พี่ครับ..เสิร์ฟรักโรย [♥] พริกสิบเม็ด: Papaya POK POK (Yaoi [หิวข้าว])EP 13 END!
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พี่ครับ..เสิร์ฟรักโรย [♥] พริกสิบเม็ด: Papaya POK POK (Yaoi [หิวข้าว])EP 13 END!  (อ่าน 20746 ครั้ง)

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 9 : Secret Menu...Part จบ   

           15.15 น. เลขสวยมาก แต่อย่างที่บอกวันนี้ผมขอพี่ขิตลากลับบ้านก่อน โดยอ้างว่าผมเจ็บแผล(ที่ก้น) ด้วยเหตุกระนั้น ผมจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่รอพี่มันถึงสามทุ่ม



            ผมขับรถออกจากโรงแรม แวะร้านเภสัชแถวๆ นี้เสียหน่อยซื้อยาแก้ปวดก่อนเข้าบ้าน พอได้ยา ผมก็กลับมาขึ้นรถอีกครั้งไม่ทันได้สตาร์ท โทรศัพท์ก็สั่น ผมจิ๊ปาก มองชื่อคนโทร ทีแรกผมคิดว่าเป็นไอ้พี่ขิตแน่ๆ แต่พอเจอชื่อปลายสายจริงๆ กลับไม่ใช่



            “Hi dad” ผมรับสายกล่าวทักทายปกติทั่วไป ทว่าปลายกับทำเสียงกุกกักๆ เหมือนหาหูบูทูธหูฟังตัวเองไม่เจอ(พ่อผมเป็นประจำ) รอสักพักจนเงียบไป พ่อถึงตอบกลับ



            “โทษที พ่อหาบูทูธไม่เจอ” นั่นไง “เออ..คลาว พรุ่งนี้พ่อจะลงไฟท์เช้า ขับรถมาพ่อกับลุงโจนส์ตอน 10โมงได้มั้ยลูก” มาถึงก็เข้าเรื่องเลย



            “อ่า..ครับ No problem”ผมว่า



            “ดีดี พ่อจะได้ไปถึงโรงแรมคุยกับเฮดเชฟเลย”

            เฮดเชฟ? ผมขมวดคิ้ว เดาว่าอาจเป็นเรื่องตำแหน่ง CDP ที่ผมเคยขอไว้แน่ๆ แต่จริงๆ ตอนนี้ตำแหน่งเดมี่เชฟที่ผมเป็นอยู่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่จะบอกยังไงดีล่ะ ว่าผมไม่รีบ...จะค่อยๆไตร่ไป



           ถามไปแบบนี้ดีกว่า



            “Um...dad,Sorry but why do you want to talk with him?” เสียงผมเหมือนคนกลัวความผิดชอบกล ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจจากฝั่งตรงห้าม



            “It’s just a secret ไปรู้เอาพรุ่งนี้” แม่ะ...แต่พ่อกลับตอบเหมือนคนขี้เล่นกลับมา เดี๋ยวนี้หัดมีความล้งความลับ หึ...เล่นตัวนะพ่อ



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


            มาถึงบ้าน จนล่วงเลยมาถึงตอนเย็น



           ผมแอบงีบบนโซฟาดูดพลังไปพักหนึ่งได้ ความจริงก็ไม่ได้อยากจะนอนหรอกแต่พอทานยาเข้าไปแล้ว ก็เหมือนร่างกายมันประท้วงอย่างรุนแรงว่าให้ล้มตัวลงนอนเดี๋ยวนี้นะ ผมก็เลยไม่ฟื้นร่างกายแล้วไปเฝ้าพระอินทร์ในที่สุด รู้สึกตัวอีกทีก็ 2 ทุ่มนิดๆ ซึ่งเป็นเวลาที่พี่ขิตมันโทรมาปลุกพอดี แล้วฮีบอกว่าจะเข้ามานอนด้วย และแน่นอนว่าต่อให้ผมเถียงหรือปฏิเสธยังไงก้ไม่ชนะไอ้พี่ขิตหมีจอมดื้อนี่แน่ๆ



            รอพี่มันมาจนเกือบสี่ทุ่ม ในที่สุก้ได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน ผมชะเง้อหน้าผ่านม่านออกไปดู เห็นพี่มันขับสกู๊ปปี้ไอลายการ์ตูนหมาน้อยไม่เข้ากับหนังหน้ามาถึงบ้าน



         อ้อใช่...จริงๆ ผมลืมบอกไปว่าก่อนหน้านั้นที่พี่มันโทรมา คนตัวใหญ่บอกให้ผมต้มข้าวต้มให้ด้วยเขาหิวข้าวมาก ผมก็เลยทำหน้าที่เป็นนางซิน เดินอืดๆ ใส่รองเท้าสลิปเปอร์ลายหมูมุ้งมิ้ง สีชมพูไปต้มข้าวกระดูกหมูเบาๆ ให้พี่มันตามสั่ง



            พอคนตัวใหญ่เข้าบ้านมาถึงก็ไม่พูดพร่ำ รีบช่วยผมจัดโต๊ะซัดข้าวเรียบเกือบหมดหม้อ ส่วนผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ รู้สึกกินแค่จานเดียวก็อิ่มแล้ว ระหว่างมองพี่มันไปเพลินๆ อยู่ๆ คนตัวใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมามองผม แววตาของพี่มันในตอนนี้วาววับ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน



            "คล้าว มึงอยากมีร้านเป็นของตัวเองป่าว?" อยู่ๆ พี่ขิตก็ถามราวกับรู้ใจว่าผมเคยวาดฝันแบบนั้นไว้ในใจ



            นิ่งรำลึกความหลังไปสักพักนึงได้ผมก็ตอบ



            "ก็อยากมีนะพี่ คนทำอาหารทำไมจะไม่อยากมี ถามไรแปลกๆ" พูดจบพลางใช้ช้อนเขี่ยๆ ข้าวต้มที่อยู่ในถ้วยเล่นๆ ไปด้วย ผมแอบเห็นพี่มันพยักหน้ารับเบาๆ เหมือนจะจริงจังหรือไม่จริงจังก็ได้ ก่อนจะถามขึ้นอีก



             "แล้ว...ถ้าร้านในความฝันมึงเป็นร้านแบบที่มึงไม่ได้คาดหวังไว้ มึงโอเคป่ะ?"

            อะไรของพี่มันวะ? ลองใจเหรอ? หรืออะไร? แต่เอาจริงๆ นะ แบบไม่ได้พาวตัวเอง แต่ผมว่าตอนนี้ตัวผมมีความสามารถมากพอที่จะไปไกลมากกว่าที่ฝันมาก ทุกคนฝากความกดดัน และความหวังไว้กับผม แต่ถ้าสุดท้ายผมทำมันพัง หรือทำฝันออกมาเป็นแค่ก้อนดินเล็กๆ ผมต้องโดนคนอื่นหัวเราะเยาะแน่ๆ อีกอย่างถ้าแค่นั้นผมก็ไม่รู้จะทำไปทำไม ไม่ใช่ผมไม่รู้จักพอนะ แต่ผมถือคติว่ามันต้องไปให้สุด และผมต้องทำได้ดีกว่านี้สิ



            "จะบ้าเหรอพี่ คนระดับผมทำทั้งที มันก็ต้องทำให้เหมือนฝันหรือยิ่งใหญ่กว่าฝันดิ ที่คิดไว้อาจจะต้องเป็นร้านอาหารอิตาเลียนหรูๆ หรือในโรงแรมห้าดาว เป็นระดับ Top ประเทศได้ก็ยิ่งดี ถึงจะไม่ได้หวังว่ามันจะได้ในวันนี้  แต่ผมคิดว่าผมมีความพยายามให้ขึ้นไปสู่จุดนั้น I will try try try and try...จนกว่าจะถึงที่สุดแล้วของตัวเองนั้นล่ะ " ผมยักไหล่ แล้วมองหน้าพี่มันกลับ "ว่าแต่ ถามผมแบบนี้ ...ทำไมพี่จะเปิดร้านแล้วให้ผมไปช่วยปิ้งไก่หรือไง" ผมแซว พี่ขิตเอียงคอนิดๆ อย่างไม่หยี่ระ ผมเบะปาก

            "ไม่เอาหรอก โลว์ไป ถ้าจะให้ผมทำร้านแบบนั้น ให้ผมอยู่นี่รอเป็น CDP ที่นี่ยังสบายกว่า จะไปลำบากให้ร้อนตับ ร้อนไต ปิ้งไก่ทำไม"



            พอพูดจบประกายตดวงตาของพี่มันก็วูบเปลี่ยนไปหน่อยๆ วินาทีหนึ่งเหมือนมีบางอย่างมาสะกิดใจว่าผมอาจพูดมาก หรืออาจจะพูดเล่นแรงไปหน่อยก็ได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าไอ้พี่ขิตไม่น่าจะคิดอะไรมาก อีกอย่างคนอย่างพี่มัน น่าจะยังไม่มีความคิดที่จะออกไปทำร้านอะไรพวกนั้นหรอก CDP ที่โรงแรมนี้เงินดีจะตาย ก็คงถามความคิดผมไปเล่นๆ



            หลังจากนั้นคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย ในที่สุดพี่มันก็ขอตัวไปอาบน้ำ ส่วนผมก็แต่ได้นั่งหน้ามึนอยู่บนเตียง



            รอจนพี่มันออกมาแล้วแต่งตัวเสร็จ ผมก็เปิดประเด็นถามบ้าง



       “พี่วันนี้ที่พี่ไปคุยกับเฮดเชฟเรื่องอะไร”



        “เรื่องงานน่ะ”เป็นคำตอบที่ทำให้หงุดหงิดอีกล่ะ คือ? มันยากนักหรือไงแค่พูดให้มันแคบลงมากกว่านี้ ไม่ได้อยากก้าวก่ายพี่มันนะ แต่คืออย่างน้อยก็พูดว่า 'เฮดเชฟห้ามใครรู้เป็นความลับระดับชาติ'อะไรทำนองนี้ ผมจะไม่ถามอะไรอีกเลย



         “งานอะไรวะพี่ ที่ครัวแบ้งเคว็ท มารีเควสพี่อีกแล้วเหรอ” เดาแม่งไปเรื่อยเปื่อย แต่คิดว่าใช่สำหรับผมที่สุด พี่มันทำปากบึ้งๆ “ป่าว” ก่อนร่างใหญ่อย่างกะหมีจะทิ้งตัวลงบนเตียง แล้วคว่ำหน้าลงซุกกับหมอนข้างๆ ผมกลอกตา แต่ด้วยความหมั่นไส้เลยเอาเท้าเขี่ยๆ แขนใหญ่ๆ ของพี่มันเล่น



            “..มึงหายเจ็บยัง” ใบหน้าคมสันเงยขึ้นมาจากหมอน งึมงำถามมาผมด้วยรอยยิ้มบางๆ วินาทีนั้นผมวูบเขินกับสายตาพี่มันนะ แต่ก็รู้ว่าคนตัวใหญ่กำลังบ่ายเบี่ยงที่ถามไปเมื่อครู่



            “พี่มึงอย่ามาเนียนเปลี่ยนเรื่องดิ๊ ผมถามไรอยู่” เอาตีนแตะแขนมันต่อ พี่ขิตปัดขาผมทิ้งก่อนลุกขึ้นมานั่ง ทำหน้าหงอๆ น้อยใจใส่



            “ทำไมมึงเจอหน้ากูชอบถามเรื่องงานตลอดเลยอ่า บางทีพี่ก็คิดนะว่า เราห่วงอะไรมากกว่ากัน” ทำเสียงน้อยอกน้อยใจได้น่าขยำหัวมากพี่ขิต คือมันไม่ได้ทำให้กูรู้สึกผิดเลย แต่รู้สึกหมั่นไส้มากกว่าเดิม ผมกลอกตาถอนหายใจ ก่อนพี่มันจะยอมพูดต่อ



            “จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมากหรอก เชฟใหญ่มาเสนอให้พี่ไปรับตำแหน่งรองเชฟใหญ่อีกคนน่ะ”

            หืม?..พี่ขิตได้เลื่อนตำแหน่งผมหูผึ่ง! แต่จริงๆ ผมคิดว่าระดับฝีมืออย่างพี่มันน่าจะเป็นรองใหญ่ตั้งนานแล้วนะไม่น่าเป็นแค่ CDP



            “อ่าวก็ดีดิพี่” ผิมดีดตัวลุกขึ้นมานั่งบ้าง เป็นซูเชฟก็ไม่ต้องทำอาหารอะไรมาก เหนื่อยน้อยกว่า CDP คอยคุมทุกครัว ทำอาหารบ้างเล็กน้อยตามครัวที่ขาดคน เงินเดือนก็สูง



            “ก็ดี แต่พี่ปฏิเสธไป”



            อ่าว..กูนี่งงเลย



            “อะไรของพี่วะ” ผมถามเสียงจริงจังขึ้น พี่มันล้มตัวนอนตะแขง แล้วค้างเท้าหัวไว้ข้างหนึ่ง ดวงตาคมสีเข้มนั้นกำลังมองมาทางผม



            “ก็ไม่ชอบ พี่ชอบจับงานครัว CDP มันสนุกกว่า เป็นชูเชฟต้องคอยตามเชฟใหญ่ นานๆ ทีตามโอกาสถึงจะได้ลงครัว” ผมพยักหน้าเบาๆ ที่แท้พี่มันรักการทำอาหารนี่เอง



            “พี่แม่งชอบทำอาหารเนาะ” ผมแซว พี่มันยิ้มรับ



            “แล้วมึงล่ะ มาเรียนเชฟเพราะอะไร”

            เอาแล้วไง..จากที่สัมภาษณ์พี่มันอยู่ จู่ๆโดนถามกลับซะงั้น ผมทำหน้าระลึกชาติ ความจริงมีหลายเหตุผลมากนะ แต่ก็ตัดสินใจบอกพี่มันไปแบบนี้



            “Because my mother.”

     พอผมตอบพี่มันก็อึ้งไป เหมือนถูกกดปุ่มพอสสต๊อบเอาไว้ หรือผมควรพูดอะไรมากกว่านี้เหรอ?



            “ก็จริงนี่...เหตุผลคือแค่นั้น แต่..” ผมพยายามพูดภาษาไทยแต่เรียบเรียงไม่ถูก“คือแม่อยากเปิดร้านอาหารไทยน่ะ”



            “แต่มึงเรียนเอกอิตาเลียน” พี่ขิตแย้ง ผมมุ่ยหน้า



            “ก็ ผมชอบมากกว่าเหมือนพี่นั้นล่ะ”



            “อาจเหมือนในบางเรื่อง แต่ดูแล้วอนาคตมึงเก่งกว่ากูแน่ๆ คนอย่างมึง..เรียนรู้ไว มีพรสวรรค์ ไม่ต้องฝึกมาก ก็เป็น CDP ได้ทุกครัวล่ะ” จู่ๆพี่มันก็ชมขึ้นมา

            พี่มึงอารมณ์ไหนวะ ถึงจะปรับตัวไม่ทันเท่าไร แต่ก็รู้สึกดีที่พี่มันชมผมบ้าง ซึ่งปกติจะด่า



            “ชมผมแบบนี้หวังไรป่าวเนี่ย” แกล้งอำไปเล่นๆ



            “เอา”



            เหี้ยนี่ก็จริงจังไป!



            “กูเจ็บอยู่พี่มึงอย่ามา” รีบบอกก่อนพี่มันจะรุก ทว่าเหมือนช้าไป เมื่อคนตัวใหญ่กลับดึงแขนผมไปแล้วให้ล้มตัวลงนอนข้างมัน



            “งั้นกอดก็ได้” อ้อมแขนแข็งแรงสวมกอดจากทางด้านหลัง ใบหน้าและลมหายใจอุ่นเป่ารดต้นคอให้ความรู้สึกวาบหวิว ถึงปกติจะขัดนู้นขัดนี้อยู่เป็นประจำ แต่ก็แปลกใจที่ผมกลับปล่อยให้พี่มันกอดไว้อยู่แบบนั้น ก่อนพี่มันจะกดริมฝีปากลงเบาๆที่หัวไหล่ผม แต่พอกำลังจะเคลิ้มๆพี่มันก็คลายอ้อมกอดแล้วยันตัวขึ้นนั่ง ผมงงแล้วมองพี่มัน



            “คลาว..สลับด้านที่นอนกับกูได้มั้ย กอดไม่ถนัด”



            หะ?



            “ทำไมอะพี่” ผมขมวดคิ้วถามสงสัย มือใหญ่ยกขึ้นมาเกาแก้มแก้เก้อ



            “คือ..แรงดึงดูดของโลกมันทำให้พี่เอียง”

            เอียงบ้าเอียงบออะไรวะไอ้พี่ขิต!! ไอ้หมี!!



••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••


            เช้าวันต่อมา พอผมตื่นขึ้นมาตอน 7 โมงกว่า ก็ไม่เห้นคนตัวโตอยู่บนเตียงแล้ว ไปทำงาน? แต่วันนี้วันอาทิตย์ พี่มันหยุดเหมือนผมไม่ใช่เหรอ เดินตามหาจนรอบ้านก็ไม่พบร่างหมีควายของพี่มันเลยสักนิด กระทั่งเดินไปดูหน้าบ้าน ก็เห็นว่ารถสกู๊ปปี้ไอของพี่มันไม่อยู่แล้ว



            สงสัยกลับแมนชั่นป้าเขียมไปแน่ๆ เพราะเมื่อคืนก่อนนอน ผมบอกพี่มันไปว่าพ่อผมจะมาตอนเช้า ฮีเลยอาจจะชิ่งกลับก่อน แต่จะไปก็น่าจะบอกสักหน่อยไหม อารมณ์เสียแต่เช้าเลย



            ผมเปิดรายชื่อในโทรศัพท์ที่ติดมืออกมาด้วย แล้วหาชื่อพี่มันก่อนจะกดโทร



            “…”

            ปิดเครื่องซะงั้น! ไม่สิเมื่อวานพี่มันถามหาที่ชาตแบตผมอยู่ แต่คือผมใช้ไอโฟนไง แล้วพี่มันใช้มือถือรุ่นคุณพ่อผมจะมีมั้ย?



            เออ ช่างพี่มันแล้วกัน ผมเหลือบดูนาฬิกาในโทรศัพท์ 7.45 แล้ว กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวหาไรกิน คงได้เวลาแต่งตัวแล้วเตรียมออกไปรับพ่อที่สนามบินพอดี



            ตัดสินใจได้แบบนั้นผมก็เริ่ม จัดการตัวเองทันที ทว่าระหว่างทำนู้นนี่นั้น ก็ไม่รู้ว่าทำไมปรายหางตาของผมต้องแอบไปชำเลืองมองโทรศัพท์มันทุกครั้ง เหมือนหวังว่าพี่มันจะโทรมาบอกอะไรสักหน่อย แต่นี่ไม่เลยเงียบกริบ โมโหแล้วนะ สงสัยวันจันทร์จะต้องจัดสักหน่อย

 

            10.00 น.

            ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงท่าอากาศยานภูเก็ต ผมรออยู่ที่ด้านหน้าของทางเดินผู้โดยสารขาเข้า แต่สนามบินคนแน่นมาก! คนเยอะมาก! เยอะแบบโอโห้ เดี๋ยวจะมีคอนเสิร์ตกันเหรอ หรือเขาแจกของฟรี ผมกวาดตาอย่างหงุดหงิด ส่วนใหญ่คนที่มาภูเก็ตจะเป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น



            ชะเง้อคอไปชะเง้อคอมาให้ที่สุดก็เจอ แดดดี้สมิธเดินพุงนำตัวขาวหัวทอง มาพร้อมกับลุงโจนส์หนวดงอน ผมโบกมือไหวๆให้ท่านเห็น



      “Hey dad!” ตะโกนเรียกสักหน่อยกลัวไม่ได้ยิน ปะป๋าผมหันมายิ้มแล้วรีบเดินตัวปลิวมาหาทิ้งลุงโจสน์ให้แบกกระเป๋าสามใบคนเดียว



            เราทักทายกัน กอดกันด้วยความคิดถึง ถ้าถามผมว่าผมอายมั้ยที่กอดพ่อ คำตอบคือ ไม่อ่ะ..จะอายทำไม นี่พ่อนะ ไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตหั่นศพที่ไหน



            “สบายดีใช่มั้ย”ผมคลี่ยิ้มสดใส



        “ก็..อย่างที่พ่อเห็น”



       “อ้วนขึ้น” เอ่อ..บางครั้งพ่อก็นะ



       “ฮ่าๆ just a kidding แล้ววันนี้ลางานเหรอลูก” อย่างที่บอกไป ถึงพ่อผมจะเป็นชาวผู้ดีอังกฤษ แต่กลับชอบพูดภาษาไทยมากกว่าภาษาอังกฤษท่านบอกว่าภาษาไทยเป็นภาษาที่ออกเสียงได้ไพเราะ มีเสน่ห์..ผมก็ว่าจริงนะ แต่ตอนนี้พักเรื่องภาษาก่อน



            “ถ้าไม่ลาคงมารับพ่อไม่ได้ งานครัวค่อนข้างเร่ง ยิ่งตอนเช้ากับกลางวันนี่ไม่ต้องพูดเลย” บ่นๆ ไปให้พ่อฟัง รู้สึกเหมือนเด็กไม่สู้งานเลย แต่จริงๆ ไม่ใช่ไง เลยขอแง้มสักนิด แต่พอเห็นผมว่าแบบนั้นมั้งพ่อถึงเข้าประเด็นเลย



            “ดีงั้นเดียวไปคุยกับเฮดเชฟเพื่อนพ่อเลย แล้วไปกินข้าวกัน”



            “ต้องรีบขนาดนั้น” ผมแกล้งถาม มิสเตอร์สมิธหัวเราะเบาๆ



            “รีบสิ สิ้นเดือนนี้ ตำแหน่ง CDP จะว่างแล้ว” นั่นไงว่าแล้ว แต่จู่ๆ ผมก็สงสัยขึ้นมา เพราะตั้งแต่ผมทำงานที่โรงแรมแสนสุขนี้ ก็ไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องว่าใครจะลาออก หรือจะมีตำแหน่งว่างมาก่อนแล้ว?


            “ว่าง? ที่ครัวไหนน่ะพ่อ” ถ้าให้เดาคงเป็น CDP จัดเลี้ยงหรือเปล่า เห็นฮีมาบ่นกับไอ้พี่ขิตบ่อยๆ ว่าออกงานเยอะเกินไป แต่พอได้ยินคำถามแล้วพ่อกลับทำหน้างงๆ



            “อ่าวหัวหน้าลูกไม่ได้บอกอะไรเลยเหรอ ว่าเค้าจะออกสิ้นเดือนนี้”



            หืม...ใครนะ? พูดอีกทีซิ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด

           ใกล้จบแล้วนร้ายูววว จะดราม่ามั้ยนร้าาาา

           

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
 เมนูที่ 10 : ยำสามรส...50%​

          เช้าวันจันทร์วนกลับมาอีกครั้ง บรรยากาศสงครามอาหารเช้าของไอ้พี่ขิตยังเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือความรู้สึกของผมที่แบ่งแยกออกเป็นสองฝั่งชัดเจนมากๆ ทว่าด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ผมเลยต้องมาออนสเตชั่นทอดไข่ม้วนตอนเช้าแทนคอมมี่ที่ลาคลอดเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่อารมณ์ข้างในยังค้างๆ คาๆ เดือดปุดๆ

          ระหว่างทอดไข่..

          (ตัวแทนแห่งความชั่ว)ไอ้พี่ขิตมึงเห็นกูเป็นตัวอะไรวะ? หมาหรือไง? ถึงทำเหมือนกูเป็นคนโง่

          (ตัวแทนแห่งความดี)ใจเย็นๆนะ มึง พี่ขิตเขาอาจจะรอเวลาบอกมึงอยู่

          (ตัวแทนแห่งความชั่ว)รอเวลาห่าไรล่ะ อยู่ด้วยกันทั้งวัน ไม่มีเวลาบอกยังไง

          (ตัวแทนแห่งความดี) พี่เขาคงไม่อยากให้มึงคิดมาก

          (ตัวแทนแห่งความชั่ว) โวะ! ตอนนี้กูคิดน้อยตายล่ะ ไอ้สาสสส เอ้ย!

          (ตัวแทนแห่งความดี ) เออ สาสสสส เอ้ย!

          ฉ่า!

          “พี่ๆ ไหม้แล้ว”

          หลุดออกจากห้วงความคิด เพราะอารมณ์เสียกับสิ่งที่คิดมากเกินไปหน่อย เลยเผลอออกแรงกดตะหลิ่วใส่ออมเล็ต(ไม่ใส่มะเขือเทศ)ที่กำลังทอดอยู่  กลิ่นไหม้ลอยฟุ้งขมคอกันเลยทีเดียว ส่วนไข่ก็ดำปรืดไปแถบ ผมถอนหายใจปรายตามองเด็กน้อย

          “เอ่อ..เดี๋ยวพี่ทำให้ใหม่” ผมบอกเสียงนิ่งๆ พลางยิ้มบางๆ ไปให้ แต่ไม่รู้ทำไมเด็กที่รอไข่ม้วนอยู่ถึงได้หน้าหวาดผวาเหมือนเห็นผีแม่ชี ก่อนเท้าเล็กๆ จะถ้อยหลังไปก้าวหนึ่ง

          “อ..เอาอันนั้นมาก็ได้ คะ ครับ”

          Good Boy เด็กดี น่ารัก แต่พี่กลัวน้องเป็นมะเร็ง “เดี๋ยวทำให้ใหม่ดีกว่า อย่า-ดื้อ” ว่าเสียงนิ่งกว่าเดิม แต่สงสัยออร่าบางอย่างของผมมันคงแผร่ออกมา จนเด็กคนนั้นรีบพยักหน้ารัวๆ กลืนน้ำลายดัง 'อึก'

          ผมเทไข่ม้วนไหม้ๆ ทิ้งไว้ที่จานเปล่าข้างๆ แต่ไม่ทันได้ทำอันใหม่ มือขาวของคอมมี่เชฟข้างๆ ก็จับต้นแขนผมไว้

          “เชฟครับ” เสียงเรียบๆ นั้นทำเอาผมชะงัก พอหันไปมอง ก็พบใบหน้าหล่อเหลาของคนตัวสูงกว่า กำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย

          “เดี๋ยวผมทำต่อเองดีกว่า เชฟไปพักเถอะ” เขาพูดพร้อมระบายยิ้มเรียบๆ ผมอึ้งไปนิดๆ ร้อยวันพันปีไอ้เปรมไม่เคยจะแสดงท่าทีห่วงหาห่วงใยอะไรกับผมเลย ผีอะไรเข้าสิงวะ? เกิดอยากเป็นพ่อพระหรือไง ถึงได้ใจดีแปลกๆ

          “Are you sure?” ผมถามย้ำเป็นภาษาอังกฤษ เปรมมันพยักหน้าหงึก

          “Sure”

          “Seriously?”  มีความย้ำคิดย้ำทำ แต่สงสัยย้ำมากไป ไอ้เปรมมันเลยถอนหายใจหนักๆ ใส่ ก่อนแย่งตะหลิ่วแซะไข่ไปจากมือแบบหน้าตาเฉย

           “ไปปรับอารมณ์ ก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะทำให้ลูกค้ากลัว” ไม่ว่าเปล่า มันเอานิ้วคีบเสื้อผมให้ออกจากหน้ากระทะด้วยประหนึ่งกูเป็นแบคทีเรียในขยะเปียก แถมผมก็ตัวเบาลอยตามแรงคีบของมันไปอีก รู้สึกตัวอีกทีก็เห็นมันทอดไข่แทนแล้ว

           “…” ใบ้แดกเลยกู

          ช่างเถอะ! ตอนนี้ไม่อยากจะเถียงอะไรกับใครเท่าไร ถ้ามันอยากทำผมก็จะให้มันทำ อย่างที่ไอ้เปรมมันพูด ผมควรออกไปตั้งสติใหม่ เพราะนี่มันเวลางาน แต่ดันมีแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องเต็มหัว เดี๋ยวจะเสียไปหมด “งั้นเดี๋ยวมา” ผมทิ้งท้าย ก่อนเดินออกมาจากบู๊ทสเตชั่น

          พอมาถึงห้องน้ำ ก็ถอดหมวก ล้างหน้าล้างตาสักหน่อย แต่พอส่องกระจกเท่านั้นล่ะ ถึงได้รู้ว่าทำไมวันนี้เด็กๆ ที่รอรับไข่ม้วนถึงดูตกอกตกใจ

          จะว่ายังไงดี..ปกติพี่คล้าวคนนี้จะมีใบหน้าหล่อเหลาสว่างไสวประดุจเทพปกรนัณของกรีก แต่ตอนนี้หน้ากูเนี่ยเยี่ยงผีแม่ชีในหนังคอนจูลิ่ง

          ใต้ตาปูดนูนดำคล้ำ

          ปากแห้ง

          หน้าโทรม

          สิวขึ้นด้วย

          กรี๊ดดด!

          “Shit!” ผมสบถอย่างหงุดหงิด ทั้งๆ ที่สภาพผมมันไม่ควรจะแย่อะไรเลยสักนิด ปกติผมดูแลตัวเองมากนะ แต่พอเจอเรื่องนี้เข้าไป ทำเอาแทบกลายร่าง

          ถึงจะคิดในอีกแง่ มันก็คงเป็นข่าวดีล่ะ ที่อีกไม่นานผมจะได้เลื่อนตำแหน่ง

          แต่ไม่โอเค! ตรงที่ผมได้ตำหน่งมาเหมือนไปขอทานไอ้พี่ขิตมัน ทั้งๆ ที่ปกติผมเป็นคนโนสนโนแคร์นะ แต่ในกรณีของไอ้หัวหน้าเชฟสายเถื่อน ณ ครัวไทยมันไม่ใช่ไง

          พี่แม่งจะลาออกทำไมวะ? พอได้กันแล้วถึงกับต้องลาออกเลยเหรอ?  นี่กูโดนฟันแล้วทิ้งใช่มั้ย? *ฟัค!* แบบนั้นพี่มันก็เหี้ยมาก แต่ดูแล้วพี่มันไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นเปล่าวะ?

          โอ้ยหรือว่า..ฮีทำเพื่อผม? แต่ถ้าผมได้มาเป็น CDP เพราะไอ้พี่ขิตมันลาออก ผมก็ไม่ดีใจหรอกนะ ทำแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ

          ควรถามพี่มันตรงๆ หรือว่าจะรอให้พี่มันบอกเองดี?

          “…” ช่างแม่ง!  เลิกคิด!

          กลับมาใส่หมวกอีกครั้ง เลียริมฝีปากตัวเองสักหน่อยให้ชุ่มชื่น(ไม่มีลิบมัน) บิดไปบิดมาเช็คสภาพตัวเองเสร็จ กำลังเปิดประตูออกจากห้องน้ำ ก็บ๊ะ! ปะทะเข้ากับร่างใหญ่ของใครบางคนเข้า พอเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ว่าเป็นใคร

          ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย นี่พระเจ้าจงใจกลั่นแกล้งหรือยังไง ทำไมถึงได้ส่งคู่กรณีตัวเป็นๆ ยืนตัวใหญ่อย่างกะหมีแกสลี่หน้าห้องน้ำ แถมยังตีหน้าบึ้งอีก

          ห่า ถ้าพี่มันถือปืนมาด้วยกูต้องนึกว่าโจรใต้แน่ๆ นี่กูเป็นแฟนกับคนลุ๊คนี้เหรอ

          …

          เออเป็น!

          “คล้าว” พี่มันทักเสียงอ่อนผิดกับใบหน้าเหี้ยมๆ แต่พอเจอจริงๆ ผมก็เหวอ ไม่กล้าสบสายตาคมเข้มนั่นนานๆ

           ไม่รู้สิ...พอเจอหน้าพี่มัน สกิวในการควบคุมอารมณ์ของผมก็ต่ำลงจนถึงขีดสุด ไม่รู้จะหงุดหงิดอะไรนักหนา

          “หลบดิ๊” ผมว่าเสียงเขียว ใบหน้าเถื่อนๆนั้นเปลี่ยนเป็นงงทันที เหมือนไม่รู้ว่าทำไรผิด แต่ผมไม่สนไง รีบใช้มือแหวกตัวใหญ่ๆ ของพี่มันให้พ้นทาง ทว่าเพราะไอ้พี่ขิตมันตัวอย่างกะหมีควายในป่าลึก ลากเท่าไรก็ไม่ไป

          ไม่ขยับกูจะกรี๊ดแล้วนะ!

          “เดี๋ยวๆ เป็นไร ทำไมวันนี้ทำหน้าเครียดๆ” ไม่พูดเปล่า แถมยังลากแขนผมกลับเข้ามาคุยในห้องน้ำ ส่วนผมต่อให้ใจไม่อยากคุยแค่ไหน แต่ใครจะไปสู้แรงเถื่อนๆ ของคนตรงหน้าได้ พอกลับมาที่จุดเดิมคิดว่าพี่มันอยากจะเคลียร์บางอย่างล่ะ แต่ในใจคือเริ่มเดือดแล้วไง

          ผมก็ยืนกอดอก แล้วเอียงคอมองหาเรื่องพี่มันอย่างหงุดหงิด

          ห่า เม็นต์กูกำลังมา มึงแน่ใจนะไอ้พี่ขิตว่าจะเคลียร์ตอนนี้

          “นี่มันเวลางานนะพี่ จะทำอะไรเกรงใจคนอื่นหน่อย เลิกงานแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน” ผมพูดด้วยเสียงไม่ค่อยพอใจเท่าไร พี่มันเงียบ นัยน์ตาคมกริบนั้นจ้องผมกลับ แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกตื่นตกใจหรืออะไรนะ แต่รู้สึกว่าพี่มันกำลังนิ่งคิดอะไรอยู่สักอย่าง

          “งั้น..ข้าวเที่ยงไปกินกับกูมั้ย?” กลอกตาเลยกู

          “คงไม่ได้ พ่อผมจะมารับไปกินด้วย” เรื่องจริงนะ แดดดี้สมิธ จะมารับไปกินด้วย ไม่ได้เล่นตัวปฏิเสธพี่มัน

          “งั้นเลิกงานพร้อมกัน พี่แวะไปหานะ” เพราะไอ้พี่ขิตมันซ่อมรถเสร็จแล้วไงมันเลยพูดแบบนั้น สายตาดูมีความหวังมากๆ แต่..

          “พ่อผมอยู่น่ะ พี่จะมาทำไม” นี่ก็เรื่องจริง ไม่ได้ประชด แต่เกรงว่ามาก็คงไม่ได้คุยอะไรกันอยู่ดี เพราะพ่ออยู่

          พี่ขิตกลอกตาขึ้นบ้าง

          “กูมาหามึงไม่ใช่มาหาพ่อมึง”

          “แล้วยังไง?”

          “คลาว..” พี่ขิต เรียกชื่อมเสียงอ่อน แต่ก่อนที่พี่มันจะได้พูดอะไรต่อ ก็มีลูกค้าเปิดประตูห้องน้ำเข้ามา  ผมเม้มริมฝีปากลง อยู่ตรงนี้นานกว่านี้ก็มีแต่ไม่ได้อะไรขึ้นมา ขอทิ้งบอมสักลูกหนึ่งแล้วกัน

          “ถ้าพี่อยากจะตัดสินใจอะไรพี่ทำเลยครับ ไม่ต้องบอกผมให้รู้ เหมือนที่พี่กำลังทำอยู่ตอนนี้ Up-to-you” กล่าวจบ ก็รู้สึกไม่อยากมองหน้าพี่มันแล้ว ผมผลักร่างใหญ่ออกแล้วเดินออกไปจากห้องน้ำ

          แม่งแทนที่จะได้สงบสติอารมณ์ กลับหนักกว่าเดิมอีกกู

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

           อดทนทำงานกับไอ้พี่ขิตด้วยบรรยากาศมาคุระดับแปดริกเตอร์ มาจนถึง 5 โมงเย็น ในที่สุดก็เลิกงาน ผมรีบขับรถกลับ แต่พอถึงบ้านเท่านั้น ถึงได้รู้ว่า ตัวเองไม่น่าพูดประโยคทิ้งท้ายกับไอ้พี่ขิตมันแบบนั้นเลย

          แม่ง Up to you จริงๆ มึงมาบ้านกูทำไมฟะ!?

          ตอนนี้ผมได้แต่นั่งหน้าบึ้งมองคนร่วมโต๊ะ(ที่ไม่รับเชิญ)อยู่กินข้าวเย็นกับพ่อไปด้วย ทั้งที่เดิมทีตั้งใจไว้ว่าจะพาป๊ะป๋าไปดินเนอร์ข้างนอก แต่เพราะไอ้หมีร่างยักษ์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามดันมา แล้วเข้าห้องครัวทำนู้นนี่นั่นให้พ่อกิน สุดท้ายเลยมาจมอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหน

          แม่งเข้าหาผมไม่ได้ก็เข้าทางพ่อเลยนะ แถมยังคุยกันอย่างออกรส เสมือนว่าผมเป็นคนนอกอีก นี่พี่ขิตมึงรู้สึกผิดอะไรบ้างมั้ยเนี่ย

          “คุณพ่ออยู่ไทยมากี่ปีแล้วครับ” พี่มันถาม ขณะที่ผมจิ้มไส้กรอกต้มเข้าปากแก้เซ็ง

          “ก็ตั้งแต่คบกับนดา จนตอนนี้ก็เกือบ 30 ปีแล้วนะ” พ่อผมเปิดธุรกิจส่วนตัวในเมืองไทยเกี่ยวกับอุปกรณ์ในครัวเรือน และตอนนี้พ่อผมอายุ 56 พอๆ กับเฮดเชฟในโรงแรม ก็แน่สิเป็นเพื่อนกันหนิ  หักลบกันไป ท่านก็มีผมตอนอายุ 33 นั่นล่ะ ส่วนคุณนายนดาก็อ่อนกว่าป๊าผม 2 ปี ผมรู้สึกโชคดีมากที่มีครอบครัวอบอุ่นแบบนี้ แต่ก็นะ...ไอ้พี่ขิตมันจะอยากรู้ไปทำไม

          “ผมไม่แปลกใจเลยทำไมคุณพ่อพูดไทยชัด”

          “Good to hear that แต่ถ้าอยู่นานขนาดนี้แล้วยังฟังไม่ออกพูดไม่ได้ ก็แย่แล้วนะ” ว่าจบทั้งคู่ก็หัวเราะกันสนุกสนาน ผมนั่งฟังเงียบๆ ไปอีกประมาณสองสามประโยค ก่อนจะลุกขึ้น

          “ผมจะไปเซเว่น จะเอาอะไรมั้ยครับ?” ไม่ได้เรียกร้องความสนใจอะไรนะ แต่คือ..ไม่รู้จะอยู่ตรงนี้ไปทำไม

          คุณพ่อหันมามองผมด้วยสีหน้างงๆ แววตาก็เหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่ก็เปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้บางๆ

          “ให้ลุงโจนส์ไปซื้อให้ก็ได้นี่ลูก” คนเป็นพ่อพูดเสียงนุ่ม ผมยิ้มกลับให้ท่าน

          “ไม่เป็นไรครับมันเรื่องเล็กน้อยผมทำเองดีกว่า” ว่าไปตามจริง เพราะไม่อยากให้ไปเดือดร้อนใคร แต่ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ผมกลับสัมผัสได้ถึงสายตาของคนตัวใหญ่ที่นั่งอยุ่ฝั่งตรงข้ามมองขึ้นมา

          “เดี๋ยวพี่ไปส่ง พี่จะกลับแล้ว” ร่างใหญ่ลุกขึ้นตาม ไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่ดูจากสายตาพี่มันก็รู้ล่ะว่าอยากไปส่งผมเพราะอะไร

          “ไม่เป็นไร แค่หน้าปากซอย ลำบากพี่ พี่จะได้กลับบ้านเลย” ผมขัดเอาไว้ จริงๆ คือไล่นั่นล่ะ บางทีผมก็งงตัวเองนะว่าทำไมย้อนแย้งเอาแต่ใจขนาดนี้ทั้งๆ ที่อยากจะเคลียร์ แต่กลับรู้สึกไม่อยากจะคุยอะไรกับพี่มันตอนนี้ และพอได้ยินคำตอบแบบนั้น พี่ขิตก็หน้าเสีย ขณะที่พ่อผมซึ่งเป็นคนเดียวที่ดูเหมือนไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย(หรือเปล่า) จึงพูดขัดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

          “ให้พี่เขาไปส่งดีกว่า ดึกแล้วไปคนเดียวมันอันตราย”

          อา..บอกผมทีว่าผมควรพูดยังไง จะบอกว่าโตแล้ว มันก็ดูกร้าวร้าวไป อีกอย่างนี่มันก็ 4 ทุ่มใกล้จะ 5 แล้ว ใช่ว่าผมจะไม่กลัว เพราะเรื่องที่ขอออกไปซื้อของน่ะโกหกทั้งเพ ผมแค่เบื่อที่ต้องมาจ้องหน้าพี่มันก็เท่านั้น

          เฮ้อ...ตอนนี้คงไม่มีอะไรตอบได้ดีกว่าคำนี้สินะ

          “ครับ” รับเสียงแผ่วอย่างจำใจ ก่อนจะสะบัดตัวก้าวขาเดินออกไปบ้าน ทว่าไม่ทันจะเปิดประตู อยู่ๆ พ่อก็ถามไล่หลังมา

          “คลาวลูกไม่สบายหรือเปล่า พ่อเจอเจล เอ่อยา..เอ่อ...ยาทาแผล ในห้องน้ำ”

          ยาทาแผล?...

          หัวสมองกำลังประมวลผล..

          “…”

          ฉิบหายแล้ว ลืมเก็บยา!


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

(เดี๋ยวมาต่อ)

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 10 : ยำสามรส...Part จบ


          “ของผมเองครับ พอดีว่าผมฝากคลาวเอามาให้น่ะครับ” พี่ขิตมันช่วยชีวิต...มิสเตอร์สมิธขมวดคิ้วงงๆ พักหนึ่ง ผมยิ้มแหยๆ โชคดีที่พ่อไม่รู้ว่านี่มันคือยาทาส่วนนั้น ไม่งั้นภาพพจน์ไอ้พี่ขิตนี่พังแน่ๆ


          “You?” แดดดี๊สมิธทำหน้าสงสัย แต่จะมาเปิดเสวนาเรื่องยาทาดากตอนนี้ก็ใช่เรื่อง ผมยังไม่อยากดราม่าควบสองในตอนนี้นะ


          “ไปก่อนนะพ่อเดี๋ยวจะรีบกลับ” ไม่รอให้พ่อถามอะไรอีก ผมรีบชิ่งเดินออกจากบ้านไปทั้งแบบนั้น ก่อนร่างใหญ่จะก้าวตามหลังมาติดๆ
 


          นอกบ้าน..
          แน่นอนว่าประเทศไทยจะเช้า กลางวัน กลางคืนแม่งร้อนเหมือนกันหมด แต่ที่ร้อนกว่าคือใจผมนี่


          “พี่มึงจะตามมาทำไม” พอออกมาผมก้าวขายาวๆ รีบไปที่รถ แต่เพราะพี่ขิตมันตัวใหญ่มาก ถ้าผมวิ่ง พี่มันแค่เดินเร็วๆ ก็ถึงตัวผมแล้ว


          “คล้าว!” นั่นไงตามมาทันไม่ว่า แถมยังยังคว้าแขนผมไว้อีก แต่คราวนี้น้องคลาวจะไม่ยอมอีกต่อไป ผมสะบัดมือพี่มันออกอย่างแรง


          “อย่ามาแตะต้องผม Don’t touch me remember!?”
ขึ้นเสียงใส่ด้วยความหงุดหงิด พี่มันอึ้งไป ใบหน้าคมเข้มนั่นเหวอไปนิดๆ จริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเหมือนกันที่ก็ทำตัวแบบนี้ใส่ แต่จะให้ผมอยู่กับความรู้สึกไหนได้ล่ะ ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าพี่มันมีความลับที่ปิดบังผมอยู่ แถมยังเป็นเรื่องสำคัญขนาดนี้ ถ้าไม่โกรธก็คงเป็นท่อนไม้แล้ว


          พี่ขิตถอนหายใจเบาๆ


          “มึงใจเย็นๆ ก่อนได้มั้ย ซ้อนท้ายกูมา เดี๋ยวกูไปส่ง”


          “ผมขับรถไปเองดีกว่า”


          “มึงจะขับทำไมให้เปลืองน้ำมัน ร้านมันอยู่แค่นี้”
มึงอย่ามารักชาติประหยัดน้ำมันตอนนี้ไอ้พี่ขิต จริงอยู่ที่เซเว่นมันอยู่แค่หน้าปากซอย แต่ผมไม่อยากซ้อนท้ายพี่มันตอนนี้ไง


          โมโห โกรธ!


          “Up to me” นี่สุภาพกับพี่มันแล้วนะ ถ้าด่าเป็นไทยตรงๆ ก็เรื่องของกู
ผมเดินฉีกออกไปที่รถ มือล้วงจะหยิบพวงกุญแจขึ้นมากดปลดล็อค แต่ไม่ทันได้กดปุ่มอะไรทั้งนั้น ก็ได้ยินเสียงคนวิ่งมาจากด้านหลัง มือหนาก็คว้ามายคีย์ไปหน้าตาเฉย


          “พี่!” ผมตวาดเสียงจ้องหน้าพี่มันอย่างเอาเรื่อง แต่คนตัวใหญ่กลับไม่สนใจ ยัดกุญแจเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเองเฉยเลย


          “คืนกุญแจมา!”


          “อยากได้ก็ล้วงเอา”


          โวะ!


          “ไอ้พี่ขิต!” ผมสบถเสียงทันที นี่ตกลงพี่มันตั้งใจจะกวนตีนผมใช่มั้ย


           ช่างแม่ง! ไม่ขับก็ได้ แต่กูจะไม่ซ้อนท้ายสกู๊ปปี้ไอของพี่มันเด็ดขาด ใช้หัวสมองคำนวนดูคร่าวๆ จากบ้านผมไปร้านค้าก็ปรมาณ 4-5 กิโล เอ่อก็ไม่ไกลเท่าไร


             เดินก็ได้วะ ดีกว่าไปซ้อนท้ายเศษเหล็กวิ่งได้ของพี่มัน ผมสะบัดตัวหนี ย่ำเท้าตึงตังออกไปจากตรงนั้น  แล้วเดินออกไปที่ถนน
               
             10 นาทีผ่านไป...


            นี่คงเป็นบทลงโทษจากพระเจ้าสินะ ผมเพิ่งเริ่มรู้สึกตัวว่า ทำไมกูต้องมาเดินอะไรอยู่ตรงนี้วะ? มืดก็มืด ยุงก็น่ารำคาญ พอๆ กับคนที่ขับรถขนาบมาเอื่อยๆ ตลอดทาง รู้สึกเหมือนพี่มันต้องการจะเอาชนะผมยังไงไม่รู้ แต่ผมไม่ยอม ยังไงก็ไม่ทางขึ้นรถพี่มันเด็ดขาด กูงอน!


          ว่าแต่ 4 กิโลนี่มันไกลจังวะ


          “เฮ้ยๆ จะเดินไปถึงปากซอยจริงดิไปกลับนี่มันเกือบ 10 โลเลยนะ”


          “…” ฉิบล่ะ ลืมคำนวนขากลับไปด้วย..เดินทางไกลลูกเสือมั้ยล่ะมึง


          “เฮ้ยๆ มึงจะเดินเพื่อสุขภาพอะไรตอน 5 ทุ่ม” ไปพี่ขิตมันไปขับมาใส่ขนาบข้างๆ ไปด้วย นี่ถ้ามีคนอื่นเห็นคงคิดว่าไอ้ขิตต้องมาขับมาปล้นแน่ๆ หน้าแม่งอย่างกะโจรใต้


          “ขึ้นรถพี่มาดีกว่าน้อง” น้ำเสียงทะเล้นนั้นชวนหงุดหงิด


          “มามะๆ” แถมยังพูดไม่หยุดตลอดทาง


          “ฮิ้ววว”


          ฮิ้วพ่อง!


          “Shut up!” ทนไม่ไหว ตวาดใส่พี่มันไปอีกรอบ แต่เหมือนคนตัวใหญ่จะไม่สะดุ้งสะเทือน แถมยังเร่งรถขับมาขว้างหน้าผมไว้อีก พี่ขิตลงจากรถ ก้าวเข้ามาหา แต่เพราะตรงส่วนนี้ไม่มีไฟถนนทำให้ผมมองเห็นหน้าพี่มันไม่ชัด


          ผมผงะ เดี๋ยวๆ มึงจะปล้นกูจริงๆ ใช่มั้ยไอ้พี่ขิต!


          “พี่จะทำอะไร”


          “ก็ไม่อะไรแค่จะมาพามึงมาซ้อนท้าย” ผมกลอกตา อารมณืเสียกับความเอาแต่ใจนี้ทันที


          “พี่มึงจะเอายังไงกับผมวะ”  ผมกอดอกพยายามมองหน้าพี่มัน ตรงนี้ทำให้ผมเห็นใบหน้าเข้มนั้นชัดเจนขึ้น สายตาและสีหน้าของไอ้พี่ขิตมันนิ่งมาก นิ่งจนผมอ่านไม่ออก


          “ตอบดิ!” ขึ้นเสียงย้ำไปอีกครั้ง ห่าไม่ต้องไปซื้อของอะไรแล้ว เคลียร์กันริมฟุตบาทเนี่ยล่ะ


          “มึงบอกให้กูหุบปาก”


          ไอ้พี่ขิตมึงอย่ามากวนตีนตอนนี้!


          “พี่ผมไม่เล่นกับพี่แล้วนะ” ผมหน้านิ่วคิ้วขมวดว่าด้วยเสียงจริงจังอย่างไม่เคยเป็น คือมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาทำนิสัยแบบนี้ใส่ แต่ถ้าพี่มันยังไม่เลิก กูจะวีนใส่แล้วนะ


          โชคดีที่ดูเหมือนว่าพี่มันจะมีเซ้นอยู่บ้างว่าผมเริ่มหมดความอดทน พี่มันเลยพูด


          “ขอโทษ...ถ้าไม่เล่นก็ขึ้นมา” เอ้า!


          “ไม่ขึ้นโว้ย!”


          “มึงเคยบอกว่ากูชอบพูดเล่นทีจริง แต่พอกูจะคุยกับมึงแบบจริงจังมึงก็หนี จะเอายังไง นี่กูง้ออยู่ กูง้อมึงอยู่ได้ยินเปล่า เฮ้ย!”


          ถึงกับชะงักไปเลย เมื่อพี่มันขึ้นเสียงใส่บ้าง แต่ใจความไม่ได้อยู่ตรงที่พี่มันโกรธหรืออะไรหรอก หัวใจสำคัญตรงที่ไอ้พี่ขิตมันมาบอกว่า


          มันมาง้อผม?! เฮ้ยนี่มันเป็นวิธีการง้อคนแบบใหม่ใช่มั้ย แบบว่า กูมาง้อแล้ว มึงเลิกงอน แล้วฟังกูง้อซะ


          ฟัค! ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะ ผมจะ!


          “มึงจะขึ้นมาดีๆ หรือให้กูลากขึ้นมา”
          เออ ซ้อนท้ายแม่ง!

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

          บรรยากาศพาเพลิน ขับรถกินลมยามค่ำคืน แสนโรแมนติก ถุ้ย!

          ตอนนี้บรรยากาศมาคุระดับสิบริกเตอร์ แล้วทำไมต้องมาปรับความเข้าใจกันบนมอเตอร์ไซวะ โอ้ยไอ้พี่ขิตมึงอินดี้ไปนะ แล้วหมวกกันน็อคก็ไม่ใส่ ลมก็ตีหน้า ตีผมผับๆ ดีนะ ที่พี่มันขับเอื่อยๆ เหมือนกลัวจะถึงร้านค้าเร็ว แต่ใครจะกล้าพูดล่ะว่ามันแค่ข้ออ้าง ผมก็มีฟอร์มเหมือนกัน ถึงคิดว่าพี่มันจะรู้ก็เถอะ


          สรุปแล้วขี่มาถึงร้านก็ไม่ได้เคลียร์ พี่มันเอาแต่เงียบ แต่ช่างแม่งไม่พูดก็ไม่พูด

          แวะซื้อของอะไรนิดหน่อยเสร็จ ผมก็ตีหน้าบึ้งซ้อนท้ายพี่มันขับกลับ ร่างใหญ่ยังคงใช้ความเร็วเป็นเต่าคลานเท่าเดิม ส่วนผมไม่กล้ากอดเอวพี่มัน จึงยึด ที่จับด้านหลังต้องที่ซ้อนเอาไว้แทน แต่แม่งก็ไม่ถนัดไง กลัวตกฉิบหาย


          “มึงกอดเอวกูก็ได้” ไม่! ไม่นะ…อย่ากอด แต่ถ้าไม่กอดมันก็ไม่เซฟตี้ ไอ้คลาวมึงยังต้องมีชีวิตอีกยาวไกล ไม่ใช่ว่าผมใจอ่อนพี่มันนะ คือเพราะเซฟตี้ตัวเองล้วนๆ กำลังจำใจค่อยยืนๆ ออกไปอย่างลังเล แต่ในจังหวะนั้นเอง ถนนกลับเป็นเนินลูกคลื่น ด้วยความตกใจเลยคว้าเอว ของพี่มันหมับ!


          อืม..รู้สึกเหมือนกูกำลังกอดเสาอิฐยังไงก็ไม่รู้ คือพี่มันไม่ใช่คนอ้วนนะ พี่มันเป็นคนตัวมหาโคตรใหญ่ ที่จับไปนี่ไม่ใช่พุงเลย มีแต่กล้ามแน่นๆ แข็งๆ น่าขย้ำ


          “เฮ้ยๆ มืออย่าซน” พี่มันว่าเหมือนรู้ทัน ผมจิ๊ปาก เพราะเมื่อกี้เผลอไปคลำกล้ามท้องพี่มันหน่อยๆ
          บรรยากาศเริ่มดีขึ้น ตอนนี้คงเป็นโอกาสอันดีแล้วสินะที่ผมกับพี่มันจะเคลียร์กัน จากตอนแรกที่นึกว่าพี่มันจะง้ออะไร แต่ที่ไหนได้กลับโยนปากทิ้งไปตั้งแต่ผมซ้อนท้าย เนี่ยก็เพิ่งจะคุย แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ใครเปิดก็ไม่สำคัญ ถ้าพี่มันไม่เริ่ม ผมพูดเองก็ได้


          “ทำไมพี่ถึงไม่บอกผม” ผมว่าน้ำเสียงเรียบๆ มือกระชับเอวพี่มันแน่นขึ้นนิดๆ ยอมรับว่าตอนนี้ผมใจเย็นกว่า ตอนนั้น ประมาณสามจุดห้าส่วน


          “มึงรู้เรื่องแล้วใช่มั้ย?” คนขับเอี้ยวใบหน้ามาตอบผมครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองถนน ผมเม้มริมฝีปากลง คิดว่าไม่จำเป็นจะต้องพูดพี่มันก็คงเข้าใจ


          “กูออกสิ้นเดือนนี้”


          “ทำไม” ผมถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุดทันที..พี่มันขับไปอีกนิดหน่อยก่อนจะตอบ


          “กูอยากออก” ทำไมพี่มันตอบง่ายแบบนี้วะ?


          “แล้วผมล่ะ”


          “มึงก็จะได้ขึ้นมาเป็นCDP แทนกู”
          อึ้ง เป็นคำตอบที่พี่มึงคิดแล้วใช่มั้ยวะ ว่าผมจะชอบคำตอบแบบนี้ พอได้ยินแบบนั้น ในใจก็สะท้านวูบ รู้สึกเหมือนกำลังโดนไฟเผา และความร้อนของมันก็ไล่ต้อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงดวงตา ตั้งแต่เกิดมา ผมเกลียดความรู้สึกแบบนี้ที่สุด สรุปแล้วพี่มันเห็นผมเป็นอะไรสำหรับมันกันแน่


          “มันไม่ใช่เรื่องตำแหน่งเปล่าว่ะพี่ ผมหมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับผมล่ะ พี่จะยังไง” ถามก็เสียงสั่น รู้สึกหวาดกลัวคำตอบของพี่มันที่เหมือนไม่คิดอะไร และไม่มีความรู้สึกอะไรอยู่ข้างในเลย


          “ก็ไม่อะไร”


          “มันไม่เมคเซ้นอะ  ไม่อะไร คืออะไรวะพี่!” ผมขึ้นเสียงดัง มือขย่ำลงไปที่เสื้อพี่มันอย่างไม่รู้ตัว คำตอบของร่างใหญ่เหมือนเหมือนค่อยๆ ทุบหัวใจผมที่เหมือนแก้วที่เปราะบางให้แตกละเอียดจนเป็นผง ตอนนี้ตาผมร้อนผ่าว ร้อนเหมือนกับเจ็บปวดในหัวใจ


          พี่ขิตหยุดแล้วจอดลงข้างทาง ใบหน้าคมเข้มนั้นหันกลับมาขมวดคิ้วมองผม


          “มึง..อยากคบกับกูต่อ หรือไปกับกูต่อหรือเปล่า”


          “ทำไมพี่ต้องถาม คำถามนี้กับผมซ้ำๆ วะ รู้มั้ยบางครั้งผมก็คิดนะว่า บางทีมันอาจเป็นผมเองก็ได้ที่คิดเรื่องความสัมพันธ์ของเราไปเองทุกอย่าง ” ผมกัดปากตัวเอง แล้วในประโยคสุดท้ายนั้นเอง สิ่งที่ผมไม่ต้องการให้มันปรากฏออกมาอีกครั้ง กลับไหลลงมาจากดวงตา  “you never care anything about me..never” พูดไปน้ำตามันก็ไหลไป ใช่..ผมมันโง่ มันบ้าเองที่อยู่ก็ปล่อยหัวใจให้คนคนนี้ไป สุดท้าย ก็ถูกปล่อยทิ้งขว้าง ถึงพี่มันจะไม่ทำลาย แต่พี่มันก็ไม่ได้เก็บรักษามันไว้ เป็นความรู้สึกไร้ค่า


          ไร้ค่าอย่างสมบูรณ์แบบ...ถึงจะไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ แต่ต่อให้ยกมือบาดน้ำตาทิ้งไปเท่าไรมันก็ไม่หยุดไหลสักที


           “คลาว”


          “ผมก็เพิ่งรู้นะว่าพี่เป็นคนแบบนี้...” แม้สายตาของพี่มันจะดูเศร้ามาก แต่ผมมั่นใจว่ามันคือความสงสารมากกว่าความรักที่เขาให้ผม


          มือใหญ่นั่นทำท่าจะเอื้อมมาปาดน้ำตาให้ แต่พอที พอแล้ว ผมไม่อยากให้คนคนนี้สัมผัสตัวอีก ผมเบียงหน้าหนี ไม่มองแม้แต่หน้าพี่มัน


          กระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาเบาๆ


          “คือที่กูออก คือกูจะออกไปทำร้าน มึงเข้าใจมั้ย แต่ว่า--”


          “คือผมไม่สนใจว่าพี่จะลาออกไปทำห่าเหวอะไรทั้งนั้น ที่ผมสนใจคือพี่เห็นผมเป็นตัวอะไร ความสัมพันธ์เราจะกลายไปเป็นอะไรนับจากนี้ ผมไม่ดีใจหรอกนะที่ได้ตำแหน่ง CDP เพราะพี่ลาออก สนุกปะพี่ ที่ทำให้คนแบบผมร้องไห้ได้!”
          ตวาดเสียงออกไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด ห่าเอ้ย มึงจะไหลทำไมเยอะแยะ หงุดหงิดก็หหงุดหงิดเสียใจก็เสียใจ แต่แบบที่มันเจ็บกว่านั้นพี่พี่ขิตกลับไม่ยอมอิบายอะไรให้ผมฟังเลยสักอย่าง


          งั้นก็ดีให้มันจบไปทั้งแบบนี้


           “ตอนนี้จากนี้ พี่อยากทำอะไรก็ทำ เพราะผมจะทำอะไรตามใจตัวเองบ้างเหมือนกัน และถ้าพี่ไม่สนใจความสัมพันธ์อะไรของเราอีกแล้ว แต่ไม่กล้าจะพูด ผมจะบอกพี่เองตรงๆ อย่ามายุ่งกับผมอีก!” ผมกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น น้ำตงน้ำตาจะไหลก็ไม่สนใจอะไรแล้ว แม้จะเจ็บจนหัวใจแทบระเบิด ก็ช่างแม่ง ปล่อยให้มันเจ็บสะให้พอ ผมจะได้ชินเสียที แล้วไปจากที่ที่ไม่เคยมีผมอยู่ตั้งแต่แรก


          ผมลงจากรถทันที


          “มึงฟังกูก่อน มีสติหน่อยคล้าว!” ทันทีที่ผมลงไปมือใหญ่นั้นก็ทำท่าจะเข้ามาคว้าแขน แต่ผมจะไม่ยอมกลับไปอีกแล้ว


          “Don’t touch me!”
          เพียะ ผมปัดมือพี่มันทิ้งอย่างแรง แต่เพราะอารมณ์ที่ปะทุขึ้นเลยทำให้ดูเหมือนว่าผมตบมือพี่มันทิ้ง สายตาพี่มันดูอึ้งกับสิ่งที่ผมกระทำผม แต่จะให้ทำยังไง ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่สถานการณ์นี้ผมไม่กล้าจะพูดประโยคนั้นออกมาแน่ ไหนๆ ก็ลาขาดกัน ผมก็ขอลาขาดอย่างคนที่มีศักดิ์ศรี


          “พี่ไม่ต้องลาออกไปไหนทั้งนั้น เพราะผมจะลาออกเอง “ พูดพร้อมกับสาบานในใจว่ามันจะเป็นน้ำตาหยดสุดท้ายที่จะมอบให้คนตรงหน้า


          “จากนี้ไป..ผมจะไม่อยู่ให้พี่เห็นหน้าอีก!”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทักทายสักนิด
สั้นๆ ซูด มาม่า เล็กน้อยก่อนจบ ถถถถ



ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0

เมนูที่ 11 :  วิสกี้แกล้มใจ กับ จอมมารจอมตื้อ...Part 1

          สับ!

          สับ!

          สับ!

          ปัง ปัง!!

          “Are you angry somebody?” คำถามสงสัยดังมาจากโต๊ะกินข้าวข้างหลัง วันนี้ผมตื่นแต่เช้า(นอนไม่หลับ) เลยแอบแวะไปเดินตลาดเล่นๆ จึงได้ปลากระพงสดมาตัวหนึ่ง กับเนื้อหมูอีก 2 กิโล และเสียง ‘ปัง ปัง’ สะเทือนปฐพีเมื่อครู่นี้ คือผมกำลังสับหมูอยู่บนเขียง สับไปสับมาหน้าไอ้พี่ขิตก็ฉายวับเข้ามาในหัว เลยเผลอออกแรง(ระบายอารมณ์)เยอะกว่าปกติ

          “Nope” เอี้ยวใบหน้าหันมาตอบคนที่อยู่ข้างหลังพักหนึ่ง ก่อนผมจะกลับมามีสมาธิกับการสับหมูอีกครั้ง

          ตอนนี้ผมกำลังทำอาหารเช้า ซึ่งเมนูอาหารข้าวที่ผมจะทำวันนี้คือ ข้าวต้มหมูสับทรงเครื่อง จะว่าไปแล้วถึงจะเป็นเมนูง่ายๆ แต่ผมกลับไม่ชอบทำเสียเท่าไร เพราะผมชอบอะไรที่รวบรัดกว่านั้น เป็นเบรคฟัสต์แบบปกติทั่วไป มีไข่ดาว แฮม เบคอนทอด พร้อมขนมปังกรอบอะไรพวกนี้ แต่ก็แปลกอยู่เหมือนกันที่เลือกเมนูนี้ขึ้นมาทำ..

          คิดดูดีๆ ข้างในใจผมคงอยากทำอะไรที่ใช้เวลาให้นานหน่อยล่ะมั้ง เผื่อจะได้ลืมเรื่องที่ไม่อยากนึก

          ใช้เวลาเกือบประมาณ 20 นาทีได้ ในที่สุดผมก็ทำข้าวต้มร้อนๆ หม้อเบอเริ่มส่งกลิ่นหมอฉุยจนเสร็จ ผมหยิบชามขาวขึ้นมา ใช้ช้อนตัดตักลงในชาม โรยหน้าด้วยพักชีนิดหน่อยให้มีสีเขียวตัด ก่อนจะเดินมาเสิร์ฟให้แดดดี๊สมิธที่นั่งรอข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหารอย่างใจจ่อ

          “ข้าวต้มหมูสับครับ” ผมว่า มิสเตอร์สมิธยิ้มกริ่ม ก่อนจะก้มตัวลงไปเล็กน้อย แล้วใช้มือขาวปัดกลิ่นอาหารขึ้นมาสูดดม ราวกับกำลังเทสกลิ่น

          “อื้ม Great!” ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มบ้าง ก่อนผมจะหันหลังคิดไปตักข้าวเช้าของตัวเองบ้าง แต่ระหว่างที่กำลังตัก ก็ได้ยินเสียงพ่อเอ่ยขึ้นมา

          “Um..But I think it has something wrong.”

          มีอะไรเหรอวะ? หรือมันไม่อร่อย

          ผมหันกลับไป แดดดี๊สมิธกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม เท้าค้าง สายตาท่านกำลังมองตรงมาทางผม เรียกให้คิ้วขมวดเข้าหากันหน่อยๆ

          “ปกติแล้ว ลูกไม่ทำอาหารแนวนี้เท่าไร” ผมร้อง ‘อ้อ’เบาๆ นึกว่าเรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร ก่อนจะหยิบชามข้าวต้มของตัวเอง เดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับพ่อ

          “ผมก็แค่กลัวพ่อจะเบื่อ ถ้าต้องกินอะไรแบบเดิมๆ” พูดไปพลางคนข้าวต้มในชามตัวเองไปพลาง ถึงจะเป็นข้าวเช้า แต่ผมกลับไม่ค่อยหิวเท่าไร มิสเตอร์สมิธมองผมอย่างเอ็นดู

          “ทำไมพูดอะไรแบบนั้น พ่อจะเบื่อได้ยัง” ผมยิ้มกับคำตอบนั้น ก่อนจะชิมข้าวต้มฝีมือตัวเองบ้าง

          อืม..ก็ไม่เลว

          กินได้เพิ่มไปอีกสองสามคำ คนเป็นพ่อที่นั่งฝั่งตรงหน้าก็วางช้อนลง เสียงแสตนเลทที่แตะลงบนชามกระเบื้องทำให้ผมเงยหน้าขึ้น คนเป็นพ่อยิ้มอ่อนๆ

          “You know?,Sometime people like to judge a book by its cover. น่าเสียดาย”(รู้มั้ย บางครั้งคนเราก็ชอบตัดสินอะไรจากภายนอก)

          แย่ล่ะ..ประโยคแบบนี้มาอีกแล้ว สัมผัสได้ทางเนื้อในอ้อมๆ ว่าท่านคงรู้อะไรสักอย่างเดียวกับผม ถึงได้พูดแบบนี้ออกมา แต่ว่าจะให้ผมตอบยังไงตอนนี้ล่ะ

          ตัดสินคนจากภายนอก ผมเนี่ยนะ?

          “พ่ออยากพูดอะไรกับผมกันแน่” พูดออกไปเสียงธรรมดา แดดดี๊สมิธลูบเคราไรไรของตัวเองสักพัก แล้วก็ตอบ

          “พ่อแค่อยากจะเตือนลูกว่า สิ่งใดก็ตามที่ลูกเห็น มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ลูกเข้าใจไปหมดทุกอย่าง”

          นั่นไงจริงๆ ด้วย พ่อ! พ่อรู้อะไรมาน่ะ! ต้องเกี่ยวกับไอ้พี่ขิตแน่ๆ แต่พ่ออย่ามาเป็นคำคมแบบนี้! พ่อด่าเลยเถอะว่าลูกชายคนนี้มันเอาแต่ใจไม่ฟังคนอื่น

          “Like a people.You never knows if you don’t ask him.” (ก็เหมือนกับผู้คนทั่วไป คุณจะไม่มีวันรู้จักเขาถ้าคุณไม่ถามเขา)

          จึก! เหมือนโดนเข็มแหลมๆแทงทะลวงเข้ามาที่กลางใจ ทั้งปวดทั้งเจ็บ ข้อความของพ่อหมายถึง ผมจะไม่มีวันรู้อะไรเลยถ้าผมไม่ถามออกไป..ใช่..เหมือนกับว่าตอนนี้ผมเผลอคิดอะไรทุกอย่างไปคนเดียว แต่คำตอบของพี่มันเมื่อวานมันก็ทำให้ผมเจ็บมามากพอแล้ว ถึงจะมีเรื่องค้างคาใจ แต่จะให้ผมถามให้ได้อะไรอีก มันคงไม่มีอะพีคเท่ากับพี่ขิตมันไม่เห็นค่าผมเลย

          ผมถอนหายใจ..คิดว่าถ้าพ่อขึ้นมาแบบนี้แล้ว อาจจะรู้แล้วก็ได้ว่า..ผมอาจจะมีปัญหากับพี่มัน แต่อาจจะยังไม่รู้ความลับขั้นสุดยอดกว่านั้น

          “Are you talking about my boss?” ถามไปตรงๆ แดดดี๊สมิธ ยักไหล่เบาๆ

          “Maybe”

          “Dad..” ผมกดเสียงต่ำ มองตาพ่อตัวเอง แต่ให้เถอะมิสเตอร์สมิธนี่ช่างดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าคิดอะไร คนเป็นพ่อยืนขึ้น ก่อนดีดนิ้วดัง ‘เปาะ’

          “ลูกรู้ว่าต้องควรทำอะไร”

          “No.”ผมตอบสวน “I don’t know anything!.” เผลอพ่นออกไปอย่างหงุดหงิดพร้อมกับลุกขึ้นยืนหันหลังให้พ่อตัวเอง

          บ้าฉิบ! ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรนักหนา เวลาพูดถึงเรื่องพี่ขิตที่ไรเป็นอันต้องควบคุมสติตัวเองไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะ..ผมอาจจะหวังในตัวพี่มันไว้มาก..แล้วไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้

          เกิดมาเป็นคนเข้มแข็งอยู่ตั้งนาน แต่กลับมาอ่อนแอเพราะคนเดียวมันก็ไม่ใช่เรื่อง ในหัวของผมตอนนี้ กำลังพร่ำบอกประโยคหนึ่งซ้ำว่า ‘กลับเถอะ’ เพื่อลบทุกอย่าง

          “ผมจะบินกลับอังกฤษ เดือนหน้าพ่อคงไม่ว่าอะไร” ผมหันกลับมาพูดกับพ่ออีกครั้ง สีหน้าของมิสเตอร์สมิธดูทึ่งในคำตอบของผมมาก แต่ไม่ช้าสายตาที่ตกตะลึงนั้นก็อ่อนลง แล้วเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ

          “ลูกโตแล้ว พ่อเชื่อในการตัดสินใจของลูก” ผมเม้มริมฝีปากลง ไม่รู้ทำไมคำพูดนี้ของพ่อถึงทำให้ผมรู้สึกผิด ก่อนมิสเตอร์สมิธจะค่อยๆ เดินเข้ามา แล้ววางมือลงบนศีรษะ ลูบเบาๆ

          “But if  you run away from your problems , you will never win.”

          ถ้าวิ่งหนีปัญหาไป สิ้นสุดแล้วเราจะไม่มีวันชนะ..

          ใช่..ไม่มีวันชนะเลย ทิ้งได้สะเทือนจริงๆ



•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

          ​ผ่านไปสามวัน...

          แดดดี๊สมิธนั่งเครื่องกลับกรุงเทพไปแล้ว ส่วนผมก็ยังคงหมกตัว นอนตายอยู่ในบ้านไม่ไปทำงานเลยตั้งแต่วันนั้นที่ทะเลาะใหญ่โตรัชดาลัยกับไอ้พี่ขิตมัน ผมก็ง่อยกินอยู่บนโซฟาทั้งวี่ทั้งวัน

          ตอนนี้ถ้าถามว่าผมรู้สึกดีขึ้นมั้ย?

          I don’t know. มันไม่รู้จริงๆ ว่า จะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไง It like something in my mind. แต่ผมไม่รู้จะอธิบายมันยังไง ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็เหมือนกับมีบางอยากติดคอล่ะมั้ง รู้ว่ามี แต่ไม่รู้จะเอาออกยังไง

          ตลอดหลายวันมานี้ พี่ขิตโทรหาผมนะ แต่ผมไม่รับสายพี่มันเลย เพราะเป็นแบบนั้นหรือเปล่าคนตัวใหญ่ที่ปกติจะชอบทำอะไรตามใจตัวเองถึงไม่กล้ามาหาด้วย

          ถึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันไม่ถูกต้อง และงี่เง่าแค่ไหน ที่อยู่ๆ ก็หยุดไปโดยไม่บอกไม่กล่าวใคร ทำตัวเหมือนเด็กที่ไร้ความรับผิดชอบ แยกแยะไม่ได้ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อร่างกายประท้วงอย่างเดียวว่า ‘ไม่อยากทำอะไรเลย’

          ครืน..

          [Ringtone]

          (#*%^)#%(^) อปป้า! (*&#^%)(^% อปป้า!

          โทรศัพท์ที่ตั้งไว้บนโต๊ะเล็กหน้าโซฟากำลังสั่น ผมที่นอนอยุ่บนโซฟาดูดพลังชำเหลืองปรายสายตาไปมอง มีเบอร์แปลกๆ โทรมาอีกแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเบอร์แบบนี้โทรมา แต่เพราะผมเดาว่าน่าจะเป็นไอ้พี่ขิตเลยไม่กล้ารับ

          ผมหยิบขึ้นมันมาดูอย่างช่างใจ..ถ้าเกิดเป็นพี่มันจริงๆ ผมควรทำไง รับดีมั้ย?

          เม้มริมฝีปากลง ก็ดีถ้าเกิดเป็นพี่มันผมจะยอมเปิดใจครั้งนี้ครั้งสุดท้ายคุยดู

          “ครับ”

          “มาดื่มกันหน่อยมั้ยเชฟ”

          ถึงกับชะงัก...เสียงนี่มัน

          “เปรม” ผมเรียกชื่อคนปลายสาย คนที่คิดว่าใช่ส่งเสียง ‘หึ’ กลับมา ก่อนพูดต่อ “เผื่อจะช่วยตัดสินใจได้เร็วขึ้น คืนนี้ผมจะรอที่ร้านผมนะครับ” แล้วมันก็วางสายไป..เดี๋ยวนะ สรุปผมตกลงว่าจะไปหามันแล้วใช่มั้ย?

          “…”

          เออไปก็ได้วะ...นานๆ ไปเจอหน้ากวนตีนๆ ของไอ้เปรมเปลี่ยนอารมณ์หน่อยก็ดี



•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••



          สองทุ่มตรง ในที่สุดผมก็ขับรถมาร้านไอ้เปรมจนได้ บรรยากาศในร้านยังคงไสตล์เดิมเป็นกึ่งร้านอาหารกึ่งบาร์ แบบผู้ดีมีกิน วันนี้มีดนตรีสดเล่นเพลงสากลเพราะๆ คลอด้วย ทำให้คนในร้านค่อนข้างเยอะกว่าปกติ

          ผมเดินเข้าไปบริเวณบาร์ เห็นคนตัวสูงกำลังนั่งหันข้างถือแก้วไวน์ แปลกแฮะ...วันนี้คนตรงหน้าแต่งตัว ดูดีเป็นพิเศษ แถมยังเซ็ตผมทรงตั้งๆ ให้ดูเท่อีก

          มึงจะหล่อไปไหนวะ?

          “เห...มาจริงๆ ด้วย” เพราะสัมผัสได้ว่าผมแอบวิจารณ์มันด้วยสายตาอยู่ห่างๆ ล่ะมั้ง ไอ้เปรมมันเลยหันขวับ ก่อนโบกไม้โบกมือทักทาย

          ผมเบะปากนิดๆ ก่อนจะทำใจค่อยๆ เดินไปนั่งกับเจ้าของร้านวัยหนุ่มข้างๆ

          “สักหน่อยมั้ย?” เมื่อนั่งปุ๊บ เปรมมันถาม แต่ไม่รู้จะถามหาพระแสงอะไร เพราะมันก็รินให้ผมอยู่ดี

          ผมหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา ออกแรงที่ปลายนิดๆ ที่ก้านแล้วเพื่อให้น้ำองุนหมักในแก้วหมุนวนอยู่ในแก้ว อืม...กลิ่นหอมดี ส่วนรสชาติก็ ลองชิมนิดๆ..ไม่บาดคอ ดื่มง่าย

          ท่าทางจะของแพง

          อยู่คุยกันอีกสองสามประโยคถามสารทุกข์สุขดิบกัน สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ ไอ้เปรมมันแน่ะนำ ชิมนู้นชิมไปเรื่อยๆ จนสงสัยว่านี่กูมาปรับทุกข์หรือว่า มารายการอาหารพาเพลิน

          แต่ก็ดีนะ ที่ไอ้เปรมยอมอารัมภาบทก่อนที่จะพาผมเข้าเรื่อง จริงๆ ผมก็คิดว่ามันก็คงอยากรู้ล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คงไม่กล้าถามตรงๆ คงรอให้ผมปรับสภาพและคุ้นเคยก่อน ส่วนผมเองกลับคิดว่าทั้งๆ ที่เดิมที คิดว่ามันเป็นศัตรู แต่ตอนนี้ผมแค่อยากระบายกับใครสักคน ให้หายอึดอัด ก็เท่านั้น

          นั่งฟังเพลงเบาๆ ไปสักพัก ในที่สุดเปรมมันก็ถาม

          “ทำไมถึงไม่มาทำงานล่ะครับนี่มันจะครบอาทิตย์นึงแล้วนะครับ”

          “ฉันว่าจะลาออก” ผมพูด พร้อมกับยกไวน์ขึ้นมาจิบแก้เซ็ง เปรมมันเลิกคิ้วเหมือนไม่เชื่อหู

          “แปลกนะ...ปกติแล้ว คนที่เคร่งเรื่องหน้าที่ตัวเองไม่น่าจะทำตัวแบบนี้นะครับ”

          วางแก้วเลยกู

          “นายเรียกฉันมาด่าหรือไง” ผมว่า เปรมหัวเราะเบาๆ

          “เราก็แค่เป็นห่วงน่ะ”

          ข้อความนั้นทำเอาผมชะงัก...รู้สึกใจสั่นแปลกๆ ไม่ใช่ว่าผมหวั่นไหวหรืออะไรมันกับไอ้เปรมมันหรอกนะ ผมแค่คิดว่าถ้าคนที่ผมชอบได้สักครึ่งหนึ่งของคนคนนี้ก็คงดีไม่น้อย แบบคิดอะไรก็พูดความรู้สึกของตัวเองแบบนั้น

          ผมเม้มริมฝีปากลง ก่อนจะหลบสายตาเข้มๆ คู่นั้น มองออกไปยังลานเวทีที่ตั้งอยู่ตรงเอ้าท์โซนของร้าน บางทีรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกันที่เผลอคิดอะไรแบบนั้น

          “รู้มั้ยว่า พอเชฟไม่มา หัวหน้าก็เหมือนไม่มีสมาธิเท่าไร ล่าสุดก็ทำน้ำมันลวกมือตัวเองไป” สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมตกใจหันขวับมามองหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่พอคิดไปคิดมาแล้วผมจะเป็นห่วงคนแบบนั้นเพื่ออะไร

          “นายมาบอกเรื่องนี้กับฉันทำไม”

          “เราเบื่อกับบรรยากาศแบบนี้น่ะสิ” เปรมเท้าคางตอบด้วยรอยยิ้มเรียบๆ ส่วนผมทึ่ง รู้สึกจุกแปลกพูดอะไรไม่บอก ไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบหาคนอื่นด้วย

          “บางที ถ้าเชฟไม่ต้องการอยู่ต่อแล้วจริงๆ ก็ควรทำอะไรให้เด็ดขาด” เปรมว่า แต่ทำไมเหมือนมันพูดประชดผมยังไงไม่รู้ เฮ้อ...เปรมยังไงมันก็คือเปรม ผมนี่ถอนหายใจเบะปากใส่เลย

          “ทำไม..คิดจะเสียบแทนฉัน” ผมว่า เปรมมันจิบไวน์ไปนิดนึงเหล่สายมองผม แล้วยักไหล่

          “ที่คิดจะเสียบน่ะไม่ใช่ตำแหน่ง แต่ตรงนี้ของเชฟมากกว่า” วางแก้วไวน์ลงเสร็จ นิ้วเรียวก็ชี้ตรงกลางอกของผม  เห็นการจีบเต๊าะ แบบนี้ผมก็หลุดหัวเราะ ก่อนจะจิบไวน์บ้าง ตอบมันบ้าง

          “เสียใจที่ทำให้อกหักนะ ฉันจะบินกลับอังกฤษสิ้นเดือนนี้”

          “ผมตามเชฟไปได้นะ”

          อื้อหือ...จีบเอาใจรัวๆ ผมมองหน้ามัน นี่มึงคิดอะไรบ้างมั้ยเนี่ย!

          “ซีเรียสนะ ผมตามเชฟไปได้ทุกที่ เป็นได้ทุกอย่างตามเชฟต้องการ แต่เชฟก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนให้ผมบ้างเหมือนกัน”

          เฮ้อ..นั่นไง ผมว่าจอมมารร้ายอย่างไอ้เปรมไม่มีทางเป็นแฟนที่ยอมก้มหัวให้คนรักทุกอย่างหรอก หมอนี่มันค่อนข้างโรคจิตและออกแนวซาดิสนิดๆ ด้วยเกรงว่าเป็นแฟนมันอาจจะต้องทำสัญญาทาสเหมือนนิยายฝรั่งสักเรื่อง พูดแล้วก็ขนลุกเห็นหน้าหล่อๆ คลูๆ แบบนี้ ซ่อนความดิบไว้แน่ๆ แต่ผมก็อยากรู้นะว่าทำไมมันถึงสนใจผมขนาดนี้

          “ทำไมถึงชอบฉัน” ถามออกไปตรงๆ คือผมไม่ได้คิดอะไรกับมันไง คำถามนี่จึงไม่มีอะไรต้องอาย ส่วนเปรมมันก็ดูไม่ตกตะลึงอะไรมาก ยิ้มตอบเสียงเรียบเสียอีก

          “รักแรกพบ บวกชอบคนพยศ”

          นั่นไง...



•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

(เดี๋ยวมาต่อ)
[/font][/size]

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 11 :  วิสกี้แกล้มใจ กับ จอมมารจอมตื้อ...Part จบ

          “นายควรไปคบกับม้า” ไล่แม่ง...ไอ้เปรมหัวเราะ แต่ท่าทางจะยังไม่เข็ด ใบหน้าหล่อเหลานั้นหันมามองผมพลางยิ้มกรุ่มกริ่ม ผมขมวดคิ้วหน่อยๆ แปลกแฮะปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบคุยไอ้หมอนี่เท่าไร แต่พอวันนี้ได้พูดบ้างกลับรู้สึกความอึดอัดที่อยู่ในใจหายลง

          “หัวหน้ามีอะไรดีเหรอครับ” มันถาม ทำเอามือที่กำลังยกแก้วไวน์ขึ้นชะงัก คำถามนี่ผมแทบไม่ต้องคิดเลย

          “ไม่มี”

          “อ่าว” ร่างสูงทำหน้าตกใจ

          “งั้นผมคงดีกว่า ไม่คบกับผมแทนล่ะ”
          นั่นไง ห้าบาทสิบบาทก้โยงเข้าตัวเองตลอด ผมอมยิ้มนิดๆ ถามอะไรของมันวะ

          “เปรม บางทีถ้านายจะจีบใครสักควรก็ควรจะมีอะไรที่โรแมนติกกว่านี้” พอแน่ะนำไป เปรมมันก็หัวเราะออกมา

          “พูดอย่างกับว่า ถ้าผมทำแล้วเชฟจะเปลี่ยนใจงั้นล่ะ”

          “ถ้าเมื่อก่อนนายไม่เริ่มต้นด้วยการข่ม หรือดูถูกฉัน....ก็ไม่แน่”

          “มันเป็นนิสัยผม เริ่มต้นด้วยเกลียด แล้วสุดท้ายก็..” มันทำดึงเข้าดึงออก

          “ตีน” ตีนอย่างเดียวไม่พอ แถมนิ้วกลางให้ด้วยไม่คิดตัง ใบหน้าหล่อเหลาเหวอไปเลย คงไม่คิดว่าผมจะพูดแบบนี้ ร่างร่างที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเกาแก้มแก้เก้อ

          “เชฟไม่มีความโรแมนติกเลย”

          “บางทีนายควรไปหาหมอพร้อมกับไอ้พี่ขิตมัน” ผมว่าอย่างขำๆ ก่อนจะยกไวน์ขึ้นมาจิบบ้าง ว่าแต่ทำไมผมต้องคิดถึงพี่มันทุกครั้งด้วย

          “ใจร้าย” เปรมมันทำเสียงหงอย แต่ขอโทษมึงไม่ได้ทำให้กูใจอ่อนเลยเปรม

          พักบทสนทนากับสักพักเพราะผมเริ่มหิวแล้วหาอะไรยัดลงท้อง กินไปกินมา ดนตรีสดที่เล่นอยู่ด้านนอกก็เริ่มเปลี่ยนเพลงใหม่ ถึงผมจะเป็นติ่งเกาหลี แต่จริงๆ ก็ฟังได้ทุกแนวนั้นล่ะ ฟังไปฟังมานักร้องก็ร้องได้อารมณ์มากจนเริ่มอิน ก่อนเปรมมันจะชวนผมคุยอีกครั้ง

          “เชฟ” มันเรียก ผมหันไป เวลานี้ผมเห็นประกายตาสุกใสแวววาวในดวงตาของเปรมมันชัดเจนมาก สีหน้าของอีกฝ่ายก็ดูจริงจังกว่าทุกครั้งจนผมเริ่มใจสั่นแปลกๆ

          “คบกับผมแทนหัวหน้ามั้ย?”
          คำถามครั้งนี้ทำเอาหัวใจเต้นกระตุกมากกว่าครั้งไหน ทั้งน้ำเสียงและแววตามันดูจริงจังกว่าจะพูดเล่นๆ ผมตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมั่นใจขนาดนี้ แต่จะให้ทำยังไงได้ ต่อให้ถามแบบนี้มา คำตอบของผมก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ว่าผมไม่ได้คิดอะไร

          “นายถามรอบสองแล้วนะ ไม่เข็ด? ไม่เจ็บบ้างเหรอ?” คิดว่ามันน่าจะทราบคำตอบของผมแล้ว ชายหนุ่มเลียริมฝีปากของตัวเอง ดวงตาของมันมองนิ่งอยู่ตรู่หนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะเท้าครางและคลี่ยิ้มตามสไตล์ของมัน

          “ก็ไม่...แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ค้างคากับความเป็นไปได้ในตอนนี้”
          ถึงกับสะดุ้ง ไม่ค้างคา? เปรมมันพูดเหมือนกับรู้ผมกำลังเป็นอะไร

          “หมายความว่าไง” ผมแกล้งขมวดคิ้วถามไป ร่างสูงยักไหล่เบาๆ

          “ก็แค่ไม่มีอะไรให้อึดอัดใจอีก ผมเป็นคนที่คิดอะไรก็พูด อยากได้คำตอบอะไรก็ถาม Easy” ถึงจะเป็นคำตอบง่ายๆ แต่ผมกลับสัมผัสได้ว่ามันแฝงข้อความเตือนใจบางอย่างเอาไว้ให้ผม ผมมองเปรมจิบไวน์ นิดๆ ขณะที่สายตาเรียวคมกริบยังจงมอผมไปด้วย

          อ่า..ปวดหัวจัง ไม่รู้ว่าเพราะไวน์นี่ หรือคำพูดของคนตรงข้ามกันแน่ที่ทำเอาเริ่มคิดมาก

          “อยากจะพูดอะไรกันแน่” ผมกดเสียงต่ำลง ถามคนตรงออกไป เปรมฉีกยิ้มมุมปากนิดดูเจ้าเล่ห์ ก่อนจะตอบ

          “ปกติเมื่อก่อน ผมเห็นเชฟไม่ใช่คนที่ชอบจะเก็บเรื่องอึดอัดอยู่กับตัว  แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไป เชฟจะคิดเยอะคิดแยะไปทำไม ในเมื่อคนคนนั้นที่คุณบอกว่าไม่มีอะไรดี แต่ทำไมถึงยังได้แคร์ขนาดนี้ ไหนบอกว่าไม่ค่อยสนใจหรือแคร์ใครไง” เปรมย้ำจนผมสะเทือนในใจแปลกๆ ราวกับคนตรงหน้ากำลังเตือนสิ่งที่ผมกำเป็นอยู่ในตอนนี้ว่ามันไร้สาระมากแค่ไหน

          “ผมว่าเชฟน่าจะเป็นคนแบบนั้นมากกว่า” ใช่ผมเป็นคนที่มั่นใจ ในสิ่งที่ตัวทำและเป็นอยู่ แต่มาถึงตอนนี้อย่างที่เปรมพูด มันเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่หนีความจริง กลัวที่จะต้องทราบคำตอบที่ทำให้เจ็บปวด

          อยากจะหัวเราะสมเพชตัวเองจริงๆ

          ผมยิ้มขื่นๆ ก่อนเปรมมันจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมมาตรงที่ผมนั่ง ตรงไหล่สัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่วางลงเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

           “Don’t forget be yourself no matter whatever they say.ผมชอบเชฟที่เป็นคนแบบนั้นนะ” (อย่าลืมตัวตนของตัวเองไม่ว่าคนอื่นจะพูดยังไงก็ตาม)

          รอยยิ้มเรียบๆ ส่งตรงมาให้ทว่ากลับเล่นงานหัวใจจนเต้นโครมคราม หากเป็นเมื่อก่อนผมคงตอบสวนมันไปแล้ว แต่เพราะโดนอีกฝ่ายจู่โจมความรู้สึกแทงใจจนอ่อนแอ ถึงผมรู้สึกไม่ได้ชอบพออะไร แต่ตอนนี้กลับเหมือนถูกทั้งดวงตา และใบหน้าหล่อนั้นสะกด

          ท่ามเสียงเพลงไพเราะ ร่างสูงโปร่งโน้มตัวลงมาใกล้ขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนมาหยุดใกล้ใบหู เสียงนุ่มทุ้มกระซิบเบาๆ           “มันน่ารัก”

          ฟรืบ!

          รีบลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ไม่ใช่เพราะคำหวานที่ไอ้เปรมพูดอะไรหรอก แต่เพราะสัมผัสได้ฝือที่ล้วงเข้ามากระเป๋ากางเกง!

          “ทำอะไรน่ะ!” ผมขึ้นเสียงดัง จนทั้งร้านหันมามองเป็นทางเดียว ไอ้เปรมมองผมด้วยแววตานึกสนุก มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ และเมื่อมือใหญ่ชูของบางสิ่งขึ้นมาให้ผมดู ก็ทำเอาเบิ่งตาค้าง

          กระเป๋าตังค์กู!

          “เอาคืนมานะ!”  ผมรีบพุ่งตัวเข้าไปแย่ง แต่ด้วยสัดส่วนความสูงที่ต่างกันริบลับ ทำให้เหมือนเด็กน้อยที่กำลังโดนผู้ใหญ่แกล้ง ผมพยายามคว้ามือมันทางซ้าย แต่มันย้ายไปทางขวา เอื้อมไปทางขวามันก็ย้ายไปทางซ้าย หนักขึ้นมันชูกระเป่าตังค์ผมจนสุดมือ ต่อให้ผมกระโดดคว้าก็ไม่ถึง เพราะแม่งสูงฉิบหาย สภาพแม่งโคตรอนาถ กูอยากจะร้องไห้

          “มื้อนี้ผมเลี้ยงนะ แต่ว่า...มีข้อแลกเปลี่ยน ผมขอยึดกระเป๋าเงินนี่ไป ถ้าเชฟอยากได้คืน พรุ่งนี้ให้มาเข้ากะเช้าพร้อมผมตอนตีห้า แล้วผมจะคืนให้”

          ผมอึ้ง! เหี้ยอะไรของมึงนี่

          “เอาคืนมา!” ผมพยายามพุ่งมือคว้าครั้งสุดท้ายแบบทุ่มสุดตัว แต่ก็นั้นล่ะ..ไม่ถึง เปรมมันเปียงตัวหลบไปอยู่ดี ร่างสูงหัวเราะชอบใจ ส่วนผมนี่หัวร้อนเลย ไอ้เปรมมึง!

          “เฮ้ๆ..เดี๋ยวผมต้องไปแล้ว พรุ่งนี้เชฟค่อยมาเอาคืนตอนตีห้า” มันกล่าวทิ้งท้าย ก่อนร่างสูงจะหันโบกมือลา ส่วนผมนี่ได้แต่ยืนอ้าปากค้าง สรุปก็คือมันอยากให้ผมไปทำงานสินะ แต่..แต่ ผมยังไม่พร้อมจะไปเผชิญหน้ากับใครอ่ะ แต่ถ้าไม่ไป โอ้ยแล้วกระเป๋าตังค์ล่ะ

          โถ่..กระเป๋าตังค์ลูกพ่อ!

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

          เช้าพรุ่งนี้มาถึงเร็วเท่าไฟกระพริบ ในที่สุดผมก็แบกความเกรี้ยวกราดที่ไอ้เปรมมันฝากไว้ล่อมาถึงโรงแรมตั้งแต่ตี 5 ตรง พอพวกเชฟเห็นผมกลับมาทำงาน ก็ทำหน้าทำตาอย่างกะเห็นผี แต่ผมไม่มีอะไรพูด เลยปั้นหน้ามุ่ยๆเปลี่ยนเสื้อเชฟไปอย่างไม่สนใจอะไร

          ที่ไอ้เปรมวางแผนแบบนี้คงไม่แคล้วว่าอยากจะให้ผมกับไอ้พี่ขิตเจอกันแน่ๆ แต่ถามว่าเจอแล้วจะมีอะไรดีขึ้นล่ะ?

          ก็ไม่...บอกเลยถ้าพี่มันไม่สนใจแล้วจริงๆ ก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดกับมันอีก งานนี้งอนแรงยาวยันชาติหน้า!

          เดินเข้ามาที่ครัวไทย ด้านในกำลังเริ่มจัดเตรียมข้าวของ จากตารางเวร วันนี้ไอ้เปรมจะเป็นหัวหน้าคุมงานกะเช้า ถึงฮีจะเป็นแค่ระดับคอมมี่เชฟ แต่ด้วยฝีมือและอะไรหลายๆ ทำให้ร่างสูงได้รับความไว้วางใจ ก็แน่ล่ะอีกไม่นานก็คงได้ขึ้นเป็นเดมี่คู่กับไอ้พี่ขิตมันแล้ว คงไม่มีอะไรเสียหาย แถมทุกคนที่นี่ก็ดูเกรงอกเกรงใจไอ้เปรมและให้ความเคารพมันอย่างดิบดี ทั้งๆที่ไส้ในมันเป็นปีศาจซาดิสต์ชัดๆ

          ผมมองไปรอบๆ ก่อนร่างสูงของคนคุมจะเดินเข้ามาทัก
         
          “ไง วันนี้เชฟคุมงานนะผมไม่คุม”

          อ่าวเชี่ยไรอะไรเนี่ยโยนงานกันง่ายๆ เลยผมจิ๊ปากใส่

          “วันนี้เวรมึงนะ อย่ามาโยน” ผมว่า มันยักไหล่

          “เวรผมก็จริง แต่ในเมื่อหัวหน้ามาแล้ว ฉะนั้นผมแต่ทำตามคำสั่งเป็นแค่ลูกมือ”

          ฟัค! นี่มึงเรียกกูมาเพื่อที่จะหลอกใช้ใช่มั้ย ผมถอนหายใจหนักๆ บอกตามตรงว่าไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่สั่งใครเท่าไร หัวสมองก็กลวงเบลอๆ หงุดหงิด

          “เร็วสิเชฟนี่ตี 5 กว่าแล้วนะ เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก อย่าลืมกระเป๋าตังค์เชฟอยู่ที่ผมนะ” รอยยิ้มร้ายกาจนั่นคลี่ออกมา ผมกลอกตา ในอกนี่เดือดปุดๆ

          โอเค ถ้ามึงอยากได้ฮิตเลอร์ในห้องครัวไทยตอนนี้ กูก็จะจัดให้!

          “มัวมองอะไรกันอยู่ เตรียมของกันสิ Now!”

          สงครามรอบเช้าผ่านจบลงไปอย่างไร้อุปสรรค ทุกอย่างราบรื่นเหมือนโรยกลีบดอกไม้ แต่แม่งเจ็บคอฉิบหาย ต้องคอยตะโกนต้องคอยเร่ง และคุมงานทุกอย่างในครัวให้ออกตรงเวลา ขณะที่มือก็ต้องทำอาหารไปด้วย ปกติผมเป็นแค่ลูกมือไอ้พี่ขิตไงไม่ต้องมาคอยนั่งแหกปากอะไร เอาแต่ฟังเสียแหวกทะเลของพี่มันเรื่อยๆ แต่วันนี้สลับกันนิดหน่อยตรงที่ผมเป็นคนคุมแล้วไอ้เปรมเป็นลูกมือ คอยทำนู้นทำนี่ตามสั่ง

          ตอนนี้ไม่มีงานอะไรหนักๆ แล้ว ผมเลยมานั่งพักที่ห้องล็อคเกอร์ ปล่อยให้เปรมคุมที่เหลือ นั่งไปก็เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยแต่พอเวลาใกล้สิบโมงเท่านั้นล่ะ หัวใจผมมันเต้นแปลกๆ เหมือนรู้อยุ่แก่ใจว่าอาจจะได้เจอใครบางคนที่ยังไม่พร้อมจะเจอตอนนี้ และผมก็รู้เรื่องนั้นดี

          ถ้าพี่ขิตไม่เข้ากะเช้าตี 5 แสดงว่าพี่มันจะเข้างานตอน สิบโมงเช้า

          ผมเม้มริมฝีปากลง ในหัวสมองก็พยายามคิดว่าจะหาทางรับมือกับพี่มันยังไงดี เพราะผมต้องทำงานจนถึง 6 โมงเย็น หรือว่าจะลาขึ้นไปคุยกับเชฟใหญ่เลยว่าจะลาออก จะหาว่าผมหนีปัญหาก็ได้ แต่คือ ณ จุดๆ นี้มันเจ็บจนไม่อยากจะให้ใครมาซ้ำแผลเดิมแล้ว

          ทว่า..ระหว่างที่ขบคิดอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีเงาสูงโปร่งทาบทับลงมา ผมเงยหน้าขึ้นมา ผมขมวดคิ้วสงสัยคนตรงหน้าคือรองเชฟใหญ่วัยสี่สิบกำลังส่งยิ้มบางๆมาให้

          “คุณเมฆา” ผมลุกขึ้นพรวดพอเห็นเจ้าระเบียบของคนตรงหน้า ก็รู้เลยว่า เขามาพบผมเรื่องอะไร ผมกลืนน้ำลาย รุ้สึกสันหลังเย็นวาบแปลกๆ แต่ก็พยายามทำเป็นไม่ใส่ใจอะไร ก่อนซูเชฟจะเดินเข้ามาแล้วกล่าวข้อความสั้นๆ

          “เฮดเชฟเรียกพบที่ห้องน่ะ”

          เฮ้อ..งานเข้าแน่ๆ

          ผมพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขา แล้วเดินไปที่ห้องของเฮดเชฟที่อยู่ชั้นบน
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

          “คุณไม่มาทำงานเกือบอาทิตย์ มีอะไรจะพูดกับผมมั้ย”
          บรรยากาศความกดแทรกเข้ามาทันทีที่ผมก้าวเข้ามาให้ทำงานของเฮดเชฟ ถึงน้ำเสียงจะไม่ได้ฟังดูตึงเครียดอะไรมากแต่ด้วยเพราะผมรู้ตัวเองดีว่าได้ว่ากำลังทำเรื่องงี่เง่าและไร้ความรับชอบ ถึงได้รู้สึกแบบนั้น หากที่เมืองนอกผมอาจโดนตวาดและแถมด้วยการไล่ออกแน่ๆ

          “I apologize”

          “Can you explain?”ผมเม้มริมฝีปาก ก่อนจะส่ายหน้า “ผม..ขอโทษครับ” ก้มศีรษะลง แล้วกล่าวเป็นภาษาไทย มีความอึดอัดอยู่ในใจ ผมคิดว่าเฮดเชฟคงผิดหวังและโกรธผมมากแน่ๆ แต่ยังผมก็ไม่สามารถพูดว่าผมเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานจนเสียแบบนี้

          เฮดเชฟถอนหายใจหนักๆ ออกมา ก่อนจะเรียกผมให้เงยหน้าขึ้น

          “เราเป็นเด็กที่มีความสามารถ อนาคตไกล การเริ่มต้นเส้นทางนี้ด้วยการเป็นรองของหน่วยโรงครัวถือว่าเริ่มต้นได้ดีกว่าคนอื่นมาก การประพฤติตัวให้เหมาะสมกับหน้าที่เป็นสิ่งจำเป็นนะ” เขาว่าส่วมผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว ยอมรับว่าทำให้ผิดหวังมากๆ เฮดเชฟหยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะ กวาดสายอ่านผ่านๆ อยู่สักพักแล้วก็มองหน้าผมอีกครั้ง

          “ฉันคุยกับพอลแล้ว เขาอยากให้ฉันช่วยดันเธอขึ้นเป็นCDP และตอนนี้มีหนทางอยู่ รู้ใช่มั้ยว่าโอกาสนั้นมาได้ยังไง แล้วหมายความว่ายังไง” คำที่เหมือนเป็นนัยยะนั้นทำเอาผมหายใจไม่ค่อยสะดวกเท่าไร หากเป็นเมื่อก่อนผมคงโนสนโนแคร์ไม่ว่าใครจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ตอนนี้ผมกลับไปใช้ความรู้สึกนั้นไม่ได้แล้ว ถ้าผมรับผมจะไม่เหลือศักด์ศีรใดๆ อีก แล้วจะกลายเป็นว่าผมไปขอรับเศษอาหารจากคนอื่น

          ใช่ผมกระหายความยิ่งใหญ่ แต่ถ้าทางเดินมันเละเทะมาก ผมก็ยินจะกลับไปสู่เริ่มต้น แล้วเริ่มต้นใหม่ดีกว่า

          “ผมไม่สามารถได้ครับ...แต่ผมจะขอรับผิดชอบด้วยการลาออก” ผมกล่าวด้วยเสียงจริงจัง ใบหน้าวัยห้าสิบปลายๆของเฮดเชฟดูทึ่งกับคำตอบของผมมาก แต่ไม่นานก็ปรับเปลี่ยนเป็นปกติแล้วส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ

          “เธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอก นอกจากฉันจะไล่เธอออกเอง แต่ฉันไม่ทำ..”
          ตามสัญญาการทำงานแล้ว ความจริงผมยังอยู่ในช่วงทำโปรอยู่ ถ้าเป็นงานทั่วไปอาจจะทำได้ แต่สำหรับเชฟตำแหน่งรดับเดมี่ขึ้นไป มันไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำง่ายๆ ผมเข้าใจดี

          “งั้นผมจะทำให้คุณไล่ผมออกเอง” ผมว่า จะหาว่าผมสติแตกแล้วเริ่มกร้าวร้าวก้ได้ แต่ผมไม่เลือกทางเลือก แล้วไม่มีเหตุผลที่อยู่ที่นี่อีกแล้ว

          พ่อผมอาจจะต้องผิดหวัง

          ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะผิดหวัง

          แต่มันคงดีกว่าถ้าผม อยู่พร้อมกับหัวใจตัวเอง

          ทว่า..ถึงผมจะพูดแบบนั้นไป เฮดเชฟกลับไม่ดุด่าหรือว่ากล่าวอะไรผม สายตาของหัวหน้ากุ๊กใหญ่ที่สุดของโรงแรม มองลึกเข้าไปในดวงตาผม มันไม่ใช่สายตาดุดันแต่เป็นสายตาที่ดูเเป็นห่วงมากกว่า

          “เด็กที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและมุ่งมั่นวันนั้นหายไปไหนแล้วนะ พอลคงเสียใจที่ลูกตัวเองเป็นแบบนี้” ข้อความนั้นทำเอาผมกัดริมฝีปาก

          ใช่ พ่อผมชื่อ พอล สมิธ เขาคาดหวัง แต่ปูทางให้ผมเอาไว้มากแต่ผมกลับทำมันพังเสียเอง ผมไม่โทษใครแต่เป็นเพราะผมอ่อนแอเองต่างหาก

          “ผมจะกลับอังกฤษ” ผมว่า เฮดเชฟเอามือลูบคางตัวเอง แล้วพยักหน้าหน่อยๆ ผมนึกว่าเขาอนุญาต แต่ที่จริงกลับเปลี่ยนประเด็น

          “รู้หรือเปล่าว่าเชฟลิขิตลาออกเพราะเหตุผลอะไร” คำถามนั้นทำให้เกิดความสงสัยขึ้นในอก ผมขมวดคิ้ว หัวใจเต้น ตึกตัก ไม่เป็นจังหวะเลยสักนิด

          “เขาบอกกับฉันว่าอยากออกไปเปิดร้านของตัวเอง”

          “ผมทราบครับ”

          “แต่ก่อนหน้านั้น เขาถามฉันว่าถ้าทางครัวไทยออกพร้อมกันทั้ง CDP และ เดมี่ จะเป็นไรมั้ย?”
          หืม...ลาออกทั้ง CDP และ เดมี่? เดี๋ยวนะ

          “ผมไม่เข้าใจ”

          “แน่นอนว่าฉันตกใจ และเป็นปัญหาแน่นอน เชฟลิขิตทำงานที่นี่มานานเรียกได้ว่าแทบจะเป็นคนเก่าคนแก่ ความสามารถเขาเป็นเฮดเชฟได้สบายแต่เขาไม่ทำเพราะชอบทำอาหาร แต่...ที่แปลกคือเขาไม่ชอบหิ้วใครไปไหนมาไหนด้วย มันอดสงสัยไม่ได้ เลยถามว่าเป็นเดมี่คนนั้นเป็นใคร แล้วเขาก็พูดชื่อเธอ”

          อะไรกัน..ไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องนี้จากพี่มันมาก่อนเลย ผมรุ้ว่าพี่มันจะไปทำร้านอาหารจริงๆ แต่กลับไม่เคยรุ้เรื่องพี่มันจอยากจะพาผมไปด้วย

          อะไรวะ...คิดไปคิดมา อยู่ๆก็นึกถึงตอนที่คิดว่าพี่มันถามคำถามลองใจ

          "คล้าว มึงอยากมีร้านเป็นของตัวเองป่าว?"


          "ก็อยากมีนะพี่ คนทำอาหารทำไมจะไม่อยากมี ถามไรแปลกๆ"


           "แล้ว...ถ้าร้านในความฝันมึงเป็นร้านแบบที่มึงไม่ได้คาดหวังไว้ มึงโอเคป่ะ?"


          "จะบ้าเหรอพี่ คนระดับผมทำทั้งที มันก็ต้องทำให้เหมือนฝันหรือยิ่งใหญ่กว่าฝันดิ ที่คิดไว้อาจจะต้องเป็นร้านอาหารอิตาเลียนหรูๆ หรือในโรงแรมห้าดาว เป็นระดับ Top ประเทศได้ก็ยิ่งดี ถึงจะไม่ได้หวังว่ามันจะได้ในวันนี้  แต่ผมคิดว่าผมมีความพยายามให้ขึ้นไปสู่จุดนั้น I will try try try and try...จนกว่าจะถึงที่สุดแล้วของตัวเองนั้นล่ะ "



           นึกถึงประโยคที่พูดกับพี่มันแล้วใจก็หล่นวูบ หรือว่าพี่มันคิดมากเรื่องนั้นจนไม่กล้าบอกว่าจะไปทำอะไร

          โอ้ววมายก็อต!!

          “ตอนแรกฉันบอกว่าไม่อนุญาตถ้าไปพร้อมกัน 2 คน ถ้าไม่มีคนมาแทน เขาเสนอชื่อคอมมี่มาคนนึงให้ขึ้นเป็นเดมี่ เพื่อให้รับหน้านี้แทนเธอ แล้วเสนอให้เธอขึ้นเป็น CDP แทนตัวเองชั่วคราว ระหว่างที่รอ CDP คนใหม่เข้ามา ที่ฉันก็ตกใจอยู่เหมือนกัน ที่อยู่ๆเค้าก็ยื่นใบลาออกมาคนเดียว แถมเธอยังมาบอกฉันอีกว่าจะกลับอังกฤษ สรุปแล้วยังไม่ได้คุยเลยเหรอ”

          ยิ่งฟังก็ยิ่งก้เหมือนกับใจกำลังจะพังทลาย มันเป็นเพราะคำพูดของผมทำให้พี่มันน้อยใจ แต่..
           “เฮดเชฟครับ ถ้าไม่อนุญาตให้ผมลาออก ก่อนหน้าที่ผมจะรับตำแหน่งผมมีเรื่องอยากจะถาม” พอได้ยินคำถามหัวหน้าเชฟใหญ่ก็เลิกคิ้วสงสัย ขณะที่ในใจของผมตอนนี้มีคำตอบบางอย่าชัดเจนอยู่ในหัวแล้วว่าจะอะไรเป็นอันดับแรก

          “เชฟลิขิต อยู่ที่ไหนครับ?”

          กูจะไปตบกะบาลพี่มัน แล้วแง้มให้ดอกพิกุลมันร่วงออกจากปากนั่น!

          ห่า เรื่องแค่นี้ ทำไมไม่พูด! ไอ้คนเถื่อนขี้งอนเอ้ย!

+++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด
         ส่งคล้าวไปตามหาพี่ขิตโล่ด ป่ะ แยก สปินออฟ ไปแต่งเปรมอีกสักเรื่องงสงสารนาง ถถถถถถ

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูที่ 12 : คล้าวกระโดดกำแพง... Part 1



And I am telling you I'm not going.

ซะเมื่อไรล่ะ ถ้าชาตินี้ไม่ได้แง้มเอาดอกพิกุลออกจากปากพี่มัน ผมคงนอนไม่หลับแน่ๆ คนบ้าอะไรตัวก็ใหญ่อย่างกับหมีควายแต่กลับมาน้อยอกน้อยใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ยอมรับก็ได้ว่าผมมีส่วนผิดอยู่มาก แต่ใครมันจะไปรู้ว่าเรื่องที่ผมคิดว่าพี่มันพูดเล่นๆ มันจะกลายเป็นเรื่องจริงจัง

จะโทษว่าผมเป็นคนประเภทเฟาวล์เม้าท์ หรือที่คนไทยเรียกว่าปากมาก ปากหมาก็ไม่ถูกเท่าไรนะ เพราะถ้าพี่มันเริ่มด้วยคำถามซีเรียส ผมจะให้คำตอบพี่มันดีกว่านี้

หนักกว่านั้นคือ พี่มันเอาคำพูดผมไปคิดมาก และตัวเองก็ไม่ยอมอธิบายอะไรเลยสักอย่าง มันน่าโมโห มันน่าหงุดหงิด

นี่ไม่ได้ไปตามง้อนะ! แต่จะตามไปตบหัวหมี ว่าคิดอะไรบ้าๆ

ถึงใจจะร้อน 40 องศามากแค่ไหน ทว่าในช่วงนี้เป็นช่วงปลายเดือดธันวาคม โอ้ว..คริสมาสตร์ ปีใหม่ มากันให้ตรึม และด้วยความที่โรงแรมสุขังนี้เป็นโรงแรมที่ผสมผสานวัฒนธรรมมากๆ จึงจัดมันทุกงานเทศกาล นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาหรรษาสำหรับเชฟ

ห้ามขาด ห้ามลา และห้ามตาย! เพื่อลูกค้า

ฉะนั้นแผนการที่วางไว้ว่า จะเป็นนักสืบโคนันไปตามหาไอ้พี่ขิตมันจึงเป็นอันต้องหยุดพักไว้ชั่วคราว แต่จริงๆ ก็ไม่ถือกับหยุดซะทีเดียว ระหว่างนั้นผมก็พยายามหาช่องทางติดต่อไปด้วย แต่อย่างที่รู้ๆ พี่มันปิดเครื่อง ไม่มีสัญญาณตอบรับ

เจ็บช้ำเคืองโกรธมาก จะเอาอะไรทำไมไม่คุยให้รู้เรื่องวะ? ผมไม่ยอมให้จบแบบนี้หรอก

“เชฟครับไม่ไปดูดอกไม้ไฟฉลองปีใหม่ด้วยกันเหรอ”

ขณะนี้เวลา 23.50 นาที ใกล้ข้ามปีแล้ว แต่คงเป็นเพราะไอ้เปรมมันเห็นผมเอาแต่หมกตัวกดมือถืออยู่ในครัวทั้งๆ ที่ไม่มีงานอะไรจะต้องทำแล้วล่ะมั้ง มันถึงได้ทักขึ้นมา

เนื่องจากวันนี้ มีบริษัทนอกแห่งหนึ่งเหมาห้องอาหารไทยไปทั้งครัวเพื่อจัดปาร์ตี้ ตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึงจะบอกว่า ห้ามลา ห้ามขาด แต่เอาจริงๆ แล้วใครๆ ก็อยากจะอยู่ฉลองกับครอบครัวในวันพิเศษแบบนี้ อีกอย่างแม้งานประเภทจัดเลี้ยงต่างๆ จะเป็นของครัวแบ้งเควทที่ต้องรับผิดชอบ แต่เพราะอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย เขาเลยขอใช้คนจากที่นี้ช่วยไปด้วย

และผม...ผู้ซึ่งเพิ่งก้าวมาเป็น CDP ณ ครัวไทยได้เมื่อต้นเดือน ประกอบกับความผิดมหันที่ก่อไว้ทำให้ไม่สิทธิ์ปฏิเสธ(เฮดเชฟจ้องจะเขมือบ) สุดท้ายเลยต้องมาคุมงานอยู่ที่นี่ พร้อมกับคนอื่นๆ และเปรมก็เป็นหนึ่งในนั้น

“เราว่าเชฟควรออกมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างนะ ทำหน้าเครียดแบบนั้นตลอดจะแก่ก่อนวัยนะ”

ตอนนี้เปรมขึ้นมาเป็นเดมี่เชฟ หรือรองเชฟเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือปากของมัน ถึงจะเข้าใจเจตนาว่าเป็นห่วงผมก็เถอะ

“หนวกหูน่ะเปรม” เงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์พักหนึ่งเพื่อตอบมันโดยเฉพาะ ก่อนผมจะก้มลงไปส่งเมสเสจให้เพื่อนๆ ที่อยู่ต่างประเทศไปเรื่อยๆ เพราะที่อังกฤษคงเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว

“เหลือเวลาอีก 7 นาที” ตอนนี้เวลา 23.53 น.  แต่ผมกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเป็นพิเศษเท่าไร ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แล้วหันมามองเปรมที่ยืนพิงเค้าน์เตอร์อยู่ด้านหน้าห้องครัว

“นายออกไปดูเถอะ”

“ไม่อ่ะ ปีใหม่สำหรับเราก็เหมือนๆ เดิม” ร่างสูงยักไหล่เล็กน้อย ผมพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้สนใจว่าเปรมจะมีเหตุผลอะไรเท่าไร บิดขี้เกียจไปสักพักพลางแอบหาวเบาๆ เปรมมันก็ถาม

“ว่าแต่..เชฟวางแผนอะไรไว้เหรอครับ หลังจากนี้น่ะ” คำถามที่ได้ยินทำเอาชะงักเล็กน้อย ผมเม้มริมฝีปากลง ครุ่นคิดว่าควรจะบอกสิ่งที่ผมกำลังวางแผนไว้ดีมั้ย

ผมมองหน้าเปรมนิ่งๆ บางทีผมอาจจะควรบอก เพราะผมต้องพึ่งพาเจ้าตัวเหมือนกัน

“ก็มีอยู่ แต่ฉันอาจจะต้องให้นายช่วยด้วย” ผมว่า ร่างสูงกระพริบตาปริบๆ เหมือนไม่เชื่อหูตัวเองว่าผมจะพุดคำนี้ออกมา แต่สักพัก รอยยิ้มเรียบๆ ก็จุดตรงมุมปากของเดมี่หน้าใหม่

“ค่าตัวผมแพงนะ” อ่า..ว่าแล้วต้องเป็นแบบนี้ ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนกอดอกสั่ง

“ไว้เก็บดอกเบี้ยจากพี่ขิตมันแทนแล้วกัน”

“Yes your highness” จบด้วยท้ายโค้งหัวรับคำสั่งราชีนีล้อเลียน ผมยิ้ม 

เฮ้อ..อีก 3 นาที จะข้ามปี ผมควรออกไปดูดอกไม้ไฟเหมือนอย่างที่ไอ้เปรม หรือไปฉลองเหมือนกับคนอื่นเขามั้ยนะ แล้วพี่มันกำลังจะทำอะไรอยู่

ได้แต่จ้องมองโทรศัพท์แล้วบีบมันไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

2 อาทิตย์ผ่านไป ในที่สุดผมก็ได้ลาหยุดยาวกับเขาบ้างเสียที (เนื่องจากปีใหม่ไม่ได้หยุด เลยเก็บวันลาไว้ลาช่วงนี้แทน) ตอนนี้ผมกำลังเริ่มภารกิจฟิชโช ในการสืบเสาะหาข้อมูลของไอ้พี่ขิตมัน

จากตอนแรกที่ผมรู้ความจริง ต่อวันที่เฮดเชฟเรียกผมเข้าไปคุย ผมก็รู้แค่ว่าพี่ขิตลาออกโดยให้เหตุผลแค่ว่าจะไปเปิดร้านอาหาร

แต่ไม่ได้บอกใครเลยว่าบ้านพี่มันอยู่ไหน แล้วจะไปเปิดที่ไหน ทางเฮดเชฟก็ดีดี๊ ไม่มีความอยากเผือกข้อมูลของพนักงานเลย ทั้งๆ ที่มันออกจะเป็นมาเฟียในโรงแรมแท้ๆ

ดังนั้น ด้วยความเฉลียวฉลาดของผม ผมจะขอเริ่มนับหนึ่งจากห้องที่พี่มันเคยอยู่

แมนชั่นป้าเขียม..

วันนี้ผมแต่งตัวชิวๆ แต่ในความชิวนั่นมีความดูดีไฮคลาสตามฉบับของผม พอขับรถมาจอดไว้ข้างๆ เสร็จ ผมก็เดินเตาะแตะเข้ามาด้านใน แมนชั่นไอ้พี่มันไม่ได้หรูหราอะไร ออกแนวโทรมๆ เก่าๆ ประตูเหล็กก็ขึ้นสนิทไม่ยอมเปลี่ยน แถมมีตุ่มมังกรใส่น้ำอยู่หน้าแมนชั่นด้วย กำแพงตึกก็ร้าวเลื้อยเป็นลายแผนที่ นี่ถ้ามาตอนกลางคืนคงน่ากลัว

มีป้าคนหนึ่งนั่งดูทีวีเกาไฝอยู่ที่หน้าเค้าน์เตอร์ ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย วิเคราะห์แล้วป้าน่าจะรู้ทุกสิ่ง และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนในแมนชั่น

ผมเดินเข้าไป

“ขอโทษนะครับ ป้ารู้จักคนคนนี้มั้ยครับ?” ไม่รอช้า ขี้เกียจอารัมภาบท ผมก็เปิดรูปไอ้พี่ขิตจากในโทรศัพท์แล้วยื่นให้ป้าดู ป้าถึงกับต้องไปคว้าแว่นมาใส่แล้ว ขมวดคิ้ว ก่อนจะร้อง

“อ๋อ..เชฟขิตเหรอ เขาย้ายออกไปแล้วหนู” ป้าแกว่าพร้อมกับคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร

“เอ่อ..เขาย้ายไปไหนเหรอครับ” ผมถามต่อ ป้าแกทำหน้านึกอยู่สักพัก ก่อนจะตอบ

“เหมือนจะกลับบ้านเลยมั้ง วันนั้นป้าเห็นเขาขนของออกไป แล้วก็ยกเลิกสัญญาเช่าห้องเลยน่ะ” พูดจบป้าแกก็ขมวดคิ้วมองผมจริงจังขึ้นเหมือนสงสัย

“มีอะไรกันหรือเปล่าจ๊ะ?” จ้องเหมือนจะจับผิด แต่จริงๆผมก็เตรียมคำตอบไว้แล้วล่ะ

“เอ่อ..พอดีว่าพี่ขิตเขาลืมของสำคัญไว้น่ะครับ แต่ผมติดต่อเขาไม่ได้”

“ถ้าเป็นของสำคัญเขาต้องพยายามติดต่อเรากลับมาสิ”

*ป๊าบ!* รู้สึกเหมือนโดนอาจุนม่าแอคแทค ตบหัวจนจุกพูดไม่ออกยังไงไม่รู้ เออมันก็จริงของป้าฉิบหายล่ะจะตอบป้ายังไงดี เงียบไปสักพัก ป้าก็เอียงคอซ้ายเอียงขวาที แล้วมองดูผมอย่างสำรวจ

“แต่ว่า ป้าคุ้นหน้าเราอยู่นะ” พอป้าเปิดประโยคมาแบบนี้ หัวใจก็พองขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกเหมือนพบทางออก

“เราใช่มั้ยที่ขับรถมารับเชฟขิตบ่อยๆ” Yes!..ผมรีบพยักหน้ารัวๆ

“ใช่ครับผมเอง คนที่ขับ BM มาส่งไอ้..เอ่อ พี่ขิตบ่อยๆ” เกือบหลุดด่าไปแล้ว แต่ยังไงก็ต้องสุภาพเอาไว้ก่อน

“อ๋อ ตอนแรกนึกว่าชาวต่างชาติที่ไหน” ว่าจบป้าก็หัวเราะออกมาเบาๆ ผมโล่งใจ

“’ป้าวางใจได้ผมสนิทกับพี่มัน” คลี่ยิ้มบางๆ นิด ๆ โปรยเสน่ห์ตามฉบับผม แต่ไม่รู้ทำไมป้าถึงได้ดูเครียดขึ้น มือท้วมๆของป้ายกขึ้นมาเกาศีรษะ

“ถึงจะว่างั้นก็เถอะนะ แต่ป้าไม่รู้อะไรนี่สิ” ป้ามุ่ยหน้าลงอย่างเสียไม่ได้ ขณะที่หัวใจของผมซึ่งกำลังพองโตอย่างมีความหวังกลับเหี่ยวฟีบลง

แค่เริ่มต้นก็เจอทางตันแล้ว แล้วแบบนี้จะหาพี่มันยังไง นี่จะต้องเลิกทั้งๆ แบบนี้จริงๆ ผมไม่ยอมหรอกนะ ต่อให้ต้องไปประกาศทางเน็ต ลงเว็ป Pantip ผมก็จะทำเพื่อให้ได้เจอพี่มัน

“แต่ก็..รู้แค่ว่าบ้านเขาอยู่จังหวัดอุบลฯน่ะ” ขณะที่กำลังคิดว่าจะเอายังไง อยู่ๆ ป้าก็พูดข้อมูลหนึ่งขึ้นมาจนผมเหมือนได้รับความหวังอีกครั้ง

“เหรอคับ!?” ผมถามอย่างไม่เชื่อหู

“ใช่ๆ เขาเคยเอาของฝากอุบลฯมาฝากป้าด้วยเป็นปลาร้าน่ะ แต่ป้าไม่รู้หรอกนะว่าบ้านเขาอยู่ส่วนไหนของอุบลฯ”

ผมครุ่นคิด บ้านพี่แม่งอยู่อิสานเลยเหรอว่ะ แล้วมาทำงานข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นเชฟที่ภูเก็ตเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ แต่อย่างไงก็ต้องขอบคุณอาจุนม่าเขียมที่ทำให้ผมรู้ข้อมูลสำคัญ

“แค่นี้ก็ช่วยเลยแล้วครับ ขอบคุณมากครับป้า” ผมว่าก่อนจะรีบยกมือไหว้ขอบคุณตามมารยาทของไทยเรา

ตอนนี้ผมรู้ข้อมูลที่ 1 แล้ว เหลือวันหยุดอีก 4 วัน ปฏิบัติการต่อไปก็คือ หว่านแห!

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ในคืนนั้นเอง พอได้ข้อมูล ผมก็รีบจองตั๋วเครื่องบินในรุ่งขึ้น เพื่อไปยังจงหวัดอุบลราชธานี แต่จะไปคนเดียวมันก็ยังไงอยู่ ผมเลยโทรไปขอพ่อ บอกให้ลุงโจนส์ไปเป็นเพื่อนหน่อย ตอนแรกพ่อถามผมว่าผมจะไปทำไม เล่นเอาใบ้กินไปเลย เพราะจะตอบว่าไปหาไอ้พี่ขิตมันก็ยังไงอยู่ ผมเลยต้องจำใจโกหกไปว่า ผมจไปดูงานอิสระที่จังหวัดอุบลฯ ฟังไม่ขึ้นใช่มั้ยล่ะ? และก็เชื่อว่าถ้ามิสเตอร์พอลสมิธยกโทรศัพท์ถามเฮดเชฟเพียงคำเดียวคงได้คำตอบทุกอย่าง

แต่โชคดีพี่พ่อเชื่อ เลยไม่ทำแบบนั้น

ใช้เวลาเดินทางเวลาประมาณ 3 ชัวโมง 45 นาที ผมก็มาถึงยังท่าอากาศยานอุบลราชธานี ส่วนลุงโจนส์ผมบอกให้นั่งเครื่องที่ดอนเมืองตามมาที่อุบลฯ

ตอนนี้เวลา 11.45 น. ผมลองกดโทรศัพท์โทรหาไอ้พี่ขิตมันอีกครั้ง แต่ก็ลงล็อคแบบเดิมคือไม่มีสัญญาณตอบรับ

ผมถอนหายใจ...ช่างแม่งคิดว่าจะหนีผมพ้นเหรอ

พอผมเจอลุงโจนส์ครบองค์ประชุมแล้ว ก็เช่ารถมาคันหนึ่ง ขนของเข้าท้ายรถเสร็จด้วยกระเป๋าคนล่ะใบ ผมก็ยื่นซองเอกสารบางอย่างให้ลุงโจนส์เปิดดู แต่พอเห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน ชายวัยเกิน 40 ก็หันมาถาม

“คุณหนูจะเอาแบบนี้จริงๆ เหรอครับ”น้ำเสียงดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมเห็นว่าเรื่องมันไม่มีอะไรเสียหาย อีกอย่างจังหวัดอุบลฯ มันกว้างมาก ถ้าไม่ทำแบบนี้ ภายใน 4 วันผมหาไอ้พี่ขิตมันไม่เจอแน่ๆ

“แบบนี้ล่ะ ลุงโจนส์ผมฝากด้วยนะครับ” ผมว่า ลุงโจนส์พยักหน้าแบบเสียไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ก่อนลุงจะออกรถ ตรงไปโรงแรมที่พักซึ่งผมจองเอาไว้ ระหว่างตามหาไอ้พี่ขิต

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ผ่านไป 2 วัน ทุกอย่างยังคงเรียบร้อยก็จริง แต่ก็เงียบเกินไปจนผมใจแป่ว จนต้องแอบภาวนาพระผู้เป็นเจ้าตลอดว่า ขอให้เจอพี่มัน เร็วๆ นี้

สำหรับแผนการในการตามหาพี่มัน เพื่อความรวดเร็ว ผมเลยใช้วิธีประกาศ

แต่ไม่ใช่ประกาศจับนะ

แต่เป็นประกาศตามหาคนดี(?) สร้างเรื่องบิ้วอินในเว็บพันทิพย์ประมาณว่า บุคคลในรูปเป็นบุคคลที่เคยช่วยชีวิตผมไว้ บลาๆ ผมอยากจะตามหาเขาเพื่อทดแทนบุญคุณ

มีคนสนใจหัวข้อกระทู้ผมเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าหลายตาหลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ขณะที่ผมใช้ลุงโจนส์เอาประกาศตามหาไอ้พี่ขิต นี่ไปแปะให้ทั่วๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อตามหาพี่มัน หากใครทราบข้อมูลก็ให้ติดต่อมาที่เบอร์ผม

คือเล่นใหญ่มากรัชดาลัยมาก แต่ผมมีเวลาจำกัดไงถ้าไม่ทำแบบนี้ ก้ไม่รู้ว่าจะเจอพี่มันเมื่อไร ถึงประกาศที่ผมทำจะเหมือนประกาศจับโจรปล้นขมขื่นก็เถอะ...

         แต่โทรศัพท์ก็ยังคงเงียบฉี่...

ระหว่างที่รอโทรศัพท์ นั่งเล่นนอนกลิ้งอยู่ในห้องไปสักพัก ในที่สุดโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะหัวเตียวก็สั่น

[Ringtone]

*&@%*&^@$ อปป้า! ฿&#%^$*& อปป้า!

อปป้าพี่มาแล้ว!

“ครับ” ผมรีบรับทันที

“คุณเมฆา สมิธ ใช่มั้ยครับ?” ปลายสายถาม ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่ขึ้นประโยคมาแบบนี้มีแววว่าจะต้องเจอพี่มันแน่ๆ ผมรีบตอบรับทันที ”ใช่ครับ!”

“เอ่อใบปลิวที่คุณประกาศเอาไว้น่ะครับ ตอนนี้มียายคนนึงมาโวยวายที่ โรงพัก อยากให้คุณมาชี้แจ้งน่ะครับ”

หะ?..ยาย? โรงพัก?

“ยายบอกว่า ยายจะฟ้องคุณนะครับ”

เฮ้ยๆ ยาย อย่าเพิ่งเล่นใหญ่ตาม

ว่าแต่ทำไมผมถึงมีลางสังหรณ์นะว่ายายอาจจะรู้จักพี่มัน

“ที่ไหนครับ ผมจะรีบไป”


ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
​เมนูที่ 12 : คล้าวกระโดดกำแพง...part จบ

13.57 น.

ผมก็มาถึงโรงพักที่คุณตำรวจแจ้งพร้อมกับลุงโจนส์ พอก้าวขาเปิดประตูเข้าไปข้างในได้ก้าวเดียวเท่านั้น เป็นอันต้องผงะ มียายนุ่งผ้าถุงใส่เสื้อคอกระเช้าคนนึงกำลังโวยวายเป็นภาษาอิสานลั่นโรงพัก เจ้าหน้าที่ต่างพากันวุ่นวายกันใหญ่

“นี่มันอะไรกันหลานกุไปทำอะไรให้!” ไม่ว่าเปล่า ยายถือใบปลิวโบกใส่หน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ผมขมวดคิ้วจนเป็นปม

นี่ผมเขียนใบประกาศผิดเหรอ คิวแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาดูไฟล์รูปที่เขาถ่ายไว้  พอตรวจอ่านก็พบว่าข้อความทุกอย่างยังเหมือนเดิม พี่ขิตพ่อยอดแมนช่วยเหลือคน ไม่เห็นมีอะไรเสียหายตรงไหน แล้วทำไมยายถึงหาว่าผมไปใส่ร้ายไอ้พี่ขิตมัน

หรือว่ายายไม่รู้หนังสือ

“คุณเมฆาใช่มั้ยครับ!” พอเห็นผมเข้ามายืนหัวโด่ในโรงพัก นายตำรวจคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาหา ผมพยักหน้าอย่างงงๆ เป็นจังหวะที่สายตาเขี้ยวปั๊ดของยายหันมาพอที แล้วจากนั้น พวกเราก็ถูกจับนั่งไปด้วยกัน..

แต่อย่างที่คิด ทีแรกยายโวยวายมากไม่คิดจะรับฟังผมเลยสักนิด พอรู้ว่าผมป็นคนติดใบประกาศนั่น

“มึงเหรอที่แปะประกาศหาว่าหลานยายเป็นคนไม่ดี” มาถึงก็ขึ้นมึงขึ้นกูอย่างไม่ไว้หน้า แต่ไม่เป็นไรผมไม่ถือสาอะไรอยู่แต่ที่ผมสงสัยคือ ผมเขียนใส่ร้ายไอ้พี่ขิตมันตรงไหน

“เอ่อ..ไม่ใช่ครับยายผมเขียนว่า..คนในภาพเนคนดีเขาช่วยชีวิตผมไว้ ผมอยากจะพบเขาน่ะคับ” ผมค่อยๆ พูดกับยาย แต่ดูเหมือนผู้สูงอายุตรงหน้าจะไม่เชื่อ

“มึงอย่ามาโกหกนะ!” ถึงกับขึ้นเสียงใส่ ตอนนี้ผมอยากกลอกตาจริงๆ รู้สึกปวดหัวขึ้นมาตะหงิดๆ ทำไมการตามหาไอ้พี่ขิตมันถึงยากเย็นขนาดนี้ แต่ช่างเถอะ บางทียายคนอาจจะรู้อะไรถึงได้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วเมื่อกี้ผมได้ยินยายพูดว่า หลาน? อาจจะเป็นไปได้ว่ายายรู้จักพี่ขิต?

“ผมไม่ได้โกหกครับ ยายลองอ่านใบประกาศนี่ดูดีๆ ซะก่อน” ผมว่าพลางยื่นใบกระกาศให้ยายไปอ่านใหม่ ยายจิ๊ปากหน้าบอกบุญไม่รับ แต่ก็กระชากรับมาอย่างจำใจ

ยายขมวดคิ้วจนยู่ย่น หรี่ตาจนมองไม่เห็นลูกตา พลิกซ้ายทีขวาที แล้วสุดท้ายก็...

“นั่นมันกลับหัว ยายอ่านหนังสือออกมั้ยครับ” ผมไม่ได้ดูถูกนะ เพียงถ้าอ่านไม่ออกมันจะเสียเวลา

“เอ็งอย่ามาดูถูกข้า!”

“...”ผมว่ายายต้องอ่านไม่ออกแน่ๆ เอาหัวพี่ขิตเป็นประกัน

“ถ้ายายไม่เชื่อ ให้เจ้าหน้าที่อ่านให้ฟังมั้ยครับ” ผมเสนอ ยายจ้องหน้าผมเขม็งทำเอาขนลุก พอผมเบือนสายตาไปขอความช่วยเหลือจากลุงโจนส์ พ่อบ้านวัยสี่สับกลับผินหนีออกไปข้างนอกเสียอย่างงั้น

เฮ้อ..ขอบคุณลุง

เสียเวลาหัวหมุนเพราะความแต่ใจของขอยายไปจนเกือบบ่ายสาม สรุปแล้วคนที่อ่านก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่ใช่อ่านคนเดียวนะ! เพราะแกเล่นให้รอบเกือบทั่วทั้งโรงพัก สุดท้ายกว่าจะยอมเชื่อก็เสียเวลาไปมาก

ผมนี่นั่งกุมขมับเหมือนไมเกรนจะกินเลย

“จริงเหรอ! ไอ้ขิตมันเคยช่วยเอ็งไว้เหรอโถ่ไอ้หมาขิต หลานยายช่างเป็นคนดีจริงๆ”พูดไปอยู่ๆยายก็ซาบซึ้ง ผมรู้ล่ะว่าพี่ขิตติดนิสัยอินดี้มากจากใคร

เป็นไงล่ะยายหน้าแตกสิ..แต่ไม่เป็นไรยายแค่พาผมไปหาพี่มันก็ เดี๋ยวหลานยายก็จะแตกเป็นเพื่อนยายแน่(หัวแตกนะ)

แต่ตอนนนี้ผมพอจะเดาได้แล้วว่ายายคนนี่เกี่ยวข้องยังไงกับพี่ขิต

 “เขาเป็นหลานของยายเหรอครับ”

“แม่นแล้ว” ยายตอบแทบจะทันที ส่วนผมพยักหน้าเรียบ พลางอมยิ้มไว้ที่มุมปาก ก่อนยายจะพูดขึ้นต่อ

“มันพักอยู่กับยายไปสิๆ เดี๋ยวยายจะพาไปหาไอ้หมามัน”

ยายว่า บทจะง่ายก็ง่ายเหมือนปลอกกล้วย บางทีผมก็สงสัยตัวเองเหมือนกันนะว่า

นี่กูแคร์ผู้ชายรุ่นลุงจนต้องมาทำอะไรแบบนี้เลยเหรอวะ?

..เอาเป็นว่าภารกิจที่สอง Mission Complete

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ล่วงเลยมาถึงตอนเย็น จากโรงพักมาบ้านยายน่ะไม่ไกลเท่าไร แต่ที่นานเพราะยายขอให้ผมแวะตลาดซื้อของเข้าบ้านด้วย ไอ้ผมก็ใจดีไง เลยบอกให้ลุงโจนส์ขับไป แล้วไปเลือกซื้อของเป้นเพื่อนยายด้วย

ยายชมว่า ผมตาถึง เลือกวัตถุดิบทุกอย่างได้แน่ ก็แน่สิ..ผมเป็นเชฟนี่! แต่ก็ไม่ได้เลือกบอกความจริงยายไปหรอกนะว่าผมเป็นใคร และเกี่ยวข้องยังกับพี่ขิต

ตอนนี้หัวใจของผมร้อนมาก อยากจะเจอพี่มันใจแทบขาด แต่ก็ต้องอดทนปั้นหน้ายิ้มแย้มและช่วยยายถือของไปทั้งแบบนั้น

ซื้อของจนแทบเหมาตลาดจนเสร็จ ผมก็ให้ลุงโจนส์เร่งขับรถไปส่งยายที่บ้านทันที

ยายบอกทางเป็นสำเนียงอีสาน บางคำก็ฟังออกบางคำก็ฟังไม่ออก สุดท้ายก็ต้องดูแค่ภาษามือกับคำบอกใบ้ ซ้ายขวาหน้าหลัง

ทางเริ่มทุระกันดารขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มมุ่ยหน้า จากพื้นถนนคอนกรีต เริ่มกลายเป็นทางลูกรัง จากตึกสูงทัดเริ่มเป็นทุ่งนาทั้งสองฝั่งฟาก มองผ่านๆ ก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘ควาย’ และไก่เดินไปเดินมา

นี่บ้านพี่มันอยู่แบบนี้จริงๆเหรอวะ?

ผมสงสัย ไม่อยากนึกถึงสภาพบ้านพี่มันเลยตอนนี้

ขับผ่านทางลูกลังมาอีกประมาณสิบหานี จนถนนแคบลงเรื่อยๆ ในที่สุดยายก็บอกให้ลุงโจนส์หยุดรถ ผมรีบส่องสายตาดูสถานที่ให้ชัดๆ

ใช่จริงๆ ด้วย..ใจเต้นตึกๆ สิ่งที่ผมคิดเป็นจริง บ้านพี่ขิต คันทรี้มาก ฝั่งตรงข้ามเป็นทุ่งนานโล่ง ก่อนจะเข้าตัวบ้านมีทางเดินแคบๆ แล ต้องเดินข้ามสะพานไม้..เอ่อไม่สิ สะพานเศษไม้ข้ามธารน้ำเล็กๆเข้าไปอีก แล้วน่าจะเดินอีกประมาณ สามร้อยเมตรกว่าจะบ้าน

“ที่นี่ล่ะจ๊ะ” ยายว่าพร้อมกับยิ้มแย้ม ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไปให้ ก่อนผมจะสั่งให้ลุงโจนส์ช่วยขนของ และผมก็เดินไปเข้าไปด้านในพร้อมยาย

โชคดีที่อากาศไม่ร้อนแบบที่คิดไว้เท่าไร ถึงขึ้นชื่อว่าภาคอีสานแล้วอากาศประเทศย่อมทำพิษจนร้อนตับแตก แต่ที่นี่กลับตรงกันข้าม ไม่ร้อนไม่เย็นเรียกได้ว่าอากาศกำลังดี แถมมีลมอ่อนๆ พัดไหวให้รู้สึกสดชื่นด้วย

เข้าไปถึงด้านในสุด ผมก็เห็นตัวบ้านพี่ขิตของพี่มันเต็มๆ ตา จะว่าไงดี ผมคงต้องลบภาพที่จินตนาการในหัวเอาไว้เสียหน่อย ตอกแรกผมนึกว่าพี่มันน่าจะประมาณบ้านไม้เก่าๆ โทรมๆ แต่พอมาเบิ่งเต็มๆ ตาถึงได้รู้ว่า เป็นเรือนไทยไม้สักแบบในสมัยก่อน มีใต้ถุนบ้าน ซึ่งมีตุ่มขนาดใหญ่ไว้เก็บน้ำ ส่วนชั้นสองมองจากมุมมองจากสายตาตรงนี้ก็ดูค่อนข้างกว้าง และแบ่งเป็น 2 ฝั่ง

ยายเดินจูงมือผมมานั่งมาบริเวณใต้ถุนบ้านของพี่มัน พร้อมกับลุงโจนส์ที่วางของลงบนโต๊ะ แต่พอมองซ้ายมองขวากวาดตาตามหาคนตัวใหญ่ไปเรื่อยๆ ผมกลับไม่เห็นพี่มันเลย

ไม่อยู่เหรอ?

 “สงสัยมันหลับอยู่ที่สวน” เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ ยายพี่ขิตเลยตอบคำถามในใจของผมให้ ผมเลิกคิ้วสงสัยนิดๆ นี่บ้านพี่มันกว้างขนาดไหนกัน มีสวนด้วย?

“ไปหาไอ้ขิตมันก่อนก็ได้ ระหว่างนั่นเดี๋ยวยายจะทำอะไรให้กินนะ” ยายผายมือไปด้านหลัง..เหมือนจะบอกว่าสวนอยู่ตรงนั้น ส่วนผมได้แต่แอบดีใจที่ยายใจดีกับผม ผิดกับตอนที่อยู่ที่โรงพักลิบลับ ใจดีจัง คลี่ยิ้มตอบรับ “ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไร ไปหามันเถอะ นานๆ จะมีคนถามถึงมันบ้าง” เข้าใจเลยว่าทำไมยายถึงพูดแบบนั้น เพราะพี่มันคงเป็นประเภทโนเฟรนชิพแน่ๆ ตั้งแต่พี่มันทิ้งอุบลฯแล้วไปทำงานข้ามทะเลที่ภูเก็ต ไม่แปลกใจเลยทำไมเพื่อนพี่ที่นี่มันน้อย

“ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกลุงโจนส์ได้เลยนะครับ ลุงโจนส์ก็ทำอาหารเก่ง” ผมว่าพร้อมรอยยิ้ม คุณยายพยักใบหน้ารับเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนผมจะขอตัวเดินออกไปตามพี่มันที่สวน และพอเดินออกมาจนพ้นสายตายายแล้วผมก็รีบเปลี่ยนโหมดคนดีของตัวเองในทันที

ไอ้พี่ขิต วันนี้มึงโดนกูแน่!

•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

เดินชมนกชมไม้มาเรื่อยๆ จริงๆ ก็รู้อยู่แล้วบ้านพี่มันคงกว้างมาก เพราะถึงขนาดมีสวนมะม่วงอยู่ในบ้านก็คงไม่ใช่ธรรมดา แถมยังมีคูนำสายเล็กๆ ไว้ใช้สำหรับสูบน้ำขึ้นมาจากตัวปริทเตอร์รดน้ำอีก แต่..ผมก็สงสัยอยู่อย่างนะ ถ้าบ้านที่มันมีเนื้อที่ขนาดนี้ ถ้าเกิดมีโจรบุกเข้ามาพี่มันจะรู้เหรอว่า ลำพังแค่รั้วลวดหนามเตี้ยๆ นั่นคงกันไม่อยู่หรอก

ว่าแต่..ผมจะสนใจเรื่องความปลอดภัยทำไมวะ...เอ่อใช่ๆ ต้องเป็นห่วงยายพี่มันสิ เพราะยายคงอยู่คนเดียวตลอด เวลาที่พี่มัน มาทำงานที่ภูเก็ต แต่ก็โชคดีนะที่ยายดูแข็งแรงและทะมัดทะแมงมาก เผลอๆ สตรองกว่าไอ้พี่ขิตที่ใหญ่แต่ตัวแต่ใจปลาซิวอีก

นึกแล้วก็โมโห พี่มันอยู่ไหนวะนี่เดินมาจนจะสุดสวนแล้ว

เดินเลาะคูน้ำมาเรื่อยๆ ในที่สุด ปลายสายตาก็สังเกตเห็นร่างของใครบางคนกำลังนอนเหยียดตัว เอาหมวกฟางปิดหน้าตัวเองอยู่บนเปล

เดาได้เลยว่าต่อไม่ได้เห็นหน้า เห็นแต่ตีนใหญ่ที่กำลังเหยียดมา ก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นไอ้พี่ขิตแน่นอน ล้านเปอร์เซ็น!

ผมเม้มริมฝีปากลง ไม่ใช่เพราะผมพยายามระงับอารมณ์นะอย่าเข้าใจผิด แต่ผมกำลังมองหา’อาวุธ’ ต่างหาก! ที่จะทำโทษพี่มัน เดินย่องๆ เข้าไปแบบเงียบๆ พี่มันกำลังหลับไม่รู้ตัว

แหม..มีการเอาโต๊ะไม้เล็กๆ มาตั้งไว้ด้วยนะ บนนั้นมีต้มซุปอะไรสักอย่างหม้อเล็กๆ พร้อมกับขวดโค้ก แล้วก็แก้วน้ำพลาสติก

ชิวเชียวนะมึง! หึ...แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าจะตบพี่มันด้วยอะไร

ขวดโค้กเปล่าๆเนี่ยล่ะ!

“หลับสบายเชียวนะ” ผมเหยียดยิ้มชั่วร้ายใส่คนที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง แล้วจากนั้นผมก็...

โบ๊ะ!

“ผีลั่น!” คนตัวใหญ่สะดุ้งขึ้นมาโว้ยวายเปลแทบพลิก แถมยังสบถคำแปลกชวนขมวดคิ้ว

ยังๆ ยังไม่ยอมลืมตามาดูว่าคนที่ยืนค้ำหัวอยู่เป็นใคร

“โอ้ยยาย! ทำไรเนี่ย” ร่างใหญ่บ่นกระปอดกระแปดก่อนเอามือลูบหัวเอง ดูท่ามั่นใจมากว่าเป็นยายเลยไม่หันมาดู ผมเลยกลอกตา แล้วกอดอกพร้อมถือขวดโค้ก

“Who is your grandmother?”

เพราะเสียงผมแน่ๆ ท่าทางไอ้เลยดูชะงักไป ก่อนใบหน้าคมเข้มที่เพิ่งตื่นนอนนั้นจะหันมามองผมเต็มๆตา

“ไอ้คล้าว!”

โบ๊ะ!

“ฟัค ยู ไอ้พี่ขิต ทำไมพี่ไม่รับสายผม”

ไม่รอฉากปลื้มปิติดีใจห่าเหวอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ผมจะเอาเลือดหัวพี่มันออก ว่าแล้วก็ฟาดขวดโค้กใส่ไหล่พี่มันแรงๆ อีกสามที แต่พี่มันใช้แขนใหญ่ของมันรับไว้

อย่าบล็อคดิวะ

“มึงๆ เดี๋ยวใจเย็นๆ ก่อน..ที่นี่มันไม่มีสัญญาโทรศัพท์!” พี่มันอธิบาย ผมรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวขึ้นมาเช็ค

เอ่อแม่งไม่มีจริง...โอ้ยห่าเหวไรวะ ไหนบอกใช้ค่ายที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ทุกมุมไหนขอโลกก็จะมีสัญญาไง ห่าหลอกลวงฉิบ

แต่อย่านึกว่าเพราะเรื่องนี้ผมจะให้อภัยนะ ไอ้ขิตมึงรู้จักกูน้อยไป

“แล้ววันๆ พี่เอาแต่นอนตายที่นี่หรือไง ไม่คิดจะเดินไปไหนหรือโทรหาผมบ้างเหรอ!” ขึ้นเสียงด้วยความโมโห พี่มันลุกขึ้นยืนทำหน้าเหวอๆ ก่อนจะมือเกาหัวแก้เก้อ

“ก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยอยู่กับยาย มีตอนเอาไก่ไปหาหมอ แต่ไม่ทันถึงคลีนิคไก่มันก็กระเด็นหลุดมือเลยไม่ได้ออกนอกบ้าน”

“พี่มึงอย่าเอาไก่มาอ้าง ผมไม่ตลก”

“กูไม่ใช่คาเฟ่ มึงจะตลกทำไม”

โบ๊ะ!

นี่แน่ะ! มุกใช่มั้ย ตบแรงไปที่ท่อนแขนพี่มัน เล่นมุกไม่ถูกที่ถูกเวลา ถ้ามีมันยังตลกอยู่ผมจะเปลี่ยนจากปลายขวดเป็นฝาขวดฟาดกะบาลแม่งแล้วนะ จะได้เจ็บๆ ห่าตลกดีนัก

“เอาดีๆ” ผมกดเสียงต่ำ พี่มันมุ่ยหน้าหงอใส่แต่ก็ตอบ “จริงๆ กูไม่ได้ไปไหนเลยอยู่แต่บ้าน” พูดจบพร้อมกับทำตาใสซื่อใส่ ผมถอนหายใจ เงียบไปสักพัก คนตัวใหญ่ก็ถามขึ้นมาอีก

 “มึง..มาได้ไงยังไง”

“ผมเก่ง” กวนตีนพี่มันกลับ ร่างสูงร้องว่า ‘อ้อ’ ก่อนกลับหันหลัง

“ก็ดี งั้นกูไปก่อน”

โป้ก!

ไม่พุดเปล่าครั้งนี้ ผมเขวี้ยงขวดโค้ก หมุนสปินสิบแปดจังหวะใส่หัวพี่มันเต็มๆ  จนพี่มันต้องหันมาโวย

“เฮ้ยมึงทำอะไร!”

“ถ้าพี่หนีผมไปอีก ผมจะใช้โค้กขวดนี้ทุบทุบให้หัวแบะเลย” ไม่ได้ขู่นะ แต่คิดจะทำจริงๆ ผมก้มลงไปหยิบขวดโค้กที่กระเด้งกลับมาหาขึ้นมา

นี่กูกว่าจะหามึงเจอไม่ใช่เรื่องๆ นะเว้ย!

“กูควรกลัวมึงมั้ยเนี่ย” ร่างสูงจิ๊ปากอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง แต่ดูเหมือนอยากจะลองของ ร่างสูงใหญ๋หันหลังให้ผมอีกครั้ง ไม่รอช้าผมรีบพุ่งหลามเข้าไป แล้วรัวฟาดขวดโค้กตีๆใส่หลังพี่มัน ไม่ให้ได้หายใจ

*โบ๊ะ!**โบ๊ะ!*โบ๊ะ!

“โอ้ยๆ ก็ได้ กHได้ กูยอมแล้ว กลัวแล้ว หยุด หยุด!” พอพี่มันพูดแบบนั้นผมเลยหยุดมือ โยนขวดโค้กทิ้งแล้วจ้องหน้าพี่มันเขม็ง ไม่เคยรู้สึกโมโหขนาดนี้มากก่อน คนบ้าอะไร มีอะไรก็ไม่ยอมพูด พอมาถึงที่ก็ยังจะใจร้ายใจดำไม่สนใจ อยากได้อะไรทำไมไม่พูด

ไอ้พี่ขิตเอ้ย!

“พี่ผมเหนื่อยนะโว้ยต้องมาไล่ตามพี่เนี่ย พี่มีห่าอะไรก็พุดออกมาตรงๆ สิวะ จะหนีผมไปทำไม” ผมเปิดประเด็น ตอนนี้ไฟในอกมันท่วมท้นมาก ทั้งโมโหทั้งเสียใจ รุ้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ด้วย แต่ก็อึ้บเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมา

พี่มันหันมามองหน้าผมตรงบ้าง ก่อนจะกอดอกคุย

“แล้วมึงจะให้กูพูดอะไร” ได้ยินคำถามถึงกับควันขึ้น!

“ทำไมพี่ไม่บอกผมตั้งแต่แรกเรื่องที่จะกลับบ้านมาเปิดร้าน แล้วอยากให้ผมมาด้วย พี่จะเก็บให้น้ำลายมันบูดหรือไง”

“กูบอกแล้ว แต่มึงบอกไม่อยากมา แล้วดูมึงก็ไม่ค่อยถ้าต้องมาทำอะไรแบบนี้”

“แต่ผมเป็นแฟนพี่ป่ะวะ Boyfriends อ่ะเฮ้ย!?”

 “มึงอย่าพูดแบบนั้นกู รู้สึกเหมือนเป็นสาวน้อย”โอ้ย! ณ จุดนี้ อยากตบพี่มันจริงแล้วนะ เล่นอะไรไม่ดูเวลา

“สาวน้อยบ้าอะไรตัวก็อย่างกะหมีควาย พี่ไม่ต้องมาทำใจปลาซิวเลยนะ” ผมว่าอย่างคาดโทษ พี่มันผงะทันทีที่เห็นสีหน้าเอาเรื่อง แต่ ณ จุดๆนี้ไม่มีอะไรจะต้องเก็บเอาไว้แล้ว

“มึงดุจัง”

“ดุสิ! มีผัวใจเสาะ ขี้ใจน้อยขี้น้อยใจ ปากแข็งปากหนัก มีห่าอะไรก็บอกผมตรงๆก็ได้ปะ คิดว่าผมเป็นคนยังไงกัน อีกอย่างที่พี่ทำแบบนี้พี่เหมือนกำลังดูถูกผม ยังไม่พอพี่ยังทำให้ผมเหมือนคนที่ถูกฟันแล้วทิ้งด้วย!” ผมพูดในสิ่งที่ผมรู้สึกออกไปตรงๆ พี่มันหน้าเสียทันที

“คล้าว กูไม่ได้ตั้งใจให้มึงคิดแบบนั้น”

“มันไม่ทันแล้วพี่ รู้มั้ยว่าทุกวันผมต้องอยู่กับความรู้สึกแบบไหน พี่บอกพี่ทำเพื่อผมแต่จริงพี่ก็ทำเพื่อตัวเอง แถมยังทำร้ายผมอีกต่างหาก พี่มัน..” ไม่รู้จะด่าหรือจะพูดยังไงแล้ว ความจริงผมไม่ได้ต้องการให้บรรยากาศมันเป็นแบบนี้เท่าไรนะ แต่เหมือนผมจะควบคุณอารมณ์ตัวเองไม่ได้ พอเห้นหน้าพี่มันผมก้ระบายออกไปทุกสิ่ง

พี่ขิตถอนหายใจ ก้าวจะก้าวเข้ามาหาผม

“กูขอโทษ” ประโยคนั้นทำเอาผมเบิกตาเล็กน้อย แต่เอาจริงๆพูดตอนนี้มันก็ไม่มีประโญคอะไรเท่าไร ที่ผมอยากได้คือความจริงในหัวของพี่มันต่างหาก เพราะมันกำลังทำให้ผมเป็นบ้า

“กูไม่รู้จริงๆว่าจะทำให้มึงเป็นแบบนี้ กูนึกว่ามึงหมดรักคนลุงๆ แบบกูแล้ว หัวใจกูอ่อนแอ ทำใจเห็นหน้ามึงต่อไม่ได้เลยอยากจะลาออกให้เร้วขึ้น อีกอย่างมึนก็อายุยังน้อยอาจจะ!”

ผ๊าง!

“โอ้ย! มึงตบเอาๆ ห่าหัวกูไม่ใช่กลองนะเว้ย”

ตบสิ! พี่มันพูดห่าอะไรวะ นี่หรือสิ่งที่อยุ่ในหัวของพี่มันน่ะ บ้าฉิบหาย คิดอะไรแบบนี้

ผมจ้องหน้าพี่มันเขม็ง ด้วยความหงุดหงิดเกินบรรยาย ต้องด่าอีกเท่าไรพี่มันถึงจะเข้าใจ

“ขนาดนี้แล้วพี่ยังกังวลผมอีกเหรอ ถึงจะไม่รู้ว่าผมไปชอบพี่ได้ยังไง แต่รู้ไว้ว่าผมไม่ใช่ของฟรีที่ไม่ว่าอยากได้ก็ได้นะ ผมชอบพี่ อย่าถามถึงเหตุผล เพราะมันไม่มี ไม่รู้ห่าอะไรทั้งนั้น ส่วนเรื่องช่องว่างระหว่างวัย Please check ours relationship before you ask to me ok?”

ความจริงอยากจะให้พี่มันเช็คสมองด้วยนะ ดูเหมือนพี่มันชอบมีความคิดอะไรแปลกเสียเหลือเกินแล้วเพราะพูดออกไปแบบนั้น ร่างใหญ่เลยเงียบไปเลย ผมถอนหายใจออกมาบ้าง ก่อนมองตาพี่มันอย่างเอือมๆ

“ถ้าจะมีช่องว่างจริงๆ มันก็มาจากกสมองที่เด็กกว่าตัวของพี่นั้นล่ะ”

“สรุปมึงมาง้อกูหรือด่ากูกันแน่”

“มาด่า! และก็ง้อด้วย Damn it!”

ตะคอกเสียงจบผมก้หันหลังขวับ ไม่คงไม่คุยแล้วหมดอารมณ์! พูดขนาดนี้เตือนพี่มันขนาดนี้ ถ้าพี่มันไม่โอเคอีก ก็พอ เลิก! ฟัค ยู ไอ้พี่ขิต ชาติหน้าชาติไหนอย่าได้พบเจอกันอีกเลย

ฟัค ฟัค ฟัค!

“อ่าวไอ้บ้านี่ เขินแล้วเดินหนีเหรอ! จะด่าไทยหรืออังกฤษก็เอาสักอย่างสิวะ”

ไม่สนแล้ว ผมก้มหน้ารีบเดินออกจากสวนทันที ผมจะกลับบ้าน ออกจากพื้นที่ที่ไม่ใช่ของผมเดี๋ยวนี้ ทว่า..ระหว่างกำลังเดินเร็วๆ กลับด้วยความชี้ช้ำหงุดหงิด ผมกลับได้เสียงฝีเท้าเหมือนคนวิ่งตามมาจากทางด้านหลัง

“เดี๋ยวดิ ยังไม่เคลียร์เลยนะ”

สิ้นเสียงข้อมือผมถูกคว้าเอาโดยฉับพลัน ก่อนคนที่จับจะออกแรงดึงนิดๆ บังคับให้ผมหันหน้ามาคุย

ประเด็นคือตอนนี้ ความรู้สึกของผมมันทะลักแล้วไง อารมณ์ก็หงุดหงิดส่วนน้ำตาก็ไหลไปด้วย

“ผมเคลียร์แล้วไม่ไรจะพูดกับพี่อีก จากนี้พี่จะเอาไงก็เรื่องของพี่เลย ผมจะกละ..เฮ้ย! ฟัค ยุไอ้พี่ขิคมึงทำอะไร ปล่อยนะเว้ย เหวอ!” ยังไม่ทันพูดอะไรจนจบ อยู่ๆ ก็ถูกคนที่กำลังงอนจับอุ้มจนตัวลอย ผมพยายามดิ้นอยู่ในอ้อมใหญ่ๆนั่น แต่พี่มันก็แข็งแรงแล้วก็แรงเยอะมาก รู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนกำลังลอยไปสู่..

ตูม!..

น้ำ

“…”

โชคดีที่น้ำในคูไม่ได้ลึกมาก ประมาณเลยช่วงเอวมานิดๆ แต่ปัยหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ปัยหาคือ พี่มันโยนผมลงน้ำ!

ไอ้ ไอ้ (*&%$@*%( หยาบคายจัดจนไม่สามารถพิมพ์ได้)

“รออยู่นั้นล่ะ!”

มึงอย่าโดดมา

ตูม!

ไม่ทันแล้ว เพียงพริบตาเดียวร่างใหญ่ๆนั้นก็กระโดดตามผมมาด้วย ส่วนคนที่กำลังอ้าปากด่า เป็นอันต้องรีบหุบปากสนิทกันน้ำเข้าปาก แม่งเอ้ยพี่มันบ้าอะไรวะ!?

พอเริ่มเข้าที่เข้าทางกันแล้ว(ในน้ำ) ผมก็จ้องหน้าคนตัวสูงกว่าด้วยความเคียดแค้นสุดพลัง

“หายหัวร้อนยัง”

“ไอ้พี่มึง อื้อ!!”

ไม่ทันได้อ้าปากโวยวาย จูบอันฉาบฉวยนั้นแนบลงมาปิดริมฝีปากจนเล็ดรอกออกได้แต่เสียง ‘อื้ออ้า’ อย่างน่าหงุดหงิด เดี๋ยวไอ้พี่ขิตมึงให้กูด่ามึงให้จบก่อนได้มั้ย นี่กูจะกรี๊ดแล้วนะ อึดอัดจนอยากจะชักดิ้นชักงอใจจะขาด

ผมระดมทุบตีใส่คนที่ฉกฉวยโอกาสไม่ถูกที่ แต่ต่อให้ทุบไปแค่ไหน ก็ไม่มีแววว่าพี่มันจะยอมถอนจุมพิตนี้ออกเลย หนักว่านั้นคือเริ่มสอดแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงผมของผมด้วย แถมยังใช้อ้อมแขนแข็งแรงคู่นั้นกอดผมไว้อย่างอ่อนโยนและทนุทะนอม เป็นDeep Kiss ที่เอาร่างกายที่กำลังพยศต่อต้านเริ่มอ่อนระทวยได้ภายในเวลาไม่ถึงนาที

บ้าเอ้ย! ผมกำลังแพ้ให้กับการกระทำของพี่มัน

   แต่..เฮ้อ..

“กูขอโทษที่ทำให้มึง คิดถึงกู” เนิ่นกว่าจะยอมให้ผมหายใจได้อย่างอิสระ คำพูดนั้นมันทำให้ใบหน้าของผมร้อนผะผ่าวไปหมด หัวใจก็เต้นตึกตักเหมือนไม่เป็นตัวขอตัวเอง นี่สรุปกูชอบคนรุ่นนี้จริงเหรอวะ

แววตาของพี่มันแววับเป็นประกาย ริมฝีปากที่เร่าร้อนนั้นกำลังคลี่ยยิ้มให้

Shit สิ่งที่มันทำกำลังปั่นประสาทให้ปมเป้นบ้าแล้วนะ!

“ผมเกลียดพี่!” ผลักแผงอกพี่มันออกห่างด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมหน้าผมมันได้ร้อนเหมือนจะระเบิดแบบนี้ด้วย ไม่ได้ๆ ไม่อยู่แล้ว ผมจะกลับบ้าน ไม่สนใจพี่มันแล้ว

“เดี๋ยวสิ ยังกอดไม่ทันหายหนาว”

ก็มันอยุ่ในน้ำมันจะอุ่นมั้ยล่ะพี่! อยากจะเถียงพี่มันไปแบบนี้จริงๆ แต่สุดท้ายก็ถูกลากกลับไปกอดใหม่ ณ ที่ที่เก่า เฮ้อ บางทีผมก็เกลียดตัวเหมือนกัน ที่เป็นคนที่ยอมอะไรง่ายบบนี้ ถึงปากจะบอกว่าไม่ๆ แต่พอโดนเข้าจริงก็กลับต้องยอมรับว่า..

ชอบล่ะ..ชอบให้พี่มันกอด

เฮ้อ สตอ จริงๆกู

“เฮ้ย! ไอ้หรรมใหญ่ลงทำเบื้อกอะไรนะคลองน่ะ” อยู่เสียงแปดหลอกของยายพี่ขิตก็ตะโกนแว่วมาตามลมจนผมชะงักรีบผลักอ้อมแขนพี่มันออก เห็นยายกำลังชะเง้อคอโบกมือไหวมาไกลๆ ดีนะที่ยายไม่เห็นผมกับพี่ขิตจูบกันด้วยไม่งั้นอาจได้มี..

เอ่อๆไม่พูดดีกว่า..

“กับข้าวเสร็จมากินข้าวโว้ย” ยายตะโกนจากที่ไกลริบๆ

“ครับ!!” ผมรีบบป้องปากตะโกนตอบรับไปอย่างรวดเร็ว(กลัวอยากจะมาเห็น) คนตัวใหญ่คลายอ้อมกอดออก

“ขึ้นกันเถอะ”

“พี่” ผมรั้งท่อนแขนของอีกฝ่ายที่กำลังท่าจะขึ้นเอาไว้ แล้วลากลงมาใหม่ พี่ขิตมันเลิดคิ้วสงสัยอย่างงงๆ

มีความรู้สึกบางอย่างที่ผมอยากบอกพี่มันอยู่ พี่มันก็ดีนะไม่ถงไม่ถามอะไรต่อ เลยแช่น้ำลังเลอยู่สักพัก ก่อนผมจะสอดแขนคล้องคอพี่มันแล้วโน้ม ใบหน้าคมเข้นพิมพ์ใจนั้นลงมา..

จุ๊บ..อย่าเข้าใจผิดนะว่านี่เป็นเพียงจูบเบาๆ แต่เป็น Biting kiss ต่างหาก ผมโน้มใบหน้าพี่มันพร้อมประกบริมฝีปากลงแผ่วเบาทีหนึ่ง ก่อนจะทิ้ง้ายด้วยกาย กัดริมฝีปากพี่มันเบาๆ เพื่อสร้างความรู้สึกคลั่งไคล้ให้กับพี่มันเล่นๆ พอผมทำแบบนั้นพี่มันก็หัวเราะ ‘หึ’ออกมา ผมเลียริมฝีปากตัวแล้ว แล้วมองตาพี่มัน

 “สรุปแล้วอยากให้ไปกินข้าวกันหรือเปล่า”

“Maybe..I should check my lips before your go.”

อ่อยไปสิ.. ณ จุดๆ นี้ แน่ใจน่ะว่าไม่เสียดาย มั่นหน้ามั่นโหนกมาก ชัวร์มากกว่าล้านเปอร์ ว่าหลังจากนี้พี่มันจะติดบ่วงผมแน่นอน

ไม่ต้องกราบขอไปไหนหรอก เพราะผมไม่ปล่อย..

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายสักนิด          ชื่อตอนไม่ได้เกี่ยวอัลไรเลยยยยยยยยยยยยย ตอนหน้าจบแล้วลาก่อยยย

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เมนูสุดท้าย : ต้มลิขิตพวงสวรรค์ใบมะขามอ่อน...Part 1

           4เดือนผ่านไป...

          “Hey Quickly Quick!”เสียงโหวกเหวกลั่นไปทั่วห้องครัว Kitchen one ตั้งแต่ตี 5 อย่าเพิ่งตกใจไป ไม่ใช่ฝรั่งที่ไหนมาแหกปาก แต่เป็นผมเอง นายเมฆา สมิธ ที่กำลังแปลงร่างคุมลูกน้องในครัวอย่างไม่ Keep look

          ใช่ หลังจากที่ผมได้รับตำแหน่ง CDP มาครอบครองแล้ว ตอนคุมงานแรกผมก็รักษาภาพลักษณ์อยู่หรอก แต่หลังๆ มานี้ ถ้ามัวแต่รักษาภาพลักษณ์ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเนิบๆ ก็เอา ผ้าขาวมาให้ผมนุ่งเถอะ บวชเลย! เพราะงานมันออกไม่ทันจริงๆ

          “Hurry up come on! Quickly!” ดังกว่านี้ก็โทรโข่งแล้ว รู้สึกแปลกตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่ปรับเปลี่ยนมาทำอะไรแบบนี้ ใครหาว่างานในครัวสบายไม่ต้องทำอะไรมาก ‘แค่ทำอาหาร’

          จ๊ะ..แต่ถ้ามันเป็นแค่ทำอาหาร ใส่ๆ อะไรแล้วกินได้ก็ทำไปเถอะผมจะไม่บ่น แต่เพราะมันมีขั้นที่ละเอียดอ่อนอยู่ข้างในอาหารแต่ล่ะชนิด

          แล้ว ณ ครัวไทย ช่วงเบรคฟัสนี้ ช่างศรีวิไลย์มาก บางครั้งผมก้คิดนะว่าพี่ขิตมันเก่งมาก(ไม่ได้อวยผัว) ที่ฮีสามารถอดทนกับอะไรแบบนี้ได้หลายปี

          “เปรมอย่ามาอู้!” ผมตวาทไปทางด้านหลังห้อง เมื่อเห็นคนตัวสูงเอาแต่ยืนพิงอยู่ที่ซิ้งค์ล้างจาน จะแกะกู้งก็ไม่แกะ จะล้างอะไรก็ไม่ล้าง

          ไอ้เวรนี่

          “เห..ทำไมของผมโดนเร่งเป็นภาษาไทยคนเดียวล่ะ” เปรมมันยิ้มยียวนใส่ผมอย่างจงใจกวน ไอ้นี่วอนของ เดี๋ยวมีหม้อปลิว

          “ด่าเป็นอังกฤษไม่เข้าหัวไง เลยต้องภาษาไทย” ว่าอย่างเคืองๆ ไม่สนใจอีก ก่อนจะใช้จานชิมต้มซุปแครอทว่าขาดอะไรไปบ้าง

          อืม..ใส่เกลือเพิ่มอีกนิดท่าจะดี

          “เดี๋ยวนี้เชฟหยาบคายจังเลยนะ” คนตัวสูงเดินมาทางด้านหลัง ผมเหล่สายตาไปมองมัน ใบหน้าธรรมดานั่นยามยิ้มนิดๆ แล้วดูดีขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ขณะเดียวกันก็ชวนโมโห

          ผมกลับหลังหันไปมอง ก่อนจะยัดช้อนตักน้ำซุปใส่มือคนตัวสูง

          “ถ้าอีกนาทีซุปยังไม่ได้ เดี๋ยวได้รู้ว่าหยาบคายเป็นยังไง” ผมย้ำเสียงเย็น แน่นอนว่าคนอย่างไอ้เปรมไม่มีคำว่าเกรงกลัวผมอยู่แล้ว ใบหน้าชายหนุ่มพยักรับอย่างกวนๆ ทีหนึ่ง ก่อนผมจะเดินออกมาจกตรงนั้น แล้วหันไปป่าวประกาศเรื่องถัดไปเสียงดัง

          “วันนี้ใครรับหน้าที่ออนสเตชั่น ไปเตรียมตัวได้แล้ว”
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

          หมดเวลาอาหารเช้าณ ครัวไทย เวลา สิบโมงตรง...

          หลังจากที่สั่งให้ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดเข้าของแล้ว เชฟชุดต่อไปก็เริ่มเข้างานกันต่อตอน สิบโฒงเช้า กลังจากดนนี้จะเป็นชั่วโมง All time วึ่งเชฟที่เข้ากะตั้งแต่ ตี 5 ไม่ต้องทำอะไรมากพวกกะ 10 โมงจะเป็นคนทำส่วนใหญ่ วึ่งผมต้องแจงแจงรายละเอียดเหมือนทุกครั้งและแบ่งหน้าที่ให้ รวมทั้งต้องตรวจเช็ครายละเอียดวัตถุดิบวันนี้ว่ามีอะไรเหลือ แล้วมีอะไรเข้ามาใหม่บ้าง

          กว่าจะได้ปลีกตัวไปพักบ้างก็ปาเข้าไป 10.45 แต่อีกเดี๋ยว 15 นาที ก็ต้องกลับเข้าครัวอีก เพราะมันจะเข้าสู่ช่วงเวลาลั้นซ์ไทม์ ยิ่งเป็นศุกร์เสาร์อาทิตย์ลูกค้าจะเยอะมากๆ

          นั่งปาดเหงื่อพิงล็อคเกอร์ พลางหลับตาลงพัก

          ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมตำแหน่งCDPถึงต้องการที่คุมงานอยู่ด้วย เพราะมันต้องควบ สองหน้าที่หนักๆ ทั้งทำอาหาร และคอนโทรลลูกน้อง

          ดุลูกน้องมากก็ไม่ได้(เดี๋ยวมันงอน) อ่อนมากก็ไม่ได้(เดี๋ยวมันไม่กระตือรือร้น) สรุปแล้วต้องสตรอง!

          ผมหลับตาลงพลางถอนหายใจ คิดๆ แล้วก็พอเข้าใจพี่ขิตมันนะว่าทำไมมันถึงลาออก ทว่าหลับตาลงไปได้ครู่เดียว อยู่ก็ก็มีคนทักขึ้น

           “ถอนหายใจบ่อยๆ มันไม่ดีนะครับ” รู้เลยว่าใคร ผิมปรือตาขึ้นมาอย่างคล้านๆ ก่อนตอบเป็นภาษอังกฤษด้วยเสียงงัวเงีย

          “It's none of your freaking business” อีกฝ่ายถึงกับว่า ’โห’ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ อย่างถือวิสาสะ

          “สรุปว่าผมกับเชฟสนิทกันแล้วใช่มั้ยครับ?” ผมถึงกับจิ๊ปากกับคำถามนั้น เปรมเอามือลูบคางตัวเอง

          “แปลกจังนะพอเห็นเชฟเป็นแบบนี้แล้วผมไม่ค่อยคุ้นตาเท่าไรเลย”

          อ่า..ถ้ามึงจะชวนคุยขนาดนี้กูลืมตามาคุยก็ได้ ยอม!

          “ทำไม” ผมถาม เปรมเงียบไป ก่อนเดาะลิ้นครั้งหนึ่ง

          “เหมือนภาพที่ผมเห็นเมื่อก่อน เชฟเป็นแค่เด็กปีนเกลียวคนหนึ่ง ดู..ไม่มีความเป็นผู้นำ”

          โอ้ว..แรงส์!

          “จะชมหรือจะว่ากันแน่” ผมท้วงเสียงขุ่น ยอมรัยว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมอาจจะโมโหกว่านี้ แต่พอรู้นิสัยเปรม ถึงปากจะเป็นแบบนั้น แต่นิสัยข้างในก็ไม่ได้เลวร้าย ก็ไม่รู้ว่าผมจะเล่นใหญ่ไปทำไม

          “ชมสิครับ” มันว่าพร้อมรอยยิ้มชวนใจสั่น ส่วนผมนี่เบะปากเลย สั่นเหมือนกันนะ ตีนสั่น

          “คนเราก็ต้องมีการเรียนรู้กันบ้าง จะมีใครยอมย่ำอยู่ที่เดิมตลอดบ้างล่ะ”

          “Like a love?” ประโยคนี้ทำให้ผมถึงกับต้องหวนคิด

          เหมือนรักรักเหรอ?*ไม่รู้สิ รักคือการเรียนรู้ รักคือการย่ำอยู่กับที่ แต่ความจริงผมว่าความรักเป็นอะไรที่ยืดหยุ่น แปลงเป็นได้ทุกอย่างนั้นล่ะ

          “Maybe แต่อาจจะไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะฉันก็ไม่ใช่คนที่โรแมนติกอะไรแบบนั้น” ผมตอบพลางยักไหล่นิดๆ เปรมถึงกับร้อง ‘เห..’ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

          “จริงๆผมโรแมนติกมากนะ เชฟไม่คิดจะเปลี่ยนใจบ้างเลยเหรอ?”

          แม่ะ..ยังฮาร์ดเซลล์ขายตรงกันซึ่งๆหน้าอยู่ๆ อย่างที่ผมบอกว่าเปรมมันไม่ได้เลวร้าย แต่ดูท่าแล้วนิสัยผมกับเปรมคงเข้ากันไม่ได้แน่ๆ ประเด็นคือถ้าผมร้อน เปรมมันไม่คงเป็นน้ำเย็นให้ผมหรอก หนักกว่านั้น คือมันจะเอาน้ำร้อนอย่างผมไปต้มเสริมให้มันร้อนกว่าเก่าแน่ๆ ดูจากนิสัยที่ชอบกวนประสาทคนน่ะนะ

          “อย่างนายเรียกว่า ซาดิสต์ ไม่ใช่โรแมนติก”

          “แต่เชฟยังไม่เคยลองคบผมเลย รู้ได้ไงว่าผมเป็นแบบนั้น” มันฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ ยัง ยัง ยังไม่หยุดขายอีก

          “instinct” ผมตอบ แน่นอนว่ามาจากสัญชาตญาณส่วนลึกมากๆ

          “maybe not” มันยักไหล่ปฏิเสธ

          โอเค..พอเถอะ มันแต่เถียงกันไปเถียงกันมาแบบนี้มันมีประโยชน์ เพราะยังไงผมก้ไม่ได้ชอบไอ้เปรมมันหรอกไม่ต้องมาเต๊าะ! แต่จะว่าไปที่ไอ้เปรมมาก้ดีแล้ว เพราะผมเองก็มีเรื่องที่จะคุย เอ่อ..ไม่สิเรื่องที่คาดว่าจะฝากฝังไว้ในอนาคต

          “ว่าแต่เตรียมตัวหรือยัง?” ผมถามเปรมขมวดคิ้ว แต่ผมคิดว่ามันเข้าใจว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร เพราะ 2 เดือนหลังจากนี้ ผมจะลาออก ไปหาเมนเทอร์ขิตที่อุบล

          “เชฟคิดว่าแบบผมจะขึ้นได้ง่ายเลยเหรอ?” มันถาม จริงๆ ผมวางแผนเอาไว้ว่าจะเสนอชื่อเปรมให้กับเฮดเชฟในช่วงที่ผมลาออก แต่ก็คิดว่ามันคงมีปัญหาตามมาเหมือนกับผมแน่ๆ เพราะเปรมไม่ได้เส้นสายอะไรเหมือนกับผมในตอนแรก กว่าจะขึ้นเป็นเดมี่ ก็ต้องอาศัยความพยายามอย่าง แล้วนี่ เพิ่งก้าวมาทำระดับรองเชฟได้ยังไม่ถึงปี จะเลื่อนเป็น CDP มันก็ยังไงอยู่ เผลออาจจะต้องสอบเทสอาหารด้วย แต่ผมจะพยายามเสนอดันมันขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า

          แต่คนเราจะทำอะไรก้แล้วแต่ ต้องมีมั่นใจไว้ก่อน นี่ล่ะสำคัญ

          “เส้นสายเป็นเรื่องสำคัญ รอไปก็เสียเวลา เริ่มต้นได้มากกว่า 0 ก็ควรรับไว้” รู้สึกเหมือนตัวเองพูดเหมือนมิสเตอร์พอล สมิธชอบกลแฮะ เปรมหัวเราะนิดๆ พลางมองหน้าผม

          “เหมือนเชฟ?”

          “No”

          ผมแย้ง จะเหมือนได้ยังไงล่ะ

          “ฉันเริ่มต้นจาก 2 เลย” ว่าไปพร้อมเหยียดยิ้มนิดๆ ไม่ได้ข่มนะ แต่เริ่มจาก 2 จริงๆนี่ (สำหรับโรงแรมนี้นะ) แต่ก่อนจะมาเป็น 2 ผมก็ผ่าน 0 1 2 3 มาจากที่เมืองนอกแล้ว

          “งั้นผมก็ได้เปรียบเชฟอยู่อย่าง เพราะผมรู้จักเลข 0 และ 1 มาด้วย”

          “Correct มันเลยทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรบางอย่างสำหรับที่นี่ แต่ตอนนี้ฉันเก็บมันครบหมดแล้ว” ผมเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ไม่รู้สิ ตอนนี้ผมรู้สึกโล่งใจแปลกๆ ที่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้

          จริงๆที่ผมลาออก ไม่ใช่เพราะติดไอ้พี่ขิตมันอะไรขนาดนั้น แต่ผมมีเหตุผลอยู่ ซึ่งนั่นคือการเติมเต็มความฝันของคุณนายนดาแม่ของผมให้เป็นจริงต่างหาก แต่การเปิดร้านครั้งนี้ทำสองคนย่อมดีกว่าทำคนเดียว

          แน่นอนว่าไม่กลัวเจ๊ง เพราะฝีมือผมกับไอ้พี่ขิตน่ะชนะเลิศแน่

          ส่วนเรื่องที่จะกลัวเลิกกันก่อน อันนี้ไม่มีอยู่ในหัวเลย แต่ถ้าพี่มันกล้าก็เอาสิ จะจับสับแล้วโยนปนกับบ่อสุขาภิบาลให้ดู

          “เฮ้อ เชฟไปผมคงเหงาแย่” ร่างสูงขึ้นพูดขึ้นอย่าง เหมือนเสียดาย ผมขมวดคิ้วเล้กน้อย มองหน้าคนที่นั่งข้างๆ ก่อนตบไหล่กว้างนั้นปลอมใจเบาๆ

          “เดี๋ยวก็มี CDP คนใหม่มาแทนที่ฉัน หรือไม่ก็ นายก็ขึ้นเป็น CDP เองอย่างที่ฉันเสนอชื่อไปสิ”

          “ผมไม่ใช่คนกระตือรือร้นขนาดนั้น”

          “You should be.” นายควรเป็นนะเปรม

          เปรมมองหน้าผมกลับบ้าง ก่อนใบหน้าหล่อเหลาอนั้นจะพยักรับเบาๆ อย่างเข้าใจ

          “’งั้นวันนี้ผมขอเลี้ยงข้าวมื้อเย้นนะครับ” พูดพร้อมรอยยิ้มละลายใจสาวอีกแล้ว 

          เปรมเอ้ย..ท่าทางจะสับสน แต่เดี๋ยวจะทิ้งทวนให้นะ

          “Great idea!” ผมดีดนิ้วก่อนจะลุกขึ้นเหยียดตัวทันที แล้วกล่าวอย่างอารมณ์ดี

          “งั้นเดี๋ยวฉันจะบอกทุกคนให้มากินด้วย นายเลี้ยง”

          งานนี้คงมีไม่อยากเห็นหน้ากันอีกเชื่อผมสิ

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0

เมนูสุดท้าย : ต้มลิขิตพวงสวรรค์ใบมะขามอ่อน...Part จบ (END)


          ถัดจากนั้นอีก 2 เดือน

          ผมก็ต้องโบกมือลากู๊ดบายสเตจ ณ โรงแรมสุขีสุขังไปเรียบร้อย และแน่นอนว่า...

          เปรมมันยังไม่ได้ขึ้นเป็น CDP เพราะประสบการณทำงานยังไม่พอ เฮ้อ..น่าเศร้าจริงๆ ที่จริงถ้าเทียบกับผมแล้วผมก็มีประสบการณ์ไม่พอที่จะขึ้นเป็น CDP ก็จริง แต่เพราะเส้นสายของผมไงทุกอย่างมันเลยดูง่าย เมื่อก่อนผมมองแต่ตัวเองเป็นหลัก แต่พอหันกลับมามองตัวเองอีกครั้งถึงได้รู้ว่า มันเป็นโอกาสที่อยู่ท่ามกลางความเอาเปรียบของผู้อื่นไง เป็นดาบสองคมที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวเอง

          แต่ตอนนี้ผมไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้วเพราะกำลังไล่ตามความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่าให้กับตัวเอง นัยหนึ่งคือการทำความฝันของคุณนายนดาให้เป็นจริง

          ผมนั่งเครื่องมาลงท่าอากาศยานอุบลราชธานีตอน 11 โมงตรง วันนี้ผมแต่งตัวตามสไตล์ด้วยของแบรนด์เนมเหมือนเดิมตั้งแต่หัวจรดเท้า และเพิ่มความเท่เข้าไปอีกด้วย แว่นกันแดดพอลสมิท เอ่อ..ไม่ใช่ของพ่อผมนะ แต่เป็นชื่อแบรนด์นน่ะ

          ลากกระเป๋าเดินทางมาถึงประตูผู้โดยสารขาเข้าเสร็จ เดินยังไม่ทันจะถึงสิบก้าวก็เห็นคนตัวใหญ่ ยืดหนวดดำมัดจุกโบกมือไหวๆ อยู่ไกลๆ

          เอ่อ..บางทีก็คิดนะว่าพี่มันน่าจะเปลี่ยนลุคตัวเองบ้าง ผมนึกว่าคนงานที่ไหนมารอรับ

          “คล้าว!” พี่มันตะโกนเรียกทันทีที่เห็น ผมยิ้มแหยให้พี่มัน แต่ก็เดินลากกระเป๋าไปหาแต่โดยดี เมื่อเจอพี่มัน ร่างใหญ่ก็อาสาลากกระเป๋าถือของให้ทุกอย่างแบบสุภาพบุรุษมากๆ จริงๆ ผมก็เขินน่ะ แต่ด้วยลุคมันเหมือนคนงานไง สายตาคนรอบข้างเลยมองเหมือนไม่ค่อยแปลกใจอะไรเท่าไร

          เดินมาจนถึงที่อดรถ ดีที่พี่มันพอรักษาภาพพจน์ผมอยู่บ้างเลยเอาCRVมารับ พอขึ้นรถเปิดแอร์ดับร้อนจนเย็นฉ่ำ ผมก็ถาม

          “พี่มารอรับผมตั้งแต่กี่โมงเนี่ย” ผมหันไปมองคนขับ พี่ขิตยิ้มเขินๆ

          “7 โมงน่ะ”

          หืม..?

          “เช้าไปป่าวพี่ ไฟท์ผมลงตั้ง 11 โมง” ว่าไปตามจริง มือใหญ่ยกขึ้นมาหัวแก้เก้อ

          “กูคิดถึงน่ะ อยากเจอมึงไวๆ”

          อู้ววว ขิตแอคแทค! อ๊อก! ไม่ได้เขิน แต่ออกแนวขำ

          “ไม่ต้องมาปากหวานเลยพี่” ผมว่าเสียงติดหัวเราะ พี่มันมุ่ยหน้างอนทันที ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนพี่มันจะขับรถออกไป เดินทางไปได้สักพักผมก็สงสัยอีกเรื่องหนึ่ง

          “แล้วยายพี่ล่ะ”

          “ไปรออยู่ที่ร้านแล้ว” ผมครางรับว่า ‘อ้อ’ ใช่แแล้วครับ..ตอนนี้ผมกับพี่ขิตมีร้านเป็นของตัวเองแล้ว

                                   
•••••••••••••••••••••••••••••••••

          “อุบลเมืองดอกบัวงาม แม่น้ำสองสี มีปลาแซ่บหลาย หาดทรายแก่งหิน ถิ่นไทยนักปราชญ์ ทวยราษฎร์ใฝ่ธรรม งามล้ำเทียนพรรษา ผาแต้มก่อนประวัติศาสตร์ ฉลาดภูมิปัญญาท้องถิ่น ดินแดนอนุสาวรีย์คนดีศรีอุบล”

          ผมเหลือบตามองป้ายคำขวัญขนาดใหญ๋ที่พี่มันเพิ่งขับรถผ่านไปเมื่อครู่

          จังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำมูล

          พี่คิดหาทำเลเปิดร้านอาหารได้ค่อนข้างดีติดริมคลอง นับได้ว่าตอนกลางหากตกแต่งแล้วจัดแต่งสถานที่ อาหารเจ้าใหญ่ๆ แถวนี้คงได้ตายกันไปข้างแน่ๆ ตอนระยะเวลาที่ผมทำงานอยู่โรงแรม พี่ขิตมันโทรมาปรึกษาผมประจำนะว่าอยากได้ร้านแบบไหน ตอนแรกผมไม่กล้าออกความเห็นอะไรมากเพราะมันเป็นร้านของพี่มัน แต่คนตัวใหญ่กลับบอกว่ามันไม่ใช่แค่ร้านของพี่ แต่มันเป็นร้านของผมด้วย

          ผมนี่ทึ่งเลย..

        แต่พอมาถึงร้านเท่านั้นล่ะ หางคิ้วผมก็กระตุกแปลกๆ ร้านเสร็จไปประมาณ 1.5 ส่วนจาก 4 ส่วนใหญ่ แต่จริงมันจะไม่เป็นปัญหาอะไรถ้าพี่ขิตมันไม่ทำอะแปลกๆ อย่างเช่นตอนนี้
         
          “ทำไมพี่เปิดก่อนที่ผมจะมา ไหนสัญญาไว้ว่าจะมาเปิดพร้อมกัน” ผมว่าเสียงขุ่นๆ จากร้านไฮโซอีสานที่ผมอุส่าห์วาดฝันไว้กลายเป็นเหมือนร้านจิ้มจุ่มข้างทางอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่ดูดีกว่าหน่อยตรงที่กางผ้าใบให้ลูกค้าหลบแดด

          หน้าร้านมีสเตชั่น ทำอาหารหน้าซึ่งตอนนี้คนที่กำลังลุยอย่างเมามัน พร้อมกับลูกมือ (น่าจะพม่า) กำลังกันวุ่นมือ

          “มึงอย่าเพิ่งโกรธดิ คล้าว คือ ยายกูเขาใจร้อนอยากจะลองเปิดแค่ส่วนหน้าก่อนน่ะ” พี่ขิตมันอธิบาย ผมพยักหน้าผ่านๆ ก่อนจะตรงเข้าไป สวัสดีคุณยายตามมารยาท

          เสร็จจากคุณยายผมก็มองหน้าพี่มัน

          “ข้างหลังเป็นยังไงบ้าง” ถามออกไปเสียงเรียบ พี่ขิตพยักเพยิ้ดหน้าเข้าไปด้านหลัง

          “ไปดูเองสิ..”

 
•••••••••••••••••••••••••••••••••
               
           มาถึงด้านหลัง ตอนนี้มันเป็นโครงเปล่าๆ แต่ก็มองเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้วว่า ร้านอาหารอาจจะทำออกมาในรูปแบบไหน ที่ผมคุยกับพี่ขิตไว้ ว่าจะทำออกมาแนวโมเดิร์นหน่อย ซึ่งมีสามส่วนเอ้าท์ดอร์ท อินดอร์ทในตัวตึกด้านในที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมลูกบาสก์ แต่ติดกระจกไว้รอบๆ ให้มันดูกว้าง ส่วนด้านหลังร้านก็ทำเป็นห้องพักพนักงานไว้นิดหน่อย ตอนนี้หน้าร้านพอใช้ได้แล้ว ในส่วนของตัวตึกก็ เป็นห้องติดกระจกเรียบร้อย แต่ยังไม่ได้ตกแต่งหรือ ทาสีเลยไม่พร้อมรับแขก มีเพียงแค่ส่วนเอ้าทดอร์ทที่สามารถเปิดได้ แต่ต้องยกครัวมาไว้ข้างนอกแบบนี้

           เดินชมไปเพลินๆ งานช่างก็ดีโอเคนะ แต่ที่ไม่โอเคก็คือ..คนข้างๆเนี่ยจะจับมือผมทำไมนักหนา

          “ความจริงพี่ไม่ต้องจูงมือผมก็ได้นะ ผมไม่หลงหรอก” ผมท้วงพลางพยายามยื้อมือกลับ ไม่ได้เล่นตัวอะไรแต่พออยู่ข้างนอกพี่ไม่ต้องเปิดเผยขนาดนี้ก็ได้

          “ไม่ได้ มึงน่ะชอบหายตัว” ไม่พูดเปล่า ไม่ยอมให้ผมยึดมือตัวเองกลับด้วย ผมนี่ถอนหายใจเลย
         
          “ใครกันแน่พี่พี่ต่างหากที่ชอบหาย พี่ไม่กลัวยายพี่เห็นหรือไง” ขอโทษนะยาย ขอยืมมาอ้างหน่อย

          “ยายกูรู้แล้ว”

          หะ..หา!? รู้อะไรเดี๋ยว!

          “รู้ว่า?” ผมถามอย่างตกใจ คงไม่ใช่ช่วงที่ผมไม่อยู่พี่มันจะพูดเรื่องอะไรแปลกๆใส่ยายตัวเองหรอกนะ

          “มึงค่อนข้างพิเศษสำหรับกู”
          พิเศษ..เอาจริงๆนะ ถ้าเป็นวัยรุ่นแบบเราๆ อาจจะรู้กัน แต่ถ้ารุ่นเบบี้บูมเมอร์แบบยายพี่เนี่ยผมไม่แน่ใจเท่าไรว่าความหมายมันตรงกันมั้ย

          “เดี๋ยวนะ แล้วคำว่าพิเศษสำหรับยายพี่มันหมายถึงอะไร”ผมขมวดคิ้วถามทันที พี่ขิตทำหน้านึกคิด

          “คงประมาณพี่น้องล่ะมั้ง”

          อ่าวไอ้พี่...มึงอย่ามามั้งสิ!

          “ปะเปลี่ยนชุด” อยู่ๆพี่มันก็ว่า..อะไรวะ เปลี่ยนเรื่องเฉย

          “เปลี่ยนทำไมอ่ะ” ผมเริ่มหน้าเสีย หวังว่าไอ้พี่ขิตที่เรียกผมมาร้านคงไม่ใช่ว่า

          “ไหนๆ ก็เปิดหน้าร้านส่วนหนึ่งแล้ว ควรเรียกลูกค้าสักหน่อย ปล่อยให้ยายทำคนเดียวไงเล่า”

          นั่นไงมึงหลอกกู ไอ้พี่ขิต!!

   •••••••••••••••••••••••••••••••••

          “โอ้ยวันนี้ขายดีเกินมั้ยเนี่ยเหนื่อย..”
          หลังจากเสร็จภารกิจขายของมาราทอนผมก็มาแผ่สองสลึงอยู่บนบนโซฟ้าหลังร้าน เหลือบตามองปลายเท้า เห็นไอ้พี่กำลังทำอะไรไม่รู้ ก๊อกๆ แก๊กๆ คงเก็บของมั้ง บิดไปบิดมาได้ครุ่หนึ่ง คนตัวใหญ่อย่างกะหมีกรีสลี้ก็เดินสองขาเข้ามา

          “เป็นไงบ้าง” พี่มันถามด้วยรอยยิ้ม ผมยันตัวขึ้นมา ก่อนมุ่ยหน้านิดๆ

          “เหนื่อยดิพี่ ทำไม่หยุดเลย แบบนี้ต้องจ้างคนมาช่วยนะ ทำ กัน 3 แบบนี้ไม่ไหวหรอก” บ่นให้พี่มันฟังเสร็จ ก็นึกว่าพี่มันจะมีอาการมากอะไรมากกว่านี้ ทว่าคนตัวใหญ่กลับทำแค่พนักหน้ามึนๆ

          เหมือนไม่รู้ได้ว่าได้ฟังที่ผมพูดไปหรือเปล่า แต่ก็ดีอยู่อย่างนะที่พี่มันเป็นแบบนี้ เพราะถึงผมจะบ่น แต่ก็บ่นไปตามประสา ในหัวแม่งไม่ได้คิดไรหรอก จริงๆถึงเหนื่อยแต่ก็อยากทำเพื่อพี่มันล่ะ

          ว่าแต่..นี่เราอยู่กันสองคนตั้งแต่เมื่อไร อาจุนม่าไอดอลของผมหายไปไหน

          “แล้วยายพี่ล่ะ” ผมถาม พี่มันเบือนหน้าไปทางข้างหลังผม

          “หนีไปนอนแล้ว” ร่างสูงพูด ผมพยักหน้า อยากที่ผมอธิบายในตอนแรก พี่ขิตมันวางแปลนร้านอาหารเอาไว้ทั้งหมดสามส่วนด้วยกัน มีทั้งเอ้าดอร์ทอินดอร์ท และส่วนของที่พักพนักงาน จริงๆตอนนี้ที่พักมันยังไม่เสร็จดีอะไร แต่มันก็นอนได้แล้ว สงสัยเพราะพี่มันว่คุณยายเหนื่อยเลยให้ไปนอนที่บ้านพักด้านหลังแน่ๆ

          คิดถึงเรื่องนอนแล้วตอนนี้ผมก็ง่วงเหมือนกัน เหลือบดูนาฬิกาบนโทรศัพท์ 22.03 น.

          อืม..4ทุ่มแล้วยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยกินอะไรก่อนดีมั้ยเนี่ย ขบคิดไปสักพักแต่อยู่ก้ได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีคนเดินไป พอละสายตาออกมาจากโทรศัพทก็เห็นคนตัวใหญ่ เข้าไปที่ครัวสเตชั่นด้านหน้าร้าน

          “พี่จะไปไหนน่ะ”  ผมว่า พี่มันเพิ่งเช็ดครัวไม่ใช่เหรอวะ? ใบหน้าความเข้มหันมายิ้มบางๆ ให้ผม

          “ไปทำอะไรให้มึงกินน่ะ เห็นยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่ตอนกลางวันนี้ นี่ก็ 4 ทุ่มกว่าแล้วด้วย”

          วรั้ย!..แบบนี้ต้องเสียงสองแซวพี่มัน

          “เห..ทำไมน่ารัก”

          “กูบอกแล้วว่ากู Lovely man” พี่มันยืดอกล่ำๆขึ้นมาวื ผมถึงกับหลุดหัวเราะ

          “Creepy man เหมาะกับพี่มากกว่า”

          “พูดมากเดี๋ยวไม่ทำให้กินเลย” อุบ๊ะมีขู่!

          “หมีเถื่อนงอนเหรอ” อย่าโกรธกูนะพี่ กูอย่าแกล้งมึงอ่ะ

          “อะไร..ไม่ต้องมาทำเสียงสองเสียงสี่ใส่กูเลย ไปนั่งพักเฉยๆเลยเดี๋ยวกูทำให้” พูดจบ พี่มันก็เบะปากบึ้งใส่ ทว่าใบหน้าเข้มๆนั้นกลับขึ้นสีแดงนิดๆ โถ่..พี่เอ้ยอย่ามาแอ๊บอะไรน่ารักดิวะ แม่งไม่เข้ากับสาระร่างพี่มันเลยสักนิด

          แต่ถึงพี่มันจะบอกว่าให้ผมนั่งเฉยๆ แต่จะให้งอมืองอเท้ามันก็ไม่ใช่สไตล์ผมเท่าไรผมลุกขึ้นจากโซฟาบ้าง ก่อนจะเดินไปประกบพี่มัน

          “ใจร้ายอะพี่ ไล่น้องได้ไง มาๆ ผมช่วยดีกว่านะ” ผมว่า พลางยิ้มแล้วยืนชะเง้อชะแง้ อยู่ข้างๆ พี่มันอย่างสำรวจว่าคนตัวใหญ่จะทำเมนูไหน ทว่ากลับถูกมือหนานั่นดันกลับออกมา

          “กูบอกให้ไปนั่ง”

          “โห่ไรวะ” ผมท้วงหน้ามุ่ย ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นเส้นมะละกอดิบที่ยายของพี่สับทิ้งเหลือไว้ที่ถุงพลาสติดด้านในตู้กระจกใส

           ผมเดินเข้าไป จับๆ ก่อนคิดเมนูหนึ่งมาได้ แล้วมุดลงไปใต้โต๊ะหยิบครกกับสากที่ลากไปเมื่อกี้ขึ้นมา

          “มึงจะทำอะไร” คงเป็นเพราะผมดื้อจะทำ พี่ขิตเลยหันมาถามด้วยเสียงดุกว่าเดิมประมาร0.5ระดับ

          “มีมะละกอเหลืออยู่นี่ เดี๋ยวจะตำส้มตำสักหน่อย” ผมว่า..ไม่รู้มีอะไรเข้าสิง แต่อยากกินอะไรเปรี้ยวปากตอนนี้ไงไม่รู้ พี่ขิตมันกอดอกมองผมทันที

          “ส้มตำตอนสี่ทุ่มกว่าเนี่ยนะ” ผมยักไหล่ แถมด้วยยักคิ้วกวนให้ด้วย

          “แน่นอนว่าสูตรพิเศษ”

          “กูไม่แดรกส้มคำคาโบนาร่านะ”

          “ดูด้วยใครทำ” ได้ทีก็ขอยื่นอกแบนๆ แข่งกับอกนมล้ำหน้าของพี่มันบ้าง แต่ฝีมือเรื่องส้มตำผมคงดีเกินไป พี่ขิตถึงได้ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

          “มานี่มากูทำเองดีกว่า” ไม่พูดเปล่าพลางแย่งสากจากมือผมไปด้วย เดี๋ยวเอาสากกูคืนมา!

          “ไรวะ ไม่ไว้ใจผมไง Trust me ok?” งานนี้ใครจะยอม แย่งกลับมาสิ พอสากกลับสู่มือผมแล้วพี่ขิตก็เริ่มมองหน้าอย่างไม่เชื่อในความคิด คือ..ก็ไม่ได้มั่นใจอะไรหรอกว่าจะอร่อย แต่วันนี้ไม่รู้ผีอะไรเข้าสิงเกิดอยากจะตำ แต่พอเห็นสายพี่มันแบบนั้นแล้ว ผมว่า ผมพูดแบบนี้ดีกว่า จะได้วินๆทั้งสองฝ่าย

          “งั้นพี่บอกผมมาว่าจะให้ใส่ไรบ้าง ถ้าไม่ไว้ใจ” คนตัวใหญ่ถอนหายใจฟึดฟัต

          อ่าวไอ้พี่ มึงอย่ามาดราม่านะ! แต่แล้วไม่นานร่างใหญ่กลับเดินอ้อมมาข้างหลังผม

          “พี่ทำไรอะ”

          “จะสอนนี่ไง” ไม่ว่าเปล่ากลับทำท่าเหมือนคนกำลังโอบกอดผมจากทางด้านหลัง

          แหม..ทำเป็นจะสอน อย่างกอดก็บอก เนียนเชียวนะ

          “ต้องใส่ไรบ้างอ่ะ” ผมแกล้งถาม

          “ใส่ใจ แล้วโรยรัก” อือหื้อเสี่ยวมาเชียว เล่นกับพี่มันสักหน่อยแล้วกัน

          “เพิ่มชีส ใส่ไข่”

          “แถมพริกสิบเม็ด”

          ขี้แตกแน่นอน!

          “พี่มึงควรไปเล่นตรงนู้น” ผมว่า พี่มันหัวเราะ

          “ไปทำไม ตรงนู้นไม่มีน้องคล้าวว น้องทองกวาวของพี่นะนวลนง อยู่ตรงนี้”

          เอ่อ..ถอนหายใจเลยกู ยอมแล้วกูไม่น่าเล่นเลย

          “พี่ขิตมึงควรไปหาหมอเช็คสมอง”

          “เช็คกี่ทีก็มีแต่ภาพน้องนวลนง”

          “โวะ!”

          “แต่ก็รักนะ”

          โอ้ยย! กูไม่เล่นแล้ว พอจบเลิกเล่า! เสี่ยวอย่างเดียวไม่ว่า แต่พี่มึงอย่ามาหงี่! เพิ่มได้มั้ย? มาจงมาจูบคอ แถมด้วยการเอาหนวดไซร้ๆ ทำไมวะ กูขนลุก!

          เอาเป็นว่า พี่มึงเสี่ยว! ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่องเลย ไอ้พี่ขิต!
 
++++++++++++จบบริบูรณ์ +++++++++++++

ทักทายกันสักนิด

             ตามนั้นล่ะค่ะท่านผู้ชม พี่ขิต กับน้องคล้าว จบล๊าววววววววววว ฮุเร้!
             อย่างที่บอกไปนิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องสั้น เนื้อหาข้างในมันเลยค่องข้างกระชับมากๆ +เวลาในการเขียนค่อนข้างจำกัดแบบไฟรน T^T ความจริงอยากเล่นอีกหน่อยนึง แต่เอาไว้ติดตามกันในตอนพิเศษนะคะ)
             ก็เป็นนิยายเรื่องแรกที่ดี้ลองแต่งในมุมของยุคปัจจุบันอยู่ แล้วก็ค้นพบว่า มันอาจจะไม่ใช่ทางของเราโดยกำเนิด 5555555555555555555555555+  (ปกติใครอ่านงานดี้จะรู้ว่ามันจะออกแนวแฟนตาซี ดราม่านิดๆ[หรือเปล่า]) แต่เราก็อยากจะพยายามลองอะไรใหม่ๆ ก็เลยคุยกับน้องรัน แล้วก็เกิดเป็นนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา (ตอนคุยกันดึกแล้ว แล้วมันหิวข้าวไง เลยเขียนเกี่ยวกับของกิน ) ชอบไม่ชอบยังก็สามารถบอกกันได้เนราะๆ
           แล้วก็ สำหรับนิยายเรื่องนี้ ออกกับค่าย Hermit คู่กับของน้องรันมารุ ยังไงก็เตรียมตังหยอดกระปุกหมูช่วยสนับสนุนพวกเรากันด้วยนะคะ งานนี้อาจจะไม่เข้ารูปเข้ารอยนัก แต่เรื่องต่อๆไปจะพยายามให้มากขึ้นค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามคล้าวกับพี่ขิตมาจนถึงตอนนี้นะคะ

ปล.ใครอยากอ่านเรื่องของ เปรม พ่อเชฟสายโiคจิต SM ต่อ หยอดปุกหมูนะ ฟีลแบล็คกลับมาให้เค้าได้นะคะ ขอบคุณอีกครั้งคร่าา

ปลล.คำผิดในนี้อาจจะเยอะหน่อยๆ แต่ในเล่มสมูตและสมบูรณ์แน่นอนค่ะ ><

EtuDe

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ก๊าบก๊าบ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แปะป้าบบบบบ มาตามอ่านงับบบบ

ออฟไลน์ ShadeoftheMoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ฮาตลอดตั้งแต่ต้นจนจบบางทีก็สงสัยนะว่าสองคนนี้รักกันได้ยังไง แบบว่าเกรียนใส่กันตลอด

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
รักกันดุเดือดดีน้า อิอิอิ ขอบคุณครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด