Chapter 9
หมออยากติว
ชมรมหมออยากติวเป็นชมรมที่ก่อตั้งโดยรุ่นพี่คณะแพทย์ศาสตร์ เปิดติวทุกวิชาโดยใช้รุ่นพี่ปีสูงๆเป็นคนสอน จุดประสงค์ที่ผมเข้าชมรมนี้เพราะว่าผมไม่เก่งวิชาเลขเอาซะเลย
ไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนเรียนไม่เก่ง แต่เรียกได้ว่าสมองไม่เปิดรับเลยมากกว่า
“ถ้าเอ็กซ์สลับกับวายเราต้องย้ายเลขฝั่งนี้ไปทำอะไร”
สมการมึนตึ้บบนกระดานทำเอาปวดหัวตั้งแต่ได้พบเจอ บวกเลขธรรมดายังบวกผิดบวกถูก นี่ต้องมาเจอตัวแปรที่ไม่รู้จะมีไว้ทำอะไรอีก
ลาออกไปเป็นควายซะดีมั้ยเนี่ย
ผมมองเพื่อนๆที่ยกมือตอบผู้ชายตัวสูงผิวขาว เอกลักษณ์ของเขาคือตาชั้นเดียวที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นทรงกลม หลายๆคนเรียกเขาว่าพี่หมอสี่
พี่หมอสี่เป็นคนสอนเลขในชมรม สาเหตุที่เรียกพี่หมอสี่เพราะเขามีสติ๊กเกอร์หมายเลขสี่ติดอยู่บนอกซ้าย เข้าชมรมเพียงแค่หนึ่งวันเราก็ต้องเป็นฝ่ายเลือกว่าจะเรียนวิชาอะไร ส่วนมากก็เป็นว่าที่หมอนั่นแหละที่อาสามาติวให้น้องๆ แม้ตัวเองจะยุ่งจนสังกะตังจะกินหัว
"ยากว่ะ”
บ่นอุบให้คนข้างๆฟัง เพื่อนสนิทกำลังนั่งกินขนมที่ผมซื้อมาฝากอย่างอารมณ์ดี ฮัมเพลงไปด้วยย้ายข้างสมการไปด้วย
คนเก่งเลขอย่างเขานี่ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่ามาเข้าชมรมนี้ทำไม เพราะในขณะที่ผมกำลังปวดหัวกับโจทย์ข้อหนึ่ง เจ้าเพื่อนตัวดีทำเสร็จไปแล้วสิบข้อ
“ให้ช่วยมะ” พูดจบก็ขยับเข้ามาใกล้ ใช้ดินสอชี้ไปที่ตัวเอ็กซ์และวายบนกระดาษ
“ย้ายข้างมันก่อน เอาตัวเหมือนกันไปอยู่ฝั่งเดียวกัน”
“แล้วไงต่อ”
“พอย้ายข้างมันต้องเปลี่ยนเครื่องหมาย”
“ยังไงอ่ะ”
ดินสอลายมิกกี้เม้าส์จรดลงบนกระดาษ เพื่อนผู้แสนดีทำการย้ายข้างสมการอย่างกับการปอกกล้วยเข้าปาก ผมขมวดคิ้วชนกันดังตึง ต่อให้ย้ายให้ดู ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น
ถ้าเพื่อนผมอธิบายเข้าใจล่ะก็ ผมคงให้เขาติวไปแล้ว แต่เจ้าเพื่อนคนนี้เป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องการอธิบายเท่าไร จากที่จะให้อธิบาย กลายเป็นทำให้ดูซะอย่างนั้น แล้วผมจะเข้าใจได้ยังไงกัน
ตอนนี้มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง ทำไมคนเราถึงต้องเรียนเลข ในเมื่อเรามีเครื่องคิดเลข
“ทำได้มั้ย” ใครอีกคนพูดแทรกขึ้นมา ผมกับเพื่อนเงยหน้าจากชีทเลขไปมองพี่หมอสี่ที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้า คนผิวขาวลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าผม
พอหันไปมองด้านซ้ายที่เคยเป็นที่ว่างก็แทบสะดุ้งเมื่อเจอกับพี่รหัสที่ไม่รู้ว่าย้ายที่จากหน้าสุดมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร
ไวจริงๆเรื่องแบบนี้เนี่ย
“ไม่ได้” ตอบตามความจริง พี่หมอสี่หัวเราะเบาๆ
เห็นหน้าเขาเวลายิ้มแล้วคิดถึงใครอีกคนขึ้นมาเลยแฮะ
ถึงคนจะชอบพี่หมอสี่กันเยอะ อย่างเช่นพี่รหัสผมที่มองตาไม่กระพริบ แต่ผมคิดว่าเขาก็ดี คือรู้สึกเฉยๆไม่ได้รู้สึกว่าเขาสมบูรณ์แบบอะไรขนาดนั้น
พลางคิดถึงพี่กัน เจอหน้าเขาครั้งแรก ก็เหมือนโดนยิงเลย
ผมก็พอเข้าใจแหละ รสนิยมของเราแต่ละคนมันต่างกัน ผมอาจจะไม่ชอบคนนี้ แต่คนอื่นอาจจะชอบเขามาก ผมชอบคนนั้น แต่คนอื่นอาจจะไม่ชอบเขาเลย
ดังนั้นอย่าให้ใครชอบพี่กันเลย เพราะผมจะชอบเขาคนเดียว
“ไหน ไม่เข้าใจตรงไหนบ้าง”
“ทั้งหมด”
“พี่หมอดูแลน้องเราหน่อยนะ มันไม่เก่งเลขอ่ะ” พี่รหัสวางมือลงบนบ่าผมแล้วตบเบาๆ แอบเห็นสายตาเสือสาวที่ส่งผ่านไปยังพี่หมอ
เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวจริงๆ
“น้องเราชื่อกอด”
“ครับ กอดครับ” คนผิวขาวหัวเราะโชว์รอยยับบนใบหน้า
“แล้วหมอล่ะอยากกอดเรามั้ย”
“ถ้าจะมาอ่อยหมอล่ะก็ไปไกลๆเลยไป” เจ้าเพื่อนซี้ผลักพี่รหัสผมจนกระเด็น มีหรือหญิงสาวผู้บอบบางจะยอม จากจะตีกันเล่นๆตอนนี้ลุกไปตีกันจริงจังแล้วครับ ... เอาเลย ตีกันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย
พี่หมอมองพี่รหัสกับเพื่อนผมที่ตีกันพลางยิ้มกว้าง สักพักเขาถึงกลับมาสนใจผมต่อ
“ไหนลองย้ายข้างดู เอาตัวที่เหมือนกันไปอยู่ด้วยกัน”
พยายามจะย้ายตัวเอ็กซ์ไปอยู่ด้วยกันกับตัวเอ็กซ์ ตัววายย้ายไปอยู่กับตัววาย แต่พอย้ายไป เครื่องหมายก็ดันสลับกันมั่วเละตุ้มเป๊ะไปหมด
“ไม่เป็นไร ไหนเอาใหม่” พี่หมอสี่เป็นฝ่ายจับดินสอ แล้วค่อยๆโยกทีละตัวให้ผมเห็นชัดๆ
“ตัวนี้มันเป็นลบใช่มะ”
พยักหน้าตอบ
“พอย้ายไปมันต้องกลายเป็น…” เขาเว้นช่วงเอาไว้ให้ผมตอบ
“บวก”
“ใช่ครับ ทีนี้ไอ้ตัววายเนี่ย มันเป็นบวก พอย้ายไปฝั่งนี้มันเลยต้องเป็น…”
“ลบ”
พอไปทีละสเต็ป ช้าๆเรื่อยๆผมก็เริ่มจะเข้าใจกลไกการทำงานของสมการ
“เก่งมาก ทีนี้เราก็ทำตามปกติ จับเลขมาบวกลบกัน”
“มันจะบวกลบยังไงอ่ะ มีเอ็กซ์วายขวางอยู่แบบนี้”
“ก็แทนเลขลงไปไง เขาให้เลขมาแล้ว เราก็แทนลงไปทีละตัว แบบนี้ เราก็จะได้คำตอบว่าเอ็กซ์เท่ากับอันนี้ และวายเท่ากับอันนี้”
อธิบายเพียงแค่ครั้งเดียวก็เข้าใจ อาจจะเป็นเพราะพี่หมอสี่เป็นคนใจเย็นมากๆ เพราะแบบนี้เขาถึงสอนเจ้าหนูจำไมอย่างผมได้โดยที่ไม่ยกโต๊ะมาทุ่มผมซะก่อน เหมือนเทขี้เลื่อยออกจากสมองเลยอ่ะ ตอนนี้ผมมีแรงที่จะทำโจทย์ข้อต่อไปแล้ว จะว่าไปพอทำเป็นแล้วก็สนุกดีแฮะ
ผมค่อยๆไล่ทำจนถึงข้อห้า พอมาถึงข้อห้าปุ๊บ ก็กุมขมับอีกครั้งเมื่อตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เคยมีเพียงแค่สองตัว มันเพิ่มขึ้นมาอีกตัวเหมือนต้องการจะกลั่นแกล้ง
ตัวแซด
เห็นแล้ว sad เลย
ต้องขอบคุณพี่หมอสี่ที่อธิบายจนปากเปียกปากแฉะอยู่นาน ผมถึงเริ่มทำสมการได้บ้าง บอกเลยว่าเกียรตินิยมมันจะมาชวดก็วิชาเลขเนี่ยแหละ เพราะเหตุนี้ถึงต้องตั้งใจและขยันมาติวบ่อยๆ
“กอด”
เสียงพี่รหัสดังขึ้นด้านหลัง ผมหันไปมองพี่รหัสคนสวยที่ยืนอยู่ด้านข้างเพื่อนสนิท เก็บของเสร็จเรียบร้อยเหมือนรีบร้อนจะไปไหน
“หือ”
“พี่ไปเอาชีทกับลุงก่อนนะ จะกลับเลยป่ะ”
ส่ายหัวเบาๆ วันนี้ผมไม่ได้มีนัดกับใคร ดังนั้นวันนี้ก็คงตรงกลับหอเลย
“งั้นเดี๋ยวกูไปหาที่หอนะ” เพื่อนสนิทโพล่งขึ้น เวลาจะมาหาที่หอทีไร ก็มีอยู่แค่สองเรื่องนั่นแหละ หนึ่งคือชวนไปกินข้าว สองคือมานอนอ่านการ์ตูน
“โอเค”
ผมใช้เวลาที่เหลือในการทำโจทย์คณิตศาสตร์จนมั่นใจว่าเข้าใจแล้วแน่ๆ คนอื่นๆเริ่มทยอยกลับบ้านกันหมด นาฬิกาบนผนังบอกเวลาหกโมงเย็น ซึ่งชมรมจะปิดตอนสองทุ่ม
นั่งตากแอร์เงียบๆแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ
“กอด” พี่หมอสี่ที่เพิ่งจะเก็บของเสร็จเป็นคนสุดท้ายเดินมานั่งลงข้างๆผม คนผิวขาวมักจะมีรอยยิ้มอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ตอนเช้าๆให้เห็นอยู่เสมอๆ ไม่แปลกใจเลยที่ใครหลายคนจะชอบเขา
เพิ่งจะรู้จักกับเขาวันนี้ แต่เขาเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดีมากๆ ผิดกับผมที่แย่เข้าขั้นติดลบ
“หือ”
“เห็นกอดแล้ว พี่เหมือนเห็นเพื่อนคนนึงที่รู้จักเลย”
“เหรอ”
“มันเป็นคนโง่ภาษาอังกฤษมาก ทั้งๆที่วิชาอื่นแม่งท็อปหมดเลยนะ”
หันไปมองพี่หมอสี่ พลางคิดในใจว่าเพื่อนของเขาช่างคล้ายผมเหลือเกิน
ถ้าตัดวิชาเลขออกไป ชีวิตของผมคงสบายกว่านี้
“ตั้งใจแค่ไหนก็ทำไม่ได้ จนตอนนี้ยังต้องแก้เอฟอิ้งสองอยู่เลย ชวดเกียรตินิยมไปซะงั้น”
อ่า น่าเสียดายแฮะ
พี่หมอเงียบไปซักพัก
“กอดอยากคุยกับเพื่อนพี่ป่ะ”
“หือ ไม่เป็นไรครับ” ตอบสั้นๆด้วยความตกใจ ต่างจากคนทั่วๆไป ถ้าผมตอบไปแบบนี้ล่ะก็จะต้องเกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วนแล้ว มันแสดงถึงอาการไม่อยากจะคุยด้วยแต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ผมแค่ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อ การคุยกับคนแปลกหน้าครั้งแรกมันทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“แต่เพื่อนพี่อยากคุยกับกอดนะ”
หา
พี่หมอสี่กดโทรศัพท์อยู่สองสามที พลางต่อวีดีโอคอลผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ เขาใช้กล้องหน้าถ่ายเข้าหาตัวเอง ไม่นานนักปลายสายก็รับ
“หมออ้อยยย” เสียงแสบแก้วหูดังขึ้นมาทันทีเมื่อรับสาย ผมหันขวับไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของหมอสี่ด้วยความตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนคุ้นตาปรากฎขึ้น
คนบนหน้าจอคือเพื่อนหมายเลขหนึ่งของพี่กัน ถ้าอย่างนั้นพี่หมอสี่ก็เป็น... เพื่อนอีกหนึ่งคนของพี่กันเหรอ
โลกมันชักจะกลมขึ้นทุกวันแฮะ
“สวัสดีครับเพื่อน ไอ้เถื่อนอยู่มั้ยวะ”
“อ้าวหมอ โทรหากูแล้วถามหาคนอื่น เลวทรามต่ำช้าที่สุด”
“มึงก็บอกให้เพื่อนรักมึงเล่นไลน์บ้าง ชีวิตจะใช้โทรศัพท์เติมเงินไปยันตายเหรอ”
“ไหนใคร ใครนินทากู” น้ำเสียงทุ้มๆที่ผมจำได้แม่นดังแทรกขึ้นมา แม้จะไม่เห็นหน้าเขาแต่ใจก็เต้นรัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ผมจำน้ำเสียงทุ้มออกแหบนั่นได้
เสียงพี่กัน…
“ไหนมึงเป็นอะไร”
“กูไม่สบาย”
เขาไม่สบายเหรอ
เป็นอะไร เป็นหวัด เป็นไข้ หรือว่าไม่สบายใจ
เมื่อวานหลังจากดูหนังกินข้าวกันเสร็จ เขาก็รีบขอตัวกลับก่อนบอกว่ามีธุระ แล้วก็ไม่ได้นัดอะไรกันเพิ่มเติม จนผมแอบนึกไปว่าเราคงจะไม่ได้เจอกันเร็วๆนี้ อาจจะหลายวัน เป็นอาทิตย์ หรือเป็นเดือนก็ไม่มีใครรู้ ใครจะไปนึกล่ะว่าพี่หมอสี่คือเพื่อนของเขา นี่ขนาดหาตัวจับยากขนาดนี้ ยังมีเพื่อนทั่วราชอาณาจักรเลยอ่ะ
“อาการเป็นยังไงบอกหมอซิ”
“หมอพ่อง”
“เกรี้ยวกราด” พี่หมอสี่ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่เพื่อนแล้วหันมามองผม
“ปวดหัวนิดหน่อย”
“เถื่อน มึงเห็นแชทที่กูส่งไปยัง”
“เห็นแล้ว อย่าคิดจะแตะถ้ายังอยากเป็นหมออยู่”
คนข้างๆผมหัวเราะชอบใจใหญ่
“เหรอ เสียดายจังมึงไม่อยู่ น้องนั่งอยู่ข้างกูเนี่ย”
ผมแอบตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆพี่หมอสี่เขยิบเข้ามาใกล้จนแขนของเขาสัมผัสกับแขนของผม ตอนนี้บนหน้าจอโทรศัพท์ราคาแพงของพี่หมอฉายใบหน้าของผมและของเขานั่งอยู่ข้างกัน ใกล้อีกนิดก็จะรวมร่างได้แล้วล่ะ
“ไอ้เหี้ยหมอ!!!”
คนที่ตอนแรกโผล่มาแต่เสียง ไม่กี่วินาทีพี่กันก็โผล่หน้าขึ้นมาบนหน้าจอด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าดูตกใจปนไม่พอใจเหมือนเด็กโดนแย่งของเล่น พี่กันอยู่ในสภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอน หัวยุ่งผมชี้ไปคนละทิศละทาง หน้ามู่ตู้ สังเกตดีๆแก้มข้างซ้ายของเขาเป็นรอยยับเลยแฮะ
พอเห็นแบบนั้นก็เผลอยิ้มออกมาจนได้
เขาดูดีแม้กระทั่งเวลาเพิ่งตื่นนอน นึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าเขาแล้ววันนี้ พอได้เจอเข้าจริงๆ แม้จะเห็นผ่านทางจอโทรศัพท์ ก็อิ่มเอมไม่ต่างกับได้เจอตัวเป็นๆ
“นับหนึ่งถึงสาม ขยับออกมาเดี๋ยวนี้”
“ทำไรกูได้อ่ะ”
“กูจะทะลุไปบีบคอมึงไง”
“น่ากลัวจังเนอะ” คนผิวขาวหันมายิ้มให้ผมเหมือนต้องการจะขอความเห็น ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอเล็กน้อย เพ่งมองใบหน้าของพี่กันแบบระยะประชิด
ถึงจะเจอกันบ่อย แต่ไม่เคยได้เห็นหน้าใกล้ๆขนาดนี้เลย
“กอด”
“หือ” เขาเรียกชื่อผมอีกแล้ว
รู้สึกเขินขึ้นมาเลยแฮะ
“อย่าไปยุ่งกับหมอมันนะ”
“เขาสอนเลขผม ไม่ยุ่งก็สอบตกสิ”
คนตัวสูงมองเพื่อนของเขาตาขวาง
“เรียนเลขกับมันเหรอ”
“อือ”
“เลิกเรียน อยากเรียนเลขเดี๋ยวกูสอนให้” ผมกระพริบตาปริบๆมองหน้าพี่กันบนหน้าจอโทรศัพท์ เขาเบือนหน้าออกไปอีกทางพลางใช้มือฟาดลงไปที่แขนของเพื่อนที่กำลังนั่งส่งเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านข้าง ไม่ต่างกับหัวใจผมที่กำลังเต้นรัว
“เก่งเลขเหรอ”
“ใช่ เก่งมาก”
จะสอนจริงๆเหรอ
ดีใจเลยอ่ะ
ผมหันไปมองพี่หมอสี่แบบขอความเห็น ไม่ใช่ไม่เชื่อนะว่าพี่กันเก่งคณิต แต่ตอนนี้หมอสี่เป็นคนสอนผมอยู่ ดังนั้นถ้าเปลี่ยนคนสอนแบบกะทันหันแบบนี้ ผมกลัวเขาจะโมโหเอา แต่กลับกันคนผิวขาวพยักหน้าเหมือนจะให้ผมตอบตกลง
“งั้นก็ให้น้องสอนมึงด้วยเลย”
“ห๊ะ”
“น้องเก่งอิ้งมากนะเว้ย เด็กอักษรเชียวนะ”
“จะมาสอนไรกู ภาษาคนมันยังพูดไม่รู้เรื่องเลย”
คนใจบาป!
ผมเบะปากมองแรงใส่คนที่กำลังบ่นผ่านหน้าจอไม่หยุด อยากจะทะลุจอไปบีบคอเขาเหมือนกันเนี่ยตอนนี้
“มึงพูดรู้เรื่องมากเลย ถ้าไม่ผ่านอิ้งอีกรอบก็ไปนอนกับหมาหน้าเซเว่นแล้วนะครับเพื่อน”
“หมอ มึงคิดเหรอว่าน้องจะสอนมันได้ สีซอให้ควายฟังอ่ะน้องกอด”
“พูดมากไปละไอ้ส้นตีน”
“ผมสอนได้นะ”
ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด แอบเห็นสีหน้าตกใจของพี่กันก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มจางๆที่มุมปาก ยิ้มหล่อทำลายล้าง ขนาดไม่เจอต่อหน้ายังอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดเลย
“หมอ”
“หืม”
“ขอเวลาส่วนตัวแปปนึง”
อยากได้เวลาส่วนตัวก็ได้ทันที เขาเป็นคนที่สั่งได้ทันใจเอามากๆ อาจจะเป็นเพราะว่าใครๆก็เกรงใจพี่กันล่ะมั้ง ผมไม่เข้าใจเท่าไรหรอก แต่เมื่อไรที่เขาออกปากสั่งล่ะก็ ใครๆก็ต้องทำตามล่ะนะ เขาอาจจะมีอำนาจมืดซ่อนอยู่ลึกๆก็ได้
พี่หมอสี่ส่ายหัวให้กับเพื่อนของเขา ตบบ่าผมเบาๆแล้วเดินหายออกไป ทิ้งให้ผมอยู่ภายในห้องคนเดียวเงียบๆกับโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง ได้ยินเสียงโวยวายจากอีกฟาก พี่กันเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตู
“เมื่อวานกลับยังไง”
“รถไฟฟ้า”
“เออดีละ”
“ทำไมเหรอ”
“เปล่า”
คนตัวสูงเงียบไป เขาเปลี่ยนที่นั่งไปนั่งอยู่ตรงอ่างล้างหน้า ซึ่งผมสามารถเห็นด้านหลังของเขาผ่านกระจกบานใหญ่ได้ พี่กันสวมชุดนักศึกษาเหมือนอย่างเคย ติดที่ว่าวันนี้เขาสวมเสื้อช็อปทับไว้ด้านนอกด้วย
เห็นแบบนี้แล้ว พลังทำลายล้างสูงมากๆ
“จะติวอิ้งให้กูอ่ะ ต้องอดทนนะ”
“ติวเลขให้ผมต้องอดทนกว่าอีก”
“เออ เพราะมึงเป็นเจ้าหนูจำไมไง”
พี่กันยิ้มออกมา เขาพยายามจะฝืนรอยยิ้มนั่นแต่ก็เก็บมันเอาไว้ไม่ได้ เห็นแบบนั้นก็เลยเผลอหลุดยิ้มตามเขาเฉย พอรู้ตัวผมถึงได้เอากระดาษมาปิดครึ่งหน้าของตัวเอง เขาจะได้ไม่เห็นว่าผมแอบยิ้ม เพราะเวลามองผ่านจอโทรศัพท์แล้ว เขาดูดีมากๆเลย
เป็นอีกอย่างหนึ่งที่อยากทำกับเขา คุยกันผ่านวีดีโอคอล วันนี้ได้ทำแล้วนะ
“เอากระดาษบังหน้าทำไม”
“เปล่านี่”
“หึ ตัวนิ่ม มึงแอบยิ้มล่ะสิ”
“ผมเปล่า” ใครจะไปหน้าหนาเหมือนเขาล่ะ อยากยิ้มก็ยิ้มออกมาเลย ไม่ได้สนหรอกว่าใครจะตายเพราะรอยยิ้มนั่น ใจบาปชัดๆ
“แอบยิ้มแน่ๆ”
เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ผมเปลี่ยนหน้าสมุดเป็นหน้าที่ว่างเปล่าพลางวาดรูปรอยยิ้มด้วยปากกาหมึกน้ำเงินแล้วนำมันมาปิดปากอีกครั้ง พี่กันเห็นแบบนั้นถึงกับหลุดขำออกมา
“แบบนี้ก็ไม่แอบละ”
“หึ ไอ้เด็กบ้า”
เราสองคนเงียบใส่กันอีกครั้ง พี่กันขยับหน้าเข้ามาใกล้กล้องมากกว่าเดิม
“ยิ้มสวยเนอะ”
“แน่นอน”
“แต่กูชอบรอยยิ้มของมึงมากกว่า” คำพูดของเขา แม้มันจะไม่ชัดเพราะสัญญาณเน็ตที่จู่ๆก็สะดุด แต่ก็ทำเอาใจสั่นเหมือนจะหัวใจวาย ผมค่อยๆลดสมุดลง ริมฝีปากยังคงขบเข้าหากันแน่น ความร้อนบนใบหน้ากับภาพที่ฉายสะท้อนกลับมา บ่งบอกว่าผมหน้าแดงจนถึงใบหู
พี่หมอสี่เดินกลับเข้ามาพร้อมกับน้ำปั่นสองแก้ว เขานั่งลงด้านข้างผม คงสังเกตเห็นบรรยากาศแปลกๆบางอย่างนั่นแหละเขาถึงได้ทำท่าจะลุกออกไปอีกครั้ง แต่โดนใครอีกคนยื้อไว้ซะก่อน
“หมอ”
“ว่าไงเถื่อน”
"กูว่ามึงเปลี่ยนวิชาติวเหอะ ติวเลขไม่เวิร์ค”
“หือ แล้วมึงจะให้กูติวอะไร”
“ติววิชา…
ทำตัวน่ารักให้มันน้อยๆหน่อย”
คำพูดของพี่กันมาเรียบๆแต่เล่นผมเกือบตาย
“เห็นแล้วใจมันย้วย” พูดจบก็วางสายไป เหลือทิ้งให้ผมนั่งเป็นหอบเพราะรับไม่ทันอยู่คนเดียว เหลือบตาไปมองพี่หมอสี่ที่นั่งยิ้มหวานส่งมาให้อยู่ข้างๆ เขาคงเป็นคนแรกนั่นแหละที่รู้ว่าระหว่างเพื่อนเขากับผมต้องมีอะไรมากกว่าคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้องหรือคนรู้จักแน่นอน เพราะตอนนี้ผมไม่สามารถซ่อนอาการเขินจนแทบบ้าไว้ได้เลยจริงๆ
“ถ้าเปรียบไอ้กันกับน้องกอดเป็นวิชาเคมีล่ะก็ ไอ้กันก็คงเป็นตัวทำละลาย”
“…”
“ส่วนน้องกอดก็คือสารละลายอ่ะนะ”
ก็คงจะใช่
เพราะตอนนี้
ผมกำลังจะละลาย เพราะผู้ชายคนนั้น
// ไม่อยากได้พี่กัน ขอพี่หมอสี่แทนได้มั้ยคะ ถถถถ
ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตาม #Likeกัน
ขอบคุณที่ชอบกอดกันนะคะ รักกก
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_