♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)  (อ่าน 92576 ครั้ง)

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP21 (Part 1)
แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ



<<<ATOM>>>

เมื่อหาที่ร่มๆ เหมาะๆ ได้แล้ว ผมก็ค่อยๆ ย่อตัวลงให้คนที่ขี่หลังผมมาลงนั่ง จนกระทั่งมั่นใจว่าเขานั่งบนพื้นอัฒจรรย์ปลอดภัยดีแล้ว ผมก็นั่งลงบ้าง ก่อนส่งแววตาเป็นห่วงไปให้คนเศร้า ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย แต่กัปตันคงเจอมาหลายครั้งแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าชีวิตแบบนี้จะเจ็บปวดสักแค่ไหน แม้ไม่ได้เจอทุกวัน แต่ทุกครั้งที่เจอคงเจ็บไปนานและฝังใจ

"เป็นเพื่อนกับกู...มึงก็ลำบากหน่อยนะเว้ย ไหนจะต้องคอยช่วยเรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ แต่กูเสือกทำไม่ได้ ไหนจะต้องมาเจอแต่เรื่องบ้าๆ แบบนี้อีก" กัปตันพูดเหมือนตัดพ้อและน้อยใจ เขาอาจจะเห็นใจที่ผมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมหรอก

ผมทั้งรู้สึกสงสารและสะท้อนใจระคนกัน ปกติกัปตันเป็นคนอดทนมาก ผมไม่เคยเห็นเขาบ่นน้อยใจในโชคชะตาเลยจนกระทั่งวันนี้ แสดงว่าคงถูกกระทำจนทนไม่ไหวแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น แต่เขาเจอปัญหาจุกๆ จิกๆ เล็กๆ น้อยๆ ทุกวัน แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการเข้าห้องน้ำหรือขึ้นอาคารเรียน แม้จะเล็กน้อยแต่ก็บั่นทอนจิตใจได้เรื่อยๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์เมื่อกี้ขึ้น กัปตันก็คงอดเก็บเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาคิดผสมรวมกันไม่ได้

กัปตันมองเหม่อไกลออกไปที่ไหนสักแห่ง แววตาของเขายังคงดูเศร้า ตาก็ยังแดงๆ เพราะเมื่อกี้เพิ่งร้องไห้ ผมจึงพาเขามานั่งที่อัฒจรรย์สนามกีฬาในมหาลัย บ่ายๆ แดดแรงๆ แบบนี้คงไม่มีใครมาที่นี่หรอก เราสองคนจะได้คุยกันโดยไม่ต้องมีใครรบกวน

"กูเต็มใจเว้ย มึงไม่ต้องคิดมากหรอก อีกอย่างนะเว้ย มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าก็มีแต่พี่สานั่นแหละที่ทำตัวแย่ๆ แบบนั้น ทุกคนเขาเห็นใจมึงนะเว้ย ไม่มีใครคิดว่ามึงเป็นปัญหาหรอก เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าที่นี่ต้องปรับปรุงเยอะถ้าจะให้คนแบบมึงมาเรียน แต่ตอนนี้มันยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไง ก็ต้องช่วยกันไปก่อน แต่ทุกคนเขาก็เต็มใจนะเว้ย" ผมพยายามปลอบใจและให้กำลังใจ

"คนส่วนน้อยอย่างกู ใครเขาจะทำอะไรให้วะ กูก็เคยมีความหวังแบบที่มึงพูดนั่นแหละ แต่สุดท้าย...สิ่งที่กูเจอ...กูก็กลายเป็นตัวปัญหาอยู่ดี ใครๆ เขาก็คิดว่ากูเป็นตัวปัญหาทั้งนั้น ถึงไม่พูด แต่เขาก็คิด มึงคิดดูดิ แค่ไปห้องน้ำ...กูยังไม่มีปัญญาไปเองเลย กูต้องรอมึง รอคนอื่นมาช่วย เป็นตัวปัญหาไหมล่ะ" กัปตันพูดด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน แม้จะพยายามควบคุมอารมณ์ แต่ตอนนี้คงทำได้ไม่มาก

"กัปตัน..." ผมครางเสียเครือ น้ำตาคลอเบ้า แต่พอจะนึกหาคำพูดมาปลอบใจอีกก็นึกไม่ออก จึงตบมือลงไปบนต้นขาของกัปตันเบาๆ สองสามครั้ง

ผมปล่อยให้ทุกอย่างเงียบ ทิ้งเวลาสักพักเพื่อให้อารมณ์ของกัปตันเย็นลง เพราะถ้าพูดเรื่องนี้ต่อ กัปตันคงตัดพ้อไม่จบ ไม่ว่าผมจะอธิบายหรือปลอบยังไงก็ไม่น่าจะเป็นผล คนกำลังเฮิร์ท ยิ่งพูดก็จะยิ่งเฮิร์ทกว่าเดิม

หลังปล่อยอารมณ์ให้เย็นลงได้พักใหญ่ๆ กัปตันก็หันมาขอร้องผมเรื่องหนึ่ง "มึงอย่าบอกแม่กับป๊ากูนะเว้ย พี่โดมด้วย กูกลัวเขาจะไม่ให้กูเรียนที่นี่"

คิ้วของผมย่นเข้าหากัน ทั้งตกใจและสงสัยในเวลาเดียวกัน "ขนาดนั้นเลยเหรอวะ"

"เออ มึงก็รู้นี่ว่าแม่กูเป็นห่วงกูมากแค่ไหน ถ้าเขารู้เรื่องนี้...เขาทนไม่ได้หรอก"

"ถ้าทนไม่ได้ งั้นก็ให้แม่มึงเอาเรื่องคนที่เขาทำกับมึงแบบนี้ดิ" ผมเสนอ

"ถ้าเขารู้ เขาเอาเรื่องอยู่แล้ว แต่เขาก็จะไม่ให้กูเรียนที่นี่ด้วยเว้ย"

"แล้วแม่มึงจะให้มึงไปเรียนที่ไหน" พอถามไปแล้วผมนึกกลัวคำตอบ ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมสำหรับการจากลาเลย มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเร็วเกินไป

กัปตันถอนหายใจเบาๆ ครู่เดียวก็หันมาตอบ "เมกา"

ไกลซะด้วย ถ้ากัปตันต้องย้ายไปเรียนที่นั่นจริงๆ คนจนๆ อย่างผมคงไม่มีปัญญาตามไปอยู่แล้ว แต่ถ้ามันเป็นอนาคตที่ดีของกัปตัน ผมก็ควรจะยินดีมากกว่าเสียใจ

"แต่มึงเคยบอกกูว่าแม่มึงไม่อยากให้มึงไปเรียนเมืองนอก เพราะเขากลัวไม่มีคนดูแลมึงไม่ใช่เหรอ" ผมสงสัย

"ใช่ แต่น้องชายกูเขาเพิ่งคุยกับแม่ เขาบอกว่าเขาโตแล้ว ช่วยดูแลกูได้ อีกอย่าง...ที่เมกาก็สะดวกสำหรับคนพิการ ไปไหนก็ได้ ใช้ชีวิตง่ายกว่าที่นี่ตั้งเยอะ แม่กูก็เลยเขว ตอนนี้เขากำลังตัดสินใจอยู่ ถ้าเขารู้เรื่องนี้ขึ้นมา...เขาก็อาจจะตัดสินใจให้กูไปเรียนเมกาก็ได้"

เมื่อรู้ว่ามีความเป็นไปได้ ผมก็ยิ่งใจหาย ถ้าหากกัปตันไปจริงๆ ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าเราจะโคจรมาพบกันอีกเมื่อไหร่

"ทางที่ดี...อย่าให้แม่กูรู้นั่นแหละดีที่สุด" กัปตันกำชับทิ้งท้าย

"แต่แม่กับป๊ามึงจะมาดูมึงเย็นนี้นะเว้ย ส่วนพี่โดมเขาก็เรียนที่นี่ ยังไงเขาก็ต้องรู้ เผลอๆ จะรู้แล้วด้วย มึงคิดว่าจะปิดได้เหรอวะ" ผมชักเริ่มกังวลบ้าง

กัปตันทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ "ก็จริงว่ะ เอาไงดีวะ กูไม่อยากให้แม่กับป๊ามาเลย"

"มึงจะไม่ประกวดเย็นนี้จริงๆ เหรอ" ผมถามเพื่อความแน่ใจ

กัปตันพยักหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยังดูลังเลเล็กน้อย

"งั้นมึงก็ต้องโทรไปบอกแม่กับป๊ามึงว่าไม่ต้องมาแล้ว" ผมเตือน

"อ้าว แล้วมึงจะให้กูบอกเขาว่าไง" กัปตันสงสัย

นั่นน่ะสิ ผมก็ลืมคิดไป ยังไงๆ แม่ของกัปตันก็คงต้องถามหาเหตุผล "งั้น...มึงก็บอกแม่มึงว่าเขาเลื่อนกะทันหันดิ"

กัปตันทำท่าคิดตาม ไม่นานก็พยักหน้าเห็นด้วย "เออ เดี๋ยวกูโทรไปบอก"

ผมถอนหายใจสั้นๆ ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจบอกสิ่งที่ผมคิดให้กัปตันฟัง "ถ้ากูเป็นมึงนะเว้ย กูจะประกวด ได้ไม่ได้ก็ช่างแม่งมัน แต่มึงเชื่อดิ มึงจะได้คะแนนสงสารเยอะเลยนะเว้ย ถ้ามึงไม่ได้รางวัลเพราะมีคนแกล้งทำรูปมึงหาย มึงเชื่อกูดิว่าไอ้คนทำโดนด่าแน่ คนแบบนี้...ต้องถูกสังคมลงโทษไม่ให้มีที่ยืน ต้องให้โลกโซเชียลเหยียบให้จมดินเลย แต่...ก็แล้วแต่มึงนะเว้ย ถ้ามึงไม่อยากประกวด กูก็ไม่บังคับมึงหรอก กูแค่ไม่อยากให้มึงยอมแพ้คนง่ายๆ แบบนี้ ต้องสั่งสอนให้เจ็บมั่งเว้ย ไม่งั้นเขาก็จะไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก"

กัปตันนั่งเงียบ สายตาบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ผมจึงต้องบอกเขาอีกทีเพราะกลัวเขาจะคิดว่าผมกดดัน

"ไม่ต้องเครียดเว้ย ไม่อยากประกวดก็ไม่ต้องประกวดหรอก กูเข้าใจมึง แต่ถึงมึงไม่ประกวด กูก็ไม่ปล่อยให้คนอย่างพี่สาลอยนวลหรอก"

"มึงจะไปทำอะไรพี่เขาวะ" กัปตันหันมาถามทันที

"เดี๋ยวมึงคอยดูก็แล้วกัน ทำคนที่กูรักเจ็บขนาดนี้ กูไม่ยอมหรอก" ผมพูดพร้อมกับส่งแววตาอาฆาต

"เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ" กัปตันถามผมเหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินบางอย่างถูกต้องหรือเปล่า

เมื่อทบทวนประโยคที่พูดเมื่อกี้ ผมก็รู้ว่าตัวเองเผลอพูดเรื่องสำคัญออกไปโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว แต่มาถึงขั้นนี้ ผมคิดว่าคงถึงเวลาสมควรแล้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ รักแล้วก็รักไปเลยละกัน

"อ๋อ กูพูดว่า...ทำคนที่กูรักเจ็บขนาดนี้ กูไม่ยอมหรอก" ผมทวนคำพูดนั้นอีกครั้ง

หน้าเศร้าๆ ของกัปตันค่อยๆ เปลี่ยนเหวอ เขาเอามือชี้ที่ตัวเองแล้วก็ถามผมให้แน่ใจอีกครั้งว่าฟังไม่ผิด "คนที่มึงรัก..."

"เออ มึงนั่นแหละ...คนที่กูรัก" ผมยืนยัน เห็นกัปตันทำหน้าแบบนั้นก็อดขำเบาๆ ไม่ได้

กัปตันยังคงทำหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าตัวเองฟังถูก ผมจึงถือโอกาสนั้นลุกขึ้น เดินต่ำลงไปอีกหนึ่งขั้น ก่อนย่อตัวลงนั่งคุกเข่าบนอัฒจรรย์ต่อหน้ากัปตัน ดึงมือสองมือมาเกาะกุมไว้ จ้องใบหน้าหวานและหล่อใสโดยแทบไม่กะพริบตา

"กูรู้ว่ามึงเก็บหัวใจใส่กล่องสีเทาๆ เอาไว้มานานแล้ว เพราะมึงกลัวเจ็บ กลัวคนไม่ยอมรับความรักของมึง แต่คนทุกคน...มีค่าสำหรับความรักนะเว้ย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความสุขกับความรัก มึงก็มีสิทธิ์เหมือนกัน กูเอง...ก็อยากจะมีความสุขกับความรัก...กับใครสักคน แล้วคนที่กูอยากจะรัก คนที่กูอยากจะดูแล...ก็คือมึง เอาหัวใจของมึงออกมาจากกล่องสีเทาๆ ได้แล้ว วันนี้...กูเอากล่องสีชมพูมารอรับหัวใจของมึง เพราะกูอยากให้หัวใจของมึงสดใส กูอยากเห็นมึงสดใสเพราะความรัก แล้วกูก็เชื่อว่าความรักของกู...จะทำให้มึงมีความสุข ตกลงไหมกัปตัน เป็นแฟนกูนะ"

กัปตันยังไม่ตอบทันที เจ้าตัวคงจะตกใจมาก หรืออาจจะไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยินก็ได้ แต่พักหนึ่งอาการหน้าเหวอๆ ของกัปตันก็จางลง

"มึงจะมาอะไรกับคนอย่างกูทำไมวะอะตอม" ถึงจะพูดอย่างนั้น กัปตันก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

"ก็กูรักมึง มึงจะให้กูไปอะไรกับใครที่ไหนล่ะ กูก็ต้องมาอะไรกับมึงดิวะ กูรักมึงไม่ได้เหรอ" ผมกลั้นยิ้ม เวลากัปตันทำตัวไม่ถูกก็ดูน่ารักไปอีกแบบ

ถึงนาทีนี้ ผมเชื่อว่ากัปตันคงจะหมดความแคลงใจในตัวผมไปมากแล้ว เจ้าตัวจึงไม่รู้จะหาอะไรมาแก้ตัวหรือบ่ายเบี่ยง

"ก็ได้ แต่ว่า..."

"แต่ว่าอะไร" ผมรีบถามกลับ

กัปตันอึกอัก สุดท้ายก็ตอบส่งเดชดื้อๆ "ไม่รู้เว้ย"

"ถ้าไม่มีอะไรจะอ้างแล้ว ก็เป็นแฟนกับกูซะทีสิวะ กูอยากมีแฟนเป็นมนุษย์ล้อจะแย่แล้ว" ผมทำเสียงอ้อนวอน

"เชี่ย เรียกกูซะ"

"เอ้า กูเห็นรายการคุณกฤษณะเขาก็เรียกแบบนี้ไง น่ารักดีออก ไม่ชอบเหรอ"

"เปล่า" กัปตันเอียงหน้าหลบเล็กน้อยเมื่อโดนผมจ้อง

"เร็ว ตอบหน่อยสิ"

"แล้วกูต้องทำไงวะ" กัปตันทำเสียงคล้ายรำคาญ แต่ดูแล้วก็ไม่ใช่หรอก น่าจะทำตัวไม่ถูกมากกว่า

"ก็ไม่เห็นต้องทำไรเลย ก็แค่เป็นแฟนกู ยากตรงไหน" ผมพูดยิ้มๆ ดูก็รู้ว่ากัปตันเริ่มจะหมดทางหนีทีไล่แล้ว

"ก็นั่นแหละ" กัปตันพูดมาส่งๆ อีกแล้ว

"นั่นแหละอะไร"

"กูไม่รู้เว้ย"

"สรุปว่ามึงจะไม่ยอมจนมุมง่ายๆ ใช่ไหม" ผมแกล้งทำเสียงดุหน่อยๆ ต่อให้ดื้อแค่ไหนผมก็จะไล่ให้จนมุมจนได้

"แล้วมึงว่ากูหนีได้ไหมล่ะ" กัปตันย้อนถามและทำปากขมุบขมิบ ดูน่ารักซะจนผมอยากจะจูบเข้าให้ ถ้าอยู่ในห้องสองต่อสองคงไม่เหลือแล้ว

"แสดงว่ายอมรับแล้วใช่ไหม"

กัปตันทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็ค่อยๆ คลี่ยิ้ม "เออ เป็นก็ได้"

เมื่อได้ยินชัดเจนกับหูสองข้าง ผมก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจสุดขีด

Every cloud has a silver lining.

ถึงวันนี้จะเป็นวันร้ายๆ วันหนึ่งของกัปตันเพราะคนใจแคบ แต่ด้านหลังก้อนเมฆสีดำๆ ก็ยังมีแสงสว่างซ่อนอยู่เสมอ วันนี้...ความรักของผมจะเป็นแสงสว่างและนำความสดใสมาให้คนๆ นี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อยู่ในสภาพไหน ผมก็จะรักเขาให้ดีที่สุด

ผมลุกขึ้นมานั่งข้างๆ จากนั้นก็ดึงกัปตันมากอดไว้ แม้จะมีกลิ่นเหงื่อจากการซ้อมการแสดงบ้าง แต่ผมก็ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจในทุกสิ่งที่เขาเป็นเลย

ไม่นานกัปตันก็กอดผมตอบบ้าง "มึงรักกูจริงๆ เหรอวะ"

ถึงกัปตันจะยอมรับเป็นแฟนผมแล้ว แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าหัวใจที่เคยเจ็บจากความรักจะยอมรับผมได้อย่างสนิทใจ จึงไม่แปลกที่กัปตันจะถามผมแบบนี้

"มึงตัดสินเอาเองจากทุกอย่างที่มึงเห็นละกัน" พูดจบผมก็ปล่อยกัปตันออกจากอ้อมแขน ก่อนเอ่ยปากชวน "ถ้าเย็นนี้มึงจะไม่ไปประกวด ไปเดตกับกูไหม"

"ไปไหนดี" กัปตันเหมือนจะนึกสนุกไปด้วย

"ไปแช่ออนเซ็นกันไหม ไม่ได้ไปนานแล้ว จากนั้นก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กิน ไปดูหนังสักเรื่องก่อนกลับด้วยก็น่าจะดี มึงว่าไง" ผมเสนอไอเดีย

"ก็ไม่เลว"

"อ้อ...คืนนี้...กูขอนอนเตียงมึงด้วยนะ" ผมยิ้มกรุ้มกริ่มมีเลศนัย

กัปตันชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะและยิ้มยียวน "ก็ได้ แต่กูก็จะไปนอนเตียงมึง"

"ได้ไง เป็นแฟนกันแล้ว ก็นอนเตียงเดียวกันดิ" ผมท้วง

"ไม่เห็นจำเป็นเลย" กัปตันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

"เออ กูไม่เถียงหรอกว่าไม่จำเป็น แต่ว่าคืนนี้...กูอยากปลอบใจคนเศร้าไง ดีนะเว้ย กูรับรองเลย ตื่นเช้ามา จิตใจสดใสหายเศร้าชัวร์ ลองเปล่า" ผมยักคิ้วใส่เป็นเชิงหยอกเล่น

"โห...จะดีขนาดนั้นเลยเหรอ" กัปตันแสร้งไม่แน่ใจ

"ก็ลองดิ ไหนๆ ก็เป็นแฟนกันแล้ว ใช้ประโยชน์จากแฟนให้คุ้มค่าดิ มึงรู้ไหมว่าทำไมคนเราถึงต้องมีแฟน"

"มีลูกมั้ง"

"กูกับมึงมีไม่ได้เว้ย แล้วกูก็ไม่อยากมีด้วย ตอบดีๆ สิ" ผมทำเสียงดุๆ ใส่เล็กน้อย

"กูจะตอบได้ไงวะ มีแฟนคนแรกก็โดนเขาหลอก ถ้ามึงรู้มึงก็บอกกูดิ มีประสบการณ์เยอะกว่ากูไม่ใช่เหรอ" กัปตันพูดเหมือนประชด แต่ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอก

"ก็มีไว้เติมเต็มกันไง" ผมเฉลย

"เติมเต็มยังไงวะ" กัปตันเอียงคอ ดูน่าเอ็นดูจนผมต้องเอามือลูบหัวเขาเบาๆ

"ถามยากนะมึง เติมเต็มก็คือ...เออ...ไม่รู้ว่ะ" ผมหัวเราะเก้อๆ

"เชี่ย แล้วทำมาคุย" กัปตันแสร้งว่า

"อ้าว เป็นแฟนกันแล้ว พูดเพราะๆ กับผมหน่อยสิครับ...พี่กัปตัน"

กัปตันชะงัก คงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยเรียกเขาว่าพี่ครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นคงไม่ติดใจอะไร พอผมเรียกอีกคราวนี้ กัปตันคงเอะใจบ้างแล้ว

"มึงรู้เหรอ"

ผมเลียริมฝีปาก ก่อนพยักหน้ายอมรับ "เออ กูเคยเห็นบัตรประชาชนมึงน่ะ เอ๊ย...ไม่ใช่ ผมเคยเห็นบัตรประชาชนของพี่ไง"

"ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้เว้ย กูไม่ชิน เอาเหมือนเดิมดิวะ" กัปตันว่า

ผมหัวเราะแหะๆ "ก็ดีเหมือนกัน เรียกมึงว่าพี่แล้วกระดากปากว่ะ"

"เออ ไม่ต้องเรียกพี่หรอก ว่าแต่...จะไปกันได้ยัง กูไม่อยากอยู่นี่แล้ว อยากไปแช่ออนเซ็นสบายๆ ให้หายเครียด" กัปตันเปลี่ยนมาเร่งเร้า

"ไปดิ อ้อ" ผมทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ จากนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่มและเลื่อนใบหน้าเข้าใกล้กัปตัน ยั่วให้เขาหวั่นไหวเล่น "กูขอจูบมึงได้ไหมคืนนี้ จูบเฉยๆ นะเว้ย"

กัปตันทำหน้าเหวอๆ แต่ก็ดูตลกไม่น้อย "กูยอมเป็นแฟนมึงแล้ว ไม่ได้แปลว่ากูอนุญาตแล้วเหรอวะ"

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ตาโตทันที "งั้น...กูก็ทำมากกว่าจูบได้ใช่ไหม"

"เชี่ย ได้คืบจะเอาศอกนะมึง"

กัปตันว่าผมอีกแล้ว ดูมันสนุกมากทีเดียวที่ได้ต่อปากต่อคำกับผม แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะผมไม่อยากเห็นกัปตันเศร้า จะว่าไปผมก็ดีใจไม่น้อยที่ความรักของผมทำให้เขาลืมเรื่องเจ็บปวดไปได้บ้าง

"แล้วได้หรือเปล่าล่ะ" ผมถามทีเล่นทีจริง

"แล้วแต่มึง อยากทำอะไรก็ทำ แต่ตอนนี้มึงมาให้กูขี่หลังเลย กูจะลงไปแล้ว อ้อ มึงดู...จอดวีลแชร์กูก็ไม่ดูเลยนะมึง เห็นไหมว่ามันจะโดนแดดแล้ว" กัปตันเฉไฉด้วยการบ่นเรื่องอื่น

"น่ารักอ้ะ แฟนใครก็ไม่รู้ ขนาดบ่นยังน่ารักเลย"

เจอผมชมแบบนี้ กัปตันก็หน้าเหวออีก อาจจะเขินด้วยเพราะหน้าขาวใสแดงขึ้นมาทันที

"ดี เดี๋ยวกูจะบ่นมึงทุกวัน ดูสิว่าจะยังพูดเหมือนเดิมอีกไหม"

ขู่แล้วกัปตันก็หัวเราะ ส่วนผมก็ยิ้มมีความสุข นี่แหละคือการเติมเต็มที่ผมหมายถึง แต่อธิบายไปกัปตันก็อาจจะไม่เข้าใจตอนนี้ ผมก็เลยแสร้งทำเป็นไม่รู้ เอาไว้อีกหน่อยผมจะเฉลยให้เขาฟังทีหลัง ถ้ามีประสบการณ์การแล้วคงจะเข้าใจได้ไม่ยาก

ผมนั่งลงตรงขั้นบันไดข้างหน้ากัปตัน เจ้าตัวรีบกอดคอและขึ้นขี่หลังผมอย่างรู้งาน เรียบร้อยดีแล้วผมก็พาเขาเดินลงอัฒจรรย์ไปข้างล่าง ตรงนั้นมีวีลแชร์คันหนึ่งจอดอยู่ มันกำลังจะโดนแดดเลียอย่างที่กัปตันบ่นนั่นแหละ

คิดแล้วก็อยากให้ถึงคืนนี้ไวๆ จัง ถ้าชีวิตมีฟาสท์ฟอร์เวิร์ดเหมือนยูทูบ ผมจะรีบสกิปกิจกรรมทั้งสามอย่างแล้วข้ามไปคืนนี้เลย

แต่ว่า...กินข้าวหน่อยก็ดี เดี๋ยวไม่มีแรง!



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:47:25 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบภาษาที่เขียนมากคะ. บรรยายความรู้สึกตัวเอกดีจัง

ประทับใจ ❤️❤️

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
กัปตันสู้ๆ  จ้า  แค่เสียงที่ลอยลมแล้วก็ผ่านไป
เป็นกำลังใจให้นะคะ  มาลงให้อ่านบ่อยๆ จ้า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กัปตัน สู้ๆๆๆๆ

เบื่อคนใจแคบ ต่ำตม แต่มาทำงานกับสังคม
แล้วคิดเอง เออเอง ว่าตัวเองคิดสูงส่ง
ที่แท้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไปคิดแทนคนส่วนใหญ่
เอาความชั่วตัวเอง ป่าวประกาศให้คนทั้งกองประกวดรู้

น่าสนใจ กองประกวดจะทำยังไงต่อ
อยู่ๆกรรมการแค่คนเดียว ลุแก่อำนาจ
ตัดสินใจคนเดียวปลดผู้เข้าประกวด
ออกแบบไม่บอกกล่าวใครทังสิ้นหน้าตาเฉย

อะตอมบอกรักกัปตัน กัปตันรับรักแล้ว
หวานๆกันไปเลย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เป็นแฟนกันแล้วจ้า คืนนี้เจอกัน อิอิ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :กอด1: กัปตันน่ารักอ่ะ ถ้ามีตัวตนจริงอยากกอดสักทีนึง

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ยังไม่มีเวลาเขียนต่อเลยครับ ;)

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP21 (Part 2)
แฟนผมเป็นมนุษย์ล้อ



<<<CAPTAIN>>>

ไม่มีครั้งไหนในชีวิตเลยที่จะทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจได้เท่าวันนี้ ไม่ใช่เพราะชีวิตผมขาดความอบอุ่นหรอกนะ ผมมีพ่อแม่พี่น้องและครอบครัวที่อบอุ่น เผลอๆ ได้รับความรักมากกว่าใครๆ ด้วยซ้ำ

แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เราโตขึ้น ธรรมชาติก็ให้เราออกไปหาความรู้สึกคล้ายกันนี้จากโลกภายนอกบ้าง ช่วงเวลานี้นี่เองที่ผมรู้สึกถึงความโหยหา แต่ยิ่งไขว่คว้าเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งห่างออกไป มันน่าแปลกตรงที่ไม่มีความอบอุ่นใดๆ ทดแทนได้เลย จนกว่าจะได้มันมาไว้ครอบครองเท่านั้น เพราะธรรมชาติสร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาไม่เหมือนกัน มีหน้าที่ต่างกัน

"มึงจะเป็นแฟนกับกูจริงๆ เหรอ" ผมซบหน้าลงใกล้ๆ ใบหูของคนที่ผมขี่หลัง กลิ่นกายอุ่นๆ กรุ่นอวลที่ปลายจมูก เขาเดินลงอัฒจรรย์ลงด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ ไม่ช้าไป ไม่เร็วไป ที่จริงผมก็ตัวหนักไม่ใช่เล่น แต่คนให้ขี่หลังกลับดูสบายๆ

"เออ" อะตอมตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์

"ไม่หลอกกูนะเว้ย" ผมยังคงไม่มั่นใจ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงหรอก ที่จริงก็มั่นใจระดับหนึ่งไปแล้ว

"กูไม่ใช่ผี" อะตอมขำเบาๆ

"แล้วมึงรักกูจริงหรือเปล่า" ผมถามต่อ

"รักตั้งแต่เจอครั้งแรกแล้วไม่รู้เหรอ มึงเคยนับไหมว่ากูจูบมึงไปกี่ครั้ง กอดมึงกี่ครั้ง อาบน้ำกับมึงกี่ครั้ง ถ้าไม่รักจริงกูทำแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ถามแต่กู แล้วมึงล่ะ…รักกูหรือยัง"

"ไม่บอก" ผมหัวเราะเขินๆ

"ถึงไม่บอกกูก็รู้"

"รู้ว่า…"

"รู้ว่ามึงรู้สึกดีกับกูไง"

"รู้ได้ไง"

"ก็มึงเคยบอกกู จำไม่ได้เหรอ แต่ถึงจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้ามึงถามใจตัวเองตอนนี้…มึงก็ได้คำตอบแล้ว ไม่ต้องจำที่ผ่านมาก็ได้ จริงไหม" อะตอมทำเสียงยียวน

"มั่นสุดๆ เลยนะมึง" ผมเย้า

"ก็ถ้ามึงยอมเป็นแฟนกู ถ้าไม่รัก…จะยอมเป็นแฟนทำไม จริงไหม"

ผมไม่เถียงอะตอมแล้ว เพราะไม่มีอะไรจะเถียง ถ้าถามว่ารักมันไหม ก็คงจะเป็นอย่างอะตอมพูดนั่นแหละ ไม่รักก็คงไม่ยอมให้ทำแบบนี้หรอก

"เอาเป็นว่า…กูจะรอฟังคำว่ารักจากมึงละกัน กูรอได้ กูรู้ว่าไม่นานหรอก แค่นี้มึงก็อยากจะบอกกูแย่แล้ว" อะตอมโวอย่างมั่นใจ แต่ก็ใช่จะทำให้ผมหมั่นใส้ ตรงกันข้าม…

ผมรู้สึกดีหลายๆ อย่างกับผู้ชายคนนี้มากทีเดียว เขาอดทน ไม่รีบร้อนเร่งรัดกับผม ให้เวลา ให้ความเข้าใจ รู้จังหวะเวลา แม้จะเคยทำบางอย่างไม่ถูกใจบ้าง ทำให้เสียใจก็เคย แต่โดยรวมๆ แล้ว ตั้งแต่มีอะตอมเข้ามาในชีวิต ผมก็มีความสุขมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย

"กูไม่บอกรักใครง่ายๆ ก็จริงนะเว้ย แต่กู…ก็ไม่ใช่คนเดายาก ถ้ามึงอยากได้คำๆ นี้จากกู รอนะเว้ย กูรู้ว่ามึงรอได้"

"เออ กูจะรอฟัง" อะตอมหันมายิ้มบางๆ

อยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่ามันน่ารัก จนผมนึกอยากทำบางอย่างให้ แต่ตอนที่รู้สึกก็ยังไม่กล้าทำอย่างที่คิด อาจจะเป็นเพราะอะตอมพาผมมาถึงรถวีลแชร์ของผมพอดีก็ได้ เขาหันหลังและย่อตัวลงให้ผมลงนั่ง ใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย จากนั้นร่างสูงชะลูดก็หันหน้ามาหา ก้มตัวลงมาคุยด้วย

"ถึงมึงจะไม่ไปประกวดคิวท์บอยคืนนี้ หรือถ้ามึงจะไป แต่ไม่ได้ตำแหน่งอะไรกลับมา มึงก็เป็นคิวท์บอยในสายตากูเสมอนะเว้ย" อะตอมยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขามีบางอย่างมากกว่านั้น

"อยากให้กูกลับไปประกวดเหรอ" ผมคิดว่าผมเดาไม่ผิด เพราะสังเกตจากสีหน้าท่าทางของอะตอมเมื่อครู่ เขาดูลังเลและเสียดายเมื่อผมบอกว่าจะไม่ไป

"กูว่าก็ดีนะเว้ย มึงรู้ตัวไหมว่ามึงเป็นคนใจสู้ แล้วมึงก็สู้กับเรื่องพวกนี้มาตั้งเยอะ สู้อีกหน่อยดิวะ ทำให้พี่สาแล้วก็คนอื่นๆ เห็นว่ามึงเข้มแข็งดิ รูปที่มันหายก็ให้มันหายไป ไม่ชนะด้วยคะแนนก็ช่างแม่งเหอะ แต่มึงต้องชนะใจทุกคนให้ได้ พี่ซินดี้แล้วก็เพื่อนๆ ทุกคนเขารอมึงอยู่นะเว้ย ถ้าเขารังเกียจมึง เขาไม่ให้ร่วมทีมตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาก็ต้อนรับมึง พี่ซินดี้ก็ทุ่มเทกับมึง เขาหาวิธีให้มึงแสดงกับเพื่อนๆ จนได้ ความตั้งใจของทุกคนมีความหมายนะเว้ย มึงทำให้เขาเห็นดิว่ามึงจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง"

ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมว่าวันนี้อะตอมพูดโคตรดีเลย ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าผม แต่เขาก็ดูอบอุ่นและเป็นผู้ใหญ่ระดับหนึ่ง มีความคิดอ่านดีๆ หลายอย่างจนบางทีผมก็ทึ่งได้เหมือนกัน

"อุ้มกูยืนหน่อยดิ" ผมบอกพลางยิ้มบางๆ

อะตอมดูงงๆ ในตอนแรก แต่ไม่นานก็ทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย เขาพยุงใต้รักแร้และดึงตัวผมขึ้นยืนตัวตรง ผมอาศัยจังหวะที่อะตอมเผลอขโมยหอมแก้มเขาเบาๆ เจ้าตัวหน้าเหวอเล็กน้อย แต่ปริมาณเลือดบนใบหน้ากลับเพิ่มสูงขึ้น หน้ามันแดงและดูเขินอย่างเห็นได้ชัด ปกติผมไม่เคยเห็นอะตอมเขินแบบนี้เลย

"รางวัลพิเศษจากแฟนไง" ผมบอก จากนั้นก็ค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งบนวีลแชร์ตามเดิม

"เนื่องในโอกาสอะไรวะ" อะตอมถามพลางจะเอามือถูตรงที่ผมหอม ผมรีบร้องห้ามทันที

"อย่าถูดิ เดี๋ยวความรู้สึกมันหาย รางวัลพิเศษนะเว้ย ถึงจะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้"

อะตอมชะงักมือไว้แทบไม่ทัน ความรู้สึกเขินดูเหมือนจะยังไม่ลดลงเลย เขาลดมือลงและยิ้มมีความหมาย

"มีแฟนนี่ก็ดีเหมือนกันนะ มีคนให้กำลังใจแล้วก็คอยดูแล โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ ถ้าไม่ได้มึง…กูแย่เลยนะเว้ย" ผมทำหน้าซึ้งๆ

เราสองคนยังไม่ทันจะคุยอะไรกันต่อ เสียงของใครบางคนก็ดังมาจากข้างหลัง

"พวกมึงสองคน…"

เมื่อผมกับอะตอมหันไปมองตาม น้ำหวาน กวินและแบงค์ก็ยืนมองอยู่ ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่ตอนไหน แต่ละคนทำหน้าตาแปลกๆ เหมือนเห็นผี หรือไม่ก็น่าจะตกใจกับอะไรสักอย่างที่ไม่คาดฝัน หรือว่า…

พวกมันจะเห็นที่ผมหอมแก้มอะตอมเมื่อกี้!

"พวกมึงมีอะไรหรือเปล่าวะ" ผมร้องถาม ทำหน้าไม่ถูกไปเลย เพราะไม่รู้ว่าเมื่อกี้เพื่อนๆ เห็นอะไรบ้าง

เพื่อนๆ สามคนของผมทำท่าเหมือนตื่นจากภวังค์ จากนั้นก็พากันเดินเข้ามาหาใกล้ๆ มองหน้ากันไปมาแปลกๆ

"อธิการตามหามึงน่ะดิ" น้ำหวานบอก แม้จะพยายามปรับสีหน้าแล้ว ก็ยังคงมีร่องรอยความรู้สึกเหมือนที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้อยู่

"เรื่องอะไรวะ" ผมขมวดคิ้วเข้ม รู้สึกได้ว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ

"เรื่องของมึงนั่นแหละ มึงยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอวะ" แบงค์พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ของเขามาให้ผมดู เขาเปิดคลิปๆ หนึ่งและสาธยายไปด้วย "เนี่ย มีคนเอาคลิปพี่สาด่ามึงขึ้นเฟสมหาลัยเว้ย แชร์กันว่อนไปหมดแล้ว ในยูทูปก็มี ในพันธุ์ทิพย์ก็มี"

ผมกับอะตอมมองหน้ากันทันที ต่างคนต่างตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เรื่องที่เพิ่งขึ้นเมื่อกี้จะกระจายไปไกลขนาดนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลกเทคโนโลยีสมัยนี้

"อธิการจะให้กูไปหาเรื่องนี้เหรอวะ" ผมถามด้วยสีหน้ากังวล

"เออดิวะ รีบไปเร็ว เขาเรียกพี่สาแล้วก็อีกหลายคนไปด้วย กูว่าเรื่องใหญ่แน่ แต่มึงไม่ต้องกลัวหรอก คนที่จะโดนกูว่าน่าจะเป็นพี่สามากกว่า งานนี้…อย่างน้อยๆ ก็น่าจะโดนหักคะแนนจิตพิสัยแหละวะ" กวินบอก

"กูว่าน้อยไปด้วยซ้ำ มึงดูที่เขาพูดดิ แม่งเอ๊ย ถ้ากูอยู่ตรงนั้นด้วยนะ กูจะถอดรองเท้าตบปากจริงๆ ด้วย" น้ำหวานทำท่าเดือดดาล

"ใครเอาขึ้นวะ" อะตอมสงสัย

ผมดูโพสต์นั้นอีกที พอเห็นชื่อคนโพสต์แล้วก็แปลกใจ "ปาร์ตี้มันเป็นคนโพสต์ว่ะ"

"เออ ดีแล้วล่ะ จะได้เห็นกันหมดทั้งมหาลัยไปเลย มึงไม่ต้องอายแล้วนะเว้ย เพราะต่อไปคนที่จะเอาปี๊บคลุมหัวมาเรียนต้องเป็นพี่สา ไม่ใช่มึง" อะตอมพูดกึ่งตลก

ผมก็เกือบจะตลกไปด้วยแล้วล่ะ แต่พอนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ผมกลับตกใจมากกว่าเรื่องจะไปพบอธิบการบดีด้วยซ้ำ

"แม่!"

ผมรีบส่งโทรศัพท์คืนให้แบงค์ ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมปิดเสียงไว้ตั้งแต่ตอนซ้อมแล้ว คาดว่าคงจะพลาดสายไปบ้าง แต่ขออย่าให้เป็นแม่ผมละกัน

แต่เมื่อเปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมา คำภาวนาของผมก็ไม่เป็นจริงซะแล้ว แม่โทรหาผมหลายสายเลย พอผมไม่รับ แม่ก็เลยส่งข้อความเอสเอ็มเอสมาด้วย

"โทรกลับหาแม่ด่วน"

เท่านี้ผมก็ใจหายวาบ แม่ต้องเห็นคลิปแล้วแน่ๆ

"รีบไปเหอะกัปตัน เดี๋ยวอธิการรอ" อะตอมหันมาเตือนผม

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สำหรับผม เรื่องพบอธิการบดีไม่สำคัญเท่าไหร่แล้ว เพราะคนที่จะเปลี่ยนชีวิตและอนาคตของผมหลังจากนี้ไม่ใช่คนที่นี่

ก่อนจะไปจากตรงนี้ ผมเงยหน้าขึ้นมองอะตอมด้วยความรู้สึกกังวล เราสองคนเพิ่งจะตกลงเป็นแฟนกันแท้ๆ แต่เราจะมีความสุขกับช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันไปได้อีกนานแค่ไหนผมก็ยังไม่รู้

เอาเถอะ อย่าเพิ่งกังวลไปเลย บางทีอะไรๆ ก็อาจจะไม่เป็นอย่างที่ผมคิดก็ได้

"เออๆ รีบไปเหอะ อธิการเขารอมึงอยู่ พวกกูก็ตามหาพวกมึงซะทั่วเลยนะเว้ย ไม่คิดว่าจะมาหลบอยู่ตรงนี้" น้ำหวานยิ้มแปลกๆ ในตอนท้าย

"มีอะไรไม่บอกพวกกูเลยนะมึง" แบงค์ยิ้มแปลกๆ ด้วยอีกคน ผมชักร้อนๆ หนาวๆ เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนกำลังสงสัยเรื่องผมกับอะตอมหรือเปล่า

"หยุดคุยได้แล้วพวกมึงนี่ เขาจะเป็นแฟนกันก็เรื่องของเขา ไปได้แล้ว" กวินแสร้งทำเสียงดุ แต่สีหน้ากลับดูยิ้มๆ

ผมกับอะตอมถึงกับชะงักและหันหน้ามามองกันเอง ก่อนจะหันไปถามเพื่อนๆ พร้อมกัน

"พวกมึงรู้แล้วเหรอ"

"เออ" ทั้งสามคนตอบมาพร้อมกัน จากนั้นก็หัวเราะ

แต่พวกเราก็ไม่มีเวลาคุยเรื่องนี้มากนักเพราะต้องรีบไป แต่เชื่อได้เลยว่า หลังจากคุยกับอธิการบดีเสร็จแล้ว ผมกับอะตอมคงต้องโดนพวกมันซักจนปรุแน่ๆ ที่จริงก็เริ่มมีคนสงสัยมาสักพักแล้วล่ะ แถมบางคนยังสงสัยไปในทางไม่ดีด้วย

… … …

เมื่อมาถึงห้องประชุมที่ตึกอธิการบดี ผมก็พบว่ามีคนนั่งรออยู่หลายคน พี่สา พี่ปริม อั้ม พี่ซินดี้ คอปเตอร์ ปาร์ตี้และเพื่อนๆ ที่ซ้อมเต้นด้วยกันอีกสามสี่คน มีอาจารย์ที่ปรึกษาของผมและพี่สามาด้วย แค่นี้ก็รู้ว่าเรื่องใหญ่ของจริง เพราะเป็นการเรียกประชุมด่วน ใครทำอะไรอยู่ตอนนี้ต้องหยุดทันทีและมาที่นี่

"เธอมานั่งตรงนี้" ท่านอธิการบดีชี้ให้ผมไปนั่งแถวโต๊ะประชุมด้านหน้า

อะตอมไปกับผม ส่วนเพื่อนอีกสามคนของนั่งด้านหลัง บรรยากาศในห้องประชุมดูน่ากลัวแปลกๆ โดยเฉพาะคู่ปรับรุ่นพี่ของผมที่ถึงกับนั่งก้มหน้า สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยดีเลย

"เปิดคลิปเลย"

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ท่านอธิการก็สั่งนักศึกษาที่เข้ามาช่วยงานในห้องให้ฉายคลิปขึ้นบนหน้าจอโปรเจกต์เตอร์ ทุกคนเปลี่ยนความสนใจไปที่หน้าจอนั้น ความเงียบหายไป แต่ความเครียดกลับเข้ามาแทน เพราะสิ่งที่เห็นบนหน้าจอไม่ใช่เรื่องดีเลย แม้แต่ผมก็ไม่อยากรับรู้มันเลยอีกด้วยซ้ำ

"ไหน เล่าเรื่องทั้งหมดมาหน่อยซิว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ใครจะเป็นคนเล่า เธอเลยไหม" ท่านอธิการบดีหันไปทางพี่สาน น้ำเสียงของท่านบ่งบอกความไม่พอใจจนรู้สึกได้

ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเรื่องนี้สร้างความเสื่อมเสียให้มหาลัยอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้ในโลกโซเชี่ยลวิพากวิจารณ์กันอย่างสนุก บางคนถึงขนาดตั้งคำถามว่าคุณภาพในการสอนนักศึกษาในมหาลัยอันดับหนึ่งของไทยยังดีอยู่ไหม ไม่น่าเชื่อว่ามหาลัยอันดับหนึ่งจะมีนักศึกษาที่มีความคิดแบบนี้ด้วย

พี่สายังคงก้มหน้า เธอไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากเล่าตามที่ท่านอธิการบดีสั่ง

"ถ้าไม่เล่า งั้นเธอก็เล่ามา" อธิการบดีหันมาสั่งผมแทน

แต่ผมก็ยังไม่กล้าเล่าทันทีหรอก จนอะตอมต้องสะกิดข้อศอกผมและกระซิบข้างๆ "เล่าดิวะ เล่าให้หมดเลย ความจริงก็คือความจริง กลัวอะไร ถ้ามึงพูดความจริง ไม่มีใครทำอะไรมึงได้หรอก"

เมื่อได้ฟังอย่างนั้น ผมก็คิดว่าต้องเล่าให้หมด ที่จริงผมก็เป็นคนขี้สงสารคนโดยนิสัย ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากทำร้ายใครหรอก

แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ เธอจำเป็นต้องได้รับบทเรียนบางอย่างที่สาสมกับสิ่งที่เธอทำบ้าง ไม่ใช่แค่กับผม แต่รวมถึงคนที่เป็นเหมือนผมซึ่งต่อไปจะเข้ามาเรียนที่นี่ด้วย



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:47:35 โดย HuskyLover »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ถึงสาเจออย่างนี้ก็ไม่รู้จะเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนนิสัยได้รึเปล่า :เฮ้อ:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
คุณแม่จะว่ายังไงเนี่ย  :hao5:

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP22 (Part 1)
เวลา...



<<<ATOM>>>

"มีใครจะพูดอะไรอีกไหม" หลังจากฟังกัปตัน พี่สา พี่ปริม อั้ม พี่ซินดี้และปาร์ตี้ให้ข้อมูล ท่านอธิการบดีก็หันไปถามรอบๆ โต๊ะประชุม ไม่มีใครตอบคำถาม เอาแต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แสดงว่าคงไม่มีใครอยากพูดอะไรเพิ่มเติมแล้ว ท่านอธิการบดีจึงพูดต่อ

"เอาล่ะ ที่ผมเรียกพวกคุณมาวันนี้ ผมจะยังไม่ลงโทษใครทั้งนั้น หลังจากนี้ ผมจะให้ท่านรองอธิการตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่ผมขอเตือนพวกคุณ…โดยเฉพาะนักศึกษา…ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดร้ายแรง เพราะเข้าข่ายทำให้มหาวิทยาลัยเสียชื่อเสียง บทลงโทษก็มีตั้งแต่ทำทัณฑ์บน พักการเรียน ให้ออก หรือว่าไล่ออก"

ท่านอธิการหยุดเว้นจังหวะ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นสีหน้าของผู้กระทำผิดซีดลง แววตาของเธอดูหวาดหวั่น เพราะแต่ละโทษที่ท่านอธิการพูดมานั้นล้วนไม่มีใครอยากได้รับทั้งสิ้น

"ส่วนใครจะได้รับโทษแบบไหน ผมขอให้เป็นเรื่องของกระบวนการพิจารณาตามกฎระเบียบของมหาลัย เดี๋ยวเราเอาไว้ว่ากันทีหลัง วันนี้ผมอยากให้พวกคุณช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน เรื่องแรก…คะแนนที่หายไป เธอจะทำยังไง" ท่านอธิการบดีหันไปถามพี่สา

พี่สาเหลือบตาขึ้นมอง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก "แต่ว่า…น้องเขา…จะไม่ประกวดแล้วนะคะ"

"เธอตัดสินใจแล้วใช่ไหม" ท่านอธิการบดีหันมาถามกัปตัน

กัปตันมองไปรอบๆ โต๊ะประชุม ดูจากสีหน้าท่าทางของแต่ละคนแล้ว เขาคงจะพอเดาได้ว่าเพื่อนๆ และพี่ซินดี้อยากให้เขาประกวดต่อ ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ทุกคนล้วนแต่อดทนและทุ่มเทเพื่องานนี้ กัปตันไม่ควรทำลายความตั้งใจของเพื่อนๆ และพี่ซินดี้

"ผมจะประกวดต่อครับ" กัปตันยืนยัน พี่สาถึงกับชะงักเมื่อได้ยินเช่นนั้น

"แล้วคะแนนของเธอที่หายไปล่ะ" ท่านอธิการบดีถามต่อ

"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เอาคะแนนก็ได้ ไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากมีส่วนร่วมกับเพื่อนๆ เพราะสิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่รางวัล ผมแค่อยากให้ทุกคนยอมรับว่าผมก็เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ มีกิจกรรมอะไร…ก็ให้ผมทำด้วยเท่าที่ผมจะทำได้ ไม่มองผมเป็นคนอื่น ไม่กีดกันผม แค่ไม่รังเกียจผม…ผมก็พอใจแล้วครับ"

คำพูดของกัปตันทำเอาบางคนถึงกับน้ำตาซึม พี่ซินดี้ถึงกับเอามือป้ายน้ำตา หลายๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายคงเข้าใจความรู้สึกของกัปตันดี เหตุการณ์นี้คงจะให้บทเรียนสำคัญกับหลายๆ คนไปอีกนาน

ท่านอธิการบดีนิ่งคิด เหมือนพยายามจะคิดหาทางออกให้ เมื่อคิดออกแล้วท่านก็พูด "เอาอย่างนี้ละกัน ยอดไลค์ของอันดับที่สี่กับอันดับที่หกเป็นเท่าไหร่ คะแนนของเธอก็อยู่กึ่งกลางระหว่างสองอันดับนี้ละกัน ตกลงตามนี้ไหม" ท่านอธิการบดีหันไปทางพี่สา

แต่ก่อนที่พี่สาจะตอบตกลงหรือไม่ตกลง ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออก ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอแต่งตัวภูมิฐานคล้ายนักธุรกิจหรืออะไรทำนองนั้น ทุกคนหันไปมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียวกัน

"แม่! " กัปตันอุทานเบาๆ ด้วยสีหน้าตกใจ แม้กระทั่งผมเองก็ตกใจไปด้วย เพราะไม่คิดว่าแม่ของกัปตันจะบุกมาถึงที่นี่

"ดิฉันไม่ให้ลูกของดิฉันประกวดอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ! "

แม่ของกัปตันพูดจบก็กวาดตามองหาใครบางคน เมื่อเจอคนที่อยู่ในคลิป เธอก็เดินตรงปรี่ไปหา เมื่อถึงตัวก็ชี้หน้า

"เธอรู้ไหม ว่าคนเป็นแม่อย่างฉันรู้สึกยังไงที่เห็นเธอทำกับลูกฉันเแบบนี้ แต่ช่างเถอะ ที่ฉันมาวันนี้ ฉันไม่ได้จะมาพูดความรู้สึกของฉัน แต่ฉันแค่จะมาถามเธอ ว่าเธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าเธอเรียนอยู่ที่ไหน แล้วสิ่งที่เธอทำกับลูกชายของฉัน…มันสะท้อนคุณภาพนักศึกษาที่ที่นี่เขาคาดหวังจากเธอหรือเปล่า เธอคงคิดเองได้นะ ลูกชายของฉันเขาเลือกมาเรียนที่นี่ ก็เพราะเขาเชื่อว่าที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดี เขาเชื่อว่าเขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะที่นี่เป็นมหาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ไม่ได้เป็นเพราะบังเอิญหรือจับฉลากเอา แต่เป็นอันดับหนึ่งเพราะคุณภาพ แต่คุณภาพความคิดของเธอ…มันเหมาะกับมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งแค่ไหนล่ะ! "

แม่ของกัปตันกระแทกเสียงตรงประโยคท้าย พี่สาถึงกับหน้าซีด ก่อนยกมือไหว้ขอโทษและร้องไห้ "หนูขอโทษค่ะคุณน้า หนูไม่ได้ตั้งใจ"

"แต่ที่ฉันดูในคลิป…มันคือความไม่ตั้งใจเหรอ! " แม่ของกัปตันย้อนถามเสียงดัง น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลพรากเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในคลิปนั้น เธอไม่สามารถทำใจได้เลย ด้วยความเป็นห่วงลูกชาย เธอถึงกับทิ้งทุกอย่างแล้วรีบมาที่นี่

"เธอรู้ไหมว่าเธอทำให้คนเป็นแม่อย่างฉันน้ำตาตก แค่เขาเป็นแบบนี้ ชีวิตมันก็ยากอยู่แล้ว เธอยังมาทำกับเขาแบบนี้อีกเหรอ! "

ท่านอธิการบดีเห็นท่าไม่ดีจึงรีบลุกเดินมาหา ท่าทางโกรธจัดนั้น อาจทำให้แม่ของกัปตันเผลอทำร้ายคนที่ยกมือไหว้ปลกๆ เอาได้ "ใจเย็นๆ ก่อนนะครับคุณ เดี๋ยวเรื่องนี้ทางมหาลัยของเราจะจัดการเอง มันอาจจะช้าหน่อยเพราะมันมีขั้นตอนกระบวนการ แต่ผมรับรองว่าทุกคนจะได้รับความยุติธรรม คนที่ทำผิดจะได้รับโทษอย่างแน่นอนนะครับ"

แม่ของกัปตันหันขวับไปทางท่านอธิการบดี แม้จะได้ยินคำรับรองเช่นนั้น สีหน้าของเธอก็ไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด "ค่ะ ดิฉันเชื่อค่ะว่าทางมหาลัยจะให้ความเป็นธรรมกับลูกชายของดิฉัน แต่ไม่ว่าบทลงโทษจะเป็นยังไง ดิฉันก็จะไม่เปลี่ยนใจ เพราะดิฉันมีที่ที่ดีกว่านี้ให้ลูกชายของดิฉันไปเรียน ดิฉันจะได้มั่นใจว่าเขาจะได้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ มีเพื่อน มีสังคมแล้วก็มีโอกาสที่ดีกว่านี้ ที่สำคัญ…ไม่ต้องหาคนมาช่วยกันยกขึ้นยกลงอาคารเรียนให้มันอุจาดสายตา นี่มันยุคไหนกันแล้วคะ ที่นี่ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนนะคะท่านอธิการ ที่นี่…คือมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ขึ้นชื่อเรื่องความซิวิไลซ์ เรื่องวิชาการแล้วก็เรื่องสิทธิมนุษยชน ดิฉันเลือกที่นี่ เพราะดิฉันคาดหวังว่าลูกชายของดิฉันจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันเหมือนคนอื่นๆ ลูกชายของดิฉันไม่ได้เรียนฟรีนะคะ เขาจ่ายเงินเรียนเท่าๆ กับนิสิตคนอื่นๆ ในคณะเดียวกัน แต่เขากลับไม่ได้เหมือนที่คนอื่นได้ แค่จะขึ้นอาคารเรียน…ที่นี่ก็ยังทำทางขึ้นให้เขาไม่ครบเลย ดิฉันคงจะไม่ให้ลูกชายของดิฉันต้องมาลำบากลำบนเรียนที่นี่อีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ"

แม้ว่าจะมีเรื่องที่น่าตกใจสำหรับผม แต่ผมก็ยอมรับว่าสิ่งที่แม่กัปตันพูดตรงใจผมมาก ผมเคยดอดมาพบท่านอธิการบดีและคุยกับท่านเรื่องนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ท่านกลับไม่เห็นความสำคัญเลย ผมเห็นด้วยอย่างที่สุด ในเมื่อกัปตันจ่ายเงินเท่ากับคนอื่นๆ เขาก็ควรจะได้บริการจากที่นี่เท่ากับคนอื่นด้วย แต่นี่อะไร แค่จะขึ้นอาคารเรียนด้วยตัวเองยังไม่มีทางให้ขึ้น ทำให้ผมต้องคอยพะวักพะวนหลายครั้งเวลาที่ไม่มาเรียน เพราะกลัวไม่มีคนช่วยกัปตัน

ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ยินแม่ของกัปตันพูดคงอึ้ง ดูจากสีหน้าแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แม้กระทั่งท่านอธิการบดีเอง ท่านคงจำได้ว่าเคยคุยเรื่องนี้กับผมแล้ว เมื่อท่านไม่เชื่อสิ่งที่ผมบอก ท่านก็เลยต้องมาเจอสิ่งนี้เข้าให้ด้วยตัวเอง คราวนี้ถึงกับพูดไม่ออกเลย

บรรยากาศในห้องประชุมดูตึงเครียดมากขึ้น นอกจากจะมีคนเข้ามาเพิ่มแล้ว ปัญหาที่มีก็เพิ่มขึ้นด้วย ต้องยอมรับว่าการที่มหาลัยไม่จัดฟาซิลิตี้ให้คนพิการใช้ได้ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พี่สาคิดว่ากัปตันเป็นภาระด้วย เพราะทุกครั้งที่กัปตันมาซ้อม เขาต้องขอให้เพื่อนๆ ช่วยพาไปห้องน้ำหรือยกขึ้นลงเวทีเสมอ

"กัปตัน กลับบ้านกับแม่ ไม่ต้องประกวดอะไรทั้งนั้น แล้วต่อไป…ไม่ต้องทำกิจกรรมอะไรพวกนี้อีกแล้วนะ บอกตรงๆ ว่าแม่ไม่ไว้ใจคนที่นี่แล้ว"

แม่ของกัปตันหันมาบอกลูกชายด้วยเสียงเข้ม สีหน้าของกัปตันดูไม่ค่อยดีนัก ผมพอดูออกว่าเขากลัวแม่พอสมควร ยิ่งเจอแม่บุกเข้ามาแบบนี้ แปลว่าแม่ต้องเอาจริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะยอมง่ายๆ

"ไปเหอะ ไปคุยกับแม่มึงก่อน เดี๋ยวกูรอที่คอนโด" ผมกระซิบบอกคนที่นั่งข้างๆ

สีหน้าของกัปตันดูเป็นกังวลมากทีเดียว กระนั้นเขาก็พยักหน้าตกลงช้าๆ ที่จริงคงไม่มีทางเลือกมากกว่า เมื่อแม่พูดแล้ว กัปตันคงเถียงไม่ได้

"เดี๋ยวตอนเย็นกูมานะเว้ย" กัปตันบอกเบาๆ

"เออ เดี๋ยวกูจะรอ" ผมบอก

แม่ของกัปตันเดินออกไปจากห้อง กัปตันจึงต้องรีบเข็นรถตามแม่ไป ทิ้งความสับสน มึนงงและกังวลใจไว้ให้คนที่อยู่ในห้อง

"เธอเห็นหรือยังสา" พี่ซินดี้หันไปต่อว่ารุ่นน้องที่ยังคงนั่งร้องไห้ ที่จริงคงอยากจะต่อว่ามากกว่านี้ แต่อะไรหลายอย่างไม่เอื้ออำนวย จึงได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าไปมา

ผมว่าพี่สาคงไม่ถูกลงโทษแค่ทำทัณฑ์บนแน่ๆ อาจจะถึงขั้นให้พักการเรียนด้วยซ้ำ ก็น่าเห็นใจเธอเหมือนกัน เพราะเธอเรียนปีสุดท้ายแล้ว แทนที่จะได้จบไวก็ต้องมาเสียเวลา แต่จะว่าไปมันก็สาสมสำหรับเธอแล้ว จะห่วงก็แต่ปาร์ตี้เท่านั้น ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เลยต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย ผมได้แต่หวังว่าโทษของเขาคงไม่หนักมาก

หลังสองแม่ลูกออกไปจากห้อง การประชุมก็จบลงไปโดยปริยาย ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ส่วนผมก็ว่าจะกลับบ้านแวะไปหาพ่อซะหน่อย ช่วงนี้ผมแทบไม่ได้ไปหาพ่อเลย ไหนๆ ไปแล้วก็ว่าจะกินข้าวเย็นกับพ่อสักมื้อ จากนั้นค่อยกลับมาที่คอนโด รอกัปตันกลับมา

ขณะที่ผมกับเพื่อนอีกสามคนกำลังเดินลงบันไดอาคารสำนักงานอธิการ พี่โดมก็วิ่งกระหืดกระหอบมาพอดี พอเห็นผม พี่โดมก็รีบเข้ามาถาม

"กัปตันล่ะอะตอม"

"กลับบ้านกับแม่ไปแล้วครับพี่ เมื่อกี้นี้เอง"

"จริงเหรอ" พี่โดมทำหน้ากังวล แต่ก็ไม่แสดงทีท่าว่าจะตามไป คงอยากให้คนในครอบครัวเขาคุยกันเองมากกว่า

"สงสัยกัปตันจะได้ไปเรียนที่อื่นแล้วล่ะพี่ เมื่อกี้...น้าเขาบอกว่าจะไม่ให้กัปตันเรียนที่นี่แล้ว" แบงค์พูด

"ก็คงงั้น" พี่โดมพึมพำ ผมเดาว่าพี่โดมน่าจะพอรู้เรื่องนี้บ้าง

"ตกลง…น้าเล็กไม่ให้กัปตันประกวดใช่ไหม" พี่โดมหันมาถามผม

"ครับพี่ ตอนแรก…พวกเราก็ตั้งใจจะให้กัปตันประกวดต่อนั่นแหละ แต่ตอนนี้…ผมว่าน่าจะยากแล้วล่ะ" ผมบอกด้วยสีหน้ากังวล

"พี่รู้" พี่โดมถอนหายใจ ก่อนทำหน้าครุ่นคิด มองหน้าผมเหมือนมีคำถาม ในที่สุดก็ตัดสินใจถามจนได้ "ถ้ากัปตันไปเรียนเมืองนอกกับน้องชาย อะตอมจะว่ายังไง"

ก่อนตอบ ผมหันไปมองหน้าเพื่อนๆ ซึ่งมองผมด้วยสายตาเห็นใจ ตอนนี้ทุกคนคงรู้หมดแล้วว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน แต่ก็น่าเสียดาย เพิ่งตกลงคบกันแท้ๆ แต่อีกไม่นานก็จะต้องมาจากกันไป ผมไม่เคยคิดเลยว่าเราจะต้องจากกันเร็วขนาดนี้ คิดแล้วก็น่าใจหาย

"แล้วผมจะว่าอะไรได้ล่ะพี่"



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:47:44 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เรื่องนี้ไม่ใชเรื่องเล็กๆ
ระดับพ่อแม่ตาสี ตาสา ที่จะปล่อยให้ผ่านไป
แบบอดกลั้น ไม่มีทางโต้ตอบ
แล้วแม่แบบกัปตัน เหอะๆ........
พี่สา ปีสี่แล้วนะ ทำอะไรไม่สมชั้นปี อายุ สมองเอาซะเลย

ก็ถ้ากัปตันไปเรียนเมืองนอก
อะตอมก็จะทำอะไรได้ล่ะนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :katai4: ฮ่วยยย แล้วไงต่อล่ะทีนี้

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP22 (Part 2)
เวลา...



<<<CAPTAIN>>>

"เทอมหน้า" แม่หยุดเว้นจังหวะ ท่าทางครุ่นคิดเหมือนกำลังตัดสินใจอย่างหนัก ไม่นานก็ถอนหายใจยาว "แม่จะให้กัปตันไปเรียนที่อเมริกากับลมหนุนนะลูก"

แม้ว่าผมจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินกับหู ผมก็อดที่จะตกใจไม่ได้ พอหันไปทางป๊า ผมก็เห็นป๊านิ่ง เวลาเกิดเรื่องนี้ทีไร ส่วนมากป๊ามักจะไม่กล้าขัด เพราะรู้ว่าแม่ผมมีปมในอดีตบางอย่าง พูดไม่ระวังอาจจะไปสะกิดแผลเก่าได้

"แม่ตัดสินใจแล้ว อยู่ไกลแม่อาจจะห่วงลูก แม่เป็นห่วงกัปตันแค่ไหนกัปตันก็คงรู้ แต่แม่...ไม่ยอมให้กัปตันมาเรียนกับคนที่เขาทำกับลูกของแม่แบบนี้หรอก แม่ทำใจไม่ได้"

แม่ร้องไห้อีกจนได้ ผมกับป๊าได้แต่มองหน้ากัน ผมรู้ว่าป๊าเข้าใจผม ป๊าต้องการให้ผมดูแลตัวเองได้ วันไหนที่ป๊ากับแม่ไม่อยู่แล้วจะได้หมดห่วง ป๊าจึงสอนให้ผมดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด แต่หลายๆ อย่างก็ยังติดที่แม่ ที่จริงหลังๆ มานี้แม่ก็เลิกจ้ำจี้จ้ำไชกับผมไปพอสมควร แต่เหตุการณ์นี้คงทำให้แม่ต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว

"แม่...ผมไม่เป็นไรแล้ว เพื่อนๆ ทุกคนก็อยู่ข้างผม อะตอมเขาก็ช่วยดูแลผม ก็มีแค่พี่เขาคนเดียวนั่นแหละที่เป็นแบบนั้น ตอนนี้...ผมก็ว่าเขาสำนึกผิดแล้วนะแม่" ใจจริงผมอยากจะบอกแม่ไปด้วยว่าไม่ต้องห่วงผม แต่คิดไปคิดมาก็เลือกที่จะยั้งปากไว้

"แล้วถ้ากัปตันเจออีกล่ะลูก ไม่รู้ล่ะ แม่ไม่ไว้ใจใครแล้ว ยังไงแม่ก็จะไม่ให้กัปตันเรียนที่นี่อีก" แม่ยืนยันทั้งน้ำตา

"ผมไม่อยากไปน่ะแม่" ผมตัดสินใจพูดสิ่งที่คิด ปกติผมจะไม่ค่อยกล้าขัดคำสั่งแม่หรอก แต่ครั้งนี้มีบางอย่างทำให้ผมต้องทำแบบนี้

"ทำไมล่ะลูก จะอยู่ให้เขาทำร้ายต่อไปทำไม กัปตันก็รู้ว่าคนในประเทศนี้เป็นยังไง ส่วนมากเขาก็คิดแบบนี้กันทั้งนั้น พี่โดมเล่าให้แม่ฟังว่า...กัปตันขึ้นตึกเรียนเองไม่ได้ ถ้าวันไหนอะตอมไม่อยู่ กัปตันก็ต้องรอเพื่อนมาช่วย บางทีเพื่อนก็เกี่ยงกัน แล้วแม่ก็รู้ด้วยว่าอะตอมเขาเคยไปคุยกับอธิการเรื่องทำทางลาดเพิ่มแล้ว แต่เขาก็ไม่สนใจ แล้วกัปตันจะทนเรียนที่นี่ให้มันลำบากทำไมล่ะลูก พวกเขาไม่เคยมองเห็นค่าของกัปตันเลย แม่ทนไม่ได้หรอกลูกที่เห็นเขาทำกับลูกแม่แบบนี้ แม่มีปัญญาหาที่ที่ดีกว่านี้ให้กัปตันเรียนได้ ไม่ต้องรงต้องเรียนมันแล้วที่นี่ ไปเรียนกับน้องนะลูก ลมหนุนเขาจะช่วยดูแลพี่ชายของเขาเอง"

ดูเหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่ ผมกับป๊ายิ่งต้องระวังมากขึ้น เพราะแม่อาจจะหวนรำลึกความผิดพลาดของตัวเองในอดีต คราวนี้จะยิ่งดราม่าไปกันใหญ่ เราจึงได้แต่นั่งมองหน้ากันและคิดในใจว่าจะเอายังไงดี

"กัปตัน...แม่ขอโทษนะลูก เพราะแม่เองแท้ๆ กัปตันถึงต้องมีชีวิตแบบนี้ เพราะแม่คนเดียว ถ้าแม่ไม่สะเพร่า กัปตันก็คงไม่เป็นแบบนี้ ไม่ต้องมาถูกใครเขารังแกเหยียดหยามแบบนี้ แม่ขอโทษนะลูก"

แม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาจนได้ จากนั้นก็ร้องไห้โฮจนป๊าต้องเข้าไปกอดปลอบใจ หลายปีมานี้แม่เลิกตัดพ้อต่อว่าตัวเองไปบ้างแล้ว แต่เหตุการณ์ในคลิปทำให้ความรู้สึกนั้นกำเริบขึ้นมาอีกจนได้

"แม่...เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว แม่เลิกโทษตัวเองเถอะนะแม่ ป๊าก็มีส่วนผิดเหมือนกัน แม่ไม่ได้ผิดคนเดียวหรอก อีกอย่าง...พวกเราทุกคนก็ให้ความรัก ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับกัปตันมาตลอด เราไม่เคยดูแลเขาหรือรักเขาน้อยกว่าใครเลยนะแม่ ลูกเขารู้ เขาไม่เคยโทษแม่หรอก ไม่มีใครโทษแม่สักคน" ป๊าพยายามปลอบใจ แต่แม่ก็ยังคงร้องไห้หนักอยู่ดี

"ป๊า...แม่สงสารลูกน่ะป๊า แม่จะทำยังไงดี แม่ไม่อยากให้ใครทำร้ายลูกแบบนี้เลยน่ะป๊า"

ได้ยินแม่พูดแบบนี้แล้ว ผมก็อดที่จะร้องไห้ไปด้วยไม่ได้ จึงเข็นรถไปหาแม่ที่โซฟา แม่คงรู้ว่าผมมาหา จึงเปลี่ยนมากอดผมแทน

"แม่ขอโทษนะลูก"

"ไม่เป็นไรครับแม่ ผมรักแม่นะครับ"

เราสองแม่ลูกกอดกันแน่น ต่างคนก็ต่างร้องไห้ จนกระทั่งต่างคนต่างค่อยๆ สงบกันไปเอง ไม่มีใครพูดถึงเรื่องจะให้ผมไปเรียนเมืองนอกอีกแล้ว ป๊าพาแม่ขึ้นไปนอน เพราะแม่เสียใจมากจนไม่อยู่ในสภาพจะพูดคุยอะไรได้ แม่เป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึงเรื่องเก่าๆ ทางที่ดีให้แม่สงบสติอารมณ์ก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยมาพูดคุยกันทีหลัง

ผมอยู่กินข้าวเย็นกับป๊าสองคนหลังจากนั้น กินเสร็จก็ขอตัวกลับคอนโดทันที ระหว่างทางก็โทรไปคุยกับพี่โดม ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านให้พี่โดมฟัง รวมทั้งแอบถามเรื่องบางอย่างที่ผมอยากรู้เกี่ยวกับอะตอมด้วย

เกือบๆ สี่ทุ่มผมก็มาถึงคอนโด ป่านนี้ที่งานประกวดคิวท์บอยคงจะรู้ผลกันหมดแล้วว่าใครได้ตำแหน่งอะไร แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผมหรอก ผมแค่เสียดายที่สุดท้ายก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเพื่อนๆ มากกว่า ผมคงต้องทำให้อะไรสักอย่างตอบแทนพี่ซินดี้กับเพื่อนๆ บ้างแล้ว เพราะทุกคนให้โอกาสและตั้งใจกับผมมาก

เมื่อขึ้นมาถึงห้อง ผมก็กดกริ่งเรียกเผื่อว่าอะตอมจะกลับมาแล้ว ไม่กี่อึดใจประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างสูงชะลูดยิ้มเผล่ต้อนรับ ช่วยให้จิตใจที่ไม่ปกติของผมดีขึ้นมาได้บ้าง

"มาถึงนานแล้วเหรอ" ผมถามเพราะรู้ว่าอะตอมเพิ่งแวะไปหาพ่อมา

"อืม ก่อนมึงมาถึงครึ่งชั่วโมง" อะตอมเดินนำผมเข้ามาในห้อง เขาใส่แค่บอกเซอร์ตัวเก่าๆ ตัวเดียว เปลือยท่อนบนอวดหุ่นแข็งแรงอย่างนายแบบ

"แล้วพ่อมึงเป็นไงบ้าง"

"ก็ดี" อะตอมพูดเหมือนไม่สนใจอะไรนัก

"ดียังไงวะ" ผมอดสงสัยไม่ได้

อะตอมนั่งลงบนโซฟา สายตาจับจ้องไปที่จอทีวีที่เปิดทิ้งไว้

"กูรำคาญเมียใหม่เขาว่ะ เรื่องเยอะชิบเป๋ง ก็เลยรีบกลับ" อะตอมบ่น ก่อนหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย แต่ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะอยากดูอะไรเป็นพิเศษ

ผมขำเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางเซ็งๆ ของอะตอม จากนั้นก็เข็นรถไปจ่อที่โซฟาและพาตัวขึ้นไปนั่งข้างๆ คนหน้าบึ้งๆ

"ยังไงวะ"

"ขี้เกียจเล่าว่ะ ช่างมันเหอะ ว่าแต่มึงเป็นไงมั่ง" อะตอมละสายตาจากจอทีวีมาหาผม

"ไม่รู้ว่ะ" ผมยิ้มแห้งๆ สักพักก็ถอนหายใจสั้นๆ แรงๆ "ถ้าเกิดว่า...กูต้องไปเรียนเมืองนอกจริงๆ มึงจะว่ายังไงวะ"

อะตอมดูไม่ตกใจกับคำถามของผมมากนัก แต่ก็พอสังเกตได้ว่าสีหน้าของเขาดูหม่นเศร้าลงเล็กน้อย "มึงก็ไปเหอะ เรียนเมกาก็ดีนะเว้ย ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสแบบมึง ใครๆ เขาก็อยากไปเรียนเมืองนอกกันทั้งนั้นแหละ โพรไฟล์ดีกว่า โอกาสทำงานก็เยอะกว่า มันดีสำหรับมึงมากๆ เลยนะเว้ยกัปตัน"

นี่ไม่ใช่คำตอบที่ผมคาดคิดมาก่อน ไม่คิดว่าอะตอมจะตอบผมมาแบบนี้ด้วยซ้ำ ผมจึงอดทึ่งไม่ได้

หลังจากได้ยินแม่พูดเรื่องหนึ่งเมื่อเย็นนี้ ก่อนมาผมก็เลยโทรถามพี่โดมเพิ่มเติม จึงได้ความว่าอะตอมไปคุยกับอธิการบดีเรื่องทำทางลาดเพิ่มในตึกเรียนให้ผมมาแล้ว แถมตอนนี้ยังพยายามจะสร้างชมรมยูดีขึ้นมาอีก พี่โดมและเพื่อนๆ ผมหลายคนก็ไปสมัครเป็นสมาชิกไว้แล้ว แต่ไม่มีใครบอกผมสักคน ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น อะตอมตั้งกองทุนขึ้นมาด้วย เอาเงินของตัวเองนั่นแหละเป็นเงินตั้งต้น เงินที่ได้จากค่าถ่ายแบบบางส่วนก็เอามาใส่ไว้ด้วย เพราะเขาตั้งใจจะหาเงินหนึ่งล้านมาทำทางลาดให้ผม

ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีใครสักคนกล้าทำอะไรแบบนี้ให้ผมถึงขนาดนี้

"มึงคิดอย่างงั้นเหรอ" ผมถามย้ำ

อะตอมพยักหน้า "เออ ถ้ากูเป็นมึง กูก็ไปนะเว้ย แต่ที่กูไม่ไปเพราะกูไม่มีปัญญาไปแค่นั้นแหละ" อะตอมพูดติดตลกตอนท้าย

ผมเขยิบตัวเข้ามาไกล้ จ้องหน้าอะตอมนิ่ง พลางก็นึกถึงเรื่องที่คุยกันที่อัฒจันทร์สนามกีฬาเมื่อช่วงบ่าย แน่นอนว่าเมื่อผมได้รู้เรื่องดีๆ ที่ผู้ชายคนหนึ่งพยายามทำให้ผม ผมคงจะไม่ลังเลที่จะมอบบางอย่างให้กับเขาหรอก ถ้าสิ่งที่ผมมีทำให้เขามีความสุขได้ ผมก็พร้อมที่จะให้

"มึงจำเรื่องที่เราคุยกันที่สนามกีฬาได้ไหม" ผมถามด้วยท่าทางเขินๆ

"เรื่องอะไรวะ" อะตอมทำหน้างงๆ จากนั้นก็ร้องอ๋อ "เออใช่ กูกับมึงตกลงเป็นแฟนกันแล้วนี่หว่า"

"เชี่ย มึงลืมเหรอวะ" ผมเผลอสบถ แต่ก็ไม่จริงจังนัก

อะตอมหัวเราะแหะๆ สีหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อย

"โห ลืมแฟนกันได้นะคนเรา เป็นแบบนี้ เดี๋ยวกูลืมมั่งดีกว่า" ผมแกล้งขู่

"โอ๋ ขอโทษๆ " อะตอมรีบเอามือมาลูบหัวผมเบาๆ "วันนี้มันเรื่องเยอะไง มีอะไรต้องคิดเยอะแยะไปหมด ก็เลยลืม อย่าโกรธกูนะ"

อะตอมอ้อนด้วยการกะพริบตาปริบๆ ให้ดูน่าสงสาร

"เออ ไม่โกรธหรอก มีแฟนน่ารักแบบนี้ ใครจะโกรธลงวะ" ผมก้มหน้าหลบอายๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะพูดแบบนี้กับผู้ชายที่ไหนได้

ดวงตาสุกใสของอะตอมลุกวาวๆ ตามันโตเท่าไข่ห่านเลยก็ว่าได้ "น่ารักแล้วรักไหมล่ะ"

"เชี่ยนี่ ก็กูตกลงเป็นแฟนมึงแล้วไง ยังจะมาถามอีก" ผมว่า

"เออ จริงด้วยว่ะ" อะตอมหัวเราะเขินๆ พลางเอามือเกาท้ายทอยไปด้วย

"จะไหวไหมเนี่ย เป็นแฟนด้วยไม่ทันข้ามวัน เสือกจะลืมกันซะแล้ว"

"กูไม่ชินนี่หว่า" อะตอมแก้ตัว จากนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม "เอ...ในเมื่อมึงกับกูเป็นแฟนกันแล้ว แสดงว่ากูกับมึงก็..."

"อยากทำอะไรก็ทำ" ผมทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้

"แล้วมึงรู้แล้วเหรอว่ากูอยากทำอะไร" อะตอมยิ้มจนตาหวานเยิ้ม

ผมซุกตัวเข้าหาอะตอมและซบหน้าลงบนไหล่แทนคำตอบ อะตอมกอดผมไว้หลวมๆ อย่างรักใคร่

"เขินแล้วน่ารักนะมึง"

พอถูกชม ผมก็ยิ่งซุกตัวแน่นขึ้น มือที่ปล่อยว่างๆ ก็เปลี่ยนมากอดอะตอมไว้

"อยากทำเมื่อไหร่ก็บอกนะเว้ย" ผมบอกเสียงอู้อี้

อะตอมขำเบาๆ ก่อนจะเอามือดันไหล่ผมออก เห็นสายตาของมันแล้วผมก็ยังเขิน จึงต้องก้มหลบบ้างเป็นบางครั้ง

"เรื่องแบบนี้ ใครเขาพูดตรงๆ กันวะ มันต้องมีศิลปะกันหน่อย"

"ศิลปะอะไรของมึงวะ กูไม่เคยนี่หว่า แล้วมึงจะให้กูทำยังไง"

"ก็ไม่ต้องทำอะไร อยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้แหละ พออารมณ์ได้ เดี๋ยวมันก็พาไปเอง ไม่ต้องพูดก็ได้"

"แล้วตอนนี้อารมณ์มันได้หรือยังล่ะ" ผมอยากรู้

อะตอมหัวเราะอีก ผมจึงประท้วง "อย่าหัวเราะดิวะ คนยิ่งเสียเซลฟ์อยู่นะเว้ย"

คราวนี้อะตอมจึงหยุดหัวเราะ สีหน้าของมันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจัง คาดว่าคงมีบางอย่างที่สำคัญ

"จริงๆ กูก็อยากทำนะเว้ย แต่พอวันนี้กูเห็นว่าแม่ของมึงเขารักมึงมากแค่ไหน กูบอกตรงๆ ว่ากูไม่กล้าว่ะ ถ้าเกิดว่าเขารู้ว่ากูกับมึงมีอะไรกัน เขาจะว่ากูเหมือนที่เขาว่าพี่สาหรือเปล่าวะ กูจนนะเว้ย ใครๆ เขาก็ต้องคิดว่ากูหวังจะมาปอกลอกมึงทั้งนั้นแหละ​"

"เออ กูรู้ว่ามึงยังมีเงินไม่เยอะ แต่ถ้าวันหนึ่งมึงเรียนจบ มึงก็หาเงินเยอะๆ ได้นะเว้ย อีกอย่าง...มึงจนเงินก็จริง แต่มึงไม่จนหัวใจ ไม่งั้น...มึงคงไม่คิดจะหาเงินล้านหนึ่งมาทำทางลาดให้กูหรอก จริงไหม"

อะตอมทำหน้าทึ่งๆ เมื่อรู้ว่าผมรู้เรื่องนี้ แต่มันก็ไม่พูดอะไร

"เอาเป็นว่า...กูพร้อมแล้ว พูดตรงๆ แบบนี้แหละ ถ้ามึงพร้อมเมื่อไหร่...ก็บอกกูละกัน" ขณะที่พูด ผมก็ไม่หลบสายตาไปไหน เพราะต้องการให้อะตอมรู้ว่าผมจริงใจกับสิ่งที่พูดมากแค่ไหน

แววตาของอะตอมดูซาบซึ้ง ที่จริงความรู้สึกของเราสองคนตอนนี้ก็พอๆ กันนั่นแหละ ต่างคนต่างซึ้งใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้

"กูรักมึงนะอะตอม" เมื่อความรู้สึกมันได้ที่ ผมก็พูดคำคำนี้ออกไปโดยอัตโนมัติ ไม่ผ่านการปรุงแต่งใดๆ ทั้งสิ้น มาจากความรู้สึกที่แท้จริงของผมล้วนๆ

จู่ๆ ร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน ผมเงยหน้าและไล่มองไปตามหุ่นสูงชะลูดอย่างงงๆ จะว่าไปอะตอมก็หุ่นดีมาก ผมชอบขายาวเรียวแต่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นพิเศษ ร่างสมชายแบบนี้สาวๆ ที่ไหนก็ถวิลหา ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมอบสิ่งนี้ให้ผมแทนสาวๆ ทั้งหลายที่มาติดพัน

อะตอมโน้มตัวลงมาพยุงผมลุกขึ้นยืน เพียงแค่สบตากันไม่นาน ผู้ชายที่แสนดีของผมก็ประกบปากลงมา ริมฝีปากของเราทักทายกันเบาๆ ด้วยการดูดดึงและลิ้มเลียตามขอบปากให้พอเสียวๆ

ไม่นานจูบของเราก็หนักหน่วงขึ้น แรงบดบี้ทำเอาผมเสียวสะท้านจนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนตัวเองจะทรุดลงไปกองที่พื้นได้ทุกเมื่อ ดีที่ได้แรงกอดพยุงจากอะตอมช่วยไว้ ไม่งั้นคงหล่นไปกองที่พื้นจริงๆ

จูบนี้อบอุ่นเหลือเกิน ผมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามแรงปรารถนาที่ลุกโชนอย่างเต็มที่ แค่ได้ยินเสียงหอบหายใจของผมก็คงจะรู้ว่าผมรู้สึกกับจูบนี้มากแค่ไหน ที่ผ่านมาผมอาจจะกังวลและแอบต่อต้านลึกๆ แต่ครั้งนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปจนหมดสิ้นแล้ว

แก่นกายของเราเบียดกันไปมาจนแข็งตึงแน่นอยู่ภายในร่มผ้า ถ้าแข็งไปกว่านี้คงจะทะลุเนื้อผ้าออกมาจนได้ หลังจากที่ผ่านเรื่องน่าปวดหัวมาทั้งวันแล้ว คืนนี้เราสองคนคงจะได้ปลดปล่อยเพื่อให้ความสุขแก่กันตามประสาคนรัก เอ...แต่จะว่าไปผมก็ตื่นเต้นเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย

อะตอมหยุดจูบแล้วอุ้มผมลงนอนบนโซฟา เขาตามมาทาบทับตัวผมไว้ทันที สายตาของเขาจับจ้องมองริมฝีปากของผมที่ถูกจูบจนแดงห้อด้วยความหลงใหล อีกไม่นานก็คงจะทำให้แดงยิ่งกว่านี้

"กูรักมึงนะกัปตัน"

สิ้นคำพูด อะตอมก็ระดมจูบผมอีกครั้ง คราวนี้นานกว่าเมื่อกี้ซะอีก แถมมือของมันก็ยังไม่อยู่สุข คอยลูบไล้ไปทั่ว เล่นซุกซนจับนั่นจับนี่ ผมก็เลยไม่ยอมแพ้ ซุกซนแข่งกับมันบ้าง แต่พอผมจับแก่นกายที่แข็งปานหินของมันและขยำขึ้นๆ ลงๆ สักพัก อะตอมก็หยุดจูบผมและร้องครางด้วยความเสียว

"อาห์..."

สายตาของอะตอมมองผมเหมือนราชสีห์เห็นเหยื่ออันโอชะ เขาพร้อมขย้ำเหยื่อกินให้สมความหิวโหยได้ทุกเมื่อ ผมก็เต็มใจจะให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ อะตอมก็จับมือซุกซนของผมไว้ ไม่นานก็ดึงออกไปจากตรงนั้นอย่างช้าๆ

"กูยังทำไม่ได้ว่ะกัปตัน เมื่อกี้...หน้าแม่มึงลอยมาเต็มๆ เลยว่ะ"

แป่ว!

เฮ้อ...

​ผมเผลอถอนหายใจด้วยความเสียดายโดยไม่รู้ตัว จะมีอะไรที่น่าเซ็งกว่านี้อีกไหมเนี่ย

แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วผมก็เข้าใจสิ่งที่อะตอมคิด อะตอมรู้ว่าแม่หวงผมมาก ถ้าเกิดแม่รู้ว่าผมกับอะตอมทำอะไรกันแบบนี้ แม่คงไม่พอใจแน่ๆ เผลอๆ อาจจะให้เลิกคบกันด้วยซ้ำ

ก็สมควรที่อะตอมจะกังวลอยู่หรอก เพราะถ้าถลำไปแล้วจะเอากลับมาไม่ได้ ที่น่ากลัวมากกว่านั้นก็คือ อะตอมจะไม่มีวันเข้าหาแม่ผมได้อีกเลยทั้งชีวิต เพราะฉะนั้นเขาคงต้องทำตัวดีๆ และหักห้ามใจพอสมควร

"กูไม่สบายใจว่ะกัปตัน" อะตอมยอมรับตามตรง สิ่งที่มันพูดตรงกับสิ่งที่ผมคิดพอดี

"แล้วเราจะทำไงกันดีวะ" ผมครุ่นคิด อะตอมก็พยายามคิดหาทางออกไปด้วย ครู่หนึ่งก็เปรยขึ้นมา

"ก็มีทางเดียวนั่นแหละ"

"ทำไงวะ"

"เวลาที่เหลืออยู่ กูก็ต้องทำให้แม่มึงยอมรับกูในฐานะที่เป็นแฟนมึงให้ได้สิวะ แม่มึงหวงลูกชายขนาดนี้ ถ้ากูทำไม่ถูก เขาเอากูตาย อีกอย่าง...กูไม่อยากเสียมึงไปเพราะเรื่องนี้ มึงเข้าใจกูนะเว้ยกัปตัน"

"เออ" ผมรับคำแล้วก็ค่อยๆ ยิ้ม นึกขำมันเหมือนกัน

"แต่ถึงกูจะยังไม่ทำอะไรมึง มึงก็เป็นแฟนกูนะเว้ย แล้วกูก็รักมึงด้วย อย่าน้อยใจนะเว้ย" อะตอมพยายามปลอบใจผม

"น่ารักอ้ะ" ผมพูดพลางเอามือบีบแก้มอะตอมเล่นเบาๆ

"ก็น่ารักเฉพาะกับคนที่กูอยากให้เขารักกูเท่านั้นแหละ"

ผมอดขำเบาๆ ไม่ได้ แม้อารมณ์ปั่นป่วนเมื่อกี้จะหายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังเหลืออารมณ์รักและเอ็นดู

"มึงไม่ต้องห่วงหรอก แม่กูน่ะ...ถ้ากูรักใครเขาก็รักด้วยเว้ย"

อะตอมพยักหน้าเข้าใจ แววตาดูมีความหวังมากขึ้น "งั้น...ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ กูไปบ้านมึงบ่อยๆ ดีไหม"

เมื่อเห็นผมทำสายตามีคำถาม อะตอมก็รีบเฉลย

"อ้าว ก็ไปเอาใจว่าที่แม่ยายของกูไง"

เราสองคนขำพร้อมๆ กัน แม้จะดูเหมือนอารมณ์ดี แต่ลึกๆ เราก็กลัวการจากกันไม่น้อยเลย

ถ้านับจากวันนี้ไป เราสองคนเหลือเวลาพิสูจน์รักให้ป๊ากับแม่เห็นเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ผมยังไม่กล้านึกหรอกว่ามันจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าความรักของเรามาจากความปรารถนาของหัวใจที่แท้จริง มันก็น่าจะมีหนทางให้พิสูจน์จนได้นั่นแหละ

"กูจะทำให้ได้นะเว้ย เพราะกูอยาก..." อะตอมยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย

"เออ กูเชื่อว่ามึงทำได้ กูจะช่วยมึงเต็มที่เลย เพราะกูก็อยาก..."

ผมยักคิ้วและยิ้มกรุ้มกริ่มใส่อะตอมบ้าง ตอนนี้ไม่รู้ว่าความอายหายไปไหนหมด สงสัยจะอยากจนหน้ามืดตามัวไปแล้วก็ได้ จะไม่ให้ผมรู้สึกแบบนี้ได้ยังไงล่ะ เพราะเมื่อกี้อะตอมทำผมอารมณ์ค้างเต็มๆ เลย

อะตอมนะอะตอม ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ยังมานึกถึงหน้าแม่ผมซะได้!



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:48:10 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ชอบบรรยากาศตอนสองคนนี้อยู่ด้วยกันจัง  :L2:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
อัปเดตพาร์ท 2 แล้วนะครับ

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เอ้อออ เอาสิ อ่านกันคิ้วขมวดมา 2 ตอนปิดท้ายตอนซะมุ้งมิ้งกันเลย ฮาตรงหน้าแม่ลอยมานี่แหละ จะมีกี่คนที่อยากจะได้ลูกเขาแต่นึกถึงครอบครัวเขาด้วยเนี่ย อยากขออะตอมใส่กล่องกลับบ้านเลย 555  อยากเห็นบทสรุปความคิดดำมืดแล้วละ ปี 4 แล้วเนอะคนนั้น (ไม่น่าเชื่อ) อธิการบดีผู้ไม่รับรู้สิ่งใด ปัดไปไกลตัวเท่าไหร่ได้ยิ่งดีจะดำเนินการอย่างไรกับตัวเองและปัญหานี้ รอติดตาม

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด