Chapter 7
ห่วงเธอเท่าห่วงยาง
กลิ่นแกงจืดหอมๆลอยมาจากห้องครัวขณะที่กำลังเดินลงจากชั้นสอง นอกจากนั้นก็ยังมีกลิ่นไข่เจียวแทรกเข้ามา เช้าๆแบบนี้การได้กลิ่นอาหารโชยเข้าจมูกเรียกน้ำย่อยของผมได้ดีทีเดียว
ขาของผมสัมผัสกับพื้นกระเบื้องไม้สีอ่อน สีอ่อนๆแบบนี้ทำให้ตัวบ้านที่แคบๆดูกว้าง โดยเฉพาะบริเวณที่เคยเป็นผนัง ตอนนี้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นกระจกบานใสจนสามารถมองเห็นสนามหญ้าขนาดเล็กหน้าบ้านได้อย่างชัดเจน ขาสองข้างก้าวเดินออกไป มีจุดหมายคือห้องครัวเล็กๆที่ยื่นออกไปจากตัวบ้าน
เป็นบรรยากาศที่อบอุ่นต่างจากการอยู่หอ ถ้าถามว่าตัวผมชอบอยู่หอหรือบ้านมากกว่ากัน ก็ตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่าที่บ้านนี่แหละคือสถานที่ที่ผมชอบที่สุดแล้ว
เข้ามาในครัวที่จัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะไม่ค่อยมีคนอยู่บ้านจึงไม่ค่อยมีใครปรับเปลี่ยนที่ของสิ่งของ ถึงผมจะหายไปสี่ห้าวัน กลับมาก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ผู้หญิงวัยกลางคนยืนหันหลังอยู่ ฮัมเพลงเบาๆพลางคนแกงจืดให้เข้ากันอย่างอารมณ์ดี นาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า ตัวเองมีงานแปดโมงแต่ก็ไม่ยักจะรีบร้อนอะไร
“หอมอ่ะ”
คำทักทายคำแรกดังขึ้นแผ่วเบา แม่สะดุ้งแล้วหันมามองผม ฉีกยิ้มกว้างแล้วปรี่เข้ามากอด โยกตัวไปมาเหมือนสมัยผมยังเด็ก
“คิดถึงจังเลย แม่เห็นเมื่อวานกลับดึกเลยไม่อยากไปปลุก”
“พอดีสายรหัสนัดเลี้ยงข้าวกันอ่ะ กอดเลยต้องไป”
จริงๆไม่ใช่ข้าวหรอก นัดเลี้ยงเหล้าต่างหากล่ะ
ขืนบอกคุณนายเขาล่ะก็ โดนบ่นแน่ๆ
“แล้วเมื่อคืนกลับมากับใคร คนเดียวเหรอ”
“มีคนมาส่งครับ”
“ถึงว่าล่ะ เมื่อวานเจ้ากอดมันร้องไม่ยอมหยุด แม่สะดุ้งตื่นเลยเนี่ย”
ได้ยินแบบนั้นก็หน้าขึ้นสีซะเฉยๆ อาจจะเป็นเพราะดันนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน คนตัวสูงมาส่งถึงที่บ้าน ไอ้กอดเวอร์ชั่นสองก็ดันโดนผีนกบ้าเข้าสิงร้องไม่ยอมหยุด
“ใครมาส่งล่ะ”
“เพื่อนอ่ะ”
แม่พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเติมอีก คงนึกว่าเป็นเจ้าเพื่อนสนิทคนนั้นนั่นแหละ ซึ่งผมก็คงปล่อยให้แม่คิดแบบนั้นต่อไป เพราะปกติมีเพื่อนแค่ไม่กี่คน ทั้งพี่รหัส ลุงรหัส ปู่รหัส และเพื่อนสนิท ทั้งหมดนั่นแม่ผมก็รู้จักหมดแล้ว ดังนั้นถ้าขืนบอกว่าเป็นรุ่นพี่ต่างมหาลัยล่ะก็
โดนซักยาวถึงพรุ่งนี้เช้าแน่ๆเลย
“วันนี้เย็นไปกินข้าวกันนะ” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความดีใจ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่
ผมเกาขมับตัวเองเล็กน้อย ตารางชนกันดังปังเลย เพราะวันนี้พี่กันเตะบอลหกโมงเย็น
จะปฏิเสธก็ทำไม่ได้เพราะแม่เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนก่อนตั้งนานแล้ว
อ่า ถ้าผมไปหาเขาช้าหน่อย เขาจะโกรธผมไหมนะ
แล้วถ้าเขาโกรธล่ะ ผมจะขอโทษแบบไหนดี
หลังจากกินอาหารญี่ปุ่นกับแม่เสร็จ ก็รีบขึ้นรถไฟฟ้าไปที่มหาวิทยาลัยของพี่กัน
นาฬิกาบอกเวลาสองทุ่ม เลทไปสองชั่วโมง
สุดท้ายก็มายืนหอบแฮ่กอยู่หน้าสนามบอล ครั้งนี้เป็นการมาเยือนครั้งที่สองของผม ไฟสนามบอลปิดไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่มีผู้คนเตะบอลอยู่ในสนาม เป็นเพียงสนามหญ้าโล้นๆเตียนๆ
ผมพลาดอย่างมหันต์เลยล่ะ
แย่จริงๆ ทั้งๆที่เขานัดเอาไว้ก็ดันพลาดซะได้
ถ้าเจอกัน ก็อยากจะขอโทษเขา หวังว่าเขาจะไม่โกรธนะ
“อ้าว น้อง”
น้ำเสียงทุ้มๆดังขึ้นจากทางด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็เจอกับคนคุ้นเคย
เพื่อนเบอร์หนึ่งของพี่กันที่เจอกันที่ห้องสมุดที่สยามเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาถือของพะรุงพะรัง กระเป๋าหลายๆใบพาดอยู่บนบ่าเหมือนไม่ได้มีเพียงแค่ของตัวเอง แต่หิ้วเผื่อคนอื่นๆด้วย
“มาหาไอ้กันเหรอ” พยักหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อตอบคำถาม
“มันอยู่โรงพยาบาลอ่ะ”
ห๊ะ
กระพริบตาปริบๆเหมือนหูฝาดไป
“โรงพยาบาล?” ถามทวนคำพูดของคนตรงหน้าอีกครั้ง
ไปทำอะไรที่โรงพยาบาลอ่ะ
“มันแขนหัก เลือดอาบเลย”
หัวใจกระตุกวูบ
แล้วเขาเป็นอะไรมากมั้ย เจ็บมากหรือเปล่า ... ถามอะไรโง่ๆไอ้กอด แขนหักเลือดอาบก็ต้องเจ็บมากๆอยู่แล้ว เขาก็เป็นคนนะ
ตอนนี้ในใจของผมว้าวุ่นไปหมด ทั้งกังวล ทั้งเป็นห่วง อยากจะรีบไปเจอเขา อยากจะถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ทำไมถึงได้ร้อนรนขนาดนี้
“ไปด้วยกันป่ะ นี่ของไอ้กัน พี่กำลังจะไปหามันที่โรงบาล”
ตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด ผมยื่นมือออกไป ต้องการที่จะช่วยเขาถือของ เพราะลำพังตัวเขาเองก็ดูจะหนักเอาเรื่อง เขาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยื่นกระเป๋าของคนที่ผมกำลังเป็นห่วงจนแทบบ้ามาให้
“ถือของมันแล้วกัน ถ้าไอ้กันรู้ว่าน้องถือให้ มันคงหายเร็ว”
รถเก๋งสี่ประตูตรงดิ่งออกจากมหาลัย จุดมุ่งหมายปลายทางคือโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ผมนั่งเงียบ กัดริมฝีปากของตัวเองไปเรื่อย เหงื่อผุดซึมขึ้นมาตามง่ามนิ้วมือจนต้องถูมันเบาๆกับกางเกง กอดกระเป๋าสีดำที่มีหัวหมีบราวน์ห้อยอยู่ พลางภาวนาในใจขออย่าให้เขาเป็นอะไรมาก
รถจอดลงที่หน้าโรงพยาบาล หัวใจเต้นรัวหนักขึ้นกว่าเดิม ทั้งผมและเพื่อนของพี่กันต่างก็รีบลงจากรถเพื่อตรงไปยังแผนกฉุกเฉิน มองไกลๆเห็นกลุ่มเพื่อนของเขาห้าหกคนยืนออกันอยู่ด้านหน้าห้อง แต่ละคนมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไร ยิ่งทวีความเป็นห่วงของผมให้มากขึ้นกว่าเดิมเมื่อไม่เห็นคนตัวสูงที่ได้ยินมาว่าแขนหัก
ยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินเหรอ
อาการหนักเหรอ
ปล่อยให้เพื่อนเบอร์หนึ่งของพี่กันเดินนำไป ผมถอยหลังทีละก้าว รีบเดินตรงออกไปจากโรงพยาบาล สายตากวาดหาร้านขายยาที่ใกล้ที่สุด
กวาดมาสารพัดยาที่สามารถซื้อได้ แล้วรีบตรงดิ่งกลับมาที่โรงพยาบาล
ด้านหน้าห้องฉุกเฉินจากที่มีกลุ่มคนห้าหกคน ตอนนี้เหลือเพียงแค่เพื่อนเบอร์หนึ่งกับเพื่อนเบอร์สองของพี่กันที่ยืนอยู่หน้าห้อง ยืนบังใครสักคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้
เห็นแค่ขาก็รู้แล้วว่าใคร
ฝ่ามือของพี่กันดันตัวเพื่อนสองคนให้ออกห่าง เหลือเป็นช่องโหว่ระหว่างกลางที่สามารถมองตรงมาแล้วเห็นผมพอดิบพอดี สภาพของเขาดูไม่จืดเลย ใบหน้าเปรอะเปื้อนคราบดิน กลุ่มผมยุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งตื่นนอน ไหนจะเสื้อบอลของเขาที่ดำเป็นปื้นเพราะโคลนจากสนามบอล มากไปกว่านั้นมือของเขาถูกพันเป็นมัมมี่ แต่แขนดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรมาก
พอเห็นแบบนั้นก็ใจชื้นขึ้นมา
ใต้ตาร้อนขึ้นมาเฉยๆ จากที่จะก้าวเดินตรงเข้าไปหาเขา กลับทำได้แค่ยืนนิ่งๆ
เขาจะรู้มั้ยว่าผมเป็นห่วงเขามากๆ
นัยน์ตาสีสวยจับจ้องมาที่ผมไม่ละสายตา เหมือนกำลังพินิจพิจารณาว่าที่ยืนอยู่ใช่ผมจริงๆหรือไม่
“กอด” พอเขามั่นใจว่าใช่ผมแน่ๆ ก็กวักมือยิกๆให้เข้าไปหา
มาหยุดยืนตรงหน้าพี่กัน สำรวจสภาพร่างกายของเขาทุกตารางนิ้ว ไม่ได้แขนหักอย่างที่เพื่อนเขาว่าเอาไว้ แต่มือซ้ายน่าจะสาหัสเอาการเพราะมีเลือดซึมออกมาด้วย
“ไหนคนนี้บอกแขนหักอ่ะ”
ชี้นิ้วใส่เพื่อนเบอร์หนึ่งของเขา เพื่อนพี่กันสะดุ้งโหยง หันมายิ้มแห้งๆเป็นเชิงแก้ตัว คนตัวสูงส่งสายตาอาฆาตแล้วยกเท้าถีบบั้นท้ายเพื่อนอย่างแรง
“พวกเวร”
“อ้าว ก็เห็นน้องเป็นห่วง”
“มึงเลยไซโคให้กูอาการหนักว่างั้น”
“ใช่จ๊ะเพื่อนรัก”
“ฟวย มึงเห็นหน้ามันมั้ย จะร้องไห้ละเนี่ย”
“พี่ขอโทษนะน้องกอด”
“ผมไม่ให้อภัย”
เพื่อนเบอร์หนึ่งของพี่กันถึงกับหน้าซีดเมื่อผมตอบออกไปแบบนั้น
ของแบบนี้มันใช่เรื่องเล่นซะที่ไหนกัน
โดนถีบซะได้ก็ดี
“แล้วเอาไง จะกลับกับพวกกูป่ะ ไม่เนอะน้องมาหาแล้ว เราก็หมดความสำคัญ”
“ใครเล่าจะสำคัญเท่าน้อง พวกเรามันลูกเมียน้อย”
“เออ แต่ถ้าลูกเมียน้อยไม่อยากโดนยิง…”
“ลาก่อยย” เพื่อนสองคนของพี่กันรีบชิ่งหนีออกไป
บรรยากาศรอบๆตัวเงียบลงอีกครั้ง กลิ่นของโรงพยาบาลที่ไม่ว่าจะเหยียบเข้ามาทีไรก็ฉุนจมูกทุกครั้งไป เป็นสถานที่ที่ผมไม่ชอบมาเหยียบเท่าไร เพราะถ้ามาทีไร ก็หมายถึงคนใกล้ตัวที่เจ็บป่วย หรือไม่ก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่เจ็บป่วย
ผมยืนมองมือของเขาเงียบๆ ฝ่ามือของผมกระชับถุงพลาสติกบรรจุสารพัดยาและอุปกรณ์ทำแผลที่ไปเหมามาจากร้านขายยา ซื้อมาซะเยอะซะแยะเพราะเป็นกังวลว่าแผลเขาจะหนัก เอาเข้าจริงๆ ซื้อมาเยอะขนาดนี้ ใช้ได้เป็นปีเลยมั้ง
พอเห็นว่าผมจ้องมือของเขานานไปหน่อย เจ้าตัวถึงได้โพล่งขึ้นมาเบาๆ
“ไม่ต้องห่วง แค่มือเอง”
ทรุดตัวลงนั่งข้างๆเขา พลางยื่นถุงยาให้โดยไม่หันไปมอง
“ซื้อมาให้เหรอ”
“อือ”
พี่กันรับถุงยาไปอย่างว่าง่าย แหวกดูอยู่พักหนึ่งก็หลุดหัวเราะออกมา
“ตลกเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วขำทำไม”
“กูจะขำ มีปัญหาอะไรป่ะ”
มี … มีปัญหามากๆเลยด้วย
พี่ทำให้ผมเป็นห่วง
แล้วถ้าผมเป็นห่วงใครล่ะก็ คนๆนั้นต้องสำคัญกับผมมากๆ
“ทำไมวันนี้มาช้าจัง” พอเห็นผมเงียบไป เขาก็ทักขึ้นมาอีก
“ไปกินข้าวกับแม่อ่ะ”
“เหรอ ว่าจะชวนกินข้าวซะหน่อย อิ่มแล้วอ่ะดิ”
“กินได้เรื่อยๆ”
เนียนมาก ทั้งๆที่ตอนนี้ยังรู้สึกอิ่มอยู่เลย
แต่ก็อยากไปด้วย
“ห่วงยางกี่ชั้นแล้วล่ะ” พูดจบก็เอามือข้างที่สบายดีมาตีพุงผมเล่นแบบไร้มารยาทอีก นี่ถ้าไม่ติดที่ว่าแอบชอบเขาล่ะก็ ซัดคอหลุดไปแล้วจริงๆนะ
“กินไรอ่ะ”
“อยากกินอาหารญี่ปุ่น”
กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ก็เมื่อกี้เพิ่งกินอาหารญี่ปุ่นมา
“กินอย่างอื่นได้ป่ะ”
“กูจะกินอาหารญี่ปุ่น”
กินก็กิน จะกินอาหารญี่ปุ่นก็ไม่ต้องมาทำหน้าดุใส่กันสิ ไม่ได้บอกว่าไม่ให้กินซะหน่อย
สุดท้ายเราสองคนก็มาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นภายในห้างสรรพสินค้าข้างโรงพยาบาล คนตัวสูงสั่งอาหารที่เขาชอบ นั่นก็คือข้าวหน้ากุ้งเทมปุระ ส่วนผมสั่งราเมนร้อนๆมากินเพราะไม่ค่อยหิวเท่าไร
พี่พนักงานมองพี่กันแปลกๆเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเหมือนเพิ่งตกถังขยะมา ส่วนร้านอาหารญี่ปุ่นนี่ก็หรูขัดกับสภาพหัวยุ่งเหยิงของเขาโดยสิ้นเชิง
สำหรับผม เวลากินข้าวเย็นของคนปกติน่าจะเป็นเวลาหกโมงเย็น แต่คนส่วนมากมักจะชอบกินข้าวเย็นในเวลาค่ำอย่างหนึ่งทุ่ม สองทุ่ม หรือสามทุ่ม ยกตัวอย่างเช่นผู้ชายตัวสูงตรงหน้าผม ที่กินวันละหลายๆมื้อ โดยเฉพาะมื้อค่ำหลังสามทุ่มขึ้นไป ไม่เคยขาดเลยจริงๆ
อาหารที่นี่ใช้เวลาไม่นานก็มาตั้งหอมฉุยส่งกลิ่นยั่วจมูกอยู่บนโต๊ะ พี่กันกินแบบไม่สนใจสิ่งรอบกาย ผิดกับผมที่สนใจเขามากกว่าราเมนนิดหน่อย
ราเมนร้านนี้ไม่ใช่เมนูแนะนำเหมือนอย่างข้าวหน้าหมูชีส หรือข้าวหน้าปลาแซลมอน แต่เป็นเมนูลับที่ไม่ค่อยมีใครสนใจจะสั่งเท่าไร น้ำซุปเข้มข้นหอมกลิ่นเต้าเจี้ยวผสมกับงาขาว รสชาติหวานมันเค็มผสมกันอย่างลงตัว มีทั้งไข่ หมู และต้นหอมญี่ปุ่น เป็นเมนูโปรดของผมที่เมื่อมาร้านนี้เมื่อไรก็จะสั่งเหมือนเดิมทุกครั้ง
“พี่กัน”
“สรุปว่าจะเรียกชื่อกูใช่มั้ย” ปากบ่นใส่แต่ก็ยังกัดกุ้งอย่างเอร็ดอร่อย
ผมพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบคำถามว่าจะเรียกชื่อเขาไปเรื่อยๆนั่นแหละ เพราะพอได้เรียกชื่อเขา มันเหมือนได้เพิ่มเลเวลความสนิทเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง พอคนตัวสูงเห็นแบบนั้น ก็ไม่ได้ว่าอะไร คงจะเริ่มชินแล้วล่ะมั้ง
“เจ็บมือป่ะ”
“นิดนึง”
“เหรอ”
“เหรอไร” นัยน์ตาคู่สวยละจากข้าวขึ้นมาสนใจผม
“ไม่มีไร”
“เป็นห่วงกูอ่ะดิ”
ก็ใช่ไง
“อย่าห่วงเลยกูอ่ะ ห่วงกันดีกว่า” เอาอีกแล้ว คำพูดแบบนี้ของเขามันหลุดออกมาจากปากง่ายๆเหมือนไม่ต้องคิด แต่กลับทำให้ผมคิดมากซะจนใจสั่นไปหมด
“จริงจังนะ”
“แล้วใครว่ากูเล่นอ่ะ”
เบ้ปากใส่เขา พอเห็นว่าเขากินข้าวแห้งๆนั่นอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว ถึงเขาจะเป็นคนกินง่าย แต่ก็อยากให้เขาได้ลองอะไรที่มันอร่อยๆสไตล์ที่ผมชอบบ้าง
“พี่กัน”
“ว่า”
“ชิมป่ะ” ดันชามราเมนไปตรงหน้าเขา
“ไม่กินหรือไง”
“เปล่า มันเป็นเมนูลับอ่ะ ไม่ค่อยมีใครสั่ง แต่อร่อยมากนะ ลองชิมดู”
พี่กันตักน้ำซุปไปชิม ผมนั่งลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าเขาจะชอบมั้ย
“เออ อร่อยว่ะ”
เม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นยิ้มเอาไว้
เวลาเขาชอบอะไรเหมือนๆกับเรานี่มัน รู้สึกดีจริงๆ
“กินเยอะๆนะ”
“ไม่เอาอ่ะเดี๋ยวมีห่วงยาง”
ยิ่งย้ำถึงห่วงยาง ก็ยิ่งอยากจะตีเขา
“ละไม มีห่วงยางก็ดี น้ำท่วมโลกผมก็ไม่ตาย”
“เหรอ”
“ใช่”
“แล้วถ้าน้ำท่วมโลกจริงๆ จะปล่อยให้กูตายป่ะ”
คำถามโลกแตกถูกส่งมา ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาล่ะก็ ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวายเลย
“ไม่อ่ะ จะให้เกาะห่วงยางไปนะ”
“ใจดีจัง เป็นห่วงกันอีกละ”
“ก็ห่วงกันเท่าห่วงยางอ่ะแหละ”
“แค่กๆ”
คนข้างหน้าถึงกับสำลักน้ำราเมนไอเป็นวรรคเป็นเวร น้ำหูน้ำตาไหล ถึงจะดูทรมานแต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกแบบนี้สินะ เวลาเห็นใครอีกคนตกใจหรืออึ้งไปเพราะคำพูดของเรา
พี่กันคงจะชอบอกชอบใจน่าดูเวลาเห็นผมทำหน้าเงิบเพราะคำพูดของเขา
“ถ้างั้นมึงกินเยอะๆ” ชามราเมนถูกผลักกลับมาหาผม
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวห่วงยางใหญ่”
“ใหญ่ๆอ่ะดี จะได้ห่วงกันม๊ากมาก”
พูดจบก็ยักคิ้วส่งมาให้ หัวใจระเบิดดังตู้มท่วมทุ่งข้าวสาลี
บรรยากาศการกินข้าววันนี้ต่างไปจากทุกๆวัน อาจจะเป็นเพราะปกติแล้วผมจะสนใจอาหารตรงหน้าเท่าๆกับเขา แต่วันนี้ผมสนใจเขามากกว่าอาหารตรงหน้า ยิ่งเห็นเขาทำหน้าเบ้เวลาขยับมือซ้ายแล้ว ก็ยิ่งเป็นห่วง
ถ้ามีคาถารักษาแผลได้อย่างในหนังล่ะก็ ผมอยากจะเสกให้เขาหายจากอาการเจ็บปวดนั่นไวๆ
จะว่าไป ล่าสุดดูหนังเมื่อตอนไหนกันนะ
สายตาของผมเหลือบไปมองป้ายโฆษณาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ข้างบันไดเลื่อน ภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องที่ผมชอบถูกนำกลับมาฉายอีกครั้งตามเสียงเรียกร้องของผู้คน และมันก็จะฉายอีกเพียงไม่กี่วันก่อนจะออกจากโรง
ผมยังไม่เคยดู เคยแต่อ่านหนังสือที่แปลจากภาษาญี่ปุ่น ดังนั้นถ้าได้ไปดูกับเขาล่ะก็
คงจะดีมากๆเลยเนอะ
จะชวนเขาไปดูหนังตรงๆเลยดีมั้ย
หรือว่า
“พี่กัน”
“อะไร”
“ได้ตั๋วหนังมาฟรีสองใบอ่ะ ไปดูด้วยกันป่ะ อยากขอโทษที่วันนี้มาช้าอ่ะ”
คนตัวสูงมองผมเงียบๆ บรรยากาศกดดันเข้ามาแทนที่ เขาทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไรที่ผมได้ตัวฟรี แต่สุดท้ายก็ยอมตอบตกลง
“อืม เอาดิ วันไหนอ่ะ”
“พรุ่งนี้อ่ะ”
“ได้ กูจะรอ”
ดีใจจนอยากจะเป็นบ้า ไม่รู้จะไประบายลงที่ไหนสุดท้ายก็ทำได้แค่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะพลางดีดขาไปมาเหมือนเด็กๆ
ก่อนอื่นก็ … พรุ่งนี้ต้องรีบมาซื้อตั๋วหนังสองใบล่ะนะ
// พูดถึงความมุ่งมั่น ต้องยกให้น้องกอดอ่ะนะ สายเปย์อ่ะค่ะ
เปย์ให้สุด แล้วหยุดที่จน
Facebook : Jiwinil Twitter : jiwinil_