10
กลางความหวั่นไหว
เพจผู้ชายของเรา XUคืนนี้ไม่ลงHDแล้วค่ะ เอารูปนี้ไปให้สาวกเปาตายกันไปข้างนึง
ดาเมจรุนแรงเหลือเกิน ดูน้องกลางสิคะ แอดมินเลือดสูบฉีดแรงมากค่ะ
#ปรมัตคริคริ #คนกลาง ขออนุญาติแท็กน้องค่ะ @khonklang @pparamatkrikri
4.7k ถูกใจ
Saicha กรี๊ดดดดด
Tumbi น้องกลางโคตรน่ารักเลย
Wairai โอ๊ยอยากช่วยเช็ดเหงื่อออออ
Fernwong เพื่อนกันใช่มั้ยคะ
Porpa เพื่อนกันค่ะ พอดีน้องเห็นเหงื่อจะเข้าตาพอดี เราอยู่ตรงนั้น *แนบรูปอีกมุม
Waawwa หน้างานกรี๊ดกันกระจายค่ะ อยากได้ ขอได้มั้ยผู้ชายคนนั้น
รูปที่ผมนั่งจ้องอยู่ตอนนี้เป็นรูปที่สวยมากครับมันได้ทั้งองค์ประกอบแสงสี มันจะดีกว่านี้ถ้ามันไม่ใช่ผู้ชายสองคนกับโมเม้นสีชมพู แต่ผมว่าไอ้แอคชั่นของผมกับไอ้เปามันแปลกๆ ไปหน่อย ผ่านมาหลายวันตั้งแต่วันงานเดินแบบคอมเม้นก็ยังมีเข้ามาไม่ขาดสาย ไอ้เปายังแอบแซวผมว่าเดี๋ยวนี้เข้าโลกสังคมออนไลน์กับเค้าบ้าง โธ่ ก็เค้าพูดถึงเรานี่นา ว่าแต่ผม ไอ้เปามันชอบรูปที่เพื่อนไอ้เบสถ่ายถึงขนาดเซฟรูปมาเก็บไว้ ส่วนสาวๆ ก็ชอบกรี๊ดกร๊าดกันมากขึ้นเวลาเห็นผมกับไอ้เปาเดินด้วยกันมีบ้างที่เข้ามาขอถ่ายรูปแต่ผมไม่ค่อยถ่ายรูปด้วยเลยได้แต่รูปไอ้เปาเดี่ยวๆ
ขณะนี้พวกเรากำลังนั่งติวหนังสืออยู่ที่หอไอ้ทัพครับ ห้องกว้างกว่าห้องผมอีก มันบอกว่าครอบครัวมันเป็นเศรษฐีทางอีสานครับ นอกจากชาวศิลปกรรมจะต้องส่งชิ้นงานแล้ว เราก็ยังจะต้องสอบทฤษฎีและเนื้อหาประวัติศาสตร์ศิลปะตั้งแต่รากเหง้าโบราณจนถึงปัจจุบัน และความยากมันอยู่ที่ความจำครับ
“มีใครหิวยัง”
จู่ๆ ไอ้กล้วยก็โพล่งขึ้นมาครับ แต่คำถามนี้คงจะวนเวียนอยู่ในหัวไอ้ทัพมาซักพักมันถึงรีบตอบทันที
“กู!!”
“แล้วทำไม ถามเฉยๆ คิดว่ากูจะไปซื้อให้หรอ”
“เอ้า มึงก็หิวทำมาพูดดีไอ้กล้วย”
“กินไร กูว่าซื้อมากินที่ห้องดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลาอ่านหนังสือ”
“โห พ่อคนขยัน เสนอทางเลือกแบบไม่เข้ากับตัวมึงเลย กลัวไม่ได้อ่านหนังสือ”
“มึงแหละไปไอ้เปามีรถ กูไม่ขอกินของด่วนๆ นะแบบสั่งมามันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“เออไปด้วยกันเลย คู่ผัวตัวเมีย”
“อุ้ย ไอ้กลางมองแรงว่ะ”
ผมปรายตามองคนพูดทั้งสามคนอย่างระอา พูดมาเสร็จสรรพขนาดนี้กูต้องลุกอ่ะนะ ส่วนเพื่อนประเสริฐทั้งสามนอนราบกับพื้นพรมหน้าทีวีในมือถือชีทไว้คนละข้าง นอนงั้นเดี๋ยวก็หลับ ตื่นมึงก็หิวแบบนี้ไง แล้วพวกมึงก็จะกลายเป็นไอ้หมูอ้วน
“เออ มึงเข้ามอไปเอาชีทที่กูที่พี่อั๋นฝากไว้ที่ร้านถ่ายเอกสารในมอให้หน่อยดิ เนี่ย ตัวช่วยพวกเราเลย”
“ไอ้เชี่ยเบส ทำไมพึ่งบอกวะ”
“กูลืมอะ งั้นมึงไปซื้อข้าวในมอเลยละกัน แวะเอาให้ด้วยนะ ขอบคุณคร้าบบบบเพื่อนเปาเพื่อนกลาง”
พอกูจะก้าวเท้าออกจากห้องก็มีเรื่องสั่งเชียวนะไอ้เบส ผมมองพวกมันอีกครั้งก่อนจะเดินนำไอ้เปาออกไปจากห้อง วันนี้ไอ้เปาพูดอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องครับมันมึน เรื่องที่มันมึนมันมีเหตุมาจากไอ้เปามันปั่นงานดรออิ้งแบบที่ไม่ถนัด มันนั่งจ้องกระดาษขาวๆ มาทั้งวันกว่าจะลงมือวาดก็เกือบไม่ทันส่ง ผมต้องคอยโทรเช็คว่าถึงไหนแล้วไม่ตายก่อนส่งใช่มั้ยไอ้น้อง
“ดูแลกันด้วยน้า”
ไอ้ทัพเดินมาทำหน้าอ้อร้อน่าถีบอยู่หน้าประตูสองสามวิแล้วก็ปิดประตูตึงตัง ผมเดินตรงไปที่ลิฟท์แต่ไม่ได้ยินเสียงเดินตามเลยหันกลับมาดูไอ้เปาค่อยๆ ก้าวเท้าตามออกมาด้วยท่าทางสติสตังไม่ค่อยมี ด้วยความที่เป็นคนดีเลยเดินกลับไปคว้ามือมันมาเดินไปรอลิฟท์ เดี๋ยวล้มหน้าคว่ำละยุ่งเลย
“ล้างหน้ายังเนี่ย”
“ล้างแล้ว แม่งมึนชิบหาย”
ไอ้เปาเอามือขยี้หน้าลามไปถึงหัวอย่างหงุดหงิด ผมหัวเราะหน้าผมมันยุ่งพอๆ กับหน้าเลย เมื่อถึงบริเวณหน้าลิฟท์ชั้นแปดมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนกดโทรศัพท์อยู่ เธอหันมามองไอ้เปาเป็นระยะๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนี เฮ้ๆๆ ผมมองตามสายตาของเธอ เชี่ยย ผมไอ้เปาคนของมหาลัยเหมือนรังนกเลย ผมปล่อยมือจากมันแล้วยืดตัวไปจัดทรงให้ไอ้เปา เออ เรียบหรูกว่าเมื่อกี้ล่ะวะ ไอ้เปาเลิกคิ้วแล้วเกาหางคิ้วแบบงงๆ หูมันแดงขึ้นนิดๆ เอออายสาวบ้างเหอะมึง ส่วนสาวคนนั้นท่าทางจะเป็นแฟนคลับไอ้เปามันครับ ทีนี้แหละหันมามองใหญ่เลย ก็ไอ้เปามันดูดีแล้วนี่นา
ติ๊ง
“เชิญก่อนเลยครับ”
ผมว่าแล้วเอื้อมมือไปกดให้ประตูลิฟท์เปิดค้างไว้ สาวคนนั้นก้มหน้าขอบคุณแบบเขินๆ แล้วเดินเข้าไปอยู่ตรงแผงกดลิฟท์ ในลิฟท์มีแค่ 3 คนครับ ผมไม่รู้จะทำอะไรเลยต้องหาโทรศัพท์มากดๆ ไอ้เปาก็ยังไม่พูดไม่จาแต่เอาแขนมาวางที่ไหล่ผมแล้วก็ยังจะเท้าคางกับไหล่ของผม
“ไอ้เปาหนัก”
ผมพูดเบาๆ โดยไม่มองหน้าคนที่ยืนข้างๆ เลื่อนนิ้วไปเช็คไอจีของศิลปินวาดเส้นต่างประเทศ โคตรสวยครับ แถมคนวาดก็มีสไตล์มากครับหน้าตาแบบนี้อยากจะขอมาเป็นแบบวาดจริงๆ ไอดอลเลย ผมกดนิ้วโป้งเพื่อไลค์รัวแต่ความหนักตรงไหล่ซ้ายก็ยังมีอยู่แถมรู้สึกว่าหนักขึ้นเรื่อยจนไหล่แทบทรุด
“หนัก”
“มึงก็เลิกเล่นดิ จะดูอะไรนักหนา”
เชี่ย แกล้งกูเพราะกูกดโทรศัพท์เนี่ยอะนะ ผมกำลังจะหันไปว่ามันก็แต่ชะงักกับหน้าของมันที่เกือบจะติดกับหน้าผม ไอ้เปายื่นหน้ากวนทีนผมมาใกล้จนผมมองเห็นตัวเองในตาของมันเลย
“ไม่มีไรทำก็มองหน้ากูนี่ ดูดีกว่าไอ้ฝรั่งนี่เยอะเลย”
มันพูดพร้อมใจใช้นิ้วชี้เคาะที่หน้าผากผมเบาๆ ใจผมเต้นผิดจังหวะขึ้นมาซะดื้อๆ แถมยังรู้สึกว่าความร้อนมันไล่ขึ้นมาบนใบหน้า
“หล่อมากมั้งมึงอะ”
ผมลากเสียงยาวพร้อมกับยืดแก้มมัน โอ๊ย หมั่นไส้ ไอ้เปาที่เคยแก้มย้วยคนนี้เนี่ยนะ
“กรี๊ด โคตรแฟน”
ผมสะดุ้งเสียงกรี๊ดเบาๆ จากมุมลิฟท์ เราสองคนหันไปมองตามเสียงมือผมยังค้างอยู่ที่แก้มมัน เธอยกมือปิดปากแถมยังจ้องตาไม่กระพริบ ผมรีบส่ายมือส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน อย่าคิดไปไกลนะครับไม่มีอะไรจริงๆ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่คิดอย่างนั้น ยังไม่ได้ทันได้อ้าปากพูดอะไร
ติ๊ง
“ฟินแล้วกู ตามสบายค่ะ ไปก่อนนะคะ”
เธอก็รีบวิ่งออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเหลือไว้แต่ผมก็มือที่ยกค้างไว้...และเสียงหัวเราะในลำคอของไอ้เปาเป็นซาวน์ประกอบ
อะ เอ่ออออ ไม่...ไม่ใช่นะครับ
“กินอะไรดี”
เราสองคนขับมาไม่ไกลก็ถึงมอแล้วครับ เราตรงดิ่งไปเอาชีทที่ร้านถ่ายเอกสารใต้คณะแล้วไปซื้อข้าวให้เพื่อนที่ตลาดในมอ ในมอผมมีตลาดสำหรับเด็กหอในทุกวันครับ อาหารก็เยอะละลานตาถ้าไม่เบื่อซะก่อน ซึ่งแก๊งคอหล่นของผมอยู่หอนอกกัน ไม่ค่อยได้กินข้าวในมอตอนเย็นๆ อาหารที่นี่เลยเป็นสถานที่รวมแหล่งเลิศรสสำหรับเราครับ
“อยากกินไรอะ มึงถือกระเป๋าตังค์กูดิ๊”
พอลงจากรถก็เดินตรงเข้ามาในตลาดถึงจะตอนเย็นแล้วแต่อากาศยังคงร้อนสมเป็นประเทศไทยครับ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นข้างขมับ เดินเข้ามาได้ไม่นานไอ้เปาส่งกระเป๋าตังค์ของตัวเองมาให้ผม
“เลี้ยงอ่อ”
“เลี้ยงมึงคนเดียวอะ อยากกินไรก็ไปซื้อ”
“โห ป๋าจังวันนี้”
จะว่าไปเวลาผมไปไหนกับไอ้เปาก็ไม่ค่อยได้ออกตังค์ตลอดเลย มันจะชิงออกก่อนพอผมจะคืนเงินก็บอกเอาไว้ก่อนๆ จนตอนนี้หนี้ผมคงบานละครับ ไอ้คำว่าเอาไว้ก่อนเนี่ย
“ซื้อๆ ไปเหอะน่า เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำมาให้”
ผมกวาดสายตามองร้านตรงข้ามพร้อมกับลิสต์รายการไว้ในหัว วันนี้คงต้องอยู่ดึก ซื้อของกินจัดเต็มไปเลยละกัน
“ไอ้กลาง”
“เฮ้ย พี่ภู มาทำไรครับ หวัดดีครับพี่”
พี่ภูที่โผล่หน้าจากด้านหลังคือพี่รหัสผมเองครับ นานๆ ทีจะได้เจอเหมือนไม่ได้อยู่คณะเดียวกัน ตอนประกาศสายเสร็จพี่แกก็หายเงียบไปเลย แต่ว่าพี่ภูคนเนี้ยเป็นเพื่อนพี่ชายผมเองครับ มาจากเชียงใหม่เหมือนกัน โคตรบังเอิญที่ได้เป็นพี่รหัสน้องรหัสกัน แต่พอรู้จักยิ่งไม่รักเธอ พี่ผมซกมกจริงๆ บางครั้งที่เจอกูไม่อยากจะเข้าใกล้
“หาข้าวกินดิ เป็นไงมั่ง”
“จะสอบแล้วครับพี่”
“ศาสตร์ศิลป์ป่ะ ไม่ยากนะมึง ตามความรู้สึก”
“จริงอะพี่” มันอาจจะยากเพราะสมองผมก็ได้นะพี่มึง
“เออ แล้วไว้ว่างกูพาไปแดกข้าว ช่วงนี้ยังไม่ว่าง”
“ผมไงก็ได้ไม่ซีเรียสครับ”
พี่ภูบอกลาพร้อมกับรับข้าวจากเพื่อนพี่เค้าก็เดินถือมาให้ ผมไหว้เพื่อนพี่ภูพี่แกเลิกคิ้วยิ้มรับก่อนจะยืนรออยู่ใกล้ๆ
“ไอ้คนกลางๆ เอ้ย กูไปละ เดี๋ยวรีบไปปั่นงานต่อ”
มาเร็วไปเร็วครับพี่ผมคนนี้ เฮ้ย พี่เสื้อพี่เป็นรูอยู่ด้านหลังอะครับ
“มองไรอ่ะ”
“อ้าวมาแล้วหรอ”
“อ่ะ น้ำกับทิชชู่เช็ดเหงื่อด้วย ถามว่ามองใคร”
“พี่ภูไง ป่ะไปซื้อข้าวได้แล้ว”
ผมพูดพร้อมกับกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงเสื้อที่ขาดของพี่ภู ไอ้เปามันพึมพำก่อนขมวดคิ้วนิ่งอยู่ที่เดิม ผมเลยต้องลากมันเดินตาม ตัวหนักใช้ได้ เราสองคนต่อแถวซื้อของกินหลายร้านทั้งของคาวของหวาน ส่วนไอ้เด็กเปาเป็นแค่คนถือของเท่านั้นเพราะมันไม่ออกความเห็นอะไรเลย พูดแต่คำว่าอะไรก็ได้ เหนื่อยผมที่ต้องคิดว่าชอบกินอะไรแล้วไปต่อแถวซื้อ นี่มันเป็นอารมณ์ของคนที่โดนขัดใจแล้วจะดื้อเงียบครับ เมื่อตอนเด็กมันเคยโกรธที่ผมชอบไปยุ่งมากเกินไป ตอนที่มันทำแบบฝึกหัด บอกคำตอบมันทั้งๆ ที่มันจะตั้งใจจะทำเอง(เป็นครั้งแรก) จำได้ว่าเรียกนกกระปูดแดงแล้วแม่งไม่หันเลย น้องโกรธครับ
“ว้าววววววววววว มาแล้ววววววววว”
“กราบเพื่อนค้าบบบ”
“นี่ครับทุกคน คู่ผัวเมียที่มาบริการเราในวันนี้”
“ไอ้ทัพจะมาสตอรี่ไอจีอะไรตอนนี้ กูหนักเนี่ย ช่วยหน่อย”
“แค่นี้ก่อนนะครับ ม๊วฟ”
มาถึงห้องเพื่อนที่ดีทั้งสามตัวก็ยังนอนเรียงกันเหมือนเดิมพอเห็นของกินปุ๊บผีโซเชียลก็เข้าสิง ผมวางของกินไว้โต๊ะพับหน้าทีวีแล้วนั่งพัก ไอ้เปาก็เดินเข้าไปช่วยไอ้เบสเอาจานชาม ส่วนไอ้กล้วยและไอ้ทัพก็ค้นของกินเล่นอย่างหิวโหย
“เฮ้ยๆๆ อันนั้นไม่ได้ๆ”
ผมพูดพร้อมกับคว้าขนมโป้งเหน่งเป็นขนมหายากสำหรับผมแต่ในมอมีขายครับ อเมซิ่งสุด ตอนเด็กๆ ซื้อที่หน้าโรงเรียนอันละ 5 บาทเดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยเห็นใครทำขายเลยครับ แล้วที่สำคัญขนมเนี่ยไอ้เปาชอบมาก เวลากินแล้วแก้มมันพองโคตรน่ารัก
“ทำไมอะมีตั้งหลายอัน” ไอ้กล้วยพูดอย่างสงสัยในมือข้างขวาของมันถือโป้งเหน่งเสียบไม้มาหนึ่งชิ้น ส่วนปากก็อ้ากว้างเตรียม
พร้อมจะกิน
“ไม่ได้ ห้ามกิน” ผมคว้ามือมันไว้เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้เปาและไอ้เบสเอาจานมาใส่อาหาร แล้วนั่งล้อมวงกัน พวกมันหันมามองการยื้อของผมอย่างแปลกใจ
“ทำไรกันวะ”
“ก็ไอ้กลางอะดิ ไม่ยอมให้กูกินอันนี้”
“ของกินมีหลายอย่างจะไปแย่งกันทำไม”
“ก็กูอยากชิมอันนี้”
“ก็ไม่ได้อะ”
“ทำไม”
“ก็...ไอ้เปามันชอบกิน...”
พวกมันสี่ตัวนิ่งค้างไปสองสามวิ โดยเฉพาะไอ้เปาที่จ้องผมตาไม่กระพริบ นิ่งได้ไม่นานไอ้กล้วย ไอ้ทัพ ไอ้เบสก็ยิ้มกริ่มเหมือนพึ่งออกจากโรงพยาบาลบ้า กูว่าโดนล้ออีกแหงๆ ที่ผมซื้อเพราะเห็นว่าไอ้เปามันงอนหรอก เอาใจมันหน่อย อารมณ์แปรปรวนสงสัยเครียด ไม่ได้คิดอะไรจริงจริ๊งงง
“กิ้ววววววว”
“ตอนแรกเคืองนะ ได้ยินงี้...เออ...ไม่งอนก็ได้”
“ว้ายยยยยยยย น้องกลางค้าบบบบ คิดไรป่ะเนี่ยย”
“หวงของกินผัว เอ้ย เพื่อนด้วย”
“เขินๆๆๆ”
“ไม่ได้เขินโว้ยย”
วันนี้เป็นอะไรทำไมกูต้องโดนมองโดนแซวทั้งวัน ตั้งแต่ไอ้สาวหน้าลิฟท์แล้ว ไอ้กล้วยเอาโป้งเหน่งเสียบไม้มาทำเป็นไมค์ ไอ้ทัพและไอ้เบสก็ทำหน้าที่ผสานกันดีเหมือนลงพื้นที่ทำข่าว ไอ้ฝัด กูไม่ใช่ณเดชน์บอกแล้วไง ไอ้เปาที่นั่งข้างผมก็ขำ เอออ ยิ้มเข้าไปปปป
“ก็มันชอบกิน เห็นมันเครียดไง เลยซื้อให้แต่กลัวไม่อิ่มไม่ได้กินนาน”
“แหลลลลลลลลลลล” ประสานเสียงเชียวนะพวกมึง
“เอ้ย โทษทีๆๆ พูดผิด หรออออออ”
แหลพ่องมึงเดะ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ไอ้กลางเอ้ยคิดถึงกูด้วย เขินหราจ๊ะตัวเองงงง”
ไอ้เปาไม่ต้องกินละ เดี๋ยวกูกินเองแม่งเลย ผมคว้าไมค์โป้งเหน่งจากมือไอ้กล้วยแล้วยัดปากไอ้เปา รำคาญมันล้ออยู่ได้ อีกสามคนก็ร้องเพลงแซวอยู่ข้างๆ
“จะกินข้าวได้ยัง”
“เฮ้ยย เอาดุเข้าสู้ว่ะ เอ้ากินข้าวพวกมึงงงง กินๆๆ อย่าไม่ล้อมันละ อย่าล้ออออ” มึงอะตัวแรกเลยไอ้เบสสส
พอของอร่อยเข้าปากพวกมันก็สวาปามกันไม่มีหยุด กับข้าวโคตรอร่อยจริงครับ ของทอด ผลไม้ ลูกชิ้น น้ำปั่น กินยังไงให้หมดภายในพริบตาต้องแพนกล้องไปที่ไอ้กล้วยครับ กูว่ามึงไม่ได้เคี้ยวใช่มั้ย สองมือมันไม่มีว่างเลย อ้าวเฮ้ย นั่นข้าวมันไก่ของกู ผมมองพวกมันแล้วต้องรีบครับ กินอะไรไม่ทันเค้าหรอก แต่ยังดีไอ้เปามันมือไวตักของกินมาใส่จานผมเรื่อยๆ เอออ ทำหน้าที่บ้างนะมึง ไอ้เปามันท่าทางจะชอบครับกินแต่โป้งเหน่งแบบกินไปยิ้มไป
“ไอ้เปา” จู่ๆ ไอ้เพื่อนเบสก็โพล่งขึ้น “ชอบป่ะชอบป่ะ” มันใช้คางต่างนิ้วชี้ไปที่ขนมที่ไอ้เปาเคี้ยวอยู่
“ชอบ”
“อู้ยยย”
ไอ้คำถามนี้ไม่ต้องเสียงเวลาคิด แต่ผมไม่ไว้ใจพวกมันซักตัว วันนี้พี่กลางเจ็บมาเยอะ เหลือบตามองรอบวง
“ไม่หมายถึงคนซื้ออะ”
“ถ้าชอบแล้วจะทำไมล่ะ”
“กริ้วววววววววววววววว ต้องคิดไงอะเพื่อนไม่เข้าจายย”
“ตัวทัพเค้าเขินนนน”
“ตัวกล้วยไม่เขินนะ”
“พวกมึงพอแล้ว แดกข้าววว เอ้า นิ่งเลย กินครับคนกลางครับ”
ไอ้เด็กเปานี่มึงแก้แค้นกูกลางวงกินข้าวหรอ อารมณ์ดีแล้วเป็นงี้หรอ ว่าแต่ทำไมอากาศมันร้อนชะมัด
สอบเสร็จแล้วครับบบบบ ผมกู่ร้องในใจ พวกเราโหมอ่านกันมากทำทุกวิธีที่จะทำให้จำได้ เพราะชื่อมันยากจริงครับเขียนผิดยุคผิดชื่อไปซวยตายเลย เย็นนี้พวกมันนัดกันกินเหล้าย้อมใจแต่ผมขอปฏิเสธไปเพราะอยากพักแบบนอนโง่ๆ ไอ้สามคอหล่นมันเลยเซ็งไปตามระเบียบแต่ไม่ได้ล้มเลิกนะครับ เพื่อนๆ พี่ๆ มันเยอะนู่นไปชวนพวกพี่จิ้มนู่น ขาดผมเลยไม่เหงาครับ ส่วนไอ้เปาบอกมีธุระต้องไปส่งพี่สาวทำอะไรซักอย่างสอบเสร็จก็รีบออกไปเลยครับ สรุปแก๊งคอหล่นหลังสอบเสร็จก็เป็นประการฉะนี้
ผมนอนหงายอยู่บนเตียง เฮ้อ โล่งสุดๆ คิดว่าจะกลับมานอนพักแต่เอาเข้าจริงๆ ก็นอนไม่หลับ ผมนอนเล่นมือถือตอบไลน์กลุ่มครอบครัวว่าสอบเสร็จแล้ว ไอ้เล็กส่งกลับมาทันทีว่าพี่โตอยากเห็นหน้า แหมเอาพี่มาอ้าง พี่โตก็คงอ่านหนังสือสอบอยู่แหละครับ ช่วงนี้มันช่วงสอบของเด็กมหาลัยนี่หว่า ขี้โม้ ผมเบะปากหมั่นไส้แต่ก็ยอมเซลฟี่ชูสองนิ้วแบบเก้ๆ กังๆ ให้ตายสิ การถ่ายรูปตัวเองมันไม่เหมาะกับผมเลย ส่งปุ๊บพ่อกับแม่ก็ส่งสติ๊กเกอร์กลับมา ส่วนไอ้เล็กก็ส่งรูปหน้าง่วงจากในห้องเรียนมาให้ ผมหัวเราะแล้วบอกคิดถึงทุกคน เลื่อนไปดูไลน์ที่ผมดองไว้ นี่ผมลืมอ่านไปเยอะขนาดไหนเนี่ย ล่าสุดไอ้โจ๊กครับมันทักมาชวนผมกินข้าวแต่ผมไม่ได้ตอบอะไรไปเลย
คิดถึงเพื่อนครับ ว่าแล้วต้องโทรหาซะหน่อย เดี๋ยวเพื่อนเหงา
“เพื่อนโจ๊กกกก คิดถึงงง”
“ไอ้เชี่ยกลางหายไปเลยนะมึง”
“ขอโทษษ กูพึ่งสอบเสร็จ”
“เออๆ ไม่เป็นไร วันนี้มึงว่างยัง ไปดูหนังเป็นเพื่อนหน่อยเดี๋ยวเลี้ยงข้าวเย็น ไอ้สัดหายหัว”
“ว่างแล้ว ได้ๆ มึงมาเคาะห้องกูนะ”
“เออ เรื่องนี้เสี้ยนแต่ไม่อยากดูคนเดียว”
“ตามใจเพื่อนเลยครับเพื่อนโจ๊ก”
รู้สึกผิดลึกๆ ที่ผมละเลยมัน ไอ้โจ๊กเนี่ยมันมาสนิทกับผมตอนที่ไอ้เปาไปแล้ว ตอนนั้นผมโคตรเหงามันก็เข้ามาเล่นมาชวนคุย มันเลยเป็นเพื่อนผมตั้งแต่นั้นมา มันเป็นเพื่อนที่ผมไว้ใจเล่าได้ทุกเรื่อง ผมเองยังเคยบ่นเรื่องความทรงจำวัยเด็กให้มันฟังบ่อยๆ ถ้ามันไม่เข้ามาคุยป่านนี้ผมคงรู้สึกผิดและเป็นเด็กโดดเดี่ยวไร้เพื่อนไปตลอดชีวิตเลยครับ
ผมเผลองีบหลับซักพักไอ้โจ๊กก็มาเคาะห้อง เชี่ย เกือบไม่ตื่น วิ่งเข้าห้องน้ำล้างหน้าคว้ากระเป๋าตังค์แล้วออกมาเจอเพื่อนเลยครับ ดีนะผมแต่งตัวแล้ว แต่งนอนเลย
“โห ไอ้โจ๊ก หล่อไปไหนเนี่ย”
ผมทักมัน ไอ้เพื่อนโจ๊กลิงจ๋อวันนี้มันหล่อครับ เซ็ทผมด้วย ก้มมาดูตัวเองไอ้สัดเหมือนชาวบ้านอะ ผมก็เริ่มยาวแทบทิ่มตา
“หล่อไปดูหนังเนี่ยแหละ”
“เพื่อนกูต้องได้ๆๆๆ”
“ได้เหี้ยไร กูตามจีบคนนึงอยู่เว้ยจริงๆ”
“จริงอะ จริงหรอ ตื่นเต้นน”
“ไม่ต้องทำหน้าตาหางกระดิกได้ป่ะ ทำอย่างกับจีบเอง”
“เอ้า ก็เพื่อนจะมีแฟนแล้วนี่”
“จีบเฉยๆ ว่าแต่มึงเหอะ จะยี่สิบแล้วแฟนยังไม่มีซักคน”
“ไม่ต้องยุ่งเลย”
เราสองคนเลือกนั่งแท็กซี่ไปห้างครับ คนไม่เยอะเท่าไหร่เพราะเป็นวันธรรมดา ไอ้โจ๊กมาดูหนังซอมบี้ครับมันบอกกลัวร้องดังในโรงถ้าผมไปมันจิกแขนผมกลั้นเสียงร้อง นี่ผมมีหน้าที่เท่านี้สินะ มันซื้อตั๋วรอบหกโมงเย็นตอนนี้พึ่งจะห้าโมงผมกับมันเลยตัดสินใจหาร้านกินข้าวเย็นไปเลย มื้อเย็นของเราวันนี้คืออาหารญี่ปุ่นครับ นานๆ ได้กินที เราก็คุยกันอย่างหนักหน่วงทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องงาน ส่วนประเด็นที่พูดในตอนนี้คือผู้หญิงที่มันกำลังจะจีบครับ สรุปว่าเธอชื่อป๊อปเป็นคู่แลปกัน แต่ปัญหาคือไอ้โจ๊กจีบแต่เค้าไม่รู้ตัว
“อืมมมม” พอฟังจบผมก็รับคำพร้อมกับดูดชาเขียวไปอึกใหญ่
“เงียบนานขนาดนี้มึงกูไม่น่ามาปรึกษามึงเลย”
“ก็กูไม่เคยจีบใครนี่หว่า แล้วมึงทำอะไรบ้างที่ว่าจีบอะ”
“ก็...ดูแล เป็นห่วงคอยถาม ชวนไปกินอะไรอร่อยๆ เวลาเห็นป๊อปเครียดก็อยากทำให้ยิ้มอะ อะไรก็ได้ที่มันไม่ได้มีให้แค่เพื่อนอะ มากกว่านั้น”
“นี่คือจีบหรอ”
“เออก็ได้แค่เนี้ย มึงไม่เข้าใจหรอก”
“เอ๊ะ...แต่”
ผมขมวดคิ้วไอ้ที่มันว่ามาทั้งหมดผมว่ามันคุ้นเคยแปลกๆ คงไม่ใช่หรอกมั้ง...
“อะไร อย่าบอกว่ามึงเคยจีบสาวแบบนี้หรอ”
“ไม่เคยเว้ย”
“หรือโดนจีบแล้วไม่รู้ตัว”
ไม่รู้โว้ย ไม่อยากคิดมาก แล้วมันเป็นไปไม่ได้ด้วย
“เฮ้ย จะหกโมงแล้วมึงไปกันเดี๋ยวไม่ทันอยากดูตัวอย่างหนัง”
“เออๆ แปบดิ”
ผมดูดชาเขียวให้หมด ชาเขียวจืดนี่ของโปรดเลยครับ ผมกับไอ้โจ๊กกอดคอกันเข้าไปในโรงหนัง ยืนตรงสรรเสริญพระบารมีเสร็จก็คว้าเอาโทรศัพท์มากดปิดเสียง แต่เอ๊ะ โทรศัพท์ผมล่ะ
“ไอ้โจ๊ก เห็นโทรศัพท์กูป่ะ”
ผมกระซิบ ไอ้โจ๊กที่กำลังคว้าป๊อปคอร์นมากินชะงัก มันทำหน้าเหมือนลิงหงุดหงิดเพราะนั่นเป็นป๊อปคอร์นคำแรกของมัน
“จะเห็นได้ไงของมึง กูไม่เห็นมึงถือเลยนะตั้งแต่เจอกัน”
“จริงหรอ”
“นึกดีๆ”
เอ...ก่อนออกมาผมนอนเล่นอยู่บนเตียงเผลอหลับไป วิ่งเข้าห้องน้ำ แล้วก็ไปที่ประตู เออใช่...ทั้งตัวผมมีแค่กระเป๋าตังค์นี่หว่า ไอ้โจ๊กเห็นสีหน้าผมมันก็ส่ายหัวเอือมๆ แต่ไม่เป็นไรครับชีวิตผมขาดโทรศัพท์ได้
“แหะๆ”
ส่งเสียงประจบเพื่อนก่อน เมื่อกี้โวยวายใหญ่ไปหน่อย แต่พูดอะไรมากครับเมื่อหนังเริ่มเล่น โห โคตรสนุกครับ ซอมบี้กับซาวน์
ทำเอาผมตกใจอยู่หลายรอบ แต่ไอ้โจ๊กฮาสุดมันกำลังจะเอาป๊อปคอร์นเข้าปาก ซาวน์ดังมันสะดุ้งตัวกระตุกป๊อปคอร์นกระจายโดนหน้าแทน ทั้งฮาทั้งสงสารเหมือนเพื่อนผมอยู่ในเรื่องเลยครับ เอฟเฟคมาเต็ม จิกเสื้อผมแทบขาด เดี๋ยวนะเพื่อนโจ๊กเล็บมึงเหมือนซอมบี้เลย จิกเข้าเนื้อขนาดนี้ผมจะกลายพันธุ์มั้ย ผมคิดอย่างสนุกหนังมันเจ๋งเกินไปแล้ว ผมน่าจะชวนไอ้เปามาด้วยมันต้องชอบแหงขนาดผมยังชอบเลย
แต่เรื่องไม่สนุกมันหลังจากนี้ครับ ไม่คิดว่าไอ้การลืมโทรศัพท์มันจะทำให้ชีวิตผมลำบากมากแค่ไหน ผมกับไอ้โจ๊กเดินเข้ามาในหอประมาณสามทุ่ม เราพูดถึงหนังที่พึ่งดูกันอย่างสนุกตั้งแต่บนรถแท็กซี่จนถึงหอ ไอ้โจ๊กแนะนำหนังให้ผมดูเพิ่มที่พระเอกเรื่องซอมบี้วันนี้เป็นคนเล่น มันบอกเรื่องอื่นก็เจ๋งไม่แพ้กัน
“เฮ้ย นั่นไอ้เปานี่ ไอ้เปา!”
ไอ้โจ๊กชี้ไปที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่งแล้วส่งเสียงเรียก ไอ้เปาที่นั่งหันข้างแถมตาจ้องประตูหออยู่ตลอดเวลาหันมาอย่างรวดเร็ว อ้าว เพื่อนเปานี่นา
“ไอ้เปา กูเป็นซอมบี้”
ผมเดินตรงเข้าไปหามันแล้วทำมือเหยียดตรงเหมือนผีจีน เรื่องนี้สนุกอยากแชร์อยากเล่าให้มันฟัง ลืมดูหน้ามันที่ตาขวางได้ที่ แถมเสียงยังแข็งโคตรๆ อีกด้วย ท่าทางมันบ่งบอกว่า
“กูไม่สนุกด้วยนะเว้ย”
“เอ่อ...” นั่นแหละที่ผมคิด
“มึงไปไหนมาวะ”
“กู...ไปดูหนังกับไอ้โจ๊ก มัน..มันอยากดูพอดี”
“แล้วทำไมมึงไม่เอาโทรศัพท์ไปวะ ลืม?”
ทำไมมันต้องกอดอกทำหน้าดุด้วย ผมแค่ลืมเอง ผมอึกอักไม่คิดว่ามันจะมาโหดแบบนี้ ไอ้โจ๊กที่ตามมาทีหลังทำหน้างงเบาๆ บรรยากาศรอบๆ หนาวขึ้นมาพิกล
“มีไรกันวะ”
“กูแค่ลืมโทรศัพท์เองนะ”
“อ๋อ เรื่องนี้...อย่าไปดุมันเลยกูเร่งมันเองแหละ”
“เออ...กูผิดเองที่ห่วงมึงแทบตาย” มันพึมพำเสียงเบาก่อนขยี้หัวอย่างหงุดหงิด เปลี่ยนจากกอดอกมาเท้าเอวแล้วครับ “ไปไหนก็ไม่ค่อยจะรู้ทาง โดนปล้นทำไงวะ”
“ไม่มีใครปล้นหรอกในกระเป๋าไม่มีตังค์ โทรศัพท์ก็ลืม ไม่มีทรัพย์สิน” ผมรีบพูด
“โอ๊ยย ไอ้ซื่อ ไอ้กลางถ้ามึงโดนปล้นจริงๆ มึงจะให้คนช่วยยังไง เงินก็ไม่มี โทรศัพท์โทรหาใครไม่ได้”
ไอ้โจ๊กที่แปรพักตร์เรียบร้อยมันเข้าข้างไอ้เปาแถมยังไปยืนข้างกันอีก ผมก้มมองพื้นเห็นแผ่นกระเบื้องที่แบ่งเราสามคนอย่างชัดเจน ขนาดฝั่งยืนผมยังไม่มีคนเลย
“ทำหน้าเหมือนหมาอีกละ”
“คิดว่าทำแล้วจะลดความผิดหรอ”
“ใช่มั้ย ไอ้นี่แม่งมันเป็นงี้แหละไอ้เปา”
“คราวหลังมึงปล่อยมันไปคนเดียวนะ”
“เออ ให้โดนบ้างจะได้เข็ด”
คุยกันขนาดนี้... “หายโกรธแล้วใช่มั้ย” ผมพูดแทรก ยื่นหน้าไปใกล้ไอ้เปา โชคดีที่วันนี้ไอ้โจ๊กเป็นไม้กันไอ้เปาไม่งั้นผมโดนมันดุกว่าเดิมแน่ๆ ไอ้เปาแต่ก่อนกูต้องดุมึงนะ มึงทำผิด กวาดห้องทำเวรวันศุกร์ก็ไม่เป็นกูต้องรอเป็นเพื่อน
“หยุดบ่นในใจ ไอ้เปากูไปก่อนนะเมื่อยไปหมด เอามันไปทิ้งบนห้องด้วย”
“เจอกันมึง ไป...ขึ้นห้อง”
มันเดินนำเหมือนเป็นเจ้าของตึก หลังจากนั้นก็บ่นๆ จนผมจำได้ทุกประโยค ผมเข้าห้องน้ำก็ได้ยินเสียงมันลอยมา เปิดทีวีมันก็ยังไม่หยุด ผมกดลดเสียงจากรายการทีวีแล้วหันมามองหน้ามันตรงๆ ไอ้เด็กน้อยโตแล้วขี้บ่นหรอวะ
“เหนื่อยยัง ขอโทษคราวหลังจะมัดติดมือเลย”
“ไม่ตลกนะไอ้กลาง”
“กูเป็นผู้ชายไม่มีอะไรหรอก กูไม่โดนปล้นหรอก”
“กูไม่ได้กลัวมึงโดนปล้น...”
“แล้วมึงกลัวอะไร”
ไอ้เปาจับหน้าผมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง มันจ้องลึกมาในดวงตาของผม
“กูกลัวมึงเป็นอะไร กลัวทุกอย่าง โทรไปก็ไม่มีคนรับห้องก็ไม่มีใครอยู่ มึงก็รู้...เวลาคนรอมันนานนะเว้ย”
“...”
“กูเป็นห่วงมึงจนจะบ้าแล้ว ชัดยัง”
ชัด
ใจผมเนี่ยดังชัดเลย
=====
พาคนกลางมาเเล้วว
ขอโทษทุกคนจากใจจริง
ที่หายไปเพราะวิจัยที่ยังไม่เสร็จ
เพราะวิจัยทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาตอนเราท้อแท้

คนกลางกับเปาเนี่ยจริงๆ มันเป็นความผูกพันที่ยาวนาน
ทั้งๆ ที่ต่างคนต่างคิดว่าไม่เจอกันเเล้วเเต่ก็เเอบหวังลึกๆ
เจอกันตอนหน้านะคะ