Cr. Pic [F.GC]
say-hi ในทวิตเตอร์ ฝากติด
#พี่กันต์สายอ่อย ด้วยนะคะ
บท09 l “สิ่งที่...ดวงตาเห็น”* * * ต่อค่ะ 100% * * *
เสียงฮัมเพลงอย่างคนอารมณ์ดีดังคลอไปกับเสียงเพลงที่เปิดจากวิทยุในรถคันสวยที่กำลังแล่นไปตามท้องถนนในยามสายของวันหยุด คนที่ทำหน้าที่ขับรถหันมามองคนที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับก่อนจะส่ายหน้า นึกอยากจะยื่นมือไปดึงแก้มหรือไม่ก็ดีดหน้าผากคนอารมณ์ดีสักทีเพราะรู้สึกหมั่นไส้อย่างไรชอบกล
“อารมณ์ดีอะไรนัก ฮัมเพลงไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นรถมา” ฮาร์ทหันไปถามฝาแฝดของตัวเองที่ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ สังเกตมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปจนกระทั่งวันนี้ที่เป็นวันหยุดและพวกเขาก็ได้กลับบ้านบ้าน
ตั้งแต่ขึ้นรถมา เปิดเพลงฟังน้องชายของเขาก็เอาแต่ฮัมเพลงอย่างมีความสุขไม่หยุด จนต้องเอ่ยถามออกไป
เดียร์หันมายิ้มกว้างให้กับคนเป็นพี่ “จำได้ใช่ไหม อาทิตย์ที่แล้วที่เราเข้าไปวาดรูปในมอส่งอาจารย์อ่ะ”
ฮาร์ทหันมามองก่อนจะหันกลับไปมองถนนตามเดิมพร้อมกับพยักหน้ารับกับคำถามของเดียร์ เมื่อเห็นว่าพี่ชายจำได้ก็พูดต่อ “เมื่อวานอาจารย์เอางานมาคืน งานของเราผ่านด้วยล่ะ แถมอาจารย์ยังชมอีกว่าเราวาดรูปสวย แล้วก็บอกว่ามุมที่เราเลือกวาดน่ะเป็นมุมที่ไม่ค่อยมีคนวาดเท่าไหร่ ส่วนใหญ่คนที่วาดมุมนี้มาก็มักจะไม่ผ่าน ต้องกลับไปแก้ตั้งหลายรอบกว่าจะผ่านกัน แต่ของเราอ่ะ วาดครั้งเดียวก็ผ่านเลย เก่งใช่ไหมล่ะ”
“แล้วทำไมนายถึงผ่านแต่คนอื่นไม่ผ่านล่ะ”
เดียร์ก็ขยับตัวเพื่อหามุมนั่งสบายๆ แล้วหันมาตอบคำถามของพี่ชายฝาแฝดต่อ “ก็มุมที่เราเลือกวาดอ่ะเป็นอาคารที่ผนังเป็นกระจกไง แล้วโจทย์อ่ะอาจารย์ให้วาดรูปในสิ่งที่ตาเห็น นึกออกใช่ไหมล่ะผนังกระจกอ่ะมันก็มีเงาเราสะท้อนอยู่บนนั้นด้วยไง ซึ่งส่วนใหญ่เวลาวาดก็ไม่ได้วาดตัวเองลงไปไง แต่เราอ่ะวาดตัวเองลงไปด้วยเราก็เลยผ่าน”
พอได้ยินแบบนั้นก็เหล่ตามองน้องชายฝาแฝดที่ยังเล่าเสียงเจื้อยแจ้ว ยื่นมือไปวางบนหัวอีกฝ่ายแล้วจับโยกไปมา “นี่ตีความหมายได้เองเลยเหรอ”
ไม่ใช่ว่าน้องชายของเขาจะไม่สามารถตีความอะไรแบบนี้ได้แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะตีความหมายได้ในครั้งเดียวแบบนี้ เพราะเอาจริงๆ เขาก็ไม่ทันนึกเหมือนกันว่าให้วาดในสิ่งที่ตาเห็นตามโจทย์ที่อาจารย์ให้มาจะต้องวาดตัวเองลงไปด้วยเพราะมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง เป็นเขา... เขาก็คงวาดแค่ภาพอาคารแค่นั้น ก็เลยอดที่จะแปลกใจไม่ได้ที่น้องชายของเขาสามารถตีความหมายได้ทันทีแบบนี้
แต่เสียงจิ๊ในลำคอจากคนที่นั่งตำแหน่งข้างคนขับก็ทำให้ฮาร์ทหลุดขำเพราะเข้าใจแล้วว่าเจ้าตัวคงไม่สามารถตีความหมายได้เช่นกัน แต่มีคนบอก
“หัวเราะอะไรเรา!” มองค้อนพี่ชายตัวเองทันที
“เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่ว่าใครเป็นคนบอกความหมายนี้หล่ะ”
ตาโตกลมสีน้ำตาลที่ถอดพิมพ์มาจากคนเป็นแม่หรี่ลงแล้วก็มองค้อนให้อีกชุดใหญ่ “ทำไม เราจะตีความเองไม่ได้หรือไง”
“หึ...” ฮาร์ทไม่ได้ตอบอะไรนอกจากหัวเราะขำแค่นั้น
เจ้าน้องชายตัวแสบยกมือขึ้นชกแขนกันทันทีอย่างไม่ได้ใส่แรงนัก คงแค่นึกงอนพี่ชายแค่นั้น ก่อนจะกอดอกทำหน้าบึ้งปากยื่นแล้วจึงยอมสารภาพแต่โดยตี “เออ... เราไม่ได้ตีความเองหรอก แต่มีรุ่นพี่บอกเรา เราก็เลยวาดไปแบบนั้น ถ้าพี่เขาไม่บอกเราก็วาดแค่อาคารนั่นแหละ แล้วก็คงต้องวาดซ้ำๆ เป็นสิบๆ รอบเพราะเราตีความไม่ออก”
พอได้ยินคำสารภาพฮาร์ทก็หัวเราะออกมาอีกรอบ คนโดนหัวเราะยิ่งทำหน้าบึ้งเข้าไปใหญ่ถ้าไม่ติดว่าพี่ชายกำลังขับรถอยู่ล่ะก็สาบานเลยว่าเขาจะชกเข้าที่แขนนั้นอีกรอบแบบไม่ออมแรงแน่นอน
มือของพี่ชายเอื้อมไปจับหัวของเดียร์โยกอีกรอบก่อนจะยีผมนุ่มอย่างมันเขี้ยวกับท่าทางแสนงอนของน้องชาย อาศัยช่วงรถติดไฟแรงขยับไปจูบหัวของเดียร์เป็นเชิงง้อ “แล้วใครเป็นคนบอกความหมายนั้นให้ล่ะ”
“พี่วินัย...”
เสียงนั้นเบาแสนเบาจนฮาร์ทต้องถามออกไปอีกรอบ
“พี่วินัย! คนที่สั่งลงโทษเรานั่นแหละ” พูดเสียงดังขึ้นอีกหน่อยให้ฮาร์ทได้ยิน
คำตอบของน้องชายทำให้เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้ตอนรับน้องได้ยินน้องชายบ่นถึงพี่วินัยแทบทุกวัน วันละหลายรอบ ไม่รู้ว่าจะอคติอะไรนักหนา แต่พอเลิกรับน้องก็ไม่มีพูดถึงเขาก็เกือบจะลืมๆ ไปแล้วว่าน้องชายของเขาอคติกับพี่วินัยอยู่ แต่วันนี้... กลับได้ยินคำตอบที่ทำเอาแปลกใจเลยทีเดียว
“ดีกันแล้วเหรอ” หันไปถามคนที่ยังนั่งหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ
“ดีบ้าอะไรล่ะ เรากับพี่วินัยไม่ได้ทะเลาะกันสักหน่อยจะมาใช้คำว่าดีกันอะไรกันล่ะ”
“ก็เห็นตอนรับน้องบ่นเขาว่าเขาสารพัด แต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แล้วนี่...”
เดียร์จิ๊ปากอีกรอบคิดจนหัวหมุนว่าจะตอบคำถามของพี่ชายอย่างไรดี พอนึกๆ ดูแล้วก็จริง... ก่อนหน้านี้ยังด่ายังว่าพี่เขาทุกวัน แต่ตอนหลังมา... ดันไปอ้อนให้พี่เขาเลี้ยงขนมเสียอย่างนั้น
“ก็... พี่เขาไม่ได้สั่งลงโทษเราแล้วไง เราก็เลยปล่อยๆ ไปเรื่องในอดีตไม่อยากจะสนใจแล้ว”
ถ้าฮาร์ทเป็นคนช่างแซวละก็เขาก็คงจะร้อง ‘จ้า~’ ออกมาแล้วล่ะ แต่เพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้นก็เลยทำเพียงแค่ยิ้มแล้วก็พยักหน้ารับเท่านั้น
บทสนทนาถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถคันสวยเลี้ยวเข้าสู่รั้วบ้านของตระกูลบริสตัน ฮาร์ทขับรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถ ยังไม่ทันจะได้ดับเครื่องยนต์น้องชายฝาแฝดก็เปิดประตูรถแล้ววิ่งเข้าบ้านไปนู้นแล้วแบบไม่รอกันเลยสักนิดเดียว
“คุณปู่ คุณย่า คุณตา... สวัสดีครับ” ฮาร์ทยกมือไหว้ผู้ใหญ่ของบ้านทั้งสามคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
ทั้งคุณปู่โทมัส คุณย่ามรกตและคุณตาสินธรต่างก็หันมารับไหว้แล้วอวยพรหลายชายคนโต ฮาร์ทเดินไปนั่งที่โซฟาตัวที่ว่างอยู่ ส่วนน้องชายของเขาตอนนี้ไปนั่งอยู่บนพื้นอ้อนคุณย่าอยู่นู้นแล้ว
“แล้วแด๊ดกับมัม แล้วก็ตัวเล็กละครับ” ฮาร์ทถามถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้
“พี่ฮาร์ท~” ยังไม่ทันที่ใครจะได้ตอบอะไรเสียงหวานก็ดังเข้ามาในห้องนั่งเล่นก่อนที่ร่างของสาวน้อยจะวิ่งเข้ามา เจ้าตัวรีบตรงมากอดอ้อนพี่ชายคนโตทันทีอย่างคิดถึง “เลิฟคิดถึงพี่ฮาร์ทที่สุดเลย”
“นี่ๆ พี่ก็นั่งอยู่นี่ไหม” เดียร์ส่งเสียง เพื่อเรียกความสนใจจากน้องสาวคนเล็กที่เหมือนจะลืมกันไป
“อ้าว! พี่เดียร์... มาด้วยหรือคะ เลิฟไม่ยักเห็น อิอิ” เจ้าตัวหันมาทำตาโตด้วยความตกใจ ยกมือปิดปากแล้วหัวเราะแบบที่เดียร์เห็นแล้วนึกมันเขี้ยวปนหมั่นไส้น้องสาวตัวเองจนต้องลุกมาบีบแก้มน้องสาวเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาไปทีจนสาวเจ้าร้องเจ็บแล้วหันไปอ้อนพี่ชายคนโต
“เวอร์! เวอร์จริงๆ เลย”
ทุกคนได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ กับการเห็นพี่น้องเถียงกันแบบนี้ เห็นกันจนชินตาจนเป็นเรื่องปกติ เดียร์กับเลิฟมักจะเถียงกันบ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็รู้ดีว่าทั้งคู่นั้นรักกันมาก เพียงแต่แสดงความรักออกมาแบบนี้เท่านั้น เลิฟมักจะพูดจาน่ารักแล้วก็ออดอ้อนฮาร์ทมากกว่าเพราะพี่ชายคนโตของเธอนั้นดูเป็นคนอบอุ่น ผิดกับพี่ชายคนรองที่มักจะแสนซนแก่นเซี้ยวคนละมาดกับฮาร์ทเลย
“เสียงดังจริงเชียว” เสียงดุๆ ที่ดังขึ้นทำเอาสองพี่น้องที่กำลังเถียงกันให้เงียบลงได้ ฮาร์ทกับเดียร์หันมายกมือไหว้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ รวมไปถึงใครอีกคนที่เดินตามหลังมาด้วย
“มัมมี๊” เดียร์เรียกก่อนจะรีบเข้าไปกอดเอวของคนเป็นแม่อย่างออดอ้อนทันที พร้อมกับหอมแก้มนุ่มๆ นิ่มๆ ของมัมมี๊ไปฟอดใหญ่จนคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องยกมือเขกหัวลูกชายตัวแสบไปทีอย่างหมั่นไส้ “มัมมี๊ แด๊ดดี๊เขกหัวเดียร์”
“พอๆ พอครับทั้งน้องเดียร์ทั้งแด๊ดดี๊เลย” น้ำเหนือพูด “ไปทานข้าวกันเถอะครับ ตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว พี่ฮาร์ท น้องเลิฟไปครับ”
ทุกคนในห้องนั่งเล่นจึงย้ายไปห้องอาหารทันที อาหารหน้าตาน่าทานหลากหลายวางเรียงอยู่บนโต๊ะตัวยาว มีของโปรดของเดียร์กับฮาร์ทจนสองหนุ่มต้องหันไปกอดมัมมี๊เพื่อขอบคุณทันที อาหารมื้อกลางวันของบ้านบริสตันมื้อนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วก็เสียงหัวเราะ ปนไปกับเสียงห้ามปรามดุๆ ของมัมมี๊ที่เอ่ยห้ามลูกชายคนเล็กกับลูกสาวไม่ให้เถียงกัน
เรียกว่าอาหารมื้อนี้คนที่รับบทหนักสุดก็คือมัมมี๊นี่แหละ...
เสียงเพลงจังหวะฟังสบายหูดังภายในห้องพักของคอนโด เจ้าของห้องฮัมเพลงตามเพลงสากลที่กำลังเปิดอยู่ มือก็กำลังง่วงกับการเตรียมอาหารมื้อเย็นไปด้วย ท่าทางอารมณ์ดีจนคนที่เพิ่งเดินเข้ามาต้องเอ่ยปากทัก
“วันนี้ลูกชายมัมดูจะอารมณ์ดีนะครับ”
คนตัวสูงหันกลับมามองก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นใครคนที่กำลังรออยู่มาถึงแล้ว เขาละจากการทำอาหารตรงหน้าก่อนจะเดินตรงมากอดคนที่ตัวเล็กกว่าเขาเอาไว้แน่น “คิดถึงมัมที่สุดเลยครับ”
“ครับๆ ไหน... กำลังทำอะไรอยู่ ให้มัมช่วยไหม” พัทธ์ดันลูกชายตัวโตออกห่างก่อนจะชะเง้อมองเข้าไปในครัว
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ให้กระผมจัดการเอง คุณมัมเชิญนั่งสบายๆ รอทานของอร่อยได้เลยครับ” กันต์ว่าเสียงทะเล้น ฉีกยิ้มตอนพามัมที่แม้จะอายุล่วงเลยมาถึงเลขสี่แล้วไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร แต่ทั้งใบหน้า ผิวพรรณยังดูดีเหมือนตอนที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพ่อคินของเขาถึงได้ยังชอบแกล้งชอบแหย่ แสดงความรักกับมัมพัทธ์ของเขา
“ครับ จะรอทานอย่างตั้งตารอเลยครับ” มัมพัทธ์ว่ายิ้มๆ
“น่าเสียดายนะครับที่พ่อคินกับน้องแพรมาไม่ได้ แต่ก็ดีเหมือนกันนะเพราะผมจะได้สวีทกับมัมสองคน เดี๋ยวส่งรูปไปให้พ่อคินดูดีกว่า พ่อคินต้องอิจฉาผมมากแน่ๆ เลย” กันต์พูดพร้อมกับลงตกแต่งจานอาหารให้สวยงาม
อาหารสไตล์อิตาเลี่ยนถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะทีละจานจนครบ ไม่ว่าจะเป็นซีซ่าสลัดที่โรยด้วยเบค่อนทอดแล้วก็ขนมปังกรอบชิ้นเล็ก พิซซ่าแป้งบาง รวมไปถึงสปาเก็ตตี้เส้นดำและลาซานญ่า ที่ทุกจานถูกตกแต่งอย่างสวยงามอย่างกับเป็นอาหารจากร้านอาหาร
“มาครับ มาถ่ายรูปกัน” เจ้าของห้องว่าเดินอ้อมมาด้านหลังมัมพัทธ์เปิดกล้องโทรศัพท์เพื่อถ่ายเซลฟี่ตัวเองกับมัมพัทธ์ “ส่งไปให้พ่อคินดู”
“เราก็ไปแกล้งพ่อคินเขา” มัมพัทธ์ยกมือตีแขนลูกชายตัวเองไปที
แต่คนโดนตีก็ไม่ได้สลดอีกทั้งยังหัวเราะชอบใจเมื่อได้อ่านข้อความของพ่อคินที่ส่งกลับมาก่อนจะส่งให้มัมพัทธ์ได้อ่าน
วันนี้พ่อคินไปส่งน้องแพรที่ต้องไปเข้าค่ายที่ต่างจังหวัดสองวัน ตอนแรกมัมพัทธ์ก็ตั้งใจจะไปส่งด้วยแต่เพราะติดงานเลยไม่ได้ไป กันต์ก็เลยชวนมัมมาทานมื้อเย็นแล้วก็นอนด้วยกันที่คอนโดเพราะยังไงห้องที่เขาอยู่ก็เป็นแบบสองห้องนอนอยู่แล้ว
อาหารมื้อเย็นผ่านไปอย่างสนุกสนานแม้ว่าจะมีกันแค่สองคน แต่ที่หัวโต๊ะมีแท็บแล็ตตั้งอยู่แล้วก็มีภาพของพ่อคินที่วิดีโอคอลมาหากันเพราะไม่อยากให้แม่ลูกอยู่ด้วยกันสองต่อสอง
“พ่อคินไม่ต้องห่วงนะครับ เดี๋ยวคืนนี้น้องกันต์จะนอนกอดมัมเองเนอะ จะกอดแน่นๆ แทนพ่อคินเลย” กันต์ว่าเสียงทะเล้น ยกมือกอดมัมพัทธ์เอาไว้แน่น เหมือนได้ยินเสียงคนในจอกัดฟันแน่นทำหน้าดุใส่ลูกชาย
‘ไม่ต้องเลยครับ ให้มัมนอนอีกห้องจะได้นอนสบายๆ เราตัวตั้งใหญ่จะไปนอนเบียดมัมเขาได้ยังไงกัน’“ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ นอนกอดกันจะได้อุ่นๆ น้องกันต์เพิ่งให้ช่างมาล้างแอร์เอง แอร์เย็นมากเลย”
‘น้องกันต์...’“พอๆ ทั้งคู่เลยครับ เราก็ชอบแกล้งพ่อคินเขาจริงๆ เลย พี่คินก็ด้วยครับก็รู้อยู่ว่าลูกแกล้งก็ยังจะตามน้ำเขาไปอีก” เป็นพัทธ์ที่ต้องห้ามปราบ ยกมือตีแขนลูกชายไปอีกรอบที่ไปแกล้งพ่อเขาแบบนั้น ให้คนที่โดนปราบทั้งคู่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “แล้วก็จริงๆ เลย ชอบแกล้งเถียงกันให้มัมห้ามทุกที”
ยิ่งได้ยินพัทธ์พูดแบบนั้นก็ยิ่งประสานเสียงหัวเราะ สนุกเขากันล่ะทั้งพ่อทั้งลูกชายที่ชอบแกล้งกันแบบนี้ ไม่รู้ว่าน้องกันต์เด็กน้อยหัวเห็ดที่น่ารักน่าเอ็นดูตอนนั้นหายไปไหน แถมยังได้นิสัยช่างแกล้งจากพ่อคินมาเต็มๆ
คุยกันต่ออีกสักพักก็วางสายกันไป พัทธ์จึงเอ่ยไล่ลูกชายให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนตัวเองก็เก็บห้องให้ลูกชาย มือที่กำลังรวบรวมหนังสือแบบบ้านอยู่ชะงักเมื่อเห็นภาพวาดที่โดนหนังสือวางทับอยู่ พัทธ์ละมือจากหนังสือมาหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดูแทน
“ทำอะไรอยู่ครับมัม” กันต์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนเอ่ยถามก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ มัมพัทธ์ เจ้าตัวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือนั้น
“ใครครับเนี่ย” มัมพัทธ์หันมาถามพร้อมกับส่งกระดาษที่ถืออยู่ในมือให้กับลูกชาย “คนนี้น่ะลูกชายมัมแน่นอนเลย แล้วเด็กคนนี้ล่ะครับ”
“อ่า...” อยู่ๆ ก็เหมือนจะพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น กันต์รับกระดาษแผ่นนั้นมาถือเอาไว้ เพราะท่าทีอึกอักที่ไม่ได้ตอบคำถามออกมาทันทีผิดวิสัยของเจ้าตัวทำให้มัมพัทธ์ต้องเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างสงสัย
“หือ... น้องกันต์ของมัมพูดไม่ออกเสียอย่างนั้น แอบวาดรูปใครมาล่ะครับ” เหมือนจะได้ยินน้ำเสียงล้อเลียนอยู่ในนั้น
“น้องตัวเล็กครับ...” คำตอบของลูกชายทำให้พัทธ์ตาโต เพราะเขาเองก็รู้จักดีว่าน้องตัวเล็กที่ลูกชายพูดนั้นหมายถึงใคร
เด็กน้อยในวัยเด็กที่มักจะแวะมาที่ร้านขนมของคิน เด็กน้อยที่เคยได้กันต์ช่วยเอาไว้ตอนที่หนีไปเที่ยวเล่นตอนที่มาซื้อขนมที่ร้านจนขาเจ็บและกลับมาไม่ไหว เด็กน้อยที่กันต์บอกว่าอยากเจอแต่ไม่มีโอกาสได้เจอทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมาที่ร้านค่อนข้างบ่อย
“เจอน้องแล้วเหรอครับ”
“ก็... ครับ” กันต์พยักหน้ากับคำถามของมัม
“แล้วเป็นยังไงบ้างครับ ได้เจอสมใจแล้ว”
ส่ายหน้ากับคำถามนั้น “เขายังไม่รู้ครับว่าผมเป็นใคร แล้วก็ยังไม่ได้บอกน้องเขาด้วย ตอนเป็นพี่วินัยไปลงโทษเขาไว้เยอะเลยไม่กล้าบอก”
พัทธ์หัวเราะกับคำพูดของลูกชาย “อะไรกัน กลัวน้องเขาโกรธเหรอเนี่ย โถ่... ลูกชายของมัม”
กันต์ได้แต่ยกมือเกาท้ายทอยเหมือนจะแก้อาการเขินจนพัทธ์หัวเราะออกมาอีกรอบ ก่อนจะดึงลูกชายตัวโตเข้ามากอดซึ่งอีกฝ่ายก็ซบหน้าลงกับอกแล้วก็กอดเอวเอาไว้เหมือนกับว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
“มัมครับ...”
“ครับผม ว่ายังไงครับ”
“ถ้า... ถ้าผมบอกว่าผมอาจจะชอบน้องตัวเล็กละครับ มัมจะโกรธผมไหม” กันต์ผละตัวออกจากมัมพัทธ์แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง แต่ดวงตานั้นสั่นไหวอย่างกลัวกับคำตอบของมัมพัทธ์
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มพร้อมกับสัมผัสที่อบอุ่นที่ยื่นมือลูบผมของเขา “มัมจะโกรธทำไมครับ สำหรับมัม มัมขอแค่น้องกันต์ของมัมเป็นคนดีก็พอแล้ว ไม่ว่าลูกจะรักใครชอบใครมัมก็จะรักคนนั้นด้วย”
“ขอบคุณครับมัม” กันต์พนมมือก่อนจะไหว้ลงที่ตักของมัมพัทธ์แล้วกอดเอวอีกรอบเหมือนอยากจะอ้อน
“อ้อนเป็นเด็กเลยนะเรา” ลูบผมนุ่มของลูกชายอย่างรักใคร่เอ็นดู “ว่าแต่ว่า... ที่พูดกับมัมแบบนี้แสดงว่าชอบน้องเขาจริงๆ ใช่ไหม หาคำตอบเจอแล้วเหรอครับ”
“อ่า... ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับว่าร้อยเปอร์เซ็นหรือเปล่า แต่ก็... มากกว่าครึ่งครับ” กันต์ตอบ หยิบกระดาษวาดรูปที่วางเอาไว้มาอีกรอบ “เริ่มเข้าใจความรู้สึกตัวเองก็ตอนวาดรูปนี้นี่แหละครับ”
“หือ... ยังไงครับ”
“ก็... น้องเป็นอย่างเดียวที่ผมมองเห็น” เหมือนจะเห็นใบหูแดงๆ ของลูกชาย ท่าทางติดจะเขินๆ นั้นทำให้พัทธ์ยิ้มเอ็นดู นึกอยากจะถ่ายรูปเอาไว้แล้วส่งไปให้พ่อคินดูเสียจริงๆ “จริงๆ แล้วผมตั้งใจจะไปวาดรูปอื่น ตรงนั้นเป็นที่ประจำที่ผมไปวาด แต่วันนั้น... บังเอิญเจอน้องนั่งวาดรูปอยู่ด้วย ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกครับก็ตั้งใจว่าต่างคนต่างวาดกันไป”
“แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไหม รูปที่ผมวาดออกมาถึงได้เป็นรูปของผมกับน้องที่กำลังนั่งวาดรูปกันอยู่” คนเขินยกมือเกาแก้มเกาคอตัวเองแต่ก็ยังเล่าทุกอย่างทุกความรู้สึกให้มัมฟังอย่างไม่ปิดบังอะไร “ผมก็เลยมาคิดๆ ดูว่าทำไมเพราะอะไร ปกติเวลาไปวาดรูปผมไม่เคยวาดผิดไปจากที่ตั้งใจ แต่คราวนี้วาดรูปแบบนี้ออกมาแทนเสียอย่างนั้น”
“แสดงว่าตลอดเวลาที่วาดรูป เอาแต่มองน้องเขาละสิถึงได้วาดรูปน้องเขาออกมาแบบนี้”
“คงจะอย่างนั้นแหละครับ เพราะเป็นผนังกระจกก็เลยสะท้อนเงาของผมกับน้องบนนั้น พอกลับมาห้องผมก็นั่งคิดหาคำตอบไปเรื่อยๆ นั่งหาเหตุผลว่าทำไมอยู่ๆ รูปของผมถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ แล้วก็คงเป็นเพราะตอนนั้น...”
“สิ่งที่ตาผมเห็น... มีแค่ผมกับน้องเท่านั้นละมั้งครับ”“แลดูโรแมนติกเนอะ” พัทธ์เอ่ยแซวลูกชาย รู้สึกชอบใจที่ได้เห็นอาการเขินแบบนี้จากกันต์ เป็นท่าทางที่ไม่เคยเห็นเลยจริงๆ ขนาดต้องออกไปแสดงหรือทำอะไรต่อหน้าคนตั้งมากมายลูกชายของเขายังไม่มีอาการเขินเลย แต่วันนี้... ตอนที่ลูกชายพูดถึงเด็กอีกคนกลับแสดงอาการเขินออกมาเสียอย่างนั้น
“มัมครับ... เห็นแบบนี้ผมก็เขินเป็นนะ” ลูกชายตัวโตทำท่าจะงอแงเสียแล้ว
พัทธ์หัวเราะ ยกมือชี้ไปที่ใบหูแดงก่ำของลูกชาย “มัมเชื่อครับ เพราะหูน้องกันต์แดงมากเลย”
รีบยกมือปิดใบหูของตัวเองทันที “มัม...”
“ครับๆ มัมไม่แซวแล้วก็ได้ แล้วยังไงครับ ชอบน้องเขาแล้วจะจีบน้องเขาเลยไหม น้องเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันครับ อ่า... น้องคือน้องตัวเล็กนี่เนอะพ่อคินน่าจะจำพ่อแม่ของน้องได้อยู่นะแต่ไม่แน่ใจว่าพ่อคินจะรู้ไหมว่าพ่อแม่น้องเขาเป็นใคร ให้มัมไปคุยให้ไหมขอให้น้องกันต์ได้จีบลูกชายเขา” พัทธ์พูด “ให้มัมไปคุยให้ ช่วยอธิบายเขาจะได้ยอมไง ดีไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับมัม” กันต์รีบห้ามเพราะเชื่อว่ามัมพัทธ์ของเขาจะทำจริงอย่างที่พูด “ให้ผม... จัดการเองนะครับ”
“เอาอย่างนั้นเหรอ แต่จะให้มัมช่วยก็ได้นะครับ”
“เอาอย่างนั้นแหละครับ เดี๋ยวน้องกันต์จัดการเองนะ มัมแค่คอยให้กำลังใจกันก็พอครับ”
พอลูกชายยืนยันแบบนั้นก็ได้แต่พยักหน้ารับ “ตามใจน้องกันต์ครับ แต่ถ้าจะให้มัมช่วยพูดก็บอกได้เลยนะรู้ไหม”
“ครับๆ รับทราบครับผม แต่ตอนนี้น้องกันต์ว่ามัมไปนอนได้แล้วครับ ดึกแล้วครับ ถ้าพ่อคินรู้ว่าน้องกันต์ให้มัมนอนดึกแบบนี้นะน้องกันต์โดนพ่อคินดุแน่นอนเลย เพราะอย่างนั้นไปนอนนะครับ” กันต์พูดช่วยฉุดมัมให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะพาอีกฝ่ายไปที่ห้องนอนอีกห้อง
“น้องกันต์ก็รีบนอนนะครับ อย่าเอาแต่คิดถึงน้องตัวเล็กนะ”
“ครับผม ฝันดีนะครับมัม” ก้มลงหอมแก้มมัมไปทีก่อนจะเอียงแก้มให้มัมหอมบ้าง ปิดประตูห้องนอนให้เรียบร้อยก่อนที่เจ้าตัวจะเดินย้อนกลับไปที่ห้องนั่งเล่น หยิบเอากระดาษแผ่นนั้นกลับเข้าไปในห้องนอนด้วย
กันต์วางกระดาษที่วาดรูปลงบนโต๊ะข้างกระดาษแผ่นอื่นๆ อีกหลายใบ ซึ่งทุกใบก็เป็นภาพของน้องตัวเล็กด้วยกันทั้งนั้น ทุกครั้งเลย... ที่ตั้งใจจะวาดรูปเล่น สุดท้ายรูปที่ออกมาก็เป็นใบหน้าของใครอีกคนตลอด...
เจ้าตัวรวบกระดาษทุกแผ่นเข้าด้วยกันจนเรียบร้อย หันไปหยิบแฟ้มที่เอาไว้ใส่ภาพวาดของตัวเองออกมาแล้วสอดกระดาษนั้นลงไปก่อนจะเก็บเอาไว้ที่เดิม เดินลากขาตรงไปที่เตียงนอนหลังใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนอน คว้าเอาพวงกุญแจตุ๊กตาหมีมาดู
“ตกลงเราชอบจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย...”
ถอนหายใจออกมาก่อนจะวางพวงกุญแจเอาไว้ที่เดิม หลับตาลงเพื่อปัดใบหน้าตอนยิ้มกว้างของเด็กคนนั้นที่ได้ขนมถูกใจไว้ในมือให้ออกจากความคิด แต่ดูเหมือนว่ายิ่งหลับตาภาพนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ในเมื่อปัดออกจากความคิดไม่ได้ เจ้าตัวก็เลือกที่จะนอนคิดอยู่แบบนั้นจนกระทั่งหลับไป
************************************************
มาแล้วจ้าาาาา มาแล้วววว คิดถึง #พี่หมีกันต์ กับ #น้องตัวเล็ก บ้างไหมคะ ไม่รู้ทำไมแต่งตอนนี้แล้วรู้สึกหมั่นไส้คนพี่มากกกกกกก “ก็น้องเป็นอย่างเดียวที่ผมมองเห็น” จ้าาาาาา อยากจะ จ้าไปถึงอวกาศเลยจ้า น่าหมั่นไส้สุดไรสุดคนนี้ อยากจะหยิกแก้ม หยิกหู หยิกแขน หยิกตัว หยิกไปทุกๆ ส่วน ข้อหาเดียวเลยจ้า หมั่นไส้นางมาก 555555555 แต่ถึงจะหมั่นไส้ยังไงแต่ก็รักนะเออ เนอะๆ ^^
ยังไงเจอกันตอนหน้านะคะ รอติดตามกันเนอะว่าพี่กันต์จะอ่อยน้องยังไง ^^
ปอลอ. ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกความคิดเห็นนะคะ ขอบคุณที่ติดตามนิยายของฟางจ้า ขอบคุณนะคะ
ปล. เหตุการณ์รับน้อง การเรียนการสอน รวมไปถึงข้อมูลบางส่วนที่ใส่ในนิยาย บางส่วนฟางเอามาจากชีวิตจริงที่ฟางได้เจอมาตอนเรียน บางส่วนฟางแต่งเติมเสริมขึ้นมาเอง และได้รับการอนุญาตจากทาง รศ.ดร.นฤพนธ์ ไชยยศ คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้เผยแพร่แล้วค่ะ
เจอคำผิด บอกได้ค่า
อ่านแล้วเมนต์หน่อยน้า ไม่งั้นพี่กันต์น้อยใจแย่เลย รักพี่กันต์เมนต์ รักน้องเดียร์เมนต์ รักคนแต่งเมนต์ ไม่รักกันก็เมนต์ค่า
สำหรับเฟสบุ๊คค่ะ https://www.facebook.com/fgc32yaoi
สำหรับทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/Fangiily_GC
เข้าไปพูดคุย สอบถาม ทวงหานิยายกันได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกคน ทุกข้อสงสัย(ที่ตอบได้จ้า)
รัก #พี่กันต์สายอ่อย กันเยอะๆ นะคะ กดเฟบ กดเมนต์ กดโหวด กดแชร์ แล้วแต่สะดวกเลยน๊า คนละนิดคนละหน่อยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ จุ๊บๆ ขอบคุณค่ะ