พี่ครับ 14ในวันที่ผมไม่สบาย พี่ไปป์อยู่กับผมจนถึงเย็น แม้อยากจะอยู่มองเจ้าตัวใกล้ๆ แต่ก็กลัวว่าจะติดไข้หวัดจึงได้แต่หมกตัวอยู่ในห้องนอน และพี่ไปป์คงนึกสงสารมั้งจึงเรียกให้ผมออกมานอนที่โซฟา ส่วนเจ้าตัวลงไปนิ่งบนบีนแบ็กที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆ
เห็นมั้ยล่ะ มองอย่างไรก็ใช่คนมีใจให้กัน
“ตั้งแต่เลี้ยงหมานี่กลับบ้านบ่อยนะ”
“ทำไมอะ ไม่คิดถึงน้องเหรอ” ผมนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พี่สอง แปลกใจเหมือนกันที่เจอพี่มันในบ้านตอนเช้าวันเสาร์แบบนี้
ที่จริงแล้วผมกับพี่มันก็ไม่ต่างกันหรอก ถ้าแม่ไม่โทรเรียกมากินข้าวเย็นด้วยกันหน่อยก็ไม่ค่อยอยากจะกลับบ้าน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เลี้ยงหินผาผมกลับบ้านบ่อยจริงๆ
คิดถึงหมาก็เรื่องนึง คำที่พี่ไปป์บอกว่าต้องให้ความรักและใส่ใจสัตว์เลี้ยงมากๆ ก็อีกเรื่อง และเรื่องอ่อยพี่ไปป์ก็สำคัญเหมือนกัน
“ทำไมตาบวมอะสอง ไม่ได้นอนเหรอ” หน้าเหมือนคนเพิ่งร้องไห้มาต่างหากแต่กลัวพี่มันอายก็เลยถามอ้อมๆ
“ทะเลาะกับหญิง”
“ก็เลยกลับบ้านเหรอ”
“เออ” เพราะผมกับพี่สองโตมาด้วยกันจึงค่อนข้างสนิทกัน มีเรื่องอะไรก็คุยกันอย่างเปิดอก
“ถูกหญิงจับได้ว่าหม้อสาวอื่นรึไง”
“งี่เง่าฉิบหาย” มือถือที่ถูกเปิดค้างไว้ที่ข่าวๆ หนึ่งในเว็บไซต์ถูกส่งมาให้ดู
“โห นางเอกใหม่ช่องเราเหรอ พ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าทำ” ในข่าวเป็นภาพแอบถ่ายจากร้านอาหาร ทั้งสองนั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกัน แค่นั้นแหละ ที่จริงมันไม่ควรจะเป็นประเด็นหรอกแต่นักข่าวแม่งใส่ไฟ
“จำไม่ได้เหรอนั่นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าเราตอนมัธยม”
ลองเพ่งรูปดูดีๆ ก็พบว่าใช่จริงๆ ด้วย “เออว่ะ”
“บอกหญิงไปแบบนี้แต่ไม่เชื่อใจกันเลยว่ะ เบื่อละ เลิกแม่ง”
“ปากเก่งว่ะสอง ถ้าเลิกจริงให้เตะปาก” เป็นพี่น้องกับมันมาทั้งชีวิตไม่เคยเห็นมันยอมแฟนคนไหนมากเท่าคนนี้ จ้างให้ก็ไม่เลิก ถ้าสมมติว่าเขาโทรมาเรียกให้กลับห้องตอนนี้ก็ต้องรีบแจ้นกลับไป
“มึงควรเก็บปากไว้หยอดคำหวานพี่ไปป์”
“หยอดด้วยข้อความก็ได้ครับ” ว่าแล้วก็ส่งข้อความไปบอกว่าผมมารับหินผาออกไปเดินเล่น
วันนี้ตั้งใจจะพามันไปหาพี่หมอแอมป์ซักหน่อย รายนั้นบ่นว่าคิดถึงไม่ขาดปากเลย
“ไงอะกับพี่ไปป์ พัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงไหนแล้ว”
“ก็ดีนะ เดี๋ยววันนี้จะพาหินผาไปเที่ยวด้วยกัน”
“เขาอยากไปเที่ยวกับมึงหรืออยากไปเที่ยวกับหินผา” โห คำพูดคำจาโคตรทำร้ายจิตใจ แต่ก็ต้องยอมรับแหละว่าที่สนิทใจกันได้มากขนาดนี้ก็เพราะหินผาลูกรัก
“แล้วนี่ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอสอง” ตั้งแต่เข้ามาแล้วไม่เห็นจะมีใครซักคน นี่มันวันสาร์นะครับ พักผ่อนอยู่บ้านบ้างก็ได้ไม่ต้องออกไปคบค้าสมาคมกับใครเขามากหรอก แก่แล้ว
“พ่อกับแม่ไปสนามกอล์ฟ ส่วนพี่โซ่เห็นบอกว่ายังไม่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน”
“เซว่าพี่โซ่ทำงานหนักเกินไปอะ”
“ถ้าคิดงั้นก็รีบเรียนให้จบแล้วมาช่วยกันทำงาน”
“ไม่เอาหรอก เซไม่ชอบงานบริหาร ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน” ถึงจะบอกว่าไม่เอาแต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี
“ไม่สนุกหรอกแต่มีคนนับหน้าถือตา” ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดของพี่สอง ยังไม่ทันได้คุยกันต่อเสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน แอบเหล่มองก็เห็นว่าคนโทรเข้าคือพี่หญิง ว่าจะแซวซักหน่อยแต่พี่ชายผมก็รีบกดรับแล้วเดินเลี่ยงออกไปซะก่อน
เห็นมั้ยบอกแล้วว่าถ้าพี่หญิงโทรมา พี่สองต้องรีบรับโทรศัพท์อย่างไม่เกี่ยงงอนเลย ก็คนมันรักอะเนอะ เข้าใจแหละเพราะผมเองก็กำลังมีความรักเหมือนกัน
หินผาตื่นเต้นใหญ่ตอนที่ผมบอกว่าจะพาไปหาพี่ไปป์ เจ้าของรักใครหมาก็คงรักด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง
นัดกับพี่ไปป์ไว้ตอน 11 โมง พอไปถึงหน้าคอนโดก็พบว่าพี่คนตรงต่อเวลานั่งรออยู่แล้ว
ผมชอบเวลาที่พี่ไปป์แต่งตัวด้วยชุดไปรเวทมาก มันดูเป็นตัวเขาที่ดูดีแตกต่างไปจากคุณปกรณ์ที่เนี้ยบไปเสียหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไง” เปิดประตูเข้ามานั่งข้างผมแล้วเอี้ยวตัวไปทักหมา
เดี๋ยวนะ เจ้าของนั่งอยู่ข้างๆ นี่หันมาทักทายกันก่อนไม่ได้เหรอ เดี๋ยวก็งอนซะหรอก เชอะๆ
“พี่ไปป์เห็นเซมั้ย”
“เห็นสิ” ตอบผมแหละที่ยังไม่ละสายตาจากหินผาเลย หัวหมาน่ะลูบเข้าไปสิ เอ็นดูเข้าไป
“เหรอ นึกว่ามองไม่เห็น”
“ขับรถไป อย่าพูดมาก”
“นี่ถ้าไม่ได้ยินจากปากพี่แอมป์ว่าพี่ไปป์ชอบเซ เซไม่มีทางเชื่อเลยนะเนี่ย”
“ก็ไม่ควรจะเชื่อตั้งแต่แรกอะ”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เสียกำลังใจหมด” ได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกไม่ดีแต่พี่ไปป์หาได้สนใจผมไม่ ยังคงเล่นกับหมาอย่างสนุกสนานไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน
“ผมเคยแสดงออกว่าชอบคุณเหรอ”
ตอบไม่ถูกเลยอะ จะว่าไงดี ก็ไม่เคยแสดงออกตรงๆ แต่บางอาการของพี่เขาก็ทำให้ผมคิด
“ที่ผมเลือกคุณเป็นเดือนเพราะคุณน่าสนใจดี”
“เห็นแค่รูปก็รู้แล้วเหรอว่าน่าสนใจ นี่ไปป์ญาณทิพย์ป่ะครับเนี่ย”
“กวนตีนแบบนี้แปลว่าไม่อยากรู้เหตุผลจริงๆ ที่ผมเลือกคุณใช่มั้ย”
“อยากรู้ครับผม” ผมเลิกกวนแล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี๊ยม
“ขับรถไปแล้วตั้งใจฟัง” ผมพยักหน้ารับคุณปกรณ์ ลอบมองเขาด้วยหางตาก็พบว่าพี่คนรักสัตว์ยังคงสนุกสนานกับการเล่นกับหินผาไม่สนใจไอ้เซเหมือนเดิม
ผ่านไปซักพักนั่นแหละถึงหันมาสนใจกัน
“ถ้าตอนรับน้องคุณรู้จักสังเกตสิ่งรอบตัวซักหน่อย คุณจะเห็นว่าตอนนั้นผมก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน” ถ้าบอกว่าพี่ไปป์เป็นพวกไม่สนใจใคร่รู้เรื่องของคนอื่นล่ะก็ ผมก็คงเป็นคนประเภทที่ไม่สนใจสิ่งรอข้างเลยนั่นแหละ
ลองคิดย้อนกลับไปก็พบว่าตัวเองไม่สนใจอะไรเลยนอกจากกิจกรรมตรงหน้า
“แอบมอบเซตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ ชอบขนาดนี้น่าจะรับเป็นแฟนตั้งแต่วันที่ขอสิ”
“บอกซักคำรึยังว่าชอบ” ซักคำก็ไม่มี พอผมไม่ตอบพี่ไปป์ก็ว่าต่อ “ก็ต้องยอมรับว่าคุณเป็นคนหน้าตาดี แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่ผมเลือกคุณ”
ชอบจังคำที่บอกว่าหน้าตาไม่ใช่เหตุผลหลักที่เลือก
“ผมสังเกตพวกคุณอยู่หลายวัน แต่การแสดงออกของคุณสะดุดตาผมมากเลยนะ คุณไม่เคยเกี่ยงเวลาที่รุ่นพี่สั่งให้ทำนู่นทำนี่ คุณเสนอตัวเองเสมอเวลาพวกเขาขอความร่วมมือ แม้จะต้องร้องเพลงเชียร์ นั่งปรบมือเป็นเวลานานคุณก็ยังคงดูอารมณ์ดี”
ผมเป็นเด็กกิจกรรมนี่นาก็เลยชอบการทำกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ ดีใจนะที่พี่ไปป์มองเห็นข้อดีเพียงไม่กี่อย่างนี้ของผม
“ตอนพี่เขารับสมัครเดือนเซก็ยกมือเป็นคนแรก”
“มั่นใจมาก” คำพูดของเขาเหมือนเหมือนไส้แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือคำชม
“ก็ชอบทำกิจกรรม เซน่ะเรียนไม่ค่อยเก่งก็เลยคิดว่าทำกิจกรรมให้สุดไปเลยดีกว่า”
“เห็นคุณมั่นใจแบบนั้นแล้วก็เลยคิดว่าไว้ใจคุณได้”
“พี่ไปป์ผิดหวังมั้ยที่เซไม่ได้เป็นเดือนมหา’ลัย”
“แต่ก็ได้ป๊อบปูลาร์โหวตมาไม่ใช่เหรอ”
“ประกวดเดือนก็อยากได้ตำแหน่งเดือนป่ะวะ”
“มันก็ใช่แหละ ก็ต้องยอมรับมั้ยว่าปีนั้นเดือนสถาปัตฯ เค้ามาแรงจริงๆ แต่เท่าที่ฟังๆ กรรมการคุยกันคะแนนคุณกับเดือนก็ไม่ได้ห่างกันมากหรอก”
“ถามจริงๆ พี่ไปป์ผิดหวังรึเปล่า คิดมั้ยว่าถ้าส่งรองเดือนคณะไปอาจจะชนะเดือนสถาปัตฯ ก็ได้” จำได้คร่าวๆ ว่าปีนั้นเทรนหนุ่มไทยผิวคว้ำล่ำบึ้กกำลังมาแรง ผมที่หล่อแบบใส่ๆ ผิวขาววิ้งก็เลยแพ้ไป
“แอบคิดแวบนึงว่าถ้าคุณไม่ร้องเพลงตอนเขาให้แสดงความสามารถพิเศษก็อาจจะได้เป็นเดือนมหา’ลัย แต่ก็ช่างเถอะไม่ได้ผิดหวังอะไรมากหรอก”
“ทำไมล่ะ เซร้องเพลงเพราะนะ”
“เพราะอะไรถึงร้องน่ะสิ”
“ทำไมล่ะ เซร้องเพลงไม่เพราะเหรอ”
“ไม่ร้องดีกว่า”
“พี่ไปป์ การร้องเพลงนั่นเป็นความมั่นใจเดียวของเซเลยนะเว้ย”
“เป็นความมั่นใจผิดๆ ว่ะ”
ไม่จริงอะ ถึงจะไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพเหมือนแฟนเก่าเขาแต่ผมก็ร้องเพลงได้ดีไม่แพ้ใคร ว่าแล้วก็เปิดเพลงแล้วร้องคลอไปด้วยให้คนข้างๆ ได้ประจักษ์ถึงความสามารถ และพอผมร้องไอ้หมาที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังก็เห่าหอนรับให้คนข้างๆ ที่ก่อนหน้านี้ปิดหูต้องเอามือลงแล้วขำใหญ่เลย ขำจนพอใจแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปกันเฉย
โอย ถ้าอัพลงโซเชียลนี่ต้องได้เป็นเน็ตไอดอลแน่เลยอะ
ไอ้หินผาเป็นหมาที่ไม่ควรจะเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เจอใครก็เป็นมิตรกับเขาไปหมด ขนาดลูกค้าคนที่เพิ่งมารับลูกหมาออกไปจากคลินิกเมื่อครู่มันยังอ้อนเขาเสียจนเขาเกือบขอมันไปเลี้ยงแล้ว
“มันเข้ากับคนง่ายเหมือนเซเลยเนอะ” พี่แอมป์ว่าขณะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ พี่ไปป์
“นี่ชมใช่มั้ยครับ”
“นี่หินผาดังใหญ่แล้วนะ” เพราะได้รับโอกาสให้เป็นนายแบบเสื้อผ้าของเพจก็เลยกลายเป็นที่รู้จักขึ้นมา ไอ้ยอดยุให้ผมทำเพจหินผาแฟนคลับเหมือนกัน จะบ้าเหรอ แค่เวลาที่ใช้จีบพี่ไปป์ก็หมดวันแล้ว
“มันเป็นหมาก็ควรให้มันได้ใช้ชีวิตอย่างหมา” เห็นด้วยกับพี่ไปป์เลยอะ พ่อผมเองก็เคยพูดแบบเดียวกันตอนที่มีรายการทีวีติดต่อขอหินผาไปร่วมรายการ
“แล้วเมื่อไหร่เซจะได้ใช้ชีวิตอย่างแฟนพี่ไปป์บ้างล่ะ”
“อ้าวนี่ไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ”
“แอมป์” คนถูกแซวเรียกเพื่อนเสียงเข้ม แต่เพื่อนกันอะเนอะ ขำอย่างเดียวไม่มีหรอกอาการเกรงกลัว
“เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ก็นึกว่าเป็นแฟนกันแล้ว”
“รู้ได้ไงว่าไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”
“ถามแบบนี้แปลว่าไม่ได้ฟอลไอจีน้องมันล่ะสิ” นั่นไงโยนขี้ให้กันเฉย แต่ไอ้เซก็ไม่หวั่นหรอก กล้าทำก็กล้ารับอยู่แล้ว ถ้าส่องไอจีผมจริงจังจะพบว่าหลังๆ มานี้แทบทุกรูปจะมีพี่ไปป์ติดอยู่ด้วยเสมอ อาจจะเห็นหน้าไม่ชัดแต่คนรอบข้างผมก็รู้ดีว่าใช่พี่ไปป์
“ขอดูหน่อย” แบมือมาขอ แม้จะกล้าทำกล้ารับแต่ก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อย กลัวพี่ไปป์ไม่พอใจแล้วสั่งให้ลบรูป และถ้าเขาทำอย่างนั้นคิดว่าผมจะกล้าขัดใจเหรอ บอกเลยว่าไม่กล้า
“แบตมือถือจะหมดแล้วอะ”
“โกหก”
“จริงๆ นะ เมื่อคืนเผลอหลับก็เลยไม่ได้ชาร์ต” ที่จริงแล้วผมกำลังโกหกอย่างที่พี่ไปป์ว่านั่นแหละ เอาน่า ลองเลี่ยงดูก่อนเผื่อรอด
“ดูในมือถือตัวเองก็สิ้นเรื่องมั้ยวะ” พี่แอมป์คงจะรำคาญก็เลยฉวยเอามือถือพี่ไปป์ที่วางอยู่บนโต๊ะไป “ปลดล็อคหน่อย”
ไม่อยากรู้มากก็คงไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนถึงได้ยอมสแกนนิ้วมือปลดล็อคมือถือให้กันง่ายๆ เห็นอย่างนั้นแล้วก็นึกอิจฉา ถ้าพี่ไปป์ยอมผมอย่างนี้บ้างก็คงดี
หลังจากได้มือถือคืนมาคนตรงข้ามผมก็เอาแต่จับจ้องที่หน้าจอ ทั้งใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกแค่เพียงคิ้วที่มุ่นเข้าหากันจนเกิดรอยย่นตรงระหว่างคิ้ว
“คุณนี่พยายามดีเนอะ” นี่ชมหรือเปล่า เพราะตีความไม่ค่อยออกก็เลยทำได้เพียงยิ้มแหยส่งให้ “กับเรื่องอื่นก็ควรพยายามแบบนี้ด้วยเหมือนกันนะ”
“ไม่ดุเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรให้ดุนี่ หรืออยากให้ดุ” ผมรีบส่ายหน้าทันที พี่แอมป์ที่นั่งเป็นพยานรักอยู่ก็ถึงกับพ่นเสียงหัวเราะออกมา ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรน่าขำถึงกระนั้นผมก็เผลอยิ้มตามเขาอยู่ดี
“มึงก็ควรฟอลน้องมันนะ”
“ต้องทำด้วยเหรอ”
“มึงอย่ามาทำเป็นฟอร์มไปป์ อยากฟอลก็ฟอลสิวะ”
“กูยังไม่พูดซักคำ”
“แต่มึงดูสนใจไอจีน้องมันนะ”
“กูทำอย่างนั้นเหรอ”
“เออ” พี่ไปป์ไม่เถียงต่อ ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรแต่ผมจะเข้าข้างตัวเองด้วยการคิดว่าเขาสนใจไอจีผมจริงๆ ก็เลยขี้คร้านจะเถียง เข้าข้างตัวเองแบบนี้ก็ได้แหละใครจะทำไม
พวกเราปล่อยให้หินผาเล่นกับเด็กๆ ในคลินิกพี่แอมป์ ก่อนจะไปหาอะไรง่ายๆ กินกันแถวๆ นี้
ถ้าถามว่าพี่แอมป์ทีมใคร ผมยกมือตอบด้วยความมั่นใจเกินร้อยเลยนะว่าพี่แกทีมผมแน่ๆ เปิดโอกาสให้ผมหยอดพี่ไปป์ทุกวินาทีเลย แปลกใจเหมือนกันที่คนนิสัยดีมากอย่างพี่แอมป์ยังโสด
บางทีผมก็คิดว่าโลกค่อนข้างมีความคิดที่ประหลาดอยู่ๆ ก็เหวี่ยงคนที่ไม่อยากเจอหน้ามาให้เจอกัน
หลังจากหนังท้องตึงพวกเราก็กลับมาที่คลินิกและพอเปิดประตูเข้าไปข้างในก็พบกับ...พี่เอ็ม
เออ ใน 1 ปีมีตั้ง 365 วัน แต่ดันมาหาพี่แอมป์วันเดียวกันนะคนเรา
บนพื้นใกล้ๆ เท้าพี่เอ็มมีหมาน้อยน่ารักตัวหนึ่งนอนเอาคางเกยรองเท้าเขาอยู่ คงเป็นหมาที่พี่แกรับไปเลี้ยงเมื่อหลายเดือนก่อนละมั้ง
“น้องเป็นอะไรเหรอเอ็ม”
พี่เจ้าของคลินิกเอ่ยถามทว่าคนเป็นเจ้าของหมากลับเอาแต่มองคนข้างกายผมไม่วางตา พี่ไปป์เองก็มองกลับอย่างไม่ยอมแพ้ด้วยเหมือนกัน
“เซออกไปข้างนอกนะ” พอผมจะออกไปจริงอย่างที่พูดกลับถูกคว้าข้อมือเอาไว้ ความคิดก่อนหน้าถูกสลัดทิ้งไป ไม่รู้เลยว่าทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าพี่ไปป์อยากให้อยู่ผมก็จะอยู่
“ว่าไงเอ็ม น้องเป็นอะไร” พี่แอมป์ถามซ้ำเสียงดังกว่าเดิมให้เจ้าของหมาสะดุ้งแล้วหันไปตอบคำถาม
ได้ความว่าวันนี้ไม่มีงานก็เลยพาน้องหมามาพบคุณหมอเฉยๆ
“ไม่คิดว่าจะได้เจอไปป์ที่นี่”
“เหมือนกัน” พอส่งน้องหมาให้พี่แอมป์แล้วก็ถือวิสาสะมานั่งร่วมโต๊ะกับเรา ใครอนุญาตไม่ทราบครับ อยากถามอย่างนั้นแหละครับ แต่พอดีว่าเป็นคนมีมารยาท
“ไปที่ตึกก็ไม่ค่อยเจอ ยังทำงานที่เดิมรึเปล่า”
“อือ ไม่ได้ย้ายไปไหน”
“คบกันเหรอ” พี่เอ็มเหล่มองผมเมื่อถาม พี่ไปป์เองก็มองผมด้วยเช่นกัน สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน หัวใจของผมเต้นแรงเหมือนกำลังลุ้นฟุตบอลแมตซ์สำคัญ มือที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะก็เฉอะแฉะไปด้วยเหงื่อที่อยู่ๆ ก็ไหลออกมาเป็นเทน้ำเทท่า
หยุดไหลเดี๋ยวนี้นะไอ้เหงื่อไม่รักดี
“อือ” คำสั้นๆ ที่ดังออกมาจากลำคอพี่ไปป์ทำเอาผมอยากจะลุกขึ้นเฮเหมือนตอนเชียร์บอลแล้วทีมที่เราเชียร์ส่งลูกเข้าโกล์ด
แม่งเอ้ย อยากลงไปแก้ผ้าตีลังกาห้าตลบกลางสนาม
ทว่าทั้งโต๊ะนี้เหมือนจะมีแค่ผมที่ดีใจจนหน้าสั่น ขณะที่คนตอบทำหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนคนถามน่ะเหรอซึมไปเลยจ้า
“งั้นเอ็มขอตัวนะ”
พี่ไปป์ไม่ได้ตอบรับเขาเพียงมองตามแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง
“ยิ้มอะไร” เอ้า ยิ้มก็ไม่ได้เหรอ ยิ่งพี่ไปป์ทักอย่างนั้นผมก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้าง
“เมื่อกี้พี่ไปป์บอกว่าเราคบกัน จำไม่ได้เหรอ”
“จำได้สิ” ช่วยทำหน้าให้เหมือนคนกำลังมีความรักหน่อยไม่ได้เหรอครับคนดีของไอ้เซ
“ยอมเป็นแฟนเซแล้วถูกมั้ย”
“คบมันก็มีความหมายหลายแบบรึเปล่า คบเป็นเพื่อน พี่น้อง แม้กระทั่งแฟน”
“มั่นใจว่าพี่เอ็มไม่ได้หมายถึงคบแบบเพื่อนหรือพี่น้อง”
“ไปญาติดีกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรียกเขาว่าพี่เต็มปากเต็มคำ”
“ก็อายุน้อยก็ต้องเรียกคนอายุมากกว่าว่าพี่สิครับ” ที่บ้านผมสอนอย่างนี้ตั้งแต่จำความได้ก็เลยกลายเป็นความเคยชิน กับพี่ไปป์อยากเรียกว่าไปป์เฉยๆ ด้วยซ้ำ เคยลองฝึกพูดหน้ากระจกแต่กระดากปากลำบากใจฉิบหาย
สายตาพี่ไปป์ที่มองผมมีประกายความประหลาดใจอย่างที่สัมผัสได้ สักพักเขาก็ยิ้มแล้วยื่นมือมาขยี้เส้นผมบนศีรษะจนผมยุ่ง เนี่ย หมดหล่อเลย
พี่ไปป์ใช้เวลาทำนู่นทำนี่ที่คลินิกพี่แอมป์อยู่ครึ่งค่อนวัน กว่าจะกลับออกมาก็ตอนที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำแล้ว
รถยนต์ของผมที่มีเจ้าหินผาเป็นผู้โดยสารนั่งหน้าสลอนอยู่ที่เบาะด้านหลังเข้ามาจอดในลานจอดของสวนสาธารณะริมแม่น้ำ คุยกับคนที่มาด้วยว่าจะมาดูพระอาทิตย์ตกและพาหินผามาเดินเล่นด้วยกัน
คิดๆ ดูแล้วก็เหมือนมาเดทกันเลยเนอะ
เจ้าหินผาที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกจูงเดินนำอยู่ข้างหน้าเรา
“พี่ไปป์จูงเซบ้างสิ”
“เป็นหมาเหรอ”
“ถ้าเป็นหมาพี่ไปป์จะรักป่ะ”
“รักน้อยกว่าหินผา”
“สู้หมาไม่ได้เลยจริงๆ สินะ”
“อย่าคิดจะสู้เลย”
“โห ใจร้ายที่สุด แต่ว่านะถ้าพี่ไปป์รักหมาเซไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้ารักคนอื่นเซไม่ยอม”
“พูดอย่างกับเป็นเจ้าของ”
“อยากเป็น”
“ถ่ายรูปให้หน่อยสิ” อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง แม้จะตั้งหลักไม่ทันแต่มือก็ล้วงเข้าไปหยิบเอามือถือออกมาปลดล็อกแล้ว “รูปในไอจีคุณสวยดี” ไอ้ยอดก็เคยบอกผมอย่างนั้น แต่หลายๆ คอมเมนท์ในไอจีไม่เคยชมรูปเลย ชมแต่หน้าผม ชมว่าหล่ออย่างกับเทพบุตร หล่อวัวตายความล้ม ผมก็เลยมั่นใจในหน้าตัวเองมากกว่าฝีมือการถ่ายรูป
แต่ตอนนี้คำเดียวของพี่ไปป์ทำให้ความคิดทุกอย่างของผมเปลี่ยนไปหมด
“พี่ไปป์พูดจริงเหรอ”
“ผมก็ไม่ถนัดเรื่องถ่ายรูป แต่ชอบมุมกล้องคุณ”
“แล้วชอบเซป่ะ”
“ถ่ายแล้วส่งให้ด้วยนะ”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่ารูปถ่ายในอินสตราแกรมของผมเป็นแนวไหน เวลาถ่ายรูปก็แค่มองสิ่งที่จะถ่ายแล้วหยิบกล้องมือถือขึ้นมา บางทีก็ถ่ายขาโต๊ะ แก้วน้ำ ด้านหลังมนุษย์ ก้นหมา อยากถ่ายอะไรก็ถ่าย หากจะเรียกเท่ๆ อาจเรียกว่าถ่ายรูปด้วยจิตวิญญาณก็ได้มั้ง
เดินตามพี่ไปป์แล้วกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน หากบอกว่าผมถ่ายรูปด้วยจิตวิญญาณ ตอนนี้ก็คงถ่ายด้วยหัวใจล่ะมั้ง
“พี่ไปป์ถ่ายรูปกันเถอะ”
เรานั่งพักกันตรงม้านั่งแบบยาวริมน้ำ หินผานั่งทอดสายตามองผืนน้ำอยู่ข้างกัน สักพักก็เอาคางมาเคยขาคนข้างกายผมอย่างออดอ้อน หมั่นไส้หมาได้มั้ยวะ
“หินผาถ่ายรูป” ได้ข่าวว่าผมชวนเขา แล้วเขาก็ไปชวนหมาเหรอ เกรงใจไอ้เซบ้างก็ได้นะ
จบคำพี่ไปป์พวกเราก็ลงมานั่งขนาบข้างหินผาบนพื้น วิวข้างหลังของเราคือแม่น้ำที่ถูฉาบด้วยแสงของพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำจนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ แต่ความสวยงามทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็หาได้เข้ามาอยู่ในเฟรมร่วมกับเราไม่ ก็แหม 2 คน 1 ตัวก็แน่นจอแล้วครับ
“เดี๋ยวเซกลับไปเอาน้ำที่รถมาให้หินผา พี่ไปป์จะเอาอะไรมั้ย”
“น้ำเปล่าก็ได้”
“เซอยากกินไอติม”
“อยากกินก็ซื้อสิ”
“พี่ไปป์กินด้วยกันสิ”
“คุณอยากกินก็กินไปคนเดียวสิ ผมไม่อยากกินซักหน่อย”
“งั้นดื่มน้ำเปล่าเหมือนพี่ไปป์ก็ได้”
“อะไรของคุณเนี่ย กวนตีนเหรอ”
“อือ เวลาพี่ไปป์โกรธแล้วน่ารักดี”
“คุณยังรู้จักผมน้อยไป อย่าให้โกรธจริงๆ ก็แล้วกัน”
“เซอยากรู้จักพี่ไปป์มากกว่านี้นะ” ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เขาแล้วยิ้มให้อย่างบริสุทธิ์ใจและแน่นอนว่าเขาเบือนหน้าหนี เหตุผลเดิมแหละครับ เขินไง
“ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็โกรธจริงๆ ซะหรอก”
“คร้าบ” ผมบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนเดินควงกุญแจกลับไปตามทางเดิม
เนี่ยเห็นมั้ย ผมกับพี่ไปป์ในวันนี้เหมือนเรามาเดทกันจริงๆ
รู้แหละว่าเดินเล่นมือถือมันอันตรายแต่อยากเช็ครูปที่ถ่ายไปเมื่อครู่นี่หว่า อันตรายก็ช่างสิ ตอนเซลฟี่ผมกดมาแค่ 5 รูปเอง รอยยิ้มพี่ไปป์โคตรมีเสน่ห์ น่ารักที่สุดในสายตาของผม ผมเองก็ยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนความรู้สึก ส่วนหินผาก็ยิ้มด้วยเหมือนกัน
ผมอัพรูปนี้ลงอินสตราแกรม พร้อมแคปชั่นง่ายๆ ว่า ‘ความสุขของผม’ ก่อนกดปิดจอแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง
หยิบถ้วยใส่น้ำของหินผาแล้วก็เดินไปซื้อน้ำให้คนบ้าง แต่ที่ร้านคนเยอะมาก รีบแค่ไหนก็ต้องเข้าคิวอยู่ดี กว่าจะหลุดออกมาได้ก็กินเวลาไปเกือบ 10 นาทีเลย นานเวอร์
ระหว่างเดินมือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นรัวเสียจนต้องหนีบถ้วยใส่น้ำไว้ที่รักแร้แล้วล้วงเอาไอ้ที่สั่นๆ อยู่นั้นออกมาดู แจ้งเตือนส่วนมากมาจากอินสตราแกรม กดเข้าไปดูก็พบว่าคนไลค์เยอะมาก คอมเมนท์อีกเกือบร้อย
K.Soodyod หมั่นไส้คนมีความรักโว้ย
คอมเมนท์แรกเป็นของเพื่อนสนิทผมเอง และคอมเมนท์ต่อๆ มาก็ยังเป็นของมัน เอาเข้าไป แซวกันเข้าไป แซวยาวๆ ไปอีกเป็นเดือนยังได้ ผมชอบ
ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือที่ดับลงแล้ว หากรอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางไป
พี่ไปป์ไม่ได้ฟอลไอจีผม เขาคงไม่เห็นหรอกว่าผมทำอะไรลงไป แต่ถ้ารู้ก็อาจจะโดนด่า ด่าได้ด่าไปไอ้เซไม่ลบแน่นอน
“พี่ไปป์” เจ้าของชื่อยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาเอี้ยวตัวมามองแวบเดียวก่อนละสายตาไป
“นาน”
“คนที่ร้านน้ำเยอะมากเลย” ผมนั่งลงข้างกัน มองเสี้ยวหน้าพี่ไปป์ที่ไม่ยอมหันมามองกันตรงๆ สักที
แปลกแฮะ นอกจากพี่ไปป์แล้วเจ้าหินผาก็ทำตัวแปลกๆ มันเดินวนไปวนมาเหมือนกำลังกระวนกระวายกับอะไรบางอย่าง หากไม่ถูกรั้งเอาไว้ด้วยสายจูงคงวิ่งไปไหนต่อไหนแล้วมั้ง
“หินผาเป็นอะไรครับพี่ไปป์”
“ไม่รู้มัน อยู่ๆ ก็วิ่งตามรถ”
“พี่ไปป์” ผมพยายามชะโงกหน้ามองหน้าเขาชัดๆ หากเจ้าตัวก็เบี่ยงหลบตลอดจนต้องล็อคคางเอาไว้บังคับให้อยู่นิ่งๆ “หน้าไปโดนอะไรมา”
โหนกแก้มพี่ไปป์มีรอยถลอก แม้ไม่กว้างมากแต่ก็มีเลือดไหลซึมออกมา
”หินผามันวิ่งอะ ตั้งตัวไม่ทันก็ถลาไปชนเสาไฟตรงนั้น” เสาคอนกรีตทั้งต้นเลย
“หินผา!!!” พอเห็นพี่ไปป์เจ็บก็พาลโกรธเจ้าหมาไปด้วย พอถูกตวาดเรียกเจ้าของชื่อก็เดินหางลู่เข้ามาเอาคางเกยเข่า มองตาปริบ
อ้อนแบบนี้แล้วใครจะโกรธลง
ผมถอนหายใจอย่างหมดคำจะพูดก่อนหยิบขวดน้ำออกมาเปิด เสียบหลอดแล้วส่งให้คนข้างกาย แล้วหันมาเทน้ำให้เจ้าตัวยุ่ง
“เซขอนะ” ผมเอาสายจูงจากพี่ไปป์มาถือไว้เอง “เจ็บมากมั้ยครับ เซขอโทษนะ”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณซักหน่อย”
“รู้สึกผิดอะ เซเป็นเจ้าของหินผานี่นา”
“ทำแผลให้หน่อยสิ ปล่อยไว้เดี๋ยวเป็นแผลเป็น หมดหล่อพอดี”
“ยังจะห่วงเรื่องหล่ออีก”
ไม่คิดไม่ฝันว่าการเดทของผมจะจบลงที่ร้านขายยา
“เซขอโทษนะ” ไม่รู้ว่าตัวเองขอโทษพี่ไปป์ไปแล้วกี่ครั้ง และทุกครั้งเขาก็ทำหน้าเบื่อหน่าย แม้แต่หินผาที่นั่งมองเราอยู่หลังเบายังถอนหายใจออกมาทุกครั้ง
ไม่ต้องเลยนะ เจ้าตัวปัญหา
พอเห็นอย่างนั้นก็อดหันไปแยกเขี้ยวแขวะมันไม่ได้เลย พอถูกผมขู่เจ้าหมาก็เบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่วายมองมาด้วยหางตาเป็นพักๆ
“เจ็บมากรึเปล่าครับ” คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ ก็หยุดนิ่งเมื่อผมปิดแผลบนใบหน้าด้วยผ้าก๊อต แปะทับด้วยเทปกาวเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“ขอบคุณนะ”
“พี่ไปป์ยังไม่ตอบเลยว่ายังเจ็บอยู่หรือเปล่า” คนที่ไม่ยอมสบตาผมตลอดเวลาที่ทำแผลหันมาวางสายตาไว้ที่ใบหน้าของผมครั้งแรก
“ตอบไปแล้วไงเมื่อกี้”
“พี่ไปป์ส่ายหน้าเฉยๆ”
“ก็นั่นแหละตอบแล้ว”
“เซขอโทษนะ” ผมบอกเขาแผ่วเบาก่อนเกลี่ยปลายนิ้วบนผ้าก๊อตที่ผมเพิ่งแปะลงบนใบหน้าเขาเมื่อครู่
เรามองสบตากัน ดวงตาพี่ไปป์สั่นไหว ริมฝีปากถูกเม้มเป็นเส้นตรงด้วยความประหม่าเมื่อผมเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น ความเงียบในรถและความมืดที่ปกคลุมภายนอกนั้นเหมือนจะเป็นใจให้เราใกล้ชิดกัน
“หายไวๆ นะครับ เพี้ยง!” ดวงตากลมปิดลงเมื่อผมเป่าลมรินรดบริเวณที่เป็นแผลเหมือนที่คุณตาเคยทำให้เมื่อตอนเป็นเด็กก่อนจะแนบริมฝีปากตามลงไปมอบจุมพิตให้เขาผ่านผ้าก๊อตหนา 3 ชั้น
“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” ใบหน้าพี่ไปป์เปื้อนรอยยิ้ม มือเรียวลูบบริเวณที่ถูกผมจูบป้อยๆ แม้ในรถจะไม่สว่างมากแต่ก็พอดีออกว่าใบหน้าเขากำลังขึ้นสีระเรื่อ
“งั้นเล่นอะไรแบบผู้ใหญ่กันมั้ย”
“อะ...” ผมหยุดคำพูดของพี่ไปป์ด้วยจูบที่แนบลงไปบนเรียวปากเขาแผ่วเบา มองตากันอย่างชั่งใจ เมื่อไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะต่อต้านผมก็ผละออก ยิ้มแล้วกดจูบหนักๆ อีกครั้ง ขบริมฝีปากบนล่างอย่างหยอกเย้า พี่ไปป์เองก็ดูเหมือนจะเคลิบเคลิ้มไปกับการกระทำของอันแสนซุกซนของผม
อืม การเล่นแบบผู้ใหญ่นี่มันดีจัง
ผมเลื่อนมือไปที่ท้ายทอยของเขา ริมฝีปากของเรายังคงคลอเคลียกันไม่ห่าง
แนบชิดอีก ในใจของผมเรียกร้องอย่างนั้น ไม่แน่ว่าพี่ไปป์อาจจะคิดอย่างเดียวกันเมื่อมือเรียวเอื้อมมากำเสื้อของผมจนแน่น
อยากลิ้มลองรสชาติของริมฝีปากเขามากกว่านี้ ตั้งใจจะสัมผัสให้แนบชิดอย่างใจเรียกร้อง ทว่าความเฉอะแฉะเปียกชื้นที่กำลังลามเลียไปทั้งใบหูของผมก็ทำให้บรรยากาศดีๆ หยุดชะงักลงและค่อยๆ มลายหายไปในเวลาต่อมา
ผมผละออก ถอนหายใจหนัก ตวัดสายตามองหินผาที่พยายามตะกุยร่างเพื่อข้ามมามีส่วนร่วมกับเรา
ปัดโถ่เว้ย!!!!
งอน งอนหมา งอนมาก งอนมากๆ
[T B C]เจ้าเซได้จูบพี่ไปป์แล้วอ่ะ จูบที่มีหินผาเป็นพยานรัก 555 สงสารเขานะคะ
เนี่ยพี่ไปป์น่ารักขึ้นอีกแล้วเห็นมั้ย ถึงจะยังปากแข็งอยู่ก็เถอะ
แหม ก็ขอวางฟอร์มหน่อย แต่นี่ก็วางนานไปนะ
ใกล้จะจบแล้วล่ะคะ อีกไม่กี่ตอน ฝากติดตามด้วยเด้อ
รักแหละ