พี่ครับ..เสิร์ฟรักโรย [♥] พริกสิบเม็ด: Papaya POK POK (Yaoi [หิวข้าว])EP 13 END!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พี่ครับ..เสิร์ฟรักโรย [♥] พริกสิบเม็ด: Papaya POK POK (Yaoi [หิวข้าว])EP 13 END!  (อ่าน 20745 ครั้ง)

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
[/font]

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



พี่ครับ..เสิร์ฟรักโรย [♥] พริกสิบเม็ด

Papaya  POK POK


คำเตือน

1.นิยายเรื่องนี้ แนว ชXช ค่ะ
2.นิยายเรื่องนี้ เป็นแนว สดใส กุ๊กกิ๊ก ดุ๊กดิ๊ก
3.เรื่องราวและตัวละครทุกตัวล้วนแต่สมมุติขึ้นไม่มีอยู่จริง
4.แน่ะนำให้ กินข้าว กินปลาให้เรียบร้อย ระวังหิว?
5. นิยายเรื่องนี้ เป็นซี่รี่ 'หิวข้าว' ร่วมแต่งกับน้องรัน Ranmaru *
6. R18+ นาจาา
( Yaoi )
BY EtuDe



♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

Intro

        อุส่าห์ไปร่ำเรียนเชฟถึงเมืองนอก มาเมืองไทยครั้งนี้ ด้วยเส้นสาย(จากพ่อ)มั่นใจว่าระดับไอ้คลาวต้องเริ่มต้นด้วยเซคชั่นเชฟในโรงแรมอันดับหนึ่งแน่ๆ แต่ไหงกลายมาเป็นลูกมือให้ไอ้พี่ขิตไปได้ฟร่ะ! แถมยังโดนทำอาหารไทยที่ไม่ถนัดอีก!



พี่ขิต : ชื่อไรเรา

น้องคลาว : ชื่อ เมฆา ครับ เรียกสั้นๆว่า คลาว ก็ได้ผมไม่ถือ

พี่ขิต : อ๋อไม่ถือสินะ..ไอ้คล้าว !

คล้าวพ่อง ! ไอ้ปลัดขิก !

 

MANU

จานหลัก


นาย เมฆา สมิธ ทอดน้ำปลา.............................................................ราคาตามน้ำหนัก(ตีน)

น้องคลาว น้องคล้าว น้องทองกวาว ชุบแป้งทอด .............................ราคาตามน้ำหนัก(ตีน)

 

พี่ขิต : กูบอกให้คิดเมนูอาหารมา นี่อะไรของมึง!

น้องคลาว : ไอ้คุณพี่ขิต คุณมึงแม่งโคตรกาก แค่นี้ไม่รู้จักอาหารฟิวชั่นเหรอ นี่! แกงส้มคาโบนาร่า(ยักคิ้วกวนๆ)

พี่ขิต : ขี้แตกมั้ยไอ้เกรียน!

 

จานหลัก


ต้มแซ่บ..ลิขิต พวงสวรรค์ ใบมะขามอ่อน...................................ราคาตามฤดูกาล(ความหื่น)

พี่ขิต ไอ้ขิต ไอ้ปลัดขิ(ก)ต!! ยำสามสหาย..................................ราคาตามฤดูกาล(ความหื่น)

 
น้องคลาว : โวะ! จบสายอิตาเลี่ยนมา ทำไมผมต้องมาตำส้มตำว่ะ แล้วสากแม่งอยู่ไหน

พี่ขิต: เอาของพี่มั้ย ?

น้องคลาว : หะ!?

พี่ขิต: อันเท่านี่.. (ยื่นสากด้วยแววตาหื่นๆ)

 

น้องคลาว : ..... (ทิ้งครก แล้วเดินหนีไปเงียบๆ)



 [ด้วยรักและสากกะเบือ]



♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

Fanpage

www.facebook.com/Etude.writer


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สารบัญ

ออร์เดิร์ฟ : อิตาเลียน ชะ ชาช่า...
เมนูที่ 1 : ล็อบสเตอร์ บิสค์ มันทะลัก?
เมนูที่ 2 : ออมเล็ตไม่ใส่ไข่ กับ หมูย่างติดกิ๊บ...Part1/ Part จบ
เมนูที่ 3 : กะหรี่ปูทะเล ฟิวชั่น?...Part 1 / Part จบ
Dish side เมนู ที่ 3.5 : เครื่องเคียงของเชฟเถื่อน 1 (สั้นๆ ใสๆ)
เมนูที่ 4 : แกงส้มคาโบน่าร่า PART 1/ PART 2/ PART จบ
เมนูที่ 5 : กุ้งสวรรค์ หาดมรกต ยู้ฮู ยู้ฮู...Part 1/PART 2 / Part จบ
เมนูที่ 6 : เค้กหมี และ เชอรี่?....Part 1 / Part จบ
เมนูที่ 7 : มาม่าน้ำขลุกขลิก...Part 1 / Part จบ
เมนูที่ 8 : ของหวาน...Part 1 /Part...จบ
เมนูที่ 9 : Secret Manu...part 1 / Part จบ
เมนูที่ 10 : ยำสามรส...Part 1 / Part จบ
เมนูที่ 11 : วิสกี้แกล้มใจ กับ จอมมารจอมตื้อ Part 1 / Part จบ
เมนูที่ 12 : คล้าวกระโดดกำแพง... Part 1 / Part จบ
เมนูสุดท้าย : ต้มลิขิตพวงสวรรค์ใบมะขามอ่อน...Part 1 /Part จบ



 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2017 16:04:51 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ออร์เดิร์ฟ : อิตาเลียน ชะ ชาช่า...
 

          ท่าอากาศยาน ภูเก็ต เวลา 10.30 น.

          แว่นตากันแดด Burberry

          กระเป๋าสะพายหลัง Anello

          เสื้อยืดซับในสีขาวกระต่าย Play Boy

          เสื้อคลุม และกางเกงยีน Wrangler

          ปิดท้ายด้วยรองเท้า Onitsuka Tiger

          คนอย่าง ‘คลาว’ ลูกครึ่งอิงแลนด์แดนช้างไทยผู้นี้ ทุกๆ อย่างจะต้องใส่ใจทุกรายละเอียด ประหนึ่งอาหารฟลูคอร์ส(Full Course) ที่สมบูรณ์แบบ และแน่นอนว่า... 'หน้า' ก็แพงมากเช่นกัน

        อ้าว! ปรบมือสิครับ ปรบมือ!.. วันนี้ทุกอย่างมันเพอร์เฟคไปหมด ไม่ว่าจะขยับไปไหน ทำท่าอะไร รัศมีของผมมันก็เจิดจรัสแจ่มแจ้งเยี่ยงไอดอลเกาหลี

          แต่อย่าหาว่าผมขี้คุยเลย..ดู ดู แค่ลองเอียงคอยกยิ้มทักทายสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ นิดๆ เจ้าตัวก็หน้าแดงก่ำ รุกรี้รุกลนอย่างน่าเอ็นดู

          แม่ะ..ขอโทษจริงๆที่ดูดีเกินไป

          ผมฉีกยิ้มอ่อนๆ ทิ้งท้ายสาวน้อยข้างๆ ก่อนจะเบนสายตามองกระเป๋าเดินทาง ที่กำลังเลื่อนวนมาเรื่อยๆ ตามรางกระเป๋า 

          โอ๊ะ!..นั่นไงกระเป๋าแซมโซไนท์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นของผม

          พอคว้ากระเป๋าได้ ผมก็รีบเดินออกไปด้านนอก ระหว่างที่กำลังก้าวเท้าจากประตูผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินภูเก็ต สมาร์ตโฟนคู่ใจของผมก็สั่น

          ผมหยิบมันขึ้นมา..อืม  DAD [รูปพ่อแต่งซานต้าครอสชูสองนิ้ว]

          “Hi Dad!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสดใสตามสไตล์

          “โอ้ว คลาวลูกลงเครื่องแล้วใช่ไหม พ่อส่งลุงโจนส์พขับรถไปรับแล้ว เจอกันหรือยัง?”

          พ่อผมพูดภาษาไทยชัดมาก(ก ล้านตัว) ชัดจนผมงงว่าท่านเป็นคนอังกฤษที่มีไส้ในเป็นคนไทยหรือเปล่า ส่วนลุงโจนส์ คือพ่อบ้านของบ้านผม เขาเป็นพ่อบ้านตั้งแต่สมัยผมยังเป็นวุ้นในท้องของคุณนายนดา

          “เอ่อ..” ผมพยายามกวาดสายตาหาขณะลากกระเป๋าไปเรื่อยๆ ก่อนจะพบลุงโจนส์พ่อบ้านคนคุ้นเคย ยืนกล้ามล่ำ หนวดงอน โบกมือไหวๆ อยู่นอกรั้วกั้น “เจอแล้วครับ..ลุงยังกล้ามแน่น หนวดพุ่งเหมือนเดิม” ผมยักไหล่ว่าไปตามตรง

          “ฮ่าๆ  Good to hear that!. ” มีแต่พ่อนี่ล่ะที่หัวเราะเหมือนสะใจ

          “โอเค แล้วเจอกันที่บ้านพักต่างอากาศครับ”

          “No No!” ผมชะงัก โนโน่ทำไมวะพ่อ?

          “ลูกไปที่โรงแรมเลย”

          หืม…?

          “ผมนึกว่าพ่อรออยู่ที่บ้านพัก”

          “No no” พ่อโนอีกแล้ว“ I will go there next week.”

          “What!!?”  ไม่ใช่ว๊อทธรรมดา แต่ผมว๊อทดังมาก จนเขาหันมากันมาทั้งบาง

          “Don’t worry boy. วันนี้ลูกไปสัมภาษณ์ที่โรงแรมได้เลยพ่อจัดการให้แล้ว”

          “วันนี้เลยเหรอ!” ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ..

          ฟัค! 10.53 แล้ว! จะมีเวลาซ้อมอะไรมั้ยเนี่ย “Yeah..” พ่อลากเสียง พร้อมกับซูดเสียงน้ำชาเข้ามาในโทรศัพท์ด้วย

          โอเค..ไอ้คลาวใจเย็นๆ ก่อนพ่อหนุ่ม ด้วยเกรทการันตีความสามารถขนาดนี้ รูปร่างหน้าแบบนี้(ไม่เกี่ยว) และ ฝีมือระดับนี้ ไม่มีอะไรที่คนอย่าง คลาว หรือนาย ‘เมฆา สมิธ’ ผู้นี้จะต้องกลัว


          ผมทำใจให้สงบ แล้วคลี่ยิ้มร้ายๆ ที่มุมปาก “หวังว่าเป็นโรงแรม ที่เหมาะกับระดับของผมนะครับพ่อ”

          ต้องมั่นใจมากระดับเบอร์ห้า..ถามว่าทำไม มั่นหน้าขนาดนี้

          แน่นอน เพราะผมเป็นนักศึกษาผู้ซึ่งได้คะแนนอันดับหนึ่ง จาก University of Derby สาขาศิลปะการทำอาหาร

ผมคือ ‘เชฟ’ มือทอง ที่ใครๆ ก็อยากจะได้ตัว




•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

 
         ป๊อก!..

          ผมกำลังเปิดฝากระป๋องเป็ปซี่ เพราะไปเขย่ามันก่อนเล็กน้อยทำให้น้ำซู่ซ่าของโคล่าฟู่กระเด็นออกมาเปรอะมือ แต่ผมไม่สนใจ..เพราะสิ่งทำให้ผมอึ้งจนก้าวขาไม่ออกคือ ป้ายชื่อโรงแรมสีทองอร่ามที่อ่านเป็นภาษาไทยได้ว่า

          ‘สุขี สุขัง สุโข รอยัล โฮเทล

          “…”

          อืม..ขอพนมมือสาธุยาวๆ ใครมันคิดชื่อวะ? แม่งโคตรฟิวชั่นระหว่างความเป็นไทยกับสากล จนเห็นความแตกต่างทางชนชั้นวรรณะชัดเจน!

          “ที่นี่ล่ะครับคุณหนู”

          โจนส์พ่อบ้านหนวดงอนเพิ่งขนกระเป๋าเดินทางของผมมาวางไว้บนพรมแดง จากนั้นพนักงานโรงแรมในชุดยูนิฟอร์มสีเหลืองอ่อนก็เดินมาขนกระเป๋าขึ้นรถเข็น

          ความจริงอย่าเพิ่งขนก็ได้นะ เพราะผมก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ของที่เตรียมมาจริงหรือเปล่า ผมแอบเบะปากหน่อยๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันได แล้วตรงไปที่เค้าน์เตอร์รีเช็ปชั่น

          “ขอโทษนะครับ..ผมมีนัดสอบสัมภาษณ์เชฟที่โรมแรมนี้น่ะครับ”

          พูดแค่นั้น พนักงานสาวก็ทำหน้าเอ๋อไปชั่วครู่  “เอ่อ..เดี๋ยวรอสักครู่นะคะ” ว่าจบเธอก็ยกหูโทรศัพท์กดหมายเลขรัวๆ

          ระหว่างนั้นผมก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ชื่นชมความงามของทิวทัศน์

          อืมจะว่ายังไงดี..ถึงชื่อโรงแรมจะดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร แต่ในตัวโรงแรมนี่กลับตกแต่งหรูหราอย่างกับวังมีระดับ แถมยังมีชาวต่างชาติเดินกันขวักไขว่

          That's great!

          นี่ขนาดวันธรรมดานะ..ถ้าวันหยุดสุดสัปดาห์นี่คงเยอะกว่านี้

          “คุณเมฆาใช่มั้ยคะ?” ในที่สุดเสียงของพนักงานสาว ก็ดึงใบหน้าผมกลับไปทางเธอ ผมยิ้มรับ

          “ครับ”

          “เชิญทางนี้เลยค่ะ” เธอผายมือไปทางด้านซ้าย ผมมองตาม มันมีเป็นทางเดินเล็กๆ ในมุมอับสายตาประชาชน “เดินเข้าไปข้างในสุดจะมีบันได เดินลงไปเลยค่ะเฮดเชฟ*รออยู่ที่นั่นแล้ว”



•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

 
          ณ ห้องสัมภาษณ์

          “จบ Universal of Derby เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แถมยังมีสมาคมรับรองคุณภาพด้วย เก่งไม่เบานี่”

          “ขอบคุณครับ” ผมฉีกยิ้มอย่างเจิดจรัส ตอนนี้ผมอยู่ในห้องสัมภาษณ์  ซึ่งมีผู้สัมภาษณ์ทั้งหมดสามคนด้วยกัน พวกกำลังนั่งเรียงเป็นหน้ากระดาน โดยมีผมยืนหัวโด่อยู่กลางห้อง และคนที่เพิ่งชม(ด้วยเส้นของพ่อ)ไปเมื่อครู่นี้ ที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างสามคน คือ กุ๊กใหญ่ หรือหัวหน้าเชฟใหญ่ของโรงแรม เปรียบเสมือน ผ.อ ของครัว

          “ความจริงแล้ว เชฟที่จบใหม่ ถือว่ายังไม่มีประสบการณ์ควรจะเริ่มด้วย ตำแหน่ง เทรนนี่* หรือไม่ก็ คอมมี่* ก่อน ผมยังไม่เห็นด้วยเท่าไร ถ้าจะให้เขาลงตำแหน่งนี้เลย..อย่างน้อยก็ควรให้เขาคุ้นเคยก่อน ”

          ผมยิ้มนิดๆ มองคนที่นั่งอยู่ซ้ายมือสุด ที่เพิ่งเหลือบสายตาขึ้นมาจากใบเรซูเม่ของผม เขาเป็นรองเซฟใหญ่ของโรงแรม ใบหน้าและท่าทางดูเจ้ากี้เจ้าการเหมือนคุณครูฝ่ายปกครอง

          ถ้าให้อธิบาย..ตำแหน่งที่ผมสมัครไปนั่นคือ Chef de Partie เรียกสั้นๆว่า CDP เป็นหัวหน้าแผนกครัวเรือนที่ย่อยลงไปอีกขั้น ถ้าให้อธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับหัวหน้าแผนกต่างๆ ตามบริษัท แต่งานเชฟจะเรียกว่า CDP แผนกอาหารอิตาเลียน อาหารไทย ซึ่งแต่โรงแรมจะกำหนดไม่เหมือนกัน และที่นี่ก็มี CDP ที่ผมต้องการ คือ CDP อาหารอิตาเลียน

          “จากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ทั้งการออกค่าย ฝึกงานจาก University of Derby ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการทำอาหารควรเริ่มต้นจากสิ่งใด และอะไรคือปัญหาหลัก รวมทั้งจะแก้ไข Situation ต่างๆ ที่ไม่คาดคิดได้อย่างไร  ผมเป็นคนที่ทุ่มเทกับเรื่องที่ได้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม งานต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง” ตอบเสียงดังฟังชัด

          “งานเชฟ ต้องเป็นคนที่รักการทำอาหาร สามารถสื่อสารได้เป็นอย่างดี มีความอดทน ทำงานภายใต้ความกดดันที่ต้องแข่งขันกับเวลา ซึ่งผมคิดว่าคุณสมบัติทั้งหมดนั่น ผมมีมัน”

         I can do it. เอาซิ!..ถ้าจะถามเรื่องความมั่นหน้ามั้นโหนก ระดับไอ้คลาวคนนี้มันทะลุเบอร์ห้าไปแล้ว

         "ค๊ากกก!!

          อือหื้อ!! ซาวเอฟเฟ็คจากผู้ใด ห่าเอ้ย! ใครแม่งขากสเลดตอนกูกำลังโชว์พาววะ!?

          ผมสะดุดทันที ก่อนจะหันใบหน้าไปทางต้นเสียงสถุนๆ

          “โอ๊ะ โทษทีๆ ผมไม่ค่อยสบาย อ่า..ถึงไหนแล้วนะ หาว” เป็นคนที่นั่งอยู่ริมขวาสุดที่ไร้มารยาท แถมยังหาวปากกว้างแล้วทำปาก ‘แจ่บๆ’ ปิดท้ายอีก

          ไอ้บ้านี่มันเป็นใครวะ?

          ผมขมวดคิ้ว

          จริงสิ..ตั้งแต่เข้ามาผมก็มัวแต่ตอบคำถามของเซฟใหญ่และรองเชฟ จนไม่ทันสังเกตเลยว่า มีกรรมการอีกคนที่เอาแต่เงียบ..

          ไม่ใช่เงียบสิ..

         แม่งหลับ!

          ฟัค! หลับขณะที่ผมกำลังถูกสัมภาษณ์!

          ถ้าถามว่าทำไมถึงรู้?

          ดูที่เบ้าตามันสิครับ! สภาพอย่างกับหมีกรีสลี่อดนอนมาสามวันติด พอยิ่งมองพิจารณาใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคลา ผมหยักศกที่ปล่อยรกรุงรัง และร่างกายใหญ่โตถึกบึกบึนอย่างกะหมีควายนั้นแล้ว ก็สรุปได้เลยว่า..

         โคตรเถื่อน!!

          ห่า! นี่มันพ่อครัวหรือช่างแอร์ !

          มึงไม่เล็กใช่มั้ย?

          “ผมบอกว่าผมมี..”

          “เฮดเชฟครับ วันนี้ชิมต้มตีนไก่ของผมหน่อยนะ ” อยู่ๆก็ถูกตัดบทจนอ้าปากค้าง คนหน้าเถื่อนหันไปยิ้มหวานส่งสายตาให้กุ๊กใหญ่ราวกับเด็กน้อยขอของเล่น

          เฮดเชฟวัยห้าสิบปีหัวเราะเบาๆ

          “อย่างเชฟ ‘ลิขิต’ ต้องให้ผมชิมด้วยเหรอครับ ฮ่าๆ ๆ ...”

          นี่มึงเป็นเชฟเหรอ!? ผมแอบตกใจนิดๆ ไม่คิดว่าสภาพคนรุงรังอย่างคิงคอง จะเป็นกุ๊กใหญ่ได้

          แล้วหลังจากนั้น...ตัวผมก็กลายเป็นอากาศธาตุ เป็นผีเรร่อนไม่มีตัวตนในห้องนี้ เพราะไอ้เชฟที่ชื่อว่า ‘ลิขิต’ ที่อยู่ๆก็โผล่งขึ้นมาเรื่องต้มตีนไก่ จากนั้นก็ชวนคนอื่นเม้ามอยจนลืมผมที่กำลังสัมภาษณ์

          ข้าแต่พระเจ้า ลูกกำลังพ่ายแพ้กับต้มตีนไก่ใช่มั้ย?

          “เอ่อ..แล้ว?”ผมกะแอมไอเบาๆ เพื่อเตือนสติทุกคนว่า ผมยังอยู่ตรงนี้นะ ฮัลโหล?

          ได้ผล..ทุกสายมองมาทางผมอีกครั้ง แล้วเชฟใหญ่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มหน่อยๆ

          “อ๋อเกือบลืม..สัมภาษณ์เสร็จแล้ว ไปแต่งตัวเตรียมเทสอาหารได้เลย”

          ว๊อท!!? นี่เสร็จแล้วเหรอ เฮ้ย! จบด้วยต้มตีนไก่เนี่ยนะ! กูยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย

          “แล้ว?”

          “อ๋อ ส่วนธีมเทส ก็แล้วแต่เลยนะ..” เอ่อ..ผมจะถามว่าแล้วสรุปผมได้ลงต่ำแหน่ง CDP มั้ย?ไม่ใช่ถามว่าสอบอาหารอะไรครับเชฟ!

          เฮ้อ แต่ช่างเถอะ..ยังไงผมก็มั่นใจอยู่แล้วว่าอาหารเทสของผม จะทำให้ผมได้เป็น เชฟ เดอ ปาร์ตี แน่นอน เอาหัวไอ้กรรมการหน้าเถื่อนเป็นประกันเลยเอ้า!

          ยิ้มชั่วร้ายในใจ ก่อนจะขยับกายออกไปที่ประตู ทว่า..ระหว่างที่กำลังก้าวขาออกไปจากห้องเพื่อเตรียมตัว อยู่ๆ เชฟคนเถื่อนก็พูดขึ้นมา

          “นี่ไอ้หนู..ถ้าไม่รู้จะใช้ธีมอะไร ซดต้มตีนไก่พี่ช่วยคิดได้นะ

           พ่อง!...เปลี่ยนมาซดต้มตีนกูแทนมั้ย?.. ไอ้เชฟเถื่อน!





ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 1 : ล็อบสเตอร์ บิสค์ มันทะลัก?

          อะแฮ่ม...

          ก่อนที่จะเข้าเนื้อเรื่องถัดไปชิมซุปล็อบสเตอร์บิสค์กัน กระผมนาย เมฆา สมิธ หรือน้องคลาวผู้นี้ ขออธิบายระบบของอาชีพเชฟ(Chef)ให้ทุกท่านได้คราวๆกันก่อนนะครับ

          #ช่วงเกร็ดความรู้ตะมุตุมิกับน้องคลาว

          #ยิ้มกว้าง

          อาชีพ เชฟ (Chef) หรือในบางที่เรียกว่า กุ๊ก (Cook) แปลตรงตัวอย่างที่มนุษย์โลกเข้าใจความหมายกันว่าเป็น ‘ผู้ปรุงอาหาร’ ซึ่งแน่นอนว่า หน้าที่นี้จะต้องรังสรรค์ความประทับใจ ผ่านรสชาติอันตราตรึงในรูปแบบของ ‘อาหาร’     

        นั่นคือสิ่งที่คนภายนอกรู้ แต่ที่จริงระบบการทำงานนั้นยิ่งใหญ่ ประหนึ่งการก้าวไปสู้ โฮคาเงะ* ในอเมนิเมะ นินจาเขย่าโลก ของประเทศญี่ปุ่น โดยตำแหน่งในครัวจะมีลำดับขั้นดังนี้

เชฟใหญ่ หรือ เฮดเชฟ(Head Chef)

^

รองเชฟใหญ่ หรือ ซูเชฟ (Sous Chef)

^

หัวหน้าเชฟหน่วยในครัว เซคชั่นเซฟ หรือ เชฟเดอปาตีร์ (Chef de Partie/ CDP)

^

รองหัวหน้าเชฟหน่วยในครัว เดมี่เชฟ(Demi Chef)

^

ผู้ช่วยเชฟทั่วไป หรือ คอมมี่ (Commis)

^

เชฟฝึกหัด หรือ เทรนนี่เชฟ(Trainee Chef)


          อะแฮ่ม...ที่จริงแล้วตามลำดับขั้น ผมซึ่งเป็นเชฟหน้าใหม่ไฟแรงจะต้องเริ่มจากการที่เป็น คอมมี่ หรือ เทรนนี่เชฟ เสียก่อน เพราะอาวุโสน้อยที่สุดในครัว

          แต่ Who’s care!? ใครสน?

          I will be number one.

          ด้วยความ มั่นหน้า มั่นโหนก ระดับสิบริกเตอร์ ไอ้คลาว นักเรียนอันดับหนึ่ง จาก University of Derby ผู้นี้ จะต้องเป็นเริ่มต้นจาก เชฟเดอปาตีร์ CDP เท่านั้น

 

          ตัดกล้องมาปัจจุบัน

          หลังจากสัมภาษณ์เสร็จทางเฮดเชฟก็สั่งให้ผมต้องเทสอาหารอีก ซึ่งทางเฮดเซฟมีเวลาให้ผมเตรียมตัว 2 ชั่วโมงก่อนสอบ แต่ไม่ต้องห่วงเพราะผมทำการบ้านเรื่องนี้มาแล้ว

          ปึง!

          “วัตถุดิบทั้งหมดที่คุณหนูสั่งไว้ กระผมเอามาให้แล้วครับ” โจนส์วางกล่องโฟมขนาดใหญ่ลงบนโต๊ะสแตนเลทในห้องครัว (เตรียมไว้ในกระเป๋าเดินทางอยู่แล้ว) ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบอย่างดี ที่ผมได้สั่งไว้ก่อนล่วงหน้าเกือบหนึ่งอาทิตย์ จะมีก็แต่วัตถุดิบบางอย่างที่เพิ่งบินตรงมาถึงเมื่อเช้าอย่าง ‘ล็อบสเตอร์

          “ขอบคุณโจนส์”

          พอเช็คของเสร็จ ผมหันไปยิ้มสวยขอบคุณให้พ่อบ้านผู้พิทักษ์ ที่อุส่าห์ตรากตำขับรถไปเอาวัตถุดิบกล่องเบอเริ่มที่จากบ้านพักตากอากาศภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

          ที่จริงก็ไม่อยากเล่นใหญ่อะไรมากหรอกนะ เพราะผมรู้อยู่ว่ายังไงผมก็ต้องได้เป็น CDP แน่ๆ

          ถ้าถามว่ามั่นใจได้ไงน่ะเหรอ ?

          ก็เพราะว่าคุณพ่อสุดที่เลิฟของผม เป็นเพื่อนกับเฮดเชฟของโรงแรมสุขีสุขังฯ นี้ พวกท่านก็เลยจัดการเส้นสายกันเรียบร้อย โดยที่มีผมรู้เห็น (ไม่ได้โกงนะ แค่เตรียมพร้อม)และสั่งให้ทางบ้านสั่งวัตถุดิบเตรียมสอบเอาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะบินกลับไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

          ที่สัมภาษณ์ไปเมื่อคราวก่อน ก็ทำไปเพื่อเป็นพิธีไปงั้นๆ

          คิดแล้วก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน ทั้งที่อุส่าห์จบมาด้วยคะแนนอันดับหนึ่งแท้ๆ โรงแรมมากมายในต่างประเทศต่างอ้าแขนอ้าขาร้องเรียกตัวผมให้เข้ามาเป็นเชฟให้ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่เป็นอันต้องโละความคิดนั้นทิ้ง แล้วรีบตีปีกบินกลับมาเมืองไทย

          เหตุผลหนึ่ง คือพ่อของผมได้ปูทาง ในวงการนี้(ในไทย)ให้หมดแล้ว โดยเริ่มต้นจากการเป็น CDP เชฟลำดับขั้นที่สามในโรงแรมนี้ ก่อนขึ้นเป็น เฮดเชฟ ในโรงแรมของพ่อในอีกสองปีข้างหน้า(อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง) ผมจึงไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ

          ประการที่สองคือ เติมเต็มความฝัน คุณนาย นดา แม่ของผม

          ท่านอยากเปิดร้านอาหาร(ในไทย)..

          แต่ท่านดันจากไปเสียก่อนที่จะถึงวันนั้น..

          “…”

          พอ! เลิกดราม่า

          เอาเป็นว่า ดังนั้นเพื่อเอาประสบการณ์เริ่มต้นที่ดี? ผมจึงตัดสินใจมาสตาร์ทที่นี่

          ถึงหลายคนจะมองว่ามาด้วยเส้นสายน่ะ มีความน่าภูมิใจตรงไหน? แต่บอกตรงๆ พร้อมยักไหล่ยิ้มเบะปากเป็นรูปสระอิ

          ‘หากคนเรามีโอกาสเริ่มต้นได้มากกว่าหนึ่ง ก็ควรจะคว้าไว้ไม่ใช่เหรอ?’

          อา..อย่าหมั่นไส้ผมนะ ถึงจะมาด้วยเส้นสาย แต่ฝีมือน่ะ ของจริง!

          “โห มีกุ้งล็อบสเตอร์ด้วย..ยิ่งใหญ่เว่อวังอลังการเชียว จะเทสด้วยอาหารอะไรน่ะ”

          เสียงทุ้มต่ำจากใครบางคนดังมาจากด้านหน้าประตูห้องครัว

          ผมละสายตาจากกล่องโฟมที่ยัดวัตถุดิบ แล้วเบนสายตาตามไปเสียงทัก พบร่างสูงใหญ่อย่างกับหมีในชุดเชฟครึ่งท่อน กำลังเดินถือถ้วยซุปสีขาว? ก้าวขาเนื่อยๆ เข้ามาในห้องครัว

          ผมหรี่ตามอง ถ้าจำไม่ผิด หมอนี่เป็นหนึ่งในกรรมการที่สอบสัมภาษณ์ผม แต่แม่งเล่นขากสเลดขณะที่ผมกำลังอวดโอ้สรรพคุณตัวเองนี่สิ!

          นี่มันซดไบโซว่อนหรือยังวะ? ไม่ใช่มาขากตอนกูกำลังเทสอีก

          บอกตามตรง ผมไม่คิดว่าคนอย่างหมอนี่ไม่มีรัศมีจะเป็นเชฟได้เลยยย..

          ถึงตาจะคม จมูกโด่ง คิ้วเข้ม มองครึ่งหน้าแม่งโคตรหล่ออย่างกับนายแบบแถบๆ เนปาล แต่พอพิจารณาจากครึ่งหน้าที่เหลือแล้ว..

          แม่งหนวดเคราก็ไว้สะดกดำ (ทั้งๆที่ความจริงมันไว้หนวดไม่ได้) ปากก็คล้ำๆ เหมือนพวกสูบบุหรี่จัด ดูรวมๆแล้ว..

          มันช่างเถื่อนเหลือเกิน..(ตามจังหวะเพลงพี่ป้าง)

          “เป็นมินิฟลูคอส ด้วยอาหารอิตาเลียน สามอย่างครับ” ผมตอบตามมารยาท ร่างใหญ่ครางเสียงว่า “อา..” ก่อนจะใช้นิ้วมือของตัว ‘หยิบ’ ตีนไก่ต้มเปื่อยออกมาจากถ้วย

          เชี่ย..มึงมาซดต้มตีนไก่ในนี้ทำไม?

          “แล้วคุณ..”

          “อ่อ อย่าเรียกคุณเลย แม่งไม่ชินหู” เออดี..อุส่าห์ถามอ้อมๆว่ามาทำไม แม่งไปเรื่องอื่นซะงั้น

          โอเค..เสียเวลามามากพอแล้ว ผมควรเริ่มลงมือทำแบบจริงๆจังๆสักที คิดจบผมก็เปิดฝากล่องโฟมที่ลุงโจนส์นำมาให้ แล้วค่อยๆวางวัตถุดิบลงบนโต๊ะที่ละอย่างสองอย่าง

          แต่จะว่าห้องเงียบก็ไม่ถูกเท่าไร เพราะผมยังได้ยินเสียงไอ้หมีตัวใหญ่ แทะตีนไก่เสียงดังซู๊ดซ๊าดกวนสมาธิอยู่ทางด้านหลัง จังหวะที่ได้ยินเสียงอีกครั้งก็เมื่อตอนมันวางถ้วยซุปลงบนโต๊ะแสตนเลท

          “อ่อจริงสิ นี่อาสามาเป็นกรรมการคุมสอบเลยนะ” เพราะเห็นว่าผมไม่คุยด้วยมั้ง มันเลยเปิดประเด็นขึ้นมา แต่ผมไม่สนใจก้มลงไปหาหม้อใบใหญ่ที่น่าเก็บเอาไว้อยู่ในตู้ใต้เค้าเตอร์

          อ่าจริงด้วย..แต่แม่งลึกจังวะ

          “ได้ยินว่าฝีมือเราเยี่ยมมาก เลยอยากมาสร้างความคุ้นเคย ‘หนิดหนม’ เข้าไว้ เผื่อต้องอยู่ใต้ชายคาด้วยกัน ”

          ปัง!

          ไอ้บ้าเอ้ย! เพราะไอประโยคสองแง่สองง่ามนั่นทำให้ผมตกใจ เผลอเงยหัวขึ้น มากระแทกกับผนังใต้ตู้เสียแรง แล้วตู้ดันเป็นแสตนเลทด้วยไง เสียงแม่งก็ยิ่งดังสนั่นอย่างกับลั่นไก

          “เฮ้ยๆ ไม่ต้องรีบขนาดนั้น มีเวลาตั้งสองชั่วโมง ซดต้มตีนไก่ของพี่ให้ใจเย็นสักหน่อยมั้ย”

          ซดต้มตีนทำมะเขืออะไร แทนที่จะมาช่วยกู ดันมากวนตีน

          โอ้ยเชี่ย..หัวร้าวไหมเนี่ย

          “ว็อทเดอะฟัค.. ” ผมแอบสบถเงียบ ๆ น้ำตาซึมอยู่ใต้ตู้

          เจ็บฉิบหาย แต่ต้องอดทน ผมค่อยๆ เอามือลูบหัวตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้น พร้อมกับวางหม้อลงบนโต๊ะ 

          “ผมไม่เป็นไรครับ” เข้าสู่โหมด หน้าตึงโบท็อก ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงน้ำตาซึม กูก็ต้องทน เพื่อภาพพจน์

          พอเห็นผมตอบแบบนั้น คนคุมร่างหมีที่นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงเค้าเตอร์อีกข้างก็พยักหน้ารับหน่อยๆ

          “พี่ชื่อพี่ขิตนะ ” ใครถามวะ?...อยู่ๆ ก็แน่ะนำตัวเอง ผมพยักหน้าผ่านๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับสิ่งที่ต้องเตรียมถัดไป

          เอ่อ..มีเมนูในหัวเรียบร้อยแล้วล่ะ แต่เพราะหัวกระแทกไปเมื่อกี้ ก็เลยเล่นซะเบลอ

          แม่งต้องเริ่มจากอะไรวะ ?

          ผมครุ่นคิด..เอาเป็นเริ่มจากจานซุปก่อนแล้วกัน

          เซ็ทอุปกรณ์ วางเขียง เตรียมมีด เตรียมหม้อ เตรียมกรรไกรตัดเปลือกพร้อม

          “ชื่อไรเรา” กำลังหันไปคว้ากุ้งมังกรตัวขนาดเท่าสองฝ่ามือจากในกล่อง ไอ้พี่ขิตแม่งก็แทรกขึ้นมา

          “ชื่อ เมฆา ครับ เรียกสั้นๆว่า คลาวก็ได้ผมไม่ถือ” ตอบไปอย่างกวนตีน พลางคว้ากุ้งมังกรที่น็อคน้ำแข็งแล้วไปล้างที่ซิ้งค์

          “อ๋อไม่ถือสินะ..ไอ้คล้าว!”

          คล้าวพ่อง ไอ้ปลัดขิ(ก)ต! อยู่ๆก็ด่า!

          นี่เขาใช้ให้มึงมาเป็นกรรมการคุมสอบนะ ไม่ใช่ให้มากวนตีนกู!

          ผมล้างกุ้งล็อบสเตอร์ไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะระบายอารมณ์โดยการกระแทกล็อบสเตอร์ตัวน้อยลงบนเขียง “ฮ่าๆ..มึงนี่ง่ายเนอะ ดีๆ จะได้ขึ้นมึงขึ้นกูอย่างหนิดหนมๆ”

          จ้าๆ..หนิดหนม เดี๋ยวพี่ขิต คุณมึงได้รู้ว่าหนิดหนมเป็นยังไง

          มือซ้ายจับตัวกุ้ง มือขวาใช้ปลายมีดเล็งไปที่ตรงกลางของเปลือกหัวล็อบสเตอร์ กดธรรมดาไม่เข้าเพราะเปลือกแข็ง

          คิดว่าเป็นหน้าไอ้พี่ขิต แล้วใช้ส้นมืออีกข้าง..กระแทกแม่ง!

          ปัง!

          ปัง!

          ปัง!!


          “เฮ้ยๆ! มึงอย่าเครียดๆ มึงเกลียดใครป่ะเนี่ย”

          เกลียดมึงนั่นล่ะ!

          “ผมไม่ได้เครียด แค่เอามีดมา.. ”

          กึก! (มีดเจาะเข้าไปได้แล้ว)

          “ผ่า!”

          ปึก! (กำลังกรีด มันกุ้งทะลัก!)

          "หัวล็อบสเตอร์"

          แผละ.. (แหวะกุ้งออกเป็นสองซีก)

          "ต่างหาก!"(แล้วยื่นล็อบสเตอร์ทั้งเขียงไปให้พี่ขิต)

          คนตัวใหญ่กะพริบตาครั้งหนึ่ง ก่อนมองมีดที่เปื้อนมันกุ้งเหยิมๆ แล้วกลืนน้ำลาย

          หึ..กวนตีนกูสิ จะชำแหละแม่งเหมือนกุ้งเลย

          “ยังใช้อุปกรณ์ได้ไม่ดีนะ ที่จริงแล้ว แค่เจาะหัวกุ้งพอประมาณ แล้วใช้กรรไกรตัดเปลือกเข้าไปตัด งานจะเนียบกว่านี้”

          กลายเป็น พระอาจารย์ขิตซะงั้น!

          “งั้นให้เวลาสอบ สองชั่วโมงครึ่ง เหลือเวลาอีก สองชั่วโมง แต่จะให้สิทธิพิเศษ ถามกูได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ”

          ผมถึงกับหูผึ่ง

          “Really? Why? ” กลัวถามเป็นภาษาไทย แม่งจะถ่อยไป เลยแสร้งถามเป็นภาษาอังกฤษ

          เออ วาย วาย ทำไมวะ?

          พี่ขิตแม่งยืนขึ้นเต็มความสูง หันไปเก็บถ้วยซุปแว๊บหนึ่ง ก่อนกลับมามองผมหน้าครึ้มไปสองส่วน

          "Because you’re so cute." แล้วก็หันมาคลี่ยิ้มประดุจนางงาม ผมอ้าปากค้าง งงดิกูเนี่ย “ฮ่าๆ หนิดหนมกับพี่เข้าไว้นะ หนิดหนม ” ว่าจบก็ยิ๊บตาให้หนึ่งทีก่อนจะหัวเราะลั่น แต่สองคำสุดท้ายที่ทำ หลอนตา

          ไอ้พี่ขิต คุณเมิงเป็นไบใช่มั้ย?

          ไบโพล่านะห่านเอ้ย!

          ล้างตา ล้างหูกูที Damn it!



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


          “เข้าใจสร้างสรรค์นะ ถึงจะไม่ใช่ฟลูครอสแบบเต็มๆ แต่ในเวลาสองชั่วโมงทำออกมาได้ดีขนาดนี้ ถือว่าไม่เลว”

          ผมกำลังยิ้มเฉิดฉาย ยื่นอกรับความชมอย่างภาคภูมิใจจากเฮดเชฟเพื่อนพ่อ ที่ดูพออกพอใจกับอาหารเทสทั้งสามอย่างของผมมาก

          แน่นอนว่าเพราะผมจบเอกอิตาเลียนมา อาหารที่ผมถนัดสุดจึงเป็นอาหารอิตาเลียน แล้วหลังจากที่เสียเวลาไปครึ่งชั่วโมงให้กับความกวนตีนของไอ้พี่ขิต อีกสองชั่วโมงที่เหลือผมก็หันมาทุ่มเทกับการเทสอาหารที่ผมรังสรรค์มาเต็มที่ อันได้แก่..

          “เฟริ์สคือ ราวิโอลี่ ไข่แดง” ราวิโอลี่พูดง่ายๆ คือเกี๊ยวใส่ไส้สไตล์อิตาเลียน เพียงแต่แป้งที่ใช้ ไม่ใช่พวกแป้งเกี๊ยวซ่าอย่างที่เราๆ รู้จัก แต่ใช้แป้งชนิดเดียวกับเส้นพาสต้า

          แน่นอนว่าเคล็ดลับส่วนหนึ่งอยู่ที่การใช้แป้ง ต้องตีให้เหนียวหนืดนุ่มนิ่ม สูตรลับของผมคือ ใส่เนยจืดละลายปนไปด้วยหลังจากใส่น้ำมันมะกอกตอนนวดแป้ง เพื่อให้มันมีกลิ่นหอมจางๆ เจือออกมากับแป้งด้วย

          ทว่าส่วนสำคัญจริงๆอยู่ที่ การสอดไส้ไข่..หรือหยอดไข่แดง ก่อนที่จะประกบเป็นเกี๊ยว

          เทคนิคของผมคือการใช้แผ่นซีสกั้นหั่นเป็นท่อนตามยาวๆ แล้วสร้างเป็นกำแพงสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมรอบไข่เอาไว้ ก่อนจะปิดผนึกด้วยแผ่นแป้งด้านบนอีกชั้น โดยไม่ลืมทาไข่ขาวแทนกาวติดกันไข่ทะลัก แล้วตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม จากนั้นจึงนำไปต้มให้แผ่นเกี๊ยวสุก ก่อนจัดขึ้นจาน โรยด้วยพริกไทยดำ เล็กน้อยเป็นอันเสร็จ

          “จานซุปคือ ล็อบสเตอร์ บิสค์” ถัดไปคือซุปข้นล็อบสเตอร์สีส้มแดง ตัดด้วยวิปปิ้งครีมสีขาว วาดเป็นรูปวงก้นหอย โรยด้วยพาร์สลีย์สับ และพริกไทยหอมปิดท้าย

          “ส่วนเมนดิสคือ หอยโฮตาเตะโรลเบคอนอบชีส”  อืม..อันนี้ล่ะที่ผมอยากนำเสนอ หอยเซลล์โฮตาเตะตัวทำกำมือสั่งตรงมาจากฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ส่วนวิธีการทำอันดับแรกเลยคือนำหอยเชมาหมักเกลือ พริกไทย และโอลีฟออย แล้วพันรอยด้านด้วยเบคอน ก่อนนำไปย่างบนกทะเพื่อเอาสีและกลิ่น จากนั้นนำไปอบในอุณหภูมิ 160 องศาฟาเรนไฮ เป็นเวลา 6 นาที จากนั้นแล้วโรยหน้าด้วยซีดาร์ซีส อบอีกครั้งให้ชีสลลาย จะได้หอยเซลล์โรเบคอนอบซีสเยิ้มๆ กลิ่นหอมหวนชวนป่วนไส้

          “ส่วนรสชาติก็..ฮึก!!” พอเชฟทั้งสามรับประทานเข้าไปคำแรกพร้อมกัน หน้าก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน!

          แม่งอย่างกับอนิเมะญี่ปุ่น!

          สายตาเป็นประกายวิ๊บวับหยาดเยิ้ม เฮดเชฟประดุจได้ออกทะเลอันไกลพ้นกับลูฟี่ ซูเชฟราวกับกำลังซึมซัมความเป็นอันดามันกับแอเรียลที่โผล่ขึ้นมาดีดพิณจากเปลือกหอย  ส่วนไอ้พี่ขิตทำหน้าอย่างกับออกไปว่ายน้ำไปกับปลานีโม่

          “อร่อย อร่อยมาก”

          เฮดเชฟทำหน้าเหมือนไม่คาดคิด ก่อนจะมองผมอย่างทึ่งๆ แล้วพยักหน้าอย่าพอใจ

          จะรออะไร ยืดอกแบนๆ ออกไปรับสิครับ!

          “เธอเก่งมาก..”

          หึ..เป็นไงล่ะ ฝีมือผมสมราคาแน่นอน บอกเลยว่าไม่ได้มาเล่นๆนะครับ

          “เทสเรียบร้อยแล้ว”

          แคมเปญนี้..ทีมคลาวชนะแน่!

          “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้ทางโรงแรมแจ้งผลการสอบไปให้นะ” ซูเชฟหรือรองเซฟ เป็นคนบอก ก่อนผมจะเบนสายตาไปทางเชฟลิขิตที่เอาแต่ชิมไม่คอมเม้นต์อะไรสักอย่าง

         ไอ้พี่ขิตคุณมึงยังไปว่ายน้ำกับปลานีโม่ไม่กลับอีกเหรอ เจอดอลลี่และผองเพื่อนหรือยัง?

         หึ...อร่อยสินะ ผมค่อยๆ ฉีกรอยยิ้มหยัน

          “ขอบคุณครับ”


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


          หลังจากสอบเสร็จ ผมกับลุงโจนส์ก็ไปช็อปปิ้งเล็กน้อย(หาของเข้าตู้เย็น) เพราะได้ยินว่าป๊ะป๋าสุดที่เลิฟไม่ได้ซื้ออะไรไว้ในบ้านเลย ซื้อของเสร็จพอขับรถกลับมาถึงบ้านพักต่างอากาศพระอาทิตย์ก็ตกดินไปพอดี

          ลุงโจนส์ช่วยผมขนของเข้าบ้าน ผมกวาดสายตาสำรวจไปรอบ ๆ

          ทุกอย่างยังเหมือนเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความรู้สึกเศร้าแปลกๆที่มาแทนที่

          บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักต่างอากาศที่พ่อกับคุณนายนดา ซื้อไว้ตั้งแต่ผมอายุ 15 ซึ่งเป็นบ้านพักชั้นเดียวขนาด 800 ตารางวาง มีสวนและสนามหญ้าไว้สำหรับทำกิจกรรมเอ้าท์ดอร์กัน ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อก่อนผมชอบทำบาร์บีคิวกินกับพ่อมากๆ และที่สำคัญคือติดทะเล มีหาดส่วนตัวให้ได้ลั๊ลล๊ากับครอบครัวได้อย่างเต็มที่

          ผมถอนหายใจ เมื่อเผลอนึกถึงวันเก่าๆ ก่อนจะเดินลากกระเป๋าแซมโซไนท์เข้าบ้าน


          สองทุ่มครึ่ง...

          กว่าจะจัดข้าวของทุกอย่างจนเสร็จก็ล่อเข้าไปดึกดื่น ส่วนลุงโจนส์ขอตรงดึ่งไปที่สนามบินตั้งแต่ทุ่มครึ่ง เพราะต้องขึ้นเครื่องกลับไปรับใช้ป๊ะป๋าสุดเลิฟที่กรุงเทพฯ ในวันพรุ่งนี้ ฉะนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ คือคลาวผู้ทรหดนี้จะต้องจัดแจงเองทุกอย่างเอง

          แน่นอนว่าถึงจะเป็นเชฟมือทอง แต่เวลานี้เมนูมื้อเย็นกลับเป็นแค่ มาม่า..

          คือขี้เกียจอ่ะ..ขี้เกียจจริงๆนะ

          พอได้ล้มตัวนอนลงบนโซฟาหน้าห้อง ก็เหมือนโดนสูบพลัง จนร่างละลายคาเบาะนุ่ม แบบตายเลยอ่ะ

          ตรัย ตรั่ย ตั่ย (ผันสามช่อง ภาษาอย่างวิบัติ อย่าลอกเลียนแบบ)

          น้ำเนิ้มยังไม่ต้องอาบ จานเจิน ก็ไม่ต้องเก็บ ซกมกบ้างคงไม่เป็นไร รอตอนเช้าที่เดียวแล้วกัน

          บรัยนะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

          4.13 น.

          [Ringtone]

          ตื๊ดด   ตื๊ดดด  ตื๊ดดด  ตื๊ดดด  คลิ๊กแคล๊ก บาละบิ้งบางละบูม!!

          บูมบาย่า  ^%#*&$^$*  อปป้า!  &#*&$%#& อปป้า!


          เชี่ย..ใครมันโทรมาแบล็งพิ้งค์ตอนนี้วะ ขนาดทำเป็นไม่สนใจ รอจนเพลงลั่นคำว่า อปป้า แม่งก็ยังไม่วางเลย

          ผมง่วงเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงริงโทนตัวเองที่เป็นคนตั้ง ก่อนค่อยๆ เอื้อม ไปหาโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา

          มีเบอร์แปลกๆ ไม่คุ้นเลยสักนิดโทรมา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเมาขี้ตา หรือยังไงถึงได้คิดว่าเพื่อนที่ต่างประเทศโทรเข้า ผมจึงรับ

          “ฮัลโหล..”

          “ไอ้คล้าวตื่นโว้ย!

          เสียงคุ้นๆ ? ผมขมวดคิ้วยู่

          “Who’s that?”หลุดภาษาอังกฤษไป แต่..

          “ฮู พ่องบักหำนี่!” เชี่ยเว้าอีสานใส่เฉย แถมยังไข่มาเต็มหูกูเลย

          “นี่กูเอง พี่ขิต!”

          อ่อ..ไอเชฟเถื่อนนั่นเอง

          “…”

          หะ!

          “ว๊อท!?

          “มึงไม่ต้องมาว๊อท! มีรถใช่มั้ย มารับกูที่ป้าเขียมแมนชั่นด้วยรู้จักมั้ย? ตรงจากบ้านพักมึงมาสองกิโลแล้วเลี้ยวขวา แมนชั่นอยู่ข้างๆร้านขายส้มตำตรงข้ามเซเว่น”

          โอ้โห่!..มึงไม่ต้องถามแล้วไอ้พี่ขิต มึงให้ละเอียดขนาดนี้คือกูต้องไปแล้วใช่มั้ย!

          “เดี๋ยวๆพี่!”

          “มาเดี๋ยวนี้!

          ฟัค!

          “ให้เวลาสิบนาที กูจะให้มึงเข้างานเช้าพร้อมกูแยก!

          แยกอัลไล แล้วป้าเขียมอยู่ไหน เดี๋ยวกูยังไม่ตื่น กรี๊ดดด!!


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 
          ในที่สุดผมก็ต้องแหกขี้ตา พร้อมล้างหน้าแปรงฟันตั้งแต่ ตีสี่สิบห้า(แน่นอนว่าอาบน้ำไม่ทัน) ผมก็เปลี่ยนชุดพร้อมขับBMWซีรี่ส์ 7 สีดำ มางมหาแมนชั่นป้าเขียม แล้วแม่งมืดฉิบหาย ก็แน่นอน..ตีสี่นี่ครับ ไก่ยังไม่ขันเลย!

          ยังโชคดีที่หน้าแมนชั่น ไอ้พี่ขิตบอกว่ามีเซเว่นอยู่ฝั่งตรงข้ามผมเลยจับจุดได้ไม่ยาก ก่อนจะเห็นคนตัวโตปั้นหน้าบูดบึ้งเหมือนไปกินรังแตนมายืนรออยู่ด้านหน้า

          ผมเปิดกระจกรถลง พี่ขิตตรงเข้ามาขึ้นรถ แล้วนั่งข้างผมอย่างไม่พูดพร่ำ ตลอดทางเงียบกริบกดดันแปลกๆ จนผมคิดว่ามีเรื่องอะไรป่ะวะ? แต่ผมไม่กล้าถามไง

          ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ..กูว่ากูงงพี่ขิตแล้วนะ แต่กูงงตัวเองยิ่งกว่าว่ากูมาทำอะไรตรงนี้วะ?

          งานก็ยังไม่ได้ จดมงจดหมายอะไรก็ไม่ได้รับจากทางโรงแรมเลยสักอย่าง แล้วพอมาถึงโรงแรม ไอ้พี่ขิตก็ลากผมลงมาด้วย แล้วแม่งก็ไม่พูดอะไรสักคำ แต่รีบตรงดิ่งเข้าครัวโรงแรมที่อยู่ด้านล่าง

          พอมาถึงในครัว ก็พบพวกเทรนนี่เชฟหลายคนเริ่มมาเข้าผลัดเช้ากันแล้ว

          ถ้าให้ผมอธิบาย มันก็เหมือนการเข้าเวรของเชฟ ซึ่งจะแบ่งเป็นผลัดเช้า บ่าย และค่ำซึ่งผลัดเช้าจะเริ่มตอนตีห้า เพื่อเตรียมอาหารเช้าบุฟเฟ่ ในเวลา เจ็ดโมงตรง ให้ลูกค้าในโรงแรม

          ตอนนี้พี่ขิตพาผมมาในห้องที่เต็มไปด้วยตู้ล็อคเกอร์ ซึ่งดูน่าจะเป็นห้องเก็บของและแต่งตัวของเชฟ เขาบอกให้ผมนั่งรอตรงม้านั่งสักพัก ผ่านไปครู่เดียวเขาก็กลับมาพร้อมเปลี่ยนเครื่องแบบเชฟของโรงแรมเต็มยศ ก่อนมือหนาจะยื่นชุดสีขาวมาให้ผม

          “เอ้า! เปลี่ยนชุด!

          ผมรับมาพร้อมทำหน้างง หมายความว่าไงวะ?

          “นี่สรุปแล้วผมผ่านแล้วเหรอครับ แล้วทำไมผมต้องมาเข้างานพร้อมพี่อ่ะ ถ้าได้เป็น CDP ผมต้องได้ตารางครัวก่อนดิ” ว่าไปตามจริง เพราะถ้าผมได้ตำแหน่งนี้ ทางโรงแรมจะต้องมีเอกสารแจ้งผมมาว่า ในโรงแรมมีครัว ตำแหน่ง CDP อะไรที่ผมลงได้ พี่ขิตจิ๊ปาก

          “เออมึงได้งาน แต่เฮดเชฟไม่ได้บอกมึงเหรอว่าตำแหน่ง CDP ในโรงแรมนี้เต็มหมดแล้ว”

          “ว๊อท!?

          “เออไม่ต้องมาว๊อท เฮดเชฟไม่ให้มึงเริ่มจากคอมมี่เชฟก็ดีแค่ไหนแล้ว เพราะมึงไม่มีประสบการณ์”

          อ่าวแบบนี้ มันต้องยืนขึ้นสิครับ!

          “แต่ผม!”

          “อย่าเยอะ! ต่อไปนี้มึงเป็นเดมี่เชฟ*ให้กู ไปเปลี่ยนชุด เบร็คฟัสก์เริ่มเจ็ดโมง แยก!

          เออลุกขึ้นมาเปลี่ยนชุด แยก!




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด

เฮนโหลวววว สวัสดีค่ะ จบกันแล้วกับตอนที่หนึ่งยังไงบ้าง กับ น้องคล้าว อุ้ยไม่สิ น้องคลาว กับพี่ขิตของเรา โผล่มาก็เริ่มฟาดงวงฟาดงา กันล๊าวว งานนี้ใครมึนก่อนชนะ ถถถถ


โอเคไม่มีอะไรแล้ว แยก!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2017 17:47:00 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 2 : ออมเล็ตไม่ใส่ไข่ หมูย่างติดกิ๊บ...Part1
 

          เช้าวันนี้ พระอาทิตย์แย้มยิ้มแจ่มใส หมู่นกทะเลเริงระบำลัลล๊า ล้อกับเกลียวคลื่น ขณะที่แมวน้อยนั่งแทะไก่ย่างอยู่ริมหาด หากจ้องมองมันแล้วแง้มหูฟังดีๆอาจได้ยินคำว่า ‘สวัสดีจ้ามานุดดด’ ทักทายมาด้วย

          โอ้ว..โลกช่างสงบสุข

          “แขนตายเหรอไอ้พวกเวร! ”

          เพล้ง!

          ประหนึ่งได้ยินเสียงความฝันตัวเองแตกละเอียด เมื่อเสียงอีพี่ขิตตะโกนแหวกเข้ามาในรูหู เร่งให้พวกเทรนนี่กุ๊กในครัวเร่งทำงานของตัวเองให้เสร็จ

          ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้อง Kitchen one แน่นอนว่าสวมยูนอฟอร์มเชฟของโรงแรมเต็มยศ

          เสื้อกาวน์เชฟสีขาว กางเกงสแล็คสีดำ คาดด้วยผ้ากันเปื้อนสีเทา ตกมุมมีตราโรงแรมรูปช้างชูงวง

          ผมรวบเส้นผมสีทองไว้ใต้หมวกเชฟ ก่อนจะหั่นแครอทที่วางไว้อยูบนเขียง ท่ามกลางเสียงโหวกเหวกเร่งลูกน้องของพี่ขิตที่กำลังทอดไก่

          แต่แม่ง..บอกดีๆก็ได้ป่ะวะ?

          “ลูกค้าจะได้แดกมั้ยวันนี้ เร็วกว่านี้ เร็วกว่านี้!”

          เร็ว เร็ว เร็วๆๆๆ  123 ขอแรงกว่านี้! โป๊ะชึ่งๆ

          เอ่อ..เพลงพี่บีก็มา ในหัวกูนี่แม่งคิดไรอยู่วะ อยู่ๆก็มีดนตรีในหัวใจ คงเป็นเพราะตื่นเช้าไปแน่ๆ ผมผู้ซึ่งโดนไอ้พี่ขิตเฉดหัวให้ไปหั่นผักสลัดได้แต่ทำหน้ามุ่ย

          โอเค..ตั้งสติก่อนไอ้คลาว ถึงเช้าวันนี้อากาศสดใสเยี่ยงดินแดนเทเลทับบี้ แต่ในห้องครัวนี่มันสนามรบ และกู! ผู้ซึ่งยังไม่ได้คำตอบว่าทำไมต้องมาอยู่ ณ จุดๆ นี้ ต้องรอดไปหาบอส(พี่ขิต)ให้ได้!

          “เฮ้ย!

          เชี่ยสะดุ้ง!

          “น้ำสลัดได้หรือยัง  เฮ้ย! แล้วนั่น เมื่อไรจะเสร็จ เร็วกว่านี้!” นึกว่าโดนไอ้พี่ขิตแม่งด่า แต่ไม่ใช่ เพราะมันดันแอดว๊านซ์ด่าทะลุหน้าผม ไปหาเชฟฝึกหัดที่อยู่ด้านหลัง แล้วเสียงพี่มันดังไงนางก็เลยตกใจทำมีดหลุดมือ

          “ใครทำของตก!

          ห่าอย่างกะฆ่าใครตาย ผมปรายตาไปมองพี่ขิตแว็บหนึ่ง ก่อนจะผลัดกลับมามองคนที่อยู่ด้านหลัง

          ไอ้เด็กนั่นรีบเก็บมีด ก่อนค่อยๆยกมือ พลางก้มหน้าที่เหมือนจะร้องไห้รอมล่อ

          ดุไปป่าววะ? พี่ขิตแม่งเหมือนจะแดกหัวน้องเข้าไปทั้งหัว ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต

          “ไอ้คล้าว!

          เชี่ย! อันนี้ชื่อกูเต็มสองหู หัวใจแม่งกระเด้งตุบเหมือนจะทะลุออกจากร่างเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของไอ้พี่ขิต

          ผมรีบหันควับ สายตาคมกริบของร่างสูงใหญ่มองมาราวกับหมีควายที่หิวกระหายไม่ได้กินอะไรมาสามวัน

          ปกติผมไม่ค่อยกลัวอะไร แต่จู่ๆกลับกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว พี่ขิตเบะปากบึ้ง ไม่พูดพร่ำก็ก้าวขาใหญ่ฉับๆ มาประชิด ใกล้พอที่มือใหญ่ๆ จะตบกระบาลผม

          เดี๋ยวกูหั่นผักให้แล้วนะ ไอ้พี่ขิตกูขอโทษ มึงอย่าแดกหัวกูววว กรี๊ดดด

          “มึงทำเสร็จแล้วใช่มั้ย วันนี้มึงไปออนสเตชั่นออมเล็ต แทนที่คอมมี่คนเก่าที่ห้องอาหารบานไม่รู้โรยเลย เขาลาคลอด ”

          เหะ?..ออนสเตชั่น? ผมสมองเอ๋อไปชั่วครู่ เมื่อไอ้พี่ขิตไม่ได้มาแดกหัวผมอย่างที่คิด แต่กลับยื่นงานใหม่มาให้

          ลาคลอดน่ะเข้าใจ..แต่ทำไมต้องเป็นผมวะ? เพราะงานออนสเตชั่นกะเช้านั้นเหนื่อยฉิบหาย

          “ยังๆ ยังไม่ไปอีก”

          พี่ขิตส่งเสียงดุๆใส่ แต่คือ งง ไงว่าทำไมต้องไป และเพราะเช้าด้วย สมองมันก็เลยเอ๋อๆ ทำงานตามสัญชาติญาณความปลอดภัย ประมาณว่าถ้าไม่ทำไอ้พี่ขิตแม่งตบกระบาลผมแน่

          สรุปแล้ว..ไปก็ได้วะ ผมค่อยๆ เดินไปอย่างเซ็งๆ แล้วจากนั้น..

          "ขาตายเหรอ!"

          นั่นล่ะ เอ๋วิ่งสิ


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


          7.45 น ณ ห้องอาหารบานไม่รู้โรย

          ผมกำลังทำสงคราม..

          อาวุธของผมมีเพียงอย่างเดียวคือตะหลิวแซะไข่

          รู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองกำลังลีบตอบลงทุกที ขณะที่ตาก็มองไข่ที่ทอดอยู่บนกะทะเหล็กอย่างตายด้าน ส่วนฟันก็ขบกันจนแน่น ในหัวก็ท่อง ขันติ ไว้ในใจ

          สติของผมกำลังจะขาดผึ่ง

          ศัตรูของผมคือมนุษย์เด็กตัวเล็กๆ ถือจานรุมล้อมทำตาใสแป๊ว พร้อมคอยยิงกระสุนเร่งอยู่ทุกสิบวินาทีว่า “ได้ยังอ่ะ”

          Damn it!ไม่ชอบโมเม้นนี้เลย แต่ด้วยความที่เป็นนักเรียนดีเด่น กระผมเมฆา สมิธ ผู้นี้ จึงได้ฉีกยิ้ม(น่าขนลุก)กลับไป

          อะแฮ่ม..แต่ก่อนจะเข้าเนื้อเรื่องหลังจากนี้ ผมขอตัดฉากสักครู่

          เพลงมา แทน แท่น แท๊น!


          [ #ช่วงเกร็ดความรู้ตะมุตะมิ กับน้องคลาว ]

          ว่ากันด้วยเรื่องของ ‘การออนสเตชั่น’ ของเชฟหมายถึง การที่ให้เชฟไปขึ้น LIVE โชว์ทำอาหารต่อหน้าลูกค้า ซึ่งขึ้นอยู่กับการคัดเลือกของ เชฟเดอปาตีร์หรือ CDP (ในเรื่องนี้คือพี่ขิต)  ว่าจะให้ คอมมี่เชฟคนใดออนสเตชั่น

        ฮี่ฮี่..แต่จริงๆแล้ว ทุกตำแหน่งสามารถออนสเตชั่นได้หมดทุกคนนะครับ(แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคอมมี่) แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่ และโอกาสด้วยเช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นงานใหญ่ๆ  เฮดเซฟอาจขึ้นมาออนเองเลยก็ได้

        [#จบ]
 
        ตัดกล้องมาปัจจุบัน

          ..และ จากที่อธิบายไปเมื่อครู่ ทั้งสถานที่ และโอกาส คนออนสเตชั่นกะเช้านี้

          มัน-ไม่-ควร-เป็น-ผม!

        “ได้ยังอะ! ของผมไม่ใส่มะเขือเทศนะ”

        “ของหนูไม่ใส่แครอท”

        “ของผมไม่ใส่ผักเลยนะพี่”

        “พี่ๆอย่าลืมนะ ของผมใส่ไข่สองฟอง”

          “พี่ๆ พี่..”

          บลาๆๆ

          โว้ย!! You little bastard!

          ไอ้พวกเด็กเวร! สมองกูไม่ใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์นะจะได้จำที่สั่งๆมาได้หมด เดี๋ยวปั๊ด! ใส่แม่งให้เหมือนๆกันหมดเลยนี่

          ผมหน้ามุ่ย ทว่ามือก็ยังคงทำออมเล็ตด้วยวามตั้งอกตั้งใจ เพราะคำว่าเชฟค้ำหัว

          “เสร็จแล้วครับ” อัญเชิญองค์พระแม่น้ำตาลมาประทับร่างได้ในฉับพลัน ผมยิ้มประดุจนางงามให้เด็กน้อย พร้อมกับยื่นออมเล็ตเด้งดึ๋ง(ไม่ใส่มะเขือเทศ)สีเหลืองทองส่งกลิ่นหอมฉุยของเนยและพริกไทยเจือจางไปให้

          เด็กน้อยตาวาวประหนึ่งได้สมบัติล้ำค่า ก่อนช้อนเล็กๆ ก็ตักออมเล็ตพิสูจน์ความอร่อยต่อหน้าผม

          ฮึก..น้ำตาจะไหล นี่เจ้าแน่งน้อยอยากกินไข่ม้วน(?)ของข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ? ทว่าชั่วพริบตาที่ผมเผลอพากย์หนังจีนอยู่นั้น รอยยิ้มที่ผมภาคภูมิใจก็เลือนหายไป

          “พี่ใส่พริกหยวกมาด้วยทำไม ของหนูไม่ใส่พริกหยวกนะ ฮืออ! แง้!!”

          แล้วเจ้าแน่งน้อยก็คำราม...

          พนมมือเลย  งานเข้า...

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


          10.00 น.

          ผมว่า..ไม่มีอาหารชาติใดในโลก ที่สามารถ คัสตอมไมส์(Customize) ได้อย่างอาหารไทยแล้ว

          จริงๆ เชื่อเถอะ ผมเพิ่งโดนมา...

          หลักจากที่น้องแน่งน้อยของผมหวีดเสียงเยี่ยงอเดลพ่นไฟไปแล้ว สงครามกระทะเหล็ก(ทอดไข่)ของผม ก็ดำเนินมาจนถึงปิดช่วงปิดเบรกอาหารเช้าตอน สิบโมงตรง

          ซึ่งระยะเวลาในช่วงนั้น ผมไม่เห็นหน้าเถื่อนๆ ของไอ้พี่ขิตเลย จะมีก็แต่คอมมี่เชฟคนหนึ่ง ที่ถูกส่งตัวมาให้มาช่วยผมตอนแปดโมงตรง โชคดีที่หมอนี่ดูกระฉับกระเฉง คล่องตัวเป็นงานไปเสียทุกอย่าง ผมเลยสามารถ(หนี)ไปเข้าห้องน้ำได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนมาออนสเตชั่น รับลูกค้า(เด็ก)อีก

          ตอนนี้เบรคฟัสก์จบแล้ว และผมกำลังเก็บของอยู่กับคอมมี่เชฟคนนั้น

          “นายรู้จักกับเชฟลิขิตมาก่อนเหรอ” ผมหูผึ่งขณะที่กำลังก้มลงไปเทเปลือกไข่ในกะละมังลงถุงดำข้างใต้

          “ทำไมเหรอ?”

          ผมยืดตัวขึ้นมา หันหน้าไปทางคนชวนคุยที่เปิดประโยคได้แปลกๆ แต่เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำอาหาร ผมจึงมีโอกาสได้มองเห็นหน้าคอมมี่เชฟคนนี้ได้ชัดๆ

          หมอนี่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งประมาณ 180 เซนติเมตรได้ แต่เพราะมีกล้ามเนื้อทำให้เจ้าตัวดูไม่โยกเยก เส้นผมสีดำซ่อนไว้ใต้หมวกเชฟ ใบหน้ารูปไข่ เข้ากับดวงตาชั้นเดียว และริมฝีปากรูปกระจับ

          โดยรวมแล้ว ดูดี และเป็นมิตร

          “แค่อยากรู้”

          “เปล่า..”  ผมตอบสั้นๆ ไม่ได้หยิ่งนะ แต่จะให้ตอบว่าอะไรล่ะ

          คู่สนทนาผมอมยิ้มเล็กน้อย ทำหน้าครุ่นคิด

          “เหรอ..นึกว่ารู้จักกันเสียอีก เห็นเลื่อนขึ้นมาเป็นเดมี่เชฟของพี่ขิตได้เลย”

          “…”

          รู้สึกเหมือนโดนถากถางแปลกๆ เหมือนมันสงสัยว่าผมใช้เส้นเข้ามารับตำแหน่งนี้ จริงๆทุกวงการมันก็มีเส้นสายเหมือนกันหมด ถ้าผมจะโดนเกลียดขี้หน้า โดนเอาไปเม้าก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

          แต่ Who’s care? จะอิจฉาหรืออะไรก็เรื่องของเขา ผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน หรือดีดใครออกจากตำแหน่งเสียหน่อย

          ข่มกลับแม่ง!

          “ที่จริงมาสมัครเป็นเลย CDP ต่างหาก”

          “โห..เก่งขนาดนั้น”

          “ก็ฝีมือดี” ผมยักไหล่ มีความมั่นหน้า พอๆ กับมั่นใจในฝีมือของตัวเองจริงๆนั่นแหละ  แต่อยากรู้เหมือนกันว่าเจอผมข่มทับไปแบบนี้ อีกฝ่ายจะตอบมาว่าอะไร

          “มั่นใจดีนะ แต่CDPฝีมือดีอย่างเดียวไม่พอหรอก ” นั่นไงมันขัด! ผมขมวดคิ้วมองคอมมี่เชฟคนนี้เต็มตาๆ มันตั้งใจจะหาเรื่องผมใช่มั้ย?

          “Why?”
          บอกเลยว่าน้ำเสียงผมพร้อมลุยแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับแค่แค่นรอยยิ้ม ก่อนร่างสูงโปร่งนั้นจะเดินอ้อมหลังผมมา แล้วคว้าถุงดำที่ผมเพิ่งใส่เปลือกไข่ไก่ลงไปขึ้นมามัด ก่อนพาดไว้บนบ่า

          ผมงงกับท่าทีของอีกฝ่าย แต่พอมันหันหลังกลับมา ดวงตาที่ผมเคยคิดว่าเป็นมิตรนั้น ก็ผันเปลี่ยนไปอย่างร้ายกาจ

          “เพราะว่า..ต้องคุมลูกน้องให้อยู่ ไม่โหดจริงอยู่ไม่ได้ อย่างนายตอนนี้ยังขึ้นไปเป็น CDP ไม่ไหวหรอก ”

          อ่าวเปิดศึกเหรอครับ? ได้! เดี๋ยวเจอกัน..

          “Thank you for your sugguestion นะ ” ผมคลี่ยิ้มเย็นบ้าง

          “ยินดี”แต่อีกฝ่ายดูไม่สะทกสะท้าน

          อือหื้อออ! นี่ใช่มั้ยที่เขาเรียกกันว่า ‘ตัวร้าย’ ที่แสดงได้อย่างสมบทบาท

          เหอะ! แต่ในเมื่อกล้าประกาศสงครามกับผมขนาดนี้..น้องคลาวผู้เลอโฉมในปฐพีก็จะจัดให้

          ผมยืดอกขึ้นเล็กน้อย สังเกตได้เลยว่าในสายตาผมมีประกายไฟฟูฟ่าพร้อมเผาแล้ว

          “จะว่าไป เรากับนายก็น่าจะอายุพอๆกัน เรียกเราว่าเปรมก็ได้”

          ให้จำชื่อศัตรูเหรอ? ได้! ไอ้เปรม มึ๊งงงง โดนคลาวแอคแทคแน่!

          ผมยิ้มอย่างร้ายกาจ

          “ขอบใจ..แต่เราไม่มั่นใจว่าจะจำชื่อนายได้หรือเปล่านะ เพราะแค่ทีมเทรนนี่ก็เยอะแล้ว มาจำชื่อคอมมี่อีก..เหนื่อยอ่ะ” คนตัวสูงหุบรอยยิ้มลงแทบจะทันที

          หึ..แต่ยังไม่หมดหรอก!

          “แต่นายคงไม่ลืมชื่อเราเนอะ เพราะรองเชฟหน่วยนี้ มีแค่เราคนเดียว” พูดจบ ก็ก้มลงไปหยิบถุงขยะเปลือกไข่อีกถุง ที่เก็บเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเดิมทีตั้งใจว่าจะนำไปทิ้ง แต่..

          คงไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะมีคนเหมาะกับงานนี้อยู่ “รบกวนช่วยเอาไปทิ้งแทนเราทีนะ พอดีเราต้องไปรายงานเชฟใหญ่ข้างใน” ขาดคำก็ยื่นถุงขยะให้อีกฝ่ายโดยไม่รอคำตอบ “ฝากเก็บที่เหลือด้วย ”จากนั้น ผมก็สะบัดบ๊อบออกมาจากตรงนั้นเยี่ยงผู้ชนะ

          .

          .
         
          .

          .

          .

          ซะเมื่อไหร่..

          “ทำไมมึงไม่ช่วยเปรมเก็บของวะ ไอ้บ้า!

          ผมกำลังยืนหน้าตึง

          “ไอ้คลาวมึงมัน...” บลาๆ มึงด่าซะหูกูชาแล้วไอ้พี่ขิต!

          ในชั่วโมงหลังจากสิบโมงเช้าไม่อะไรมาก นอกจากเจอพี่ขิตคอมโบชุดใหญ่ใส่หน้า ด่าเสียจนอยากไปเกิดใหม่

          ไม่ได้ด่าเจ็บอะไรหรอก แต่พี่แม่งด่าเสียจนขี้หูกูเต้นระบำได้ ส่วนไอ้เปรมแม่งก็ยืนตัวตรงอมยิ้มกระมิดกระเมียน ไม่พูดอะไรเลยสักอย่าง คงสะใจมากที่ผมโดนด่า

          เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ไอ้พี่ขิตมันดันเสนอหน้ามาตอนไอ้เปรมมันกำลังแบกถุงไข่ไปทิ้งคนเดียว ส่วนผมดันตอแหลแล้วจะไปหาพี่ขิต แต่ที่จริงหนีไปเข้าห้องน้ำ พอกลับที่ Kitchen one เวรกรรมเลยติดจรวดมาสนองกูข้างหูเลยเนี่ย 

          เหยดแหม่..

          “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ผมเป็นคนบอกให้คลาวรีบไปหาพี่เอง”

          โอ้โห่ พ่อคนดี พ่อพระเมตตาธรรมค้ำจุนโลก มึงไอ้เปรม ถอดหน้ากากออกมาเดียวนี้!

          “ไม่ได้ ยังไงก็ต้องช่วยกัน จะทิ้งให้คนใดคนหนึ่งรับภาระคนเดียวไม่ได้”

          ไอ้พี่ขิต กูแค่ให้ไอ้เปรมมันไปทิ้งไข่ ไม่ได้ให้มันกู้ระเบิด! บอกตามตรงผมเริ่มโมโหแล้วนะ

          “พวกมึงทุกคนฟังนะ ครัวอื่นของโรงแรมนี้ไม่รู้เป็นยังไง แต่ครัวไทยพวกมึงต้องช่วยกัน ไม่มีไม่ทำเพราะลำดับขั้นห่าเหวอะไรทั้งนั้น”

          โห..พี่ขิตแม่งโคตรเท่ แต่เดี๋ยวก็รู้ว่าเท่จริงเปล่า

          “อ่ะ พี่เอาไปทิ้งดิ๊ ” ผมยื่นถุงขยะไปให้พี่ขิจ คนตัวโตหน้าเหว๋อเหมือนติดสตั๋นไปสามวิ ก่อนจะกระแอ่มไอ กล่าวเสียงเข้มๆ

          “อะไรของมึง”

          “พี่บอกทุกคนต้องช่วยกันไม่มีลำดับขั้น ดังนั้นทุกคนต้องเท่าเทียม”

          เท่านั้นล่ะ เสียงฮือฮาก็ดังกระฮึ่ม หน้าไอ้พี่ขิตหน้าครึ้มไปสามส่วน แต่ผมไม่ผิดนะ ผมพูดตามความจริงที่พี่ขิตบอกทุกอย่าง

          เอาสิ..ทุกคนเท่าเทียม พี่จะทิ้งมะ_!

          โป้ก!

          เชี่ย!

          “พี่!” ผมร้องลั่นเอามือลูบหัวทันที เมื่อไอ้พี่เคาะหัวผมด้วยหม้อสแตนเลท ก่อนจะชี้หน้า

          “มึงอย่ามาปีนเกลียว ไอ้คล้าว กูเป็นหัวหน้า และมึงต้องฟัง..”

          แม่ง มาเฟีย พวกเผด็จการชัดๆ

          “ตอนแรกกูจะให้มึงเลิกบ่ายสาม แต่เห็นมึงทำแบบนี้เลยเปลี่ยนใจ ตอนเย็นมึงมาออนสเตชั่นครัวอิสานกับกู ”

          “หะ?”

          “ไม่ต้องมาหะ กูทำโทษ ที่เหลือทำหน้าที่ เซ็ทวัตถุดิบให้ภาคบ่ายก่อนออกกะ ส่วนคลาวมากับกู เท่านี้ แยก!”

          การวีน ณ ห้อง Kitchen one ครัวไทยจบลงเพียงเท่านี้

          แต่..ทำไมมีกูโดนทำโทษให้ทำงานข้ามกะอยู่คนเดียว แล้วทำไมต้องแยกไปกะมึงด้วย ไอ้พี่ขิต!



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เดี๋ยวมาต่อ รอไปก่อย คุคิคุคิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-04-2017 17:21:17 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 2 : ออมเล็ตไม่ใส่ไข่ กับ หมูย่างติดกิ๊บ...Part จบ

          “เป็นไง

          สองพยางค์สั้นๆ แต่เจ็บช้ำแทบกลั่นรื้นน้ำตาเสียยิ่งกระไร

          จะเป็นไงล่ะ กูโดนมึงทำโทษไง แทนที่จะได้กลับบ้านไปพักผ่อนตั้งแต่บ่ายสาม แต่กลับต้องมารองานออนสเตชั่นข้ามกะจนถึงดินเนอร์ ซึ่งแม่งเลิกสามทุ่ม! เท่ากับว่า ร่างน้อยๆนี้ต้องแบกภาระทำงานเป็นเวลา สิบสองช

ั่วโมง

          โอที ได้มั้ย?  หึ!

          เพราะไอ้พี่ขิตคนเดียว แม่ง! เดี๋ยวฟ้องกรมแรงงานเลยนี่

          ผมเบะปากแทนคำตอบของพี่ขิต ก่อนจะดูดน้ำเก็กฮวยเย็นๆ จากแก้วขึ้นมาให้หายหัวร้อน

          เล่าย้อนกลับไปหน่อย..หลังจากที่พี่ขิตบอกให้ผมตามมันไป ทีแรกผมก็นึกว่ามันจะพาผมไปด่าซ้ำหรือสั่งสอนอะไรทำนองนี้ แต่ดันกลับพาไปแดกข้าวกลางวัน ซึ่งร้านก็ไม่ได้หรูหราอะไรหรอก เป็นร้านขายส้มตำข้างทาง อยู่ห่างจากโรงแรมไปประมาณ 500 เมตร แล้วคนก็โคตรแน่น ขนาดเกือบบ่ายสองแล้วนะเนี่ย โชคดีที่มีคนลุกพอดี พวกผมเลยได้เสียบแทนที่ พี่ขิตสั่งอาหารไปรัวๆ พอพนักงานไปแล้วพี่แกก็เปิดประเด็นเมื่อกี้นั้นล่ะ

          “ครัวพี่โอเคมั้ย?” ผมยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง เหลือบตามองพี่ขิต ก่อนจะวางแก้วเก็กฮวยลง

          “โอเคมากพี่ เล่นให้ผมทำงานตั้งเช้า ไม่อธิบายอะไรให้ผมฟังสักคำ แถมยัง ด่าซะหูชา โคตรโอเคเลยพี่ โคตรโอเคเลย!”

          ประชดล้วนๆ ไม่มีนมวัวผสม บอกเลยโมโหมาก โกรธมาก เล่นมาบูมบาย่ากูตั้งแต่ตีสี่ เหยดแหม่..

          “มึงสมควรโดนด่า แต่ถ้ามึงโอเคก็ดีแล้ว”

          อ่าวเหี้ย..ทำไมพี่แม่งพูดแบบนี้วะ

          “จะสั่งอะไร สั่งได้เลยนะ”

          พี่มึงสั่งไปหมดแล้วปะ? ผมเบะปาก ไม่ชอบคำตอบกวนตีนของพี่มันเลย อย่างน้อยก็ควรจะอธิบายอะไรบ้างป่ะ ว่าอะไรยังไง นี่รู้สึกเหมือนมาช่วยฟรีอ่ะ แถมยังโดนทำโทษให้ช่วยทั้งวันด้วย

          “ทำไมมากินนี่อ่ะ” เออ..เอาเข้าไปทำไมปากกูไปถามเรื่องอื่นวะ

          “กุอยากแดก”

          “แต่ผมไม่ชอบ”

          “แต่กูชอบ

          หนึ่งสองสาม ฮึ่บบบบ หายใจเข้าพุทธ.. หายใจออกโธ..

          โอมยุบหนอ พองหนอ กำหนดลมหายเยี่ยงประดุจดอกไม้บานในดินแดนเทเลทับบี้ แต่โดยรวมแล้ว ทั้งคำพูด และรอยยิ้มกวนๆของพี่มัน มันกำลังทำให้ผมระงับอารมณ์(อยากถีบ)ไว้ไม่อยู่

          “ทำหน้าแบบนั้นคิดอะไรเรา” โอ้ว..น้ำเสียงนี้อย่างกับแฟนหนุ่มมาจ้องจับผิดเวลาแฟนสาวเขินอายเลย แต่กูไม่ใช่อารมณ์นั้นไง คืออยากสวนพี่มัน มุมปากมันกระตุกตุบๆแล้ว แต่ดันพูดไม่ออกไม่รู้ว่าจะสวนว่าอะไร

          ระหว่างนั้นเองทางร้านก็เอาอาหารมาเสิร์ฟ เป็นต้มแซ่บกระดูกอ่อนท่าทางดูเผ็ดร้อน กับลาบหมู และข้าวเหนียวสองกระติ๊บ

          ได้จังหวะ เปลี่ยนเรื่องดีกว่า

          “ไม่ต้องเข้าไปคุมตอนบ่ายเหรอพี่” อย่างที่บอกไป เชฟ,uเข้างานทั้งหมดสามกะด้วยกัน แต่ถึงจะเรียกว่ากะบ่าย ก็ต้องเข้างานตอนสิบโมงเลิกสามทุ่มอยู่ดี

          “เข้าสิ แต่ระหว่างนี้รองเชฟใหญ่ลงมาคุมแทนพี่แล้ว พี่เข้าอีกทีก็นู้น 3 โมง ต้องเตรียมสเตชั่น ก่อนดินเนอร์”

          “นี่บ่ายสองแล้ว” ผมชี้นาฬิกาข้อมือตัวให้พี่ขิตดู ร่างใหญ่ขมวดคิ้วยู่ ก่อนปั่นข้าวเหนียวมาจุ่มน้ำลาบ

          “อย่าพูดเรื่องงานตอนกินข้าวสิ ไม่น่ารักเลยเบบี๋”

          เบบี๋พ่อง!  เดี๋ยวก็ปาด้วยลาบหมูเลยนี่ ผมมองไอ้พี่ขิตยัดข้าวเหนียวเข้าปาก เออดี จบบทสนทนาไว้ก่อนก็ได้ เพราะผมเองก็เริ่มหิวแล้วเช่นกัน

          ทว่า พออาหารมาจนครบ กินไปได้สักพัก จู่ๆผมก็เกิดสงสัย

          “แล้วไมพี่ชวนผมมาสองคนอ่ะ”

          “มาปรับทัศนคติ

          แค่ก! สำลักน้ำที่กำลังดื่มแทบจะทันที

          คุกมั้ยเนี่ย เรื่องนี้คลาวจิไม่ยุ่ง

          “ล้อเล่น พามาเลี้ยง มาคุยด้วยในฐานะเด็กใหม่”

          เด็กใหม่? ผมทวนวลีสั้นๆนั่น พลางขมวดคิ้ว ผมว่าผมควรถามพี่มันได้แล้วล่ะ

          “ผมยังไม่ได้ตกลงเลยว่าจะทำงานที่นี่”

          “แต่มึงก็เป็นเด็กดีทำไปแล้วไม่ใช่ไง”

          โอ่โห่ รู้สึกเหมือนเป็นเด็กถูกหลอกใช้เลยให้ตาย! เออกูโง่เอง

          “พี่นี่ปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้เก่งเนอะ ” ความจริงตั้งใจจะประชดพี่มันตอนดื่มน้ำบ้างไง แต่ร่างหมีควายนี่ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย กลับกันดันมาหยักคิ้วกวนๆให้อีก

          “ถึงพี่จะหน้าโหด แต่พี่มีหลายโหมดนะจ๊ะ”

          “พี่เป็นไบโพล่าใช่มั้ย” ไอ้พี่ขิตหัวเราะลั่น เหี้ยนี่กูด่านะขำไร

          “น้องคล้าวเป็นคนตลกนะ”

          “ผมชื่อ คลาว โอเค๊?” แม่งเรียกกูคล้าวๆหลายรอบ จนกูจะเคลิ้มตามพี่มันแล้วเนี่ย

          “โอเคๆ แต่เรื่องเมื่อตอนเช้า ดูเราไม่ค่อยตกใจเท่าไรเลยนี่” พี่ขิตถามผมเสียงจริงจังขึ้น คงหมายถึงเหตุการณ์เร่งๆเมื่อเช้านี้แน่

          ผมยักไหล่เบาๆ จริงๆ แล้วตอนเทรนนี่ที่โรงแรมต่างประเทศก็ไม่ได้ต่างจากนี้เท่าไร เพียงแต่ ฝรั่งเค้าไม่ค่อยโซยวายไง ทุกคนรู้หน้าที่และค่อนข้างเป็นระเบียบ มีบ้างที่เร่ง แต่ถึงขั้นพ่นไฟแบบไอ้พี่ขิตมัน

          “ผมเข้าใจว่ามันแข่งกับเวลา ตอนฝึกงานที่เมืองนอก ก็คล้ายๆ แบบนี้ แต่ไม่บ้าเท่าพี่” ได้ทีขอแขวะพี่มันสักหน่อย

          “ที่ไทยมันต้องแบบนี้ เทียบไม่ได้หรอก” ถ้าพี่จะบอกว่าฝรั่งมีระเบียบเรื่องเวลามากกว่าคนไทย ผมก็ไม่เถียงพี่นะ

          แต่ว่าพอเถอะ..นอกเรื่องมาเยอะเข้าประเด็นสักที

          “แล้วพี่จะอธิบายผมได้หรือยังว่าทำไม ถึงมาเป็นเดมี่*ให้พี่” ถามเสร็จคนตัวโตก็เงียบไปเลย เงียบไปประมาณสิบวินาทีได้ จนผมเริ่มไม่มั่นใจว่า ผมไม่ควรถามหรือเปล่า

          “กูอยากได้มึง

          “ฟัค!

          “...”

          ฉิบหายล่ะ...เผลอฟัคมาดังมาก ดังจนสามารถหยุดกิจกรรมทุกอย่างของคนรอบๆ ด้านให้สต็อบ แล้วมองมาโต๊ะผมเป็นทางเดียว

          เชี่ย! ไม่ได้ตั้งใจ ก็ไอ้พี่ขิตนั่นแม่งพูดอะไรของมันฟร่ะ!

          “อ๋ออยากกิน ฝักผัด ผัดฝัก ก็ไม่บอกได้ๆเดี๋ยวพี่สั่งให้นะน้อง” ขอบคุณพี่ขิตที่ช่วยแก้ต่างให้ แต่แม่งโคตรฟังไม่ขึ้น ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

          ผมถอนหายใจราวกับจะเผื่อไปถึงชาติหน้า ก่อนไอ้พี่ขิตมันจะด่า

          “ไอ้คล้าว มึงจะฟัคทำห่านจิกอะไร เขาหันมาฟัคทั่วร้านเพราะมึงเนี่ย” พี่มันก็เรียกคล้าวๆ อยู่นั้นล่ะวุ้ย

          “ก็พี่แม่งพูดอะไรล่ะ”

          “กูหมายถึง กูอยากได้มึงมาทำงาน ฟังให้จบสิ”

          เออแล้วไม่พูดให้หมดตั้งแต่แรก หยุดพูดเพื่อ ผมเบะปากแล้วใช้ส้อมจิ้มข้าวเหนียวบ้าง พี่ขิตส่ายหน้า ก่อนเท้าแขนลงบนโต๊ะ พลางจ้องหน้าผม

          “คล้าวกูจะบอกตรงๆนะ จะได้หายค้างคา” สิ่งที่คนตรงหน้าพูดเบรค ส้อมที่กำลังจ้วงลงในกระติ๊บของผมลง สายตาพี่พี่ขิตมองมานิ่งมาก นิ่งเหมือนน้ำในทะเลสาบที่เยือกเย็น ยามที่ริมฝีปากของพี่มันขยับหัวใจผมก็สั่น

          “ที่กูให้มึงมาเป็นเดมี่ เพราะ...มึงเส้น

          “...”

          เจ็บสัส

          “แต่!”อะไรอีกวะ ผมเหลือบตามองคนตรงข้าม พี่ขิตแม่งอมยิ้มนิดๆ

          “ขณะเดียวกัน มึงก็ดูสมราคา ดูไม่ต้องสอนอะไรเยอะ พึ่งพาได้ เป็นงาน ทำอร่อย ไม่เป็นง่อย จบนะ!”

          อุบ๊ะ! นี่ผมไม่ได้หูฟาดไปใช่มั้ย เฮ้ยพี่แม่ง ชมผมว่ะ แต่ก่อนแต่ไรก็มีคนชมผมออกตั้งมากมายว่าเก่งนั่นนี่ แต่สำหรับหัวหน้าเชฟครัวไทยตรงหน้านีh ทำไมกูจะต้องดีใจด้วยวะ เหมือนหน้าตัวเองมันกับแอบยิ้มอ่ะ

          “เปรมมันก็เป็นงานนะพี่” อ่าว..แล้วปากกูจะไปเอ่ยถึงชื่อไอ้บ้านั่นทำไมวะ นี่กูอยากได้ยินไรเนี่ย

          “มึงชอบมันเหรอ?”

          “โวะ!” พอไม่ใช่คำนี้แน่ๆ

          สรุปว่ามันก็เคลียร์แค่ประเด็นเปลือกนอกเท่านั้น ข้างในจริงๆ พี่มันก็ไม่ยอมบอกว่ามีการเมืองอะไรหรือเป่าช่างแม่ง...ไม่สนแล้ว ค่อยถามพ่อเอา

           ขอจบบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้ แยก!



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

          17.13 น ณ ห้องอาหารบานไม่รู้โรย

          ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของดินเนอร์ หลังจากที่ผมแอบลองหาข้อมูลมาทางโซลเซี่ยวพบว่า โรงแรมสุขี สุขังฯ อันอเมซิ่งนี้ ครัวไทย ณ ห้องอาหารบานไม่รู้โรยของแรมได้ติดท็อป หนึ่งในสิบของร้านอาหารแน่ะนำในเมืองภูเก็ต

          Oh Fantastic!

          และสำหรับรูปแบบในช่วงบ่ายนั้น โชคดีหน่อยที่ไม่ได้เป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ เชฟทั้งหลายจึงไม่ต้องเคร่ดครัดเรื่องเวลาออกอาหารให้หัวหมุนเหมือนช่วงเช้า ในครัวจึงปล่อยให้พวกคอมมี่และเทรนนี่ทำงานกันได้อย่างชิวๆ

          ส่วนงานสเตชั่นไลฟ์ทำอาหารด้านนอก ก็มีบู๊ทออกไลฟ์เพิ่มจากตอนเช้าอีกสามบู๊ท

          หนึ่งในนั้นคือสเตชั่นครัวอิสาน และเนื่องจากอาหารอิสานเป็นอาหารที่มีกลิ่นแรงจัด ทางโรงแรมเลยจนให้อยู่ตรงหัวมุม พร้อมเครื่องดูดกลิ่น แต่ถึงจะอับสายตาคนยังไง  ออเดอร์ก็ยังคงมาอย่างต่อเนื่อง ดูได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างมาก

          หนึ่งในเหตุผลเป็นเพราะพี่ขิตเป็นคนขึ้นไลฟ์เองแน่ๆ ลูกค้าถึงได้สั่งกันมากขนาดนี้ ส่วนผมซึ่งเป็นตัวประกอบของไลฟ์นี้ก็ได้คอยช่วยเตรียมวัตถุดิบ หั่นผัก แล่เนื้อ หมักหมูตามที่เชฟใหญ่สั่ง แต่พอเห็นไอ้พี่ขิต มันตำส้มตำ ไม่รู้ต่อกี่ครก ก็รู้สึกปวดแขนแทน

          “มึงเคยตำส้มตำมั้ย?” คงเพราะสัมผัสได้มั้งว่าผมแอบมอง อยู่ๆ ไอ้พี่ขิตก็เลยถามขึ้นมา

          “ไม่อ่ะพี่” อาจฟังดูแปลกแต่เป็นเรื่องจริง เพราะที่เมืองนอกผมไม่ค่อยได้ทำอาหารไทยเท่าไร แต่รู้ว่ามันคืออะไรและต้องทำยังไง

          “แล้วย่างหมูเป็นมั้ย?”

          โวะ! ถามแบบนี้แสดงว่าต้องให้ผมย่างให้แน่ๆ ผมลุกขึ้น พลางเดินไปวอมเตาย่างไฟฟ้าที่อยู่ข้างหลัง ก่อนจะเท้าโต๊ะ เหยียดยิ้มกวนๆ พี่ขิตมันตามสไตล์

          “ดูหน้าด้วย” ไอ้พี่ขิตหันมา

          “เออ..น่ารักดี” ก่อนจะหันกลับตำส้มตำใหม่

          หืม?..อะไรวะ?

          กะพริบตาปริบๆ สองสามที หมูย่างมันน่ารักยังไง

          ไม่เก็ท? แม่งมันติดกิ๊บ แต่งหน้าเหรอ อะไรของมึงเนี่ยพี่ขิต

          “มึงหยิบปลาแดกมาให้กูซิ”

          เอาล่ะ..ศัพม์ใหม่ก็มา ‘ปลาแดก’ วลีสองพยางค์ที่ทำให้ขมวดคิ้วอีกครั้ง ผมทำหน้าระลึกชาติ

          ปลาแดกอะไรวะ? ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันคือ ไอ้นั่น!

          “โอ้วพี่ โน่ว โน่ว โน่ว”ผมส่ายหัวส่ายมือยิ๊กๆ ไอ้พี่ขิตหันมา

          “มึงมาโน่วๆ นิวจิ๋วอะไรตอนนี้ ไปหยิบมาอยู่ในกล่องตู้ข้างล่าง เร็วลูกค้ารอ” อ่า..เร่งอีกแล้ว สุดท้ายเพราะคำว่าลูกค้าคล้ำคอไง เลยได้แต่เดินดุ่มๆไปตามพี่มันบอก พอเปิดตู้ออกมาก็พบกล่องไม้อยู่ข้างในนั้น ผมหยิบมันออกมาแล้วมาวางไว้บนโต๊ะ พอเปิดฝากล่องก็พบว่ามี โหลแก้วบรรจุของเหลวสีน้ำตาลแดงขุ่นๆ

          “อันนี้เหรอพี่” ผมยื่นมันให้พี่ขิตแบบงงๆ

          “เออ Thank you เบเบี๋ ”เบบี๋อีกล่ะ พูดอีกทีจะเอากรรไกรตัดหนวดพี่มันแล้วนะ

          ผมทำหน้าเบ้นิดๆ มองมือใหญ่ก็คว้าโหลปลาแดก?ไป ก่อนผมจะหันกลับมาให้ความสนใจกับ เตาไฟฟ้าใหม่

          ตอนนี้ผมหมักหมู และเนื้อตามสูตร กระเทียม พริกไทย รากผักชีโขกละเอียด และน้ำมันหอยที่ไอ้พี่ขิตมันบอกเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่ย่างไฟ พอไฟเริ่มอุ่นๆไม่ร้อนมาก ก็ใช้ไม้คีบคีบหมูออกมาย่างบนเตาทันที

          ซู่ซ่า

          เพียงแค่เอาเนื้อลงกลิ่นหอมๆ ของเครื่องหมัก ก็โชยคลุ้มตลบอบอวล ดีนะที่มีเครื่องดูดกลิ่นไม่งั้น คงได้น้ำลายไหลกันทั้งห้องแน่

          พี่ขิตหันมาแว๊บหนึ่งหมือนมาดูความเรียบร้อย แต่ผมไม่สนใจ เพราะต่อไปนี้ผมจะเริ่มย่าง(คอ)หมู ตามสไตล์คนเรียนเอกอิตาเลียนแล้วนะ

          หึหึ..แอบโรยเกลือดีมั้ย สุกสักทีสิลูก...นาวเบิร์นเบบี้เบิร์น

          “คล้าว..”

          “ไรพี่”

          “มึงอยากตำส้มตำเป็นมั้ย?”

          หืม? มือที่กำลังพลิกเนื้อหมูไปมาบนเตาชะงัก ทำไมพี่มันยังไม่จบกับเรื่องส้มตำวะ

          “ไม่ถึงขั้นอยาก” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ พลางย่างหมูต่อ

          “เออดี..งั้นเดี๋ยวไปสอนให้ที่บ้าน”

          พี่ขิตตอบเหมือนเล่นทีจริง แต่ผมเนี่ยขนลุกไปหมดแล้ว

          พี่แม่งอะไรกับผมวะเนี่ย! มึงจะมาขอสูตรหมูย่างติดกิ๊บกูเหรอ What do you mean? #เสียงจัสตินบีเบอร์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2017 21:47:08 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 3 : กะหรี่ปูทะเล ฟิวชั่น?...Part 1        ​

          แอคติวิตี้วันนี้จบลงแล้ว..


          ผมเลิกงานตอน 3 ทุ่มตรง แน่นอนว่ายังไม่ได้กลับบ้านเลย เพราะต้องอยู่เก็บของและรอไอ้พี่ขิตมันสั่งงานคอมมี่เชฟกะค่ำที่ต้องอยู่ครัวไทยเพียงลำพังตั้งแต่ 3 ทุ่มยันตี 5

 
          [ช่วงเกล็ดความรู้ตะมุตะมิ กับน้องคลาว]


          ผมลืมอธิบายไป ในแต่ละโรงแรมจะมีหลายหน่วยครัวเรือนแยกละเอียดยิ๊บๆ แต่สำหรับโรงแรมสุขีสุขังฯนี้ แยกประเภทครัวหลักเอา 3 ครัวด้วยกัน คือ ครัวฝรั่ง ครัวญี่ปุ่น และครัวไทย

          ส่วนพี่ขิตเป็น CDP ของครัวไทย อยู่ใน Kiechen one ซึ่งเป็นห้องครัวประเภท All day พูดง่ายๆ ก็คือ..ครัวโรงแรมที่ทำอาหารทั้งวันนั้นล่ะ แม้ลูกค้าจะหิวข้าวตอนตี 3 ก็จะต้องมีเชฟประจำการไว้อย่างน้อยหนึ่งคน ส่วนห้องครัวประเภทอื่นๆ ไว้เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังวันหลังนะครับ


          [จบ]

 
          ตัดกล้องกลับมา


          หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ ผมก็มายืนเท้าสะเอวกระดิกเท้าดิ๊กๆ รออยู่ที่หน้าประตูทางเข้าออกของโรงแรม ทำงานมาทั้งวันแม่งโคตรเหนื่อย ความรู้สึกตอนนี้อยากจะทิ้งตัวลงบนโซฟาและละลายหายไปบนฟูกสุดๆ (น้ำไม่อาบ)


          ถ้าถามว่าทำไมผมต้องรอพี่ขิตด้วยน่ะเหรอ คำตอบแรกคือพี่ขิตมันบอกว่า


          กูไม่ได้เอารถมา มึงมารับกูได้ก็ต้องไปส่งกูได้’


          ส่วนคำตอบสองก็คือ ‘กูมีเรื่องจะคุยด้วย’


          เออ..เหมือนแม่งบังคับให้ไปส่งนั้นล่ะ


          ผมก้มมองนาฬิกา


          4 ทุ่มล่ะ ตาจะปิดแล้วนะ พี่ขิตแม่งช้าจังวะ ผมบ่นอุบอิบในใจได้สักพัก ก่อนจะเห็นคนตัวโตในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาดๆ โบกมือไหวๆ แล้วเดินตรงเข้ามา


          “คล้าว!”พี่แม่งเรียกชื่อผมดังมาก แถมยังเรียกผิดต่อหน้าประชาชีอีกต่างหาก ชื่อเท่ๆ กูเนี่ย กลายเป็นพระเอกมนต์รักลูกทุ่งไปแล้ว ดีนะ..เพราะสี่ทุ่มที่โรงแรมเลยไม่ค่อยมีคน


          “ช้าว่ะพี่” ผมกอดอกบ่น พี่มันเลยเกาหัวแก้เก้อพลางยิ้มแห้งๆ มาให้


          “โทษทีไปเข้าห้องน้ำมา”

          ไปสูบบุหรี่มาแน่ กลิ่นแม่งเหม็นเชียว แต่แปลกแฮะ...ปกติพี่มันจะกวนตีน ไม่พูดจาว่าง่ายเชื่องๆ แบบนี้


          อืม..ช่างเถอะตอนนี้ผมง่วงแล้ว จะได้ไปส่งหมียักษ์นี่แล้วจะได้กลับบ้านนอนสักที

 
          เดินๆ มาจนถึงรถ คนตัวโตก็เปิดประตูเข้ามานั่งข้างคนขับเหมือนกลัวว่าผมจะไล่ไปนั่งเบาะหลัง จริงๆ ก็อยากไล่ล่ะ เพราะผมไม่ชอบให้มีกลิ่นบุหรี่ติดรถ แต่เห็นพี่มันเหนื่อยไงเลยไม่อยากจะทัก เลยยอมๆ ให้ ก่อนผมจะสอดตัวเข้าไปนั่งที่คนขับบ้าง


          “รถสวยเนอะ แต่ไมมันแคบๆ วะ” มาถึงก็วิจารณ์รถ มึงเป็นพวกสมองประมวลผลช้าเหรอไอ้พี่ขิต ทั้งๆมึงก็นั่งรถนี่ตั้งแต่ตอนเช้า สงสัยตอนนั้นพี่มันรีบๆ เลยลืมสำรวจรอบตัวไป


          แต่เอาความจริงมะ? รถมันไม่ได้แคบหรอกพี่ มึงนั้นล่ะตัวใหญ่เกินไป


          “พี่แม่งอ้วนไง”ได้ทีก็กวนตีนตอกไปเล่นๆ ใบหน้าคมเข้มนั้นหันมาขวับ


          “อ่าวไอ้นี่ หยาบคาย ของกูเนี่ยเค้าเรียกกล้าม ส่วนมึงน่ะเค้าเรียกแห้ง นี่มึงเห็นมั้ยวงแขนกล้ามเป็นมัดๆ” ว่าจบก็ยกแขนใหญ่ๆ เท่าท่อนซุงออกมาเบ่งกล้ามโตๆ ให้ผมดูเป็นขวัญตา


          เหี้ย..ใหญ่มาก(กล้าม) เอาเข็มไปจิ้มมันแตกมั้ย(กล้ามอีกเช่นกัน) รู้สึกคันฟันเหมือนฟันแท้จะขึ้น อยากจะงับ


          เอิ่ม..กูคิดอะไรอยู่เนี่ย ผมสะบัดความคิดไร้สาระก่อนยืดอกของเบ่ง(กล้าม)บ้าง


          “ใครบอกผมแห้ง หุ่นผมออกจะดีอปป้า” ตบอกแบนๆอย่างภาคภูมิใจ แต่ไอ้พี่ขิตกลับยิ้มทะเล้น


          “ไหนมาดูซิ๊”


          “ไอ้พี่ขิต!” ขู่เสียงต่ำกันไว้ก่อนที่พี่แม่งจะมือซน เพราะทั้งสายตาและรอยยิ้มค่อนข้างดูเหมือนเล่นทีจริง พอเห็นแบบนั้นคนตัวโตก็หัวเราะลั่น ก่อนจะเอามือสานท้ายทอย แล้วเอนหลังพิงไปกับเบาะรถ


          “สตาร์ทรถกลับบ้านได้แล้วกูง่วง”


          เออ..ได้กลับสักที


          แล้วหลังจากนั้น..


          พอขึ้นรถได้ไม่ถึงนาที ขับรถได้ยังไม่ทันจะออกหน้าโรงแรม พี่ขิตแม่งก็หลับไม่รู้เรื่อง เหมือนคอมพิวเตอร์ถูกชักปลั๊ก เออแต่ก็ดี..ที่วินาทีถัดจากนี้ชีวิตจะเข้าสู่โหมดสงบสุข...แต่มันก็มีข้อเสียไง ตรงที่กูก็ง่วงด้วย พี่แม่งควรตื่นมาคุยกับผมป่ะวะ ถ้าผมหลับในไปทำไง ยิ่งเหนื่อยๆอยู่


          ทำไงดีวะ?


          เปิดแพลงแม่ง


          Hello...it’s me โอ้วขุ่นแม่


          ฟังอะเดลพ่นไฟเพลินๆ แต่ไม่รู้ทำไมความคิดชั่วๆ ถึงได้ผุดขึ้นมา จับไอ้พี่ขิตไอโยนทะเลให้ปลามันตอดดีมั้ย? แต่คงไม่น่าไหวเพราะพี่มันตัวใหญ่อย่างกะหมีควาย ถึงโยนลงจริงๆ ปลาแม่งก็คงดันคืนเข้าฝั่ง หรือจะเอาเมจิกเขียนหน้ามันดี


          หึหึ...น่าสน แต่ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเช้าผมจะเละ


          ขับมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึงป้าเขียมแมนชั่น แต่พี่มันก็ยังไม่ยอมตื่น ผมเลยสะกิดไหล่ใหญ่ๆ นั่น


          “พี่”


          เงียบ...


          “พี่ขิต”


          ยังเงียบอยู่...สงสัยต้องใช้สกิวคลาวแอคแทค ตะโกนใส่หู


          “ไอ้พี่ขิตเว้ย!


          ได้ผล คนตัวใหญ่แม่งค่อยปรือตามาแบบงงๆ ก่อนจะอ้าปากหาววอดใหญ่ ทำปากแจ๊บๆอีกสองสามครั้ง แล้วหันหน้ามึนๆ มองไปรอบๆ


          “ถึงแล้วเหรอ” เกาคางงงๆ สองสามที ก่อนร่างสูงใหญ่ก็เปิดประตูรถออกไป พลางหันหลังให้ ผมขมวดคิ้ว...


          แค่เนี้ยะ? แล้วไหนที่บอกว่ามีเรื่องคุยกับผม


          ไหน อยู่ไหน Where!?


          “เดี๋ยวสิพี่ ไหนบอกมีเรื่องจะคุยกับผมไง แล้วพรุ่งนี้ผมต้องเข้ากี่โมงอ่ะ ผมยังไม่ได้ตารางคิวครัวจากโรงแรมเลย” ผมรัวถามไป พี่มันทำหน้าเหมือนกำลังคิด สักพักก็ตอบ


          “อ้อไว้วันหลังหลังแล้วกันกูลืมไปแล้ว ” อ่าวพี่ไหงทำงี้ฟะ “ส่วนพรุ่งนี้มึงเข้าสิบโมงพร้อมกู แล้วก็มารับกูเหมือนเดิมด้วย”


          “ไรวะพี่!” ผมโวยวาย เหมือนจะยังไม่หลุดพ้นจากบ่วงกรรมไอ้พี่ขิตง่ายๆ


          “เออน่า..รถกูยังซ่อมไม่เสร็จ มึงอย่ามาใจร้าย บ้านพักมึงกับแมนชั่นกูทางเดียวกัน ไปด้วยกันประหยัดน้ำมัน ช่วยโลกร้อน มึงอย่าเรื่องมาก”

          ไอ้พี่ขิต มึงอย่ามาอ้าง รักน้ำรักปลารักซากุระ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตอนนี้ หน้าคุณมึงแม่งโคตรไม่เข้าแรง!


          “แล้วผมต้องไปรับไปส่งพี่ไปจนถึงเมื่อไร”


          “จนกว่ารถกูจะซ่อมเสร็จ อย่าเถียงกูเป็นหัวหน้า”


          ฟัค!


          “You’re very creepy man! ”


          “โน่วๆ โน่วครีบบี้ แอมเลิฟลี้แมน!”


          “…”

          ณ จุดๆนี้ หลอนสิ..ไม่ใช่ใครที่ไหน กูเนี่ย หลอน! เมื่ออยู่ๆ ไอ้พี่ขิตแม่งทำแก้มป่องแล้วเอาจิ้มแก้มแอ๊บแบ๊ว เหมือนพี่แกถ่ายโฆษณากูลิโกะป็อกกี้ฟรุ้งฟริ้งอยู่หน้าป้าเขียมแมนชั่น ที่มันทั้งมืด ทั้งวังเวง อย่างกะดูรายการคนอวดผี


          “โอเค คล้าวตามนี้แยก!”


          ห่าน รีบกลับบ้านไปล้างตาเลยกู

 

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



          7.34 น. ณ บ้านพักตากอากาศของน้องคลาว


          ครืนน ครืนน...


          [Ringtone]


          บูมบาย่า. ^$@E%&*&#_ อปป้า!  #(*@^%@ อปป้า!


          แม่ง..ใครโทรมาบูมบาย่ากูแต่เช้าอีกแล้ววะ ผมงัวเงียตื่นลืมตาขึ้นมาจากที่นอน ก่อนจะคว้าโทรศัพท์ที่ร้องอปป้าไม่เลิก


          หรี่ตาลง เบอร์คุ้นๆ


          “ฮัลโหล”


          “คล้าว วันนี้มึงเข้าโรงแรมไปก่อนเลยนะไม่ต้องมารับกู” โผล่มาก็หลอนหู นั่นเสียงไอ้พี่ขิต แต่ว่าทำไมปลายสายอีกฝั่งมันมีลมตีพึ่บพับๆ วะ อย่างกับกำลังโต้ลมอยู่ที่ไหน


          “ทำไมอะพี่” ผมถามอย่างงัวเงีย พี่ขิตเงียบไปสักพักก่อนตอบ


          “กูมีธุระ แจ้งรองเชฟใหญ่เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวกูจะเข้าไปช่วงบ่ายกว่าๆ ฝากคุมงานที่เหลือด้วยไม่น่าจะเยอะเท่าไร มึงเข้าใจมั้ยเนี่ย”


          “อือๆ”ผมครางเสียงอย่างขอไปที ง่วงอ่าตาจะปิดอีกแล้ว


          “อือๆเหี้ยไรของมึง!” นั่นล่ะ...คนปลายเสียงเลยตะโกนแทบขี้หูปลิวออกมาจากอีกด้าน


          “Um..I’m understand okey?”


          ผมตอบด้วยเสียงไม่พอใจเท่าไร คือรู้เรื่องแล้วนะ..แต่ไม่เข้าใจทำไมพี่แม่งต้องให้ตอบเป็นประโยคยาวๆ ด้วยวะ


          “เออแค่นี้ล่ะ แยก!” ณ จุดๆนี้ เกลียดคำว่าแยกของพี่มันจริงๆ นอนต่ออีกครึ่งชั่วโมงดีกว่า


•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

 
          9.00 น.


          หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ตรงดิ่งมาที่โรงแรม แล้วมาที่ห้องครัว Kitchen one ตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงตรง พอเห็นผมทักคนในห้อง ก็เอาแต่ยิ้มๆ ทักทายผมด้วยคำพูดบ้าง สำหรับสังคมแบบนี้ก็คงเป็นเรื่องปกติล่ะ เพราะผมอายุยังน้อย เทียบกับคอมมี่บางคนที่อายุวนไปได้หนึ่งโหล จึงไม่ได้รับความเคารพเท่าไร


          แต่บอกแล้วผมไม่ใส่ใจ..เพราะอยากให้โฟกัสไปที่เรื่องงานมากกว่า


          “วันนี้หัวหน้าไม่มาหรอครับ” เปรมซึ่งอยู่ในชุดเชฟครึ่งท่อนเป็นคนทักผมคนแรก


          ผมเหยียดยิ้ม ปรายสายตาไปที่ร่างสูงโปร่งที่ยืนปลอกผลไม้อยู่ที่เค้าเตอร์ตรงมุมห้อง เส้นผมสีดำปรกลงมาที่หน้าผากนั่นหน่อยๆ คงเป็นเพราะรู้ว่าเชฟใหญ่อย่างพี่ขิตไม่อยู่แน่ๆ จึงไม่ใส่ยูนิฟอร์มเต็มยศกัน


          “เชฟลิขิตแจ้งว่าจะเข้ามาช่วงบ่ายถึงเลิกดินเนอร์ตอนสามทุ่ม”ผมกล่าวไปตามความจริง ทุกคนพยักหน้าหน่อยๆ แต่ก็เหมือนรู้ดีว่าถ้าเชฟใหญ่ไม่อยู่อำนาจสูงสุดในครัวนี้จะตกเป็นของใคร เดมี่เชฟไงล่ะ ซึ่งนั้นก็คือผม ทุกคนจึงมายืนรอรับคำสั่งตรงหน้า


          ตอนนี้บุฟเฟ่อาหารเช้าจบไปแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำหน้าที่ห้องอาหารแบบ All Day ให้ได้ แต่ก่อนหน้านั้น สิ่งสำคัญถัดไปคือช่วงดินเนอร์ เนื่องจากเป็นห้องอาหารแบบกึ่งบุฟเฟ่ จำเป็นจะต้องรู้รายการอาหารที่เตรียมไว้ และเซ็ตวัตถุดิบ ก่อนแบ่งจ็อบให้คอมมี่และเทรนนี่ไปทำ


          “ขอลิสเมนูที่จะต้องทำดินเนอร์วันนี้หน่อย”

 
          ล่วงเลยมาถึงเที่ยงครึ่ง


          ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี กระทั่งล่วงเลยมาจนถึงช่วงเที่ยง ซึ่งเป็นเวลาลั้นช์ของสากลโลก แต่อย่างที่บอก ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถคัสตอมไมส์เมนูได้เต็มที่มากๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารเล็กๆ ใหญ่ๆ หรือแม้กระทั่งในโรงแรม


          ผมมองกระดาษโน้ตออร์เดอร์ที่พนักงานเสริ์ฟรับมา


          “ปูทะเลผัดผงกะหรี่ (แยกเนื้อปู ไม่เอาปูตัวผู้ ไม่เอากระดอง ไม่เผ็ดมาก )” ไม่ต้องแดกด้วยมั้ย...กลอกตามองบนเลยกู ขอทำความเข้าใจสักครู่นะ


          ผมหันซ้ายหันขวา ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับเมนูอื่นๆ อยู่ จะใช้คอมมี่ทำดีมั้ยวะ? แต่เมนูนี้มันเป็น Main Course หลักไง จะให้คอมมี่ทำก็ยังไงอยู่ ผม้าวขาเดินออกไปห้องข้างๆ ครัว ซึ่งจะเก็บพวกวัตถุดิบสดๆ เป็นๆ ไว้


          มีปูเป็นอยู่ในตู้กระจก ผมพยักหน้าเบาๆให้ตัวเอง แล้วเดินกลับเข้าไปที่ห้องครัวอีกครั้ง


          แม่งใครว่างบ้างวะ...ไม่ใช่ไรผมมันไม่ถูกกับการฆ่าสัตว์เป็นๆ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเชฟย่อมเลี่ยงได้ยาก แต่คือกลัวไงไม่ชอบ ถ้าทำจริงๆ ก็จับน้อคน้ำแข็งลูกเดียว ซึ่งมันเสียเวลา


          มองซ้ายมองขวา เห็นร่างสูงโปร่ง ยืนหลบอยู่มุมอยู่ตรงเค้าเตอร์พอดี..เหลือแต่ไอ้นี่เหรอวะ


          ช่างแม่ง...


          “เปรมมาน็อคปู แล้วเตรียมปูให้ที” ผมสั่งอย่างขอไปที เปรมมันเหลือบสายตาขึ้นมามองผมแว๊บหนึ่ง ก่อนคลี่ยิ้ม


          “ผมกำลังช่วยพี่คอมมี่อีกคนอยู่ เชฟทำก่อนได้มั้ยครับ” กูเห็นมึงกดโทรศัพท์ยิ๊กๆ ไม่ได้ช่วยใครห่าอะไรเลย ไอ้บ้านี้พลังต่อต้านผมรุนแรงมาก สรุปจะเปิดสงครามกับผมจริงๆใช่มั้ย


          “ถ้ามัวแต่มานั่งน็อคปู แถมต้องแกะเนื้อปูอีก วันนี้ลูกค้าจะได้กินมั้ย” ผมขึ้นเสียงอย่างมีอารมณ์ให้รู้เสียบ้างว่าใครใหญ่ ถึงผมจะรู้ว่าเปรมมันไม่ชอบขี้หน้าผม แต่มันก็ควรจะแยกแยะระหว่างคำว่า ‘หน้าที่’ กับ ‘ส่วนตัว’ ออกหรือเปล่าวะ

 
          “เดี๋ยวเราไปเตรียมเครื่องแทนให้ก็ได้” ยัง ยัง มันยังไม่ยอมอีก นี่กูต้องแปลงร่างแผดเสียงเหมือนไอ้พี่ขิตใช่มั้ยมันถึงจะฟัง


          มึงเข้าใจมั้ย กูจะไม่น็อตปูเป็นๆเด็ดขาด!


          “Now,who is your boss? ” ไม่ไหวแล้วนะ กอดอกมองแรง เสียงพร้อมบวกมาก ไอ้เปรมมันชะงักไปกับท่าทีผมครู่หนึ่ง แต่เหมือนจะไม่ได้สร้างดาเมจให้มันเท่าไร มันไหวไลห่นิดๆ ก่อนยิ้มรับพร้อมก้มโค้งตัวลง


          “Yes your highness.”


          กวนตีน!



•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


          10 นาทีผ่านไป


          ไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ ไอ้เปรมมันมีความสามารถในการแกะปูมาก อย่าตกใจว่าทำไมน็อคน้ำแข็งเร็วแค่ 6 นาที หึ! พี่แกไม่น็อคน้าจร้า(จะวิบัติทำไม)..พี่แกเอาไปต้มทั้งเป็นเลยจ้า แล้วก็ใช้ค้อนสำหรับทุบเปลือก กะเทาะเปลือกปู ก้อนใช้ปลายช้อนกลางแสตนเลทแกะแยกเนื้อปูออกมา


          ส่วนผมเตรียมผสมที่เหลือ ทั้ง ไข่ไก่ หอมใหญ่หั่นเสี้ยวครึ่งลูก ต้นหอมหั่นท่อน พริกชี้ฟ้าสีแดง และเครื่องอื่นๆ รวมทั้งซอสกะหรี่ ไม่ช้าผมก็เริ่มลงมือผัดตามขั้นตอน จนกลิ่นเครื่องเทศโชยฟุ้งหอมหวน


           “ผัดปูลงไปมั้ยครับ?” เปรมมันยืนอยู่ข้างๆ คงเป็นเพราะมันเห็นผมผัดแต่ไข่กับเครื่อง โดยไม่ใส่เนื้อปูลงไปสักทีมันเลยทัก แต่ด้วยความที่เมนูที่ลูกค้าสั่งมามันคัสตอมไมซ์มาก ผมเลยคิดว่าให้ลูกค้าเป็นคนตัดสินใจและเลือกระดับความเผ็ดเองได้น่าจะดีกว่า


          “ไม่ต้อง” ผมว่า ก่อนจะค่อยๆ ตักซอสกะหรี่สีเหลืองทองสวยงามขึ้นมาจากระทะ แล้วเทลงบนชามขนาดกลางสีขาวเลย


          “แยกเนื้อปูกับซอสออกจากกัน วางเนื้อปูรอบๆ ถ้วย แล้วแต่งจานให้สวยงามด้วย”ผมสั่ง เปรมยกยิ้มขึ้นนิดๆ


          “โอโห..อาหารฟิวชั่น” ก่อนหัวเราะ ‘หึหึ’


          ไอ้บ้านี่ ตบแม่งด้วยตะหลิ่วเลยดีมั้ย

 
          ทว่า..หลังจากนั้นอีก 7 นาทีถัดมา..


          “เชฟครับ..ใครทำปูผัดผงกะหรี่เหรอครับ” บริกรโรงแรมรีบวิ่งเข้ามาในห้องครัว ผมที่เพิ่งจะวางตะหลิ่วได้ไม่นานพอได้ยินชื่อปูปัดผงกะหรี่ผมรีบหันไปมอง พลางขมวดคิ้ว พนักงานหนุ่มหน้าไม่ค่อยสู่ดีเท่าไร


          “มีอะไรเหรอครับ”


          “เอ่อ..พอดีลูกค้าเรียกไปคอมเพลน”


          คอมเพลน? ทำไม? มีแมงสาบอยู่ในอาหารหรือไง โอ้ยยย ประเทศไทย!



•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

 (เดี๋ยวมาต่อ)

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 3 : กะหรี่ปูทะเล ฟิวชั่น?...Part จบ   

          “ให้ผมไปแทนเชฟมั้ยครับ” เปรมแทรกพูดขึ้นมาเรียบๆ ผมมองหน้าหล่อๆ ของมัน ถึงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรที่ลูกค้ามาคอมเพลน แต่ผมก็มีความรับผิดชอบในความเป็นหัวหน้ามากเพียงพอ


          “ไม่เป็นไร” ว่าจบผมก็ก้าวขาฉับๆ ออกไปพร้อมกับพนักงานเสิร์ฟ โดยที่ผมมิอาจคาดเดาได้เลยว่าจะมีอะไรรอผมอยู่


         เออไอ้บ้านี่ไง...


          “ผมสั่งปูผัดผงกะหรี่ไป นี่มันอะไรกัน ตรงไหนเรียกว่าผัดผงกะหรี่”

          เสียงเกรี้ยวกราดเบอร์ห้านี้ เป็นของลูกค้าหนุ่มที่แต่งตัวดูดีมีฐานะ แต่ไม่นึกเลยว่าจะจุกจิกกับเรื่องแบบนี้


          เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า...ฮีไม่พอใจที่ผมแยกเนื้อปูกับซอสผัดผงกะหรี่ออกจากกัน ฮีเลยจะมาคอมเพลน


          “คือ...ทางลูกค้ารีเควสให้แกะเนื้อปูออกมา แล้วระดับความเผ็ดไม่มาก ทางเราจึงคิดว่าแยกตัวเนื้อปู กับซอสเพื่อให้ลูกค้ากำหนดความเผ็ดเองน่าจะดีกว่าน่ะครับ มันเป็นอาหารฟิวชั่น” ผมอธิบายด้วยเสียงสุขภาพมากที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่า...


          “แต่คือผมสั่งข้าวมาไง แล้วผมสั่งปูผัดผงกะหรี่เพื่อมากินกับข้าว แล้วมาเป็นแบบนี้ ผมจะกินกับข้าวได้ยังไง นี่คุณประชดผมเหรอ”


          นั่นล่ะครับท่านผู้ชม...นี่กูต้องก่อสงครามนอกห้องครัวด้วยเหรอ


          “คือ..ไม่ได้ประชดครับ มันเป็นอาหารฟิวชั่น”


          “ฟิวชั่นบ้าบออะไร แล้วราคาจานนี้ก็ไม่ใช่ถูกๆ แล้วเดียวอีกครึ่งชั่วโมงผมก็ต้องทำงานต่อแล้ว นี่ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย”


          “แต่มันก็เป็นปูผัดผงกะหรี่นะครับ เพียงแต่แยกซอสออกมา” คือเข้าใจมั้ย ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายเป็นภาษาไทยยังไง แต่มันคืออาหารฟิวชั่น วิธีการปรุงมันเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นการนำเสนอที่คล้ายๆ กับฟองดูร์อิตาเลียน


          “แล้วทำไมคุณไม่ผัดลงไป”


          มึงก็จุ่มเนื้อปูลงไปในซอสเองสิวะ! แล้วก็ตักขึ้นมากินพร้อมข้าวไง ง่าวเอ้ย!


          “ก็คุณ!”


          “ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมจะผัดจานนี้ให้ใหม่” อยู่ๆ เสียงทุ้มๆ ก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ผมหันไปก่อนเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่พร้อมชุดเชฟเต็มยศกำลังก้มหัวขอโทษแทนผม


          ผมตะลึงค้าง..พี่ขิตมึงมาตอนไหนวะ?


          “คุณเป็นหัวหน้าใช่มั้ย” ไม่รู้เพราะรัศมีพี่มันออก หรือเพราะว่าหน้าเหี้ยมๆ ของพี่มันแน่ ลูกค้าถึงได้ดูเป็นหัวหน้า แต่ผมต้องขอพักส่วนั้นไว้ก่อน เพราะไออ้บ้านี่ยังไม่เลิกคอมเพลน


          ผมหันไปหาโจกย์เก่า ฮีลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วชี้นิ้วงอนเหมือนจะตั้งวงรำใส่ผม


          มึงเป็นใช่มั้ย?


          “ดีเลย ลูกน้องคุณเถียงผมฉอดๆ ผมไม่โอเคนะกับเรื่องนี้นะ”


          อือหื้อ นี่อย่าให้เจอข้างนอกนะ จะตบให้ทิ่ม


          “ต้องขอโทษด้วยครับ” พี่ขิตโค้งหัวลงขอโทษ พร้อมปลายตามาทางผมดุเป็นเชิงตำหนิ ผมเบะปากบึ้ง แต่สุดท้ายเพราะสายตาพี่มันว่าไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ ผมเลยยอม


          “ขอโทษครับ”พอผมก้มหัวบ้าง แล้วจากนั้นฮีก็เริ่มร่ายใหม่


          “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก นี่ผมเสียเวลานะเนี่ย ส่วนจานนี้ก็ไว้นี่ล่ะ ถือว่าเป็นค่าเสียเวลาผม จานใหม่พวกคุณก็ผัดมาให้เร็วๆ แล้วกัน”

          ไหนบอกอีกครึ่งชั่วโมงต้องเข้างาน สุดท้ายมึงก็แค่อยากแดกฟรีอีกจานสินะ...ฟัค!

 
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


        มาถึงในห้องครัว ร่างสูงใหญ่ของหัวหน้าเชฟครัวไทยก็ไล่ทุกคนออกไปให้หมด ในที่สุดเหลือแค่พี่ขิตกับผมตามลำพัง ผมกอดอก แล้วถอนหายใจมองพี่มันนิ่งๆ


          “It’s not fair for me.

          ผมเริ่มร่าย แต่พี่ขิตไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่พยักหน้านิดหน่อย ก่อนจะทำทีเหมือนยุ่งวุ่นวายกับการจัดของเก็บของ ซึ่งแม่งไม่มีอะไรจะเก็บ


          ยัง...ยัง ยังเนียนอยู่กูร้อนตัวให้ก็ได้


          “พี่ผมไม่ผิดนะ ดูก็รู้ว่าลูกค้านั่นมันหาเรื่อง”


          “กูยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย” พี่ขิตสวนมา ทำเอาใบ้กิน แต่น่าแปลกที่ประโยคนี้กลับก่อความหงุดหงิดในใจผมมากกขึ้นกว่าเดิม


          “แล้วเป็นไงทุกอย่างเรียบร้อยไหม”


          “เรียบร้อยทุกอย่าง ยกเว้นผมนั่นล่ะ”ผมประชด คือพี่แม่งดูท่าไม่โกรธอะไรเท่าไรหรอก มีแต่ผมนี่ล่ะที่หัวเสีย


          “มึงนี่คิดเล็กคิดน้อยอย่างกับผู้หญิง บางทีลูกค้ามันก็แบบนี้”


          “แล้วพี่เห็นด้วยกับผมใช่ป่ะ ไอ้บ้านั่นน่ะ_!”


          โป้ก!


          “พี่!”

          เป็นครั้งที่สองแล้วที่พี่ขิตคว้าหม้อมาเคาะกระบาลผม ให้ตายสิผมพูดผิดตรงไหน ผมเอามือลูบหัวแล้วมุ่ยหน้าลงอย่างเคืองๆ


          “กูไม่ได้เห็นด้วยกับมึง เพราะความคิดมึงมันล้ำกันไป มึงคิดว่าปูผัดผงกะหรี่ต้องทำยังไง แยกเป็นฟองดูร์จิ้มจุ่มหรือไง”


          “แต่มันก็กินได้ป่ะพี่ ลูกค้ารีเควสมาแบบนั้น”


          “แต่ลูกค้าเป็นคนไทยป่ะคล้าว”


          ผมเงียบ..ชั่วโมงนี้รู้สึกว่าแม่งเถียงไปก็ไม่มีใครเข้าใจ


          “เออ..แม่งผมผิดก็ได้”

          ประชดเสร็จก็ถอดหมวกเชฟ และถุงมือออก ก่อนจะไปซิ้งแล้วล้างมือ ระหว่างนั้นผมก็ยังสัมผัสได้ถึงสายตาของพี่ขิตที่จ้องมองแผ่นหลัง ก่อนผมจะได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามมา ไม่ช้ามือใหญ่นั้นก็เอื้อมมาปิดก็อกน้ำที่ผมกำลังล้าง ผมมองใบหน้าคมเข้มนั่น


          มึงรักชาติอีกแล้วเหรอพี่ขิต


          “มัวแต่อยู่เมืองนอก ลืมไปหมดแล้วหรือไง ว่าพื้นเพคนไทยเป็นยังไง ชอบอาหารแบบไหน”


          “ผมทำอาหารไทยได้”


          “แต่ไม่ได้หมายความว่า..เก่ง หรือ อร่อย”


          “ผมเรียนเอก อิตาเลียน”


          “แล้วยังไง ตอนนี้มึงอยู่ครัวไทย เลยไม่อยากเรียนรู้เพิ่มแล้ว จะทะนงว่าเก่งแบบนี้ตลอด?”


          “Damn it!


          พอที!


          “คล้าว!

          เสียงพี่ขิตมันไล่ตามหลัง แต่ผมไม่สนใจแล้วเดินออกจากห้องครัวทันที อยากเปลี่ยนชุดบ้าๆนี่เต็มทน



•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


          สาวเท้ามาไม่นานก็มาถึงห้องล็อคเกอร์แต่งตัว ผมปลดกระดุมคอชุดเชฟออกให้หายใจโล่งขึ้น รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ทำไมต้องไปโกรธพี่ขิตมากมายขนาดนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่มันน่ะหวังดี


          ให้ตายสิ รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย


          “หงุดหงิดเหรอครับเชฟ”นอกจากผมจะหงุดหงิดแล้วยังมีเสียงอันไม่พึ่งประสงค์ที่ผมไม่อยากจะฟังดังขึ้นมาอีก


          ผมหันไป พบร่างสูงกำลังยืนพิงล็อคเกอร์อยู่ข้างไ เปรมขยับขาเข้าหามาผมแล้วยืนกอดอก ยิ้มบางๆ


          “ให้ผมไปรับหน้าแทนตั้งแต่แรกก็จบแล้วจะได้ไม่หัวร้อนแบบนี้”


          “เรามีความรับผิดชอบเพียงพอ” ผมสวนไป เปรมพยักใบหน้าหน่อยๆ อย่างกวนอารมณ์


          “Good แต่ให้เราไปตั้งแต่แรกน่าจะดีกว่า เพราะคนที่สั่งเขาเป็นเพื่อนเรา”


          อะไรนะ!?


          “What are you talking about?” เปรมฉีกยิ้มอย่างร้ายกาจ ก่อนจะเอื้อมมือมากระชับปกคอเสื้อผมให้เข้าที่


          “คนที่สั่งปูผัดผงกะหรี่ เขาเป็นเพื่อนเราน่ะ”

          ได้ยินเพียงเท่านี้ ขันติที่ผมอุส่าห์ท่อนไว้ในใจมาเนิ่นนานก็พังทลายลงในพริบตา ผมรีบปัดมือนั้นออกแรงๆ จ้องหน้ามันอยากจะกินเลือดกินหัว สถบด้วยคำหยาบคายทันที


          “Your mother fuck!!


          “โอะๆ ด่าสะแรงเลย แต่โทษเราไม่ได้ เพราะเราบอกแล้ว แต่นายไม่ฟัง อีกอย่างเราเป็นลูกน้องได้แต่ทำตามหน้าที่”

          ณ วินาทีนี้ บอกถามตรงผมอยากจะต่อยปากมันมาก ใจของผมมันเดือดปุดๆด้วยความโมโห แต่เพราะในหัวสมองส่วนลึกมันยังคิดได้ไงว่านี่มันที่สาธารณะ และผมยังจำเป็นที่จะต้องทำงานอยู่ที่นี่


          ถึงจะจำใจแต่ก็พยายามสงบจิตสงบใจ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะพ่นออกมายาวๆแล้วเหลือบตามองหน้าไอ้เปรมตัวร้าย


          “Thank you for a great experience.” ประชดล้วนด้วยเสียงนุ่ม แต่บอกเลยว่าผมอยากจะปล่อยแสงเลเซอร์ที่ตาได้มาก เผื่อที่จะได้เจาะกะโหลกไอ้เปรมให้มันทะลวงโบ๋


          “You welcome.”เปรมมันยักไหล่ ยิ้มบางให้ ท่าทางแม่งวอนตีนมากๆ เอาไม้ม็อบที่อยู่ข้างๆล็อคเกอร์ฟาดแม่งเลยดีมั้ย?


          แม่งเอ้ย! อยู่ที่ไหนก็มีแต่มวลอากาศเป็นพิษ ไปดีกว่า


         ปึก!


          “Hey!” ผมแผดเสียงดังทันที เมื่อไอ้เปรมมันใช้ฝ่ามือตัวเองตบปังเข้าไปกับล็อคเกอร์ และด้วยขนาดความสูงของมัน ในสายตาผมถึงได้เห็นท่อนแขนยาวๆ ของมันขวางผมเอาไว้


          ไอ้บ้านี่...มันหัวเราะในลำคอดัง ‘หึ’ ครั้งนึง ก่อนจะปรายตาคมกริบมองผม


          “นี่..นายคิดจริงๆ เหรอว่าจะได้ขึ้นเป็น CDP แบบเชฟขิตได้จริงๆ”

          คำพูดเริ่มเปลี่ยนไป สายตามันดูถูกและเย้ยหยันผมมาก แต่แล้วยังไง จะได้ขึ้นไม่ขึ้นมันหนักหัวกะบาลใคร จะก้าวถ้อยหลังหรือเดินก็ไม่เกี่ยวกับใครป่ะ?


          มึงอยากโดนกูด่าใช่มั้ย?...ได้!


          “มันเป็นเรื่องของคนอื่น...Don’t worry about me. Please check yourself before ask to me. It's none of your business.”

          หน้าไอ้เปรมครึ้มลงทันที ผมเหยียดยิ้มพร้อมปัดมือมันออก ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ส่วนประโยคเมื่อครู่ถ้าให้ผมพูดสั้นๆ ในวลีสองคำก็คือ ‘ไม่เสือก’ นะจ๊ะ


•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


         ไอ้คล้าว!” ทันทีที่ผมเดินออกมาที่ห้องโถงโรงแรม เสียงไอ้พี่ขิตก็หวีดมาแปดหลอด จนคนเขาหันกันมาทั่ว แถมยังเรียกชื่อผิดๆ นั่นซะดัง!


          ไม่ช้าร่างใหญ่วิ่งเหยาะๆ มาหา ผมมุ่ยหน้าเคือง ไม่รู้สิ...พอเห็นหน้าพี่มัน อารมณ์มันก็ขุ่นอ่ะ...งงตัวเองเหมือนกัน


          โกรธอะไรนักวะ


          “พี่ผมไม่ได้ชื่อคล้าว ชื่อคลาว ออกเสียงดีๆ” ผมว่าพี่มันฟัง แต่เหมือนจะไม่เข้าหู


          “เออน่า..มากะกู” ไม่พูดพร่ำพี่ก็คว้ามือผมหมับ รู้สึกตัวอีกก็โดนลากมาที่ห้องครัว Kitchen one อีกครั้ง ตอนนี้เพราะต่างต้องไปเตรียมงานด้านนอกจนหมดเลยไม่มีใครอยู่ครัว ร่างใหญ่ลงไปรื้ออะไรบางอย่างใต้ตู้เค้าเตอร์ตรงกลาง ไม่นานก็หยิบบางอย่างออกมาตั้งบนโต๊ะ


          “ขนนี่กลับบ้านไปด้วย”


          “หะ?”


         ครก? ให้ผมขนครกกลับบ้าน? เดี๋ยวนะ ทั้งครกทั้งสากเลย พี่ต้องการจะสื่ออะไรกับผมเนี่ย


          “กูจะไปสอนอาหารไทยมึงที่บ้าน”


          ว๊อท!?


          “ผมทำอาหารไทยเป็นอยู่แล้วพี่”


          “แต่ไม่เวิร์ค” ยิงมาสะกูจุก..โอเค


          กูไม่เถียงล่ะ แต่ขอหน่อยเถอะ


          “ทำไมพี่แม่งยุ่งกับผมจังวะ”พูดจบพี่แม่งก็ทำตาโต เฮ้ยๆ อย่าเอาสากมาทุบหัวกูนะเฟ้ย นี่เย็บเลยนะ


          “เอ้า! ไอ้บ้านี้พูดหมาๆ มึงเป็นเดมี่กูป่ะ ไม่มีมึงแล้วใครจะมาแทนกูได้อีก”


          หูย..เหมือนจะมีความสำคัญว่ะ ถึงจะเป็นแค่เรื่องงานก็เถอะ


          “พี่ดูไว้ใจผมเนอะ ทั้งๆที่ผมเพิ่งจะทำพัง” ประชดอีกแล้วกู เป็นไรวะ ตบมั้ยไอ้คลาว


          “นี่มึงยังคิดมากอยู่อีกหรอก” พี่ขิตเบะปาก ก่อนจะกวักมือเรียก


          “มานี่..”


          อะไรวะ!


          ผมขยับขาเข้าใกล้เพิ่ม แต่ไม่ทันไรก็..


          หมับ!


          “โอม ตะมุ ตะเมียน ตะเรียง เกรียง เกรียง เปรียง แลง เงียงงุ่น! เพี้ยง!


          เอ่อ...ไม่รู้จะบรรยายยังไง


          อยู่ๆ พี่มันก็จับขมับผมทั้งสองข้าง จากนั้นก็ท่องคาถาห่าเหวอะไรไม่รู้ใส่หัวผม แล้วก็เป่าลมดัง ‘ปู๊ด’กลางหน้าผาก


          “…”


          มึงเป็นญาติกับครูพนอเหรอไอ้พี่ขิต มึงจะเสกหนังควายเข้าท้องกูมั้ยเนี่ย กูเริ่มกลัวแล้วนะ


          “พี่!” ผมสบถลั่น สมองเอ๋อไปแล้วเมื่อเจอไอพี่ขิตมันเล่นของ


          เดี๋ยวๆ พี่แม่งเล่นแบบนี้ก็ได้เหรอ


          “เออหายบ้ายัง แน่ะยิ้มดิ ยิ้มดิ ”

          ยิ้มเหี้ยอะไร กูงง มีแต่พี่มันนั่นล่ะที่แม่งบ้า ทั้งหัวเราะทั้งยิ้ม จนกูยิ้มตามแล้วเนี่ย.. หน้าแม่งโคตรตลกเลย


          “พี่แม่ง..” นั่นไงผมหลุดหัวเราะออกมาจนได้ ส่วนพี่มันก็ยิ้มแฉ่งอย่างกับพระอาทิตย์อบอุ่น


          “เป็นไง คาถากูขังดิ” เดี๋ยวกูก็ คลิ๊กแคล็ก บางละบิ้งบางละบูม แบล็คพิ้งค์ใส่บ้างเลยนี่


          “โวะ!”พี่ขิตยักคิ้วหลิ่วตาให้ผม ผมเลยผลักหน้ามันไปไกลๆ

          แต่ก็แปลกว่ะ มันรู้สึกดีขึ้น ผมว่า...พี่ขิตมึงควรเอาดีด้านนี้นะ เผื่อแม่งจะได้ตีตั๋วไปดาวอังคารกับเขาบ้าง

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
​Dish side เมนู ที่ 3.5 : เครื่องเคียงของเชฟเถื่อน 1 (สั้นๆ ใสๆ)

          อะแฮ่ม…เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นความจริงในหัวผมล้วนๆ ไม่มีวัวผสม กระผมนายลิขิตพวงสวรรค์ เชฟเดอปาตีร์ หรือ CDP ครัวไทย ณ โรงแรมสุขีสุขังฯ จะขอคั้นโฆษณาในมุมมองของผมสักครู่นะครับ


          สัมภาษณ์เลยเริ่ม!


          ตั้งแต่เจอเด็กคนนั้นครั้งแรกน่ะเหรอ? คือเฮ้ย! ตกใจกับสีผมทองอร่ามเหมือนเจดีย์ภูเขาทองมากๆ


          แต่มันก็ไม่ถึงขั้นเลวร้ายนะ ผมแค่แปลกใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงได้พกความมั่นอกมั่นได้มากขนาดนี้ จริงๆ ตอนที่เฮดเชฟขอให้ผมมาช่วยนั่งสัมภาษณ์(ซึ่งยังไม่ได้ถามอะไร) คือต้องการให้ผมมานั่งเป็นฮกลกซิ่ว ซึ่งการสัมภาษณ์งานควรจะมีกรรมการทั้งหมดสามคน และผมผู้ซึ่งเพิ่งกลับงานจากงาน OTOP แดนไทยใจภูเก็ต มาได้หมาดๆ ยังไม่ทันจะได้กลับแมนชั่น ก็ต้องตรงรี่เข้าไปช่วยด้วยสภาพโทรมๆ เหมือนผีตายซาก


          และด้วยความเหนื่อย ฟังน้องสัมภาษณ์ไป ก็จะหลับ แถมรู้สึกเจ็บคอนิดๆ เหมือนจะเป็นไข้ สุดท้ายก็นั่นล่ะ อย่างที่คุณๆ เห็นกัน


          ไม่ได้ตั้ง แต่มันหยุดไม่ได้ ด้วยความรู้สึกผิด(จริงๆนะ) ผมเลยอยากชดใช้ด้วยความหวังดีจากประโยคนี้


          “นี่ไอ้หนู…ถ้าไม่รู้จะใช้ธีมอะไรซดต้มตีนไก่ของพี่ช่วยคิดได้นะ” และตอนนั้นผมถึงได้เข้าใจเส้นบางๆระหว่างคำว่า ‘ฉีกยิ้ม’ กับ ‘แยกเขี้ยว’ ได้อย่างชัดเจน


          อืม...แต่ดูไปดูมาไอ้เด็กนี่ ก็น่าฟัดดีนะ เหมือนแมวหัวทองจอมหงุดหงิด

 
          แล้วหลังจากเทสเสร็จ ผมก็ได้ค้นพบความตกตะลึง แล้วต้องยอมรับว่า ไอ้น้องคล้าวนั่น(ออกเสียงยากเรียกคล้าวไปนั่นล่ะ)เป็นคนที่ค่อนข้างมีความสามารถ และมีฝีมือในการรังสรรค์อาหารและบริหารเวลา คุณสมบัติของเชฟเบื้องต้นครบ เหลือแค่ประสบการณ์ที่ต้องการเติมเต็ม


          ในเย็นวันนั้นเอง ผมก็ถูกเรียกเฮดเชฟรียกเข้าไปหาอีกรอบ และบอกให้ผมรับเด็กคนนั้นเป็นเดมี่เชฟ


          ตอนแรกผมลังเล เพราะที่ทำงานมาไม่ใช่ว่าหน่วยครัวไทยจะไม่เคยมีใครเป็นเดมี่เชฟให้ผม แต่ส่วนใหญ่มาทำงานเป็นผู้ช่วยได้ไม่กี่เดือน ก็ขอลาออกกันหมด ตำแหน่งเดมี่ครัวไทยเลยว่างล้างมานาน อีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่อยากรับคือ...ผมเบื่อที่จะต้องมานั่งสอน


          แต่สำหรับน้องคล้าวหัวทองแล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนเฮดเชฟเป็นคนออกปากเองเห็นทีจะปฏิเสธยาก และมันก็ทำให้ผมรู้ความจริงว่า เจ้าเด็กนั่นอาจเส้นใหญ่


          ผมขมวดคิ้วคิด จริงๆ ไม่ต้องเส้นก็ได้ ฝีมือระดับเจ้าเด็กนั่นสามารถทำงานที่นี่ได้อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังความกังวลว่าถ้าน้องคล้าวขึ้นมาเดมี่ผมเลย อาจจะโดนเพื่อนร่วมงานเขม็งได้ เพราะจริงๆ ควรเริ่มต้นด้วยคอมมี่เชฟระดับ 1


          แต่นั้นล่ะ...ความคิดผมมันค้านใครได้ที่ไหน สุดท้ายก็เลยต้องยอมรับแต่โดยดี แถมยังโดนให้คุยกับมิสเตอร์สมิธ พ่อของเด็กนั่นด้วย และผมจะได้เบอร์โทรศัพท์เด็กคนนั้นมา


          เริ่มงานวันถัดมา...


           จากที่คุยกับพ่อ(คล้าว) ทำให้รู้ว่าบ้านพักของน้องมันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากแมนชั่นผม ผมเลยโทรไปปลุกแล้วให้มันมารับตั้งแต่ ตี 4


          ทีแรกน้องมันทำหน้าหมางง เหมือนประมาณว่ากูมาทำอะไรอยู่ตรงนี้? ผมก็อยากอธิบายนะ แต่ตอนนั้นท่าจะยาวเลย คิดว่าค่อยคุยกันตอนพักดีกว่า


          กระทั่งเกิดเรื่องขึ้นก่อนพักกลางวัน ที่น้องมันใช้ ไอ้เปรมไปทิ้งเปลือกไข่ ส่วนตัวเองเดินตัวปลิวกลับครัว


          ตอนนั้นผมไม่ได้โกรธอะไรหรอก แค่อยากจะสอนน้องมันให้รู้จักช่วยเหลือกัน เพราะผมอยู่ที่นี่ ก็ทำทุกอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าน้องมันจะปีนเกลียวไง ผมเลยทำโทษมห้มันทำงานข้ามกะ


          จริงๆ ไม่ใช่การทำโทษหรอก แต่ผมอยากจะให้น้องมันรู้งานมากกว่าว่าวันๆ นึงต้องทำอะไรบ้าง


          และจากที่อยู่ด้วยกันมาเป็นจำนวนหนึ่งว่าเต็มๆ มันก็ทำให้ผมรู้ว่า น้องมันเป็นเด็กหัวนอก มีความมั่นใจเกินร้อย ใจร้อน พูดตรง ปากจัด แต่ขณะเดียวก็ใส่ใจในการทำงานแบบเต็มร้อย ยิ่งสีหน้าตอนที่ตั้งตกใจ ทำงานน่ะนะ


          หึหึ น่ารัก…น่าฟัดมากๆ


          แต่ตอนนี้ผมไม่คอยชอบใจเท่าไรเลย ที่เห็นหน้าน้องมันเฟลมากๆ หลังจากที่ลูกค้าคอมเพลนอาหารมา ใจจริงผมก็ไม่คิดว่าคล้าวผิดหรอก เพราะเชฟแต่ละคนจะมีวิธีการทำอาหารไม่เหมือนกัน ผมเลยพยายามสอน แต่น้องมันเหมือนเฟลอยู่ไง พอผมพูดแบบนั้นก็เลยยิ่งสติแตก


          ตามหาน้องตั้งนาน สุดท้ายก็มาเจอที่โถงโรงแรม ผมลากมาคุย แต่น้องมันตีหน้าบอกบุญไม่รับ


          ไม่ชอบใจเลย ไม่อยากเห็นหน้าแบบนี้


          ผมเลยทำอะไรบ้าๆบอๆ เพื่อหวังว่าน้องมันจะยิ้ม


          แล้วคล้าวก็ยิ้ม…ยิ้มแบบที่ทำให้ใจผม…เต้นแรง


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 เอาไซด์พี่ขิตแบบสั้นๆมา แปะ ตอนใหม่เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 4 : แกงส้มคาโบน่าร่า PART 1
 

          I don’t know how to explain my feeling now. But..


          If you look at me, you will find something strange on the table.


          จะไม่แปลกได้ไงล่ะ ก็ผมนั่งจ้องครกอยู่เนี่ย


          หลังจากที่หน้าผากถูกเป่าคาถาโดยพระอาจารย์ขิต หัวสมองมันเหมือนเอ๋อไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าพี่มันเล่นบ้าอะไร ทว่าก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าร่างใหญ่นั้นทำให้ผมยิ้มออก น่าแปลกทั้งๆ ที่เป็นคนไม่ค่อยเก็บเรื่องปัญญาอ่อนๆ แบบนี้มาใส่หัวเท่าไร แต่ ณ จุดๆ นี้ ความรู้สึก ‘ประหลาด’ ยังคงอยู่กลับผมจนถึงบ้าน


          วันนี้ผมเลิกงานเร็วกว่าปกติ เพราะผมเขางานตอนสิบโมงเช้า ซึ่งต้องเลิกงานตอนหกโมงเย็น ส่วนพี่ขิตเลิกสามทุ่ม แต่นู้น กว่าจะบรีฟงานเชฟวันพรุ่งนี้เสร็จ รวมเวลาเก็บของอีกก็สี่ห้าทุ่ม ปัญหาคือพี่มันไม่มีรถไง แล้วจะมันกลับแมนชั่นป้าเขียมยังไงวะ


          “…”

          เอ่อนี่กูกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย กูจะเป็นห่วงพี่ขิตทำไมวะ


          ผมเหยียดตัวกางแขนออกบิดขี้เกียจ ก่อนเอนหลังพิงผนักเก้าอี้ พลางเอามือสานท้ายท้อย แล้วหลับตาลง


          จะว่าไปนี่ก็ผ่านมาได้สองวันแล้วพี่ผมได้เข้ามาทำงานในฐานะเดมี่เชฟของครัวไทย โดยมีนายลิขิต หรือไอ้พี่ขิตเป็นหัวหน้า ส่วนเหตุผลที่ผมมาอยู่ที่นี่นั้น..


          “เชี่ย! พี่มันยังไม่อธิบายอะไรนี่หว่า”

          ผมมุ่ยหน้าขมวดคิ้ว จริงๆ ก็อธิบายแต่มันเป็นคำอธิบายที่ไม่มีประโยชน์อะไร นั่งบิดไปบิดมาสักพักก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง จำได้ว่าไอ้พี่ขิตโทรเข้ามาสองรอบแล้ว เลื่อนๆดูเบอร์โทรเข้า


          092 XXX-XXXX       

                                       
          กำลังจะกดโทร แต่อยู่ๆก็ชะงักมือไว้


          เอ่อ แล้วพี่มันมีเบอร์ผมได้ไงวะ?


          [Ringtone]


          #^#^#&% อปป้า!  #^%#^@ อปป้า!


          ขณะที่กำลังสงสัย จู่ๆ ก็มีคนโทรเข้ามา


          Dad? ผมรีบเลื่อนสไลด์รับ


          “Hello dad”


          “Are you ok  boy?”


          มาถึงก็ถามราวกับรู้ว่าผมไปเผชิญกับอะไรมาบ้าง หรือว่า…พ่อก็ณุ้ว่าผมชวดต่ำแหน่ง CDP?


          อืม…ไม่หรอกมั้ง..แต่เผื่อความสบายใจของบิดาท่าน ผมควรตอบแบบนี้สินะ


          “Um..not bad”


          “แต่เสียงฟังดู ผิดหวังนะ ”

          จึก! อือหื้อ พ่อจ๋า พ่อจี้ใจลูกคนนี้มากทำไม? ถ้าพ่อจะเล่นแทงใจดำกันขนาดนี้ พ่อพูดเลยว่า I know every thing about you!


          “ก็ไม่รู้สิ..ผมคิดว่าพ่อโทรมาหาผมช้าไปไหม” ลองหยอดไปบ้าง แต่ปลายสายกลับหัวเราะคิกคัก


          ตลกอ่อพ่อ นี่ซีเรียสมาก


          “พ่อนึกว่าลูกจะโทรมาก่อนหน้านั้น” แสดงว่ารู้!


          ผมถอนหายใจ


          “ผมไม่ใช่เด็กๆแล้ว” แหมะ..ตอบอย่างโคตรเท่ แต่ถ้าว่าโกรธมั้ย โกรธ! มีปัญหามั้ย มี! แต่เพราะผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรที่มาต้องหงุดหงิด โวยวายลงใส่พ่อไง เพราะท่านก็อุส่าห์ปูทางให้ผมเหนือกว่าเด็กจบใหม่อื่นๆ ทั่วไปแล้วอย่างที่พี่ขิตบอกไม่เริ่มด้วยคอมมี่เชฟก็เป็นบุญโข


          The show must go on ผมควรยอมรับ และแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้แล้ว


          “งั้นแสดงว่าโอเคกับตำแหน่งนี้”


          “ความจริงผมหวังไว้สูงกว่านั้น” ผมตอบไปตามจริง ไม่ได้ประชดพ่อนะ แต่ผมคิดว่าตอนนั้นจะได้เป็น CDP ครัวอิตาเลียน หรือ ครัวฝรั่ง อะไรเทือกๆนั้นแน่ เลยผิดหวังนิดๆ


          พ่อหัวเราะ ก่อนจะพูดมาสองประโยค


          “When you feel disappoint. You will learn how to grow up.”

          ผมเงียบ..แล้วยิ้ม พ่อผมเป็นคนแบบนี้ เพราะเขามีวิธีการสอนที่ไม่เหมือนกับพ่อคนอื่น ให้ผมมีสิทธิ์เลือกทางเดินด้วยตัวเอง แต่ขณะเดียวกันถ้ามันผิดพลาดหรือผิดหวัง พ่อจะไม่เคยต่อว่า แต่ท่านจะสอนให้ผมได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด เพื่อให้ผมเข้มแข็ง รับได้กับทุกสถานการณ์ สตรองมาก!


          “I will grow up. Thank you dad.”ผมกล่าวพร้อมยิ้ม และคิดว่าท่านก็น่าจะยิ้มอยู่เหมือนกันกับผม เงียบไปประมาณ สิบวินาทีได้ ปลายจึงกะแอ่มไอแล้วพูดต่อ


          “แล้วหัวหน้าลูกดีมั้ย?”

          โอโห…คำถามนี้ ผมควรตอบแบบไหนดีวะ เล่นมาเจาะใจสัมภาษณ์กันแบบนี้ ผมก็นึกคำตอบไม่ทัน! นึกถึงความดีพี่มันแป๊ป


          ขากเสลดตอนสัมภาษณ์

          ไว้หนวด ไว้เครา ไว้ผมยาว อย่างคนเถื่อน

          ‘ไอพวกเวร’ พูดจาก็หยาบคาย

          ‘แอมเลิฟลี่แมน นโมตัสสะ เอวัง พังตา บูมบาย่า..’แถมบางครั้งก็ปัญญาอ่อน


          “Yeah..he’s a good person.”

          ล้วงคออ้วกเลยได้มั้ย…เหี้ยไอ้พี่ขิตกูกระดากปากมากที่บอกว่ามึงเป็นคนดีให้พ่อฟัง แต่เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่ากูมีหัวหน้าเป็นคนเถื่อนกูต้องจำใจ


          แล้วนั่นล่ะ พอได้ยินแบบนั้นท่านพ่อก็หัวเราะ


          “โอเค งั้น มีอะไรขาดเหลือบอกพ่อได้เลย เดี๋ยวจะให้ลุงโจนส์จัดการให้”


          “ครับ”

          ผมแอบถอนหายใจ ในที่สุดพ่อก็จบการสัมภาษณ์ ไม่ถามเรื่องไอ้พี่ขิตต่อ ทว่าไม่ทันได้สบายใจ อยู่ๆพ่อก็เรียกชื่อผมต่อ


          “คลาว..” ผมเงียบ..ใจตุ้มๆต่อมๆ พ่อจะถามอะไรอีก


          Hey! Please stop your question!


          “พ่ออยากกินอาหารไทยฝีมือลูกนะ”

          ตึกตึก ไม่ใช่เสียงฝีเท้า แต่เป็นจังหวะการเต้นของหัวใจที่พองโตขึ้นมา ผมทึ่ง ขนลุกไปหมดทั้งตัว ไม่รู้สิเพราะตั้งแต่เรียนเชฟและจบมา พ่อไม่เคยพูดประโยคนี้ให้ผมฟังเลยสักครั้ง


          ผมเหลือบสายตาไปที่ครกหินที่ไอ้พี่ให้ผมยกมาไว้ที่บ้าน แล้วยิ้มบางๆ


          บางทีที่ผมมาเป็นเดมี่ให้ไอ้พี่ขิตในครัวไทยมันอาจจะเป็น โชคชะตา ก็มั้ง


          “ไว้พ่อแวะมา ผมจะตำส้มตำให้กินแล้วกันนะ” ผมกล่าวเสียงสดใส พ่อหัวเราะ


          “งั้น See you boy”


          “See you dad”

          แล้วท่านก็วางสายไป ผมอมยิ้มมือกุมโทรศัพท์อยู่แบบนั้น ความสับสนงุนงงที่เกินขึ้นหายจากหัวผมแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ความสุข อบอุ่นใจที่ไม่น่าจะเกิด


          ผมลุกขึ้น ก่อนจะนำครกที่ตั้งไว้อยู่บนโต๊ะ ไปตั้งไปที่เค้าเตอร์รวมกับอุปกรณ์ห้องครัว


          วันหนึ่งผมคงต้องได้ใช้มันแน่ๆ..

          .
          .
          .
          .

          แต่ก็ไม่นึกว่าวันนั้นจะเร็วขนาดนี้!


          “วันนี้พี่หยุด”


          “แล้วทำไมพี่ต้องหยุดพร้อมผมวะ?”

          ในหนึ่งอาทิตย์เชฟจะมีวันหยุดสองวัน เพียงแต่แต่ล่ะคนจะมีวันหยุดไม่เหมือนกัน ส่วนของผมทางโรงแรมกำหนดมาให้เป็นวันอาทิตย์กับวันพฤหัสบดี ซึ่งถ้านับจากวันที่ผมมาสมัครเป็นเชฟวันแรก ผมก็ทำงานมาสามวันแล้ว และวันนี้เป็นหยุดแรกของผม


          ผม-ควร ได้-พัก-ผ่อน เน้นย้ำทีล่ะคำ กะจะนอนยาวๆ ไง แต่กลับมีมนุษย์หมีร่างยักษ์มากดออดโบกมือไหวๆอยู่หน้าบ้าน ตั้งแต่สิบโมงเช้า ผมจึงเดินออกมากอดอกอยู่ที่ประตูบ้าน ชำเลืองสายตา เห็นพี่มันถือของมากมายกายกอง


          จะแบกอะไรมาเยอะแย่ะวะ


          “กูไม่ได้หยุดพร้อมมึง กูหยุดวันนี้อยุ่แล้ว” พี่ขิตอธิบาย ผมหน้าเหวอ เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอคิดเข้าข้างตัวเองมากไป ทำไงดีวะเพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม


          อะแฮ่ม..ผมกระแอ่มไอแก้เก้อก่อนพูด


          “พี่เลยไม่รู้ว่าจะไปลงจอดที่ไหน เลยมาลงบ้านผมนี่” ผมอกอกเชิดหน้านิดพูดกับพี่มัน แต่ทำไมกลับรู้สึกแปลกๆ เหมือนภรรยางอนไม่ให้สามีเข้าบ้าน?


          สามีผีอะไรล่ะ!? คิดอะไรวะกูเนี่ย


          “อ่าวก็ไม่ได้ปิดป้ายว่า ห้ามนายลิขิต พวงสวรรค์เข้านี่” ณ จุดนี้เกลียดนามสกุลพี่มันจริงๆ ผมกลอกตาขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ


          มึงไม่อยากเข้าบ้านใช่มั้ยไอ้พี่ขิต!


          “เข้าบ้านได้ยังง่ะ”


          “ยัง”


          “โถ่แม่คุณ ขอเถอะครับพี่ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกับแดดประเทศไทย” ไอ้พี่ขิตมันโอดครวญ..จริงๆก็สงสารพี่มันอยู่นะ ถือของก็หนัก แดดก็ร้อนจนเหงื่อออกแตกพลั่กๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากได้คำตอบก่อน


          “พี่ต้องตอบคำถามผมมาก่อน” ผมถามเสียงจริงจัง พลางมองหน้าคนตัวใหญ่ พี่ขิตกะพริบตาปริบๆ ก่อนพยักใบหน้าเบาๆ


          “พี่รู้จักบ้านผม กับเบอร์ผมได้ไง?” ไม่ว่าเปล่าหยิบโทรศัพท์ตัวเอง พร้อมกดหน้าแสดงเบอร์พี่ขิตมาเป็นส่วนประกอบด้วย เห็นพี่มันกลืนน้ำลายดัง ‘เอื้อก’ ท่าทางดูอึกๆอั่กๆ ชอบกลมีพิรุธ ผมขมวดคิ้ว


          เห็นทีต้องใช้ไม้ตาย!


           “ถ้าพี่ไม่ตอบ งั้นพี่ก็ยืนอยู่ตรงนี้นะ” ว่าจบผมก็หันหลังแกล้งทำเป็นเดินเข้าบ้าน ไอ้พี่ขิตก็ตะโกนไล่หลังมา


          “มิสเตอร์สมิธเป็นคนบอกพี่!” คำตอบนี้ทำให้ผมหันขวับ!


          “พี่รู้จักกับพ่อผมใช่มั้ย?” พอเห็นผมคาดคั้นพี่มันก็สะดุ้งนิดๆ แต่ก็ตอบออกมา


          “เปล่า พี่ไม่รู้..จะไปรู้ได้ยังไง ก็มีแค่ตอนเฮดเชฟบอกให้พี่โทรหาเขา พี่ก็โทรก็แค่นั้น”


          “งั้นที่ผมได้มาเป็นเดมี่พี่ เพราะเฮดเชฟกับพ่อสั่ง”


          “ก็มีส่วน..”

          มีส่วน..มีส่วนอะไรวะ “ทำไมพี่แม่งต้องตอบเป็นปริศนาไม่กระจ่างเลยสักครั้ง เหมือนผมสั่งของไป แล้วผมถามพี่ว่า พี่จะส่งของให้วันไหน พี่ตอบ ‘เรื่อยๆ’ มันคืออะไรอ่าพี่ ว๊อท!?” นี่ไม่ได้โมโหนะ แค่หงุดหงิดกับคำตอบอะไรที่ต้องทำให้เราต้องมาคอยลุ้นภาคต่อไป


          พี่ขิตเลียริมฝีปากตัวเอง ใบหน้าคมเข้มนั้นดูจริงจังขึ้นมา


          “นี่คล้าว ว่าแต่เวลาเจอหน้ากู มึงหยุดเรื่องตำแหน่งงานได้มั้ย เลิกถามสักทีว่าทำไมถึงได้มาเป็นเดมี่กู” ว่าแล้วพี่มันต้องตอบแบบนี้ แต่ก็โอเค..ไม่ตอบก้ไม่ตอบ แต่เพราะพี่มันเห็นสีหน้าผมไม่สบอารมณ์ล่ะมั้ง มันถึงได้พูดขึ้น


          “สั้นๆว่าตำแหน่ง CDP ไม่ว่าง แต่เดมี่กูว่าง มึงเลยได้มากับกูจบนะ” ไม่จบอะ


          “แล้วเดมี่ CDP ครัวฝรั่งไม่ว่างเหรอพี่” ผมถาม ทีนี้พี่มันเท้าเอวกลอกตาถอนหายใจจัดเต็มมาก


          เฮ้ยๆ..พี่มึงอย่าเพิ่งโกรธ


          “สรุปมึงไม่อยากอยู่กับกู” นั่นไง


          “ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ผมไม่ถนัด อาหารไทย ยู โน้ว?”


          “มึงเกลียดกูสินะ พี่เสียจุยนะ พี่เสียจุย”


          เอ่อ..พี่ ประโยคมึงโคตรดราม่า แต่ประโยคหลังนี่มันโหมดไหนวะ แล้วพี่จะบิดตัวทำเหมือนตัวเล็กทำไม นี่กูปรับอารมณ์ตามไม่ทันแล้วนะ


          “ฮ่าๆ เฮ้ยๆ กูล้อเล่น” หลังจากเล่นเองตบเองหัวเราะเองเสร็จ แล้วพี่มันก็มันก็ฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวใสกิ๊งให้ผม


          เอ่อ..พี่แม่ง..ตัวโตอย่างกะหมีควาย ทำท่ากระมิดกระเมียนแล้ว กูใจไม่ดีเลย เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์โลกหะพี่ชาย


          “ยูมัน..” $*&^@%^ ด่าไม่ออกไงไม่รู้จะด่าอะไร แถมพี่มันก็ยังยิ้มไม่เลิกอีก


          “แหมะนานๆ ที จะได้พักผ่อน เห็นมึงเครียด เลยอยากแบ่งบันความสดใส”


          มึงช่วยเก็บความสดใส พับใส่กระเป๋า แล้วโยนลงทะเลยไปนะพี่ขิต!


          “อยู่กับพี่นั่นล่ะเครียด โวะ!”


         ไม่สนใจแล้ว สะบัดตัวเข้าบ้านแม่ง ปล่อยให้มันยืนดากแดดไปงั้นล่ะ


          “เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ มาช่วยกูขนของก่อน มึงอย่าอินๆ ไอ้คลาว ไอ้ข่าว ไอ้คล้าววว!!” แล้วคุณมึงผันชื่อกูจนครบสามเสียงทำม๊ายยย

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

          15 นาทีผ่านไป..ในที่สุดไอ้พี่ขิตก็เข้าบ้านผมมาได้สำเร็จ แน่นอนว่าผมเปิดประตูให้ จะไม่เปิดให้ได้ยังไงล่ะ ก็พี่แม่งเล่นตะโกน ‘ไอ้คล้าวๆ!’ อยู่หน้าบ้านเหมือนคนบ้า ถึงพี่มันไม่อาย แต่นี่อาย! เลยรีบวิ่งไปบอกหมีควายหน้าบ้านว่า ‘ยอมแล้วเข้ามาเถอะ’


          พอเข้าบ้านได้ เอาข้าวของที่พี่มันซื้อมาวางบนตะเสร็จ พี่มันก็นอนแหมะอยู่ที่โซฟาดูดพลังแม่งอันตรายสัสๆ โซฟาตัวนี้ ใครนอนแม่งวูบหมด ส่วนผมยืนกอดอกพิงเค้าเตอร์อยุ่ในครัว “แล้ววันนี้ใครคุม” ผมโพล่งถามขึ้น คนที่นอนอยู่บนโซฟาเปลี่ยนขึ้นมานั่งแล้วตอบ


          “เปรม”


          “…” แม่งเป็นชื่อที่ไม่อยากได้ยิน เปลี่ยนเรื่องดีกว่า


          “ไงพี่จะสอนผมทำไร” ผมถามไปงั้นๆ จริงๆ แล้วผมขี้เกียจโคตรๆ ร่างใหญ่ยืนขึ้น  ก่อนจะก้าวฉับๆ ไม่กี่ก้าวก็มายืนเสนอหน้าข้างๆ ผมว่าบ้านผมกว้างแล้วนะ แต่เป็นเพราะพี่มันตัวใหญ่ ทำบ้านผมเป็นบ้านคนแคระไปเลย


          “ฮั่นแน่ มึงยอมให้กูสอนแล้วใช่ป่ะ”


          ไอ้พี่ขิต ยู โก โฮม!


          “โอเคๆ ไม่ล้อเล่นแล้วนะจ๊ะ เบบ้” เพราะเห็นผมเริ่มทำหน้าบึ้งล่ะมั้งพี่มันก็เลยพูดแบบนี้ ว่าแต่แม่งจะทำตัวน่ารักๆ ไม่เข้ากับขนาดตัวไปทำไมวะ


          “วันนี้ กูจะสอนมึงทำแกงส้ม รู้จักมั้ย?” ผมเลิกคิ้ว แล้วมองพี่มัน


          “แกงที่มันสีแดงๆส้มๆ?”


          “เออไอ้ห่า แกงส้มสีชมพูมั้ง ถามแปลกๆ” เออถูกของมัน..กูนี่แหละ ถามอะไร


          ว่าจบพี่ขิตก้เดินไปที่ตะกินข้าวหลังที่วางของเอาไว้ พี่มันค่อยแกะถุงออกมา ก่อนจะหันมามองหน้าผม


          “กูจะสอน แต่กูจะไม่สอนตอนนี้”


          เอ่อ..


          “อะไรของพี่วะ”


          “กูอยากให้มึงลองทำให้กูกินก่อนไง กูซื้อเครื่องมาให้แล้ว พริกแกงทุกอย่างพร้อม แล้วแต่มึงจะทำ”

          ดูมีความวางแผน..แหมะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมด้วยนะเหมือนกลัวจะไม่ทำ...ว่าแต่ถามกูสักคำยัง ฮัลโหล?


          “แต่!” ไอ้พี่ขิตมันโพล่งมา จนผมชะงักกับความคิด พี่มันฉีกยิ้มอย่างมีเล่ศนัย ทำเอาใจเต้มตุ่มต่อมๆ มีเซอร์ไพรด์กว่านี้อีกวะ


          พี่ขิตยืดตัวขึ้น แล้วชี้นิ้วมาทางผม


          “กูอยากให้มึง ผสมสความถนัดของมึงลงไปด้วยเข้าใจ๋”


          ความถนัด?..อิตาเลียน? เดี๋ยวนะ..ผมเริ่มมีความคิดอะไรชั่วๆ ล่ะ


          “ต้องทำเยอะมั้ย” ผมถามพี่คิดขิตอยู่ครู่หนึ่ง


          “เออทำๆมาเหอะ เดี๋ยวกูกินให้หมดเอง”


          อือหื้อ..คำนี้ที่รอคอย


          “Don’t forget นะพี่” ผมกล่าวยิ้มๆ พี่มันพยักให้หน้าเรียบ ก่อนจะเอามือสานท้ายทอยแล้วเดินตรงไปที่โซฟา


          “ไม่รู้ว่าเริ่มจากอะไรก่อน มึงเสิร์ชเน็ตเอานะ กูของีบหน่อย เสร็จปลุกด้วย”


          โอโห่สั่งเป็นชุดนี่สรุปพี่มันมาเป็นเม็นเทอร์หรือมาเป็นมอนสเตอร์(ขี้เซา)เนี่ย


          “ครับ” พลิกโซฟาแม่ง



ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 4 : แกงส้มคาโบน่าร่า Part 2
 

          นาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก ในที่สุดผมก้ได้อภิมหาอาหารฟิวชั่นที่ไม่มีชาติใดในโลกกล้าลองทำ พอผมวางชามแกงส้มลงบนตะ ก็ปรบมือเรียกคนที่นอนอยู่ทันที


          “เสร็จแล้ว?” พี่ขิตปรือตาขึ้นมาชำเลืองมองจากโซฟา ก่อนจะค่อยๆ ย้ายร่างใหญ่ๆ มาที่โต๊ะ และทันทีเห็นผลงานอันน่าทึ่งของผม พี่มันก็เบิ่งตาค้าง


          “นี่อะไรวะเนี่ย”

          แกงส้มสีสันร้อนแรงสวยงามเหมือนลาวาภูเขาไฟ ตัดด้วยความฟิวชั่นที่เหมือนคนละขั่วอย่างครีมซอส รสชาติคงแปลกพิลึก

          แต่เป้าหมายคือไม่ได้อยู่ที่รสชาติไง เป้าหมายผมคือพี่มัน ต้องแดก!


          “แกงส้มไงพี่”ผมยิ้ม พี่มันเอามือหนวดขมับตัวเองทันที


          ถึงกับไมเกรนกินกระบาล


          “กูสั่งให้มึงทำอาหารมา นี่อะไรของมึง!”


          “ไอ้พี่ขิต คุณมึงแม่งโคตรกาก แค่นี้ไม่รู้จักอาหารฟิวชั่นเหรอ นี่!..แกงส้มคาโบน่าร่า” ตอบอย่างภาคภูมิ พลางยักคิ้วกวนๆไปให้ ไอ้พี่ขิตตะโกนลั่น


          “ขี้แตกมั้ยไอ้เกรียน!”

          ผมยักไหล่ ไม่รู้สิวันนี้ผมอยากมีความกวนตีนพี่มันสูงมาก


          “เอ้า ก็พี่สั่งให้ผมใส่ความถนัดลงไป ก็ผมถนัดอาหารอิตาเลียน ผสมไปผมผิดคำสั่งตรงไหน”


          “กูหมายถึงมึงถนัดด้วยวิธีการแบบไหน จะตำจะสับจะโขกพริก อะไรพวกนี้ กูไม่ได้หมายถึงให้มึงทำอะไรแบบนี้ ห่า! เสียดายของมั้ยเนี่ย กูว่าหล่ะกลิ่นแม่งแปลกๆ หมามันจะกินมั้ยเนี่ย”


          หมาไม่กินแต่มึงต้องกืนพี่ขิต


          “แต่..พี่บอกผมว่า จะกินให้หมดนะ” ผมกล่าวเสียงเข้ม พี่ขึ้นถ้ามึงไม่กินมึงหมามากจ๊ะ

          พี่คิดทำหน้าอยากกะเห็นยาขม เห็นแล้วขำชะมัด แต่มันยังไม่จบ แกล้งให้พี่แม่งรุ้สึกผิดอีกนิดแล้วกัน


          “ไม่เป็นไรพี่ ขนาดพี่ยังบอกว่าหมามันยังกินไม่ได้ มันคงกินไม่ได้จริงๆล่ะ งั้นผมเททิ้งแล้วกัน” ผมแสร้งทำเสียงเสียใจ ก่อนจะยกชามแกงส้มออกไปจากหน้าพี่มัน


          หมับ!


          เป็นไปตามแผน! พี่มันคว้าแขนผมเอาไว้


          “ไหนๆ มึงก็ทำมาแล้ว เดี๋ยวกูจะชิมดูสักสองสามคำ”


          “ไม่เอาดิพี่ แม่งไม่ต่างจากไม่กินอะ เอาไปทิ้งเหอะ” ผมว่าอย่างน้อยใจ พี่มันทำหน้าลำบากใจ แต่สุดท้ายก็..


          “เออๆ เดี๋ยวกูแดกเอง ”


          อุ้ย..พ่อพระธรรมาชัย..แค่ก! #แอร์เข้าคอ


          “ครึ่งถ้วยพอนะ” แหมะ มีต่อรอง น่ารัก ขอเขียมแป๊ป

 
          30 นาที ผ่านไปอย่างทุกข์ทรมาน..ไม่ใช่ไรหรอกดูจากสีหน้าเหมือนแดกยาถ่ายของไอ้พี่ขิตมัน ทีแรก็ทำไปสนุกอยู่หรอกแต่พอเห็นพี่มันกินจริงจังก็รู้สึกสงสาร ให้พี่มันกินแค่ไม่กี่คำพอ แล้วหลังจากนั้น มันก็ลากผมมานั่งโต๊ะด้วยกัน ใบหน้าคมเข้มนั้นจริงจังมากขึ้น


          “กูจะคอมเม้นต์นิดเดียวจากที่มึงทำนะ ” ผมกะพริบตาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย


          “กูจะพูดแต่แกงส้ม คาโบน่าร่ากูจะไม่พูดถึง” หืม..พี่แม่งแยกประสาทลิ้นได้เหรอวะ มาเหนือมาก


          “คำเดียวสั้นๆ นะคลาว จืด”


          “พี่แม่งลิ้นเทพว่ะ แยกคาโบนาร่าออกจากแกงส้มได้” ผมไม่ได้ไม่เชื่อพี่มันนะ จริงจริ๊ง! และเป็นเพราะพูดแบบนั้น พี่แกเลยปั้นหน้าจริงจังขึ้นมากกว่าเก่าจนผมเกร็ง เขาชี้นิ้วมาทางผม


          “อาจเป็นเพราะมึงอยู่ที่เมืองนอกนานด้วยมั้งเลยลืมไปว่าอาหารไทยต้องเป็นยังไง” จะเริ่มด่าแล้วใช่มั้ย ขอทำใจแพร๊บ


          “Listen boy” ว่าพร้อมดีดนิ้วแบบพี่ช่า ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ครัวหลังเค้าเตอร์ ในตอนนี้ผมอยู่ใยสถานะผู้ต้องหาจึงต้องเดินตามพี่มันไปดีๆ


          “อาหารไทย ต้องมีรสชาติที่จัดจ้านกว่านี้ พริกแกงต้องแน่นกว่านี้ และแน่นอนว่าต้องกลิ่นต้องมา ”


          “กลิ่นไรวะพี่” ผมแกล้งถามจริงๆก็รู้ล่ะว่าคงเป็นกลิ่มของพวกเครื่องเทศสมนุนไพรและพริกแกงที่พี่ขิตโชว์ให้ดู แต่อยากกวนตีนพี่มัน


          “กลิ่นอูมามิ” แต่ก็ไม่คิดว่าพี่มันจะกวนกลับ


          สตั้นไปสามวิเลยกู


          “เดี๋ยวกูจะทำ แกงส้มปูดำให้มึงดู และมึงช่วยเมมไว้ในหัวด้วยว่ากูทำแบบไหน” ไม่ทันได้ตอบตกลงไอ้พี่ขิตก็เดินจ้ำๆเปิดถุงสีฟ้าที่ผมตั้งไว้แอบบอยู่ด้านหลัง


          เหี้ย..พี่แกซื้อปูมาด้วยเหรอวะ


          จากนั้นอีก 45 นาที ผ่านไป


          “เป็นไง นี่กูทอดไข่เจียวปูสับให้มึงด้วยนะเนี่ย” พี่ขิตแม่งดูอวดเต็มที่อะ ตอนนี้บนโต๊ะอาหาร มีกับข้าวทั้งหมด 2 อย่างด้วยกัน คือแกงส้มปูดำ แลไข่เจียวปูสับฟูๆ ทั้งหมดเสิร์ฟคู่กับข้าวหมอมะลิร้อนๆ


          ผมกินแกงส้มไปคำแรก มันสะเทือนไปถึงตับไตไส้พุ่ง มีความเผ็ดร้อน มันไม่เปรี้ยวนำหรือหวานนำไป แล้วเนื้อปูที่ใส่ไปในแกงก็สดมาก ขับให้น้ำแกงดูกลมกล่อมมากขึ้น แถมยังมี ไข่เจียวเป็น Dish side เครื่องเขียงอีกจัดว่าเด็ด แต่มีอยู่ข้อเพราะว่าทานไปเยอะแล้วมัน..


          “ยอมรับว่าอร่อยนะพี่ แต่แม่งเผ็ดพริกไทยที่พี่ใส่ไปมากอ่ะ เผ็ดมาก!” ผมว่าไปตามตรง แรกๆไม่เท่าไร แต่หลังๆเริ่มทวีความเผ็ดขึ้นจนไม่รู้หมดน้ำไปแล้วไม่รุ้ต่อกี่แก้ว พี่ขิตทำหน้าครุ่นคิด


          “กูว่ากูทำปกตินะ ลิ้นมึงเด็กหรือเปล่า” เขาว่า ก่อนจะตักแกงมาชิม “เออเผ็ดนิดหน่อย” ผมโวยวายทันที


          “นิดหน่อยบ้าอะไร It’s very spicy” ได้ยินแบบนั้นพี่มันก็ยิ้มเยาะ


          “เผ็ดอะสิดี เพราะไม่เผ็ดก็ไม่อร่อย นี่ล่ะอาหารไทย” สายตาแม่งเหมือนกำลังแกล้งผมเลย


          นี่พี่ขิต มึนกำลังเอาคืนกูใช่มั้ย


          “กินให้หมด ไม่งั้นพี่เสียใจ”


          ใช่แน่อน!
++++++++++++++++++++++++++++++++

          เวลาผ่านไปจนฟ้าใกล้มืด แน่นอนว่าหลังจากที่กินแกงส้มหม้อเบอเริ่มของไอ้พี่ขิตไปแล้ว ข้าวเย็นวันนี้ผมคงไม่ต้องกินอะไรเลย


          “งั้นกูกลับล่ะ” ว่าจบพี่แม่งก็เปิดประตูออกไป แต่ด้วยความเป็ฯเจ้าบ้านที่ดี ผมเลยเลือกที่จะเดินไปส่งพี่มันด้วย


          ระหว่างเดินไปด้วย ผมก็เกิดสงสัยขึ้นมา พี่แม่งจะไปยังไงว่ะรถก็ไม่มี..


          “เออพี่ ผมว่าจะถามตั้งนานแล้ว เมื่อคืนพี่กลับบ้านยังไงอ่ะ”


          “อ๋อกูให้เปรมไปส่งน่ะ” ไอ้เปรมอีกล่ะ..แม่งชื่อโคตรทำให้หงุดหงิดเลย ไม่ได้ๆ ต้องปั้นหน้ายิ้ม


          “แล้วนี่กลับไงให้ผมไปส่งมั้ย”


          “อ๋อไม่ต้อง พี่ให้เปรมมันมารับล่ะ”

          อืม..รู้สึกแบบใจมันเดือดนิดๆ แล้วว่ะ พี่แม่งกลับเองคนเดียวไม่ได้ไง ทำไมต้องให้มันไปรับไปส่ง น่ามคาญ (วิบัติอีกแล้วกู)


          “พี่ดูสนิทกับมันเนอะ” ผมถามเสียงใสเหมือนไม่อะไรเจือปน แต่แน่นอนว่าประชดล้วนๆ พี่มันเลิกคิ้วงงๆนะเหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงลากเข้าเรื่องไอ้เปรม แต่พี่มันก็ตอบแบบซื่อๆ


          “ก็เอ็นดูมันอยู่ มันเป็นคนคล่องตัว และมีฝีมือ จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง โปรไฟล์คล้ายๆมึงเลย เพียงแต่ มันเรียนมหาลัยในไทย พี่ก็ว่าจะเดือนหน้าจะให้มันมาเป็นเดมี่อีกคนเนี่ย”


          เฮ้ย!..เอาจริงดิ ถึงว่า ว่าทำไมไอ้บ้านี่ถึงดูกล้าเบ่งใส่ผมนัก


          ผมขมวดคิ้วยู่ ไม่เข้าใจไอ้พี่ขิต คอมมี่เก่งๆคนอื่นมีเยอะแยะทำไมต้องเอามันขึ้นมาให้ผมขว้างหูขวางตาด้วยวะ คืออย่างจะพูดแบบนี้ไง แต่พุดไม่ได้


          หงุดหงิดฉิบ


          “มึงถามทำไมเนี่ย ชอบมันไง” รู้สึกตัวอีกที พี่แม่งก็ยื่นเข้ามาใกล้ๆ แถมยังถามอะไรแบบ้าบออีก


          ชอบห่านจิกอะไรล่ะ กูกับมันจะฆ๋ากันตายอยู่ล่ะ ไอ้หมี!


          “โวะ! ทำไมพี่ถึงคิดว่าผมชอบแม่งว่ะ”


          “เอ้าก็มึงสวย ส่วนไอ้เปรมมันก็หล่อ แถมยังชอบถามเรื่องมึงบ่อยๆ เหมือนที่มึงถามเรื่องมันกับกูเนี่ยล่ะ”


          กูอยากจะบ้าตายกับความคิดพี่มันตรงนี้เลย!


          ว่าแต่..ไอ้เปรมมันก็ถามเรื่องผมกับพี่ขิตเหมือนกันเหรอ..ไอ้นี่มันร้ายนัก!


          “พี่ไม่คิดว่าผมจะเกลียดกันบ้างเหรอ แล้วผมควรดีใจป่ะที่พี่ว่าผมสวยเนี่ย” ผมประชดถามคนตัวใหญ่ไป แล้วไอ้พี่มันก็ยิ้มไปด้วยขำไปด้วย ฮาอะไรของแม่งวะ


          “อ่าวก็ผมมึงสวยไง เนี่ยสีทอง สวย น่ารัก” ไม่ว่าเปล่ามือซนเอื้อมมาขยี้หัวผมเล่นด้วย เป็นครั้งที่สองที่พี่ขิตพูดคำว่าน่ารักใส่ผม


          “พี่!” ผมโวยวายพลางปัดมือใหญ่นั้นออกพร้อมมุ่ยหน้าไม่สบอารมณ์ ส่วนพี่มันก็เอาแต่หัวเราะ


          “โอ๋ๆ กูล้อเล่น แต่สมัยนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วนะ ตอนนี้แค่อยู่กับใครแล้วมีความสุข สนุก มันก็โอเคแล้วไม่ใช่เหรอ?”


          อยู่ๆ ก็เข้าสู่โหมดจริงจัง จนปรับตัวไม่ทัน แต่ไม่รู้ว่าทำไมคำตอบของพี่มันมันถึงได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ เหมือนหัวใจมันชุ่มชื้น ดีต่อหูยังไงไม่รู้ จริงๆ พี่มันก็..ดี อยู่เหมือนกันนะ


          “แล้วพี่อ่ะ”อุ้ยลั่น..ไม่ได้ตั้งใจจะถามนะ แต่มันหลุดไปแล้ว..ไม่ได้ตั้งใจ จริ๊งจริง #เสียงสูง


          “อ่าวไอ้นี่หลายใจ ชอบรุ่นอาแบบกูด้วยไง” พี่มันยักคิ้วหลิ่วตา ดูไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด


          “นี่ไง สามแปดหยกๆ เอวดีฟับๆ ปลุกปุ๊บดีดปั๊บ ไม่ต้องรอพรีออเดอร์  มีของ เอาได้เลย ” จังหวะนี้พี่มันยืดอก(ล้ำๆ) ของมันออกมาอย่างมาดแมนดู ภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน ผมไม่แปลกใจว่าว่าทำไมคนอย่างพี่มันถึงไม่มีแฟน


          “พี่มึงควรไปหาหมอ”


          “ไปมาแล้วหมอไล่กลับมาเนี่ย”
          เออ กูขอโทษ กูยอมแล้วว กูไม่ถามแล้ว


          ปี้น ปี้น!


          มีรถแคมลี่สีขาวบีบแตรจอดอยู่หน้าบ้าน เรียกความสนใจทั้งผมและพี่ขิตไป แต่พอกระจกรถค่อยๆ เลื่อนลงผมก็เห็นไอ้เปรมอยู่ในนั้น


          แม่ง...


          “รถไอ้เปรมมาแล้ว” ผมพูดเสียงเรียง พี่ขิตตอบเสียงในลำคอว่า “อา” ร่างสูงใหย่ทำท่าจะหันไป แต่เหมือนจะคิดอะไรได้ เลยวิ่งกลับมา


          “ลืมของเหรอพี่..”


          “เปล่า”


          “แล้ว?” กำลังจะถามว่าทำไม จู่พี่มาก็ขยี้หัวผมอีกรอบ


          “คล้าว วันจันทร์เข้าตีห้า มารับกูด้วย” พูดจบพี่มันก็วิ่งกลับไปขึ้นรถ ส่วนผมได้แต่อ้าปากค้างกะพริบตาปริบๆ เหมือนหัวสมองมันยังประมวลไม่เสร็จ กว่าจะรู้ตัวร่างสูงใหญ่ก็ขึ้นรถไปแล้ว..


          พี่แม่งวันนี้เป็นอะไรกะหัวกูวะ

(เดี๋ยวมาต่อ รู้สึกอันนี้มันเป็นไฟล์เก่า =_= ตอนนี้ดี้อยู่ ตจว นะคะ เดี๋ยวถึงกรุงเทพแล้วจะอัพไฟล์ใหม่นะคะ อ่านันนี้ไปก่อย)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 4 : แกงส้มคาโบน่าร่า Part จบ

          และแล้ว..เช้าวันจันทร์ก็วูบมาถึงเพียงหลับตา


          “ให้มันเร็วๆหน่อย อืดอาดยืดยาดกันอยู่นั้นล่ะไอ้พวกห่า ลูกค้าแดกวันนี้ไม่ได้แดกชาติหน้า” เสียงไอ้พี่ขิตยังคงเป็นเอกลักษณ์ในครัวKitchen oneได้อย่างดิบดี หากวันหนึ่งวันไหนไม่มีเสียงพี่มัน คงหลับกันทั้งครัวแน่ๆ


          “เร็วกว่านี้! เร็ว!”

          รู้สึกอยู่เหมือนอยู่ค่ายทหาร ถ้าพี่มันเข้ากะตีห้า คือพี่มันเร่งทุกสิบวินาทีเห็นจะได้ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเพราะพี่มันพูดแบบนี้ ครัวถึงไม่อืด และอาหารทุกอย่างตรงเวลา


          มีความสุขสนุกสนานกันไปครัวนี้


          “เฮ้ย! นั่นแขนตายเหรอ ชาตินี้จะได้มั้ยซอสอ่ะ เร็ว!” ไอ้น้องที่คราวที่แล้วทำมีดหล่นถึงกลับหน้าซีด นี่ขนาดมันอุส่าห์เปลี่ยนหน้าที่ไปทำซอสแล้วนะ มันยังโดนด่า แต่ช่างเถอะตอนนี้ผมสนใจหน้าที่ตัวเองดีกว่า ว่าแล้วก็เคี่ยวน้ำซุปกระดูกหมูต่อ


          “คล้าว เปรม มึงสองตัวไปออนสเตชั่น”


          หืม!?


         ผมถึงกับหูผึ่ง ออนสเตชั่นน่ะไม่เท่าไร แต่กับไอ้นี่อีกแล้วเหรอ


          “แล้วซุปผมล่ะ” ผมหันไปมองหน้าพี่มัน เชฟใหญ่ทำหน้าบึ้งๆ


          “เดี๋ยวกูทำต่อเอง”

          พอได้ยินแบบนั้นไอ้คนที่ผมเหม็นขี้หน้าก็หันมาชะโงกหน้า ยิ้มให้แสดงตัวตนตรงส่วนหน้าของครัว


          ผมกลอกตา โอเคเปรม เรามาไฟว้กัน!


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

         ณ สเตชั่นออมเล็ต


          “วันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีนะเชฟ”

          มาถึงก็เปิดประเด็นกวนตีนเลย ตอนนี้เพราะเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว รอแค่ลูกค้ามา ผมเลยมีเวลาลับฝีปากกับร่างสูงข้างๆ


          ผมหันไปแล้วฉีกยิ้ม


          “I’m ok” เปรมมันพยักหน้าแล้วหันหน้ากลับไป เงียบไปสักพักประมาณ 2 นาทีได้ คนตัวสูงกว่าก็พูดขึ้นอีกครั้ง


          “เดือนหน้าพี่ขิตบอกว่าจะให้ผมขึ้นไปเป็นเดมี่อีกคน เชฟมีความเห็นว่าไง”


          กูว่าแล้วว่ามันต้องมาเรื่องนี้ ตะหลิ่วอยู่ไหนวะ พูดไม่ถูกใจเอาตบหัวแม่ง


          “ก็ดีแล้ว จะได้มีคนช่วยงาน” สุดท้ายก็ได้แต่ตอบแบบใส่หน้ากาก อยากด่าตรงๆ มาก แต่ต้อง Keep look ไง ลูกค้าแม่งก็จะมาแล้วด้วย


          ผมกอดอกพยายามยืนนิ่งไม่สนใจมันอีก แต่ก็ยังสังเกตได้จากปลายหางตาว่าไอ้เปรมมันแอบอมยิ้มชั่วๆ


          “เป็นอย่างเชฟนี่ดีชะมัด ได้เลื่อนต่ำแหน่งเลยไม่ต้องรอประสบการณ์ก่อนหนึ่งปี”


          “…”


          “สิ่งพวกนั้นไม่จำเป็นสินะถ้าจบนอก”


          ทนไม่ไหวแล้วนะ!


          “เปรม ข้องใจอะไรกันแน่ มีอะไรก็พูดมา” บอกเลยสติแตกแล้ว พร้อมบวก พร้อมไฟว้ มองแรงมาก ถ้ามึงต่อยมา กูจะตบด้วยกระทะใช้อาวุธได้ไม่โกง แต่ได้เปรียบ


          “Challenge กันมั้ยเชฟ?” สิ่งที่ไอ้เปรมพูดทำเอาผมขมวดคิ้วทันที สายตามันเจ้าเล่ห์มาก เปรมเหยียดยิ้ม


          “แข่งกันเล่นๆ สนุกๆ ไม่ต้องเอาอะไรเป็นเดิมพัน”

          เหอะไม่ได้เดิมพัน แต่ขอโทษนะ กูไม่ได้โง่..เพราะถึงจะไม่มีของรางวัลอะไรเป็นนามธรรม แต่กูรู้ว่ามันเดิมพันด้วยอะไรหากกูแพ้มึง


          แต่ถามว่ารับมั้ย?


          รับสิ! เพราะมันมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพันไง


          “จัดมา..” พูดจบก็เหยียดยิ้มอย่างร้ายๆ บ้าง หึ..จะเหยียบให้จนอยากไปเกิดใหม่เลย



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด

โอ้ยยยย ขอโต๊ดดดดดดดดดดดดดดด  เราจิบอกว่าเรากะ % ตอนผิดงื้ออออ ตอนนั้นเบอร์มาก ตอนนี้มัน 5000 กว่าคำไง แล้วแบบ ตอนแบ่ง % มันเบลอๆ เผลอเอามาลงตั้ง 4500 -*- ตายๆๆๆ ลืมเช็คไปว่า 2 ฉากสุดท้านมันแค่ 500 กว่าคำ แง้ ขิปิดตอนไว้เท่านี้ นะคะ ตอนหน้าเจอกันใหม่ งื้ออออ  จะแข่งทำอาหารกันแล้ว ใครจะอยู่ใครจะไประหว่างคล้าวกับ เปรม เดะมารู้กันนน อิอิ

ออฟไลน์ Mynun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ผิดไหมที่ฉันอยากจะบอกว่าเกลียดชื่อห้องอาหาายันนามสกุลเลย55555555
 โครตฮา มาต่อด่วน

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 5 : กุ้งสวรรค์ หาดมรกต ยู้ฮู ยู้ฮู...PART  1

          ซ่า..


          ซ่า..


          ปล่อยให้ไหลไป..ให้ลอยลงสู่ทะเล ให้หายไป อิเย อิย้า..


          อย่าตกใจ นี่ไม่ใช่เสียงคร่ำครวญของผีโหยหวนที่ไหน คือ ผมกำลังอาบน้ำ สระผม ให้หัวสมองโปรดโปร่งอู้ลั๊ลล๊า เพราะเดี๋ยวจะต้องใช้หัวสมองอีกมาก เลยล้างผมแก้หัวร้อนสักหน่อย


          ถามว่าทำไมน่ะเหรอ?
 

          ย้อนกลับไปตอนที่แล้ว

 
          “Challenge กันมั้ยเชฟ?”

          “แข่งกันเล่นๆ สนุกๆ ไม่ต้องเอาอะไรเป็นเดิมพัน”


          จ่ะ..เหมือนกูไม่รู้เลย ว่าถ้าเกิดกูแพ้อะไรจะเกิดขึ้น นี่ก็อุส่าห์บ้าจี้ไปนั่งลิสต์มาในหัวด้วยนะ โดยรวมๆแล้ว แพ้นี่เหมือนโดนลากมาตบกลางสี่แยกอ่ะ แต่จะปฏิเสธก็ไม่ได้!


          ประการแรกเลยคือ ผมจะเสียความน่าเชื่อถือ เพราะผมเป็นระดับรองเชฟของ CDP แต่กลับแพ้ เชฟระดับคอมมี่


          สองคือ ทุกคนจะหาว่าไอ้คลาวคนนี้ไร้ความสามารถ ขี้โม้โออวดไม่ตรงตามสรรพคุณที่คุยไว้(แน่นอนว่ามั่นหน้าคุยไว้เยอะ)


          และสามคือ ถ้าแพ้ก็ต้องทนอยู่กับความอับอายที่ป้ายติดประจานบนหน้าตัวเองไปตอนการทำงาน


          สรุปโดยรวมแล้ว มีแต่ข้อเสียแรงๆ ที่สามารถทำให้ผมกลายเป็นโรคซึมเศร้า นั่งเขี่ยพื้น คุยกับกำแพงที่มุมห้อง


        ดังนั้น One way that I have to choose คือ..

          I must to win this challenge only.


          อา..อาบน้ำอุ่นๆ นี่สบายตัวจัง ผมเอื้อมมือไปปิดฝักบัวให้หยุดไหล ก่อนจะเดินออกไปจากห้องอาบน้ำแล้วคว้าผ้าขนหนูมาพันไว้ที่รอบเอว


          จะว่าไปแล้วไป มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมยุ่งๆ อยู่กับการทำเรื่องกลับมาประเทศไทย ทำให้ไม่มีเวลาดูแลตัวเองเสียเท่าไร พอกลับมาส่องหน้ากระจก ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป(นิดนึง)


          ดวงตาสีเทาน้ำข้าว ที่ได้มากจากพ่อนั้นยังคงเป็นสิ่งล้ำค่า สร้างความอิจฉาให้คนหลายๆ คน ว่านี่ล่ะลูกครึ่ง ไล่ลงมาคือจมูกเรียวตรงเป็นสันโนศัลยกรรม ถัดจากนั้นคือริมฝีปากเรียวบางสีออกชมพูเหมือนปากเด็ก แถมยังนุ่มนิ่มน่าจับบิดไปบิดมา


          อืม..มันนิ่มจริงๆ นะ เต็มใจนำเสนอมาก ไม่รู้สิถ้าให้ลำดับความชอบอวัยวะในร่างกาย ผมชอบปากตัวเองที่สุด


          ย้ายไปมองที่ผิว สีขาวเหลืองเหมือนคนเอเชียทั่วไป ส่วนร่างกายก็..สมกับวัยเด็กผู้ชายอายุยี่สิบสามล่ะมั้ง ไม่ได้ผอมแห้งเหมือนอย่างไอ้พี่ขิตมันบอกนะ แต่ก็ไม่ล้ำสันเหมือนไอ้พี่ขิตเหมือนกัน


          ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองสูงขึ้นประมาณเซนหนึ่งหรือสองเซนเห็นจะได้ แต่อีกอย่างหนึ่งที่ทำเอาผมขมวดคิ้วคือ สีผม

          “อา..ไรผมเริ่มเป็นสีดำอีกแล้ว” ใช่เพราะพื้นเพของผมเป็นคนเอเชีย ย่อมรับยีนส์เด่นเรื่องสีผมสีดำมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ผมไม่ชอบใจจึงพยายามย้อมมันตลอด หากถามหาเหตุผลว่าทำไม..ผมก็จะตอบ เพราะตั้งแต่คุณนายนดาเสียไป ผมก็ย้อมมันเป็นสีทองตลอด เผื่อไม่ให้นึกถึงท่าน


          คุณนายชอบบอกว่า ผมสีดำมันสวยและนิ่มไง เหมือนผมผู้หญิง ท่านเลยชอบมาลูบๆ จับๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส..


          แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วล่ะ..


          ผมถอนหายใจ ก่อนจะคว้ามีดโกนมาโกนหนวด โกนเคราให้เรียบร้อย จริงๆ ก็ไม่มีเท่าไรหรอก จะมีก็แต่ขนอ่อนๆ..เพราะผมเป็นมนุษย์จำพวก เอ่อ..ไม่ค่อยมีขน(?) อะไรอย่างนั้นเท่าไรน่ะ


          ออกจากห้องน้ำ ตรงไปที่ตู้เลือกเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนหัวเตียงขึ้นมาดูเวลา


          8.33 น.


          วันนี้เป็นวันอังคาร ผมเข้างานสิบโมงตรง แน่นอนว่าต้องเหาะไปรับพี่ขิตที่แมนชั่นป้าเขียมก่อนที่เข้าโรงแรม ว่าแต่ผมควรบอกคนที่จะไปรับมั้ยนะว่า ไอ้เปรมมันท้าผมแข่ง...


         “…”

         ไม่บอกแล้วกัน เพราะถ้าเกิดพี่มันอยากช่วยขึ้นมา ไอ้เปรมมันจะหาว่าผมโกง


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
           

          หน้าแมนชั่นบ้านเขียม


          “เฮ้ย! ได้ข่าวมึงจะแข่งชาแลนจ์กับไอ้เปรมเหรอ!”

          นั่นไง ยังไม่ทันได้ทำอะไร พอพี่มันขึ้นรถปุ๊บ ร่างใหญ่ก็ทักทายด้วยประโยคนี้เลย แถมน้ำเสียงก็ฟังดูตื่นเต้นสุดๆ ส่วนผมนี่สิ เอ๋อแดก!  พี่แม่งมีญาณทิพย์หรือไงวะ ได้ข่าวไวฉิบหาย หรือว่าไอ้ตัวร้ายนั่นมันบอก


          “พี่รู้ได้ไง”ผมหันไปคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ตรงๆ แล้วพี่มันก็ตอบกลับมาแบบซื่อๆ


          “ก็ไอ้เปรมมันบอก” กูว่าล่ะ ทำไมซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ


          “แล้วก็มันมาขอให้พี่มาเป็นกรรมการด้วย”


          หืม..อันนี้กูเข็มขัดสั้น (แป๊กมั้ยให้ทาย)


          “แล้วพี่ว่าไง” ถามทั้งที่ตาก็ขับรถไปเรื่อยๆ ความจริงก็ไม่สนใจหรอกว่าพี่มันตอบอะไร ถามไปเป็นมารยาท เพราะพี่มันดูตื่นเต้น จะว่าไป...วันนี้รถก็ไม่เยอะเท่าไรแฮะ


            “ก็ไม่ว่าไง”

            ไม่ว่าไง..อะไรของพี่มันวะ งงคำตอบมันฉิบหาย กูถามใหม่ก็ได้


            “พี่ตอบตกลง?”  แอบปรายตาไปมองคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ พี่ขิตพยักหน้าหน่อยๆ


            “ใช่..แล้วมึงทำไมต้องทำเสียงดุใส่กูด้วยเนี่ย”


            “ดุบ้าอะไร ผมก็ถามปกติ”

            ผมขมวดคิ้ว อาการผมออกทางน้ำเสียงขนาดนั้นเลยเหรอวะ ไม่ได้หงุดหงิดอะไรเลยนะ ชูสามนิ้วสาบานด้วยหัวไอ้เปรม เปลี่ยนบรรยากาศก็ได้ ผมเอื้อมไปเปิดเพลง..


           แฟนตาสติ๊กเบบี๋ บูมชาก้าลักก้า!


          โอ้วว จีดี…

           
            “เพลงเหี้ยอะไรของมึงวะ ชักๆ ก้าๆ “ พี่มันบ่น ผมจิ๊ปาก แม่งเชยยยมากไม่รู้จัก อปป้า แต่จะว่าไปผมก็ไม่แปลกใจเท่าไร ดูหน้าพี่มันสิ คนล่ะสไตล์ แต่กูติ่งเกาหลีไง คลั่งไคล้แบ็คพิ้งค์ มีใจให้บิ๊กแบง กำลังจะก้าวกระมาเป็นแสตนวายเจ จบนะ


          “มึงไม่มีพวกเพลง น้องจ๊ะ ใบเตย ไผ่ผงศธร ไมค์ ภิรมพร เหรอวะ” เอ่อ..พี่มึงเอามาทั้งค่ายเลยก็ได้นะ


          “จะไปมีได้ไงพี่ ดูหน้าผมด้วย”

          ท้วงเสร็จ พี่มันก็บ่นว่า “ไรวะ” หน่ายๆ หนึ่งที ก่อนจะถอนหายใจมุ่ยหน้าหน่อยๆ เหมือนเด็กงอนเวลาแม่ไม่ให้กินขนม บางทีก็ไม่เข้าใจพี่มันนะ ตัวแม่งใหญ่อย่างกะหมีขั้วโลกเหนือ แต่ชอบทำตัวเล็กเหมือนกูเป็นหนูแฮมสเตอร์


          ปล่อยให้พี่มันฟังบิ๊กแบงไปสักพัก ก็ขับรถมาจนถึงแยกก่อนเข้าโรงแรม ไม่รู้มีอะไรสะกิดใจถึงหลุดถามแบบนี้ไป


          “พี่คิดไว้ยังว่าวัตถุดิบหลักคืออะไร” อึ้งสิ..ไม่ใช่พี่มันตะลึงนะ ผมเนี่ยทึ่งตัวเอง ว่าทำไมถึงย้อนแย้งกับความคิดในหัวนัก

           
          “ก็คิดๆ ไว้บ้าง ทำไมมึงอยากรู้อ๋อ” ไอ้พี่ขิตเอียงคอ ไม่สิแม่งเอียงทั้งตัวมาถามผมเลย แถมเสียงก็กระแน่ะกระแหนมาก เหมือนจะสิง น่าตบมาก


          “พี่ไม่ต้องบอกหรอก ระดับนี้ อะไรก็ได้จัดมา” ผมตอบอย่างมั่นใจ ยกเว้นแต่..


          “ยกเว้นมึงทำแกงส้มมา กูจะไม่แดก!” ไอ้พี่ขิตรีบพูดขัดอย่างไว ห่าพี่แม่งไม่รักษาน้ำใจกูเลย..วันหลังทำแกงโปะแตกชิ่งๆ ให้มันแดกพร้อมกับเพลงน้องจ๊ะคันหูแล้วกัน พี่ดูท่าจะชอบ

 

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
           

          ล่วงเลยมาจนถึงเวลาเลิกงาน เนื่องจากช่วงเช้าตีห้าวันนี้ชูเชฟเป็นคนเข้ามาคุมงานเบรคฟัสก์ ทั้งผม พี่ขิตและไอ้เปรที่เข้างานช้ากว่าตอนสิบโมงตรง จึงออกกะตอนช่วงสามทุ่มพอดี


          ตอนนี้ผมกำลังถอนยูนิฟอร์มเชฟออกแล้ว กำลังเก็บข้าวของใส่ล็อตเกอร์ เปลี่ยนมาเป็นชุดปกติ จะว่าไป..ถ้าพูดถึงวันนี้แล้ว ทุกอย่างดูปกติ ไม่มีเรื่องตื่นเต้นดราม่าคอขาดบาดตายเหมือนที่แล้วๆ มาเท่าไร ทั้งที่คิดว่าไอ้เปรมจะเข้ามาเบ่งใส่ผมบ้าง หลังจากที่รู้ว่าพี่ขิตเป็นกรรมการ


          แต่ไม่เลย เงียบกริ๊บ เหมือนไม่เคยมีเวรมีกรรมอะไรต่อกัน ส่วนผมเองก็เป็นคนดีไง ถึงจะมั่นหน้าแต่ก็ใจเย็นไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน จึงยอมพักสงบสงครามกับมันชั่วคราว


          พอเก็บกระเป๋าเสร็จ ก็คิดว่าจะไปรอไอ้พี่ขิตมันที่โถงโรงแรม แต่พอก้าวออกมาจากประตู ตรงระเบียงก็เห็นไอ้เปรมมันกับยืนคุยกับไอ้พี่ขิต หัวเราะกันสนุกสนาน


          ผมขมวดคิ้ว ทำไมพี่มันมายืนอยู่ตรงนี้วะ ก่อนที่ปลายสายตาคมกริบของไอ้เปรมมันจะตวัดมาทางผม


            “ไงเชฟ” มันโบกมือทักทายอย่างเป็นมิตร ถึงไอ้นี่มันไม่เคยพูดจาหยาบคายใส่ผม แต่กลับเกลียดนิสัยร้ายเงียบของมันชะมัด


            ผมไม่ตอบอะไร ทำเพียงใช้ภาษามือชี้โบ้ยไปทางด้านหลัง บอกพี่มันว่าจะไปรอข้างนอกนะ แต่พระเจ้าลิขิตพวงสวรรค์กลับทำหน้ามึนใส่ซะงั้น


            “อะไรของมึงวะ”

            โอเค ไอ้พี่ขิต กูพูดก็ได้


            “ผมจะไปรอพี่อยู่ข้างนอก” ว่าจบก็ก้าวขาเดินเพราะไม่อยากจะเห็นไอ้เปรมมัน แต่คนเป็นหัวหน้าเชฟกลับวิ่งเข้าอ้อมมาหน้าผม


            “เดี๋ยวๆ”  ไม่พูดพร่ำต่อ มือใหญ่นั่นก็ค้วาข้อมือผมไว้ “เฮ้ย!” ก่อนจะออกแรงกึ่งลากกึ่งฉุดให้เดินกลับมาอยู่ตรงไอ้เปรม


          พอเห็นผมถูกลากกลับมา ไอ้เปรมมันก็ยกมุมปากขึ้นนิดๆ ยิ้มห่าไรเดี๋ยวยันหน้าหงายแม่ง


          ผมมุ่ยหน้าไม่พอใจเท่าไร ไอ้พี่ขิตกระแอมไอ


          “มาครบทั้งสองคนก็ดีเลย พวกมึงจะให้เป็นกูเป็นกรรมการใช่มั้ย พอดีเลยตอนนี้เลิกงานแล้ว วันนี้กูอุส่าห์คิดทั้งวันว่าจะให้พวกมึงทำอะไร”


          “มึงคิดทั้งวันเลยเหรอพี่” อะไรมันจะขนาดนั้นวะ


          “เออดิ ปวดหัวฉิบหาย”


          “แล้วจะให้พวกผมทำอะไรครับ” ไอ้เปรมมันถามพี่ขิตเสียงอย่างสุภาพ ส่วนผมแอบเบะปากใส่ ก่อนไอ้พี่ขิตมันจะพูดขึ้น


          “แกงไทย แบบฟรีด้อม”

          ฟรีด้อม..โอ้ว ฟายไฮด์ ฟายไฮด์ โอ้ยยยยย กว้างฉิบหายเลย! นี่มึงผ่านกระบวนกลั่นกรองจากซีรีบรัมเมมเบรนมาแล้วใช่มั้ยไอ้พี่ขิต!


          “จะทำอะไรก็ได้ ขอให้เป็นแกงสินะ” คู่แข่งผมกอดอดพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะตวัดดวงตาคมๆ นั่นมาทางผม เหมือนเป็นเชิงจะถาม ‘เข้าใจมั้ย’


          เออกูเข้าใจ!


         “วัตถุดิบหลัก เดี๋ยวกูหาให้ ไปเซอไพร์ดเอาแข่ง” ผมพยักหน้ารับจริงจังบ้าง แน่นอนว่างานนี้ผมจะแพ้ไม่ได้


          “ให้เวลาเตรียมตัวห้าวัน แข่งวันจันทร์หน้า หลังเลิกงานตอน บ่ายสาม ที่ห้องKitchen one”


          เฮ้อ..สงสัยได้ทำการบ้านหนักแน่..แกงไทยจ๋า กูทำอะไรดี!


ออฟไลน์ Bronc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
แข่งอาหารไทย ยังไงพี่ขิตช่วยติวน้องหน่อยนะ

อ่านเรื่องนี้แล้วหิวจัง อิอิ

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 5 : กุ้งสวรรค์ หาดมรกต ยู้ฮู ยู้ฮู...PART  2

            และแล้ว..


            ห้าวันผ่านไปไวเหมือนหน้าไอ้เปรม(ตอแหล) ในที่สุดก็มาถึงวันแข่งขัน เนื่องจากต้องทำการบ้านทั้งวัน แล้ววันนี้ผมต้องเข้ากะเช้าตั้แต่ตีห้า สภาพของผมเลยไม่ค่อยเอื้อมอำนวยเท่าไร


            คือผมทำการบ้านหนักมาก หนักการกว่าสอบเทสอาหารของโรงแรมนี้อีก เพราะหน้าไอ้เปรมมันค้ำหัว ไม่ว่าจะนอนก็คิด ยืนคิด นั่งอึก็ต้องคิด กว่าจะรู้ว่าจะทำอะไรก็ล่อเกือบเข้าไปวันศุกร์ และสองวันที่เหลือผมก็ยุ่งอยู่กับการ ลิสต์รายชื่อวัตถุดิบที่ต้องใช้ทั้งหมด  ก่อนจะโยนให้ลุงโจนส์เป็นคนจัดการให้ ซึ่งของที่สั่งน่าจะถึงวันนี้พอดีช่วงประมาณเที่ยงๆ พอดี


            พอของมาถึง ผมเช็ควัตถุดิบทั้งหมดที่ลุงโจนส์ส่งมาในกล่องโฟม ก่อนจะนำของทั้งหมดนั้นแช่ไว้ในกล่องเก็บความเย็นที่ด้านหลังห้องครัว


            รอจนบ่าย 3 เลิกงาน ก็ได้เวลาแข่งขัน


            เพราะช่วงหลังบ่ายสาม ลูกค้าไม่ค่อยเท่าไร ในคิกเช่นวันจึงสามารถแบ่งครัวไว้ใช้สำหรับการแข่งครึ่งหนึ่งได้ แต่ดูท่าคงไม่มีใครสนใจอาหารที่ลูกค้าสั่งเสียเท่าไร


            พอไอ้พี่ขิตมันประกาศว่าผมกับไอ้เปรมจะแข่งกัน ทุกคนก็ดูฮือฮาไปหมด แถมยังมารวมออกันอยู่รอบๆ เค้าเตอร์อเนกประสงค์กลางห้อง บนนั้นมีวัตถบางอย่างห่อผ้าขาวเอาไว้ในกะละมังแสตนเลท


            นั่นต้องเป็นวัตถุดิบหลักแน่ๆ ผมยืดตัวอย่างมั่นใจ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงสายตาคมปริบจากที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไอ้เปรมกำลังเหยียดยิ้มใส่ผม


            “มากันครบแล้ว เปิดงานเลยแล้วกัน” ว่าจบ มือใหญ่เอื้อมไปที่กะละมังแสตนเลท ดึงผ้าที่ปิดไว้สิ่งเซอร์ไพรซ์เอาไว้ ระหว่างนั้น ผมก็เบิ่งตากว้าง หัวใจเต้นโครมคราม ลุ้นระทึกว่าพี่มันจะให้อะไรที่มันพิศดารเกินทำไปหรือเปล่า ก่อนจะพบว่ามันคือ...


            “วัตถุดิบ คือ ‘กุ้งก้ามกราม’” ผมมองกุ้งตัวใหญ่ขนาดเกือบเท่าสองฝ่ามือในกะละมัง เปลือกของมันเป็นสีเขียวอมม่วงใส ก้ามยาวตะปุ่มตะป่ำมีสีม่วงเข้ม โดยรวมแล้วเป็นวัตถุดิบที่หายง่าย ราคาพอตัว ทว่ากลับนิยมรับประทานกันในหมู่คนไทยที่ชื่นชอบอาหารซีฟู๊ด


            ผมเอามือลูบคาง วัตถุดิบแบบนี้เข้าทางผมมาก ผมหันไปมองไอ้เปรมแล้วเหยียดยิ้มท้าทายมันบ้าง ก่อนไอ้พี่ขิตจะประกาศ


            “แข่งตอน บ่ายสามห้านาที ให้เวลา 40 นาที หมดเวลาบ่ายสามสี่สิบห้า อนุญาตให้มีผู้ช่วยได้หนึ่งคน เพื่อไม่ให้เสียเวลากูเลือกให้” มึงเผ็ดจการอีกแล้วเหรอพี่ขิต ผมนี่เซ็งแทนพวกคอมมี่ ที่ไอ้พี่ขิตมาชี้เลือกจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะไม่ว่าจะเป็ฯคอมมี่คนไหนมาช่วยผมผมก็ชนะอยู่ดี


            ตอนนี้ผมแอบมองผู้โชคร้าย ซึ่งได้ต่ำแหน่งผู้ช่วยของไอ้เปรม แล้วหนักใจแทนเปรมนิดหน่อยแฮะ เพราะไอ้น้องคอมมี่ที่พี่ขิตเลือกให้เปรมเป็นคนที่ทำมีดหล่น พลังซุ่มซ่ามเกินระดับสิบริกเตอร์


            เฮ้อ...ไม่อะไรจะพูดนอกจาก บ๊ายบาย เปรม


            "ถ้าเข้าใจกติกาแล้ว เริ่มได้!"

            ป๊อง! แล้วไอ้พี่ขิตก็เคาะหม้อ  ผมกลอกตามึงไม่มีเครื่องให้สัญญาณที่มันดีๆ กว่านี้แล้วใช่มั้ยพี่ขิต


            ช่างเถอะ...ผมรีบขยับเท้าเข้าไปเลือกกุ้งในทันที ไม่รู้ว่าไอ้พี่ขิตมันซื้อมากี่โล แต่นับรวมๆ แล้ว


            มีให้เลือกน้อยจังวะ


            ผมพยายามเลือกกุ้งที่ดีสุด


            หนึ่งเลยคือ เปลือกลำตัวของกุ้งจะต้องใสเงางามเห็นเนื้อกุ้งสีชมพูอ่อนๆแน่นๆอยู่ข้างใน ข้อสอง ส่วนหัวและลำตัวและหางจะต้องติดกันไม่หลวม และสามที่สำคัญสุด กุ้งสดต้องมีกลิ่นคาวนิดๆ


            ผมเลือกกุ้งมาทั้งหมด 4 ตัวใหญ่ ไม่ได้ตั้งแบ่งกันคนละครึ่งกับไอ้เปรมนะ แต่กุ้งมันมีดีแต่ 4 ตัวจริงๆ


            อืม..ตอนนี้ช่างหัวไอ้เปรมมันก่อน เพราะผมต้องเนรมิตอาหารอภิหารม้านิลมังกรออกมาให้เวอวังอลังการที่สุด เพื่อทุกคนจะต้องหลงใหลในอาหารของผม เพราะเมนูที่จะทำก็คือ


            แกงเขียวหวาน


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


            เวลา 40 นาที นั่นเหมือนจะเยอะ แต่จริงๆ นั่นไม่ไปไวเหมือนลมตด


            ตอนนี้ผมเริ่มจากการ แยกวัตถุดิบ ทุกอย่างออกมาให้ชัดเจนเพื่อที่จะได้ง่ายเวลาหยิบ และสิ่งแรกเป็นหัวใจสำหรับแกงเขียวหวานก็คือ ‘พริกแกง’


            คิดดังนั้นก็คว้าครกขึ้นมาแล้วเริ่มโขกเครื่องเข้าด้วยกันทันที จริงๆ แล้ว เครื่องพริกแกงเขียวหวานของผม ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เหมือนพริกแกงเขียวตามปกติ แต่จะพิเศษจริงๆ ก็คงเป็น กะปิระยอง พริกขี้หนูสวนสีเขียว และใบพาร์สลี่ยที่ผมแอบใส่ลงไปเล็กน้อยเพื่อให้สีมันดู เขียวอ่อนๆ สวยงาม


            พอได้พริกแกงแล้ว ก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการทำน้ำแกงต่อไป


            ผมเริ่มจากเทหางกะทิ ลงไปในหม้อที่เปิดไฟปานกลาง คนจนกระทั่งกะทิแตกมัน แล้วจึงใส่เครื่องแกงเขียวหวานลงไป เคี่ยวจนจนพริกแกงละลาย ผมก็หรี่ไฟอ่อนลง เพื่อไปเตรียมวัตถุดิบอื่น


            ก่อนหน้านั้น ผมสั่งผู้ช่วยของผมต้มกุ้งไปทั้งหมด 4 ตัว ในน้ำเดือดจัด จับเวลาประมาณ 38 วินาที ก่อนจะสะดุ้งกุ้งขึ้นมาพักไว้กับน้ำแข็งเอาจัดในทันที เพื่อให้เนื้อด้านในมันเป็นเนื้อแก้วกรุบกรอบ ก่อนแยกมันกุ้งออกมาจากหัวกุ้ง แล้วพักเอาไว้อีกจาน


            ผ่านไป 15 นาที ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง รู้สึกว่าช้ามาก ต้องเร็วกว่านี้!


            “ฝากเคี่ยวน้ำกะทิแล้วใส่ผักเตรียมไว้ด้วย” ผมสั่ง ก่อนรีบวิ่งไปที่วัตถุดิบทั้งหมดที่แยกออกมา เสียงผู้ช่วยถามไล่หลังมา


            “เสร็จแล้วให้ผมใส่หัวกะทิปิดแกงเลยมั้ยครับ”


            “ไม่ต้อง เดี๋ยวจัดการเอง ช่วยทำตามที่สั่งก็พอ” ผมว่า ก่อนหยิบส่วนผสมเผด็จศึกมา 3 อย่างมี แป้งอเนกประสงค์ เนยสด และ นมสด


            ผมฉีกยิ้ม


            นี่คือไม้ตาย นานๆทำแกงเขียวหวานทั้งที จะทำแบบธรรมดาได้ยังไงล่ะ มันต้องเป็นสไตล์ แบบนายเมฆา สมิธ นักเรียนอันดับหนึ่งเอกอิตาเลียนสิ


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

 
            ป๊อง ป๊อง!

            พี่ขิตเคาะหม้อหมดเวลา ผมหยุดมือจากการตกแต่งจานอาหาร ก่อนจะเอาฝามาคลุมเมนูของผมที่ทำไว้ไม่ให้ใครเห็น แล้วจึงหันไปมองศัตรูคู่อาฆาตที่กำลังยืนพิงเค้าเตอร์ด้วยท่าทางสบายๆ จริงสิ ไอ้เปรมมันทำเสร็จก่อนผมตั้งสิบนาทีแน่ะ และเหมือนมันจะรู้ตัวรอยยิ้มยียวนส่งกลับมา


            ดูมั่นใจมาก..แต่ทำเสร็จก่อนก็ไม่ได้หมายความจะชนะหรอกนะ


            มึงรอไปเกิดได้เลยไอ้เปรม! เพราะเมนคอสวันนี้ของผม จัดเต็มมาก!


            ถึงเวลาให้คะแนน(ชิม)แล้ว


            คนดูรอบๆ ดูลุ้นระทึกยิ่งกว่าคนแข่ง และเนื่องจากเปรมมันเสร็จก่อนผม มันจึงเป็นคนแรกที่เสริ์ฟอาหารให้กับพี่ขิต ผมที่รออยู่ข้างหลังจึงได้แต่กอดอก แต่ก็ชำเลืองมองอยู่ห่างๆ


            สงสัยก็สงสัยนะ อยากรู้ว่าแม่งทำไร แต่ทิฐิมันค้ำคอไง เลยได้แต่แอบชะโงกหน้าทำเป็นเหมือนไม่อยากรู้


            แต่นั่นหล่ะ..สุดท้ายก็ห้ามไม่ได้อยู่ดี เพราะเสียงฮือฮาจากผู้ชมที่อยู่รอบๆ ทำเอาผมใจแป้ว


             “แกงส้มมะละกอกุ้งแดง  เสริ์ฟพร้อม ข้าวหอมหุ้งน้ำมะลิ มีเครื่องเคียงเป็น ไข่เจียวสมุนไพรครับ”


            โอโห้..ไอ้บ้านี่!


            ไหนบอกมึงบอกว่าแข่งกันเล่นๆ สนุกๆ ไงวะ จัดเต็มฉิบ!


            นี่ถ้าเกิดผมโง่ไม่ทำให้เว่อวังเข้าไว้นี่ ไม่ต้องลุ้นเลยแน่ๆ แพ้แน่นอน แต่ไม่เป็นไรไอ้คลาว มึงต้องมั่นใจไว้ดิ ว่าอาหารของมึงเลิศกว่าเป็นล้านเท่า


            ผมสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง แต่รู้สึกว่าจะเสียขวัญไปประมาณเจ็ดแสนห้า เมื่อคนเป็นกรรมการพูดขึ้นมา


            “อร่อย เข้มข้นมากเลยเปรม” แล้วร่างใหญ่ก็จ้วงเอาจ้วงเอาๆ


            ไอ้พี่ขิต! มึงหิวข้าวใช่มั้ย!? เขาให้ชิมไม่ใช่ให้แดก โวะ! ล้างลิ้นไว้ให้กูก่อนอย่าเพิ่งเฟิร์สอิมแพรสชั่นขนาดนั้น สวรรค์ของจริงมันอยู่ตรงนี้!


            “ต่อไปคล้าว!” ในที่สุดก็ถึงคิวผมสักที ผมเลียริมฝีปาก ก่อนยกถาดอาหารเสิร์ฟบ้าง ระหว่างนั้นก็เดินสวนกลับไอ้เปรมที่กลับมาพอดี ผมเห็นมันส่งยิ้มเยาะให้อย่างร้ายกาจ


            เหอะ! ไอ้เปรม! เดี๋ยวมึงเจอกูแน่!


            พอมาถึงหน้าไอ้พี่ขิตผมก็วางถาดลง ผมก็พรีเซ้นงานตัวเองทันที


            “เมนูนี้ชื่อว่า กุ้งสวรรค์ หาดมรกต” ผมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะเผยโฉมอาหารของผม ให้ทุกคนได้ดูเป็นขวัญตา “อู้หูววว” ได้ยิ่งเสียงร้องตะลึงกันไปเป็นแถบๆ นัยน์ตาแต่ละคนเป็นประกายระยิบระยับ สะท้อนแสงสีเขียวมรกตสวยงาม จากอาหารของผม


            แกงเขียวหวานกุ้งสุด เสิร์ฟพร้อม พร้อม Side dish อีกสองอย่างแบบผสมผสาน แต่ทีเด็ดน่ะ ไม่ได้มีแค่นี้หรอกนะ!


            “ชื่อไพเราะ เพราะพริ้งมาก” ไอ้พี่ขิตมันเงยหน้าขึ้นมาชม ผมยักไหล่เบาๆ


            “แน่นอนว่าแหมือนคนทำ”


            “สวยใช่มั้ย”


            “หะ?” เดี๋ยวนะ ขัดอารมณ์พี่มันหมายความว่าไงวะ คนตัวใหญ่เอาแต่ยิ้ม


            “กูหมายถึง อาหารเนี่ยสีสวยดีนะ”

            สวยสิ บอกไม่สวยจะเอาคว่ำหัวแม่ง พี่มันยิ้มพร้อมพยักหน้านิดๆ ไม่รู้อารมณ์ดีหรือจงใจกวนประสาท ก่อนพี่ขิตจะกวาดสายตา มองจานเครื่องเคียงที่ผมนำเสนอบ้าง


            “แปลก..ไม่ใช้ข้าวเหรอ” พี่มันเงยหน้าขึ้นมาถาม ผมยิ้ม


            “กินพร้อมขนมปังโฮวีตแบบอบกรอบ ตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยมครับ”


            “โอ้ขนมปัง ทำอาหารฟิวชั่นอีกแล้ว มีน้ำจิ้มอาจาดตัดเลี่ยนด้วย” สรุปคนตัวใหญ่รู้หมดแล้วผมต้องพรีเซ้นอะไรต่อล่ะ ว่าแต่เมื่อไรพี่มันจะกิน


            “ชิมหน่อยนะ” ฉ็อตนี้ล่ะที่รอคอย ผมมองพี่มันค่อยๆ ตักเนื้อแกงข้นๆ ทาลงบนขนมปังเหมือนกำลังทาเนย เอ่อใช่ลืมบอกไป เนื่องจากผมทำเนื้อน้ำแกงไม่ให้เป็นเนื้อน้ำสักเท่าไร เพราะผมผสมผงข้าวตำกับแป้งมันลงไปด้วยนิดหน่อย เนื้อน้ำแกงเลยเหนียวๆ ข้นๆ ทาบลงบนขนมปังได้ง่าย


            “นี่มันซอสเบชาเมล*นี่ เอามาตัดสี แล้วใส่แทนกะทิปิดท้ายเหรอ สร้างสรรค์นะเรา” พี่ขิตชม ผมยิ้ม ส่วนบนสุดของน้ำแกงผมก็ตัดด้วยซอสสูตรพิเศษ สไตล์อิตาเลียน ถ้ากินพร้อมกับเนื้อกุ้งแก้วด้วยล่ะก็จนน้ำตาไหลพรากแน่


            ณ จุดนี้ มั่นใจมาก ทำการบ้านก็ไม่ใช่ทำเล่นๆ เพราะผมรู้ตัวเองว่าไม่ถนัดอาหารไทย ฉะนั้น สิ่งที่ทำให้ผมได้เปรียบไอ้เปรมก็คือ การทำอาหารฟิวชั่น


            “เก๋มั้ยล่ะ” บอกแล้วชนะเลิศ


            “ดีกว่าแกงส้มคาโบนาร่าหน่อย” เอ่อ..เถียงไม่ออกเลยกู


 
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

 
            ผ่านไป 20 นาที


            ไอ้พี่ขิตมันแดกเรียบทั้งของผมและของไอ้เปรม ก่อนมันจะยืนขึ้นและประกาศท่ามกลางสายตาทุกคน


            “คนที่พี่จะให้ชนะได้แก่..”


            เชี่ย! นี่หัวใจกูเหรอเนี่ย เต้นอย่างกะจะทะลุออกมาด้านนอก แล้วมึงจะเหงื่อออกมือทำไมเยอะแยะวะ นี่กูลุ้นทำไมในเมื่อผลมันต้องออกมาว่า!


           “คล้าวชนะ..”


            “Yes!!!” ณ วินาทีนี้ กู Yes ดังมาก กระโดดเยสได้คงทำแล้ว ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจคนแพ้อะไรทั้งนั้นอะ ช่วยไม่ได้ต้องแคร์ป่ะ อ่อนแอก็แพ้ไป


            ว่าแล้วก็หันไปยิ้มหวานเยาะเย้ยไอ้เปรมมันสักหน่อย


            “ยินดีด้วยเชฟ” แต่มันยิ้มกลับให้ ผมนี่ทึ่งเลย แต่หึหึ..ผมรู้นะ ว่าใต้รอยยิ้มนั่นมันต้องมีความเจ็บใจซุกซ่อนอยู่


            ช่วยไม่ได้จริงๆนะเปรม ระดับผมกับนายมันต่างกันอ่ะ


            “พูดตามตรงว่ารสชาติ เข้มข้นพอๆกัน แต่ที่ให้คล้าวชนะ เพราะเขาตีโจทย์ได้อย่างสร้างสรรค์กว่า”


             โอ้ว คอมเม้นต์ตอบโจทย์ได้มากเลยพี่ขิต ฮีจะได้หายคล่องใจว่าแพ้ผมเพราะอะไร นี่ขนาดทำอาหารที่ไม่ถนัดนะ ถ้าทำอิตาเลียนตรงๆ ผมจะจับมันเชือดให้หนักกว่านี้


          “ทำหน้าอะไรของมึงเนี่ย” เอ่อ..ร้ายไปหน่อยเลยเผลอแสดงออกทางสีหน้า ผมหันไปมองไอ้พี่ขิต ก่อนจะเกาแก้มแก้เก้อ


            “โทษทีพี่”


            “คงทำการบ้านมาเยอะสินะ ไม่แย่เหมือนแกงส้มคาโบนาร่า”


            พี่มึงยังไม่จบกับแกงส้มคาโบนาร่าอีกเหรอ แล้วพี่ขิตก็ยืดตัวหันไปมองทุกคน


            “อ่าว พวกมึงแต่ยืนทำไร ตักข้าวมากินด้วยกันสิ”


            มึงแดกหมดแล้วไม่ใช่เหรอพี่?


            นั่นล่ะ..แล้วก็กลายเป็นว่า การแข่งขันครั้งนี้ของผมและเปรม กลายเป็นเลี้ยงข้าวกุ๊กทุกคนในครัวไป แฮปปี้เอนดิ้ง


            “ผมขอตัวไปเปลี่ยนชุดก่อน” ผมบอกพี่ขิตด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะแยกตัวเดินออกไปจากครัวที่ด้านหลัง


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

            มาถึงห้องล็อคเกอร์


            เฮ้อชนะ ชนะ ชนะ..ไอแอมอะคิงคลาว เย้! ฮี่ฮี่ ผมยิ้มไปพลางเปลี่ยนชุดกลับไปพลางอย่างอารมณ์ดี ก่อนปิดล็อคเกอร์ ทว่าพอหันหน้ากลับมาตรงประตูอีกครั้ง ก็พบร่างสูงโปร่งของไอ้เปรมยืนเท้าแขนไว้กับล็อตเกอร์ขวางผมไว้


             ไอ้หมอนี้มาตั้งแต่เมื่อไร จะปล่อยให้ผมมีความสุขสงบสักห้านาทีไม่ได้หรือไง ผมขมวดคิ้วทันที


            “เชฟนี่เก่งจังเลยนะครับ ผมเทียบไม่ติดเลย” ใบหน้าหล่อเหลานั้นฉีกยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร แต่ฟังดูก็รู้ว่านี่มันคือการประชดประชันชัดๆ หึ..อยากประชดใช่มั้ยได้


            “อยากแข่งอีกเมื่อไร ก็บอกได้ตลอด” ผมเหยียดยิ้มเรียบไปให้บ้าง เปรมหัวเราะออกมาเบาๆ กวนเบื้องล่างชะมัด


            “เพิ่งรู้ว่าเชฟเป็นพวกชอบความตื่นเต้น”


            “บางครั้งชีวิตก็ต้องการบางสิ่งมากระตุ้น”


            “แล้วดีมั้ย”


            “เปรม..”ผมเรียกมันเสียงต่ำ ก่อนจะสวดให้สักชุด


            “You know? If  i fall over on the ground because a little pebble ,I will stand up quickly and kick it off! form my eyes.” จริงๆ ด่าเป็นภาษไทยก้ได้ว่า ‘น่ารำคาญ เลิกมายุ่งกับกูได้แล้วไอ้ก้อนกรวด’ แต่มันดูหยาบคายไปไง เลยของด่าเป็นสำนวนภาษาอังกฤษดีกว่า และแน่นอนว่าคนอย่างไอ้เปรมมันแปลได้ สีหน้าเป็นมิตรของมันจึงดูเปลี่ยนไปสองส่วน


            “นี่เกลียดเราขนาดนี้เลยเหรอ”


            “Yes I hate you so much” จังหวะนี้ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น ผมบอกตรงๆ ก่อนจะเดินฉีกออกไปทางเพื่ออกนอกห้อง แต่ยันไม่ทันได้ก้าวเท้าข้ามไปไหน ผมก็ถูกคว้าข้อมือไว้อย่างแรง


             “Hey!” ไม่ได้รู้อะไร ร่างทั้งร่างถูกอีกฝ่ายกระชาก แล้วเหวี่ยงเข้ามาจนแผ่นหลังชนเข้ากับล้อคเกอร์เสียงดัง ‘ปัง!’


            เหี้ยเจ็บนะเว้ย! ไอ้เปรมแม่งไปเอาแรงมากจากไหนเยอะแยะวะ รู้สึกตัวอีกทีพอลืมมองให้ชัดๆ ก็ตกใจจบแทบลืมหายใจเหมือนเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเปรมอยู่ใกล้ประชิดแก้ม


            “But I never hate you.” ผมชะงัก..เบิกตาค้าง มันพูดอะไรของมันวะ แต่ระหว่างที่หัวสมองของผมกำลังเอ๋ออยู่นั้น อยู่ๆ เปรมมันก็เคลื่อนหน้าเขามาใกล้ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนแถวใบหู


            “You know when I close to you.it make me...” มันเงียบไป พร้อมกับจังหวะหายใจของผมที่หยุดไป “Crazy” “”


           งับ..


            ฟันซี่เล็กๆ กัดลงเบาๆ ที่เนื้อกระดูกอ่อนบนใบหู ผมสะดุ้งวาบ ได้สติทันที!


            “Your mother fuck! ” ออกแรงผลักร่างสูงจนผละถ้อยหลัง ไม่รอช้าผมปล่อยหมัดใส่หน้ามันซ้ำต่อทันที



            โครม! ไอ้เปรมลงลงกับพื้นเสียดังสนั่น ตรงกับจังหวะที่พี่ขิตเข้ามา


            “คล้าว!” ผมเงยหน้าขึ้นมามองร่างใหญ่ ใบหน้าคมเข้มนั้นดูตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมา แต่ตอนนี้ผมสติแล้ว ไม่อยากจะเคลียร์อะไรทั้งนั้น หน้าของผมมันกำลังร้อนผ่าวด้วยความโกรธเกลียด เพราะมันชนะผมไม่ได้เหรอถึงได้ทำเรื่องแบบนี้ ผมกำหมดแน่น อยากจะชกมันอีกสักสี่ห้าหมัด แต่ไอ้พี่ขิตแม่งดันมา


            “Fuck you เปรม!” ผมด่ามันทิ้งท้าย พร้อมกับชูนิ้วกลางให้ ก่อนจะคว้ากระเป๋า วิ่งออกไปจากห้อง ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น

   

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 5 : กุ้งสวรรค์ หาดมรกต ยู้ฮู ยู้ฮู...PART จบ


          [พี่ขิต Part ]


          “มึงทำอะไรมัน!?” ผมรีบถามไอ้เปรมเสียงดุทันทีที่เห็นท่าทีเดือดจัดของไอ้คล้าว เปรมยกแขนเสื้อขึนมาเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของตัวเอง ก่อนมันจะหันมายิ้มเหมือนเล่นทีจริงให้ผม


            “แค่แกล้งนิดหน่อยเองพี่”


            “แกล้งเหี้ยอะไร!ไอ้คลาวมันถึงได้โกรธขนาดนั้น” ผมกระชากคอเสื้อมันขึ้นมาถามเสียงดุ ปกติแล้วผมไม่เคยทำร้ายลูกน้องนะ แต่บอกตามตรงว่าผมเริ่มคุมสติตัวเองไม่อยู่แล้ว ยิ่งไอ้เปรมตอบแบบกวนตีนแบบนี้ด้วยมันก็ยิ่งทำให้ผมโมโห คิดได้อย่างเดียวเลย ไอ้บ้านี่ต้องทำให้อะไรกับไอ้คลาวแน่ๆ


            “พี่โมโหขนาดนั้นเลยเหรอ ดูเขามีความสำคัญกับพี่เนอะ เพราะอะไรหนอ” ไอ้เปรมมันยิ้มเยาะ ดูก็รู้ว่าตั้งการยั่วโมโหผม แม่งอยากจะต่อยเพิ่มอีกสักหมัด แต่ก็ทำไม่ได้ไง ผมระงับอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะพลักคอเสื้อมันกลับแล้ว คิดจะวิ่งไปตามคล้าว ทว่าเสียงจากไอเปรมก็ไล่ข้างหลังมา


            “พี่ขิตคับ ถ้าพี่ไม่รีบ ผม ‘เอา’ นะครับ ผมชอบอะไรพยศๆ”


            เอาเหี้ยไรมึง! ด่าแบบไอ้คล้าวตัวแสบยกำลังสอง มึงเอาไปเลย นิ้วกลางกูทั้งสองข้าง


            “ฟัคยูเปรม“


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

 
          “คล้าว!” ผมตะโกนเรียกชื่อเจ้าตัวแสบเสียงดัง ตามหาก็ทั่วโรงแรมแล้วก็ไม่พบ


          แม่งไปอยู่ที่ไหนวะ?


          ขณะที่กำลังมืดแปดด้านอยู่นั้น อยู่ๆ สถานที่หนึ่งก็โผล่เข้ามา หรือว่าแม่งจะกลับบ้าน! ผมรีบตรงดิ่งไปที่โรงจอดรถยนตร์ของพนักงานโรงแรมทันที


          เมื่อวิ่งมาถึงผมก็เห็นร่างบางกำลังเปิดประตูรถ ผมจึงรีบเข้าไปแล้ว คว้ามือมัน



            “มึงเป็นอะไร!” ผมถามมัน ใบหน้ารูปไข่สวยงามนั้นหันมาตาแดงก่ำ ทำท่าเหมือนสาวน้อยจะร้องไห้ ก่อนมันจะสะบัดมือผมออกอย่างไม่ไยดี


            “พี่อย่ามายุ่งกับผมตอนนี้ได้ป่ะ!”


            หมับ!


            “พี่!”

            ไม่รอให้น้องมันพูดจบ ผมใช้มือทั้งสองข้างจับที่ข้างแก้มทันทั้งสองข้าง บังคับให้มันหันใบหน้ามาสบตาผมตรงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ แต่ผมรู้สึกทนไม่ได้ที่น้องจะอยู่ไปกับอารมณือันขาสติแบบนี้ หากผมทำให้เข้ามองมาที่คนเดียวแล้วสงบลงได้ผมก็จะทำ แม้ผมจะโดนน้องมันด่าก็ตาม


            “มึงตั้งสติแล้วมองหน้ากู กูเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ใช่มั้ย?” ผมถามมันเสียงจริงจังอย่างที่ไม่เคยให้ใคร นัยน์ตาสีเทาเข้มนั้นขยายขึ้นเล็กน้อย เวลานี้มันกำลังสะท้อนเป็นภาพของตัวผม น้องดูทึ่งกับสิ่งที่ผมทำมาก ขณะที่มองหน้ากันไปมาหัวใจผมเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ  ไม่หนักไม่เบา แต่กลับรู้สึกว่ามันไม่เคยเป็นแบบนี้นานมากแล้ว


            มองกันเกือบสามนาทีได้ ในที่สุดน้องมันก็ยิ้มออกมา


            “ใช่พี่แม่งหน้าเถื่อนไว้ใจไม่ได้ ”ผมหัวเราะทันที มึงเปลี่ยนอารมณืเร็วไปนะ


            “กูบอกให้มึงตั้งสติ ไม่ให้มาวิจารณ์หน้ากู ห่านี่” พอเห็นคนตัวบางได้สติกลับมา ผมก็ละมือออก ก่อนเปลี่ยนมาเป็นขยี้เส้นผมสีทองนั้นแรงๆแทน


            “พี่ ผมเจ็บนะ” น้องมันมุ่ยแล้วปัดมือผมออก


            “เจ็บสิดี แล้วทีนี้จะพูดได้ยังว่ามีเรื่องอะไรกัน” ผมถามเสียงเรียบ ใบหน้าสวยๆนั่นดูลังเลไปสักพัก ก่อนจะตอบปัดๆ


           “ไม่มีไรพี่ ผมมันสติแตกต่อยไอ้เปรมมันเอง”

          แบบนี้ก็ได้เหรอวะ..ดูก็รู้ว่าตัวกระจ่อยอย่างมึงเนี่ยคงหาเรื่องใครไม่ได้หรอก

          ผมส่ายหน้าไม่คิดว่าน้องมันจะปิดเรื่องด้วยการโทษตัวเอง แต่ไม่เป็นไรถ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร กูจะทำให้มึงคายออกมาเอง


            “มากับกู”


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

         
            ว่ากันว่าเวลาคนเมาจะยอมเผยความในใจ พูดสิ่งที่อึดอัดออกมาทุกอย่างแต่ดูท่าแล้ว...


            “เหี้ยพี่แม่งหน้าตาตลกฉิบหาย” คงไม่ใช่กับไอ้ห่านี้ เพราะเวลาเมาแล้วมันบ้า! แถมยังพูดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว นี่กูเผลไปปลุกวิญญาณเร้นลับให้ตัวไอ้คล้าวมันเหรอวะ พี่ป๋องสะกดวิญญาณมันกลับไปดิ๊ แม่งเอาตีนมาก่ายๆ บนตักผมอยู่ได้ นี่ร้านอาหารนะว้อย!


            “ให้มันน้อยๆ หน่อยเมาแล้วปีนเกลียวเชียวนะมึง” ผมเอ่ยเสียงดุ พลางค่อยๆยกขาบางๆที่กำลังก่ายอยู่บนตัวลงจากตัว แล้วคนตัวบางก็..


            “ปีนทำไมเกลียว มันสุ๊ง high on the time ยู้ฮู หู้ฮู้...หู้ฮู หู้ฮู้” โอ้ยยย มึงจะร้องเพลงหรือกวนตีนก็เอาสักอย่าง!   
   

            “มึงอย่าหอนได้มั้ย เมาก็เมาดิหอนทำไม”


            “โบร๋ว บรู๋วววว...”


            “...”

            พนมมือเลยกู..ถ้ามึงจะมาทุกรูปแบบนี้ กูกลับบ้านก่อนนะ ถึงกับเป็นหมากันเลยทีเดียว กูเริ่มรับไม่ทันแล้ว


            “ฮ่าๆ พี่แม่งหน้าตลกว่ะ” พอเห้นหน้าเหวอๆของผมคล้าวมันก็หัวเราะลั่น เอ่อ..กูขอโทษที่มีสไตล์กูเป็นแบบนี้แล้วกันนะ!


            “นี่กุอุส่าห์พามาฉลองชัยชนะนะ สงสัยไม่ต้องฉลองแม่งล่ะ กลับๆ” แกล้งพูดใส่น้องมันบ้างก่อนผมจะดกเหล้าตามแต่..


            “เฮ้ยไรวะ กำลังได้ที่ กลับบ้านทำไม Why? I wil not go home น้องเอามาอีกสองขวด” แม่งหันไปสั่งพนักงานเสิร์ฟพิ่มอีกสองขวด ห่าไม่ได้การล่ะ ตั้งแต่มึงหอนตะกี้ ก็เล่นลูกค้าในร้านจ้องกันตาเขียว ถึงกูจะหน้าเถื่อน แต่ถ้ามาสิบตีนหน้ากูอาจจะไม่เถื่อนแล้ว อาจจะเละแทน


            “ไม่ต้องแล้วพอๆ น้องไม่ต้อง” ผมหันไปบอกพนักงานมันก่อน ก่อนที่มันจะบ้าจี้ทำตามที่ไอ้คล้าวมันบอก


           “อะไรวะพี่ งั้นขวดนี้ก็ได้”


           “เฮ้ย มึงอย่าดื่มเพรียวๆนะเว้ย”ผมตาโตรีบห้ามมันก่อนที่มันจะทำอะไรพิเรน เมื่อเห็นมือเรียวคว้าขวดแบล็คเลเบอร์ไปกอดด้วยหน้าแดงระเรื่อ ตาเยิ้ม ยิ้มย้วย


         “มึงอาการหนักนะเนี่ย”


         “เรื่องมันเศร้า...เหล้าเลยสำคัญ พอคันก็ต้องเกา เมาเลยต้องเด้า...”


         “พอๆ หยุดๆ” ผมรีบยกมือห้ามก่อนที่น้องมันพูดอะไรพิเรนๆ ไปมากกว่านี้


          “แบร่..” ไปหมดแล้วสตงสติน้องกู


         “เล่นงี้ใช่ป่ะ ได้!” ผมชี้หน้าน้องมันที่แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ก่อนจะลุกขึ้นแล้ว


          “เฮ้ย! ไอ้พี่มึงทำอะไรกู ปล่อยกู Let me go! I will not go home ฟัค ไจแอนด์แมน ฟัค ไททัน ฟัคเดวิล ฟัคยู ไอ้พี่ขิต!!”


          แบกแม่งขึ้น อุ้มมันกลับบ้านแบบเถื่อนๆเนี่ยล่ะ!


 
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

            โชคดีที่ร้านข้าวต้มที่กินแม่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมันเท่าไร เรียกง่ายๆว่าหน้าปากซอยเลยเดินออกมากินได้ไม่ต้องขับรถมา แต่ที่รู้สึกว่ามันไกลก็เพราะไอ้ตัวที่ดิ้นดุ๊กดิ้นอยู่บนไหล่นี่ล่ะที่แม่งเดี๋ยวด่า เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวบ้าบออะไรของมันไม่รู้ กว่าจะถึงบ้านพักก็เล่นซะเหนื่อย และด้วยความรำคาญคนขี้เมาผมเลยถือวิสาสะ หยิบกุญแจบ้านจากในกระเป๋ากางเกงน้องมันมาไขประตูบ้าน ก่อนผลักประตูเข้าไปแล้ววางร่างเล็กลงบนโซฟา


          “พี่แม่ง เหี้ยมโหด เลือดเย็น  คนเถื่อน ปีศาจ หมีควาย ฮ่าๆ ”ดู ดู มันขนาดหัวถึงโซฟาแล้วยังไม่หายบ้า


            “มึงนอนเลย” ผมดุแต่แม่งคงไม่รู้เรื่องอีก ดูสภาพแล้ว พรุ่งนี้เข้างานสิบโมงเช้า คล้าวมันคงเข้าไม่ไหวแน่ๆ ลาให้มันดีมั้ยวะ


            “พี่!”

            เชี่ย! อยู่ก็กะเด้งตัวขึ้นมานั่งโซฟาอย่างกะผีเข้า ผมหันไปมองหน้าน้องมัน เห็นไอ้คล้าวมันขมวดคิ้วยู่แล้วชี้หน้าผม


          “แล้วมึงมานอนบ้านผมทำไมวะ”


          อ่าวไอ้นี่!


          “ก็กูมาส่งมึง”


        “พี่!”


        “มึงจะเรียกกูทำไมซ้ำๆ” ห่านเอ้ย! ปกติผมจะเป็นคนที่กวนตีนน้องมันนะ แต่พอมันเมาเท่านั้นกูไม่กล้าเลย ยิ่งเห็นสายตาเยิ้มๆกับรอยยิ้มสยองๆย้วยๆ ชวนขนลุกนั้นอีก มึงจะทำอะไร


       “อยากกินไก่ทอดอ่ะ”

       น้องมันอ้อนด้วยเสียงสอง พลางกะพริบตาปริบๆชวนใจอ่อน แต่...


      “มึงนอนไอ้ห่า! ไก่ห่าอะไรจะมาทอดตอนเที่ยงคืน มีแต่ตีนกินมั้ย?” ผมไม่ได้หยาบคายนะครับ แต่มึงควรนอน มึงไม่ควรแดก เพราะมึงแดก มึงก็อ้วกออกมาแน่ๆ กูสงสารชักโครก


          “ไม่เอาคลาวจะกินไก่ จะกินไก่ จะกินไก่ กะตั๊กๆ!!” โอ้ยยย นอกจากหมาแล้ว ไก่ก็มา..กูไปหาปืนมายิ่งไอ้สัตว์ตัวนี้แป๊ป แม่งสารพัดสัตว์เหลือเกิน


          “อยากกินไก่อะพี่ขิตจ๋า..”


          “…” ใจไม่ดีเลย ไอ้คล้าวมึงอย่ามาอ้อนกูด้วยเสียงสี่เสียงห้าแบบนี้ แล้วมึงจะทำตาโตกะพริบตาปริบๆ บิดใบหน้านิดทำไม


          ไอ้ลิขิต มึงเป็นลูกผู้ชาย มึงต้องไม่หวั่นไหวกับอะไรแบบนี้ “นะพี่ขิตนะนะ เมี๊ยว” กรี๊ดดดด กูยอมแล้ว ยอมแล้วจ๊ะทูนหัว มึงอย่าแปลงเป็นแมว กูแพ้แมวเหมี๊ยว


            “มึงรอนี่ เดี๋ยวกูในตู้เย็นมึงว่ามีไหมเดี๋ยวกูไปทอด” ผมว่าเสียงเข้มๆ จะให้มันรู้ไม่ได้ว่าผมเป็นทาสแมวโดยสมบูรณ์แบบ แต่ขณะที่ผมกำลังลุกขึ้นจากโซฟา ท่อนแขนของผมก็ถูกใครบางคนที่นอนอยู่บนโซฟาฉุดลงมาจนเสียหลัก“เฮ้ย!!” ผมร้องลงไปนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น แต่เพราะผมล้มไปลง ร่างที่จับแขนผมอยู่โซฟาเลยไหล (เรียกแบบนั้นเปล่าวะ) ลงมารวมกับผมด้วยแบบงงๆ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้คนเล็กนอนทับอยู่บนตัวผม


            “พี่แม่ง..ใจดีว่ะ”ว่าด้วยเสียงงัวเงียสักพัก ก่อนใบหน้าเรียวๆ จะหลับซบลงไปบนกลางอก มันทำให้ผมตัวแข็งถื่อหัวใจเต้นตุบๆ อย่างบอกไม่ถูก ใครก็ได้บอกูทีว่าควรทำอะไรกับสถานการณ์แบบนี้!


          “ตัวพี่อุ่นดีจัง..”นั่นล่ะ นี่คือประโยคสุดท้ายจริงๆไอ้คล้าวตัวแสบในวันนี้ เพราะไม่ว่าผมพยายามสะกิดมันเท่าไรมันก็ไม่ยอมตื่น


          อ่าวเฮ้ย! มึงอย่ามาหลับท่านี้บนตัวกูแบบนี้..แล้วเฮ้ย! ไก่ล่.ะ.สรุปกูต้องทอดไก่มั้ยไอ้คล้าว มึงตื่นมาตอบกูก่อน!!!   

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด

จบล๊าวววกับตอนนี้ เป็นยังไงชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นต์บอกกันได้เลยนะคะ มีใครเดาถูกมั้ยว่าเปรมคิดอะไรกับคล้าว ที่จริงแล้วเป็นรสนิยม ซาดิส ของยอดชายนายเปรมเค้าล่ะ  พี่คะ ถ้าช้าคล้าวโดนแส้ นายเปรมแน่นวลลลค่ะ แต่ตอนนี้ดูแลน้องคล้าวไปก่อนนะคะ อิอิ ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะ
       

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 6 : เค้กหมี และ เชอรี่?....Part 1

            ความรู้สึกตอนนี้ช่างผสมปนเปกันมั่วซั่วเหมือนซดเหล้า ก่อนตบด้วยน้ำเปรี้ยวอมหวานแบบโกจิเบอรี่? ถ้าให้อธิบายให้เห็นภาพ ก็คล้ายๆ กับสาวน้อยกำลังโปรยยิ้มโลกสดใสวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ก่อนจะถูกพายุหิมะพัดหัวคะม่ำพื้นจนเสื้อพาขาดเหลือแต่ร่างกายเปล่าเปลือย และพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีแต่ทุ่งดอกไม้หัวโกล๋นกับความหนาวเหน็บ


            อืมหนาว..หนาวฉิบหายเลย!


            ค่อยๆ ปรือตาตื่นขึ้นมา ภาพในหัวก็หมุนติ้วอยู่ครู่หนึ่งจนเห็นเป็นสายรุ้ง ก่อนรวมกันเป็นแสงสว่างกลมๆ จุดเดียว ทุกอย่างพร่ามัวไม่ชัดเจนจนต้องยู่หัวคิ้ว กระทั่งมีความรู้สึกแล่นเข้ามาจิ๊ดในหัว รู้สึกประหนึ่งรถไฟชิงคันเซ็นกระแทกเข้ามาจนโอดครวญ



            ปวดหัวฉิบ..


            ผมกัดฟันทน ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ใช้นิ้วคลึงที่หัวตาสักพัก ก่อนยกมือนวดขมับตัวเองแก้ความมึนงง ตอนนี้อย่าว่าแต่ประติดประต่อเรื่องราวเลย แค่นับหนึ่งสองสามถูกนี่ก้บุญโขมาก พอเริ่มตั้งสติได้ ก็ค่อยๆ ลืมตากวาดสำรวจไปรอบๆ     

   
            ห้องนอนห้องเดิม..เพิ่มเติมคือเสียงที่เหมือน มีคนกำลัง..อาบน้ำ?


            หืม…ทำไมมีคนกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำกูวะ!? ว่าแล้วก็รีบเบนสายตาไปที่ประตูห้องน้ำอย่างตื่นๆ พลางขมวดคิ้วยู่


            ไฟเปิดอยู่ แถมมีคนกำลังฮั่มเพลงอาบน้ำอย่างอารมณ์ดีไปด้วย


            เฮ้ย! เสียงผู้ใด๋ ใครวะ? ไม่ได้ต้องไปตรวจดู!


            ฟรืบ!


            กำลังจะลุกขึ้นจากเตียง แต่พอเลิกผ้าห่มขึ้นเท่านั้นล่ะ สติที่ติดบินไปเมื่อครู่ก็วกกลับมา เมื่อได้เห็นสภาพตัวเองเต็มสองตา!


            “What the fuck of this!”

            ไหงกูเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียว!


            “อ่าวคล้าวตื่นแล้วเหรอ” มนุษย์ปริศนาที่ผมกำลังสงสัยเปิดประตูห้องน้ำออกมา ตรงจังหวะตอนที่ผมกำลังเอ๋อกับบ็อกเซอร์ตัวเอง พอรีบตวัดสายตา ก็ถึงกับชี้นิ้วอ้าปากค้าง เมื่อพบร่างสูงใหญ่อย่างกะหมีควาย!


            “ไอ้พี่ขิต!”

            มึงมายืนโท้งเท้ง กล้ามล้ำนมใหญ่ ทำไมในห้องน้ำกู แล้ว แล้ว..ทำไมถึงนุ่งผ้าเช็ดตัวตัวเดียวอาบน้ำห้องผมได้วะ แล้ว..แล้วทำไมกูถึงมีสภาพแบบนี้!


            เดี๋ยวนะ เดี๋ยว!


            “เมื่อคืนมึงหนักมาก ทำกูซะร้องเลย มึงควรอาบน้ำนะ”


            ไอ้พี่ขิต!! มึงพูดอะไร มึงร้องอะร๊ายยย!


            “เฮ้ย! มึงเป็นไร? ไม่สบายหรือเปล่าวะ หน้าซีดเชียว” ไม่พูดเปล่าแม่งเอามือมาแตะหน้าผากผมด้วย แต่ตอนนี้ระประมวลผมมันรวนไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะพยายามหักล้างยังไง ในหัวมันก็มีแต่เรื่อง 18+ กับพี่ขิต! ละ..ละ แล้วดูขนาดตัวพี่มันสิ! ถ..ถ ถ้ามันเข้ามาจริงๆ ข้างหลังผมมันต้อง..


            อ๊ากก ^%#&*%^ กูตาย กูตายเบื้องหลังกู ทะลวง!!


            “ไอ้พี่ขิต นี่มึง…มึง…มึง!”กระดากปากเกินจะพูด มือหนึ่งชี้หน้าไปที่พี่มัน ส่วนอีกมือกอดผ้าขึ้นมาคลุมบนตัวไว้ประหนึ่งสาวน้อยถูกเปิดซิง ส่วนไอ้พี่ขิตน่ะทำแต่ทำหมาหน้างง แต่อยู่ๆ เหมือนพี่แม่งจะคิดอะไรได้ เลยฉีกยิ้มชั่ว!


            ไอ้พี่ขิต มึงข่มขืนแล้วยืนยิ้มใช่มั้ย!


            “อ๋อ เรื่องเมื่อคืนนี้สินะ หึหึ”

            กรี๊ดดด หัวเราะอะไรของมึง ฮือ..  ไอ้พี่ขิต ไอ้หมีควายป่าชายเลน มึงฉีกยิ้มอย่างมีเล่ศนัยทำไม แล้วจะหัวเราะ หึหึ ให้กูใจแป้วทำไมอีก ไม่อยากคิดหรอกนะ แต่ว่า แต่ว่า!!


            ไม่ทันได้พูดพร่ำ อยู่ๆ ร่างสูงใหญ่อย่างกะพ่อพันธ์หมีขั่วโลกทำท่าจะกระโจนขึ้นมาบนเตียง  “เฮ้ย! พี่มึงจะทำอะไร!” ผมกระเด้งตัวถ้อยไปหัวเตียง ดีที่พี่มันหยุดตัวไว้ที่ขอบเตียงปลายเท้าเท้าผม ไม่โถมตัวขึ้นมาคล่อมเหมือนฉากรักนิยาย ผมพยายามโซยวายบอกไล่ให้พี่มันลงไป แต่พออีกฝ่ายเห็ฯท่าทีหวาดระแวงของผมแล้ว คนตัวใหญ่ก็ฉีกกลับยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากลจนเห็ฯประกายที่มุมปากสว่างวิ้งค์


            “อ่าวคล้าว ไหงมึงพูดกับคนที่ ‘อ่อนโยน’กับมึงแบบนี้วะ ที่เช้านี้มึงโอเคไม่เจ็บนี่เพราะกูเลยนะ”

            อย่ามาอ่อนโยนกับกู กูขนลุก!


            “ไอ้พี่ขิต!!” สติแตก! จากที่อยู่หัวเตียง เลยขัยบมาที่ปลายเตียงแล้ว ถีบๆๆ หน้าพี่มันจนร้องโอ้ย ก่อนหล่นลงจากเตียงไปเสียงดังตึง!  เพื่อความปลอดภัย พอสบโอกาส ผมก็รีบวิ่งหนีออกจากห้องนอนตัวเอง


            ทว่า..วิ่งมาจนถึงประตูหน้าบ้าน ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า


            ไอ้ห่านี่บ้านกูเอง! คนที่ต้องไปคือพี่มันต่างหากโว้ย! ผมวิ่งกลับไปทันที เห็นหมีเถื่อนกำลังออกจากห้องตามมาด้วยผ้าตัวเดียว ผมก็ชี้หน้าด่ามันไม่ยั้ง


            “ไอ้พี่ขิต ไอ้หมีโรคจิต กูลืมไปนี่บ้านกู มึงออกไป!!” ว่าจบก็แถมด้วยการปาข้าวของที่อยู่ใกล้ๆมือไปไปยั้ง อย่าด่าว่าทำไมทำเหมือนสาวน้อยจังวะ ประเด็ฯคือพี่มันตัวใหญ่ไง กลัวเข้าไปแจ๊บๆ แล้วพี่มันจะสวยมาป๊าบๆ คือพี่มันตัวใหญ่ กูตายแน่ จึงได้วิธีปาข้าวของ แต่ทุ่มโซฟาได้กูทำแล้ว


            “เดี๋ยวๆ เป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย!!” ไอ้พี่ขิตมันโวยวายสั่งผมหยุด แต่ผมไม่ฟัง มึง!! อย่าได้อยู่ร่วมโลกกันอีกเลย


            “ชั่วร้าย หมีควาย ปีศาจ ไอ้โรคจิต ฟัคยู!! ”


            “โถ่ไอ้เหี้ย!!”

            ไอ้พี่ขิตมันพ่นตำด่ากลับมาจนผมสะดุ้ง ก่อนร่างใหญ่วิ่งควายเข้ามาคว้าของมือผมดัง หมับ!


            “เฮ้ย!”ผมตกใจหน้าซีด แต่ไม่ทันได้ตอบอะไรก็ถูกพี่มันลากมาคุยในห้อง เพิ่งรู้ว่าพี่แม่งเป็นเถื่อนบาบาเรี่ยนจริงๆ แรงวัวแรงควายชัดๆ ห่านเอ้ยไอ้พี่ขิตมึงปล่อยกู!!


            “นี่สมองมึงคิดส้นตีนอะไรอยู่เนี่ย เมื่อคืนมึงเมาแล้วอ้วกใส่ตัวกูเนี่ย”


            หะ? เมา?


            ผมพยายามรวบรวมความคิด จำได้ว่า หลังจากหงุดหงิดเรื่องไอ้เปรมเสร็จ ไอ้พี่ขิตก็ชวนผมออกมากินร้านข้าวต้ม ที่หน้าปากซอยบ้านพักต่างอากาศของผม แล้วจากนั้นก็สั่งแบล็คมากินกัน แล้วจากนั้น..แล้วจากนั้นก็..


            I couldn’t remember anything!


            “มึงอย่ามาแก้ตัว”อะไรไม่รู้ กูขอมีฟอร์มไว้ก่อน ไอ้พี่มันยืนตัวตรงขมวดคิ้วมุ่ย ส่งตาดุๆ มาทางผมทันที


            “มึงไปดูถุงอ้วกมึงในถังขยะไอ้ห่า”


            มึงเก็บหลักฐานไว้ด้วยเหรอ! ผมค่อยๆ เดินตัวเบาไปที่ถังขยะข้างตูเย็น ก่อนจะเปิดฝาดู


            อือหื้ออ!!..แบล็คเลเบิ้นผสมต้มขาไก่  โอ้ย รู้สึกอยากจะอาเจียนอีกรอบ ผมตบหน้าตัวเองเบาๆแล้วตั้งสติ ก่อนจะหันไปเผชิญกับพี่มันที่ยืนนุ่งผ้าเช็ดตัวตัวเดียวอยู่หน้าประตูบ้าน


            ฮือ..กูผิด กูหน้าแตกแล้ว แต่ก็อยากจะสู้สุดใจกล้า


            “ล..แล้วทำไมผมกับพี่ต้องถอดเสื้อผมด้วยอะ”


            “แล้วมึงจะนอนพร้อมอ้วกเหรอไอ้ห่านี่ ”


            “แล้วทำไมพี่ถึงมานอนนี่อะ”


            “กูก็อยู่ดูแลมึงนี่ไงไอ้ฉิบหาย ทั้งดิ้น ทั้งเมา หัวเกือบฟาดพื้นไม่รู้ตั้งกี่รอบ อีกอย่างมึงจะให้กูกลับบ้านยังไง ดึกดื่นเที่ยงคืน”


            “แล้วพี่อาบน้ำไม”


            “โอ้ยยย มึงตื่นยังไอ้คล้าว!! มึงจะไม่ให้กูล้างกลิ่นอ้วกมึงไง”


            ยอมแล้ว..ยอมแล้วจ้า กูแพ้


            “แล้วไป..ก็นึกว่า โอ้ยพี่!”


            “คิดอะไร ลามก”

            พูดไม่ทันจบพี่มันก็ดีดหน้าผากผมดังป๊อก แล้วนิ้วแม่งใหญ่อย่างท่อนซุง เชี่ยเจ็บนะ! ผมมุ่ยหน้าเอามือลูบๆ ก่อนพี่มันจะกอดอกยืนมองพร้อมยิ้มนิดๆ


            “วันนี้มึงจะลาหยุดก็ได้นะ เดี๋ยวกูลาให้เอง” เปลี่ยนเรื่องเร็วมาก ผมตาโตทันที


            “ไม่เอาพี่ ผมมีความรับผิดชอบเพียงพอ” กูไม่ใช่คนงี่เง่านะเว้ย


            “งั้นเดี๋ยวกูทำข้าวต้มให้ มึงไปอาบน้ำไป” หืม..ไม่โกรธกูแล้วเหรอ ทั้งๆที่ตะกี้ กูเล่นใหญ่รัชดาลัยมากนะ


            ผมกำลังจะอ้าปากพูด แต่คนตัวใหญ่กลับเดินเข้ามาใช้มือหนาๆ ขยี้ผมอย่างหมั่นเขี้ยวอีกครั้ง แล้วเขาก็เดินไปที่โซนครัวในบ้านผม


            ปริบ ปริบ


            กูนี่ยืนเอ๋อเลย สรุปนี่พี่มันเป็นไบโพล่าจริงๆ ใช่มั้ย เปลี่ยนอารมณ์ไวเกินไปเปล่าวะ ผมมองสำรวจพี่มันจากทางด้านหลัง ทั้งไว้หนวดไว้เคลา ผมเผ้าก็ยาวรุงรังมาก ถ้าไม่มัดจุกไว้ก็พระฤาษีดีๆ นี่เอง แต่หุ่นพี่มันแน่นมากนะ ไม่แน่นแบบว่าอ้วน แต่แน่นแบบกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เหมือนพวกคนเถื่อน ใช้แรงงานน่ะ แต่ดูไปดูมาจนไปถึงช่วงล่างก็...


            เหี้ย! กูคิดอะไรเนี่ย!


            “พะ พี่จะใส่ชุดไหน” รีบเปลี่ยนเรื่องในบัดดล ไม่หรอกจริงๆสงสัยไงเห็นพี่มันยืนนุ่งผ้าเช็ดตัวตัวเดียวล่อแหลมมมาตั้งนานแล้ว ว่าแต่กูจะหน้าร้อนทำไม


            “ก็คงใส่ตัวเดิมนั่นล่ะ ตากอยู่นู้น” พี่มันชี้ออกนอกหน้าต่างด้านขวามือ ผมมองตาม เออตากอยู่ที่ราวด้านนอกจริงๆด้วย


            “พี่ใส่เสื้อพ่อผมดีกว่า” ผมเสนอ


            “เฮ้ยๆ จะดีเหรอวะ” คนตัวใหญ่ตอบยิ้มๆ ทั้งที่มือก็คนหม้อต้มไปด้วย ผมจิ๊ปาก


            “โอ้ยใส่ๆ แม่งไปเหอะ ไปอาบน้ำแล้ว!” ตัดจบบทสนา คือมัวแต่ว่าพี่มันจนลืมตัวเอง ว่ากูเนี่ยก็มีแค่บ็อกเวอร์ตัวเดียวเหมือนกัน แต่ก่อนจะเข้าห้องไป ผมเห็นสายตาพี่มันเหล่มาแล้วยิ้มนิดๆ ก่อนมันจะตั้งหน้าตั้งตาทำข้าวต้มต่อ


            ดูมีความสุขแปลกๆ แฮะ


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


            และแล้ว..ผมก็ย้ายสังขารมาที่โรงแรมได้จนสำเร็จ แต่หลังจากกินข้าวต้มของไอ้พี่ขิตมันเสร็จ ผมก็อัดยาพาราเข้าไปรัวๆ คือปวดหัวไง แต่ด้วยความรับผิดชอบค้ำคออยู่เลยลางานไม่ได้


            ผมคร่ำครวญอยู่ในใจพลางลากขาเอื่อยๆ เดินขนาบข้างร่างสูงใหญ่อย่างกะหมีป่าของไอ้พี่ขิต แต่ถึงผมจะทำหน้ามึนบอกบุญไม่รับเพราะมึนหัวยังไง ผม็ยังสังเกตเห็นสายตาของพี่มันที่แอบมองผมอยู่เป็นระยะๆ จนในที่สุดเสียงทุ้มใหญ่นั้นก็เปิดออกมาพร้อมเสียงถอนหายใจ

            “กูว่ามึงควรนอนพักอยู่บ้าน”


            “เรื่องของผมน่า” ผมว่าอย่างขอไปที ก็เข้าใจนะว่าพี่มันเป็นห่วง แต่ว่า..ถ้าให้ผมทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบมันก็ไม่ใช่ ตอนนี้ผมเป็นเดมี่เชฟ หลายคนกำลังจับตามองผมอยู่ ผมจะทำให้เสียงานไม่ได้ ทว่า..ระหว่างที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดนั้นจนเดินมาถึงหน้าห้องล็อคเกอร์ ใครบางคนก็เดินสวนออกมาพอดี


            “อะ..รองเชฟใหญ่?” ผมอุทาน บุคคลตรงหน้ามีร่างผอมสูงวัยสี่สิบปลายๆ เขาเป็นรองเชฟใหญ่ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซูเชฟ สำหรับโรงแรมใหญ่ๆ แล้ว ซูเชฟจะมีไม่เกิน 2 ถึง 3 คน ซึ่งที่โรงแรมสุขีฯนี่มีสองคน และคนคนนี้เป็นหนึ่งในกรรมการที่เคยสัมภาษณ์ผม


            “สวัสดีครับ” พี่ขิตทักทายรองเชฟบ้าง ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นท่าทางดูสนิทสนมเป็นพิเศษ


            ชูเชฟยิ้มนิดๆ ก่อนเบนสายตามาทางผม


            “เป็นไงบ้าง ปรับตัวได้ใช่มั้ย” เอ่อ...จะว่ายังไงดี ถึงคำถามจะดูธรรมดามาก แต่สายตาของซูเชฟช่างเหมือนกับอาจารย์ฝ่ายปกครองจริงๆนะ รู้สึกคล้ายกำลังถูกตรวจเช็คเลยว่าผมทำอะไรผิดกฏหรือไม่


            “เอ่อ..ครับ”

            ฮือ..เสียงสั่น ไม่นะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ถ้าผมโดนอะไรขึ้นมา จะชี้โบ้ยไปทางไอ้พี่ขิตอันดับแรกแล้ว ตะโกนว่า ‘หนวดมันก็ผิด!’


             “ผมได้ยินว่าเมื่อวาน มีการชาแลนจ์กันระหว่างเชฟเหรอ น่าจะเชิญผมเข้าไปด้วยนะ อยากกินอะไรอร่อยๆ”


            อู้หู..ขนลกซู่!


            ผมสัมผัสได้ว่าถ้าซูเชฟมาด้วยเมื่อวาน ความกดดันจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี สำหรับไอ้เปรมไม่รู้แต่ผมน่ะ คงเกร็งแน่ โชคดีมากที่เชฟไม่มา


            ว่าแต่..ทำไมเชฟถึงรู้ล่ะ ว่าเมื่อวานผมแข่งกับไอ้เปรม นี่เรื่องของผมมันกลายเป็นท็อคออฟเดอะทาวน์ไปตั้งแต่เมื่อไร


            “ซูเชฟมีอะไรหรือเปล่าครับ?” พี่ขิตเลือกเวลาเปลี่ยนเรื่องได้ดี คนเป็นรองหัวหน้ายิ้ม ก่อนจะหยิบเอกสารใบหนึ่งออกมาจากด้านหลัง ผมขมวดคิ้ว


            “พอดีผมนำรีเควสของทางครัวแบ้งเคว็ท* มาให้น่ะครับ เขามาขอคนช่วยจากครัวไทย”

            ทางครัวจัดเลี้ยง ขอมา?..งานจ็อบนอก? แต่ไหงมาขอคนจากครัวไทยให้ไปช่วยฟะ?


            พี่ขิตรับใบนั้นมาดู ผมแอบชะเง้อคอยาวมองตาม ในเอกสารมีรายกายฟังชั่นก์ค่อนข้างละเอียด ทั้งธีม และ เมนู ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย


         “งานเวนดิ้งนอกสถานที่ เน้นอาหารไทย ซีฟู๊ด กับอิสาน โหงานใหญ่นะเนี่ย สัก หก เจ็ด คน พอมั้ยครับ” พี่ขิตเหลือบสายตาขึ้นมามองคนเป็นหัวหน้า ซูเชฟยิ้มอ่อนๆ ประหนึ่งหลวงพ่อในโบสถ์ ส่วนผมนี่ตะลึงงันไปแล้ว


            ขออาหารถึงสามประเภท! แถมแต่ล่ะฟั่งช์ชั่นที่ขอมาก็ดูใหญ่โตอลังการ แสดงว่าเจ้าของงานต้องรวยล้วนฟ้า และดูท่าจะเน้นไปที่ซีฟู๊ดด้วย


            สงสัย หาคนไปย่างหอยย่างปูแน่ๆ


            “เจ็ดคนกำลังดี แต่เชฟขิตต้องไปด้วยนะ”ซูเชฟย้ำเสียงเรียบนิ่ง พี่ขิตเงียบกิรบไปทันที


             ผมเม้มริมฝีปากครุ่นคิด มีเรื่องอะไรกันวะ? นี่คงเป็นอีกหนึ่งรีเควสงานของลูกค้าที่สำคัญสินะ


             จะว่าไป พี่ขิตก็ดูมีชื่อเสียงในภูเก็ตและดูลูกค้าก็ติดฝีมือพี่มันมากๆ แต่ถ้าพี่มันต้องไปจริงๆ ก็เท่ากับว่าผมซึ่งเป็นเดมี่ก็ต้องคุมงานที่ครัวไทยนี่แทนพี่มันน่ะสิ


            พี่ขิตกอดอก ไม่พูดไม่จา ถึงจะไม่ได้แสดงอาการปฏิเสธออกมาแจ่มแจ้ง แต่ดูจากหน้าก็รู้ว่าพี่มันไม่อยากไป เพราะอะไรหว่า?


            “ลูกสาวผู้ว่าเลยน่ะ ถ้าไม่อร่อยคงไม่ดีกับโรงแรม” รองเชฟใหญ่ว่า พี่ขิตพยักหน้ารับเรียบๆ


            “อาทิตย์ที่ 9 นี้เหรอครับ” ถามอย่างกับมีนัดสำคัญวันนั้นเลยแฮะ ผมครุ่นคิด


            “ไม่ต้องห่วงทางนี้ เดี๋ยวผมจะเป็นคนคุมครัวแทนคุณเอง” เหมือนซูเชฟจะอ่านใจร่างสูงออก ผมอึ้ง ถ้าซูเชฟอยู่ แสดงว่าผมก็ต้องมาเป็นลูกมือให้ใช่มั้ย?


            “แต่เฮดเชฟกับรองจะไปญี่ปุ่นวันอาทิตย์นี้ไม่ใช่เหรอครับ” พี่ขิตว่า ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าดูไม่อยากไปสุดๆ ดูเหมือนจะพยายามหาเหตุผลสารพัด


            “เฮดเชฟไปก่อนน่ะ แล้วเดี๋ยวผมตามไปทีหลัง” แต่ก็ถูกปฏิเสธไปอย่างง่ายดาย แล้วหลังจากนั้นซูเชฟก็เดินผ่านไป ผมกะพริบตาปริบๆ ยิ้มแหยๆ แล้วมองหน้าพี่มัน


            “เหมือนเป็นงานที่ไม่มีตัวเลือก”


            “บางครั้งเราก็ต้องทำในสิ่งที่เลือกไม่ได้น่ะ”


            พนมมือเลยกู


        “งั้นผมอยู่ที่นี่คุมแทนเชฟกว่า ถ้าซูเชฟคุมงาน ครัวเราคงเครียด” ไม่ได้จะทิ้งนะไอ้พี่ขิต แต่มันเป็นความจริงไง พี่ขิตต้องรักทุกคนในทีมอย่างเท่าเทียม


            “อ้อไม่เป็นไร กูห่วงมึงจะได้งานน้อย มึงไปกับกู”


            อันนี้มึงเกลียดกูแล้วล่ะ


            “ทำไมพี่ต้องพกผมเหมือนหมากระเป๋าด้วยวะ” ผมบ่น พี่มันเลิกคิ้วเล็กน้อย


            “กูเป็นหัวหน้า กูสั่งมึงก็ต้องไป เดี๋ยวกูจะให้เปรมมันอยู่ช่วยซูเชฟคุมเอง”


            “แต่ผมไม่ถนัดอาหารไทย” ผมพยายามหาทางออกให้ตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่า..


            “ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูสอนมึงตำส้มวันนี้เลย” ถึงกับเถียงไม่ออก เอาเป็นว่า วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคมนี้...


            กู...ตาย


            But  I've got a blank space, Oh baby

            And I’ll write your name พี่ขิต!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2017 17:02:13 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ชอบน้องคล้าวมากค่ะ ชอบเปรมกับพี่ขิตด้วย และเหนืออื่นใดชอบอาหารไทยมาก ๆ

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 6 : เค้กหมี และ เชอรี่?....Part จบ


          เพียงลมพัด ในที่สุดก็ถึง วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม แต่ก่อนจะเข้าเนื้อเรื่องถัดไป ผมขออธิบายประเภทครัวในโรงแรมก่อนนะครับ

 
          #ช่วงเกล็ดความรู้ตะมุตะมิกับน้องคลาว


          จริงๆ แล้วประเภทห้องครัวของโรงแรมสามารถแบ่งได้หลากหลายมาก แต่ผมจะอธิบายประเภทหลักที่โรงแรมส่วนใหญ่ใช้กัน

          อย่างแรกเลยคือครัวประเภท All Day แปลเป็นไทยง่ายตรงๆ ว่าทั้งวัน ใช่ครับ เป็นครัวที่เปิดทั้งวันทั้งคืน และรับหน้าที่เมนหลักในการทำอาหารให้ลูกค้า โดยมีเชฟเข้าตามกะต่างๆ ยกตัวอย่างให้เข้าใจก็คือครัวไทยคิดเช่นวันของผมกับพี่ขิตนี่

          อย่างที่สองคือครัวประเภท Banquets หรือครัวจัดเลี้ยง แน่นอนว่าตำแหน่งในครัวนี้เหมือนกับครัว All Day ทุกประการ เพียงแต่เชฟที่อยู่ในครัวนี้จะรับหน้าที่เตรียมอาหารให้เฉพาะงานจัดเลี้ยงเท่านั้น ทั้งอินดอร์และเอาท์ดอร์ และรายการอาหารที่ทำขึ้นอยู่กับฟั่งค์ชั่นที่ลูกค้ารีเควสมา หรือทางเราส่งไปให้ลูกค้าเลือก ดังนั้นพวกงานสมนา งานเลี้ยงรุ่น งานแต่งงาน ทางครัวนี้จะเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ส่วนใหญ่มักคนไม่พอเลยมาขอร้องจากฝ่าย All day เสมอ

          อย่างสุดท้ายคือครัว Friday ครัวประเภทนี้ เหมือนจัดอยู่คนระดับชนชั้นกว่าครัวทั้งสองมาก พวกง่ายๆคือ เป็นครัวชั้นสูง ทำอาหารประเภทแบบ Luxury และต้องสั่งจอง แน่นอนว่าลูกค้าต้องไม่ใช่คนธรรมดา และครัวนี้เป็นครัวที่สบายที่สุดเพราะทำงานน้อยและ เงินเดือนเยอะ

          #จบ


          It’s come..


          ในช่วงเวลาระยะเวลาสี่วันที่ผ่านมา ผมตัวแทบติดกับไอ้พี่ขิต 24 ชั่วโมง ถามว่าทำไมน่ะเหรอ..เพราะมันมานอนบ้านผมไง!


          ไม่รู้แม่งจะพิศสวาทอะไรผมนักหนาถึงตามติดผมแจ แล้วผมต้องดูแลพี่มันแลกกับการที่มันสอนอาหารไทยให้ผมอย่างเข้มงวดทุกตารางนิ้ว


          Oh my god จังหวะนี้ก้ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะช่วยมั้ย ทำไมหลังจากกลับมาเมืองไทยชีวิตที่เคยเด่นดังเป็นนักเรียนดีเด่นเกียรตินิยมอันดับหนึ่งถึงได้ห่อเหี่ยวเหมือนเปลือกกล้วยหวีเหี่ยวขนาดนี้ เพราะไม่มีใครเคยถามความสมัครใจของผมเลยสักคำ


         โดยเฉพาะไอ้เชฟร่างไททันเว่อชันมีหนวดเนี่ย! ไม่เคยถามความสมัครใจของผมเลย เอาแต่พูดแต่ว่าตัวเองเป็นหัวหน้าต้องทำตามคำสั่ง


          นี่มันหมดยุคทาสในเรือนเบี้ยไปหรือยัง ฮัลโหล?


          ตอนนี้ My tears กำลังหลั่งไหลเป็นสายโลหิต แต่พี่ขิตก็ยังซาดิส ขับเคี้ยวผมมาตำส้มตำทุกค่ำคืนเพื่องานนี้


          ถึงผมอยากจะเป็ยพ่อครัวหนึ่งครบเครื่องจักรวาลยังไง แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆว่าผมไม่ถนัดอาหารไทยเท่าไร บางทีผมก็คิดนะว่า ถ้าผมได้เชื้อฝีมือคุณนายนดามาสักนิด อาหารไทยที่ผมทำอาจอร่อยกว่านี้


          ตอนนี้ถ้าถามผมว่ามั่นใจขึ้นมั้ย?


          ก็คง..มั่นใจขึ้นกว่าตอนแข่งกับไอ้เปรมล่ะมั้ง


          เอ่อ พูดถึงไอ้เปรมแล้ว ตอนสี่วันมานี่ ผมเล่นสงครามประสาทกับมันซะยกใหญ่ คือจะว่าไงดี คือมันทำตัวปกตินะ มีแต่ผมนี่ล่ะที่ไม่ปกติ ไม่คุยกับมัน ไม่มองหน้ามัน ทำให้มันเป็นเหมือนอากาศธาตุโดยสมบูรณ์แบบ อย่าหาว่าผมโหดร้ายเลย นี่ผมไม่ต่อยหน้ าไม่ถีบมันซ้ำด้วยก็บุญแค่ไหนแล้ว


          พอๆ พูดถึงมันแล้วก็ของขึ้น ตัดกล้องมาตอนนี้ดีกว่า


          ขณะนี้เวล่า 8.30 น. ผมกำลังนั่งอยู่บนรถบัสของโรงแรมที่กำลังขนขบวนเชฟจำนวน 32 คน ย้ำ สามสิบสองคน! งานแต่ลูกสาวผู้ว่าครั้งนี้กลับเชิญแขกมาทั้งหมดเกือบ 300 ที่


          พระเจ้านี่มึงปิดเลี้ยงทั้งหมู่บ้านเลยหรือไง


          จริงๆแล้ว เชฟของครัวจัดเลี้ยงมีทั้ง 25 คน รวม CDP ของครัวแบ้งเคว็ทด้วย แต่เนื่องจากใบฟั่งก์ชั่นในธีมเขียนอาหารไว้ 3 ประเภท คือ ไทย อิสาน ซีฟู๊ด จากที่เห็นแล้วดูเป็นสัจจะธรรมมากๆ ที่คน 25 คนต้องจะคุมอาหารให้ คน 200 ได้ยากเย็นเพราะมีทั้งโต๊ะจีน และบุฟเฟ่


           ถึงในใบฟังชั่น บุ่ฟเฟ่จะเป็นเมนูง่ายๆ จำพวก ซีฟู๊ดเผาๆ ทั้งหลาย แต่ด้วยปริมาณต่อคนที่ตักไง มันไม่น่าจะทันง่ายๆ


          ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายนะ ที่พี่ขิตบอกผมว่า ให้อยู่กับเขาที่ไลฟ์สเตชั่นอาหารอิสาน


          อ่า..ตอนนี้คนมากันครบแล้ว ในที่สุดก็ออกเดินทาง สู่จังหวัด นครศรีธรรมราช

 
• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •



          รถบัสพุ่งตรงดิ้งโดยไม่หยุดพัก ในที่สุดก็ถึงยังสถานที่จัดงานเวดดิ้ง


          ที่นี่เป็นงานเอ้าท์ดอร์จัดที่หน้าบริเวณสวนของสโมสรอะไรสักอย่าง ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ และตรงกลางมีบึงน้ำพุขนาดใหญ่


          ฉากทุกอย่างถูกพวกออกาไนซ์แต่งแต้มจนรู้ว่า ว้าวนี่ล่ะงานเวนดิ้งอันอบอุ่น สวยงามอลังการ แต่ผมไม่ได้สนใจไง สิ่งที่ผมสนใจตอนนี้คือจะต้องตามไอ้พี่ขิตไปกระจายงานให้ลูกน้องร่วมกับ CDP ของครัวจัดเลี้ยงอีกคนนึง ซึ่งค่อนข้าง ดุเดือด เรื่องมาก เหมือนกับพี่ขิตเวลาคุมงานลูกน้อง


          และเพื่อไม่ให้ลานสนามหญ้าสวยๆ เลอะจากการทำอาหาร โซนครัวที่ทางสโมสรจัดไว้ให้จึงเป็นเต้นท์ผ้าใบ เหมือนโรงทานตามวัด ที่ตั้งอยู่ด้านหลังสุดของสวน


          ตามกำหนดการ งานจะเริ่มช่วง 4 โมงเย็น แต่เนื่องจากเป็นโต๊ะจีน กึ่งบุฟเฟ่ อาหารทุกยอย่างต้องเป็นอาหารที่ออกสด จะช้าหรือทำก่อนมากไม่ได้ ดังนั้นอุปกรณ์ทุกอย่างที่นำมาจะต้องพร้อมและเข้าที่เข้าทางมากที่


          ผมทำตามสั่ง ช่วยขนนู้นทำนี่อยู่สักพัก ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องมาเตรียมของตัวเองที่บู๊ทบ้าง แน่นอนว่าครั้งนี้ ผมไม่ได้ทำอาหาอิตาเลียนแบบที่ถนัดอีกนั่นล่ะ แต่ถูกไอ้พี่ขิตมันให้มันช่วยตำส้มตำ กับย่างหมูแทน


          ตอนนี้ก็ใกล้เปิดงานแล้ว อีกไม่นานแขกก็คงมา แต่นี่ผมยังเตรียมของไม่ครบเลย หงุดหหงิดก็หงุดหงิด ร้อนก็ร้อน ชุดเชฟนี่แม่งก็หนา แถมยังมีดนตรีคอลเป็นแนวลูกทุ่ง สะล้อ ซอ ซึ่งนี่มา กันครบ


          คืออยาก บีย่อยเซ่ แม่บริท ริฮาน่า อะไรแบบนี้ในใจมันเต้นคึกคักบ้างไง พอฟังเสียง อี้แอๆ แล้วเหมือนจะบวช


          ก้มๆ เงยๆ อยู่ในบู๊ทสักพัก ในที่สุดก็ทนไม่ได้ ขอบ่นสักหน่อย


          “แม่งจบสายอิตาเลียนมา ทำไมผมต้องมาตำส้มตำวะ แล้วสากแม่งอยู่ไหน?” กูเริ่มพาลมั่วล่ะ อารมณ์ไม่เอนจอยเลย อยู่ในตู้ป่าววะ


           “เอาของพี่มั้ย?”


          “หะ” ผมเงยหน้าขึ้นมา เห็นพี่ขิหันมามอง


         “อันเท่านี่” แล้วแม่งก็ยื่นสากอันเบอเร่อมาให้


          “…”

          แม่งหัวสากมีเม็ดพริกเกาะด้วย หงึดเลยกู..รู้สึกว่าชั่ววูบหนึ่งที่รอยยิ้มโชว์ฟันขาววิ้งของพี่มัน..กลับมีออร่าดำมือบางอย่างแพร่ออกมาด้วย ขณะขนเส้นเล็กๆ(ที่ไม่ค่อยมี) ถึงกับลุกเกรียวขึ้นมาทั้งตัว


          ไอ้พี่ขิต..อันเท่านี่ของพี่นี่มัน..สาก หรือว่าอะไรวะ


          พอ..ทิ้งครก ไม่หงไม่หาแล้ว


          “มึงจะไปไหน”


          “ห้องน้ำเดี๋ยวมา” ผมว่า รู้สึกว่าตัวเองควรออกไปตั้งสติจริงๆ ก่อนจะโดนอันเท่านี้ของพี่มันฟาดหน้า


• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •



          16.20 น. นาที


          ตอนนี้งานเลี้ยงเริ่มขึ้นได้สักพักแล้ว ผมเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวประมาณ 30 นิดๆ แต่โดยรวมแล้วเหมาะสมกันดีมาก


          หลังจากเปิดงานมาก็มีแขกเหรื่อหลายคนเริ่มมาเปิดซิงบู๊ทผมกับพี่ขิต แล้วจากนั้น คนก็เริ่มต่อแถวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ล่ะคนไม่ธรรมดาทั้งนั้น สั่งที 4 ครก เล่นตำกันมือหงิกปวดแขน ผมช่วยไอ้พี่ขิตได้ไม่กี่ครกเอง เพราะส่วนใหญ่ผมต้องไปย่างหมูที่เตาย่างข้างหลัง จริงๆเครื่องหมักก็ง่ายๆนะ แค่น้ำปลา น้ำมันหอย แล้วก็พริกไทยกระเทียม แต่ที่มันหอม คงเป็นพร้อมผมใช้แปรงทาเนยจืด ย่างไปด้วยเพื่อตัดเค็ม รสชาติมันจะได้กลมกลอม


          จริงๆ แล้วผมถนัดการปรุงรสด้วย นมน้ำตาล เนยพวกนี้มากนะ เพราะมันเป็นส่วนประสมหลักของอาหารอิตาเลียน แต่ก็พอดัดแปลงมาใช้กับอาหารไทยได้อยู่บ้าง


          พี่มันก็ตำๆ...(ฟังดูเรทจังแหะ)


          ส่วนผมก็ย่างๆ มีตำๆ บ้าง  พอคนเริ่มซาลงแล้วตอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังขึ้นเวที อยู่ๆ ผมก้มีคำถามขึ้นมา


          “พี่ เมื่อวันก่อนนั้น ผมเมามากเลยเหรอ” พอได้ยินคำถาม ร่างใหญ่ที่ยืนตัวตรงกอดอกอยู่ก็ค่อยๆ หันมาเลิกคิ้ว


          “ป่าว มึงแค่กลายร่างเป็นสัตว์”


          สัตว์อะไรของพี่มันวะ? ได้เล่นกะพี่มันหน่อย


          “กระต่ายใช่มั้ย แค่อยู่เฉยๆ ก็น่ารัก”


          “โน โน่ โนว” พี่มันส่ายหน้าส่ายนิ้ว ทำท่าอย่างกะจะเต้นนิวจิ๋ว  “มึงเป็น..”


          “พอเหอะพี่ ผมไม่อยากฟังล่ะ” ปฏิเสธความจริงกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ไม่ใช่อะไรสายตาพี่มันน่ากลัวมาก อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าผมจะทำอะไรบ้าๆ เพราะจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่ผมเมาก็..


          “เมื่อวานมึงหอน”


          เชี่ยล่ะ

         
          “เป็นน้องหมา”


          ฉึก!


          “เป็นน้องไก่”


          ฉึก!


          “แล้วก็”


          ยังมีอีกเหรอ!


          “หยุด!!”


          “เป็น คิตตี้มาอ้อนกูให้ทอดไก่ด้วย”


          ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก! เหมือนโดนกระหน่ำแทงรัวๆ พร้อมกับมีเสียงหัวเราะเล็กๆ ด้วยคำว่า คิตตี้..คิตตี้..คิตตี้..คิตตี้..ทิ้งท้าย


          โอ้ว..วิญญาณผมกำลังสูญสลาย


          “โน่วว!!” โอ้ยย อิเหี้XXXX!!!


          “ติดตากูเลยเนี่ย”

          มีอะไรอุทานได้แรงกว่าเหี้Xมั้ย ? ฮือ..ไอ้พี่ขิตมึงพอเถิด กูยอมแล้ว กูขอโทษ กูไม่อยากฟังแล้ว มึงฆ่ากูตรงนี้เลยเถอะ แล้วฝั่งกูด้วยศิลาแดงให้หายไปเลย


        “แต่ว่า มึงก็..”


          “I can’t hear anything” พอไม่อยากฟังแล้ว ผมก้มตัวลงไปปิดหู ปิดตา น้ำตาไหลพราก ขอสักวันเถอะทำตัวเหมือนสาวน้อยไม่ยอมรับความจริง แน่สิก็ผมไม่อยากรู้ว่าพี่มันจะพูดว่าแปลงเป็นสัตว์อะไรอีก!


• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

          เลิกงาน 5 ทุ่มตรง


          กว่าจะเก็บของเสร็จแล้วกลับตรงเข้ามาถึงโรงแรมก็เที่ยงคืนพอดี จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากเลย ที่ทางซูเซฟบังคับให้ไอ้พี่ขิตมางาน เจ้าสาวบอกว่าพี่ขิตมันเป็นเหมือนพ่อสื่อกลางให้บ่าวสาวได้พบ แต่ผมถามคนโตตัว พี่มันพูดแค่ว่า ‘กูแค่ยื่นเฉยๆ ปิ้งหมูปักเทียนให้เค้า’ นั่นล่ะผมคิดว่าคนอย่างพี่มันคงไม่มีความโณแมนติดเป้นคิวปิดทำให้ใครเขารักกันได้หรอก

          นั่งรถบัสกลับมาที่โรงแรม(พัก) เนื่องจากเป็นงานออกต่างจังหวัด พวกเราเลยต้องพัดข้างนอก และด้วยความที่ชีวิตผมเหมือนละครไทยมาก ห้องนอนทุกห้องเต็มโควต้าหมดห้องล่ะสองคน แต่ห้องที่ว่างอยู่ดันเป็นห้องของไอ้พี่ขิตซึ่งมันนอนคนเดียว ดังนั้นผมจึงถูกบังคับให้นอนกับพี่มันอย่างเลี่ยงไม่ได้


          พอขนกระเป๋ากว้าเข้ามาในห้องได้เสร็จ ผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงบนที่อยู่ตรงที่ใกล้ที่สุด(ในห้อง มีสองเตียง)


          เหนื่อยจังเลย..


          “It’s heaven..” ผมบ่นพึมพำ อยากนอนละลายอยู่ตรงนี้ชะมัด


          “เฮ้ยๆ มึงไปอาบน้ำเลย อย่าขึ้นเตียงทั้งตีนแบบนั้นสกปรก” ไอ้พี่ขิตมันบ่นเสียงดุ


          “Shut up guy” ผมครางบ่นเสียงัวเงีย พร้อมฝังใบหน้าซุกลงไปในหมอนนิ่มๆ แต่สักพัก ก็เหมือนมีมือใหญ่ๆมาดึงๆ ขา


          “คล้าว” ดึงๆ เรียกๆอยู่ประมาณ สี่ห้ารอบ สุดท้ายก็ทนความรำคาญของพี่มันไม่ไหว ผมพลิกตัวมาหน้าบึ้ง ก่อนลุกขึ้นมานั่ง แล้วผมหน้าพี่มัน..


          อืมหน้ามันก็..ดูเหนื่อยเหมือนกันนะ


          จริงสิ พอมองคนตัวโตแล้ว ก็นึกเรื่องขึ้นมาได้ ผมดีดตัวจากเตียงเดิมดุ่มๆไปที่ที่ผมวางกระเป๋า ไอ้พี่ขิตมองตามผมมางงๆ นะแต่ปมไม่สนใจ ที่หูกระเป๋าเป้ผมผูกถุงพลาสติดสีขาวซึ่งใส่ของบางอย่างเอาไว้


          “พี่..” ผมเรียกคนตัวใหญ่ ใบหน้าเข้มนั้นหันมาเลิกคิ้ว ผมยิ้มนิดๆ รู้สึกเขินๆ ขัดกับอารมณ์ความเป็นนายเมฆาผู้เย่อหยิ่งยังไงชอบกล แต่ช่างเถอะ ผมแค่ทำตามความรู้สึกข้างในที่มันบอกให้ทำก็เท่านั้น


          เพื่อความเป็นลูกน้องที่ดี?


       “เอ่อ I have something to give you.” เพราะอายไงเลยพูดภาษาอังกฤษ


          “อะไรมึง”แม่งเสียงเหมือนจะชวนผมมาต่อย ขัดอารมณ์ชะมัด


          ผมจิ๊ปาก ผมค่อยๆแกะถุงออก แล้วเปิดสิ่งที่สุดข้างในให้พี่มันดู


          “ส้มตำมั้งพี่ เค้กไง ยูโน่ว?” เป็นกล่องเค้กวนิลารูปหมี? ด้านบนมีลูกเชอรี่สีแดงเหี่ยวๆ ไม่สมประกอบ แปะอยู่บนหัว


          เอ่อ..ซื้อมาจากเซเว่นน่ะนะ ใจจริงก็อยากจะทำให้พี่มันเองอยู่ แต่ไม่มีเวลาไง แล้วพี่ขิตหน้ามึงไม่เหมาะกับเค้กอ่ะ เลยเอาแค่นี้ไปก่อน


          เป็นไง งงเด้งงเด้! ตอนแรกผมก็งงว่าทำไมวันที่ 9 ตุลา พี่มันถึงได้ตีหน้าเครียด ที่แท้ก็วันเกิดมันนี่เอง สงสัยคงนัดญาติไว้หรือไม่ก็อยากไปฉลองที่ไหนแต่ดันติดงานนี่เสียก่อน


          “แล้วไง?” อ่าวไหงพูดงี้วะ


          “แล้วไง? ก็ Happy Birthday ไง” ผมย้ำ นี่กูต้องร้องเพลงของ Katy perry ประกอบด้วยมั้ย?


          คนเป็นเจ้าของวันเกิดดูมึนๆ เบลอๆ เหมือนเครื่อวช็อด ตาสีเข้มของพี่มันมองผมไม่กระพริบ คงไม่คิดว่าผมจะสนใจวันเกิดพี่มันสินะ แต่หึ..ถึงจะผมจะเป็นมั่นๆ แบบนี้ แต่ผมไม่ใช่คนแข็งกระด้างนะ ผมมองสิ่งรอบตัวเสมอ ขึ้นอยู่ว่าผมจะสนใจหรือไม่สนใจมันไหมต่างหาก แต่ถ้าผมสนใจนั่นก็หมายความเขา..มี


          เฮ้อ..ไม่พูดดีกว่าสำหรับไอ้พี่ขิตมันเป็นกรณีแบบอื่นที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน


          “อ้อ” ในที่สุดพี่มันคราวเสียงตอบรับเบาๆ เหมือนไม่ดีใจเลยเลยสักนิด ไรวะ คนอุส่าห์นึกถึงนะเว้ย!


          “ไรวะ แค่เนี่ย!”


          “โอ๋ๆ Thank you” พี่มันยิ้มให้ผมนิดๆ แต่ก่อนจะรับเค้กไป แต่ผมหมั่นๆไส้ เลยยื้อกลับมาก่อน พี่มันทำหน้าเหวอๆ


          ผมเม้นริมฝีปากลง มีความกระด้างอายนิดๆ แต่คิดว่าอย่างน้อยก็วันเกิดพี่มัน ตอนนี้จะไปปลุกคนอื่นๆ มาร้องเพลงก็ใช่เรื่อง เอาวะ ตามทำเนียม ร้องเองแบบติดไฮสปีด



          “Happy Birthday to you
           Happy Birthday to you

            Happy Birthday dear พี่ขิต พรืดดดด!!”


          ห่า! ร้องเองหัวเราะเอง ชื่อไอ้พี่ขิตไม่เข้ากับเพลงวันเกิดได้อีก


        “อ่าวเหี้ย กูจะซึ้งล่ะ ขำห่าไรวะ”


          “ชื่อพี่แม่งขัดอ่ะ”


          “อ่าวไอ้นี่ กูขอโทษที่ไม่ได้ชื่อมินดี้ มิกกี้ คาบีก้อน แล้วกันนะ”

          เอ่อ..มิกกี้ มินนี่ น่ะพอเข้าใจ แต่คาบีก้อนนี่มันชื่อโปเกม่อนป่าววะพี่ ไอ้ตัวที่พุงใหญ่ชอบนอนอืดๆ น่ะ


          “ร้องใหม่ก็ได้ Happy Birthday Dear พี่ขิต Happy Birthday to you” ฝืนร้องมันจนจบด้วยเสียงโทนเดียวของผมเนี่ยล่ะ แต่เห็นแบบนี้ผมก็อายเป็นนะเว้ย!


          แล้วพี่มันก็ขำก๊ากให้กับน้ำใจผม ห่านจิกเสียเซลฟ์มั้ย? แล้วมือใหญ่ๆ นั่นก็แย่งเอาเค้กไป พิจารณา


          “โห่ห่า เค้กเซเว่น ไม่มีเทียนให้กูเป่าเหรอ”


          มึงจะวิจารณ์เค้กหรือมึงจะเป่าเทียนเอาสักอย่าง ตอนนี้ไม่มีเทียนห่าเหวอะไรทั้งนั้นล่ะ นี่กูอุส่าห์แอบไปเข้าเซเว่นซื้อเค้กมาก รีบๆ ร้อง รีบๆ นอนเลยนะ คือง่วงขั้นสุดแล้วไง


          “ไม่มีพี่” ผมว่า พี่มันพยักหน้าเล็กน้อย


          “แล้วไงต่อ” อ่าว..นี่กูต้องจูงมือป้อนมึงด้วยมั้ยไอ้พี่ขิต!


          “แล้วไงก็ แดกสิพี่ มีเชอรี่ด้วยนะ”


          “กูไม่ชอบเค้ก”


          เพล้ง!


          เพลงมา


          ไม่เจ็บอย่างฉันใครจะเข้าใจ ว่ารักน่ากลัวเท่าใด ฮ้า


          พี่มึงแดกเดี๋ยวนี้!! ไม่แดกกูจะคว่ำหัวมึง!


          “แต่กูไม่ได้หมายความว่ากินไม่ได้”

          เอ๋ ผมชะงักความคิดด้านร้ายของตัวเองไว้ฉับพลันเมื่อพี่มันพูดประโยคนี้ ผมมองใบหน้าคมเข้ม แต่แล้วผมก็ชะงักเมื่อรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายที่มุมปาก


          “แบบนี้มันน่าเบื่อ งั้นมาเล่นเกมส์กันมั้ยคล้าว”

          อะไรอีกวะ ท่าเยอะจริงๆ..ผมหรี่ตาลง แต่...หึหึ อะไรไม่รู้ล่ะ แต่ผมมีข้อต่อรองแน่นอน


          “เกมส์อะไรไม่รู้ล่ะ แต่ถ้าผมชนะพี่จะทำอะไรดกับเค้กนี้ก็ได้แต่ห้ามเททิ้ง หรือให้คนอื่น” ผมพูดด้วยเสียงจริงจัง พี่ขิตมุ่ยคิ้วลงทันที


          “แล้วมึงจะให้กูไปประดับหลังคาบ้านเหรอ”


          “ไม่รู้ล่ะ ถ้าผมชนะ You have to eat a piece of cake.” ผมแสยะยิ้ม เรื่องเกมส์ๆแบบนี้ ผมถนัดมาก


          “จัดมา”

          .

          .

          .

          และแล้ว


          “กูชนะ” เป็นไอพี่ขิตที่ชวนผมเล่นสิ่งที่เรียกว่า ‘สลาฟ’ แล้วผม..


          เล่นไม่เป็น!! ฮือออออ


          โยนไพ่ทิ้ง แต่..


          “ไม่รู้ละถึงพี่ชนะ ก็ต้องทำตามสัญญา ไม่งั้นผมจะ” ผมว่าเสียงดัง ก่อนจะชะงักไปทันทีเมื่อเจอสายตาคมๆของพี่มันจ้องมาเสียจนขนลุก และอยู่ๆ หน้าเน่อก็ร้อนไปหมด เชี่ย อะไรวะ?


        “จะ?”


          “กะ..โกรธ เพราะถือว่าพี่ทิ้งความรู้สึกผมทิ้ง” พูดจบพี่มันก็เบิกตาโตเหมือนมันตกใจมากๆ เดี๋ยวนะพี่มันเข้าใจแบบที่ผมเข้าหรือเปล่าวะ? แบบว่าคือผมจะโมโหนะ ถ้าพี่มันไม่กินเฉยๆ


          “โหดร้ายจังวะ” พี่ขิตเกากัวแก้เก้อกับสิ่งที่ผมพูด แต่ผมไม่สนหรอก


          “งั้น..”พี่มันเปิดประโยคขึ้นมา ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มไปบนครีมเค้ก“แบบนี้ล่ะ”


          “พี่!” ผมตกใจทันที รีบดีดตัวออกห่างพี่มันทันที่ เมื่อร่างสูงอยู่ๆ ก็เอื้อมมือมาป้ายเค้กใส่หน้าผม หรือว่าพี่มันจะ!


          “มึงแพ้นั่งลง”


          “แต่พี่ทำ-!”


          “กูไม่เอาไปทิ้งนะ กูแค่เอามาป้ายหน้ามึง นั่งลงซะดีๆ”


          เสียงยิ่งกกว่าจอมมารเผด็จการไอ้พี่ขิตมึงโหมดไหนแล้ว กูปรับตัวตามไม่ทานนน!

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •


          5 นาที ผ่านไป


          ตอนนี้ผมไม่อยากมองสภาพของตัวเองเลยว่าจะเต็มไปด้วยเค้กขนาดไหน ไอ้พี่ก็นะดูมีความสุขมากที่ได้ละเลงครีมเค้กลงบนหน้าผม แม่งป้ายเป็นห้าจุดเสียงอย่างกะครีมบำรุงหน้า แถมสุดท้ายให้ผมหลับตาแล้วอ้าปากคาบลูกเชอรี่ ถ่ายรุปไว้ประจานอีก


          เชี่ย คนผู้หวังดีอย่างกูเป็นตัวอะไรเนี่ย ผมอยากร้องไห้ไม่น่าหาเรื่องเลยกู


          “กูจะกินคำนึง” อยู่ๆพี่มันก็พูดจาแปลกๆ..ผมกำลังปรือตาทั้งครีมเค้กขึ้นมามองพี่มัน แต่พอเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าคมเข้มนั้นก็อยู่ใกล้เพียงไม่เซน ริมฝีปากของพี่มันกำลังจา..


          กึก!


          “กูกินเชอรี่ได้ หวานอมเปรี้ยวกำลังดี” ผลเชอรี่สีแดงสดถูกคาบออกไปจาก…


          ปากผม


          Cherry has been gone… RIP

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด

โอ้ยยย จบล๊าวววกับตอนที่ 6 ฮุเร้ อิอิ นิยายเรื่องนี้ ไม่ยาววนะคะ ประมาณ 12 13 ตอนก็จบแล้ววว ใครยังไม่ได้อ่านรีบตามเพื่อนมาอ่านนะคะ น้องคล้าวกับพี่ขิตกำลังตะมุตะมิ เรื่องนี้ดี้จะเน้นอธิบายเกี่ยวกับงานครัวของเชฟเป็นหลักให้เข้าใจกันนะคะ ในส่วนของอาหารอาจไม่ได้เน้นเท่าไร เอาเป็นว่าพี่ขิตรุกแล้วว น้องคล้าวก็น่าเอ็นดู โอ้ยย หลับสบาย..แฮปปี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2017 22:10:49 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เรื่องนี้ได้บรรยากาศการทำอาหารเต็มๆ ไม่ได้มาแค่กลิ่น ไม่ได้มีแค่น้ำจิ้ม
แต่มากันเป็นฟูลคอร์ส
แอบคิดว่าเปรมก็น่ารักดีหรือเปล่า

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 7 : มาม่าน้ำขลุกขลิก...Part 1


Dish side พี่ขิต       

   
          จริงๆแล้ววันที่ 9 ตุลาคม เป็นวันเกิดขอผม ที่ผมไม่อยากจะงานเอ้าเดอร์เป็นเพราะผมคิดจะลากลับบ้าน แต่สุดท้ายเพราะเหตุผลแกมบังคับของชูเชฟทำให้ไม่มีทางเลือกเพื่อรักษาหน้าโรงแรม


          แน่นอนว่าผมทำงานที่นี่มานานเป็นคนเก่าคนแก่ ย่อมมีหน้า(หล่อ)มีตาอยู่บ้าง แต่ก็อย่างที่บอกไป ความจริงแล้ว ผมไม่ได้มีบทบาททำให้ ลูกสาวผู้ว่ากับเจ้าบ่าวรักกันสักหน่อย ก็แค่ทำตามคำสั่ง ไม่เห็นต้องให้ความสำคัญกับผมขนาดนั้น


           แต่ช่างเถอะ...ใช่ว่าวันเกิดปีหน้าจะไม่มีสักหน่อย


          และหลังจากที่ผมตกปากรับคำไปแล้ว ก็ได้ลากเจ้าตัวแสบมาช่วยงานด้วย จริงๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร แค่อยากให้ไอ้คล้าวมันมาลองงานเอ้าท์ดอร์ข้างนอกบ้าง เพราะการจะเป็นผู้นำคนได้ ต้องมีประสบการณ์ไว้ในทุกๆ ด้าน มัวแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องครัวมันจะมีประโยชน์อะไร


          สุดท้าย ทุกอย่างก็ผ่านพ้น ไปอย่างราบรื่น ผมเห็นน้องมันเหนื่อยนะ แต่ก็ขำ อดแกล้งไม่ได้ จะหาว่าผมซาดิสโรคจิตนิดๆก็ได้ ที่รู้สึกชอบเวลาน้องมันโวยวาย ถึงสายตาคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นคนหยาบกระด้างหัวแข็ง แต่ผมกับคิดว่าน้องมันเป็นคนที่มีคุณสมบัติอื่นที่สำคัญกว่า นั่นคือความมั่นใจในตัว กล้าคิด กล้าทำ มุ่งมั่น มีบ้างที่น้องมันปีนเกลียวเกินไปจนน่าตบกระบาล แต่มันก็เป็นแค่ข้อเสียเล็กๆ ผมไม่สนใจหรอก


          จริงๆ อยู่กับน้องมันก็สนุกดี เหมือนเป็นตัวเองมากขึ้น ปกติแล้วตอนอยู่ที่ครัวไทย นอกจากเรื่องงานแล้ว ผมก็ไม่สนิทกับลูกน้องคนไหนเป็นพิเศษ ทั้งที่ผมเป็นคนตลกนะ ไม่เชื่อดูหน้าสิ ฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวเลยเอ้า!


         ทว่าเรื่องหลัจากนี้นี่สิ...ไม่รู้ว่ามันจะทำให้ผมยิ้มออกอีกหรือเปล่า


          ในคืนนั้น ตอนที่น้องมันยื่นเค้กเซเว่นมาให้ผม ผมดีใจมากนะ ใจก็เต้นตึกตักแรงมากๆ แต่ไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้ออกไปอย่างไรดี นี่ถ้าคนตัวบางผูกโบว์ตัวเองให้เป็นของขวัญมาด้วย ผมคงเขินจนไม่รู้จะมุดตัวใหญ่ๆ ไปหลบอยู่รูไหนแน่ ทว่าผมก้ไม่สามารถรับเค้กก้อนนั้นมาได้อยู่ดี ไม่ใช่อะไร ผมกินแล้วชอบท้องเสียไง ไม่ใช่เสียธรรมดานะ เสียเหมือนท้องร่วง ท้องดิ่งไปเป็นอาทิตย์ไปกู่ไม่กลับ ผมเลยขยาดๆ ไม่กล้าแตะเท่าไร


          และพอผมปฏิเสธ เห็นหน้าน้องมันแล้วก็สงสารมาก เป็นผมผมก็คงเสียใจเหมือนกัน ที่ที่คนที่นึกถึงดันมาทำกับเรา คิดอยู่นานสองนานเลยเสนอเกมส์ขึ้นมา เพราะถ้าเป็นเกมส์ยังไงก็ต้องมีแพ้มีชนะ ถ้าผมจะไม่กินเค้ก ก็คงไม่น่าเกลียดไปล่ะมั้ง ทว่า ผมได้ฟังเงื่อนไขน้องมันแล้วถึงกับพูดไม่ออก


          สุดท้าย ผลสรุปกลายเป้นว่าผมชนะเกมส์ไพ่สลาฟไปอย่างง่ายดาย โชคดีที่น้องมันเล่นไม่เป็นเท่าไร เลยลงไพ่แต้มเยอะๆ หมดในรวดเดียว ผมเลยชนะ แต่เพราะเงื่อนไขน้องมันว่า ห้ามเททิ้งห้ามให้คนอื่น ผมเลยคิดอะไรตลกๆ ออก


          ผมคิดว่าทุกคนเคยดูรายการทีวีกัน ตอนที่ตลกเอาเค้กป้ายหน้า และผมก็ทำแบบนั้น จนใบหน้าหวานๆ นั่นเต็มไปด้วย คาบครีมเค้กสีขาว ปิดท้ายด้วยให้ริมฝีปากบางเฉียบนั่น คาดก้านเชอรี่เอาไว้ แล้วผมก็หัวเราะ ก่อนบังคับให้น้องมันอยู่นิ่งๆ ถ่ายภาพเก็บไว้แบล็คเม


        ทว่า...สุดท้ายทั้งที่คิดว่าแกล้วงเล่นๆ แต่ในหัวของผมตอนนั้น ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงได้กล้าคาบลูกเชอรี่สีแดงออกไปจากคนตรงหน้า หัวใจในตอนนั้นเหมือนไม่ใช่ตัวเอง


         ทั้งริมฝีปาก และดวงตาที่จ้องมองมา กลับดึงดูดผมเข้าไป กว่าจะรู้ตัวมันก็กลายเป็นปัญหาจนถึงตอนนี้ คล้าวก็ไม่คุยกับผมอีกเลย...


       
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


          ตาเหม่อมองดูคลื่นลม และเกลียวคลื่นซัดเข้าฝั่ง เห็นหมาทะเลกำลังคาบเปลือกหอยวิ่งไปมา อา..ในหาดมีทราย ในน้ำมีพี่ช่ากำลังเดินขึ้นมาจากทะเล ถ้ย! ไม่ใช่ล่ะ อย่างที่เคยบอกไปบ้านพักต่างอากาศของผมอยู่ติดกับทะเลแค่ออกหลังบ้านไปก็สามารถผัสกับธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิด แต่ประเด็นคือ


          กูมานั่งเป็นนางเอกมิวสิคอยู่ตรงนี้ทำไม!


          ผมถอนหายใจ ตั้งแต่เกิดมามีไม่กี่เรื่องที่สามารถทำให้ผมคิดมากคิดมายขนาดนี้ได้ นอกจากเรื่องที่ผมต้องแบกรับความฝันของคุณนายนดา และเรื่องเรียนที่ต้องดันตัวเองไปขึ้นอยู่บนจุดสูงสุด ก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำผมเกิดฟิลลิ่งเซนซิทีฟได้


          อย่างที่รู้จักผมจัดอยู่ใน Person ประเภทโนสนโนแคร์ สิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากตัวเอง ครอบครัว และเพื่อน(แค่บางคน) เท่านั้น แต่พอเจอสถานการณ์แบบนี้เข้าไป ผมกลับรับมือไม่ถูก


          ความรู้สึกไอ้เปรมงั๊บหูยังสยิวไม่ทันหาย ก็ถูกไอ้พี่ขิตคาบเชอรี่ออกไปจากปาก


          Oh Shit! He take it off  with his lips!


          มึงต้องการอะไรจากการกระทำนี้  what do you want from me?


          ว๊อท!?


          แล้วหลังจากเหตุการณ์ในตอนนั้น ก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ อีก เจ็บกว่านั้นพี่ขิตแม่งทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แล้วผมก็ปล่อยผ่าน ไม่กล้า แถมยังทำตัวไม่เหมือนไม่ค่อยเดิม แบบรู้สึกยากมากที่จะมองหน้าพี่มันตรงๆ ทั้งๆ ที่คนที่ควรมีความรู้สึกแบบนี้ควรเป็นพี่มัน ไม่ใช่ผม


          ยีหัวตัวเองแรงๆ He make me crazy บ้าบอคอแตกที่สุด คลาวมึงเป็นอะไร นี่มึงกำลังเกิดความรู้สึก Something กับคนรุ่นอารุ่นน้า เพียงเพราะสิ่งที่จะเรียกว่าจูบก็ไม่ใช่ จะอ่อยก็ไม่เชิง แต่เพราะเป็นความรู้สึกแบบนั้นไงมันถึงได้น่าหงุดหงิด


          Make kiss น่ะ ไม่เท่าไร ผมเรียนเมืองนอกนะ เรื่องแบบนี้ทั้งเห็น ทั้งกระทำ(บ้าง)จนชินตา ทว่าพอกลับไทยมาเท่านั้นล่ะ รู้สึกว่าตัวเอง Weak มากไม่สตรองเลยกับเรื่องนี้


          หรือว่าผมควรคุยกับพี่มันให้รู้เรื่องวะ?


          โน่ว! จะไม่มีการคุยอะไรทั้งนั้น


          รู้สึกรำคาญกับความคิดย้อนแย้งของตัวเองชะมัด พอถามกับตัวเองก็ไม่มีคำตอบ เรื่องพี่มันอีก  ผมลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่รายชื่อดู


          ห่า เพื่อนแม่งก็อยู่เมืองนอกกันหมด เพื่อนเมืองไทยก็ไม่มีสักตัว


          ช่างแม่งออกไปดื่มคนเดียวก็ได้ ไหนๆ พรุ่งนี้ก็ลาหยุดอยู่แล้ว พอคิดแบบนั้น ผมก็รีบขีบรถเข้าไปในเมืองทันที


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


            ในเมืองไทยอันศิวิไลซ์นี้ ภูเก็ต ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่อเมซิ่ง และเฟมัสมากๆ ของทางภาคใต้ ทั้งแสงสีเสียง ผับบาร์ นักท่องเที่ยว จัดเต็มกันยิ่งกว่าเมืองกรุง แต่ผมไม่ใช่สไตล์ที่เวลามีเรื่องกลุ้มใจแล้วชอบไปปลดปล่อยกับสถานที่อะไรแบบนั้น


          ผมเลือกร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่นี่มีคนไม่เยอะเท่าไร แต่หากดูหรูหรามีระดับ คัดเกรทคนเข้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าต่างชาติ มองทะลุเข้าไปด้านในเป็นบาร์ที่เปิดโล่งรับลมทะเล ส่วนด้านนอกเป็นลานดนตรีสดเล่นเพลงสากลเพราะๆ กลมกล่อมจิตใจได้ดี


          ตอนนี้ผมเลือกนั่งอยู่ที่บาร์ด้านใน สั่งวิสกี้เบาๆ มาดื่มเล่นหนึ่งแก้ว กับกับแกล้มกินเล่นอย่างเฟรนฟรายทอดกรอบโรยเกลือ


          กินไปพลาง ดื่มไปพลาง ปล่อยให้หัวสมองกลวงโบ๋ ฟังเพลงแบบไม่มีคิดอะไรอยู่สักพัก อยู่ๆ ก็มีคนมานั่งข้างๆ


          “ไง” คนปริศนาทักทายอย่างเป็นมิตร แต่เสียงนั่นกลับคุ้นๆ ผมเลยหันไป


          “เปรม...” เป็นคอมมี่เชฟตัวร้ายนี่เอง..บ้าเอ้ย ร้านอาหารมีเยอะแยะ ทำไมพระเจ้าต้องถีบหัวให้ไอ้หมอนี่มาเข้าร้านเดียวกันวะ เสยอารมณ์ฟังเพลงฉิบหาย ผมปรายตาออกทำเป็นไม่มองใบหน้าหล่อๆนั่น


          “นั่งด้วยได้มั้ย?”


          “นายก็นั่งอยู่ไม่ใช่เหรอ” ผมว่า ก่อนจะหยิบเฟรนฟรายจ้วงเข้าปาก คนข้างจุดยิ้มเล็กน้อย แล้วหันไปสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอลจากพนักงานบ้าง พอได้เครื่องดื่มแล้ว มันก็เขยิบเข้ามาใกล้ขึ้น แหมเนียนเชียวนะมึง แม่งร้อนก็ร้อน ขาดความอบอุ่นเหรอ เบิร์นกูเลยมั้ย?


          “วันนี้ไม่ได้ทำงานเหรอ”


          “เปล่า” ตอบเรียบๆ ก่อนจิบวิสกี้เล็กน้อยเหมือนไม่ใส่ใจว่าไอ้คนที่นั่งข้างๆจะทำอะไรต่อ แต่บอกตามตรงนี่ขนาดผมเหวี่ยงมันแรงๆ แบบนี้ ไอ้เปรมก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกผิด ใบหน้ากลับอมยิ้ม


          “ยังโกรธเราเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ” ถามผมเสียงใสซื่อตามสไตล์ แต่ขอโทษผมรู้จักนิสัยไอ้เปรมดีกว่าร้ายลึกแค่ไหน


          “เรื่องไหนล่ะ” ว่าแล้วก็แกล้งถามจี้ใจมันไปสักหน่อย เปรมมันหัวเราะ


          “พูดเหมือนโกรธมาหลายเรื่อง”


          “You should consider yourself”อันนี้ไม่ได้หลอก แต่ด่าตรงๆ ควรพิจารณาตัวเอง


          ไม่รู้เว้ย วันนี้ของกูแรงดื่มวิสกี้ไปเยอะ เปรมมันยักไหล่นิดๆ


          “ก็..ไม่เห็นมีอะไรน่าโกรธ”


          มึงเอาไปเลย นิ้วกลางกูเน้นๆ ใส่หน้า!


          “โห่..หยาบคายจังเลยนะเชฟ” เอ๊ะ..เดี๋ยวกูทุ่มถังน้ำแข็งใส่แม่งเลยนี่ เกลียดคำพูดและน้ำเสียงนุ่มๆ แบบนี้ของมันฉิบหาย ดกเหล้าต่อแม่ง


          “ว่าแต่ทำไมเชฟถึงมานั่งที่นี่ล่ะ”นั่นไง นึกแล้วว่าคงหนีไม่พ้นที่มันจะถามผมแบบนี้ แต่ช่างเถอะ มีเพื่อนดื่มแบบนี้ มันก้ได้ไปอีกรสชาติ ผมหันมามองหน้ามันตรงๆ


          “ก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก แค่เห็นว่าน่านั่งแล้วก็เงียบดี” กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ อย่างน้อยคนอย่างไอ้เปรมก็ชวนฆ่าเวลาได้ แม้จะไม่น่าอภิรมณ์


          “อ๋อ นึกว่าเชฟอยากมาหาเราสักอีก”


          แค่ก! แค่ก! ถึบกับสำลักวิสกี้ที่กำลังดื่ม


          พูดไรของมึงเนี่ย!


          “สั่งได้เลยนะเต็มที่ นี่ร้านเราเอง” ว่าจบก็เท้าคางมองผมพร้อมส่งยิ้มเรียบๆ โชว์ฟันขาววิ้งค์มาให้ แต่เท่านั้นไม่เท่าไร พอรู้ว่าร้านสวรรค์น่านั่งนี้เป็นเปรมที่มาเหนือชั้น ทำเอาผมหมดอารมณ์ไปในทันที


          นอกจากจะไม่ชอบขี้หน้ามันแล้ว มันยังทำให้ผมรู้สึกหมั่นไส้เป็นเท่าตัว


          “กลับล่ะ” โนแคร์! ผมวางเงิน แล้วลุกออกจากโต๊ะนั่งทันที


          “เดี๋ยวสิ!”ไอ้เปรมรีบคว้ามือผมเอาไว้ แต่พอมันสัมผัสผมก็รีบสะบัดแขนออก คนเป็นเจ้าของร้านหน้าเสียไปชั่วครู่ แต่น่าแปลกที่พอผมเห็นน่าแบบนั้นกลับเหมือนถูกความรู้สึกบางอย่างดึงดูด ให้หย่อนตัวลงกับเก้าอี้อีกครั้ง


          ทำไมกูยังไม่ไปอีกวะเนี่ย..ผมกลอกตา


          “หน้าแบบนั้นกลุ้มใจเรื่องหัวหน้าเชฟอยู่เหรอครับ” อยู่ๆ มันก็เปิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมาจนผมสะดุ้ง ผมจ้องใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังกระตุกยิ้มบางๆ ในดวงตาสีดำสะแสงไฟสีเหลืองอ่อนในร้าน


          “มันไม่เกี่ยวกับนาย”


          “จะไม่เกี่ยวได้ไง ก็เราชอบเชฟ”

          มึ๊งงงงงง! ไอ้เปรมมมมม ตรงไปไหม! ไม่คิดจะดริ๊ฟซ้ายปาดขวาหน่อยเหรอ กูตั้งหลักไม่ทัน!


          "..." ช็อคไปประมาณ 5 วินาทีได้ รวบรวมสติก่อนตล้าว มันชอบผม? แล้วยังไง?...พ่จารณาแล้ว ผมยังไม่เห็นการกระทำห่าเหวอะไรของมันเลยที่บ่งบอกว่ามันชอบผม อย่าบอกว่าที่ทำเล่นร้ายด้วยกันมาทั้งหมดเพื่อให้ผมสนใจมัน?


          เหอะ! มึงมีรสนิยมแบบไหนเนี่ย


          “อย่ามาตลก”


          “เราพูดเรื่องจริง”


          “ขอโทษนะ I don’t like you” มาตรงๆ ก็กลับไปแบบตรงๆ หวังจะให้มันหน้าเสีย แต่ผมกลับผิดหวังเมื่อไอ้เปรมกลับพยักหน้ายิ้มจิบเหล้าเบาๆ ดูเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไรเลย


          “ถ้าเชฟชอบเราง่ายๆ มันจะไปสนุกอะไร เรายังอยากปราบพยศเชฟอยู่นะ”

          กูไม่ใช่ม้า มึนไม่ต้องมาปราบกู มึงจะไปปราบหมา ปราบแมวน้ำที่ไหนก็ไป ผมถอนหายใจพลางว่าบ่นอย่าอดไม่ได้


          “เชฟโรงแรมนี้มีแต่คนแปลกๆ หรือไง”


          “รสนิยมเรามันเป็นแบบนี้”


          “โรคจิตนะ”  ถ้าต่อด้วย 'ไปหาหมอดีกว่ามั้ยเปรม?' พี่ช่าจะว่ามั้ย?

          เปรมหัวเราะ


          “แค่ชอบความตื่นเต้น”

          โอเคยอม กลอกตามองบนเลยกู ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับมันแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางชอบมันก็ยังจะดื้อด้านตื้อไม่เลิกอีก แต่ก็นะขี้เกียจจะพูด..ดูเหมือนหมอนี้จะท่าจะชอบความรักแบบรุนแรง หรือที่เขาเรียกกันว่าสาย Sแน่ๆ


          บรึ๋ย! ขนลุก!


          “แล้วเชฟล่ะชอบแบบไหน แบบรุ่นหัวหน้าหรือเปล่า” อือหื้อ คำถามนี้สร้างดาเมจจู่โจมได้รุนแรงมาก นี่มึงถามอะไรของมึงเนี่ย


          “พะ..พูดอะไรน่ะ!”ชอบเชิบห่าอะไร ตอนนี้กูแค่กำลังสับสนกับสิ่งที่พี่มันทำกับกูอยู่ว่ามันคืออะไร พอได้คำตอบแล้วกูก็..กูก็...


          ฟัค! ได้คำตอบแล้วกูจะทำยังไงกับพี่มันวะ แล้วกูหวังคำตอบแบบไหนอยู่ เฮ้ยมึงเป็นอะไรวะไอ้คลาว สติ สติ มีสติหน่อย!


          “ทำตัวไร้เดียงสาไปได้”


          จึก!


          จุกเลยกูเลย เหมือนโดนมีดจ้วงท้องยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้เจ็บอะไรนะ แต่แม่งพูดไม่อกจนน่าหงุดหงิดไง นี่กูดูไร้เดียงสากับเรื่องอะไรพวกนี้มากเลยเหรอวะ เฮ้ยนี่จบนอกนะ ไอ้พวก Makes love เอ้าดอร์ก็เห็นฝรั่งเขาทำจนชินตาล่ะ แต่ทำไมตอนนี้ถึงรับไม่ได้กับความรู้สึกตัวเอง


           ผมกัดริมฝีปากตัวเองมองก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่วิสกี้ในแก้วเหล้า  ก่อนปลายตาไปหาคนข้างๆ เปรมยังคงยิ้มบางๆ ให้ผม


          “แต่เอาจริงๆ คนอย่างหัวหน้า เป็นคนที่น่ากลัวที่สุด ปรับเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็ว ในงานเข้มงวด นอกงานสนุกสนานร่าเริง แต่กลับเดาได้ยากว่าคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าอันไหนเล่นอันไหนจริง”

          อ่า..พูดอย่างกะแม่งรู้อะไร นี่มันคอยจับตาดูพวกผมทุกฝีก้าวเลยเหรอวะ แต่ก็จริงอย่างที่ไอ้เปรมพูด พี่ขิตเป็นคนที่ Uncertain anything มากๆ คือไม่แน่นอนในการกระทำเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่าพี่มันคิดอะไร และผมก็อธิบายไม่ได้


          “ถ้าไม่ถามตรงๆ ก็คงไม่รู้”

          เป็นวิธีที่ดี แต่..ถามไปแล้วก็กลัวว่ามันสร้างดาเมจในการใช้ชีวิตในการทำงานร่วมกันระหว่างผมและพี่ขิตมากๆ อย่าว่าแต่พี่ขิตเลย ตอนนี้ผมก็คอนฟิวส์เหมือนกันว่าตัวคิดอะไรแล้วอยากเป็นแบบไหนกับพี่มัน รู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลายังไงไม่รู้


          “ทำไมถึงบอกเรื่องนี้ คงไม่ใช่เพราะหวังอะไรอยู่หรอกนะ” ผมดักคอไอ้เปรมไว้ ถึงจะสับสนแต่ผมก็ไม่ได้โง่ ไม่ทันคนหรอกนะ


          “Absolutely แต่ผมไม่บอกหรอกนะว่าเรื่องอะไร” นั่นไง


          “บางทีคนอย่างนายก็น่ากลัว” ณ จุดนี้ไม่ต้องไว้หน้ามันแล้ว แต่ก็ดีที่มีมันอยู่ทำให้ผมได้คิดอะไรออกบ้าง


          “ของฟรีไม่มีในโลกอยากได้ก็ต้องลงทุน”ไอ้เปรมมันยักคิ้วเล้กน้อย แต่ไม่รุ้ทำไมผมถึงรู้สึกเห็นด้วยกับประโยคนี้ของมัน


          “Exactly” แน่นอนสิ..อยากได้ก็ต้องแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องตายตัวอยู่แล้ว


          อย่างงั้น..ถ้าผมอยากได้คำตอบจากพี่มันบ้างล่ะ ก็คงต้อง Exchange กับใครสักคนสินะ


          “เปรม..” ผมเรียก คนที่นั่งข้างๆ วางแก้วเหล้าลงกับโต๊ะแล้ว มองกลับมา ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำลุ่มลึกคู่นั้นมันเป็นประกายเล็กๆ ถึงแม้จะดูไม่น่าไว้เท่าไร และไม่รู้ว่าผมคิดผิดหรือเปล่า ทว่ามันอาจเป้นแค่ตัวเลือกเดียวที่ผมเหลืออยู่ก็ได้


          “Can you do something for me” ผมถาม แต่ดูจากสีหน้าของเปรมแล้ว คนคนนี้ดูไม่แปลกใจเท่าไรเลยที่ผมพูดประโยคนี้


          “Yes your highness” มึงไม่ตอบเป็นไทยเลยล่ะว่า คร้าบบบเจ้าหญิง! กูจะได้ไปใส่กระโปรง ห่าน!


•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

(เดี๋ยวมาต่อ ไม่ดราม่า น่ะ มาม่า ถถถถถ)
[/font][/size]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2017 16:52:28 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 7 : มาม่าน้ำขลุกขลิก...Part จบ


          “เร็วกว่านี้!”

          ในที่สุดเช้าวันจันทร์ก็หวนมา เสียงไอ้พี่ขิตเร่งลูกน้องยังคงเป็นเอกลักษณ์สำคัญในครัวไทยนี้ แต่ถึงเสียงพี่มันจะดูปลุกระดมสารอะดรีนารีนมากแค่ไหน สมองผมกลับไม่ได้รู้สึกเร่งเลยสักนิด ในหัวมีแต่เรื่องอะไรไม่รู้เยอะแยะเต็มไปหมด จนผมเองก็งงว่า กูเป็นยายแก่คิดมากตั้งแต่เมื่อไร


          มือหนึ่งจับแครอท มือหนึ่งก็ใช้มีดไปพลาง เแต่เพราะด้วยแครอทนี้ ผมจะต้องนำไปใส่จานสลัดผมจึงจำเป็นที่จะต้องหั่นฝอยแบบค่อนข้างถี่ ถี่ไปถี่มาด้วยสติลอยๆ สุดท้ายก็ได้เรื่อง...


          “โอ้ย!” มีดบาดเลยกู


          “เป็นอะไรหรือป่าว” พอได้ยินเสียงผมร้องเท่านั้นล่ะ ก็เหมือนเป็นปุ่มกดสวิสต์ให้ทุกคนหยุดทำงานแล้วหันมามองเป็นทางเดียว ไอ้เปรมเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามาหา ผมยื่นนิ้วชุ่มเลือดให้มันดู ของเหลวสีแดงกำลังไหลอาบเต็มมือ ก่อนร่างสูงจะคว้าผ้าเช็ดหน้าขึ้นมากระเป๋ากางเกง แล้วยกขึ้นมาซับเลือดที่นิ้วมือผม


          “เฮ้ย! คนอื่นมุงดูอะไรกัน ทำงานต่อสิเฮ้ย!” คงเป็นเพราะเห็นว่างานถูกสต็อบไปโดยใช่เหตุไอ้พี่ก็เลยตะโกนเสียลั่นให้เหตุการณ์ทุกอย่างกลับเป็นปกติ ทว่า...ทั้งที่รู้ว่าเป็นงานแต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามาในจิตใจเสียได้


          ทำไมผมต้องหวังให้พี่มันถามด้วยวะ ว่าเป็นอะไร?


          “เดี๋ยวเราไปเบิกพาสเตอร์มาให้” เปรมมันพูดด้วยเสียงนุ่มๆ ของมันเหมือนเคย ผมพยักหน้าให้มันเรียบๆ แต่ไม่ทันที่ร่างสูงโปร่งจะได้เดินออกไป ไอ้พี่ขิตก็พูดเสียงดังออกมา


          “งานมึงยังไม่เสร็จเปรม” ผมเห็นไอ้เปรมที่กำลังก้าวเท้าออกไปหยุดชะงัก ร่างใหญ่ของหัวหน้าเชฟเดินไปหาคนที่อาสาให้ความช่วยเหลือด้วยสีหน้ามืดครึ้ม สายตาของทั้งคู่ดูราวกับมีประกายไฟร้อนระอุ


          แต่บอกตามตรง ในใจผมรู้สึกผิดหวังกับการกระทำนี้ของพี่มันมาก ดูท่ายังไม่ต้องเริ่มเรื่องอะไรผมก็คงได้คำแล้ว จะสนใจไปทำไม ผมกำผ้าบนนิ้วที่มีรอยมีดบาดเอาไว้แน่น เห็นทีผมขอพาสเตอร์ด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า "เดี๋ยวไปเอง" ผมว่า แต่ก้าวขาได้สามก้าวไม่ทันได้ถึงหน้าประตู ไอ้เปรมมันพูดขึ้น


          “คนต้องมาก่อนงานสิครับ ไปครับเชฟ” สิ้นเสียงมือขาวของเชฟคอมมี่ที่ผมเกลียดก็ตรงเข้ามาข้อมือผมต่อหน้าพี่ขิต ระหว่างที่เปรมมันพาผมออกไปจากห้อง จังหวะนั้นเองผมถึงได้เห็นว่าในสายตาของไอ้ขิตมันตึงเครียดมาก


          อา...แต่คงไม่ใช่เรื่องของผมหรอก..น่าจะเป็นงานมากกว่า


          ออกมาได้สักพัก ปล่อยให้ไอ้เปรมเดินจูงมาจนถึงระเบียงด้านนอกห้องครัวไปเอื่อยๆ ในที่สุดผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องแสดงละครอีก


          “ปล่อยได้แล้ว” ผมว่า..แต่ดูเหมือนคนที่เดินนำไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


          ไอ้นี่มึงอย่าเนียน!


          “เปรม!” ผมตวาดเสียงดุก่อนจะยึดข้อมือตัวเองกลับมา ร่างสูงหยุดเดิน แล้วถอนหายใจ ใบหน้าดูดีชวนหน้าหมั่นไส้นั่นหันกลับมามองผม


          ร่างโปร่งคลี่ยิ้มอ่อนๆ


          “ไม่คิดว่าเชฟจะเล่นถึงขั้นมีดบาดนิ้ว” เปรมพูด ส่วนผมเงียบสนิท ย้อนกลับไปในตอนที่อยู่ที่ร้านบาร์ของมัน ผมขอร้องให้ร่างสูงช่วยแสดงความห่วงใยผมจนออกนอกหน้าหน่อย เพราะผมอยากจะรู้ว่าพี่มันจะแสดงอาการอะไรออกมาบ้าง


          แต่เรื่องมีดบาดนี่..ไม่ได้มีอยู่ในหัวนะสาบาน มันเป็นอุบัติเหตุที่ผมเหม่อลอย แต่ผมก็ไม่อยากจะอธิบายเรื่องนี้กับไอ้เปรมมัน เพราะมันเสียเวลา


          “ฉันได้คำตอบแล้ว กลับไปทำงานเถอะ เดี๋ยวเดินไปเอง” ผมว่า ก่อนจะเดินกำผ้าเช็ดหน้าที่พันนิ้วผ่านร่างของเปรมไป ทว่าร่างสูงกลับคว้าท่อนแขนผมไว้อีกครั้ง


          “แต่..”


          “Hey! สัญญาไว้ว่าอะไร” ผมตวาดเสียงดุ ไม่รู้สิ..ปกติผมไม่ใช่คนแบบนี้นะ แต่วันนี้อะไรมันก็ขวางหูขวางตาไปหมด หงุดหงิดมากๆ ถึงขั้นแดกหัวคนได้ และพอเห็นผมเป็นแบบนั้น เปรมมันเลยถอนหายใจ แล้วลากเสียงยาว


          “คร้าบบบ..องค์หญิง”แต่สองคำสุดท้ายนี่น่าแดกหัวหัวจริงๆ



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


          วันเวลาดำเนินผ่านไปแสนเชื่องช้า เหตุการณ์ทุกอย่างวันนี้ ปกติมีแต่ผมคนเดียวล่ะที่คิดนู้นนั่นนี่ไปเรื่อยๆเปื่อยๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นเหม่อมจนโดนมีดบาดเหมือนเมื่อตอนเช้าแล้ว


          มีหลายครั้งที่พี่ขิตชวนผมคุยนะ แต่ส่วนมากก็เป็นเรื่องงาน สั่งนั่นนู้นนี่ให้ผมทำ ความสัมพันธ์ในตอนนี้ของเรามีแค่ เขาสั่งผมก็ตอบ ไม่มีอะไรที่นอกเหนือจากนั้น กระทั่งถึงเวลาออกงานตอนบ่ายสาม


          ในห้องล็อคเกอร์เชฟผมเปลี่ยนชุดเตรียมจะกลับบ้านเรียบร้อย และเพราะเห็นร่างใหญ่เดินเข้ามาพอดีผมก็เลยถาม เพราะวันนี้ผมเข้างานเร็วกว่าพี่มันเลยได้กลับก่อน


          “พี่จะกลับไง”


          “รถพี่ซ่อมเสร็จแล้ว มึงกลับไปได้เลย” ไม่รู้ว่าหูตัวเองหาเรื่องหรือเปล่า ถึงได้รู้สึกว่าน้ำเสียงพี่มันไม่ได้แยแสอะไรผมเลย


          “พรุ่งนี้ผมลานะ” ต้องการอะไรวะเนี่ย งงตัวเองเหมือนกัน รู้สึกเหมือนเด็กกำลังเรียกร้องความสนใจยังไงไม่รู้


          ร่างใหญ่หันมา ใบหน้าคมเข้มนั้นขมวดคิ้วลงอย่างสงสัย


          “วันลามึงจะหมดแล้วนะ..”

          เอ่อ...เฟลสิ...นึกว่าจะถามว่าไปไหน เป็นอะไร ทำไมไม่มา


          โอเค..ผมคงหวังกับพี่มันมากไป


          “วันหยุดผมไม่ใช่ของพี่สักหน่อย” ประชดร่างใหญ่ไปด้วยเสียงขุ่น ก่อนจะเก็บกระเป๋าโบกมือลาโดยไม่สนใจคนที่อยู่ข้างหลังอีก


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


          กลับมาถึงบ้านบ่ายสามครึ่ง ผมก็นอนแผ่อยู่บนโซฟาดูดพลัง ทิ้งร่างให้จมลงไปกับฟูก รู้สึกไม่อยากกระดิกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว ขณะที่ในหัวก็กลับไปสู่สภาวะแบล็งสเปซอีกรอบ


          กลิ้งไปกลิ้งมา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูนั่นนี่ไปสักพัก..จะว่าไปตั้งแต่ที่กลับมาเมืองไทย ผมก็เพิ่งรู้สึกตัวเองว่า ข้างงกายผมมันเงียบมาก มันเงียบเกินไปจนรู้สึกตัวเองกำลังเหงาอยู่หรือเปล่า


          I don’t know what am I but just you tell me a little bit’s reason. I’m gonna be fine and understand anything you do. (ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร แต่...เพียงแค่พี่เขาบอกเหตุผลมาสักเล็กน้อย มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลย และผมจะเข้าใจในทุกสิ่งที่พี่มันทำ)


          ผมกอดหมอนบนโซฟา Fuck you ไอ้พี่ขิต อยากพูดกับพี่มันแบบนี้มันฉิบหาย แต่ความกล้ากูไม่รู้หายไปไหนหมดแล้วตอนนี้ คิดไปคิดมาก็มึนหัว แล้วก็เริ่มง่วง ผมควรพักสักหน่อยสินะ...

 
          Rrr..Rrr


          [Ringtone]


          บูมบาย่า #(%*^(%#**%$ อปป้า! #(%*^(%#**%$ อปป้า


          รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังอยู่เหนือศีรษะ


          ผมค่อยๆปรือตาขึ้นมาอย่างมึนๆ ก่อนจะขมวดคิ้ว เหลือบสายตาไปมองนาฬิกาที่แขว้นตรงตู้ใหญ่ในโซนครัว


          เข็มสั้นเลยเลข 9 มาแล้วหน่อยนึงส่วนเข็มยาวชี้เลข 4


          สามทุ่มกว่าแล้วเหรอวะ ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งบนโซฟา ก่อนเอื้อมไปคว้าสมาร์ทโฟนที่ส่งเสียงไม่เลิก


          ขมวดคิ้วมองชื่อคนโทรเข้า


          พี่ขิต.. หัวใจเต้นตุบๆ ขึ้นมาแปลกๆ ผมเม้มริมฝีปากลงก่อนจะกลั้นใจรับ


          “คล้าว!!”มาถึงก็ชื่อมนต์รักลูกทุ่งเต็มหูเลย ผมถอนหายใจ


          “บอกกี่ครั้งว่าชื่อคลาว พี่แม่งเข้าใจยากหรือไงวะ”


          “พรุ่งนี้กูไม่อนุญาตให้มึงลา” ปลายสายเข้าเรื่องอย่างรวดเร็วจนผมรับมือตามไม่ทัน ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วถามพี่มัน



          “Why?” ทำไม


          “เพราะพรุ่งนี้ไม่มีคนเข้ากะดึก”

          ใจวูบเหมือนตกจากที่สูง ในท้องโหวงเย็ฯสะท้านไปหมด


          ผมกำมือแน่น พี่มันจะอะไรกับเรื่องงานนักหนาวะ! แล้วทำไมต้องเป็นผมที่ต้องยอมพี่มันตลอดด้วย ในสายตาพี่มันผมเป็นตัวอะไร



          “You can not control me ok?” มันสติมันขาด ผมเลยขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิด ปลายสายถึงกับเงียบไปประมาณหนึ่ง พอพี่มันไม่ยอมพูดอะไร ผมก็รีบชิงตัดบท


          กูไม่สน ไม่มีอารมณ์ กูไม่ไปโว้ย!


          “ผมไม่ไป ให้เปรมไปสิ” โยนกันแบบนี้ล่ะ เปรมมึงอย่าโกรธกูเลยนะ ว่าจบปลายสายเหมือนจะพูดอะไรอีกสักอย่าง แต่ผมไม่อยากฟังล่ะ หัวหน้าก็หัวหน้าเถอะ แล้วผมก็ตัดสายพี่มันทิ้งเดี๋ยวนั้น


          แล้วหลังจากนั้นอีก 20 นาที


          ตอนนี้ผมกำลังจะอาบน้ำ ออดในบ้านก็ลั่นรัวๆ คล้ายกะมีเด็กเปรตที่ไหนมากดเล่น ทำให้ผมยุติการทำความสะอาดร่างกายออกไป แล้วเปลี่ยมมาเป็นรีบวิ่งหน้าบึ้งไปดูข้างนอกด้วยความหงุดหงิด แต่พอเห็นคนที่อยู่หน้าประตูบ้านเท่านั้นล่ะ ก็เลยรู้ว่าไม่ใช่เด็กเปรตที่ไหน แต่เป็นร่างสูงใหญ่ของไอ้เชฟเถื่อน


          “คล้าว!” ยัง...มันยังคล้าวไม่เลิก แถมยังโบกไม้โบกมือ ตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าบ้านเหมือนคนบ้าอีก ผมกลอกตา เดินย้ำเท้าดังๆไปหาพี่มัน


          “Hey! What are you doing here?!” พ่นภาษาอังกฤษใส่มันนี่ล่ะ


          “to talk with you.” แน่ะ มีอังกฤษกลับ


          “I don’t wanna talk with you.” ไม่รู้ไม่อยากคุย!


          ห่า..รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภรรยาไม่ให้สามีเข้าบ้านแปลกๆ ส่วนไอ้พี่ขิตทำหน้าเหมือนไม่พอใจเล็กๆ ส่วนผมยืนกอดอกเอียงคอดูท่าทางพี่มัน และสักพักเท่านั้นล่ะ พอเห็นผมไม่ยอมเปิดประตูให้ พี่มันก็..



          “เฮ้ย!ๆ” ปีนรั้วเข้ามาเลย!


          “พี่!” ไม่ทันได้พูดพร่ำ ร่างใหญ่ก็ปีนรั้วจนลงพื้นห่าถ้ามีตำรวจมาเห็นคงนึกว่าโจรเข้าบ้านแน่ๆ


          ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ ร่างใหญ่ก็ตรงเข้ามาคว้าข้อมมือผม “ไปคุยกันข้างใน” ก่อนจะลากเข้าบ้าน


          ว่าแต่...ไอ้พี่ขิตนี่มันบ้านกูนะกูไม่อนุญาตให้มึงเข้า หยุดดดด!!


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

          “มึงเป็นอะไร”


          “What!?”พอเข้ามาถึงในบ้าน คำแรกพี่มันเปิดก็ประเด็นเล่นใหญ่ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงทันที  รู้สึกตัวเองเหมือนจำเลยในศาลชอบกล เชี่ยอะไรของพี่มันวะ อยู่ๆ ก็บุกเข้ามาแล้วก็มาถามว่าผมเป็นอะไรเนี่ยนะ...มันควรถามอะไรแบบนี้มั้ย?


          “มึงไม่ต้องมาว๊อทใส่กู พักนี้มึงเป็นอะไร”พี่มันปล่อยมือผม เปลี่ยนท่าเป็นยืนกอดอกปั้นหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา อะไรวะ อยู่ก็มาถามว่าเป็นอะไร...แล้วเป็นอะไรล่ะ กูก็ยังไม่รู้อะไรเลยเนี่ย งงไปหมดสรุปมึงจะให้กูตรัสรู้เองใช่มั้ยว่าเรื่องอะไร?


          ได้! เจอกูแน่พี่ขิต


          “เป็นอะไรยังไงเหรอพี่?” ถามด้วยเสียงสอง กวนตีนให้พี่มันหลุดพูดออกมาเองแม่ง


          “มึงไม่เหมือนเดิม”


          “ไม่เหมือนเดิมยังไง”


          “คลาว”น้ำเสียงกดต่ำลง ร่างใหญ่ขยับเท้าเข้าใกล้ผมมากขึ้น ทว่าอยู่ๆสัญชาตญาณกลับพาให้ขาทั้งสองข้างของผมร่นถ้อยลงไปเรื่อยๆ รู้สึกติดอีกทีแผ่นหลังก็ชิดกำแพงไปแล้ว


          ผมเม้มริมฝีปากลง นึกว่าตัวเองจะเก่งที่ไหนได้ รู้สึกไม่กล้ามองตาพี่มันยังไงไม่รู้ แต่สุดท้ายก็กลั้นใจเงยหน้าคุยกับคนตรงหน้า


          “แล้วยังไง?”


          “แล้วยังไง? ก็มึงไม่มองหน้ากูไง กูพูดด้วย เล่นด้วยมึงก็ไม่เล่นกับกูเหมือนแต่ก่อน”


          โอ้ยไม่ไหวแล้วนะ!


          “โตแล้วพี่จะให้ผมเล่นอะไรอีกวะ ผมเป็นเพื่อนพี่หรือไง ผมไม่ได้จะกวนตีนพี่นะ แต่คือบางครั้งผมก็รู้สึกว่าพี่เล่นกับความรู้สึกผมมากไป จนผมไม่รู้แล้วว่าอันไหนจริง อันไหนเล่น แล้วการที่คาบเชอรี่ออกจากปากผมมันคือการเล่นธรรมดาด้วยหรือเปล่า” มึงตอบมาไอ้พี่ขิต มึงตอบมา!


           ถึงในที่สุด ผมจะได้พูดสิ่งที่ผมคิดออกไปจนได้ ข้างในใจมันโล่งมาก แต่ขนาดเดียวกันกลับรู้สึกตัวเองว่าเสียงมันสั่นแปลกๆ ขอบตามันเริ่มอุ่นร้อน แต่ช่างแม่ง! ตอนนี้ผมจะไม่เก็บความรู้สึกอะไรอีกแล้ว


          พี่มันหน้าเหวอไปเลย แต่ผมไม่หยุด


          “รู้มั้ย เพราะพี่เป็นคนแบบนี้ไง ผมถึงไม่แน่ใจ แล้วไม่รู้อะไรเลยสักอย่างว่าอันไหนพี่เล่น อันไหนพี่จริงจัง you are very terrible man.Yes, you are good leader to everyone but in the relationship between you and I it’s such a fake show because I’m uncertain anything about you!” (พี่เป็นคนที่แย่มากๆ ใช่ พี่เป็นหัวหน้าที่ดีสำหรับทุกคน แต่ในความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับผมแล้วมันเหมือนเป็นสิ่งหลอกหลวงเป็นการเล่นตลกกลับกลอก เพราะว่าผมไม่รู้ ไม่แน่ใจอะไรเลยกับการกระทำทุกอย่างของพี่!)

          ใส่มันไปเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผมมั่นใจว่าพี่มันแปลได้ และฟังผมทันทุกประโยค ร่างใหญ่อึ้งเงียบสนิทไป ปกติพี่มันจะต้องมีท่าทีต่อต้านอะไรที่ผมด่าไปชุดใหญ่ขนาดนี้ แต่นี่กลับไร้เสียงตอบรับ เงียบจนใจแป้วเสียเอง


          ผมกัดปากตัวเองเบาๆ ชั่ววูบหนึ่งมีความรู้สึกผิดแล่นเข้ามาที่กลางอก เหมือนตัวเองเป็นคนงี่เง่าและไม่ควรจะพูดแบบนั้น แต่กลับดึงสติไม่อยู่หลุดไปหมดทุกอย่าง บางทีผมอาจจะบ้าไปแล้ว เพราะผมเองก้ไม่รู้ว่าจริงๆต้องการอะไรจากพี่มัน


          “I’m sorry . I will do this job tomorrow. don’t worry” (ผมขอโทษ พรุ่งนีผมจะไปทำงาน อย่างห่วง)ผมก้มหน้าลงกล่าวตัดบท น้ำเสียงก็เบาแผ่วเหนื่อยอ่อนราวกับคนจะหมดเรี่ยวแรง


          พี่ขิตเอาแต่เงียบ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าพี่มันคิดอะไรอยู่ตอนนี้ ผมรู้แต่ว่าผมไม่ควรอยู่ในสภาพแบบนี้เลย ความรู้สึกมันตื้อๆ ในอกเหมือนจะร้องไห้แต่มันก็น้ำตามันก็ไม่ไหล


          “อย่ากำมือแน่นแบบนั้น แผลมึงเป็นไงบ้าง” เพราะเผลอจมอยู่กับความรู้สึกนั้นมากเกินไป เลยไม่รุ้ตัวเลยสักนิดว่ามือมันกำแน่นมากแค่ไหน จนพาสเตอร์ที่พันแผลไว้ปริออก


          ร่างใหญ่ทำท่าจะเข้ามาจับมือ แต่ผมกลับชักมือกลับ


          “Don’t touch me!” ผมยื้อมือกลับมาแล้วจ้องหน้าพี่มันเขม็ง ทว่าพอเห็นสายตาของพี่มันแล้วกลับทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก เหมือนพี่มันอยากจะพูดอะไร แต่พอสักทีกับสถานการณ์ตรงนี้ ผมจะไล่พี่มันกลับ


          “พี่! อุ๊บ” คำที่กำลังจะเอ่ยถูกลืนหายไป ทว่าสิ่งที่ปิดเสียงของผมไว้กลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด


          ริมฝีปากอุ่นร้อนแนบชิด รสจูบแนบแน่นหนักขึ้นทุกวินาทีที่สัมผัส หัวสมองของผมกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด หัวใจสูบฉีดเต้นแรง ในท้องปั่นป่วนโหวงเหวงว่างเปล่า ขณะที่ร่างกายผลาญเผาจนร้อนวูบวาบ..สติของผมกลับคืนมาแล้ว ทว่าเรี่ยงแรงกลับเหมือนเด็กแบเบาะ สองมือพยายามดันร่างสูงใหญ่นั้นออกไปแต่กลับไม่มีวี่แววที่พี่มันจะหยุดรุกผมเลยสักนิด ปล่อยจนกระทั่งพี่พี่มันผละไปเองผมถึงกับได้โอกาสหายใจ


          นี่เหรอคำตอบของพี่มัน..


          “คลาวกู..”


          “Get out of here!” ผมเงยหน้าขึ้นมาตะโกนใส่ ถึงไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองตอนนี้เป็นยังไง แต่ผมไม่อยากรู้ ไม่อยากได้คำตอบอะไรอีกแล้ว รู้แค่เพียงนี่ไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการ และไม่อยากเห็นหน้าคนคนนี้!


          “Please Get-out!”ผมเห็นนัยน์ตาของพี่มันขยายกว้างขึ้นมาวูบหนึ่ง มันเป็นประกายของความโศกเศร้า แต่ณ วินาทีนี้ ถ้าพี่มันยังอยู่ที่นี่ผมได้ต่อยพี่มันแน่


          พี่ขิตยอมปล่อยมือออกจากตัวผม ใบหน้าคมสันนั้นพยักรับเล็กน้อย ท่าทางเหมือนจำใจ ก่อนร่างสูงใหญ่จะทิ้งผมไว้ แล้วเปิดประตูออกไปจากห้อง มองจนกระทั่งแผ่นหลังกว้างนั้นหายไป..ขาทั้งขาก็อ่อนยวบ ทรุดตัวนั่งกับพื้น...


        น้ำตาผมไม่ได้ไหล และเพราะแบบนั้นมันถึงได้อึดอัด


          I hate this moment



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด

        อยู่ๆก็มาม่า อ่ะ งื้อออ พี่ขิต ขอความแน่นวลลลโหน่ยยย จูบไปทั้งที่ไม่แน่นวลลลลคล้าวคิดมากแล้วนะ ฮืออออออออ   มาม่า นิดหน่อย แต่ดราม่ามากๆ (หรอม?)

          13 ตอน จบแล้ววว อีกนิสสส ตอนหน้า NC คุคิ คิคัก คุกๆ ถถถถถ
           หลายคนบอกว่าตรงประโยคอังกฤษของซับไตเติ้ล ดี้จัพยายามกลับไปแก้ ใส่ตรงประโยค ยากๆยาวๆให้บางช่วงนะคะ

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 8 : ของหวาน...Part 1


          วันเวลาล่วงเลยไปเหมือนติดโทโบ



          ความจริงมันก็เหมือนกับทุกวันนั้นแต่เพียงกว่าผมจะตื่น ก็ล่อปาเข้าไปเกือบบ่ายสาม ปกติผมไม่ใช่คนขี้เซาแบบนี้นะ แต่เป็นเพราะเมื่อคืนผมกว่าจะนอนหลับก็ล่อเข้าไป 7 โมงเช้า ไม่รู้คิดบ้าคิดบออะไรนักหนา



          อาบน้ำอาบท่าหาอะไรกินเสร็จกก็สี่โมงกว่า เปิดทีวีดูพลางเดินไปเดินมาอยู่ในห้องไปเรื่อยๆ ก็ปาเข้าไปสองทุ่ม



          วันนี้ผมจำได้ เพราะเมื่อวานดันไปเผลอรับปากไอ้พี่ขิตไปด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่ควรจะเกิด เลยทำให้ผมต้องเข้ากะงานครัวตอนสามทุ่ม ทั้งๆ ที่มันควรเป็นวันลาของผม



          ใช่ผมขอหยุดลาวันนี้ แต่ไอ้ขิตมันไม่ให้ลาเพราะเหตุผลโคตรงี่เง่าเซ็งกระบ๊วย ‘ไม่มีคนเข้า’



          ไม่มีคนเข้าห่าอะไร! มันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น คอมมี่เชฟในครัวไทยก็มีเป็นสิบ งานครัวกะดึกก็ไม่หนักให้เชฟเทรนนี่เชฟเข้าแทนก็ยังได้ ไม่เห็นต้องถึงมือระดับเดมี่เชฟอย่างผมเลย



          แล้วไหนยังเรื่องที่พี่มันจูบผมเมื่อวานอีกล่ะ แน่นอนว่าผมสติแตกยับ คืนนั้นพี่ขิตโทรมาผมหลายสายมากแต่ผมไม่รับ จนกระทั่งตอนบ่ายสาม คงเห็นว่าผมไม่รับโ?รศัพท์เลยส่งข้อความมาบอกผมว่าให้เข้างานวันนี้ด้วย



          ผมถอนหายใจนอกจากเรื่องงานที่ชัดเจนแล้ว เรื่องอื่นระหว่างพี่มันกับผมไม่ชัดเจนเลยสักอย่าง จริงๆ ก็พอจะเดาๆได้ว่าพี่มันอยากให้ผมอยู่กะดึกวันนี้เพราะอะไร เป้นไปได้ที่พี่มันอยากคุยกับผม แต่ถามว่าคุยแล้วได้อะไรล่ะ?



          โน่ว! ไม่มีห่าอะไรทั้งนั้น มีแต่ทำเรื่องให้มันแย่ขึ้น



          ผมขับรถออกจากบ้านพักมา ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงโรงแรม ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มจึงไม่มีคนเท่าไร ผมเห็นพวกน้องๆ เทรนนี่กำลังทยอยกลับ เมื่อเห็นผมเข้าพวกต่างก็ทักทายและยกมือไหว้ตามปกติ



          มาถึงห้องล็อตเกอร์ ทุกคนก็ออกไปหมดแล้วเหลือแต่ผมเพียงลำพัง ใช่มันต้องเหลือแค่ผมคนเดียวอยู่แล้ว เพราะงานกะดึกนั้นใช้เชฟรับงานแค่คนเดียวตั้งแต่ช่วงเวลาสามทุ่มถึงตีห้า ความจริงแล้วงานกะดึกส่วนใหญ่จะเหลือเชฟไว้ครัวล่ะหนึ่งคน แต่ที่โรงแรมนี้มีแต่ครัวไทยเท่านั้นที่เปิด 24 ชั่วโมง จึงมีเชฟประจำแค่คนเดียว



          แต่ก็ดี บางทีหากอยู่ที่นี่ คืนนี้ผมอาจจะหายฟุ่งซ่านก็ได้ เพราะมีอะไรทำ



          ผมเปลี่ยนชุดกาว์นเชฟตามปกติ แต่ก่อนจะเข้าห้องครัวไป ก็เห็นร่างสูงใหญ่ของคนไม่อยากเจอเดินสวนเข้ามาพอดี ผมสะดุ้งตกใจ ไม่รู้ว่าสีหน้าตัวเองเป็นแบบไหน ทว่าแววตาของพี่มันราบเรียบมาก นั่นทำให้ผมไม่พอใจหน่อยๆ



          ผมกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนถามพี่มันไป



          “ทำไมพี่ยังไม่กลับ”



          “กูมาบรีฟงานมึง”

          อ่างานอีกแล้ว...ผมนี่โง่จริงๆ ไม่น่าถามอะไรที่มันมีคำตอบตายตัวอยู่แล้ว ผมพยักหน้ารับเบาๆ พยายามบอกตัวเองในใจไม่เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกันให้มั่ว



          เดินเข้ามาที่ห้องครัว Kitchen one ข้าวของทุกอย่างถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยดูขัดตาจากเมื่อกลางวันมาก เพราะมันไม่มีเก้าอี้ผมเลยนั่งลงที่เค้าเตอร์อเนกประสงค์ แล้วกอดอกฟังพี่มันบรีฟงานครัวว่าผมต้องทำอะไรบ้างระหว่างที่อยู่ในห้องนี้ตั้งแต่สามทุ่มถึงตีห้า หนึ่งในหน้าที่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผมต้องเตรียมวัตถุดิบ และเตรียมเซ็ตของทุกอย่างให้กะเช้าก่อนที่จะต้องทำอาหารเช้าด้วย



          ฟังไม่นานพี่มันก็บรีฟจบ ผมยืนขึ้นกะเดินไปที่ซิ้งค์ล้างจานเพื่อล้างมือเสียหน่อย พี่มันก็ถามไล่หลังมา



          “มึงอยู่ได้ใช่มั้ย?” มือที่กำลังยื่นไปเปิดก๊อกถึงกับชะงัก



          “ผมไม่ใช่เด็กแล้ว พี่กลับไปพักเถอะ”พูดกับพี่มันเรียบๆ ไม่ได้โกรธไม่ได้ประชดอะไร แสร้งทำเป้นลืมทุกอย่าง ก่อนผมจะได้ยินเสียงฝีเท้า พี่มันคงเดินเข้ามาหาผมล่ะ แต่อยู่กลับๆ สัมผัสได้ถุงลมหายใจอุ่นรดข้างหู



          “มึงเคยได้ยินมั้ย ครัวนี้ตอนกลางคืนน่ะมัน...”



          “พี่ผมไม่กลัวเหี้ยอะไรทั้งนั้นนอกจากพี่นั้นล่ะ” ผมหันขวับ ตอกหน้า ผลักอกพี่มันด้วยความหงุดหงิด มึงอย่ามาล่าท้าผีไม่ถูกที่ถูกเวลาแบบนี้ เดี๋ยวกูตบด้วยกระทะ



          พี่มันทำท่ายกมือสองข้างแบบยอมแพ้ แล้วก้าวถอยหลังไปพร้อมอมยิ้มนิดๆ



          นี่พี่มึงไม่สำนักอะไรเลยเหรอวะ ว่าทำอะไรกับผมไว้บ้าง



          มึงมียีนส์ปลาพระอาทิตย์อยู่ในตัวหรือไง?



          “โอเค แน่ใจนะ” พี่มันย้ำอีกครั้ง ผมกลอกตาอย่างรำคาญก่อนตอบพี่มันตรงๆว่า “เออ” นั่นล่ะ..คนตัวโตถึงได้ยอมไป



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

 

            ผ่านมาแล้ว 2 ชั่วโมงครึ่ง



            มีแต่ความเงียบกริบ ไม่มีใครสั่งมื้อดึกมากินเลยสักคน ผมนั่งกระดิกเท้าดิ๊กๆ อยู่บนเค้าเตอร์ พลางเล่มเกมส์ยิงไข่ในโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ แก้เซ็ง เล่นไปเล่นมาก็เริ่มเหมือนตาจะปิด ถึงงานกะค่ำไม่ค่อยมีอะไรมาก สบายๆ แต่มันก็เงียบเกินไป จะให้ผมไปเซยฮัลโหลกับกระทะหรือน้องแมงสาบก็ไม่ใช่ไง



          อีกหลายชั่วโมงกว่าจะหมดกะ ผมลุกขึ้นมาเหยียดตัวตรงแล้วบิดขี้เกียจไปมา อ้าปากหาววอดไปได้สักพัก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ คล้ายใครทำของตกอยู่หลังครัวตรงตู้แช่



          ผมขมวดคิ้ว



          “เสียงอะไรวะ” ว่าอย่างสงสัย เนี่องจากเป็นกะค่ำ โรงแรมอนุญาตให้เปิดไฟครัวเพียงแค่ดวงเดียวทำให้ด้านหลังครัวจึงมืดทึบไปหมด



          นึกๆก็แอบอยากจะพาลด่าโรงแรมจริงๆ เกิดมารักชาติประหยัดไฟทำดึกๆ ดื่นๆ ไม่รู้หรือว่าคืนมันอันตราย อย่างน้อยก็น่าจะอนุญาตให้เปิดไว้สองดวง



          ก้องแก๊กๆ อะไรวะ หนูเหรอ?



          มโนในแง่ดีเข้าไว้ ผมขมวดคิ้วยู่ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปดูที่ตู้แช่มืดๆ



          ถามว่ากลัวมั้ย?



          ไม่อะ ไม่รู้สิ เพราะผมถูกเลี้ยงที่เมืองนอกด้วยมั้ง เรื่องผีเผออย่างที่ไอ้พี่ขิตมันบอกเลยไม่มีอยู่ในหัวผมเลย



          เดินไปจนถึงตู้แช่ เอาโทรศัพท์ส่องไฟให้ความสว่าง ก่อนจะพบ....



          ทัพพี? แสตนเลทตกอยู่ข้างตู้ ผมขมวดคิ้วสงสัย ก่อนจะก้มลงหยิบมาขึ้นมา



          มันมาอยู่ตรงนี้ได้ไงวะ?



          “แฮร่!”



          “ฟัค!!!”

          อย่าถามว่าอุทานว่าอะไร แต่ที่รู้ๆ กูฟาดทัพพีรัวๆใส่ไอ้ตัวที่มันโผล่มาแฮร่ทางด้านหลัง กูไม่ได้กลัวนะ กูไม่กลัว



          “เหี้ยๆ เจ็บๆๆ ไอ้คล้าว เฮ้ย! ไอ้คล้าว!” เสียงเรียกนั้นทำให้ผมได้สติ พอมลืมตาขึ้นมามองไอ้ตัวที่มันโผล่ขึ้นมาแฮณ่ให้ชัดๆ ก้พบว่าเป็นร่างสูงใหญ่ของหัวหน้าเชฟหนวดเฟิ้ม ในชุดเสื้อยืดสีขาว



          ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะชี้นิ้วใส่พี่มัน



          “ไอ้พี่ขิต!”



          “ไหนบอกไม่กลัวไง” กลัวเหี้ยอะไรล่ะ กูตกใจ แม่งเล่นโผล่มาแฮร่ข้างหูตอนเหม่อๆ ห่าดีนะที่เป็นทัพพี ถ้าเป็นมีดนี่ผมแทงพี่มันไปแล้วแน่ๆ



          “ขวัญเอ้ยขวัญมา” มือใหญ่ทำท่าจะลูบหัวผม แต่ผมกลับปัดทิ้ง อารมณ์เสียขั้นสุด



          “พี่แม่งเล่นบ้าอะไรวะ!”



          “อ่าวโกรธกู สะงั้น”

          ผมฟึดฟัดเดินออกมาด้วยความออกจากจุดๆ นั้น ก่อนกลับมาที่เค้าเตอร์ครัวในโซนที่เปิดไฟสว่างไว้ ร่างใหญ่มันเดินตามผมมาอย่างไว ก่อนคลี่ยิ้มดูมีความสุขที่ได้แกล้งผม



          “งอนเป็นสาวน้อยเลยนะมึง” ไม่ว่าเปล่ามันทำท่าจะเอามือมาขยี้หัวผมด้วยแต่ผมไม่ยอมรีบปัดมือนั้นออกไปอีกครั้ง ไม่อยากให้พี่มันโดนตัวผมอีกแล้ว



          “You shouldn’t live here” เปิดประเด็นทันที ผมจ้องหน้าพี่มันเขม็ง กล่าวด้วยเสียงจริงจังหน่อยๆ แต่ตึงเครียดสุดๆ ทว่าพี่มันกลับกอดอกเหยียดสายตามองดูผม ในแววตาของพี่มันราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังอดทนกับเด็กงอแง



          “ขอภาษาไทย” อะไรวะ ผมถอนหายใจหน่าย จะกวนตีนกันไม่เลิกใช่มั้ยฦ



          “พี่ควรกลับบ้าน”



          “กูจะอยู่นี่”



          “งั้นผมกลับเอง” พูดไปงั้นล่ะจริงๆ กลับไม่ได้หรอก แต่เพราะไม่อยากเห็นหน้าพี่มันไง เลยเลือกที่จะเดินออกไป ทว่าไอ้พี่ขิตกลับตะโกนไล่หลังมา



          “ถ้ามึงไปแสดงว่ามึงขี้ขลาดจะเจอหน้ากู”

          อื้อหือ หันขวับ! มันท้าทายครับท่านผู้ชม กูไม่ได้ขี้ขลาดที่จะเจอหน้า กูแค่ไม่อยากจะคุย แต่ถ้าพี่มันพูดแบบนี้ ได้! เจอกูแน่



          ผมเดินตึงตัง พลางปั้นหน้าขึงตึงไปหาพี่มันอย่างเหลืออด แต่ร่างสูงกลับทำเพียงพยักเพยิดใบหน้าไปทางเค้าเตอร์ด้านหลัง



          “Sit down boy” พี่มันว่า



          “ไหนบอกขอภาษาไทย”



          “นั่งลง” กูไม่นั่ง



          “พี่ต้องการอะไรจากผม”ถามเสร็จ พี่มันก็พลิกตัวหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ ผมขมวดคิ้ว อยากรู้จริงๆว่าพี่มันจะมาไม้ไหน



          “กูต่างหากที่ต้องถามว่ามึง มึนอะไร ข้องใจอะไรนักหนาวะ” แต่ก็ไม่นึกว่าพี่มันเปิดด้วยการหาเรื่อง!



          “ Hey why you---!”



          “ภาษาไทย” โว้ยย! รู้สึกเหมือนยังฉี่ไม่สุดแล้วโดนขัด ไม่ไหวแล้วนะ อยากได้ตรงๆก็จะไปตรงๆ



          “ก็พี่มึงไม่ชัดเจน!”



          “ชัดเจนอะไรของมึง” พูดงี้ขึ้นสิครับขึ้น!



          “พี่ ผมไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ของฟรี ที่พี่จะทำอะไรก็ได้ โอเคป่ะ แล้วอยู่ๆ พี่มาทำ'แบบนั้น'กับผม ผมควรจะอยู่กับความรู้สึกแบบไหนวะ”



          “แบบที่คาบเชอรี่ออกไปจากปากมึงน่ะเหรอ มึงอยากได้อีกมั้ยล่ะ”

          ฟัคยู! ไอ้พี่ขิต พี่มันทำหน้าตาทะเล่นใส่ผมซะงั้น ผมพยายามรงับสติที่พุ่งพล่านในอก ท่อง นะโม ตัสสะ โอ้มาบอยในหัวให้ใจสงบ ผมไม่หลบตาพี่มัน



          “พี่ขิต...ถ้าพี่ไม่ใช่หัวหน้า ผมสาบานว่าผมจะต่อยปากพี่” จริงๆ ก็ไม่กล้าหรอก ดูหุ่นพี่มันสิตบทีเดียวผมก็ปลิวแล้ว แต่แกล้งขู่พี่มันไปตรงๆ แบบไม่ไว้หน้า เผื่อมันจะได้รู้สึกตัว ทีแรกคนตัวใหญ่ดูอึ้งไปกับคำพูดนั้น ทว่าผมกลับคิดผิดถนัด



          “มึงเลิกเป็นคนปีนเกลียวตั้งแต่เมื่อไร”พี่ขิตมันพูดจนผมสะอึก เออใช่ กูปีนเกลียว ปีนมาตั้งแต่เข้ามาทำงานที่นี่แล้ว แต่แล้วยังไงอะ อย่างน้อยผมก็ไม่เสแสร้ง



          ขณะที่กำลังโมโห ใบหน้าคมเข้มนั้นก็ยื่นเข้ามาหาผมแทน



          “เอาสิ..อยากต่อยก็ต่อยเลย” ผมอึ้งไปอีกครั้ง ไม่คิดว่าพี่มันจะกล้าท้าทายผมขนาดนี้ ผมกัดฟันจนแน่นอย่างเจ็บใจ ก่อนจะชี้หน้าคนตัวโตด้วยความโกรธ



          “You are--!”



          “ภาษาไทย”



          “ฟัค!” อ๊ากกก ขัดกูอีกแล้ว!



          “คลาว” พี่มันเรียกชื่อผมเสียงอ่อนลง ก่อนร่างใหญ่นั้นจะขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอีกนิด ทั้งใบหน้าและแววตาของพี่มันดูจริงจังขึ้นอย่างที่ผม ไม่เคยเห็น



          “กูว่ากูซื่อตรงนะคิดยังไงก็แสดงออกแบบนั้น ไม่ได้เจ้าเล่ห์เหมือนกับไอ้เปรมมัน แต่ถ้ามึงอยากได้ความชัดเจน กูจัดให้”

          ประโยคนั้นทำเอาผมสะอึกพูดอะไรไม่ออก แต่ขนาดเดียวกันในใจก็ปรากฏความสงสัยว้าวุ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อร่างใหญ่นั้นโมตัวเข้ามาใกล้แทบประชิด



          “พี่จะทำอะไร!”

          กึก! ผมหลับตาปี๋ กลั้นหายใจ ภาพเดิมๆ ที่พี่มันเคยจูบผมย้อนกลับเข้ามาให้หัวอีกครั้ง เนื้อตัวสั้นไปหมด ทว่ารอจนแล้วจนรอด ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมค่อยปรือตาขึ้นมา เห็นพี่มันทำหน้างงใส่



          “กูจะหยิบหม้อ! ทำต้มยำลูกค้าสั่ง”

          เอ่อ...เลวมากพี่ขิต แต่ก็โล่ง ผมถอนหายใจยาว ก่อนจะจิ๊ปากมองพี่มันตาขวาง พี่มันเลยพยักเพยิดหน้าไปทางหน้าห้องครัว ซึ่งปกติจะขึ้นรายแจ้งใบรายการอาหารที่ต้องทำเอาไว้



          “ไม่เชื่อมึงไปเช็คสิ” ผมขมวดคิ้วห่าอยู่มาตั้งแต่ สามทุ่มยัน 5 ทุ่มแม้แต่แมงสาบสักตัวก็ยังไม่เห็นเดินผ่าน แล้วลูกค้ามันสั่งอาหารมาตอนไหนวะ เมื่อกี้เหรอ?



          ผมเดินเข้าไปกะไปพิสูจน์ว่ามีคนสั่งไว้จริงหรือว่าพี่มันโกหก ทว่าพอไปถึงผมกลับหาใบรายการสั่งไม่เจอ



          “ไหนวะพี่ ไม่เห็นมี อุ๊บ!” ไม่ทันได้ตั้งตัวริมฝีปากของผมก้ถูกปิดลงมาด้วยเรียวปากอุ่นร้อนของคนตรงงหน้า



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

(ตัดตรงนี้ ห้ามพ่นไฟ จริงอยากเล่นอะไรเยอะกว่านี้นะ แต่แบบว่า T^T ด้วยอะไรที่จำกัดเลยมันได้แค่นี้ อื่นๆ จะไปขยายในตอนพิเศษนะคะ Part ถัดไป NC แบบ...คล้าวๆ 5555)

[/font][/size]

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 8 : ของหวาน...Part จบ

          ผมตกใจเบิกตากว้าง พยายามดันร่างที่โถมเข้ามาให้ออกห่าง ทว่าทำอย่างไรพี่มันก็ไม่ยอมถ้อย ในโพรงปากผมสัมผัสได้ถึงลิ้นอุ่นร้อนที่กำลังสำรวจทุกสิ่งที่อย่างอย่างกระหายใคร่รู้ หัวใจผมเต้นแรงมาก ในขณะที่ร่างกายก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ หน้าท้องไหววูบคล้ายกับกำลังตกลงจากที่สูง ก่อนวินาทีที่อิสระภาพจะมาถึง ผมก็หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน


          “กูสั่งเอง ชัดเจนยัง” ถ้อยคำนั้นพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้นของพี่มันทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นมา ทรยศความคิดตัวเองว่าไม่ได้ต้องการคำตอบแบบนี้


          เอาสักหน่อย เบลอๆ ตามพี่มันไป


          “Not clear” ปากมันพูดไปปฏิเสธแล้วล่ะ แต่รู้สึกเหมือนผมกำลังทำหน้าอ่อยพี่มันยังไม่รู้ และเพียงเท่านั้น ใบหน้าคมเข้มก็คลี่ยยิ้มที่มุมปาก


          “เดี๋ยวกูเคลียร์เอง” สิ้นประโยคริมฝีปากของผมก๊ถูกครอบครองอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีเวลาให้ผมตั้งตัวได้บ้าง อย่าถามผมเลยว่าผมคิดอะไรอยู่ บอกได้คำเดียวว่ามันกลวงโบ๋ว่างเปล่า แต่กลับยินดีที่จะถูกเติมเต็มโดยไม่รู้ความหมาย


          เราเริ่มต้นด้วยจูบอันรุนแรง หนักหน่วงขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งที่กำลังล้วงเข้าใต้สาบเสื้อสัมผัสร่างกายที่อยู่ข้างใน และมืออีกข้างที่รวบเอวของผมมาแนบชิด


          ไม่รู้ว่าจูบกันนัวเนียกันแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนกับร่างกายกำลังถูกยกมานั่งตรงเคาน์เตอร์อเนกประสงค์ โดยที่ริมฝีปากเราไม่แยกออกจากกัน พี่มันทำได้อย่างเร้าอารมณ์มาก จนช่วงหนึ่งผมเผลอคล้อยตาม ทว่าจิตใต้สำนึกแบบลึกขั้นสุดดันผุดขึ้นมาขัด ประมาณทำแบบนี้มันไม่ดีไม่งานนะ ผมผลักตัวคนตัวใหญ่ออก


          “พี่...พี่ เดี๋ยวนี่มันห้องครัว” ผมค้านก่อนที่อะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ไอ้พี่ขิตหน้านิ่วคิ้วขมวดทันทีเหมือนหมีโดนขัดใจไม่ให้แดกน้ำผึ้ง?


          “มึงอย่ามาขัดอะไรตอนนี้ได้มั้ย” พี่มันว่า ผมกัดริมฝีปากล่างของตัวเอง คือเครื่องพี่มันติดแล้วไง ถ้าฮีจะหงุดหงิดก็ไม่แปลก


          “แต่พี่นี่มันห้องครัวไง...มีกล้องวงจรปิดหรือเปล่าก็ไม่รู้” ผมว่าไปตามจริง รู้สึกกลัว และกังวลขึ้นมาทัน ยังไงผมก็ยังไม่อยากมีคลิปหลุดพ่อครัว ให้มันบัดสีกับชีวิตผมหรอกนะ แม้ฉากเมื่อกี้ถ้ากล้องมันจับภาพได้จริง ก็อาจสร้างดาเมจได้บ้าง แต่มันก็ไม่ถึงขั้นหนักหน่วงลงแบบ อู้หู้!! เพราะถ้ามีแค่นี้ ผมยังพอสามารถแก้ข่าวได้อยู่บ้าง ยังไงผมก็ยังอยากจะทำงานวงการนี้อยู่อีกนะ


          พอได้ยินผมพูดแบบนั้นพี่มันถอนหายใจแรงๆ


          “ในห้องครัวไม่มี ถ้าจะมีก็มีแต่สัญญาณกันไฟไหม้  ตอนนี้มีแต่มึงกับกู” ขาดคำร่างใหญ่ของพี่มันก็โน้มเข้ามา ผมผงะจนร่างแทบจะหงายล้มลงไปบนเคาน์เตอร์อเนกประสงค์ในห้องครัว พี่มันทำท่าจะจูบผมอีกรอบ “พี่มึงอย่าเพิ่งหื่น!” ผมขัดไว้พร้อมดันๆ หน้าเข้มๆ ของร่างใหญ่ออก


          แม่งจะจูบอย่างเดียวเลย พี่มันจิ๊ปากไม่พอใจทันที


          “โวะ! กูไม่สนมึงแล้ว”


          “พี่! อื้ออ!” พูดยังไม่จบอย่าเพิ่ง! เรียวปากอันเร่าร้อนก็บดเบียดลงมาจนไม่มีช่องว่างใดๆ ให้ผมได้พร่ำอีก พี่มันรุกหนักมาก แถมยังรุนแรงดุดันตามขนาดร่างกายของพี่มัน แต่น่าแปลกที่ผมกลับตอบรับ และพอใจกับการกระทำแบบนี้อย่างบอกไม่ถูก เรียวลิ้นดูดกลืนความหวานในโพรงอย่างกระหาย ผมร้องครางเบาๆ ในลำคออย่างไม่รู้ตัว มือใหญ่ทำงานอย่างชำนาญ ข้างหนึ่งประคองใบหน้าผมมารับจูบ อีกข้างก็...


          ละ.. เลื่อน เลื่อนมาปลดกางเกง! เดี๋ยวนะแบบนี้ไม่ได้ จังหวะที่พี่มันผละริมฝีปากเพื่อหายใจ ผมก็บอกทันที


          “อ๊ะ..พี่! หยุดก่อน ถ้าไม่มี...”


          “กูมี” เชี่ย เหมือนรู้ตัวว่าผมจะถามอะไร แถมพี่มันยังไม่พูดเปล่า โชว์กล่องถุงยางขึ้นมาให้ดูด้วย


          มึงจะมาโชว์กูทำไม? พี่ขิตทำหน้าอย่างภาคภูมิใจ..พร้อมแกะกล่อง


          ผมขมวดคิ้ว คิดเหมือนผมมั้ย? ผมว่า...ไอ้พี่ขิตมันเตรียมพร้อมแปลกๆ 


          “นี่พี่มึงเตรียมจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกใช่มั้ย” สัมผัสได้เลยว่าถ้ามันทำขนาดนี้แสดงว่าไม่มีกล้องแน่ๆ แต่ผมแกล้งถามคนตัวใหญ่ไป รอยยิ้มมีเล่ศนัยระบายออกตรงมุมปาก


          “Exactly” นั้นไง! และไม่ทันขาดคำพี่มันก็รุกเข้าหาผมโดยไม่ทันตั้งตัวอีกรอบ คราวนี้หนักรอบแรกมามาก เรียกได้ว่าขยี้ริมฝีปากผมด้วยความเมามัน จนเรียกไว้ว่าโน้มทับจนผมตอนราบไปกับเคาน์เตอร์ 


          กระดุมเสื้อเชฟถูกปลดจนหมดไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ส่วนกางเกงก็ถูกถลกมาวางกองไว้ที่ที่หัวเข่า อารมณ์มกำลังพุ่งพล่านเหมือนไฟที่กำลังปะทุ ขณะที่พี่มันยังเร้าโลมไม่เลิก พรมจูบซ้ำๆ ที่ข้างแก้ม ปลายคาง ไล่ลากยาวมากระดูกไหปลาร้า ผมขยุ้มศีรษะของพี่มันตามแรงอารมณ์ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงฟันซี่เล็กๆ ขบกัดลงเบาๆ บนยอดที่ชูชันบนเนินอก “อะ อ๊า” ผมหลุดเสียงร้อง ความเสียวซ่านแล่นเข้ามาจนเผลอเกร็งหน้าท้อง ทั้งขบเม้ม ดูดดันจนเจียนคลั่ง เท่านั้นไม่พอพี่มันคว้าขาของผมขึ้นพาดบ่า แล้วออกแรงดึงร่างผมให้เข้าไปประชิดช่วงเอวของมัน ผมตกใจไม่คิดว่าพี่มันว๊อนขนาดนี้


          เดี๋ยวๆ พี่มันรู้มั้ย ว่าผู้ชายเขามีกันอะไรต้องทำยังไง ผมเห็นแต่พี่มันเร้าโลมยังไม่มีการเตรียม เอ่อ...ช่องทางอะไรให้ เอ่อ..สิ่งนั้น (ฮือออ กระดากปากจะพูด) เข้ามาในร่างผมได้เลย


          แล้วดูขนาดตัวพี่มันสิ มึงจะใส่มาทั้งดุ้นแบบนั้นไม่ได้ กูตายแน่!


          “พี่!’ ผมโวยวายทักให้พี่มันหยุด


          พอได้ยินเสียง ร่างใหญ่เลียริมฝีปากวาวับของตัวเอง สายตาเจ้าเล่ห์นั้นเงยขึ้นมองผมที่หอบหายใจอยู่บนเคาน์เตอร์


          “เบาๆสิ ไหนบอกมึงกลัวว่าใครจะได้ยิน”


          “ก็พี่มึงอย่ารุกแรงสิ ว่าแต่...พี่จะทำแบบนั้นเลยไม่ได้ พี่ไม่มีน้ำยาหล่อลื่นเหรอ” ผมว่าไปตามจริง อย่างน้องถ้ามี อนาคตมันอาจคงเจ็บน้อยกว่าที่จินตนาการไว้ เพราะดูขนาดตัวของพี่มันสิ...


          โอ้โห้ E Here!!...อาจจะต้องใช้อย่าต่ำสามนิ้วเพื่อ ขะ ขยาย... โอ้ยยไม่เอาแล้วได้มั้ย กูกลัว ฮืออ


          พี่มันทำหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ผมยิ้มแหยๆ ก่อนร่างใหญ่จะดีดนิ้ว


          “งั้นมึงรอนี่” พูดจบพี่มันก็เดินออกไปทั้งที่สวมเสื้อเชฟตัวเดียว ส่วนท่อนล่าง เอ่อ..เหลือแต่กางเกงซับในสีฟ้าตัวเดียวเช่นกัน


          ผมกลืนน้ำลาย ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์รอ ในใจก็รู้สึกโล่งนิดๆ อย่าบอกนะว่ามี KY ซ่อนไว้ในห้องครัวด้วย โอ้ย...พี่ขิตมึงอย่าเพิ่งเอากูได้มั้ยวะ มันพีคเกินไปที่จะเล่น Sex Sense กันในห้องครัว


          ทำอะไรอยู่วะ ชะเง้อคอมองตาม พี่มันค้นอะไรไม่รู้กุกๆ กักๆ อยู่ในตู้ แต่พอโผล่หัวขึ้นมายืนเท่านั้นล่ะ ผมถึงกับเบิกตากว้าง


          “ใช้นี่ได้มั้ย?”


          อื้อหื้อ มรกตหลืองอ่อนมาแต่ไกล!


          “ไอ้พี่ขิตมึงอย่ามาใช้น้ำมันพืชกับก้นกูเชียว ไอ้บ้า!” ผมโวยวาย คนบ้าที่ไหนใช้มันมรกตมาแทนเจลหล่อลื่น เดี่ยวได้เหม็นหืนกันทั้งบาง พี่มันวางน้ำมันลงแล้วยกขวดถัดไป


          “อันนี้ล่ะ”


          “ซันไลร์ก็ไม่ได้โว้ย” ตูดกูแหกพอดี อีผี!


          พี่่มันหัวเราะ


          “งั้นอันนี้คงได้สินะ”


          “ไอ้พี่ขิตมึงอย่ามาฟอม กูเริ่มไม่มีอารมณ์แล้วนะ” ผมว่า จริงๆ ไม่ได้หงุดหงิดอะไรพี่มันหรอก แต่กูกลัวเลยอยากจะชิ่ง ถึงพูดไปแบบนั้น


          “โอ๋ๆ ง้อนะๆ นิ่งเตะ นิ่งเตะ นิ่งเตะ”


          เตะพ่อง!


          แล้วพี่มันก็หัวเราะลั่น ก่อนจะโชว์เจลล่อลื่นสีน้ำเงินขาว(มันหาได้จริงๆ ว่ะ) แล้วเดินมาหาผมที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่บนเคาน์เตอร์ ผมมองหน้าพี่มัน ไม่รู้พี่มันจะมองผมอะไรหนักหนา แถมยังยิ้มราวกับโลกทั้งใบมันเป็นสีชมพู


          เดี๋ยวจิ้มตาแม่ง


          “นี่...” พี่มันเรียกผม ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยนแบบนี้ผมไม่เคยได้ยินเลยจริงๆ ปกติพี่มันจะชอบกวนตีนไง แต่แปลกใจน่ะไม่เท่าไร แต่ดันใจเต้นแรงนี่สิ เหี้ยมึงอย่างใช้น้ำเสียงแบบนั้นกูเขิน และเพราะเห็นอาการผมเริ่มแสดงออกทางสีหน้าล่ะมั้ง อยู่ๆ พี่มันก็ยกมือข้างหนึ่งของผมขึ้นมากุม แล้วบีบเอาไว้


          “คลาวกูชอบมึง คบกับกูได้มั้ย?”


          "..."


          เดี๋ยวนะ เดี๋ยววววว!!!


          ขอประมวลผลสักครู่


          "ได้มั้ย นะ นะ" มีปิดท้ายด้วยการยื่นหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆมาใกล้ๆ ด้วย


          ผมกะพริบตาปริบๆ


          อ๊ากกกก Could has been killed by p’kit กูตายย...ตายเลยยย ตายนะจุดๆนั้น ถึงพี่มันจะมีสภาพเหมือนพวกคนเถื่อนแต่พวกอยู่ในโหมดจริงจังมุ้งมิ้งสีชมพูแบบนี้ กูตายย..ยอมแล้วว โดนดาเมจขิตแอคแท็คเข้าไปเต็มๆ รู้สึกหน้ามันร้อนมาก ร้อนจนแทบระเบิดเลย พี่มึงพูดอะไรราวเด็กมหาลัยวะ


           นี่พี่มึงอายุ 38 แล้วนะเว้ย!


          “พี่มึงไม่ใช่ป็อปปี้เลิฟแล้วป่ะ” ผมแซวพร้อมกับหลุดยิ้มเขิน แต่ดูเหมือนพี่มันไม่สนใจ จับมือขึ้นมาหอมฟอดหนึ่งแล้วพูดอีกครั้ง


          “ตอบพี่ก่อน” หูยยย เปลี่ยนจะกูเป็นพี่เลยนะจ๊ะ


          “อะไรล่ะ” แกล้งฟอมน่ารักๆด้วยเสียงสิบบ้าง เหี้ยกูทำอะไรอยู่เนี่ย แล้วพี่มันก็หัวเราะเบาๆ “วันนี้พี่ชัดเจนกับเราแล้ว คำตอบเราล่ะ” โอ้ยสุภาพมาก เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอะไรแบบนี้จากปากของพี่มัน ใจมันเต้นตุบๆ เหมือนจะออกมาระบำอยู่ข้างนอกนี่


          สรุปที่ผ่านมาทั้งหมด ตอนนี้ผมเข้าใจคำตอบของตัวเองมากขึ้นแล้วว่าที่จริงอยากให้พี่มันพูดว่าอะไร ทั้งๆที่ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไรที่ผมมีความรู้สึกแตกไปจากเดิมกับพี่มัน


          “ทำไปขนาดนี้แล้ว พี่จะถามผมทำไมอีก”


          ผมพูดพลางหันหน้าเขินหนี  Love me like you do ลาลา love me like you do เอาเลยพี่อยากจะเข้าห้องแดงห้องดำ อยากทำอะไรกับร่างนี้ก็ทำเลย


          พี่มันหัวเราะ


          “น่ารัก” ก่อนมือใหญ่ๆนั้นจะจับที่ปลายคางผมแล้วจับให้หน้าผมหลับมาอีกครั้ง ก่อนร่างใหญ่จะยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ แล้วป้อนจูบให้อย่างดูดดื่ม


          ผมจูบตอบพี่มันกลับ ครั้งนี้เปลี่ยนรสชาติไป ไม่ได้จัดเต็ม Deep kiss แล้ว แต่กลับเป็นจูบที่อ่อนละมุนเหมือนน้ำผึ้งหวานๆ ที่ทำเอาเคลิ้ม ผมรู้สึกว่าพี่มันจูบเก่งมาก ยอมรับตรงว่าผมรู้สึกดี..


          ดีที่สุดเลย..


          ในที่สุดทั้งเสือผ้าและกางเกงก็ไม่มีสิ่งไหนปกปิดร่างกายผมเลย จริงๆ ก็เขินพี่มันนะ แต่ก็..ช่างมัน! เพื่อไปให้สุดทางเราต้องเดินน้าต่อห้ามหยุด!


          พี่มันจับผมให้นอนราบลง ก่อนตัวเองจนถอดของตัวเองบ้าง ผมรีบแกล้งยกแขนขึ้นมาปิดตายตาตัวเอง รู้สึกไม่ค่อยอยากจะเห็นขนาด ไอ้นั่นของพี่มันเท่าไรเลย ไม่ช้าพี่มันก็จับขาผมแยก ใจผมเต้นตึกๆ


          พุธโธ ธัมโม สังโข ช่วยลูกด้วย


          “คลาว..” พี่มันเรียกเสียงอ่อน ส่วนผมก็ใจเต้นตุบ “พี่มึงอย่ามาชักช้า จะเข้ามาก็เข้ามาสิวะ ”เดี๋ยวปั๊ด! พิรี้พิไรอยู่ได้ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่มันทำหน้าแบบไหนเพราะปิดตาอยู่ แต่ผมกลับได้ยินเสียงหัวเราะ‘หึ’ ของพี่มัน “เอามืออกได้มั้ย” ใจเต้นตุบๆ ทันทีที่ได้เสียงขอละมุนๆของพี่มัน ผมค่อยๆเอาแขนออก ก่อนปรือตาขึ้นนิดๆ พยายามไม่ชำเลืองสายไปมองจุดที่อยู่ด้านล่างของพี่มัน


          ทว่า..พอได้เห็นภาพทุกอย่างชัดเจนแล้ว วินาทีนั้นราวกับผมถูกดึงดูดไปด้วยร่ายกายของพี่มันอย่างง่ายดาย ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ผมแค่มองผ่านๆ ว่าพี่มันเป็นผู้ชายตัวใหญ่ทั่วไป ไม่ได้สังเกตอะไรมาก แต่ ณ วินาทีoyho ผมกลับพบว่าหุ่นของพี่มันน่าทึ่งจนผู้ชายหลายคนต้องอิฉิจแน่ๆ


          หน้าท้องแกร่งแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อซิกแพ็คจนเกือบจะแปดแพ็คอยู่รอมล่อ ส่วนอกผายกว้างด้วยกล้ามเนื้อ แต่ช่วงเอวถึงสะโพกกลับเล็ก แต่เป็นลายวีเชปชัดเจน มีเส้นเลือดนิดๆ ผสานกับผิวสีเข้มๆ ฉบับชายไทยแล้ว เซ็กซี่เร้าอารมณ์มาก


          “จะเริ่มแล้วนะ” ผมกลืนน้ำลายกับคำพูดนั้นกับพี่มัน ก่อนจะพยักนักรับเรียบๆ แล้วปล่อยตัวนอนราบลงบนเคาน์เตอร์เหม่อมมองดูแสงไฟบนเพดาน แต่ก่อนที่ผมจะถูกทำอะไร ร่างใหญ่นั้นก็โน้มตัวขึ้นมาเร้าโลมผมอีกรอบ พรมจูบไปทั่วร่างกายจนร้อนเร่าปหมด ก่อนพี่มันจะบีบเจลหล่อลื่นที่เตรียมมาแล้วใช้มือวนๆอยู่ที่ช่องทางเข้าด้านล่างของผม


          “อึก!”


          “เจ็บหรือเปล่า?” ผมสะดุ้งทันทีที่รู้สึกว่านิ้วพี่ขิตแทรกแซงเข้ามา แต่ร่างใหญ็ยังคงเป็นห่วงแล้วถามผมด้วยความห่วงใย คือชอบนะที่มันอ่อนโยน แต่ผมไม่อยากทนเจ็บนานๆ ช่วยทำให้มันผ่านๆไปได้มั้ย “พี่ใส่เข้ามาเร็วๆเข้า” ผมเร่งพี่มันทั้งที่ตัวเองก็เจ็บอยู่แต่จะให้ทนอยู่แบบนี้ก็คงไม่โอเคเท่าไร


          และเพราะผมพูดไปแบบนั้นพี่มันก็เลย


          “พี่..อ๊ะ เบา.. อึก เบาๆ..หน่อย ผมไม่ เคย..โอ้ยพี่ขิต!!”


          โป้ก!


          กูบอกให้เบาๆ!


          ผมดีดตัวลุกขึ้นมาใช้ทัพพีที่แขว้นไว้ที่ตีใส่หัวคนที่พยายามยัดเยียด? บางอย่างมาให้ผมแบบไม่รู้ความ พี่มันตีหน้ามึนทันที


          เชี่ยใส่มาทีเดียวทำไมตั้งสามสี่นิ้ว แหกพอดี


          “พี่มึงใส่เข้ามาที่ละนิ้วสิวะ ฟัคยู!”


          “ก็กำลังฟัคอยู่เนี่ย”


          “ไอ้พี่ขิต!” อยากตบกะบาลพี่มันต่อจริงๆ หมดอารมณื ไม่องไม่เอามันแล้วได้มั้ย


          “โอ๋ๆ  ไม่โกรธนะ ไม่แรงแล้วจ๊ะ ไม่แรงแล้วเมียจ๋า”


          เมียเมออะไรของมึงง อย่ามาเต๊าะกู!


          “นอนลงเร็วไม่แกล้งแล้ว” พี่มันสั่ง ปรับเปลี่ยนอารมณืได้เร็วชิบ ผมชี้หน้าพี่มันอย่างคาดโทษ ถ้าแม่งใส่พรวดมาอีกกูตบด้วยกระทะแน่ แต่พี่มันกลับหัวเราะแล้วอมยิ้ม และเพื่อให้เหตุการณ์นัวเนียนี้ดำเนินต่อไปจนจบ ผมจึงยอมนอนราบลงอีกครั้ง


          ห่าเป็น Sex sense ที่ตลกมากตั้งแต่กูเคยพบเคยเจอ หยุดๆ เริ่มๆ อยู่นั่นล่ะ


          ผมบ่นอยู่ในใจ ก่อนพี่มันจะสัมผัสที่ช่องทางด้านหลังอีกครั้ง คราวนี้ผมแยกขาให้กว้างกว่าเดิมเพื่อให้เจ็บน้อยลง แต่ก็นะ ทำไปก้อายไป ไม่คิดว่ากลับเมืองไทยมาจะต้องอ้าให้ใครนิ


          “อ๊ะ” ความเจ็บจิ๊ดแล่นริ้วเข้ามาอีกครั้งเมื่อพี่มาแทรกนิ้วเข้ามา ผมกัดฟันทนความเจ็บปวดนี้ แล้วปล่อยให้พี่มันแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะเร่มชินถึงสามนิ้ว ถ้าถามผมว่าเจ็บมั้ย คำถามคือเจ็บมาก เจ็บเหมือนร่างกายจะฉ๊กขาดออกจากกัน ทว่ามันกลับรู้สึกแปลกๆ ตอนที่มันค่อยๆขยับนิ้วเข้ามาเรื่อยๆ จนไปสะกิดจุดๆ หนึ่งเข้าจนผมต้องร้องครางออกมาอย่างห้ามไม่ได้ “ตรงนี้เหรอ” ผมปรือตาเลีบริมฝีปาก ใบหน้าคมสันดูเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจยังไม่รู้ ทว่าสายตาของพี่มันกับร้อนแรงราวกับจะแผดเผาร่างกายผมให้เป็นจุณยังไม่รู้


          และในที่สุดก็ถึงวินาทีระทึก เมื่อพี่มันก็แทรกความเป็นชายของตวเองเข้ามาแทนนิ้ว ผมสะดุ้งวาบ! “อ่าห์” ผมร้อง “เจ็บเหรอ”


          “อย่าหยุดเข้ามาให้หมด” ไอ้พี่ขิตมึงอย่าเอาออกเด็ดขาด กูไม่อยากเจ็บตัวหลายรอบ พี่มันทำหน้าลังเล ในแววตานั้นมีความเป็นห่วงอยู่เต็มหน่วย แต่พอได้ยินผมบอก พี่มันก็ตัดสินใจแล้วกดตัวเข้ามาในทีเดียว “ซี๊ดด..แน่นมาก” พี่มันครางเสียง สีหน้าพี่มันดูมีความสุขมาก ขณะที่ผมเองกลับอธิบายความรู้สึกตอนนี้ได้ยากเย็น มันจุก มันเจ็บ แต่กลับรู้สึกดี


          “ค...ค่อยๆ ขยับนะพี่” ผมว่า พี่มันยิ้มพลางพยักหน้ารับปาก ก่อนจะค่อยทำอย่างที่ผมว่า แต่อันที่จริงเรียกได้ว่าพี่มันแทบไม่ได้ขยับเลยด้วยซ้ำ  อย่างมากพี่มันก็โน้มตัวลงมาแล้วพรมจูบ ทั่วไปเรื่อยๆ เหมือนอยากจะให้ผมปรับตัว


          ทิ้งเวลาไปสักพักพี่มันก็เริ่มขยับตัวแรงขึ้น ผมกระแทกกระทั้นเข้ามาจนได้ยินเสียงเคลื่อนของเคาน์เตอร์ที่ผมนอนอยู่ดังเอี๊ยดอ๊าด มือข้างหนึ่งผมยึดจิดหลังพี่มันไว้แน่น ส่วนอีกขข้างหนึ่งก็รูดรั้นส่วนล่างของตัวเองเพื่อสร้างความสุขสมไปด้วย ยิ่งนานเข้าร่างกายผมก็ใกล้ปะทุเต็มที


          ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เติมเต็มผมได้ดีจริงๆ


          “เร็วกว่านี้.. แรงกว่านี้พี่!”เปลี่ยนมาเป็นท่านั่งคร่อมกันบ้าง ทั้งผมและพี่มันต่างขยับสะโพกรับกันไปมา อย่างร้อนแรง เหงื่อกาฬพรายผุดเกาะเต็มไปทั่วร่างและในที่สุดก็มันถึงจุดที่ใกล้จะสิ้นสุดของผมแล้ว


          “อะ...อ๊าห์ พี่ ผม...ไม่แล้ว อะ” ผมครางเสียงด้วยความสุข พลางพยายามกดตัวลงไปบนตัดพี่มันหนัก กะว่าอีกสองสามครั้งจะต้องพบฝั่งผันแน่ๆ แต่พี่มันกลับหยุดเสียดื้อๆ แล้วกดตัวผมไว้กับตักไม่ให้ขยับ ผมขมวดคิ้ว มองหน้าพี่มันอย่างหงุดหงิด รู้สึกอารมณ์ค้าง


          “หยุดทำไมน่ะ” ผมว่าเสียงขุ่น พี่มันฉีกยิ้มมุมปาก


          “ไม่อยากให้มึงเสร็จ”


          อ่าวเลวล่ะพี่ขิต!


          “จูบกูกลับบ้างสิ แล้วกูจะทำต่อ”


          หืม...จะ...จูบ จูบอะไรของพี่มึงวะ “พี่ก็จูบผมอยู่ตลอดนี่”


          “กูอยากให้มึงเป็นคนเริ่มบ้าง”


          “พี่อย่าเอาแต่ใจตอนนี้ได้ป่ะ”


          “ติดนิสัยมาจากเมียเด็ก”


          เวร...มามุขนี้ทั้งจุกทั้งอายสิกู พูดอะไรไม่ออกเลย โอ้ยย พี่มึง!


          “เร็วสิ..” แน่ะมีเร่ง


          ผมเม้มริมฝีปาก รู้สึกเขินมากมายที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ มองหน้าพี่มันอย่างลังเลสักพัก เห็นตาท้าทายของพี่มันแล้ว..


          ก็ได้วะ!


          ผมยกมือขึ้นประคองหน้าพี่มันแล้วบดจูบลงไปที่ริมฝีปากอุ่นร้อนของพี่มันทันที เท่านั้นไม่พอในเมื่อพี่มันอยากได้ ผมจะจัดเต็ม Deep kiss ไปอย่างดูดดื่ม จนพี่มันคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา


          อย่าถามเชียวว่าเกินอะไรขึ้นหลังจากการกระทำนั้น


          รู้สึกเหมือนไปปลุกความเป็นเสือในตัวไอ้พี่ขิตมากไป


          “คล้าวกูไม่ไหวแล้ว ” จูบเสร็จมันก็จับผมเปลี่ยนท่า ให้พลิกหันหลัง แล้วจากนั้น “วันนี้กูจะเอามึงข้ามกะ”


          ข้ามกะเลยเหรอ กะเดียวกูก็ตายล่ะ ได้ข่าวต้องเตรียมเซ็ตเบรคฟัส ก่อนตีห้า แต่เล่นมาราทอนขนาดนี้ห้องครัวเละมั้ย? ถามใจดู

 
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••​


          ตี 5 ครึ่ง


          “เชฟไม่สบายเหรอวันนี้เดินเป๋ๆ นะ แล้วทำไมครัววันนี้ดูรกๆ แปลกๆ กลิ่นก็แปลกๆ” คอมมี่เชฟคนหนึ่งทักได้ถูกจุดจนผมสะดุ้ง จะไม่ให้สะดุ้งได้ยังไงล่ะ ก็กว่าจะจุ๊บปี้กันเสร็จก็ล่อไปตีสี่ ไม่ทันได้นอนพักอะไร น้ำก็ไม่ได้อาบ ทำได้แค่ใช้ทิชชู่ๆเช็ดๆเก็บหลักฐาน ก่อนหอบร่างปวกเปียกลุกขึ้นมาเก็บข้าวของที่เละระเนระนาดเพราะพลังรอบทิศของไอ้พี่ขิตมัน ดี้แม่งไม่พากูไปเอาที่ เตาไฟ ระทึกฉิบหาย


          พอเก็บของเสร็จ แน่นอนว่าต้องมีกลิ่นคาวๆไม่พึ่งประสงค์แน่ๆ ผมเลยเสนอให้ไอ้พี่ขิตมันจัดการ ผัดเนยกับกระเทียมโดยไม่เปิดเครื่องดูดอากศดับกลิ่นแม่ง แต่สุดท้ายกลิ่นมันกลับดีกันไง แม่งเลยแปลกๆ ผมกับพี่เว็ทของเตรียมนั่นนี่ยังไม่ทันเสร็จแม่งก็ล่อไปตีห้า คอมมี่กับเทรนนี่กะเช้าก็เข้ามาในห้องพอดี แล้วก็นั้นล่ะ วันลูปไปยังฉากข้างต้น


          วันนี้อาหารเช้าหลักเป็นทางของครัวฝรั่ง ครัวไทยจึงไม่ได้เข้มงวดอะไรมาก เลยไม่มีคนคุม ทว่าพี่ขิตกลับขออยู่บรีฟงานนิดหน่อย แล้วบอกว่าตัวเองจะลางาน ความจริงพี่มันมีรถล่ะ แต่วันนี้มันติดผมแล้วไง ฮีเลยบอกว่าจะกลับรถผม


          ผมซึ่งหมดกะแล้วเลยพนักหน้าเรียบๆ ก่อนขอพี่มันเข้าไปที่ห้องล้อคเกอร์เพื่อเก็บของ แต่ละก้าวแม่งจริงฉิบหาย ความจริงผมกะจะเปลี่ยนเสื้อน่ะ แต่พอคิดไปคิดมา ถ้าถอดตอนนี้ ทุกคนได้เห็นว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของผมเต็มไปด้วยรอยจูบของไอ้พี่ขิตแน่ๆ กลับแม่งชุดนี้ล่ะ


        พอเก็บของเสร็จ พี่มันก็ไม่มาสักทีผมเลยเดินกระเพกๆ ไปตามพี่มันในครัว แต่พอทุกคนเห็นผมโผล่น่าออกมาเสียง จอแจที่ดังอยู่ในตอนแรกก็เงียบสนิท สายตาทุกคู่ จับจ้องมาที่ผมเป็นทางเดียว


          เกิดอะไรขึ้นวะ


          พี่ขิตมันหันมามองผลแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามา แล้วกอดคอผมหมับ


          เหี้ยไรวะ!


          “ทุกคน ตอนนี้กูหาเมียได้แล้วนะ” พี่ขิตมันประกาศก้าวไปทั่วห้องครัว ขระที่ผมเบิกตากว้าง


          เดี๋ยวนะ พึ่มง เมียเมออะไรวะ หรือว่า! พี่มันหันมามองหน้าผมแล้วบีบจมูกเบาๆอย่างอารมณ์ดี


          “ปะกลับบ้านเมียจ๋า”


          มึงชัดเจนเกินไปแล้วไอ้พี่ขิต อายคนอื่นบ้างโว้ยย


••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



          จากโรงแรมถึงในรถ เพราะผมเจ็บข้างหลัง พี่มันเลยอาสาขับให้ผมแทน ทีแรกผมก็สงสัยว่าพี่มันขับเป็นเหรอเพราะผมไม่เคยเห้นพี่มันขับเลยสักครั้ง แต่พอได้นั่งที่คนขับท่านั้นล่ะ ก็จัดทุกอย่างอย่างคล่องแคล่วว่องไว้ จนผมทึ่ง ก่อนจะเบาใจแล้วปล่อยให้พี่มันขับ แต่พอออกมานอกโรงแรมได้ 5 นาที ผมก็เปิดประเด็นขึ้น


          “บางครั้งพี่กูไม่ได้ต้องการความชัดเจนขนาดนี้” ประชดคนขับรถจำเป็นที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าคมนั้นยิ้มรุ่มกริ่ม


          “ไม่รู้ล่ะกูอะชัดเจนแล้ว ส่วนมึงอะ ชัดเจนไหมว่าจะรับคนรุ่นสามสิบปลายๆ แบบนี้ได้”


          หูยยย มีย้อนถามกลับ มีรีเควส ตลอดเลย เห็นกูเป็นดีเจไงขออยู่นั่น แต่แกล้งพี่มันคืนสักหน่อยดีกว่า


          “ไม่ได้อะ”


          “แต่กูได้มึงแล้ว โอเคแยกทาง”


          “ฟัคยูไอ้พี่ขิต”ห่านี่ปากพี่มันเหรอ


          “กูฟัคไปแล้วเมื่อคืนไง”


          “โวะ!”

          ไม่คงไม่คุยมันและ กวนเบื้องล่างฉิบหายนี่ท่าไม่ติดว่าเจ็บสะโพกนะ จะเอื้อมตัวไปตีหัวพี่มันแบบ นี่แน่ะๆ จริงๆ


          นั่งไปเรื่อยๆ เปิดเพลงฟังเบาๆ สักพักโทรศัพทืก็สั่น


          *(&@%$(*$^ อปป้า &^$(*%()อปป้า!


          ผมหยิบสมารท์โฟนขึ้นมา อปป้าโทรมาจริงๆ แต่ทำไมโทรตั้งแต่ 6โมงเช้าวะเนี่ย สงสัยมีเรื่องด่วน


          “Hi dad”


          “โอ้ คลาวพ่อมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” ผมขมวดคิ้วอะไรวะ อยู่ก็อยากดึงเข้าเรื่องเลย


          “What's wrong?” ผมถาม


          “About you job.”


          “My job?” ผมทวนเสียงจนไอ้พี่ขิตมาเหล่สายตามามอง ก่อนผมจะตั้งใจฟังปลายสายพูดต่อ


          “เดี๋ยวค่อยคุยกัน I going to meet you next friday”


          “This Friday?”


          “yeah..” พ่อลากเสียง ผมนับนิ้วทันทีวันนี้วันพุธ


           อีก 2 วัน มิสเตอร์สมิธจะมาถึง!



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด


โอ้ยยยย เฮฮาาา จบ NC แบบคล้าวๆ ไปแล้วนะคะ ตอนแต่งNCไม่รู้ว่าจะเป็นอารมณ์ไหนดี เพราะเป็นคล้าวกับพี่ขิตด้วย NCมันเลยน่าจะออกมาในรูปแบบนี้ ฮุเร้ อีกไม่กี่ตอนจบแล้วนะ แล้วมิสเตอร์สมิธมาทำไมตอนหน้าเจอกันนะจ๊ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-05-2017 20:32:07 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
โจ๊ะพรึมๆ กันในครัวสมแล้วที่เป็นเชฟ

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 9 : Secret Menu...Part 1

            หลังจากวางโทรศัพท์เสร็จ ผมก็เอาแต่นั่งเงียบอยู่บนรถ ใจก็นึกดีใจอยู่หรอกที่พ่อมาเยี่ยม แต่อีกใจกลับรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเลยสักนิด  รู้สึกว่าพ่อเร่งมาเจอผมผิดปกติ



            นั่งไปเรื่อยๆ ปล่อยให้พี่ขิตมันขับรถจนมาถึงบ้านพัก ก็ลงจากรถ แต่ก่อนหน้าที่เข้าบ้านผมได้ให้พี่ขิตแวะโลตัสเอ็กเพรส ซื้อของเข้าบ้านมาตุนเสบียงเพิ่มเล็กน้อย พี่มันก็ดีนะ..ทำตัวเป็น Boy Friend ที่ดี ช่วยนู้นช่วยนี่โดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยปากขอ



            จะว่าไป ถึงมันจะอายุ ห่างกับผมตั้ง 15 ปี คือเป็นอาหลานกันได้ชัดๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่มีช่องว่างระหว่างวัยเท่าไร ไม่รุ้สิ เพราะผมไม่ค่อยสนใจเรื่องวัยด้วยล่ะมัh’ แค่เข้าได้ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล



            อืม...ถึงนิสัยจะผมเป็นพวกโนสนโนแคร์อยู่แล้ว แต่ถ้าพ่อรู้ว่า ผมกับไอ้พี่ขิตเป็นแฟนกัน มันก็ต้องมีคิดมากบ้างล่ะ..ผมควรบอกพ่อมั้ย?



            “เป็นอะไรไป ทำหน้าแปลกๆ ตั้งแต่รับโทรศัพท์แล้ว” เสียงคนที่ยืนอยู่ข้างหลังทักขึ้นมา ขณะที่ผมกำลังเอาผลส้มฮันนี่ควีนจัดลงตะกร้าตะแกรงเหล็ก



            “ไม่ใช่เรื่องของพี่สักหน่อย..” ผมพูดกวนพี่มันตามสไตล์โดยไม่หันไปมอง แต่กลายไปว่า มือใหล่กลับคว้าไหล่ผมเบาๆ แล้วบังคับให้หันมา



            “อ่าวไอ้นี่ เรื่องของมึงกูก็ต้องอยากรู้ดิ”



            “ผมไม่ใช่เมียพี่”



            “แล้วที่กูกับมึง จุด จุด จุด กันนี่ ให้เรียกว่าอะไร การเอะโอกันของเทเลทับบี้?”



            พี่ขิตกูไม่ใช่เทเลทับบี้!



            “พี่อย่าพูดมากดิ๊! อย่าเข้ามาใกล้ด้วย คนยิ่งเจ็บๆ อยู่ ร้อนก็ร้อน!” พาลนะจ๊ะ ออกแรงผลักท้องแข็งๆ ของพี่มันให้ถอยห่างออกไป รู้สึกเหมือนกูเป็นสาวน้อยเม้นส์จะมายังไงไม่รู้ดิที่โวยวายอะไรแบบนี้ ทว่าไอ้พี่ขิตกลับดื้อกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ร่างใหญ่ทำจะเข้ามาหาอีก ผมเลยคิดจะเดินนี้อีกทาง หวังจะหยิบถุงยาที่แวะไปซื้อมาด้วยก่อนเข้าบ้านเพื่อทาแผล(ตรงนั้น) แต่พอก้าวเดินคว้าถุงยามาได้เท่านั้นล่ะ ก็เสียดสีของแผลตรงนั้นก็ทำให้สะดุ้ง



            อือหื้อ...ซี๊ด...ก้นกู!



            “มึงยังเจ็บอยู่เหรอ” ไอ้พี่ขิตมันชะงักไปเมื่อเห็นผมร้องครางเบาๆ ด้วยความเจ็บ ก่อนจะมุ่ยหน้า กัดริมปีปากตัวเองอดทน



            “ก็...นิดหน่อย” ไม่นิดเหรอ! กัดฟันตอบไปเพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม แต่กลายเป็นว่ายิ่งเรียกความเป็นห่วงของร่างใหญ่มากขึ้น คนตัวโตก้าวเข้ามาทันที



            “ไหนให้กูดูหน่อย”



            หมับ!



            “Stop!”

            รีบหันหน้าขวับ! เพราะพี่มันทำท่าเหมือนจะคว้าเอวผมไป เข้าใจว่าพี่มันเป็นห่วงนะ แต่พี่มันควรจะห่วงตั้งแต่ตอนทำแบบนั้นแบบไม่ยั้งมือแล้วปะ?



            บางทีถึงกูจะเจ็บ แต่คือมันเป็น ณ จุดซ่อนเร้น ตรงนั้นไง กูอาย!

         “มึงจะเขินไปทำไม”



         “No! Stay away from me!” ผมโวยวาย พลางยกมือทำปางห้ามเสือกใส่ไอ้พี่ขิตมันด้วย ไม่รู้ล่ะ ถึงจะเห็นกันไปหมดเปลือกแล้ว แต่ให้มาทำเรื่องแบบนี้ให้มันก็ไม่ชินอยู่ดี



          “แล้วมึงจะทายายังไง” เมื่อเห็นผมดื้อดึงดันจะทำเองให้ได้ ไอ้พี่มันก็กอดอก หน้าบึ้ง เปลี่ยนเสียงดุๆ จนผมรู้สึกเหวอๆ ไปชั่วครู่



        ผมจิ๊ปาก



        “เดี๋ยวทำเอง” เสียงแผ่วกลัวความผิดกว่านี้ไม่อีกแล้ว...ว่าแต่กูจะรู้สึกผิกทำไมฟะ!



       “เดี่ยวกูทำให้”



        “พี่!” เหมือนโดนมัดมือชก พูดไปก็เท่านั้น มือหนาตรงเข้าแย่งถุงยาจากมือผมไปดื้อๆ ก่อนจะคว้าข้อมือและลากเข้าห้อง(น้ำ)


•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

           
       บรรยากาศในห้องน้ำช่างแสนโรแมนติก



       ที่ไหนล่ะ!



       ตอนนี้พี่ขิคกับผมงมอยู่ในห้องน้ำด้วยบรรยากาศบ้อบอเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว จะไม่ให้เรียกว่าบ้อบอได้ยังไงล่ะ เพราะสภาพผมตอนนีมันทุเรศสุดๆ แม่งเกิดมาไม่เคยต้องมาโก่งสะโพกให้ใคร หรือหมอไหนตรวจ แต่ต้องมาทำให้ไอ้พี่ขิตมันทาถนัดๆ แล้ว กูก็เขินไงไม่กล้าถอด ห่าบิดไปบิดมา กว่าจะทำใจได้ก็เมื่อไอ้พี่ขิตมันดุผมอีกครั้งผมถึงได้ยอมถอดกางเกงใน ฮือ..แต่นี่ก็ผ่านเกือบ 2 นาที แล้วแม่งก็ทาก็ยังไม่จบสักที



      “พี่แม่งเร็วๆดิ๊” มึงเอาคัตต้อนบัตป้ายๆ 5 วินาทีก็เสร็จแล้วไอ้พี่บ้า มึงอย่าจ้องโอ้ยย!



       “เสร็จยัง” ผมเร่ง ฮืออ อยากตาย อยากหายไปจากโลก ทำไมผมต้องยอมให้พี่มันทำอะไรแบบนี้วะ



       “ยางง” โอ้ยย เสียงอารมณ์ดีเล่นทีจริงเชี่ยวนะมึง นี่มึงมีความสุขกับการทายาในช่องทางลับของกูมากหรือไง



       หงุดหงิดมาก อายด้วย แล้วคือโมโห แล้วประเด็นคือไอ้พี่มันไม่ได้ป้ายยาแบบป้ายไปเลย แต่ฮีดันแตะๆ เล็มๆ และแตะๆ อยู่นั้นไง ซึ่งมันจั๊กจี้เลยต้องเผลอขมิบปี้  กรี๊ดดดด พี่มันจะเห็นภาพอะไรไปบ้าง โอ้ยยย เกลียดโมเม้นนี้!



       “อ๊ะ! พี่มึงทำอะไร!”



        ผมร้องทันที  ก่อนหันไปส่งตาค้อนวงเบ้อเริ่มไปให้



         “ก็ตรงนี้มันบวมนิดๆ น่ะ ”พี่ขิตมันว่าด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม แต่รู้สึกว่าเมื่อกี้ไม่ใช่ตรงนั้นน่ะ แสบก็แสบเจ็บก็เจ็บพี่แม่งยังมีอารมณ์มาเล่นอีกเหรอวะ กูไม่มีอารมณืเล่นแล้วนะโว้ย!



       “แขนตายเหรอพี่ เร็วๆ! โอ้ยย เหี้ยย!” ผมร้องลั่นทันที เหมือนพี่มันจะทาตรงจุดที่มันบวม



       เพียะ!



       “พูดไม่เพราะเลย”

       

        “ไอ้พี่ขิต!” มึงตีก้นกูทำไม! หันขวับพร้อมพลิกตัวจ้องตาเขียว แต่พี่กลับทำหน้าเมินเฉยไม่สทกสะท้าน



            “เอ้า เสร็จแล้ว”พอพี่มันพูดผมก็รีบลุกขึ้น แล้วใส่กางเกงในกลับทันที



            “พี่มึงออกไปได้แล้ว” ผมโลกมือไล่ หมดประโยชน์แล้ว ออกไป!



            “ไล่ผัวเหรอ”



            “เออ”



            “พูดไม่เพราะเลย”



            “ไอ้พี่ขิต! อ..อื้อ!”กำลังจะอ้าปากด่าพี่มันไปถึงชาติหน้า แต่ยังไม่ทันได้พ่นคำอะไรออกมา พี่ขิตมันก็ตรงเข้ามา แล้วรวบเอวของเข้าไป พร้อมกับประกบริมฝีปากปิดลงมาอย่างเร่าร้อน



            ไอ้พี่มึง Deep kiss ใส่ผมอีกแล้ว รู้สึกเหมือนร่างกายโดนละลาบละล้วง ดึงดูดกลืนเรี่ยวแรงไปจนแข้งขาอ่อน มือใหญ่เล่มล้วงเข้ามาใต้สาบเสื้อ สัมผัสเคล้าคลึงจนร่างกายแทบหลอมละลายไปหมดแล้ว คือพี่มันเก่งเกินไป หรือผมอ่อนประสบการณ์กับเรื่องพวกนี้ไม่รู้ แต่ว่ากันว่าเชฟส่วนมากเป็นคนเจ้าชู้ บางทีผมก็สงสัยนะว่า ก่อนที่พี่มันจะเจอกับผมพี่มันเคยมีแฟนกี่คนมาแล้ว



        “พี่พอเหอะ แฮ่ก ตอนนี้ผมไม่ไหว” ทันทีที่ได้โอกาสหายใจอีกครั้งผมก้รีบบอกพี่มันทันที กลัวทันอารมณ์ตัวเองและอารมณ์ของพี่มันด้วย



            พอเห็นผมว่าแบบนั้น ใบหน้าคมเข้มก็ยิ้มอ่อนๆ อย่างใจดีมาให้



         “โทษทีพี่อดใจไม่ไหวน่ะ” พี่มันพูด ก่อนจะปิดด้วยการจูบผมเบาๆทิ้งท้ายอีกครั้ง เฮ้อ..พี่ขิตหนอ ทำไมต้องเป็นมึงด้วยวะ ที่กูต้องมาชอบต้องมายอม



 
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



            ก๊อกแก๊กๆ

            “มิสเตอร์สมิธจะมาศุกร์นี้เหรอ”

            พี่ขิตมันถามขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังนั่งกับกินข้าวกันอยู่ที่โต๊ะ วันนี้เนื่องจากความขี้เกียจเข้าครอบงำ อาหารมื้อเย็นเราจึงเป็นสุกี้ต้มมั่วๆ เอาจริงๆ ถึงงานอาหารโรงแรมจะดูพิถีพิถัน แต่พอออกมาข้างนอกมาใช้ชีวิตธรรมดา แล้วต้องมานั่งพิถีพิถันอีก มันก็ไม่ใช่ไง เบื่อแล้ว ฉะนั้นมีอะไรก็ใส่ๆไปเถอะ เดี๋ยวก็อร่อย



            ผมเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้ว วางตะเกียบที่กำลังคีบผักยุ้งเข้าปากลง



            “พี่รู้ได้ไง” ถามไปอย่างสงสัย พี่มันมีต้องข่าววงใน ญาณทิพย์แน่ๆ แต่ไอ้พี่มันกลับตอบแค่สั้นๆ



            “กูเก่ง” อยากเอาตะเกียบแทงจมูกแม่ง



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



           

            ก่อนจะไปเช้าวันต่อมา ขอย้อนกลับไปเมื่อคืนสักครู่ หลังจากผมกินข้าวกับไอ้พี่ขิตเสร็จ พี่มันก็ขอค้างบ้านผม ให้ทายว่ายอมมั้ย?



            ยอมสิ! แต่ไม่ใช่เพราะผมง่ายหรือปล่อยเนื้อปล่อยตัวหรอกนะ แต่เพราะผมเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องผิด คือความสัมพันธ์ของผมกับพี่ขิต มันเลยเป้าIn relationship ที่อธิบายยากไปแล้ว ผมไม่ได้เอาใครที่ไหนมานอนด้วยเสียหน่อย



            แต่เมื่อคืนแค่นอนด้วยเฉยๆ นะ คือป่วยไง เจ็บนี่ยังคงกระพันอยู่ที่ก้น พี่มันเลยยอมๆ แต่ก็มีบ้างที่มือของพี่มันซนล้วงนั้นล้วงนี่จับนั้นจับ จนผมต้องหันไปเอาหมอนฟาดหน้าพี่มันเบาๆ เพราะผมจะนอน ก่อนจะมาถึงเช้าวันเสาร์ที่เราจะต้องเข้างานตอนสิบโมงตามปกติ



            ชีวิตดูดีมีความสุขแฮปปี้ ผมให้พี่มันจัดการให้ทุกอย่าง ทั้งทำข้าวเช้าให้ทาน ทั้งขับรถให้ รู้สึกว่ามีแฟนดูแลมันสบายแบบนี้นี่เอง



            ทว่า..พอมันถึงครัวไทยได้ไม่นาน พอผมเปลี่ยนเป็นชุดเชฟเสร็จ ก็เหมือนว่าพี่ขิตมันโดนรองเชฟใหญ่เรียกตัวออกไป ถึงผมจะสงสัยว่าเรื่องอะไร แต่เดาๆแล้วก็คงเกี่ยวกับงานอีกนั้นล่ะ



            หันมาดูงานในครัวไทยวันเสาร์กันบ้าง เพราะสุดสัปดาห์ ถ้าทุกครัวจะยุ่งตอนเช้า เที่ยง เย็น ก็คงไม่แปลกเท่าไร เพราะเป็นเวลาปกติที่ทุกคนต้องมากินข้าวกัน แต่ตอนนี้มันแค่ 10 โมงกว่าๆ อีกประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมง ครัวถึงจะเริ่มยุ่งวุ่นวาย



            ตอนนี้ผมกำลังผัดซอสเบชาเมล เนื่องจากแกงเขียวหวานกุ้งแก้ว(อร่อยมาก)ที่ผมทำแข่งกับไอ้เปรมในวันนั้น ถูกปากทุกคนที่ได้ชิม รองเชฟใหญ่เลยให้เอาเมนูนี้ใส่ลงไปในเมนูพิเศษเพื่อลูกค้าด้วย



            ทำไมทำมาจนกลิ่นซอสหอมคลุ้ง ผมก็ได้ยินเสียงไอ้เปรมทักมาจากด้านหลัง



            “เป็นไงบ้างเชฟ ได้ข่าวว่าเป๋เลยเหรอครับ”



            กลอกตาเลยกู ถามได้ฉีกหน้าจนน่าถีบ



            “Shut up เปรม” ผมหันไปทำเสียงดุใส่ร่างโปร่งในชุดเชฟครึ่งท่อนที่อยู่ข้างหลัง เปรมมันยิ้มนิดๆ เหมือนสนุกมากที่เห็นผมอาย



            “โหดุขึ้นด้วย แต่หน้าตาดูสดใสนะครับ ได้ของดีอะไรมาหรือเปล่าท่าทางจะ...ใช่ย่อย”



            คือถ้ามันไม่โดนผมด่าสักวันคือมันจะนอนไม่หลับใช่มั้ย ได้! งั้นจะหาอะไรให้มันทำอุดปาก



            “ว่างใช่มั้ย? ไปทำเบชาเมลต่อที พูดมาก” ผมถลึงตาใส่ก่อนจะยื่นทัพพีเหมือนส่งไม้ต่อให้นักีฬาไปวิ่งผลัดต่ออย่างง่ายๆ เปรมทำเสียง จิ๊ ขึ้นมาทันที เหมือนไม่อยากทำ แต่ขอโทษ ด้วยตำแหน่งที่ต่ำกว่าผมนั้น



        หนูไม่มีสิทธิ์ต่อรองนะลูก



            เปรมรับทัพพีไม้คนของผมไปก่อนแทรกตัวเข้ามาทำซอสต่อจากผม ผมเหยียดยิ้มนิด ก่อนจะถอดหมวกเชฟออก



            ร้อนฉิบ...ประเทศไทย



            “แล้วเชฟจะไปไหนน่ะ” เปรมมันถามผมไล่หลัง ขณะที่ตามันก็ดูซอสเบชาเมลไปด้วย ดูมันอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมเหลือเกิน ผมกลอกตา ก่อนตอบฮีไป



            “ไม่จุ้นเนอะ” แถมนิ้วกลางให้ด้วยนิ้วหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ เปรมหัวเราะ



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



            ไปเข้าห้องน้ำได้ไม่ถึงห้านาที กลับมาในครัวอีกทีก็เห็นร่างสูงใหญ่ของไอ้พี่ขิตกำลังคุยอยู่กับลูกน้อง ทว่าบรรยากาศสบายๆ ชิวๆ ในครัวมลายหายไปหมด เหลือแต่ฟิลลิ่งแปลกๆ ประมาณว่าทุกคนดูมีลับลมคนในทันทีที่เห็นหน้าผมเข้ามา



            “มีอะไรกัน” พอผมโผลงถามขึ้น ก็เหมือนเป็นสัญญาณให้คนอื่นกลับไปปฏิบัติหน้าที่ของตน ขณะคนเถื่อนแห่งครัวไทยหันมามองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วนิดๆ



            อะไรของพี่มันวะ ก้าวขาจ้ำๆ เดินไปจนถึงตัวพี่มัน



            “พี่ไปไหนมาอ่ะ”



            “หวงไง”เป็นสองคำสั้นๆที่มันตอบเรียบๆ แต่เหมือนกลับเรียกเชฟในครัวคนอื่นๆ หันมาให้ความสนใจกันได้ดี คือพี่มันจะเปิดเผยไปไหนวะ..บางทีก้แคร์บ้าง อายบ้าง



            ผมส่ายหน้านิดๆ ทำเป็นไม่ได้ยิน



            “เอาดีๆ พี่” พอได้ยินเสียงผมจริงจังขึ้น พี่มันก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมขมวดคิ้ว มีเรื่องใหญ่อะไรเหรอทพี่มันดูอะไรให้คิดมาก



            “ไปคุยกับเชฟใหญ่มา”



            “มีเรื่องอะไรเหรอพี่”



            “ก็..ไม่อะไร แค่คุย” ต่อให้เด็กอนุบาลมาดูก็ย่อมรู้ว่าพี่มันโกหก แค่คุย คุยธรรมดาแล้วทำไมออกมาดูเครียดวะ คือยากจะตะโกนถามพี่มันมากกว่า มึงเป็นอะไรดังๆ เหมือนที่พี่เคยทำกับผม แต่คือนี่มันที่ทำงาน เป็นสถานที่สาธารณะผมก็ควรจะเกรงใจคนอื่นบ้าง



            “คืนนี้พี่นอนบ้านเราอีกได้มั้ย?”



            “หูยยยย”

            อือหื้อ..พร้อมใจกันประสานเสียงฟีตเตอร์ริ่งกันดีจริงๆ ไอ้พวกกุ๊กไทยครัวนี้!



            “Shut up!” ผมแวดเสียงออกมา แต่แทนที่คนจะกลัวกลับแอบหัวเราะและอมยิ้มกับคิกคัก เฮ้ยๆ นี่กูเป็นถึงเดมี่เลยเฟ้ย กรุณาให้เกียรติเข็มกลัดรุปช้างๆหน่อยบนหัวผมหน่อย ไอ้พี่ก็อีคนนี่กูแฟนมึงไม่คิดจะช่วยพูดอะไรเลยหรือไง ด่าแม่ง!



            “ห้องพี่ไม่มีหรอกวะ”



            “อยากนอนกอดเมีย” ไอ้พี่ขิต!



            “ฮิ้วว”

            คราวนี้เป็นเสียงไอ้เปรมวี๊ดวิวเข้ามาอย่างออกนอกหน้า ไอ้บ้านี่เจ๋อขึ้นมาทันที นี่ถ้ามีอะไรอยู่ใกล้ๆ จะเขวี้ยงใส่หน้ามันจริงๆ นะ ไอ้พี่ขิตมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูถูกใจเสียเต็มประดา แต่ผมนี่สิ อาย



            อายจนไม่รู้ว่าจะเก็บหน้าไปซุกกับอะไรแล้ว



            “แน่ะเขินดิมึง”

            เขินพ่อง! มึงเล่นงี้ใช่มั้ยไอ้พี่ขิต ได้! พาลสิรอไร



            “วันนี้ผมขอกลับเร็วนะ และไม่ออนสเตชั่นกับพี่นะ ให้ไอ้เปรมมันแทน” มึงเอางานไปไอ้เปรมเสล่อดีนัก ยืนตำส้มตำปิ้งหมู นาวเบิร์นเบบี้เบิร์นกับไอ้พี่ขิตมันไปเลย



            “อ่าวทำไมอะ” พี่ขิตมันเลิกคิ้วถามผมอย่างสงสัยทันที แต่ผมกลับเบะปากใส่แทนคำตอบ ก่อนเดินไปตรงไอ้เปรม เพื่อไปดูซอสที่มันเคี้ยวไว้



            ความจริง ก็ไม่ได้โกรธอะไร แต่ประเด็นคือ ตอนนี้ผมยืนสเตชั่นนานๆไม่ได้เพราะ...



        มันเจ็บตูด!

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
(ถถถ พี่ขิตล่อน้องคล้าวซะเป๋เลย 5555 เดี๋ยวมาต่อนะคะ)


[/font][/size]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-06-2017 22:09:25 โดย EtuDe »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด