Cr. Pic [Pinterest]
say-hi ในทวิตเตอร์ ฝากติด
#พี่กันต์สายอ่อย ด้วยนะคะ
บท03 l “เมธาวิน บริสตัน”✥ ✥ ✥ ต่อค่ะ 100% ✥ ✥ ✥
แฮ่กๆ
เสียงหอบแฮกดังมาจากคนที่กำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อไปให้ทันเวลาเข้าเรียน เช้านี้เมธาวิน มีเรียนตอนเก้าโมงเช้า และเป็นวิชานอกคณะที่อาจารย์ประจำวิชาไม่ค่อยจะสอบเด็กคณะสถาปัตย์สักเท่าไหร่ ซึ่งเพราะอะไรนั้นเขาเองก็บอกไม่ได้ แล้วเมื่อถึงเวลาเรียนอาจารย์ก็จะล็อคห้องทันที และคาบนั้นก็จะถูกเช็คว่าโดดเรียนด้วย ไอ้คนตื่นสายเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างเขาเลยต้องวิ่งหน้าตั้งมานี่แหละ
ไอ้เพื่อนตัวดีก็ไม่คิดจะรอกันบ้างเลย แต่จริงๆ แล้วมันก็รอนั่นแหละแต่เขาดันสายเอง มันเลยหนีมาก่อน
พลั่ก!
เหมือนเหตุการณ์จะซ้ำรอย คนที่เอาแต่วิ่งหน้าตั้งชนพลั่กเข้ากับใครอีกคนที่เดินสวนทางมา ข้าวของของอีกฝ่ายหล่นกระจัดกระกาย เดียร์ได้แต่มองตาค้าง ยิ่งพอเห็นว่าคนที่ตัวเองชนเป็นใครก็แทบจะร้องไห้แล้วหายตัวเองเลย
หนึ่งในพี่วินัยสุดโหดของคณะ...
เจ้าตัวยกมือไหว้แทบจะท่วมหัว “ข ขอโทษครับพี่ ขอโทษครับ ผมรีบจริงๆ ไม่ทันมอง ขอโทษครับ” ก้มลงเก็บข้าวของให้อย่างรีบเร่งพลางภาวนาในใจว่าขอให้พี่แกอารมณ์ดีสักวันแล้วปล่อยเขาไป
“เด็กปีหนึ่ง...” อีกฝ่ายพูดเมื่อเห็นคนที่วิ่งมาชน จำหน้าได้แม่นเลยเชียวเพราะพวกเขาเคยลงโทษเด็กคนนี้ไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นคนดังในชั้นปีด้วย
เดียร์ยิ้มเป็นรอยยิ้มที่ดูแห้งแล้งเหลือเกิน เจ้าตัวยกมือไหว้ขอโทษอีกรอบ “ขอโทษจริงๆ ครับ พอดีผมจะรีบไปเรียนเลยไม่ทันมอง”
“มีเรียนดนตรีเหรอ” พี่วินัยถาม เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่หน้าตึกของวิทยาลัยดนตรี
“ครับ ใช่ครับ”
“รีบไปเถอะ ถ้าเรียนกับอาจารย์สุธีร์ละก็นะ เดี๋ยวก็โดนตัดคะแนน วันนี้ผมจะปล่อยคุณไปก่อนแล้วกัน”
“ขอบคุณครับพี่ ขอบคุณครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบก็ส่งของให้พี่วินัยหน้าโหด ยกมือไหว้แล้วก็วิ่งจู๊ดเข้าอาคารไป
โชคดีที่เรียนอยู่ชั้นสอง วิ่งก้าวกระโดดขึ้นบันไดไปก็ถึง หวุดหวิดเกือบจะเข้าห้องไม่ทัน สุดท้ายก็มานั่งหอบแฮ่กอยู่ระหว่างทัชและหินผาที่หลังห้อง โดนอาจารย์มองแรงไปหนึ่งทีเพราะเข้าห้องสายสุด
“สายตลอดนะมึง” ทัชหันมาบ่นทันทีที่เดียร์นั่งลง
“เออ! เกือบจะมาไม่ทันแล้ว หวิดจะโดนพี่วินัยเล่นอีก” พอได้ยินแบบนั้นทั้งทัชแล้วก็หินผาหันมามองทันที แต่เดียร์ก็ยังไม่ได้เล่าหรือขยายความอะไรเพิ่มเพราะอาจารย์หันมาจ้องอีกรอบ พวกเขาเลยหันกลับไปสนใจหน้าห้องแทน
สองชั่วโมงกับวิชาดนตรีสากลที่นั่งดูแต่สไลด์ ไม่ได้เห็นเครื่องดนตรี ไม่ได้จับเครื่องดนตรี เรียนแต่ประวัติศาสตร์ของเครื่องดนตรีแต่ละชนิด นี่ถ้าเรียนตอนบ่ายคงหลับกันไปเรียบร้อย แต่พอดีว่าเป็นตอนเช้าไฟในการเรียนเลยยังพอมีอยู่บ้างแม้จะน้อยนิดก็ตามที
พวกเขาเก็บชีทใส่กระเป๋าก่อนจะทยอยเดินออกจากห้องเมื่ออาจารย์ปล่อยแล้ว พร้อมใจกันกอดคอเดินไปที่โรงอาหารกลาง เมื่อจับจองที่นั่งได้ทัชก็ล็อคคอเพื่อนรักเอาไว้ทันที
“ไหนมึงเล่ามาสิว่ามึงไปทำวีรกรรมอะไรมาอีกแล้ว”
เดียร์แยกเขี้ยวใส่ ปัดมือของเพื่อนออกจากคอของตัวเอง ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้ฟัง “ก็... กูกลัวจะสายเข้าห้องไม่ทันไง กูก็เลยวิ่ง วิ่งแล้วก็ไม่ทันระวังไงก็เลยชนเข้ากับพี่วินัย”
ทัชทำหน้าประหลาดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “มึงนี่... เป็นอะไรกับพวกพี่วินัยวะ แล้วมึงชนใคร”
“พี่คนที่ยืนนิ่งๆ น่ะ ที่ชอบทำเสียงโหดๆ”
ผลัวะ!
เพื่อนเตี้ยแทบจะหน้าทิ่มโต๊ะเพราะเพื่อนทัชตบเข้าให้ “พี่วินัยก็ยืนนิ่งๆ เสียงโหดๆ ทุกคนไหมล่ะมึง”
“ก็แล้วมึงรู้จักชื่อพี่วินัยไหมล่ะ” สวนกลับทันทีอย่างไม่ยอมแพ้ พร้อมกับยกมือตบหัวเพื่อนไปทีด้วย
“ฮ่าๆ พอๆ พี่เขาไม่ได้ว่า หรือลงโทษอะไรใช่ไหมล่ะ” เป็นหินผาที่เอ่ยห้ามการทะเลาะกันของสองเพื่อนรัก เขาคิดว่าคงต้องทำหน้าที่ห้ามสองคนนี้เถียงกันไปเรื่อยๆ แล้วล่ะ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็เถียงกันได้ตลอด
เดียร์ส่ายหน้ากับคำถามของเพื่อนใหม่ “ไม่ได้ว่าอะไร บอกให้กูรีบไปด้วย”
“ก็ดีแล้วล่ะ กูว่าไปหาอะไรกินกันดีกว่า เดี๋ยวเที่ยงแล้วคนจะเยอะไปมากกว่านี้” หินผาพูด ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วยกันอย่างพร้อมเพียง ทีเรื่องแบบนี้ละพร้อมใจกันเชียว แต่เรื่องอื่นนี่ต้องเถียงกันก่อน
ทั้งสามคนกลับมาที่โต๊ะอีกรอบพร้อมกับของกินคนละอย่าง กำลังจะลงมือจัดการอาหารตรงหน้าก็หันไปเห็นพวกพี่ปีสองเดินอยู่ใกล้ๆ ก็เลยทักทายชวนพวกพี่เขามานั่งด้วยกันเพราะที่ยังเหลือ
“ไงพวกน้อง ไปเรียนอะไรกันมาล่ะ” พี่โอทักพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มากันพร้อมหน้าพร้อมตาพี่โอ พี่ต๊อบ พี่นัท ผู้สร้างเสียงหัวเราะแล้วก็รอยยิ้มให้กับน้องๆ ปีหนึ่ง
“เรียนดนตรีมาครับ” เป็นหินผาที่ตอบคำถามของรุ่นพี่ ไม่ใช่อะไรเพราะมีแค่เขาคนเดียวที่ปากกำลังว่าง อีกสองคนนั้นข้าวเต็มปากเคี้ยวกันจนแก้มตุ่ย
“อาจารย์ไร อาจารย์สุธีร์ปะ”
ทั้งสามคนพยักหน้ารับพร้อมกัน แบบที่พวกปีสองก็หัวเราะ นัทยกมือตบไหล่ทัชที่นั่งอยู่ข้างๆ “ทำใจหน่อยนะ ตอนพวกพี่ก็เรียนกับอาจารย์แกนั่นแหละ คณะเราได้บีมาก็สวยหรูแล้ว”
“ทำไมอาจารย์แกดูไม่ค่อยชอบคณะเราเลยละครับ พวกผมงี้โดนจ้องประจำเลย”
“พวกพี่ก็ไม่รู้ว่ะ เรื่องมันคงยาวนานมากแล้วมั้งแต่ถามพี่ปีไหนๆ ก็บอกว่าอาจารย์ไม่ชอบนั่นแหละ อ๋อ! แต่ก็มีนะคนที่ได้เอจากอาจารย์แกน่ะ”
ได้ยินแบบนั้นทั้งสามคนก็ตาวาวทันที เพราะเท่าที่ถามเพื่อนถามรุ่นพี่มาวิชานี้ไม่มีใครได้เอเลย อย่างมากก็บีซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ได้นั้นน้อยมากถึงมากที่สุด
“ใครอ่ะพี่ แล้วทำยังไงเหรอ พวกผมไปขอคำปรึกษาได้ไหม”
“ก็ได้นะพี่เขาให้คำปรึกษาตลอดนั่นแหละ แล้วก็ตามตัวไม่ยากหรอกเพราะยังไม่จบด้วย ตอนนี้อยู่ปีสาม ปีที่แล้วพี่ก็ไปขอคำปรึกษามา ก็คว้ามาได้แค่บีนั่นแหละ”
“พี่ปีสาม... ใครเหรอพี่”
“เมื่อกี้เจอพี่เหนือเดือนถา’ปัตย์ด้วย! เท่มาก ลุคนี้ก็เท่ไปอีกแบบเนอะ”
“ใช่ๆ อยากกรี๊ดมาก อยากเข้าไปทักแต่พี่เขาดูรีบๆ โอ๊ยยย ฉันล่ะหลงรักพี่เหนือเดือนมาก”
ยังไม่ทันที่พวกต๊อบจะได้ตอบอะไร เสียงกรี๊ดกร๊าดของกลุ่มนักศึกษาผู้หญิงที่เพิ่งจะเดินเข้ามากลบเสียงของพวกเขาจนมิด
ขนาดพวกเธอเดินผ่านโต๊ะที่พวกเขานั่งไปแล้วก็ยังได้ยินเสียงอยู่เลย
“เหนือเดือนถา’ปัตย์ คืออะไรเหรอพี่ต๊อบ” เดียร์หันไปถามรุ่นพี่ “เหมือนผมได้ยินคนพูดกันมาหลายรอบแล้ว จากคณะอื่นๆ น่ะครับ”
คณะของเขานี่ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้จริงๆ พวกเขาเคยได้ยินคนพูดถึง ‘เหนือเดือน’ๆ หลายรอบมาก โดยเฉพาะเวลาไปเรียนวิชานอกที่เรียนรวมหลายๆ คณะ หลายๆ ชั้นปี
“รุ่นพี่ของคณะเราเองแหละ เอาไว้เดี๋ยวก็รู้จัก คณะเรายังมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ” นัทตอบพร้อมกับยักคิ้วให้น้องๆ ทั้งสามคน
“ใช่แล้วล่ะ พวกพี่ไปแล้ว ยังไงก็เจอกันเย็นนี้นะ”
“เอ่อ... เดียร์” ก่อนที่พวกพี่ทั้งสามคนจะพากันเดินไป โอก็หันมาเรียกรุ่นน้องที่กำลังตักข้าวเข้าปากให้เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามอง “ระวังอย่าไปวิ่งชนใครเข้าอีกล่ะ เรานี่ท่าจะมีดวงกับพี่วินัยนะ”
ได้ยินแบบนั้นคนที่เพิ่งไปวิ่งชนพี่วินัยมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็แทบจะสำลักข้าวจนเพื่อนๆ ต้องทุบหลัง ลูบหลังให้ “พ พวกพี่รู้ได้ยังไงครับเนี่ย”
“ไม่มีอะไรที่พวกพี่ๆ จะไม่รู้หรอกนะ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของพวกรุ่นน้องด้วยแล้ว พวกพี่วินัยเขาฝากมายังไงก็ระวังตัวหน่อย เดี๋ยวไปวิ่งชนเจ้าถิ่นที่ไหนเข้าแล้วจะแย่นะ”
“แหะ... ครับผม ผมจะระวังตัวครับ ขอบคุณนะคร้าบ”
“มีเสียงกันแค่นี้เองเหรอครับ พวกคุณมีกันตั้งกี่คน ยังร้องเพลงสู้น้องผมที่มีน้อยกว่าคุณไม่ได้เลย” เสียงโหดๆ ของพี่วินัยดังไปทั่วทั้งลานกิจกรรมใต้อาคารเรียนของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
ท้องฟ้ามืดลงแล้วเพราะดวงอาทิตย์ลาไปเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน แต่นักศึกษาปีหนึ่งยังคงนั่งก้มหน้ากันอยู่ นับวันพี่วินัยก็ลงบ่อยขึ้น จากที่ลงอาทิตย์ละสามวันก็เปลี่ยนมาเป็นวันเว้นวัน บางวันก็มายืนมองอยู่รอบๆ สร้างความกดดันให้กับน้องปีหนึ่งได้เป็นอย่างดี
“พวกรุ่นพี่ที่เขาคิดแต่งเพลงคณะขึ้นมาคงร้องไห้เสียใจกันน่าดู เพลงคณะก็ถือเป็นสมบัติของคณะนะครับ พวกคุณไม่คิดจะช่วยกันรักษาเลยหรือยังไงกันครับ”
“ร้องกันแบบนี้อย่าร้องเลยครับ น้องผมไม่น่าสอนเลยครับ เสียเวลาน้องๆ ของผมหมด”
“สมุดเพลงที่ทำกันไปนี่ไม่มีความหมายเลยใช่ไหมครับ”
“พวกผมบอกให้ทำก็ทำกันไปอย่างนั้น ทำเสร็จก็ทิ้งเหรอครับ”
สมุดเพลงหลายเล่มถูกโยนลงมาบนพื้นให้น้องๆ ผู้หญิงสะดุ้งเฮือก หลายคนเริ่มน้ำตาคลอเบ้าเตรียมปล่อยน้ำตากันเต็มที่
“ทำแล้วก็ทิ้งขว้าง วางทิ้งไว้ไม่สนใจ จะทำกันไปทำไมครับ แล้วไม่คิดบ้างเหรอครับว่าถ้าคนอื่นมาหยิบไปจะเป็นยังไง”
“ของแค่นี้ยังรักษากันไม่ได้เลยนะครับ แล้วจะรักษาอะไรกันได้บ้างครับ”
“สัญญาอะไรกับพวกผมไว้ก็ทำไม่เคยได้ อย่างนี้จะมาเป็นรุ่นน้องพวกผมเหรอครับ พวกผมควรจะให้น้องๆ ของผมไปดูแลคุณไหมครับ”
“แล้วก็ไม่ใช่แค่สมุดเพลงนะครับ ป้ายชื่อ สัญลักษณ์ชั้นปีของพวกคุณก็วางทิ้งไว้ พวกพี่ๆ เขาตั้งใจทำให้ก็ไม่รักษา ไม่เห็นคุณค่า ไม่คิดว่าพวกพี่ๆ เขาที่ตั้งใจทำ ตั้งหน้าตั้งตาทำให้จะเสียใจเหรอครับ”
“ถ้ารักษากันไม่ได้ก็ไม่ต้องรักษาครับ ถอดออกมาให้หมดทั้งป้ายชื่อ ทั้งสมุดเพลง ส่งคืนมาครับ!”
“พี่ปีสองครับ เก็บป้ายชื่อแล้วก็สมุดเพลงของปีหนึ่งมาให้หมดครับ!”
เหล่าปีหนึ่งหันมองหน้ากันเลิกลั่กกับคำสั่งของพี่วินัย พวกพี่ปีสองเองก็ได้แต่ทำตาม แม้จะมีหลายคนที่ไม่ยอมส่งของให้ แต่เมื่อเจอเสียงของพี่วินัยคอยกดดันก็ได้แต่ถอดป้ายที่คล้องคออยู่ออก น้องปีหนึ่งผู้หญิงหลายคนต่างพากันร้องไห้จนพี่พยายามต้องเข้ามาดูแลเพราะกลัวน้องจะเป็นลมไปเสียก่อน
“ปีสามครับ เตรียมของด้วยครับ ในเมื่อปีหนึ่งเขาไม่อยากได้ของที่รุ่นพี่ทำให้ก็เผาทิ้งมันไปครับ”
พี่วินัยเดินไปรับป้ายชื่อของปีหนึ่งจากปีสองก่อนจะเดินไปนอกอาคาร พวกปีสามอีกหลายคนกำลังเตรียมของกันอยู่ ป้ายชื่อในมือพี่วินัยถูกทิ้งลงในปี๊บก่อนจะจุดไฟด้วยไม้ขีดไฟแล้วโยนลงในปี๊บในเดิม โดยมีสายตาของน้องปีหนึ่งคอยมองอยู่
ความเงียบโรยตัวไปทั่วลานใต้อาคารทั้งๆ ที่มีคนอยู่ร่วมร้อยคน มีเพียงสะอื้นของน้องผู้หญิงที่ดังให้ได้ยิน ทุกคนยังคงตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“น้องๆ ครับ...” เสียงของโอ รุ่นพี่ปีสองดังขึ้นเรียกความสนใจจากปีหนึ่ง
รุ่นพี่ปีสองต่างพากันเดินมานั่งล้อมน้องปีหนึ่ง คอยปลอบน้องผู้หญิงที่ยังร้องไห้ ตบไหล่ตบหลังน้องผู้ชาย
“ไม่เป็นอะไรนะ ป้ายชื่อพวกนั้นเราทำใหม่ก็ได้เนอะ ไม่เป็นอะไร” พี่นัทเข้ามาช่วยพูดให้บรรยากาศนั้นดีขึ้น “น้องๆ ก็ทำป้ายชื่อกันใหม่ ให้สวยกว่าที่พี่ๆ ทำให้ คราวนี้พวกพี่ปีสามเขาก็จะได้เห็นไงครับว่าน้องๆ ให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์ชั้นปีของพวกน้องๆ แถมยังทำให้พี่เขาเห็นถึงความสามัคคีของพวกเราด้วยเนอะ ดีไหม”
“ครับ / ค่ะ” แม้เสียงที่ตอบกลับมาจะเบาแต่ทุกคนก็พร้อมใจกันตอบออกมา
“วันนี้น้องๆ คงเหนื่อยกันแล้วเนอะ พี่ว่าแยกย้ายกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวพวกพี่ๆ เดินไปส่งนะ” ต๊อบพูดกับน้องๆ ก่อนจะหันไปหาเพื่อน “พี่ๆ ครับ เอากระเป๋ามาให้น้องๆ หน่อยครับ”
น้องปีหนึ่งทยอยเดินออกจากใต้อาคารเพื่อแยกย้ายกลับหอกลับบ้านโดยมีรุ่นพี่เดินไปส่งขึ้นรถจนครบทุกคน น้องคนไหนอยู่หอแล้วบังเอิญอยู่หอเดียวกับรุ่นพี่ก็กลับกับพวกพี่ๆ ไปพร้อมกันเลย
เดียร์ ทัชแล้วก็หินผายกมือไหว้รุ่นพี่ก่อนจะพากันเดินไปที่รถ ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนกระทั่งถึงรถที่จอดข้างกัน เดียร์ยืนหันหลงพิงรถของทัชก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“นี่มันอะไรวะเนี่ย ถึงกับต้องเผาป้ายกันเลยเหรอวะ”
“จริงของมึง เออ... คนที่ลืมป้ายชื่อทิ้งไว้ก็ผิด แต่ผิดถึงขนาดที่จะต้องเผ้าของทิ้งกันแบบนี้เลยเหรอวะ” ทัชเองก็เห็นด้วยกับเพื่อนซี้ “ไหนบอกว่าพวกพี่ๆ ตั้งใจทำให้ไง แล้วทำไมมาเผาของที่พวกพี่ๆ เขาตั้งใจทำกันแบบนี้วะ”
ทั้งเดียร์และทัชหันไปมองเพื่อนอีกคนที่มักจะมีคำตอบ แต่คราวนี้หินผาเองก็หาคำตอบมาให้เพื่อนทั้งสองคนไม่ได้ “กูก็คิดเหตุผลของพี่ๆ เขาไม่ออกเหมือนกันว่ะว่าทำไมถึงได้ทำแบบนี้ จะว่าสอนให้พวกเรารู้จักรักษาของก็คงใช่ แต่ก็ทำกันเกินไปว่ะที่มาเผาป้ายชื่อกันแบบนี้”
“ใช่ไหม กูก็ว่าอย่างนั้น”
“กูไม่ยอมแพ้หรอก!” เดียร์พูดขึ้นมาหลังจากที่เงียบกันไป “กูจะไม่ยอมให้พวกพี่วินัยนั่นมาทำอะไรไปมากกว่านี้แน่นอน”
“แล้วมึงจะทำยังไง” ทัชหันไปมองเพื่อน
“ก็อย่างที่พี่ปีสองบอกไง ป้ายชื่อโดนเผาทิ้งแล้ว แล้วไงวะ ก็ทำใหม่ได้นี่ ต้องให้โดนเผาทิ้งอีกเป็นสิบก็ทำใหม่ได้อีกเป็นร้อยไม่ใช่เหรอวะ”
“แล้วมึงคิดว่าเพื่อนๆ จะมาทำกับมึงไหมหล่ะ”
“ถึงไม่อยากทำก็คงต้องทำแล้วล่ะเพราะส่วนหนึ่งก็สถานการณ์มันบังคับ แต่เราก็เปลี่ยนจากสถานการณ์บังคับให้เป็นการตั้งใจทำได้ไม่ใช่เหรอ” หินผาพูด ดูท่าแล้วเจ้าตัวจะเห็นด้วยกับความคิดของเดียร์
“เราเริ่มกันสามคนก่อน แล้วก็กระจายไปถึงคนอื่นๆ เดี๋ยวมันก็ทั้งชั้นเองนั่นแหละ ถ้าเราไปคุยกับพวกมิ้นท์ พวกเปียให้มาช่วยกันคิดช่วยกันทำป้ายชื่อได้ เดี๋ยวพวกนั้นก็ชวนคนอื่นๆ มาด้วยเองแหละ พวกนั้นเป็นศูนย์กลางปีเราอยู่แล้วนี่”
ทัชพยักหน้ากับคำพูดของเพื่อนทั้งสองคนเริ่มมองออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไรกันดี
“เออ... ก็ดีนะ อย่างนั้นพวกเราต้องคุยกับมิ้นท์กับเปียก่อน แล้วให้พวกนั้นช่วยกระจายข่าวให้ ไหนๆ พรุ่งนี้ก็เป็นวันเสาร์ นัดเพื่อนๆ มาประชุมกันก็น่าจะได้ มาไม่ครบก็ไม่เป็นอะไร”
“ดีๆ แบบนั้นก็ดีนะ นัดกันมาประชุมแล้วก็ออกแบบป้ายชื่อกัน ทำให้เหมือนๆ กันให้เห็นถึงความพยายาม ความสามัคคีของพวกเรา มึงว่าดีไหมวะผา” หันไปถาม
หินผาพยักหน้ารับ “ดีนะ กูว่าน่าจะดีเลยแหละ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ เดี๋ยวกลับไปกูไปตั้งกลุ่มคุย มีพวกเราแล้วก็มิ้นท์ เปีย คุยกันตรงนี้ก่อน ตกลงอะไรเรียบร้อยค่อยกระจายข่าวอีกที”
“ตกลงตามนั้น อย่างนั้นเราแยกย้ายกันได้”
“เจอกันพรุ่งนี้มึง”
พวกเขาแยกย้ายกันขึ้นรถก่อนที่ทัชจะขับรถออกจากลานจอดรถของมหาวิทยาลัยเพื่อตรงกลับคอนโดโดยมีเพื่อนสนิทอย่างเดียร์นั่งมาด้วยอย่างทุกที เวลาสองทุ่มกว่าๆ ในมหาวิทยาลัยแทบจะไม่มีคนแล้ว ถนนด้านนอกก็โล่ง รถไม่ติด
“เออมึงๆ เดี๋ยวจอดให้กูลงตรงตลาดก่อนถึงคอนโดนะ กูแวะซื้อไรกินก่อน มึงจะแวะด้วยไหม” เดียร์บอกกับเพื่อนรัก
“ไม่อ่ะ เมื่อตอนบ่ายแม่กูแวะมาที่คอนโด เตรียมของกินไว้ให้กูพร้อมแล้ว แต่มึงจะให้กูลงไปด้วยไหมหล่ะ”
“ไม่เป็นไรมึง ปล่อยกูลงตรงนั้นแหละเดี๋ยวกูเดินกลับเอง”
“เออๆ ยังไงก็เดินดีๆ หล่ะอย่าไปเหยียบหางหมาจนมันวิ่งกัดเข้าหล่ะ” ทัชแซวเพื่อนรักไปที แล้วก็ได้อาการแยกเขี้ยวใส่กลับมาเป็นของขวัญ
“เจอกันพรุ่งนี้มึง” เดียร์โบกมือลาเพื่อนทัชก่อนจะกระชับกระเป๋าเดินเข้าไปในตลาด แม้จะเริ่มดึกแต่ตลาดก็ยังคงคึกคักอยู่ ร้านอาหารมากมาย หลิ่นหอมๆ ที่ชวนให้ท้องร้องจนไม่รู้ว่าจะแวะเข้าร้านไหนดี
หลังจากที่เดินวนอยู่ประมาณสองรอบ และในรอบที่สามเจ้าตัวก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าร้านขายผัดไท สั่งใส่ห่อไปหนึ่งห่อ หลังจากนั้นก็ไปต่อที่ร้านน้ำผลไม้ สั่งน้ำแตงโมปั่นไปอีกหนึ่งแก้วใหญ่ ตั้งใจว่าจะพอแค่นี้ แต่ระหว่างที่จะเดินกลับคอนโด สายตาก็เหลือบไปเห็นปังเย็นแบบใส่แก้วหน้าตาน่าทาน
เจ้าตัวหยุดเดิน ยืนมองร้านขายปังเย็นสลับกับน้ำแตงโมปั่นในมือ
“ป้าคร้าบ เอาปังเย็นชาเย็นแก้วหนึ่งครับ” สุดท้ายก็เดินเข้าไปสั่งจนได้
ระหว่างที่รอปังเย็นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นให้เจ้าตัวรวบของไว้ในมือเดียว ใช้อีกมือล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู ยิ้มร่าเมื่อเห็นคนโทรเข้ามาก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงครับคนสวย”
[ทะเล้นจริงๆ นะเราน่ะ] ปลายสายตอบกลับมาให้เดียร์หัวเราะชอบใจ [แล้วนี่เลิกรับน้องแล้วเหรอ]
“เลิกแล้วครับ เดียร์กำลังซื้อของกินกลับไปกิน เดินอยู่ตรงตลาดข้างๆ คอนโด”
[อย่างนั้นเหรอ อย่างนั้นก็รีบกลับนะ ตอนเดินอย่าเอาแต่เล่นโทรศัพท์นะเดียร์ ระวังตัวด้วยรู้ไหม]
คนฟังทำหน้ามุ่ยแม้ปลายสายจะไม่เห็น “มัมชอบทำเหมือนเดียร์เป็นเด็ก เดียร์โตแล้วนะ อายุเท่ากับฮาร์ทด้วย”
[ครับๆ แต่เพราะมัมเป็นห่วงยังไงล่ะครับ ยังไงก็รีบๆ กลับนะครับ แล้วจะซื้ออะไรไปกินก็อย่าเยอะนัก มันดึกแล้ว พวกน้ำหวาน ขนมหวานก็ลดๆ บ้างนะรู้ไหม]
คนทางนี้ได้แต่ยิ้ม ก้มมองน้ำแตงโมปั่นในมือกับแก้วปังเย็นที่คนขายกำลังส่งมาให้ หนีบโทรศัพท์เอาไว้พร้อมกับยื่นเงินให้คนขาย รับแก้วปังเย็นแก้วโตมาถือก่อนจะเดินกลับคอนโด “ครับผม เดียร์รู้แล้วครับ มัมก็ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ อย่าโหมทำงานเยอะล่ะ เดี๋ยวแด๊ดเป็นห่วง อิอิ”
[ลูกคนนี้นี่... รีบๆ กลับได้แล้วครับ อาบน้ำ กินข้าว แล้วก็พักผ่อนเยอะๆ นะ เอาไว้พรุ่งนี้มัมโทรไปหาใหม่]
“คร้าบผม เอาไว้หมดรับน้องหมดกิจกรรมแล้วเดียร์จะกลับไปหานะครับ คิดถึงมัมนะ ฝากบอกตัวเล็กกับแด๊ดด้วย สวัสดีครับ”
เดียร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หลังจากที่วางสายของมัมมี๊ไปแล้ว รู้สึกอยากจะกลับไปกอดไปอ้อนมัมมี๊เร็วๆ ไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่มัมมี๊ของเดียร์น่ะน่ารักที่สุดในโลกเลย ทั้งน่ารัก ทั้งเก่ง สุดยอดไปเลยล่ะแถมยังใหญ่สุดในบ้านด้วย
แต่คนที่กำลังอารมณ์ดีๆ ก็ชะงักไปเมื่อเห็นใครบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินอยู่ข้างหน้า เจ้าตัวแทบจะกระโดดไปหลบหลังเสา ชะเง้อคอออกไปมองให้แน่ใจว่าคนที่เห็นนั้นใช่คนเดียวกับที่คิดหรือเปล่า
“อึ๋ย! อยู่คอนโดเดียวกันด้วยเหรอวะเนี่ย” บ่นพึมพำกับตัวเอง ยามมองคนตัวสูงๆ ที่หน้าตาเถื่อนๆ เต็มไปด้วยหนวดเคราที่กำลังยืนรอลิฟต์อยู่
พี่วินัยหน้าโหดที่สั่งลงโทษเขาตอนที่เขาวิ่งไปชน
นี่ไม่ได้แค้นฝังหุ่นอะไร แต่แค่จำได้ไม่ลืมก็เท่านั้นเอง
เจ้าตัวยืนหลบหลังเสา ยังไม่อยากจะเดินออกไปขึ้นลิฟต์ตอนนี้ รอให้อีกฝ่ายขึ้นไปก่อนแล้วกัน ยังไม่อยากจะใช้อากาศใกล้ๆ ร่วมกัน!
มองจนกระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายเข้าลิฟต์ไปแล้ว และประตูลิฟต์ก็ปิดสนิทแล้วถึงได้เดินออกมาจากหลังเสา แลบลิ้นใส่ประตูลิฟต์ที่พี่วินัยคนนั้นเพิ่งจะเดินเข้าไป
“ไอ้พี่วินัยหน้าเหี้ยม!”************************************************
พี่กันต์ค่าตัวแพงค่ะ เลยยังไม่ออก แต่ก็แหม... ชื่อตอนก็บอกอยู่เนอะว่าเป็นตอนของ เจ้าน้อง พี่เลยยังไม่ออกค่า มาแค่ชื่อที่ถูกพูดถึงและความโหดของพี่วินัย นี่น้องไม่ได้แค้นอะไรเล้ยยยย จริงๆ นะ ชื่อน้องมันเถอะค่ะ ฮ่า... นี่ขนาดไม่ได้แค้นนะ ถ้าแค้นนี่น้องคงไปสั่งทำตุ๊กตาวูดูเป็นคนพี่แล้วเอาเข็มแทงๆๆๆๆ แน่นอนจ้า
ส่วนตอนหน้าบอกเลยก็ได้ว่าได้เจอคนพี่แน่นอนนนน สลับกันออกเนอะ แบ่งๆ กันไป ค่าตัวของตระกูลกิจไพศาลกุลกับบริสตันนี่ไม่ใช่เล่นๆ จ้า ได้ตัวมาแล้วต้องเอาออกให้คุ้มหน่อย เจอกันตอนหน้านะคะ
ยังไงก็ฝากติดตามแล้วก็เอ็นดูเจ้าน้องกับเจ้าพี่ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
เจอคำผิด บอกได้ค่า
อ่านแล้วอย่าลืมให้กำลังใจคนแต่งนะคะ จะได้มีกำลังใจแต่งนิยายให้อ่านกันค่ะ อย่าเงียบนะคะใจคอไม่ดีเลยค่ะ คอมเมนต์คือกำลังใจของคนเขียนนะคะ ^^
สำหรับเฟสบุ๊คค่ะ https://www.facebook.com/fgc32yaoi
สำหรับทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/Fangiily_GC
เข้าไปพูดคุย สอบถาม ทวงหานิยายกันได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกคน ทุกข้อสงสัย(ที่ตอบได้จ้า)
รัก #พี่กันต์สายอ่อย กันเยอะๆ นะคะ กดเฟบ กดเมนต์ กดโหวด กดแชร์ แล้วแต่สะดวกเลยน๊า คนละนิดคนละหน่อยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ จุ๊บๆ ขอบคุณค่ะ