Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7  (อ่าน 102992 ครั้ง)

ออฟไลน์ chanabang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น่ารักมากกกกกกกก กอไก่ ล้านนตัว

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 5


ผมกำลังหงุดหงิด... หงุดหงิดมากๆ

เพราะเมื่อวานเย็นดันมีคนดื้อเดินตากฝนไปที่ร้าน แถมยังทนทำงานทั้งคืนโดยไม่บอกให้ผมรู้ เช้ามาก็เลยมีไข้อ่อนๆ จนต้องนอนซมอยู่หอโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เพราะดันมีควิซวันนี้พอดี เป็นห่วงแทบบ้าตายแต่ก็ต้องพยายามจดจ่ออยู่กับกระดาษข้อสอบตรงหน้าเพราะรู้ว่ายิ่งทำเสร็จเร็วเท่าไหร่ ก็จะได้กลับไปหาเร็วเท่านั้น โชคดีที่เป็นตัวนอกที่เนื้อหาไม่ได้เข้มข้นอะไร ตอนเรียนก็เข้าใจอยู่แล้ว เลยไม่ต้องเสียเวลามากมาย

ผมทำควิซเสร็จและออกมาคนแรกของห้อง กำลังจะตรงดิ่งไปยังรถที่จอดอยู่อีกตึก ซึ่งต้องผ่านโรงอาหารกลางของมหาลัยเลยนึกขึ้นได้ว่าควรซื้ออะไรไปให้ไอ้ตี๋กินสักหน่อย เมื่อเช้ากว่าจะบังคับให้ตื่นมาหาอะไรรองท้องก่อนกินยาได้ก็ตั้งนาน ผมว่าตอนนี้มันก็คงยังไม่คิดจะลุกขึ้นมากินมื้อกลางวัน

“ไอ้ซัน!” ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากไหนสักแห่งหลังจากสั่งข้าวต้มในร้านอาหารตามสั่งและกำลังนั่งรออย่างร้อนรน หันไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนสี่คนของตัวเองที่ยืนเกะกะทำตัวเด่นหราเพราะอยู่ในเสื้อช็อปวิศวะแถมหน้าเหี้ยมกันทั้งฝูง

“หายหัวเลยนะมึงอ่ะ ที่คณะก็ไม่เจอ” ถูกสายตาประณามทันทีที่พวกมันเดินมานั่งล้อมวงโต๊ะเดียวกันทั้งที่ไม่ได้ออกปากชวน

“กูไม่ว่าง” ผมตอบไปแค่นั้น พลางชะเง้อมองว่าข้าวต้มได้หรือยัง แต่เห็นคิวที่ร้านต้องทำแล้วก็ได้แต่ถอนใจ

“ไม่ว่างเชี่ยไร มึงมีเรียนแค่กี่ตัว”

ก็จริงของพวกมัน...ที่บอกว่าไม่ว่างก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ เพราะนอกจากทำงานที่ร้านกาแฟ วันที่ไม่มีเรียนผมก็แทบไม่ได้ออกไปไหน นั่งเขียนเล่มวิจัยอยู่ที่หอไอ้ตี๋ แทนที่จะออกไปจับกลุ่มรวมหัวทำงานกับเพื่อนฝูงเหมือนเดิม

“ไลน์กลุ่มก็ไม่อ่านไม่ตอบนะครับ ค่าตัวแพงจัง”

“เป็นห่าอะไรไม่พอใจใครในกลุ่มก็บอกมา”

ผมหัวเราะ เมื่อไอ้พวกเพื่อเวรเริ่มตีหน้าน้อยใจใส่มาเป็นชุด “ไม่พอใจพ่อมึงสิ กูก็แค่...”

แค่อะไรวะ

“ติดเมีย?” ดันมีคนปากไวคิดแทนให้ในขณะที่ผมชะงัก มองหน้าพวกขี้เสือกเรียงตัวก่อนจะอมยิ้ม

“เออ” ยอมรับทันทีไม่มีอิดออด

แต่แทนที่จะถูกแซวเหมือนทุกครั้ง เพื่อนผมกลับนิ่งไป หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะส่งหน่วยกล้าตายถามออกมา
               
“ตอนนี้มึงคบใครวะ” เว้นวรรคกลืนน้ำลายทำหน้าลำบากใจ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดตรงๆ “ช่วงนี้มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับมึง...”

ผมเดาไว้แล้วแหละว่าเป็นเรื่องอะไร

ผมยังไม่ได้บอกใครในกลุ่มเลยเรื่องที่คบกับไอ้ตี๋ อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะคบใคร ทั้งที่ปกติแล้วเรื่องแบบนี้ไอ้พวกหูไวตาไว้นี่จะรู้โดยที่ผมไม่ต้องเป็นฝ่ายพูดเองด้วยซ้ำ

“จริงเหรอวะ?” พอเห็นผมเงียบ พวกมันก็ยิ่งสงสัย ยื่นหน้าเข้ามาอย่างเต็มความเสือก ไร้ความเกรงใจ

ผมหัวเราะ ไม่ได้รู้สึกซีเรียสอะไร คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องบอก แค่มันยังไม่มีโอกาสให้เจอกันครบแก๊งแบบนี้เท่านั้น

“จริง... คนที่กูคบอยู่ตอนนี้เป็นผู้ชาย”

“...” ทุกคนในกลุ่มหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กอีกครั้ง สีหน้าเหมือนอยากจะถามแต่ไม่รู้ว่าต้องถามอะไร ผมเลยพูดต่อให้

“พวกมึงก็เคยเจอนะ คนที่ทำงานด้วยกันที่ร้านกาแฟอ่ะ” ผมเคยยกพวกไปอ่านหนังสือที่ร้าน แต่ตอนนั้นความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ตี๋ยังไม่มาไกลถึงขั้นนี้ พวกมันรู้แค่ว่าพวกผมดูสนิทกันดี แต่คงเดาไม่ออกหรอกว่าภายใต้ความสนิทสนมมันมีอะไรที่มากกว่านั้น

ขนาดผมยังไม่ทันรู้ตัวเลย

“งั้นที่มึงลงทุนทำพาร์ทไทม์ทั้งที่บ้านรวยจะตายห่านี่เพราะคนนั้น?” โดนคำถามนี้ไปผมถึงกับชะงักอีกรอบ

มันเคยเป็นคำถามที่ตอบยากนะ แต่คราวนี้ผมกลับคิดว่ามันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากซะอีก

“เออ” ที่เคยลังเลไม่ใช่เพราะตอบไม่ได้ แต่ผมพยายามบ่ายเบี่ยงความจริงที่อยู่ตรงหน้ามาตลอดต่างหาก

ผมจะทนยืนหลังขดหลังแข็งอยู่หลังเคาน์เตอร์ทำไม ทนเสิร์ฟกาแฟไปทำไม ทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเฉียดเข้าใกล้คำว่างานบริการ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเห็นหน้าทุกวัน อยากอยู่ใกล้จนได้กลิ่นละมุนคล้ายกาแฟหอมกรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

“มึงจริงจัง?”

“จริงจัง” ตอบคำถามโดยไม่ต้องฉุกคิดอีกครั้ง ในเมื่อแน่ใจชัดเจนทุกอย่าง

ผมมองหน้าเพื่อนที่เหมือนไม่รู้จะแสดงปฏิกิริยายังไงกับสิ่งที่เพิ่งรู้ ก่อนจะลุกขึ้นเมื่อป้าร้านข้าวตะโกนเรียกให้ไปเอาข้าวต้มพอดี แต่รู้ว่าจะไปเฉยๆ มันก็กะไร เลยยิ้มให้ไอ้พวกเพื่อนตัวดีก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“กูรู้ว่าพวกมึงตกใจ แต่คนนี้กูจริงจังจริงๆ ว่ะ” ท่าทางของผมอาจดูเหมือนพูดเล่นปกติ แต่พวกมันคงรู้ดีว่าผมกำลังจะสื่ออะไร

“ถ้ารับไม่ได้ก็บอกแล้วกัน กูจะได้รู้ว่าต้องทำยังไง” พูดจบก็เดินไปจ่ายเงิน รับข้าวต้มมาแล้วหันไปยกมือบอกลาพอเป็นพิธี ในขณะที่พวกมันมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่พอจะเดาออกว่ากำลังคิดอะไร

เดินออกจากโรงอาหารมาได้ไม่นานเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดัง... เป็นไลน์กลุ่มที่ผมไม่ได้เข้าไปเช็กสักพัก ค้างข้อความที่ยังไม่ได้อ่านไว้เกือบร้อย แต่คราวนี้รู้ว่าหัวข้อที่คุยเป็นเรื่องของตัวเอง ก็เลยเข้าไปอ่านแทบจะทันที

แล้วก็ต้องหลุดขำเมื่อนึกหน้าเจ้าของข้อความที่ผลัดกันส่งมารัวๆ
 

‘มึงจะรีบไปไหนไอ้เหี้ยซัน ไม่คิดจะรอฟังเพื่อนฟังฝูงเลย?’

‘รับไม่ได้พ่อมึงสิ’

‘มึงแค่ชอบผู้ชายนะครับ  ไม่ได้ไปฆ่าใคร จะดึงดราม่าทำเชี่ยอะไร’

‘ว่างเมื่อไหร่พวกกูจะแวะไปแซวถึงร้าน มึงเตรียมใจเลย’
 

อ่านจบผมก็กดส่งสติ๊กเกอร์กวนตีนกลับไป โดนพวกมันแซวต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องไร้สาระเหมือนเคย ถึงจะบอกว่าไม่ซีเรียสอะไร แต่ก็อดโล่งใจไม่ได้ที่สุดท้ายแล้วทุกคนเข้าใจ ไม่ได้มองผมแปลกไปเพียงเพราะรสนิยมที่เปลี่ยนไป

อันที่จริงคบกันมาตั้งนาน ก็รู้อยู่แล้วแหละว่าพวกมันคงไม่มีปัญหา เพราะแบบนั้นผมเลยมั่นใจที่จะยื่นมือออกไปจับมือไอ้ตี๋ไว้แน่นตั้งแต่แรกโดยไม่ลังเล

 
               


กว่าจะมาถึงหอผมก็ต้องฝ่ามรสุมรถติดเกือบยี่สิบนาที ทั้งที่หอแม่งก็อยู่ห่างแค่ไม่กี่กิโล ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีรถยนต์ไปเพื่ออะไร ขี่อูฐแม่งยังถึงเร็วกว่าอีก จากที่หายหงุดหงิดไปแล้วก็กลับมาหงุดหงิดใหม่ เมื่อยี่สิบนาทีที่ผ่านมาผมติดต่อไอ้ตี๋ไม่ได้เลย โทรก็ไม่ติด ข้อความอะไรก็ไม่ตอบ ถ้าไม่รีบกลับห้องมาจนเห็นว่าโทรศัพท์มันแบตหมดข้างๆ คนตัวเล็กที่นอนซุกผ้าห่มอยู่บนเตียงเฉยๆ ผมคงได้คลั่งตายจริงๆ

ผมวางถุงข้าวต้มลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งบนเตียง ยื่นมือไปอังหน้าผากชื้นเหงื่อ มองใบหน้าคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมา สารภาพว่าก่อนหน้าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิดคือการที่ไอ้ตี๋ไม่ดูแลตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าป่วยง่าย หงุดหงิดตัวเองที่เอาใจใส่ไม่พอ ถ้ามันไม่สารภาพตอนมีไข้แล้ว ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันตากฝนมา พาลถึงขึ้นหงุดหงิดลมฟ้าลมฝนที่ดันตกไม่เลือกเวลา ทำแฟนผมป่วยซะได้ แต่พอเห็นสีหน้าไร้เดียงสาเจือปนความเหนื่อยล้าทั้งที่ยังหลับอยู่แบบนี้ความหงุดหงิดทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง เหลือแต่ความเป็นห่วงที่เอ่อล้นขึ้นมาเต็มหัวใจ

ผมถอนหายใจอีกรอบ ก้มลงไปกดจูบบนหน้าผากเบาๆ หวังปลอบประโลมให้คนตัวเล็กคลายความทรมาน แช่ริมฝีปากอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะผละออกมาเมื่อสัมผัสได้ว่าจังหวะหายใจของมันเริ่มเปลี่ยนไป ไอ้ตี๋ขยับนิดหน่อยท่าทางเหมือนกำลังไม่สบายตัว ผมถอยออกมามองหน้าคนหลับใหลที่ส่งเสียงงึมงำในลำคอแต่ยังไม่ลืมตา ตัดสินใจลุกขึ้นถอดเสื้อช็อปที่ใส่อยู่ออกจนร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ก่อนปีนขึ้นเตียงอีกรอบซุกร่างเข้าไปใต้ผ่าห่ม โอบกอด แนบกายลงบนร่างกายที่อุ่นจนร้อนของอีกคน
               
“อื้อ... ซัน?” เสียงครางแหบๆ ดังขึ้นมาทันทีเมื่อผมซุกหน้าลงกับซอกคอ พรมจูบไปทั่วราวกับจะใช้ริมฝีปากตัวเองดูดซับอุณหภูมมิร้อนๆ ออกจากร่างกายที่กำลังอ่อนเพลีย
               
“ตัวยังร้อนอยู่เลย” ผมพึมพำขณะที่ริมฝีปากยังคงจรดอยู่บนผิวเนียน จูบซ้ำไปซ้ำมา พลางคิดในใจว่าถ้าแบ่งไข้มาไว้ที่ผมได้บ้างก็คงดี
               
ผมแข็งแรงนะ เป็นนักกีฬาคณะด้วย ป่วยก็ไม่ทรมานมากหรอก แบ่งมาหน่อยไม่ได้เหรอ
               
“จูบมันใช้ลดไข้ไม่ได้นะครับ” ได้ยินเสียงงัวเงียบ่นพึมพำ ผมเงยหน้าขึ้นไปจนอยู่ในระดับเดียวกัน มองเจ้าของใบหน้าใสที่พยายามจะลืมตาขึ้นมามอง แต่สุดท้ายก็หลับตางอแง
               
“ง่วงอ่ะ ขอหลับต่ออีกห้านาทีได้มั้ยครับ” ผมยิ้มขำกับตาตี่ๆ ที่ลืมไม่ขึ้นอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดขี้ตาให้จนคนตัวเล็กย่นหน้า พยายามจะเบือนหน้าหนีแต่ผมก็ตามไปเช็ดให้จนหมดอยู่ดี 

“ซัน” คราวนี้ดวงตาเรียวเลยมองค้อนใส่ผมได้ถนัด ผมแกล้งย่นหน้ากลับ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มอีกครั้ง จรดริมฝีปากลงไปที่ขมับแล้วเอ่ยแกมบังคับ

“กินข้าวกินยาก่อนค่อยนอน”

แน่ล่ะว่าเจ้าตัวทำท่าจะไม่ยอม แต่ผมก็จับให้ลุกขึ้นจนได้ บังคับให้นั่งพิงหัวเตียงรอจนผมเอาข้าวต้มไปใส่ถ้วยให้เสร็จพร้อมเตรียมยาหลังอาหารออกมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่นที่ยกขึ้นมากางบนเตียง ในขณะที่ไอ้ตี๋มองผมอยู่ไม่วางตา สีหน้าเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ

“ป้อนมะ?” ผมแกล้งถามไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้ว่าคนดื้อคงไม่ยอม

แต่ที่ไหนได้ คนตัวเล็กกว่ากลับไม่ตอบอะไร เพียงขยับเข้ามาใกล้ นั่งชันขาวางคางไว้บนเข่าทั้งสองข้างแล้วอ้าปากรออย่างว่าง่าย ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา พยายามข่มใจไม่เข้าไปฟัดคนป่วย ทำหน้าที่ตัวเองด้วยการตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าแล้วป้อนให้

“คราวนี้ไม่หวานแฮะ” กินไปคำหนึ่งก็เลิกคิ้วทำท่าประหลาดใจ

“แหงสิ ก็ซื้อมา” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ป้อนอีกคำ

นึกถึงข้าวต้มเชื่อมฝีมือตัวเองแล้วรู้สึกอนาถใจหน่อยๆ ตอนนั้นอะไรทำให้มั่นใจว่าจะทำอาหารได้วะ

“ผมชอบอันเดิมมากกว่า” ว่าพลางตีหน้าซื่อ ผมยิ้มขำอีกรอบพลางป้อนข้าวต้มไอ้ตี๋ไปเรื่อยๆ

“ไม่ต้องมาเอาใจเลยครับคุณน่ะ” ทำท่าจะยื่นหน้าเข้าจูบ แต่คนที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปากก็ยกมือขึ้นมาดันหน้าผมไว้ 

“ห้ามจูบ เดี๋ยวติดไข้” เอ่ยทั้งที่น่าจะรู้ว่าห้ามไม่เคยได้ สุดท้ายผมก็ดึงมือมันลงแล้วฉวยริมฝีปากลงไปเร็วๆ

คิ้วได้รูปขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ กลืนข้าวต้มที่อยู่ในปากจนหมดก่อนจะเริ่มดุที่ผมไม่ยอมฟัง "ผมจริงจังนะ คราวก่อนไม่ติด แต่คราวนี้อาจจะติดก็ได้"

"ไม่เป็นไร" ผมเถียง กำลังจะจูบอีกรอบแต่เจ้าตัวก็รีบหนีผมด้วยการซุกหน้าลงกับเข่าโผล่มาแค่ตาตี่ๆ ที่สบตาผมด้วยสายตาที่คล้ายกับกำลังอ้อน

"จะไม่เป็นไรได้ไง”

“...”

“ถ้าซันป่วย แล้วใครจะดูแลผม"

ชิบหาย นี่มันท่าไม้ตาย 

"แล้วอีกอย่าง...” เว้นวรรคไปนานก่อนจะโผล่หน้าออกมาพร้อมยกมือขึ้นแตะปากผม ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปมาคล้ายกับจะช่วยเช็ดพิษไข้ที่อาจถูกส่งผ่านริมฝีปากมา “ตอนนี้ผมไม่มีแรงดูแลซันอ่ะ"

"..."

"รอผมแข็งแรงก่อนแล้วค่อยป่วยได้มั้ยครับ"

“...”

“แล้วผมจะดูแลอย่างดีเลย”

โอเค กูยอม

ข้อดีเดียวของการที่ไอ้ตี๋ไม่สบายคือการอ้อนที่เลเวลอัพนี่แหละ ให้ตาย  น่ารัก... น่ารักมากจนอดใจไม่ไหวต้องยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มสักที

"งั้นก็รีบหายดิ"

ขออีกที...

"หายตอนนี้เลย"

อีกที...

"หายเร็วๆๆ" สุดท้ายก็โลภมาก ไล่ริมฝีปากจูบไปทั่วใบหน้า เว้นไว้เพียงริมฝีปากที่ถูกห้ามอย่างจำยอม

"ซันนน" คนถูกแกล้งเรียกชื่อผมอย่างรำคาญ พยายามดันไหล่ผมออกห่าง แต่ผมกลับยิ่งเบียดตัวเข้าไปใกล้ กอดร่างบอบบางไว้ ซุกหน้าลงกับซอกคอขาว แล้วบรรจงฝังจูบลงไปแผ่วเบา

"หายได้แล้วครับ เป็นห่วงจะแย่แล้ว"




พอกินข้าวกินยาเสร็จไอ้ตี๋ก็หลับปุ๋ยไปอีกรอบ

ผมโทรไปบอกพี่โมพร้อมขอให้ไอ้นายเข้ากะแทนแล้วคืนนี้ก็เลยไม่ต้องไปทำงาน ผมนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ ไอ้ตี๋ทั้งวัน พอถึงหัวค่ำก็ปลุกมันขึ้นมากินข้าวกินยา เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้จนมั่นใจแล้วว่าอุณหภูมิร่างกายใกล้จะกลับมาเป็นปกติ จึงปล่อยให้คนป่วยนอนพัก ส่วนตัวเองก็หอบโปรเจ็กต์ที่ยังค้างอยู่ย้ายออกมาทำข้างนอก ใช้ผ้าห่มผืนหนาปูพื้นตรงโต๊ะกระจกหน้าทีวีแล้วนั่งเอนหลังพิงโซฟาเหมือนตอนที่นอนเอกขเนกดูหนังกับไอ้ตี๋

คืนนี้ผมถูกเนรเทศออกมานอนโซฟา เพราะถูกสั่งห้ามไม่ให้นอนกอดเพราะไม่อยากให้ติดไข้ ถึงจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่แต่ก็ไม่คิดจะขัดอะไร ยอมรับแต่โดยดีว่าการปล่อยให้มันพักผ่อนเงียบๆ ดีกว่ามีผมคอยรบกวน

อาจเพราะการทำงานกะดึกทำให้ต้องนอนเช้าเป็นปกติ คืนนี้ผมเลยไม่ง่วงเท่าไหร่ ทำงานไปเพลินๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ผมละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊ค ยืดแขนบิดขี้เกียจ ตั้งใจว่าจะเข้าไปดูอาการไอ้ตี๋อีกรอบแต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าคนที่ควรนอนอยู่บนเตียงกลับกำลังยืนมองผมอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ถูกปิดด้วยหน้ากากอนามัยทำให้ผมนิ่วหน้าถามอย่างงุนงง

“จะไปไหน” คนตัวเล็กส่ายหน้า เดินมานั่งชันเข่าข้างๆ หันหน้ามาทางผมแล้วจ้องนิ่งๆ 

“ไม่นอนเหรอครับ” ถามเสียงอู้อี้เพราะอยู่ใต้หน้ากากอนามัยที่ตอนนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าใส่ทำไม

“ทำงานอยู่อ่ะ” ผมตอบ ขยับเข้าไปใกล้ยกมืออังหน้าผากใสแล้วยิ้มอย่างพอใจ

ตัวไม่ร้อนแล้วว่ะ... แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังวางใจไม่ได้หรอก

“ตื่นมาทำไม”

“ผมนอนไม่หลับ”

“หือ?” ผมเลิกคิ้ว ตาแม่งปรือขนาดนี้ ดูยังไงก็ง่วงอยู่ชัดๆ คงเป็นเพราะยาที่กินไปนั่นแหะ

“ผมดูทีวีได้มั้ยครับ” ยังไม่ทันได้ถามอะไร คนข้างตัวก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “เผื่อดูแล้วจะง่วง”

“ให้แค่ชั่วโมงเดียวนะ” ผมลังเลอยู่สักพักก็ตามใจ ปล่อยให้คนตัวเล็กกดเปิดทีวีลดเสียงจนเบาสุดในขณะที่ผมก้มหน้าลงทำงานที่ค้างไว้

ทำได้ไม่นานก็ต้องหยุด รู้สึกชัดเจนว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังจ้องผมไม่วางตา ไม่มีวี่แววว่าจะหันไปสนใจทีวีที่ฉายรายการรอบดึกอยู่เลยแม้แต่น้อย ผมขมวดคิ้วมองหน้าเจ้าของดวงตาเรียวอย่างงุนงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มขำ

“โชกุน ถ้าจะมานั่งจ้องกันก็กลับไปนอนเลยครับ” ออกคำสั่งเหมือนมันเป็นเด็กเล็กๆ ที่ไม่ยอมนอนกลางวัน

“ทำงานเถอะครับ ผมจะไม่กวน” แต่เจ้าตัวกลับส่ายหัว นั่งกอดเข่าจ้องผมต่อบ่งบอกว่าจะไม่ยอมไป

ดื้ออีกละ

แต่ผมก็ไม่ขัดอะไร ทำเป็นก้มหน้าก้มตาทำงานอีกรอบ แต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มออกมา ย่นหน้ามองคนเอาแต่ใจอย่างหมั่นไส้ก่อนจะส่ายหน้าขำๆ ย้ายโน้ตบุ๊คที่อยู่บนตักขึ้นไปวางบนโต๊ะแล้วตบหน้าขาที่ว่างลงสองสามที

“มานี่มา”

เข้าใจตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม แล้วหน้ากากอนามัยนั่นมีไว้ทำไม เพราะงั้นก็เลยอดยิ้มกว้างไม่ได้เมื่อคนตัวเล็กขยับมานั่งแทนที่โน้ตบุ๊คของผม เบี่ยงตัวหันข้างอย่างต้องการหามุมที่จะจ้องหน้ากันได้ถนัด

"ขอบคุณครับ" เอ่ยพึมพำพร้อมกะพริบตาปริบๆ ผมหัวเราะเบาๆ อีกครั้งพลางฝังจูบลงไปที่กระหม่อม รู้สึกมันเขี้ยวจนแกล้งกอดแน่นๆ ทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยแกมบังคับ

“ทีนี้ก็หลับได้แล้ว” มือข้างหนึ่งยกขึ้นมากดหัวคนตัวเล็กซบอกตัวเองไว้ ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมหลับตาอย่างว่าง่าย

ใช้เวลาไม่นานคนในอ้อมแขนก็นิ่งไป น้ำหนักตัวที่ทิ้งลงมาทำให้ผมรู้ว่าเข้าสู่นิทราไปแล้ว ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง ตั้งใจจะดึงหน้ากากอนามัยออกให้เพราะกลัวว่าจะหายใจไม่สะดวก แต่แล้วก็ชะงักมือค้างไว้กลางอากาศ มองใบหน้าคนที่หลับใหลนิ่งๆ นึกถึงคำสั่งห้ามเมื่อกลางวันแล้วเกิดลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ฝืนใจไม่ไหว

มีผ้าปิดปากอยู่นี่ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

คิดขำๆ ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปบนหน้ากากอนามัย ตรงตำแหน่งริมฝีปากพอดิบพอดี กดจูบเนิ่นนานก่อนจะผละออกมาแล้วเอ่ยกระซิบคำเดิมๆ ที่พูดกรอกหูอีกคนยามหลับใหลทุกๆ วัน

เคยได้ยินเหมือนกันว่าการพูดคำว่ารักพร่ำเพรื่อมันทำให้ดูไม่จริงใจ แต่ความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจมากมายมันไม่รู้จะเอาไปเก็บตรงไหน... แต่ไม่ได้อยากจะยัดเยียด ไม่อยากเร่งเร้าให้รีบเชื่อใจ คิดแค่ว่าอยากจะพูดมันออกไป ต่อให้อีกคนไม่ได้ยินก็ไม่เป็นไร 

เพราะผมเชื่อว่าการกระทำทุกอย่างที่แสดงออกไป... ก็สื่อความหมายเดียวกัน






--------------------------------------------------------------------
ขออนุญาตสโลว์ไลฟ์อีกตอนนะคะ ;^;
ทีแรกตั้งใจจะมีอีกซีน แต่รู้สึกว่าค้างความรู้สึกของตอนนี้ไว้ตรงนี้น่าจะดีกว่าอีกแล้วค่ะ แง้งง
เบื่อความหวานของคู่นี้หรือยังคะ อย่าเพิ่งเลี่ยนจนเลิกอ่านนะ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วค่ะ ทนหน่อยๆ (ตบบ่า) 5555

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ ดีใจมากๆ ที่หลายคนไม่ทิ้งกันกลางทาง ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย  :hao5:
ไม่ชอบตรงไหนก็ติได้เสมอเลยนะคะ น้อมรับและพร้อมปรับปรุงค่ะ ^^





   
   


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2017 01:48:53 โดย makok_num »

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
โชพอป่วยแล้วเลเวลอัพเด้อ
นางร้ายนาจาาา ไม่ธรรมดา
นี่เป็นซันพูดเลยว่าจะหวงกว่าซันอีก จะฟัดทั้งวัน

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
อยากกัดน้องตี๋เหลือเกิน หวานมากก ขี้อ้อนที่สุดเลย ถ้านี่เป็นซันก็คงอดใจไม่ไหวเช่นกัน แอ่กก

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
แอร๊ยยยยยนย
ซันกับตี๋เวลาอยุ่ด้วยกันนี้มันดีจริงๆ
ละมุนละไม ตลบอบอวนไปด้วยความรัก

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 6

   
แล้วพวกมันก็มาจริงๆ ครับ

“น่ารัก”

“มาคราวก่อนน่ารักขนาดนี้มั้ยวะ” เพื่อนสี่ตัวของผมยืนบ่นพึมพำมองหน้ากันเลิ่กลั่กอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ในขณะที่ไอ้ตี๋ที่ยืนรอรับออเดอร์อยู่ขยับแว่นท่าทางอึกอัก มองหน้าผมอย่างงุนงงที่อยู่ๆ ผมก็หอบเพื่อนมา

ตั้งใจจะพามาที่ไหน วันนี้ผมเข้าคณะไปตรวจความคืบหน้าโปรเจ็กต์พร้อมกับหาข้อมูลเพิ่มเติมตามปกติ แต่ตอนจะออกมาดันเจอพวกมันดักรออยู่ที่รถ แถมถือวิสาสะยัดกันเข้ารถผมทันทีพร้อมกับบังคับให้พามาที่ร้านโดยไม่ฟังคำคัดค้านใดๆ

พวกเพื่อนเวร ดูดิ๊ ไอ้ตี๋มันตกใจหมด

“จะแดกอะไร” ผมถอนหายใจ เดินเข้าไปวางกระเป๋าแล้วมายืนหน้าแคชเชียร์แทน วันนี้เป็นเวรไอ้นาย แต่มันไลน์มาบอกตั้งแต่เมื่อเย็นแล้วว่าจะเข้าสาย ตอนนี้หลังเคาน์เตอร์ถึงได้มีไอ้ตี๋คนเดียว

“กูไม่อยากสั่งกับมึงอ่ะ” เพื่อนผมพากันเบ้ปากใส่ ก่อนจะเมินคำถามแล้วหันไปสนใจคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมแทน

“ที่ร้านอะไรอร่อยบ้างอ่ะครับ” พอมีคนหนึ่งเปิดปากแซวพวกที่เหลือก็แห่แซวตามทันที

“เอาแบบที่กินแล้วติดใจจนอยากมาทุกวันแบบไอ้ซันเลยอ่ะ”

“ไอ้โง่! ไอ้เหี้ยซันมันติดใจกาแฟที่ไหน มันติดใจคนชง”

“ยังงี้ไม่เรียกติดแล้ว เรียกเป็นทาส”

“หว่ายยย” 

ไอ้พวกเหี้ย!

ผมกำลังจะตะโกนด่าออกไปแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าคนข้างตัวเอื้อมมือมากำชายเสื้อผมไว้ทำให้ต้องหุบปากฉับ หันไปมองก็เห็นเจ้าของดวงตาเรียวกำลังกะพริบตาปริบๆ มองผมงงๆ ปนตกใจ

“ซัน?”

พอได้ยินไอ้ตี๋เรียกชื่อผมเท่านั้นแหละ พวกเพื่อนชั่วของผมก็เปิดปากปล่อยหมาออกมาอีกรอบ

“โห มึงทนได้ไงเนี่ย”

“แค่เรียกชื่อเฉยๆ ทำไมมันดูอ้อนจังวะ”

“น่ารักเหี้ยๆ”

“เป็นกูก็หลงอ่ะ”

“สรุปเอาน้ำล้างตีนสี่ที่นะครับคุณลูกค้า” ผมประชดก่อนจะเจ้ากี้เจ้าการสั่งน้ำให้พวกมันเหมือนๆ กันโดยไม่รอคำตอบให้เสียเวลา รู้แล้วว่าจุดประสงค์พวกแม่งไม่ได้อยู่ที่กาแฟเลยสักนิดเดียว

“ไปนั่งรอไป๊ เกะกะ” ผมโบกมือไล่อย่างรำคาญ พวกมันทำเป็นเบ้ปากใส่ ก่อนจะหันไปยิ้มแซวไอ้ตี๋อีกรอบกว่าจะยอมเดินไปนั่งโต๊ะใหญ่ที่ว่างอยู่ ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วหันมาหาไอ้ตี๋ที่มองอยู่ก่อนพอดี มือยังกำอยู่ที่ชายเสื้อผมสีหน้าดูลำบากใจ

ผมว่าผมรู้นะว่าเรื่องที่มันกำลังกังวลคืออะไร เลยยิ้มออกมาบางๆ พลางดึงมือที่จับอยู่ที่ชายเสื้อมากุมไว้ในขณะที่อีกข้างยกขึ้นมาลูบหัวคนตัวเล็กกว่าเบาๆ

“ตกใจอ่ะดิ” ผมเลิกคิ้วถามล้อเลียน แต่คนตรงหน้ากลับขมวดคิ้ว ยังไม่คลายความกังวล

“เพื่อนซันรู้แล้ว?”

“อือ” พยักหน้าพลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยระหว่างคิ้วที่ย่นเข้าหากันให้คลายลง
   
“ไม่เป็นไรเหรอครับ” เจ้าตัวคงรู้ว่าเผลอทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ถึงได้ยอมคลายคิ้วที่ขมวดแต่ยังไม่วายเอ่ยคำถามด้วยความไม่แน่ใจ
   
“เป็นดิ...” แกล้งตอบ ก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าของดวงตาเรียวเบิกตากว้าง มองผมอย่างตกใจระคนเป็นห่วงอย่างชัดเจน “มีแต่เพื่อนปากหมาอ่ะ เป็นห่วงแฟน”
   
“...”
   
“เนี่ย โดนแซวนิดเดียวก็หน้าแดงเป็นลูกเชอร์รี่แล้ว” ว่าพลางเลื่อนมือลงมาบีบแก้มใสที่ขึ้นสีระเรื่อตั้งแต่เมื่อกี้แรงๆ “ถ้าโดนมากกว่านี้ไม่เขินจนแก้มระเบิดเลยหรือไง”
   
ถ้าอยู่ในห้องแค่สองคนคงจะฟัดให้หายมันเขี้ยวสักที แต่นี่อยู่ร้าน ถึงตอนนี้ลูกค้าจะไม่เยอะก็เหอะ แต่ก็ต้องท่องนโมพุทโธห้ามใจไว้ ยิ่งมีไอ้พวกเพื่อนเวรนั่งมองอยู่ยิ่งอันตราย ขืนโชว์หวานต่อหน้ามีหวังโดนแซวไปอีกร้อยปี
   
“เลิกพูด แล้วไปชงกาแฟเถอะครับ” แต่จะทนไม่ได้ก็เพราะคนตรงหน้าทำเป็นตีหน้าเอือมใส่ แต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มเขินออกมาแบบน่ารักชิบหายนี่แหละ
   
แม่งเอ๊ย ถ้าจับจูบตอนนี้ แล้วโดนแซวร้อยปีจริงๆ ก็คุ้มไม่ใช่เหรอวะ

   




“ตกลงคืนนี้มึงไปกับพวกกูนะ” ยืนเป็นเพื่อนไอ้ตี๋เฝ้าเคาน์เตอร์ได้ไม่นาน ไอ้นายก็มาทำงาน ผมเลยถูกไล่ให้มานั่งคุยกับเพื่อนที่โต๊ะเพราะไอ้ตี๋เห็นว่านานๆ เพื่อนจะมาที่ร้านที แต่ไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังผลักผมลงหลุมพรางที่ไอ้พวกเพื่อนเวรสร้างไว้
   
ผมน่าจะเอะใจตั้งแต่มันแห่ขึ้นรถมาว่าเจตนาคงไม่ได้แค่ต้องการมาแซวผมกับไอ้ตี๋แน่ และตอนนี้ผมก็รู้กระจ่างชัดแล้วว่าเจตนาแอบแฝงของพวกมันคือต้องการชวนผมไปร้านเหล้า ฉลองเนื่องในโอกาสที่ผมกับไอ้ตี๋คบกัน
   
ตอแหลมากครับ อยากแดกเฉยๆ ก็พูดมา
   
“กูไม่ค่อยอยากว่ะ” ผมบอกตามตรง วันนี้โคตรเพลียเลย อยากเคลียร์โปรเจ็กต์ให้ได้ตามเป้าด้วย เพิ่งคุยกับอาจารย์มากำลังมีไฟ ไม่อยากให้ไฟมันมอดซะก่อนจะได้เริ่มทำอะไร

แล้วอีกอย่าง ถ้าผมไป ใครจะอยู่ช่วยไอ้ตี๋เฝ้าร้าน... เออ มีไอ้นายไง
   
แต่ไอ้นายไม่ใช่ผมไง เฝ้าร้านได้แต่เฝ้าไอ้ตี๋ไม่ได้ รายนั้นแม่งยิ่งชอบทำตัวน่ารักเรี่ยราดจนผมอยากจะขังไว้ในห้องให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
   
“ไม่อยากเหี้ยอะไร ติดเมียก็บอกมา” พอเห็นผมปฏิเสธไอ้เพื่อนตัวดีก็เบ้หน้าใส่ เอ่ยอย่างรู้สันดาน
   
“คุณเขาดุเหรอวะ มา เดี๋ยวกูขออนุญาตให้” ว่าจบก็ลุกขึ้นจากโต๊ะไปหาคนตัวเล็กที่ยืนเฝ้าอยู่หลังเคาน์เตอร์โดยที่สายตามองมายังกลุ่มผมเป็นระยะ ผมรีบลุกตามไปทันทีแต่ยังไม่ทันได้ค้านอะไรไอ้เพื่อนเวรก็เสนอหน้าถามไอ้ตี๋ไปก่อนจะถึงตัวซะอีก
   
“โชครับ ขอพาไอ้ซันไปกินเหล้านะ” ทำเสียงอ่อนเสียงหวานอ้อนไอ้ตี๋ต่อหน้าต่อตาผมเลย
   
“ครับ?” ไอ้ตี๋ทำหน้างง หันมามองผมเหมือนจะถามว่าเรื่องอะไร
   
“พอดีมันบอกว่าจะไม่ไปถ้าโชไม่อนุญาตอ่ะ”
   
“อนุญาตพ่อมึง!” ผมโวยและกำลังจะลากคอเพื่อนเวรที่ยืนเกะกะเคาน์เตอร์ออกไป แต่ยังไม่ทันไรเสียงของคนที่ตีหน้างงอยู่พักใหญ่ก็เอ่ยออกมา
   
“ไปเถอะครับ ผมไม่ได้ว่าอะไร” แถมมองผมตาใส เหมือนอนุญาตให้ไปจริงๆ
   
“ตี๋~” ผมครวญคราง แสดงสีหน้าว่าไม่อยากไปสุดๆ แต่คนที่เข้าใจดันเป็นไอ้นายที่หัวเราะพรืดออกมา ในขณะที่คนตรงหน้าผมยังตีหน้างง เหมือนไม่เข้าใจว่าผมงอแงอะไร
   
รั้งกันไว้หน่อยเถอะครับ ไหว้ล่ะ
   
“โอเค คุณเขาอนุญาตแล้วโว้ย ไปพวกมึง” ว่าจบก็ตวัดแขนกลับมาเป็นฝ่ายลากคอผมออกจากร้าน ในขณะที่พวกที่เหลือตามมาพร้อมเอ่ยพร้อมกันอย่างรู้งาน
   
“โชกุน ขอบคุณคร้าบ~”
   
นี่พวกมึงเป็นคณะตลกหรือไง

   
 ต่อให้ปฏิเสธให้ตาย สุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนมาส่งพวกมันที่ร้านอยู่ดี เพราะพวกแม่งวางแผนมาตั้งแต่แรกไงถึงได้พากันยัดมาในรถผมคันเดียว สุดท้ายก็ต้องรอส่งพวกมันกลับด้วยเพราะไม่มีใครมีรถสักคน 

แต่เพราะใช้ข้ออ้างเรื่องขับรถนี่แหละผมถึงรอดตัวไม่ต้องกินเหล้าได้ แค่นั่งคุยกับพวกมันเรื่อยเปื่อยตามประสาเด็กปีแก่ที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตมหาลัย ขุดเรื่องตั้งแต่รับน้องตอนปีหนึ่งขึ้นมาเล่าแล้วหัวเราะตลกโปกฮากันไปทั้งที่มันก็แทบจะไม่มีเรื่องใหม่ เป็นเรื่องเดิมๆ ที่พูดขึ้นมาในวงเหล้าเมื่อไหร่ก็ไม่เคยเบื่อสักที
   
“เดี๋ยวกูมานะ” ผมว่า ก่อนจะปลีกตัวออกมาจากวง
   
นั่งมาเพลินๆ จนตอนนี้ตีสามกว่าเข้าไปแล้ว ร้านเหล้าปิดไปตั้งแต่เที่ยงคืน แต่เพราะตรงที่เรานั่งเป็นส่วนเอาท์ดอร์ก็เลยนั่งต่อได้ ถึงแม้ร้านจะปิดไฟ และไม่ขายเครื่องดื่มแล้วก็ตาม ผมเดินออกมานอกร้านใกล้กับลานจอดรถพลางกดโทรศัพท์หาไอ้ตี๋ที่ป่านนี้คงจะกำลังปิดร้านอยู่
   
[ ครับ ] รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็รับ
   
“ปิดร้านเสร็จหรือยัง” ผมถามกลับไปพลางดูเวลา
   
[ เสร็จแล้วครับ ] ปลายสายตอบกลับมา

[ ซันเมาหรือเปล่า ห้ามขับรถนะ ] ผมหลุดยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินคำถามแสดงความเป็นห่วงเป็นใย

“ไม่ได้เมาครับ ไม่ได้กินเลย”

ปกติด้วยสันดานแล้ว ต่อให้กินเหล้า แต่ถ้าขับรถไหวผมก็มักจะกลับด้วยตัวเอง แต่อยู่ๆ วันนี้ผมกลับห้ามตัวเองไม่ให้กินได้ สาเหตุหนึ่งคงเพราะพรุ่งนี้ผมต้องเข้าคณะตอนบ่าย แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่ชัดเจนขึ้นมาในใจ... เป็นเพราะนึกถึงหน้าใครอีกคน
   
[ ดีแล้วครับ ] ยิ่งได้ยินน้ำเสียงโล่งอกแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกดีที่ตัวเองรู้จักยับยั้งชั่งใจ...

กลับไปกระดิกหางขอรางวัลสักหน่อยดีมั้ย
   
“แล้วนี่กลับยังไง” ผมถาม ที่โทรหาก็เพราะเป็นห่วงเรื่องนี้แหละ ดูเวลาแล้วผมคงกลับไปหาไม่ทันแน่ๆ 
   
เคยบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าถึงหอไอ้ตี๋จะใกล้ร้านแค่ไหน แต่ผมก็ไม่ชอบให้มันเดินกลับคนเดียว ช่วงก่อนจะคบกันผมถึงขั้นหาข้ออ้างด้วยการเอารถไปจอดไว้หอมัน ลามปามถึงขั้นหน้าด้านไปขออาศัยนอนโซฟาห้องคุณเขา จนกลายเป็นความเคยชินที่ต้องกลับพร้อมกันทุกวัน แต่พอคบกันข้ออ้างเหล่านั้นก็ไม่จำเป็น ผมเป็นห่วงอย่างเปิดเผยได้ อยากไปไหนผมก็ไปส่งได้ในฐานะแฟน

ถ้ารู้ว่าจะทำตามใจตัวเองได้แบบนี้ รู้งี้สารภาพรักไปตั้งนาน
   
[ นายไปส่งครับ ] เว้นวรรคไปพักหนึ่ง ปลายสายก็ตอบกลับมา

ตอนแรกคิดว่าคนดื้อจะตอบว่ากลับเอง แต่พอได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา... รู้ว่าผมเป็นห่วงอยู่สินะ

น่ารักว่ะ ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะจับฟัดสักที

“โอเค” ผมรับคำสั้นๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยคำเดียวกัน

[ โอเคครับ ]

แต่ยังไม่วางสาย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีอีกหนึ่งคำถาม...

โกหกอ่ะ จริงๆ ไม่รู้หรอก แต่กำลังรอให้มันถาม

[ แล้ว... จะกลับเมื่อไหร่ครับ ]

เพราะแบบนั้นถึงได้หลุดยิ้มกว้างกว่าเดิมตอนที่ได้ยินคำถามที่ต้องการ

ให้ตาย อยากกลับไปหาตอนนี้เลยได้มั้ย

“เดี๋ยวกลับแล้ว ขอไปส่งเพื่อนก่อนนะ”

[ โอเคครับ ]

“โอเค” เราพูดคำเดิมซ้ำขณะถือสายไว้ ยังไม่มีใครยอมวาง ฟังเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายผ่านสายโทรศัพท์สักพัก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เหมือนโทรจีบกันเลยว่ะ” ผมพึมพำพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย

ก็ไม่รู้จะเขินทำไมเหมือนกัน ไม่ใช่ครั้งแรกที่โทรคุยกันสักหน่อย แต่... ไม่รู้ดิ มันเป็นความรู้สึกประหลาดดีที่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เป็นสถานการณ์ที่... สร้างความคิดถึงในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งผมไม่รู้จะอธิบายยังไง

รู้แต่ว่ามันทำให้หัวใจอุ่นวาบขึ้นมา และอยากจะวาร์ปไปหาซะเดี๋ยวนี้เลย

[ วางได้แล้ว ] ต่างคนต่างเงียบไปอีกครั้งก่อนปลายสายจะเอ่ยกลั้วหัวเราะ

[ ขับรถดีๆ นะครับ ] ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะวางสายไป สงสัยรู้ว่าถ้ารอผม คงฟ้าสว่างนู่นแหละกว่าจะได้วาง

ผมยิ้มค้างกับตัวเองอยู่สักพัก ก่อยจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าและกำลังจะเดินกลับเข้าร้านไปตามไอ้พวกเพื่อนเวร แต่พอหมุนตัวกลับมาก็ต้องชะงักเมื่อพบว่ามีใครบางคนยืนกอดอกมองอยู่ด้านหลัง เจ้าของใบหน้าหวานยิ้มบางๆ ออกมาทันทีที่ผมหันไปสบตา

“ไงซัน”

“พราว?” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเธอในที่แบบนี้ แถมเวลานี้อีกต่างหาก

นับตั้งแต่หลังงานเลี้ยงส่งวีคืนนั้น ผมก็ไม่ได้เจอพราวอีกเลย ไม่ได้ไปหา ไม่ได้ติดต่อ เหมือนเราต่างรู้กันดีว่าถึงเวลาต้องแยกย้าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะมองหน้ากันไม่ติด เพราะเราไม่ได้จากกันด้วยไม่ดี ตรงกันข้าม ผมกลับคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงประเภทที่ไม่น่ารำคาญ ออกจะตรงไปตรงมาสามารถเปิดใจคุยกันได้หลายเรื่องด้วยซ้ำ ต่างจากผู้หญิงคนหลายๆ คนที่ผมเคยคลุกคลี

“ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ” ร่างบางอันคุ้ยเคยเอ่ยทักทาย พร้อมกับสาวเท้าเข้ามาหาในระยะที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์ที่อยู่ในลมหายใจ

“พราวเมาเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว เอ่ยถามออกไป

“กินไปนิดหน่อยน่ะ” เสียงหวานหัวเราะเบาๆ

“แล้วนี่มากับใคร” ผมเปลี่ยนคำถาม มองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นใครที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักพราวเลย เธอมองตามสายตาผม ก่อนจะยักไหล่ท่าทางไม่ใส่ใจ

“มากับเพื่อน แต่กลับกันหมดแล้ว ซันล่ะ?”

“มากับเพื่อนเหมือนกัน” ผมตอบ ขมวดคิ้วพลางโน้มตัวมองคนตรงหน้าในระดับสายตา

ให้ตาย ตาเยิ้มขนาดนี้ไม่ได้กินไปนิดเดียวแล้วมั้ง

“พราวจะกลับยังไง ให้เราโทรเรียกใครมั้ย” แต่แทนที่จะตอบคำถาม เจ้าของดวงตาหวานเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแตะหน้าผม เกลี่ยเบาๆ แล้วยิ้มกว้าง

“ซันนี่ ยังน่ารักเหมือนเดิมเลย” 

ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำพูดของเธอ แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงเป็นแค่คำพูดเรื่อยเปื่อยของคนเมา แล้วถามย้ำอีกครั้ง

“ให้เราเรียกใครให้มารับมั้ย?”

มองหน้าผมอยู่พักใหญ่ พราวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้างอแง “ไม่เอา...” 

ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ในขณะที่พราวหัวเราะออกมาอีกครั้ง ดวงตากลมโตจ้องหน้าผมนิ่งด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย พร้อมกับใบหน้าหวานที่เคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นจนจมูกแทบจะแตะกัน ขณะที่นิ้วเรียวเกี่ยวกุญแจรถของตัวเองออกมาจากกระเป๋า แกว่งไกวจนได้ยินเสียงพวงกุญแจกระทบกันข้างหู แล้วกระซิบเบาๆ

“พราวอยากให้ซันไปส่งพราว”






ผมตัดสินใจโยนกุญแจรถตัวเองให้เพื่อนที่นั่งคุยกันจนสร่างแล้ว ส่วนตัวเองก็ขับรถพราวมาส่งเธอที่หอ อย่างที่บอกว่าต่อให้เราไม่ได้ติดต่อกัน แต่ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเธอได้ เพราะในใจก็ยังเป็นห่วงในฐานะเพื่อนอยู่ดี

ตอนแรกผมกะว่าส่งเธอถึงหอผมก็จะกลับ แต่เพราะพราวบอกว่ามีของของผมที่เคยลืมไว้ บวกกับสภาพเจ้าตัวที่ดูแล้วน่าเป็นห่วงว่าจะไม่สามารถเดินถึงห้องได้ ผมเลยตัดสินใจขึ้นมาส่ง

“ไหวมั้ยเนี่ย” ผมถามกลั้วหัวเราะ ขณะเดินตามร่างบางไปตามทาง ไม่ได้เข้าไปประคอง แต่ก็คอยระวังหลังให้ เผื่อว่าคนที่เดินโซเซบนรองเท้าส้นสูงจะล้มลงมา พราวหัวเราะเบาๆ พยุงตัวเองเดินต่อจนถึงประตูห้องอันคุ้นเคย

ไขประตูเข้ามาได้เธอก็สลัดรองเท้าส้นสูงออกก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงที่โซฟาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เวียนหัวชะมัด”

“ไหนบอกดื่มไปนิดเดียวไง” ผมว่าพลางเดินไปที่ครัว รินน้ำมาให้เจ้าของห้องดื่มโดยไม่ถามอะไร พราวมองแก้วน้ำที่ผมวางไว้ให้นิ่งๆ ไม่ยอมหยิบไป ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา

“ซัน...” เอ่ยชื่อผม แต่ไม่ยอมพูดอะไร เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยสายตาอ่านยากอีกครั้ง จนผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเรามันเปลี่ยนไป ถึงได้ผละออกมา มองหาสิ่งที่พราวบอกว่าลืมไว้

“ไหนเหรอ ของของเรา”

พราวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา “อยู่ในห้องนอน”

ผมพยักหน้า พลางเดินเข้าไปในห้องนอนตามที่บอก ก็เห็นว่าบนโต๊ะข้างเตียงมีนาฬิกาข้อมือของตัวเองวางทิ้งไว้ จึงเดินไปหยิบมาใส่ ก่อนจะกวาดสายตามองหาอย่างอื่นแต่ไม่เห็นอะไรที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นของตัวเองอีก เลยหันไปถามเจ้าของห้องเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินตามมา

“มีแค่นี้เหรอ...”

แกรก

แต่พอหันกลับมาก็เห็นว่าพราวกำลังปิดประตูห้องนอนพอดี

“พราว?” เสียงล็อกประตูทำให้ผมขมวดคิ้ว เรียกชื่อเธอออกไป

“คืนนี้ค้างที่นี่นะ” แต่ร่างบางกลับเดินเข้ามาประชิดตัวสวมกอดผมไว้พลางเงยหน้ากระซิบจนลมหายใจร้อนๆ ละต้นคอ

มันเป็นสัญญาณที่เราต่างรู้กันดีว่าหมายถึงอะไร...

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงยิ้มให้เธอและปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป แต่ตอนนี้คงไม่ได้

“พราว” ผมเรียกชื่อเธออีกครั้ง ดันไหล่ร่างบางให้นั่งลงบนเตียงแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้เรามีแฟนแล้ว”

ถึงข่าวลือเรื่องผมกับไอ้ตี๋จะเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์แค่ไหน ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้ บางทีพราวอาจจะไม่เคยได้ยินก็ได้ ถึงได้แสดงท่าทีแบบนี้ออกมา

“ว่าแล้วเชียว” แต่ผมคงเข้าใจผิด พอได้ยินแบบนั้นพราวก็หัวเราะออกมา เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแล้วเอ่ยคำถามที่ดูเหมือนเธอจะค้างคาใจตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันหน้าร้านเหล้า “คนที่ร้านกาแฟนั่นเหรอ”

“อืม” ผมยอมรับตามตรง พราวขมวดคิ้วมองผมสีหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ดูสับสนวุ่นวายในคราวเดียวกัน

มันคงแปลกน่าดูที่ผมเคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอย่างเธอ แต่อยู่ๆ กลับเปลี่ยนใจไปคบกับผู้ชาย

“ตกลงว่าซันเป็นเกย์จริงๆ เหรอ?”

ผมหัวเราะพลางยักไหล่ “ก็คงงั้น”

เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอให้ได้อยู่ข้างๆ ไอ้ตี๋ก็พอ

“เราพิสูจน์ได้มั้ย” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกฉีกยิ้มร้าย ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาดึงใบหน้าผมให้โน้มลงไป

“อย่าดีกว่า” แต่ผมก็ขืนตัวไว้ เอ่ยขำๆ ก่อนจะเฉไฉพาตัวเองออกมาอยู่ในระยะปลอดภัย “ตกลงว่าของที่ลืมไว้มีแค่นาฬิกาอย่างเดียวใช่มั้ย?”

“นานแค่ไหนแล้ว?” แต่แทนที่จะตอบ พราวกลับขมวดคิ้ว เอ่ยถามคล้ายกับมันเป็นโรคร้ายแรงบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่สามารถตอบได้จึงเงียบไป พราวจึงมองผมนิ่ง แค่นหัวเราะ ก่อนจะถามใหม่

“งั้นเปลี่ยนเป็นถามว่าซันรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ดีมั้ย?”

“พราว”

“ตั้งแต่คุยกับพราวแล้วใช่มั้ย” เธอแค่นหัวเราะออกมาอีกครั้ง ยกมือขึ้นมากุมขมับพลางส่ายหน้าไปมา “น่าสมเพจริงๆ”

“...” ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ในเมื่อสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง... ถ้าสืบสาวกลับไป ผมรู้ตัวดีว่าผมมีใจให้ไอ้ตี๋มาตั้งนาน... อาจจะก่อนคุยกับพราวด้วยซ้ำ

“นอกจากจะใช้ประชดวีแล้ว ยังใช้พราวเพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วย... ใช้กันซะคุ้มเลยนะซัน” เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ แต่แววตาไร้ความขบขัน

“ขอโทษนะ” ผมได้แต่พูดแค่นั้น รู้ดีว่าการกระทำของตัวเองมันไม่ต่างจากที่เธอพูดนัก

จริงอยู่ที่เรื่องวีมันเป็นการตกลงปลงใจร่วมกัน แต่หลังจากนั้น... หลังจากที่ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรกับวีแล้ว ผมกลับยังไปมาหาสู่กับพราว เพียงเพราะต้องการพิสูจน์ตัวเอง

ต้องการยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นเกย์ ต้องการรู้ว่าความจริงแล้วผมกำลังรู้สึกยังไง... และมันก็ได้ผล เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับพราว ผมกลับยังนึกถึงแต่หน้าไอ้ตี๋ แถมมีบางครั้งบางที ที่ผมมาหาเธอ เพียงเพราะต้องการจะหนีความรู้สึกตัวเองที่ทวีขึ้นทุกวัน... ไม่ต่างจากการหลอกใช้เธอ 

มันโคตรจะเลวที่ผมทำแบบนั้น แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนแล้วจริงๆ 

“มันแย่ตรงที่ ต่อให้รู้ตัวว่าถูกหลอกใช้... พราวก็เกลียดซันไม่ลงอยู่ดี” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกแค่นยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ดวงตากลับทอประกายบางอย่างที่ผมไม่อาจเข้าใจ

คล้ายกับจะตัดพ้อ แต่ก็ดูร้ายกาจอย่างยากจะอธิบาย

“งั้นพราวขอทำให้ซันเกลียดพราวแทนแล้วกัน” ผมยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเธอเอ่ยประโยคนั้นออกมา พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นมาให้ตรงหน้า

“เฮ้ย!” แต่เมื่อเห็นหน้าจอที่ค้างอยู่ผมก็เบิกตากว้าง ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ คว้าโทรศัพท์มาถือไว้เองเพื่อดูให้แน่ใจ ว่าหน้าต่างแชทของแอพพลิเคชั่นไลน์ เป็นชื่อแอคเคาท์และรูปโปรไฟล์ของคนที่ผมคิดจริงๆ

มันคือไลน์ของไอ้ตี๋

“ทำบ้าอะไรเนี่ย!” แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ผมตกใจจนขึ้นเสียง ไม่ใช่เรื่องที่พราวมีไลน์ไอ้ตี๋ได้ยังไง แต่เป็นเพราะข้อความ
ล่าสุดที่เธอเพิ่งส่งไป... รูปถ่ายเพียงรูปเดียวที่อยู่ในกล่องสนทนา

รูปที่ผมยืนใส่นาฬิกาอยู่ตรงหัวเตียงของพราว

ถ้าหากดูเผินๆ มันคงเป็นเพียงรูปถ่ายธรรมดาที่ไม่น่าสงสัยอะไร ไม่ได้ล่อแหลมหรือดูอันตรายเลยสักนิด แต่เพราะผมรู้ดีว่าเจตนาของคนส่งคืออะไร ถึงได้รู้สึกร้อนใจขึ้นมา

และมันยิ่งน่าหวั่นใจ เมื่อเห็นว่ามุมขวาของรูปขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว แต่กลับไม่ตอบอะไรกลับมาแม้แต่ข้อความเดียว





--------------------------------------------------
กลัวว่าจะเบื่อความหวานกัน เลยหาอะไรมาตัดเลี่ยนให้ค่ะ 5555
เข้าสู่ครึ่งหลังของพาร์ทหลงตะวันแล้วล่ะ (คิดไว้ว่าน่าจะมีประมาณ12ตอนค่ะ)
ใกล้จบเต็มทีแล้วค่ะ เริ่มใจหายนิดๆ เนอะ  :hao5:
ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้อีกครั้งนะคะ
ทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ยังไงก็ช่วยอยู่ด้วยกันไปจนจบเลยนะคะ
ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณมากๆ ค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 22:23:01 โดย makok_num »

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ใจพี่
อย่าเกิดอะไรขึ้นเลย
พราวนี่ร้ายมาก
ความพระเอกของซันได้ทำร้ายตัวเองแล้ว เฮ้อ
บางคนก็ไม่ควรไปดีด้วยจริงๆนะ

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
น้องตี๋ของพี่ จะคิดมากแค่ไหนนะ จะร้องไห้รึป่าว นังพราวทำไมหล่อนไม่จบห่ะ!!

ออฟไลน์ 05th_of_06th

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จบแบบนี้มันน่าตีๆๆๆๆๆๆๆ 

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
โอ้ยยยยยยยยย
ซันรีบเลย รีบกลับบ้านไปเคลียร์กะตี๋เลย
ป่านนี้คิดมาก นอยด์แตกไปแล้วมั้งเนี้ย

อยากอ่านตอนต่อไปมากกกกก
อยากเหนเค้าง้อกันแบบหวานๆ 5555




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ความเป็นคนดีนี้ ไงล่ะคะะะะะะ หึ

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ๊ยยยย พราววววว นังข่นเลววววว
ตี๋ต้องสตรองนะลูกกกก  :hao5:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 7

   
ผมได้แต่ยืนตัวชา สมองไม่ยอมสั่งการอะไรขณะมองพราวเอื้อมมือมาดึงโทรศัพท์มือถือของตัวเองกลับไป ริมฝีปากเคลือบลิปสติกผุดยิ้มน้อยๆ คล้ายกับพอใจในปฏิกิริยาของผม ก่อนจะเอ่ยออกมา
   
“ขอโทษนะซัน”
   
“...”
   
“ดูเหมือนเรื่องนี้พราวจะได้รับบทเป็นตัวร้ายน่ะ” ผมจ้องหน้าเธอนิ่ง นานพอจะทำให้รู้ว่าการกระทำ คำพูด และความรู้สึกของคนตรงหน้ามันต่างกัน
   
เธอเหยียดยิ้มและใช้คำพูดร้ายกาจ แต่แววตากลับดูหม่นเศร้าและกำลังสั่นระริกด้วยความรู้สึกบางอย่างอย่างสังเกตได้
   
“พราว” ผมถอนหายใจ ยังคงตกใจและงุนงงจนต้องเงียบไปสักพักเพื่อคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไร
   
แต่ดูเหมือนมันจะยากขึ้นเมื่อในหัวมีแต่ภาพของอีกคน... ป่านนี้ไอ้ตี๋จะเป็นยังไง กำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมเห็นรูปแล้วถึงไม่ตอบอะไรกลับมา ไม่ถามสักคำว่าคืออะไร น่าจะโทรหาผม ถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือโวยวายออกมาบ้างก็ยังดี... ไม่ใช่เงียบไปแบบนี้
   
อยากกลับไปหาแล้ว อยากอธิบาย แต่รู้ดีว่ายังทำไม่ได้ถ้าตรงนี้ยังไม่เคลียร์
   
“ทำแบบนี้ทำไม” สุดท้ายก็ได้แต่ถามคำถามโง่ๆ ออกไปทั้งที่คำตอบมันก็ออกจะทนโท่ว่าเธอต้องการอะไร
   
เธอกำลังพยายามสร้างความเข้าใจผิดระหว่างผมกับไอ้ตี๋ ต้องการให้เราทะเลาะกัน
   
พราวแค่นหัวเราะ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู

“ถือซะว่าเอาคืนกับสิ่งที่ซันทำแล้วกัน” เธอว่าพลางเปิดประตูเพื่อไล่กัน “ทีนี้ซันก็ไปได้แล้ว”

ผมถอนหายใจ เดินออกจากห้องนอนมาโดยไม่อิดออดอะไร แต่ก็ไม่วายหันกลับไปมองร่างบางอีกครั้ง เริ่มเข้าใจว่าทำไมเธอเลือกทางแบบนี้... ซึ่งมันก็เหมาะกับคนอย่างพราวดี

บางทีการแตกหักไปเลย อาจจะทำให้สบายใจมากกว่าการถนอมน้ำใจ จนปล่อยให้อะไรมันคาราคาซังก็ได้

“รู้ใช่มั้ยว่าทำแบบนี้แล้วจะกลับไปเป็นเพื่อนกันไม่ได้” ผมถาม ขณะที่พราวนิ่งไป ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา

“พราวไม่ได้อยากเป็นเพื่อนซัน”

“เราจะมองหน้ากันไม่ติด ไม่สิ... ต้องบอกว่าหน้าพราว เราก็ไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ”

คราวนี้เธอเม้มปาก สีหน้าดูกล้ำกลืนแต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “อืม”

ผมขมวดคิ้ว จ้องเธอนิ่งอีกครั้ง แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“ถ้าพราวต้องการแบบนั้นก็ตามใจ”

น่าแปลกเมื่อทบทวนกับตัวเองแล้วผมกลับพบว่าตัวเองไม่ได้เกลียดพราวอย่างที่เจ้าตัวต้องการ... ไม่ได้โกรธด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะผมเห็นด้วยกับเธอว่าผมควรได้รับบทเรียนบ้างกับสิ่งที่ตัวเองทำ

และอีกอย่าง... ผมคิดว่าผมมั่นใจ ว่ามันจะไม่เป็นไร

“แต่รู้มั้ยว่าสิ่งที่พราวทำมันไม่มีประโยชน์อะไร”

สิ่งที่เธอทำไม่มีทางส่งผลอะไรระหว่างเรา
   
“ต่อให้รูปนั้นทำให้เราถูกเข้าใจผิดจริง เราก็จะผ่านไปได้”
   
ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนเหมือนกัน แค่รู้สึกว่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่...

“ถ้าเป็นโช... ยังไงก็เข้าใจ”

“...”

“ถ้าเป็นโชกุน ต้องรู้แน่ ว่าเราไม่ได้มีใคร”

“...”

“มันมีเหตุผลอีกเป็นร้อยเป็นพันเลยที่จะทำให้เรากับโชเลิกกัน... แต่ไม่ใช่การนอกใจ”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดทั้งหมดนั่นออกไปด้วยสีหน้าแบบไหน ถึงได้ทำให้พราวนิ่งไป ก่อนที่สุดท้ายเธอจะหัวเราะออกมา

“ซันนี่... น่ารักจริงๆ”






จากที่คิดว่าจะยืมรถพราวกลับหอ สุดท้ายผมก็ต้องเปลี่ยนใจโทรเรียกเพื่อนมา โชคดีที่พวกมันยังไม่กลับถึงได้แวะมารับผมได้โดยไม่เสียเวลา พวกมันสงสัยน่าดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้บอกอะไร ตลอดทางเอาแต่จ้องโทรศัพท์มือถือตัวเอง มองเบอร์ที่ไม่กล้าโทรออก สลับกับหน้าจอแชทที่ไม่กล้าพิมพ์อะไรออกไปอยู่อย่างนั้นด้วยความร้อนใจ

คำแก้ตัวมากมายผุดขึ้นมาในสมอง แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง ถ้าผมแสดงออกไปตอนนี้ก็เหมือนร้อนตัว รู้ว่าต้องรอคุยกันตอนเจอหน้าถึงจะเข้าใจ แต่ตอนนี้นี้อึดอัดชิบหายเลย

“ไอ้เหี้ยซัน มึงดูเครียดมาก ไม่เป็นไรแน่นะ” น้ำเสียงแสดงความห่วงใยดังขึ้นมาจากคนขับ

“ไม่เป็นไร” ผมตอบ ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านั้น ขณะเงยหน้าขึ้นมองถนน สลับกับโทรศัพท์ตัวเองอีกครั้ง
อย่างที่บอกว่าเห็นพวกมันใกล้สร่างเมากันหมดแล้วผมถึงยอมโยนกุญแจรถให้ และตอนนี้ผมก็ไม่ได้ทำหน้าที่ขับรถ เพราะถึงจะไม่ได้ดื่ม แต่ตอนนี้ผมไม่มีสมาธิพอที่จะโฟกัสกับถนนตรงหน้าแน่นอน โชคดีที่ถนนมันโล่งมากจึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีรถก็เลี้ยวเข้ามาตรงทางเข้าหอจนได้

“กูไปก่อนนะ ขับรถดีๆ” ผมแทบจะกระโดดลงจากรถทันทีทั้งที่ยังจอดไม่สนิท บอกลาพอเป็นพิธีแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าหอมา

สมองผมกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง เมื่อพยายามหาคำอธิบาย... ก่อนหน้านี้ยังทำเป็นปากดีว่าไอ้ตี๋จะต้องเข้าใจอยู่เลย แต่ตอนนี้แม้แต่ประโยคเริ่มเรื่องผมยังคิดไม่ได้

ถ้ามันโกรธจะทำยังไง ถ้าโดนโวยวายใส่จะต้องพูดอะไร หรือถ้ามันร้องไห้...

บ้าเอ๊ย ห้ามร้องไห้เชียว

อะไรก็ได้ แต่อย่าร้อง ผมเคยสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้มันเสียใจ และผมไม่อยากผิดสัญญาไวขนาดนี้

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งร้อนใจ รีบสาวเท้าไปจนถึงหน้าห้องอย่างรวดเร็วก่อนจะไขประตูเข้าไป ตอนแรกคิดว่าจะถูกล็อกจากข้างในอีกชั้นเสียอีก แต่ผิดคาดที่ผมกลับเปิดประตูเข้ามาอย่างง่ายดาย

และยิ่งผิดคาดไปกันใหญ่ เมื่อเข้ามาจนถึงห้องนอนกลับพบว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน

“โช...” แต่ยังไม่ทันจะได้มองหา คนที่คิดว่าควรจะอยู่บนเตียงกลับเดินออกมาจากอีกทาง

คนตัวเล็กเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพเพิ่งอาบน้ำมีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันอยู่ที่เอว ร่างกายผอมบางและเส้นผมหนาที่ถูกผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมอยู่มีหยดน้ำเกาะพราว

แล้วอยู่ๆ คำพูดที่เคยอยู่ในหัวก็หายไป ผมได้แต่ยืนนิ่ง รอดูปฏิกิริยาของอีกคน คิดไปต่างๆ นานาว่ามันจะพูดถึงเรื่องนั้นยังไง และผมควรจะแก้ตัวยังไง ในขณะที่เจ้าของดวงตาเรียวกำลังไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า หยุดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งแถวอกซ้ายสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้งแล้วยิ้มบางๆ

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

“...” ผมชะงัก นั่นไม่ใช่คำถามที่คิดว่าจะได้ยิน

ไม่โวยวาย ไร้ปฏิกิริยาที่บ่งบอกว่ากำลังโกรธขึ้งใดๆ... แต่ก็ใช่ว่าผมจะมองไม่ออกว่าในแววตามีอะไรบางอย่างที่ปิดบังไว้

“ซันนอนก่อนก็ได้นะ ผมขอเช็ดผมก่อน” ว่าพลางเบือนหน้าหนี เดินเลี่ยงผมเข้าไปในห้องนอนเพื่อใส่เสื้อผ้า

ผมยังคงยืนอยู่หน้าประตู มองเจ้าของแผ่นหลังบอบบางที่กำลังค้นตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงผ้ากับเสื้อยืดตัวโคร่งเพราะเป็นของผมขึ้นมาใส่ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วเดินเข้าไปสวมกอดคนตัวเล็กไว้จากด้านหลัง

“ซัน?”

นึกไปถึงคราวก่อนที่เราความคิดเห็นไม่ตรงกัน เรื่องสายตาของคนภายนอกที่ทำให้เราปั้นปึ่งใส่กัน แล้วก็เข้าใจว่าทำไมไอ้ตี๋ถึงทำแบบนี้...

เพราะไม่อยากชวนทะเลาะ ไม่อยากผิดใจกัน ถึงได้ทำเป็นปิดหูปิดตาสินะ

บ้าชะมัด

“ทำไมไม่พูดอะไรสักคำ” ผมพึมพำ ซุกหน้าลงกับไหล่บางพลางรัดอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม “แล้วแบบนี้จะอธิบายได้ยังไง”
คำพูดมากมายในหัวที่ผมเตรียมไว้ กลายเป็นหมดความหมายไปหมดเมื่อมันไม่ยอมถามอะไร คนในอ้อมกอดเงียบไปนาน ก่อนจะเอียงหน้ากลับมาถาม “หมายถึงอะไรครับ”

ยังจะมาทำไขสืออีก น่าตีชิบ

ผมถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง ก่อนจะผละอ้อมกอดออก จับคนตัวเล็กให้หมุนกลับมาเผชิญหน้า

“เรื่องพราว” คราวนี้ไอ้ตี๋เบิกตากว้างขึ้นมาทันทีที่ผมเป็นฝ่ายพูดออกไปเอง “เค้าส่งรูปมาให้ใช่มั้ย”

คนตรงหน้ากะพริบตาปริบๆ มองผมนิ่งสักพักก่อนจะเริ่มขมวดคิ้ว “รู้ด้วยเหรอครับ”

“อืม” ผมตอบ ก่อนจะทำสีหน้ากระเง้ากระงอดใส่ “ทำไมเห็นแล้วถึงไม่ว่าอะไรเลย”

“ผม...” เว้นวรรคไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจพลางเดินไปนั่งบนเตียงแล้วเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ผมไม่รู้จะพูดอะไร”

ก่อนที่แววตาจะเริ่มสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่ผมคิดไว้
   
“ผมกลัว...” แล้วสุดท้ายก็สารภาพสิ่งที่คิดออกมาตามตรง “ถ้ามันมีอะไรมากกว่ารูปที่ส่งมาจะทำยังไง”

“โช” ผมเรียก ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆ จับใบหน้าให้หันมาสบตาแล้วมองด้วยสีหน้าจริงจัง “มันไม่มีอะไร”

“แล้วไปหาเธอทำไมครับ” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว มองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่ได้ไปหา แค่บังเอิญเจอกัน”

ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ดูสับสนจนผมขมวดคิ้วตาม “แต่เธอบอกว่าซันไปหา”

“ฮะ?” ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้ง จับไหล่บางให้หันมามองหน้ากันตรงๆ เพื่ออธิบาย “ไม่ได้ไปหา แค่บังเอิญเจอกันจริงๆ” ย้ำคำพูดเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม

“พราวเมา ก็เลยขับรถไปส่งที่ห้อง แค่นั้นเอง”

“ต้องเข้าไปถึงห้องนอนเลยเหรอครับ”

“แค่ไปเอานาฬิกา นี่ไง” ผมชูนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมา ไอ้ตี๋มองตาม แต่สีหน้าไม่บ่งบอกอะไร

ผมได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ เพราะไม่รู้จะทำยังไงคนตรงหน้าถึงจะเข้าใจ ยิ่งมันนิ่งแบบนี้ผมยิ่งเดาใจไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไร กลัวว่ามันจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“โช กำลังคิดอะไรอยู่ บอกได้มั้ย” สุดท้ายผมก็ทนความอึดอัดไม่ไหว เว้าวอนออกมาตรงๆ

“เชื่อที่พูดบ้างมั้ย กำลังโกรธอยู่หรือเปล่า ช่วยบอกที” ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม พลางยกมือขึ้นมาสางผมเปียกๆ ที่ลู่ลงมาปรกหน้าออกไป ก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงไปบนหน้าผากใส

“อย่าเก็บไว้ในใจ” กระซิบเบาๆ แล้วก้มหน้าลงมาสบตาอีกครั้ง “ซันไม่อยากให้โชระแวง”

ถ้าต้องคบกันโดยที่อีกฝ่ายอยู่ในความไม่เชื่อใจ ไม่สบายใจ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะคบกัน

ไอ้ตี๋ขมวดคิ้วมองผม เม้มปากท่าทางเหมือนกำลังไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา “ผมถามได้มั้ยครับ”

ผมเลยยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า

“ซันคบกับผมเพื่อประชดใครหรือเปล่า”
   
“หมายความว่าไง?”
   
ไอ้ตี๋ชะงักไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจ “ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าซันนอนกับเธอเพื่อประชดแฟนเก่า ให้ผมระวังไว้”
   
“หา?”
   
“จริงหรือเปล่าครับ”
   
ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ตอนพราวเอาไลน์ให้ดูไม่มีข้อความพวกนี้ หมายความว่าเธอเพิ่งส่งมาทีหลังงั้นเหรอ
   
ให้ตาย ร้ายชะมัด

นี่กะจะทำให้มองหน้ากันไม่ติดจริงๆ เลยใช่มั้ย
   
“ไม่จริง” แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอธิบาย “กับพราวมันเป็นแบบนั้น... แต่ตอนนี้ไม่ใช่”
   
รู้เลยว่ากรรมตามสนองมันเป็นยังไง เคยใช้ความรู้สึกเป็นเครื่องมือ แล้วตอนนี้ก็กำลังถูกเล่นงานด้วยการใช้ความรู้สึกเหมือนกัน
   
“เรื่องวีมันจบไปแล้ว จบไปตั้งนานแล้ว” ผมยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเคยพูดไว้อีกครั้ง “เรื่องพราวก็เหมือนกัน ตอนนี้มันจบแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครแล้วทั้งนั้น” พูดอย่างจริงจังเพื่อให้มั่นใจ แทบจะอ้อนวอนด้วยซ้ำ เพราะถ้ามันไม่เชื่อ ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

ลุ้นจนเผลอกลั้นหายใจ เมื่อมันมองหน้าผมนิ่ง แววตายากจะอธิบาย ก่อนที่สุดท้ายจะถอนหายใจเบาๆ พลางจ้องผมกลับด้วยสายตาจริงจังไม่แพ้กัน

“ซัน... ขอโทษนะที่ผมไม่มั่นใจ” ดวงตาเรียวคล้ายจะปะปนด้วยความรู้สึกผิดและตัดพ้อในคราเดียว “ผมควรจะเชื่อใจซันมากกว่านี้ แต่ว่า มันก็อดสงสัยไม่ได้”
   
“ไม่เป็นไร” ผมหลุดหัวเราะ เมื่อดูเหมือนอะไรๆ จะเริ่มคลี่คลาย ถึงจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ดีแล้วที่มันยอมฟัง 

“สงสัยอะไรก็ถาม โอเคมั้ย” ผมบอกพลางจับผ้าขนหนูคลุมหัวเปียกๆ แล้วเช็ดให้เบาๆ

ผมไม่อยากให้เราเลิกกัน เพราะงั้นถ้าความเข้าใจผิดครั้งนี้ทำให้ความเชื่อใจลดลงจริง สิ่งที่ผมทำได้ก็คงมีแค่พยายามสร้างมันขึ้นมาใหม่เท่านั้น... แต่บอกแล้วไงว่าผมโชคดีที่ไหนที่คนข้างๆ เป็นไอ้ตี๋

คนที่พร้อมจะเข้าใจผม ไม่ว่าจะเรื่องอะไร
   
“โอเคครับ” หลุดยิ้มกว้างกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ไม่นานก็ตีหน้ามุ่ย ยื่นมือออกมาตรงหน้าผม “งั้น... ผมเช็กโทรศัพท์ได้มั้ย”
   
ผมหัวเราะอีกรอบ ก่อนจะควักโทรศัพท์ออกมาปลดล็อกแล้วส่งให้ทันทีด้วยความบริสุทธิ์ใจ 
   
ไอ้ตี๋เลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างชั่งใจนิดหน่อย แต่ก็หยิบโทรศัพท์ แล้วขยับไปนั่งพิงหัวเตียงสวมบทบาทแฟนขี้หึงที่กำลังแอบเช็กโทรศัพท์แฟน ผมหัวเราะอย่างเอ็นดู ก่อนจะขยับตามไปนั่งข้างๆ ลอบอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตักขณะที่มันกำลังเคร่งเครียดกับการเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ
   
ผมยืดตัวเกยคางลงบนหัวคนที่เอนร่างลงมาพิงบนตัวผมอย่างสบาย มือสองข้างเช็ดผมให้เจ้าตัวที่ดูเหมือนว่าจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเพิ่งสระผมมา มองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองก็พบว่าถูกกดเข้าแอพลิเคชั่นไลน์เป็นอย่างแรก เพราะมันรู้ว่าเป็นช่องทางที่ผมใช้ติดต่อใครต่อใครมากกว่าแอพอื่นๆ นิ้วเรียวเลื่อนผ่านแชทล่าสุดที่ส่วนใหญ่เป็นไลน์กลุ่มที่ผมไม่ได้สนใจจนขึ้นแจ้งเตือนรวมกันเป็นร้อยๆ ข้อความ
   
เดาได้ไม่ยากว่าไอ้ตี๋คงกำลังเลื่อนหาแชทของผมกับพราว แต่มันตกลงไปไกลทีเดียว เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้ติดต่อกันมานาน
   
“อันนี้เหรอครับ” แต่พอค้นเจอดันหันกลับมาถามกันด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ
   
เป็นการเช็กโทรศัพท์ที่โคตรจะไม่มีความน่ากลัว นี่ถ้าผมคุยกับคนอื่นจริงแล้วลบแชทก็รอดตัวแล้วไม่ใช่หรือไงวะ
   
เจ้าของใบหน้าใสก้มหน้าก้มตาเลื่อนโทรศัพท์ผมอีกครั้งเมื่อผมพยักหน้า ในขณะที่ผมเปลี่ยนมาเกยคางบนไหล่ หยุดเช็ดผมแล้วใช้แขนสองข้างลงมากอดเอวบางไว้แทน 
   
“ไม่น่าดูเลยอ่ะ” เลื่อนอ่านข้อความในแชทได้ไม่น่าก็กดออก วางโทรศัพท์แล้วหันมาตีหน้าบึ้งใส่กัน “ทำไมมีแต่ข้อความชวนไปที่ห้องล่ะครับ”
   
ผมชะงัก เพราะไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าคุยกับพราวแต่เรื่องทำนองนั้น
   
“นอนด้วยกัน... บ่อยเหรอครับ” พอเห็นผมไม่พูดอะไร ไอ้ตี๋ก็เอียงตัวกลับมา เอ่ยถามเสียงเบา
   
“อืม” ผมตอบตามตรง รู้ว่ามันจะทำให้ฝ่ายหญิงดูไม่ดี แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะสนใจใครแล้ว นอกจากคนตรงหน้า ถ้าไม่ยอมรับความจริง ก็กลัวว่าจะยิ่งทำลายความเชื่อใจ
   
“คิดอะไรกับเธอหรือเปล่าครับ” พอผมยอมรับ ไอ้ตี๋กลับยิ่งตีหน้ามุ่ยกว่าเดิม
   
“ไม่ได้คิด”
   
“ไม่หวั่นไหวเลยเหรอครับ” คราวนี้ผมหัวเราะ ยกตัวคนตัวเล็กให้หมุนกลับมาเผชิญหน้าทั้งที่ยังนั่งคร่อมอยู่บนตัก
   
“ไม่เลยสักนิด” 

ผมกับพราวตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่มีเรื่องหัวใจมาเกี่ยวข้อง และต้องยอมรับตามตรงว่าผมเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่มีเซ็กซ์กับคนที่ไม่ได้รักได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร

“แต่ก็ยังนอนกับเธอ” แต่คนตรงหน้ากลับหงอยลงจนผมต้องรีบอธิบาย
   
“เซ็กซ์ไม่ได้แปลว่ารัก”

กับพราวยิ่งไม่ใช่... ต่อให้เรานอนด้วยกันบ่อยแค่ไหน แต่ผมก็มั่นใจว่าไม่ได้รักเธอ

“แต่ซันรักผมหลังจากเรามีเซ็กซ์กัน”

“ไม่ใช่” ผมตอบทันควันเมื่อไอ้ตี๋สรุปความแบบนั้น

“ไม่ใช่เพิ่งรัก แต่เพิ่งรู้ว่ารัก... มันไม่เหมือนกัน” ผมขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง

จริงอยู่ที่ผมกับพราวเราต่างก็พึงพอใจทั้งสองฝ่าย แต่มันก็เป็นเพียงความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น... แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ตี๋

ความสัมพันธ์ที่ทำให้รู้ว่าการมีอะไรกับคนที่รัก มันมีค่าที่มากกว่าความสุขชั่วคราวเหล่านั้นอย่างเทียบไม่ได้

“ถ้างั้น... พิสูจน์ได้มั้ยครับ” นิ่งไปสักพักกว่าจะเอ่ยออกมา

“หือ?” ผมได้แต่เลิกคิ้วงุนงงขณะที่มือบางยกขึ้นมาแตะใบหน้าผมแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปมา พลางอธิบาย

“พิสูจน์ว่ามันไม่เหมือนกัน”

“...”

“พิสูจน์คำพูดตัวเอง ว่าซันรักผมโดยไม่มีเซ็กซ์มาเกี่ยวข้องได้จริงๆ” เสียงกระซิบแผ่วดังชัดเจนเมื่อเจ้าของใบหน้าใสเคลื่อนมาจนหน้าผากแตะกัน ดวงตาเรียว จ้องเข้ามาในดวงตาผมราวกับกำลังท้าทาย “สักเดือนนึงก็พอ”

“...”

“ทำได้มั้ยครับ”

ให้ตาย... ทำไมอยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินเข้าไปในหลุมที่โคตรจะอันตรายยังไงก็ไม่รู้วะ

“ได้”

แต่ถึงจะรู้ว่ามันอันตราย ผมก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าไว้ จนทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมจำนน    

“หึ” ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกัดลงมาเบาๆ ที่ปลายจมูกผมคล้ายจะบอกว่าคำตอบผมเป็นที่พอใจ “น่ารักมากครับ”

เอ่ยชมเสร็จก็ผละออกไป ไล่สายตาทั่วใบหน้าผม ก่อนจะหยุดลงตรงอกซ้าย... ตำแหน่งเดิมที่ดวงตาเรียวหยุดไว้ตอนที่ผมเดินเข้าห้องมา

แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าคนตรงหน้ามองอะไร เมื่อสังเกตเห็นรอยลิปสติกจางๆ ที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่รู้ตัว

“เค้ากอดซันใช่มั้ย” กลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง พลางยกนิ้วขึ้นมาลูบรอยนั้นไปมาราวกับพยายามจะทำให้มันหลุดออกไป
แต่แน่ล่ะว่ามันไม่ได้หลุดง่ายๆ ใบหน้าใสจึงยิ่งย่นคิ้วอย่างขัดใจ ก่อนที่นิ้วเรียวจะเปลี่ยนจากพยายามเช็ดเป็นแกะกระดุมเสื้อผมออกแทน ผมหัวเราะเบาๆ ยอมให้คนตัวเล็กกระทำกับร่างกายตัวเองตามใจ ไม่กี่วินาทีต่อมาเสื้อเชิ้ตสีขาวก็ถูกถอดโยนทิ้งไปที่พื้นข้างเตียง

“ทำอย่างอื่นอีกหรือเปล่า” พอจัดการกับรอยที่ไม่อยากเห็นเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาถาม

ผมส่ายหน้า แกล้งตีหน้ามุ่ยบ้าง “ใครจะกล้า”

“ดีแล้วครับ” ริมฝีปากบางจึงคลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วอีกครั้ง สีหน้าเหมือนกำลังมีเรื่องยุ่งยากใจ

“ทำยังไงดี” ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนเสื้อตัวโคร่งเสียดสีกับหน้าท้องผมเบาๆ ขณะซบหน้าลงกับไหล่ผมแล้วเอ่ยพึมพำ “แบบนี้เรียกว่าหึงใช่มั้ยครับ” ผ้าขนหนูผืนเล็กที่ใช้คลุมหัวไว้ร่วงไปตั้งนานแล้ว ทำให้ผมชื้นๆ สัมผัสกับคอของผมโดยตรง

แทนที่จะรู้สึกรำคาญ กลิ่นแชมพูที่ผมชอบ กลับปลุกปั่นความรู้สึกอื่นขึ้นมาแทน

นี่มัน... ยั่วกันชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง

แต่เพราะข้อตกลงที่เพิ่งลั่นวาจาออกไป ทำให้ผมต้องห้ามใจไม่ให้ตัวเองทำอะไรมากกว่าการฝังจูบลงบนขมับ และพยายามข่มอารมณ์

ชิบหาย... ผมถอนคำพูดตอนนี้ทันมั้ย ตั้งเดือนนึงใครจะไปทนได้วะ

“ผมเคยคิดว่าการหึงมันเป็นเรื่องงี่เง่า” แต่ดูเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ เจ้าของลมหายใจร้อนๆ จึงเลื่อนใบหน้าขึ้นไปกระซิบ พลางกัดใบหูผมเบาๆ 

ผมเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ แต่ไม่นานก็หลุดหัวเราะ เหลือเชื่อกับสิ่งที่มันทำ แต่ไม่คิดจะต่อว่าอะไร ปล่อยให้ฟันซุกซนขบกัดเนื้อหนังตัวเองจนกว่าจะพอใจ มือข้างหนึ่งโอบรัดเอวบางแนบร่างไว้ ในขณะที่อีกข้างแทรกอยู่ในกลุ่มผมชื้น ลูบไปมาอย่างเอ็นดู

“แต่ตอนนี้ผมกำลังงี่เง่า...” เสียงทุ้มหวานยังคงเอ่ยความรู้สึกตัวเองออกมาตรงๆ ขณะที่สัมผัสของฟันคมๆ เลื่อนลงมาที่สันกราม

“งี่เง่ามากๆ”  ไล่ลงไปที่ลำคอ...

“ผมหวงนะ”   ลามไปที่หัวไหล่เปลือยเปล่า พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ

“ดังนั้นขอเลย...” เว้นวรรคไปพักหนึ่งก่อนที่ลมหายใจร้อนๆ จะลากต่ำลงไป พร้อมกับริมฝีปากที่หยุดลงตรงอกซ้าย...

ตำแหน่งเดียวกับที่มีรอยลิปสติกฝังไว้บนเสื้อที่ผมเคยใส่...

“อย่าให้ใครมาฝากรอยลิปสติกไว้แบบนี้อีกเชียว”

แล้วจัดการทดแทนมันด้วยรอยฟันของตัวเอง ที่ขบกัดลงมาบนผิวเนื้อของผม... จนขึ้นสีชัดเจน




--------------------------------------------------------------------------
ร้ายกว่าพราวก็ตี๋นี่แหละ
ถ้าจะงี่เง่าแล้วน่ารักขนาดนี้ เป็นซันจะยอมให้งี่เง่าด้วยตลอดชีวิตเลยค่ะ  :hao7:
จากตอนที่แล้วมีใครเตรียมทิชชู่ไว้บ้างมั้ย? ไม่ต้องทิ้งเนอะ ไม่ได้เช็ดน้ำตาก็เช็ดกำเดาแทน 5555

จริงๆ ปมเรื่องนี้มีเเค่ความรู้สึกของตี๋อย่างเดียวเลย
ทุกวันนี้เหมือนซันกำลังทำคะแนน สร้างความเชื่อใจเติมลงไปในหัวใจที่มีแต่ความหวาดกลัว ความไม่มั่นใจของตี๋
ไม่รู้ว่าตอนนี้เติมได้มากแค่ไหนแล้ว แต่คงใกล้เต็มแล้วล่ะ 5555

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ใกล้จบเต็มทีแล้วค่ะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2017 19:50:39 โดย makok_num »

ออฟไลน์ PrInceZz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
เชียร์ตี๋ สมน้ำหน้าซัน หึหึหึ
 :z1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ไหนคือบทลงโทษของซันเหรอ
แหม่ บทลงโทษเข้าทางจริงจริ๊ง

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 :mew4: :hao7: อหหหห! เหมือนเห็นลูกมีพัฒนาการจากประถมเข้าม.ปลาย5555 น่ารักจังงเลนยยยจ้ะหนูโช อิๆๆ เอาให้อยู่หมัดไปเลย นังซันคนเกียมัว555

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
อดไปนะซัน
แต่ตี๋ยั่วขนาดนี้
ถ้าเปนเราเราไม่ทนนะ 555

ตี๋เวอร์ชั่นนี้ดีสุดๆไปเลยค่ะ
มีความหึงได้น่ารัก น่าหยิกมากกกกกก

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากจับโชปั้นเป็นก้อน โยนเข้าปาก เคี้ยวๆ แล้วกลืนลงท้องไปเลย เอ็นดูวววววววววว

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
เราติดตาม คุณคนเขียนมาตั้งแต่พี่เชน-ตรี สนุกมาก
เรื่องนี้เราก็อ่านมาทีละนิด ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะ เรากลัวอ่านจบไว55
ขอบคุณในความขยันลงเรื่อง

 :L2: :L1: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 8
[/b]

   
พนันได้เลยว่าผมจะต้องตายภายในหนึ่งเดือนนี้นี่แหละ... ต้องตายแน่ๆ
   
ที่ผ่านมาผมมั่นใจมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่พวกบ้ากาม ขาดเซ็กซ์ไม่ได้หรืออะไรทำนองนั้นนะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความมั่นใจนั้นเหมือนจะถูกสั่นคลอนหนักขึ้นทุกที

เพราะตั้งแต่รับปากว่าจะจำศีลหนึ่งเดือนไป... ผมก็คิดดีกับไอ้ตี๋ไม่ได้อีกเลย

แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่ความผิดผมคนเดียว
   
จุ๊บ
   
“...!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อล้างจานอยู่ดีๆ ก็มีสัมผัสนุ่มหยุ่นของริมฝีปากแตะลงมาที่ไหล่ พร้อมกับแผ่นหลังที่ถูกทาบลงมาด้วยร่างอุ่นๆ ของคนที่มายืนซ้อนหลังเขย่งสุดตัวเพื่อหยิบแก้วที่อยู่เหนือหัวผม
   
“อา... ขอโทษครับ แก้วมันอยู่สูงไปหน่อย” แต่แทนที่ได้สิ่งที่ต้องการแล้วจะถอยออกไป คนตัวเล็กกว่ากลับเอ่ยออกมาเบาๆ ทั้งที่ลมหายใจยังคลอเคลียอยู่ที่คอผมอย่างนั้น
   
“...” กูนี่สตั๊นท์ไปเลย
   
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะค่อยๆ ผละออกไป ปล่อยให้ผมยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่กับการถูกลอบสังหารแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
   
เนี่ย! แล้วจะให้คิดดีได้ยังไง ความยั่วของคุณเขาน้อยๆ ซะที่ไหน กะเล่นผมให้ตายคาร้านชัดๆ
   
“อย่าให้ครบเดือนเชียว” ผมได้แต่บ่นพึมพำ ล้างมือแล้วเดินไปตีหน้ากระเง้ากระงอดใส่คนที่ทำเป็นชงกาแฟไม่สนใจ อยากจะเข้าไปฟัดให้หายมันเขี้ยวสักที ถ้าไม่ติดที่ว่าถ้าลองได้ฟัดครั้งหนึ่งคงอยากฟัดอีกหลายๆ ที แล้วสุดท้ายคงจะตบะแตกขึ้นมาจริงๆ
   
หลังยอมรับบทลงโทษแต่โดยดีในวันนั้น ผมก็เหมือนถูกขังไว้ในวัดเส้าหลินเพื่อทดสอบความอดทน เจ้าสำนักคือคุณโชกุนที่พอรู้ว่าจุดอ่อนของผมคืออะไร ก็เล่นงานได้ตรงจุดและเล่นเอาผมแทบคลั่งตายไปหลายที ดูอย่างเมื่อกี้ดิ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นผมที่เป็นฝ่ายลอบแต๊ะอั๋งมัน เล็มนู่นนิดชิมนี่หน่อย แกล้งให้คนตัวเล็กตีหน้าปั้นปึ่งปนเขินอายใส่ แล้วไหงตอนนี้นี้ถึงสลับกันได้ กลายเป็นผมที่ถูกลอบแทะเล็มซะเอง
   
พอรู้ว่ายั่วขึ้นก็เอาใหญ่เลยนะครับ ร้ายชิบเป๋งเลย แฟนใคร
   
“ลาเต้ได้แล้วครับ” ว่าพลางวางกาแฟลงตรงหน้า สีหน้าดูไม่มีความยินดียินร้ายอะไรกับความว้าวุ่นใจของผม

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ย่นหน้ากลับไปอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ผมนุ่มแรงๆ จนถูกปัดมือออกถึงได้หยุดแกล้ง หันกลับมาก้มหน้าก้มตาปั่นงานที่ค้างไว้ในโน้ตบุ๊คที่พกมา
   
อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะเข้าสู่ไฟนอลแล้ว และก่อนหน้านั้นผมก็ต้องส่งโปรเจ็กต์ ช่วงนี้เลยปั่นงานหัวหมุนจนแทบไม่ได้ทำอะไร ต้องอุทิศเวลาทั้งหมดให้เล่มวิจัยที่ถูกแก้แล้วแก้อีกจนอยากจะเผาทิ้งแม่งมัน
   
แต่ข้อดีคือผมจะได้เบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองออกมาจากไอ้ตี๋บ้าง เชื่อเถอะว่าการหันมาเพ่งสมาธิกับการทำงาน ได้ผลกว่าการนั่งท่องนโมพุทโธเป็นไหนๆ โดยเฉพาะในเวลาที่คุณเขาอัพเลเวลความน่ารักอย่างจงใจปั่นหัวผมแบบนี้
   
“ไปนั่งที่โต๊ะดีๆ เถอะครับ” คงเพราะเห็นว่าผมนั่งทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องยืดหลังบิดขี้เกียจหลายทีเพราะนั่งไม่สบายคนข้างๆ ถึงได้เอ่ยขึ้นมา
   
“ขี้เกียจย้ายอ่ะ” ผมเบ้หน้ายกลาเต้ดื่มแล้วหมุนไหล่ตัวเองไปมา
   
ก่อนหน้านี้ลูกค้าเต็มร้านผมเลยต้องหอบคอมระเห็จมาทำงานที่เคาน์เตอร์แทน แต่ตอนนี้เกือบจะตีสามแล้ว ลูกค้าคนสุดท้ายเพิ่งเดินออกจากร้านไปเมื่อกี้นี้เอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ขี้เกียจขนของไปนั่งที่อื่นอยู่ดี
   
“งั้นเก็บร้านเลยดีมั้ยครับ” เงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาก่อนจะถามพลางขยับเข้ามายืนซ้อนหลังนวดไหล่ให้
   
แรงบีบเค้นที่ไม่มากเกินไปทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้สมาธิผมหลุดกระจัดกระจายได้ง่ายๆ เหมือนกัน
   
“ยั่วกันอีกแล้วอ่ะ” ผมบ่นจับมือข้างหนึ่งออกมาจากไหล่แล้วแกล้งงับเบาๆ
   
คนถูกกัดเบิกตากว้าง ทำท่าจะถึงมือตัวเองกลับแต่ผมจับไว้แน่น ไอ้ตี๋เลยตีหน้าบึ้งใส่ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา

“ยั่วอะไรล่ะครับ” มือข้างที่ว่างเปลี่ยนจากนวดเป็นตีไหล่ผมแทน

“ปล่อยเลย ผมจะเก็บร้านแล้ว” พยายามจะดึงมือที่ถูกจับไว้ออกไปอีกที แต่ผมก็ยังไม่ยอมปล่อย มองหน้ามันนิ่งแล้วหมุนกลับไปหา ดึงตัวคนตัวเล็กเข้ามาใกล้แล้วใช้ขาทั้งสองข้างหนีบสะโพกไว้
   
“โช” เอ่ยชื่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยกมืออีกข้างขึ้นมาโอบแผ่นหลังบาง เงยหน้าขึ้นสบตา “คิดเรื่องนั้นหรือยัง?”
   
“...” ไม่ต้องบอกรายละเอียดมากมายก็ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะเข้าใจว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร
   
ผมเพิ่งขอให้มันย้ายไปอยู่ด้วยกัน...
   
ถึงจะเช่าอพาร์ตเม้นต์อยู่มาตลอดสี่ปี แต่อันที่จริงครอบครัวผมมีบ้านอยู่ที่นี่เหมือนกัน เป็นบ้านพักตากอากาศที่เชื่อมกับรีสอร์ตซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการที่พี่ชายคนโตกำลังดูแล คิดไว้นานแล้วว่าจะย้ายเข้าไปอยู่หลังจากเรียนจบ เพราะตั้งใจจะปักหลักหางานอยู่ที่นี่ ผมทำเรื่องย้ายออกจากอพาร์ตเม้นต์แล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มขนของเพราะยังไม่มีเวลา

แล้วอีกอย่าง... ผมอยากได้คำตอบจากอีกคนก่อนว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยกัน
   
เพราะถ้ามันไม่ตกลง ผมคงเปลี่ยนเป็นย้ายข้าวของที่มีตอนนี้ไปอยู่หอไอ้ตี๋แทน

จริงอยู่ที่ปลายทางไม่ต่างกัน แต่สำหรับคนถูกถาม มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถตัดสินใจได้ง่ายๆ เหตุผลหนึ่งคือระยะทาง เพราะบ้านที่ว่าอยู่นอกตัวเมืองออกไปไกลพอสมควร จะเดินทางไปที่ร้านพี่โมก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง ต่างจากหอไอ้ตี๋แค่เดินไม่กี่สิบก้าวก็ถึง แต่ก็มีข้อดีตรงที่บรรยากาศดี แถมมีพื้นที่มากกว่าอยู่หอพักหลายเท่าตัว
   
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยังลังเล... คือความไม่มั่นใจ... ความหวาดกลัวบางอย่างที่สะท้อนออกมาในแววตาทุกครั้งที่ผมวกกลับมาถามคำถามนี้กับมัน
   
“ผมว่ามัน... ค่อนข้างไกล” ทำท่าอึกอักเอ่ยคำพูดเดิมๆ เหมือนพยายามจะเฉไฉ

แต่เพราะผมยังจ้องอยู่ถึงได้ถอนหายใจหนักๆ ออกมาอย่างยอมแพ้ เพราะผมเคยบอกไว้แล้วว่าถ้ามีอะไรให้พูดกันตรงๆ
   
“ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นตัวเลือกที่ดี”
   
“...”
   
“ถ้าวันหนึ่งเราเลิกกัน...” พูดได้เท่านั้น เสียงทุ้มก็เงียบไป ทำสีหน้ายุ่งยากใจแบบที่ผมเข้าใจดีว่าหมายความว่ายังไง ลึกๆ แล้วเราต่างคิดตรงกันว่าอยากจะรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ตลอดกาล แต่อีกใจหนึ่งเราต่างรู้ดีเช่นกันว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน

ต่อให้ผมยืนยันหนักแน่นแค่ไหนว่าเราจะไม่มีวันเลิกกัน แต่มันก็เป็นเพียงแค่คำพูดที่กำหนดอนาคตไม่ได้ ไม่แปลกอะไรที่ไอ้ตี๋มันจะกลัว
   
“โอเค” ผมเผลอถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ปล่อยมือแล้วหมุนตัวกลับมาพับหน้าจอโน้ตบุ๊ค ซดลาเต้จนหมดเพื่อเตรียมตัวปิดร้าน
   
ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมค่อยถามใหม่

“ซัน” แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกจากเก้าอี้ คนตัวเล็กกว่าก็จับไหล่ผมให้หันไปเผชิญหน้าอีกครั้ง ขมวดคิ้วทำท่าดุใส่กัน “อย่าเพิ่งงอแงสิครับ”

“...” ผมเลิกคิ้ว กะพริบตาปริบๆ รอฟังเจ้าของดวงตาเรียวที่มองมาอย่างหนักใจ แล้วถอนหายใจออกมาบ้าง

“ผมยังไม่ทันได้ปฏิเสธเลย” ว่าพลางยกนิ้วโป้งขึ้นมาปาดเหนือริมฝีปากผมที่น่าจะเลอะคราบกาแฟ ก่อนจะดึงนิ้วกลับไปดูดเบาๆ แล้วยิ้มออกมาบางๆ

“เอาเป็นว่าผมขอเวลาคิดอีกหน่อยนะ”

โอ้โห รู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าไอ้ที่ท่าทางที่ทำอยู่นี่โคตรยั่วเลย

“หึ” จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่รู้ล่ะ แต่เล่นมาทำแบบนี้ต่อหน้ากันผมก็ไม่คิดจะทนดึงคนขี้อ่อยกลับเข้ามาประชิดร่างอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือออกไปดึงท้ายทอยมันลงมาเพื่อรับจูบของผมไป ขบเม้มหยอกเย้าด้วยความมันเขี้ยวอยู่พักหนึ่งก่อนจะผละออกมา

“โอเค” คลี่ยิ้มมุมปากอย่างขบขันเมื่อเห็นอีกคนเบิกตากว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว

“...”

“จะให้เวลาคิด จนกว่าจะได้ยินว่าตกลง” เอาแต่ใจยิ่งกว่าคำพูดคือริมฝีปากที่ดื้อดึงกดจูบลงไปอีกครั้ง กดรั้งท้ายทอยคนที่ยืนอยู่สูงกว่าไว้เพื่อให้ริมฝีปากแนบสนิทยิ่งกว่าเดิม มอบสัมผัสล้ำลึกที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนให้จนได้ยินเสียงหลุดครางเบาๆ ร่างบางทรุดตัวลงมาพิงอกผมไว้ราวกับหมดเรี่ยวแรง ครอบครองลมหายใจอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนาน และคงจะดึงดันรุกเร้าอยู่อย่างนั้น ถ้าหากว่าไม่มีเสียงบางอย่างดังขัดขึ้นมา

กริ๊ง~

“...!” มือบางยกขึ้นมาผลักอกผมออกอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมเองก็ตกใจเกินกว่าจะขัดขืนอะไร ยอมปล่อยคนตัวเล็กที่กระโดดผึงห่างออกไปไกล ก่อนจะลุกขึ้นหันตามเสียงที่ประตู

“ระ... ร้านปิดแล้วเหรอคะ” ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่อย่างเก้ๆ กังๆ ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเธอทันเห็นฉากจูบของพวกเราเข้าอย่างจัง

“เอ่อ...” ผมอึกอัก ยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเก้อๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าอีกคน แต่พอเห็นมันยืนนิ่งค้าง หน้าแดง เบิกตากว้างเหมือนวิญญาณหลุดไปแล้วก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา แล้วถือวิสาสะหันไปตอบเอง

“ครับ ปิดแล้วครับ” ผงกหัวขอโทษพอเป็นพิธี ในขณะที่ลูกค้าเองก็ผงกหัวกลับมาเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะเดินออกจากร้านไปแต่ก็ไม่วายหันกลับมามองพวกผมด้วยสีหน้าเขินอายจนพ้นสายตา

ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง ส่ายหน้าขำๆ กับเรื่องไม่คาดฝันเมื่อครู่ แต่พอหันกลับมาเห็นอีกคนย่นหน้าจ้องเขม็งมาก็ต้องหยุดขำ

“ซัน” เอ่ยเรียกเสียงต่ำจนผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา แม้ว่าสายตาดุๆ ที่ขัดกับใบหน้าที่แดงลามไปถึงหูนั่นจะน่ารักแค่ไหนก็ตาม

“ไม่ให้จูบแล้ว...” กัดริมฝีปากที่บวมนิดๆ ของตัวเองแน่นพลางเอ่ยพึมพำ

“...”

“จนกว่าจะครบกำหนดหนึ่งเดือน ห้ามจูบอีกเด็ดขาดเลยนะครับ”

“หะ...หา!?”

เดี๋ยวสิครับ... แค่ข้อตกลงเดิมผมก็ต้องอดทนจนแทบคลั่งตายแล้ว ถ้าเพิ่มห้ามจูบเข้าไปอีก...

ไม่ตายตอนนี้แล้วจะตายตอนไหนวะ






ผมไม่คิดว่ามันจะจริงจัง จนกระทั่งเห็นว่าไอ้ตี๋ไม่ยอมพูดอะไรเลยตอนที่เราเก็บร้าน หรือตลอดทางกลับหอ มันเอาแต่เงียบ คิ้วขมวดมุ่นเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่ในใจ พอกลับมาถึงห้องก็เดินหนีไปล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนตัวเก่งทันที

“งอนเหรอ” ในที่สุดผมก็เปิดปากถาม พลางเดินเข้าไปโอบรอบเอวบาง ซุกหน้าลงบนไหล่อย่างออดอ้อน สูดกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ที่ซึมซาบลงมาบนเสื้อยืดตัวโคร่งที่เคยเป็นของผม จนกลายเป็นกลิ่นเดียวกัน

คนตัวเล็กที่ยืนทาครีมอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตากันผ่านกระจก ขมวดคิ้วเล็กๆ อย่างงุนงง ก่อนจะปฏิเสธ “เปล่านี่ครับ”

ผมเบ้ปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “ถ้าไม่งอนแล้วทำไมเงียบอ่ะ”

พอได้ยินแบบนั้น ก็ชะงักไป ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่น่ะครับ”

ผมไม่ทันได้ถามว่าเรื่องอะไร ไอ้ตี๋ก็ผละออกจากอ้อมกอด หมุนตัวกลับมาตีหน้ามุ่ยใส่ผมแล้วกำชับคำพูดตัวเอง “แต่เรื่องไม่ให้จูบนี่พูดจริงนะ”

“ง่ะ...”

“ชอบทำอะไรเอาแต่ใจนัก โดนทำโทษไปเลยครับ” ว่าพลางทำท่าเหมือนคุณครูที่กำลังลงโทษเด็กซน

“มันเกินไป” ผมโอดครวญ รั้งเอวบางเข้ามากอดไว้ซบหน้าลงกับไหล่อีกครั้งแล้วเริ่มงอแง “จะฆ่ากันจริงๆ หรือไง”

ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนคนตัวเล็กจะผละออกจากอ้อมกอดเบ้ปากใส่ผมอย่างสะใจ “ก็สมควรแล้วครับ”

“ตี๋~” ผมลากเสียงพลางเดินตามไปนั่งข้างๆ คนที่หนีไปนอนบนเตียงก่อนจะเริ่มต่อรอง “อาทิตย์ละครั้งก็ยังดี”
   
ทำไมต้องมาต่อรองอะไรแบบนี้วะเนี่ย ดูเป็นคนหื่นๆ ยังไงชอบกล

“ไม่เอา”

“วันละครั้ง”

คราวนี้ดวงตาเรียวมองหน้าผมเหมือนจะถามว่าอะไร อาทิตย์ละครั้งยังไม่ได้เลย แล้วทำไมดันขอมากกว่าเดิม

แต่อาทิตย์ละครั้งมันก็น้อยไปอ่ะ ขนาดวันละครั้งยังยากที่จะทนเลย

“ปกติตั้งหลายครั้งต่อวัน” ผมว่า คนตรงหน้าชะงักไปแวบหนึ่งก่อนจะเถียงทั้งที่ใบหน้าเห่อขึ้นสีระเรื่อ

“แต่ตอนนี้ถูกทำโทษอยู่นี่ครับ”

“ยอมรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งไง” ผมยังดึงดัน เผลอยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสายตาที่แสดงความใจอ่อนออกมา เอนตัวลงนอนตรงหน้าเพื่อสบตาก่อนจะเริ่มใช้ลูกอ้อนประจำ

“วันละครั้ง”

“...”

“นะ”

“...”

“นะครับโช”

“โลภมากจัง” และมันก็ได้ผลเมื่อคนตรงหน้าย่นหน้าแดง พลางเอ่ยพึมพำ “วันละครั้ง”

ผมยิ้มกว้างจนกลายเป็นหัวเราะ โอบแขนรั้งคนตัวเล็กมากอดไว้อย่างได้ใจ แต่ก็ไม่วายถูกตีหน้ามุ่ยใส่ “ไม่เอาที่สาธารณะ”

ผมหัวเราะอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารัว

“ไม่เอาที่สาธารณะ” เอ่ยย้ำพลางฝังจูบลงบนหน้าผากใสก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นในขณะที่คนตัวเล็กกว่าก็ขยับเข้ามาซุกซบอกกัน

ต่างคนต่างเงียบไปนาน จนผมคิดว่าอีกคนหลับแล้วถึงได้เอื้อมแขนไปปิดไฟที่หัวเตียงเตรียมนอนบ้าง แต่ยังไม่ทันได้หลับตาก็ได้ยินเสียงเบาๆ เอ่ยเรียกขึ้นมา

“ซัน”

“หืม?”

“ผมน่ะ... ไม่ชอบโรงเรียนเลย” แปลกใจนิดหน่อยที่อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา แต่ก็รอฟังโดยไม่แย้งอะไร “ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ทุกวันได้ยินแต่คำถากถาง คำนินทา”

“...”

“มันกลายเป็นสถานที่แย่ๆ มีแต่ความทรงจำแย่ๆ ที่ถ้ากลับไปที่นั่นอีก ผมก็คงจะนึกถึงแต่เรื่องพวกนั้น”

แต่ไม่นานก็เริ่มเข้าใจความหมายที่จะสื่อ เมื่อคนในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นมาสบตากันภายใต้แสงรำไรของพระอาทิตย์ที่ใกล้ขึ้นเต็มทีผ่านมู่ลี่ที่ติดไว้ตรงหน้าต่างบานใหญ่ของห้องนอน

“ดังนั้นเรื่องบ้าน... ผมเลยคิดหนัก ไม่กล้าตัดสินใจ”

รู้แล้วว่าเรื่องที่รบกวนจิตใจจนอีกฝ่ายเอาแต่เงียบมาตลอดทางกลับหอคืออะไร
   
“ถ้าวันหนึ่งเราเลิกกัน... ถ้าผมเกิดสร้างความทรงจำแย่ๆ ทิ้งเอาไว้... ซันจะทำยังไง”

“...” พอได้ยินคำอธิบายผมก็ถึงกับเงียบไป ใจหนึ่งรู้สึกตำหนิที่มันคิดมากจนกลายเป็นความกังวล แต่อีกใจกลับกำลังตื้นตันที่ได้รู้ว่าทุกสิ่งที่มันคิดเผื่อไว้ ก็เพื่อผมคนเดียว

“แต่ว่าถึงจะคิดแบบนั้น สุดท้ายผมก็ยังเห็นแก่ตัว” ว่าพลางขมวดคิ้ว นิ้วเรียวยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ ทำสีหน้ายุ่งยากใจขณะที่ดวงตาเรียวสบตาผมก่อนจะเอ่ยความปรารถนาที่อยู่ในใจออกมาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

“ผมอยากอยู่กับซัน”

“...”

“อยากอยู่กับซันมากๆ” 

“...”

“ขอผม... ไปอยู่ด้วยได้มั้ยครับ”

ผมยิ้มกว้าง มองใบหน้าออดอ้อนนั้นอย่างเอ็นดู ดึงคนตัวเล็กเข้ามาซุกอกอีกครั้ง รัดอ้อมแขนแน่นขึ้นพลางกดจูบหนักๆ ลงไปบนกระหม่อมอย่างหมั่นไส้
 

“หึ” หลุดหัวเราะออกมา เมื่อคิดว่าเรื่องที่มันกังวล ไม่ได้ส่งผลกับการตัดสินใจของผมเลยแม้แต่นิด

เพราะต่อให้สุดท้ายมันกลายเป็นความทรงจำที่แย่ของผมจริงๆ ...ก็ไม่เป็นไร

“ไปสิ ไปอยู่ด้วยกัน”

ไม่ว่ายังไง... มันก็จะกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผมอยู่ดี





-----------------------------------
หนูโชขี้กลัวเหลือเกินนน ;^;
แต่ใต้ความขี้กลัวก็ยังมีความกล้าที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา คงเพราะเรียนรู้แล้วว่าถ้าพูดกับซัน จะไม่เป็นไร
ตอนที่เขียนเรื่องนี้ หลายครั้งเราจะรู้สึกว่าเออเนอะ ถ้าไม่ใช่สองคนนี้ เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้อ่ะ
ถ้าไม่ใช่โช ซันคงไม่ใจเย็นขนาดนี้ หรือถ้าไม่ใช่ซัน โชก็คงไม่กล้าพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาแบบนี้
โชคดีจริงๆ นะคะที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน 55555

ตอนจบใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เหมือนเห็นนาฬิกาทรายที่กำลังนับถอยหลังตั้งอยู่ตรงหน้าเลยอ่ะ 5555
ใจหายเหมือนกันเนอะ เรื่องนี้คนอ่านไม่เยอะ แต่รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อ่านฟีดแบ็คที่ส่งกลับมาจากทุกทาง
สารภาพว่าตอนอัพเรากลัวสุดๆ อย่างที่เคยบอกว่าเป็นพล็อตที่ธรรมดามาก คาแร็กเตอร์ก็ดูจะไร้ความดึงดูดมากๆ จนกังวลไปหมด  :hao5:
ดังนั้นจะรู้สึกดีใจมากๆ เลยค่ะเวลาที่มีคนบอกว่าการเขียนเราพัฒนา ตอนแรกคิดว่าแค่อย่างน้อยถ้าเขาอ่านเชนตรีมาแล้วไม่รู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้ก็พอใจแล้วค่ะ จริงๆ 555555 ชอบที่หลายๆ คนบอกว่ามันเป็นนิยายที่มีสีขาวสว่าง อยากจะยกความดีความชอบให้เจ้าซันเลย เพราะตอนแรกจะให้โชบรรยาย แต่คิดว่าเรื่องมันคงจะหม่นหมองน่าดูเพราะหนูโชมีปมในใจ สุดท้ายเลยใช้ซันที่อยู่ในสถานะผู้เยียวยาบรรยายแทนเพราะอยากให้เป็นนิยายที่อ่านสบายๆ คลายเครียดมากกว่า ^^

บ่นเยอะอีกแล้วอ่ะ ขอหน่อยนะคะ กลัวจบแล้วไม่ได้บ่น 555555

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณมากๆ ค่า   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2017 03:01:29 โดย makok_num »

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
โอ๊ยน่อ
จะรักกันไปถึงไหน
โชนั่นมันอะไรรรร ขี้ยั่วมากก
อย่าว่าเป็นซันเลย เรายังไม่ทนนนนนนนนนนนน  :oo1:  :oo1:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เพิ่งตามมาอ่านค่ะ ชอบบ  o13

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 :impress2:หนูโชของเราโตขึ้นแล้วจ้าาาาาาา อัพเรเวลความอ้อนความอ่อยด้วยยย น่ารักกกกกกก
ย้ายตามคุณซันเค้าไปเหอะ สงสารหมาเหงา5555
ปล.จะจบแล้วหรออออออ งื้อออ ใจหายยย
ปล.สอง แต่สนุกมากเลยนะคะ ยอมใจ
ปล.สามขอยาวๆก็ดี5555

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

โช ดีอะ

เรื่องของโช มันสะท้อนความจริงนะ ความปากเสียของคนที่พูดไม่คิด
ว่ามันส่งผลกับคนที่ถูกหมายหัวแค่ไหน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2017 21:08:08 โดย Billie »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ชอบที่ถึงโชกุนจะกังวลเยอะแยะ
แต่ก็บอก ก็อธิบายให้ฟัง ไม่ใช่เก็บไว้คนเดียว
คู่นี้มันน่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบตอนที่โชบอกว่า ขอไปอยู่ด้วยอ่ะ ฮือออออออ ถ้าเป็นเราจะบอกโชว่า มาเลยโช มาแต่ตัวก็ได้ 5555

ออฟไลน์ FaiiFay_Elle

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 9

   
[ Shogun’s Part ]


ซันเคยมีประวัตินอกใจ...

เรียกเป็นประวัติได้มั้ยนะ ในเมื่อมันไม่ใช่ความจริง

สมัยมัธยม มันคงเป็นเรื่องปกติที่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ จะน่าสนใจกว่าเนื้อหาวิชาการในบทเรียน โดยเฉพาะกับหนุ่มหล่อตัวท็อปอย่างเขา ที่ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็มีแต่คนจับตามอง ชีวิตรักของซันกลายเป็นเรื่องสาธารณะโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ... ซันกำลังคบใคร หรือเพิ่งเลิกกับใครมักกลายเป็นหัวข้อที่หลายๆ วงสนทนายกมาพูดกัน

แต่มีครั้งหนึ่งที่มันกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์... เรื่องที่ซันเลิกกับดาวโรงเรียนเพราะว่าแอบนอกใจ... ใครๆ ก็พูดแบบนั้น

ข่าวลือไปในทิศทางเดียวกัน และเขาก็ไม่คิดจะโต้แย้งใดๆ

ซันกลายเป็นเสือผู้หญิง คนหลายใจ เป็นคาสโนว่าตัวพ่อ... หรืออะไรก็ตามแล้วแต่คนจะนิยาม แปลกดีที่พอมีข่าวลือแบบนั้น คนกลับเข้าหาเขามากกว่าเดิม ทั้งผู้หญิงที่เห็นว่าฉายาเหล่านั้นยิ่งขับให้เขาดูมีเสน่ห์ และผู้ชายที่เห็นค่านิยมของการคบซ้อนเป็นเรื่องเท่มากกว่าการรักเดียวใจเดียว

แปลกดี... ที่พอเป็นเขา ใครๆ ก็พากันหลับหูหลับตาเข้าข้างกันไปหมด ยกเว้นผม...

จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองได้แต่ประณามเขาอยู่ในใจ ที่ต่อให้ข่าวลือกระพือแรงแค่ไหน เจ้าตัวก็ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย มันกลายเป็นเรื่องตลกขบขันที่เขาไม่คิดจะใส่ใจ หงุดหงิดแทบบ้าตอนที่เห็นว่าถึงจะเป็นอย่างนั้น คนเดียวที่พยายามแก้ข่าวให้เขาก็คือตรี... ผู้ชายแสนดีที่เป็นรักแรกของผม ตอนนั้นผมคิดว่าตรีปกป้องเขามากเกินไป ทำไมถึงให้ท้ายผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้นอยู่ได้ ทำไมถึงยังรักเขา ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเขาไม่มีความซื่อสัตย์

ผมเอาแต่คิดแบบนั้น จนกระทั่งความจริงปรากฏขึ้นมาว่าไม่มีการนอกใจ... ข่าวลือที่เกิดเป็นเพียงเรื่องที่กุขึ้นมาอย่างสนุกปากของคนที่พยายามสร้างเหตุผลลมๆ มาตอบคำถามว่าคนสองคนที่เพอร์เฟ็กต์มากๆ จะเลิกกันทำไมเท่านั้น มันกลายเป็นลมหวนที่พัดกลับทิศทาง... ทว่าผลลัพธ์ไม่ต่างกันเท่าไหร่

ไม่ว่ายังไงซันก็คือซัน... พระอาทิตย์ดวงเดิมที่ฉายแสงสว่างสดใสโดยไม่หวั่นไหวกับกระแสลมใดๆ

ในขณะที่ผมกลับมาทบทวนตัวเอง และถูกโจมตีด้วยความรู้สึกผิดกับความคิดไร้สาระที่เกิดขึ้นเพียงเพราะอคติบังตา... เชื่อตามข่าวลือบ้าๆ พวกนั้นได้ยังไง ในเมื่อผมสังเกตเขามาเป็นปีๆ ย่อมรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้จริงใจไม่แพ้ใคร
   
ยิ่งได้รู้จัก ได้ใกล้ชิด ได้เห็นทุกการกระทำ ได้ยินทุกคำพูด รับรู้ทุกอย่างที่สื่อผ่านแววตา ผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่า ถ้าไม่เชื่อเขา... บนโลกนี้ผมก็คงไม่สามารถเชื่อใครได้อีกแล้วจริงๆ

ซันโกหกไม่เก่งเลยสักนิด... ต่อให้พยายามแค่ไหน สุดท้ายเจ้าตัวก็จะเป็นฝ่ายหลุดความจริงออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี

ดังนั้นในวินาทีที่เขาอธิบายเรื่องภาพถ่ายที่ผู้หญิงคนนั้นส่งมาให้ ผมจึงเชื่อทุกคำพูดของเขาโดยไร้ข้อแม้... จะว่าใจง่ายก็ได้ แต่ผมมั่นใจว่าไม่เห็นร่องรอยการโกหกใดๆ ในแววตาคู่นั้นของเขาที่จ้องมาอย่างซื่อตรง

“ห้องสะอาดจัง” หลังจากเอาแต่คิดเรื่อยเปื่อยตลอดทาง นั่นคือคำพูดแรกที่ผมเอ่ยออกมาหลังจากที่ซันเปิดประตู เดินนำผมเข้ามาในห้องของตัวเอง
   
ห้องสีขาวสะอาด กับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลอ่อนดูอบอุ่นสบายตา กับข้าวของที่จัดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างต่างจากที่ผมจินตนาการ... คิดว่าจะรกกว่านี้ซะอีก
   
“จ้างแม่บ้านไง” แต่เขาก็ทำลายภาพลักษณ์คุณชายเจ้าระเบียบของตัวเองลงด้วยการหันมาพูดขำๆ พลางจับหัวผมโยกไปมา
   
แต่ผมสนใจสิ่งอื่นเกินกว่าจะปัดมือเขาออกไป ยังคงกวาดมองไปทั่วห้องที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเขาราวกับจะเก็บทุกรายละเอียดไว้ด้วยสายตา... มันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้มาห้องของซัน เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าตั้งแต่รู้จักกัน ผมยังไม่เคยมาเหยียบห้องเขาเลยสักครั้ง เพราะเคยชินกับการมีเขาอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ไม่เคยคิดว่าการที่วันหนึ่งได้เข้ามาในพื้นที่ของอีกคนบ้างจะรู้สึกยังไงจนกระทั่งวินาทีนี้

ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกที่มา แต่ผมกลับรู้สึกคล้ายกับว่ามันเป็นสถานที่คุ้นเคย  อบอุ่น เรียบง่าย และปลอดภัยไม่ต่างจากเจ้าของเลยสักนิด
   
“มองอะไรนักหนาครับ อยากย้ายมาอยู่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ ขยี้หัวผมแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมายืนซ้อนหลังเพื่อโอบแขนรอบคอผมไว้แล้วดันให้เดินต่อไป
   
วอแวจนน่าหมั่นไส้ แต่ถึงจะยิ่งทำให้เดินลำบากกว่าเดิม ผมก็ไม่คิดจะว่าอะไร เดินตามแรงดันของเขาพลางกวาดสายตามองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกดุนหลังเข้ามาในห้องนอนที่สภาพต่างจากข้างนอกลิบลับ ข้าวของถูกรื้อออกมากระจัดกระจาย โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ส่วนหนึ่งถูกโยนๆ ไว้บนเตียงในขณะที่ส่วนใหญ่ถูกยัดในกระเป๋าเดินทางลวกๆ จนล้นออกมา
   
ซันต้องย้ายออกจากอพาร์ทเม้นต์ของเขาภายในอาทิตย์หน้า พวกเราเลยจำเป็นต้องมาเก็บของกันเพื่อขนไปไว้ที่บ้านของเขาก่อน ในขณะที่ผมทำเรื่องย้ายหอไว้หลังปิดเทอมซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ฤดูกาลสอบไฟนอลครั้งสุดท้ายของพวกเรา

ไม่ทันได้เตรียมใจเหมือนกันว่าเวลามันจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ ถึงผมจะแน่ใจแล้วว่าหลังเรียนจบคงทำงานที่ร้านต่อไป แต่อดรู้สึกใจหายไม่ได้ที่กำลังจะผ่านพ้นช่วงเวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยและก้าวเข้าสู่โลกของการเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว
   
“ไม่รู้ต้องเก็บยังไงอ่ะ” ผมหลุดจากภวังค์อีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำข้างหู น้ำเสียงออดอ้อนแบบที่ทำให้ผมรู้สึกแพ้อยู่เป็นประจำ เหมือนรู้ว่าต้องถูกบ่นแน่ถ้าผมเห็นสภาพข้าวของที่เจ้าตัวบอกว่าจะมาเก็บก่อนตั้งแต่เช้า แต่สุดท้ายกลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
   
“แต่ไม่ใช่ยัดไปเรื่อยแบบนี้สิครับ” แต่สุดท้ายผมก็ดุอยู่ดี
   
เข้าใจแล้วที่เขาบอกว่าจะจ้างคนมาแพ็คของให้เพราะอะไร ถ้าผมไม่บอกว่าจะช่วย คุณชายคงได้ใช้เงินแก้ปัญหาจริงๆ
   
ผมถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะผละจากอ้อมกอดไปรื้อเสื้อผ้าจากกระเป๋าออกมากองรวมกับตัวอื่นๆ ที่อยู่บนเตียง มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้งพลางคิดว่าควรเริ่มเก็บจากตรงไหนก่อนแล้วหันไปถามคนที่เดินตามมานั่งมองผมนิ่งๆ อยู่ที่ปลายเตียง
   
“หยิบกล่องตรงนั้นให้หน่อยครับ” ผมว่าพลางชี้มือไปบนหลังตู้เสื้อผ้าที่มีกล่องพลาสติกสามสี่กล่องวางไว้

“นี่คร้าบ” ซันลุกขึ้นไปหยิบมาเรียงไว้ให้อย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่วายทำหน้ากรุ้มกริ่มล้อเลียนให้ผมย่นหน้าใส่ ก่อนจะไล่เปิดดูทีละกล่องและพบว่ามันไม่มีอะไรนอกจากของจิปาถะที่ดูเหมือนจะเป็นของสะสมมากกว่าของใช้

“พวกนี้ใส่รวมกันได้มั้ยครับ” แต่ผมก็หันไปถามเพื่อความแน่ใจ ซันขยับลงมานั่งพื้นข้างๆ ชะโงกหน้ามองก่อนจะพยักหน้ารัว

“งั้นเดี๋ยวผมเอาพวกนี้ใส่รวมกันนะ จะได้เอากล่องที่เหลือไปใส่อย่างอื่นด้วย” ผมว่าพลางมองไปบนโต๊ะเขียนหนังสือที่มีแต่พวกอุปกรณ์การเรียน “ซันไปจัดของบนโต๊ะก่อนแล้วกัน อะไรจำเป็นต้องใช้ก็แยกไว้นะครับ เดี๋ยวเผลอแพ็คไปด้วยแล้วมันจะวุ่นวาย”

“...”

“ส่วนเสื้อผ้า เดี๋ยวผมเก็บให้ ซันแยกที่จะใส่ไว้นะครับ จะได้เอากลับห้องเรา”

“...” ผมก้มหน้าก้มตาพูดยาวเหยียดแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบอะไร เลยหันกลับไปมองคนที่นั่งขัดสมาธิมองผมอยู่อย่างแปลกใจ แต่ก็ยิ่งแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้ากรุ่มกริ่มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ ขณะที่ดวงตาฉายแววบางอย่างออกมาชัดเจน

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป เขาถึงได้มองแบบนั้น แต่ไม่ทันได้ถาม ซันก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ ทาบริมฝีปากลงมาเบาๆ แล้วผละออกอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยิ้มกว้างจนดวงตาโค้งเป็นสระอิ ฟันเรียงสวยเกือบครบสามสิบสองซี่แบบที่ทำให้ใจผมแกว่งทุกทีที่เห็น

“โคตรน่ารักเลย”

อะ... อะไร ทำไมอยู่ๆ มาชมกันเฉย

แถมจูบเสร็จก็ขยี้หัวผมทีหนึ่งแล้วลุกออกไปเลย ทิ้งให้ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองแผ่นหลังกว้างของคนที่ทำเป็นตีมึนขะมักเขม้นจัดของบนโต๊ะด้วยความงุนงง ขณะที่หัวใจกำลังเต้นโครมครามอย่างห้ามไม่ได้

เพราะโควต้าจูบวันละครั้ง ทำให้หลายวันที่ผ่านมาเขาเหมือนจะไตร่ตรองเสมอก่อนจะทาบริมฝีปากลงมา ต้องมั่นใจก่อนว่าถ้าจูบไปแล้วจะไม่นึกเสียดาย และทุกครั้งมันมักจะเป็นจูบที่พรากลมหายใจราวกับว่าถ้าไม่ตักตวงเอาไว้ เขาอาจจะขาดอากาศหายใจไประหว่างวัน

แต่จูบเมื่อกี้กลับแตกต่างออกไป... เพียงแค่แตะริมฝีปากลงมาแผ่วเบา ไร้การตักตวงหรือไตร่ตรองใดๆ ไม่ใช่จูบดูดดื่มด้วยซ้ำ... แต่กลับแผ่ซ่านความอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

ทำไมถึงได้ขยันหาวิธีใหม่ๆ มาทำให้ผมแพ้ราบคาบได้ตลอดเลย

ผมได้แต่ย่นหน้าใส่ลับหลัง พยายามไม่ให้ตัวเองแสดงอาการเขินมากเกินไป ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบจิตสงบใจลงได้ แล้วกลับมาโฟกัสกับการย้ายของออกจากกล่องหนึ่งไปรวมอยู่ที่กล่องใหญ่โดยไม่ใช่พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด

แต่จัดได้ไม่เท่าไหร่ผมก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อหยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมา เป็นกล่องพลาสติกทรงสูงที่มองเข้าไปเห็นว่าข้างในบรรจุรูปถ่ายเอาไว้จำนวนหนึ่ง ผมถือวิสาสะหยิบออกมาหนึ่งใบเพราะสถานที่ในภาพมันคุ้นตา และเห็นชัดว่าคนในภาพนั้นคือผมกับซัน

เป็นภาพถ่ายตอนที่เราไปเที่ยวกับพวกตรี จากในภาพ น่าจะเป็นตอนที่ผมกับซันยืนคุยกันบนยอดเขาก่อนถูกเรียกไปถ่ายรูปรวม

“อัดไว้ด้วยเหรอครับ” ผมยิ้มออกมาพลางเดินถือกล่องใส่รูปเดินไปหาซันที่กำลังง่วนอยู่การจัดของบนโต๊ะ เขาหันมาเลิกคิ้วงุนงงก่อนจะยิ้มตามเมื่อเห็นรูปในมือผม

“ไอ้ตรีมันอัดมาให้อ่ะ บอกให้เอามาแบ่งกัน” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาหยิบกล่องไปถือให้ขณะที่ผมวางรูปเดิมลงและหยิบรูปต่อๆ ไปขึ้นมาดู ส่วนใหญ่เป็นรูปแอบถ่ายผมกับซัน ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าพวกเราตัวติดกันแทบจะตลอดทริป จนกระทั่งมาเห็นรูปถ่ายนี่แหละ

“ผมไม่เห็นได้เลย” ผมถามพลางหลุดยิ้มกับรูปที่พวกเรานั่งล้อมวงรอบกองไฟกัน และซันพยายามจะเล่นกีตาร์ทั้งที่ฝีมือไม่เอาอ่าว ผมนั่งอยู่ข้างๆ และทำสีหน้าเหม็นเบื่อใส่เขาในณะที่คนอื่นๆ กำลังหัวเราะตัวโยน

ก่อนที่ภาพต่อมาจะเป็นภาพที่ผมหลุดยิ้มออกมาบ้าง...

จำได้ดีว่าเพราะเสียงเพลงห่วยๆ ของเขา ทำให้บรรยากาศที่เจือปนด้วยความกระอักกระอ่วนกลับกลายเป็นสดใสได้อย่างเหลือเชื่อแค่ไหน เป็นคนที่มีบรรยากาศรอบตัวอบอุ่นไม่แพ้แสงไฟที่ใช้บรรเทาความหนาวเหน็บในคืนนั้นเลย

“ก็อยากเก็บไว้เองทุกรูปเลยอ่ะ” คนขี้หวงตอบกลั้วหัวเราะพลางทิ้งสะโพกพิงกับโต๊ะเขียนหนังสือ ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือกล่องไว้รั้งตัวผมให้ขยับเข้าไปใกล้แล้วก้มหน้าลงมาจนหน้าผากแตะกันเพื่อดูรูปด้วยกัน ผมเบ้หน้าใส่คำตอบของเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหยิบรูปอื่นออกมา เป็นรูปถ่ายรวมที่ผมเพิ่งสังเกตว่าเราสองคนยืนจับมือกัน

“นี่แอบแต๊ะอั๋งกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเหรอครับ” ผมแกล้งเลิกคิ้วถาม ซันยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะแกล้งงับปลายจมูกผมเบาๆ

“ดูดีๆ ตัวเองก็จับไว้เหมือนกันเหอะ” ว่าพลางตีสีหน้ายียวน “แบบนี้เรียกแต๊ะอั๋งร่วมป่ะครับ”

ผมเบ้หน้าใส่อีกรอบ ก่อนจะทำเป็นเฉไฉก้มหน้าดูรูปถ่ายต่อไป นึกถึงบรรยากาศตอนนั้นแล้วอยากจะไปอีกสักครั้ง ทั้งๆ ที่ปกติผมไม่ใช่คนชอบเที่ยว โดยเฉพาะการเที่ยวเป็นกลุ่มเนี่ย นอกจากไปทัศนศึกษาซึ่งค่อนข้างน่าเบื่อ ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์ไปเที่ยวแบบนี้เลย ต้องขอบคุณซันจริงๆ ที่ชวนผมไป

“เอ๊ะ...” ผมนึกอะไรเพลินๆ อยู่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่อยู่ก้นกล่องขึ้นมา

มันแปลกที่สุดในบรรดารูปถ่ายทุกใบ เพราะไม่ใช่รูปถ่ายจากทริปนั้น... และที่สำคัญ มันมีเพียงครึ่งใบ

รูปถ่ายสมัยมัธยมที่ผมจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งเคยเก็บมันไว้เป็นของสำคัญ เอาไว้เตือนใจว่าสักวันผมจะก้าวข้ามชีวิตอันน่าสมเพชเข้าไปในโลกที่มีแต่แสงสว่างได้อย่างเปิดเผยบ้าง... เดิมที มันเป็นรูปที่มีจุดโฟกัสอยู่ที่ซัน ตรี กับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ยืนโพสต์ท่าอยู่ด้านหน้า ในขณะที่มีผมติดมาอย่างบังเอิญขณะกำลังนั่งมองตรีอยู่ไกลๆ

แต่ตอนนี้อีกครึ่งที่มีตรีกับเพื่อนอีกคนกลับถูกฉีกทิ้งไป จนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งที่มีแค่ผมกับซัน

“อา... นั่นมัน...” คนเก็บรูปไว้ส่งเสียงอึกอักขึ้นมาอย่างร้อนตัว ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงรูปถ่ายกลับไป ผมเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าทำไมรูปนี้ถึงมาอยู่กับเขาได้

“ซันบอกให้ผมทิ้ง” ผมว่า เมื่อเขาเอาแต่หลบสายตาเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่รู้จะพูดยังไง

ในวันที่ผมถูกจับได้ว่าแอบชอบตรี เขาเป็นคนฉีกรูปนี้เพื่อบอกให้ผมทิ้งอดีตไป แต่ในวันที่ผมตั้งใจจะทำลายรูปทิ้ง กลับพบว่าครึ่งหนึ่งมันหายไป... ใครจะคิด ว่าคนที่เก็บมันไว้จะเป็นคนที่ฉีกมันเองกับมือ

“ก็...” เขาอึกอัก วางกล่องรูปลงแล้วยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเก้อๆ แล้วถอนหายใจออกมา “แค่เก็บมา เพราะคิดว่าอยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้อีกไง” เขาเริ่มอธิบาย ดวงตาคู่สวยเลื่อนมาสบตาผมอีกครั้งราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่างที่อยู่ในใจ

“อยากเห็นสายตาแบบนี้ อยากเห็นสีหน้ามีความสุขทั้งที่ได้แต่มองจากที่ไกลๆ”

“...”

“ตั้งใจมาตลอดว่าถ้าได้เห็นอีกเมื่อไหร่ จะเป็นคนทำให้สมหวังเอง” เขายิ้มกว้างอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ

ในขณะที่ผมได้แต่นิ่งไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร... เหมือนหัวใจกำลังถูกสัมผัสอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม และสายตาที่ทวีความอ่อนโยนในทุกๆ ประโยคที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีนั่น ทุกอย่างที่เป็นเขาตอนนี้ล้วนทำให้หัวใจของผมสั่นไหว และสุขสงบในเวลาเดียวกัน

“แล้วอีกอย่าง มันเป็นรูปคู่รูปแรกเลยนะ” เขาพูดขำๆ ก้มหน้ามองรูปถ่ายในมืออีกครั้ง “ไม่เคยรู้เลยว่าอยู่ใกล้กันขนาดนั้น โคตรเสียดาย”

“...”

“ถ้าได้รู้จักกันเร็วกว่านี้คงดีเนอะ”

“ซัน...”

“คงได้กอดเร็วกว่านี้ ได้จูบมากกว่านี้ ได้บอกรักตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีเรื่องไอ้ตรีให้เสียใจ”

“ถึงผมจะอยู่ในสภาพแบบนั้นเหรอครับ” อดไม่ได้ที่จะถาม เพราะนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าเราเจอกันตั้งแต่ตอนนั้นจะเป็นยังไง

เขาจะยังปฏิบัติกับผมแบบนี้มั้ย หรือแค่มองผมอย่างดูถูกไม่ต่างจากใครๆ

“เออ นั่นดิ...” ซันเงยหน้าขึ้นมาสบตา แกล้งทำท่านึกนิดหน่อย แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม

“แต่ถ้าเป็นคนนี้อ่ะ... ยังไงก็รัก” ก้มหน้าลงมากดจูบหนักๆ บนหน้าผาก ผมหลุดหัวเราะเบาๆ แล้วขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม
ไม่คิดจะถามอะไรอีก ไม่สงสัยเลยสักนิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นแค่การเอาใจหรือคิดแบบนั้นจริงๆ สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้วินาทีนี้ คือการกอดเขาไว้... ดึงใบหน้าของร่างสูงลงมารับจูบของผมไป เพื่อบอกว่าผมได้รับทุกๆ ความรู้สึกของเขา และรู้สึกขอบคุณมากแค่ไหน

ซันชะงักไปเหมือนไม่ทันได้ตั้งตัว ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายรุกล้ำ มอบจูบแสนอ่อนหัดให้เขาอยู่นาน จนกระทั่งเกือบจะหมดลมหายใจเสียเองถึงได้ผละออกมา มองใบหน้าเหวอหนักของคนตัวสูงกว่าแล้วได้แต่หลุดขำ

แต่ไม่นานก็ถูกครอบครองริมฝีปากอีกครั้งด้วยจูบที่ลึกล้ำยิ่งกว่า
 
มือหนารั้งท้ายทอยผมเอาไว้ เอียงใบหน้าปรับองศาเพื่อให้ริมฝีปากเราแนบสนิทไร้ช่องว่าง รสจูบแสนหวานที่มอมเมาให้เคลิบเคลิ้มจนลืมไปแล้วว่านี่มันเกินโควต้าจูบวันละครั้ง... และกำลังจะนำพาไปสู่การละเลยข้อตกลงอีกอย่างระหว่างเรา

รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกแขนแข็งแกร่งยกร่างสลับขึ้นมาเป็นฝ่ายนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างง่ายดาย ได้ยินเสียงข้าวของถูกปัดร่วงกระจัดกระจายเมื่อร่างสูงโถมตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิมหลังจากผละให้ผมได้หายใจเพียงเสี้ยววินาที ก่อนกดจูบลงมาอีกครั้ง เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัด รุกเร้า และร้อนแรงแทบจะหลอมละลาย

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเขาเลื่อนริมฝีปากพรมจูบไปทั่วใบหน้าระหว่างรอให้ผมหายใจ อาศัยจังหวะที่ริมฝีปากร้อนจัดกำลังง่วนอยู่กับการขบกัดไปทั่วใบหูและซอกคอ ถอดแว่นออกวางไว้ให้พ้นระยะอันตราย ก่อนที่อีกฝ่ายจะฉกฉวยริมฝีปากลงมาอีกครั้ง บดจูบย้ำๆ ด้วยสัมผัสที่ทวีความรุนแรงราวกับจะบอกว่าเส้นความอดทนของเขาใกล้จะขาดเต็มที

และอีกไม่กี่วินาทีก็คงกลายเป็นสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่งที่ปล่อยให้ความหิวโหยกลืนกินผมลงไปทั้งตัว

“...” แต่ชั่วขณะที่ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังจะไปไกลเกินห้าม ริมฝีปากที่พรากลมหายใจผมซ้ำๆ ก็หยุดชะงัก

ฝ่ามือซุกซนที่ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผมจนถึงเม็ดสุดท้ายโดยไม่รู้ตัวนิ่งค้างอยู่บนแผ่นหลังพักใหญ่ ก่อนจะทิ้งลงข้างกายเหมือนหมดเรี่ยวแรง

“ฮื่อ...” เสียงครางงอแงดังขึ้นหลังจากร่างสูงผละริมฝีปากออกไป ซบหน้าลงกับไหล่ที่เกือบเปลือยของผมพลางส่ายหน้าไปมา “เกือบไปแล้วอ่ะ”

ผมหลุดหัวเราะ รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร

จะว่าไปก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัว แต่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าสุดท้ายเขาทำตามข้อตกลงหนึ่งเดือนนั่นไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร

บอกแล้วไง ว่ายังไงผมก็จะเชื่อใจเขาอยู่ดี

“อันตรายสัสๆ ทำไมขี้ยั่วงี้วะ” เสียงทุ้มบ่นพึมพำขณะกดจูบหนักๆ ลงมาบนไหล่และซอกคอของผมเหมือนทำได้แค่นั้น มือข้างเดิมรั้งเอวผมเข้าไปกอดไว้ แกล้งรัดอ้อมกอดแน่นอย่างหมั่นไส้กัน ขณะที่ผมยิ้มขำ ทั้งประหลาดใจ และปลื้มใจที่เขายอมหยุดและทำตามสัญญาที่ให้ไว้

เดิมทีมันเป็นเพียงข้อเรียกร้องงี่เง่าที่ผมอยากทำโทษในความเจ้าเสน่ห์เกินไปจนน่าหมั่นไส้ของเขาก็เท่านั้น ไม่คิดว่าซันจะยอมทนเป็นอาทิตย์ๆ ทั้งที่โดนผมแกล้งสารพัด แม้กระทั่งตอนนี้...

สารภาพตามตรงว่าอันที่จริง ผมใจอ่อนตั้งแต่เขาตอบตกลงแล้วด้วยซ้ำ เพราะในตอนนั้นสายตาของเขายืนยันชัดเจนว่าสิ่งเดียวที่ต้องการคือความเชื่อใจจากผม... ไม่ใช่สิ่งอื่นใด

“คนดี” ผมหลุดปากเรียกเขาออกไปตามที่ใจคิด ก่อนจะดึงใบหน้าคนที่กำลังงอแงขึ้นมากดจูบลงไปบนโหนกแก้มทั้งสองข้างเบาๆ “น่ารัก”

“น่ารักมากๆ” ตามด้วยริมฝีปากบางที่คว่ำลงทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่กันทันทีที่ผมถอนจูบออกมา

“โชครับ... ถ้าจะทำขนาดนี้เอาปากกาบนโต๊ะมาแทงกันเลยดีกว่า” ครวญครางพลางซบหน้าลงกับไหล่ผมอีกรอบขบกัดเหมือนลูกหมาที่กำลังคันฟันอยากกัดทุกสิ่งรอบตัวจนผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง ยกมือขึ้นโอบรอบคอเขาไว้แล้วกดจูบลงไปบนขมับอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยวไม่แพ้กัน

“ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้ครับ”






กว่าจะเก็บของในห้องนอนเสร็จก็เย็นมากแล้ว แถมกินพลังงานจนคุณชายงอแงขอเก็บที่เหลือวันหลัง เราเลยตัดสินใจพักไว้แล้วโทรสั่งอาหารมากินกัน ก่อนจะผลัดกันอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปทำงานในอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมยืมเสื้อผ้าซันใส่เพราะชุดเดิมเต็มไปด้วยเหงื่อและคงเหนอะตัวแย่ถ้าต้องใส่มันต่อไปตลอดทั้งคืน

เสื้อยืดโคร่งๆ กับกางเกงที่ตัวใหญ่กว่าผมไซส์หนึ่งมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของต่างจากเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่ทุกวันนี้ที่มีกลิ่นของผมปะปนอยู่จนแยกไม่ออกแล้วว่าเป็นกลิ่นใคร หรือแม้แต่บนเตียงที่ไม่ได้ใช้งานมานานก็ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเขาหลงเหลือเอาไว้ มันคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจราวกับนั่งอยู่ในห้องตัวเอง
   
“อ้วนขึ้นป่ะเนี่ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากเดินมานั่งซ้อนหลังผมทำตัวเป็นพนักพิงต่างหัวเตียง
   
ถ้าเป็นเมื่อก่อนได้ยินใครทักแบบนี้ผมคงจิตตก กังวลจนวิ่งไปส่องกระจกอยู่นานสองนานด้วยความไม่มั่นใจ แต่หลังจากอยู่กับซัน และเห็นชัดว่าเขาพยายามขุนผมให้อ้วนขึ้นด้วยสารพัดอาหารทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ผมก็เหนื่อยใจที่จะต้องมานั่งนับแคลอรี่เหมือนที่เคยทำ
   
“จะได้กอดนุ่มขึ้นไงครับ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่สายตากำลังจดจ่ออยู่บนชีทสรุปบทเรียนที่พกมาอ่านฆ่าเวลา
   
อย่างที่บอกว่าไฟนอลกำลังใกล้เข้ามา ดังนั้นทุกวินาทีเลยมีค่า รู้ดีว่าตัวเองมีเวลาน้อยกว่าคนอื่นเพราะต้องทำงาน ก็เลยต้องเริ่มก่อนคนอื่นเขาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเร่งอ่านเอาทีหลัง ซึ่งเสี่ยงมากที่จะอ่านไม่ทัน
   
“หนาย~” คนขี้แกล้งลากเสียงยียวน ก่อนจะโอบแขนรอบเอวผม รัดแน่นพลางจับโยกไปมา “นุ่มขึ้นจริงด้วยอ่ะ”
   
“ซัน” ผมทำเสียงดุอย่างรำคาญ แต่ตีหน้านิ่งได้ไม่นานก็หลุดขำเมื่อจมูกโด่งๆ กดลงมาที่แก้มพลางพึมพำ
   
“เพิ่มตรงนี้ให้ด้วยดิ” ก่อนจะก้มลงซุกไหล่แล้วสูดกลิ่นจนได้ยินเสียงลมหายใจ “ตรงนี้ด้วย”
   
“...”
   
“ตรงนี้” งับเบาๆ ตรงต้นแขนที่อยู่ใต้เสื้อยืดตัวบาง
   
“อ่านหนังสือไปเลยครับ” ผมดุ ใช้ชีทในมือเคาะหัวคนทะเล้นจนหยุดวอแว แต่ก็ยังไม่วายหลุดขำที่แกล้งผมได้ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบชีทของตัวเองมาอ่านบ้างพลางดึงตัวผมลงไปพิงอกกว้างเพื่อให้นั่งสบาย
   
ไม่นานทั้งห้องก็เงียบกริบ ต่างคนต่างจมลงสู่เนื้อหาการเรียนเงียบๆ ไม่มีใครส่งเสียงรบกวนกัน แถมยังใช้ร่างกายของอีกคนแทนการระบายความคิดบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
   
เช่นตอนนี้ที่พอถึงข้อที่เป็นโจทย์ยากๆ ผมก็จะเผลอลากนิ้วทดเลขบนหลังมือเขาที่วางอยู่บนเข่าที่ชันขึ้นมาข้างหนึ่ง ในขณะที่ซันเวลาที่เขาต้องใช้สมาธิในการจำ เจ้าตัวก็จะกดจูบซ้ำๆ ลงมาบนกระหม่อมผมพลางเอ่ยเนื้อหาที่ต้องจำ
   
แปลกดีที่เราปล่อยให้อีกฝ่ายทำแบบนั้นโดยไม่รู้สึกรำคาญ กลับรู้สึกสบายใจกับการกระทำที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ และเชื่อเถอะว่าเวลาที่เขาท่องจำสลับไปมามันน่ารักมากจนบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปแกล้งกัดริมฝีปากเจ้าตัวเบาๆ
   
เรานั่งอ่านหนังสือกันอยู่นาน จนกระทั่งเจ้าของไหล่กว้างที่ผมพิงอยู่ถอนหายใจหนักๆ วางชีทลงข้างๆ พลางทิ้งตัวลงมาวางคางบนไหล่กอดผมไว้หลวมๆ แล้วบ่นพึมพำ
   
“ง่วง” ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูนาฬิกาแล้วพบว่ามันยังพอมีเวลา
   
“หลับก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมปลุกเอง” ผมบอก ไม่คิดจะห้ามเพราะรู้ว่าหลายคืนที่ผ่านมาเขาต้องอดหลับอดนอนปั่นโปรเจ็กต์ให้ทัน คืนหลังๆ เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องด้วยซ้ำ ไม่ต้องถามถึงที่ร้านเลย ผมต้องจัดการลางานและสลับเวรนายมาทำแทนให้เพื่อที่เขาจะได้ทำงานโดยไม่ต้องกังวล
   
“อืม” เสียงงัวเงียรับคำสั้นๆ แต่แทนที่จะขยับไปนอนดีๆ เขากลับหลับตาแล้วซบหน้าลงกับไหล่ผม ขณะที่แขนสองข้างกอดรอบเอวไว้คล้ายกำลังกอดหมอนข้างก็ไม่ปาน
   
“ลงไปนอนดีๆ สิครับ” ผมว่าพยายามแกะมือออกจากเอว แต่ฝ่ามือหนากลับจับมือผมไว้แทน

“ซัน...” ผมกำลังจะดุ แต่ก็ไม่ทันเขาเถียงทั้งที่เสียงงึมงำ
   
“แบบนี้สบายแล้ว”
   
สบายที่ไหนกัน ถ้าตื่นมาปวดหลังผมจะตีซ้ำให้ดู
   
แต่รู้ว่าเถียงไปก็คงไร้ประโยชน์ เลยปล่อยให้คนดื้อนอนท่านั้น ติดตรงที่มือของเขายังคงจับมือผมอยู่เลยทำให้ยังอ่านหนังสือไม่ได้ กำลังจะอ้าปากบอก แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร คนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็เรียกชื่อผมขึ้นมา
   
“โช...”
   
“...” ผมเงียบและรอฟัง ในขณะที่เจ้าของเสียงเว้นวรรคไปนาน มือข้างที่จับมือผมอยู่วนไปมาอยู่ที่นิ้วนางราวกับว่ากำลังวัดขนาดของมัน

และเพราะมัวแต่สงสัยในการกระทำนั้น ผมจึงไม่ทันได้ตั้งตัวตอนที่เสียงทุ้มเอ่ยบางอย่างออกมาเบาๆ
   
“แต่งงานกันมั้ย”
   
“...” 
   
อะ... อะไรนะ
   
ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่เสียงของเขามันเบาและงัวเงียเกินกว่าจะจับใจความได้ แถมคนพูดก็ดูเหมือนไม่พร้อมจะเอ่ยทวน

ซันเงียบไป ขณะที่ฝ่ามือเปลี่ยนมาประสานนิ้วมือผมไว้หลวมๆ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท และลมหายใจร้อนๆ ที่คลอเคลียอยู่ตรงลำคอก็สม่ำเสมออย่างคนที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทรา
   
ผมขมวดคิ้วมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังหลับใหล ไม่กล้าปลุกเจ้าตัวขึ้นมาถามว่าพูดอะไร เลยได้แต่ถอนหายใจ เบ้ปากงอแงอยู่ในใจคนเดียว

จากที่ตั้งใจจะอ่านหนังสือต่อ ตอนนี้กลับกลายเป็นสมาธิกระจัดกระเจิงจนอ่านไม่ได้ วางชีทลงแล้วซุกไซ้ใบหน้าลงกับซอกคออีกฝ่าย แล้วกัดเบาๆ อย่างหมั่นไส้
   
นิสัยไม่ดี... มาแกล้งให้คนอื่นใจสั่นขนาดนี้แล้วหลับหนีกันได้ยังไง





------------------------------------------------------------------------
ใครอ่านจบตอนนี้แล้วใจสั่นตามโชจะรู้สึกขอบคุณมากเลยค่ะ 5555
แต่เชื่อว่าคงมีหลายคนอยากจะพุ่งเข้าไปตบหน้าเจ้าซัน ปลุกขึ้นมาให้พูดให้ชัดๆ มากกว่าใช่มั้ยคะ  :hao7:
เอาน่า มันยังไม่ถึงเวลาไงคะ (ตบบ่าๆ)

ยิ่งใกล้จบยิ่งรู้สึกว่าเขียนยากยังไงไม่รู้อ่ะ
เหมือนต้องปลดปล่อยความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เคยกั๊กไว้ออกมาหมดหน้าตัก
เหนื่อยมาก แต่ก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน
หวังว่าอ่านแล้วจะชอบกันนะคะ แต่ถ้าหวานเกินไปจนเลี่ยนก็ต้องขออภัย บอกได้นะคะ เราจะยื่นน้ำมะนาวให้ 55555

ฝาก #ซันโช เหมือนเดิมนะคะ
ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นต์คือกำลังใจจริงๆ ค่ะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2017 00:38:28 โดย makok_num »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด