♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)  (อ่าน 92663 ครั้ง)

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP06
ใครว่าผมอยากเป็นเด็กเสี่ย


อ่านจบแล้วชอบ อย่าลืมบวกเป็ดให้คนเขียนด้วยนะครับ :)

<<<DOME>>>

บอกตรงๆ ว่าผมขึ้นมากที่รู้ว่ามีคนมาล้อเลียนน้องผมแบบนั้น แม้เป็นเพียงญาติแต่กัปตันก็เป็นน้องที่ผมรักและผูกพันด้วย ตอนกัปตันเด็กๆ ผมมักพาเขาไปเที่ยวและคอยดูแลอย่างดีเสมอ น้าเล็กเองก็ไว้ใจผม ถ้าไม่ใช่ผมพาไปแล้ว น้าเล็กก็แทบไม่ยอมให้กัปตันไปไหนกับคนอื่นเลย ส่วนมากน้าเล็กมักจะพาไปเอง เพราะฉะนั้น ผมยอมไม่ได้แน่ถ้าใครมารังแกน้องรักของผม ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ

ผมสืบข้อมูล "ไอ้หล่อปากหมา" มาแล้ว ได้ข้อมูลจากสายรหัสของมันที่ผมพอรู้จักนั่นแหละ พี่รหัสติดตัวของมันชื่อดิน ผมพอรู้จักอยู่เพราะเคยให้กลุ่มมันมาช่วยออกแบบบู๊ธให้เมื่อปีที่แล้ว ผมจึงแอบถามข้อมูลของมันจากดินนี่แหละ มีอยู่สองเรื่องสำคัญที่ผมจำได้แม่น

เรื่องแรก มันชอบกินน้ำพริกหรือของเผ็ดๆ มาก เรื่องที่สอง มันเป็นลูกคนเล็ก พ่อแม่ตามใจ จึงทำให้มันเอาแต่ใจและปากไม่ค่อยดี ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ค่อยกล้ามีเรื่องกับใครเพราะมันตัวเล็ก มันเคยปากไม่ดีกับเพื่อนสมัยมัธยมปลายที่ซ่าๆ หน่อย โดนยำซะเละเลย หลังจากนั้นมันก็ไม่กล้าปากดีกับพวกนี้อีก ยกเว้นกับคนที่มันเห็นว่าอ่อนแอกว่าเท่านั้น

ผมรออยู่เกือบสิบนาที ในที่สุดมันก็มาหาตามที่ผมสั่ง แต่ไม่ได้สั่งโดยตรงหรอก ผมบอกให้ไอ้ดินมันสั่งน้องรหัสมันอีกทอด ที่นัดหมายอยู่ข้างหลังอาคารหลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดรั้ว เดินไปอีกหน่อยจากตรงนี้ก็จะถึงรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยปกติจะไม่ค่อยมีคนมาแถวนี้เท่าไหร่ มันจึงปลอดผู้คนเป็นบางช่วงเวลาเหมือนตอนนี้

พอเห็นร่างของมันปรากฎในลานสายตา ผมก็ลุกขึ้นจากม้านั่งหินอ่อนแล้วเดินไปหามัน มันหยุดชะงักและลังเลเพราะจำผมได้ ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่หนี พอเดินมาถึงมัน ผมก็เอามือที่ไพล่หลังออกและยื่นของบางอย่างให้มัน

"กูได้ข่าวว่ามึงชอบกินน้ำพริก ก็เลยซื้อมาฝาก"

"พี่ให้ผมเหรอ" อินถามพลางมองดูขวด "น้ำพริกแมงดา" ที่ผมยื่นให้ ทว่าไม่กล้ายื่นมือมารับ

"เออ รุ่นพี่ซื้อของมาฝาก มึงน่าจะรู้นะว่ามึงต้องทำไง ถ้าไม่ใช่มึง กูไม่ซื้อให้นะเว้ย" ผมทำเสียงดุ

"อ้าว" อินหน้าเหลอ กระนั้นมันก็ค่อยๆ ยื่นมือมารับขวดน้ำพริกไปจากผม

"ขอบคุณครับ พี่รู้ได้ไงว่าผมชอบกินน้ำพริกแมงดา หรือว่าเมื่อวานพี่ดมกลิ่นผมก็เลยรู้"

"เชี่ยนี่" ผมสบถแล้วตบหัวมัน ไม่ถึงกับแรงมากแต่มันก็นิ่วหน้าเจ็บ "ว่ากูเป็นหมาเหรอ ปากหมาสมคำร่ำลือจริงๆ นะมึง คิดว่ากูเป็นเพื่อนเล่นมึงหรือไง"

อินเอามือลูบๆ ตรงเนินหน้าผากไกล้ไรผมที่โดนตบ มันคงงงไม่น้อย เพราะปกติจะเล่นตบหัวกันได้ต้องสนิทกันระดับหนึ่ง มันจึงบ่นอุบอิบ

"ทำไมต้องตบหัวด้วยวะ"

"บ่นไร" ผมพูดเสียงดุ

"เปล่า แล้วพี่ให้ผมมาหาทำไม" อินถามเรื่องที่สงสัยมากที่สุด

"เดี๋ยวมึงก็รู้" ผมยกยิ้มมุมปาก หัวเราะหึๆ ในลำคอ "เอ...ชอบกินน้ำพริกขนาดนี้ แสดงว่าปากมึงก็ไม่ควรแตก เพราะถ้าปากมึงแตก มึงก็กินน้ำพริกไม่ได้ จริงไหม"

"ครับ" อินทำหน้างงเข้าไปใหญ่ คงสงสัยเต็มทีว่าผมต้องการอะไรกันแน่

"ถ้างั้น...มึงก็ต้องเลิกล้อเลียนน้องกู ไม่งั้นกูจะทำให้ปากมึงแตกแล้วเอาน้ำพริกขวดนี้ยัดปากมึง!" ผมกระแทกเสียงและขึงตาดุใส่มัน

อินหน้าเหวอและออกอาการกลัวผมอย่างเห็นได้ชัด มันมองซ้ายขวาคล้ายกับจะหาทางหนี พอผมลองแกล้งเดินเข้าไปใกล้ อินก็เขยิบถอยหลัง พอผมหยุด มันก็หยุดตาม

"ยังไม่รับปากกูอีก แสดงว่ามึงอยากลองดีเหรอ" ผมขู่พลางชี้หน้า

คราวนี้อินถึงกับหน้าซีด "เปล่าครับพี่"

พูดจบมันก็หันหลังกลับและจะวิ่งหนี ผมรีบตามไปล็อคคอมันไว้ทันที ร่างขาวเล็กดิ้นขัดขืนและร้องโวยวายใหญ่

"พี่จะทำอะไรผมน่ะ ปล่อยผมนะ"

"มึงจะรับปากหรือไม่รับปาก เร็ว! ตอบกูมา!" ผมแย่งเอาขวดน้ำพริกมาถือไว้แล้วขู่มันอีกที "ถ้ามึงไม่รับปาก กูจะเอาขวดนี้กระแทกปากมึง แล้วก็เอาน้ำพริกแมงดาของโปรดยัดปากมึงด้วย มึงจะได้รู้ไงว่ากินน้ำพริกตอนไหนมันแซ่บกว่ากัน ระหว่างตอนปากธรรมดากับตอนปากแตก"

"เฮ้ยพี่อย่า!" อินร้องห้ามเสียงหลง มันพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต แต่ยิ่งดิ้นผมยิ่งล็อคแน่น พอมันรู้ตัวว่าสู้แรงผมไม่ไหวก็ยกธงขาวเอาง่ายๆ "ผมยอมแล้วพี่ ผมจะไม่ทำแล้วครับ"

"แน่ใจ" ผมถามย้ำ

"ครับพี่ ต่อไปผมจะไม่ว่าน้องพี่อีกแล้ว"

"งั้นมึงมานี่"

ผมลากคอเสื้อมันและพามานั่งตรงโต๊ะม้าหินอ่อน ผมให้มันนั่งลงและปล่อยมันเป็นอิสระ

"มึงเรียกน้องกูว่าไอ้เป๋ทำไม"

ตอนแรกผมว่าจะปล่อยมันไปแล้วล่ะ แต่อยู่ดีๆ ก็นึกอยากคุยกับมันและถามหาสาเหตุ จะว่าไปหน้าหล่อๆ ของมันก็มีเสน่ห์ใช้ได้อยู่ เสียแต่ปากของมันเท่านั้นแหละ

"กูถามทำไมไม่ตอบ มึงมีปัญหาอะไรกับน้องกูเหรอ น้องกูไปทำอะไรให้มึง" ผมถามย้ำเสียงดุอีกรอบเพราะมันยังนั่งสั่นกลัวอยู่

"เปล่าครับพี่"

ผมขมวดคิ้วและจ้องหน้ามัน "เปล่าเหรอ ถ้ามึงไม่มีอะไร มึงจะหาเรื่องน้องกูทำไม"

"ผมไม่ได้หาเรื่องซะหน่อย"

"อ้าว ก็มึงเรียกน้องกูว่าไอ้เป๋ ไม่เรียกหาเรื่องแล้วจะเรียกอะไร" ผมชักหงุดหงิด แต่เห็นมันกลัวจนหน้าซีดก็เลยต้องลดท่าทางขึงขังลง "กูถามจริง มึงมีปัญหาอะไร บอกมา"

"ผมก็แค่อยากเตือนเขาเท่านั้นแหละ" ในที่สุดอินก็ยอมบอก

"เตือน" ผมเลิกคิ้วสูง ก่อนแค่นหัวเราะ "เรียกน้องกูแบบนี้ มึงว่าเตือนเหรอ เตือนห่าอะไรของมึงวะ นี่มันล้อเลียนชัดๆ"

"ใช่ ผมยอมรับว่าผมล้อมัน แต่ผมก็เตือนมันด้วย ไม่ได้ล้ออย่างเดียวซะหน่อย" อินเถียงก่อนก้มหน้าเล็กน้อย

"เตือนเรื่องอะไร"

อินนั่งนิ่ง สักพักมันก็เงยหน้ามาพูดด้วย "พี่จำคนที่จะต่อยกับผมได้หรือเปล่าล่ะ"

ผมพยายามนึกหน้าไอ้คนตัวที่สูงกว่า ถึงจะเห็นไม่นานแต่ก็คิดว่าพอจำได้ "เออ แล้วไง"

"มันมีแฟนแล้ว แต่มันน่ะ...ชอบมาอ่อยไอ้เป๋"

"ไอ้เหี้ย!" ผมตบหัวมันอีกทีด้วยความโมโห อินยกมือมาป้องกันตัวเองไว้

"ขอโทษครับ ติดปากไปหน่อย" อินหน้าแหย

"แล้วตกลงมันยังไงวะ มันมีแฟนแล้วยังไง" ผมถามต่อ เมื่อกี้มัวแต่โมโหเลยจำไม่ได้ว่ามันพูดอะไร

"มันอ่อยน้องพี่ไง"

"อ่อยน้องกู" ผมทวนเสียงเกือบสูง พลันก็นึกสงสัย ไอ้หมอนั่นมันเป็นผู้ชาย แล้วมันจะมาอ่อยน้องผมทำไม "มึงพูดอะไรของมึงวะ นี่มึงกลัวจนพูดไม่รู้เรื่องหรือเปล่าเนี่ย"

"ผมพูดจริงๆ ผมสังเกตดูหลายทีแล้ว ไอ้อะตอมน่ะ...มันจะหลอกใช้...เอ่อ...ชื่ออะไรนะ" อินพยายามนึกชื่อน้องชายผม

"กัปตัน" ผมบอกชื่อน้องผมไป

"ใช่...ผมว่าไอ้อะตอมมันต้องมาหลอกกัปตันแน่ๆ เพราะตอนนี้มันก็เกาะผู้หญิงที่รวยกว่ามันอยู่"

"น้องกูเป็นผู้ชายนะเว้ย ไม่ได้เป็นเกย์" ผมค้านเสียงหนักแน่น

"ผมไม่รู้ ผมก็บอกตามที่ผมเห็นน่ะ ไอ้อะตอมน่ะ...ฐานะที่บ้านมันไม่ดี มันต้องหาเงิน ผมได้ข่าวว่ามันขายตัวให้พวกอาเสี่ยด้วย"

ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อที่มันพูด แต่ตอนนี้ผมก็ชักเขวและเริ่มเป็นห่วงกัปตันซะแล้ว ที่ผ่านมากัปตันถูกน้าสาวของผมปกป้องยังกะไข่ในหิน ไม่ค่อยให้ออกมาสุงสิงกับเพื่อนๆ ทักษะการเรียนรู้สังคมและเพื่อนของกัปตันจึงน้อยกว่าคนวัยเดียวกัน โอกาสที่จะไม่ทันคนหรือถูกหลอกย่อมมีสูง

"พี่ไม่เชื่อผมเหรอ เดี๋ยวผมจะให้ดูอะไร" ว่าแล้วอินก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา กดๆ พิมพ์ๆ สักพักก็ส่งมือถือมันมาให้ผม ในหน้าเว็บเพจที่เปิดไว้มีภาพของเพื่อนน้องชายผมหลายภาพ ล้วนแต่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นทุกภาพ บางภาพไม่มีเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ แต่ดีที่ยังใช้มุมหลบเอียงซ่อนของสงวน

"แล้วไง" ผมส่งโทรศัพท์กลับคืนให้อิน ที่จริงผมก็ไม่รู้สึกว่าผู้ชายถ่ายภาพแบบนี้เป็นเรื่องแปลกในยุคนี้ ผมเองยังเคยถ่ายภาพตัวเองใส่ชุดว่ายน้ำขึ้นเฟสเลย

"พี่ไม่รู้เหรอ คนที่ถ่ายภาพเซ็ตนี้ชื่อแอร์ เขาชอบหลอกเด็กผู้ชายมาทำงานถ่ายแบบด้วย แต่เบื้องหลังน่ะ เขาเป็นเอเย่นต์ส่งเด็กขายเสี่ย เพื่อนผมก็โดนไปแล้ว พี่คิดดูดิ ไอ้อะตอมมันทำงานกับพี่คนนี้มาหลายปีแล้ว พี่ว่าจะเหลือเหรอ ที่มันมาเรียนที่นี่ได้ ก็เพราะมันหาเงินแบบนี้แหละ น้องพี่มันไร้เดียงสาจะตาย เดี๋ยวก็โดนมันหลอกเอาหรอก"

ผมยอมรับว่าคล้อยตามและรู้สึกตกใจกับเรื่องที่อินเล่าให้ฟังไม่น้อย ถ้าเป็นอย่างที่มันว่ามา ผมคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างก่อนจะสายเกินไป กระนั้น สิ่งแรกที่ผมควรทำคือสืบหาความจริงก่อน เพราะถ้าเกิดไม่เป็นจริงขึ้นมาผมจะกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ ผมไม่ชอบให้ตัวเองเป็นคนแบบนั้นเสียด้วย

"เออ เรื่องนั้นน่ะ เดี๋ยวกูจัดการเอง ถ้ากูอยู่ ไม่มีใครมาหลอกน้องกูได้หรอก แต่มึง...รับปากกูแล้วนะเว้ยว่าจะเลิกล้อเลียนน้องกู"

"โธ่พี่ ผมก็ลูกผู้ชาย รับปากแล้วผมไม่คืนคำหรอกน่า" อินยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ

"ก็ดี" ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ "กูจะไปละ กูมีแค่นี้แหละ อะ เอาไปแดกซะ" ผมส่งน้ำพริกคืนใส่มือมัน

"อ้าว แล้วไม่คิดจะขอบคุณผมบ้างเหรอ" อินทวงด้วยสีหน้าตัดพ้อ

ผมหยุดชะงัก ก่อนหัวเราะหึๆ "ก็น้ำพริกนั่นไง กินให้อร่อยละกัน" ผมยกยิ้มและหันหลังเดินออกไป

"เดี๋ยวสิครับพี่" อินร้องเรียกผมไว้อีก

ผมหยุดและหันไปมอง ชักเริ่มรู้สึกรำคาญบ้างแล้ว "อะไรของมึงอีกวะ"

"พี่ชื่ออะไรน่ะครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อพี่เลย"

ผมขมวดคิ้ว พลางนึกทบทวนว่าผมบอกชื่อมันหรือยังเพราะคุยกันตั้งนานสองนาน แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้บอกจริงด้วย

"โดม" ผมตอบสั้นๆ

"ผมชื่ออินนะครับ ชื่อจริง...สาริน"

"กูรู้แล้ว" ผมกระแทกเสียงห้วน

"แล้วพี่จะไม่บอกชื่อจริงผมหน่อยเหรอ" อินทวง

"ไปหาเอาเองเว้ย กูจะรีบไป" ผมหันหลังเดินหนีเป็นครั้งที่สอง แต่มันก็ยังเรียกไว้อีก

"เดี๋ยวสิพี่"

"อะไรวะ" ผมหันไปตวาดเพราะชักโมโห

"ผม...ขอเบอร์พี่ได้ไหม ไลน์ก็ได้ หรือเฟสก็ได้" อินถามกล้าๆ กลัวๆ

"มึงจะเอาไปทำอะไร" ผมขมวดคิ้ว

"ก็...เผื่อมีอะไรอัปเดต ผมจะได้โทรไปบอกพี่ไง"

"อัปเดตเรื่องอะไรวะ" ผมงง

"อ้าว ก็เรื่องไอ้อะตอมไงพี่ ผมเรียนคณะเดียวกับมัน ภาควิชาเดียวกัน เจอมันแทบทุกวัน ถ้ามีอะไรผิดปกติ ผมจะได้โทรไปบอกพี่ไง ไม่ดีเหรอ"

ผมหัวเราะหึๆ ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ "กูไม่ให้เว้ย ถ้าอยากได้ ไปขอน้องกูเองละกัน"

พูดจบผมก็เดินแกมวิ่งออกไป มันไม่เรียกตามหลังแล้ว ทว่าผมกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังอมยิ้มให้กับหน้าหงอๆ ของมันตอนโดนผมแกล้ง แถมกลิ่นตัวหอมแปลกๆ ของมันก็ยังติดปลายจมูกผมอยู่ จะว่าไปมันก็น่ารักดี แต่ก็ดูตลกๆ ด้วย นึกหน้ามันแล้วผมก็เผลอหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง



<<<CAPTAIN>>>

​เย็นวันศุกร์ หลังกลับมาถึงคอนโดที่พัก กัปตันก็ชวนผมไปซื้อของที่ห้าง เพราะของบางอย่างในตู้เย็นพร่องไปบ้างแล้ว ผมเองก็กะว่าจะไปซื้อของใช้ส่วนตัวบางอย่างด้วย กัปตันจึงขับรถพาผมไปห้างตรงรถไฟฟ้าบีทีเอสใกล้ๆ ที่ชั้นล่างมีซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย ระหว่างทางผมก็ถามมันถึงสาเหตุที่นั่งรถวีลแชร์ แต่ก็คุยได้ไม่จบเพราะมาถึงห้างเสียก่อน

หลังลงจากรถและเข้ามาในห้าง ผมก็ชวนคุยต่อ

"เอ...แต่กูได้ยินข่าวนะเว้ยว่าประเทศไทยไม่มีเชื้อโปลิโอตั้งยี่สิบปีได้แล้วมั้ง ถึงแม่มึงจะลืมพาไปฉีดวัคซีน แต่มันก็ไม่น่ามีเชื้อให้ติดไม่ใช่เหรอวะ"

"ก็ใช่ ตอนที่กูเกิดน่ะ เขากวาดล้างหมดแล้ว ป๊ากูเขาเคยถามหมอเหมือนกันว่าทำไมกูถึงติดเชื้อนี้ได้ หมอเขาก็เลยถามป๊ากูว่าเคยพากูไปต่างประเทศ หรือไปอยู่ตรงที่มันสกปรก ติดเชื้อง่ายหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าใช่ สุดท้าย...หวยมันมาออกที่พี่เลี้ยงกูนี่แหละ"

"พี่เลี้ยงมึง...พิการเหรอ" ผมเลิกคิ้ว

"ไม่ใช่ ตอนนั้นป๊ากับแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงกู กูอยู่กับพี่เลี้ยงคนลาว ตอนเด็กๆ กูพูดลาวได้นะเว้ย" กัปตันหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดสืบไป "พอถึงสงกรานต์พี่เลี้ยงกูเขาก็จะกลับลาวทุกปี กูยังจำได้เลยว่าเขาอยู่แขวงเซียงของ พอหมดสงกรานต์เขาก็กลับมาใหม่ เชื้อก็น่าจะติดมากับเขานั่นแหละ เพราะที่ลาวมันยังมีระบาดอยู่"

ผมพยักหน้าเข้าใจ อดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ กัปตันเล่าว่าป๊ากับแม่งานรัดตัวมาก ก็เลยลืมพาลูกไปหยอดวัคซีนโปลิโอซ้ำตอนสามขวบ มารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปหลายเดือน แต่ก็กัปตันก็ได้รับเชื้อไปแล้ว ยังดีที่เคยฉีดวัคซีนมาก่อนหน้านั้น จึงพอลดความรุนแรงไปได้บ้าง บวกกับแม่คอยพาไปบำบัดรักษาตามที่ต่างๆ กล้ามเนื้อจึงไม่ถูกทำลายมากเกินไป แต่ก็ไม่แข็งแรงพอให้เดินเองได้

"ถึงว่า...แม่มึงถึงรู้สึกผิดมากขนาดนี้" ถึงผมจะไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมีลูกได้ แต่ก็พอเข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่บ้าง

"เออดิ กูถึงต้องระวังไง อะไรยอมได้บางทีกูก็ต้องยอม ตอนกูอยู่มอต้นนะเว้ย กูเคยโมโหเขาที่เขาวุ่นวายกับกูเยอะไปหน่อย ก็เลยเถียงเขา แม่กูร้องไห้หนักเลย ตอนหลังๆ กูก็เลยไม่ค่อยกล้าเถียงเขามาก"

"ก็ดีแล้ว มึงยังดีนะที่แม่มึงรัก แม่กูดิ ทิ้งกูไปเลย" พอพูดถึงแม่ตัวเองทีไร ผมก็นึกน้อยใจทุกที แม้จะพยายามไม่คิด แต่บางทีก็อดคิดไม่ได้

"มึงน้อยใจแม่เหรอ" กัปตันถามด้วยสีหน้าเห็นใจ

ผมหยุดเดิน กัปตันก็หยุดตาม "มึงว่ามันน่าน้อยใจไหมล่ะ กูเป็นลูกเขาทั้งคนนะเว้ย ทิ้งกูไปแบบนี้ มึงจะให้กูคิดไงวะ แต่ช่างเหอะ กูอยู่ของกูได้แล้ว ไปซื้อของดีกว่า" ผมตัดบท จากนั้นก็เดินนำกัปตันเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งเรามาถึงพอดี

ผมบอกให้กัปตันรอแล้วเดินไปหยิบรถเข็น จากนั้นก็เดินซื้อของด้วยกัน ช่วงหนึ่งผมเข็นผ่านมาทางช่องทางเดินก่อนถึงแคชเชียร์เพื่อหาของบางอย่าง สายตาผมพลันเหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งเข้า ซ้ำยังบังเอิญที่ใครคนนั้นก็หันมาเจอผมด้วย อั้มนั่นเอง น่าจะมาซื้อของกับแม่ เพราะผมเห็นแม่ของเธอกำลังจ่ายเงินพอดีตรงแคชเชียร์พอดี

ผมหยุดยืนนิ่ง กัปตันคงสงสัยจึงมองตามสายตาผมไป ครู่เดียวอั้มก็หันไปคุยกับแม่ ไม่นานก็พากันเข็นรถเข็นออกไปโดยไม่สนใจผม

"ยังไม่หายโกรธกันอีกเหรอ" กัปตันถาม เรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิด

"ยัง" ผมบอกเสียงเครียด สายตาคอยมองตามแฟนตัวเองจนหายลับตาไป

"อย่าหาว่ากูยุ่งเรื่องส่วนตัวของมึงนะเว้ย แต่กูว่าทิ้งไว้นานไม่ดีว่ะ กูเห็นมึงเครียดมาหลายวันแล้ว มึงไม่อยากลองคุยกับเขาหน่อยเหรอ" กัปตันแนะ สีหน้าดูเกรงใจหน่อยๆ

ผมถอนหายใจเบาๆ "ก็ดีเหมือนกัน"

... ... ...

หลังได้ของที่ต้องการหมดแล้ว เราก็เข็นมาที่แคชเชียร์ ผมช่วยออกเงินครึ่งหนึ่ง และน่าจะเป็นข้อตกลงของเรานับจากนี้เวลามาซื้อของที่ต้องกินใช้ด้วยกัน เมื่อจ่ายเงินเสร็จและเข็นรถออกไป ผมก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้งเมื่อเห็นอั้มมายืนรออยู่ตรงด้านหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต เธอเดินเข้ามาหาผมทันที

"ไม่คิดว่าเราควรจะคุยกันหน่อยเหรอ" น้ำเสียงที่พูดฟังดูขุ่นเคืองระคนน้อยใจอยู่ในที

ผมหันมามองกัปตัน เขาพยักเพยิดเป็นสัญญาณว่าผมควรจะทำอย่างที่อั้มขอ ผมจึงหันไปตอบแฟน "เดี๋ยวเอาของไปเก็บก่อนนะ อั้มรออยู่ตรงนี้แป๊บหนึ่ง เดี๋ยวมา"

พูดจบผมก็เข็นรถเข็นของนำกัปตันไป ผมเอาของใส่หลังรถจนหมดจึงพากัปตันเข้ามาในห้างใหม่ กัปตันขอแยกตัวไปร้านหนังสือและปล่อยให้ผมกับอั้มคุยกันสองคน

ผมพาอั้มไปนั่งในร้านคอฟฟี่ช็อพเล็กๆ คนไม่ถึงกับมากแต่ก็พอคุยกันส่วนตัวได้ นางฟ้าของผมยังคงหน้าเครียด เพราะดูเหมือนความรักของเรายากขึ้นทุกทีๆ จากเดิมที่มันก็ยากอยู่แล้ว

"แล้วแม่ล่ะ" ผมถามถึงอีกคนที่มากับเธอ

"ไปดูของ" อั้มตอบสั้นๆ ก่อนถามกลับ "เพื่อนเหรอ"

ผมเดาว่าอั้มคงหมายถึงกัปตัน จึงพยักหน้ายอมรับ

"ดูสนิทกันดีนะ"

ไม่รู้ว่าพูดประชดหรืออะไรกันแน่ แต่ผมเลือกที่จะไม่ต่อความยาว อั้มคงรู้ว่าผมไม่ต้องการให้กัปตันเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอจึงวกมาเรื่องของเรา

"เลิกเดินแบบได้ไหม หรือไม่ก็...ทำงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่แอร์"

นั่นคือข้อเสนอที่อั้มบอกผมเป็นครั้งที่สอง ทั้งๆ ที่เธอก็รู้ว่ามันยากแค่ไหน

"อะตอมบอกอั้มแล้วไง ถ้าไม่เดินแบบ จะเอาเงินที่ไหนมาเรียนล่ะ อีกอย่าง...ถึงไปทำกับคนอื่น อั้มคิดว่ามันจะไม่เป็นเหมือนเดิมเหรอ"

"แต่พี่แอร์เขาเป็นเอเย่นต์ส่งเด็กให้เสี่ยไม่รู้เหรอ หรือว่าอยากทำ" อั้มถามกึ่งประชด

"พี่แอร์เขาช่วยอะตอมเยอะนะ ที่อะตอมรอดมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะพี่แอร์ช่วย" ผมบอกเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจลำบาก

"ก็รู้" อั้มสวนขึ้นมาทันควัน "แล้วยังไงล่ะ ต้องตอบแทนด้วยการไปเป็นเด็กเสี่ยอย่างนี้เหรอ อั้มว่ามันไม่ใช่แล้วมั้ง" เสียงหวานๆ เริ่มขม ใบหน้าหวานๆ ก็เริ่มไม่น่ามองเหมือนก่อน

ที่จริงแล้วพี่แอร์ไม่จำเป็นต้องรอผมก็ได ติดที่เสี่ยคนนี้เจาะจงผมคนเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นเด็กเขาไม่ได้ เขาก็มีอีกทางเลือกให้ผมคือนอนกับเขาครั้งเดียวและเอาเงินหนึ่งแสนไป บางทีผมก็นึกอยากเลือกแบบนี้ไปเลยจะได้จบๆ แต่ดูท่าทางพี่แอร์ไม่ค่อยอยากได้แบบนี้เท่าไหร่ เพราะค่าหัวคิวคงน้อยกว่าแบบหลัง ที่สำคัญ มีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งต่อๆ ไปตามมา

เมื่อก่อนผมเป็นเด็กมัธยม ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พี่แอร์จึงให้ผมถ่ายแบบอย่างเดียว หางานที่ไม่หวือหวามากให้ทำ แต่พอจบมัธยมแล้ว แกก็เริ่มเจ้ากี้เจ้าการกับงานของผมมากขึ้น งานที่หาให้ก็เริ่มล่อแหลมขึ้นทุกทีๆ เด็กๆ ในสังกัดหลายคนก็เจอแบบผม ส่วนมากเข้ามาตอนเรียนมัธยมปลาย มีงานให้ทำ มีเงินให้ใช้ ความเกรงใจก็ย่อมมีเป็นธรรมดา แต่ก็ถูกใช้นำมาเป็นเครื่องมือกดดันในภายหลัง บางคนก็เต็มใจทำ บางคนก็จำใจทำ แต่ที่ไม่ยอมก็มีบ้าง

"ทำไมถึงตัดสินใจไม่ได้ล่ะอะตอม ถามจริง ยังรักกันอยู่หรือเปล่า" อั้มเริ่มแสดงท่าทีคาดคั้นเอาคำตอบมากขึ้น

"ทำไมอั้มถามอย่างงั้นล่ะ" ผมถามสวนไป

"ก็ตอบมาสิ" อั้มย้อน พลันก็ถอนหายใจเบาๆ "ถ้าอะตอมทำแบบนั้น อั้มบอกตรงๆ นะว่าอั้มคงรับไม่ได้หรอก อั้มไม่เคยขออะไรอะตอมเลยนะ แต่ครั้งนี้...อั้มต้องขอ ถ้ารักกันจริง...อะตอมก็ต้องทำได้ ที่ผ่านมาอะตอมไม่เคยเป็นแบบนี้เลย" อารมณ์ของอั้มเริ่มปะทุ กระนั้นก็พยายามไม่แสดงสีหน้ามากเกินไปในที่สาธารณะ

ฟังแล้วผมก็เหนื่อยใจ ทำไมผมจะไม่อยากทำเพื่อความรักล่ะ ผมก็เหนื่อยกับความรักมาตลอดไม่ใช่หรือ อั้มควรจะเข้าใจผมบ้างว่าบางอย่างมันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด

"ที่บ้านเริ่มสงสัยแล้วว่าอั้มมีแฟน ถ้าอะตอมเป็นแค่นักศึกษาก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าที่บ้านรู้เรื่องพวกนี้ เราจะไม่ได้คบกันนะอะตอม เอาอย่างงี้ไหม อะตอมก็กู้ กยศ. แล้วก็เลิกทำพวกนี้ไปซะ"

นี่คือทางออกใหม่ที่อั้มเสนอ สำหรับผม เงิน กยศ. อย่างเดียวไม่พอใช้อยู่แล้ว แถมจบไปก็เป็นหนี้อีก อีกอย่างผมยังต้องการเงินกินใช้ในเรื่องอื่นๆ ด้วย บางส่วนก็ต้องให้พ่อ ถ้าไม่ถ่ายแบบ ผมก็นึกไม่ออกว่าผมจะหาเงินมากพอได้จากไหน

"อั้มรู้ไหมว่าคนที่เขาลำบาก บีบคั้น เกือบจะอดตายมันเป็นยังไง" ผมถามอย่างน้อยใจ

"แล้วไง มันเป็นความผิดของอั้มเหรอที่อั้มไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นน่ะ อะตอมจะเอายังไงกันแน่ ตกลงยังรักกันเหมือนเดิมหรือเปล่า ตอนเรียนมัธยม...เราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะอะตอม" อั้มทำท่าจะร้องไห้

"อะตอมขอโทษ" ผมเอื้อมมือไปหมายจะจับมืออั้มไว้ แต่เธอกลับถดหนี

"ไม่ต้องขอโทษหรอก เอาอย่างงี้ไหม เดี๋ยวอั้มเอาเงินในบัญชีอั้มมาให้อะตอมครึ่งหนึ่ง แล้วอะตอมก็เลิกทำ"

"อย่าเลยอั้ม" ผมขัดขึ้นเสียงหนักแน่น

อั้มชะงักด้วยท่าทางขัดใจ ก่อนจะตัดพ้อ "ทำไมล่ะอะตอม อะตอมไม่อยากเลิกอาชีพนี้เหรอ"

"อะตอมไม่อยากให้ใครมาว่าได้ว่าเกาะผู้หญิงกิน แค่นี้...คนก็มองอะตอมไปในทางนั้นอยู่แล้ว" คราวนี้เป็นผมบ้างที่นึกอยากจะร้องไห้ อั้มไม่เคยมีชีวิตแบบผม เธอจึงคิดอะไรเหมือนเด็กๆ ในขณะที่ผมมีความคิดเกินคนวัยเดียวกันไปหลายเรื่อง เพราะต้องปากกัดตีนถีบมาหลายปี

นางฟ้าคนสวยของผมถอนหายใจด้วยสีหน้าหงุดหงิด "โอ๊ย ทำไมคุยกันแล้วมันไม่ไปถึงไหนเลย"

ก็ถูกของเธอ แต่ครั้งนี้มันเป็นเพราะว่าผมตามใจเธอไม่ได้เหมือนเรื่องอื่นๆ อีกแล้ว อยู่ที่ว่าอั้มจะเข้าใจและเห็นใจผมบ้างหรือเปล่าเท่านั้น

เสียงโทรศัพท์ของอั้มดังขึ้น เธอหยิบมาดูแล้วก็รีบบอกผม "เดี๋ยวอั้มต้องไปแล้ว แม่โทรตาม"

สรุปว่าเราก็คุยกันไม่จบเหมือนคราวที่แล้ว ผมพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยล้าและมองตามอั้มที่รีบเดินออกไป ก่อนเรียกพนักงานเสิร์ฟมาเก็บเงินค่าเครื่องดื่มที่แพงเอาเรื่อง ระหว่างรอเงินทอนก็ส่งไลน์บอกกัปตันว่าผมเสร็จธุระพร้อมจะกลับบ้านแล้ว กัปตันส่งสติ๊กเกอร์โอเคตลกๆ มาให้ ผมจึงพอยิ้มได้บ้าง

เรานัดมาเจอกันที่รถ กัปตันเอารถขึ้นเองเสร็จสรรพโดยไม่ต้องลำบากผม เขานั่งฝั่งคนขับ ส่วนผมนั่งข้างๆ ก่อนจะขับออกไปกัปตันก็ถาม

"เป็นไง เคลียร์กันได้เปล่า"

ผมส่ายหน้าไปมา สีหน้าตอนนี้คงบอกได้ดีว่าผมเศร้ามากแค่ไหน "กูถามอะไรมึงหน่อยได้ไหมกัปตัน"

"อืม ว่ามาสิ" มือที่กำลังจะสตาร์ทรถของกัปตันหยุดชะงัก

"ถ้าเกิดว่ากูต้องไปเป็นเด็กเสี่ยจริงๆ มึงคิดว่ายังไงวะ" ผมตัดสินใจถามคำถามนี้ เพราะผมอยากรู้ว่าคำตอบของกัปตันกับอั้มจะเหมือนกันหรือเปล่า เผื่อจะช่วยให้ผมตัดสินใจอะไรได้

กัปตันขมวดคิ้วและทำท่าครุ่นคิด ไม่นานก็ตอบผมมา "อืม...กูไม่ได้เป็นมึง กูตัดสินใจแทนมึงไม่ได้หรอก เพราะมึงรู้ปัญหาของมึงเองดีกว่ากู ถ้ามันจำเป็น แล้วไม่มีทางเลือกอื่น กูก็เข้าใจนะเว้ย แต่ถ้าถามว่ากูอยากให้มึงทำไหม กูก็ไม่อยากให้มึงทำหรอก แต่กูเข้าใจแหละว่ามึงลำบาก ต้องหาเงินเยอะ หรือว่า...มึงลองบอกพี่แอร์ตรงๆ ดีไหมว่ามึงไม่อยากทำ มึงเรียนที่นี่แล้ว ถ้าทำแบบนั้นมีสิทธิ์ถูกไล่ออกแหงๆ พี่เขาช่วยมึงมาตั้งหลายปี กูว่าเขาคงไม่ใจร้ายกับมึงหรอก"

ผมอ้าปากค้าง ก่อนโผเข้ากอดกัปตันแน่นและร้องเรียกชื่อ

"กัปตัน"

ผมรู้สึกตื้นตันใจจนอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ นี่แหละกัปตันนำทางชีวิตที่ผมต้องการ ในขณะที่อีกคนกดดันให้ผมทำเพื่อความรัก แต่ไม่เคยเข้าใจเงื่อนไขชีวิตผมเลย ส่วนคนที่ผมกอดอยู่ตอนนี้กลับเข้าใจผมมากกว่า ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันด้วยซ้ำ

"ใจเย็นๆ เว้ยอะตอม" กัปตันกอดและลูบหลังผมเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ

"ขอบใจมึงมากนะเว้ยที่เข้าใจกู"

ที่จริงผมก็แค่ต้องการคนเข้าใจเท่านั้น เพียงเท่านี้ผมก็พร้อมที่จะทำตามที่คนๆ นั้นขอร้องทุกอย่าง แต่อั้มไม่เคยแสดงความรู้สึกนั้นให้ผมเห็นเลย เมื่อก่อนผมยอมปล่อยผ่านได้ แต่พอถึงจุดหนึ่งผมก็อยากขัดขืน

พอสงบสติอารมณ์ได้ผมก็คลายอ้อมแขนออกและคืนสู่ท่านั่งปกติ รู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่ได้ร้องไห้และปลดปล่อยความอัดอั้นที่เก็บไว้นานนับเดือน ผมคลี่รอยยิ้มออกและส่งไปให้คนนั่งข้างๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับมือกัปตันไว้และบีบเบาๆ คำตอบของเขาเมื่อกี้ช่วยให้ผมได้คำตอบสำหรับตัวเองแล้ว

"มึงไม่ต้องห่วงนะเว้ย ยังไงกูก็ไม่ยอมเป็นเด็กเสี่ยหรอก แต่ว่า..." ผมยังไม่กล้าพูดต่อทันทีจึงละไว้

"แต่อะไรวะ" กัปตันทำหน้าฉงน

ผมยิ้มเขิน เห็นกัปตันทำหน้าอย่างนั้นก็รู้สึกขำจนอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ผมไล่สายตามองหนุ่มน้อยในชุดโปโลสีเทาเข้มแขนสั้นจากล่างขึ้นบน หยุดสายตาเชยชมแขนซึ่งถูกขับขาวเนียน แลดูน่าทะนุถนอม ก่อนมาหยุดสายตาที่ใบหน้าขาวหล่อใส ริมฝีปากสีชมพูเรื่อลอยเด่นชัดล่อตาผมเป็นพิเศษ ผมโน้มตัวเข้าไปหาจนใกล้ ก่อนกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของกัปตัน

"กูไม่อยากเป็นเด็กเสี่ยหรอก กูอยากเป็นเด็กมึงมากกว่า ได้ไหมครับเสี่ยกัปตัน"

"เชี่ย!!!"



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:41:02 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2017 20:23:33 โดย ohm »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
 เป็นเด็กกัปตันก็ดีนะ 555 เป็นแฟนกับอั้มฐานะไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ฝ่ายหญิงจะว่าอะตอมหวังรวยมากกว่าอะ
  รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ maekkun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
ละมุนตามกันไปเรื่อยๆ ยังหวังว่าจะเป็นนิยายที่ทำให้หัวใจละมุน

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
​พบกันไม่เกินวันอาทิตย์นี้นะครับ :)



"แค่มึงเมา กูยังไม่มีปัญญาพยุงมึงเดินเลย มึงคิดดูดิ ถ้าเกิดต่อไปกูมีแฟน มึงคิดว่ากูจะดูแลเขายังไงวะ มึงคิดว่าคนอย่างกูควรจะมีความรักหรือเปล่าล่ะ" ผมตัดพ้อจนได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP07 (Part 1)
พิการอย่างผมจะดูแลใครได้



<<<CAPTAIN>>>

ผมถอดหูฟังแบบเฮดโฟนออกวางบนโต๊ะ ก่อนละสายตาจากหน้าจอแมคบุ๊คแล้วเหลือบไปดูนาฬิกาบนผนังห้อง เหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะสามทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าอะตอมเป็นยังไงบ้าง วันนี้เขานัดกับอั้มเพื่อเคลียร์ปัญหากันอีกรอบ เห็นบอกว่าคราวนี้จะต้องได้ข้อสรุปชัดเจน นั่นแปลว่าถ้าไม่รักกันต่อก็คงจะเลิกกันไปเลย

อะตอมออกไปตั้งแต่เลิกคลาสสุดท้ายแล้ว ผ่านไปเกือบห้าชั่วโมงก็ยังไม่กลับ ไม่รู้ว่าทะเลาะกันหนักหรือเปล่า เพราะเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ดูจะหนักหนาเกินวัยของทั้งสองคนไปมากทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับอั้มซึ่งมีพื้นฐานชีวิตที่แตกต่างจากอะตอมมาก โชคดีที่ป๊าสอนผมว่าถึงเราไม่เข้าใจชีวิตของคนอื่น เราก็ไม่ควรตัดสินใครจากมุมมองของเรา เพราะเราไม่ได้มีชีวิตแบบเขา ผมจึงไม่ตัดสินอะตอมเหมือนที่ผมพยายามไม่ตัดสินแม่ นี่คือเหตุผลหลักที่ป๊าสอนผมเรื่องนี้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วผมกับแม่คงขัดแย้งกันมากกว่านี้

ก่อนหยิบหูฟังมาฟังเพลงสากลในยูทูปต่อ เสียงกดกริ่งห้องก็ดังขึ้น คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอะตอม รอยยิ้มดีใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของผม ผมรีบละจากโต๊ะทำงานแล้วเข็นไปรอรับเพื่อนทันที

เมื่ออะตอมเปิดประตูเข้ามา สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก ดูเหนื่อย เศร้าและเครียดระคนกัน

"เป็นไงบ้างอะตอม" ผมอยากรู้ราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง

อะตอมไม่ตอบคำถามผมทันที เขายืนนิ่งคิดอยู่ตรงประตู สักพักก็พ่นลมหายใจยาวและก้มหน้าเล็กน้อย หรือจะเรียกว่าคอตกก็พอได้

"มันจบแล้วว่ะ" อะตอมพูดเบาๆ โดยไม่มองหน้าผม

ผมเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจเล็กน้อย แม้ว่าที่จริงก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้เท่าไหร่ "มึงหมายถึง…เลิกกันเหรอวะ"

อะตอมพยักหน้า ก่อนทรุดลงนั่งชันเข่ากับพื้นและพิงประตูห้อง เมื่อสังเกตดีๆ ผมก็เห็นว่าอะตอมตาบวมๆ ด้วย แสดงว่าคงร้องไห้มาแน่ๆ

ผมเข็นเข้าไปไกล้แล้วถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง "เฮ้ย มึงไหวเปล่าวะอะตอม"

อะตอมเงยหน้ามามองผม แม้กระทั่งจะตอบว่าไหวหรือเปล่าเขาก็ยังลังเล

"มึงอยากไปปลดปล่อยไหม เดี๋ยวกูพาไป" ผมเสนอ ที่จริงผมไม่เคยไปที่แบบนี้หรอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขานิยมไปที่ไหน อีกอย่าง แม่ผมคงด่าหูชาแน่ถ้ารู้ว่าผมไปเที่ยวกลางคืน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและอยากลอง ผมว่าจะลองแอบขัดคำสั่งแม่บ้าง

"ไม่เอาหรอก เปลือง" อะตอมส่ายหน้า ขนาดอกหักมันยังงกเลย คิดดูเอาเองละกัน

"เฮ้ย เดี๋ยวกูช่วยจ่ายก็ได้ กูอยากไปดู กูยังไม่เคยไปเลย" ผมบอกไปตามตรงและยิ้มเก้อเขิน

อะตอมมองผมอย่างแปลกใจ คิ้วหนาสองข้างขมวดเข้าหากันเล็กน้อย "เอางั้นเหรอวะ"

"ไม่รู้ดิ มึงอยากไปหรือเปล่าล่ะ" ผมถามอย่างไม่มั่นใจ

"ถ้ามึงอยากไปกูก็จะพาไป ดีเหมือนกัน กูไม่อยากเครียดกับเรื่องนี้แล้ว"

ผมอดยิ้มดีใจไม่ได้ แม้จะรู้ว่าเพื่อนกำลังเศร้าอยู่ก็ตาม ไม่รู้ว่าใครต้องการสนองความต้องการของใครกันแน่ เอาเถอะ ถึงผมจะแค่อยากไปดู แต่อะตอมก็จะได้ปลดปล่อยอย่างแน่นอน ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

… … …

ในที่สุดผมก็ได้มาเที่ยวผับครั้งแรกกับเขาเสียที เรามาถึงเกือบๆ สี่ทุ่ม อะตอมเป็นคนแนะนำให้มาผับแห่งหนึ่งแถวรัชดาซอยสี่ เพราะมันเคยมาเที่ยวกับเพื่อนๆ ที่ถ่ายแบบด้วยกันบ้าง หลังจากหาที่จอดรถได้ เราก็ตรงมายังทางเข้าด้านหน้า มีบันไดอยู่สี่ห้าขั้น ไม่มีทางลาดเลยแม้แต่จุดเดียว ผมแอบเคืองเจ้าของผับที่ช่างไม่มีวิสัยทัศน์เอาซะเลย คงไม่คิดว่ามนุษย์ล้ออย่างผมก็อยากมาเป็นลูกค้าที่นี่

"คนพิการเข้าไม่ได้นะน้อง" พี่ผู้ชายที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าทางเข้าเดินเข้ามาบอก หลังเห็นเราเมียงๆ มองๆ ว่าจะเข้าทางไหน

"ผมอายุเกินสิบแปดแล้วนะครับพี่ เดี๋ยวผมให้ดูบัตร" ผมบอกพลางทำท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา

"ข้างในคนเยอะ เดี๋ยวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก อย่าเข้าไปเลยดีกว่า" พี่ผู้ชายคนนั้นยืนยัน

"เขามากับผม เดี๋ยวผมดูแลเพื่อนผมเองครับพี่" อะตอมพูดขึ้นมาบ้างหลังเห็นท่าไม่ดี

"มันเป็นกฎของที่นี่น้อง เราไม่ให้คนพิการเข้า" พี่ผู้ชายยังคงยืนกรานอย่างเดิม สีหน้าไม่ยิ้มแย้มบ้างเลย

"โธ่พี่ พิการก็มีหัวใจนะครับ เขาก็อยากมาเที่ยวหาความสุขเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้เหรอพี่ นะครับ เห็นใจเพื่อนผมหน่อย มันกำลังอกหัก ถ้าไม่ได้ปลดปล่อยคืนนี้ มันคงอัดอั้นตันใจตายแน่ๆ เลย นะครับพี่ แค่ครั้งเดียวเอง" อะตอมขอร้องแทนผม ทำท่าอ้อนวอนสุดฤทธิ์ทั้งๆ ที่มันเพิ่งอกหักมาหยกๆ

พี่ผู้ชายยังคงลังเล อะตอมจึงพยายามขอร้องอ้อนวอนอีกสองสามรอบ พี่ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่บนบันไดทางเข้าคงรำคาญ จึงพูดกึ่งตะโกนแทรกมา

"เฮ้ย ให้น้องมันเข้าไปเหอะน่า นั่งริมๆ ก็ได้ จะได้ไม่เกะกะคนอื่น"

ที่จริงก็พูดไม่เข้าหูเท่าไรนัก แต่ผมก็พอยอมๆ ให้ผ่านไปได้ ขอให้ได้เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า ในที่สุดพี่ผู้ชายคนนั้นก็ยอมให้ผมกับอะตอมเข้าไป แถมยังช่วยยกวีลแชร์ผมขึ้นบันไดตรงทางเข้าด้วย อะตอมจับที่จับด้านหลังสองข้าง ส่วนพี่ผู้ชายช่วยกันจับด้านหน้าคนละข้างแล้วยกขึ้น ทุลักทุเลพอสมควร

เมื่อเข้ามาข้างในได้ผมก็ตาโตกับไปแสงสีเสียงของผับแห่งนี้ มันดูมืดๆ สลัวๆ เหมือนที่ผมเคยเห็นในทีวีนั่นแหละ แต่สีสดๆ ของดวงไฟและการตกแต่งก็ช่วยให้มันดูมีชีวิตชีวามากทีเดียว วงดนตรีสดบรรเลงเพลงสุดมัน หนุ่มสาววัยรุ่นและวัยทำงานละลานตาเต็มไปหมด

ผมกับอะตอมถูกพามานั่งริมๆ อย่างที่พี่ผู้ชายคนนั้นบอกไว้ พอนั่งลงอะตอมก็สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารมาเป็นกับแกล้มสองสามอย่าง ส่วนผมยังไม่กล้าดื่มจึงสั่งพวกเครื่องดื่มเบาๆ อีกอย่างผมต้องขับรถกลับด้วยจึงไม่อยากเมามาก เอาเป็นว่าแค่ได้มาเห็นผับและชีวิตคนราตรีก็ดีใจแล้ว มันดูสนุกคึกคักและน่าสนใจไม่น้อย

สาวพริตตี้ในชุดรัดรึงมาบริการเครื่องดื่มให้เราสองคน เธอชวนคุยไปด้วย แต่ผมก็รู้สึกว่าสายตาของเธอมองผมแปลกๆ คงเพราะเห็นผมนั่งวีลแชร์นั่นเอง

“ไปโดนอะไรมาเหรอคะ” พี่สาวคนนั้นถามผมด้วยสายตาอยากรู้

“เปล่าครับ” ผมปฏิเสธและทำท่าไม่อยากคุยเรื่องนี้ เพราะไม่ค่อยชอบใจที่คนเพิ่งเจอกันครั้งแรกถามละลาบละล้วง พี่สาวคงเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของผม เธอจึงหันกลับไปสนใจหน้าที่ของเธอต่อ

ดูเหมือนอะตอมไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวมากนัก มันเอาแต่กระดกเหล้าเข้าปาก ไม่นานเสียงก็ชักอ้อแอ้และแสดงอาการเมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่เท่าไหร่ก็คร่ำครวญถึงความรักที่ผิดหวังของมันให้ผมฟัง ตอนแรกผมก็ฟังไปด้วย มองดูสาวๆ เต้นเพลงสากลบนเวทีไปด้วย ค่าที่ไม่เคยมาเที่ยวแบบนี้ก็เลยอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา แต่สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าต้องฟังเพื่อนอย่างจริงจังแล้ว

"มึงคิดดู กูโคตรรักเขาเลยนะเว้ย สองปี…กูไม่เคยทำอะไรเขาเลย อย่างมากก็แค่จับมือถือแขน เพราะเขาเป็นนางฟ้าของกู กูให้เขาอยู่ที่สูง เพราะกูจะปีนขึ้นไปหาเขาเอง กูจะทำทุกอย่างให้กูคู่ควรกับเขา ขนาดกูไม่มีจะกิน กูก็ยังยอมแดกมาม่าเลย จะได้มีเงินพาเขาไปกินไปเที่ยวหรูๆ แต่เขาน่ะ…ไม่เคยเห็นใจกูเลยว่ะ กูโคตรน้อยใจ มึงคิดว่ากูอยากจะขายตัวเหรอวะ แม่ง…กูก็ไม่คิดจะทำอย่างนั้นซะหน่อย กูก็กำลังหาวิธีปฏิเสธอยู่ แต่เขาจะให้กูเลิกเป็นนายแบบอย่างเดียวเลย แล้วกูจะเอาที่ไหนกินวะ กูไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองนะเว้ย ทำไมเขาไม่เห็นใจกูบ้างวะ"

พอเห็นมันเมาและคร่ำครวญเศร้าโศก ขัดกับบรรยากาศรอบตัวในตอนนี้ ผมก็ชักไม่แน่ใจซะแล้วว่าพาอะตอมมาถูกที่หรือเปล่า เพราะเขาคงต้องการที่ระบายความรู้สึกมากกว่ามาสนุก แทนที่ผมได้จะรับฟังและปลอบใจเพื่อนอย่างเต็มที่ ความวุ่นวายในนี้ก็ทำให้ผมไม่มีสมาธิเลย

"เดี๋ยวมึงก็ได้เจอคนที่เหมาะสมกับมึง อดทนอีกหน่อยนะเว้ย ตอนนี้มึงก็ตั้งใจเรียน ตั้งใจประสบความสำเร็จ วันไหนมึงได้ดีเขาก็จะเสียดายมึงเองแหละ ทำให้เขาเห็นดิว่ามึงทำได้ เชื่อกูดิ คนขยันอย่างมึงน่ะ…ยังไงก็ต้องได้ดี ป๊ากับแม่กูเขาก็มีนิสัยคล้ายๆ มึงนี่แหละ" ผมตะโกนปลอบใจอะตอมแข่งกันเสียงดนตรี

"เออใช่ กูจะทำให้เขาเสียดายกูให้ได้เลยคอยดูดิ" อะตอมกระดกเหล้าเข้าปาก ไม่นานก็หมดไปอีกแก้วอย่างรวดเร็วจนผมชักกังวล สาวที่มาบริการคงรู้ว่าอะตอมกำลังอกหัก เธอจึงเพียงแต่ทำหน้าที่โดยไม่กวนใจ เสร็จแล้วก็ไปโต๊ะอื่น แต่ก็จะคอยแวะเวียนมาดูเรื่อยๆ

มันเมาขนาดนี้คงเดินไม่ไหวแน่ แล้วผมจะพามันกลับคอนโดยังไงล่ะ? ถึงพากลับได้ แล้วผมจะพามันขึ้นไปบนห้องได้ยังไง? อะตอมคออ่อนกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ แสดงว่ามันไม่ค่อยกินเหล้าอย่างที่มันเคยบอกไว้นั่นแหละ ผมนี่ช่างรนหาเรื่องแท้ๆ ลืมคิดไปเลยว่าตัวเองใช้วีลแชร์ ต่อไปถ้ามาที่แบบนี้ต้องพาเพื่อนมาด้วยอย่างน้อยสักคนสองคน เอาไว้พยุงคนเมากลับบ้านแทนผม

เวลาผ่านล่วงเลยไปพอสมควรแล้ว อะตอมเมาจนคอพับคออ่อนและพูดไม่รู้เรื่อง ดูเหมือนจะไม่สนุกอย่างที่คิด ผมจึงเรียกพนักงานมาเช็คบิล ในขณะที่กำลังเครียดๆ ว่าจะพาอะตอมกลับบ้านยังไง คนหน้าคุ้นๆ ก็โผล่เข้ามาในลานสายตาของผม ไอ้อินนั่นเอง ไม่รู้ว่ามันมาได้ยังไง หรือรู้ได้ยังไงว่าผมกับอะตอมนั่งอยู่ตรงนี้

"เดี๋ยวกูพยุงมันเอง" อินบอก จากนั้นก็ย่อตัวลง จับมืออะตอมโอบคอและพาลุกขึ้นยืน

"มึงมาได้ไงวะ" ผมถามหน้าแหยๆ คงเป็นเพราะเข็ดขยาดปากมันนั่นแหละ ไม่รู้ว่ามันจะว่าอะไรผมอีกหรือเปล่า

"มีคนบอกกูว่าเห็นพวกมึงสองคนอยู่นี่ แม่งเป็นอย่างนี้แล้วยังอยากมาเที่ยวอีกนะมึง" อินเหน็บผมจนได้ มันส่ายหน้าไปมาด้วย ผมหน้าเสียไปเลยเพราะน้องที่เอาใบเสร็จมาให้มองผมแปลกๆ

จากนั้นเราก็พากันออกไปจากผับ พนักงานชายสามคนมาช่วยพากันยกผมลงบันได ส่วนอินก็ช่วยพยุงคนเมาอ้อแอ้นำหน้าไปก่อน ดูเหมือนมันไม่คิดจะรอผมเลย

พอตามอินมาทัน ผมก็ชี้มือบอกว่าจะให้มันพาอะตอมไปทางไหน "รถกูจอดอยู่ตรงนู้น"

อินหยุดเดิน ก่อนหันมายกยิ้มใส่ผม "แล้วไง"

"กูจะพามันกลับด้วย"

"มึงมีปัญญาพามันกลับเหรอ" อินยิ้มเยาะ "เดี๋ยวกูจะพามันกลับคอนโดกูเอง มึงกลับของมึงไปเหอะ ทีหลังก็หัดเจียมสังขารด้วยนะเว้ย คนพิการอย่างมึงดูแลใครไม่ได้หรอก"

ผมโดนอินมันว่าอีกแล้ว เล่นเอาผมหน้าชาไปหมดเลย แต่ผมก็หมดคำพูดที่จะโต้เถียงกับมัน จะว่าไปมันก็พูดถูกนั่นแหละ คนพิการอย่างผมจะดูแลใครได้ ขนาดเพื่อนเมาผมยังไม่มีปัญหาพากลับบ้านเลย

อินพาอะตอมเดินแยกไปอีกทาง ผมได้แต่นั่งมองดูสองคนเดินไปด้วยกันอย่างเศร้าใจ อะตอมยังคงส่งเสียงพูดคุยอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ เสียงของมันค่อยๆ เบาลงและไกลออกไปทุกที จนกระทั่งหายไปจากการรับรู้ของผมในที่สุด



TBC



// Part 2 จะตามมาวันสองวันนี้ครับ รู้สึกว่าคนอ่านช่วงแรกๆ จะค่อยๆ หายไปอีกแล้ว ถ้ายังอ่านอยู่ รบกวนแสดงตัวเป็นระยะๆ ด้วยนะครับ จะได้รู้ว่ายังไม่ได้หายไปไหน :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:40:51 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จากตอนที่ 2
ขอยืนยันนะคะว่า บาปตั้งแต่คิดแล้วค่ะ
อะตอมแอบหื่นตลอดอ่ะ 555+ ขอบคุณที่ตั้งใจทุ่มเทให้ทุกตัวอักษรที่เขียนค่ะ ทุกครั้งที่อ่านนิยายของคุณ จะรู้สึกได้ตลอดว่า คุณตั้งใจเขียนมากและใส่ใจทุกตัวอักษรที่เรียงร้อยออกมาจริงๆ ยิ่งอ่านมาถึง part นี่ที่มีเพลงด้วย ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนมาก

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จากตอนที่ 3
สงสารอะตอมเบาๆ หงอยเป็นน้องหมาเลย  :o7:
ตอนจบแอบหน่วงนะคะ

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จากตอนที่ 4
เรื่องนี้สไตย์การเขียนให้ความรู้สึกว่า นี่ฉีกแนวกว่าที่เคยเขียนไปพอสมควรนะคะ

เหมือนอะตอมยังเล่นๆ อยู่มาก เหมือนเด็ก ไม่ใช่ไม่จริงจัง แต่ว่าให้ความรู้สึกเหมือนจะชอบง่ายหน่ายง่าย

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จากตอนที่ 5
ถึงตรงนี้จริงๆ แอบสงสารฝ่ายหญิงเหมือนกัน ความรู้สึกส่วนตัวรู้สึกว่า อะตอมจะใช้ผู้หญิงเป็น self-esteem booster เลย เราว่าอาจเป็นเพราะปมปัญหาในครอบครัวที่บ่มเพาะนิสัยเด็กๆ แบบนี้ขึ้นมา โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัว ส่วนกัปตันนี่ทำให้ดิฉันชื่นชมค่ะ เป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่นมากดูจากกฎที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ สรุปคือ #ทีมกัปตัน

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
จากตอนที่ 6
ตอนจบแทบจะตบหัวอะตอม ขำขำนะคะ 555+ แอบน่าหมั่นไส้มากเลยค่ะ พอมีโอกาสหน่อยนี่เสียบตลอด เปิดช่องให้ไม่ได้เลย บางทีเราว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอะตอมกับอั้ม เราว่า ไม่มีใครผิดหรอก ทั้งสองมาจากครอบครัวที่มี background ต่างกันมาก ไม่แปลกที่จะต่างนึกไม่ออกถึงเหตุผลของอีกฝ่าย ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ แสดงออกแบบนี้ ส่วนหนูกัปตันยังน่ารักเหมือนเดิมเลยค่ะ ตะมุตะมิ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

ออฟไลน์ reverofjs

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
เอาใจช่วยอะตอม/กัปตัน
รออ่าน part 2 นะครับ ^^

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP07 (Part 2)
พิการอย่างผมจะดูแลใครได้



<<<ATOM>>>

ผมรู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังลูบๆ คลึงๆ ตรงเป้าของผม จนกระทั่งอาวุธลับของผมเริ่มตื่นสู้มือ ในขณะเดียวกันก็มีบางอย่างสากๆ เย็นๆ สัมผัสบริเวณหน้าอกผม และน่าจะมีสัมผัสอื่นๆ ด้วยที่ผมระบุลักษณะและจุดเกิดเหตุบนเนื้อตัวผมไม่ได้แน่ชัด รู้แต่ว่ารู้สึกเสียวๆ จนกระทั่งผมเกิดความต้องการขึ้นมา กระนั้นก็ไม่สามารถลุกขึ้นมามีส่วนร่วมได้เลย พยายามลืมตามองก็เห็นแต่ความมืดสลัว เหมือนห้องทั้งห้องไม่มีแสงไฟ

"กัปตันเหรอ ตามสบายเลยนะเว้ย กูม่ายหวายแล้ว" ผมพูดเหมือนละเมอ

"อือ" มีเสียงตอบเบาๆ กลับมา

สักพักใหญ่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างครอบลงไปบนอาวุธลับของผมที่แข็งตัวเต็มที่ ผมครางเบาๆ และปล่อยให้คนที่ผมเข้าใจว่าเป็นกัปตันทำต่อไป อีกพักใหญ่ๆ ต่อมาผมก็รู้สึกได้ถึงแรงขย่ม สงสัยกัปตันคงเห็นว่าผมเมามาก จึงจัดการหาความสุขด้วยตัวเองโดยไม่ต้องง้อผม

พอใกล้จะถึงช่วงวิกฤติ ไม่รู้ว่าผมเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนจึงลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายกระทำบ้าง เมื่อช่วงนั้นใกล้มาถึง ผมเชื่อว่าผู้ชายทั้งร้อยไม่ยอมให้ใครทำแทนแน่ ขนาดเมาแค่ไหนผมยังไม่ยอมเลย

ได้ยินเสียงร้องครวญครางของกัปตันผมยิ่งฮึกเหิม พยามเพิ่มความเร็วและแรงกระแทกกระทั้นเท่าที่ร่างกายจะทำได้ ไม่นานก็ปลดปล่อยของเหลวทะลักทลายพร้อมกับร้องครางเสียงดังไปด้วย ก่อนจะหมดแรงและฟุบตัวลงนอน จากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

… … …

แค่ลืมตาขึ้นมาผมก็รู้สึกถึงอาการปวดหัวเสียแล้ว ไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยามกันแน่ รู้แต่ว่ามีแสงจ้าๆ จนต้องหยีตา ผมเอามือกุมหัวตัวเองและใช้ต้นฝ่ามือทุบเบาๆ พอหายมึนๆ ไปบ้างผมจึงลืมตาตื่นขึ้นได้เต็มตา หันมองซ้ายขวาก็รู้สึกว่าแปลกที่ กระนั้นก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน จนกระทั่งเห็นร่างขาวๆ ในชุดชั้นในสีขาวๆ เดินมาหยุดดูที่ปลายเตียง ตอนแรกผมคิดว่าเป็นกัปตัน แต่กัปตันเดินไม่ได้จึงไม่น่าใช่

"ตื่นแล้วเหรอ" เสียงนั้นถามมา

เมื่อมองให้ชัดๆ ผมก็พบว่าไม่ใช่กัปตันจริงๆ ด้วย ผมรีบลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้สมองผมรับรู้แล้วว่าไม่ใช่ห้องของกัปตัน และที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือผมไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลย ผมก้มดูและเอามือลูบไปตามตัวก็ไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น นอกจากผ้าห่มที่ปิดคลุมท่อนล่างไว้

"เชี่ยอิน! นี่กูมานอนในห้องมึงได้ยังไงวะ!" เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมก็ตกใจปานถูกผีหลอก อาการปวดหัวและความงัวเงียหายเป็นปลิดทิ้ง

ร่างเกือบเปลือยของมันเดินเข้ามาหาผม ก่อนยกยิ้มอย่างคนเจ้าเล่ห์ "ลองใช้สมองฉลาดๆ ของมึงคิดดูสิ"

ผมพยายามคิดทบทวนว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แต่ก็แทบจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แต่ว่าพากัปตันไปผับและดื่มไปเยอะ แต่หลังจากนั้นผมก็นึกอะไรไม่ออกเลย ถ้าเป็นอย่างที่ผมจำได้ผมก็ควรจะอยู่ในห้องกัปตัน แต่ทำไมผมถึงมาอยู่กับอินได้ แถมยังไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นอีก

อินนั่งลงบนเตียง ยิ้มให้ผมแปลกๆ ชนิดที่ผมเดาไม่ออกว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ "เมื่อคืนมึงเมามาก กูไปเจอมึงที่ผับพอดี ก็เลยพามึงกลับ"

"อ้าว แล้วกัปตันล่ะ" ผมมองอินอย่างหวาดระแวง

"ก็กลับบ้านมันสิวะ มึงเมามากนะเว้ย กัปตันไม่มีปัญญาพยุงมึงกลับหรอก กูก็เลยต้องพามึงมานี่ไง" อินบอกหน้าตาเฉย

"เชี่ย" ผมสบถ นึกโมโหที่ปล่อยให้ตัวเองเมามากขนาดนี้เลย แล้วที่เสื้อผ้าหายไปหมดแปลว่าอะไร คิดแล้วผมก็ตกใจอีกรอบ "แล้วมึงกับกู…"

อินยิ้มเขินๆ มันลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบตระกร้าเล็กๆ ตรงมุมห้องมา ก่อนเอียงให้ผมดูของบางอย่างในนั้น มีถุงยางอนามัยใช้แล้วทิ้งไว้ คราวนี้ผมตกใจยิ่งกว่าถูกผีหลอกซะอีก

"เฮ้ย! นี่มึงล้อกูเล่นหรือเปล่า"

อินหัวเราะราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเต็มที ที่จริงมันก็ควรเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมด้วย เพราะผมเองก็พอมีประสบการณ์แบบนี้กับสาวๆ มาบ้าง โดยเฉพาะพวกนางแบบในวงการด้วยกัน แต่พอเป็นผมกับอิน ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

อินวางตะกร้าใบนั้นลง มันยิ้มเจ้าเล่ห์อีกแล้ว "มึงอยากดูร่องรอยไหม เดี๋ยวกูจะถอดให้ดู"

"ไม่ต้อง!" ผมรีบร้องห้าม ก่อนลงจากเตียงและลนลานเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่หล่นตามพื้นมาใส่อย่างลวกๆ เสร็จแล้วก็เดินมาเอาเรื่องไอ้อิน

"มึงทำอะไรกู!"

อินเลิกคิ้วและทำหน้าแปลกใจ "กูดิต้องถามมึง กูเป็นฝ่ายถูกทำนะเว้ย"

ผมรีบเอามือคลำๆ ทางด้านหลังของตัวเอง ไม่มีอาการเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น แสดงว่าผมไม่ได้ถูกกระทำแน่ แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าผมจะไปทำอย่างนั้นกับไอ้อินได้ยังไง

"กูไม่เชื่อ มึงต้องวางแผนอะไรแน่ๆ ถึงได้พากูมาห้องมึง แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูไปผับกับกัปตัน" น้ำเสียงผมเริ่มโมโห พลันก็นึกทบทวนถึงตอนรับน้อง ผมจำได้ว่าไอ้อินพยายามเข้ามาตีสนิทกับผม บางทีมันก็ซื้อของมาให้ผมกินคล้ายกับอยากเอาใจ แถมยังชอบชมว่าผมหล่อบ่อยๆ ผมยังเคยแอบคิดเลยว่ามันชอบผมหรือเปล่า แต่ตอนนั้นผมยังไม่เอะใจมาก แต่ตอนนี้ผมหายสงสัยแล้ว

"อ้าว กูก็ไปเที่ยวของกูมั่งดิวะ แปลกตรงไหน แล้วมึงจะมาโวยวายทำไม กูต่างหากต้องเป็นฝ่ายโวยวาย มึงได้กูไปแล้วนะเว้ย!" อินพูดเน้นตรงประโยคสุดท้าย ทำท่าเหมือนน้อยใจผมด้วย

ผั่วะ!

ผมซัดหมัดใส่ปากไอ้อินเข้าไปหนึ่งเปรี้ยง มันถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนเอามือลูบปากซึ่งมีเลือดไหลซิบๆ ผมชี้หน้ามันด้วยความโมโหสุดขีด

"ไอ้เหี้ย!"

จากนั้นผมก็รีบออกไปจากห้องของมัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหนของโลกใบนี้ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องรีบกลับไปที่คอนโดของกัปตันให้เร็วที่สุด

… … …

ผมใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมงจึงพาตัวเองมาถึงห้องพัก ตอนนี้สิบเอ็ดโมงกว่าๆ แล้ว โชคดีที่วันนี้มีเรียนวิชาเลือกตอนบ่าย พอมาถึงห้องผมก็รีบใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไป

"กัปตัน มึงอยู่หรือเปล่า" ผมร้องถาม เมื่อไม่มีเสียงตอบ ผมก็วิ่งถลันเข้าไปดูในห้องนอน

กัปตันกำลังใส่เสื้อนักศึกษาอยู่พอดี เจ้าตัวหยุดชะงักและหันมามองผมด้วยแววตาที่ผมเองก็บอกไม่ถูก ถ้าผมมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวก็คงไม่ได้เจอกันแล้ว ผมรีบถลาไปนั่งลงบนเตียงของกัปตันทันที

"กัปตัน กูขอโทษ" ผมนึกอยากจะดึงกัปตันเข้ามากอด แต่สีหน้าและแววตาของมันที่มองผมมา ทำให้ผมไม่กล้าทำอย่างนั้นแม้แต่น้อย

"ขอโทษกูเรื่องอะไรวะ กูดิต้องเป็นฝ่ายขอโทษมึง แค่เพื่อนเมา…กูยังไม่มีปัญญาจะพามึงกลับห้องเลย" กัปตันแค่นหัวเราะ น้ำเสียงเหมือนกำลังน้อยใจ

"มึงอย่าพูดอย่างงั้นดิวะกัปตัน" ผมสะท้อนใจ รู้สึกเหมือนตัวเองอยากจะร้องไห้

"แล้วจะให้กูพูดไงวะ" กัปตันย้อนถาม

"เอาอย่างงี้ ต่อไปเวลาไปไหนกับมึง กูจะไม่เมาแบบนี้อีก" ผมรีบสัญญา หวังว่าจะทำให้กัปตันรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่เปล่าเลย

"มึงไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่า…ถ้าจะไปแบบเมื่อคืนอีก กูจะไม่ไปด้วย มึงไปกับคนอื่นละกัน เพราะกู…ดูแลใครไม่ได้หรอก"

"กัปตัน" ผมร้องคราง รู้สึกสงสารเพื่อนขึ้นมาจับจิตจับใจ "มึงน้อยใจกูเหรอ"

กัปตันนั่งนิ่ง ท่าทางดูมึนตึงไปบ้าง สักพักใหญ่ๆ มันก็แสร้งยิ้มเฝื่อนๆ และหัวเราะ "ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวกูจะไปเรียนแล้ว"

"คุยกันก่อนดิ เรียนบ่ายไม่ใช่เหรอ" ผมห้ามไว้

"เดี๋ยวก็เที่ยงแล้ว กูจะไปกินข้าวที่มหาลัย" กัปตันยืนกราน พยายามจะทำเหมือนไม่คิดมาก แต่สีหน้าน้อยใจของมันยังทิ้งร่องรอยเอาไว้

คราวนี้ผมตัดสินใจดึงกัปตันเข้ามากอดไว้ จำได้ว่าเคยทำกับอั้มอย่างนี้บ่อยๆ เวลาโกรธกัน ก็ได้ผลดีพอสมควร ผมเลือกที่จะกอดมันไว้เงียบๆ ให้เวลาเราสองคนสงบจิตใจและคิดทบทวน ทว่าก็น่าแปลกที่คราวนี้กัปตันไม่ยอมกดผมตอบเลย

ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ผมก็ปล่อยมือออก กัปตันก้มหน้าน้อยๆ ก่อนจะเหลือบขึ้นมามองผมและพูดเตือนเบาๆ "มึงคิดดีๆ นะอะตอมถ้ามึงจะคบกับกู"

ผมไม่รู้ว่า "คบ" ของกัปตันหมายถึงคบแบบไหน แต่ช่างเถอะ สิ่งสำคัญตอนนี้คือผมต้องทำให้กัปตันมั่นใจและเชื่อใจผมต่างหาก

"กูคิดดีแล้ว คิดมาตั้งหลายวันแล้วด้วย ที่กูตัดสินใจเลิกกับอั้มก็เพราะว่า"

"มันไม่ง่ายขนาดนั้นนะเว้ย" กัปตันขัดขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบ

ผมหยุดชะงักและมองหน้า ก่อนเถียงมันไป "ทำไมวะ กูกับมึงก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายวันแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า"

กัปตันนิ่งคิด ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอีกแล้ว สีหน้ามันดูเศร้ามากขึ้นกว่าเดิมด้วย "กูเคย…ชอบผู้หญิงคนหนึ่ง แต่…กูก็ไม่กล้าบอกว่าชอบเขา บางทีกูก็เคยคิดนะเว้ยว่าถ้าตอนนั้นกูแค่จับมือเขาเดินเหมือนที่ผู้ชายคนอื่นๆ ทำได้ กูก็อาจจะได้เป็นแฟนกับเขาไปแล้ว แต่แค่จับมือกันเดิน กูยังทำไม่ได้เลย ตอนไปเที่ยวด้วยกัน เขาต้องมาดูแลกูอีก จับมือเขาเดินไม่ได้ ถือของให้เขาไม่ได้ ตรงไหนที่มีบันไดก็ไปกับเขาไม่ได้ ถ้ามีใครมารังแกเขา กูก็คงช่วยเขาไม่ได้เหมือนกัน"

"แล้วทำอะไรไม่ได้อีก พูดมาให้หมด" ผมพูดเหมือนสั่ง

"เยอะแยะ" กัปตันแบ่งรับแบ่งสู้

"อะไรล่ะที่มึงว่าเยอะแยะ พูดมาดิ" ผมท้า

กัปตันคงชักเริ่มงงว่าผมต้องการอะไรกันแน่ "ก็…อย่างตอนไปดูหนัง กูก็ไปนั่งกับเขาไม่ได้ ตอนกินข้าวที่โรงอาหาร กูก็ไปซื้อข้าวให้เขากินไม่ได้ หรือแม้กระทั่ง…ถ้ามีเซ็กซ์กัน กูก็ไม่แน่ใจว่ากูจะทำให้เขาพอใจเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ หรือเฮ้ย!"

กัปตันตกใจเมื่อถูกผมผลักลงนอนบนเตียงโดยที่มันยังพูดไม่จบ ผมโถมตัวลงไปทาบทับไว้ทันที

"มึงจะทำอะไร เดี๋ยวเสื้อกูยับ" กัปตันมองผมด้วยสายตาหวาดระแวง

"ก็ใส่ตัวอื่น" ผมบอก

พอมันจะพูดอีกผมก็รีบปิดปากของมันด้วยปากของผม รวดเร็วปานงูฉกเหยื่ออันโอชะที่เผลอผ่านมา กัปตันพยายามดิ้นและผลักผมออก แต่ผมก็หน้าด้านต้านแรงมันไว้ มือผมก็ไม่ปล่อยไว้ให้ว่างๆ จึงสอดใต้ชายเสื้อและลูบไล้ผิวขาวเนียนของมันเล่น ขัดขืนได้ก็ขัดขืนไป อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะทนเสียงเรียกร้องของตัวเองได้มากสักแค่ไหน

กัปตันต้านทานด้วยการไม่ยอมเปิดปากให้ผมจูบอีกแล้ว ผมจึงเลื่อนปากลงมาซอกไซร้และดูดตามซอกคอของมัน ที่จริงก็ไม่อยากทำหรอกเพราะเท่ากับแสดงความเป็นเจ้าของ แถมยังจะมีรอยดูดประจานคนอื่นอีก แต่อารมณ์มันก็พาไปแล้ว กลิ่นหอมอ่อนๆ จากสบู่อาบน้ำของมันก็ช่างเย้ายวนใจดีเหลือเกิน ผมทั้งสูดหอมดอมดมและดูดดึงอย่างหลงใหล

ไม่นานกัปตันก็ผวากอดผม ผมอาศัยจังหวะนี้กลับขึ้นไปจูบปากกับมันใหม่ มันไม่ต่อต้านผมอีกแล้ว แถมยังยอมให้ผมเอาลิ้นเข้าไปแลกแต่โดยดี เราต่างครางฮือด้วยความพอใจกับรสจูบที่ทั้งหนักหน่วงและหวานรื่นรมย์ ผมเบียดกายแนบแน่นและจงใจเบียดส่วนที่แข็งขันของผมเข้าหาของๆ มันด้วย เพราะอยากให้มันรู้ว่าผมเกิดอารมณ์กับมันแล้ว

ผมตัดสินใจหยุดและดันตัวออก กัปตันทำหน้าเหมือนงงหรือไม่ก็คงเสียดาย ปากมันห้อแดงเพราะโดนผมดูดค่อนข้างแรง จากที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงจัด เห็นแล้วก็นึกอยากจะจูบซ้ำอีกซักรอบ มันหอบหายใจแรงด้วยความปรารถนา แววตาที่มองผมเต็มไปด้วยความหวั่นไหว

"เป็นไง ได้คำตอบหรือยัง" ผมถามด้วยเสียงหอบเล็กน้อย

"คำตอบอะไร" กัปตันถามงงๆ

"ถามใจมึงดิ"

"ถามอะไรวะ" กัปตันยังงงอยู่

"เออ ช่างเหอะ" ผมขำเบาๆ จ้องตามันแล้วยิ้มอย่างมีความหมาย ก่อนถามเรื่องที่ผมอยากบอกมาหลายวันแล้ว “กัปตัน…มึงอยากคบกับกูไหม”

"คบแบบไหน กูก็เป็นเพื่อนมึงอยู่แล้วไง"

"เป็นแฟนกูไง" ผมพูดสวน

กัปตันหยุดชะงัก สีหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าผมพูดความจริง สักพักมันก็พูดย้ำเรื่องเดิม "กูบอกมึงแล้วไงว่าให้คิดดีๆ"

"คิดมาหลายวันแล้วเว้ย" ผมยืนยัน

"แต่มึงรับปากกูแล้วนะเว้ย มึงจำไม่ได้เหรอที่กูให้มึงสัญญากับกูสามข้อ มึงก็รับปากแล้ว" กัปตันทวง

"จำได้ สำหรับมึง…มึงให้ข้อนี้เป็นข้อสามที่กูต้องสัญญา แต่สำหรับกู…มันเป็นข้อแรกที่กูอยากจะผิดสัญญาเลยนะเว้ย"

กัปตันตะลึงไปอีก สติคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปแล้ว "หมายความว่าไงวะ"

"กูชอบมึง ชอบตั้งแต่วันแรกที่กูเจอมึงแล้ว" ผมสารภาพ โน้มใบหน้าลงต่ำเข้าไปใกล้อีกหน่อย จ้องมองคู่ดวงตาของมันโดยไม่หลบสายตาไปไหน

"แต่กู…ดูแลมึงไม่ได้นะเว้ย" กัปตันเถียงเบาๆ

"มึงไม่ต้องมาดราม่าเลย มึงให้กูมาอยู่ด้วย ขับรถให้กูนั่ง ชงโปรตีนให้กูกิน เล่นกีตาร์ให้กูฟัง แล้วก็ทำอะไรให้กูอีกตั้งหลายอย่าง ทำไมจะดูแลไม่ได้วะ"

"แต่กูก็ทำอะไรไม่ได้ตั้งหลายอย่าง" กัปตันเถียงอีก

"อันไหนทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำสิวะ ถือของไม่ได้ ก็ไม่ต้องถือ เอาวางบนตักมึงก็ได้ เวลาไปดูหนัง เดี๋ยวกูอุ้มมึงไปนั่งข้างๆ กูเอง ถ้าเจอบันได มึงก็ขี่หลังกูได้ แต่เดี๋ยวนี้เขาก็มีทางลาดเยอะขึ้นแล้วนะเว้ย แล้วถ้ามึงจับมือกูเดินไม่ได้ ก็นั่งจับมือกันสิวะ ไม่เห็นจะยาก ส่วนเรื่องเมา ต่อไปกูจะไม่เมาแบบนี้อีก เพราะถ้ามึงอยู่ด้วยกูต้องดูแล ไม่ต้องห่วงนะเว้ย กูไม่ได้ชอบกินเหล้าขนาดนั้น ไม่กินก็ไม่เดือดร้อน ส่วนเรื่องเซ็กซ์…" ผมยิ้มกรุ้มกริ่มใส่มัน ส่วนกัปตันก็แสดงท่าทางอยากรู้จนผมอดนึกเอ็นดูไม่ได้

"ถ้ากูไม่เกรงใจแม่มึง กูไม่ทำแค่นี้หรอก"

"ไอ้เหี้ย" กัปตันเผลอสบถเบาๆ

"ทำหน้าแบบนี้ เขาเรียกว่ายั่วรู้เปล่า"

"ไอ้สัส" กัปตันสบถเบาๆ อีก

"ด่าเก่งแบบนี้ กูยิ่งชอบ เดี๋ยวกูจะจูบให้จำชื่อตัวเองไม่ได้เลย" ผมแกล้งขู่ เลียปากยั่วมันด้วย

คราวนี้กัปตันเงียบ คงกลัวว่ายิ่งพูดจะยิ่งทำให้ผมเกิดอารมณ์มากขึ้น

"ว่าไง…จะลองคบกับกูไหม กูรับรองนะเว้ย กูจะไม่ทำให้มึงรู้สึกแบบนั้นเหมือนที่คนอื่นเคยทำให้มึงรู้สึกหรอก แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะมีแต่กูที่จะคอยดูแลมึง กูก็มีหลายเรื่องจะให้มึงคอยดูแลกู มึงอย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน กูใช้มึงแน่" ผมขู่แล้วหัวเราะชอบใจเบาๆ

"กูคิดก่อนได้เปล่า" กัปตันต่อรอง

"ยังจะลังเลอีกนะมึง จูบกับกูซะขนาดนี้แล้ว เพื่อนที่ไหนเขาจูบกันวะ" ผมแย้ง

"กูกลัวน่ะ" กัปตันสารภาพ สีหน้าหม่นลงเล็กน้อย

ที่จริงผมก็เห็นใจอยู่หรอกที่มันกลัว พอเข้าใจความรู้สึกของมันได้ "ก็ได้ เอาที่มึงสบายใจละกัน กูแค่อยากให้มึงรู้เท่านั้นแหละว่ากูชอบมึง ส่วนมึงจะอยากคบกับกูหรือเปล่าก็แล้วแต่มึงนั่นแหละ กูไม่บังคับหรอก"

"โกรธเหรอ" กัปตันหน้าเสีย

"เปล่า ไม่โกรธหรอก กูเข้าใจมึงนะเว้ย" ผมรีบปฏิเสธ "แต่กูก็อยากให้มึงรู้ มึงไม่ใช่ผู้ชายที่กูจะมาหลอกเล่น ถ้าจะทำอย่างนั้น กูไปหลอกคนอื่นไม่ดีกว่าเหรอ จะมาหลอกมึงทำไมวะ"

กัปตันมองผมนิ่ง สีหน้าครุ่นคิดคล้ายกับกำลังรวบรวมข้อมูลบางอย่าง ผมกลัวมันจะเครียดอีกก็เลยชวนเปลี่ยนเรื่อง

"มึงมีเสื้อคอเต่าหรือเปล่า"

"ทำไม" กัปตันสงสัย

"เมื่อกี้…กูดูดคอมึงแรงไปหน่อย เป็นรอยเลย ถ้าคนเห็น…เขาต้องคิดว่ามึง…" ผมละไว้ในฐานที่เข้าใจ

"ไอ้เหี้ย งั้นกูไม่ไปเรียนแล้ว" กัปตันหน้าแหยระคนเขินอาย เอามือลูบคอตัวเองไปมา

"เออ งั้นวันนี้มึงก็อยู่กับกูนี่แหละ กูก็ไม่ไปเหมือนกัน โคตรเพลียเลย มึงดูแลกูหน่อยนะเว้ย หาอะไรให้กูกินด้วย โคตรหิวเลย ยังไม่ได้กินอะไรแม้แต่คำเดียว"

"อ้าว ใช้กูเลยนะมึง" กัปตันเผลอประท้วง

ผมหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจุ๊บปากมันเบาๆ ให้มันตกใจเล่น "เดี๋ยวกูให้จูบเป็นรางวัล"

"นึกว่ากูอยากได้เหรอ" กัปตันลอยหน้าลอยตา

"ก็เห็นครางซะ แถมกอดกูแน่นเชียว" ผมล้อ

"ก็ทำไปงั้นแหละ กลัวมึงเสียเซลฟ์" กัปตันยักคิ้วล้อเลียนผม น่ารักจนผมอยากจะจูบเข้าให้อีกสักรอบ

"อ๋อเหรอ" ผมลากเสียงยาวล้อเลียน แล้วก็ขู่มันอีก "งั้นกูจะจูบมึงทุกวัน จูบทุกครั้งที่มีโอกาส จูบจนมึงร้องขอชีวิต จูบจนมึงปากเปื่อย ไม่ตกลงรับรักกูก็ให้มันรู้ไป"

กัปตันผลักผมออกโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว แต่พอมันจะหนีไปขึ้นรถเข็น ผมก็คว้าตัวมันมากอดไว้ซะก่อน ช่วยไม่ได้ที่มันคงต้องเสียเปรียบผมเรื่องนี้

แต่ก่อนที่จะปล่อยให้มันน้อยใจเพราะหนีผมไม่ได้ ผมก็ให้รางวัลมันด้วยจูบหนักๆ อีกหนึ่งจูบเป็นค่าชดเชยความเสียเปรียบ และถือโอกาสปลอบขวัญเรื่องที่มันเจอเมื่อคืนด้วย พอจูบเสร็จ ผมก็ถามมันอีกรอบด้วยสีหน้าอ้อนวอน

"มาเป็นแฟนกูนะกัปตัน"



TBC



// อ่านจบ อย่าลืมบวกเป็ดและคอมเมนต์นะครับ (ถ้าสะดวก)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:40:42 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
ง่าาา อีอินมันร้ายมากๆเลย เลวมาก แล้วอะตอมยังไงละเนี่ยะถ้ากปตันรู้ :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ไม่น่าเชื่อว่าอินจะเป็นคนแบบนี้ เสียเพื่อนอะตอมไปเลย
 คบกัปตันเป็นแฟนจะเจออะไรบ้างอะ ลุ้นๆ จะมีฟินกันมั้ยอะ 555
  รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ผิดคาดมากค่ะ นึกว่าอินจะโดนพี่โดมงาบก่อน ชร้อย! แอบหนีมางาบอะตอม งองอกยาวมากอ่า นี่ๆ เดี๋ยวเขาจะคบกันแล้วยะ อย่ามาดราม่า

ตาม + เป็ดย้อนหลังค่ะ

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4
โอ้ยยยยยย นี่มันนิยายอะไรกันเนี่ย

ทำไมมันดีงามพระรามเเปดเเบบนี้

ชอบมากๆๆๆๆๆชอบทุกตัวละคร

พระเอกของเราโอ้ยยยยชอบอ่ะ
พระเอกของเราก็ดีอ่าาาา
ไม่เคยอ่านนิยายเเนวนี้เท่าไรเเต่ประทับใจมากๆๆๆๆๆๆ

ประทับใจตั้งเเต่อ่านทีเซอร์แล้ว
ยิ่งพอมาได้อ่านเื้อหาเเล้วบอกเลยว่าชอบมากๆๆๆๆๆ

เเล้วมาต่อให้ได้อ่านกันบ่อยๆน้าาา
ห้ามๆๆๆๆๆๆทิ้งนิยายเรื่องนี้เด็ดขาดนะผู้เเต่ง

โอ้ยยยชอบติดดาวชอบเรื่อวนี้เลยอ่ะ

อ่ออีกอย่างภาพประกอบมันฟีลกู๊ดอ่ะ
ให้ความอบอุ่นมากๆๆๆๆๆๆๆ

รักลเยยยย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด