♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)  (อ่าน 92614 ครั้ง)

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP29: 2-3/3
ความจริงที่ยากจะรับได้




อะตอมไม่สบายซะแล้ว ผมรู้ตอนที่เข็นรถมาปลุกให้มันตื่นไปอาบน้ำ แต่อะตอมลุกไม่ขึ้น ท่าทางดูอ่อนระโหยโรยแรง

"กูไม่สบายว่ะ มึงไปก่อนเหอะ ฝากบอกอาจารย์ให้ด้วยนะเว้ย"

เสียงแหบแห้งขนาดนี้น่าจะไม่สบายหนักเลย ผมจึงเข็นรถเข้าไปใกล้ เอามือแตะหน้าผาก ปรากฏว่าอะตอมตัวร้อนจี๋เลย

"ตัวร้อนมากเลย ไปหาหมอไหม"

"ไม่ไป เป็นไข้หวัดเฉยๆ กินยาก็หายแล้ว" อะตอมหยีตา คงเป็นเพราะแสงอาทิตย์จากผ้าม่านที่ส่องเข้ามา

ผมเข็นรถไปรูดม่านปิดวิวเมืองจากชั้นยี่สิบกว่าเอาไว้ตามเดิม จากนั้นก็เข็นกลับมาหาอะตอม

"เดี๋ยวกูทำข้าวต้มให้มึงกินนะ จะได้กินยา เสร็จแล้วกูจะเช็ดตัวให้ จะได้นอนสบายๆ "

อะตอมไม่ตอบว่าอะไร ป่วยขนาดนี้มันคงไม่มีแรงลุกมาทำอะไรเองหรอก ก็เลยปล่อยให้ผมทำให้ แม้ว่าจะเกรงใจก็ตาม แต่ผมก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะผมอยากดูแลมันบ้าง เพราะผมมีเวลาเหลืออยู่ใกล้ๆ กับมันอีกไม่นานแล้ว

ผมเข็นมาส่วนที่เป็นครัว เปิดดูในตู้เก็บของก็มีโจ๊กสำเร็จรูปเก็บไว้อยู่จำนวนหนึ่ง ในตู้เย็นมีกุ้งแช่แข็งแกะเปลือกไว้แล้วหนึ่งถุง มีผักชีหัวหอมเหลืออยู่บ้าง อะตอมซื้อมาไว้ทำกับข้าวกิน จึงพอมีวัตถุดิบให้พอทำข้าวต้มได้อยู่ สิ่งที่ผมต้องทำก็คือต้มโจ๊กในหม้อ ใส่กุ้ง จากนั้นก็หั่นผักชีกับต้นหอมใส่ ปรุงรสอีกนิดหน่อยก็น่าจะกินได้แล้ว

ไม่นานผมก็ได้โจ๊กหอมฉุยน่ากินพร้อมสำหรับเสิร์ฟ ผมวางชามโจ๊กบนถาดรอง จากนั้นจึงเอามาวางบนตัก ก่อนเข็นเอาไปให้อะตอมถึงห้องนอน มาถึงก็วางไว้บนโต๊ะหัวเตียง อะตอมพยายามลืมตาขึ้นมามอง พอได้กลิ่นอาหารก็เลยพยายามลุกขึ้นนั่ง

"ให้กูป้อนไหม" ผมอาสา

"แล้วมึงไม่ไปเรียนเหรอ วันนี้มีเรียนเช้านะเว้ย ใกล้เวลาเรียนแล้ว มึงไปเหอะ เดี๋ยวกูจัดการเอง"

"มึงไม่สบายแบบนี้ จะให้กูไปเรียนได้ไงวะ เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนมึง" ผมยิ้มบางๆ ให้

"เอางั้นเหรอ"

"เออ"

ผมถ่ายตัวขึ้นไปนั่งบนเตียง อะตอมเขยิบที่ให้เล็กน้อย จากนั้นผมก็ใช้ช้อนตักโจ๊กร้อนๆ ขึ้นมาเป่า หายร้อนก็ส่งเข้าปากอะตอมไป ถึงจะเป็นโจ๊กสำเร็จรูป แต่พอเพิ่มผักสดและกุ้งเข้าไปมันก็อร่อยพอกินได้ อะตอมเคี้ยวกินตุ้ยๆ ไม่รู้ว่าอร่อยหรือเปล่า แต่ก็ไม่เห็นมันว่าอะไร

"ทำงานหนักขนาดนี้ก็ป่วยสิวะมึง" ผมพูดด้วยเสียงเรียบๆ เจตนาเพียงแค่ชวนคุยพอไม่ให้เงียบเท่านั้น อะตอมทำหน้ายิ้มๆ ผมก็เลยพูดต่อ "สองสามวันนี้มึงพักให้เต็มที่ละกันนะ งานชมรมของมึง เดี๋ยวกูประสานงานให้เอง อ้อ ช่วงนี้ก็งดขับอูเบอร์ชั่วคราวด้วยนะ"

จะไม่ให้ป่วยได้ยังไง กลางวันก็เรียน ช่วงพักก็ประสานงานชมรม ตกเย็นก็ออกไปขับอูเบอร์ แต่ถ้ามีงานก็จะไปทำงาน บางทีเลิกงานแล้วก็ขับอูเบอร์ต่อ กว่าจะกลับถึงบ้านก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว เงินที่ได้มาจากการขับอูเบอร์กับถ่ายแบบ อะตอมจะแบ่งสามสิบเปอร์เซ็นต์เข้าโครงการ ดูมันทุ่มเทและตั้งใจมากทีเดียว

"ครับผม" อะตอมยิ้มให้ แต่ก็ยังพอเห็นร่องรอยความเศร้าในแววตาอยู่บ้าง คงจะเป็นเพราะเรื่องน้องสาวของมันเมื่อคืนที่ผ่านมานั่นเอง

อะตอมหนออะตอม ทำไมชีวิตถึงได้เจอเรื่องราวแย่ๆ เยอะเหลือเกิน

"อร่อยไหมเนี่ย ไม่เห็นพูดอะไรเลย" ผมเปลี่ยนเรื่อง

"ก็พอกินได้ แค่มึงทำให้กูก็ดีใจแย่แล้ว แล้วมึงกินหรือยัง"

"กินแล้ว โปรตีนกับบอดี้คีย์พลัสนั่นแหละ"

ตอนเช้าๆ ผมไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอาหารการกินหรอก เพราะแม่ผมจัดการซื้อโปรตีนและอาหารเสริมสำหรับทดแทนมื้ออาหารมาไว้ให้ไม่เคยขาด ผมกินมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยกินแบบนี้มาตลอด ผิวพรรณผมถึงดี

"เดือนนี้กูว่ามึงใช้เงินเยอะเหมือนกันนะเว้ย ค่าห้องเดือนนี้ ถ้ามึงยังไม่สะดวกก็เอาไว้ก่อนก็ได้" ผมเสนอ

อะตอมส่ายหน้าทันที "ไม่ได้ กูไม่อยากเป็นหนี้"

ดูเหมือนอะตอมจะกลัวการเป็นหนี้มาก เพราะเคยทำงานใช้หนี้ให้พ่อมาก่อน กว่าจะหมดหนี้มันต้องทำงานตั้งหลายเดือน ตั้งแต่นั้นมันก็เลยออกปากบังคับพ่อว่าไม่ให้ไปยืมเงินใครอีก ฟังจากที่อะตอมเล่าแล้ว พ่อของมันดูเหมือนจะสร้างปัญหาให้ลูกไม่น้อยเลย ผมอดคิดไม่ได้ว่าพ่อของมันเป็นคนไม่เอาไหนเลย น่าแปลกที่อะตอมนิสัยไม่เหมือนพ่อแม้แต่นิดเดียว​

แล้วมันเหมือนใครล่ะ อาจจะเป็นแม่ของมันก็ได้

"งั้น...ให้กูบริจาคค่าห้องมึงเดือนนี้เข้าชมรมนะ" ผมขออนุญาต แต่อะตอมก็ยังทำสีหน้าลังเล

"โทรศัพท์มึงก็ได้มาหลายหมื่นแล้ว กูเกรงใจ"

"แต่ว่ากูอยากช่วยอีกน่ะ คอปเตอร์กับอินก็เล่นดนตรีเป็น น้ำหวานกับแบงค์ก็ช่วยทำเว็บให้ กวินก็ช่วยออกแบบ ปาร์ตี้ก็ช่วยซ้อมเต้น ของกูยังไม่มีอะไรเลย ให้กูช่วยนะ" ผมอ้อนวอนและทำตาปริบๆ ไม่นานอะตอมก็ตกลง

"เออ ตามใจเว้ย"

ผมยิ้มดีใจ จากนั้นก็ป้อนข้าวอะตอมต่ออีกพักใหญ่ ก่อนข้าวจะหมดผมก็เล่าให้มันฟังว่าวันนี้ผมจะทำอะไรบ้าง

"เดี๋ยววันนี้กูตามงานชมรมให้มึงเอง กูอยู่ในไลน์กลุ่มแล้ว เดี๋ยวกูจะตามงานกราฟิตตี้วอลล์กับรุ่นพี่ให้ ตามเรื่องขอใช้สถานที่ ตามเรื่องขอสนับสนุนทุนจากบริษัท อะไรอีกนะ อ้อ ตามงานของปาร์ตี้ ตามงานของกวิน ตามงานของน้ำหวานกับแบงค์ แล้วก็...ปรึกษากับอาจารย์วิวเรื่องเนื้อหาการจัดงาน ตามเรื่องรายได้ล่าสุด กูว่าตอนนี้น่าจะได้สักสามแสนแล้วนะ แล้วก็ตามเรื่องเชิญเซเลบมาถ่ายรูปกับกราฟิตตี้วอลล์ จะให้กูตามอะไรให้อีกบอกมาเลยนะเว้ย อ้อ ตามพี่โป้งมาช่วยทำคลิปนำเสนอโครงการด้วย เกือบลืม" ผมหัวเราะแหะๆ ช่วงท้าย

ที่จริงยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะทำด้วยแต่ไม่บอกอะตอม ผมจะโทรไปเล่าเรื่องอะตอมให้ป๊ากับแม่ฟัง ถึงยังไม่ได้คะแนนความมั่นใจ แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้คะแนนความสงสารไว้ก่อน เผลอๆ เย็นนี้ป๊ากับแม่อาจมาเยี่ยมอะตอมก็ได้

"จะทำไหวไหมเนี่ย" อะตอมทำหน้าทึ่งๆ

"ไหวดิ มึงยังทำไหวเลย"

"อย่าหักโหมละกัน เดี๋ยวจะป่วยอีกคน" อะตอมเตือน

"เออ ไม่หักโหมหรอกน่า กูแข็งแรงนะเว้ยจะบอกให้" ผมโว ก่อนหัวเราะเบาๆ

เสร็จจากป้อนข้าว ผมก็หายามาให้อะตอมกิน ก่อนปิดท้ายด้วยการเช็ดตัวให้ อะตอมนอนนิ่งๆ ให้ผมเช็ดตัวให้อย่างว่าง่าย ช่วงที่ผมกำลังเช็ดขาให้ อะตอมก็เรียก

"กัปตัน"

"หืม" ผมหยุดและหันไปมอง

อะตอมยังไม่พูดทันที ทำท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง จนกระทั่งคิดจนพอใจถึงได้พูด

"กูอยากมีเงินสักสิบล้านว่ะ"

ผมย่นคิ้วเข้าหากันทันที "ทำไม จะเอาเงินไปทำอะไรตั้งเยอะแยะ"

"กูอยากไปเรียนเมืองนอกกับมึงไง"

พออะตอมเฉลย ผมก็รู้สึกสะท้อนใจไม่น้อย พูดอะไรไม่ออกเลย จุกในคอหอยไปหมด ผมจึงได้แต่เงียบและก้มหน้าก้มตาเช็ดตัวต่อ จนกระทั่งถึงตอนเช็ดหลัง ผมให้อะตอมลุกขึ้นนั่ง เพื่อให้เช็ดได้สะดวก แต่ขณะที่ผมกำลังเช็ดอยู่ อะตอมก็กอดผม ผมก็เลยต้องหยุดเช็ดโดยปริยาย

"กูไม่มีใครแล้ว กูเหลือแต่มึง มึงไม่ไปได้หรือเปล่าวะกัปตัน กูไม่รู้จะหาเงินเยอะขนาดนั้นมาจากไหน กูคงตามมึงไปไม่ได้ แต่กูก็ไม่อยากกลับไปมีชีวิตเหมือนเดิมเลย กูอยากมีมึงอยู่ใกล้ๆ กูแบบนี้ ไม่มีใครทำให้กูรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนเวลาที่กูอยู่กับมึงเลยนะเว้ย"

ฟังจบแล้วผมก็แทบจะน้ำตาร่วง เท่าที่ผมรู้จักอะตอมมา เขาไม่เคยขอร้องอ้อนวอนใครแบบนี้เลย แต่ผมก็จนใจที่จะช่วย ยังไงผมก็ต้องไป จะให้ผมพูดกลับไปกลับมากับแม่คงไม่ได้ เพราะตอนนี้ติดต่อและทำเรื่องกับมหาลัยที่จะไปเรียนไว้แล้ว

"ถ้ากูเลือกได้ กูก็ไม่อยากไปหรอก มึงก็รู้ กูตกลงกับแม่ไปแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงนะเว้ย อยู่ไกลแค่ไหนเราก็คุยกันได้ วิดีโอคอลล์ก็ได้ คุยกันทุกวันก็ยังได้เลย กูไม่ปล่อยให้มึงเหงาหรอก" ผมพยายามปลอบใจ แต่ก็รู้แก่ใจว่ามันไม่เหมือนกัน

"พี่กัปตันอย่าทิ้งผมนะ ผมไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว โดยเฉพาะ...พี่กัปตันของผม"

เจอคำพูดแบบนี้เข้าไป ผมก็ร้องไห้จนได้ ปกติอะตอมจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แต่ตอนนี้เขากลับอ้อนวอนผมเหมือนเด็กๆ เล่นเอาผมปรับอารมณ์ไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกสะท้อนใจและสงสารใครเท่านี้มาก่อนเลย

"พี่ไม่ทิ้งอะตอมหรอก พี่รักอะตอมนะ รักหมดหัวใจของพี่แล้ว" ผมกอดอะตอมแน่นขึ้น พลางก็ลูบหลังปลอบใจไปด้วย ตัวมันร้อนพอสมควรแม้จะเช็ดตัวไปแล้วก็ตาม

ไม่นานอะตอมก็เริ่มสงบ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างช้าๆ ผมจึงลงจากเตียง เตรียมเอาชามใส่น้ำและข้าวของไปเก็บให้เรียบร้อย ผมเอาของวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อน จากนั้นก็ช่วยห่มผ้าให้อะตอม ลูบหน้าผากให้มันเบาๆ

"พักผ่อนเยอะๆ นะ เดี๋ยวกูจะทำงานให้"

อะตอมพยักหน้าเบาๆ

"ตอนเย็นป๊ากับแม่กูจะมาเยี่ยมนะ" ผมบอกทั้งที่ยังไม่ได้โทรบอกทั้งสองคน แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าป๊ากับแม่จะมาแน่นอน

อะตอมพยักหน้าอีกครั้ง แต่แววตาของมันยังดูเศร้าเหลือเกิน เห็นแล้วก็อดสงสารแทบไม่ไหว แต่ผมจะช่วยอะตอมยังไงดี ผมไม่อยากทิ้งมันไปเลย ยิ่งเห็นมันเจอเรื่องราวแย่ๆ แบบนี้ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งทำใจลำบาก ถ้าจะไม่ไปจริงๆ ผมก็เชื่อว่าพอมีทางทำได้ แต่มันหมายถึงผมต้องยอมเสียคำพูดกับแม่

แล้วมันจะมีวิธีที่ดีกว่านี้หรือเปล่า?




เมื่ออีกฝ่ายส่งข้อความว่ามาถึงแล้ว ผมก็พาร่างโงนเงนและสะลึมสะลือของตัวเองลงจากเตียง หวีผมเผ้าให้พอดูได้ เปลี่ยนกางเกงและเสื้อที่มักใส่เป็นประจำเวลาไม่ได้ไปไหน เหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้องก็เห็นว่าบ่ายโมงกว่าแล้ว ผมนอนหลับเป็นตายเลย เพิ่งจะมาตื่นเมื่อใครบางคนโทรหาตอนเที่ยงๆ นี่แหละ ที่จริงมีคนโทรและส่งข้อความผ่านช่องทางต่างๆ มาหาเยอะกว่านั้น แต่ผมเพิ่งจะตื่นมาได้ยินเสียงเมื่อไม่นานนี้ ก็เลยตื่นไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะกลับมานอนต่อระหว่างรอ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมก็หยิบคีย์การ์ดและออกไปจากห้อง ใช้เวลาไม่นานก็ลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง ใครบางคนนั่งรออยู่แล้ว พอเห็นผมเขาก็เดินมาหา ผมรีบขอโทษขอโพยเป็นอันดับแรก

"โทษทีพี่ รอนานหรือเปล่าครับ"

"ไม่นาน" ร่างสูงตอบ หน้าเข้มๆ มองเหมือนจะหาสิ่งจับผิด

"พี่กินข้าวมาหรือยัง"

"กินแล้ว แล้วอินล่ะ"

"ยังไม่ได้กินไรเลย" ผมยิ้มแหยๆ

ร่างสูงส่ายหน้า พลันก็ส่งของในมือให้ "ซื้อมาฝาก"

ของที่ส่งมาให้น่าจะเป็นของกินได้ ผมรับแล้วกล่าวขอบคุณ "ขอบคุณครับพี่ พี่โดมจะขึ้นไปบนห้องผมเลยไหมครับ"

พี่โดมพยักหน้า ผมจึงเดินนำชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเข้าไปยังพื้นที่ด้านในซึ่งคนนอกเข้าไม่ได้ ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงห้อง พี่โดมเคยมาห้องผมแล้ว จึงพอคุ้นเคยอยู่บ้าง ผมบอกให้พี่โดมนั่งที่โซฟา ส่วนผมเอาอาหารไปจัดการ มันเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อนั่นเอง นอกจากน้ำพริกแล้ว อีกอย่างที่ผมชอบกินก็ก๊วยเตี๋ยวเนื้อนี่แหละ ผมแกะใส่ชามแล้วก็ยกมานั่งกินที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ขนาดสองที่นั่ง

"กินข้าวเสร็จแล้ว พี่มีอะไรจะคุยด้วยนะ" พี่โดมหันมาบอก พลางก็หันกลับไปเล่นมือถือต่อ

"ครับพี่" ผมหันไปตอบ

ผมใช้เวลาไม่นานก็จัดการความหิวของตัวเองให้สิ้นฤทธิ์ ก่อนจะรีบเดินมาหาพี่โดมและนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พี่โดมหยุดเล่นมือถือ เหยียดหลังตรง มองผมด้วยสายตาเหมือนตอนที่เจอกันตรงลอบบี้เมื่อกี้

"ทำไมเมื่อเช้าไม่ไปเรียน"

นั่นไง ถามจนได้ แต่ครั้นจะตอบตรงๆ ผมก็ไม่กล้าตอบ

"เมื่อคืนไปทำอะไรมา พี่หมายถึง...หลังกลับจากเล่นดนตรีแล้ว" พี่โดมถามต่อ

"เอ่อ..." ผมอ้ำอึ้ง

"มีปัญหาอะไรอีกล่ะ" เสียงพี่โดมเริ่มดุ ทำเอาผมกลัวขึ้นมาหน่อยๆ

"ผม...แค่อยากสังสรรค์นิดหน่อยน่ะพี่ พอดีรู้สึกเครียดๆ" ในที่สุดผมก็หาคำตอบที่พอฟังได้จนได้

"เครียดเหรอ เครียดเรื่องอะไร"

"เรื่อง..."

"เรื่องพี่เหรอ"

เมื่อพี่โดมบอกซะเอง ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธ จึงพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงยอมรับ เชื่อได้เลยว่าพี่โดมต้องตำหนิผมแน่ๆ เพราะเมื่อคืนผมไปเที่ยวผับอีกแล้ว หลังจากที่หยุดเที่ยวมาได้เป็นเดือน

"เรื่องพี่เอาไว้ก่อนละกัน แต่ที่พี่จะบอกอินก็คือ พี่รู้สึกผิดหวังนะ ตกลงอินตั้งใจจะกลับเนื้อกลับตัวจริงหรือเปล่า น้าพงศ์บอกไว้ว่าไง จำได้ไหม เป็นคนรับปากเองไม่ใช่เหรอว่าจะทำให้ได้ ยังไม่ถึงเดือนเลย ตบะแตกซะแล้ว แล้วทีนี้ใครเขาจะเชื่อถือล่ะ อย่าลืมสิว่าตัวเองยังมีคดีอะไรอยู่"

เมื่อถูกต่อว่าแบบนี้ ผมก็ชักจะเคืองเหมือนกัน ถึงจะรู้ว่าตัวเองทำผิดก็เถอะ ผมก็เลยเถียง

"แค่ครั้งเดียวเอง"

"ครั้งเดียวเองเหรอ" พี่โดมย้อนถาม ก่อนแค่นหัวเราะ "อะไรที่จะทำให้คนอื่นไม่เชื่อใจน่ะ ต่อให้ทำแค่ครั้งเดียว แต่มันก็ทำให้ทุกอย่างที่อินทำมาหมดความน่าเชื่อถือแล้ว จะทำอะไรต้องคิดให้ดีๆ ก่อนนะอิน"

"แล้วพี่โดมมาบอกผมทำไม ผมกับพี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย!" ผมชักโมโห ถึงจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไง แต่เมื่อทำไม่มากพอ นิสัยเดิมๆ ก็ยังแผลงฤทธิ์ได้

พี่โดมชะงัก มองผมนิ่ง จากที่ผิดหวังในตัวผมอยู่แล้วก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นไปอีก ผมเห็นสายตาแบบนั้นแล้วก็ใจหาย ที่พูดไปเมื่อกี้คงกระทบใจอีกฝ่ายไม่น้อย ไม่นานก็แค่นหัวเราะอีก

"โอเค กูเสือกเรื่องของมึงเอง ถ้างั้น...กูก็ไม่มีอะไรจะคุยกับมึงละ"

พูดจบพี่โดมก็ลุกขึ้น พลันก็เดินตรงไปยังประตู ผมใจหายวาบ รีบวิ่งไปขวางประตูไว้ทันที

"พี่โดมเดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ผมขอโทษ" ผมยกมือไหว้ เอาหลังพิงประตูไว้ เมื่อคิดได้แล้วก็รู้สึกผิด

"จะออกหรือไม่ออก" พี่โดมขู่เสียงดุ หน้าก็ดุมากด้วย

"ไม่ออก พี่โดมฟังผมก่อนดิ"

"กูไม่อยากเสือกเรื่องของมึงแล้ว เก่งนักมึงก็แก้ปัญหาของมึงเอาเองละกัน ออก!" พี่โดมเสียงดังตอนท้าย เล่นเอาผมสะดุ้งตกใจ

"ผมไม่ได้อยากเหลวไหลนะพี่ ผมแค่น้อยใจพี่โดมเฉยๆ ทำไมล่ะพี่ พี่รู้สึกดีกับผมไม่ใช่เหรอ พี่เป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าผมไม่มีความหมายกับพี่โดม พี่โดมก็ไม่มาหาคนอย่างผมหรอก แล้วทำไมอยู่ดีๆ พี่โดมก็มาบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับผมล่ะ พี่โดมไม่คิดบ้างเหรอว่าผมจะรู้สึกยังไง"

ในที่สุดผมก็พูดออกมาจนได้ เพราะถ้าไม่พูดพี่โดมอาจจะไปจากผมและไม่กลับมาอีกเลย พี่โดมนิ่งอึ้ง ถือว่าเป็นจังหวะดีที่ผมจะรุกต่อ

"ถ้าพี่โดมไม่รู้สึกอะไรกับผม พี่จะมาให้ความหวังผมทำไม ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่ทีแรก ไม่ใช่มาให้ความหวังผมแบบนี้ แต่สุดท้ายก็มาบอกว่าไม่ได้คิดอะไร ผมเสียใจนะพี่ คนนิสัยไม่ดีอย่างผมก็เจ็บเป็นนะเว้ย" ผมตัดพ้อ ความรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ค่อยๆ แรงกล้าขึ้น

"พี่เงียบทำไมล่ะ บอกผมมาสิว่าพี่จะเอายังไง!" ผมคาดคั้นต่อ ยิ่งพี่โดมเงียบผมก็ยิ่งกดดันตัวเอง เมื่อพี่โดมยังไม่ตอบ ผมจึงถามด้วยน้ำเสียงที่กร้าวขึ้น

"ผมยังมีความหมายกับพี่อยู่หรือเปล่า!"

ยังไม่ตอบใช่ไหม งั้นผมจูบเลยละกัน!

ผมใช้สองมือดึงศีรษะพี่โดมเข้ามาหา จากนั้นก็บดขยี้จูบลงไปอย่างหนักหน่วง แต่ไม่นานผมก็โดนผลักออกเต็มแรง ร่างผมกระแทกประตูดังโครม เล่นเอาผมจุกเลยทีเดียว

"ไอ้เด็กเวร! มึงอย่ามาทำอย่างนี้กับกูนะเว้ย!" พี่โดมลั่นเสียงสั่น ก่อนใช้หลังมือเช็ดถูปากของตัวเองสองสามครั้ง ดูท่าจะโมโหผมมากทีเดียว

นี่ผมทำผิดอีกแล้วเหรอ!

สรุปว่าคนอย่างผมจะทำอะไรดีๆ กับเขาไม่ได้เลยใช่ไหม!

"ได้ครับพี่โดม ต่อไปผมจะไม่ทำอย่างนี้กับพี่อีก เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่แล้ว เอาเป็นว่า...ผมผิด คนอย่างผม...ไม่มีทางเป็นคนดีได้หรอก ผมทำได้แค่นี้แหละพี่ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะครับ ต่อไป...พี่ไม่ต้องหวังอะไรกับผมแล้ว!"

พูดจบผมก็ร้องไห้จนได้ เพราะน้ำตามาจ่อไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ผมทรุดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นประตูเหมือนคนสิ้นหวัง เงยหน้ามองพี่โดมซึ่งยังมีท่าทางไม่พอใจ สายตาแบบนั้นทำให้ผมเจ็บมากเหลือเกิน

เจ็บที่เข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายมีใจให้

เจ็บที่คนอย่างผมไม่มีทางเป็นคนดีกับเขาได้

ผมก้มหน้าลงซบหัวเข่า จากนั้นก็ร้องไห้โฮอย่างหนัก ไม่ได้สนใจแล้วว่าพี่โดมจะอยู่หรือไป เพราะสิ่งที่อยากทำมากที่สุดตอนนี้คือปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเอง ผมผิดหรือที่ผมน้อยใจ ผมเสียใจไม่ได้หรือที่รู้ว่าคนที่ผมชอบไม่ได้คิดอะไรกับผม มันก็มีแค่นี้เอง ทำไมต้องโกรธและต่อว่าผมขนาดนี้ด้วย

พี่โดมคงไม่สนใจผมแล้ว เสียใจขนาดนี้ยังไม่คิดจะปลอบใจผมบ้างเลย ยิ่งรู้ก็ยิ่งเสียใจ แสดงว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาไม่มีความหมายใดๆ กับพี่โดยเลย ก็ดีแล้ว นี่คงเป็นบทเรียนที่คนอย่างผมสมควรได้รับ

ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนตามด้วยคำพูดที่ไม่รู้ว่าเห็นใจหรือรำคาญกันแน่

"หยุดร้องไห้ได้แล้ว"

ผมเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็ยังไม่หยุดร้องไห้หรอก

"อย่าคิดว่าเอาน้ำตามาใช้แล้วพี่จะเห็นใจง่ายๆ นะ บอกไว้ก่อนว่าคราวนี้พี่ยอมให้อภัยง่ายๆ หรอก อยากทำอะไรแย่ๆ ต่อก็ทำได้ พี่ไม่ห้าม ทำแล้วมีความสุขก็ทำไป แต่รู้ไว้อย่างนะ มันไม่ใช่เพราะอินทำดีไม่ได้หรอก แต่อินไม่อดทนต่างหาก เจอปัญหาหน่อยก็ท้อง่ายๆ ถ้าอยากพิสูจน์ตัวเอง ถ้าอยากเอาชนะใจคนให้ได้ ทำแค่นี้ไม่พอนะเว้ย หัดมีความอดทนซะบ้าง บ่ายนี้ก็อยู่กับตัวเองแล้วก็คิดให้ดีๆ ละกัน พี่จะไปเยี่ยมอะตอม เขาไม่สบาย"

พูดจบพี่โดมก็เอามือจับลูกบิดประตูและดึงเปิดออก มันหนักเล็กน้อยเพราะผมนั่งพิงอยู่ แต่พี่โดมก็เปิดออกไปจนได้ ทิ้งผมไว้ในห้องคนเดียวเงียบๆ น่าแปลกที่ผมค่อยๆ หยุดร้องไห้ อาจจะเป็นเพราะข้อคิดที่พี่โดมให้ผมไว้เมื่อกี้ก็ได้

เอาเถอะ อย่างน้อยพี่โดมก็กลับมาเรียกแทนตัวเองว่า "พี่" ก่อนจากไป ผมคงไม่หมดหวังซะทีเดียว แต่คงต้องรู้จักอดทนให้มากกว่านี้




// นิยายจะจบแล้วนะครับ
// 555 สงสารตัวเองจังเลย คนหาย
// แต่ก็ยังโชคดีที่ยังพอมีเหลืออยู่
// ขอบคุณที่ติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอดนะครับ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-10-2017 21:06:51 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
อะตอมเคว้งแน่เลยถ้ากัปตันไปเรียนต่ออ่ะ ถ้าจะขอแม่ไม่ไปอะตอมจะดูเห็นแก่ตัวในสายตาแม่กัปตันไหมอ่ะ :mew6: :mew6:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
น่าแปลกใจจริงๆ จนถึงตอนนี้แล้วอินก็ยังคิดไม่ได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ได้คุยกับป๊าก็แล้ว นั่นกูรูส่องแสงนำทางชีวิตเลยนะก็ยังคิดไม่ได้ บัวใต้น้ำก็ยังอยู่ใต้น้ำต่อไป ปล่อยวางเถอะพี่โดม จะได้ปล่อยตัวเองด้วย เฮ้อออ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :hao5: สงสารร ต่อไปก็ต้องห่างไกลกันอีก

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ชีวิตต้องสู้ อย่างน้อยก็มีกำลังใจนะอะตอม :กอด1:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ใกล้จบแล้วเหรอ ใจหายนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
จะมีใครสักคนถามหานิยายเรื่องนี้บ้างไหมหนอ?
จะจบแล้วนะครับ ไม่อยากอ่านตอนจบแล้วเหรอ ฮิือๆ

ออฟไลน์ dashdash

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้ามาให้กำลังใจคนเขียนนะครับ ฮีบๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP30 - P1
MovingForward




ไม่ทันไรก็ผ่านไปอีกเดือนแล้ว ผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย สำหรับคนที่ไม่คาดหวังว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงในชีวิตคงเฉยๆ แต่สำหรับผม ทุกวินาทีที่ผ่านไปหมายถึงเวลาที่ผมจะได้อยู่กับคนที่ผมรักน้อยลงไปด้วย

วันนี้อะตอมกลับบ้าน ช่วงที่ผ่านมาเขาทำงานหนักมาก เพราะต้องระดมทุนทุกวิถีทางเท่าที่จะหาได้ เรียกว่าไม่ได้กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อเลยเป็นเดือนนอกจากโทรหา รู้สึกว่ามันจะคุยกับภีมบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ พอเสร็จงานมันก็เลยขอไปหาพ่อ ถึงอะตอมจะรู้สึกไม่ดีกับพ่อนัก แต่ผมก็บอกเขาให้เขาลองคิดอีกด้าน ตอนนี้เท่ากับว่าอะตอมเหลือพ่ออยู่คนเดียวแล้ว ถึงจะโกรธกันแค่ไหนก็ต้องไม่ทิ้งกัน เพราะวันไหนที่พ่อจากไป อะตอมจะไม่เหลือใครเลยที่เป็นสายเลือดเดียวกัน เขาก็เลยฟัง

พออะตอมไม่อยู่ผมก็เลยมาหาแม่ ช่วงสายๆ วันอาทิตย์ผมลงมานั่งเล่นข้างล่าง ส่วนมากเล่นเฟสและไลน์คุยกับเพื่อน รวมทั้งลมหนุนด้วย ดึกป่านนี้ไม่รู้ว่าทำไมมันยังไม่นอน แถมยังมาถามผมเรื่องที่ผมไม่ค่อยอยากตอบอีก

“ทำไมไม่บอกว่ามีแฟนล่ะ จะได้ไม่ยุแม่ให้พี่มาเรียนนี่”

“ถามทำไม” ผมตอบน้องชายไป ปกติคนที่อเมริกาไม่เล่นไลน์หรอก แต่ลมหนุนมีแอปนี้ไว้คุยกับครอบครัวและญาติๆ

“อายเหรอ ผมถามพี่โดมหมดแล้ว แฟนพี่เป็นผู้ชายเหรอ”

พวกเราอาจจะใช้ภาษาที่ดูห้วนๆ กันไปบ้าง แต่ก็เป็นธรรมดาของการสื่อสารทางไลน์อยู่แล้ว

“อือ”

“เขานึกยังไงมาชอบพี่”

“ไม่รู้เว้ย” ผมชักรำคาญ

“กล้าเนอะ”

“หมายความว่าไง” ผมเริ่มรู้สึกถึงการคุกคาม เพราะน้องชายชอบข่มผม

“พี่ก็น่าจะรู้”

“ทำไมยังไม่นอนอีก” ผมชวนเปลี่ยนเรื่อง

“ไปเที่ยวกับเพื่อนมา”

“เดี๋ยวนี้เที่ยวกลางคืนเหรอ” ผมขมวดคิ้ว แม่น่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้แน่ๆ

“อือ เบื่ออยู่เฉยๆ”

ผมไม่ตอบทันที ลมหนุนจึงส่งมาอีกข้อความ

“ส่งรูปแฟนมาให้ดูหน่อย”

“จะดูไปทำไม”

“ก็อยากเห็น หล่อมะ”

ผมไม่ตอบ แต่ลมหนุนก็รบเร้าขอดูไม่เลิก ผมจึงตัดรำคาญด้วยการส่งรูปที่อะตอมถ่ายแบบไปให้

“ห๊า เป็นนายแบบเหรอ”

“อือ”

“ไม่น่าเชื่อว่ามาชอบพี่ได้” ลมหนุนส่งสติ๊กเกอร์รูปการ์ตูนหัวเราะตลกมาด้วย ไม่รู้ว่าขำอะไรนักหนา แล้วก็ถามอีก

“มีไรกันยัง”

ยิ่งถามก็ยิ่งละลาบละล้วง ผมก็เลยไม่ตอบ ชักกังวลแล้วว่าไปอยู่ด้วยจะเป็นยังไง ตอนเด็กๆ ที่อยู่ด้วยกัน เขาชอบทำอะไรทำนองนี้กับผมบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมเลย

“ผมว่าเขาคงคิดหนัก 555” ลมหนุนยังแหย่ไม่เลิก

“จะมากไปแล้วนะลมหนุน”

ผมรู้สึกหงุดหงิดจนต้องวางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนโต๊ะ หมดอารมณ์จะคุยเล่นกับเพื่อนไปเลย

“อ้าว เป็นไรลูก ทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้นล่ะ”

แม่ผมลงมาพอดี วันนี้แม่อยู่บ้านก็เลยลงมาสาย ส่วนป๊าอยู่ฮ่องกง ไปเจรจาดีลสินค้าที่นั่น

“เปล่าครับ” ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติและยิ้มให้แม่

แม่นั่งลงแล้วก็ถาม “วันนี้ไม่ไปไหนเหรอลูก”

“พักมั่งดีกว่าครับ ช่วงก่อนงาน ผมออกข้างนอกทุกวันเลย เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด”

“ก็ดีลูก จะได้หายเหนื่อย อ้อ ตกลงอะตอมเขาหาเงินได้ถึงล้านไหมลูก" อยู่ๆ แม่ก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา เล่นเอาผมใจคอไม่ดี

"เอ่อ...ยังครับแม่"

ผมตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ แม่คงไม่ได้ถามเรื่อยเปื่อยแน่นอน แต่มีความคาดหวังบางอย่าง

"แล้วหาได้เท่าไหร่ล่ะ" แม่ถามต่ออีก

"ก็...ประมาณ...ห้าแสนครับ" ผมเริ่มไม่กล้าสบตากับแม่ เพราะตัวเลขที่บอกห่างจากเป้าหมายตั้งครึ่ง แถมเวลาก็เหลือน้อยลงไปทุกที

"ห้าแสนเหรอ" แม่ถามทวน

"ครับ"

"โทรเรียกอะตอมมาหาแม่หน่อยสิ"

“เขากลับบ้านไปหาพ่อน่ะครับ”

“เย็นๆ มาได้ไหมล่ะ” แม่ต่อรอง

“เดี๋ยวผมถามอะตอมก่อนนะครับ”

ผมแบ่งรับแบ่งสู้ ก่อนหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาใหม่และกดโทรหาอะตอม ไม่นานอะตอมก็รับสาย

“ไงครับที่รัก โทรมาแต่เช้าเลย กลัวแฟนหายเหรอ”

รับสายปุ๊บก็หยอดผมปั๊บเลย ไม่รู้ว่าแม่ผมได้ยินหรือเปล่าเพราะนั่งอยู่ใกล้ๆ ดีที่แม่ลุกออกไปก่อน น่าจะไปหาอะไรกินในครัว

“เออ คุยได้ไหมเนี่ย”

“ได้สิ กูมีเวลาให้แฟนกูเสมอแหละ”

“มึงอย่ามาเว่อร์ กูจะอ้วก” ผมแกล้งว่า อะตอมถึงกับขำก๊าก

“เย็นนี้มาบ้านกูได้ไหม” ผมรีบเข้าเรื่อง

“เย็นนี้เหรอ กูว่าจะพาพ่อไปกินข้าวนอกบ้านหน่อย พาเมียเขาไปด้วย มีไรเปล่า”

“แม่กูอยากคุยกับมึงน่ะ ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรว่ะ แต่เมื่อกี้เขาถามกูว่าชมรมเราหาเงินได้เท่าไหร่ กูบอกเขาไปแล้ว เขาทำหน้าแปลกๆ ว่ะ ไม่รู้ว่าโอเคหรือเปล่า”

อะตอมใช้เวลาคิดไม่นานก็ตัดสินใจ “งั้นเดี๋ยวกูเข้าไป”

“อ้าว แล้วมึงไม่พาพ่อไปกินข้าวเหรอ”

“เดี๋ยวพาไปตอนเที่ยงๆ แทนก็ได้ เย็นๆ กูจะได้ไปบ้านมึงแล้วก็กลับคอนโดเลย”

“เออๆ เอาอย่างงั้นก็ได้”

“มึงกลัวอะไรหรือเปล่า”

ดูเหมือนอะตอมจะจับสังเกตความรู้สึกของผมผ่านน้ำเสียงได้ พออยู่ด้วยกันมากเข้า เราก็เริ่มรู้รายละเอียดเล็กน้อยของกันและกันมากขึ้น

“เออดิ เมื่อกี้แม่กูทำสีหน้าไม่ค่อยดีเลย กูกลัวว่าเขาจะ…” ผมไม่กล้าพูดต่อ

ผมได้ยินเสียงอะตอมถอนหายใจและเงียบไปสักพัก

“อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแหละวะ แต่กูก็พยายามเต็มที่แล้วนะเว้ย แต่มันได้เท่านี้ ให้ทำไงวะ” น้ำเสียงของอะตอมฟังดูเศร้าตอนท้าย

“เออ กูก็รู้แหละว่ามึงเต็มที่ กูรู้ว่ามึงโคตรเหนื่อยเลย แต่แม่กูเขาไม่ได้เห็นเหมือนที่กูเห็นไง ทำไงดีวะ กูกลัวแม่ไม่ให้กูคบมึงว่ะ ไหนจะต้องไปเรียนเมืองนอกอีก กูไม่อยากไปเลย กูว่ากูอยู่กับน้องกูไม่ได้หรอกว่ะ” ผมบ่นและเริ่มเครียด

“เฮ้ย กูว่าอย่าเพิ่งตีโพยตีพายเลย บางทีมันอาจจะไม่ได้มีอะไรแย่ๆ อย่างที่เราคิดก็ได้นะเว้ย เอาเป็นว่า…รอเย็นนี้ดีกว่า ถ้าแม่มึงไม่ยอมให้กูคบมึงนะ เดี๋ยวกูฉุดมึงหนี” อะตอมพูดติดตลกตอนท้าย

“เออ เย็นนี้เจอกันเว้ย” ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสบายใจขึ้นหน่อย

“ครับผม แล้วเจอกันนะครับที่รัก จุ๊บๆ”

อะตอมทำเสียงจุ๊บใส่โทรศัพท์มาด้วย ผมก็เลยพอหัวเราะได้ทั้งๆ ที่เครียด นึกถึงแววตาขี้เล่นของมันแล้วก็ยิ้ม จะว่าไปมันก็เป็นคนน่ารัก อยู่ด้วยแล้วผมมีความสุข หลังๆ มานี้แทบไม่เคยทะเลาะกันเลย แถมยังช่วยกันทำงานหาเงินอย่างกับเป็นคู่ชีวิตกันจริงๆ ด้วย

เย็นนี้เราคงจะได้รู้ชะตากรรมของเรากันแล้ว หวังว่าแม่จะไม่ตัดสินอะตอมแค่จำนวนเงินที่หาได้ เพราะสิ่งที่มากกว่าเงินก้อนนี้ก็คือความทุ่มเทและตั้งใจของอะตอมนี่แหละ




​ผมพนันกับอินไว้ว่าถ้าเขาหาเงินได้ถึงห้าหมื่นจากการเล่นดนตรีหนึ่งเดือน ผมจะพาเขามาเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนัง รวมทั้งจะให้เสื้อยีนซึ่งตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์สุดเท่ด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงชอบ เพราะไม่ค่อยเข้ากับหน้าหวานๆ มันเท่าไหร่ แต่ก็ไปหาแบบที่อินชอบมาให้จนได้

ที่จริงตอนที่อินแอบไปเหลวไหลผมก็โมโหไม่น้อย แต่พออารมณ์เย็นลงก็เริ่มเข้าใจว่าเขายังเด็ก ผมจึงให้อภัย จากนั้นก็หาวิธีสร้างแรงจูงใจให้ การให้รางวัลความพยายามน่าจะช่วยได้ พอจึงผมท้าทายให้อินพิสูจน์ตัวเอง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำผลงานอย่างตั้งใจ ทำตัวดีขึ้น มีระเบียบวินัยกับชีวิตมากขึ้น แม้บางวันจะเหนื่อยไม่อยากออกไปเล่นดนตรี แต่เขาก็ยังอุตส่าห์กัดฟันออกไป จนในที่สุดก็สามารถทำได้ตามเป้าหมาย

หลังเสร็จจากดูหนังที่อินอยากดูตอนเย็น ผมก็พาอินมาส่งที่ห้อง ถือถุงใส่กล่องของขวัญชิ้นหนึ่งติดมือมาด้วย แต่ยังไม่บอกให้อินรู้ว่าเป็นอะไร ถึงอย่างนั้นผมก็รู้ว่าเขาคงสงสัย เพราะยังเหลืออีกหนึ่งอย่างที่ผมติดค้างไว้

"ขอบคุณนะครับพี่โดมวันนี้ อาหารก็อร่อย หนังก็สนุก หายเหนื่อยเลย" อินนั่งลงบนโซฟาพลางยิ้มมีความสุข

"ทำดีก็ต้องให้รางวัลสิ" ผมชมพลางเอาของวางบนโต๊ะก่อน จากนั้นก็ตามไปนั่งบนโซฟาข้างๆ อิน

"ตอนแรกนึกว่าจะทำไม่ได้ซะแล้ว พี่โดมตั้งโจทย์โหดมาก คิดดูดิ บางวันก็ได้หลายพันนะ แต่บางวันได้ไม่ถึงพันเลย ผ่านไปยี่สิบวันได้แค่สองหมื่นกว่า ตอนนั้นผมคิดแล้วว่ายังไงก็ไม่ได้แน่ๆ แต่สุดท้ายก็ทำได้" อินหัวเราะขำตัวเอง คงจะนึกถึงอะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเองทำลงไปด้วย แต่ถ้าดูสีหน้าจะเห็นว่าเขาภูมิใจไม่น้อย

"ก็งัดออกมาใช้จนหมดนี่ ทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้งแสดง เล่นตลกก็เป็นด้วย เห็นไหม ถ้าจะทำให้มันได้จริงๆ มันก็ทำได้ แค่อดทนหน่อยเท่านั้นเอง" ผมชมพลางเอามือลูบหัวอินเบาๆ

"ก็ต้องขอบคุณพี่โดมด้วยแหละที่ให้กำลังใจผม แต่น่าเสียดาย ได้มาแค่ห้าแสนกว่าเอง ไม่รู้ว่าที่บ้านกัปตันจะว่ายังไงมั่ง สงสารอะตอมนะพี่ เขาเหนื่อยมากเลย ทำสารพัดอย่าง เหนื่อยกว่าผมอีก ถ้าอะตอมไม่ตั้งโจทย์แบบนั้นไว้นะ ผมจะขอให้ป๊าบริจาคให้สักแสนเลย ถ้าให้พ่อแม่ของพวกเราหลายๆ คนช่วยกันบริจาคนะ ป่านนี้ได้ครบล้านแล้ว เฮ้อ" อินถอนหายใจด้วยความเสียดาย

วันนี้อินเปลี่ยนไปมากทีเดียว เขารู้จักห่วงคนอื่น เห็นใจคนอื่น แถมยังรู้จักอดทนช่วยเหลือเพื่อน แค่นี้ผมก็รู้สึกภูมิใจแล้ว ใช่แต่ผมเท่านั้น ทางมหาลัยเองก็ได้ชื่อเสียงไปด้วย แม้ว่าอินกับอะตอมจะมีเรื่องภาพไม่เหมาะสมก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายทางมหาลัยก็แค่เรียกไปเตือน ทั้งสองคนจึงรอดพ้นจากการถูกลงโทษเพราะสิ่งดีๆ ที่พวกเขาช่วยกันทำ

"พี่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงนะ พวกเราทุกคนก็ทำเต็มที่แล้ว แต่เงินห้าแสนก็ไม่ใช่น้อยๆ หรอก ช่วยกันหาเงินเยอะขนาดนี้ภายในเดือนสองเดือนได้ พี่ก็ว่าไม่ธรรมดาแล้ว หวังว่า…น้าของพี่เขาจะมองเห็นมุมนี้นะ ไม่ใช่มองแต่ตัวเงิน"

"ผมเห็นด้วยเลยพี่ เงินมันหาไม่ได้ตามเป้าก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเราขี้เกียจหรือไม่สู้ซะหน่อย แต่สู้จนยกสุดท้ายแล้วมันได้เท่านี้" อินพูดเหมือนรำพึง

"เอาเหอะ ยังไงๆ พี่ก็ภูมิใจกับผลงานของน้องๆ ทุกคนแหละ ถ้าทำเต็มที่แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไร ไม่มีใครมาว่าได้หรอกว่าไม่พยายาม" ผมเหยียดปากยิ้ม จากนั้นก็ลุกไปหยิบถุงใส่กล่องของขวัญมา

"ของรางวัลชิ้นสุดท้ายสำหรับอิน พี่ไม่มีอะไรติดค้างแล้วนะ"

"เสื้อยีนเหรอพี่" อินถามอย่างตื่นเต้น

"แกะดูสิ" ผมยื่นถุงใส่กล่องของขวัญให้

อินลุกขึ้นมารับ จากนั้นก็เอาไปวางบนโต๊ะเตี้ยกระจกตรงโซฟา กล่องของผมไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แกะกระดาษออกไม่กี่ครั้งก็เผยให้เห็นของที่อยู่ข้างใน อินตาลุกวาวทันทีที่ได้เห็นของสิ่งนั้น

"โห เท่มากเลยครับพี่โดม" อินหยิบเสื้อขึ้นมาดูด้วยสายตาชื่นชม จากนั้นก็หันมายิ้มให้ผม

"ขอบคุณนะครับ"

ดูเหมือนว่าอินอยากทำอะไรบางอย่างมากกว่าแค่พูดขอบคุณ แต่แววตาของเขาบ่งบอกว่าไม่กล้าทำสิ่งที่คิด ผมก็เลยอ้าแขนออก อินวางเสื้อลงแล้วรีบโผเข้ากอดผมทันที

"หวังว่าจะชอบนะ" ผมถามพลางลูบหลังอินเบาๆ

"ชอบครับพี่"

"ของที่พี่ให้ เก็บไว้ดีๆ นะ"

"ครับพี่"

"เสื้อที่พี่ให้ไม่ใช่แค่ของขวัญ แต่มันเป็นรางวัลความพยายามของอิน ใส่แล้วอินจะได้นึกถึงสิ่งดีๆ ที่อินทำไง มันจะช่วยเตือนใจอินให้รู้จักอดทน เวลาท้อ อินต้องนึกถึงเสื้อตัวนี้ไว้นะ มันจะช่วยให้อินลุกขึ้นมาสู้ต่อไปได้"

"ครับพี่โดม ขอบคุณพี่มากนะครับ"

ถ้าฟังจากเสียงอินน่าจะร้องไห้ไปแล้ว แต่น้ำตาของเขามาจากความดีใจและภูมิใจ

"อย่าขอบคุณแต่พี่คนเดียว มีหลายคนที่อินต้องขอบคุณรู้ไหม"

"ครับพี่"

ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้อินจะกลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายไปแล้ว แต่เขาไม่ได้เชื่อง่ายเพราะความโง่เขลาเหมือนที่ผ่านมา บทเรียนชีวิตคงช่วยสอนให้เขาฉลาดกับชีวิตมากขึ้น ผมเชื่อว่าเขาจะเลือกทางเดินที่ดีให้กับตัวเองได้อย่างมั่นคงต่อไป

ไม่นานเราก็ผละออกจากกัน แม้ว่าจะพูดอะไรไปบ้างแล้ว แต่ผมก็รู้ว่าเรายังมีอีกเรื่องที่ค้างคามานานพอสมควร ตอนนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะพูดมันออกมาก่อน

"ผม/พี่…"

อยู่ๆ เราสองคนก็พูดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นต่างคนก็ต่างหัวเราะเขินๆ

"พี่พูดก่อนละกันครับ ในฐานะที่มีอาวุโสกว่า" อินผายมือให้เกียรติและเชื้อเชิญ

"หาว่าพี่แก่เหรอ" ผมแแกล้งทำเสียงดุ

"เปล่า พี่ไม่แก่หรอก แค่อายุมากกว่าเฉยๆ" อินหัวเราะ

"โอเค พี่พูดก่อนก็ได้" ผมตัดสินใจรับคำเชิญ เปลี่ยนท่าทางให้ดูจริงจังมากขึ้น สอดนิ้วมือประสานกันไว้ จากนั้นก็เริ่มเข้าเรื่องสำคัญ

"พี่คิดว่าพี่ได้คำตอบแล้วล่ะว่าเราสองคน…ควรจะเป็นแบบไหน พี่ก็…คิดอยู่นานนะ ค่อยๆ ทบทวนเรื่องราวทั้งหมดว่าพี่…รู้สึกหรือคิดอะไรกับอินกันแน่ ตอนแรกมันก็ไม่ชัด พี่ไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร ไม่รู้ว่าเราชอบกัน หรือแค่รู้สึกแบบ…โบรแมนซ์ ไม่รู้มีอย่างอื่นอีกหรือเปล่านะ พี่นึกออกแค่นี้ บางครั้งพี่ก็โกรธอิน เกลียดก็เคย บางทีก็ไม่คิดว่าพี่จะรักคนแบบอินได้ แต่สุดท้าย…พี่ก็ให้อภัย เพราะพี่เห็นบางอย่างในตัวอินที่คนอื่นอาจจะไม่เห็น พี่ถึงให้โอกาสอินอีกครั้ง แล้วอินก็ทำได้ซะด้วย ทำได้ดีมากเลย พี่ขอชื่นชมจากใจจริงนะ"

ผมหยุดเว้นจังหวะและยิ้มให้อินบางๆ

"แต่ถ้าจะให้บอกความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ตอนนี้ พี่ก็ไม่แน่ใจนะว่ามันจะตรงกับสิ่งที่อินคิดไว้หรือเปล่า ถ้าไม่ตรง…พี่ก็คงต้องขอโทษด้วย แต่ถ้าตรงกัน…"

"ขอบคุณนะครับพี่ชาย" อินพูดขัดจังหวะขึ้นมา

ผมหยุดนิ่งไปเลยทันที เราสองคนมองหน้ากันนิ่ง ผมเห็นความเศร้าในแววตาของอินปรากฏ แต่ก็ไม่ใช่ความเศร้าแบบคร่ำครวญเสียใจ ทว่ามันเป็นความเศร้าแห่งการยอมรับความจริง เหมือนเขาเองก็รู้ตัวและทำใจมาก่อนแล้ว ในไม่ช้าการยอมรับนี้ก็จะนำความสุขและสิ่งที่ดีกว่ามาให้ ชีวิตก็จะไปข้างหน้าต่อได้

ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือจะแสดงความรู้สึกเห็นใจก่อนดี

"อินโอเคใช่ไหม"

ริมฝีปากของอินเริ่มสั่น เขาพยายามจะยิ้ม แต่ไปๆ มาๆ จะกลายเป็นร้องไห้ซะแล้ว

"โอเคครับพี่ ผมรู้แล้วล่ะ ผมไม่เหมาะกับพี่หรอก พี่โดม…ควรจะได้เจอคนที่ดีกว่าผม ผมทำใจไว้แล้ว แต่ผมก็ดีใจนะพี่ เพราะอย่างน้อยผมก็มีพี่ชายใจดีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน พี่โดมไม่รังเกียจใช่ไหมครับถ้าผม…จะขอเป็นน้องชายของพี่คนหนึ่ง"

"พี่จะรังเกียจอินได้ไง พี่ภูมิใจในตัวอินนะ ภูมิใจมากๆ ด้วย" ผมยืนยันหนักแน่น

อินโผเข้ากอดผมอีกครั้ง คราวนี้น้ำตาที่กลั้นไว้พังทำนบกั้นจนต้านไม่อยู่ เขาคงเจ็บที่เราสองคนจะไม่ได้ไปต่อในแบบที่เขาหวังเอาไว้ อินกอดผมแน่นและตัวสั่นเทิ้ม คิดๆ ไปแล้วผมก็เสียใจที่ต้องบอกเขาแบบนี้ แต่ผมก็ไม่สามารถโกหกตัวเองต่อไปได้ เพราะยิ่งจะทำให้อินมีหวังและเจ็บยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ความจริง

"พี่โดม…ผมมีอะไรอยากจะบอกพี่อย่างหนึ่ง ขอให้ผมบอกพี่ได้หรือเปล่า" อินพูดละล่ำละลัก

"ได้สิอิน พี่ยินดีฟังทุกอย่างที่อินจะพูดเลย"

"จริงนะพี่ พี่อย่าว่าผมนะ"

"พี่จะว่าอินทำไม วันนี้…เราสองคนต้องเปิดใจคุยกันให้หมดนะ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจกันไง" ผมยืนยัน

"ครับพี่"

อินพยายามจะหยุดร้องไห้ แต่ก็ใช้เวลาอีกสักพักเลยทีเดียวกว่าเขาจะสงบจิตใจได้ เขาปล่อยอ้อมแขนออกจากผม บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตาเหลืออยู่ แต่เขาก็มีรอยยิ้ม แม้จะเป็นยิ้มของความผิดหวัง แต่ผมรู้ว่าสุดท้ายเขาก็จะเข้าใจและยอมรับได้ในที่สุด

"บอกพี่ได้หรือยัง" ผมถามด้วยเสียงอ่อนโยน

อินพยักหน้าช้าๆ แต่ก็ยังต้องใช้เวลารวบรวมความกล้าอีกเล็กน้อย

"มันเป็นความรู้สึกดีๆ ของผมนะพี่ ผมแค่อยากให้พี่รับไว้ ไม่ต้องส่งคืนให้ผมหรอก เพราะผมเต็มใจให้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่พี่โดมต้องการแล้ว แต่ผม…"

อินหยุดเว้นจังหวะ จากนั้นก็พยายามมอบรอยยิ้มที่ดีที่สุดของเขามาให้ผม นี่คือรอยยิ้มของอินที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย

"ผมรักพี่โดมครับ"





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-11-2017 07:30:45 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ความรู้สึกลึกแท้จริงของพี่โดม ที่บอกอินว่า ไม่ได้รักอินแบบคนรัก
คิดแค่น้องชาย จริงรึ  :hao3:
ถ้าต่อไมีคนมาชอบอินจริงๆ พี่โดมก็รับความรู้สึกที่จะเกิดกับตัวเองให้ได้ละกัน

ลมหนุน ทำไมชอบข่มพี่ชาย
เพราะกัปตันพิการหรือ ถ้าใช่ก็เป็นน้องที่ร่างกายสมบูรณ์ แต่จิตใจพิการ
หรืออิจฉาที่พ่อแม่รัก สนใจ เอาใจใส่กัปตัน นี่ก็โทษกัปตันไม่ได้
เพราะแม่คิดว่าเป็นความผิดของแม่

แต่คิดว่าลมหนุน คิดกับกัปตันเกินพี่น้อง
พอรู้ว่ามีนายแบบมาชอบกัปตัน เลยพูดให้กัปตันคิดมาก
ว่าอะตอมไม่ได้รักกัปตันจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ลมหนุนพูดจาแบบดูถูกดูเหยียดพี่ชายมากเลยอะ จะรักจะห่วงกันหรือเปล่าไม่รู้แต่คนฟังไม่ได้รู้สึกดีเลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP30 - P2
MovingForward




“นั่งสิ”

“ครับ”

อะตอมนั่งลงตามที่แม่ผมบอก ดูไม่มีท่าทางเคอะเขินหรือตื่นกลัวให้เห็นเลย คงจะเตรียมตัวมาดีแล้ว เพราะเมื่อตอนบ่ายผมให้อะตอมโทรไลน์หาป๊าผม น่าจะได้คำแนะนำดีๆ มาพอสมควร จะว่าไปป๊าผมก็เชียร์อะตอมอย่างออกหน้าออกตาเอาเรื่องเหมือนกัน

“งานโครงการเสร็จหมดแล้วเหรอ”

“ก็ไม่เชิงครับ แต่พองานอีเวนต์จบ กระแสมันก็เลยตก แต่ก็ยังพอมีเงินบริจาคเล็กๆ น้อยๆ มาอยู่ครับ” อะตอมตอบด้วยท่าทางสบายๆ และไม่ดูกดดัน

“ก็ดีนะ แล้วอะตอมวางแผนต่อยังไงล่ะ เห็นว่าไม่ได้เงินตามเป้านี่”

ผมว่าวันนี้แม่ผมคงจะเล่นแต่คำถามยากๆ แน่ๆ น่าจะรู้มาบ้างว่าป๊าผมคุยกับอะตอมเมื่อตอนบ่าย

“ช่วงนี้ผมคงพักงานอีเวนต์ไว้ก่อนครับ เพราะว่าตอนนี้เพื่อนๆ เหนื่อยกันมาก แต่ผมก็คุยๆ กับอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมไว้ว่าเราจะเริ่มปรับปรุงมหาลัยบางส่วนจากเงินที่หาได้ ทำเสร็จแล้วก็จะเอามาทำพีอาร์ให้คนเห็นว่าเราใช้เงินบริจาคมาทำประโยชน์จริงๆ ก็จะพยายามนำเสนอให้เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ยังไง จากนั้นค่อยหาอีเวนต์ทำต่อครับ ผมเชื่อว่าถ้าคนเห็นความตั้งใจของเรา เขาก็น่าจะอยากจะสนับสนุนมากขึ้น”

แม่ของผมพยักหน้ารับรู้หลังฟังอะตอมอธิบาย ก่อนยิงคำถามอีก

“เงินห้าแสนน่ะ ได้มาจากไหนบ้าง”

“จากหลายที่เลยครับ” อะตอมหัวเราะ “เงินก้อนแรกมาจากงานเดินแบบของผม จากนั้นก็ตามด้วยเงินจากการเล่นดนตรีของเพื่อนๆ แล้วก็…เงินจากการบริจาค เงินจากอีเวนต์ เงินจากบริษัทที่บริจาคมาให้ เงินส่วนแบ่งจากแอปทำวิจัยตลาด เงินจากการประมูลของดารา เงินจากคลาวด์ฟันดิ้ง เงินจากโครงการขอทุน สสส. เงินจากเพื่อนๆ ที่ขับอูเบอร์ด้วยกัน เงินจากนิตยสารออนไลน์ที่ผมกับกัปตันไปถ่ายด้วยกัน แล้วก็นายแบบคนอื่นๆ ก็ช่วยบริจาคเงินมาด้วย เงินจากมูลนิธิฟิแลนธรอพิสต์ที่เขาช่วยทำโครงการระดมทุนให้ เงินจากค่าห้องกัปตันที่บริจาคให้ก็มีนะครับ อืม…ไม่แน่ใจว่าหมดหรือยัง แต่ก็ได้มาจากหลายที่ครับน้า”

“โห เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ อะตอมทำยังไงถึงได้เครือข่ายมาเยอะขนาดนี้ หาเองเหรอ”

“ส่วนหนึ่งก็หาเองครับ แล้วก็ได้เพื่อนๆ รุ่นพี่ แล้วก็อาจารย์ช่วยแนะนำให้ครับ เพื่อนๆ ก็ช่วยกันเต็มที่มาก ช่วงจัดอีเวนต์นี่อดหลับอดนอนไปหลายวันเลย” อะตอมเล่าไปยิ้มไป ดูเหมือนมีความสุขแทนที่จะรู้สึกเหนื่อยที่ต้องทำเยอะขนาดนี้

แม่ผมพยักหน้ารับรู้ ส่วนผมก็พยายามจับสังเกตสีหน้าของแม่ไปด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าอ่านยากจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นแม่ลูกกันมายี่สิบปีได้

“ทำเยอะขนาดนี้ ทำไมถึงได้เงินไม่ได้ตามเป้าล่ะ แสดงว่าแผนที่ทำมาทั้งหมดก็ล้มเหลวสิ ถ้าทำแล้วล้มเหลวแบบนี้ จะดูแลลูกชายของน้าได้เหรอ”

นั่นไง แม่เล่นคำถามหนักอีกแล้ว ถ้าเป็นผมคงนึกไม่ออกเลยว่าจะตอบยังไง

“อืม…ผมไม่ได้มองว่ามันล้มเหลวนะครับน้า อย่างน้อย…เราก็ได้ประสบการณ์ ได้รู้ว่าอะไรทำแล้วมันได้ผล อะไรทำแล้วไม่ค่อยได้ผล ของพวกนี้…ไม่มีสอนในมหาลัย ผมว่าพวกเราทุกคนที่มาช่วยงานโครงการโชคดีนะครับ เพราะพวกเราได้เรียนรู้หลายอย่างเลย อะไรที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ไม่เคยลองก็ได้ลอง ผมว่าพวกเราแค่ล้มเหลวเรื่องตัวเลข แต่ไม่ได้ล้มเหลวเรื่องความพยายาม ที่มันไม่ได้ตามเป้า ไม่ใช่เพราะเราไม่พยายามนะครับ แต่เพราะประสบการณ์เราน้อย วางแผนผิดพลาดไปบ้าง ประมาทไปบ้างก็มี แต่ผมเชื่อว่าถ้าให้ทำอีก พวกเราก็น่าจะทำได้ดีขึ้นนะครับ แต่มันก็รับประกันไม่ได้หรอกว่าทุกความพยายามจะทำให้สำเร็จ แต่ทุกๆ ความสำเร็จเกิดความพยายาม ยังไงๆ พยายามทำมันก็ดีกว่าไม่พยายามอยู่แล้วครับ”

ถ้าไม่เกรงใจแม่ ผมจะปรบมือรัวๆ ให้กับคำตอบนี้ของอะตอมไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ซ่อนยิ้มชื่นชมแฟนตัวเอง

“พูดดีนี่ แต่น้าว่า…แค่พูดดีเฉยๆ ไม่พอนะ ผลงานมันต้องดีด้วย ใครๆ ก็ชอบแก้ตัวหรือว่าโทษนั่นโทษนี่ แต่ผลงานมันก็จะบอกเองไม่ใช่เหรอว่าทำได้หรือทำไม่ได้ ในโลกธุรกิจเราไม่ฟังว่าใครพูดดีแค่ไหนหรอก เราดูที่ผลงานว่าได้ตามเป้าไหม”

อ้าว ทำไมแม่พูดแบบนี้ล่ะ ผมนึกว่าแม่จะชมอะตอมบ้างซะอีก นี่ไม่มีหลุดปากออกมาเลยสักคำ อะตอมถึงกับนิ่งอึ้ง เด็กอายุแค่สิบเก้าปีอย่างอะตอมจะตอบให้ถูกใจแม่ผมได้ยังไงหนอ ถึงจะทำงานเยอะจนดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ประสบการณ์ของเขาก็ยังห่างไกลจากเรื่องที่แม่ผมถามไม่น้อย

“ครับ ผมว่าทุกคนก็มีข้ออ้างหรือว่าข้อแก้ตัวบ้าง แต่ข้ออ้างก็มีสองแบบนะครับ แบบแรก…อ้างเพราะว่าไม่อยากทำอะไร แบบที่สอง…อ้างเพราะคิดว่าได้ลงมือทำอย่างดีที่สุดแล้ว คุณน้าคิดว่าผมอ้างแบบไหนล่ะครับ แล้วแบบไหนดีกว่ากัน”

ผมอยากกระโดดกอดคออะตอมแล้วร้องเย้ดังๆ แม่ผมเป็นนักบริหาร ไม่ค่อยมีใครกล้าถามคำถามแบบนี้กับแม่ผมหรอก ลูกน้องที่โรงงานก็เกรงๆ แม่ผมทั้งนั้น เพิ่งจะเห็นอะตอมนี่แหละที่กล้าถามแบบนี้

ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าแม่ผมอึ้งไปเหมือนกัน หวังว่าแม่จะไม่จนมุมอะตอมเองซะล่ะ ชักสนุกแล้วสิ

“แบบแรกคงไม่ใช่อะตอมหรอก แต่ถึงอะตอมจะเป็นแบบที่สอง แต่คนแบบที่สองก็ยังอ้างอยู่ดี ไม่ว่าจะอ้างแบบที่หนึ่งหรือสอง ก็ยากจะประสบความสำเร็จนะ”

อีกแล้ว แม่หาข้อโต้แย้งมาจนได้ แต่ก็ใช่ว่าอะตอมจะยอมแพ้เหมือนกัน

“ใช่ครับ แต่ยังไงผมก็มองว่าคนแบบที่สองมีภาษีดีกว่าอยู่ดี ถ้ามีคนสอนเขาให้คิดแบบคนสำเร็จได้ ต่อไป…เขาก็จะไม่อ้างแล้วครับ ผมว่าทุกคนที่ลงมือทำเขาก็อยากทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จทั้งนั้น ถ้าได้คนมีประสบการณ์มาช่วยสอน ยังไงก็ต้องทำได้ดีกว่าเดิม วันนี้…ผมกับเพื่อนๆ เรียนรู้แล้วก็ทำกันเอง ผิดบ้าง ถูกบ้าง ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง อันไหนไม่รู้เราก็ปรึกษาอาจารย์ แต่ของพวกนี้ มันเรียนกับไม่จบหรอกครับน้า พวกเราต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ”

“เอาล่ะ พอแล้ว อะตอมไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”

แม่ผมพูดขัดขึ้น สีหน้าเรียบเฉยของแม่ทำเอาพวกเราใจคอไม่ดี ยิ่งพูดขัดจังหวะแบบนี้ยิ่งน่าหวั่นใจว่าแม่จะไม่พอใจอะตอม ว่าแต่แม่ผมจะไม่พอใจเรื่องอะไรล่ะ เพราะที่อะตอมตอบมา ผมก็เห็นด้วยทุกอย่าง แถมยังตอบได้ดีมากๆ ด้วย

“น้าตัดสินใจแล้ว”

แม่ผมยังคงทำหน้าขึงขัง จากนั้นก็หันหน้ามาทางผมและเรียกชื่อ

“กัปตัน”

“ครับแม่” ผมเสียวสันหลังวาบ เพราะน้ำเสียงของแม่ดูเย็นๆ

“หาเวลาพาอะตอมไปทำพาสปอร์ตหน่อยนะลูก”

“ทำไมต้องทำด้วยล่ะครับแม่” ผมกับอะตอมมองหน้ากันอย่างงงๆ

แม่มองผมที อะตอมที ก่อนสีหน้าขรึมๆ จะค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาทีละน้อย

“แม่จะให้อะตอม…ไปส่งกัปตันที่อเมริกาด้วย แล้วเทอมต่อไป…แม่จะให้อะตอมไปเรียนที่นั่นกับลูก เทอมนี้คงไม่ทัน รออีกเทอมละกันนะลูกนะ”

“อะไรนะครับแม่!” ผมอุทานเสียงหลง ด้วยว่าไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“แม่อนุญาตให้ลูกสองคนคบกันแล้วไงจ๊ะ แม่เชื่อแล้วว่าอะตอมเขาดูแลลูกของแม่ได้” เมื่อพวกเรายังไม่เชื่อ แม่จึงพูดชัดๆ อีกครั้งให้เข้าใจง่าย

“แม่!”

ผมเข็นรถเข้าไปตรงโซฟา เขยิบพรวดลงนั่งและกอดแม่ไว้

“ขอบคุณนะครับแม่ ผมรักแม่นะครับ”

“แม่ก็รักกัปตันนะลูก”

เราสองคนแม่ลูกกอดกันร้องไห้ แน่นอนว่าไม่ได้เสียใจ แต่ซาบซึ้งใจกันต่างหาก ครู่สั้นๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีคนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เมื่อหันไปมองก็เห็นอะตอมนั่งอยู่ ผมผละจากแม่และโผไปกอดอีกคนที่ผมจะรักไปทั้งชีวิต

“มึงทำได้แล้วนะอะตอม มึงทำได้แล้ว” ผมย้ำซ้ำๆ นี่คืออีกหนึ่งครั้งในชีวิตที่ผมรู้สึกซาบซึ้งและดีใจ จะว่าไป ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีอะไรทำให้ดีใจเท่านี้มาก่อนเลย

“แม่ฝากกัปตันด้วยนะลูก”

เสียงแม่พูดขึ้นมาอีกครั้ง คงไม่ได้พูดกับผม แต่น่าจะพูดกับอะตอมมากกว่า ผมปลื้มปิติยิ่งเมื่อแม่เรียกแทนตัวเองว่าแม่แทนที่จะเป็นน้า

“ครับน้า”

อะตอมตอบกลับไป เสียงเขาสั่นๆ เหมือนคนกำลังร้องไห้ ผมจึงปล่อยอ้อมแขนออกจากอะตอม พลันสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อแม่ผมพูดว่า...

“ต่อไป ถ้าอะตอมอยากจะเรียกน้าว่าแม่ น้าก็ยินดีนะลูก”

พอได้ยินแม่ผมพูดอย่างนั้น อะตอมก็ยิ้มดีใจสุดชีวิต เขารีบลงไปนั่งที่พื้นและกราบแทบเท้าแม่ผม

“ลุกขึ้นเถอะลูก ต่อไป…แม่จะถือว่าอะตอมเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งของแม่นะลูก”

“ขอบคุณครับแม่”

อะตอมลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา จากนั้นแม่ผมก็ดึงเขาไปกอด แค่เห็นแม่ผมกับลูกชายอีกคนกอดกัน ผมก็รู้สึกได้ว่าน้ำตาผมไหลลงมามากขึ้น อะตอมไม่เคยเจอแม่ แถมยังเจ็บปวดเพราะคนที่เขาเคยคิดว่าเป็นแม่หนีจากไป แต่วันนี้อะตอมจะมีผู้หญิงอีกคนที่เขาจะเรียกว่าแม่ได้ ถึงจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ผมก็เชื่อว่าเราจะเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างแน่นอน

เมื่อเราสามคนหยุดร้องไห้ แม่ผมก็ถามเรื่องเบาๆ ที่แม่อยากรู้

“ทำไมอะตอมถึงชอบกัปตันล่ะลูก”

อะตอมยิ้มเขิน ก่อนตอบด้วยคำพูดเรียบง่าย

“กัปตันเขาน่ารักครับแม่ เห็นครั้งแรกผมก็ชอบเลย เขาใจดีด้วยครับ”

“จริงเหรอลูก” แม่ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง​ อะตอมจึงย้ำให้ฟังอีกรอบ

“จริงครับ กัปตันเขาน่ารักจริงๆ นะครับ”

“แค่นั้นเองเหรอ” แม่ยังไม่วายสงสัย

“อืม…ตอนที่ผมเจอเขาใหม่ๆ ผมกำลังอกหัก เขาช่วยปลอบผม ผมรู้สึกดีขึ้นก็เพราะกัปตันนี่แหละครับ ผมก็เลยซึ้งใจ แต่หลักๆ ก็เป็นเพราะเขาน่ารัก เขาน่ารักจริงๆ นะครับแม่ เห็นทีไรก็อยากอยู่ใกล้ๆ” อะตอมพูดไปยิ้มไป เมื่อยืนยันถึงสามรอบแม่ก็เลยเชื่อ​

“โอเคๆ แม่เชื่อละ"

แม่ยิ้มเปี่ยมสุข คงจะหมดห่วงไปหลายเปลาะเมื่อรู้ว่าลูกชายได้เจอคนรักที่พอจะฝากชีวิตไว้ได้ ผมเชื่อสายตาเฉียบคมของแม่ แค่คุยกันไม่กี่คำแม่ก็มองคนทะลุแล้ว เมื่อแม่วางใจอะตอม ผมก็ยิ่งมั่นใจคนที่ผมรักได้อย่างไร้กังวล

“ไปส่งกัปตันแล้วจะอยู่สักสองสามอาทิตย์ก็ได้นะลูก แล้วก็ค่อยกลับมาเรียนต่ออีกเทอม แม่ไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษของอะตอมเป็นยังไง แต่แม่ว่าลองหาที่เรียนเพิ่มดูนะลูก เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวแม่กับป๊าจัดการให้ รวมทั้งทุนที่จะไปเรียนที่อเมริกาด้วย อะตอมไปช่วยดูแลกัปตันให้แม่หน่อยก็ดี น้องชายกัปตันน่ะเขาไม่ค่อยอะไรกับพี่เขาเท่าไหร่ แต่ถ้าอะตอมไปอยู่ด้วย แม่ก็คงจะหมดห่วง รออีกเทอมนะลูก ตอนนี้มันสมัครไม่ทันเพราะว่าเลยเวลาแล้ว อ้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องพ่อของอะตอมนะ เดี๋ยวจะหาวิธีช่วยดูแลให้” แม่ยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดีและอบอุ่น​

“ขอบคุณครับแม่ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ อันไหนที่ผมหาเองได้ ผมก็จะไม่รบกวนครับ”

อะตอมทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีกคำรบ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้จากคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่เดือนเท่านั้น ที่สำคัญ ผมรู้ว่าแม่ผมไม่ให้โอกาสอย่างนี้กับใครง่ายๆ หรอก ยกเว้นว่าจะไว้ใจและรักคนคนนั้นมากพอ

“จ้ะลูก ไปกินข้าวกันดีกว่านะ จะได้กลับไปพักผ่อนที่คอนโด พรุ่งนี้จะได้ไปเรียน” แม่ผมตัดบท

… … …

“นี่กูฝันไปหรือเปล่าวะกัปตัน” อะตอมถามผมขณะนั่งรถกลับคอนโดด้วยกัน มีผมเป็นสารถีเช่นเคย

“ถ้ามึงฝันกูก็ฝันเหมือนกันแหละวะ” ผมหันไปยิ้มให้

“กูไม่เคยคิดเลยนะเว้ยว่ากูจะได้ไปเรียนเมืองนอก แถมได้ไปเรียนกับมึงด้วย จะโชคดีอะไรขนาดนี้วะ” อะตอมเอามือตบหน้าตัวเองสองสามครั้ง คงอยากจะแน่ใจจริงๆ ว่าไม่ได้ฝันไป ผมเห็นแล้วก็ขำ

“แม่กูเชื่อใจมึงแล้วไง เขาไม่เชื่อใจใครง่ายๆ นะเว้ย มึงเอาชนะใจเขาได้ก็แสดงว่ามึงสุดยอดแล้ว” ผมหยอดช่วงท้าย

“แฟนใครนะ เก่งขนาดนี้”

“แฟนกูเองแหละ” ผมรีบรับสมอ้างและหัวเราะคิกคักชอบใจ

“ไหนๆ แม่มึงก็อนุญาตแล้ว คืนนี้…จัดหน่อยไหม” อะตอมยักคิ้วและทำหน้าทะเล้นใส่ผม

“อนุญาตปุ๊บก็จะเอาทันทีเลยนะมึง” ผมแกล้งว่า

“หรือมึงไม่อยาก เห็นสะกิดกูให้_ว่าวให้แทบทุกวัน ทำเองก็ไม่ทำ”

“อ้าว ก็มีแฟนแล้วจะทำเองทำไมล่ะ ก็ให้แฟนทำให้ดิ”

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย กูชอบ ว่าแต่…คืนนี้จัดเลยไหม” อะตอมถามย้ำอีก

“เดือนที่แล้วมึงใช้งานกูหนักนะเว้ย ยังไม่หายเหนื่อยเลย จะไม่ให้กูพักมั่งเหรอ” ผมเฉไฉ

“อ๋อได้ งั้นเก็บแรงไว้เยอะๆ นะ เพราะเรื่องนี้กู…ซาดิสม์” อะตอมเค้นเสียงให้ฟังดูน่ากลัว

“จริงดิ” ผมถามกวน

“เออ แล้วกูก็ชอบจิกหัว ตีก้น แล้วก็พูดคำหยาบด้วย อ้อ อีกอย่างนะ ต้องมีแซ่เฆี่ยนแล้วก็เอาน้ำตาเทียนหยดด้วย”

“เชี่ยนี่ พูดซะกูหดหมด เดี๋ยวกูเบี้ยวซะเลย”

“โอ๋ๆ อะล้อเล่นๆ” อะตอมทำเสียงทะเล้น ยกมือทำท่าบ๋อแบ๋ ไม่นานก็ยิ้มเจ้าเล่ห์อีก “แต่ที่พูดไปเมื่อกี้ มีจริงอยู่อย่างหนึ่งนะเว้ย”

“อะไร”

“เก็บแรงไว้เยอะๆ เดี๋ยวก็รู้ แต่กูประเมินแล้ว กูว่ามึงไหว กูคิดท่าไว้แล้วด้วย” อะตอมหัวเราะหึๆ

“หื่นนะมึง แหม...ปล่อยมาเยอะเลยนะ กลัวตายล่ะ” ผมท้าทาย

“มึงไม่ต้องกลัวกูหรอกเว้ย กูรักมึง แล้วมึงก็รักกู คนรักกันเขาต้องทำให้คู่เขามีความสุขอยู่แล้ว รับรองกูจะทำให้มึงสุขสุดๆ จนต้องร้องขอชีวิตกูเลย”

ผมไม่โต้ตอบ ได้แต่ยิ้มมีความสุขไปความทะลึ่งทะเล้นของอะตอม

“ก่อนไปเมกา ไปเที่ยวภูเขากันไหม” อะตอมเปลี่ยนเรื่อง

“เอาดิ ไปไหนดี”

“ภาคเหนือดีไหม ภูเขาเยอะดีนะ กูอยากเข็นรักขึ้นภูเขา”

“เหนื่อยแล้วอย่ามาบ่นนะเว้ย” ผมเตือนกึ่งขู่

“เดี๋ยวกูฟิตเต็มที่เลย แค่นี้สบาย” อะตอมโว

“ได้ เดี๋ยวกูจะคอยดู”

“เออ...กูว่า…ต่อไปเราเลิกพูดกูมึงดีไหม” อยู่ๆ อะตอมก็ถามแบบนี้

“ทำไม แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”

“ถ้ากูไปอยู่บ้านมึงแล้วพูดมึงกู กูว่ามันฟังดูไม่ดีว่ะ เพราะว่ากูกับมึงเป็นแฟนกันแล้ว ให้กูเรียกมึงพี่ละกันนะ ไหนๆ มึงก็อายุมากกว่ากูอยู่แล้วนี่ กูว่าน่ารักดีนะเว้ย ดีไหมครับพี่กัปตัน”

“ดีสิครับน้องอะตอม” ผมทำเสียงทะเล้นบ้าง จากนั้นเสียงหัวเราะขบขันของพี่กัปตันและน้องอะตอมก็ดังลั่นรถ

ผมมีความสุขเหลือเกินที่มีคนเห็นค่าความรักของคนอย่างผม ขณะเดียวกันก็มีความสุขที่ได้เห็นคนที่ผมรักมีความสุขกับชีวิตใหม่ เพราะความรักและความพยายามของเขา แม้จะต้องเข็นรักขึ้นภูเขาจนเหนื่อยแค่ไหน แต่เขาก็อดทนทำจนสำเร็จ เอาชนะใจผม เพื่อน พี่ ป๊าและแม่ผมได้อย่างราบคาบ เราสองคนจึงมีวันนี้ในที่สุด

ขอบคุณที่รักพี่คนนี้นะครับน้องอะตอม



จบ…ไม่บริบูรณ์






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ผ่านด่านคุณแม่ได้แล้วคุณแม่ยังให้ได้ไปเรียนที่เมืองนอกด้วยกันด้วย  :katai2-1: :katai2-1:

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อะตอมโชคดีมากๆที่เจอคนดีให้โอกาสต่างๆในชีวิต  o13

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เยี่ยมมากเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ดีใจด้วยนะกัปตัน ที่อะตอมสอบผ่านด่านคุณแม่แล้ว ก็ได้รับโอกาสได้ไปเรียนกับคนที่รักด้วย

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
นิยายจบแล้ว รบกวนแอดมินย้ายให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เง้ออออ......จบ....ไม่สมบูรณ์
ไหนว่าอะตอมซาดิสถ์ จัดหนัก มีแส้ น้ำตาเทียน
แสดงว่าไรท์ มีตอนพิเศษใช่ไหม รอนะ  :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
ทั้งสองคนโชคดีนะที่เจอรักแท้ ครอบครัวก็เข้าใจ เข้าใจแม่ของกัปตันนะ
เป็นเราๆก็กลัวๆลูกถูกหลอก ยิ่งพิการด้วยจะหาคนรักจริงยากมากๆ
แต่อะตอมเก่งนะ เด็กดีมาก สู้ชีวิตสุดๆ จะบอกว่าใครโชคดีกว่ากันก็คงเป็นพ่อแม่ของกัปตันแหละ
งานเยอะมากไม่มีเวลาเข้ามาอ่านเลย อยากเข้ามาตอบหลายรอบแล้ว
แต่ไม่รู้จะพิมพ์อะไร บรรยายไม่เก่ง  :mew2:
นิยายเรื่องนี้ดีนะไม่ได้เน้นแต่เรื่องรักของหนุ่มสาวเราชอบมาก
เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ อย่าน้อยใจคนเม้นท์น้อย ยังไงก็ยังมีคนรออ่านผลงานคุณอยู่ :L1:

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เอาชนะใจแม่ได้  แถมได้ไปเรียนต่อด้วยกันอีก ดีใจ :กอด1: ขอบคุณนะคะ สนุกมาก

ออฟไลน์ annch

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ npsp2555

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :pig4:เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด