♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)  (อ่าน 92692 ครั้ง)

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เข็นรักขึ้นภูเขา


ผม { แพ้ความขาวน่ารัก } ของเขาตั้งแต่แรกเจอ
ผู้ชายอะไร { ปากโคตรชมพู } นมชมพู อยากรู้ว่าตรงนั้นจะชมพูด้วยไหม? 555
ผมเพ้อจนเผลอคิดว่าถ้า { ปล้ำคนพิการ } ขึ้นมาจะบาปหรือเปล่า?

แต่...เราสองคนก็ { ต่างกันมาก }

ผมเดิน { เขาใช้วีลแชร์ }
ผมเป็นนายแบบ { เขาเป็นลูกคุณหนู }
ผมจน { เขารวย }
ผมเป็นพลังงาน { เขาเป็นทิศทาง }


สำหรับผม - ใครๆ ก็คงคิดว่าผมแค่หวังมาหลอก (แดก) แม้กระทั่งคนพิการ
{ สำหรับเขา - ใครๆ ก็คงแอบนินทาว่าพิการแล้วยัง (เสือก) เป็นเกย์อีก }


สรุปว่า...เราสองคนจะไปด้วยกันได้ไหม?


นิยายเรื่องนี้เป็นจินตนาการของผู้เขียนล้วนๆ ไม่มีเค้าโครงความจริงหรืออ้างอิงความจริงจากหน่วยงานหรือบุคคลใดๆ บุคคลในภาพประกอบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนิยายที่ผู้เขียนจินตนาการขึ้น


-----------------------------------------------------------------

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

------------------------------

สารบาญ

EP01 ♿ เขาทำผมใจสั่นไหว ☕ https://goo.gl/355YMn
EP02 ♿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม ☕ https://goo.gl/8gLJsV
EP03 ♿ ผมอยากได้กำลังใจจากเขา ☕ https://goo.gl/pSX6jg
EP04 ♿ ผมแพ้ผู้ชายน่ารักซะแล้ว ☕ Part 1 https://goo.gl/8k3C62 - Part 2 https://goo.gl/wPZBZS
EP05 ♿ พิการแล้วยัง(เสือก)เป็นเกย์อีก? ☕ https://goo.gl/AiAK22
EP06 ♿ ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย ☕ https://goo.gl/C85Xet
EP07 ♿ พิการอย่างผมจะดูแลใครได้ ☕ PART 1 - https://goo.gl/9edNKO PART 2 - https://goo.gl/TeB0pO
EP08 ♿ พรุ่งนี้ไม่สาย ☕ Part 1 - https://goo.gl/oplukT Part 2 - https://goo.gl/UP4VYm
EP09 ♿ พี่ชายจอมหวง (น้องชาย) ☕ https://goo.gl/aNBWTC
EP10 ♿ โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์ ☕ Part 1 - https://goo.gl/vRVcYm Part 2 - https://goo.gl/TR2ezz
EP11 ♿ ไอ้อินด้านมืด ☕ Part 1 https://goo.gl/8FSZQ8 - Part 2 https://goo.gl/gO5Qdz
EP12 ♿ คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก ☕ Part 1 https://goo.gl/7uWp3Z - Part 2 https://goo.gl/0U2WHh
EP13 ♿ เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ - https://goo.gl/hCC7FD
EP14 ♿ เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย ☕ Part 1 https://goo.gl/BiQ8qu - Part 2 https://goo.gl/YGT3yf
EP15 ♿ เป็นเมียก็ยอม ☕ Part 1 https://goo.gl/yR5QLe - Part 2 https://goo.gl/v2ZEuc
EP16 ♿ อุดมการณ์และความรัก ☕ Part 1 https://goo.gl/TtKV6W - Part 2 https://goo.gl/ZgGcph
EP17 ♿ เมื่อผมต้องการพิสูจน์ ☕ Part 1 https://goo.gl/SwtjX2 - Part 2 https://goo.gl/d5KwbY
EP18 ♿ เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ ☕ Part 1 https://goo.gl/C93y9A - Part 2 https://goo.gl/SZTk3i
EP19 ♿ เมื่อผมหึงเขา ☕ Part 1 https://goo.gl/MHizEK - Part 2 https://goo.gl/UvB1aF
EP20 ♿ คิวท์บอยผู้น่าสงสาร ☕ https://goo.gl/3j1WfB
EP21 ♿ แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ ☕ Part 1 https://goo.gl/deHDBT - Part 2 https://goo.gl/ghKFsZ
EP22♿ เวลา... ☕ Part 1 https://goo.gl/aGHjoE - Part 2 https://goo.gl/2xo16g
EP23♿ แฟนผมเป็นคนใจกว้าง ☕ Part 1 https://goo.gl/AHjLXz - Part 2 https://goo.gl/92RG9M
EP24♿ รุมเร้า ☕ Part 1-2 https://goo.gl/es9KCu Part 3 - https://goo.gl/eEdR3d
EP25♿ เย็นเศร้า คืนซี๊ด ☕ Part 1 - https://goo.gl/hYDVar Part 2 - https://goo.gl/vjn8EN Part 3 - https://goo.gl/r7w4JQ
EP26♿ หลอกแดกคนพิการ ☕ Part 1 - https://goo.gl/AmEQ5C Part 2 - https://goo.gl/N3QFJe
EP27♿ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ☕ Part 1 - https://goo.gl/xACakN Part 2 - https://goo.gl/KQYquT Part 3 - https://goo.gl/DHShof
EP28♿ คุณแม่ขอร้อง ☕ Part 1 - https://goo.gl/6gyaT8 Part 2 - https://goo.gl/8nUpd9 Part 3 - https://goo.gl/WLWDyc
EP29♿ ความจริงที่ยากจะรับได้ ☕ Part 1 - https://goo.gl/2wtsE9 Part 2+3 - https://goo.gl/EjdXKv
EP30♿ Moving Forward (จบ) ☕ Part 1 - https://goo.gl/eomppp Part 2 - https://goo.gl/sDx5SW
EP31♿ พี่กัปตัน-น้องอะตอม (NC) - ตอนพิเศษ ☕ Part 1 - https://goo.gl/V4ZiNZ Part 2 - https://goo.gl/5GSNPj Part 3 - https://goo.gl/gckE3R

------------------------------

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2017 07:00:51 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP01
เขาทำผมใจสั่นหวั่นไหว



<<<CAPTAIN>>>

​อีกแล้ว! แม่โทรมาอีกแล้ว ตั้งแต่ตื่นลืมตา ผมต้องคอยรับโทรศัพท์แม่ไม่รู้กี่รอบแล้ว จะไปเรียนสายก็เพราะคุยกับแม่นี่แหละ ไม่รู้ว่าจะเป็นห่วงอะไรผมนักหนา บางทีผมก็ไม่เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่ผมก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว แต่แม่ก็ยังคงห่วงผมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เสมอ จนบางทีผมว่ามันก็มากเกินไป

"ต่อไปกัปตันไม่ทำแบบนี้อีกนะลูก แม่เตือนหลายครั้งแล้วว่าอย่ากินของข้างทาง ตัวเราก็ยิ่งเป็นอย่างนี้ด้วย แล้วแน่ใจนะว่าไปเรียนไหว"

"ไหวสิครับแม่ ผมไม่ได้เป็นไรมากซะหน่อย อีกอย่างเรียนวันแรกด้วย ยังไงก็ต้องไปครับ"

"แม่รู้ แต่ว่าพักสักวันก่อนดีไหมลูก ถ้าเกิดท้องเสียในห้องเรียนขึ้นมาอีกจะทำไง ห้องน้ำห้องท่าก็ยิ่งไม่ค่อยสะดวกอยู่"

"โธ่แม่ แม่ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมหายแล้ว ตอนนี้โอเคแล้ว ส่วนเรื่องห้องน้ำ เมื่อวานพี่โดมพาผมไปดูแล้วว่ามันมีห้องน้ำที่ผมเข้าได้อยู่ตรงไหนบ้าง"

"แล้วมันไกลหรือเปล่าล่ะลูก เกิดฉุกเฉินขึ้นมาจะไปทันไหม ยังไงแม่ว่าพักก่อนสักวันดีกว่านะกัปตัน พรุ่งนี้ค่อยไปเรียนก็ได้ เดี๋ยวแม่จะพาไปหาหมอ"

"ผมหายแล้วแม่ ตอนนี้ผมก็ไม่ปวดแล้ว เมื่อคืนพี่โดมเอายามาให้กิน หายตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ" ผมค้าน แต่แม่ก็ยังไม่วายบ่นกระปอดกระแปด แถมยังต่อรองนั่นนี่จนผมชักอ่อนอกอ่อนใจ แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอม แม่ก็เลยเป็นฝ่ายถอย

"งั้นกัปตันรออยู่ที่ห้องก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะโทรบอกพี่โดมให้ไปหา ให้พี่เขาช่วยพาไปที่ห้องเรียนดีกว่า เผื่อมีอะไรพี่เขาจะได้ช่วยกัปตันได้ทันไง"

"ไม่เป็นไรครับแม่ ผมออกมาแล้ว อีกอย่าง วันนี้พี่โดมมีเรียนบ่ายด้วย ผมไม่อยากกวนเขา ผมไปเองได้น่ะแม่ ผมโตแล้วนะ" ผมเถียงอย่างเหนื่อยใจ

เมื่อวานพี่โดมกับเพื่อนพาผมไปกินอาหารข้างหลังหอพักนานาชาติ รสจัดเอาเรื่องเลย ผมก็เลยกินได้เป็นบางอย่าง ถึงพี่โดมจะสั่งของที่ไม่เผ็ดมากมาให้กิน หรือไม่ก็ให้เขาใส่พริกน้อยลง แต่เพราะไม่เคยกินมาก่อน พอกลับถึงหอพักผมก็ท้องเสีย

หลังจากนั้นไม่เท่าไหร่ จู่ๆ แม่ก็โทรมาต่อว่าผมใหญ่เลยว่าไม่ควรไปกินอาหารข้างทางจนท้องเสีย ตอนแรกแม่ว่าจะมาดูผมที่หอพัก ผมต้องหว่านล้อมสารพัดไม่ให้แม่มาหา ดีที่พี่โดมเอายามาให้ผมซะก่อน แม่ก็เลยเปลี่ยนใจไม่มาหาผมกลางดึก มีพี่โดมอยู่ใกล้ๆ ก็ดีอย่างนี้แหละ แต่พี่โดมอาจจะไม่คิดอย่างผมก็ได้ เจอคุณแม่จอมแพนนิคของผมเข้าไป ชีวิตคงอยู่ไม่เป็นสุขแน่ๆ

"ตายจริง แล้วกัปตันออกไปยังไงล่ะลูก ขับรถไปหรือเปล่า" แม่ผมขึ้นเสียงสูง

"ใกล้แค่นี้เองครับแม่ ผมไปเองได้ แค่นี้ก่อนนะครับแม่ ผมต้องรีบไปเรียน จะไม่ทันแล้ว"

ผมถือโอกาสตัดบทเอาดื้อๆ ไม่อย่างนั้นแล้วผมคงไม่ได้ไปไหน ผมรับโทรศัพท์แม่ไปหลายรอบแล้ว แกเทียวไล้เทียวขื่อจะให้ผมไปโรงพยาบาลและหยุดเรียนให้ได้ แต่ผมไม่อยากพลาดวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ เพราะได้ข่าวมาว่าข้อสอบยากสุดๆ คนที่อยากผ่านต้องมาเรียนและจดด้วยตัวเองเท่านั้น

ผมใช้แผนที่กูเกิ้ลวัดระยะทางจากหอพักมาที่ตึกเรียนคณะสถาปัตย์ ทั้งสองที่ห่างกันแปดร้อยเมตร ต้องข้ามถนนสองจุด อยู่ในวิสัยและระยะที่ผมพอจัดการได้ ผมจึงไม่ขับรถมา เพราะขี้เกียจหาที่จอด แต่บางวันอาจจะต้องใช้บ้าง โดยเฉพาะถ้าต้องออกไปข้างนอก

ผมมาถึงทางเดินลอดใต้ถนน ข้ามตรงนี้ไปอีกหน่อยก็จะถึงรั้วมหาลัยฝั่งตรงข้าม ตึกเรียนของผมอยู่ถัดเข้าไปอีกหน่อย เสียดายที่ผมไม่สามารถใช้ทางลอดนี้ได้ จึงต้องเสี่ยงข้ามถนนเอา อาศัย รปภ. ที่อยู่แถวนั้นให้ช่วยโบกรถให้

ในที่สุดผมก็ข้ามถนนมาได้ จากนั้นก็ตรงไปยังตึกเรียนของคณะ เหลืออีกแค่ห้านาทีเท่านั้นจะเก้าโมง วิชานี้เช็คชื่อตรงเวลาเป๊ะ เพราะฉะนั้นผมจะสายไม่ได้ ถ้าไม่มัวแต่เสียเวลาคุยกับแม่ ป่านนี้ผมคงถึงห้องเรียนไปนานแล้ว ทั้งที่อุตส่าห์รีบตื่นแต่เช้า

"ถึงห้องเรียนหรือยัง"

ข้อความไลน์ผมเด้งขึ้นมาขณะที่ผมมาหยุดอยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้น พี่โดมส่งข้อความมาถามนั่นเอง ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่นึกว่าจะตื่นเช้าขนาดนี้ สงสัยแม่ผมคงโทรไปกวนแน่ๆ

"กำลังจะถึง หูชาตั้งแต่เช้าเลย 555" ผมกดพิมพ์ตอบไป

"พี่ขอโทษ น้าเล็กถามเยอะไงเมื่อคืน พี่ก็เลยเผลอบอกแกไปว่าเราท้องเสีย" พี่โดมบอกสาเหตุที่ทำให้แม่ผมรู้เรื่องนี้ ที่จริงก็บอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ

"ไม่เป็นไรพี่ 555" ผมตอบไปอย่างอารมณ์ดี ใครเจอแม่ผมซักก็จะเป็นแบบนี้แหละ ถ้าแม่อยากรู้อะไร คนที่ถูกถามจะโดนซักจนหลงและเผลอคายความจริงออกมาจนได้

"หารูมเมทมาอยู่ด้วยสิ น้าเล็กจะได้ไม่ห่วง" พี่ชายสุดหล่อของผมเสนอทางออกให้

ที่จริงผมก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่แม่ผมดันซื้อคอนโดขนาดห้าสิบตารางเมตรให้ ใครจะกล้ามาเป็นรูมเมทกับผมล่ะ ห้องใหญ่ขนาดนี้ ค่าเช่าคงไม่ต้องพูดถึง เกินหมื่นบาทต่อเดือนแหงๆ นักศึกษาส่วนมากยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง ใครจะกล้ามาเช่าคอนโดแพงๆ แบบนี้อยู่ ที่จริงผมจะคิดค่าเช่าถูกๆ ก็พอได้ แต่ก็ยังกังวลหลายเรื่องถ้าจะมีคนมาแชร์ห้องด้วย

ถ้ามีคนมาอยู่ด้วยแล้วทำให้แม่ห่วงผมน้อยลง ผมว่ามันก็น่าสนใจไม่น้อย แต่จะเป็นใครดีล่ะ ผมยังไม่สนิทกับใครเลย

"จะขึ้นเหรอ"

เสียงทุ้มๆ นุ่มๆ ของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อผมหันไปดู ก็เห็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผมมาหยุดยืนใกล้ๆ เจ้าตัวหอบเล็กน้อย สงสัยจะรีบวิ่งมา

แม้จะเห็นเป็นเวลาสั้นๆ ผู้ชายคนนี้ก็มีรายละเอียดหลายอย่างที่น่าสนใจ เขาใส่ชุดนักศึกษาแขนยาวสีขาว ผูกไทด์สีกรมท่าซึ่งมีตราสัญลักษณ์ของมหาลัยอยู่ กางเกงสแล็คสีดำ รองเท้าหนังมันวาว ถูกระเบียบเป๊ะแต่ก็ดูทันสมัย เขามีรูปหน้าแหลม ดวงตาคมโต รูปร่างสูงชะลูดอย่างกับนายแบบ มาพร้อมกับเป้สีดำสะพายไพล่ข้างหลัง

แต่สิ่งที่น่าสะดุดตามากที่สุดในตัวเพื่อนใหม่คนนี้ก็คือใบหน้าหล่อใสทว่าคมคาย แถมยังซ่อนความกวนและแววทะเล้นไว้ในคู่ดวงตาที่มองมาด้วย

"ใช่" ผมรับคำ ก่อนถาม "เรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์เหมือนกันเหรอ"

"ใช่ๆ แล้วจะขึ้นยังไงล่ะ" คิ้วหนามุ่นเข้าหากันขณะมองไปรอบๆ ตรงทางขึ้นอาคารมีแต่บันไดสามสี่ขั้น ไม่มีจุดไหนที่ผมสามารถขึ้นได้เลย

"มีทางลาดอยู่ข้างหลัง" นักศึกษาชายรุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาบอก เขาเข้ามาเมียงคล้ายกับอยากจะช่วย

ผมทำท่าครุ่นคิด ถ้าไปขึ้นข้างหลังคงไม่ทันแน่ แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกเดียวซะแล้วในตอนนี้

"ขี่หลังกูดีกว่า" เพื่อนใหม่ของผมอาสา ก่อนหันไปบอกรุ่นพี่ผู้ชายคนนั้น "ผมวานพี่ช่วยยกอันนี้ขึ้นไปไว้รอข้างบนหน่อยครับ ฝากกระเป๋าด้วย"

"ได้ๆ" รุ่นพี่ชายผู้ชายคนนั้นยิ้มเต็มใจ ก่อนรับกระเป๋าเป้ที่เพื่อนใหม่ผมส่งให้ไปสะพายร่วมกับของตัวเอง

"ขี่หลังเร็ว" คนหน้าคมเร่ง เขาย่อตัวลงต่ำ ผมไม่มีเวลาลังเลมากนักจึงรีบกอดคอเขาไว้ เขายืดตัวขึ้นและรีบก้าวเดินขึ้นบันไดอย่างมั่นคง ท่าทางจะแข็งแรงไม่น้อย ส่วนรุ่นพี่ผู้ชายคนนั้นก็รีบยกรถวีลแชร์ของผมขึ้นไปรอไว้ เมื่อเพื่อนใหม่พาผมเดินมาถึงวีลแชร์ เขาก็ย่อตัวลงต่ำเพื่อให้ผมลงไปนั่งได้ง่าย

"ขอบใจมาก ขอบคุณนะครับพี่" ผมยิ้มขอบคุณทั้งสองคนพร้อมกับจัดท่านั่งให้เรียบร้อย

"รีบไปเหอะ จะไม่ทันแล้ว" เพื่อนใหม่เริ่มลนลานเพราะใกล้เวลาเต็มที

เราสองคนลารุ่นพี่แล้วรีบมุ่งตรงไปยังลิฟต์ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป ส่วนมากนักศึกษาทั่วไปจะไม่ได้ใช้ แต่ผมได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ โชคที่กดปุ๊บมันก็เปิดปั๊บ จึงไม่ต้องเสียเวลารอ ไม่นานมันก็พาเราเลื่อนระดับมาอยู่ชั้นสาม ตอนนี้เหลือไม่ถึงหนึ่งนาที เราสองคนจึงต้องรีบตรงไปยังห้องเลคเชอร์สุดชีวิต คนหนึ่งเข็น คนหนึ่งวิ่ง โชคดีที่มาทันอย่างฉิวเฉียด

เราสองคนเลือกนั่งอยู่หลังสุด แต่ก็ยังเป็นเป้าสายตาเพื่อนๆ อยู่ดีเพราะมาสาย แถมยังย้ายเก้าอี้ดังเอี๊ยดอ๊าด แต่พออาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ทุกคนก็เบนความสนใจไปทางนั้นแทน

"แล้วมึงจะจดไงวะ" เพื่อนใหม่ผมถามด้วยสีหน้าสงสัย

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ อาจารย์ผู้หญิงที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ชี้บอก "ของเธอใช้โต๊ะได้เลยนะคะ อาจารย์เตรียมไว้ให้แล้ว ใครก็ได้ช่วยเอาโต๊ะให้เพื่อนหน่อย"

ใครก็ได้คนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนใหม่ของผมที่เพิ่งเจอกันนั่นเอง เขารีบลุกไปลากโต๊ะนักเรียนสีขาวซึ่งทั้งเล็กและเบามาให้ผมอย่างไว ผมรู้สึกดีไม่น้อยที่ทางมหาลัยเข้าใจความต้องการของผมขนาดนี้

ไม่นานเราก็พร้อมที่จะเรียน นักศึกษาวันนี้ค่อนข้างหนาตา เพราะนักศึกษาจากทุกภาควิชาจะเรียนด้วยกันในช่วงปีที่หนึ่งเพื่อปรับพื้นฐาน ก่อนที่บางส่วนจะค่อยๆ แยกกันไปในปีที่สองและสาม และแยกกันเรียนโดยสมบูรณ์ในปีที่สี่และห้า

"เฮ้ย มึงมีปากกาเปล่าวะ กูลืมเอามาว่ะ" เพื่อนใหม่ผมหันมาถาม ในขณะที่มือก็ควานหาของในกระเป๋าเป้ไปด้วย

ผมหยิบกระเป๋าเป้มาค้นบ้าง ไม่นานก็ได้ปากกาหนึ่งแท่งส่งให้เพื่อนใหม่ ปกติผมก็จะเตรียมไว้หลายๆ แท่งอยู่แล้ว เพราะถ้าใครจะเรียนคณะนี้ อุปกรณ์และเครื่องเขียนต้องพร้อม

"ขอบใจ โห…ใช้ของดีซะด้วยเว้ย แพงนะเนี่ยยี่ห้อเนี้ย" เพื่อนใหม่ผมชม ผมหันไปยิ้มแล้วก็หันไปสนใจฟังอาจารย์บรรยายต่อ ในขณะที่เพื่อนใหม่ก็ยังอยากรู้และถามไม่เลิก

"มึงชื่ออะไร กูชื่ออะตอม"

"กัปตัน" ผมแวบไปมองสั้นๆ ด้วยความที่เป็นเด็กเรียน ผมจึงค่อนข้างสนใจการเรียนมากกว่าอย่างอื่น

"ทำไมมาสายล่ะ ตื่นสายเหรอ"

"เปล่า มีปัญหานิดหน่อย" ผมตอบโดยไม่หันไปมอง

"เมื่อเช้าบีทีเอสคนแน่นมาก เกือบมาไม่ทัน" อะตอมบอก ก่อนถามกลับ "แล้วมึงมาไง อย่าบอกนะว่าเข็นมา"

"เออ" ผมตอบสั้นๆ กระนั้นน้ำเสียงและท่าทางของผมก็เป็นมิตร คงเป็นเพราะถูกชะตากับเพื่อนใหม่ผู้มีน้ำใจ เขาเข้ามาช่วยผมโดยไม่ต้องร้องขอ แถมยังไม่แสดงท่าทางแปลกแยกให้เห็น น่าจะเป็นคนมีทัศนคติดีมากคนหนึ่ง

อะตอมคงเห็นว่าผมสนใจฟังอาจารย์มากกว่า เจ้าตัวจึงหยุดชวนคุยโดยปริยายและหันมาตั้งใจจดเลคเชอร์ ตอนนี้มีแต่เสียงของอาจารย์ สลับด้วยเสียงวัตถุต่างๆ กระทบกันและเสียงพูดคุยเบาๆ ของนักศึกษาในห้องเป็นระยะๆ วันแรกๆ ก็คงเป็นแบบนี้ แต่พออยู่ไปสักพักและเริ่มเก๋า ภาพที่เห็นในวันนี้ก็คงจะเปลี่ยนไป



<<<ATOM>>>

​หลังเรียนภาคเช้าเสร็จ ท้องเราก็เริ่มหิว แม้ว่าจะยังไม่เหนื่อยมากเพราะเพิ่งเรียนวันแรก แต่พวกเราก็ตื่นเต้นกับชีวิตในรั้วมหาลัยอันดับหนึ่งของประเทศไม่น้อย หนึ่งเรื่องที่น่าตื่นเต้นก็คือการกินนี่แหละ เพราะที่นี่มีโรงอาหารหลายแห่งให้เลือก มีเจ้าอร่อยหลายเจ้า รุ่นพี่บอกว่าถ้าเบื่อเจ้านี้ก็ไปกินเจ้าอื่น หรือจะออกไปกินข้างนอกก็ยังได้ เพราะแถวนี้ห้างเพียบ ฟังๆ ดูแล้วก็น่าตื่นตาตื่นใจ

ที่จริงผมมีแผนว่าจะไปกินข้าวคณะนิเทศ ผมนัดอั้มแฟนผมไว้แล้ว ว่ากันว่าโรงอาหารคณะของเธอนั้นมีของอร่อยๆ ให้กินหลายอย่าง เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาของที่นี่ ที่สำคัญ คณะนี้มีสาวๆ สวยๆ ละลานตา หนุ่มๆ จึงชอบไปเพราะได้กินทั้งอาหารกายและอาหารตาพร้อมกัน

พอเลิกคลาส ผมยังไม่ได้ไปทันที กะว่าจะช่วยกัปตันซื้อข้าวกินเสียหน่อย แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าไม่เป็นไร

"มึงมีธุระไม่ใช่เหรอ ก็ไปดิ ไม่ต้องมาช่วยกูหรอก แค่นี้สบายมาก"

ผมยืนหันรีหันขวาง ใจหนึ่งก็จะรีบไปหาอั้มเพราะเธอส่งไลน์มาเร่งแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็ห่วงเพื่อนใหม่เพราะไม่แน่ใจว่าจะถือจานข้าวไปวางที่โต๊ะเองได้หรือเปล่า

"มึงทำได้เองแน่นะเว้ย" ผมไม่วายเป็นห่วง

"เออ เดี๋ยวแฟนมึงรอ" กัปตันบอกยิ้มๆ

ที่จริงผมไม่ได้บอกกัปตันว่าผมมีแฟนหรอก แต่อาการผมคงจะฟ้องว่าอยากไปหาคนสำคัญ คงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร

เมื่ออีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น ผมจึงค่อยสบายใจ "เออๆ งั้น...เดี๋ยวตอนบ่ายเจอกันนะเว้ย"

"เออ กินข้าวให้อร่อยเพื่อน" กัปตันบอกอย่างอารมณ์ดี

ผมค่อยๆ ถอยออกจากแถวซึ่งมีนักศึกษายืนต่อคิวกัน จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาอั้ม เมื่อฝ่ายนั้นรับ ผมก็รีบบอก

"กำลังจะไปแล้วนะ รอแป๊บนึง"

"รีบมาเลย หิวจะแย่แล้ว ทำอะไรอยู่ตั้งนาน" แฟนผมบ่น แต่น่าจะยังไม่งอนเท่าไหร่

"โอเคๆ อีกห้านาทีเจอกัน"

ผมบอกพลางเร่งฝีเท้า พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนจานหรือข้าวของบางอย่างตกพื้นเสียงดัง ตามด้วยเสียงร้องวี้ดว้ายตกใจ

"ว้ายน้อง พี่ขอโทษๆ โอ๊ย ทำไงดี เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวพี่เก็บให้"

เมื่อหันไปมอง ผมก็เห็นรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเก็บจานที่หล่นอยู่บนพื้นทางเดินขึ้นมาวางบนโต๊ะใกล้ๆ ดีที่มันเป็นจานพลาสติกจึงไม่แตกเสียหาย เธอหน้าซีดและดูตกใจมากทีเดียว ผมจึงรีบเดินไปดูเพราะเห็นว่ากัปตันก็อยู่ตรงนั้นด้วย ไม่รู้ว่ามีอะไรกัน

"ตายแล้ว เปื้อนหมดเลย ทำไงดี" รุ่นพี่ผู้หญิงหน้าเสีย

"มีอะไรเหรอกัปตัน” มาถึงผมก็ถาม แต่พอเห็นคราบอาหารเปรอะเปื้อนบนเสื้อของเพื่อนจึงไม่ต้องการคำตอบ

พี่ผู้หญิงเปิดประเป๋าถือพลางหยิบกระดาษทิชชู่ออกมา ทำท่าจะเช็ดคราบอาหารที่เปรอะตามเสื้อและกางเกงของกัปตันให้ แต่มันก็เลอะเทอะจนไม่สามารถใช้กระดาษทิชชู่เช็ดทำความสะอาดได้

"ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมพาเพื่อนไปห้องน้ำดีกว่า" ผมรีบบอกพี่คนนั้นก่อนที่เธอจะลงมือ

"ไม่ต้องทำอะไรนะคะ เดี๋ยวป้าทำความสะอาดเอง" แม่บ้านที่ทำความสะอาดโรงอาหารเดินมาบอก บนพื้นมีข้าวมันไก่หกเรี่ยราด ส่วนเสื้อและกางเกงของกัปตันก็มีทั้งเม็ดข้าว น้ำจิ้มข้าวมันไก่และน้ำซุปเลอะกระจายตามตัว

"พี่ขอโทษนะคะน้อง เมื่อกี้พี่ไม่เห็นจริงๆ เดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่นะ" พี่ผู้หญิงทำหน้ารู้สึกผิด

"ไม่เป็นไรครับพี่" กัปตันบอก พยายามยิ้มให้อีกฝ่าย แต่สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คงอายสายตาคนอื่นๆ ที่มองมา

“ไปเหอะ” ผมให้สัญญาณ ก่อนรีบเข็นเพื่อนออกไป

รถเข็นคันนี้ดูเล็กกะทัดรัด มีน้ำหนักเบา ดีไซน์สวย คงจะราคาแพงไม่น้อย กัปตันจึงดูไม่เหมือนคนนั่งวีลแชร์ที่น่าสงสาร เหมือนที่เรามักพบเห็นตามโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่มันเป็นรถวีลแชร์ที่ช่วยให้ผู้นั่งดูเท่มากทีเดียว

"ห้องน้ำวีลแชร์อยู่ตรงไหนครับพี่" ผมถามรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งระหว่างทาง เขาชี้ไม้ชี้มือให้ดู ผมกล่าวขอบคุณแล้วก็รีบเข็นเพื่อนไปตามนั้น

โชคดีที่มันไม่ถูกล็อคไว้ ผมรีบเลื่อนประตูบานเลื่อนออก ทางเข้ากว้างพอสมควรทีเดียว พื้นที่ข้างในก็กว้างจนแทบจะนอนเล่นได้ น่าจะออกแบบตามหลักสากลนั่นเอง ที่คณะนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงเรื่องยูนิเวอร์แซลดีไซน์หรือการออกแบบที่เป็นสากล จึงไม่ลืมทำสิ่งอำนวยความสะดวกแบบนี้ไว้ให้ด้วย

พอล็อคประตูห้องน้ำ ผมก็สั่ง "ถอดเสื้อออก เดี๋ยวกูจะล้างให้"

กัปตันหน้าเหวอ แต่สักพักเขาก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อ ก่อนถอดออกและส่งมาให้ผม เหลือเสื้อกล้ามสีขาวปิดบังผิวเนื้อบางส่วนไว้ เจ้าตัวมีผิวขาวจัด ปากสีแดงอมชมพูโดยธรรมชาติ ผิวเนียนละเอียดสวยจนเหมือนผิวผู้หญิง สะดุดตาผมมากทีเดียว

ผมรับเสื้อของกัปตันมา ก่อนเดินไปที่อ่างล้างหน้าและเปิดน้ำ ใช้น้ำล้างตรงบริเวณที่มีคราบเปื้อนให้ออกก่อน จากนั้นก็เอาสบู่เหลวซัก ส่วนกัปตันดึงม้วนกระดาษทิชชู่ตรงโถส้วมออกมาหลายๆ ทบ ก่อนเช็ดคราบเปื้อนตามรถและกางเกงสแล็คออก

"พี่เขาเดินชนมึงเหรอ" ผมหันไปถาม

"เออ เดินมาข้างหลังกูเว้ย แล้วเขาก็มัวแต่คุยโทรศัพท์ ไม่ดูอะไรเลย" กัปตันบ่นระคนขำ "เออ...แล้วมึงไม่ไปกินข้าวกับแฟนเหรอ"

เมื่อถูกเตือนผมก็หน้าเสีย เมื่อกี้ผมมัวแต่ห่วงเพื่อนจนลืมว่าต้องไปหาอั้ม ป่านนี้คงรอแย่ ผมรีบปิดน้ำแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาดู อั้มส่งไลน์มาบอกผมสองสามข้อความ ข้อความสุดท้ายเขียนว่า

"ไม่ต้องมาแล้ว เดี๋ยวอั้มจะไปกินกับเพื่อน"

เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหันไปบอกเพื่อน "ไม่ไปแล้ว"

"แล้วเขาจะไม่โกรธมึงเหรอวะ" กัปตันสงสัย

"ช่างเหอะ ไม่ใช่นัดพิเศษอะไรหรอก เออ...สงสัยกูว่ามึงต้องถอดกางเกงมาซักด้วยนะเนี่ย น้ำจิ้มเต็มเลย เข้าไปเรียนในห้องแอร์คงเหม็นทั้งห้อง" ผมถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง

"เอางั้นเหรอ" กัปตันหน้าแหย

"เออ หรือมึงอยากเผื่อแผ่กลิ่นน้ำจิ้มข้าวมันไก่ให้เพื่อนๆ ดมแก้ง่วงยามบ่ายวะ" ผมกระเซ้า

"หันไปทางนู้น" กัปตันบอก คงจะทำใจได้แล้วว่ายังไงก็คงต้องถอดกางเกงซัก

"มึงก็หันวีลแชร์มึงไปทางอื่นสิวะ" ผมบอกพลางขำ

กัปตันเบี่ยงวีลแชร์หลบตามที่ผมบอก ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงถอดเข็มขัด ตามด้วยเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกับผิว สักพักก็มีกางเกงสแล็คสีดำยื่นมาให้ผม ผมรีบรับมาและเปิดน้ำล้างตรงที่เปื้อน จากนั้นจึงกดสบู่เหลวแบบปั๊มเพื่อเอามาใช้ซักแทนผงซักฟอก

"ห้องน้ำของมึงนี่โคตรดีเลยว่ะ มีอ่างล้างมือ มีสบู่ล้างมือ อ้อ มีเครื่องเป่าแห้งด้วย ดีเลย จะได้เป่าเสื้อกับกางเกงให้มึง"

ผมเรียกห้องน้ำนี้ว่า "ห้องน้ำของมึง" เพราะน่าจะทำไว้ให้คนที่ใช้รถวีลแชร์โดยเฉพาะ ผมไม่เคยเข้ามาในห้องน้ำแบบนี้มาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ดูมันอลังการงานสร้างดีเหมือนกัน

เมื่อซักเสร็จ ผมก็เอาเสื้อกับกางเกงไปอังที่เป่ามือจนแห้งพอใส่ได้ เสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้กัปตันไป

"ขอบใจเพื่อน"

ปากสีชมพูแย้มยิ้ม สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ผมแทบไม่เคยเห็นใครมองผมด้วยสีหน้าแบบนี้มาก่อนเลย

"เออๆ รีบใส่เหอะ จะได้ไปกินข้าว" ผมบอก สายตาพลันไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างสีขาวๆ ผมมองล่วงล้ำต่ำลงไปแล้วก็ทำหน้าทะเล้น "เฮ้ย มึงใส่เกงในยี่ห้ออะไรวะ สวยดี"

กัปตันรีบเอาเสื้อกับกางเกงไปปิดตรงนั้น ก่อนสั่งเสียงดุๆ "หันไปเลยมึง"

ผมหัวเราะชอบใจและหันไปทางอื่นตามที่เพื่อนบอก ตอนแรกผมเข้าใจว่าขาของกัปตันคงจะเล็ก แต่เท่าที่เห็นก็ไม่เล็กเท่าไหร่ ทว่าก็ยังไม่สนิทพอที่จะถามว่าเพื่อนไปทำอีท่าไหนถึงได้นั่งวีลแชร์มาเรียน ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยมีเพื่อนแบบนี้เลย แต่ก็น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกแปลกแยก

เมื่อหันหน้ามาดูอีกที ผมก็เห็นกัปตันกำลังง่วนกับการผูกเนคไท จึงรีบอาสาเข้าไปช่วย "เดี๋ยวกูผูกให้ กูผูกสวย"

กัปตันหยุดทันทีและยิ้มเขินๆ ให้ คงจะสำนึกความสามารถในการผูกเนคไทของตัวเองดี ผมย่อตัวลงนั่งข้างๆ วีลแชร์ของเพื่อน ก่อนจะรับหน้าที่ผูกเนคไทต่อ แต่สักพักก็ตัดสินใจรื้อออกและทำใหม่ตั้งแต่ต้น

"มึงชอบผูกเนคไทเหรอ" กัปตันถาม

"มั้ง ก็กูผูกบ่อยๆ ไง ผูกมาตั้งแต่มอสี่แล้ว"

"มึงเรียนที่ไหนวะ ทำไมใช้เนคไทตั้งแต่มอสี่" กัปตันสงสัย

"เปล่าเว้ย กูเป็นนายแบบ เวลาถ่ายแบบมันต้องใส่เนคไทบ่อยๆ ไง ก็เลยต้องฝึกผูกให้มันสวยๆ ก็ได้พวกพี่ๆ นั่นแหละช่วยสอน"

"มึงเป็นนายแบบตั้งแต่มอสี่เลยเหรอ" กัปตันทำหน้าฉงน

"เออ เดี๋ยวตอนไปกินข้าวจะเล่าให้ฟัง" ผมบอก พลันสายตาก็ไปสะดุดกับปากสีชมพูเรื่อๆ อีกแล้ว ผู้ชายอะไรปากแดงอมชมพูขนาดนี้ พอเผลอมองไปสักพักก็ชักใจสั่น สงสัยว่าริมฝีปากสวยน่าสัมผัสนั้นจะอยู่ใกล้เกินไป ผมจึงรีบผูกเนคไทให้เสร็จเร็วๆ

"นี่ มึงดูเลย ใช้ได้ไหม"

ผมพูดพลางเข็นเพื่อนไปดูที่หน้ากระจกตรงอ่างล้างมือ ห้องน้ำนี้มีกระจกด้วย ดูเหมือนมีทุกอย่างครบจนน่าอิจฉา

"ไหนวะ ไม่เห็นเลย เห็นแต่หัว" กัปตันบ่นพลางขำ

ก็จริงอย่างว่า มีกระจกก็จริง แต่พอนั่งรถวีลแชร์ส่องก็เห็นแค่หัว ผมจึงเสนอไอเดีย "มึงพอยืนได้เปล่าวะ เดี๋ยวกูพยุงให้"

"ได้ๆ กูพอยืนได้อยู่" กัปตันบอก

ผมมายืนข้างๆ รถวีลแชร์ของกับตัน ก่อนใช้มือสอดใต้รักแร้สองข้างแล้วพยุงเพื่อนลุกขึ้นยืนตัวตรง กระจกตรงหน้าจึงมีภาพเราสองคนยืนเคียงคู่กัน กัปตันเห็นฝีมือผูกเนคไทของผมก็ยิ้มชอบใจ

"เออ สวยดีว่ะ"

ผมยิ้มชอบใจที่เพื่อนชอบ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกคันยุบยิบตรงก้น น่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนและมีเหงื่อ แบคทีเรียก็เลยเริ่มก่อตัวและสร้างความระคายเคือง ด้วยความลืมตัว ผมจึงเผลอปล่อยมือเพื่อจะเกาตรงที่คันของตนเอง ร่างของกัปตันจึงเสียหลักและเซเพราะอีกข้างไม่สมดุล ด้วยความตกใจ คนที่จะล้มก็เลยหมุนตัวพลิกมากอดผมไว้

เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง ผมก็เห็นตาแป๋วๆ และปากสีชมพูเรื่อๆ อยู่ใกล้แค่คืบ เราจ้องตากันด้วยความรู้สึกบางอย่าง แม้เพียงไม่กี่วินาทีผมก็รู้สึกกับสิ่งที่เห็นอย่างรุนแรงจนปั่นป่วน หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบจะทรงตัวไม่ไหว

เมื่อได้สติ ผมก็พยุงให้กัปตันนั่งลงบนวีลแชร์เหมือนเดิม แต่หัวใจข้างในยังเต้นตุบๆ จนน่าแปลกใจว่ามันตื่นเต้นอะไรของมันนักหนา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเหมือนผมหรือเปล่า แต่สีหน้าเรียบเฉยนั้นคงพอเป็นคำตอบได้

"ไปเหอะ กูหิวแล้ว" ผมตัดบท กัปตันพยักหน้าตกลง



TBC


// ฝากนิยายเรื่องนี้ในอ้อมใจคนอ่านด้วยนะครับ
// อีกหนึ่งเรื่องที่คนเขียนภูมิใจมากที่ได้เขียน
// ช่วงแรกอาจมีบางอย่างให้รู้สึกหงุดหงิดหรือระแวง
// ผมจำได้ว่ามีคนเลิกอ่านด้วย ทั้งๆ ที่อ่านต่ออีกนิดเดียวก็จะเข้าใจแล้ว
// นิยายแบบนี้หาอ่านยากครับ
// โดยเฉพาะนิยายที่ไม่ทำให้คนพิการกลายเป็น "ชายน้อย" เหมือนบ้านทรายทอง
// อ่านจบแล้ว ถ้าไม่รบกวนก็อยากฟังความคิดเห็นด้วยครับ
// หวังว่าจะชอบและได้อะไรไปบ้างจากเรื่องนี้
// ขอให้อ่านให้สนุกนะครับ Enjoy your reading :)




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 19:24:15 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  สนุกอะ อะตอมใจสั่นแถมยังชอบมองปากด้วย 555 ชอบฉากเผลอกอดแล้วปากห่างกันนิดเดียว ฮ่าๆ
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
เมื่อมีคนจุดธูปเรียกเราก็มา 555

เริ่มต้นได้น่าสนใจมากค่ะ  ไม่ค่อยบ่อยนักที่เจอตัวละครแบบกัปตัน
กับอะตอมนี่เป็นบุคลิกที่เราค่อนข้างชอบนะคะ
คิดว่าที่ช่วยนี่ก็คือใจที่ปราณีพอได้มองใกล้ๆก็เจอสิ่งที่ถูกตาต้องใจ
ตามอ่านค่ะ

ออฟไลน์ maicy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 303
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +52/-0
มาเป็นกําลังใจให้นักเขียนค่ะ. รอตอนต่อไปค่ะ :L2:

ออฟไลน์ Himbeere20

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แปะ ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
กัปตันเดินไม่ได้แต่เกิดเลยเหรอ หรือว่าเป็นอุบัติเหตุว่า

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP02
ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม



<<<ATOM>>>

หลังเลิกเรียน นักศึกษาก็จับกลุ่มคุยกันตามที่นั่งที่จัดไว้ตามมุมต่างๆ ของคณะ หลักๆ เราก็คุยกันเรื่องการเรียนวันแรก รวมทั้งประสบการณ์รับน้องที่เพิ่งผ่านมาด้วย พวกเราสนิทกันมาตั้งแต่ตอนรับน้องแล้ว มีแต่กัปตันเท่านั้นที่ไม่ค่อยสนิทกับใคร แถมเพื่อนๆ ก็ยังชอบมองมันแปลกๆ ไม่ค่อยชวนมันคุยด้วย ผมสังเกตเห็นว่ามันดูอึดอัดพอสมควร มันก็เลยนั่งกดโทรศัพท์เล่นมากกว่าจะคุยกับใคร

ขณะที่ผมกำลังคุยอย่างสนุก ผมก็เห็นไอ้อินเดินแกมวิ่งมาหาพวกเรา ไอ้หมอนี่มันหล่อมาก แต่ชอบพูดกวนและแรงขัดกับหน้าของมัน เพื่อนที่โรงเรียนเก่าเรียกมันว่า "ไอ้หล่อปากหมา" ได้ข่าวว่ามันคบกับสาวคนไหนไม่ได้นานเพราะปากของมันนี่แหละ พอแทรกตัวนั่งลงได้มันก็หันมาคุยกับผมก่อนใคร แถมยังแสดงแสนยานุภาพของปากมันตั้งแต่ประโยคแรก

"ไงอะตอม ได้ข่าวว่ามึงใจบุญสุดๆ ช่วยเข็นรถให้ไอ้เป๋ทั้งวันเลย แถมยังเบี้ยวไม่ไปกินข้าวกับแฟนอีก ใจบุญแบบนี้ จบไป กูว่ามึงน่าจะเปิดสถานสงเคราะห์รับเลี้ยงคนพิการนะเว้ย"

ไอ้อินหัวเราะราวกับเรื่องที่พูดตลกมาก เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ทำหน้าเลิ่กลั่ก มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ส่วนกัปตันถึงกับหยุดเล่นมือถือ ค่าที่มันผิวขาวจัด หน้ามันจึงแดงมาก คงจะทั้งโกรธและอาย ผมก็ไม่รู้จักหลักการสิทธิมนุษยชนอะไรหรอก แต่ก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เพื่อนพูดโคตรจะเป็นการดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีเลย

"เฮ้ยไอ้อิน กัปตันมันก็มีชื่อหรือเปล่าเหอะ ทำไมไม่เรียกชื่อมันวะ" ผมปรามเพื่อนด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ต้องข่มใจไม่ให้โกรธพอสมควร

"อ้าว มันชื่อกัปตันเหรอ นึกว่าชื่อเป๋" ไอ้อินหัวเราะเหมือนยังไม่สำนึก สมกับเป็นไอ้หล่อปากหมาอย่างที่ร่ำลือ

"กูกลับก่อนนะเว้ย" กัปตันบอกเสียงทุ้มต่ำและห้วนสั้น ก่อนที่จะปลดล็อครถเข็นแล้วเข็นออกไปอย่างรวดเร็ว

"ฉิบหาย ทำไมพวกมึงไม่บอกกูว่ามันนั่งอยู่ตรงนี้วะ" ไอ้อินหน้าเสียพร้อมกับมองตามเพื่อนที่เข็นออกไป

"เชี่ยเอ๊ย" ผมสบถอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับไอ้หล่อปากหมาดี ทางที่ดีผมควรจะตามกัปตันไปก่อนดีกว่า เพราะผมไม่อยากให้มันรู้สึกว่าเพื่อนไม่สนใจ ผมจึงคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งตามมันไปทันที แต่ก็ไม่ลืมร่ำลาเพื่อนๆ

"พรุ่งนี้เจอกันนะเว้ย"

กัปตันเข็นเร็วจี๋ไปถึงตรงทางลาดด้านหลัง มันยกล้อหน้าขึ้นแล้วปล่อยรถไถลลงอย่างคล่องแคล่ว เท่าที่เห็นผมว่ามันเป็นคนแข็งแรงมาก เพราะตอนที่มันถอดเสื้อผมเห็นกล้ามแขนของมันด้วย

"กัปตัน รอกูด้วย เดี๋ยวกูไปส่ง" ผมตะโกนเรียก

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ารถวีลแชร์จะเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนี้ แค่มันเข็นธรรมดาผมก็เดินตามแทบไม่ทัน ต้องเดินแกมวิ่งเอา กัปตันแวบหันมามอง สักพักมันก็ลดความเร็วลงจนกระทั่งผมตามมันทัน

"มึงไม่ต้องไปสนใจไอ้อินมันหรอก มันก็ปากหมาอย่างนี้แหละ" ผมพยายามปลอบใจเพื่อน ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน แต่ก็คงดีกว่าไม่พูดอะไรเลย

กัปตันไม่พูดอะไร มันเข็นไปเงียบๆ ผมก็เลยไม่ชวนคุยและเซ้าซี้ รอให้มันหายโกรธก่อนดีกว่า เราจึงเคลื่อนที่ไปด้วยกันเงียบๆ สองคน ผมไม่ได้ช่วยเข็นเพราะเมื่อตอนบ่ายกัปตันบอกว่าไม่จำเป็น มันเข็นของมันเองง่ายกว่า ควบคุมทิศทาง ความเร็วและความแรงได้ดีกว่ามีคนช่วย ผมว่ามันฝึกการช่วยเหลือตัวเองมาดีพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอย่างนี้ไม่ได้ ผมรู้สึกทึ่งไม่น้อย

เราข้ามถนนจุดแรกด้วยความช่วยเหลือของ รปภ. เมื่อข้ามฝั่งมาได้แล้วเราก็ไปต่อ ที่จริงมันมีรถป๊อบสำหรับนักศึกษาด้วย แต่กัปตันขึ้นไม่ได้ ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ที่กัปตันต้องมาเสี่ยงชีวิตข้ามถนนแบบนี้ ถ้าผมออกแบบเก่งแล้วจะลองหาวิธีปรับรถป๊อบดู เผื่อจะมีวิธีทำให้วีลแชร์ขึ้นได้

"แล้วมึงไม่ไปส่งแฟนมึงเหรอ" อยู่ดีๆ กัปตันก็หันมาคุยด้วย สงสัยคงจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว

"มึงรู้ได้ไงว่ากูมีแฟน" ผมถามกวนๆ แต่สีหน้าก็ยิ้ม คงเป็นเพราะดีใจที่เห็นเพื่อนหายเศร้า

"ก็ตอนเที่ยงๆ กูเห็นมึงดูนาฬิกาบ่อยๆ เหมือนกับคนมีนัด เมื่อกี้ไอ้อินก็พูด แล้วมีจริงหรือเปล่าล่ะ"

"เออ" ผมยอมรับไปตามตรง

"คบกันมานานยัง"

"ก็ตั้งแต่มอห้า"

"โห ก็นานเหมือนกันนะเนี่ย ส่วนมากกูเห็นเพื่อนกูคบกันสามสี่เดือนก็เปลี่ยนคนแล้ว นี่คบมาได้สองปี แสดงว่าต้องรักกันจริง"

"ก็คงอย่างงั้น แล้วมึงล่ะ" ผมถามกลับบ้าง แต่พอถามไปแล้วก็นึกได้ว่าไม่น่าถาม

"ใครจะมาชอบกูวะ" น้ำเสียงที่พูดฟังดูเรื่อยๆ ทว่าคนฟังกลับรู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างในน้ำเสียงเช่นนั้น

"ก็ไม่แน่นะเว้ย กูเห็นสาวๆ เหล่มึงหลายคนเลยนะเว้ยวันนี้ ตอนนั่งกินข้าวไง มึงไม่สังเกตเหรอ" ผมพยามพูดให้ฟังดูตลกเพราะกลัวเพื่อนจะคิดมาก

กัปตันเข็นรถต่อไปเงียบๆ โดยไม่ตอบคำถาม จนกระทั่งมาถึงจุดข้ามถนนที่สอง รปภ. รีบเดินมาช่วยโบกรถให้เช่นเคย ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับกัปตันดีแล้ว คิดดูละกันว่ากรุงเทพที่รถติดๆ แต่รถทุกคันก็ต้องหยุดเพื่อมันคนเดียว ผมว่าไปกับมันก็ดีเหมือนกัน เพราะได้เรียนรู้ชีวิตที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน

ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่เราก็มาถึงหอพักนานาชาติซึ่งอยู่นอกรั้วมหาลัย ตึกสูงหลายสิบชั้นเด่นตระหง่านตรงหน้า การตกแต่งที่หรูหราบอกฐานะคนที่จะมาพักที่นี่ได้เป็นอย่างดี ที่จริงผมเคยมาดูหอพักที่นี่แล้ว แต่เห็นค่าเช่าแล้วก็สยอง ผมไม่ใช่ลูกคนมีเงินเหมือนนักศึกษาคนอื่นๆ จะเอาเงินมาเสียค่าที่พักแพงๆ แบบนี้คงไม่ไหว ต่อให้แบ่งครึ่งกับรูมเมทก็ยังแพงอยู่ดี ผมจึงเลือกนั่งสองแถวออกจากบ้านแถวตลาดบางแคมาลงที่บีทีเอสบางหว้า จากนั้นก็นั่งยาวมาจนถึงสถานีสยาม นับได้ทั้งหมดสิบสามสถานีพอดี

ก่อนขึ้นไปบนห้อง กัปตันพาผมแวะไปดูสระว่ายน้ำและฟิตเนสก่อน มันเล่าให้ฟังด้วยว่าที่นี่มีห้องสมุดและห้องประชุมให้นักศึกษาใช้ ข้างล่างก็มีร้านสะดวกซื้อเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เดินไปอีกหน่อยจากตึกนี้ก็จะมีศูนย์การค้าอยู่ใกล้ๆ มีที่กินและซื้อของต่างๆ ช่างสะดวกสบายจนผมชักอยากมาอยู่ด้วย

พอเข้ามาในห้องของกัปตัน ผมก็เบิกตาโตเพราะตกตะลึงในความอลังการ มันใหญ่กว่าห้องในบ้านผมสองสามห้องรวมกันเลยก็ว่าได้ เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างครบ มีที่นั่งเล่น ทีวีจอใหญ่ ตู้เย็นขนาดใหญ่ โต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงานและคอมพิวเตอร์อย่างดี มีห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอนแยกต่างหาก มีระเบียงข้างนอกด้วย ทุกอย่างเป็นสัดเป็นส่วน พื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ สวรรค์ชัดๆ

"โห…นี่ห้องมึงเหรอกัปตัน ทำไมมันใหญ่อย่างนี้วะ" ผมอุทานพลางมองไปรอบๆ

"แม่กูซื้อให้เว้ย จริงๆ กูก็ไม่ได้อยากได้ห้องใหญ่ขนาดนี้หรอก ดูแลยากจะตาย อีกอย่างนะเว้ย ต่อไปก็ต้องเรียนหนัก ห้องนี้ก็คงมีไว้แค่ซุกหัวนอนเท่านั้นแหละ"

"มีแม่บ้านทำความสะอาดให้หรือเปล่าวะ" ผมถามเพราะนึกไม่ออกว่ามันจะทำความสะอาดห้องใหญ่ขนาดนี้คนเดียวไหวหรือเปล่า

"ก็เรียกใช้บริการได้ แต่ของกูไม่ต้อง แม่ให้คนที่บ้านมาช่วยทำให้อาทิตย์ละครั้ง เออ ถ้ามึงจะกินน้ำหรืออยากกินอะไรก็จัดการเองเลยนะเว้ย กูขอเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน มันยังเหม็นๆ อยู่" กัปตันพูดติดตลกตอนท้าย

"เออๆ ตามสบาย" ผมบอก

กัปตันเข็นรถเข้าไปในห้องนอนของมัน ส่วนผมเดินออกไปดูวิวตรงระเบียงห้อง แสงสียามเย็นจากมุมสูงเปลี่ยนภาพกรุงเทพให้ต่างจากที่เห็นบนท้องถนนจนคุ้นชิน ผมชอบวิวแบบนี้มาก ถ้ามีเงินมากพอก็จะซื้อห้องแบบนี้สักห้องไว้อยู่

อิ่มตาแล้วผมก็กลับเข้ามาในห้อง เดินไปเปิดดูตู้เย็น มีของกินเพียบ แถมยังมีไอศครีมยี่ห้อแพงๆ แช่ไว้หลายถ้วยอีก เจ้าของห้องเพิ่งบอกว่าอยากกินอะไรก็ให้จัดการเอง ถ้างั้นผมก็จะไม่เกรงใจ ว่าแล้วก็หยิบออกมาสองถ้วย เผื่อกัปตันจะกินด้วย

เมื่อเอาของมาวางลงบนโต๊ะนั่งเล่นเตี้ยๆ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นกีตาร์โปร่งตัวหนึ่งวางไว้ตรงมุมห้อง ผมเคยอยากเล่นมากๆ ตอนมอปลาย แต่ไม่ค่อยมีเวลาฝึก ก็เลยเล่นไม่เป็น ด้วยความตื่นเต้น ผมจึงวิ่งไปหากัปตันที่ห้องนอน เลื่อนประตูบานเลื่อนซึ่งเป็นฝ้าใสๆ ออกและเยี่ยมหน้าไปคุยด้วย

"เฮ้ยกัปตัน มึงเล่นกีตาร์เป็นด้วยเหรอวะ"

กัปตันสะดุ้งตกใจและหันมามองผม มันกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่บนเตียงพอดี ใส่กางเกงแล้ว แต่ท่อนบนเปลือยเปล่า ผิวตัวของมันขาวเนียนจัด มีกล้ามขึ้นพองาม ผมเห็นอุปกรณ์ออกกำลังกายในห้องของมันด้วย แสดงว่ามันคงออกกำลังกายบ้างถึงได้มีกล้ามสวยแบบนี้ นอกจากปากของมันจะสีเป็นสีชมพูเรื่อๆ แล้ว หัวนมของมันก็เป็นสีชมพูเรื่อๆ ด้วยเช่นกัน เห็นแล้วผมเริ่มใจสั่น พลันก็เผลอคิดว่าถ้าเกิดวันหนึ่งผมหน้ามืดปล้ำคนพิการขึ้นมา ผมจะบาปหรือเปล่า?

"เออ อยากฟังเหรอ เดี๋ยวกูเล่นให้ฟัง" กัปตันบอกด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย คงเป็นเพราะตกใจนั่นเอง

ผมยิ้มดีใจ ก่อนเลื่อนปิดประตูให้ จากนั้นก็เดินไปหยิบกีตาร์มาวางไว้ตรงมุมนั่งเล่น ไม่นานกัปตันก็ออกมาจากห้อง ใส่เสื้อยืดสีขาวของซีเคดูเรียบหรูดี ก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ที่เพื่อนผมจะใส่เสื้อผ้าแพงๆ ส่วนมากคนที่มาเรียนมหาลัยนี้ก็เป็นลูกคุณหนูกันแทบทั้งนั้น แม้กระทั่งแฟนผมด้วย

ที่จริงผมว่าเย็นนี้จะไปพาอั้มไปหาอะไรกินซะหน่อย แต่พอเห็นกัปตันโดนไอ้อินพูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกเป็นห่วงจิตใจเพื่อนจึงเปลี่ยนใจไม่นัดอั้มออกไปข้างนอก ป่านนี้ที่บ้านคงส่งคนมารับเธอกลับไปแล้ว คงจะงอนผมด้วยเพราะไม่ยอมโทรมาคุยด้วยเลย ไลน์ก็ไม่มี

"กินไอติมก่อน" ผมเชื้อเชิญเมื่อกัปตันเข็นมาถึง ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของห้องกันแน่

เราสองคนหยิบไอติมกันคนละถ้วยมาตักกิน จากนั้นผมก็ชวนคุย

"เมื่อกี้กูออกไปดูวิวตรงระเบียง โคตรสวยเลย ถ้ามีตังค์นะ กูจะซื้อห้องแบบนี้แหละ กูชอบอยู่ที่สูงๆ"

"อ้าว มึงไม่ได้อยู่หอเหรอ" กัปตันเอียงคอมอง

"ไม่ได้อยู่ กูอยู่บ้าน อยู่บางแคโน่น โคตรไกลเลย ดีที่มันมีบีทีเอสอยู่ไม่ไกลมาก ก็เลยเข้าเมืองไม่ลำบากเท่าไหร่" ผมอธิบาย แอบนึกเสียดายเล็กน้อย ตอนแรกผมกะว่าจะขอเป็นรูมเมทกับมันซะหน่อย ถ้าเป็นห้องธรรมดา แบ่งกันจ่ายสักเดือนละห้าหกพันก็พอไหว แต่เจอห้องขนาดนี้เข้าไป ผมว่าค่าเช่าคงไม่ต่ำกว่าสองหมื่นบาทต่อเดือนแน่ๆ ก็เลยไม่กล้าเอ่ยปากขอเป็นรูมเมทกับมัน ผมคงไม่หน้าด้านจ่ายแค่หกพันเพื่ออยู่ห้องหรูขนาดนี้

"โห อยู่ไกลขนาดนั้น ถ้ามีเรียนเช้า มึงไม่ต้องตื่นตีห้าเลยเหรอวะ" กัปตันถาม

"ก็เออดิ จริงๆ กูก็กำลังหาหอพักใกล้ๆ แถวนี้อยู่เว้ย ถ้ามึงรู้จักใครที่กำลังหารูมเมทอยู่ บอกกูได้นะเว้ย แต่ว่า…ไม่เอาห้องใหญ่ขนาดนี้หรอก ไม่งั้นกูได้กินแกลบแน่ๆ" ผมหัวเราะ กัปตันก็ขำด้วย ขณะเดียวกันผมก็เผลอมองปากชมพูของมันอย่างลืมตัว

"เออ รู้สึกว่าจะมีอยู่นะ กูได้ยินกลุ่มไอ้กวินมันคุยๆ กันอยู่"

"อ๋อ เออๆ เดี๋ยวกูจะลองถามพวกมันดู กูก็ไม่อยากแหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามาเรียนแล้ว โคตรเหนื่อยเลย" ผมหัวเราะอีก แต่ในใจลึกๆ ก็อดเสียดายห้องนี้ไม่ได้ ยิ่งมีสระว่ายน้ำและฟิตเนสด้วยก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะผมจำเป็นต้องฟิตหุ่นเพื่องานถ่ายแบบ อยู่ที่นี่มีครบทุกอย่างเลย ผมไม่ต้องถ่อสังขารเข้าเมืองเหมือนที่ผ่านมา

พอกินไอติมหมด กัปตันก็หยิบกีตาร์ขึ้นมา ก่อนเล่นก็ไม่ลืมเล่าที่มาที่ไปของเพลงที่จะเล่นให้ฟังก่อนด้วย "เพลงนี้กูแต่งเองนะเว้ย แต่งไว้หลายปีแล้วล่ะ เก่าๆ หน่อย แต่กูอยากเล่นให้มึงฟัง"

ผมมองเพื่อนด้วยความรู้สึกทึ่ง แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอีกเช่นกัน เพราะคนเรียน "ถาปัตย์" ก็ติสต์แตกกันแทบทั้งนั้น ทั้งการพูด การกิน การแต่งตัว การใช้ชีวิต ดูมีเอกลักษณ์มากกว่าคณะไหนๆ สาวๆ จึงมักชอบหนุ่มๆ คณะนี้

เมื่อกัปตันเริ่มกรีดสายกีตาร์ ผมก็รับรู้ถึงอารมณ์เศร้าๆ เหงาๆ ของเพลงนี้ได้ตั้งแต่โน๊ตตัวแรก ยิ่งได้ฟังเนื้อหาแล้วก็ยิ่งขนลุก เสียงร้องของมันก็ยังน่าฟังอีกต่างหาก ยังกับนักร้องมืออาชีพเลย

A1: แปลกดีที่คนหนึ่งคน ที่แปลกหน้ากันก่อนนี้ ได้เข้ามาเปลี่ยนสี...โลกใบเดิมๆ / ปัดฝุ่นหัวใจที่ปล่อยร้าง สิ่งที่หายไปคอยแต่งเติม ค่อยๆ เสริมพลัง...ให้คนที่ถอดใจ

B1: วันที่ฝันเลือนลาง วันที่โลกเดียวดาย ก็รู้ยังมีอีกคน...ข้างกัน

Hook: นี่คือหัวใจของคนหนึ่ง ใส่กล่องสีเทาไว้มานาน หากว่ารักกัน ก็ให้เก็บไว้ / ขอบคุณเรื่องราวที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งมากมาย อยากให้เธอรู้ไว้ เกิดมาโชคดีที่เธอรักกัน

A2: ถ้าหากไม่เจอกับเธอ จะเดินสู้ไปกับใคร โลกนี้คงจะเหลือ...แค่คนๆ หนึ่ง / ขอบคุณที่มองเห็นค่ากัน ให้ความรักจริงที่เอื้อมถึง และวันนี้เธอจึง...ได้ใจในกล่องนี้

B2: เมื่อมีแสงนำทาง ก็ปลุกฝันดีๆ และพร้อมเดินทางจากนี้...ไม่หวั่น

Hook: นี่คือหัวใจของคนหนึ่ง ใส่กล่องสีเทาไว้มานาน หากว่ารักกัน ก็ให้เก็บไว้ / ขอบคุณเรื่องราวที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งมากมาย อยากให้เธอรู้ไว้ เกิดมาโชคดีที่เธอรักกัน

B3: วันที่ฝันเลือนลาง วันที่โลกเดียวดาย ก็รู้ยังมีอีกคน...ข้างกัน

Hook: นี่คือหัวใจของคนหนึ่ง ใส่กล่องสีเทาไว้มานาน หากว่ารักกัน ก็ให้เก็บไว้ / ขอบคุณเรื่องราวที่ดีๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งมากมาย อยากให้เธอรู้ไว้ เกิดมาโชคดีที่ได้รักเธอ / เก็บความรักไว้ในกล่องสีเทา

https://www.youtube.com/v/D5l3P1DXOKs

เมื่อจบเพลงผมก็ปรบมือรัวๆ เกือบสิบวิ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มชื่นชม เพราะผมรู้สึกได้ว่ากัปตันร้องเพลงนี้ออกมาจากหัวใจ โดยเฉพาะตรงท่อนที่ร้องเสียงสูงๆ ไม่รู้ว่าเคยรักใครมาก่อนหรือเปล่าถึงได้แต่งเพลงได้กินใจขนาดนี้

"โคตรเพราะเลยว่ะ มึงแต่งเองจริงๆ เหรอวะ"

"เออ" กัปตันหัวเราะพลางวางกีตาร์ลงบนโซฟา

"ทำไมต้องเป็นกล่องสีเทาวะ สีอื่นก็มีตั้งหลายสี" ผมสงสัย

"เวลาพูดถึงสีเทา มึงนึกถึงอะไรล่ะ" กัปตันถามกลับ

ผมทำท่าคิด "อืม…ความหม่น เศร้า เหงา อะไรประมาณนี้มั้ง"

กัปตันพยักหน้ายิ้มๆ "แล้วถ้ามึงเก็บหัวใจมึงไว้ในกล่องสีเทา มันน่าจะแปลว่าอะไรวะ"

"โห…ล้ำลึกนะเนี่ย คิดได้ไงวะ" ผมทึ่งมากขึ้นไปอีก "ถามจริง มึงแต่งเพลงนี้ให้ใครเป็นพิเศษหรือเปล่าวะ"

กัปตันชะงักและสีหน้าเจื่อนเล็กน้อย ไม่นานก็พยักหน้ายอมรับ "เออ"

"แล้วตอนนี้…"

"ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว" กัปตันพยายามยิ้ม แต่ก็ยังดูเศร้า

ผมยอมรับว่ารู้สึกสะเทือนใจไปด้วยอย่างมาก ความสงสารแล่นเข้าจับขั้วหัวใจทันที นึกถึงตอนที่ไอ้อินเรียกกัปตันว่า "ไอ้เป๋" แล้วก็ยังสะเทือนใจไม่หาย กัปตันคงผ่านเรื่องราวแบบนี้มามาก แม้กระทั่งความรักของมันเองก็คงมีอุปสรรคแบบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงต้องเก็บหัวใจของตัวเองไว้ในกล่องสีเทามาหลายปี หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะมีโอกาสมอบกล่องหัวใจสีเทานี้ให้ใครสักคนบ้าง

อยู่ๆ ผมก็นึกอยากกอดเพื่อน ไม่ได้คิดจะลวนลามหรอก แต่ผมอยากปลอบใจมันมากกว่า ว่าแล้วผมก็ยืนขึ้นและเขยิบไปอยู่ตรงหน้าวีลแชร์ ก่อนใช้สองมือยกตรงใต้รักแร้และดึงตัวกัปตันยืนขึ้น มันดูแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ผมจ้องตากัปตันชั่วครู่ ยิ้มบางๆ ให้ แล้วก็ดึงมันมากอดไว้

"ไม่เป็นไรนะเว้ย กูจะเป็นกำลังใจให้มึง สู้ๆ นะเพื่อน ห้าปีที่กูกับมึงจะเป็นเพื่อนกัน เดี๋ยวกูจะดูแลมึงเอง กูสัญญาว่ากูจะไม่ทิ้งมึง กูจะพามึงไปทุกที่ที่พวกกูไป ขึ้นเขาลงห้วยกูก็จะเข็นมึงขึ้นไปด้วย โอเคไหม"

กัปตันไม่พูดตอบ แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงแรงกอดรัดที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยรู้สึกอบอุ่นหัวใจขนาดนี้เลย ไม่คิดว่ากอดกับผู้ชายจะฟีลกู๊ดขนาดนี้ แต่กอดไปกอดมา ความอบอุ่นก็ชักจะเริ่มร้อน ผู้ชายคนนี้ทำให้ผมปั่นป่วนหัวใจอีกแล้ว อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่ผมเพิ่งถามตัวเองเมื่อไม่ถึงสิบนาทีที่ผ่านมา…

ถ้าผมหน้ามืดปล้ำคนพิการขึ้นมาจะบาปไหม?

แต่ก่อนที่ผมจะปล่อยให้ตัวเองหน้ามืด ผมก็คลายอ้อมแขนออกเสียก่อน ก่อนช่วยพยุงให้กัปตันลงนั่งบนวีลแชร์ตามเดิม

"มึงหิวยัง" กัปตันถาม ผมเห็นมันตาแดงๆ คล้ายจะร้องไห้ด้วย แต่ก็ไม่เห็นน้ำตา

"ก็…ยังไม่หิวเท่าไหร่" ผมตอบด้วยสีหน้าที่ยังวางไม่สนิท สัมผัสจากกอดและกลิ่นกายหอมๆ ของมันยังติดจมูกผมอยู่เลย

"มึงชอบกินสเต๊กเปล่า"

ผมพยักหน้า

"มึงรีบกลับบ้านไหม ตรงห้างข้างๆ มีร้านสเต๊กร้านหนึ่ง อร่อยใช้ได้เลย ไปกินไหม เดี๋ยวกูเลี้ยง"

"เลี้ยงทำไม ไม่ต้องหรอก" ผมบอกอย่างเกรงใจ

"เอาเหอะน่า วันนี้มึงช่วยกูตั้งหลายอย่าง ถ้าไม่ได้มึง กูก็แย่เลยนะเว้ย"

"เอางั้นเหรอ" ผมทำท่าลังเล

"เออน่า อย่าลีลา เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจนะเว้ย" กัปตันขู่

"โอเคๆๆ" ผมรีบตอบรับและยิ้มเขินๆ ก่อนหัวเราะด้วยกันทั้งคู่

ค่าที่มันเป็นเจ้าถิ่น ผมจึงให้กัปตันเข็นนำทางไป ทางเท้าแถวนี้ค่อนข้างใช้ได้ มีทางลาดขึ้นลงให้ทุกจุด ไม่เหมือนแถวบ้านผม นอกจากจะไม่มีทางลาดให้แล้ว ยังมีพ่อค้าแม่ค้า เสาไฟฟ้า ป้ายและบรรดาสิ่งกีดขวางสารพัด กัปตันคงเข็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่จริงก็น่าแปลก อยู่กรุงเทพมาตั้งนานแต่ผมก็ไม่เคยสังเกตของพวกนี้เลย ถ้าไม่มีเพื่อนใช้รถวีลแชร์ก็คงนึกไม่ถึง

ห้างที่เราไปมีทางลาด ลิฟต์และห้องน้ำคนพิการเตรียมไว้พร้อม ผมว่ามันช่วยให้ชีวิตของกัปตันง่ายขึ้นมากทีเดียว เพราะถ้าไม่มีของพวกนี้ก็คงลำบาก ปวดหนักปวดเบาขึ้นมาคงต้องกลับบ้านท่าเดียว แบบนี้ก็คงไม่อยากออกไปไหน

เราสั่งสเต๊กกันมาคนละจาน นั่งกินชิลๆ และคุยกันไปเรื่อยๆ มีโทรศัพท์และการสื่อสารรูปแบบอื่นแทรกมาบ้างเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเสียสมาธิคุยกัน ไม่น่าเชื่อว่าผมจะสามารถใช้เวลากับเพื่อนใหม่ได้นานขนาดนี้ ตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนตอนนี้หนึ่งทุ่มแล้ว

"ทำไมตอนรับน้องกูไม่เห็นมึงวะ" ผมถามขึ้นมาตอนหนึ่ง

กัปตันหยุดกิน ก่อนขำเบาๆ "ก็แม่กูน่ะดิ เขาไปส่งกูเว้ยวันนั้น พอไปถึงเขาก็ให้กูรออยู่ในรถ แล้วเขาก็ไปซักรุ่นพี่ใหญ่เลยว่าจะให้ทำอะไรกันบ้าง ลำบากไหม ตากแดดตากฝนไหม จริงๆ กูว่ามันก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้นหรอก อีกอย่าง รุ่นพี่เห็นกูใช้วีลแชร์ เขาคงไม่ให้กูเล่นแผลงๆ หรอกมั้ง แต่แม่กูไม่ยอมเว้ย เขากลับมาบอกกูว่าไม่ต้องร่วมกิจกรรมรับน้องแล้วเพราะว่ามันลำบาก มันมีทั้งวิ่ง เล่นเกม ร้องเพลง ตากแดด ตากฝน แล้วเขาก็พากูกลับบ้านเฉยเลย"

ผมไม่รู้ว่าจะขำด้วยดีหรือเปล่า เพราะลึกๆ ไม่เห็นด้วยที่แม่กัปตันตัดสินใจอย่างนั้น ไม่งั้นป่านนี้กัปตันก็คงมีกลุ่มเพื่อนสนิทบ้างแล้ว แต่ผมจะไปว่าแม่เพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันก็ไม่ถูก จึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ไปตามประสา "เออ ก็ลำบากจริงแหละ"

"กูก็เลยยังไม่มีเพื่อนสนิทไง" กัปตันบอกสีหน้าเศร้าๆ

"อ้าว ก็กูนี่ไง" ผมแย้ง

"เออ จริงด้วย" กัปตันหัวเราะแหะๆ แก้เก้อ น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่ามันดูน่ารักเหลือเกิน

"ทำไมมึงหน้าใสจังวะกัปตัน ใช้ครีมอะไรเหรอ เผื่อกูจะได้ลองใช้มั่ง ถ้าหน้ากูใสเหมือนมึงอีกสักหน่อย งานกูมาตรึมแน่"

"แม่กูซื้อให้น่ะ ของขายตรงยี่ห้อจากเมกามั้ง ก็หลายตังค์อยู่"

"เหรอๆ กูขอลองใช้ได้ไหม ถ้าได้ผล กูจะลองซื้อมาใช้มั่ง"

"ได้ๆ แต่หวังว่ากูจะไม่เสียเพื่อนนะเว้ย"

ผมหยุดชะงัก ขมวดคิ้วเข้าหากัน "ยังไงวะ ทำไมแค่ลองใช้ครีมต้องเสียเพื่อนด้วย"

กัปตันหัวเราะ พอหยุดขำจึงเล่าที่มาที่ไปให้ฟัง "กูมีเพื่อนคนหนึ่งเว้ย รู้จักกับมันตั้งแต่ประถมเลย ก็ค่อนข้างสนิทแหละ เมื่อปีที่แล้วกูเจอมัน คุยไปคุยมา มันบอกว่ามันกำลังขายครีมตัวหนึ่งอยู่ มันบอกว่าดีมาก อยากให้กูช่วยมันขายหน่อย แต่ว่าไม่ต้องทำอะไรมาก แค่โพสต์เฟสว่าใช้แล้วได้ผลดี หน้าใส อะไรประมาณนี้แหละ กูเห็นมันเป็นเพื่อนก็เลยขอเอามาลองใช้ก่อน เผื่อดีจะได้โฆษณาให้ มึงรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น สิวกูขึ้นเว้ย ขึ้นเต็มหน้าเลย แม่กูตกใจมาก รีบพากูไปหาหมอเลย หมอบอกกูว่ากูแพ้สารเคมีจากครีมที่ใช้นั่นแหละ หมอเลยให้กูหยุดใช้ครีมทุกชนิดเดือนหนึ่ง แต่พอกูบอกเพื่อนกู มันเสือกบอกว่าหน้ากูไม่ดี มีสารพิษตกค้าง ต้องใช้ครีมของมันต่อจะได้ขับสารพิษออกให้หมด แต่กูไม่กล้าใช้ต่อไง ก็เลยบอกมันว่าไม่ใช้แล้ว มันก็พยายามอธิบายว่าครีมของมันมีแต่ส่วนผสมดีๆ ได้มาตรฐานระดับโลก กูก็เลยบอกมันว่าสงสัยหน้ากูจะไม่ได้มาตรฐานระดับโลก ก็เลยใช้ครีมมันไม่ได้ กูไม่ใช้ละกัน แม่งโกรธกูเฉยเลยเว้ย ทุกวันนี้มันไม่คุยกับกูอีกเลย"

ผมยอมรับว่าผมชอบฟังเวลากัปตันพูด ไม่ใช่ชอบเสียง แต่ชอบดูปากชมพูเรื่อๆ ของมันขยับขึ้นขยับลง มันดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างประหลาด มันชอบเลียปากตัวเองบ่อยๆ ด้วย บอกตรงๆ เลยว่ามันดูเซ็กซี่ยั่วยวนน่าจูบไม่น้อย ผมจึงเผลอมองอย่างหลงใหลโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนเห็นอะไรปัดไปปัดมาตรงหน้าพร้อมกับเสียงเรียก

"อะตอม มึงเป็นอะไรของมึงวะ" กัปตันถามพลางปัดมือไปมาตรงหน้าผม

พอรู้ตัวผมก็สะดุ้ง ก่อนทำเป็นหัวเราะแก้เขิน "ก็มึงประชดมันแบบนั้น มันก็โกรธสิวะ"

"อ้าว ก็เห็นมันบอกครีมมันได้มาตรฐานโลก กูก็เลยนึกว่าหน้ากูไม่ได้มาตรฐานไง"

เราสองคนหัวเราะ คุยกันไปคุยกันมาก็เกือบสามทุ่ม คงได้เวลาที่ผมจะกลับบ้าน ก่อนแยกกันผมเดินไปส่งกัปตันที่หน้าทางเข้าคอนโด มันบอกให้ส่งแค่ตรงนี้ก็พอ

"แล้วมึงจะถึงบ้านกี่ทุ่มวะเนี่ย"

ผมทำท่านึก "ปกติก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็น่าจะสี่ทุ่มกว่าๆ"

"โห ดึกนะเนี่ย ถ้าวันไหนมีกิจกรรมแล้วเลิกดึก มึงจะนอนที่ห้องกูก็ได้นะเว้ย หรือจะนอนคืนนี้เลยก็ได้" กัปตันเสนอ

ที่จริงผมก็อยากอยู่ แต่กลัวอดใจไม่ไหว เห็นผิวขาวๆ และปากแดงๆ ของมันแล้วใจคอไม่ค่อยดี "ไม่เป็นไร ไม่ดึกหรอก แค่นี้สบายมาก ถ่ายแบบเลิกดึกกว่านี้อีก"

"เออ ตามใจ งั้นก็เดินทางกลับบ้านดีๆ นะเว้ย เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน ขอบใจมากเพื่อน"

"เออ มึงก็…นอนหลับฝันดีนะ พรุ่งนี้เจอกัน" ผมยิ้มเขินเมื่อพูดประโยคนี้ออกไป ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไรถึงเขิน พูดกับเพื่อนเหมือนพูดกับแฟนเลย

เราส่งท้ายคืนนี้ด้วยรอยยิ้ม จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้าย ผมเดินออกมาได้หน่อยก็หยุดและหันกลับไปมองตึกสูง ที่จริงผมก็ยังอยากขอเป็นรูมเมทกับกัปตันอยู่ แต่เห็นห้องของมันแล้วผมก็เกรงใจ ถ้าจะจ่ายแค่ห้าหกพันแล้วอยู่ห้องดีขนาดนี้ ผมคงหน้าด้านมาก แต่ไม่อยู่กับมันก็ดีเหมือนกัน เพราะผมกลัวตัวเองจะห้ามใจไม่ไหวเข้าสักวัน เมื่อกี้ก็เผลอมองปากมันไปหลายทีแล้ว

ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหมเนี่ย แล้วทำไมผมถึงคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมาได้!!!



TBC




// ช่วงนี้เป็นวันหยุด ก็เลยมีเวลาเขียน แต่ถ้าช่วงไหนยุ่งๆ อย่างน้อยจะได้อ่านวันอาทิตย์นะครับ :) ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:37:25 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Himbeere20

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เดี๋ยวๆ อะตอม ห้ามใจหน่อย มีแฟนแล้วนิ  /  ส่วนอิน :z6:

ออฟไลน์ gongiotherin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกดีค่ะ ตามอ่านนะคะ :pig2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
  ตอนนี้มุ้งมิ้งมากๆ ชอบๆ มีเผลอจ้องปากเพื่อนอีก
  ช่วงนี้หยุดยาวผู้แต่งคงมาลงได้ทุกวันเลยสิคับ ฮ่าๆ  รออ่านตอนต่อไปคับ
 
   ** สวัสดีปีใหม่ สงกรานต์นะคับ **

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อินนี่ปากแบบนี้รอดตีนมาได้ไง ต้องโดนสักทีมะถึงจะเข็ด  :z6: :z6: :z6:

น่ารักดีค่ะ อ่านเพลินๆ อะตอมหวั่นไหวงี้รีบเคลียกะแฟนก่อนเน้อออ  :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP03
ผมอยากได้กำลังใจจากเขา


<<<CAPTAIN>>>

วันนี้ผมมาถึงมหาลัยตั้งแต่เช้า มาถึงก่อนเวลาเรียนประมาณเกือบๆ ชั่วโมง เอารถมาด้วยเพราะเมื่อคืนแม่โทรมาบอกให้ใช้รถ เพราะถ้าไม่ใช้แม่จะขับรถมารับผมที่คอนโด เจอไม้นี้เข้าไปผมก็เลยต้องเอารถมาด้วย

ถ้าจะถามว่าทำไมแม่ถึงรักและตามใจผมขนาดนี้ เรื่องมันก็ยาวทีเดียว สั้นๆ ก็คือว่าแม่ผมรู้สึกผิด เพราะเขาโทษความเผลอเรอของตัวเองที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ หลายครั้งที่ผมต้องยอมแม่บ้างก็เพราะเรื่องนี้แหละ แม้กระทั่งเรื่องการรักษาซึ่งผมแสนจะเบื่อหน่าย แม่พาผมเข้าออกโรงพยาบาล สถานฟื้นฟูหรือแม้กระทั่งวัดเป็นว่าเล่น ผมไปมาแทบจะทุกวัดแล้ว แต่ก็ไม่หาย โชคดีที่แม่เริ่มถอดใจและค่อยๆ ยอมรับสิ่งที่ผมเป็นในช่วงหลังๆ คงทำใจได้แล้วว่ารักษาผมไม่ได้ ผมก็เลยไม่ต้องไปรักษาหรือกินน้ำมนตร์วัดไหนอีก

ผมขับรถเป็นตั้งแต่อยู่มัธยมปลายแล้ว ป๊าหาคนมาช่วยสอนให้ อุตส่าห์ไปค้นหาจนเจอบริษัทที่สอนขับรถสำหรับคนพิการแถวๆ ภาษีเจริญ ตอนแรกแม่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่พอเห็นผมขับได้ก็เลยปล่อย พออายุสิบแปดแม่พาผมไปสอบใบขับขี่เองเลย พอผมสอบติด "ตุลาฯ" แม่ก็ให้ของขวัญเป็นบีเอ็มคันหนึ่ง ป๊าช่วยหาช่างมาช่วยทำเกียร์ คันเร่งและเบรกมือให้ แถมยังติดที่เก็บรถวีลแชร์บนหลังคารถให้ด้วย เป็นระบบอัตโนมัติ ผมจึงไม่ต้องหาคนมาช่วยเก็บวีลแชร์ให้ เมื่อเช้าตอนที่ผมลงจากรถ มีคนมามุงดูเต็มเลย สงสัยจะไม่เคยเห็นกัน

พอมาถึงคณะ เพื่อนสามคนก็วิ่งมาหาคล้ายกับรออยู่ก่อนแล้ว หนึ่งสาวสองหนุ่มมีชื่อเสียงเรียงนามว่าน้ำหวาน แบงค์และกวิน เมื่อวานตอนเย็นผมก็นั่งอยู่กับพวกมันนั่นแหละ ก่อนไอ้อินปากหมาจะทำวงแตกและแยกย้ายกันไป

น้ำหวานเป็นผู้หญิงที่ชื่อขัดกับบุคลิกภาพมากเพราะเธอห้าวเกินหญิง ไว้ผมสั้นจนดูเกือบเหมือนผู้ชาย ผู้หญิง "ถาปัตย์" ขึ้นชื่อเรื่องความอึดถึกบึกบึน เพราะไม่งั้นเรียนคณะนี้ไม่รอด ส่วนแบงค์กับกวินก็หน้าตาพิมพ์นิยมของชายไทยสมัยนี้ ไม่ถึงกับหล่อมากแต่ก็ดูดีพอสมควร

"วันหลังมาถึงแล้วโทรมาบอกนะเว้ย จะได้ไปช่วย" น้ำหวานพูดกับผมเป็นคนแรก ฟังแล้วผมก็งงๆ ไม่น้อย

"ไม่เป็นไร มาเองได้" ผมตอบ

"มึงโกรธพวกกูหรือเปล่าวะ" แบงค์ถามด้วยท่าทางไม่แน่ใจ

"โกรธเรื่องอะไรวะ" ผมทำหน้าฉงน

"ก็…ที่พวกกูไม่ค่อยชวนมึงคุยไง จริงๆ ไม่มีอะไรนะเว้ย พวกกูแค่…ไม่รู้จะคุยกับมึงยังไงเท่านั้นแหละ กลัวพูดแล้วทำร้ายจิตใจมึงไง" แบงค์เฉลย คราวนี้ผมจึงขำเบาๆ

"ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น ก็พูดคุยกันธรรมดานี่แหละ กูไม่ใช่คนขี้ใจน้อยขนาดนั้นซะหน่อย"

"แล้วแบบที่ไอ้อินมันพูดเมื่อวานล่ะ" กวินโพล่งถามด้วยความอยากรู้

"จะถามทำไมวะไอ้บ้า คนดีๆ ที่ไหนเขาพูดจาแบบนั้นกันวะมึง" น้ำหวานหันไปว่าเพื่อนไม่จริงจังนัก แบงค์กับกวินหัวเราะชอบใจกันใหญ่

"แล้วนี่…อะตอมมาหรือยัง" ผมถามพลางมองหา

"มาถึงก่อนมึงอีก ไปหาแฟนมันที่คณะแล้วมั้ง เมื่อวานได้ข่าวว่าแฟนมันงอนน่าดูเลย" กวินบอก

ผมได้ยินอย่างนั้นก็หน้าเสีย คงเป็นเพราะอะตอมมัวแต่ห่วงผมแน่เลยถึงได้ผิดนัดกับแฟน ทำให้ผมอดรู้สึกผิดด้วยไม่ได้เลย

"แปลกว่ะ ตั้งแต่กูรู้จักมันมา กูไม่เคยเห็นมันผิดนัดแฟนมันเลยนะเว้ย ครั้งนี้ครั้งแรก แสดงว่ามึงต้องพิเศษมากๆ เลยนะเว้ยกัปตัน" แบงค์ให้ข้อสังเกต

ถ้าเป็นอย่างที่แบงค์ว่าก็น่าแปลกจริงๆ ทำไมอะตอมถึงยอมผิดนัดแฟนล่ะ สงสัยแฟนมันคงโกรธอะตอมน่าดูเลย คิดแล้วก็ชักเป็นห่วง

"มึงกินอะไรมาหรือยัง ไปหาอะไรกินกันไหม" น้ำหวานถาม แต่ท่าทางเหมือนมีเรื่องอยากคุยด้วยซะมากกว่า

ผมพยักหน้าตกลงโดยไม่ลังเล แม้ว่าจะกินมาแล้ว แต่ค่าที่อยากสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนกลุ่มนี้ ผมจึงไม่เรื่องมากและตามพวกมันไปที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง ไม่นานเราก็ได้เครื่องดื่มคนละอย่างมาเป็นองค์ประกอบการคุยกัน ถ้าพูดตามตรงผมก็ไม่ค่อยกินของพวกนี้หรอก ที่บ้านสอนให้ผมดูแลเรื่องโภชนาการพอสมควร แม่ผมสกรีนอาหารการกินผมละเอียดยิบ

"มึงเคยเห็นแฟนไอ้อะตอมยัง" น้ำหวานถามหลังดูดกินน้ำในแก้วใสๆ ซึ่งน่าจะเต็มไปด้วยน้ำแข็งซะมากกว่า

ผมส่ายหน้าไปมา "ไม่เคย พวกมึงเคยเห็นแล้วเหรอ"

"ก็เห็นตอนรับน้องนั่นแหละ แฟนมันสวยนะเว้ย คุณหนูสุดๆ เหมือนดอกฟ้ากับหมาวัดเลยว่ะ" กวินพูดพลางขำ

ผมขมวดคิ้วเพราะประโยคหลังนี่แหละ น่าแปลกที่อะตอมไม่เล่าเรื่องแฟนของมันให้ผมฟังเลย ดูเหมือนมันจะชอบถามแต่เรื่องของผมมากกว่า ถามแล้วก็ปล่อยให้ผมพูด ส่วนมันก็นั่งมอง มองไปก็ยิ้มไป ไม่รู้ว่าชอบเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังหรืออะไรกันแน่

"ยังไงวะ"

"อ้าว ก็แฟนมันน่ะโคตรรวยเลย ส่วนไอ้อะตอม มันเป็นนายแบบก็จริงนะเว้ย แต่มันก็ไม่รวยหรอก เงินค่าเทอมของมัน มันก็หาเอง ก็ได้จากงานถ่ายแบบของมันนั่นแหละ สงสัยมึงไม่รู้แน่ๆ เลย ไอ้อะตอมกับแฟนมันน่ะแอบคบกันเว้ย บ้านฝ่ายหญิงยังไม่รู้เรื่องเล้ย" น้ำหวานเล่าอย่างออกรสออกชาติ แล้วก็หันไปถามเพื่อน "เอ๊ะ แฟนมันชื่ออะไรนะ กูจำไม่ได้"

"อั้มไง" แบงค์บอก

"เออใช่ ชื่ออั้ม เขาก็น่ารักดีนะ ไม่หยิ่งหรอก แต่เหมือนจะติดหรูไปหน่อย" น้ำหวานพูดยิ้มๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง "อ้อ คืออย่างงี้…กูจะถามมึงหน่อย มึงสนิทกับไอ้อะตอมแค่ไหนวะ เมื่อวานกูเห็นมันตามมึงทั้งวันเลย"

"ก็ยังไม่สนิทมากหรอก เพิ่งเจอกันเมื่อวานเอง มีอะไรเหรอ" ผมสงสัย

"มึงดูนี่ กูละเสียวแทน ถ้าอาจารย์รู้นะมึงเอ๊ย มีสิทธิ์โดนเรียกไปเตือนแน่ ที่นี่เขายิ่งรักษาภาพลักษณ์เขาอยู่" น้ำหวานพูดพลางส่งโทรศัพท์ตัวเองมาให้ผม

พอเห็นแล้วผมก็ตกใจ หน้าเว็บนั้นมีภาพถ่ายของอะตอมสิบกว่ารูป แทบไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลยนอกจากกางเกงในตัวเดียว อวดหุ่นและรูปร่างจนแทบจะเห็นทุกขุมขน ที่จริงหุ่นมันก็เซ็กซี่ไม่น้อย แต่ถ้าอาจารย์เห็นก็อาจจะเป็นเรื่องอย่างที่น้ำหวานกังวล

"มึงเตือนๆ มันหน่อยได้ไหมวะ" กวินพูดเหมือนขอร้อง

ผมทำหน้าหนักใจ เพราะต่อให้เป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานาน เรื่องแบบนี้ก็พูดยากอยู่ดี

"มันจะไปเตือนได้ไงวะ เพิ่งรู้จักกัน" แบงค์ว่า จากนั้นก็ทำหน้ากังวล "แต่ถ้ามันไม่ทำ มันก็คงไม่มีเงินมาเรียนหนังสือที่นี่หรอก ค่าเทอมแพงจะตาย แต่มันก็เก่งนะ หาเงินเรียนเองได้ กูโคตรนับถือเลย"

"มึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ไงวะ" ผมถามแบงค์

"รู้ดิ ก็กูเรียนมัธยมปลายโรงเรียนเดียวกับมัน" แบงค์ตอบ

"อ้าว งั้นมึงก็สนิทกับมันดิ ทำไมมึงไม่คุยวะ" ผมสงสัย

แบงค์ส่ายหน้าเดียะ "ไม่เอาหรอก ไอ้นี่มันเป็นคนคุยยาก ติสต์แตก ถ้าเข้าไม่ถูกจังหวะ เดี๋ยวมันจะด่าเอา" แบงค์ว่า ก่อนทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ "อ้อ มันน่ะอยากเช่าหอพักอยู่ในเมืองจะตาย เพราะมันไม่อยากเดินทางไกล แต่มันงก ก็ไม่เชิงงกหรอก เพราะเงินที่มันหามาได้น่ะ ส่วนมากมันเปย์แฟนมันทั้งนั้น มันก็เลยไม่อยากเอาเงินมาเช่าหอเพิ่ม ยอมอยู่บ้าน เดินทางไกลๆ เอา อั้มเขาเป็นลูกคุณหนูไง กินเที่ยวธรรมดาที่ไหน ไอ้อะตอมมันก็ตามใจ ไอ้นี่มันบ้าผู้หญิงน่ารัก เมื่อก่อนนะ มันเรียนไม่เก่งมากหรอก แต่พอมันจีบอั้มได้ มันเปลี่ยนไปเลยเว้ย ขยันอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะมันอยากเข้าตุลาให้ได้ มึงคิดดูนะ เมื่อก่อนมันได้เกรดเฉลี่ยสองกว่าๆ แต่มอหกเทอมสุดท้ายมันได้สามจุดเจ็ดเว้ย แถมยังเข้าตุลาได้อีก มันก็หวังสูงแหละ เพราะถ้ามันเข้าที่นี่ได้ เรียนจบ มีงานทำ บ้านฝ่ายหญิงอาจจะยอมรับมัน แต่อั้มมันก็แปลกนะ มีผู้ชายรวยๆ มาจีบเยอะเลย แต่ก็ปฏิเสธหมด"

เมื่อได้ฟังเรื่องของเพื่อนใหม่ผ่านเพื่อนอีกคน ผมก็รู้สึกทึ่งอะตอมไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าการมีแฟนจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนได้ขนาดนี้

"อ้อ เมื่อวานกูถามมันเรื่องหาหอพัก มันบอกกูว่ามันเจอรูมเมทที่มันอยากพักด้วยแล้ว พวกมึงรู้ไหมว่าเป็นใคร กูถามแล้วมันไม่ยอมบอกกู" แบงค์กวาดสายตามีคำถามมองเพื่อนๆ แต่ทุกคนก็ส่ายหน้า ไม่มีใครรู้ว่ารูมเมทที่อะตอมอยากอยู่ด้วยคือใคร

"เออ แล้วมึงมีรูมเมทยังวะกัปตัน" กวินหันมาถามผม

"ยังไม่มี" ผมตอบ

"เฮ้ย ถ้างั้นก็ดีเลย มึงลองชวนมันมาเป็นรูมเมทมึงดิ ไอ้อะตอมมันจะได้ช่วยดูแลมึงด้วยไง กูเห็นมันชอบดูแลมึง" แบงค์เสนอไอเดีย

"มึงถามเขายังว่าเขาอยากมีรูมเมทหรือเปล่า" น้ำหวานขัดขึ้น

"เออ จริงด้วย แล้วมึงอยากมีรูมเมทเปล่าวะ" แบงค์หัวเราะแหะๆ

ไอ้อยากน่ะมันก็อยาก แต่เรื่องของเรื่องก็คือ ห้องที่แม่ผมซื้อให้ราคาสูงมาก อะตอมไม่น่าจะจ่ายค่าเช่าได้ อีกอย่าง แม่ก็แอบซื้อให้ผมโดยไม่บอกป๊าด้วย ผมยังไม่รู้เลยว่าถ้าป๊ารู้เข้าจะว่ายังไง ดีไม่ดีอาจจะต้องขายห้อง

"แล้วห้องมึงเช่าเดือนเท่าไหร่วะ" กวินถาม

"ไม่ได้เช่าเว้ย ซื้อเลย" ผมรีบบอก

"ซื้อเลยเหรอ ที่ไหน ใกล้ๆ แถวนี้เปล่า" กวินซักต่อ

ผมบอกชื่อคอนโดของผมไป พวกมันสามคนมองหน้ากัน ก่อนน้ำหวานจะหันมาถามผม

"กี่ตารางเมตรวะ"

"ห้าสิบ"

"หา! ห้าสิบตารางเมตรเลยเหรอ" พวกมันสามคนอุทานพร้อมกัน

"โห…แค่ห้องสตูดิโอมันยังบ่นแพง นี่ล่อไปตั้งห้าสิบตารางเมตร สงสัยมันคงต้องขายที่มาเช่าห้องกับมึงแล้วมั้ง" น้ำหวานพูดพลางหัวเราะ

"แล้วมึงคิดค่าเช่ามันถูกๆ ไม่ได้เหรอวะ สักห้าพันไหวไหม" แบงค์ต่อรอง

"ขอกูถามแม่กูก่อนนะ" ผมแบ่งรับแบ่งสู้

"ถ้ามึงช่วยมันได้มึงก็ช่วยมันหน่อยละกัน ไอ้อะตอมมันน่าสงสาร มีสามเรื่องนะเว้ย เรื่องที่หนึ่ง ช่วยเตือนมันเรื่องถ่ายแบบวาบหวิวหน่อย ถ้าไม่จำเป็นก็อย่ารับ เดี๋ยวจะปลิวออกจากที่นี่ไม่รู้ตัว เรื่องที่สองก็เรื่องเป็นรูมเมทกับมัน ส่วนเรื่องที่สาม ถ้ามึงเตือนได้ก็ช่วยเตือนๆ มันเรื่องใช้เงินกับแฟนมันหน่อย มันจะหมดตัวก็เพราะแฟนมันนี่แหละ ไม่ต้องพากันกินหรูเที่ยวหรูขนาดนั้นก็ได้" แบงค์ช่วยสรุปประเด็นให้ผมเข้าใจง่ายๆ

ดูเหมือนเพื่อนๆ กลุ่มนี้จะรักและเป็นห่วงอะตอมน่าดู ผมก็ห่วงมันเหมือนกัน แต่เรื่องที่พวกมันขอให้ช่วยก็น่าหนักใจทุกเรื่องเลย

"กูจะลองดูละกัน แต่กูยังไม่กล้ารับปากนะเว้ย อย่าเพิ่งคาดหวังมาก" ผมพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด


<<<CAPTAIN>>>
พอถึงเวลาเข้าเรียน ปรากฎว่าอะตอมมาช้าไปสิบกว่านาที อาจารย์คณะนี้ขึ้นชื่อเรื่องความติสต์แตกและดุๆ กันแทบทั้งนั้น ถ้ามันทำบ่อยๆ อาจจะโดนเรียกไปเตือนได้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก อาจารย์จึงเพียงแต่มองด้วยสายตาและสอนต่อไปตามเดิม

ตอนนี้ผมมานั่งอยู่กับกลุ่มสามคนนั้นแล้ว อะตอมจึงต้องนั่งอยู่กับคนอื่น ผมหันไปมองมันด้วยสายตาเป็นห่วงเพราะเห็นสีหน้ามันไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าง้อแฟนสำเร็จหรือเปล่า จึงได้แต่ยิ้มบางๆ ให้กำลังใจ มันก็ยิ้มตอบผมและทำท่าเหมือนอยากจะมานั่งด้วย แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่เอื้ออำนวย

เช้านี้เราเรียนการวาดภาพ "ตีฟ" หรือภาพเพอร์สเปคทีฟ อาจารย์ที่สอนให้เราลองวาดภาพเก้าอี้แบบที่เราชอบ ใส่องค์ประกอบลงไปด้วยว่าเก้าอี้นี้อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน ในสวน ในป่า ในห้อง บนผิวน้ำ หรือบรรยากาศแบบไหนก็ได้ที่จินตนาการเราไปถึง พอได้ฝึกทำก็ช่วยให้การเรียนไม่น่าเบื่อ จึงมีเสียงคุยกันและเสียงหัวเราะตลอด วาดเสร็จก็เอาภาพมาอวดกัน มีแต่อะตอมคนเดียวเท่านั้นที่ดูหงอยๆ

พอถึงเที่ยงอะตอมก็หายตัวไปเลย แบงค์น่าจะเคยเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนจึงเฉลยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ "สงสัยจะมีงานถ่ายแบบมั้ง เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้แหละ โดดเรียนไปบ่อยๆ แต่ก็อย่างว่า มันต้องหาเงินน่ะ พ่อมันก็ไม่เอาไหน"

"ทำไมวะ" ผมถามอย่างสงสัย ขณะที่เข็นช้าๆ ไปตามทางเดิน วันนี้พวกเราตกลงกันว่าจะไปกินของอร่อยๆ ที่คณะนิเทศ

"พ่อแม่มันเลิกกันหลายปีแล้ว มันอยู่กับพ่อสองคน ส่วนน้องสาวมันก็ไปอยู่กับแม่ พ่อมันทำใจไม่ได้มั้ง ก็เลยไม่ทำอะไรเลย มันก็เลยต้องทำงานเลี้ยงพ่อ แต่มันก็ได้เงินเยอะนะ ยิ่งช่วงปิดเทอมมันยิ่งได้เยอะ น่าจะเก็บเงินได้หลายแสน ไม่งั้นมันมาเรียนที่นี่ไม่ได้หรอก"

ยิ่งได้ฟังข้อมูลจากแบงค์ ผมก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจในชะตาชีวิตของเพื่อน ถึงผมจะใช้รถวีลแชร์ แต่ชีวิตผมก็ไม่เคยต้องลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อนบ้านผมก็ยังฐานะไม่ดีมาก ช่วงที่ผมเกิดเป็นช่วงที่ป๊ากับแม่กำลังสร้างตัวด้วยธุรกิจส่งออกบะหมี่ไปต่างประเทศ แต่ทั้งสองคนก็ไม่เคยให้ผมลำบากเลย แม้ว่าป๊ากับแม่จะค่อนข้างลำบากก็ตาม

เมื่อมาถึงโรงอาหารคณะนิเทศ พวกเราก็ไม่ได้สนใจเรื่องของใครแล้วนอกจากหาของอร่อยๆ กิน พวกมันสามคนดูตื่นเต้นกันมาก แต่ผมไม่รู้สึกอยากกินอะไรเป็นพิเศษ จึงสั่งข้าวมันไก่มากินเหมือนเดิม คราวนี้ผมไม่ต้องไปยกมาเอง น้ำหวานช่วยจัดการให้เสร็จสรรพ เพราะพวกมันกลัวผมโดนชนเลอะอีก

ขณะที่เรากำลังกินไปคุยกันไป ผมก็สังเกตเห็นผู้หญิงสองคนคอยเมียงมองผมอยู่ แถมยังกระซิบคุยกันและชี้ไม้ชี้มือมาทางผมด้วย ตอนแรกผมมองผ่านๆ แต่พอเห็นยังไม่ไปไหนผมจึงหรี่ตามอง สองคนนั้นรีบส่งยิ้มแล้วเดินเข้ามาทักผมทันที

"น้อง…เป็นเด็กใหม่หรือเปล่าคะ" หนึ่งในนั้นถามก่อน

"ครับ" ผมตอบและมองอย่างสงสัย เพื่อนๆ อีกสามคนก็สงสัยด้วย

"เรียนคณะไหนล่ะ" ผู้หญิงคนนั้นถามต่อ

"ถาปัตย์ครับ"

"จริงเหรอ" สองคนทำท่าตื่นเต้น ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่

"คืออย่างงี้ พี่ชื่อปริมนะ นี่พี่สา อยู่นิเทศปีสี่ พอดีว่าเราทำเพจตุลาคิ้วบอย ตอนนี้กำลังมองหาน้องๆ เฟรชชี่ๆ มาร่วมทำกิจกรรมซีโร่เวสท์อยู่ สนใจไหม" รุ่นพี่ที่ชื่อปริมบอกด้วยแววตาเป็นประกาย เพราะคิดว่าตัวเองได้เจอคิ้วบอยที่ต้องการแล้ว

ผมกับเพื่อนๆ มองหน้ากัน พวกเราพอรู้จักเพจนี้กันมาบ้าง สาวๆ ชอบเข้าไปดูเพราะมีผู้ชายหล่อหลากหลายคณะมาให้เชยชม เพจนี้แนะนำคิ้วบอยในรั้วมหาลัยให้คนรู้จัก มีชวนไปทำกิจกรรมบ้าง หนุ่มคนไหนมีรูปขึ้นเพจนี้ ไม่นานก็จะฮ็อตและมีสาวๆ ติดตาม บางคนมีแฟนคลับด้วย

"ก็สนใจอยู่นะพี่ แต่พี่…คิดดีแล้วเหรอครับ" ผมถามยิ้มๆ

พี่ปริมกับสามองหน้ากัน ก่อนจะหันมาพยักหน้าและพูดพร้อมกัน "อื้ม"

ผมปล็อดล็อกรถวีลแชร์ จากนั้นก็เข็นถอยหลังออกมาจากโต๊ะที่นั่ง รุ่นพี่สองคนถึงกับผงะและหน้าเหวอเมื่อเห็นตัวจริงของผม

"หา! น้องเป็นคนพิการเหรอ!" สองสาวอุทานเสียงดังเกือบจะพร้อมกัน คนในโรงอาหารหันมามองกันเพียบ แต่ครั้งนี้ผมกลับไม่รู้สึกอายเท่าไหร่

"ครับ น่าสนใจไหมครับ" ผมยิ้มยียวน

"เอ่อ…" พี่ปริมหันไปมองเพื่อนอีกคนด้วยท่าทางลังเล

"ทำไมอะพี่ นั่งวีลแชร์ก็เป็นคิ้วบอยได้ไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นแปลกเลย ผมว่ากัปตันมันก็หล่อออก หน้าก็ใส ปากชมพู ทรงผมก็เท่ แต่งตัวก็ดี" กวินให้เหตุผล

"อืม…พี่ว่า…พี่ขอคิดดูก่อนนะคะ ช่วงนี้เรายังไม่มีโปรเจคต์รับของแปลกน่ะ" พี่สาอ้างด้วยสีหน้าแหยๆ จากนั้นทั้งสองคนก็เผ่นออกไป ผมกับเพื่อนๆ จึงพากันนั่งหัวเราะ

"ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอกเลยว่ะ อะไรมันจะขนาดนั้นวะ" น้ำหวานหัวเราะ

"มึงนี่ก็โคตรกล้าเลยนะเว้ยกัปตัน" แบงค์ชม

"ชินแล้ว มันก็ต้องอย่างนี้แหละ ป๊ากูสอนว่าไม่ต้องไปเสียเวลาสนใจคนที่ชอบมองเราแปลกๆ หรอก คนพวกนี้มองคนแต่เปลือก ข้อดีของกูก็คือ…ถ้าใครจะมาคบกับกู เป็นเพื่อนกู หรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ต้องมาด้วยใจเว้ย ต้องยอมรับกูในแบบที่กูเป็นให้ได้ ป๊าบอกว่า…มันจะช่วยให้กูมีแต่เพื่อนดีๆ เหมือนพวกมึงไง" ผมแอบหยอดเพื่อนๆ ตรงประโยคท้ายด้วย พวกมันอมยิ้มชอบใจกันใหญ่

"ก็จริงเนอะ" น้ำหวานหันไปพยักเพยิดกับเพื่อน

"แต่ตอนแรกที่พวกกูยังไม่คุยกับมึง ไม่ใช่พวกกูมองแต่เปลือกนะเว้ย แค่ไม่กล้าคุยเฉยๆ" กวินอธิบายอีกครั้ง

"เออ กูรู้แล้ว รีบๆ กินเหอะ เดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทัน พากูมาซะไกลเลย" ผมว่าไม่จริงจังนัก เพราะถึงจะไกลแค่ไหน ผมเข็นเร็วๆ แป๊บเดียวก็ถึง คนเดินสองขาต่างหากที่จะตามผมไม่ทัน

… … …

บ่ายวันนี้อะตอมไม่เข้ามาเรียน น่าจะรับงานอย่างที่แบงค์บอก แต่ผมก็ไม่เหงาแล้วเพราะมีอีกสามคนเป็นเพื่อน ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ก็เริ่มคุยกับผมมากขึ้น ความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนมีวี่แววว่าจะไปได้ดี ทำให้ผมค่อยหายกังวลขึ้นมาบ้าง

เลิกเรียนเสร็จผมก็บึ่งรถไปหาแม่ที่โรงงานในเขตทวีวัฒนา บุกไปแบบไม่ให้แม่ตั้งตัวทันเลย แม่แปลกใจไม่น้อยที่ลูกชายบุกมาหาถึงที่ ดีที่ไม่ยุ่งมากและพอมีเวลาคุยกับผม หลังคุยสัพเพเหระแล้วผมก็ชวนแม่เข้าเรื่อง

"แม่ว่าผมหารูมเมทมาอยู่ด้วยดีไหม"

แม่ผมดูแปลกใจตอนแรก แต่ไม่นานก็พยักหน้าช้าๆ คล้ายกับจะเห็นด้วย "แม่ว่าก็ดีนะ เผื่อเพื่อนจะได้ช่วยดูแลกัปตันด้วย แม่จะได้ไม่ห่วงมาก ว่าแต่…กัปตันมีเพื่อนอยากมาแชร์ห้องด้วยหรือยังล่ะ"

"ใครจะกล้ามาแชร์ล่ะแม่ ห้องตั้งแพง เขาจ่ายค่าเช่าไม่ไหวหรอก" ผมใส่อารมณ์ให้ดูสมจริงไปด้วย

"อืม…ก็จริงของกัปตัน แม่ก็ลืมคิดไป เอ…คิดเท่าไหร่ดี สักเดือนละแปดพันดีไหมลูก" แม่เสนอราคาให้ อย่างนี้แปลว่าแม่เห็นด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะคุยง่ายกว่าที่คิดไว้

"ห้าพันได้ไหมแม่" ผมต่อรอง แม่ถึงกับสะดุ้ง

"ห้าพันเหรอ" แม่ถามทวน ท่าทางดูคิดหนัก ผมจึงต้องหว่านล้อมต่อ

"แปดพันไม่มีใครมาอยู่หรอกแม่ เดี๋ยวนี้นักศึกษาตุลาก็ไม่ได้รวยทุกคน เพื่อนผมจ่ายไม่ไหวหรอก อีกอย่างก็ซื้อไปแล้ว ถ้ามีคนมาอยู่ด้วย ผมก็จะมีเงินค่าขนมเดือนละห้าพัน จะได้ไม่ต้องขอแม่เยอะไง ดีกว่าให้ผมพักเฉยๆ ไม่มีรายได้ แม่ว่าไม่ดีเหรอ"

แม่ยังดูคิดหนักอยู่ เพราะแปดพันก็ถือว่าน้อยแล้ว ผมดันมาต่อเหลือห้าพันอีก

"แล้วเพื่อนเขาเป็นคนดีหรือเปล่า ค่าเช่าน่ะไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก แม่กลัวกัปตันจะโดนเพื่อนไม่ดีมาหลอกมากกว่า" แม่เตือนด้วยสีหน้ากังวล

"เอ…งั้น…เอาไงดีล่ะแม่" ผมก็ชักจะกังวลไปด้วย

"แม่ว่า…ต้องทดสอบคนที่จะมาอยู่ด้วย จะได้มั่นใจ"

"ยังไงครับ" ผมโน้มตัวเข้าหาอย่างสนใจ

หลังจากแม่บอกวิธีให้ผมแล้ว ผมก็ขอตัวกลับคอนโดเลย ส่วนแม่ก็อยู่เคลียร์งานต่อ ผมกลับมาถึงห้องพักเกือบๆ สองทุ่ม จากนั้นก็แวะไปกินข้าวที่ห้างข้างๆ กินเสร็จก็เข็นกลับห้องพัก ก่อนจะเข้าไปก็สะดุดตากับใครบางคนจนต้องหยุดหันไปมอง

"อะตอม" ผมเรียกเพื่อนด้วยน้ำเสียงดีใจ ก่อนเข็นเข้าไปหาใกล้ๆ "มาหากูเหรอ ทำไมไม่โทรบอกล่ะ กินอะไรมาหรือยัง"

อะตอมพยักหน้ายิ้มๆ ดูเหมือนจะดีใจไม่น้อยที่เจอผม "กินแล้ว"

"ถ่ายแบบเสร็จแล้วเหรอ" ผมถาม แต่ยังไม่กล้าละลาบละล้วงว่าถ่ายแบบ "แบบไหน"

"อืม" อะตอมพยักหน้า ก่อนยิ้มเศร้าๆ ท่าทางดูเนือยๆ "ขอโทษนะเว้ย วันนี้ไม่ได้มาดูแลมึงเลย"

"ไม่เป็นไร" ผมยิ้ม ยังไม่ทันอ้าปากพูดต่อ อะตอมก็พูดขึ้นก่อน

"คืนนี้…กูพักห้องมึงได้เปล่า"

คนถามทำท่าเกรงใจ ทว่าสีหน้าก็ดูยิ้มๆ แต่ดูอีกทีก็เหมือนเขินๆ ชอบกล

"ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาหรอก"

"ขอบใจมากเพื่อน" อะตอมทำหน้าซึ้งๆ ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ นิดหน่อย

"ไปเหอะ มึงจะได้พักผ่อน เหนื่อยแย่แล้ว" ผมบอกพลางเข็นนำมันเข้าไปในคอนโด ถ้าเดินได้ก็ว่าจะโอบไหล่มันซะหน่อย เพราะดูมันอ่อนล้าเหลือเกิน

พอเข้ามาในห้อง อะตอมก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าวีลแชร์ผม หน้ามันดูเศร้าๆ ชอบกล เหมือนคนมีเรื่องไม่สบายใจ

"มึงกับแฟน…เข้าใจกันดีแล้วใช่ไหม" ผมถามเมื่อนึกขึ้นได้

อะตอมถอนหายใจทันที แสดงว่าผลลัพธ์น่าจะตรงข้ามกับที่ผมเข้าใจ หน้ามันดูเศร้ามากขึ้นไปอีก

"กัปตัน…กูขอกอดมึงหน่อยได้ไหม กูต้องการกำลังใจว่ะ" อะตอมพูดเสียงสั่นเหมือนคนจะร้องไห้

ผมไม่ตอบคำถาม แต่ก็ไม่มีท่าทางปฏิเสธ เท่านี้อะตอมก็น่าจะเข้าใจได้ มันจึงเอื้อมมือมาจับใต้รักแร้ผมแล้วยกตัวผมยืนขึ้น ไม่นานก็กอดผมแน่น แน่นกว่าทุกครั้งที่มันเคยกอดผมเลย ตัวมันสั่นๆ ด้วย คล้ายกับคนกำลังจะร้องไห้ ไม่รู้ว่ามันไปเจออะไรมาบ้าง เหมือนจะหนักไม่ใช่เล่นเลย



TBC




// ถ้าอ่านแล้วชอบ อย่าลืม "บวกเป็ด" ในตอนที่ชอบด้วยนะครับ
// ห้ามพลาดตอนต่อไปอย่างเด็ดขาด เตรียมหมอนมาจิกได้เลย :)
​// ถ้าสะดวกก็อย่าลืมคอมเมนต์ตามเนื้อหานิยายด้วยนะครับ
// ใครที่คาดหวังจะเห็นคนพิการเศร้าสร้อย ป่วย อ่อนแอ ไม่แอคทีฟ น่าสงสาร ฯลฯ จากเรื่องนี้ อาจจะต้องผิดหวังนะครับ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:38:00 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ถ้าอะตอมเลิกกับแฟนก็ดีสิ :katai2-1:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ตอนอะตอมขอนอนที่ห้องกัปตันดูเขินๆ แต่พอถามถึงแฟนกลับเศร้าซะงั้น555555 สรุปยังไงๆๆ  :katai2-1: :katai2-1:

เราว่าเราคงมองโลกในแง่ร้ายไปนะ ทำไมอ่านแล้วเรามีความรู้สึกว่าอะตอมจะมาเกาะกัปตันแปลกๆอ่ะ ที่จริงคงไม่ใช่ แต่เรารู้สึกอย่างงี้จริงๆนะ ทั้งๆที่มีเงินกลับเอาไปเปย์แฟนเยอะๆ เงินเอาไปเช่าหออื่นก็ได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
รีบๆเลิกกับแฟนทีเถอะะะะะะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
 น่ารักอะ ชอบๆ อะตอมเลิกกับแฟนแล้วแน่ๆ  ตอนพูดถึงอะตอมถ่ายแบบหวาบหวิวนึกถึงข่าวนักศึกษาชายที่เป็นนักเรียนทุนมหาลัยแล้วถ่ายชุดเกงในอะ  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
​เอามาเรียกน้ำย่อยก่อนนะครับ อดใจรอ ไม่เกินพรุ่งนี้ได้อ่านแน่ ที่นี่ เร็วๆ นี้ :)


ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ขอบคุณที่แต่งเรื่องรักอบอุ่นแบบนี้ให้อ่านครับ
ชอบเรื่องนี้มาก จะตามอ่านนะครับ

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
สนุกมากติดตามจ้า 

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ขอบคุณที่ติดตามครับ ขออีก 4 คอมเมนต์ได้ไหมครับ จะได้เอานิยายลงหน้าใหม่ได้เลย
ตอนนี้เขียนเสร็จแล้ว อยากให้อ่านมากๆ คนเขียนฟินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด