◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 28 {27.02.62}  (อ่าน 116627 ครั้ง)

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
«ตอบ #30 เมื่อ28-04-2017 09:21:37 »

 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ l2_in*

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
«ตอบ #31 เมื่อ28-04-2017 11:39:06 »

โอ้ยยย น่ารัก น่ารัก น่ารัก

ออฟไลน์ iaum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
«ตอบ #32 เมื่อ28-04-2017 13:04:24 »

โคตรฟิน  :hao6:

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
«ตอบ #33 เมื่อ28-04-2017 15:48:07 »

น่ารักอ่าาาาาาาา

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 2 {23.04.60}
«ตอบ #34 เมื่อ28-04-2017 19:43:10 »

น่ารักอ่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ leenanhyun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +102/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #35 เมื่อ28-04-2017 20:05:59 »

Chapter 3
บังเอิญที่คล้ายๆตั้งใจ



 

            “พ่ออยากขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
           
            “กอดอยากกลับมาอยู่กับพ่อมั้ย”


             ‘ฟึ่บ’

            เหงื่อผุดซึมตามขมับและมือทั้งสองข้าง ปราดตามองไปรอบกาย สถานที่ที่ผมอยู่ตอนนี้คือห้องนอนที่หอ ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆแคบๆ ก้าวแค่สามสี่ก้าวก็ถึงประตูแล้ว นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาเจ็ดโมง

            ความรู้สึกไม่ค่อยดียังคงวนเวียนอยู่ในหัว จนอยากจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ

            เมื่อกี้เป็นความฝันสินะ

            เฮ้อ

            ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย

            ผมนั่งสัปหงกอยู่ได้สักพัก ร่างก็เซหล่นตุ๊บไปนอนแผ่อยู่บนเตียง ความรู้สึกแสบแปลบๆที่แขนขวาและหัวเข่าทำให้ต้องยกมันขึ้นมาดู ผ้าก็อตสีขาวแปะหราอยู่ที่แขน มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ส่วนขาก็มีผ้าพันเอาไว้ มีเลือดซึมไม่ต่างจากแขนเลย

            จริงสินะ

            เมื่อคืนผมล้มหน้าคว่ำเลยนี่นา แผลเยอะพอๆกับมอเตอร์ไซค์ล้มเลยแฮะ

            ผมพยุงตัวเองลงจากเตียงกว้างที่มีไว้เพื่อนอนคนเดียว พอเท้าแตะถึงพื้นเท่านั้นแหละ สะโพกก็ระบมจนต้องเอนตัวกลับมานั่งที่เดิม

            “โอยยย”

            เจ็บจัง

ล้มดังตึงขนาดนั้น หัวใจผมสลับที่กับปอดหรือยังก็ไม่รู้

            ใช้ความพยายามอย่างสูงในการเดินกระเผลกเข้าห้องน้ำ มองตรงเข้าไปในกระจก สภาพตัวเองตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ หน้าเน่อซีดไปหมดเหมือนคนจะไม่สบาย พอเอามือสัมผัสที่หน้าผากก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นๆของร่างกาย

            มองไปที่ข้อศอก พลาสเตอร์แผ่นหนึ่งถูกปิดเอาไว้ พลันให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืน

            ผมกับพี่กันตั้งใจว่าจะไปกินหมูกระทะกัน แต่ต้องยกเลิกไปเพราะอุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ แผลล้มหนักกว่าที่คิด เพราะล้มจากฟุตบาท แถมยังไถลไปค่อนข้างไกล เลยต้องไปทำแผลกันที่คลินิกใกล้ๆมหาลัยของเขาก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน

            การกินข้าวครั้งที่สองเลยถูกยกเลิก เพราะความกากของผมเอง

            หันไปมองฝักบัวอาบน้ำ เหงื่อเต็มตัวแบบนี้ทำให้อยากอาบน้ำใจจะขาด แต่เพราะเมื่อวานใครบางคนสั่งเสียงเขียวเอาไว้ว่า

            “ห้ามอาบน้ำ เข้าใจมั้ย”

          “มันร้อนอ่ะ”

          “อยากจะแผลเน่าเหรอ ไอ้เด็กเด๋อ”

          จู่ๆหน้าก็ร้อนขึ้นมาซะเฉยๆ มันร้อนก็เพราะว่าดันไปนึกถึงตอนที่พี่กันเอาพลาสเตอร์มาปิดแผลถลอกเล็กๆที่ข้อศอกให้ ถึงเขาจะเป็นคนกวนประสาท แต่กลับอบอุ่นเหมือนเตาผิงขนาดใหญ่ พอได้อยู่ใกล้ๆเขา มันเหมือนว่าผมจะละลายกลายเป็นน้ำ

            พอนึกไปถึงใบหน้าหล่อๆที่ส่ายหัวไปมา แถมยังจ้องตาเขม็งเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันเพราะผมเถียงคอเป็นเอ็นว่าจะอาบน้ำซะให้ได้แล้ว…

            ก็ได้ ไม่อาบก็ได้

ผมเป็นคนชอบอาบน้ำมาก ถ้าเป็นวันหยุดก็จะอาบวันละสามสี่รอบจนโดนแม่ด่า การจะให้ไม่อาบน้ำไปวันสองวันนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สุดๆ

            แต่ในเมื่อคนสั่งเป็นเขา ผมก็จะทำตามล่ะนะ

            วันนี้ผมมีเรียนตอนแปดโมง ตอนนี้เจ็ดโมงกว่าแล้วเลยต้องรีบทำเวลา จัดการล้างหน้าแปรงฟันแบบลวกๆ มือสองข้างพยายามถอดเสื้อนอนออกด้วยความทุลักทุเล เปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมกับเน็คไทของมหาลัย

            ทำทุกอย่างเหมือนทุกๆวันจนติดเป็นนิสัย ผมปิดประตูไม้ลง ล็อคกุญแจเสร็จสรรพแล้วรีบตรงดิ่งออกจากหอ

            ชีวิตผมวนเวียนอยู่แค่สามที่ หนึ่งคือบ้าน สองคือหอพัก สามคือมหาลัย

            ถ้าวันถัดไปไม่มีเรียนเช้า ผมก็จะกลับไปนอนที่บ้านกับแม่ ถ้าวันถัดไปมีเรียนเช้า ผมก็จะนอนที่หอพักแถวมหาลัย 

            อาหารเช้าวันนี้ง่ายๆสบายๆ ผมแวะซื้อซูชิโรลจากเซเว่น พร้อมด้วยนมเปรี้ยวและน้ำเปล่า

            เห็นพยากรณ์อากาศบอกว่าช่วงนี้ประเทศไทยจะมีมรสุม ดังนั้นท้องฟ้าตอนเช้าๆจึงเต็มไปด้วยก้อนเมฆสีครามครึ้มเต็มไปหมด แต่ผมก็ชอบอยู่นะ ลมเย็นๆทำให้ตัวไม่เหนียวเหนอะหนะ ยิ่งไม่ได้อาบน้ำตอนเช้าแบบนี้แล้ว ขืนแดดแรงล่ะก็ เต่าได้ออกมาวิ่งเล่นลั้ลลาสมใจแน่

            ผมเคยบอกใช่มั้ยครับว่าตัวเองเป็นคนซ้ำซากจำเจ ถ้าทำอะไรก็จะติดแบบนั้นไปเรื่อยๆ อาหารเช้าก็บ่งบอกนิสัยของผมได้อีกหนึ่งอย่าง ถ้าอยู่หอ ข้าวเช้าผมจะไม่ทำเอง จะอุดหนุนเซเว่นจนกินแกลบ เพราะมันเป็นสิ่งที่สะดวกที่สุด

            ขาสองข้างออกเดินไปตามทาง ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีจากหอเพื่อไปถึงมหาลัย ผมไม่ค่อยนั่งรถแท็กซี่ ไม่ค่อยนั่งวินมอเตอร์ไซค์ ถ้าเป็นระยะทางไกลจะเลือกใช้รถไฟฟ้า ถ้าเป็นระยะทางใกล้จะเลือกเดิน ถ้าเป็นเวลาเร่งด่วน จะให้แม่ขับรถไปส่ง

            มันกลายเป็นชีวิตประจำวันของตัวเองไปแล้ว

            “เฮ้ย ไอ้กอด มึงรถล้มเหรอ!?” น้ำเสียงตกใจดังมาแต่ไกลเมื่อผมเหยียบเข้ามาที่ใต้ตึกคณะ เพื่อนสนิทที่เพิ่งจะหายจากอาการไส้ติ่งอักเสบปรี่ตรงเข้ามาหาผม

            เห็นมะ แผลของผมมันหนักหนาเหมือนรถล้มจริงๆนั่นแหละ

            “กูไม่ขับมอเตอร์ไซค์”

            “เออนั่นสินะ แล้วไปทำอิท่าไหนวะเนี่ย”

            ฝ่ามือของอีกคนจับแขนผมแล้วหมุนตัวผมไปรอบๆเพื่อสำรวจว่ามีแผลที่อื่นอีกมั้ย มีอีกที่แต่อยู่ใต้กางเกง ถ้าเกิดเจ้านี่เห็นแผลที่เข่าผมล่ะก็ จะต้องเป็นบ้าเป็นบอมากกว่านี้แน่นอน

            เขาเป็นพวก over protective อ่ะครับ เหมือนแม่นกที่ปกป้องลูกนกจนเกินไป ประมาณนั้นเลยแหละ

            “ล้มอ่ะ”

            “ล้มเนี่ยนะ”

            “อือ”

            “ยังจะมีหน้ามาอืออีกไอ้นี่ ไปล้มท่าไหนวะ ถลอกมาทั้งตัวขนาดนี้”

            ล้มท่ายากอ่ะ

            ศูนย์ถ่วงผมคงไม่ค่อยดีเท่าไร การล้มแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อสมัยเด็กๆผมล้มแล้วล้มอีกจนแม่จับไปคล้องสายสิญจน์เพราะนึกว่าโดนผีผลัก แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเพราะหลังจากนั้นก็ยังล้มอยู่เรื่อยๆ สะดุดขาตัวเองบ้าง สะดุดยอดหญ้าบ้าง

            พอโตขึ้นมาถึงได้เข้าใจว่าเพราะตัวเองเป็นคนชอบเดินลากเท้า ไม่ค่อยจะเดินยกขา มันถึงได้ล้มบ่อยจนเป็นแผลเป็นเต็มตัวไปหมด

            “แล้วไส้ติ่งอักเสบหายยัง” พอหย่อนก้นลงนั่งที่ม้านั่งใต้ตึกคณะ ก็เอ่ยปากถามเพื่อน

            “หายละ ได้ยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อมาเป็นแผงเลย ดีนะไม่ต้องผ่า”

            ผู้ชายตรงหน้าผมคือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในชีวิต ตัวสูงผิวออกแทน แต่หน้าตาออกไปทางโซนเพื่อนบ้านอย่างเกาหลี เป็นคนที่เหมือนพระเจ้าเล่นตลก จับความพิเศษหลายๆอย่างมารวมบนใบหน้า

            ปกติแล้วคนหนึ่งคน จะมีเอกลักษณ์พิเศษบนใบหน้าอยู่หนึ่งหรือสองอย่าง เพื่อให้เราสามารถสังเกตเห็นได้ชัดและจดจำมันได้แม่นยำอย่างไฝใต้ตา ลักยิ้ม ตาชั้นเดียวหรือสองชั้น จมูกโด่ง หรือรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก

            แต่สำหรับเจ้าเพื่อนคนนี้ ตาชั้นเดียวเรียวเหมือนใบไม้ทรงรีขนาดเล็ก จมูกโด่งปลายเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากเข้ารูป ลักยิ้มที่แก้มซ้าย คิ้วเข้ม ไฝบนหัวคิ้วข้างซ้ายจุดเล็กๆ

            มันมีทุกอย่างจนผมไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจำอะไรก่อนดี

            ถ้าเปรียบกับใครอีกคน เพียงแค่เห็นหน้าครั้งแรกก็จำได้ พี่กันมีเอกลักษณ์บนใบหน้าที่ค่อนข้างชัดเจน รูปโครงหน้าชัด ตาเตอจมูกปากชัดเจนลงตัวเข้ากันไปหมด เปรียบเทียบกับสิ่งประติมากรรม ก็คงเหมือนพวกสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอะไรประมาณนั้น มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ไม่ซ้ำกับคนอื่น

            นี่ผมอวยเขามากเกินไปหรือเปล่านะ

            แขนหนักๆพาดลงบนบ่าของผม เราสองคนเดินไปตามทางภายในตึกคณะเพื่อตรงไปยังห้องเรียนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ชั้นสอง

            “วันนี้ตอนเย็นกูจะไปอ่านหนังสือกับพวกพี่ๆที่ห้องสมุดแถวสยาม ไปด้วยกันมะ”

            “ไปดิ” ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด

            “ว่าแต่… ที่บอกขอเบอร์ ไปขอเบอร์ใครวะ”

            เงยหน้าจากชีทในมือไปสบตากับเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย

            “ไม่ยุ่งดิ”

            “ไอ้กอด!”

            “คนที่เจอบนรถไฟฟ้าอ่ะ”

            “หือ งี้ก็ได้เหรอ แล้วเป็นไง เขาว่าไงบ้าง”

            “ก็ให้เบอร์มาอ่ะ แต่เขียนเบอร์ผิด”

            “เอ้า!” เสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหู

            ก็ควรจะขำอยู่หรอก จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ได้ทั้งเบอร์ทั้งไลน์จากเขาเลย ทำไมชอบทำเหมือนว่าทุกๆวันจะเป็นวันที่ฟ้าเป็นใจ ไม่จำเป็นต้องแลกเบอร์แลกไลน์ก็สามารถโคจรมาเจอกันได้ง่ายๆอย่างนั้นแหละ

            นี่มันกรุงเทพเชียวนะ ขนาดอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน บางคนยังไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ

            พี่กันนี่มันพี่กันจริงๆ

            ฝ่ามือของใครอีกคนวางลงบนหัวของผม ขยี้เบาๆอย่างที่ชอบทำจนติดเป็นนิสัย อาจจะเป็นเพราะตัวผมเองไม่เคยด่า มันถึงได้ชอบใจขยี้ขยำซะจนหัวผมยุ่งแบบนี้

            “ดีแล้ว นานๆทีจะเห็นคนอย่างมึงหัดขอเบอร์ชาวบ้านเขาบ้าง”

            แวบหนึ่งผมเห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าเพื่อน แต่มันไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุข มันเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความทุกข์ แต่ไม่สามารถพูดออกมาได้

           

            ตกเย็นทั้งเพื่อน พี่รหัสและลุงรหัสต่างก็มากองกันอยู่ที่ห้องสมุดแถวสยาม ห้องสมุดเล็กๆ แต่นักศึกษาหลากหลายมหาลัยแน่นเต็มทุกกระเบียดนิ้ว สถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่อ่านหนังสือที่ดีที่สุดแถวนี้ เพราะเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง สามารถสั่งน้ำสั่งขนมเข้าไปนั่งทานด้านในได้ตามสะดวก แต่มีข้อแม้ว่าต้องเก็บโต๊ะให้สะอาด

            การจองโต๊ะเป็นระบบใครเร็วใครได้ มีโซนอ่านหนังสือแยกกับโซนชั้นหนังสือ รอบบริเวณเป็นไม้สีอ่อนเหมาะแก่การอ่านหนังสือและนอนตามแบบฉบับห้องสมุด โต๊ะเป็นโต๊ะสไตล์ญี่ปุ่น มีช่องให้ห้อยขาลงไปด้านล่าง ตัวโต๊ะถูกเชื่อมติดกับพื้นเป็นขั้นบันไดสูงต่ำแบบทันสมัย

            มีบรรณารักษ์สุดโหดคอยจับตามองแก๊งไหนที่เสียงดังจะโดนไล่ออกไป ถึงจะเป็นห้องสมุดสาธารณะ แต่ก็มีกฎระเบียบที่ชัดเจน 

            ผมกับเพื่อนนั่งลงที่โต๊ะใหญ่ที่สุดภายในห้องสมุด วันนี้มาพร้อมหน้าพร้อมตา โดยเฉพาะลุงรหัสที่ไม่เจอกันนาน เห็นว่าเรียนหนักจนหนวดเคราเยิ้มไปหมด ประโยคแรกที่ทักทายกันก็คงจะเป็น

            “ไปโดนใครเหยียบมาวะไอ้กอด”

            ผมก็แค่หกล้มเฉยๆ

            “น้องกอดจ๋า”

            น้ำเสียงออดอ้อนพร้อมกับแขนหนาๆกระแซะข้างไหล่ผม รุ่นพี่ร่วมคณะอีกหนึ่งชีวิต หากแต่เป็นผู้ชายครึ่งหนึ่งผู้หญิงครึ่งหนึ่ง ลุงรหัสชี้หน้าคนที่พยายามจะสิงสู่ผมอย่างคาดโทษ

            “ออกห่างจากน้องกูเดี๋ยวนี้นังลำไย”

            “แหม ไม่เจอน้องกอดนาน ก็อยากกอดบ้างไรบ้าง”

            “ออกไปเลยเจ๊ อย่ามาแตะตัวเพื่อนผม” ไม่พูดเปล่า เพื่อนเพียงคนเดียวก็นั่งแทรกลงตรงกลาง

            “แหมอิพวกหวงก้าง ลองกองจริงๆ!”

            “ลองกองนี่ภาษาใหม่ของมึงเหรอ”

            “เยสแปลว่าใช่ค่ะเพื่อน คนใช้ลำไยเยอะมันเชย กูจะลองกอง มีปัญหาเหรอคะที่รัก”

             ผมเป็นคนเงียบๆ ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ค่อยพูด

            ในสายรหัสของผม ถูกเรียกว่าสายรหัส ‘สุดขั้ว’ ปู่รหัสไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นหน้า แต่เป็นผู้ชายที่สุภาพสุดขั้ว ลุงรหัสที่เป็นชายฉกรรจ์ ปากหมาแต่นิสัยดี พูดมากสุดขั้ว พี่รหัสที่เป็นสาวสวย หน้าตาน่ารักแต่แรงสุดขั้ว ส่วนผม น้องรหัสตัวน้อยๆ เงียบสุดขั้ว

            ตอนนัดเจอสายรหัสครั้งแรก มีแต่ลุงรหัสที่คุยกับพี่รหัสไม่หยุด ส่วนปู่รหัสมีหน้าที่ย่างหมูกระทะ ส่วนผมมีหน้าที่กินอย่างเดียว

            “ว่าจะไปเข้าชมรมหมออยากติว” พี่รหัสพูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน

            “ทำไม มีไรดีเหรอ ชมรมลุงไม่เคยเข้า แต่แจ๋นไปเข้าชมรมหมอ”

            “แหม ชมรมลุงมีแต่คนอย่างลุงไง ไปโกนหนวดโกนเคราบ้างนะ เดี๋ยวเด็กเข้าชมรมไปนึกว่าประธานชมรมอักษรเพิ่งหลุดมาจากสวนสัตว์เขาเขียว”

            “ทำไมพูดจาทำร้ายลุงแบบนี้วะ สมัยนี้เขาออกจะฮิต เฮ้อหนุ่มฮิปสเตอร์ล่ะปวดใจ”

            “กอดไปเข้ากับพี่ป่ะ ชมรมนี้ดี๊ดีนะ”

            ดีสิ ก็วันนั้นเห็นพูดอยู่ว่าหมอหล่อ

            เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเจอสถาปนิกหล่อ ก็คงจะเปลี่ยนไปเข้าชมรมบ้านหลังน้อยกับหนุ่มสถาปัตย์อ่ะ

            การอ่านหนังสือเป็นไปด้วยความทุลักทุเล สองชั่วโมงผ่านไปสมาธิที่ควรจะอยู่บนชีทกลับเตลิดเปิดเปิงไปหมด ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร ในหัวมีแต่ภาพคนตัวสูงที่คอยวนเวียนเข้ามาหลอกมาหลอน

            คิดถึงพี่กัน

            จะได้เจออีกมั้ย

            คิดวนอยู่แค่นี้แหละ

            หรืออาจจะเป็นเพราะไม่ค่อยสบาย เพราะพออ่านหนังสือไปได้แค่นิดเดียว ก็ต้องฟุบลงไปนอนกับโต๊ะ รู้สึกหน้าร้อนไปหมด ได้ยินข้างๆหูว่าเพื่อนและพี่ๆจะออกไปซื้อของกินกันแล้วปล่อยให้ผมนอนอยู่คนเดียวเพื่อจองโต๊ะ

            บรรยากาศรอบข้างเงียบไปหมด ผมลูบสีข้างตัวเองแรงๆเพราะเริ่มจะรู้สึกหนาว ทั้งๆที่แอร์ในห้องสมุดไม่เคยจะเย็นเลยสักวัน แต่อาจจะเป็นเพราะวันนี้อากาศเย็นด้วยแหละมั้ง

            จู่ๆก็มีอะไรบางอย่างมาคลุมร่างของผมเอาไว้ ตาที่กำลังจะปิดค่อยๆเปิดขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือเสื้อคลุมขนาดใหญ่ ส่วนภาพที่สองก็คือเมื่อตอนที่เลื่อนสายตาไปมองว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นใคร

            สันกรามชัดเจนกับจมูกโด่งๆนั่น เห็นแวบเดียวก็สะดุ้งเลย

            พี่กัน

            “มาได้ไงอ่ะ”

            ตาเรียวๆหันมามองแล้วหันกลับไปสนใจชีทในมือต่อ วันนี้เจ้าตัวมาในชุดนักศึกษา เหมือนครั้งก่อน เวลาเขาสวมชุดนักศึกษาแล้ว ออร่าทำลายล้างจะสูงขึ้นประมาณหกสิบเปอร์เซ็นต์

            “กูเดินมา”

            “ห๊ะ” กวนอีกละ ถ้าเขาตอบว่าเหาะมาผมจะชกเขาจริงๆนะ

            “ห๊ะไร ง่วงไม่ใช่หรือไง นอนไปดิ”

            “อือ” ตอนแรกง่วง แต่พอเจอเขา “แต่ตอนนี้ไม่ง่วงละอ่ะ”

            สายตาเหวี่ยงๆถูกส่งกลับมา ผมก้มหน้าลงไปแอบยิ้ม

            เหมือนซีรี่ส์เกาหลีอยู่เรื่องหนึ่งที่พี่รหัสชอบมาสปอยให้ผมฟังบ่อยๆ ที่พอนางเอกเป่าเทียนพระเอกก็จะมาปรากฎตรงหน้า กลับกันไม่ว่าเมื่อไรที่ผมเริ่มคิดถึงเขา คนตัวสูงก็จะมาปรากฎอยู่ข้างๆเหมือนว่าความคิดของเราสองคนสามารถสื่อกันได้

            “ทำไมมานี่ได้อ่ะ”

            “ถามอีกละ อยากรู้ให้ได้เลยสินะ”

            “อือ อยากรู้มากเลย”

            ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ทำไมพอเจอเขาถึงได้อยากจะพูดมากขนาดนี้กันนะ

            “ไปถามเพื่อนกูดิ” นิ้วเรียวๆชี้ไปยังกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง เพื่อนกลุ่มเดิมกับที่เตะบอลกับเขาเมื่อวานต่างก็มองมาทางนี้ โบกมือยิ้มทักทายผมอย่างเป็นมิตร

            “ทำไมต้องถามเพื่อนอ่ะ”

            “ก็เพื่อนลากกูมา”

            “แล้วทำไมถึงมาอ่ะ”

            “ไอ้กอด มึงเป็นเจ้าหนูจำไมเหรอ”

            “ก็อยากรู้นี่”

            คนตัวสูงถึงกับกุมขมับ ทุกท่าทางของเขามันดูดีไปหมด ไม่ว่าจะทำหน้าบึ้ง หน้าบูด หน้ายิ้ม หน้าหัวเราะ หน้าเหวี่ยง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้เกิดมาเพื่อโปรยเสน่ห์ใส่ชาวบ้านชัดๆ

            “เพื่อนกูติดตามพี่รหัสมึงอยู่”

            “อือ”

            “พี่รหัสมึงอัพไอจีว่าอยู่นี่” ย้อนคิดไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว พี่รหัสถ่ายรูปหมู่รวมกันเพราะไม่ได้เจอกันนาน แกเป็นเจ้าแม่โซเชียลมีเดีย ไม่แปลกหรอกที่จะเป็นที่รู้จัก

            “แล้วไงอ่ะ”

            “แล้วไง นี่มึงกล้าแล้วไงใส่กูเหรอ”

            คนตัวสูงหยิกหูผมแล้วออกแรงดึง ฝ่ามือที่สัมผัสผ่านแก้มของผมชะงักไป

            “ตัวร้อนนี่”

            “เหรอ”

            “ยังจะทำหน้าโง่อีก นอนไป” ไม่พูดเปล่า เขากดหัวผมให้นอนลงกับโต๊ะ แม้จะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างจะรุนแรงไปซะหน่อย แต่กลับทำให้ใจผมเต้นรัวไม่ต่างอะไรกับตอนที่ได้คุยกับเขาครั้งแรก

            พี่กันเป็นคนลึกลับ ผมคิดว่าแบบนั้น

            ซึ่งในความลึกลับของเขา มันทำให้ผมอยากจะยิ่งรู้จักเขา

            “ได้อาบน้ำหรือเปล่า” เสียงทุ้มๆเอ่ยถาม ผมครางตอบกลับไป

            “ไม่อ่ะ”

            ก็คนแถวนี้บังคับหน้าเขียวขนาดนั้น ขืนขัดคำสั่งล่ะก็ คงจะกลายร่างเป็นยักษ์แล้วบี้ผมแหลกคาเท้าแน่ๆ

            ฝ่ามือของคนข้างๆวางลงบนกลุ่มผมของผมแล้วขยี้เบาๆมือ

           “เออ ดีมากเด็กดี”




// อยากเป็นเด็กดีของพี่กันบ้างอ่ะ
ขอให้มีความสุขกับกอดกันนะคะ
สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #36 เมื่อ28-04-2017 20:32:48 »

โอ้ยยยยย อิพี่กันนนนน อบอุ่นหัวใจเกินไปแล้วนะ บอกเลยงานนี้น้องกอดมีหวังอ่ะ :o8:

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #37 เมื่อ28-04-2017 20:47:11 »

เขินอย่างกับเป็นเด็กดีของพี่กันซะเอง :-[ :-[

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #38 เมื่อ28-04-2017 20:54:45 »

หวานละมุนเป็นที่สุด :-[

ออฟไลน์ PiiNaffe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #39 เมื่อ28-04-2017 21:50:22 »

ฮรืออออออ เขิลคำว่าเด็กดี ><

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
« ตอบ #39 เมื่อ: 28-04-2017 21:50:22 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ iaum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #40 เมื่อ28-04-2017 22:34:38 »

อื้อหือ...เด็กดี

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #41 เมื่อ28-04-2017 23:10:29 »

น่ารักกกกกกกกกกกก /////
ลุ้นว่าเมื่อไหร่พี่กันจะยอมให้เบอร์กับไลน์ซักที 5555555555

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #42 เมื่อ28-04-2017 23:14:04 »

ใจสั่นกับพี่กัน งุ้ยยยยยยย

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #43 เมื่อ29-04-2017 00:21:06 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #44 เมื่อ29-04-2017 01:19:21 »

พี่กันต้องแอบชอบน้องกอดมาก่อนเหมือนกันใช่มั้ย
เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรือเปล่ากอด
จีบกันน่ารักดี :กอด1:

ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #45 เมื่อ29-04-2017 09:09:41 »

น่ารักมากกก

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #46 เมื่อ29-04-2017 09:46:06 »

น่ารักกกกกก กอดน่ารัก พี่กันก็ชวนเขินนน
ชอบเรื่องนี้ ดีต่อใจสุดๆ อ่านไปยิ้มไปตลอดเลย ชอบบบ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #47 เมื่อ29-04-2017 10:33:06 »

ไม่ค่อยแน่นอนเลยเนาะ ปลิวไปปลิวมาหาหลักแหล่งไม่ได้

ออฟไลน์ เมียงู

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 3 {28.04.60}
«ตอบ #48 เมื่อ01-05-2017 14:13:27 »

เข้ามานั่งดูคนจีบกัน  :katai3:

ออฟไลน์ leenanhyun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +102/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #49 เมื่อ04-05-2017 17:12:24 »

Chapter 4
สายฝนกับคนเหงา

 

            อ่า…

            ฝนตก

            อยากจะเขกหัวตัวเองซักสิบทีที่ดันลืมเอาร่มออกมาจากหอ

            ละอองฝนฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ สายฝนสีขาวกระหน่ำเทลงมาไม่หยุดเหมือนอัดอั้นมานาน ถนนด้านหน้าไร้ผู้คน มีเพียงเสียงซ่าๆดังก้องหูไปหมด

            คนอื่นๆทยอยกลับบ้านไปหมดแล้ว ทั้งพี่รหัส ลุงรหัส เพื่อนของลุงรหัส และเพื่อนสนิทที่ต้องไปรับน้องสาวจากโรงเรียนกวดวิชา มีผมคนเดียวที่อยู่ต่อจนเกือบจะสี่ทุ่มเพราะยังอ่านไปไม่ถึงไหน

            ขอบคุณยาแก้ไข้สองเม็ด อาการไข้ดีขึ้นหลังจากทานยาไป แต่พอออกมาเจอฝนตกหนักแบบนี้แล้ว ถ้าขืนลุยฝนกลับหอล่ะก็ พรุ่งนี้ได้นอนซมทั้งวันแน่ๆอ่ะ

            เฮ้อ แต่ก็อยากกลับหอจัง

            ลุยไปเลยดีมั้ยนะ

            มือของผมยื่นออกไปจากที่กำบังของห้องสมุดสาธารณะ หยดน้ำหลายๆหยดหล่นกระทบฝ่ามือ

            ผมชอบน้ำก็จริง แต่ไม่ยักจะชอบตอนฝนตก

            ความฝันวัยเด็กของใครหลายๆคนคือการออกไปวิ่งเล่นน้ำฝน แต่ไม่รู้ทำไมพอเราโตขึ้น การออกไปตากฝนกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ อย่างที่เขาว่ากันว่า เมื่อโตขึ้น ความคิดของเราเปลี่ยนแปลงไป คงเป็นเพราะโลกมันไม่สดใสเหมือนตอนเด็กๆล่ะมั้ง

            จะว่าไป ทั้งๆที่เป็นหน้าร้อนแท้ๆ แต่พอฝนตก ทำไมถึงหนาวได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้

            พอเห็นฝนแล้ว ก็ดันมีหน้าของใครอีกคนแทรกขึ้นมา

            ใครอีกคนที่หายตัวไปตอนผมตื่นนอน

            ป่านนี้พี่กันจะกลับถึงบ้านหรือยังนะ หรือติดฝนอยู่ที่ไหนหรือเปล่า

            แล้วพรุ่งนี้ เราจะได้เจอกันอีกมั้ย

            ผมเผลอหลับไปเพราะพิษไข้ มาตื่นเพราะแรงเขย่าเบาๆจากเพื่อนสนิทที่ซื้อยาลดไข้มาฝาก หันไปมองรอบๆตัวก็พบว่าคนตัวสูงหายไปแล้ว

            เหลือทิ้งไว้เพียงแค่เสื้อคลุมไหมพรมสีเทาตัวใหญ่ที่คลุมร่างผมอยู่ กับความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขา แม้จะเป็นเวลาไม่นาน แต่กลับเหลือทิ้งไออุ่นจางๆเอาไว้

            พอคิดได้แบบนั้น ก็เผลอเอามือไปจับหัวตัวเองเฉยเลย

            ฝ่ามือของเขาใหญ่และอบอุ่นมาก

            ผมจะจำมันไว้ให้แม่นเลยล่ะ

            รอยยิ้มของผมหุบลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบกับผืนน้ำจากที่ไกลๆ เงาตะคุ่มๆของใครสักคนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้

            ฝนตกหนักขนาดนี้ ยังมีคนวิ่งฝ่ามาอีกแฮะ

            เงาจางๆแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างชัดเจนของผู้ชายตัวสูงสวมชุดนักศึกษาที่วิ่งฝ่าฝนตรงมายังที่ที่ผมยืนอยู่ มือสองข้างของเขาปิดกระหม่อมของตัวเองเอาไว้

            พอผ่านพ้นละอองสีขาวมาปุ๊บ

            สิ่งที่ชัดเจนในสายตาของผมคือนัยน์ตาคู่สวยของเขา ที่มองทีไรเหมือนโดนยิงทุกที

            พี่กัน

            “อ้าว ยังไม่กลับเหรอวะ”

            คนตัวสูงสภาพตัวเปียกแฉะถามผม มือสองข้างบิดชายเสื้อชุ่มน้ำของตัวเอง สักพักก็เปลี่ยนไปขยี้หัวเปียกๆนั่นแล้วเสยมันขึ้นลวกๆ

            เสื้อสีขาวลู่ไปกับผิวขาวเหลืองของเขา ขอบคุณที่เขาใส่เสื้อกล้ามไว้ด้านใน

            เพราะแค่นี้ ก็ทำให้หน้าผมร้อนจนแทบจะทอดไข่ดาวได้ประมาณหนึ่งโหลแล้ว

            “ไอ้กอด”

            “…”
           
            “กอด”

            “…”

            “ไอ้เด็กเด๋อ”

            “ห๊ะ หา” ละสายตาจากเสื้อซีทรูของเขาไปมองหน้าคนที่ขึ้นเสียงใส่ พี่กันขมวดคิ้วมองหน้าผม ไม่ทันได้พูดได้จาอะไรมากไปกว่านั้นฝ่ามือของเขาก็วางลงบนหน้าผากของผมอย่างถือวิสาสะ

            ถ้าให้เทียบความดังระหว่างเสียงฝนกับเสียงหัวใจของตัวเองตอนนี้

            หัวใจที่เต้นรัวเหมือนกลองชุดชนะเลิศไปเลย

            “หน้ามึงแดง ไข้ขึ้นอีกหรือไง”

            “เหรอ”

            “เหรอบ้าไร กูถามยังจะมาเหรอใส่อีก”

            “แหะ”

            “แล้วจะไปไหน”

            “กลับหออ่ะ แต่ฝนตกก็เลยกลับไม่ได้แล้ว”
           
            ผมพูดแล้วมองเลยออกไปยังสายฝนที่ยังตกไม่หยุด

            ตอนแรกใจมันไปอยู่ที่หอแล้ว แต่พอรู้ว่าพี่กันยังไม่กลับ ก็เลยคิดว่าอยู่ห้องสมุดจนเช้าไปเลยก็ได้

            ไม่ทันตั้งตัว คนตรงหน้ายื่นมือมาคว้าสายกระเป๋าผ้าที่ผมสะพาย ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางสองนิ้วเกี่ยวสายกระเป๋าแล้วลากผมกลับเข้าไปในห้องสมุด เปิดประตูออกมาปุ๊บ แอร์เย็นๆก็สาดกระทบกับร่างกาย หากแต่ใครอีกคนกลับไม่สะทกสะท้านต่อความหนาวเลยทั้งๆที่ตัวเปียกซะขนาดนั้น

            “ไม่ต้องกลับ รอฝนหยุดค่อยกลับ”

            น้ำเสียงโมโนโทนบอกกับผม แต่ไม่ยักจะหันมามองหน้า

            พี่กันพาผมไปหยุดอยู่ที่โต๊ะริมสุดด้านใน เพื่อนสองคนของเขาที่นั่งอยู่ก่อนหน้าเงยหน้าขึ้นมา หนึ่งคนออกปากแซวเหมือนรอเวลานี้มานานแล้ว

            “ไหนบอกไปซื้อน้ำ ทำไมได้น้องกลับมาวะ”
           
            “เงียบปากไป”

            “ฮ่าๆ”

            ผมมองโต๊ะขนาดกลางสำหรับสี่คน ที่ไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่เดิมเพราะว่าย้ายโต๊ะสินะ เพื่อนก็ทยอยกลับไปบางส่วนแล้วด้วย ไอ้เราก็นึกว่ากลับไปแล้ว

            ที่ริมกำแพงที่เคยเป็นที่วางกระเป๋าของพวกเขา ถูกเคลียร์จนสะอาด ฝ่ามือหนักๆกดให้ผมนั่งลง จะหันไปถามเขาว่าแล้วตัวเขาล่ะจะไปไหน เพราะพี่กันตัวเปียกแฉะขนาดนี้ ขืนนั่งตากแอร์ได้หนาวตายแน่ๆ

            แต่เหมือนจะได้คำตอบทันท่วงทีเมื่อเขาหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นออกมาจากกระเป๋าเป้

            “กูไปเปลี่ยนชุดก่อน พวกมึงสองคนห้ามชวนคุยเด็ดขาด”

            “แถวนี้มีแมวด้วยว่ะ”

            “หวงก้างอ่า เมี๊ยววว”

            “ส้นตีนเหอะ”

            “ฮ่าๆๆ”

            พอคนตัวสูงเดินหายออกไปปุ๊บ เพื่อนทั้งสองของเขาก็เริ่มเปิดวงสนทนากับผมแบบไม่เกรงกลัวอำนาจของผู้ชายชื่อกันเลยสักนิด

            “เมื่อกี้ไอ้กันมันออกไปซื้อชานมครับ”

            “ชานมธัญพืชอ่ะ”

            “แต่มันไม่ได้ชานมกลับมา”

            “งงป่ะ”

            ผมพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไร เลยใช้วิธีพยักหน้าตอบกลับไป

            “ฝนตกมั้ง” พึมพำออกไปเบาๆ เพื่อนสองคนของพี่กันหันมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา

            ไม่ใช่เหรอ?

            อาจจะเป็นเพราะว่าฝนตกก็ได้ ผมคิดว่างั้นนะ เขาอาจจะไปได้แค่ครึ่งทางแล้ววิ่งกลับมา

            “แต่ร้านชานมอยู่แค่ตรงข้ามเองนะ”

            “ขายาวๆอย่างมันวิ่งหกก้าวก็ถึง”

            ห่ะ

            เอ ผมไม่ทันสังเกตแฮะ
           
            ไอ้นิสัยชอบกินชานมก็ไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิดซะด้วยสิ เพิ่งมาชอบกินหลังจากได้เจอเขาเมื่อไม่นานมานี้เอง แถมไอ้เมนูชานมธัญพืชนี่ก็ไม่ได้มีทุกสาขา

            ก็เลยไม่ได้สนใจเลยว่ามีร้านชานมตั้งอยู่ตรงข้ามห้องสมุด

            “หกก้าวแต่ตัวเปียกเหมือนไปวิ่งวนรอบสยามเลย”

            “กลัวเขาจะรู้ว่าแอบมองอยู่แน่ๆ”

            “เนียนๆไป ไม่รู้หรอก”

            “อ่ะงงเด้ งงเด้”

            คุยกันอยู่สองคน เข้าใจกันอยู่สองคน

            สักพักหนึ่งคนทางซ้ายเอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างของคนทางขวา เป็นการส่งสัญญาณบอกถึงอันตรายที่กำลังเดินตรงกลับมาจากห้องน้ำ สองคนตรงหน้าเปลี่ยนบทคู่หูเม้ามอยเป็นบทคู่หูตั้งใจเรียน อ่านชีทกันอย่างขยันขันแข็ง

            คนที่หายไปเปลี่ยนชุดเดินดุ่มๆเข้ามาพร้อมด้วยสีหน้าขวางโลกมาแต่ไกล จากชุดเปียกๆเมื่อกี้ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสี            เทาอ่อนกับกางเกงผ้าขาสั้นสีดำ

            พี่กันนั่งเงียบสักพัก เมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเขาเลยใช้ขาถีบเพื่อนทั้งสองของตัวเอง ร้องโอดร้องโอยไปคนละทีสองที

            “พวกมึงชวนคุยแน่ๆ”

            “ชวนไร ไม่ได้ชวน”

            “ใช่ ไม่ได้ชวน นั่งอ่านชีทอยู่เนี่ย อย่าใส่ร้ายเพื่อนดิวะ”

            “นิสัยเสือกพวกมึงไม่ธรรมดา อย่าคิดว่ากูจะเชื่อ”

            “ไม่เชื่อเหรอ ไม่เชื่อถามน้องดิ”

            เอ้ย

            โยนขี้มาให้เฉยเลยอ่ะ

            เขาหันขวับมามองผม

            “พวกมันชวนคุยมั้ย”

            ถามเฉยๆก็ได้ ทำไมต้องทำหน้าโหดด้วยล่ะไอ้พี่บ้า

            หันไปมองสองคนด้านหน้า หนึ่งคนขยิบตา อีกหนึ่งคนกระพริบตารัวๆส่งมาให้ เหมือนจะบอกผ่านทางความคิดว่า โกหกมันหน่อย ช่วยๆกันไป

            ผมโกหกไม่เก่งซะด้วยสิ

            แต่เอาไงก็เอาวะ

            “เปล่าอ่ะ” พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่กันทำหน้าไม่เชื่อสักเท่าไร เขาหันกลับไปมองเพื่อนสองคนของตัวเอง แล้วหันกลับมามองผมอีกรอบ

             เพ่งมองพิจารณาอยู่ซักระยะ

            “อืม”

            เชื่อแล้วใช่ป่ะ

            เฮ่อ ทั้งผมและเพื่อนสองคนของเขาถอนหายใจออกมาพร้อมกัน พี่กันม้วนชีทเป็นทรงกระบอกแล้วลุกขึ้นยืน ฟาดหัวเพื่อนไปคนละที

            ‘ปั่ก ปั่ก!’

            “โอ้ยเชี่ยกัน!”

            “ไอ้คนเถื่อน!”

            “ตอแหลแล้วยังจะไปสั่งให้มันโกหกกูอีกนะ”

            “แฮ่”

            สายตาอำมหิตหันมามองหน้าผม เขายกชีทจะมาฟาดหัวผมโทษฐานที่สมรู้ร่วมคิดกับเพื่อนของเขา ผมรีบหลับตาปี๋ หดคอเป็นเต่า

            “มึงนี่ก็เด็กขี้โกหก”

            แหงะ

            โดนตีแน่เลยอ่ะ

            ‘แปะ’

            กระดาษม้วนวางลงบนหัวผมเบาๆ ไม่ได้แรงอย่างที่คิด เหมือนแค่แตะแล้วถอยกลับไป พอลืมตามอง พี่กันก็กลับไปนั่งควงปากกาเล่นอยู่ข้างๆแล้ว

            “มีคนเรียนนาฏศิลป์แถวนี้ว่ะ”

            “อะไรวะ

            “รำเอียง!”

            พี่กันปายางลบก้อนโตใส่เพื่อน

            “กูก็เรียนนาฏศิลป์นะ”

            “จะเล่นมุกรำเอียงล่ะสิ”
           
            “รำคาญ!!”

            แอบหันไปมองคนตัวสูงที่กำลังเถียงกับเพื่อนอยู่ ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะว่ากลัวจะโดนเห็น เลยต้องซ่อนครึ่งหนึ่งของใบหน้าอยู่ใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่

            ถ้าขืนโดนเห็นตอนนี้ล่ะก็

            เขาจะต้องแซวผมแน่ๆ เพราะตอนนี้ผมกำลังยิ้มจนเก็บอาการไม่อยู่

            เหมือนเป็นบ้าไปแล้วจริงๆอ่ะ

 

            นั่งอ่านมาไม่ถึงชั่วโมง ก็หลับหัวทิ่มโต๊ะกันหมดเลย

            หันไปมองรอบตัว ทั้งพี่กันและเพื่อนของเขาสลบเหมือดกันเป็นแถบ มีเพียงผมคนเดียวที่ยังนั่งอ่านชีทไปเรื่อยๆ แม้จะอ้าปากหาวบ้างเป็นบางเวลา แต่วันนี้รู้สึกไม่ง่วงเท่าไร

            นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่ม คนในห้องสมุดยังคงไม่ขยับตัวไปไหน

            ฝนเอง ก็ยังไม่หยุดตกซักที

            ‘ครืด’

            ข้อความจากไลน์เด้งขึ้นบนหน้าจอ พอเห็นชื่อคนที่ทักมา ผมก็รีบพิมพ์ตอบ

            พรุ่งนี้กลับบ้านมั้ยลูก

            แม่ผมเอง

            *กลับพรุ่งนี้เย็นนะ

            *แม่จะฝากซื้ออะไรแถวนี้มั้ย


            ไม่ฝาก

            แม่จะพาไปกินอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ


            ผมกดส่งสติ๊กเกอร์ขยับได้กลับไป

            *โอเค ผ่าน

            จะนอนหรือยัง

            *ยังค้าบ

            *กอดอยู่ห้องสมุดที่สยามอ่ะ


            อย่านอนดึกมากรู้มั้ย

            นอนละ

            ฝันดีจ้า


            *ฝันดีครับ

            “อือ”

            มือที่กำลังกดโทรศัพท์อยู่สะดุ้งเมื่อคนข้างๆจู่ๆก็ครางฮือออกมา พี่กันขยับตัวเล็กน้อย

            ตื่นแล้วเหรอ

            ชะโงกหน้าไปดู คนตัวสูงยังคงหลับตาอยู่ คิ้วขมวดพันกันยุ่งไปหมด

            ใครจะไปนึกไปฝันว่าจะได้มานั่งดูเขานอนอยู่ตรงหน้าแบบนี้กัน พอได้มามองดูใกล้ๆแล้ว เขาเป็นคนที่ผิวค่อนข้างดี เนียนละเอียด สีผิวสม่ำเสมอ มีกระแดดบนใบหน้าบ้างประปรายตามแบบฉบับผู้ชายที่ชอบเล่นกีฬา

             “ฮืม”
           
            คนที่นอนอยู่ถอนหายใจออกมาพลางขยับหน้าหนีไปอีกทาง

            นอนแบบนี้มันสบายที่ไหนกันล่ะ

            ผมดึงเสื้อคลุมไหมพรมตัวหนาออกจากไหล่ ม้วนเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเพื่อที่จะทำเป็นหมอนให้ใครอีกคน มองอยู่สักพัก เมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างๆที่ขยับเบาๆขึ้นลงเป็นจังหวะแล้ว เลยคิดว่าเขาคงไม่ตื่นขึ้นมาหรอกมั้ง

            ช้อนมือไปใต้คอเขา แค่แตะเบาๆเท่านั้นแหละ เขาก็สะดุ้งตัวขึ้นมานั่งทันที ผมกระเด้งตัวกลับมานั่งที่เดิมแล้วกุมมือตัวเองไว้แน่น

            ไอ้กอด

            ไอ้บ้า

            เกือบไปแล้ว!

            “ทำอะไร”

            ไม่รู้จะตอบยังไง เลยได้แต่นั่งเม้มปากเงียบๆ

            จะทำหมอนให้ไง เห็นนอนไม่ค่อยสบายอ่ะ

            ถ้าขืนพูดออกไปแล้วพี่กันเกิดไม่ชอบขึ้นมา ได้โดนเกลียดแน่ๆเลย

            สายตาของอีกคนมองเลยไปยังเสื้อคลุมที่ถูกม้วนเป็นก้อนอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบมาขึ้นมา คลี่ออก สะบัดมันเล็กน้อยโดยที่ไม่พูดอะไร

            “ห่มซะ มือมึงเย็นขนาดนั้น”

            “อ่ะ…”

            เสื้อคลุมตัวใหญ่ลอยกลับมาตกบนหัวผม คลุมไปทั้งร่างตั้งแต่หัวไปถึงแขน

            สายตามองลงไปยังฟิล์มกระจกที่ติดอยู่กับมือถือ เงาที่สะท้อนกลับมาคือใบหน้าของผมที่ขึ้นสีแดงจัด

            ทำไมเขาเป็นคนแบบนี้กันนะ

            ทำไมต้องมาอบอุ่นใส่กันขนาดนี้

            ผมฟุบหน้าลงบนโต๊ะ รู้ได้เลยว่าตอนนี้ร่างกายร้อนระอุไม่ต่างกับลาวาจากภูเขาไฟ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้มันย้อนกลับมา หรือเป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

            น่าจะเป็นเพราะทั้งสองอย่างนั่นแหละ

            แต่อย่างหลังมีอิทธิพลมากกว่าพิษไข้

            เรียกมันว่า ‘Heartshot’ ก็แล้วกัน

            ยิงมากลางหัวใจแบบนี้ เหมือนตายทั้งเป็นเลยจริงๆนะ 

            “เฮ้ย ตื่น” พี่กันหันไปปลุกเพื่อนของเขา

            “อ้าว น้องหลับเหรอวะ”

            “อือ พวกมึงจะกลับกันยัง”

            “ฝนหยุดยังวะ”

            “ไม่รู้ว่ะ”

            “เออช่างแม่ง ห้าทุ่มกว่าละ กูไม่ไหวละง่วง”

            เสียงกุกกักบนหัวของผมบ่งบอกว่าเพื่อนๆของเขากำลังเก็บของ ตั้งใจว่าจะเงยหน้าไปบอกลาเพื่อนๆของพี่กัน แต่ดันโดนฝ่ามือหนักๆกดหัวเอาไว้

            “กลับก่อนนะเว้ยไอ้เถื่อน พรุ่งนี้เจอกัน”

            “เออ อย่าหักโหมนะครับเพื่อน”

            “ไปไกลๆตีนเลยไป!”

            รอบกายเงียบลงอีกครั้ง คนตัวสูงถอนฝ่ามือออกไป ผมนอนนิ่งๆอยู่กับที่ มองนาฬิกาข้อมือที่ดังติ๊กต่อกติ๊กต่อก ไม่กล้าขยับตัวไปไหน อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เราอยู่กันสองคนแล้ว

            จะคุยอะไรดี

            อยากคุยด้วย อยากคุยอีกเยอะๆ

            “หิวข้าวป่ะ”

            เสียงของพี่กันที่ถามขึ้นทำให้ผมดีใจจนต้องลุกขึ้นไปตอบเขา แต่ยังไม่ทันจะโผล่หน้าพ้นออกจากเสื้อคลุม ก็โดนฝ่ามือหนักๆของเขากดหัวลงไปนอนแปะลงบนโต๊ะอีกรอบ

            อะไรอ่ะ

            มากดหัวกันทำไม

            คนจะคุยกันก็ต้องมองหน้ากันสิ

            ผมกวาดมือสะเปะสะปะไปรอบตัว ตีมือที่เขากดหัวของผมเบาๆ พี่กันรีบส่งเสียงดุใส่

            “ไอ้กอด”

            “ก็อยากเห็นหน้านี่” ปล่อยเร็วๆ ปล่อยยย

            บอกให้ปล่อยก็ยอมปล่อยแต่โดยดี เลิกผ้าออกมาเห็นใครอีกคนเบือนหน้าไปอีกทาง พี่กันลงมือเก็บของลงกระเป๋า ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา ผมเลยนั่งจ้องเขาอยู่แบบนั้น จ้องจนกว่าเขาจะหันกลับมาสนใจนั่นแหละ

            ตามคาด พอโดนจ้องนานๆเข้า เขาถึงได้หันมาตะเบ็งเสียงใส่

            “เห็นหน้าแล้วนี่ พอใจยัง”

            “พอใจละ”

            “พอใจงั้นก็เก็บของ”

            “ไปไหนอ่ะ”

            “กินข้าว”

            “เหรอ” กินข้าวตอนห้าทุ่มอ่ะเหรอ

            จะขุนผมให้เป็นหมูหรือไง เจอหน้าทีไรเรียกกินข้าวทุกที

            “เหรออะไรอีก”

            “เหงาป่ะ”

            “เหงาไรวะ”

            “ก็ … ไม่ได้คุยกันตั้งชั่วโมงกว่าๆอ่ะ”

            เพื่อนพี่เขาอยู่ด้วย ผมเลยไม่กล้าชวนคุย

            พี่กันชะงักไป

            “แล้วไง ตอนนี้มึงกำลังชวนกูคุยไม่หยุดเนี่ย” ปากบ่นตัวก็เอี้ยวไปหยิบของบนโต๊ะมายัดใส่เป้ ผมก็เก็บของไปชวนเขาคุยไปเรื่อยเปื่อย

            เผลออีกแล้ว

            ทำไมเวลาเจอหน้าเขาทีไรถึงได้อยากจะพูดไม่หยุดปากขนาดนี้กันนะ

            บางทีผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

            เก็บของเสร็จเราสองคนก็มายืนอยู่ด้านหน้าห้องสมุด คนตัวสูงกว่ายื่นมือออกไปสัมผัสผ่านอากาศเย็นๆเพื่อดูว่าฝนหยุดตกจริงหรือเปล่า

            “ปรอยๆ”

            พอเห็นเขาบอกแบบนั้น ผมเลยยื่นมือออกไปบ้าง น้ำฝนเม็ดเล็กๆหล่นสัมผัสฝ่ามือ ยังไม่ถึงกับหยุดตกซะทีเดียว แต่ก็พอเดินกลับได้ล่ะนะ

            ‘กริ๊ง กริ๊ง’

            เสียงโทรศัพท์บ้านรุ่นโบราณดังขึ้น จำได้แม่นว่าเป็นเสียงโทรศัพท์ของใครอีกคน ผมหันไปมองพี่กันที่ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า เมื่อคว้ามันได้เขาก็รีบกดรับ

            “ว่า”

            “เออ กำลังกลับ ว่าจะไปกินข้าว”

            “ยัง กว่าจะถึงหอก็เที่ยงคืนมั้ง มึงเอาชีทสอดใต้ประตูไปก็ได้”

            ดูจากการคุยแล้ว คงเป็นเพื่อนเขานั่นแหละที่โทรมา

            ผมเมินสายตาห่างจากคนตัวสูงไปมองร้านชานมตรงกันข้ามกับห้องสมุด เพิ่งสังเกตเห็นว่ามันตั้งอยู่ตรงกันข้ามจริงๆ ขายาวๆอย่างพี่กันเดินหกก้าวก็ถึง

            ถ้าเขาไปซื้อชานม ตัวก็ไม่น่าจะเปียกโชกขนาดนั้น แล้วทำไมถึงไม่ได้ชานมกลับมานะ หรือว่าร้านปิดแล้วก็เลยต้องวิ่งไปซื้ออีกที่ที่อยู่ไกลออกไป

            คิดไปก็ปวดหัว

            ถือว่าดีที่เขาโผล่มาตอนนั้น เพราะถ้าเขามาช้ากว่านั้นอีกซักห้านาทีหรือสิบนาทีล่ะก็ ผมคงตัดสินใจเดินลุยฝนกลับหอไป และคงจะไม่ได้คุยกับเขา ไม่ได้นั่งข้างๆเขา ไม่ได้เห็นด้านที่อบอุ่นมากๆของเขา และไม่ได้ไปกินข้าวกับเขาเป็นครั้งที่สอง

            “ทำไม มึงเป็นเมียกูเหรอ กูจะกินกับใครก็เรื่องของกู!”

            “เปล่า ไม่ได้กินคนเดียว”

            “เออ”

            “ไปกับไอ้ตัวขี้เหงา”

            “อืม มันมองแล้ว”

            “กูคุยโทรศัพท์นาน สงสัยมันเหงาละ”

            ผมขมวดคิ้ว ตอนนี้คนที่มองเขาอยู่ก็มีผม หันไปมองหมาตัวสีน้ำตาลที่นั่งอยู่ริมกระถางต้นไม้ มันก็กำลังมองพี่กันอยู่

            แล้วไอ้ตัวขี้เหงาที่เขาพูดเนี่ย

            คือผมหรือหมากันนะ?





// นั่นน่ะสิ ตัวขี้เหงาของพี่กันคือใครอ่ะ หมาหรือกอด ถถถถถถ

สามารถติดแท็ก #Likeกัน ได้ทางทวิตเตอร์

Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
« ตอบ #49 เมื่อ: 04-05-2017 17:12:24 »





ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #50 เมื่อ04-05-2017 18:40:27 »

เอะอะชวนกินข้าว(อีกแล้ว) ตีเนียนไปเรื่อยเลยนะพี่กัน :hao3:
เพื่อนแอบมีแซว ต้องมีอะไรดีๆแน่เลยอ่ะ

ออฟไลน์ Jitsupa_milk

  • Just Milky('s) Way
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #51 เมื่อ04-05-2017 18:41:20 »

พี่กันคะ เป็นห่วงก็พูดสิค่ะะ
  :L2:

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #52 เมื่อ04-05-2017 18:42:25 »

ละมุนมากกกกกก :กอด1:

ออฟไลน์ Past-Zeit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #53 เมื่อ04-05-2017 19:00:37 »

อ่านเรื่องนี้เเล้วติดชาธัญพืชตามพี่กันเลย
น่ารักกกกก

ออฟไลน์ benzdekba

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 503
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #54 เมื่อ04-05-2017 19:58:05 »

 :ling3:คี

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #55 เมื่อ04-05-2017 20:49:27 »

นุ้งก๊อดดดดด พี่กันไม่ได้จะไปกินข้าวคนเดียวแต่ไปกะไอ้ตัวขี้เหงา พี่กันไม่ได้ชวนนุ้งหมาไปกินข้าวนะคะลูกกกกก พี่เขาชวนหนู ถถถถถ

คนนึงอึน คนนึงซึน แหมะ! คนอ่านก็ลุ้น ก็ตบเข่าเชียร์กันไปสิคร้าาาคุ๊ณณณณ รออาร๊ายยย  :-[

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #56 เมื่อ04-05-2017 21:02:31 »

ใครอ่อยใคร ดูมีใจทั้งคู่เลย
เขินอ่ะ
 :o8:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #57 เมื่อ04-05-2017 23:22:17 »

 :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ PiiNaffe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #58 เมื่อ04-05-2017 23:32:13 »

ตัวขี้เหงานี่เหมือนเหาไหม /มุขอัลไล

ออฟไลน์ iaum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ◆_Likeกัน_◇ ตอนที่ 4 {04.05.60}
«ตอบ #59 เมื่อ05-05-2017 08:31:44 »

รอ~~~~~~  :katai5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด