที่ยวกับเพื่อนพี่ไปป์นี่ พรุ่งนี้เซว่างให้ช่วยขับรถได้นะ” ถึงกระนั้นผมก็ยังคงตื๊อไม่เลิก

“ไม่ต้องหรอก ผมขับรถเก่ง” และเขาก็เอาแต่ฏิเสธท่าเดียว

“จะปฏิเสธกันให้ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย”

“รู้อยู่แล้วก็เลิกตื๊อเนอะ”

“เพราะอยากให้เลิกตื๊อก็เลยไม่อ่านข้อความเหรอครับ”

“ข้อความ” พี่ไปป์นิ่งไปเหมือนกำลังคิด “อ๋อ มือถือตกน้ำ เจ๊งไปแล้ว เพิ่งซื้อเครื่องใหม่มาเมื่อกลางวัน ขอโทษนะ เข้าใจผิดเลยอะ”

โล่งใจมากเลย ผมถอนหายใจแรง ความหนักอึ้งในอกผ่อนคลายลงจนตัวแทบลอย

“นึกว่าพี่ไปป์ตัดหางปล่อยวัดเซแล้ว”

“เป็นความคิดที่ดีนะ เลิกคุยด้วยดีมั้ย”

“พี่ไปป์ใจร้ายเวอร์” ถูกตัดพ้อแต่ก็ยังยิ้มได้อีกนะคนเรา แต่ว่านะ โทรศัพท์พังแบบนี้ รู้รึเปล่าว่าตัวเองมีข่าวกับอดีตแฟนที่กำลังกลายเป็นนักร้องดาวรุ่ง

“มองหน้า มีอะไรจะถามก็ถามเลย”

“ถามได้เหรอ”

“ได้สิ ก็อนุญาตแล้วนี่ไง”

“กับพี่เอ็ม”

“เรื่องข่าวน่ะเหรอ มโนมากเลย เรื่องมันต่อเนื่องมาจากที่ผมแคนเซิลงานเอ็มกะทันหัน รู้ใช่มั้ยว่าเอ็มก็กำลังเป็นที่นิยมทางช่องกลัวจะมีปัญหาก็เลยให้ผมเอาดอกไม้ไปขอโทษ”

“ที่ร้านอาหารน่ะนะ”

“เอ็มมีงานที่นั่นพอดี เพราะเอาดอกไม้ไปขอโทษนั่นแหละถึงซื้อข้าวเข้าไปให้พวกคุณช้าไง”

“วันนั้นเหรอครับ”

“อือ” คงไม่ใส่ใจเลยจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้เล่าให้ผมฟังเหมือนกำลังคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศ

“กระแสคู่จิ้นเอ็มไปป์ในเน็ตแรงมากเลยนะ”

“คู่จิ้นอะไร คู่จริงที่จบไปแล้วน่ะสิ”

“ดีใจนะที่ได้ยินแบบนี้ ว่าแต่ว่า...” เขินอ่ะ “เซมีโอกาสเป็นคู่จริงของพี่ไปป์บ้างมั้ยอะ”

คนถูกถามเพียงแค่เบ้ปาก แบบนี้หมายความว่ายังมีโอกาสแหละ เข้าข้างตัวเองไว้ก่อน พี่เขาอุตส่าห์ให้ความหวัง สู้หน่อยไอ้เซ สู้โว้ย







เรตติ้งรายการตอนที่ 2 ขยับขึ้นมาอีกหน่อย ไม่อยู่ในเกณฑ์ดีมากแต่ก็ไม่แย่ ยอดไลค์แฟนเพจเพิ่มขึ้นมาก ลูกหมาแก็งสนามเด็กเล่นในวัดถูกคนใจดีรับไปเลี้ยงหมดแล้ว ถึงแม้พี่น้องจะต้องพลัดพรากแต่อยากน้อยพวกมันก็มีเจ้าของ มีคนที่รักและพร้อมดูแลมัน

ส่วนหินผา ตอนนี้กลายเป็นขวัญใจตัวใหม่ของคนในบ้านผมแล้ว ทุกคนเอ็นดูมันมาก คงเพราะบ้านเราไม่ได้เลี้ยงสัตว์มานานจึงตื่นเต้นและผลัดกันเล่นกับมันไม่ขาด และเจ้าหมาก็ดูมีความสุขดี

“พี่ไปป์จะมาถ่ายให้จริงเหรอพี่อาร์ม”

“อะไรครับน้องเซ มึงไม่เชื่อใจพี่เหรอ นี่น้องรักพี่ไปป์นะ”

“คิดไปเองคนเดียวรึเปล่าครับ” จริงๆ นะ เวลาเจอกันไม่มีซักครั้งที่พี่ไปป์จะแสดงความรักต่อพี่อาร์มมากกว่าคนอื่นๆ ก็เฉยๆ อะ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าเลย

“ถ้าไม่ติดว่ามึงเป็นลูกเจ้าของช่องกูเตะมึงออกจากกรุ๊ปไลน์ไปนานแล้ว”

ตราบใดที่ยังไม่ถูกพี่มันเตะออกจากกรุ๊ปไลน์ก็ยังมาป้วนเปี้ยนที่สตูดิโอได้ล่ะวะ นี่แหละครับความโชคดีของการเกิดเป็นไอ้เซ อยู่ได้ด้วยนามสกุลที่แท้จริง

“รอพี่คนเดียวป่ะ”

พี่ไปป์มาแล้ว สภาพเหมือนวิ่ง 4X100 มา

“พี่นั่งวินมาป่ะเนี่ย” ผมยังเป็นรอยหมวกกันน็อคอยู่เลย

“เออดิ กว่าจะหนีออกจากห้างมาได้”

“เกิดอะไรขึ้น”

“เดี๋ยวถ่ายเสร็จเล่าให้ฟัง ไม่ต้องใจร้อนเดี๋ยวได้เสือกแน่” ดูคำพูดคำจาเขาสิครับ ก็ไม่ได้เสือกโดยสันดานป่ะ เสือกเพราะเป็นห่วงล้วนๆ เลย

มองตามพี่ไปป์ที่เดินไปอีกห้องนึงเพื่อแต่งตัวจนลับตาก่อนจะหันมานั่งเล่นกับหินผาซึ่งเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ

ที่จริงการถ่ายแบบโปรโมทสินค้าเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือหมาแมวในโครงการไม่ได้มีแค่เจ้าหินผากับพี่ไปป์หรอก มีคนอื่นๆ กับเจ้าหมาแมวจรจัดที่เราคัดสรรมาจากวัดและเพื่อนๆ คนรู้จักหน้าตาดีๆ ที่เราทาบทามกันมาถ่ายด้วยเหมือนกัน

งานเริ่มมาตั้งแต่เช้า ถ่ายเสร็จไปแล้วหลายเซ็ต ตอนนี้ก็เหลือแค่คนที่กำลังถ่ายอยู่ตอนนี้กับพี่ไปป์ที่เพิ่งมาถึง

ใช้เวลาแต่งหน้าทำผมไม่นานนักคนหน้าตาดีก็พร้อมถ่ายแบบแล้ว

“ไงพร้อมยัง” ก้าวมาหยุดตรงหน้าแล้วถาม ถามหมานะครับไม่ได้ถามไอ้เซหรอก อย่าสำคัญตัวผิด

“เจ้าหินผามันพร้อมแต่เช้าแล้วครับ”

“จะบอกว่าผมมาช้างี้”

“เปล่านะ เซไม่ได้คิดแบบนั้นซักหน่อย พี่ไปป์ก็มองเซในแง่ร้ายเกินไป” พี่ไปป์แค่ยิ้มรับไม่ได้ต่อปากต่อคำ ก็สมกับเป็นเขาดี

“ขอหินผาให้ผมได้มั้ย” ยื่นมือมาขอผมจึงส่งสายจูงให้ “หินผาอาจจะเป็นหมาที่โชคร้ายแต่ตอนนี้มันเป็นหมาที่โชคดี ใช่มั้ย” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนโยนมากตอนถามผมตรงท้ายประโยคให้ต้องพยักหน้ารับแรงๆ

“คนที่บ้านชอบหินผามากเลยครับ คิดว่าความรักของพวกเราจะทำให้มันมีความสุขและลืมเจ้าของเก่าได้”

“ขอบคุณนะเซ”

“ถ้าวันนั้นพี่ไปป์ไม่ช่วยพาหินผากลับมาเซก็คงไม่ได้เลี้ยงมัน พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ไปป์ ขอบคุณนะ”



[ต่อด้านล่าง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2018 19:13:46 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
[ต่อค่ะ]

ยิ่งเห็นพี่ไปป์ตอนถ่ายแบบก็ยิ่งรู้สึกเสียดายความสามารถของเขา นี่ถ้าเอาดีด้านการแสดงล่ะก็ผมจะเป็นแฟนคลับตัวพ่อ จะทุ่มทุกอย่าง ตามทุกงาน จ้างช่างภาพเก็บภาพทุกช็อตเลย

แค่คิดก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นติ่งที่โคตรทุ่มเท

“เหนื่อยมั้ยครับ” ผมยื่นน้ำให้เมื่องานหน้ากล้องจบลงแล้ว

“หินผาเก่งนะ เจ้าของเก่าคงสอนมันมาดี”

“นั่นสิครับ ทั้งที่น่าจะรักมากขนาดนี้แท้ๆ” ไม่เข้าใจคนที่ทิ้งมันเลยจริงๆ

“ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว อย่าพูดถึงมันอีกเลย” แก้วน้ำถูกส่งกลับมาก่อนนายแบบจำเป็นจะเดินผ่านผมหายเข้าไปในห้องแต่งตัว

ผมฝากพี่อาร์มที่เดินผ่านมาพอดีให้ดูเจ้าหินผาก่อนจะวิ่งตามอีกคนเข้าไปข้างใน ได้ยินเสียงบ่นตามหลังมาแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

“พี่ไปป์!!!” ผมพรวดพราดเข้ามาในห้อง เจอตอนพี่ไปป์ถอดเสื้อพอดีจึงขอโทษขอโพยเขาเป็นการใหญ่ ให้ตายเถอะ ผิวขาวๆ ใต้ร่มผ้าทำให้ผมคิดดีไม่ได้เลย

“มีอะไร” ก็เห็นอยู่ว่าผมมองหื่นยังจะอ้อยอิ่งไม่ยอมใส่เสื้ออีก

“ใส่เสื้อก่อนเถอะครับ”

“ทำไม มีอะไรก็ว่ามาเลย” ทำหน้าไม่สนหินสนแดดแล้วก็ค่อยๆ สวมเสื้อยืดของตัวเองเข้าไป

ฮู่ว ค่อยโล่งอกหน่อย อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ถอนสายตาจากแผ่นอกมาโฟกัสที่หน้าพี่ไปป์ได้แล้ว

“เรื่องที่พี่ไปป์บบอกว่าถ่ายแบบเสร็จแล้วจะเล่าให้ฟัง”

“ขี้เสือกไม่เบานะเรา”

“ก็เฉพาะกับพี่ไปป์คนเดียวแหละ”

“ถ่ายแบบเสร็จแล้วอาร์มบอกว่าจะไปเลี้ยง ไปที่ไหนกัน”

“พี่ไปป์ไม่เปลี่ยนเรื่องสิ”

“คุณไปกับพวกอาร์มด้วยมั้ย แล้วหินผาล่ะ ใครมารับกลับ”

“จะไม่ยอมเล่าดีๆ ใช่มั้ยครับ” ผมก้าวเข้าไปใกล้เขา ขู่ด้วยแววตาไม่จริงจังนักทว่าพี่ไปป์ก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด

“ก็ตอบคำถามมาก่อนสิ”

“พี่อาร์มจองร้านหน้ามอไว้ครับ ส่วนหินผาแม่ส่งคนที่บ้านมารับ เมื่อกี้คุยกันบอกว่าใกล้จะถึงแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมาถึงครับ ทีนี้จะเล่าได้ยัง” ผมร่ายยาวเป็นชุดแทบไม่หายใจหายคอ ก็ช่วยไม่ได้นะอยากรู้เรื่องพี่ไปป์จนเนื้อเต้นแล้วเนี่ย

“ออกไปข้างนอกกัน”

“เล่าก่อนแล้วค่อยออกไป”

“ออกไปข้างนอกกัน” พี่ไปป์ย้ำคำเดิมด้วยน้ำเสียงจริงจังจนไม่กล้าขัดใจ

“แต่ว่า...”

“เซอย่าดื้อ” โดนดุเลย แต่แปลกแฮะ ทั้งที่ควรจะโกรธหรืองอนแต่ผมกลับยิ้ม ถูกพี่ไปป์ดุมาหลายเดือนแต่ครั้งนี้เป็นการดุที่ดูน่ารักมาก

“พี่ไปป์แหละดื้อ บอกจะเล่าแต่ไม่ยอมเล่า”

“ก็ออกไปเล่าข้างนอกไง ในนี้มันร้อน แอร์ก็ไม่มี มาเถอะ” จับแขนผมหมับแล้วพาออกมาข้างนอกเลย ฟินอีก อยู่ๆ ก็มาถูกเนื้อต้องตัว คิดอะไรกับไอ้เซแน่ๆ เลย

ในสตูดิโอแทบไม่เหลือใครแล้ว

“ขอบคุณครับพี่” แทนที่หินผาจะอยู่กับพี่อาร์มทว่าตอนนี้มันกลับถูกพี่ช่วยตากล้องดูแลอยู่ ผมเข้าไปรับมันมา กล่าวขอบคุณเขา เจ้าตัวยิ้มรับก่อนจะเดินไปจัดการงานของตัวเองต่อ

มือข้างนึงถือสายจูง อีกข้างรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาถูกจังหวะพอดี

“ไปส่งหินผากันครับ” เก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนยื่นมือข้างนั้นไปให้คนข้างๆ ถ้าเผลอจับมือกันก็ถือว่าได้กำไรแต่งานนี้แค่เสมอตัวว่ะเมื่อพี่ไปป์เพียงแค่ตีมือผมแล้วเดินนำออกไปก่อนเลย

เขินอ่ะเด้

พวกเราส่งหินผาขึ้นรถ พี่ไปป์กอดลาแล้วบอกเจ้าหมาวาสนาดีว่าเดี๋ยวจะไปเยี่ยมบ่อยๆ

ได้ยินอย่างนั้นแล้วอิจฉาหมาเลย อยากถูกกอดอยากได้คำหวานบ้าง

ก่อนตามไปสมทบกับพวกพี่อาร์มที่ร้าน เราต้องแวะไปเอารถพี่ไปป์ที่ถูกจอดทิ้งไว้ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าก่อน ผมจึงเรียกรถแท็กซี่ให้เข้ามารับ

“โคตรซวยอะ”

พี่ไปป์เริ่มเล่าเรื่องที่ผมอยากรู้อย่างหัวเสียเมื่อเข้ามานั่งข้างกันที่เบาะด้านหลังของรถแท็กซี่สีชมพูหวานแหววเหมือนหัวใจของผม

“ก่อนจะเข้าไปออฟฟิศอาร์ม ผมก็แวะไปทำธุระที่ห้างใช่มั้ย แต่ซวยมาอะ ดันไปเจองานอีเว้นท์ที่เอ็มไปรับเชิญ ผมก็ไม่ได้สนใจนะ ก็แค่เดินผ่านอะ แต่นักข่าวแม่งโคตรตาไวเลย หันมาเห็นผม สะกิดเพื่อนแล้วทีนี้ก็กรูกันเข้ามาเลย ไมค์มีกี่ตัวจ่อมาสิ ผมแม่งไม่รู้จะทำไงเลย” สีหน้าพี่ไปป์ตอนเล่าสื่อความเบื่อหน่ายและรำคาญออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“แล้วพี่ไปป์ทำไงอะ วิ่งหนีออกมาเลยเหรอ”

“คิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลย”

“ไม่รู้สิ ไม่เคยเป็นคนดัง”

“ที่จริงก็กะจะวิ่งหนีแหละ แต่โดนรุมไง ถามอะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะจนฟังไม่ทัน แต่ถึงฟังทันก็ไม่คิดจะตอบหรอกก็เลยทำหน้ามึนๆ ใส่ไป หาโอกาสแล้ววิ่งออกมา มีนักข่าววิ่งตามด้วยนะ ผมก็วิ่งสุดตีนเลย พอเจอพี่วินก็เลยกระโดดขึ้นมา โคตรเหนื่อย”

“พี่ไปป์ตลกดี” ผมว่ากลั้วขำ

“ขำอะไรเนี่ย ไม่เป็นผมคุณไม่รู้หรอก ตอนที่วิ่งหนีนะรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งหนีซอมบี้อะโคตรน่ากลัว นี่โชคดีมากเลยนะที่ตอนนั้นตัดสินใจออกจากวงการมาทำงานเบื้องหลัง”

“ถามได้มั้ยว่าทำไมพี่ไปป์ถึงเลิกกับพี่เอ็ม”

“ไม่รักกันแล้วก็แค่เลิก ต้องมีเหตุผลอะไรซับซ้อนด้วยเหรอ”

“ถ้าไม่รักกันแล้ว ทำไมพี่เอ็มยังตามพี่ไปป์อยู่ล่ะ”

“อยากรู้ก็ไปถามเอ็มสิ”
 
“ไม่อยากรู้ก็ได้ครับ” แม้จะยังคาใจเรื่องนี้แต่ก็ไม่อยากขัดใจเขา

“ดีแล้ว ผมไม่ชอบคนสอดรู้สอดเห็น” จุกเลยอะ ที่ผ่านมาสอดรู้มาหลายเรื่องแล้ว ไม่ใช่ว่าตัดสินผมจากเรื่องพวกนั้นไปแล้วหรอกนะ

คุยกันไปเรื่อยเปื่อยกระทั่งมาถึงจุดหมาย

ผมอาสาขับรถ พี่ไปป์เองก็ยอมส่งกุญแจให้ผมแต่โดยดี เวลาว่าง่ายนี่ก็น่ารักดี

ผมกับพี่ไปป์น่าจะเป็นสองคนสุดท้ายที่มาถึงร้าน พี่กริชโบกมือเรียกทันทีเมื่อเราปรากฏตัว พี่แอมป์ที่นั่งอยู่ข้างกันวางแก้วลง หันมาส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร

“ไปทำไรกันมาวะ ช้าตลอด” ไหนพี่ไปป์บอกไม่ชอบคนสอดรู้ พี่กริชเพื่อนสนิทพี่เขานี่ขี้เสือกตัวพ่อเลย

“พี่ไปป์บอกว่าไม่ชอบคนสอดรู้ครับ” ผมกับพี่กริชไม่ญาติดีกันแล้ว ก็หลายเมื่อวันก่อนผมแนะนำเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งให้พี่แกรู้จัก ผมก็ไม่คิดอะไรนะ กระทั่งเมื่อวานพี่แกก็โทรมาด่าผมเป็นชุดว่าแนะนำผู้หญิงงี่เง่ามาให้ อ้าว! ผมจะรู้มั้ยอะว่าเจ้าหล่อนนิสัยยังไง นั่นแหละ เพื่อนรักพี่ไปป์ก็เลยเกลียดขี้หน้าผมเลย ซวยชะมัด

“น้องมึงกวนตีนแล้วไปป์”

“กูว่าไม่น่าจะใช่น้องแล้วรึเปล่าวะ” พี่แอมป์พูดดี ผมจึงหันไปส่งยิ้มให้ก่อนขอไฮไฟว์ พอพวกเราตบมือกันแปะพี่กริชคนสอดรู้ก็หันมาแยกเขี้ยวใส่

“ไม่รู้แหละ ไม่ผ่านการพิจารณาจากกู กูก็ไม่ให้คบเว้ย”

“มึงเป็นพ่อไอ้ไปป์ตั้งแต่เมื่อไหร่เชี่ยกริช”

“มึงว่ากูแก่เหรอแอมป์ ว่างๆ ผ่าหมาออกจากปากตัวเองบ้างนะ”

“เออ ผ่าปากกูเสร็จแล้วก็ต่อด้วยปากมึงอะ”

อ้าว เถียงกันซะแล้ว ผมหันมองคนข้างๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะชิงเบือนหน้าหนีไปก่อนแล้ว

“พี่กริชหวงพี่ไปป์จังเลยนะครับ” เข้าใจแหละว่าสนิทกัน

“ผมเสน่ห์แรงไง”

“มั่นใจป่ะเนี่ย” เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดแซวเขาไม่ได้

“ถามตัวเองสิ คุณเองก็หลงเสน่ห์ผมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ยิงคำถามใส่กันด้วยน้ำเสียงเนิบช้าไร้ความรู้สึกแบบนี้ก็ได้เหรอ นี่มันเรื่องของหัวใจนะครับ เติมความหวานในน้ำเสียงซักหน่อยเถอะ ขอร้อง

“พี่ไปป์เสน่ห์แรงจริงๆ แหละ” ผมยื่นมือไปรับแก้วเหล้ามา ถือไว้เฉยๆ ขณะวางสายตาอ่อนหวานไว้บนดวงหน้าคนตรงหน้า “เนี่ยตกหลุมรักอีกแล้ว”

“เสี่ยวสัด” เสียงพี่อาร์มดังขึ้นเหนือหัว เงยหน้ามองก็พบรอยยิ้มกวนตีนที่เห็นแล้วอยากถวายตีนให้แม่งจริงๆ “หยอดพี่กูขนาดนี้ ไม่ให้แม่ยกขันหมากมาขอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะครับน้องเซ”

“กลัวบางคนไม่ยอมรับขันหมากนี่สิ” บางคนที่ถูกพูดถึงชักสีหน้าใส่แล้วกระดกเหล้าทีเดียวหมดแก้ว เบาๆ หน่อยพี่เดี๋ยวก็เมาหรอก ยิ่งคออ่อนๆ  อยู่ไม่ใช่เหรอ

“ขันหมากเหี้ยไร เขายอมเป็นแฟนมึงแล้วเหรอ” พี่กริชเวลาเมานี่เกรี้ยวกราดสุด คงเพราะแบบนี้ครั้งแรกที่เจอกันพี่ไปป์ถึงได้ห่วงมากๆ

“ตอนนี้อาจจะไม่แต่กูว่าอีกไม่นานหรอก”

“มึงเป็นหมอหมาหรือเป็นหมอดู”

“เป็นหมอหมาที่มองไอ้ไปป์ปราดเดียวก็รู้เลยว่ามันคิดอะไร”

“จะบอกว่ามึงสนิทกับมันมากกว่ากูงั้นสิ คิดไปเองป่ะแอมป์ กูสนิทกว่า”

“ก็ไม่รู้สินะ ถ้าสนิทกว่าแล้วทำไมมึงดูไม่ออกว่าไปป์กำลังคิดอะไร”

“กูดูออกอยู่แล้ว กูแค่ไม่แสดงออก”

“งั้นเหรอ งั้นตอบกูสิว่าไปป์คิดกับน้องเซยังไง” ผมเลิกสนใจพี่อาร์มแล้วหันไปให้ความสนใจกับบทสนทนาของเพื่อนสนิทพี่ไปป์

“รำคาญ” จุกเลยอะ แต่ก็ต้องยอมรับกว่าก่อนหน้านี้พี่ไปป์คงคิดกับผมแบบนั้นจริงๆ

“ไม่สนิทจริงนี่หว่า” พี่แอมป์ถากถาง

“กูสนิท”

“ถ้าสนิทจริงมึงต้องรู้ว่าไปป์มัน...”

“ไปป์บังเอิญจัง” พี่แอมป์ยังพูดไม่ทันจบแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวตรงหน้าเราเสียก่อน

พี่เอ็ม

ในความสลัวเจ้าของดวงตาคมจับจ้องเพียงคนที่เขาเอ่ยชื่อ ผมใช้สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ออร่าคนดังเปล่งประกายออกมาจากร่างสูงต่างจากครั้งแรกที่เจอกัน

“เมื่อกลางวันไปหาเอ็มที่ห้างเหรอ” เขาก้มหน้ากดมือถืออยู่ครู่ก่อนจะยื่นมาตรงหน้า ชะโงกดูก็เห็นข่าวที่บอกเล่าเรื่องราวในเหตุการณ์เดียวกับที่พี่ไปป์เล่าให้ผมฟังระหว่างเราเดินทางมาที่นี่

“คิดอย่างนั้นเหรอ”

“ไม่หรอก ไปป์ยังไม่ใจอ่อนให้เอ็มเลย”

“มึงยังกล้ากลับมาเจอเพื่อนกูอีกเหรอ หน้าด้านฉิบหาย” พี่กริชว่าด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดสไตล์คนเมา เขาไม่แม้แต่จะชายตาแลคู่สนทนาด้วย

“คุยกันหน่อยสิ” พี่เอ็มยื่นมือมา เว้าวอนด้วยสายตาให้พี่ไปป์ตามออกไป

ผมอยากจับมือเขาไว้ อ้อนวอนให้อยู่ ทว่ารอบตัวของเรากลับนิ่งสนิท พี่ไปป์ไม่แม้แต่จะขยับตัว เขาเม้มปาก จ้องมองพี่เอ็มด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความหมาย

“อยากคุยอะไรก็คุยตรงนี้”

“แต่ว่า...”

“มีแต่เพื่อนและน้องๆ ผมทั้งนั้น ถ้าไม่คุยตรงนี้ก็ไม่ต้องคุย” ยิ่งได้ยินพี่ไปป์ว่าอย่างนั้นทั้งโต๊ะก็ยิ่งเคร่งเครียดเหมือนถูกเมฆฝนลอยบดบังพระอาทิตย์เอาไว้

หลังเอ่ยจบประโยค พี่ไปป์ดูผ่อนคลายมาก เขายกแก้วขึ้นจิบเหล้า มองมาที่ผมซึ่งมองหน้าเขาอยู่เช่นกัน

“ก็ได้ แต่ขอนั่งได้มั้ย”

พี่ไปป์ขยับมาจนชิดผมเพื่อให้พี่เอ็มแทรกตัวลงนั่งข้างๆ

ตอนนี้บนโซฟาคนหนาแน่นมากจนพี่แอมป์ต้องขยับไปนั่งที่พนักวางแขนแทน

“เอ็มลองคิดดูแล้วนะ ไปป์ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องเลิกกันเพียงเพราะเอ็มกำลังจะมีชื่อเสียง” เสียงพี่เอ็มนุ่มนวล คงจะเป็นน้ำเสียงแบบที่เขาใช้กับพี่ไปป์อยู่เป็นประจำ

“ผมไม่เคยรู้ว่าคุณจะมีชื่อเสียง” ผมไม่เคยชอบพี่ไปป์ยามพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกตรงข้าม “คุณไม่เคยแสดงให้เห็นด้วยซ้ำว่าคุณทะเยอทะยานอยากจะเป็นนักร้องชื่อดัง เพราะงั้นไม่มีเหตุผลที่ผมจะยอมเสียสละอะไรให้คุณ”

คิดว่าคนฟังคงหน้าชาไปแล้วเขาถึงได้นั่งนิ่งแบบนั้น

“คุณบอกว่าคุณรักผม แต่คุณกลับไม่เคยรู้เลยว่าผมเป็นคนยังไง”

“ถ้าไม่ใช่อยากให้เอ็มเป็นนักร้องโดยที่ไม่มีเรื่องเสียหายแล้วเพราะอะไรล่ะไปป์”

“คุณมองว่าการคบกันของเราเป็นเรื่องเสียหายอย่างนั้นเหรอ เออว่ะ แม่ง ผมแม่งโคตรรู้สึกดีเลยที่เลิกกับคนอย่างคุณได้”

“ไม่เอาดิไปป์ เอ็มไม่เคยคิดอย่างนั้น เอ็มรักไปป์นะ ไม่เคยนอกใจเลยอะ”

“เออ ก่อนจะพูดเนี่ยลืมไปแล้วเหรอว่าตอนเราคบกันคุณนอนกับคนอื่นไปกี่ครั้ง ไม่มีใครรับได้หรอกนะที่รู้ว่าแฟนตัวเองไปนอนกับคนอื่น ผมก็คนนะเอ็ม ไม่ใช่ควาย” ไม่เคยเห็นพี่ไปป์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้มาก่อน เขาน่ากลัวมาก มือเรียวทั้งสองข้างกำแน่น เหมือนพร้อมจะต่อยคนข้างๆ ได้ทุกเมื่อเลย

“ถ้าเพราะเรื่องนั้น เอ็มอธิบายไปแล้วไงไปป์ เอ็มเมา มันแค่อารมณ์ชั่ววูบ เอ็มไม่ได้รักเค้า เอ็มรักไปป์คนเดียวนะ จนถึงตอนนี้ความรู้สึกของไปป์ก็ไม่เคยเปลี่ยนนะ เอ็มขอโทษนะไปป์ เอ็มรู้ว่าคำขอโทษมันอาจจะไม่พอ แต่ให้เอ็มไถ่โทษนะ หลังจากนี้เอ็มจะไม่ทำให้ไปป์เสียใจอีก” น้ำเสียงพี่เอ็มเว้าวอน เขายื่นมือมาหวังสัมผัสหากพี่ไปป์ก็ถอยห่าง

“เราไม่จำเป็นต้องให้อภัยทุกคนที่มาขอโทษเรารึเปล่าวะ ผมไม่รู้นะเอ็มว่าความรักของคุณคืออะไร แต่ความรักของผมไม่ใช่คุณอีกต่อไปแล้ว”

“เอ็มมาช้าไปเหรอ”

“ไม่เกี่ยวกับช้าหรือเร็วแต่เกี่ยวกับความรู้สึกของผมที่มันหมดแล้วต่างหาก คุณไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นเถอะ ผมเองก็กำลังจะเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นเหมือนกัน”

ประโยคง่ายๆ นั้นแต่เหมือนมันจะไม่ง่ายสำหรับคนพูดและคนฟังเลยสักนิด

มองเผินๆ พี่ไปป์อาจจะดูเข้มแข็งมากแต่ไม่ใช่เลย เขากำมือที่วางอยู่บนหน้าขาแล้วคลายออกทำอย่างนั้นซ้ำๆ ตลอดเวลาที่คุยกับอีกฝ่ายจนผมต้องเอื้อมมือไปกุมเอาไว้

พี่เอ็มจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความอึมครึมในโต๊ะและผมที่ยังกุมมือพี่ไปป์ไม่ยอมปล่อย

“พี่ไปป์โอเคมั้ย”

พยักหน้าให้ผมแทนคำตอบ แต่ไม่หรอก พี่ไปป์ไม่โอเคเลย ไหล่ของเขาที่แนบชิดกับอกผมกำลังสั่นสะท้านเมื่อเจ้าตัวสะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากเปิดเผย

“ออกไปข้างนอกมั้ย เดี๋ยวเซพาไป”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเอง” บอกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าก่อนวางแก้วลงแล้วดึงมือออกจจากการกอบกุม “ขอโทษทุกคนนะ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่อง หมดสนุกเลย”

“ไม่ใช่ความผิดพี่ไปป์หรอก พวกเราสนุกนะ พี่ไปป์แหละสนุกป่ะเหอะ”

“ไปปรับอารมณ์ก่อนเดี๋ยวกลับมา” ผมส่งยิ้มให้พี่ไปป์ตอนที่เขามองผ่านมา อยากจะเดินตามออกไปหรอก กำลังจะลุกแล้วแต่กลับถูกพี่แอมป์ห้ามเอาไว้

เสียงเพลงรักจังหวะสบายๆ จากวงดนตรีสดดังขึ้นจากเวทีด้านหน้าช่วยให้บรรยากาศบนโต๊ะดีขึ้นหน่อย

ผมก้มมองแก้วพี่ไปป์ที่น้ำแข็งละลายไปจนหมดก่อนมองผ่านฝูงชนไปยังพี่เอ็มซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของร้าน ไหล่กว้างห่อลงอย่างเห็นได้ชัด มองข้างหลังยังรู้เลยว่าอาการไม่ค่อยดี ไม่รู้ด้วยว่าเหตุการณ์เมื่อครู่มีใครถ่ายรูปหรือถ่ายคลิปไว้บ้างมั้ย ซึ่งถ้ามีคนทำล่ะก็คงไม่เป็นผลดีกับคนที่กำลังมีชื่อเสียงเท่าไหร่

ถึงผมจะไม่ชอบพี่เอ็ม แต่ผมก็ไม่ชอบให้อนาคตใครถูกทำลายเพียงเพราะคลิปสั้นๆ ของชาวโซเชียลหรอก







“พี่แอมป์คิดว่าเรื่องพี่ไปป์กับพี่เอ็มจบแล้วจริงๆ รึเปล่า” ระหว่างรอให้คนที่ดูเหมือนจะหมดสนุกกับค่ำคืนนี้กลับเข้ามาก็หันไปชวนพี่แอมป์คุยเพื่อคลายความตึงเครียดที่กำลังเกาะกินหัวใจ

“จบสิ ไปป์พูดถึงขนาดนี้แล้วเซยังจะลังเลอะไรอีกล่ะ”

“เซไม่แน่ใจว่าพี่ไปป์เลิกรักพี่เอ็มจริงๆ รึเปล่า” อาการของพี่ไปป์เมื่อครู่ทำให้ผมไม่มั่นใจอะไรเลย

“เวลาที่เราทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นเรารู้สึกดีเหรอ”

ผมส่ายหน้า ใครจะไปรู้สึกดีเมื่อทำให้คนอื่นเสียใจกันล่ะ

“ไปป์ก็คงแค่รู้สึกไม่ดีเฉยๆ แหละ”

แม้ไม่สบายใจในทีเดียวแต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

“เซรู้มั้ย...” พี่แอมป์กระดกเหล้าในแก้วจนหมดทีเดียวแล้ววางลงก่อนวางมือลงบนหน้าขาของผม จ้องมองมาด้วยสายตาเชื่อมปรอยจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ส่วนพี่กริชน่ะเหรอ หลับไปแล้วล่ะ “ที่เราได้เป็นเดือนน่ะเพราะเพื่อนพี่เลยนะเว้ย”

หืม ผมมุ่นคิ้วยุ่ง ละสายตาจากพี่กริชมามองคนพูด เอาจริงๆ ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

“เกี่ยวอะไรกับพี่ไปป์ครับ” จำได้ว่าตอนผมอยู่ปี 1 พี่ไปป์ก็อยู่ในฐานะพี่บัณฑิตแล้ว

“รู้ใช่มั้ยว่านอกจากคะแนนโหวตจากเพื่อนทั้งคณะแล้ว เสียงของพี่บัณฑิตมีผลต่อการเลือกดาวเดือนคณะด้วยเหมือนกัน”

ผมพยักหน้ารับ พลางจ้องหน้าพี่แอมป์ไม่วางตา

“ตอนนั้นคะแนนของเรากับน้องรองเดือนสูสีกันมากแทบจะเสมอกันเลยมั้ง”

ใครๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมกับรองเดือนหล่อคนละสไตล์ ก็ไม่แปลกหรอกที่คะแนนจะสูสีเพราะคนเราชอบไม่เหมือนกัน

“ตอนนั้นไปป์มันลงคะแนนให้เซนะ รู้มั้ยเพราะอะไร” เพราะพี่ไปป์ชอบผู้ชายสไตล์ผมหรือเปล่า แต่ก็ไม่แน่ว่ะ เพราะพี่เอ็มแฟนเก่าเขาก็ไม่ใช่สไตล์เดียวกับผม

เมื่อหาคำตอบไม่ได้จึงส่ายหน้าให้พี่แอมป์ยิ้มน้อยๆ

“เพราะมันชอบเซ”

หืม ว่าไงนะ ไม่จริงน่า ตลอดเวลาที่ใช้ไปด้วยกันไม่เคยเห็นว่าเขาจะแสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย หรือว่าพี่แอมป์ไม่ได้เมาจนเพ้อเจ้อไปเอง บางทีเขาอาจจะแค่อยากให้กำลังใจผม

ไม่เอาแล้ว ไม่เดา ไปถามเอาคำตอบจากเจ้าตัวเลยสิ





[T B C]


รู้สึกถึงบรรยากาศดีๆ ระหว่างพี่ไปป์กับเซใช่มั้ยคะ
เราเชื่อนะว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น
เซพยายามเรื่องพี่ไปป์มากจริงๆ แม้พี่ไปป์จะยังไม่ยอมรับความรู้สึก แต่อย่างน้อยก็ได้เพื่อนพี่ไปป์มาเป็นทีมตัวเองนะ
ฝากพี่ไปป์กับเจ้าเซด้วย :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-01-2018 19:15:04 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
รักน้องมันรีบบอกเหอะ

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 13


แสงสว่างจากบุหรี่ที่ถูกจุดขึ้นในความมืดทำให้รู้ว่าพี่ไปป์อยู่ตรงไหน

ผมเดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนขอบกระถางต้นไม้ ในมือคีบบุหรี่ที่ถูกสูบไปเกือบหมดมวนแล้ว พอหันมาเห็นผมเขาก็ดับมันทิ้ง

“สบายใจขึ้นรึยัง” ผมยิ้มอ่อนโยนส่งให้เมื่อถาม หวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นหน่อย

“บุหรี่ช่วยได้นิดหน่อย”

“พี่ไปป์ลุกมานี่สิ” ผมยื่นมือไปตรงหน้า หากพี่ไปป์ไม่ได้ยื่นมือมาให้จับ ก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้เท่าไหร่หรอก เขาลุกขึ้นยืน มองผมอย่างคนกำลังสงสัย “เซอยากช่วยให้พี่ไปป์รู้สึกดีนะ”

“ผมรู้สึกดีแล้วนี่ไง” เขายิ้ม เจ้าตัวรู้บ้างไหมว่ายิ้มนั้นดูอ่อนล้ากว่าครั้งไหนๆ

“มากอด” พี่ไปป์เบิกตากว้างทันทีเมื่อผมอ้าแขนออก

“อะไรของคุณ”

“กอดแล้วรู้สึกดีนะ มาเถอะ” เรียกอีกทว่าเขากลับยังคงยืนนิ่งจนผมต้องเป็นฝ่ายเข้าไปสวมกอดเขาเสียเอง

พี่ไปป์ยืนนิ่งประหนึ่งเสาหิน แขนแนบลำตัวไม่คิดจะกอดตอบ แต่ก็ช่างปะไรอย่างน้อยเขาก็ไม่ผลักผมออกห่าง เวลาผ่านไปท่ามกลางลมเย็นที่พัดผ่าน ไม่รู้ว่าหนาวหรือเปล่า อยู่ๆ แขนที่วางแนบอยู่ข้างลำตัวก็ถูกยกขึ้นมาสวมกอดผม ซบหน้าลงบนไหล่ สัมผัสระหว่างเราแนบแน่นยิ่งขึ้นให้ความรู้สึกในหัวใจค่อยๆ งอกงาม

“รู้สึกดีจริงๆ ด้วยแฮะ” คำของพี่ไปป์ทำให้ผมยิ้มได้

“ดีกว่าบุหรี่ใช่มั้ยครับ”

“มั้ง”

“พี่ไปป์” ไม่แน่ใจว่าควรพูดตอนนี้ไหม แต่ว่าถ้าไม่พูดก็ไม่รู้ว่าระยะห่างระหว่างเราต่อจากนี้จะเป็นอุปสรรคหรือเปล่า “ถ้ารู้สึกเหมือนกันก็เป็นแฟนกันเถอะนะ”







ช่วงเย็นวันศุกร์อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมา

ผมเท้าคางมองสายฝนที่เทกระหน่ำผ่านกระจกร้านอาหารร้านโปรดของพี่ไปป์ ทั้งที่เป็นฝ่ายนัดผมเองแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับมาสายซะงั้น

หน้าจอมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสว่างขึ้น ข้อความพุทแจ้งเตือนว่าเป็นข้อความจากคุณปกรณ์

‘ติดฝน ในรถไม่มีร่ม’ ผมรีบหยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อกก่อนตอบข้อความด้วยความห่วงใยสุดขีด

‘พี่ไปป์จอดรถตรงไหน’

‘ขวามือของร้าน ห่างออกมาประมาณ 100 เมตร’

‘เดี๋ยวเซไปรับ’ ตอบเขาแล้วจึงเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง

โชคดีที่ร้านมีร่มไว้บริการลูกค้า

เพียงเปิดประตู ลมก็พัดเข้าหน้าจนชาไปทั้งแถบ นั่งอยู่ข้างในไม่รู้เลยว่าลมแรงขนาดนี้ รองเท้าผ้าใบของผมเริ่มชื้น เสื้อนักศึกษาสีขาวก็เริ่มเปียกจนแนบเนื้อ ร่มไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริงๆ

วิ่งกึ่งเดินฝ่าสายฝนมาก็เจอรถพี่ไปป์ที่ผมคุ้นเคยดี

“เปียกหมดแล้ว” พี่ไปป์ก้าวมายืนข้างๆ จนไหล่เขาชิดอกผมใต้ร่มคันเดียวกัน บรรยากาศควรจะโรแมนติก แต่ไม่เลย โคตรหนาว โคตรแฉะ รู้ไว้เลยว่าไอ้เซไม่ชอบฤดูฝน

“เดินเร็วๆ เลยนะ” พี่ไปป์กอดกระเป๋าไว้แนบอก ส่วนผมก็โอบไหล่ของเขาเอาไว้

ปกติถ้าได้สัมผัสพี่ไปป์นี่ผมจะโคตรฟิน โคตรเพ้อ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ฟินไม่ไหวหรอกมันแฉะเกินไป

กึ่งเดินกึ่งวิ่งกันจนรองเท้าเปียก ขากางเกงชุ่ม สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายด้วยสภาพแย่ๆ เหมือนลูกหมาตกน้ำ มองหน้ากันแล้วก็ได้แต่ขำ

“แน่ใจเหรอว่ากางร่มแล้ว เสื้อเปียกหมด” พี่ไปป์ยื่นมือมาลูบต้นแขนซ้ายของผมที่เปียกทั้งแถบ ก็แหงสิ เป็นสุภาพบุรุษไง เอียงร่มไปฝั่งเขาจนเราเปียกชื้น

“พี่ไปป์ก็เปียกเหอะ”

“แต่น้อยกว่าเซ”

ผมเดินนำพี่ไปป์ไปที่โต๊ะหลังจากเสียบร่มไว้ในตะกร้า พอกลับมาถึงอาหารหลายอย่างก็วางอยู่บนโต๊ะแล้ว ท้องผมร้องด้วยความหิวแต่ตัวก็เฉอะแฉะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบาย

“ไปเปลี่ยนเสื้อก่อนไป๊” พี่ไปป์ยื่นถุงที่เขากอดมาตลอดทางให้ ผมรับมาแกะดูอย่างไม่ลังเล ข้างในปรากฏเสื้อตัวที่ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมันแขวนอยู่หลังรถเขา

“เตรียมมาให้เซเหรอ”

“เตรียมมาให้หมามั้ง”

“วันนี้หินผาไม่ได้มาด้วยซักหน่อย”

“กวนตีนแล้วเซ รีบไปเปลี่ยนเสื้อเลยเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

“กางเกงก็เปียกอะ เปียกไปถึงกางเกงในเลยเนี่ย” ผมโน้มใบหน้าเข้าไปป้องปากกระซิบให้คนตรงข้ามหัวเราะเบาๆ

“มีบ็อกเซอร์อยู่ในรถนะ ถ้าคุณอยากยืม...” ยื่นกุญแจมาให้กันเฉย อยากได้อยู่หรอกจริงๆ แล้ว แต่ไม่อยากฝ่าฝนออกไป ยอมอยู่แบบกางเกงเปียกๆ ก็ได้

ผมกอดกระเป๋าพี่ไปป์ไว้แนบอก ยิ้มกว้างขอบคุณคนรอบคอบและใจดีก่อนขอตัวไปห้องน้ำ

เสื้อพี่ไปป์หอมมาก หอมเหมือนตัวเขา และพอเสื้อยืดสีพื้นมาอยู่บนตัวผมก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขากอด มีความสุขมากจนลืมเรื่องกางเกงในเปียกไปเลย

สงสัยพี่ไปป์คงหิวมาก พอผมกลับมาที่โต๊ะเขาก็กินข้าวหมดไปเกือบครึ่งจานแล้ว

“ทำงานจนไม่ได้กินข้าวเที่ยงอีกแล้วแหง”

เจ้าตัวพยักหน้ารับแต่โดยดี ไม่ใช่ยอมผมแต่ไม่มีทางให้แก้ตัวเพราะพี่ไปป์ทำอย่างนี้ประจำ

“เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะ”

“ขี้บ่นจัง” ว่าผมไม่ดูตัวเองเลย เมื่อก่อนขี้บ่นกว่านี้อีก

“เมื่อวันก่อนเซเจอพี่หนิงด้วยแหละ”

“อืม” ช่วยตื่นเต้นกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ พี่หนิงเคยทำงานกับพี่ไปป์มาตั้งหลายปีนะเว้ย

“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเขาเป็นยังไง”

“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” เชื่อแล้วว่าไม่สนใจจริงๆ พี่ไปป์ก็เป็นอย่างนี้ตลอด ถ้าไม่ชอบใครแล้วจะไม่อยากรู้เรื่องของคนๆ นั้นเลย ที่จริงก็เป็นเรื่องที่ดีแหละ

ว่าถึงเรื่องพี่หนิง หลังจากที่โดนจับได้ว่าเป็นคนปล่อยข่าวลือ พี่ไปป์คนใจดีก็ทำเรื่องย้ายพี่เขาไปอยู่แผนกอื่นแต่ไม่นานพี่แกก็ลาออก ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรและดูเหมือนพี่ไปป์เองก็ไม่ได้สนใจใคร่รู้เรื่องของคนอื่นเอาซะเลย

จะว่าไปผมยังไม่มีโอกาสตอบแทนเรื่องขนมที่พี่แกซื้อมาฝากเลย ถ้าพี่แกบอกตรงๆ ว่าเป็นคนซื้อโดยไม่อ้างชื่อพี่ไปป์ผมคงไม่รับมาหรอก ผมเองก็เป็นคนขี้เกรงใจเหมือนกันนะบางที

“อันนี้อร่อย” ตัวเองอิ่มแล้วล่ะสิถึงได้ตักอาหารที่เหลือในจานให้ผม

พี่ไปป์กินเก่งมาก ต่อไปนี้ผมคงต้องขยันขึ้นอีกหน่อย ไม่งั้นคงไม่มีปัญญาเลี้ยงแฟน

“เซนึกว่าพี่ไปป์จะชวนไปกินบุฟเฟต์”

“ช่วงนี้อาหารไม่ค่อยย่อย เอาไว้คราวหน้าละกัน”

หลังจากฝึกงานเสร็จ ผมยังคงทำงานกับทีมพี่อาร์มพร้อมๆ กับเรียนเทอมสุดท้ายไปด้วย กับพี่ไปป์ เขาโทรหาผมบ่อยกว่าตอนรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงซะอีก อย่าคิดว่าโทรมาหวานหรือหว่านเสน่ห์ ไม่เลย ห่างไกลมากด้วย จำได้ใช่มั้ยว่าพี่ไปป์เคยบอกว่าตัวเองกินเก่ง นั่นแหละครับเหตุผลที่ไปป์สายแดกโทรมาหา ชวนกินบุพเฟต์จนตอนนี้กลิ่นตัวผมใกล้ๆ จะคล้ายกลิ่นปิ้งย่างเข้าไปทุกทีแล้ว

แต่ผมก็ไม่เกี่ยงหรอก ทางไหนที่ทำให้ได้ใกล้ชิดเขาผมเอาหมดแหละ นี่เขาก็เปิดใจให้ผมมากแล้ว ถึงจะยังไม่ยอมตอบรับเรื่องคบกันแต่ความสัมพันธ์และการกระทำของเราก็ใกล้เคียงคำว่าแฟนมากจนไอ้ยอดแซ็วเช้าแซ็วเย็น

อยากรู้เรื่องพี่เอ็มหรือเปล่า ไม่อยากเล่าเลยให้ตายเถอะ ช่วงนี้พี่แกก็ดังแบบทรงๆ เคยถามพี่ไปป์ครั้งนึงว่ายังถูกแฟนเก่าระรานอยู่มั้ย ก็ได้คำตอบง่ายๆ ว่าไม่ ผมเชื่อเขานะ พี่ไปป์แทบจะไม่เคยพูดถึงพี่เอ็มเลย ทำเหมือนว่าไม่เคยมีคนๆ นี้ในชีวิต เห็นอย่างนั้นแล้วก็เบาใจ

“วันนี้ให้เซจ่ายนะ” ผมควักบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋าสตางค์ทว่าพี่ไปป์ก็ห้ามเอาไว้อย่างเคย เนี่ย ขัดใจตลอด

“ไม่ได้ ผมเป็นคนชวน”

“พี่ไปป์อะ อย่างนี้ทุกที งั้นพรุ่งนี้ไปดูหนังกัน” นี่ชวนมาสิบกว่ารอบแล้วไม่เคยตอบรับ ไม่เหมือนผม เขาโทรมาชวนกินข้าวเมื่อไหร่ตอบรับอย่างไวโดยไม่ต้องคิดอะไรแม้แต่นิดเดียว ใจง่ายโคตรๆ

“ไม่เอาอะ ไม่อยากดู” นั่นไง ปฏิเสธอีกแล้ว

“แต่เซอยากดู” และผมก็ช่างตื๊อ ไม่รู้แหละ ตื๊อไว้ก่อนถึงจะยังดื้อดึงปฏิเสธแต่อย่างน้อยพี่ไปป์ก็คงได้เห็นถึงความพยายามของผมบ้าง

“ก็ไปดูคนเดียว”

“ไม่เอา อยากดูกับพี่ไปป์”

“ผมไม่ค่อยชอบดูหนัง”

“ไปนั่งข้างๆ เฉยๆ ก็ได้”

“เปลือง”

“แต่เรื่องนี้เซอยากดูจริงๆ นะ” ผมวางศอกไว้บนโต๊ะประสานมือรองใต้คาง มองเขาตาปริบๆ ใจอ่อนซักทีเถอะครับ ไม่ได้บังคับให้ไปดู แค่อยากให้นั่งข้างๆ เวลาตกใจจะได้ผวาเข้าไปกอด







พี่ไปป์โกหกอะ

“ไหนบอกไม่มีร่ม” ผมเข้ามานั่งข้างคนขับเมื่อเราตกลงกันเรื่องจ่ายค่าอาหารแล้วควักเงินจ่ายคนละครึ่ง

“อ้าวมีด้วยเหรอ” ไม่ต้องมาทำเป็นตื่นเต้นแปลกใจเลย ตั้งใจจะแกล้งกันใช่มั้ย

เนี่ยตั้งแต่เริ่มสนิทกันพี่ไปป์ก็กลายเป็นคนขี้แกล้งไปซะงั้น

“อยากให้เซกางร่มมารับก็บอกดีๆ”

“หรือไม่อยากมารับ”

“ก็อยากแต่เนี่ยเห็นมั้ย เซเปียกหมดเลย” ผมจับมือพี่ไปป์ออกจากพวกมาลัยแล้วมาวางที่กางเกงเปียกชื้นของตัวเอง หากคนผิดก็หาได้สนใจไม่ ดึงมือออกแล้วหักพวกมาลัยออกจากที่จอดทันที ไม่สนใจกางเกงชื้นๆ ของไอ้เซแม้สักนิดเดียว

ขับรถออกถนนใหญ่มาได้ซักพักผมก็เริ่มหนาว

“หนาวอะ”

“ลดแอร์สิ”

“เดี๋ยวพี่ไปป์ร้อน”

“ไม่ร้อนหรอก ถ้าหนาวก็ลดแอร์ หรือถ้าไม่ก็หยิบเสื้อคลุมหลังรถมาห่ม” ผมมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปด้านหลังซึ่งมีเสื้อแจ็คเก็ตปักชื่อคณะนิเทศของพวกเราแขวนอยู่

“เสื้อรุ่นนี้หลายปีแล้วทำไมของพี่ไปป์ยังใหม่”

“ไม่ค่อยได้ใส่”

“อยากได้อะ ขอได้มั้ย”

“ของ่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ”

“ลองขอไปงั้นแหละ ไม่คิดว่าพี่ไปป์จะให้หรอก”

“เอาไปสิ” ยกให้ง่ายๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ

“ถ้าเซใส่แล้วคนอื่นถามว่าได้มาจากไหน เซบอกว่าแฟนให้มาได้มั้ย”

“แล้วแต่”

“นี่เป็นแฟนกันแล้วถูกมั้ย”

“อยากเป็นอะไรก็เป็น” นี่คือวิธีการตอบรับคำขอเป็นแฟนที่เย็นชาไร้ความรู้สึกที่สุดในโลกอะ หันมามองหน้าแล้วยิ้มหวานๆ ตอบเสียงนุ่มน่าฟังไม่ได้เลยหรือไงครับพี่ครับ

“งั้นเดี๋ยวค่อยเป็นก็ได้” ถ้าเลื่อนสถานะตอนนี้เดี๋ยวจะถูกมองว่ามัดมือชก “ในไลน์กลุ่มอะ พี่อาร์มบอกว่าเสื้อล็อตใหม่ขายหมดแล้วนะครับ” ผมกอดแจ็คเก็ตไว้แนบอกอัพเดตเรื่องที่พี่อาร์มเพิ่งบอกในไลน์เมื่อครู่

“ก็ดีแล้วไง”

“พี่ไปป์ไม่ตื่นเต้นเหรอ”

“โห เจ๋งอะ ขายหมดแล้วเหรอ สุดยอด” สุดยอดของความเสแสร้งแกล้งทำ

“พอเถอะ คืนนี้นอนห้องพี่ไปป์นะ”

“อะไร ห้องตัวเองก็มี”

“ก็มี แต่เซรู้สึกเหมือนจะไม่สบาย ถ้าอยู่ห้องคนเดียวก็ไม่มีคนดูแลสิ” อันนี้ไม่ได้เสแสร้งเลย โดนฝนทีไรรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวทุกที

“อะไรของคุณ อย่ามาเนียนนะเซ”

“จริงๆ ไม่ได้เนียนไม่ได้โกหก ถ้าพี่ไปป์ไม่เชื่อก็ลองจับดู” ผมคว้ามือเขามาทาบที่แก้มแล้วเลื่อนมาที่หน้าผาก ค้างไว้ครู่หนึ่งก่อนเจ้าของมือจะดึงออกไป

“ก็ปกติอะ เล่นไม่เนียนไปเรียนมาใหม่”

“พี่ไปป์สอนหน่อยสิ เน้นฉากเลิฟซีนนะ”

กึก!

เหยียบเบรกจนหัวไอ้เซทิ่มชนคอนโซลรถเลย ยังไม่ได้เป็นแฟนก็วางแผนฆาตกรรมแล้วเหรอ โหดจัง

“ถึงแล้วลงสิ”

“ไม่สอนเลิฟซีนก่อนเหรอครับ”

“จะลงไปดีๆ หรือจะให้ถีบ”

“ลงแล้วครับ ลงแล้ว” ผมยิ้มกวนให้คนได้รับชักสีหน้าใส่ก่อนจะเปิดประตู ก้าวลงจากรถทั้งที่กอดเสื้อแจ็คเก็ตว่าที่แฟนไว้แนบอก “ขับรถดีๆ ถึงห้องแล้วไลน์บอกเซนะ”

เบ้หน้าใส่แล้วขับรถออกไปเฉยเลย

ส่ายหน้าให้กับความน่ารักไม่รู้ตัวของพี่ไปป์ ทอดสายตามองตามจนรถเขาพ้นไปจากระยะการมองเห็นก่อนจะกลับเข้าคอนโดตัวเองมา

จะว่าไปก็แอบเสียดายเลิฟซีนเหมือนกันนะเนี่ย







พี่ไปป์ส่งข้อความมาบอกว่าถึงห้องแล้วหลังจากผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทิ้งตัวลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน

ผมพิมพ์ตอบไปสั้นๆ ว่าฝันดี อยากจะชวนคุยอยู่หรอกแต่รู้สึกว่าหนังตามันหนักๆ พิกล สุดท้ายก็ยอมวางมือถือแล้วทิ้งตัวลงนอน







โดนฝนทีไร ไม่สบายทุกทีเลยว่ะ

ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนเกือบเที่ยง คว้าโทรศัพท์มาดูก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับเป็น 10 และทั้ง 10 นั้นก็เป็นสายจากพี่ไปป์ ตายแล้วๆ ไม่ใช่ว่าโกรธแล้วเหรอป่านนี้

ใจผมน่ะลอยไปถึงห้องเขาแล้วแต่พอจะลุกขึ้นกลับหน้ามืดจนต้องยอมแพ้แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

ตัวไปไม่ไหวโทรบอกเขาก็ยังดีใช่มั้ยล่ะ

รอสายไม่นานฝ่ายนั้นก็รับด้วยน้ำเสียงโคตรขุ่นมัว

“ไปดูหนังเหรอ” พี่ไปป์ก็มองเราในแง่ร้ายเกินไป

“เพิ่งตื่นครับ”

“ทำไมเสียงแหบแบบนั้น ไม่สบายจริงเหรอ”

“แอคติ้งคร้าบ” ประชดซะ ชอบหาว่าเราเสแสร้งดีนัก

“อีก 10 นาทีเปิดประตูให้ด้วยนะ”

“จะมาเหรอครับ” ยังไม่ทันตอบคำถามของผมพี่ไปป์ก็ชิงตัดสายไปซะก่อน

รีบร้อนขนาดนี้คงจะเป็นห่วงไอ้เซมากแน่เลยอะ ปลื้มและปวดหัวมาก

แต่ไหนแต่ไรผมไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย โดนฝนนิดหน่อยก็ไม่สบาย เพื่อนๆ ชอบบอกว่าผมเป็นโรคคุณหนู ก็ยอมรับอะว่ารวยแต่ก็ไม่ถึงกับขนาดเป็นคุณหนูป่ะวะ ร่างกายผมน่ะแข็งแรงจะตายยกเว้นตอนโดนฝน

10 นาทีของพี่ไปป์น่าจะหมายถึง 10 นาทีแม้ว ผมหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาเขาก็ยังไม่โผล่ และแทนที่จะได้นอนพักผ่อนก็ต้องพะว้าพะวงเป็นห่วงคนที่ยังมาไม่ถึงซักที

โทรศัพท์ในมือสว่างขึ้น โชว์รูปคู่ของผมกับพี่ไปป์ ผมไม่ได้กดรับแต่เลือกที่จะลุกจากเตียงพาสารร่างพังๆ ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกางเกงนอนขาสั้นไปที่ประตู แนบหน้าส่องตาแมวก็เห็นคนที่ผมรอยืนอยู่หลังบานประตูนี่เอง

“พี่ไปป์มาช้า”

“คิดว่าคนแถวนี้คงยังไม่ได้กินอะไรแต่เช้า” ตอบพลางยกถุงอาหารในมือขึ้นโชว์

“ตอนแรกก็ไม่หิวหรอกแต่พอเจอหน้าพี่ไปป์แล้วหิวเลย” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนดึงแขนพี่ไปป์เข้าห้อง ไม่ลืมปิดประตูลงกลอน

“เจื้อยแจ้วขนาดนี้คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง” พูดซะผมคิดว่าตัวเองเป็นนกแก้วนกขุนทองเลย

“ยังปวดหัวอยู่เลย ตัวร้อนด้วย ไม่เชื่อลองจับดู” ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ คาดหวังว่าพี่ไปป์จะแนบหน้าผากลงมาเหมือนพระนางวัดไข้ให้กันในละคร แต่ไม่เลย นอกจากไม่แนบหน้าผากอย่างอ่อนโยนแล้วยังดีดหน้าผากผาดังเป๊าะ นี่คนไม่สบายอยู่นะเฮ้ย ทะนุถนอมกันหน่อยก็ดีครับว่าที่คุณแฟน

“ไปใส่เสื้อผ้าแล้วมากินข้าวเถอะ”

“นี่ไงใส่แล้ว”

“ใส่เหมือนไม่ใส่อะ ไปหาเสื้อมาใส่”

“ทำไม เห็นเซแก้ผ้าแล้วหวั่นไหวเหรอ”

“อือ กลัวมือจะลั่นแล้วเดี๋ยวคนแถวนี้จะหาว่ารังแกคนไม่สบาย” ดูความโหดของเขาสิครับ บางทีผมก็แอบคิดเหมือนกันว่าตัวเองเป็นมาโซคิสชอบความรุนแรงหรือเปล่าถึงได้หลงรักพี่ไปป์เสียจนหมดใจขนาดนี้

ระหว่างที่ผมเดินไปที่ห้องนอนเพื่อหาเสื้อผ้ามาใส่พี่ไปป์ก็เข้าไปในครัว แต่งตัวเสร็จออกมาก็พบว่าเขายังคงกำลังง่วนกับการเตรียมข้าวปลาอาหารและยารักษาโรคอยู่ที่เดิม

“เซช่วยยกไปที่โต๊ะนะ” ผมเดินเข้าไปหา เท้าแขนที่เคาน์เตอร์ครัว มองพี่ไปป์ทุกความเคลื่อนไหวแล้วหัวใจมันก็ค่อยๆ พองโตขึ้นมา

“หายดีแล้วรึไง” ผมส่ายหน้า “งั้นก็พาแค่ตัวเองไปนั่งรอที่โต๊ะ อย่ามาเกะกะ”

นี่คือห่วงถูกมั้ย และเพราะพี่ไปป์แสดงความเป็นห่วงขนาดนี้ผมจึงยอมแพ้และพาตัวเองไปนั่งรอที่โต๊ะรับประทานอาหารที่นานๆ จะได้ใช้ซักที

“กินข้าวแล้วจะได้กินยา”

อาหารหลายอย่างถูกวางลงบนโต๊ะ แต่มีเพียงข้าวต้มชามเดียวที่ถูกวางลงตรงหน้าผม ไม่ใช่ว่าให้ผมกินแค่นี้หรอกนะ จ้างให้ก็ไม่อิ่ม

“กินสิ มองอะไร” ผิดไปจากที่คิดซะที่ไหน

“แค่ข้าวต้มเหรอครับ”

“ใช่สิ ไม่สบายก็กินแค่นั้นแหละ”

“แต่เซอยากกินอย่างอื่นด้วยนี่”

“หายไข้แล้วค่อยกิน”

“เซว่ามันไม่แฟร์”

“ถ้าอยากแฟร์และอยากกินคราวหน้าก็ดูแลสุขภาพตัวเองดีๆ อย่าเป็นไข้อีก เข้าใจ๊” สั่งสอนผมเสร็จก็ตักข้าวเข้าปาก ดูเขาสิ กินอย่างมีความสุขมาก ต่างกับผมที่ตักข้าวต้มเข้าปากอย่างคนหมดแรง ไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อยหรอกแต่ของพี่ไปป์ดูเหมือนจะอร่อยกว่าไง

กินข้าวเสร็จก็บังคับให้ผมกินยา นี่อยากให้มาเป็นแฟนนะเว้ย ไม่ได้อยากให้เป็นพ่อคนที่สอง

“พี่ไปป์เช็ดตัวให้เซหน่อยสิ”

คนถูกร้องขอนิ่งไปครู่หนึ่ง “ผ้าขนหนูกับกะละมังอยู่ตรงไหน”

“กะละมังอยู่ในห้องน้ำครับ” ไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็น

พี่ไปป์พยักหน้ารับก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ตัวผมเองก็เข้าไปหยิบผ้าขนหนูด้วยเหมือนกัน

เห็นไหมว่าพี่ไปป์ใจดีขึ้นมาก ครั้งหนึ่งผมก็เคยไม่สบายอย่างนี้ เคยร้องขอให้เขาช่วยเช็ดตัวแต่ก็อิดออด ช่วยเช็ดแค่หลังนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง

เรานั่งเผชิญหน้ากันบนโซฟากลางห้อง พี่ไปป์บิดผ้าขนหนูจนหมาดขณะมองผมด้วยสายตาอ่านยาก

“ถอดเสื้อสิ” ผมถอดเสื้อออกอย่างว่าง่าย ก่อนเลื่อนมือลงมาที่กางเกง

“กางเกงด้วยป่ะ”

“ถ้าไม่อายก็เชิญ”

“เซไม่อายนะ”

“ถ้าคุณถอดผมไม่เช็ดนะ”

“ล้อเล่นน่า” พี่ไปป์ไม่ขำเลยอะ

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกคนอื่นเช็ดตัวให้ซักหน่อยแต่ทุกครั้งความรู้สึกของผมไม่เหมือนกับตอนนี้ ยามที่ผ้าขนหนูชื้นๆ ซับไปตามใบหน้าและลำคอ ระบบทางเดินหายใจก็เหมือนจะทำงานผิดปกติ ใบหน้าของพี่ไปป์ที่อยู่ใกล้กว่าเคยก็ดึงดูดสายตาเสียจนไม่อาจมองไปที่อื่นได้เลย

“จ้องขนาดนี้ไม่คิดว่าผมจะรู้สึกอะไรบ้างเหรอ”

“ก็อยากให้รู้สึก”

“รู้สึกเกลียด”

“พี่ไปป์ไม่เกลียดเซหรอก”

“มั่นใจขนาดนั้นเชียว”

“พี่ไปป์รู้ตัวรึเปล่าว่ามองเซด้วยสายตาแบบไหน”

“แบบไหน”

“ก็แบบเดียวกับที่เซมองพี่ไปป์แหละ” ผมจับมือเรียวที่กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดที่แผ่นอกเอาไว้แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเขาด้วยสายตาสื่อความรู้สึกมากมาย

“เวอร์ละ ผมน่ะ...”

“อยากจูบอะ” พี่ไปป์นิ่งไปเมื่อถูกพูดแทรก “แต่เสียดายจังยังไม่ได้แปรงฟันเลย” ถ้าแปรงฟันแล้วล่ะก็ผมไม่ลังเลที่จะสัมผัสริมฝีปากสีระเรื่อของคนตรงหน้านี้เลย

ให้ตายเถอะ ก่อนพี่ไปป์มาผมน่าจะลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย เนี่ย พอร่างกายไม่พร้อมเราก็จะพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้แหละ

“พูดไม่หยุดเลย หายดีแล้วมั้งเนี่ย”

“ปวดหัวอะ ตัวร้อนด้วย พี่ไปป์เช็ดตัวเร็วๆ ดิ อยากนอนพักแล้ว” สายตาพี่ไปป์ที่มองมากำลังบอกผมว่าไอ้นี่มันสำออย ก็ยอมรับแหละว่าสำออยจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดซักหน่อย เนี่ยปวดหัวจริงๆ ไม่ได้โม้

ไม่แน่ใจว่าพี่ไปป์จงใจหรือเปล่า เมื่อผมรู้สึกว่าเขาเช็ดที่หน้าท้องนานเกินความจำเป็น แล้วพอถูกลูบด้วยสัมผัสชื้นๆ ก็รู้สึกปั่นป่วนในท้อง ถ้าลูบนานกว่านี้อีกหน่อยไอ้ที่หลับๆ อาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้นะ

“พี่ไปป์” ผมจับมือเขาไว้ให้หยุดลูบ

“อะไร” ไม่ต้องมาถามด้วยน้ำเสียงซื่อๆ เลย จงใจปลุกกันก็บอก

“เสียว”

“ทะลึ่ง”

“เสียวจริงๆ นะ ถ้าลูบนานกว่านี้ลูกชายเซจะตื่นแล้วจริงๆ ด้วย และถ้าตื่นขึ้นมาเรื่องใหญ่เลยนะ”

“เข้าห้องน้ำไปไป๊”

“ให้ไปทำอะไรในห้องน้ำอะ” ผมกำลังคิดทะลึ่ง ไม่รู้ว่าพี่ไปป์กำลังคิดเหมือนกันรึเปล่า

“ล้างหน้าแปรงฟันหรือทำอะไรก็เรื่องของคุณ” แม้ไม่พูดตรงๆ แต่ก็คงมีแอบคิดบ้างล่ะวะ

“พี่ไปป์ไม่หนีกลับไปก่อนใช่มั้ย”

“ไม่หรอกน่า คุณไม่สบายเพราะผมนี่ ก็ต้องอยู่รับผิดชอบป่ะวะ”

“ไม่กลัวติดไข้หวัดเหรอ”

“คุณก็อยู่ห่างๆ ผมสิ”

“ยากอะ เซอยากอยู่ใกล้พี่ไปป์ตลอดเลย”

พี่ไปป์ไม่ตอบอะไร เขาหันไปก้มหน้าก้มตาจัดการกะละมังใส่น้ำกับผ้าขนหนู พี่ไปป์น่ะถ้าไม่เถียงแปลว่าเจ้าตัวกำลังเขินมากๆ ถึงแม้ไม่พูดไม่มองหน้าแต่ใบหูที่ขึ้นสีชัดเจนนั้นก็บอกชัดว่าเขากำลังเขินเพราะคำพูดของผม

สกิลการหยอดของผมนี่ สิบสิบสิบไปเลยจ้า ไม่อยากโม้





[T B C]

มีคอมเมนท์ไล่ให้สองคนนี้ไปเป็นแฟนกันให้มันรู้แล้วรู้รอด
เราก็อยากให้เป็นอย่างนั้น และนี่ก็ใกล้มากแล้วล่ะค่ะ
ถึงพี่ไปป์จะยังไม่รับแต่การกระทำก็คล้ายแล้วล่ะ ให้เวลาพี่เขาหน่อย ให้เจ้าเซโชว์สกิลการอ่อยอีกซักหน่อย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ทุกคอมเมนท์เป็นกำลังใจที่ดี ขอบคุณเด้อ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-01-2018 18:12:40 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 14


ในวันที่ผมไม่สบาย พี่ไปป์อยู่กับผมจนถึงเย็น แม้อยากจะอยู่มองเจ้าตัวใกล้ๆ แต่ก็กลัวว่าจะติดไข้หวัดจึงได้แต่หมกตัวอยู่ในห้องนอน และพี่ไปป์คงนึกสงสารมั้งจึงเรียกให้ผมออกมานอนที่โซฟา ส่วนเจ้าตัวลงไปนิ่งบนบีนแบ็กที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆ

เห็นมั้ยล่ะ มองอย่างไรก็ใช่คนมีใจให้กัน







“ตั้งแต่เลี้ยงหมานี่กลับบ้านบ่อยนะ”

“ทำไมอะ ไม่คิดถึงน้องเหรอ” ผมนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พี่สอง แปลกใจเหมือนกันที่เจอพี่มันในบ้านตอนเช้าวันเสาร์แบบนี้

ที่จริงแล้วผมกับพี่มันก็ไม่ต่างกันหรอก ถ้าแม่ไม่โทรเรียกมากินข้าวเย็นด้วยกันหน่อยก็ไม่ค่อยอยากจะกลับบ้าน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เลี้ยงหินผาผมกลับบ้านบ่อยจริงๆ

คิดถึงหมาก็เรื่องนึง คำที่พี่ไปป์บอกว่าต้องให้ความรักและใส่ใจสัตว์เลี้ยงมากๆ ก็อีกเรื่อง และเรื่องอ่อยพี่ไปป์ก็สำคัญเหมือนกัน

“ทำไมตาบวมอะสอง ไม่ได้นอนเหรอ” หน้าเหมือนคนเพิ่งร้องไห้มาต่างหากแต่กลัวพี่มันอายก็เลยถามอ้อมๆ

“ทะเลาะกับหญิง”

“ก็เลยกลับบ้านเหรอ”

“เออ” เพราะผมกับพี่สองโตมาด้วยกันจึงค่อนข้างสนิทกัน มีเรื่องอะไรก็คุยกันอย่างเปิดอก

“ถูกหญิงจับได้ว่าหม้อสาวอื่นรึไง”

“งี่เง่าฉิบหาย” มือถือที่ถูกเปิดค้างไว้ที่ข่าวๆ หนึ่งในเว็บไซต์ถูกส่งมาให้ดู

“โห นางเอกใหม่ช่องเราเหรอ พ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าทำ” ในข่าวเป็นภาพแอบถ่ายจากร้านอาหาร ทั้งสองนั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกัน แค่นั้นแหละ ที่จริงมันไม่ควรจะเป็นประเด็นหรอกแต่นักข่าวแม่งใส่ไฟ

“จำไม่ได้เหรอนั่นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าเราตอนมัธยม”

ลองเพ่งรูปดูดีๆ ก็พบว่าใช่จริงๆ ด้วย “เออว่ะ”

“บอกหญิงไปแบบนี้แต่ไม่เชื่อใจกันเลยว่ะ เบื่อละ เลิกแม่ง”

“ปากเก่งว่ะสอง ถ้าเลิกจริงให้เตะปาก” เป็นพี่น้องกับมันมาทั้งชีวิตไม่เคยเห็นมันยอมแฟนคนไหนมากเท่าคนนี้ จ้างให้ก็ไม่เลิก ถ้าสมมติว่าเขาโทรมาเรียกให้กลับห้องตอนนี้ก็ต้องรีบแจ้นกลับไป

“มึงควรเก็บปากไว้หยอดคำหวานพี่ไปป์”

“หยอดด้วยข้อความก็ได้ครับ” ว่าแล้วก็ส่งข้อความไปบอกว่าผมมารับหินผาออกไปเดินเล่น

วันนี้ตั้งใจจะพามันไปหาพี่หมอแอมป์ซักหน่อย รายนั้นบ่นว่าคิดถึงไม่ขาดปากเลย

“ไงอะกับพี่ไปป์ พัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงไหนแล้ว”

“ก็ดีนะ เดี๋ยววันนี้จะพาหินผาไปเที่ยวด้วยกัน”

“เขาอยากไปเที่ยวกับมึงหรืออยากไปเที่ยวกับหินผา” โห คำพูดคำจาโคตรทำร้ายจิตใจ แต่ก็ต้องยอมรับแหละว่าที่สนิทใจกันได้มากขนาดนี้ก็เพราะหินผาลูกรัก

“แล้วนี่ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอสอง” ตั้งแต่เข้ามาแล้วไม่เห็นจะมีใครซักคน นี่มันวันสาร์นะครับ พักผ่อนอยู่บ้านบ้างก็ได้ไม่ต้องออกไปคบค้าสมาคมกับใครเขามากหรอก แก่แล้ว

“พ่อกับแม่ไปสนามกอล์ฟ ส่วนพี่โซ่เห็นบอกว่ายังไม่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน”

“เซว่าพี่โซ่ทำงานหนักเกินไปอะ”

“ถ้าคิดงั้นก็รีบเรียนให้จบแล้วมาช่วยกันทำงาน”

“ไม่เอาหรอก เซไม่ชอบงานบริหาร ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน” ถึงจะบอกว่าไม่เอาแต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี

“ไม่สนุกหรอกแต่มีคนนับหน้าถือตา” ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดของพี่สอง ยังไม่ทันได้คุยกันต่อเสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน แอบเหล่มองก็เห็นว่าคนโทรเข้าคือพี่หญิง ว่าจะแซวซักหน่อยแต่พี่ชายผมก็รีบกดรับแล้วเดินเลี่ยงออกไปซะก่อน

เห็นมั้ยบอกแล้วว่าถ้าพี่หญิงโทรมา พี่สองต้องรีบรับโทรศัพท์อย่างไม่เกี่ยงงอนเลย ก็คนมันรักอะเนอะ เข้าใจแหละเพราะผมเองก็กำลังมีความรักเหมือนกัน







หินผาตื่นเต้นใหญ่ตอนที่ผมบอกว่าจะพาไปหาพี่ไปป์ เจ้าของรักใครหมาก็คงรักด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง

นัดกับพี่ไปป์ไว้ตอน 11 โมง พอไปถึงหน้าคอนโดก็พบว่าพี่คนตรงต่อเวลานั่งรออยู่แล้ว

ผมชอบเวลาที่พี่ไปป์แต่งตัวด้วยชุดไปรเวทมาก มันดูเป็นตัวเขาที่ดูดีแตกต่างไปจากคุณปกรณ์ที่เนี้ยบไปเสียหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ไง” เปิดประตูเข้ามานั่งข้างผมแล้วเอี้ยวตัวไปทักหมา

เดี๋ยวนะ เจ้าของนั่งอยู่ข้างๆ นี่หันมาทักทายกันก่อนไม่ได้เหรอ เดี๋ยวก็งอนซะหรอก เชอะๆ

“พี่ไปป์เห็นเซมั้ย”

“เห็นสิ” ตอบผมแหละที่ยังไม่ละสายตาจากหินผาเลย หัวหมาน่ะลูบเข้าไปสิ เอ็นดูเข้าไป

“เหรอ นึกว่ามองไม่เห็น”

“ขับรถไป อย่าพูดมาก”

“นี่ถ้าไม่ได้ยินจากปากพี่แอมป์ว่าพี่ไปป์ชอบเซ เซไม่มีทางเชื่อเลยนะเนี่ย”

“ก็ไม่ควรจะเชื่อตั้งแต่แรกอะ”

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เสียกำลังใจหมด” ได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกไม่ดีแต่พี่ไปป์หาได้สนใจผมไม่ ยังคงเล่นกับหมาอย่างสนุกสนานไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน

“ผมเคยแสดงออกว่าชอบคุณเหรอ”

ตอบไม่ถูกเลยอะ จะว่าไงดี ก็ไม่เคยแสดงออกตรงๆ แต่บางอาการของพี่เขาก็ทำให้ผมคิด

“ที่ผมเลือกคุณเป็นเดือนเพราะคุณน่าสนใจดี”

“เห็นแค่รูปก็รู้แล้วเหรอว่าน่าสนใจ นี่ไปป์ญาณทิพย์ป่ะครับเนี่ย”

“กวนตีนแบบนี้แปลว่าไม่อยากรู้เหตุผลจริงๆ ที่ผมเลือกคุณใช่มั้ย”

“อยากรู้ครับผม” ผมเลิกกวนแล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี๊ยม

“ขับรถไปแล้วตั้งใจฟัง” ผมพยักหน้ารับคุณปกรณ์ ลอบมองเขาด้วยหางตาก็พบว่าพี่คนรักสัตว์ยังคงสนุกสนานกับการเล่นกับหินผาไม่สนใจไอ้เซเหมือนเดิม

ผ่านไปซักพักนั่นแหละถึงหันมาสนใจกัน

“ถ้าตอนรับน้องคุณรู้จักสังเกตสิ่งรอบตัวซักหน่อย คุณจะเห็นว่าตอนนั้นผมก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน” ถ้าบอกว่าพี่ไปป์เป็นพวกไม่สนใจใคร่รู้เรื่องของคนอื่นล่ะก็ ผมก็คงเป็นคนประเภทที่ไม่สนใจสิ่งรอข้างเลยนั่นแหละ

ลองคิดย้อนกลับไปก็พบว่าตัวเองไม่สนใจอะไรเลยนอกจากกิจกรรมตรงหน้า

“แอบมอบเซตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ ชอบขนาดนี้น่าจะรับเป็นแฟนตั้งแต่วันที่ขอสิ”

“บอกซักคำรึยังว่าชอบ” ซักคำก็ไม่มี พอผมไม่ตอบพี่ไปป์ก็ว่าต่อ “ก็ต้องยอมรับว่าคุณเป็นคนหน้าตาดี แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่ผมเลือกคุณ”

ชอบจังคำที่บอกว่าหน้าตาไม่ใช่เหตุผลหลักที่เลือก

“ผมสังเกตพวกคุณอยู่หลายวัน แต่การแสดงออกของคุณสะดุดตาผมมากเลยนะ คุณไม่เคยเกี่ยงเวลาที่รุ่นพี่สั่งให้ทำนู่นทำนี่ คุณเสนอตัวเองเสมอเวลาพวกเขาขอความร่วมมือ แม้จะต้องร้องเพลงเชียร์ นั่งปรบมือเป็นเวลานานคุณก็ยังคงดูอารมณ์ดี”

ผมเป็นเด็กกิจกรรมนี่นาก็เลยชอบการทำกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ ดีใจนะที่พี่ไปป์มองเห็นข้อดีเพียงไม่กี่อย่างนี้ของผม

“ตอนพี่เขารับสมัครเดือนเซก็ยกมือเป็นคนแรก”

“มั่นใจมาก” คำพูดของเขาเหมือนเหมือนไส้แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือคำชม

“ก็ชอบทำกิจกรรม เซน่ะเรียนไม่ค่อยเก่งก็เลยคิดว่าทำกิจกรรมให้สุดไปเลยดีกว่า”

“เห็นคุณมั่นใจแบบนั้นแล้วก็เลยคิดว่าไว้ใจคุณได้”

“พี่ไปป์ผิดหวังมั้ยที่เซไม่ได้เป็นเดือนมหา’ลัย”

“แต่ก็ได้ป๊อบปูลาร์โหวตมาไม่ใช่เหรอ”

“ประกวดเดือนก็อยากได้ตำแหน่งเดือนป่ะวะ”

“มันก็ใช่แหละ ก็ต้องยอมรับมั้ยว่าปีนั้นเดือนสถาปัตฯ เค้ามาแรงจริงๆ แต่เท่าที่ฟังๆ กรรมการคุยกันคะแนนคุณกับเดือนก็ไม่ได้ห่างกันมากหรอก”

“ถามจริงๆ พี่ไปป์ผิดหวังรึเปล่า คิดมั้ยว่าถ้าส่งรองเดือนคณะไปอาจจะชนะเดือนสถาปัตฯ ก็ได้” จำได้คร่าวๆ ว่าปีนั้นเทรนหนุ่มไทยผิวคว้ำล่ำบึ้กกำลังมาแรง ผมที่หล่อแบบใส่ๆ ผิวขาววิ้งก็เลยแพ้ไป

“แอบคิดแวบนึงว่าถ้าคุณไม่ร้องเพลงตอนเขาให้แสดงความสามารถพิเศษก็อาจจะได้เป็นเดือนมหา’ลัย แต่ก็ช่างเถอะไม่ได้ผิดหวังอะไรมากหรอก”

“ทำไมล่ะ เซร้องเพลงเพราะนะ”

“เพราะอะไรถึงร้องน่ะสิ”

“ทำไมล่ะ เซร้องเพลงไม่เพราะเหรอ”

“ไม่ร้องดีกว่า”

“พี่ไปป์ การร้องเพลงนั่นเป็นความมั่นใจเดียวของเซเลยนะเว้ย”

“เป็นความมั่นใจผิดๆ ว่ะ”

ไม่จริงอะ ถึงจะไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพเหมือนแฟนเก่าเขาแต่ผมก็ร้องเพลงได้ดีไม่แพ้ใคร ว่าแล้วก็เปิดเพลงแล้วร้องคลอไปด้วยให้คนข้างๆ ได้ประจักษ์ถึงความสามารถ และพอผมร้องไอ้หมาที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังก็เห่าหอนรับให้คนข้างๆ ที่ก่อนหน้านี้ปิดหูต้องเอามือลงแล้วขำใหญ่เลย ขำจนพอใจแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปกันเฉย

โอย ถ้าอัพลงโซเชียลนี่ต้องได้เป็นเน็ตไอดอลแน่เลยอะ







ไอ้หินผาเป็นหมาที่ไม่ควรจะเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เจอใครก็เป็นมิตรกับเขาไปหมด ขนาดลูกค้าคนที่เพิ่งมารับลูกหมาออกไปจากคลินิกเมื่อครู่มันยังอ้อนเขาเสียจนเขาเกือบขอมันไปเลี้ยงแล้ว

“มันเข้ากับคนง่ายเหมือนเซเลยเนอะ” พี่แอมป์ว่าขณะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ พี่ไปป์

“นี่ชมใช่มั้ยครับ”

“นี่หินผาดังใหญ่แล้วนะ” เพราะได้รับโอกาสให้เป็นนายแบบเสื้อผ้าของเพจก็เลยกลายเป็นที่รู้จักขึ้นมา ไอ้ยอดยุให้ผมทำเพจหินผาแฟนคลับเหมือนกัน จะบ้าเหรอ แค่เวลาที่ใช้จีบพี่ไปป์ก็หมดวันแล้ว

“มันเป็นหมาก็ควรให้มันได้ใช้ชีวิตอย่างหมา” เห็นด้วยกับพี่ไปป์เลยอะ พ่อผมเองก็เคยพูดแบบเดียวกันตอนที่มีรายการทีวีติดต่อขอหินผาไปร่วมรายการ

“แล้วเมื่อไหร่เซจะได้ใช้ชีวิตอย่างแฟนพี่ไปป์บ้างล่ะ”

“อ้าวนี่ไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ”

“แอมป์” คนถูกแซวเรียกเพื่อนเสียงเข้ม แต่เพื่อนกันอะเนอะ ขำอย่างเดียวไม่มีหรอกอาการเกรงกลัว

“เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ก็นึกว่าเป็นแฟนกันแล้ว”

“รู้ได้ไงว่าไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”

“ถามแบบนี้แปลว่าไม่ได้ฟอลไอจีน้องมันล่ะสิ” นั่นไงโยนขี้ให้กันเฉย แต่ไอ้เซก็ไม่หวั่นหรอก กล้าทำก็กล้ารับอยู่แล้ว ถ้าส่องไอจีผมจริงจังจะพบว่าหลังๆ มานี้แทบทุกรูปจะมีพี่ไปป์ติดอยู่ด้วยเสมอ อาจจะเห็นหน้าไม่ชัดแต่คนรอบข้างผมก็รู้ดีว่าใช่พี่ไปป์

“ขอดูหน่อย” แบมือมาขอ แม้จะกล้าทำกล้ารับแต่ก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อย กลัวพี่ไปป์ไม่พอใจแล้วสั่งให้ลบรูป และถ้าเขาทำอย่างนั้นคิดว่าผมจะกล้าขัดใจเหรอ บอกเลยว่าไม่กล้า

“แบตมือถือจะหมดแล้วอะ”

“โกหก”

“จริงๆ นะ เมื่อคืนเผลอหลับก็เลยไม่ได้ชาร์ต” ที่จริงแล้วผมกำลังโกหกอย่างที่พี่ไปป์ว่านั่นแหละ เอาน่า ลองเลี่ยงดูก่อนเผื่อรอด

“ดูในมือถือตัวเองก็สิ้นเรื่องมั้ยวะ” พี่แอมป์คงจะรำคาญก็เลยฉวยเอามือถือพี่ไปป์ที่วางอยู่บนโต๊ะไป “ปลดล็อคหน่อย”

ไม่อยากรู้มากก็คงไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนถึงได้ยอมสแกนนิ้วมือปลดล็อคมือถือให้กันง่ายๆ เห็นอย่างนั้นแล้วก็นึกอิจฉา ถ้าพี่ไปป์ยอมผมอย่างนี้บ้างก็คงดี

หลังจากได้มือถือคืนมาคนตรงข้ามผมก็เอาแต่จับจ้องที่หน้าจอ ทั้งใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกแค่เพียงคิ้วที่มุ่นเข้าหากันจนเกิดรอยย่นตรงระหว่างคิ้ว

“คุณนี่พยายามดีเนอะ” นี่ชมหรือเปล่า เพราะตีความไม่ค่อยออกก็เลยทำได้เพียงยิ้มแหยส่งให้ “กับเรื่องอื่นก็ควรพยายามแบบนี้ด้วยเหมือนกันนะ”

“ไม่ดุเหรอครับ”

“ไม่มีอะไรให้ดุนี่ หรืออยากให้ดุ” ผมรีบส่ายหน้าทันที พี่แอมป์ที่นั่งเป็นพยานรักอยู่ก็ถึงกับพ่นเสียงหัวเราะออกมา ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรน่าขำถึงกระนั้นผมก็เผลอยิ้มตามเขาอยู่ดี

“มึงก็ควรฟอลน้องมันนะ”

“ต้องทำด้วยเหรอ”

“มึงอย่ามาทำเป็นฟอร์มไปป์ อยากฟอลก็ฟอลสิวะ”

“กูยังไม่พูดซักคำ”

“แต่มึงดูสนใจไอจีน้องมันนะ”

“กูทำอย่างนั้นเหรอ”

“เออ” พี่ไปป์ไม่เถียงต่อ ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรแต่ผมจะเข้าข้างตัวเองด้วยการคิดว่าเขาสนใจไอจีผมจริงๆ ก็เลยขี้คร้านจะเถียง เข้าข้างตัวเองแบบนี้ก็ได้แหละใครจะทำไม

พวกเราปล่อยให้หินผาเล่นกับเด็กๆ ในคลินิกพี่แอมป์ ก่อนจะไปหาอะไรง่ายๆ กินกันแถวๆ นี้

ถ้าถามว่าพี่แอมป์ทีมใคร ผมยกมือตอบด้วยความมั่นใจเกินร้อยเลยนะว่าพี่แกทีมผมแน่ๆ เปิดโอกาสให้ผมหยอดพี่ไปป์ทุกวินาทีเลย แปลกใจเหมือนกันที่คนนิสัยดีมากอย่างพี่แอมป์ยังโสด







บางทีผมก็คิดว่าโลกค่อนข้างมีความคิดที่ประหลาดอยู่ๆ ก็เหวี่ยงคนที่ไม่อยากเจอหน้ามาให้เจอกัน

หลังจากหนังท้องตึงพวกเราก็กลับมาที่คลินิกและพอเปิดประตูเข้าไปข้างในก็พบกับ...พี่เอ็ม

เออ ใน 1 ปีมีตั้ง 365 วัน แต่ดันมาหาพี่แอมป์วันเดียวกันนะคนเรา

บนพื้นใกล้ๆ เท้าพี่เอ็มมีหมาน้อยน่ารักตัวหนึ่งนอนเอาคางเกยรองเท้าเขาอยู่ คงเป็นหมาที่พี่แกรับไปเลี้ยงเมื่อหลายเดือนก่อนละมั้ง

“น้องเป็นอะไรเหรอเอ็ม”

พี่เจ้าของคลินิกเอ่ยถามทว่าคนเป็นเจ้าของหมากลับเอาแต่มองคนข้างกายผมไม่วางตา พี่ไปป์เองก็มองกลับอย่างไม่ยอมแพ้ด้วยเหมือนกัน

“เซออกไปข้างนอกนะ” พอผมจะออกไปจริงอย่างที่พูดกลับถูกคว้าข้อมือเอาไว้ ความคิดก่อนหน้าถูกสลัดทิ้งไป ไม่รู้เลยว่าทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าพี่ไปป์อยากให้อยู่ผมก็จะอยู่

“ว่าไงเอ็ม น้องเป็นอะไร” พี่แอมป์ถามซ้ำเสียงดังกว่าเดิมให้เจ้าของหมาสะดุ้งแล้วหันไปตอบคำถาม

ได้ความว่าวันนี้ไม่มีงานก็เลยพาน้องหมามาพบคุณหมอเฉยๆ

“ไม่คิดว่าจะได้เจอไปป์ที่นี่”

“เหมือนกัน” พอส่งน้องหมาให้พี่แอมป์แล้วก็ถือวิสาสะมานั่งร่วมโต๊ะกับเรา ใครอนุญาตไม่ทราบครับ อยากถามอย่างนั้นแหละครับ แต่พอดีว่าเป็นคนมีมารยาท

“ไปที่ตึกก็ไม่ค่อยเจอ ยังทำงานที่เดิมรึเปล่า”

“อือ ไม่ได้ย้ายไปไหน”

“คบกันเหรอ” พี่เอ็มเหล่มองผมเมื่อถาม พี่ไปป์เองก็มองผมด้วยเช่นกัน สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน หัวใจของผมเต้นแรงเหมือนกำลังลุ้นฟุตบอลแมตซ์สำคัญ มือที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะก็เฉอะแฉะไปด้วยเหงื่อที่อยู่ๆ ก็ไหลออกมาเป็นเทน้ำเทท่า

หยุดไหลเดี๋ยวนี้นะไอ้เหงื่อไม่รักดี

“อือ” คำสั้นๆ ที่ดังออกมาจากลำคอพี่ไปป์ทำเอาผมอยากจะลุกขึ้นเฮเหมือนตอนเชียร์บอลแล้วทีมที่เราเชียร์ส่งลูกเข้าโกล์ด

แม่งเอ้ย อยากลงไปแก้ผ้าตีลังกาห้าตลบกลางสนาม

ทว่าทั้งโต๊ะนี้เหมือนจะมีแค่ผมที่ดีใจจนหน้าสั่น ขณะที่คนตอบทำหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนคนถามน่ะเหรอซึมไปเลยจ้า

“งั้นเอ็มขอตัวนะ”

พี่ไปป์ไม่ได้ตอบรับเขาเพียงมองตามแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง

“ยิ้มอะไร” เอ้า ยิ้มก็ไม่ได้เหรอ ยิ่งพี่ไปป์ทักอย่างนั้นผมก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้าง

“เมื่อกี้พี่ไปป์บอกว่าเราคบกัน จำไม่ได้เหรอ”

“จำได้สิ” ช่วยทำหน้าให้เหมือนคนกำลังมีความรักหน่อยไม่ได้เหรอครับคนดีของไอ้เซ

“ยอมเป็นแฟนเซแล้วถูกมั้ย”

“คบมันก็มีความหมายหลายแบบรึเปล่า คบเป็นเพื่อน พี่น้อง แม้กระทั่งแฟน”

“มั่นใจว่าพี่เอ็มไม่ได้หมายถึงคบแบบเพื่อนหรือพี่น้อง”

“ไปญาติดีกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรียกเขาว่าพี่เต็มปากเต็มคำ”

“ก็อายุน้อยก็ต้องเรียกคนอายุมากกว่าว่าพี่สิครับ” ที่บ้านผมสอนอย่างนี้ตั้งแต่จำความได้ก็เลยกลายเป็นความเคยชิน กับพี่ไปป์อยากเรียกว่าไปป์เฉยๆ ด้วยซ้ำ เคยลองฝึกพูดหน้ากระจกแต่กระดากปากลำบากใจฉิบหาย

สายตาพี่ไปป์ที่มองผมมีประกายความประหลาดใจอย่างที่สัมผัสได้ สักพักเขาก็ยิ้มแล้วยื่นมือมาขยี้เส้นผมบนศีรษะจนผมยุ่ง เนี่ย หมดหล่อเลย







พี่ไปป์ใช้เวลาทำนู่นทำนี่ที่คลินิกพี่แอมป์อยู่ครึ่งค่อนวัน กว่าจะกลับออกมาก็ตอนที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำแล้ว







รถยนต์ของผมที่มีเจ้าหินผาเป็นผู้โดยสารนั่งหน้าสลอนอยู่ที่เบาะด้านหลังเข้ามาจอดในลานจอดของสวนสาธารณะริมแม่น้ำ คุยกับคนที่มาด้วยว่าจะมาดูพระอาทิตย์ตกและพาหินผามาเดินเล่นด้วยกัน

คิดๆ ดูแล้วก็เหมือนมาเดทกันเลยเนอะ

เจ้าหินผาที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกจูงเดินนำอยู่ข้างหน้าเรา

“พี่ไปป์จูงเซบ้างสิ”

“เป็นหมาเหรอ”

“ถ้าเป็นหมาพี่ไปป์จะรักป่ะ”

“รักน้อยกว่าหินผา”

“สู้หมาไม่ได้เลยจริงๆ สินะ”

“อย่าคิดจะสู้เลย”

“โห ใจร้ายที่สุด แต่ว่านะถ้าพี่ไปป์รักหมาเซไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้ารักคนอื่นเซไม่ยอม”

“พูดอย่างกับเป็นเจ้าของ”

“อยากเป็น”

“ถ่ายรูปให้หน่อยสิ” อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง แม้จะตั้งหลักไม่ทันแต่มือก็ล้วงเข้าไปหยิบเอามือถือออกมาปลดล็อกแล้ว “รูปในไอจีคุณสวยดี” ไอ้ยอดก็เคยบอกผมอย่างนั้น แต่หลายๆ คอมเมนท์ในไอจีไม่เคยชมรูปเลย ชมแต่หน้าผม ชมว่าหล่ออย่างกับเทพบุตร หล่อวัวตายความล้ม ผมก็เลยมั่นใจในหน้าตัวเองมากกว่าฝีมือการถ่ายรูป

แต่ตอนนี้คำเดียวของพี่ไปป์ทำให้ความคิดทุกอย่างของผมเปลี่ยนไปหมด

“พี่ไปป์พูดจริงเหรอ”

“ผมก็ไม่ถนัดเรื่องถ่ายรูป แต่ชอบมุมกล้องคุณ”

“แล้วชอบเซป่ะ”

“ถ่ายแล้วส่งให้ด้วยนะ”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่ารูปถ่ายในอินสตราแกรมของผมเป็นแนวไหน เวลาถ่ายรูปก็แค่มองสิ่งที่จะถ่ายแล้วหยิบกล้องมือถือขึ้นมา บางทีก็ถ่ายขาโต๊ะ แก้วน้ำ ด้านหลังมนุษย์ ก้นหมา อยากถ่ายอะไรก็ถ่าย หากจะเรียกเท่ๆ อาจเรียกว่าถ่ายรูปด้วยจิตวิญญาณก็ได้มั้ง

เดินตามพี่ไปป์แล้วกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน หากบอกว่าผมถ่ายรูปด้วยจิตวิญญาณ ตอนนี้ก็คงถ่ายด้วยหัวใจล่ะมั้ง

“พี่ไปป์ถ่ายรูปกันเถอะ”

เรานั่งพักกันตรงม้านั่งแบบยาวริมน้ำ หินผานั่งทอดสายตามองผืนน้ำอยู่ข้างกัน สักพักก็เอาคางมาเคยขาคนข้างกายผมอย่างออดอ้อน หมั่นไส้หมาได้มั้ยวะ

“หินผาถ่ายรูป” ได้ข่าวว่าผมชวนเขา แล้วเขาก็ไปชวนหมาเหรอ เกรงใจไอ้เซบ้างก็ได้นะ

จบคำพี่ไปป์พวกเราก็ลงมานั่งขนาบข้างหินผาบนพื้น วิวข้างหลังของเราคือแม่น้ำที่ถูฉาบด้วยแสงของพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำจนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ แต่ความสวยงามทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็หาได้เข้ามาอยู่ในเฟรมร่วมกับเราไม่ ก็แหม 2 คน 1 ตัวก็แน่นจอแล้วครับ

“เดี๋ยวเซกลับไปเอาน้ำที่รถมาให้หินผา พี่ไปป์จะเอาอะไรมั้ย”

“น้ำเปล่าก็ได้”

“เซอยากกินไอติม”

“อยากกินก็ซื้อสิ”

“พี่ไปป์กินด้วยกันสิ”

“คุณอยากกินก็กินไปคนเดียวสิ ผมไม่อยากกินซักหน่อย”

“งั้นดื่มน้ำเปล่าเหมือนพี่ไปป์ก็ได้”

“อะไรของคุณเนี่ย กวนตีนเหรอ”

“อือ เวลาพี่ไปป์โกรธแล้วน่ารักดี”

“คุณยังรู้จักผมน้อยไป อย่าให้โกรธจริงๆ ก็แล้วกัน”

“เซอยากรู้จักพี่ไปป์มากกว่านี้นะ” ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เขาแล้วยิ้มให้อย่างบริสุทธิ์ใจและแน่นอนว่าเขาเบือนหน้าหนี เหตุผลเดิมแหละครับ เขินไง

“ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็โกรธจริงๆ ซะหรอก”

“คร้าบ” ผมบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนเดินควงกุญแจกลับไปตามทางเดิม

เนี่ยเห็นมั้ย ผมกับพี่ไปป์ในวันนี้เหมือนเรามาเดทกันจริงๆ

รู้แหละว่าเดินเล่นมือถือมันอันตรายแต่อยากเช็ครูปที่ถ่ายไปเมื่อครู่นี่หว่า อันตรายก็ช่างสิ ตอนเซลฟี่ผมกดมาแค่ 5 รูปเอง รอยยิ้มพี่ไปป์โคตรมีเสน่ห์ น่ารักที่สุดในสายตาของผม ผมเองก็ยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนความรู้สึก ส่วนหินผาก็ยิ้มด้วยเหมือนกัน

ผมอัพรูปนี้ลงอินสตราแกรม พร้อมแคปชั่นง่ายๆ ว่า ‘ความสุขของผม’ ก่อนกดปิดจอแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง

หยิบถ้วยใส่น้ำของหินผาแล้วก็เดินไปซื้อน้ำให้คนบ้าง แต่ที่ร้านคนเยอะมาก รีบแค่ไหนก็ต้องเข้าคิวอยู่ดี กว่าจะหลุดออกมาได้ก็กินเวลาไปเกือบ 10 นาทีเลย นานเวอร์

ระหว่างเดินมือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นรัวเสียจนต้องหนีบถ้วยใส่น้ำไว้ที่รักแร้แล้วล้วงเอาไอ้ที่สั่นๆ อยู่นั้นออกมาดู แจ้งเตือนส่วนมากมาจากอินสตราแกรม กดเข้าไปดูก็พบว่าคนไลค์เยอะมาก คอมเมนท์อีกเกือบร้อย

K.Soodyod หมั่นไส้คนมีความรักโว้ย

คอมเมนท์แรกเป็นของเพื่อนสนิทผมเอง และคอมเมนท์ต่อๆ มาก็ยังเป็นของมัน เอาเข้าไป แซวกันเข้าไป แซวยาวๆ ไปอีกเป็นเดือนยังได้ ผมชอบ

ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือที่ดับลงแล้ว หากรอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางไป

พี่ไปป์ไม่ได้ฟอลไอจีผม เขาคงไม่เห็นหรอกว่าผมทำอะไรลงไป แต่ถ้ารู้ก็อาจจะโดนด่า ด่าได้ด่าไปไอ้เซไม่ลบแน่นอน

“พี่ไปป์” เจ้าของชื่อยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาเอี้ยวตัวมามองแวบเดียวก่อนละสายตาไป

“นาน”

“คนที่ร้านน้ำเยอะมากเลย” ผมนั่งลงข้างกัน มองเสี้ยวหน้าพี่ไปป์ที่ไม่ยอมหันมามองกันตรงๆ สักที

แปลกแฮะ นอกจากพี่ไปป์แล้วเจ้าหินผาก็ทำตัวแปลกๆ มันเดินวนไปวนมาเหมือนกำลังกระวนกระวายกับอะไรบางอย่าง หากไม่ถูกรั้งเอาไว้ด้วยสายจูงคงวิ่งไปไหนต่อไหนแล้วมั้ง

“หินผาเป็นอะไรครับพี่ไปป์”

“ไม่รู้มัน อยู่ๆ ก็วิ่งตามรถ”

“พี่ไปป์” ผมพยายามชะโงกหน้ามองหน้าเขาชัดๆ หากเจ้าตัวก็เบี่ยงหลบตลอดจนต้องล็อคคางเอาไว้บังคับให้อยู่นิ่งๆ “หน้าไปโดนอะไรมา”

โหนกแก้มพี่ไปป์มีรอยถลอก แม้ไม่กว้างมากแต่ก็มีเลือดไหลซึมออกมา

”หินผามันวิ่งอะ ตั้งตัวไม่ทันก็ถลาไปชนเสาไฟตรงนั้น” เสาคอนกรีตทั้งต้นเลย

“หินผา!!!” พอเห็นพี่ไปป์เจ็บก็พาลโกรธเจ้าหมาไปด้วย พอถูกตวาดเรียกเจ้าของชื่อก็เดินหางลู่เข้ามาเอาคางเกยเข่า มองตาปริบ

อ้อนแบบนี้แล้วใครจะโกรธลง

ผมถอนหายใจอย่างหมดคำจะพูดก่อนหยิบขวดน้ำออกมาเปิด เสียบหลอดแล้วส่งให้คนข้างกาย แล้วหันมาเทน้ำให้เจ้าตัวยุ่ง

“เซขอนะ” ผมเอาสายจูงจากพี่ไปป์มาถือไว้เอง “เจ็บมากมั้ยครับ เซขอโทษนะ”

“ไม่ใช่ความผิดของคุณซักหน่อย”

“รู้สึกผิดอะ เซเป็นเจ้าของหินผานี่นา”

“ทำแผลให้หน่อยสิ ปล่อยไว้เดี๋ยวเป็นแผลเป็น หมดหล่อพอดี”

“ยังจะห่วงเรื่องหล่ออีก”

ไม่คิดไม่ฝันว่าการเดทของผมจะจบลงที่ร้านขายยา

“เซขอโทษนะ” ไม่รู้ว่าตัวเองขอโทษพี่ไปป์ไปแล้วกี่ครั้ง และทุกครั้งเขาก็ทำหน้าเบื่อหน่าย แม้แต่หินผาที่นั่งมองเราอยู่หลังเบายังถอนหายใจออกมาทุกครั้ง

ไม่ต้องเลยนะ เจ้าตัวปัญหา

พอเห็นอย่างนั้นก็อดหันไปแยกเขี้ยวแขวะมันไม่ได้เลย พอถูกผมขู่เจ้าหมาก็เบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่วายมองมาด้วยหางตาเป็นพักๆ

“เจ็บมากรึเปล่าครับ” คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ ก็หยุดนิ่งเมื่อผมปิดแผลบนใบหน้าด้วยผ้าก๊อต แปะทับด้วยเทปกาวเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

“ขอบคุณนะ”

“พี่ไปป์ยังไม่ตอบเลยว่ายังเจ็บอยู่หรือเปล่า” คนที่ไม่ยอมสบตาผมตลอดเวลาที่ทำแผลหันมาวางสายตาไว้ที่ใบหน้าของผมครั้งแรก

“ตอบไปแล้วไงเมื่อกี้”

“พี่ไปป์ส่ายหน้าเฉยๆ”

“ก็นั่นแหละตอบแล้ว”


“เซขอโทษนะ” ผมบอกเขาแผ่วเบาก่อนเกลี่ยปลายนิ้วบนผ้าก๊อตที่ผมเพิ่งแปะลงบนใบหน้าเขาเมื่อครู่

เรามองสบตากัน ดวงตาพี่ไปป์สั่นไหว ริมฝีปากถูกเม้มเป็นเส้นตรงด้วยความประหม่าเมื่อผมเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น ความเงียบในรถและความมืดที่ปกคลุมภายนอกนั้นเหมือนจะเป็นใจให้เราใกล้ชิดกัน

“หายไวๆ นะครับ เพี้ยง!” ดวงตากลมปิดลงเมื่อผมเป่าลมรินรดบริเวณที่เป็นแผลเหมือนที่คุณตาเคยทำให้เมื่อตอนเป็นเด็กก่อนจะแนบริมฝีปากตามลงไปมอบจุมพิตให้เขาผ่านผ้าก๊อตหนา 3 ชั้น

“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” ใบหน้าพี่ไปป์เปื้อนรอยยิ้ม มือเรียวลูบบริเวณที่ถูกผมจูบป้อยๆ แม้ในรถจะไม่สว่างมากแต่ก็พอดีออกว่าใบหน้าเขากำลังขึ้นสีระเรื่อ

“งั้นเล่นอะไรแบบผู้ใหญ่กันมั้ย”

“อะ...” ผมหยุดคำพูดของพี่ไปป์ด้วยจูบที่แนบลงไปบนเรียวปากเขาแผ่วเบา มองตากันอย่างชั่งใจ เมื่อไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะต่อต้านผมก็ผละออก ยิ้มแล้วกดจูบหนักๆ อีกครั้ง ขบริมฝีปากบนล่างอย่างหยอกเย้า พี่ไปป์เองก็ดูเหมือนจะเคลิบเคลิ้มไปกับการกระทำของอันแสนซุกซนของผม

อืม การเล่นแบบผู้ใหญ่นี่มันดีจัง

ผมเลื่อนมือไปที่ท้ายทอยของเขา ริมฝีปากของเรายังคงคลอเคลียกันไม่ห่าง

แนบชิดอีก ในใจของผมเรียกร้องอย่างนั้น ไม่แน่ว่าพี่ไปป์อาจจะคิดอย่างเดียวกันเมื่อมือเรียวเอื้อมมากำเสื้อของผมจนแน่น

อยากลิ้มลองรสชาติของริมฝีปากเขามากกว่านี้ ตั้งใจจะสัมผัสให้แนบชิดอย่างใจเรียกร้อง ทว่าความเฉอะแฉะเปียกชื้นที่กำลังลามเลียไปทั้งใบหูของผมก็ทำให้บรรยากาศดีๆ หยุดชะงักลงและค่อยๆ มลายหายไปในเวลาต่อมา

ผมผละออก ถอนหายใจหนัก ตวัดสายตามองหินผาที่พยายามตะกุยร่างเพื่อข้ามมามีส่วนร่วมกับเรา

ปัดโถ่เว้ย!!!!

งอน งอนหมา งอนมาก งอนมากๆ





[T B C]
เจ้าเซได้จูบพี่ไปป์แล้วอ่ะ จูบที่มีหินผาเป็นพยานรัก 555 สงสารเขานะคะ
เนี่ยพี่ไปป์น่ารักขึ้นอีกแล้วเห็นมั้ย ถึงจะยังปากแข็งอยู่ก็เถอะ
แหม ก็ขอวางฟอร์มหน่อย แต่นี่ก็วางนานไปนะ
ใกล้จะจบแล้วล่ะคะ อีกไม่กี่ตอน ฝากติดตามด้วยเด้อ
รักแหละ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2018 20:29:31 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เล่นตัวกันไปมาก้อจบที่จูบรื้อฟื้นความหลังซะงั้น

ออฟไลน์ silverrain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หินผานะหินผา

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 15


::พี่ปกรณ์::

แผลที่แก้มซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆ ของผมกับหินผากำลังจะหาย แต่ดูเหมือนว่าในใจของบางคนกำลังจะเกิดรอยแผล

‘เซอยู่กับหินผาแหละ’

ข้อความจากเซพร้อมแนบรูปเจ้าตัวเซลฟี่กับเจ้าหมาแบบหน้าแนบหน้า ใบหน้าเจ้าตัวมีความสุขมากจนผมเผลอยิ้มตาม

‘กลับบ้านอีกแลวเหรอ’

‘ถามเหมือนพี่สองเลย คิดถึงเซเหรอ เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นด้วยนะ’

‘เดี๋ยวผมจะแวะไปคลินิกแอมป์หน่อย ค่อยกินข้าวเย็นด้วยกันพรุ่งนี้แล้วกัน’

‘ให้เซไปเจอที่โน่นมั้ย’

‘ไม่เป็นไร เล่นกับหินผาไปเถอะ’

‘คิดถึงพี่ไปป์ อยากเจอ’ เจ้าตัวว่าอย่างนั้นผมจึงเปิดกล้องหน้าแล้วถ่ายรูปตัวเองส่งไปให้

‘เจอแล้ว หยุดคิดถึงได้แล้ว’

‘ยิ่งอยากเจอเข้าไปใหญ่ แต่ไม่กวนพี่ไปป์ก็ได้ เดี๋ยวคืนนี้โทรหานะ’

ผมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจัดการงานตรงหน้าที่ยังค้างคาเพราะผู้ช่วยคนใหม่ที่มาทำหน้าที่แทนคุณหนิงยังทำงานไม่คล่องเท่าที่ควรจะเป็นตลอดเวลา 2-3 เดือนมานี้ผมจึงดูยุ่งเป็นพิเศษ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เครียดมากนักเมื่อมีคนกวนๆ อย่างเซคอยส่งข้อความมาหา บางวันก็แวะมาบังคับให้ไปกินข้าวด้วยกัน

หากถามว่าความสัมพันธ์ของเราเรียกว่าอะไร ดูๆ แล้วก็เหมือนแฟน แต่ผมยังไม่อยากใช้คำนั้น ไม่อยากผูกมัดเขาด้วยคำเรียกสถานะ เอาเป็นว่าสำหรับผมเซพิเศษกว่าคนอื่น เขาเป็นคนที่ผมแคร์ เป็นคนที่ผมคิดถึง เป็นคนที่อยากเจอ เป็นคนที่มีความสุขเวลาได้อยู่ด้วยกัน

กว่าจะเคลียร์งานที่ค้างอยู่ตรงหน้าเสร็จพระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว

มองไปรอบห้องก็พบว่านอกจากผมแล้วยังมีใครอีกคนนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ใกล้ๆ

“คุณพีรยาทำไมยังไม่กลับล่ะ” ผมเก็บของพลางเอ่ยถามให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง

พีรยาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของผม ประสบการณ์จากสายงานอื่น 3 ปี ถ้าผมคิดมากหน่อยก็คงคิดว่าบุคคลแกล้งกันแน่

“รอคุณปกรณ์ค่ะ”

“รอทำไม ทำงานตัวเองเสร็จแล้วก็กลับไปสิ”

“ที่ทำงานเก่าสอนมาแบบนี้ค่ะ”

“แล้วนี่ทำงานเสร็จแล้วเนอะ”

“เสร็จตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ”

“ปิดเครื่องแล้วก็เก็บของเลย” ผมสั่งให้เธอพยักหน้ารับแล้วรีบเก็บของ

“คุณปกรณ์ไม่เห็นจะใจร้ายอย่างที่เขาลือกันเลยค่ะ” ในลิฟต์ที่เงียบเหงามีเพียงผมกับคุณผู้ช่วย ต้องขอบคุณเธอที่ชวนคุยทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้

“ใครดีกับผม ผมก็ดีด้วย”

“พีเป็นแฟนคลับคุณปกรณ์นะคะ เมื่อก่อนน่ะพีเก็บรูปคุณปกรณ์ไว้เต็มเครื่องคอมเลยแหละ แต่ตอนนี้เปลี่ยนคอมพ์ใหม่แล้วรูปก็เลยหายไปหมด เสียดาย”

“ขอบคุณครับ”

“แต่ว่าคุณปกรณ์ตอนนี้ไม่เหมือนพี่ไปป์สมัยเป็นเน็ตไอดอลเลยค่ะ”

“ยังไงครับ หล่อขึ้นเหรอ” แม้จะอยู่นอกเวลางานแต่คุณพีรยาก็ยังดูเกร็งเมื่อยามคุยกัน ผมจึงลองคุยเล่นเพื่อเธอจะผ่อนคลายขึ้นมาบ้างและก็เป็นดั่งคาดเมื่อคนข้างๆ หันมายิ้ม

“อันนี้ก็ถูกค่ะ แต่เท่าที่ฟังคนที่นี่พูดถึงคุณปกรณ์ส่วนมากจะบอกว่าหยิ่ง”

“ก็คงหยิ่งมั้ง”

“ไม่เห็นจริงเลยค่ะ ตอนนี้ก็ไม่เห็นหยิ่งนี่นา พี่พวกนั้นก็ช่างเม้าท์จริง เอาไว้พีเล่าให้ฟังนะคะว่าพี่พวกนั้นเม้าท์อะไรพี่ไปป์บ้าง”

“ช่างเถอะ ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่คนอื่นพูดถึงเราหรอก แล้วนี่กลับยังไงครับ”

“บีทีเอสค่ะ”

“กลับบ้านดีๆ ครับ” เพราะยังไม่ดึกและบนทางเดินสั้นๆ ออกไปที่หน้าตึกก็ยังมีผู้คนเดินอยู่ประปรายผมจึงแยกกับพีรยาที่หน้าลิฟต์

รู้แหละว่าคนที่นี่พูดถึงผมว่าอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ว่าไม่สนใจแต่เลือกที่จะไม่ใส่ใจมากกว่า







คลินิกช่วงกลางคืนแม้ไม่คึกคักมากแต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาจนวังเวง

ผมทักทายพนักงานที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก่อนเข้าไปพบคุณหมอเจ้าของคลินิกที่นั่งรออยู่ในห้องทำงาน

“วันนี้มึงมาช้านะ” แอมป์ปล่อยหมาน้อยลงกับพื้น ผมก้มลูบหัวมันเบาๆ ก่อนนั่งลงตรงข้ามกัน

“เพิ่งเคลียร์งานเสร็จ”

“เอาไงต่อวะ”

“พูดยากว่ะ เซรักหินผามากเลยนะมึง กูแม่งไม่รู้จะบอกน้องยังไงว่ะ”

“แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ป่ะวะมึง ไม่บอกวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องบอกอยู่ดี หรือถ้าไม่อยากบอกเค้าก็ต้องโกหกเจ้าของเก่าหินผาว่ามันตายไปแล้ว”

“ใจร้ายว่ะแอมป์”

“แล้วมึงมีวิธีไหนที่ดีกว่านี้มั้ยล่ะ ทางที่ไม่ต้องมีใครเจ็บเลยมันไม่มีหรอก”

เรื่องงานไม่เคยทำให้ผมหนักใจเท่านี้ แต่กับเรื่องของหินผาผมกลับหาทางออกไม่ได้เลย ผมเชื่อหมดใจว่าเซรักหินผามาก หินผาเองก็คงรักเขาด้วยเหมือนกัน แต่กับเจ้านายเก่าเจ้าหมาก็ใช่ว่าจะลืมไปแล้วเสียหน่อย มันยังคิดถึง เมื่อวันก่อนนั้นที่สวนสาธารณะถึงได้วิ่งตามรถคันหนึ่งที่อาจจะเหมือนรถเจ้านายเก่า

“เดี๋ยวกูจะคุยกับน้องเอง”

“ก็คงต้องเป็นมึงแหละ”

คิดว่าเจอหน้ากันแล้วจะหาทางออกที่ดีได้ แต่ไม่เลย ทางออกไม่มีถ้าอยากออกก็คงต้องพังกำแพงไป ไม่ฝ่ายโน้นก็ฝ่ายเราที่จะต้องเจ็บ

ผมออกจากคลินิกมาพร้อมกับสมองอันว่างเปล่า

ใกล้จะ 4 ทุ่มแล้วแต่เซก็ยังไม่โทรมา คิดว่าน่าจะยังไม่กลับห้อง แต่ก็ดีแล้วล่ะ ใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้คุ้มเถอะ

ถ้าให้เดา ผมคิดว่าเซน่าจะเลือกปล่อยหินผาไป เท่าที่รู้จักและได้สัมผัสกับนิสัยใจคอ เด็กคนนั้นไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เขาเห็นอกเห็นใจและพร้อมช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะไม่ใช่คนรู้จักมักคุ้นก็ตาม เซเป็นคนดีและครั้งนี้เขาอาจจะได้เรียนรู้ความเจ็บปวดที่คนดีๆ ไม่ควรจะได้รับ







เกือบจะห้าทุ่มอยู่แล้วแต่ก็ยังไร้วี่แววของคนที่บอกว่าจะโทรมา จนเป็นผมเองที่อดรนทนไม่ไหวหยิบมือถือขึ้นมาโทรออกเสียเอง

เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งหรอกที่ผมโทรหาเขาก่อน

“เซเพิ่งถึงห้องอะ” เซรับสายอย่างอารมณ์ดี ทำเอาผมที่ตั้งใจจะบอกเรื่องหินผากับเขาผ่านสายไปต่อไม่ถูก

ให้ตายเถอะ ผมจะทำลายความสุขของเซได้ยังไง

“พี่ไปป์มีอะไรป่าว ขอเซอาบน้ำก่อนได้มั้ยเดี๋ยวโทรกลับ”

“อีกชั่วโมงนึงลงมารับหน่อยสิ เดี๋ยวไปหา”

“มาหาเซที่ห้องตอนดึกๆ แบบนี้อะนะ”

“ทำไม ไม่ได้เหรอ”

“เปล่า แค่แปลกใจ งั้นเซไปอาบน้ำให้ตัวหอมๆ ดีกว่า เผื่อฟลุ๊ค เจอกันครับ” ฟลุ๊คอะไรของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เห็นชอบพูดทะลึ่งตึงตังแต่ก็ไม่กล้าทำมากกว่าจับมือหรอก ยกเว้นก็แต่วันนั้นในรถ ก็ต้องยอมรับแหละว่าสถานการณ์พาไปจริงๆ

ผมเองก็รู้สึกดีกับสัมผัสนั้นเหมือนกัน







ผมมาถึงคอนโดของเซก่อนเวลามาก ทั้งที่ถือโทรศัพท์อยู่ในมือแต่ก็เลือกที่จะนั่งรอที่โซฟาข้างล่าง อาศัยช่วงเวลาทำใจเรื่องที่จะบอกเขาต่อจากนี้

เอาวะ ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวเซก็ต้องรู้อยู่ดีนั่นแหละ

“พี่ไปป์มาถึงแล้วทำไมไม่โทรมาล่ะ” หัวใจของผมเต้นแรงเมื่อมองไปยังคนที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า

เพราะชอบเขาก็เรื่องหนึ่งแต่สาเหตุที่แท้จริงของความตื่นเต้นคือเรื่องหินผาต่างหาก

“ขึ้นข้างบนเลยมั้ย หรือจะออกไปหาอะไรกิน”

“ไม่อะ มีเรื่องจะคุย”

“ด่วนเหรอถึงมาหากลางดึกแบบนี้”

“ก็ไม่ด่วนแต่อยากคุยตอนนี้ ไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้บอกว่าไม่ได้” พวกเราเข้ามาในลิฟต์ที่เงียบสงัด แอบมองภาพคนข้างกายที่สะท้อนอยู่บนประตูลิฟต์ ความหนักอึ้งที่กำลังแบกเอาไว้ทำให้ผมเหนื่อยล้ากว่าครั้งไหนๆ

“พรุ่งนี้พี่ไปป์ไม่ทำงานเหรอ”

“ทำสิ”

“แต่ก็มาหาเซตอนนี้อะนะ คุยเลยได้มั้ย อยากรู้มากเลย ต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ไม่งั้นพี่ไปป์ไม่มาหรอก” การคาดเดาของเซถูกต้องจนไม่กล้าแย้ง ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่คุยตอนนี้ รอให้เข้ามานั่งในห้องก่อนจึงบอกให้อีกฝ่ายไปหยิบโน้ตบุ๊กมาให้ยืมหน่อย

ระหว่างรอผมก็กวาดสายตามองไปรอบห้อง สะดุดกับรูปที่เราและหินผาถ่ายด้วยกันในสวนสาธารณะวันนั้น อยู่ๆ ดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องมองไปบนเพดานเลี้ยงน้ำใสๆ นั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา

สงบสติอารมณ์ได้ตอนที่เซออกจากห้องนอนมาพร้อมกับโน้ตบุ๊ก ผมจัดการล็อคเอ้าท์แอ็คเคาท์เฟซบุ๊กของเซแล้วล็อคอินแอคเคาท์ของชมรม เปิดไปที่กล่องข้อความให้ปรากฏบทสนทนาระหว่างแอมป์กับเจ้าของหินผา

“อ่านนี่สิ” ผมขยับโน๊ตบุ๊กไปให้เซ ทว่าแทนที่จะอ่านกลับหันมาถามกัน

“อะไรครับ”

“บอกให้อ่านไง”

“ใครอะ” บ่นไปตามเรื่องก่อนจะจับจ้องไปที่หน้าจอด้วยสีหน้างุนงงในตอนแรก สักพักดวงตาคู่นั้นก็สั่นไหว มือที่วางอยู่ทัชแพ็ดค่อยๆ ขยับช้าลงก่อนจะนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นนานทีเดียว

ความรู้สึกของเซคงจะคล้ายกับผมตอนที่ทราบเรื่องนี้จากแอมป์ แต่เขาคงรู้สึกมากกว่า ก็แน่ล่ะ เซใช้เวลากับหินผามากกว่าผม ย่อมรักและผูกพันมากกว่าอยู่แล้ว

“เจ้าของหินผาเหรอพี่ไปป์”

ผมพยักหน้ารับ “เซว่าไงอะ”

“เซไม่คืนหรอก”

“อือ งั้นจะให้แอมป์ตอบเขาไปว่าหินผาตายแล้ว”

“อย่าแช่งหินผานะพี่ไปป์” เซไม่เคยขึ้นเสียงใส่ผม แต่ตอนนี้ ตอนที่อารมณ์ของเขาอ่อนไหวถึงขั้นสุดเจ้าตัวคงควบคุมตัวเองไม่ได้จึงเผลอตะคอกกัน

“แล้วจะให้ตอบว่าไง”

“ก็บอกว่าเซไม่คืน”

“อ่านละเอียดรึเปล่า เขาบอกว่ายังไงก็จะขอคืน”

“อะไรของแม่งวะ ตอนทิ้งไม่คิด ทีอย่างนี้อยากได้คืน โคตรเห็นแก่ตัว” ก็ถูกของเขา แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก เท่าที่อ่านข้อความจากฝ่ายนั้น ดูเหมือนว่าก่อนตัดสินใจพาหินผามาปล่อยวัดพวกเขาจำเป็นต้องไปเมืองนอก หากมีทางเลือกหรือมีใครสักคนช่วยรับเลี้ยง ชะตากรรมของหินผาคงไม่ต้องเป็นแบบนี้

“ฝ่ายนั้นเลี้ยงหินผามา 3 ปีเลยนะ”

“แล้วไงอะ เวลาไม่ถึงปีของเซไม่มีความหมายเหรอ เวลาที่ใช้ด้วยกันอาจจะน้อยกว่าก็ไม่ได้แปลเซรักหินผาน้อยกว่าซักหน่อย”

“เข้าใจ”

“แล้วทำไมยังอยากให้เซคืนหินผาให้เจ้าของเก่าเขาล่ะ”

“เซ วันเสาร์ไปเจอเจ้าของเก่าหินผาด้วยกันนะ” ผมกุมมือหนาที่สั่นสะท้านแผ่วเบาเอาไว้ ใช้มืออีกข้างบังคับให้คนที่เอาแต่ก้มหน้าเงยขึ้นมามองกัน “ได้มั้ย ไปเจอเค้าด้วยกัน ไปจบเรื่องนี้กัน”

“ทำไมวะพี่ไปป์ ทำไมต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย”

“เรื่องบางเรื่องมันเลี่ยงไม่ได้หรอก แต่ไม่เป็นไรนะผมจะอยู่ข้างคุณ โอเคมั้ย”

“อยากให้พี่ไปป์อยู่ข้างๆ นะ แต่ไม่อยากไปอะกลัวใจอ่อน”

“ไปเถอะ นะ ไปกัน” ผมอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงอ่อนอย่างที่ไม่ค่อยทำ

“อย่ามาอ้อนดิ๊”

“ใจอ่อนยังอะ”

“ไม่อ่อน”

“จริงเหรอ แล้วทำยังไงถึงจะอ่อน” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เซอีกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คนตรงหน้าทำหน้าตื่นถึงกระนั้นก็ไม่ยอมถอยห่าง ซ้ำยังสอดแขนเข้ามากอดเอวผมเอาไว้เสียอีก

“พี่ไปป์โคตรขี้โกงอะ ทำตัวน่ารักแบบนี้เซก็ปฏิเสธไม่ลงสิ” ว่าเสียงอ้อนพลางซบหน้าลงบนไหล่ของผม อาจเพราะเห็นว่าเขากำลังอ่อนแอผมจึงยอมให้กอดง่ายๆ หรือบางทีอาจจะเป็นผมเองหรือเปล่าที่ต้องการอ้อมกอดอุ่นๆ นี้ อ้อมกอดที่ไม่ได้สัมผัสมาสักพักหนึ่งแล้ว

ผมจำไม่ได้ว่าเจอเซครั้งแรกเมื่อไหร่ อาจจะตั้งแต่วันที่เขาไปสอบสัมภาษณ์ที่มหา’ลัย หรืออาจจะหลังจากนั้น แต่เรื่องที่ว่าเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่ไม่สำคัญหรอก

ผมวางมือลงบนแผ่นหลังของเซ ลูบแผ่วเบาเพื่อปลอบใจ

ครั้งนึงเมื่อหลายปีก่อนผมก็เคยลูบแผ่นหลังเขาแบบนี้ คิดว่าเซคงจำไม่ได้แต่ผมไม่เคยลืมเลย

มันเป็นวันที่เขาแข่งบอล ครึ่งแรกนิเทศถูกนำไป 2 ต่อ 0 คนที่จริงจังกับการแข่งขันอย่างเซถึงกับหงอย จนผมที่นั่งมองอยู่ห่างๆ อดที่จะเดินเข้าไปหาไม่ได้ แต่เพราะคนเยอะมาก ทั้งยังใกล้เวลาที่ต้องลงแข่งแล้วจึงทำได้เพียงวางมือลงบนแผ่นหลังของเขา บอกเบาๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือเปล่าว่า...

“ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างต้องออกมาดี”







บ่ายโมงวันเสาร์ หลังจากกินข้าวเที่ยงด้วยกันเสร็จ พวกเราก็มารวมตัวกันที่คลินิกหมอแอมป์ตามที่นัดหมาย

ไม่นานหลังจากนั้นครอบครัวหนึ่งซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูกสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็ตามเข้ามา

“สวัสดีพี่เขาสิลูก” เด็กน้อยในชุดเจ้าหญิงยกมือไหว้เราเรียงคน ท่าทางน่ารักน่าชังนั้นทำให้เผลอยิ้ม ทำให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายด้วยความไร้เดียงสา

“สวัสดีค่ะ หนูชื่ออะไรคะ” เป็นแอมป์ที่นั่งลงตรงหน้าหนูน้อยแล้วจับมือเล็กๆ คู่นั้นไว้

“น้องพอใจค่ะ”

“อายุเท่าไหร่คะ”

“4 ขวบค่ะ คุณแม่ขาพี่หินผาอยู่ไหนคะ” เด็กน้อยเงยหน้ามองแม่ มือเล็กๆ กำนิ้วของคุณแม่เอาไว้แน่น ดวงตากลมสอดส่ายไปทั่วทั้งบริเวณ สักพักเมื่อไม่พบหินผาริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นก็เริ่มคว่ำลง อีกสักพักคงร้องไห้ออกมาแน่ๆ

เด็กน้อยถูกอุ้มขึ้นมานั่งบนตักผู้เป็นพ่อ

บรรยากาศในห้องเคร่งเครียดจนไม่กล้าหายใจแรง

เซที่นั่งอยู่ข้างผมมีสีหน้าที่เคร่งเครียดมากจนต้องกุมมือเขาเอาไว้ที่ใต้โต๊ะ

“น้องเซใช่มั้ยคะ” แอมป์บอกตอนคุยกับเขาในแชทว่าเซเป็นคนรับหินผาไปเลี้ยง จึงไม่แปลกที่เขาจะรู้จักแม้ไม่เคยเห็นหน้า

“ครับ” คนถูกทักพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มเจื่อน

“พี่เข้าใจว่ามันยาก และพี่ก็รู้ว่าทั้งหมดมันเป็นความผิดของพี่เอง” คนเป็นแม่หนูน้อยเองก็ดูเครียดไม่น้อยไปกว่าเราเลย

“ครับ” เซพลิกฝ่ามือขึ้นมาประสานกับมือของผมในตอนที่รับคำ

“พี่ไม่อยากทำให้เซเสียใจแต่ถ้าไม่มีหินผา พอใจก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน”

คุณแม่เล่าว่า ครอบครัวเขารับหินผามาเลี้ยงตอนน้องพอใจอายุ 1 ขวบ ทั้งคู่ถูกเลี้ยงมาด้วยกัน ดังนั้นน้องพอใจจึงผูกพันกับหินผามาก ที่จริงแล้วตอนนี้พวกเขาควรจะอยู่ต่างประเทศแต่เพราะน้องพอใจเอาแต่งอแงร้องหาเจ้าหมาเพื่อนรัก พวกเขาจึงต้องบินกลับมาเพื่อตามหาสัตว์เลี้ยงที่ทิ้งไว้ในวันนั้น

เซหันมามองหน้าผมตอนที่ได้ยินเรื่องราวความรักนั้น เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับอย่างคนคิดมาก

“จะพาหินผาไปต่างประเทศด้วยเหรอครับ”

“เปล่าค่ะ นอกจากยัยหนูเอาแต่คิดถึงหินผาจนอยู่ไม่ได้แล้วยังมีเหตุผลอื่นที่คิดว่าควรจะกลับมาอยู่ไทยมากกว่าด้วยค่ะ น้องเซไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่ได้พาหินผาไปอยู่ไหนไกล ถ้าคิดถึงจะแวะไปเมื่อไหร่ก็ได้ จะพาออกมาเที่ยวก็ได้ แต่พี่ขอหินผาคืนลูกสาวพี่นะคะ”

“พี่หินผา” เด็กน้อยเรียกชื่อเพื่อนรักสี่ขาด้วยน้ำเสียงสดใส “หาพี่หินผา”

“ก็ช่วยไม่ได้เนอะ จะช้าจะเร็วก็ต้องพาเค้าไปอยู่ดีใช่มั้ยครับ”

แน่นอนว่าคำตอบคือใช่

“งั้นจะพากลับไปวันนี้เลยก็ได้นะครับ”

คิดแหละว่ายังไงเซก็ต้องยอมคืนหินผาแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะคืนเลยแบบไม่รั้งเอาไว้สักนิดเดียว

ผมมองหน้าเซด้วยความสงสัยตลอดทางที่นั่งรถมาด้วยกัน จนแอมป์ที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดขึ้นทำลายความเงียบนั่นแหละคนที่เอาแต่ตั้งใจขับรถจึงหันมามองกันบ้าง

“เซโอเคนะ”

“ไม่โอเคเลยครับ แต่จะพาหินผาไปวันนี้หรือวันไหนเซก็ไม่โอเคอยู่ดี”

“ก็จริงแหละ นึกว่าเซจะดื้อกว่านี้ซะอีก”

“ถ้าเด็กกว่านี้ก็คงไม่ยอมหรอกครับ แต่โตแล้วอะ ถ้าดื้อเดี๋ยวพี่ไปป์ไม่รัก”

“แหม อยากจะแหมให้ยาวถึงดาวอังคาร”

ส่ายหัวให้กับอาการหมั่นไส้ของเพื่อนสนิทที่ส่งมาให้ทางสายตาก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ ซึ่งเซเองก็มองผมอยู่เหมือนกัน มองหน้ากันแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่จะหาต้นตอของรอยยิ้มทำไมในเมื่ออย่างน้อยคนที่ทำหน้าเศร้ามาตลอดก็ยิ้มได้บ้างแล้ว

พวกเรามาถึงบ้านเซก่อน จอดรถเสร็จเจ้าของบ้านก็ตรงดิ่งไปยังบ้านของหินผาที่ตั้งอยู่ในสวนทันที พอเห็นเจ้าของเจ้าหมาตัวโตก็ส่ายหางระริกแล้ววิ่งเข้ามาหาพอใกล้จะถึงตัวก็กระโดดเข้าใส่จนคนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงกับพื้น

“ไม่เอาน่าหินผา เสื้อผ้าเซเปื้อนหมดแล้ว” ความน่ารักของเซคือเขาจะแทนตัวเองด้วยชื่อกับทุกคนที่สนิท ไม่เว้นแม้กระทั่งหมา

ถึงเจ้าของจะห้ามแต่ดูเหมือนว่าหินผาที่หัวใจเต็มไปด้วยความรักจะไม่ยอมหยุดแสดงออกง่ายๆ มันวิ่งไปรอบๆ ตัวคนที่ตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งบนพื้นแล้ว วิ่งเสร็จก็เข้าไปเลียหน้า เลียตัวก่อนจะทิ้งตัวนอนลงเอาคางเกยตัก

ผมไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไงเมื่อได้มองภาพการแสดงออกถึงความรักของทั้งคู่ ในใจมันหน่วงจนอยู่ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นมา อดนึกถึงตอนที่ตัวเองเลี้ยงหมาแล้วเสียมันไปไม่ได้สักครั้ง

ไม่นานหลังจากนั้นรถของครอบครัวน้องพอใจก็มาถึง เป็นรถคันนั้นที่หินผาวิ่งตามในสวนสาธารณะจนผมได้รับบาดเจ็บ

พอได้ยินเสียงรถ หินผาที่นอนเอาคางเกยตักเซก็หูตั้ง ดวงตาคมประหนึ่งนักล่าจับจ้องไปยังต้นเสียงก่อนจะลุกขึ้นยืน จ้องมองราวกับสังเกตการณ์อยู่อีกครู่ก่อนทั้งสี่ขาจะวิ่งด้วยจังหวะรวดเร็วกว่าปกติเข้าไปหาเด็กน้อยที่วิ่งตรงเข้าไปหาเจ้าเพื่อนสี่ขาด้วยเหมือนกัน

หินผาเบรกเอี๊ยดเมื่อหยุดตรงหน้าน้องพอใจ มันวิ่งวนไปมา หูตั้ง หางส่ายระริกเหมือนกำลังดีใจมากๆ

“พี่หินผา” น้องพอใจกอดหมับเข้าที่คอ แนบแก้มยุ้ยๆ กับหน้าผาก หลับตาพริ้ม “คิดถึงพี่หินผา กอดๆ”

ขณะที่ความคิดถึงของคนๆ นึงกำลังถูกเติมเต็มด้วยการพบหน้า หากอีกคนหนึ่งกลับกำลังคิดถึงเพราะต้องจากลา

เซยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาไม่แม้แต่จะหันมามองภาพที่พวกเรากำลังมองอยู่ด้วยซ้ำ ผมรู้ว่าการจากลามันเจ็บปวดมาก แต่ก็หวังว่าเซจะผ่านมันไปได้เช่นกัน

ปราศจากคำร่ำลาระหว่างเซกับหินผา มีเพียงผมและแอมป์ที่ยืนส่งพวกเขาตรงหน้าบ้าน มองกระทั่งรถที่บรรทุกความรักความเมตตาของเซหายลับไป

“กูกลับนะ”

“เอารถไปสิ” ผมล้วงเอากุญแจในกระเป๋าส่งให้ทว่ากลับถูกปฏิเสธ

“ขี้เกียจเอามาคืนเดี๋ยวกูกลับแท็กซี่ดีกว่า มึงเหอะดูน้องมันด้วย เศร้าว่ะ”

“อือ” ผมพยักหน้ารับคำ อยู่ๆ ก้อนสะอื้นจุกที่อกจนไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียง

ผมแยกกับแอมป์ที่หน้าบ้านก่อนจะเดินเข้าไปในสวน เซยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม แผ่นหลังกว้างกำลังสั่นไหวจากแรงสะอื้น ผมนั่งลงข้างๆ วาดแขนโอบร่างเขาเอาไว้ ปราศจากคำพูดใดระหว่างเรา มีเพียงอ้อมกอดนี้เท่านั้นทำหน้าที่ปลอบใจ หวังว่าความอบอุ่นนี้จะช่วยเยียวยาบาดแผลในหัวใจเขาได้บ้าง

“ร้องไห้อะ ไม่เท่เลยเนอะ” ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ พร้อมกับเบะหน้ามองกัน

“ไม่เท่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แล้วจะนั่งอยู่อย่างนี้อีกนานมั้ย”

“ตะคริวกินแล้วอะ แต่ไม่อยากลุก อยากให้พี่ไปป์กอดอย่างนี้นานๆ”

พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ปล่อยเขาออกจากอ้อมกอดแล้วผละห่าง ทว่าเซไม่ยอมให้ห่างเพราะเจ้าตัวเป็นคนรวบร่างของผมเข้าไปกอดไว้เอง

“อยู่อย่างนี้อีกซักพักเถอะ นะครับ”

แพ้ลูกอ้อนเขาเข้าจนได้







เย็นวันนั้นคุณแม่ของเซชวนผมอยู่ทานข้าวด้วยกัน เกรงใจ ทำตัวไม่ค่อยถูกแต่ด้วยสถานะแล้วก็ไม่กล้าปฏิเสธเท่าไหร่ ที่จริงผมค่อนข้างคุ้นเคยกับครอบครัวนี้ ทุนเรียนโทต่างประเทศก็เป็นของทุนของบริษัท กับพี่ชายทั้งสองคนของเซก็ถือว่าสนิทเพราะเรียนโทที่เดียวกัน

ตอนไปเรียนต่างประเทศพี่โซ่ช่วยเหลือผมไว้เยอะมาก หลังจากพี่โซ่เรียนจบ สอง น้องชายคนรองก็เข้ามาเรียน ว่าง่ายๆ คือตลอด 2 ปีที่เรียนโทที่นั่นชีวิตก็วนเวียนอยู่กับลูกชายคนตระกูลนี้นี่แหละ กระทั่งเรียนจบกลับมาแล้วยังต้องมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายคนเล็กของเขาอีก

อาหารเย็นมือนี้ถูกจัดไว้อย่างเรียบง่าย บรรยากาศในโต๊ะก็เป็นกันเองดี แต่ก็เศร้าหน่อยๆ เพราะไม่มีหินผาแล้ว

ท่านประธานเป็นคนอารมณ์ดี ตอนที่รู้ว่าเซทะเลาะกับพ่อถึงขั้นออกจากบ้านมาผมถึงได้ตกใจมากๆ ไม่คิดว่าอารมณ์ดีอย่างท่านประธานจะมีปัญหาภายในครอบครัวกับเขาด้วย

เพราะได้รับความช่วยเหลือไว้มาก พอเห็นว่าลูกชายคนเล็กของบ้านกำลังตกที่นั่งลำบากผมจึงไม่ลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย แต่จะให้ช่วยง่ายๆ ก็หลุดมาดคุณปกรณ์ไปเสียหน่อยจึงต้องเล่นตัวสักนิด

เวลาไม่กี่เดือนที่ได้ใช้ร่วมกันเป็นความทรงจำที่ดีมากเกินกว่าจะจินตนาการได้ ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ใกล้ชิดกัน

ก็ถูกที่ผมรู้สึกถูกใจเซตั้งแต่ครั้งที่เจอเขาตอนปีหนึ่ง ประทับใจหลายๆ เรื่องแต่ให้เข้าไปจีบก็ใช่เรื่อง หากการที่คนในครอบครัวของเขาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมเสมอก็ทำให้อดคิดว่าซักวันนึงโลกอาจจะเหวี่ยงให้เรามาเจอกันบ้างก็ได้

และโลกก็เหวี่ยงเรามาเจอกันจริงๆ แต่รู้สึกเหมือนว่าโลกกำลังเหวี่ยงเราให้ห่างกันอีกแล้ว

“ไม่เคยรู้ว่าพี่ไปป์สนิทกับบ้านเซมากขนาดนี้”

“ก็อย่างที่เห็น” บนโต๊ะอาหารท่านประธานพูดคุยกับผมอย่างเป็นกันเอง คุณแม่ก็เทคแคร์ไม่ห่าง ไม่แน่ใจว่าพวกท่านรู้รึเปล่าว่าระหว่างผมกับเซไม่ใช่ความสัมพันธ์ธรรมดา

“ที่นั่นเรียนยากมั้ยครับ” หมายถึงมหา’ลัยที่เซมีแพลนจะไปเรียนต่อหลังจากเรียนจบ

“ไม่มีอะไรยากเกินความตั้งใจของเราหรอก”

“ขนาดพี่สองยังเรียนจบมาได้ก็คงไม่ยากเกินความสามารถเซหรอกมั้ง” เขาว่าพลางทาบคีย์การ์ดแล้วเปิดประตูห้อง

เมื่อ 5 นาทีก่อนบนรถ เซอ้อนขอให้ผมขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อน อ้างว่าตัวเองเหงาและคิดถึงหินผา เห็นใบหน้าเศร้าๆ นั้นแล้วก็ยากจะปฏิเสธ สุดท้ายก็เผลอตัวเดินตามเข้าขึ้นมาบนห้องจนได้

“คิดถึงหินผาแล้วอะ” เมื่อประตูปิดลงก็เดินเข้ามาหาวางศีรษะลงบนไหล่ของผม

“เริ่มไม่เชื่อแล้วว่าคุณคิดถึงหินผาจริงหรือแค่หาเรื่องให้ผมอยู่ด้วย”

“พี่ไปป์ไม่เชื่อแต่ก็ยังมาอยู่ด้วยกัน แบบนี้แปลว่าคิดอะไรกับเซใช่มั้ยล่ะ”

“ถ้าไม่คิดก็คงไม่อยู่ด้วยหรอก”

“พี่ไปป์” แขนที่เกี่ยวเอวกระชับแน่นจนร่างกายของเราเบียดชิดทุกสัดส่วน “เป็นแฟนกัน”

“เอาไว้เรียนจบแล้วค่อยคิดกันต่อว่าเอายังไงดี”

“ไม่เอา เซอยากเป็นแฟนกับพี่ไปป์ตอนนี้เลย”

“ใจร้อนอะไรขนาดนั้น ผมไม่หายไปไหนหรอก”

“เซใจเย็นมามากพอแล้วอะ นะครับ เป็นแฟนกันนะ ให้เซเป็นแฟนพี่ไปป์นะครับ” เจ้าเด็กตรงหน้าอ้อนหนักมากจนผมไม่กล้าปฏิเสธเลย ที่จริงแม้เขาไม่อ้อนผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว

ในเมื่อใจเราตรงกันแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะผลักไสอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกไปใช่มั้ยล่ะ




[T B C]
ได้ฟังเรื่องราวจากฝั่งพี่ไปป์บ้าง ที่จริงคุณเขาก็เอ็นดูเจ้าเซมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ไหนๆ ก็ใจตรงกันแล้ว ยอมๆ เป็นแฟนน้องมันเถอะ
เรื่องหินผา ตอนเขียนเศร้ามากเลยค่ะ อ่านซ้ำก็เศร้า
เป็นพวกเซ็นซิทีฟเรื่องหมาจริงๆ เศร้าตามเจ้าเซเลยแหละ
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-01-2018 20:13:37 โดย แจซอล »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 16


“พี่ไปป์ตื่นเช้าจัง” ลืมตาขึ้นมาก็เจอแฟนของผมกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ “แล้วนั่นเอาหนังสือจากไหนมาอ่าน”

เขาหันมายิ้มสวย “บนโต๊ะคุณไง ทำไม อ่านไม่ได้เหรอ”

“ชอบอ่านหนังสือเหรอ” ผมขยับเข้าไปหาแล้วกอดเอว

“รู้อะไรเกี่ยวกับผมบ้าง”

“ก็อยากรู้ต่อจากนี้ ให้เซรู้ทุกเรื่องของไปป์นะ” อยากเรียกพี่ไปป์ด้วยชื่อมานานแล้ว ลองฝึกพูดหน้ากระจกอยู่หลายทีแต่พอเอาเข้าจริงก็แอบเขินอยู่ไม่น้อยเลย

“เมื่อกี้เรียกผมว่าไงนะ”

“ไปป์ไง เป็นแฟนกันแล้วยังต้องเรียกพี่อีกเหรอ”

“ปีนเกลียวนะเรา ผมอายุมากกว่าคุณตั้ง 3-4 ปีเชียวนะ”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย เรียกไปป์ไม่ได้เหรอ”

“ก็ได้แหละแต่มันแปลกๆ อะ ไม่ค่อยชิน”

“หรือเรียกที่รัก แบบนั้นก็ได้นะเซชอบ”

“อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ เสี่ยวมากอะรับไม่ได้”

เสี่ยวจริงๆ แหละ ถ้าเรียกกันต่อหน้าเพื่อนมีหวังโดนล้อแน่ๆ โดยเฉพาะพี่กริชรายนั้นยิ่งไม่ค่อยปลื้มผมอยู่ด้วย

“พี่ไปป์ผอมนะออกกำลังกายบ้างรึเปล่า” ผมสอดมือเข้าไปในเสื้อเขาแล้วลูบหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้ออยู่หน่อย เอวพี่ไปป์บางมาก บางกว่าตอนที่เห็นเขาถอดเสื้อในวันถ่ายแบบซะอีก

“ไม่ค่อยมีเวลา”

“ข้ออ้างชัดๆ” หนังสือในมือพี่ไปป์ถูกผมแย่งเอามาวางไว้ข้างตัวก่อนขยับขึ้นไปเกยคางไว้ที่อกเขา มือหนายังทำหน้าที่ลูบไล้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “ไปฟิตเนสกับเซมั้ย เดี๋ยวเซเทรนให้”

“คุณน่ะเหรอจะเทรนให้ผม ชวนไปเตะบอลยังน่าเชื่อกว่าเลย”

“พูดถึงเตะบอล เย็นนี้เซนัดไอ้ยอดไว้ที่สนามบอล พี่ไปป์ไปด้วยกันนะ”

“ไปทำไม ผมไม่ชอบเตะบอล”

“ไม่ได้ชวนไปเตะแต่ชวนไปเชียร์แฟนไง เตะบอลเสร็จก็ไปกินหมูกระทะกัน นะ เซอยากแกะกุ้งให้พี่ไปป์อะ”

“เหตุผลคุณนี่” พี่ไปป์ยิ้มบางก่อนวางมือลงบนเส้นผมยุ่งๆ แล้วลูบเบาๆ

พี่ไปป์เวอร์ชั่นแฟนโคตรอ่อนโยน

“เซเลี้ยงนะ”

“ได้อยู่แล้ว เลี้ยงทั้งชีวิตยังได้เลย”

“ทั้งชีวิตเลยเหรอ”

“อือ ทั้งชีวิตเลย”

พี่ไปป์หัวเราะคิกคักเมื่อผมลูบสีข้างของเขาแผ่วเบา “จั๊กจี้อะ” ว่าแล้วก็จับมือซุกซนของผมเอาไว้

คิดเหรอว่าผมจะหยุด ในเมื่อพี่ไปป์เผยด้านอ่อนแอออกมาแบบนี้ก็ต้องขออนุญาตแกล้งซักหน่อยแล้ว และยิ่งเขาดิ้นผมก็ยิ่งกอดแน่น เล่นกันจนเตียงสั่นรู้ตัวอีกทีผมก็คร่อมเขาเอาไว้ทั้งตัวแล้ว

ท่าทางหล่อแหลมจมผมอยากจะสานต่อให้มันจบๆ

ผมตรึงแขนพี่ไปป์เอาไว้ข้างศีรษะ จ้องลึกเขาไปในดวงตาของเขา พยายามหาสิ่งที่เรียกว่าการห้ามปรามแต่ก็ไม่มีเลย คิดว่าพี่ไปป์เองก็คงไม่อยากจะห้ามอะไรแล้วล่ะมั้ง คิดอย่างนั้นแล้วผมก็โน้มใบหน้าเข้าไปหา บดเบียดริมฝีปากกับปากอิ่มอย่างที่เจ้าของมันก็เผยอรับสัมผัสจากผมอย่างยินยอมพร้อมใจ

รสจูบของพี่ไปป์หวานละมุน ดวงตาฉ่ำๆ ของเขาที่สบกันตลอดเวลาที่เรียวปากเบียดชิดก็ดูเย้ายวนจนยากจะห้ามใจ

ผมอยากถอดเสื้อเขาออก อยากสัมผัสร่างกายเขาด้วยริมฝีปากแทนมือที่กำลังลูบไล้

“เดี๋ยวก็ไม่มีแรงเตะบอล”

“ไม่เตะบอลก็ได้” ผมซุกใบหน้าลงที่ลำคอระหง ให้ผิดนัดไอ้ยอดก็ยอมเลยนาทีนี้

“นิสัยไม่ดีอะ ลุกไปอาบน้ำแล้วไปหาข้าวกินกัน ไม่หิวเหรอ”

“อยากกินพี่ไปป์มากกว่าอีก” ก็หิวแหละ หิวทั้งข้าวทั้งพี่ไปป์ ว่าแล้วก็งับที่คอเขาเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว นาทีนี้ไม่สนใจแล้วว่าจะทิ้งรอยเอาไว้หรือเปล่า ใช้อารมณ์นำทางล้วนๆ

เรานอนเล่นอีกซักพักใหญ่กว่าจะลุกจากเตียง อาบน้ำและสั่งอาหารง่ายๆ มากินกัน

การที่มีพี่ไปป์นั่งข้างๆ กันบนโซฟากลางห้องเป็นภาพที่เหมือนกับผมกำลังฝันไป ลองหยิกแก้มตัวเองก็พบว่าเป็นเรื่องจริง คิดได้แบบนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา

มีความสุขจัง

“พี่ไปป์ใส่เสื้อผ้าเซได้พอดีเลยอะ นี่มันเนื้อคู่ชัดๆ” ผมแซ็ว ยื่นมือไปตรงหน้าแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยริมฝีปากที่มีเศษอาหารติด

พอเป็นแฟนกันก็ใช้เวลาด้วยกันแบบสบายๆ สั่งอาหารญี่ปุ่นมานั่งกินที่โซฟา เปิดหนังแอคชั่นที่ผมชอบดู

“ก็ตัวเท่ากัน”

“เซสูงกว่า”

“สูงกว่าไม่ถึง 5 เซนอย่ามาทำเป็นพูดดี”

“ก็สูงกว่าแหละ” ไม่ยอมหรอก สูงกว่าแค่เซ็นเดียวก็นับ คงเพราะขี้เกียจจะเถียงกับผม อีกฝ่ายจึงได้ก้มหน้าจัดการอาหารตรงหน้าเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

พี่ไปป์เป็นแฟนคนแรกของผมที่อายุมากกว่า ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าควรทำตัวเป็นแฟนแบบไหน ถ้าขี้อ้อนเกินไปเขาจะหาว่าผมเด็กหรือเปล่า ที่ทำไปเมื่อครู่ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่พอใจ

“พี่ไปป์”

“ครับ” ขานรับเสียงหวานมาก ไอ้เซจะละลายแล้ว

“ถ้าไม่ชอบอะไรบอกเซได้เลยนะ ที่ผ่านมาเซคบแต่คนที่อายุเท่ากันหรือไม่ก็เด็กกว่า พี่ไปป์เป็นแฟนคนแรกที่อายุมากกว่าเซหลายปี เซไม่รู้ว่า...”

“หาว่าแก่งี้”

“ไม่ใช่ เซไม่อยากให้พี่ไปป์เกลียดเซ”

“คนเกลียดกันเค้าไม่เป็นแฟนกันหรอก”

“ตอนนี้อาจจะไม่ไงแต่ในอนาคตก็ไม่แน่ป่ะ เซจริงจังกับพี่ไปป์นะ”

“รู้แล้วครับ ถ้าไม่พอใจอะไรจะรีบบอกเลย โอเคมั้ย” ยิ้มขนาดนี้ก็ต้องโอเคอยู่แล้ว คบกับผู้ใหญ่ดีอย่างนี้นี่เอง ไม่งี่เง่า ไม่อาร์ต แต่ก็ไม่แน่ว่ะ คบกันยังไม่ถึงวันเลยนี่นา

ผมช่วยพี่ไปป์เอาจานไปเก็บ ทำตัวเป็นแฟนและเจ้าบ้านที่ดี จัดการกับครัวอย่างที่ปกติไม่ทำแล้วก็กลับมานั่งข้างเขา มองเสี้ยวหน้าคนที่ก้มหน้าอ่านหนังสือของผมราวกับมันน่าสนใจนักหนาแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า สนใจหนังสือจริงๆ หรือทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ใกล้ๆ ผมกันแน่

“หนังสือนั่นน้องรหัสเซให้มา พี่ไปป์จะเอาไปเลยก็ได้นะ เซไม่อ่านอยู่แล้ว”

“ไม่เคยอ่านเลยเหรอ”

“ไม่เคย”

“นิดนึงก็ไม่เคย”

ทำไมต้องถามย้ำขนาดนี้อะ หนังสือนั่นมีอะไรพิเศษหรือไง

“ผมก็ไม่อยากได้หรอก ไม่ค่อยชอบอ่านนิยายอีโรติกอะ”

“นิยายอีโรติกเหรอครับ” พี่ไปป์แทนคำตอบด้วยการยื่นหนังสือที่เปิดค้างเอาไว้มาตรงหน้า ผมขยับเข้าไปจนชิดกันแล้วกวาดสายตาอ่านผ่านๆ

เออว่ะ นิยายอีโรติกจริงๆ หน้าที่พี่ไปป์เปิดไว้เป็นฉากเลิฟซีนโคตรร้อนแรง ว่าแต่...

ผมเหล่มองพี่ไปป์พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เขา

“นิยายเนี่ยถ้านอนอ่านกับพี่ไปป์บนเตียงเซก็โอเคนะ”

“ทะลึ่งว่ะ” หนังสือเล่มหนาถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจของผมที่ยังคงดังก้องอยู่ในห้อง แกล้งพี่ไปป์แล้วมีความสุขชะมัด

“พี่ไปป์” ผมหยุดหัวเราะ ขยับนั่งขัดสมาธิบนโซฟาหันหน้ามองคนข้างๆ เต็มตา

“ครับ” และพี่ไปป์ก็ขานรับเสียงหวาน ตายแล้ว ไอ้เซระทวย

“อย่าขานรับแบบนี้ได้มั้ยอะ หัวใจเซจะพังแล้ว” กุมหัวใจโชว์โอเวอร์ๆ ให้เขาดู พี่ไปป์ก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วก็หัวเราะ

“ว่าไง เรียกทำไม”

“ได้ยินจากพี่โซ่ว่าพี่ไปป์ไม่ยอมเลื่อนตำแหน่ง” ได้ยินเรื่องนี้จากพี่โซ่มาซักพักแล้วแต่เพราะช่วงนี้วุ่นๆ ก็เลยไม่มีโอกาสถาม และตอนนี้ก็น่าจะเหมาะ

จริงๆ แล้วผมค่อนข้างลุ้นกับคำตอบที่จะได้รับ กลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุให้พี่ไปป์หยุดเติบโตในหน้าที่การงานที่เขารัก

“อือ ทำไมเหรอ”

“เพราะเซรึเปล่า”

“เกี่ยวอะไรกับเซ”

“ก็เรื่องที่เราคบกัน”

“ตอนนั้นเรายังไม่ได้คบกันนี่ อีกอย่างผมเองก็ไม่ได้อยากจะเลื่อนตำแหน่งเพื่อไปทำงานอื่นซักหน่อย”

“ถ้าเลื่อนตำแหน่งเงินเดือนก็เพิ่มขึ้นด้วยไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ ผมไม่เอาตำแหน่งแต่เอาเงินนะ”

“แบบนี้ก็ได้เหรอ”

“ก็เขาเสนอมา เงินเยอะขึ้นใครจะไม่อยากได้”

“พี่ไปป์ไม่เหมือนคนเห็นแก่เงินอะ แบบดูเป็นคนที่อยากจะทำอะไรหลายๆ อย่าง ดูทะเยอทะยานเซก็เลยไม่คิดพี่ไปป์จะไม่รับการเลื่อนตำแหน่ง”

“คนทำงานทุกคนล้วนแล้วแต่อยากเลื่อนไปอยู่ในที่ที่สูงขึ้นเพื่อหน้าตาทางสังคมทั้งนั้นแหละ ผมเองก็เหมือนกัน แต่ตำแหน่งที่เขาเสนอไม่ใช่ตำแหน่งที่ผมอยากได้ และอีกอย่างผมยังสนุกกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้ด้วย”

“พี่ไปป์ชอบดูรายการต่างประเทศเนอะ รู้ว่าตัวเองชอบตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ประถมมั้ง 8-9 ขวบอะ คุณน้าของผมมีสามีเป็นชาวต่างชาติ พอช่วงปิดเทอมแม่ก็เลยถือโอกาสส่งผมไปเรียนภาษาที่โน่น ได้ดูทีวีบ้านเค้า พวกสารคดี วาไรตี้อะไรพวกนี้ มันต่างจากที่เราเคยดู มันตื่นตาตื่นใจ หลังจากนั้นผมก็กลายเป็นคนที่ชอบดูรายการต่างประเทศมากๆ คิดเอาไว้ซักวันต้องทำให้คนในประเทศได้ดูรายงานพวกนั้นบ้าง และวันนี้ผมก็ได้ทำแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว”

“ดีจัง เซแม่งไม่มีความฝันเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเดินตามสิ่งที่พ่ออยากให้ทำ อิจฉาพี่ไปป์ว่ะ” ทั้งอิจฉาปนๆ กับรู้สึกดีที่พี่ไปป์เล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง

“อย่าอิจฉาคนที่มีความฝันเลย ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเถอะ เซโชคดีกว่าหลายๆ คนที่อย่างน้อยก็รู้ว่าในอนาคตตัวเองจะเป็นยังไง แต่สำหรับบางคนน่ะเค้าไม่มีทั้งความฝัน ไม่มีทั้งเป้าหมาย ทุกอย่างว่างเปล่าไปหมด”

ผมโชคดีจริงๆ แหละ โชคดีตั้งแต่เกิด พอโตเป็นผู้ใหญ่ก็โชคดีที่ได้เจอคนดีๆ อย่างพี่ไปป์ ได้มีเขาอยู่ข้างๆ อิจฉาผมล่ะสิ ก็ช่วยไม่ได้อะนะ คนมันวาสนาดี







ปกติเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน ตอนที่ยังไม่เป็นแฟน พี่ไปป์จะเป็นฝ่ายเดินนำหน้าผมเสมอ แต่วันนี้ในตอนที่เดินเข้ามาในสนามบอลหญ้าเทียมที่ประจำเขากลับเดินตามผมต้อยๆ

ไม่เคยคิดว่าพี่ไปป์จะน่าเอ็นดูขนาดนี้

ไอ้ยอดร้องทักทันทีเมื่อเราปรากฏตัว รอยยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ยทำให้หน้ามันที่ไม่ค่อยจะเหมือนคนดียิ่งเหมือนตัวร้ายในละครเข้าไปใหญ่

“พี่ไปป์ดูคลิปของพวกเรารึยังครับ” หลังจบครึ่งแรกไอ้เพื่อนตัวดีก็วิ่งเข้ามานั่งข้างแฟนผมแล้วถาม

“ดูแล้ว”

“มีตรงไหนที่ไม่ชอบมั้ยครับ”

“ตรงที่ผมไม่หล่ออะ”

“พี่ไปป์หล่อทุกช็อตแหละ หล่อแบบในคอมเมนต์มีแต่คนขอไอจีพี่อะ” น้ำเสียงไอ้ยอดติดหมั่นไส้หน่อยๆ

“ถึงว่าช่วงนี้คนขอฟอลโล่เพิ่มขึ้นเยอะมาก เพราะคุณนี่เอง คราวหลังไม่ไปด้วยแล้วดีกว่า” ถึงคนขอฟอลโลจะเยอะมากแต่พี่ไปป์ก็ยอมรับให้ผมเป็นฟอลโลเวอร์ของเขาล่ะ

“โหพี่ไปป์ ไม่ดิ ช่วยผมหน่อย คลิปพี่ไปป์ยอดวิวขึ้นเร็วมากเลยนะ ยอดตอนนี้ก็เกือบๆ จะ 2 แสนแล้ว”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ ได้ตังค์ป่ะ เอามาแบ่งกันบ้างนะ”

“พี่ไปป์นี่ก็มีอารมณ์ขันเหมือนกันเนอะ”

“ผมจริงจังยอด ถ้าได้เงินก็ควรเอามาแบ่งกันสิ ค่าตัวจ่ายด้วย” คนถูกทวงค่าตัวหน้าถอดสีเมื่อพี่ไปป์แบมือทวงตังค์ด้วยหน้าตาจริงจังแบบคุณปกรณ์ เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดสงสารไอ้ยอดไม่ได้ พี่ไปป์นี่ก็ช่างแกล้ง

“เอ่อ เกมส์ครึ่งหลังจะเริ่มแล้วขอตัวนะครับ”

ไอ้ยอดวิ่งจู้ดไปโน่นผมจึงนั่งลงข้างๆ คนขี้แกล้งแทนที่มัน

“พี่ไปป์นิสัยไม่ดี”

“ยอดตลกดีเนอะ” มองตามไอ้คนที่หลบอยู่หลังเสาอีกฝั่งของสนามแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีและน่ารักดี

“ยิ้มอย่างนี้บ่อยๆ สิ พี่ไปป์ยิ้มแล้วดูดี”

“คร้าบ จะยิ้มบ่อยๆ ครับ” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วฉีกยิ้มกว้าง

“ครึ่งหลังจะเริ่มแล้วขอกำลังใจหน่อยสิ”

“กำลังใจอะไร” ผมเอียงแก้มให้แทนคำตอบ แต่แทนที่จะหอมแก้มพี่ไปป์กลับตบกะโหลกผมแรงๆ จนมึน เจ็บโคตร “อยากได้อีกมั้ยกำลังใจ”

“ใจร้าย” แสร้งทำเป็นปาดน้ำตาแล้วค่อยวิ่งลงสนามมา อาการตึ๊บๆ ที่หัวนี่ต้องทำให้ผมแพ้แน่ๆ เลยว่ะ

พอลงมาที่สนามไอ้ยอดเพื่อนรักก็กระโดดเข้ามากอดคอ

“พี่ไปป์ใส่เสื้อมึง บอกกูมาว่าไปถึงเตียงกันแล้วใช่มั้ย” ขี้เสือกแบบนี้ไง สมควรให้พี่ไปป์เก็บค่าตัวซะให้กระเป๋าแห้ง

“ไม่ยุ่งซักเรื่องมั้ยล่ะยอด”

“ไม่ได้ดิ กูอยู่ทีมมึงมาตั้งแต่ต้น เกิดอะไรขึ้นมึงก็ควรเล่าให้กูฟัง นี่มึงไม่เห็นเหรอว่าต่อมเสือกกูสั่นริกๆ อยู่เนี่ย” อยากตบกะโหลกมันให้แรงกว่าที่พี่ไปป์ตบผมเมื่อครู่ แต่ก็ได้แต่คว้าคอให้เข้ามาใกล้ๆ แล้วขู่ด้วยเสียงลอดไรฟัน

“ถ้ามึงไม่อยากเสียเงินค่าตัวพี่ไปป์ก็อย่าถามมาก รู้แค่ว่าเป็นแฟนกันแล้ว จบนะ” ตบหัวมันไปทีอย่างอดใจไม่ได้

นั่นแหละครับ เพราะต่อมเสือกไอ้ยอดมันสั่นริกๆ ตลอดการแข่งขันทั้งที่อยู่ทีมเดียวกันแต่มันก็เอาแต่วิ่งตามถามผมอยู่อย่างนั้น พอไม่ตอบก็สะกัดลูกแล้วเตะให้ทีมฝั่งตรงข้าม ผมกำมือแน่นห้ามใจไม่ให้กระโดดถีบมันในสนามอยู่หลายต่อหลายหน แน่นอนว่าเมื่อคนในทีมไม่สามัคคีกันไม่ต้องเดาเลยว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร แพ้ไงครับ แพ้ราบคาบ แพ้แบบไม่เหลือชิ้นดีเลยล่ะ

ที่จริงจะชนะหรือแพ้ผมไม่ค่อยซีเรียสหรอก เล่นขำๆ เรียกเหงื่อ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป มันไม่เท่เลยนะ ทั้งที่แฟนผมมานั่งเชียร์ที่ข้างสนามแต่กลับแพ้แบบนี้ ไม่เท่แถมยังน่าอายมากๆ เลยด้วย

ผมวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาพี่ไปป์ รับขวดน้ำที่เปิดแล้วจากมือเขามาดื่มนิดนึงก่อนจะเทราดหัวไล่ความร้อน

ไม่กล้ามองหน้าพี่ไปป์เลยอะ อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี

“ไม่เท่เลยเนอะ” ผมว่าเสียงอ่อนเมื่อนั่งลงข้างเขาแล้วรับผ้าขนหนูผืนเล็กมาซับเหงื่อที่ใบหน้า

“ไม่เท่เลยแต่ไม่ต้องคิดมากนะ เพราะผมไม่เคยคิดว่าคุณเท่อยู่แล้วอะ” โห โคตรใจร้าย พูดอะไรไม่รักษาน้ำใจกันเลย ไอ้เซจะร้องไห้แล้วจริงๆ นะ

พอผมเบ้หน้าทำท่าเหมือนจะร้องไห้ พี่ไปป์ก็ขำออกมาแล้วดึงผ้าขนหนูไปถือเอาไว้ก่อนเจ้าตัวจะขยับมายืนตรงหน้า ค่อยๆ ใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดเส้นผมชื้นเหงื่อของผมอย่างเบามือ

โคตรอ่อนโยนเลยอะ สัมผัสของพี่ไปป์ทำเอาผมเคลิ้มไป อยากเอาหน้าซบที่หน้าท้องของเขาแต่ขณะที่กำลังขยับเข้าใกล้ก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยไอ้คนที่ทำให้ผมไม่เท่ในสนามนั่นแหละ

“เซเพื่อนรักเตะบอลแล้วไปไหนต่อวะ กูไปด้วยสิ เหงาอะแฟนไม่อยู่”

“ไปไหนก็ได้โตแล้ว” ไม่ใช่ว่ามีแฟนแล้วลืมเพื่อนหรอกนะครับ แต่ดูมันทำตัวเข้าเถอะ ทำให้ผมไม่เท่ต่อหน้าพี่ไปป์แล้วยังมีหน้าจะมีก้างขวางคออีก ไปเหงาคนเดียวตรงโน้นไป๊

“พี่ไปป์ดูไอ้เซสิ นิสัยไม่ดีเลยอะ” หันไปฟ้องแฟนผมอีก แต่โชคดีครับที่พี่ไปป์ไม่ใช่คนใจดีพร่ำเพื่อ เขาตีหน้านิ่งมองไอ้ยอด ถูกมองแบบนี้ถ้าเป็นผมนะคงเผ่นแนบไปแล้ว

“เราจะไปกินบุพเฟ่ต์กัน”

“ไปด้วยได้มั้ยครับ”

“ยอดจะไปด้วยก็ได้นะ จ่ายค่าตัวผมเป็นค่าอาหารมื้อนี้สิ” คนอยากตามไปด้วยถึงกับหน้าจ๋อยก้มหน้าก้มตาว่าไม่เต็มเสียง

“ใจร้ายว่ะ ไม่ไปด้วยก็ได้ โป้งมึงแล้วไอ้เซ วันหลังถ้าหนีออกจากบ้านอีกไม่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากกูเลยนะ” ยอดโป้งผมเหมือนเด็กๆ ก่อนจะผละออกไป

ผมให้พี่ไปป์รอที่ร้านกาแฟนข้างหน้าสนามขณะเข้าไปจัดการตัวเองให้สะอาดสดชื่นพร้อมออกเดทในเย็นวันนี้

เจอไอ้ยอดในห้องอาบน้ำ มันก็ยังตัดพ้อผมไม่หยุดหย่อนกระทั่งแฟนมันโทรมานั่นแหละจึงเลิกวอแวแล้วบอกลากัน







ในร้านกาแฟวันอาทิตย์ ถึงแม้จะมีผู้คนมากมายทว่าสายตาของผมกลับจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มเพียงคนเดียว คนที่วันนี้สวมเสื้อของผมอย่างไม่เขินอาย กลับเป็นผมเสียอีกที่รู้สึกเขินเมื่อเห็นเสื้อตัวเองบนตัวพี่ไปป์

“รอนานมั้ยครับ”

“นานมาก” ถึงจะบอกเหมือนตำหนิกันทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้มส่งมาให้

“ไอ้ยอดน่ะสิวอแวเซไม่หยุดเลย”

“ยอดตลกดี”

“แล้วเซล่ะตลกมั้ย”

“ไม่รู้สิ ไม่ค่อยมั้ง”

“ต่อไปนี้เซจะทำให้พี่ไปป์หัวเราะเยอะๆ เลย”  ผมอาจจะไม่ใช่คนตลกมากแต่รับรองว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันจะทำให้มีความสุขจนลืมไปเลยว่าความทุกข์เป็นยังไง

ผมเดินนำพี่ไปป์ออกมาข้างนอกเพราะนี่ก็ใกล้เย็นแล้ว อีกซักแป้บนึงท้องต้องร้องเพราะความหิวโหยแน่ๆ

เราเดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อยระหว่างทางจากโต๊ะไปยังประตู เป็นบทสนทนาเกี่ยวกับฝีเท้าของผมในสนามบอล

“ถ้าไอ้ยอดไม่...”

โป๊ก!!!

ไอ้สัส เห็นดาวกลางวันแสกๆ

พี่ไปป์หัวเราะลั่นขณะที่ผมซึ่งชนประตูกระจกเข้าเต็มๆ ทรุดลงไปกองกับพื้น จนผมค่อยๆ เกาะประตูแล้วลุกขึ้นกุมหน้าผากมองหน้าเขานั่นแหละเจ้าตัวถึงยอมกลั้นขำแล้วหันมาสนใจกัน

“พี่ไปป์โคตรใจร้ายอะ”

“ก็มันตลก ไม่คิดว่าคุณจะเด๋อขนาดนี้ว่ะเซ”

“ก็มัวแต่มองหน้าพี่ไปป์อะ คนอะไรก็ไม่รู้น่ารักชิบเป๋งเลย”

“ไปได้แล้วอายคนอื่นเค้า เดินไหวมั้ย” โอ๊ยคนเรา ยืนอยู่ตั้งนานเพิ่งมาถามว่าไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวก็คงล้มลงไปกองอีกรอบแล้วมั้งครับ แต่นาทีที่พี่ไปป์ยื่นมือมาจับต้นแขนเพื่อพยุงผมก็พูดไม่ออก คนมองก็ช่างเถอะไอ้เซไม่สนใจแล้ว นานทีปีหนจะได้มีโอกาสทำตัวอ่อนปวกเปียกอ้อนให้เขา ก็ให้ช่วยพยุงมาจนที่รถ รวมถึงควักกุญแจให้เขาช่วยขับด้วยเลย

มื้อค่ำแรกของสถานะแฟนถูกฝากเอาไว้ที่ร้านหมูกระทะร้านเดียวกับที่เคยมากินด้วยกันเมื่อครั้งเป็นพี่เลี้ยงกับน้องฝึกงาน อาจเพราะเป็นวันหยุดและยังหัวค่ำอยู่คนในร้านจึงคึกคักเป็นพิเศษ

“ท้องยังอืดอยู่เหรอ กินน้อยจัง” เห็นว่าเขาไม่ค่อยกินก็อดสงสัยไม่ได้

“อาหารไม่ค่อยย่อยอะ”

“พี่ไปป์ควรหาหมอบ้างนะ”

“ก็เจอแอมป์บ่อยอยู่นะ”

“นั่นหมอหมาป่ะล่ะ” แม้อยากจะดุแต่พอเห็นว่านานๆ พี่ป์จะเล่นมุกทีก็ดุไม่ลงได้แต่หัวเราะไปมุกฝืดๆ นั่น “เอาไว้พรุ่งนี้เลิกงานเซไปรับที่ออฟฟิศแล้วไปหาหมอกัน”

“ไม่อยากไป”

“กลัวหมอเหรอครับ”

“เปล่า” ปฏิเสธเสียงสูงจนถึงยอดตึกโน่น เชื่อก็บ้าแล้วครับ

“ไปกับเซไม่ต้องกลัวหรอกน่า”

“ผมมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะไม่ต้องห่วงหรอก กินยาก็หายไม่ต้องหาหมอก็ได้”

“รู้สึกดีนะที่พี่ไปป์บอกเรื่องของตัวเองให้เซฟังแต่คงดีกว่าถ้าได้พาไปหาหมอ”

“ยังไงก็จะไปให้ได้ว่างั้น”

“ใช่แล้ว” ผมลากเสียงยาว เช็ดมือที่แกะกุ้งไปแค่ไม่กี่ตัวด้วยทิชชู่ที่คนตรงข้ามส่งมาให้ “ไปกันนะ เซเป็นห่วงจริงๆ นะครับ” อ้อนเข้าให้ ดวงตาพี่ไปป์วูบไหวก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าอย่างยอมจำนน

พี่ไปป์คนที่เป็นแฟนผมนี่น่ารักเป็นบ้าเลยล่ะ







[T B C]

พอเป็นแฟนกันแล้วพี่ไปป์ก็จะน่ารักประมาณนี้แหละค่ะ
จะบอกว่าตอนหน้าก็จบแล้วเด้อ แต่ยังไม่ใช่ตอนสุดท้ายหรอก
มีบทส่งท้ายอีก 1 ตอนด้วย
ฝากด้วยๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2018 16:12:23 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 17



“รีบนอนล่ะ พรุ่งนี้ให้ผมโทรปลุกมั้ย”

“ตี 5 เลยนะ พี่ไปป์ตื่นแล้วเหรอ”

“ถ้าให้โทรปลุกก็ตื่นได้นะ”

“งั้นโทรปลุกเซหน่อย กลัวนอนเพลินอะ ไอ้ยอดด่าแน่”

“นอนเถอะ”

“พี่ไปป์ก็นอนนะ ฝันดีครับ”

“อือ ฝันดี” กลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำไปซะแล้ว ถ้าคืนไหนไม่ได้คุยกันก่อนนอนคืนนั้นผมแทบจะข่มตาหลับไม่ลง ต้องได้ยินเสียงสักนิดก็ยังดี

ผมวางมือถือลง หยิบกำหนดการสำหรับการบินไปเรียนต่อปริญญาโทขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจหนักๆ อย่างคิดไม่ตก

ยิ่งชีวิตนักศึกษาใกล้จะจบลงแค่ไหนผมก็ยิ่งวุ่นวายใจมากขึ้นเท่านั้น

ที่จริงแล้ว เรื่องเรียนต่อ เป็นแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

เพราะเป็นลูกชายเจ้าของช่องโทรทัศน์สิ่งที่ควรทำก็คือเรียนเพื่อกลับมาสานต่อกิจการของครอบครัวอย่างพี่ชายทั้งสอง ผมเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถามว่าเต็มใจไหม ไม่รู้สิ ถ้าผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรก็คงไม่เต็มใจมาทำงานบริหารช่องหรอก แต่ในเมื่อไม่มีความฝันก็ควรเดินตามเส้นทางของชีวิตที่มันควรจะเป็น เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่

กำหนดการเดินทางคือต้นเดือนหน้า

มีเวลาเหลืออีกประมาณ 3 สัปดาห์ ผมอยากจะดื้อดึงไม่ไป เหตุผลข้อเดียวคือไม่อยากห่างพี่ไปป์ แต่ถ้าทำอย่างนั้นคนเอาจริงเอาจังอย่างคนรักผมต้องโกรธมากแน่ เผลอๆ อาจจะขอเลิกด้วยซ้ำ

ไม่มีทางเลี่ยงได้เลยสักทาง

และคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ผมหลับไปพร้อมกับความคิดเรื่องเรียนต่ออย่างคืนก่อนๆ







ผมตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือในตอนเช้า ถึงกระนั้นเสียงคนต้นสายก็ยังคงสดใสเหมือนได้นอนเต็มอิ่ม ต่างจากผมที่งัวเงียอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นจากเตียงได้

วันนี้มีนัดไปเที่ยวกันครั้งสุดท้ายกับเพื่อนๆ ก่อนแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเองต่อจากนี้

ยอดยังไม่มีแพลนเรื่องงาน มีแต่แพลนนอนและตะลอนถ่ายคลิปรายการของมัน ผมเคยถามมันว่าฝันอยากเป็นอะไร มันก็ตอบง่ายๆ ว่าอยากหาเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาครอบครัวอีก เขาให้มันมามากพอแล้ว และถ้ามันหาได้มากพอมันก็จะได้ตอบแทนที่บ้านบ้าง

เห็นมันบ้าบอไม่ค่อยได้เรื่องแบบนั้นใครจะเชื่อว่าจะมีสำนึกที่ดีเหมือนกัน

“ไงมึง มาทันด้วย” เรานัดกันที่หน้าตึกคณะตอน 6 โมงเช้า เอารถส่วนตัวไป 3-4 คัน หนึ่งในนั้นคือรถของผม ปลายทางคือทะเล

“แฟนกูโทรปลุก”

“จ้าพ่อคนขี้อวด”

“ก็แฟนกูน่าอวด” เรื่องของผมกับพี่ไปป์อาจจะไม่ใช่ประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์แต่เพื่อนๆ และคนใกล้ชิดต่างก็รู้กันว่าเรากำลังคบกันอยู่

“หมั่นไส้มึงว่ะ” ผมค่อนข้างคุ้นชินกับการจิกกัดของไอ้ยอดแล้วจึงไม่ได้ตอบโต้ ทำเพียงยักไหล่เท่ห์ๆ เอาแว่นตาของพี่ไปป์ที่แอบหยิบมาจากห้องเขาเมื่อคืนวันก่อนมาใส่

เรามาถึงบ้านพักริมทะเลกันตอนบ่ายๆ

กิจกรรมก็ไม่มีอะไรมาก เน้นกินและดื่ม พูดคุยสนทนาทั่วไป ทิ้งความเหนื่อยล้าจากโปรเจ็คเอาไว้ที่กรุงเทพแล้วสนุกกันสุดเหวี่ยงที่ริมทะเล

ลมทะเลตอนกลางคืนเย็นจนขนลุก หากแต่ไม่มีใครยอมลุกไปไหน คงมีเพียงผมที่ลุกขึ้นในตอนที่มองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่าตอนนี้เกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว

พี่ไปป์นอนดึกอยู่แล้วผมจึงไม่ลังเลที่จะโทรหาเขา

รอสายไม่นานเจ้าตัวก็รับ

“นอนรึยังครับ”

“ยัง”

“รอสายเซอยู่รึเปล่า”

“เปล่า เคลียร์งานอยู่ แล้วนี่โทรมาทำไม”

“เป็นแฟนกันโทรหากันไม่ได้เหรอ”

“ตอนนี้คุณควรจะสนุกอยู่กับเพื่อนสิ”

“เมาแล้วครับ คิดถึงพี่ไปป์แล้วด้วย”

“อ้อนแบบนี้อยากได้อะไร”

“อยากให้มาหา”

“ตอนนี้เหรอ”

“วันเสาร์ตอนสายๆ ก็จะกลับกันแล้ว พี่ไปป์มาหาเซวันนั้นแล้วอยู่เที่ยวกันต่อได้มั้ย”

“เอางั้นเหรอ”

“อือ นะครับ” ผมอ้อน อีกฝ่ายเงียบไปครู่นึงก่อนจะตอบ

“ขอคิดดูก่อนแล้วเดี๋ยวจะให้คำตอบนะ”

“จะรอฟังข่าวดีนะครับ แล้วนี่จะนอนรึยัง”

“คืนนี้คงดึก คุณเองก็ไปสนุกกับเพื่อนเถอะ ดูแลตัวเองด้วย”

“เป็นห่วงเหรอครับ”

“ถ้าไม่ห่วงแฟนแล้วจะให้ห่วงใครครับ” ฟินไปสิไอ้เซ ผมวางมือบนอกซ้าย สัมผัสได้ว่าหัวใจเต้นแรงมาก แม่งมันจะระเบิดรึเปล่าวะ







ผมตื่นขึ้นมาในช่วงสายกับเพื่อนที่นอนกองกันเหมือนผักปลาพร้อมข่าวดี

พี่ไปป์ส่งข้อความพร้อมแนบโลเคชั่นโรงแรมมาตอนเกือบตี 3 อ่านแล้วก็นึกสงสัยว่าเขาอยู่ทำอะไรจนดึกดื่น ทั้งที่วันนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าแท้ๆ

แฟนผมน่ะเป็นประเภทที่ถ้างานไม่เสร็จก็จะไม่ยอมหลับยอมนอน ไม่ห่วงสุขภาพตัวเองแบบนี้จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง

ผมเดินออกมาจากบ้านพัก นั่งลงบนเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำก่อนกดโทรออกหาคนที่ตอนนี้กำลังทำงานอยู่

ไม่นานพี่ไปป์ก็รับสาย

“เพิ่งตื่นเหรอ” ถามเหมือนอยู่ข้างๆ กัน

“รู้ได้ไงอะครับ”

“ก็เมื่อคืนดื่มหนักขนาดนั้น”

“คนอื่นยังไม่ตื่นเลย นี่เซตื่นคนแรกเลยนะ เก่งป่ะ”

“ต้องชมด้วยเหรอ”

“แล้วแต่พี่ไปป์เลยครับ จะชมตอนนี้หรือเก็บไว้ชมตอนเจอกันวันเสาร์ก็ได้ อ่อ จะบอกว่าเซได้รับข้อความแล้วนะ จะให้ไปรอที่โรงแรมเลยป่าว”

“แล้วรถคุณล่ะ นี่ขับรถไปไม่ใช่เหรอ”

“เดี๋ยวให้ไอ้ยอดขับกลับกรุงเทพครับ”

“เอางั้นก็ได้ ถ้าคุณไปถึงก่อนก็เช็คอินได้เลยนะ”

“อยากเจอพี่ไปป์แล้วอะ”

“ผมก็อยากเจอคุณ” ประโยคสั้นๆ ของพี่ไปป์ทำให้โลกของผมกลายเป็นสีชมพูได้ในพริบตาอย่างน่ามหัศจรรย์ เราคุยกันเรื่อยเปื่อยหลังจากนั้น หากให้ตั้งชื่อบทสนทนาในวันนี้คงจะเป็นบทสนทนาที่อยากให้ยาวไปเรื่อยๆ จนกว่าความคิดถึงจะจางหายไปล่ะมั้ง







ห้องพักที่พี่ไปป์จองไว้เป็นห้องสูท มีเตียงนอนกว้างตั้งอยู่กลางห้อง ข้างนอกระเบียงมีสระว่ายน้ำส่วนตัว โอ่อ่ามากอย่างที่ไม่นึกไม่ฝันว่าเขาจะจองที่แบบนี้เพื่อเรา

คุยกับเจ้าตัวก่อนผมจะเช็คอิน พี่ไปป์บอกว่าใกล้จะถึงแล้ว มองนาฬิกาที่กำลังบอกเวลาเที่ยงกว่าๆ ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท้องถึงร้องครวญครางขนาดนี้

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง ข่มตาให้หลับ รอคอยพี่ไปป์เพื่อจะได้ไปหาอะไรทานด้วยกัน

แต่คนมันหิวไง ข่มตายังไงก็หลับไม่ลงซักที ดูทีวีก็แล้ว เล่มเกมส์มือถือก็แล้ว เอาเท้าจุ่มน้ำในสระ ทอดสายตามองทะเลตัดกับขอบฟ้าสีคราม ฮัมเพลงจนคอแหบแห้งคนที่ผมรอคอยก็ยังไม่มาซักที

Rrrr~

กำลังจะกดโทรออกพอดีแต่สายเรียกเข้าจากพี่ไปป์ก็ดังขึ้นซะก่อน คนเป็นแฟนกันก็ใจตรงกันประมาณนี้แหละ

“พี่ไปป์เซหิวข้าวอะ” ผมกรอกเสียงโหยหาผ่านสายไป

“ถึงแล้ว ติดไปแดงอยู่ อีกไม่เกิน 5 นาทีก็จะถึงโรงแรม เซลงมารอข้างล่างสิ เดี๋ยวไปหาอาหารทะเลกินกัน”

อาหารทะเล? ผมคนที่อยู่ทะเลมา 2 วันกว่าๆ แอบเบ้ปาก ตอนนี้ถ้าเรอออกมาก็เป็นกลิ่นอาหารทะเลอะครับ แต่ผมมันพวกตามใจแฟนไง แฟนอยากกินก็ต้องไปกินด้วยแหละ ขัดใจเขาได้ยังไงกัน

พี่ไปป์รีบวางสายไปหลังจากเสียงร้อนรนบอกว่าไฟเขียวแล้วจบลง

ไม่นานหลังจากลงมายืนรอที่หน้าโรงแรมรถยนต์ของพี่ไปป์ที่ผมคุ้นเคยดีก็เข้ามาจอดตรงหน้า ผมเดินอ้อมไปฝั่งเขา เปิดประตูให้แล้วขอเป็นฝ่ายขับรถเอง และเจ้าของรถก็ยอมง่ายๆ ไม่ใช่ว่าง่ายอะไรหรอก ขับรถมาตั้งไกลก็คงเหนื่อยนั่นแหละ

“หน้าพี่ไปป์เหนื่อยมากอะ ขับรถมาถึงหัวหินได้ไง”

“มาได้เพราะพลังความคิดถึงมั้ง”

“เซก็คิดถึง”

“คิดถึงทะเล” พี่ไปป์ก็แบบนี้ ชอบดับฝันกันประจำแหละ

“คิดถึงเซก็บอกดีๆ ปากแข็งอยู่นั่นแหละ”

“คิดถึงนิดนึงก็ได้ ช่วยพาไปหาอะไรกินหน่อยสิ ง่วงอะ ขอนอนแป้บ”

“พี่ไปป์อยากกินไร”

“คุณเบื่ออาหารทะเลรึยัง”

“นิดนึง”

“เอ็มเคมั้ย”

“โห ขับรถมาตั้งไกลเพื่อมากินเอ็มเคเนี่ยนะ”

“ก็คุณเบื่ออาหารทะเลแล้วอะ”

“ก็เบื่อนิดเดียวแต่ไม่เบื่อพี่ไปป์หรอก นอนเหอะเดี๋ยวถึงร้านแล้วเซปลุก” ผมเอี้ยวตัวกลับไปหยิบหมอนตรงเบาะหลังมาวางไว้บนตักคนข้างๆ ก่อนจะช่วยคาดเข็มขัดเมื่อเห็นว่าคนรักความปลอดภัยไม่ยอมคาดมันซักที

“ขอบคุณครับ” พอผมจะผละออกเขาก็ว่าอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงโคตรหวาน จนห้ามใจไม่ไหวกดจูบลงบนเรียวปากเขาไปที

พี่ไปป์ร่างแฟนโคตรน่ารักอะ ไม่รู้ว่าต้องพูดคำว่าน่ารักอีกกี่ครั้งถึงจะเพียงพอ สงสัยคงต้องพูดไปตลอดชีวิตแล้วมั้ง

ผมพาพี่ไปป์มากินอาหารทะเลร้านประจำของครอบครัวผม เป็นร้านเล็กๆ ริมชายหาด ลมพัดแรงจนผมเสียทรงหมด แต่รสชาติอาหารเป็นที่เลื่องลือมากๆ เลยล่ะครับ พ่อผมน่ะชอบที่นี่มาก เคยขอแม่แต่งงานที่นี่ โคตรจะไม่โรแมนติกแต่ดูเหมือนแม่จะปลาบปลื้มใจมาก เล่าให้ฟังบ่อยจนรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ด้วยแล้ว

“พี่ไปป์นี่ชอบกินกุ้งจังเลยนะ” คนที่เพิ่งตักกุ้งไปจากจานของผมหยุดชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่ง หรี่ตามองกันเหมือนไม่พอใจก่อนจะงับกุ้งตัวนั้นเข้าปากไป

“ปกติก็ไม่ค่อยกินหรอก แต่นี่มีคนแกะให้ไงก็เลยชอบ”

“ชอบกุ้งหรือชอบคนแกะครับ”

“ทั้งสองอย่าง” ผมชอบเวลาพี่ไปป์บอกว่าชอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสีหน้าไร้ความรู้สึก อาจจะดูเหมือนผมแปลก ไม่หรอก ผมว่าบุคลิกแบบนี้มันใช่พี่ไปป์ที่สุดแล้ว

เป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยแสดงออก แต่บทจะหวานก็เล่นเอาตั้งตัวไม่ทันทุกครั้งไป

“กลับห้องเลยมั้ย”

“ไปเดินเล่นที่ชายหาดกัน”

“ตอนนี้เนี่ยนะ” คงไม่ต้องอธิบายถึงความร้อนแรงของแสงจากพระอาทิตย์ตอนบ่ายโมงเกือบบ่ายสองใช่มั้ย ร้อนมาก แสบผิวมาก ถ้าขืนเดินเล่นตอนนี้มีหวังผิวไหม้หมดแน่ๆ แต่เรื่องผิวก็ไม่เท่ากับกลัวคนที่เหมือนจะนอนไม่พอเพลียแดดแล้วเป็นลมไปหรอก

“ทำไมล่ะ ไม่อยากเดินเล่นด้วยกันเหรอ”

“เอาไว้ตอนเย็นดีมั้ยครับ ตอนนี้เรากลับไปนอนดีกว่า สภาพพี่ไปป์เหมือนจะไม่ไหวแล้วนะ”

“ง่วงแหละ แต่คิดว่าคุณอยากจะเดินเล่นด้วยกัน”

“เอาไว้ตอนเย็นดีกว่ามั้ยครับ เดินเล่นเสร็จแล้วไปโต้รุ่งกัน”

ช่วงหลังมานี้พี่ไปป์รับฟังความเห็นของผมมากขึ้น ตามใจมากขึ้น อ้อนมากขึ้น ยิ้มให้กันมากขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องหินผาที่ทำร้ายจิตใจผมมากๆ หรือเพราะเขารักผมมากขึ้นกันแน่ อย่างไรก็ตามแค่เขาอยู่ข้างๆ ผมเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับความรักครั้งนี้

“ช่วงนี้พี่ไปป์ไม่ค่อยได้นอนเหรอ ถ้างานเยอะไปก็น่าจะหาผู้ช่วยเพิ่มนะ” พี่ไปป์ทิ้งตัวลงบนเตียงทันทีเมื่อกลับมาถึงห้อง ไม่สนใจกระทั่งผมที่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเขาตามเข้ามา

ผมนอนลงข้างๆ เอ่ยถามเขาทั้งที่เจ้าตัวหลับตาไปแล้ว แต่เชื่อเถอะว่ายังนอนไม่หลับหรอก

“งานอื่นน่ะ แต่เคลียร์เสร็จแล้ว”

“รับงานนอกเหรอครับ”

“เปล่า งานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงาน แล้วถ้าผมรับงานนอกคุณจะทำไม จะฟ้องพ่อคุณเหรอ”

“ไม่หรอก เซเคารพการตัดสินใจของพี่ไปป์”

“ขอบคุณนะ” พี่ไปป์ขยับตัวนอนตะแคง ลืมตาขึ้นมามองกันแล้วยิ้มสวย ยิ้มที่ผมเผลอก้มลงไปกดจูบลงบนเรียวปากเขาเบาๆ แล้วผละออก

“นอนเถอะ เดี๋ยวคืนนี้จะไม่ได้นอนนะ”

“ทำไมถึงจะไม่ได้นอน”

“ที่นี่บรรยากาศดี”

“บรรยากาศน่านอน”

“บรรยากาศน่านอนแต่จะไม่ได้นอนน่ะสิครับ เพราะงั้นตอนนี้พี่ไปป์รีบนอนเอาแรงเถอะนะ” ผมขยับเข้าไปหนุนหมอนใบเดียวกัน กดจูบลงบนเส้นผมนุ่ม ตะกรองกอดคนข้างกายเอาไว้ พอได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่โหยหาก็รู้สึกสบายใจเหมือนกับได้วางทุกความทุกข์ใจเอาไว้

ไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน







ชายหาดด้านหลังโรงแรมเงียบสงบดี ตอนเย็นแดดร่มแล้ว สายลมพัดเอื่อยๆ พอให้เส้นผมที่ไม่ได้จัดทรงและเสื้อเชิ้ตสีสดใสของเราปลิวสะบัดแผ่วเบา

พี่ไปป์เสยผมด้านหน้าที่ยาวลงมาปรกตาขึ้นก่อนนั่งลงบนผืนทรายสีขาวสะอาด

“บอกให้มัดผมเหมือนเซก็ไม่เชื่อ” ผมข้างหน้าของผมก็ยาวแล้วเหมือนกัน ก่อนออกมาก็เลยมัดจุกเอาไว้ให้อีกฝ่ายแซวว่าเหมือนหมาพันธุ์ชิสุ เป็นหมาก็ได้แหละถ้าพี่ไปป์รับเลี้ยง

“ไม่อยากเหมือนคุณ”

“กลัวจะเป็นไอเทมคู่รักงี้เหรอ”

“แค่เลือกสีสีฟ้าเหมือนกันก็มากพอแล้วอะ”

“ใจตรงกันก็งี้” วันนี้เราใส่เสื้อสีเดียวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสดใสเหมือนความรักของเราทั้งคู่

พอถูกแซ็วพี่ไปป์ก็หัวเราะ ก้มมองเสื้อตัวเองแล้วก็ไหวไหล่อย่างน่าหมั่นไส้ แต่จะหมั่นไส้ลงได้อย่างไรในเมื่อรักซะขนาดนี้

เรานั่งมองทะเล ฟังเสียงคลื่นและลม ซึมซับช่วงเวลาที่มีกันและกันโดยปราศจากทสนทนา ผมวางมือลงบนมือพี่ไปป์บนผืนทราย หันมองเขา ยิ้มให้กันก่อนทอดสายตามองทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง

“ก่อนบินเซว่าจะไปเยี่ยมหินผาซักหน่อย”

“อือ ไปกัน แต่อย่าร้องไห้อีกล่ะ” ตอนบอกลากันผมร้องไห้เพราะรู้สึกเหงา การจากลาทำให้หัวใจของผมเจ็บปวด ทว่าการร้องไห้เมื่อได้พบอีกครั้งนั้นมันคนละความรู้สึกกัน ผมร้องเพราะมีความสุขที่ได้เห็นว่าหินผามีชีวิตที่ดี มีเจ้าของที่รักและมอบความอบอุ่นให้มัน หินผาที่ผมเจอที่บ้านเจ้าของมันดูร่าเริงกว่าครั้งไหนๆ มันกระโดดกอดผมส่งมอบความคิดถึงแบบเดียวกับที่ผมมี

บางครั้งความรักก็อาจไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการเห็นคนที่เรารักมีความสุข เรื่องราวของหินผาบอกผมอย่างนั้น แต่สำหรับพี่ไปป์ ถ้าความรักของผมไม่ได้ครอบครองเขาผมคงเป็นทุกข์มากอย่างเช่นตอนนี้

“ถ้าเซไม่อยู่พี่ไปป์จะเหงามั้ย”

“ดราม่าเหรอ”

“อือ เซคงคิดถึงพี่ไปป์มาก พี่ไปป์จะไม่คิดถึงเซเหรอ”

“คิดถึงแหละ”

“มาหาบ่อยๆ ได้มั้ย”

“ให้ผมไปหาคุณน่ะเหรอ ไม่มีตังค์ขนาดนั้นหรอก”

“เรียนโทนี่หนักมั้ยอะ มีเวลาพักรึเปล่า”

“หนักแต่ก็สนุก เผลอๆ คุณอาจจะหลงแสงสีที่นั่นจนลืมผมไปเลยก็ได้”

“ไม่มีทาง”

“ให้มันจริงเถอะ”

“เซพูดจริง”

“เอาไว้ไปอยู่ที่โน่นซักพักก่อนแล้วค่อยบอกดีกว่าว่ายังคิดถึงกันรึเปล่า”

คิดถึงสิ ผมต้องคิดถึงพี่ไปป์มากแน่ๆ  คิดถึงสีหน้าเฉยชาเวลาบอกรักกัน อ้อมกอดอุ่นๆ ฝ่ามือที่โบกหัวผมเวลาไม่พอใจ แต่ในยามที่ผมเหนื่อยล้ามือข้างนั้นก็ทำหน้าที่เยียวยาผมด้วยเช่นกัน ถ้าผมไม่คิดถึงคนๆ นี้แล้วจะให้คิดถึงใคร







“พี่ไปป์กินเก่งอะแต่ไม่เห็นจะอ้วนเลย”
 
พอท้องฟ้าปราศจากแสงจากพระอาทิตย์ เราก็จูงมือกันเดินออกจากชายหาด ขับรถมุ่งหน้ามาที่ตลาดโต้รุ่ง ที่จริงทั้งผมและพี่ไปป์ต่างก็คุ้นเคยกับหัวหินดี เอาเข้าจริงเด็กคณะเราทุกคนคุ้นเคยกับที่นี่เพราะถูกใช้เป็นสถานที่รับน้องและอื่นๆ อีกมากมายในทุกๆ ปี

“ขอกินของคุณบ้างสิ” ยังไม่ทันอนุญาต คนชอบกินก็ยื่นหน้าเข้ามางับไอศกรีมในมือของผมไปเต็มคำ

“อร่อยอะ แลกกันมั้ย”

“พี่ไปป์เอาไปทั้งหมดเลยก็ได้เซไม่ชอบกินของหวาน”

“ไม่ชอบแล้วซื้อมาทำไม”

“เห็นพี่ไปป์ตัดสินใจไม่ได้ซักที”

“ใส่ใจนะเนี่ย”

“เป็นแฟนที่ดีใช่มั้ยล่ะ”

“น่ารักมาก” ชมผมแล้วก็เลียไอศกรีมไปด้วย เห็นแบบนั้นแล้วเรื่องลามกก็ผุดขึ้นในหัวเป็นฉากๆ

“น่ารักแล้วมีรางวัลมั้ยอะครับ”

“รางวัลอะไร”

“ก็...”







พี่ไปป์รู้ดีว่ารางวัลที่ผมพูดถึงคืออะไรแต่ก็ชอบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทุกที

“พอแล้ว” เจ้าของร่างกายเปลือยเปล่าที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงยกมือห้ามเมื่อมือของผมเริ่มลูบไล้ร่างกายของเขาอีกครั้ง แต่เชื่อเถอะว่าห้ามไปงั้นแหละเพราะอีกซักพักก็ตามใจผมแล้ว

สำหรับความรักที่ผมมีให้พี่ไปป์น่ะกอดแน่นแค่ไหนครั้งเดียวก็ไม่เคยพอ

“ไม่ได้จริงเหรอครับ” ผมไล้ปลายจมูกที่ลาดไหล่เปลือย มือยังคงลูบไล้สีข้างอย่างหยอกเย้า

“พรุ่งนี้อยากไปสวนน้ำ”

“มีชุดว่ายน้ำเหรอ”

“เตรียมมาเผื่อเซชุดนึงด้วยนะ”

“เตรียมชุดว่ายน้ำมาเก้อแล้วล่ะ”

“หืม ทำไมล่ะ” พี่ไปป์เอียงใบหน้าที่ซุกบนหมอนมามองกัน

“พรุ่งนี้พี่ไปป์ลุกไปเที่ยวไม่ไหวหรอก”

“เซ”

“ครับ” ผมขานรับทั้งที่ริมฝีปากกำลังสัมผัสไปทั่วลาดไหล่และแผ่นหลังเนียน

“ไม่ไหวแล้วอะ”

“ไม่จริงหรอก ร่างกายพี่ไปป์ไม่เคยโกหกเซนะ” พี่ไปป์เป็นพวกไวต่อสัมผัส แค่ลูบไล้นิดๆ หน่อยๆ ก็ตื่นขึ้นมาแล้วและนี่ผมลูบอยู่ตั้งนานถ้าทนไหวก็ให้มันรู้ไป

“รู้มาก”

“เซรู้จักพี่ไปป์ดีกว่าพี่ไปป์อีก”

“ขี้โม้”

“อือ เซโม้ แต่จริงๆ แล้วเซอยากรู้จักพี่ไปป์มากกว่านี้นะ”

“งั้นก็รู้ไว้เลยว่าพรุ่งนี้ผมอยากไปสวนน้ำ อยากไปเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวๆ อะ”

“อยู่กับเซเสียวกว่าอีก”

“มันไม่เหมือนกันมั้ยล่ะ”

“แต่อยู่กับเซดีกว่านะ”

“เซ...” ผมพิสูจน์ให้พี่ไปป์เห็นด้วยการรุกเร้าเขาด้วยร่างกายของผม สัมผัสของผม หัวใจของผม

เครื่องเล่นหวาดเสียวในสวนน้ำเอาไว้เล่นคราวหน้าก็ยังไม่สาย แต่ตอนนี้มาเล่นอะไรหวาดเสียวๆ กับเซดีกว่านะครับพี่ไปป์

“พี่ไปป์ รักนะครับ” ผมกระซิบข้างหูในตอนที่ร่างกายของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่งผ่านความรักทั้งหมดด้วยร่างกายและความรู้สึกในหัวใจ อย่างที่พี่ไปป์เองก็ตอบรับเป็นอย่างดี

เขาจ้องมองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ารักใคร่แม้ไม่ต้องเอ่ยคำใด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากได้ยิน

“อือ รัก รักเหมือนกัน”

อนาคตของผมสำคัญมากแค่ไหน คำว่ารักจากปากพี่ไปป์ก็สำคัญเท่านั้นแหละ





  [The enD]

จบแล้ว แต่ยังไม่จบซะทีเดียว
ยังเหลือบทส่งท้าย ฝากติดตามความหวานแบบอันลิมิเต็ดของพี่ไปป์กับเจ้าเซจนถึงตอนสุดท้ายด้วยนะ

 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-02-2018 19:44:01 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ silverrain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ละมุนมาก เคมีเข้ากันมากเลยสองคนนี้

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
แรกๆนี่คิดว่าเซจะอกหักแล้ว 555
แต่พออ่านมาๆ เอ... พี่ไปป์แอบมีใจนี่นาา
ชอบๆ

ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด