ตอนที่ 18
พาร์ตของอาสา
“กูต้องกลับแล้วว่ะ”
“รอแป๊บดิ”
“มีอะไรอีกวะ”
“กูก็แค่...ชอบบรรยากาศในร้าน”
“สัดไมล์ กูง่วงแล้ว”
“กูเพิ่งสั่งขนมไป”
“สั่งมาทำเหี้ยไรตอนเที่ยงคืนวะ”
“ก็กูหิว”
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนไมล์ก็ยังนิสัยเหมือนเดิม มันเป็นเจ้าของใบหน้าหล่อดูใจดี แต่หารู้ไม่ว่าใต้ความใจดีนั้นมีความเอาแต่ใจหน่อยๆ แฝงเอาไว้ ไอ้เตมักพูดกับผมลับหลังเชี่ยไมล์เสมอว่ามันโตมาอย่างเพอร์เฟ็กต์ ที่บ้านมันมีทุกอย่างโคตรสมบูรณ์แบบ มันอยากได้อะไรก็ต้องได้
อย่างเช่นวันนี้ ผมขอมันกลับหอตั้งแต่สี่ทุ่ม เชี่ยไมล์ก็คอยหาโอกาสต่อเวลาอยู่เรื่อยๆ ผมร้อนใจขึ้นทุกขณะ สิ่งที่ผมกลัวที่สุดไม่ใช่กลัวการอยู่กับไมล์ แต่ผมกลัวว่าทนายจะงอนผมต่างหาก
ผมโคตรแคร์มันเลยครับ แคร์มันฉิบหาย แต่ในบางสถานการณ์ผมก็เลือกยาก ไอ้ไมล์ชอบผมก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากเสียมันไป ผมพยายามวางตัวดีทุกอย่าง แม้กระทั่งการนั่งร้านกาแฟด้วยกันผมก็เลือกที่จะนั่งอยู่ห่างๆ เวลาพูดคุยผมก็พูดจาธรรมดา ไม่ใส่คำที่ชวนคิดไปอื่นไกล ผมทำเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่มันก็มีความรู้สึกตงิดๆ ในใจว่าเชี่ยไมล์มันจะไม่ได้คิดแบบผม
ขนมถูกเสิร์ฟตอนเวลาเกือบตีหนึ่ง ผมมองดูฮันนี่โทสต์ตรงหน้าด้วยสายตาเรียบเฉย
“ร้านนี้อร่อยนะ” ไมล์หว่านล้อม
“มึงแดกไปคนเดียวเลย”
“เฮ้ย กูแดกไม่หมด”
“แล้วมึงสั่งมาทำไมวะ มึงต้องถามกูก่อนดิ”
ไมล์ดูอึ้งกับคำพูดผม “โกรธเหรอวะ”
“บ้า แค่เรื่องขนมป่ะ”
“งั้นก็กินด้วยกัน”
“กินเสร็จกลับเลยนะ”
“โอเค”
ขอให้จริงเถอะ ผมหยิบช้อนขึ้นมาเตรียมกินขนมบ้าๆ นี่ให้หมดซะ พอตักเข้าปากไปคำแรก สีหน้าของผมเริ่มเปลี่ยน
เออเว้ย อร่อยจริง“อืม” ผมส่งเสียงพึงพอใจ “ใช้ได้นี่”
“เห็นมั้ย กูบอกแล้ว”
มีคำแรกก็ต้องมีคำต่อไป ผมตักคำต่อไปเข้าปากโดยมีไอ้ไมล์มองอย่างสุขใจ และตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นทนายกำลังยืนมองอยู่นอกร้าน
สายตาแบบนี้ไม่ใช่สายตาที่ดีเลย
ผมลุกขึ้นยืนกะทันหันจนไมล์ผงะด้วยความตกใจ ผมเดินออกไปจากร้านทันทีโดยไม่ตอบคำถามของไมล์ที่ถามว่าจะไปไหน
ตอนอยู่หน้าร้าน ผมไม่เคยเห็นทนายทำสีหน้าข่มอารมณ์โกรธขนาดนี้มาก่อน มันยกมือขึ้นสองข้างเหมือนกำลังรอฟังในสิ่งที่ผมจะพูด
“อะไร” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ
“มีอะไรจะพูด พูดมาเลย กูจะไม่ถาม”
ผมถอนหายใจ รู้สึกใจสั่นแบบแปลกๆ เพราะกลัวว่าทนายจะโกรธผมไปมากกว่านี้แล้วผมจะง้อมันไม่ได้ ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน
“กูจะกลับตั้งนานแล้ว แต่ไอ้ไมล์มันยื้อไว้”
“ดูมีความสุขกันมากนี่ แดกขนมกันสบายใจ ปล่อยให้กูคิดมากอยู่คนเดียว”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะเว้ย”
ทนายแม่งโมโหจริงว่ะครับ สีหน้าของผมตอนนี้ทั้งกังวลและก็เครียด นี่ผมเกรงใจทนายมันจริงๆ นะเนี่ย
“มีอะไรกันวะ” ไมล์เดินออกมาหน้าร้าน ทนายหันหน้าไปทางอื่นทันทีคล้ายกับว่ายังไม่ทันจะเคลียร์กันได้จบ ไมล์ก็ออกมาแล้ว แปลว่าผมกับมันไม่สามารถพูดอะไรทำนองนั้นต่อไปได้อีก “ทนายมึงเป็นไร” ไมล์ถามซ้ำเมื่อเห็นสีหน้าของทนาย
“กู...ไม่มีอะไร” มันแค่นเสียงตอบ
“เข้าไปในร้านก่อนมั้ย มีขนมนะ”
“กูไม่มีอารมณ์แดกตอนนี้ว่ะ”
“...”
“มึงเข้าไปแดกกันสองคนเลย เดี๋ยวกูรอข้างนอก”
ไมล์สบตาผมอย่างงงๆ คงจะคิดว่าผมงงเหมือนมันมั้ง แต่ผมไม่ได้งง ผมรู้ดีว่าทนายกำลังรู้สึกยังไงอยู่
“ไมล์เดี๋ยวกูกลับพร้อมทนายมันเลยนะ” ผมพูด “มึงก็เห็นหน้ามัน มันคงมีเรื่องจะพูดกับกูอ่ะ”
“เอางั้นเหรอวะ” ไมล์พยักหน้าเข้าใจ “เดี๋ยวกูไปหยิบของมาให้ละกัน”
“กูไปหยิบให้เอง” ทนายเดินชนไหล่ผมกับไมล์แล้วก็เข้าไปในร้านทันที ผมมองตามด้วยสายตากังวล เห็นทีคืนนี้ผมคงต้องง้อมันอีกยาววววววววววว
“มันเป็นไรวะ” ไมล์ดูงงมาก “เพราะกูขโมยมึงมาจากมันป่ะเนี่ย”
มึงอาจจะพูดเล่น แต่เสือกเป็นความจริงไง
“งงกับแม่งเหมือนกัน” ผมต้องตอบไปแบบนั้น ทนายออกมาพร้อมของของผมพอดี หลังจากนั้นเราสองคนก็บอกลาไอ้ไมล์
บนรถของทนาย
บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างมาคุสุดๆ ผมนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ข้างๆ คนขับอย่างทนาย ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงขนาดนี้มาก่อน
“มึงรู้เหตุผลที่กูโกรธป่ะ” ทนายโพล่งขึ้นมา
ผมพยักหน้าน้อยๆ
“ไหนลองพูดมาดูซิ”
นี่กูเป็นเด็กสำหรับมึงป่ะเนี่ย
“มึงด่ากูมาเลยไม่ได้เหรอ”
“กูไม่ด่าหรอก ต้องให้มึงรู้เองว่ามึงผิดอะไร มึงจะได้รู้เหตุผลว่าทำไมกูถึงโกรธ ไม่ดิ ต้องพูดว่าทำไมกูถึง...งอนมึง”
“ทำไมไม่ใช้คำว่าโกรธล่ะ”
“โกรธต้องใช้กับเรื่องที่ง้อยากๆ สิ”
“งั้นแสดงว่าตอนนี้กูก็ง้อมึงง่ายอ่ะดิ” ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
ทนายทำหน้าหงิกก่อนตอบว่า “ลองง้อมาก่อน”
แฟนคนแรกของผมไม่ใช่คนที่งี่เง่าไร้เหตุผลแฮะ ผมมองอีกฝ่ายด้วยสายตาซาบซึ้งก่อนจะค่อยๆ พูด ผมคิดว่าผมน่าจะคิดถูกว่าทำไมทนายถึงเป็นแบบนี้
“มึงงอนกูเพราะกู...กลับดึก”
“ถูก”
“กูอยู่กับไมล์”
“อันนี้ก็ถูก”
“กูอยู่นานเกินไปด้วย”
“อันนี้ก็ใช่”
“หมดแล้ว”
“ยังไอ้สัด”
ผมสะดุ้ง ทนายไม่ได้พูดเสียงดังครับ แต่ผมสะดุ้งเพราะความผิดของผมมันควรจะมีเท่านี้ มันมีห่าอะไรอีกวะเนี่ย
“มึงยิ้มให้ไอ้เชี่ยไมล์...ต่อหน้ากู”
ตอนไหนวะ ผมรีบเค้นสมองหาชนวนเหตุนี้ทันที คิดให้ตายยังไงก็คิดไม่ออก
“ตอนไหน” ผมถามออกมาจนได้
“ก็ตอนที่แดกขนมอ้วนๆ นั่นไง”
ผมยิ้มเหรอตอนนั้น “กูว่ากูไม่ได้ยิ้มให้ไมล์มันหรอก”
“แล้วมึงยิ้มให้อะไร”
“ขนมมันอร่อยมากนะ”
“เฮ้ย มึงยิ้มให้สัดไมล์ ถ้ามึงยิ้มให้ขนมกูคงไม่เป็นแบบนี้หรอก กูไม่หึงขนม”
“กูยิ้มเพราะขนมอร่อยจริงๆ นะตอนนั้นอ่ะ” ผมยืนยันความบริสุทธิ์
“อย่าพูดแบบนั้น กูจะดูเป็นไอ้โง่ กูหึงขนมเนี่ยนะ”
ผมหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย “มีกูรู้อยู่คนเดียวกลัวอะไร”
“ไม่รู้ล่ะ” ฟอร์มไอ้ทนายเริ่มหลุด “ตอนที่พวกมึงสองคนอยู่ด้วยกันในร้านบ้านั่น อาจจะยิ้มให้กันเป็นสิบๆ ครั้งก็ได้”
เถียงไม่ออกเลยแฮะ “โอเค กูผิดเองงงงงงงง” ผมขยับหัวไปไถกับแขนอันบึกบึนของทนาย “กูขอโทษ กูต้องทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธ”
“กูไม่ให้มึงออกมาติวดึกๆ แบบนี้กับเชี่ยไมล์สองต่อสองอีกแล้ว”
“เด็ดขาดฉิบ”
“กูคิดมานานแล้ว”
“...”
“ถ้าจะติวกับเชี่ยไมล์ ต้องมีกูอยู่ด้วย”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก “โอเค”
“แล้วก็ต้องเริ่มคิดเรื่องที่จะบอกความจริงมันได้แล้ว” ทนายดูจริงจังมาก “กูเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วว่ะ”
ผมทำสีหน้าเข้าใจมัน ตอนที่อยู่กับไมล์ในร้านผมก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเหมือนกัน บางทีอาจจะถึงเวลาบอกความจริงมันแล้วก็ได้
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
“แต่อาจจะต้องผ่านพ้นช่วงนี้ไปก่อน” ทนายถอนหายใจ ดูเป็นผู้นำมากจนผมอดประทับใจไม่ได้
“ทำไมล่ะ”
“ช่วงนี้มีสอบ อย่าลืมสิ”
ยอมใจในความใจกว้างของมัน ถึงจะอยากบอกความจริงไอ้ไมล์แต่ความรู้สึกและอนาคตของไมล์ต้องมาก่อน ผมหอมต้นแขนไอ้ทนายเป็นรางวัล มันใส่เสื้อแขนกุดมา แขนมันก็เลยน่าเล่นมากครับ
“ปากอยู่นี่ นั่นแขน”
“ก็จะจุ๊บแขน”
“เฮ้อ กลับกันเถอะ ง่วงแล้วว่ะ”
“หายงอนแล้วแน่นะ”
“อืม”
“...”
“มึงเป็นแฟนคนแรกที่เข้าใจในความหึงของกู ขอบคุณนะ”
ผมยิ้มให้มันน้อยๆ รู้สึกดีที่คืนนี้ไม่ต้องง้อมันยาวกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ก็มีบางอย่างที่สะกิดในหัวใจ
“นี่มึงคิดถึงแฟนเก่ามึงอยู่เหรอ”
“อะไรเนี่ย”
“ก็มึงเอากูไปเปรียบเทียบ”
“อาสา ดึกแล้วเนอะ ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
“อย่าให้กูขยี้นะ” ผมเองก็เหนื่อยๆ อยากนอนแล้วเหมือนกัน
“อย่าใช้คำพูดขยี้กูเลย ใช้ปากมึงมาขยี้กูดีกว่า”
ผมหุบปากฉับทันที อยู่ดีๆ แม่งมาถึงเรื่องนี้ได้ไงวะเนี่ย...
หลังจากวันนั้นไม่ว่าไอ้ไมล์จะพยายามสร้างโมเมนต์กับผมยังไง ก็จะมีไอ้ทนายมาเป็นมารขวางเอาไว้
ตอนเช้าของวันต่อมา ทนายมีเรียน แต่ผมไม่มี ไมล์ก็เลยจะเข้ามาอยู่กับผมตั้งแต่เช้า
“อาสาอยากไปคณะกับกูว่ะ เห็นว่าอยากคุยกับเพื่อนกู คุยเรื่องอะไรไม่รู้”
มึงก็สรรหาคำพูดมาพูดเนอะ กูไม่มีอะไรจะพูดกับเพื่อนมึง
ไมล์ยอมแพ้และก็กลับเข้าไปในห้อง ผมต้องมาคณะกับไอ้ทนายจริงๆ ครับ เพราะผมไม่อยากโกหกเพื่อน ทนายเข้าไปเรียนแต่ผมมานั่งรอมันที่ห้องสมุดคณะแทน ผ่านไปสักพักไมล์ก็ส่งข้อความมา
MILE : เที่ยงนี้หาไรกินป่ะผมกำลังจะตอบ แต่ทนายก็แย่งโทรศัพท์ในมือของผมไปพิมพ์แล้ว ไม่รู้มันโผล่มาอยู่ข้างหลังผมตอนไหน
ARSA : ต้องแดกกับทนายว่ะ โทษที
MILE : พามันไปแดกด้วยกันเลยสิ“มันสู้ว่ะ” ทนายชักสีหน้า
มึงจริงจังเกินไปป่ะเนี่ย
“ไมล์มันไม่แดกอะไรวะ”
“พวกอาหารทะเลมั้งนะ”
“งั้นเหรอ” มันพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างกระแทกกระทั้น
ARSA : วันนี้จะกินอาหารทะเลผมอ่านแล้วมองหน้าทนาย
“อาหารทะเลตอนเที่ยงเนี่ยนะ”
มันยักไหล่ “ยังไงก็ต้องปฏิเสธไอ้เชี่ยไมล์ให้ได้”
“กูเริ่มสงสารมันแล้วนะเนี่ย ไม่ใช่ในฐานะที่มันชอบกูนะ อย่าเพิ่งทำหน้างั้น” ผมต้องรีบพูดเพราะทนายชิงเลิกคิ้วไปก่อนแล้ว “แต่ในฐานะเพื่อน กูไม่เคยปฏิเสธมันขนาดนี้มาก่อนเลย”
“ไม่ช้าก็เร็วยังไงมันก็ต้องเจอแบบนี้” ทนายถอนหายใจ “นี่มึงคิดว่ากูไม่รู้สึกผิดหรือไง”
“เฮ้อ”
“กูกำลังคิดเล่นๆ” จู่ๆ มันก็ทำสีหน้าจริงจัง
“อะไรของมึง”
“หรือกูจะหาคู่ให้มันดี”
“โอ๊ย ไอ้บ้า มึงว่างเหรอ”
“ก็มันจะได้เลิกมายุ่งกับแฟนกูไง”
“เพื่อนมันไม่ชอบให้ถูกจับคู่หรอก ยิ่งคนอย่างไอ้ไมล์ยิ่งไม่ชอบถูกใครบังคับ” คนที่ไม่ค่อยเจอเรื่องแย่ๆ อย่างไมล์จะชอบให้ใครมาบังคับมันเหรอครับ ผมขอถามสักนิดเถอะ
“อืม จะหานางฟ้าจากไหนอีกคนหนึ่งดีนะ” มันทำท่าครุ่นคิด “หายากนะคนอย่างมึงอ่ะ แม่งโคตรลิมิเต็ด เป็นผู้ชายในแบบที่ผู้ชายชอบ แต่ผู้หญิงไม่ชอบเลย”
“กูได้ยินคำพูดมึงทุกคำนะ” ผมกัดฟัน มันตอกย้ำความนกของผมอยู่เหรอ
“ทำไงดีวะ” มันสนใจคำพูดของผมบ้างมั้ยเนี่ย
เสียงแจ้งเตือนของไลน์ดังขัดผมกับทนายเสียก่อน
MILE : อาสามึงเป็นไรวะ
MILE : มึงหลบหน้ากูจัง
MILE : นี่กูเยอะเกินไปใช่ป่ะ“เชี่ย เห็นมั้ย ดราม่าเลย” ผมร้อง
“ก็มันมากไปจริงๆ ไง” ทนายยังคงใจแข็งอยู่
“ไม่ต้องพิมพ์อะไรตอบไปนะ ไม่ต้องไปขยี้อะไรอีก”
“นั่นสิ” ตอนนี้ทนายเริ่มมีสีหน้าเครียดมากกว่าผมไปแล้ว “นี่กูทำร้ายแม่งมากไปมั้ยวะ”
ผมกับมันไม่มีใครใจแข็งกับเพื่อนได้เลยสักคน ในที่สุดเราก็ตัดสินใจไม่ตอบข้อความตัดพ้อของไมล์ ถึงแม้ว่าข้อความนั้นจะขึ้นว่าผมอ่านแล้วก็ตาม
ไม่ว่าจะมีอะไรแย่ๆ เกิดขึ้น ทนายก็ขอให้ไมล์มันผ่านพ้นช่วงสอบไปก่อน
หอสาม
ในเย็นวันนั้น อยู่ดีๆ พี่อ้ายก็เรียกคนทั้งหอมาประชุมเฉยเลย ทุกคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าทำไมพี่อ้ายต้องมาเรียกประชุมในช่วงโค้งสุดท้ายของการอ่านหนังสือสอบมิดเทอมด้วย คิดว่าพี่อ้ายจะแคร์เสียงโอดครวญเหล่านั้นมั้ยครับ
พี่มันไม่แคร์เลยสักนิด แถมยังมีการด่าสวนกลับมาอีกว่า ‘กูก็ต้องอ่านเหมือนกัน พวกมึงอย่าบ่นให้มาก’
“วันนี้มีอะไรเหรอวะสัดอ้าย” พี่ปีสี่จากคณะเศรษฐศาสตร์ยกมือขึ้นถาม
“เอาล่ะ พวกมึงทุกคนตั้งใจฟังให้ดีๆ” พี่อ้ายกระแอม “ห้ามพูดแข่งตอนที่กูพูด หุบปากให้หมด”
ประธานหอผมรอจนเสียงคุยกันเงียบลงแล้วจึงค่อยพูดต่อ
“เทศกาลแข่งโดเนทกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว”
สิ้นเสียงของพี่อ้าย เสียงฮือฮาก็ดังขึ้นทันที ทนายที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาหาผมอย่างงงๆ ผมจึงอธิบายให้มันฟังคร่าวๆ
“ทุกปีหอพักชายจะมีการแข่งเรี่ยไรเงินเพื่อเอาไปทำบุญว่ะ ปีที่แล้วทำบุญช่วยเด็กดอยผู้ยากไร้ แต่ปีนี้กูไม่รู้”
“แข่งกับใคร” ทนายถามต่อ
“พวกหออื่นไง”
“แข่งกันหาเงินเนี่ยนะ”
“ใช่”
“สนุกเหรอวะ”
“สนุกสิ ได้เงินไปทำบุญด้วย ได้ทำเพื่อศักดิ์ศรีหอด้วย”
ทนายขมวดคิ้ว บางครั้งมันก็อินกับเรื่องหอแต่บางครั้งมันก็ไม่อิน เรื่องนี้ทำให้มันมีเสน่ห์มากสำหรับผม เพราะมันดูแตกต่างดีครับ ส่วนใหญ่คนทั้งหอเชื่อเรื่องศักดิ์ศรีหอพักกันหมด ผมก็เหมือนกัน
“ปีนี้จะแข่งโดเนทเพื่อช่วยมูลนิธิเพื่อนช้าง อธิการบดีประกาศในที่ประชุมแล้วว่าปีนี้ร่วมโดเนทช่วยช้างน่าจะเหมาะที่สุด” พี่อ้ายพูด มองหน้าทุกคนอย่างทั่วถึง ไม่มีการเขินอายใดๆ
“แข่งกันหาเงินไปทำบุญ งั้นพวกหอสี่ก็ชนะตลอดสิวะ” ทนายพึมพำ “พวกมันก็แค่บริจาคเงินให้มากกว่าหออื่น”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก “ทุกปีหอสี่ก็ชนะเพราะเงินพวกมันเองตลอด แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นไง เราแข่งเรื่องวิธีการหาเงินและก็จำนวนคนที่เข้ามารุมที่เต็นท์ว่าจะมีเยอะหรือเปล่า”
“หอสามของเราไม่เคยเสียหน้าเลย” พี่อ้ายพูดต่อในส่วนของผมพอดี “ในที่สุดก็จะได้ใช้ความหน้าตาดีของเราเป็นประโยชน์อีกครั้งหนึ่งแล้ว ไปคิดกันมาก็แล้วกันว่าจะทำยังไงให้เต็นท์ของเรามีสีสันมากที่สุด ทนาย อาสา” ผมสะดุ้งเมื่อถูกพี่อ้ายพาดพิง ส่วนไอ้ทนายทำสีหน้าเบื่อขึ้นมาทันที “มึงสองคนอ่ะตัวเรียกแขกเลย วันนั้นพวกมึงต้องช่วยกันทั้งวัน เข้าใจมั้ย”
ปีก่อนผมก็เป็นตัวเรียกแขก ปีนี้ผมก็ต้องเป็นอีกเหรอเนี่ย ไอ้คำว่าตัวเรียกแขกมันไม่ได้สวยหรูอะไรเลยครับ มันคือทาสดีๆ นี่เอง ผมจะต้องเฝ้าเต็นท์ทั้งวัน คอยทำทุกอย่างที่คนบริจาคเขามาขอ ส่วนใหญ่ก็มักจะมาขอถ่ายรูปทั้งนั้น
ยิ้มสู้กล้องทั้งวันมันเหนื่อยนะครับ
“งานแข่งโดเนทจะถูกจัดหลังสอบมิดเทอมพอดี เป็นวันโอเพนเฮ้าส์ของมหา’ลัยด้วย”
ผมโอดครวญทันที แปลว่าคนที่จะมางานนี้ไม่ใช่แค่คนในมหา’ลัย แต่เป็นแขกที่มาชมมหา’ลัยด้วย บอกเลยว่าวันนั้นคงต้องเหนื่อยกันแบบยกกำลังสิบ
“กูมีเรื่องที่จะพูดแค่นี้ หวังว่าพวกมึงจะจริงจังกับการแข่งเพื่อศักดิ์ศรีของหอครั้งนี้ เรื่องเรียกแขกหอสามของเราไม่เคยแพ้ใคร พวกมึงจงใช้สิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ได้ช่วยน้องช้างด้วยและได้ช่วยรักษาหน้าตาของหอด้วย มีใครสงสัยอะไรมั้ย”
ไอ้ทนายยกมือโดยที่ไม่ถามความเห็นของผมสักคำ
“มีไรทนาย”
“ปีนี้หอเราไม่อยากชนะเรื่องเงินด้วยเหรอครับ”
พี่อ้ายเลิกคิ้ว “มึงเลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย รุ่นพี่มึงพยายามกันมาเป็นสิบๆ ปีแล้วยังไงก็ไม่มีทางสู้พวกหอสี่ได้”
หอคนรวย ถ้าเป็นแข่งเรื่องเงินยังไงพวกแม่งก็ไม่มีวันยอม
“น่าจะเปลี่ยนกฎใหม่” ทนายบ่นอุบ “อย่าใช้เงินตัวเอง ใช้เงินของคนที่เข้ามาบริจาคก็พอ”
“มึงใจเย็นๆ นะ” พี่อ้ายปราม “ถ้าเป็นงั้นไอ้พวกหอสี่มันก็จะไม่ลงเงินตัวเองเยอะๆ น่ะสิ อย่าลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของเรา ที่เราแข่งโดเนทเพราะเราต้องทำเพื่อน้องช้าง”
แหม ช่างย้อนแย้ง เชื่อมั้ยครับว่าพี่มันจริงจังเรื่องศักดิ์ศรีหอของคนหน้าตาดีมากกว่าเรื่องโดเนท ผมรู้ดี ปีที่แล้วพี่อ้ายก็เป็นแบบที่ผมพูด พี่มันเรียกมาประชุมล่วงหน้าก่อนงานเริ่มตั้งหลายอาทิตย์แน่ะ
เมื่อไม่มีใครสงสัยอะไรใดๆ แล้ว พี่อ้ายก็ปล่อยให้ทุกคนไปอ่านหนังสือกันต่อ และไม่ลืมที่จะอวยพรทิ้งท้ายว่าขอให้โชคดี ได้เกรดดีๆ กันทุกคน
ผมกับทนายแยกกับไอ้เตไอ้ไมล์แล้วขึ้นมาบนห้อง ใบหน้าของทนายเหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดเรื่องงานแข่งโดเนทอะไรนี่อยู่ ผมจึงต้องเอ่ยถามออกไป เพราะหน้าตาของมันตอนนี้ดูตลกมากจริงๆ ไม่รู้มันเครียดอะไรอยู่
“มีอะไรพูดมา”
“งานนี้เมื่อปีที่แล้ว...สภาพมึงเป็นไง”
มันกำลังคิดไปถึงไหน “กูก็ถือกล่องรับบริจาคปกติ”
“แค่นั้นแน่นะ”
“มีคนมาขอถ่ายรูปเยอะหน่อย แต่พวกหอสามก็โดนกันหมดทุกคน”
“มึงแน่ใจนะว่าไม่มีอะไรนอกเหนือจากการขอถ่ายรูป”
ผมพยายามนึกๆ ดู ปีที่แล้วผมค่อนข้างใหม่ เขาขอให้ทำอะไรผมก็ทำให้หมด เขาขอถ่ายรูปด้วย ผมก็ทำให้ เขามาขอเฟซบุ๊ก ผมก็ให้
“มีคนมาขอเฟซบุ๊ก”
“แล้วมึงก็ให้เนี่ยนะ”
“ก็เขาจะบริจาคแบงก์พันอ่ะ”
“ใครขอ ผู้ชายหรือผู้หญิง”
“ให้ทาย” ผมลองแกล้งมันดู
“สัด หน้าอย่างมึงต้องผู้ชายอยู่แล้วป่ะ”
“ถูก”
“โอ๊ยยยยย” ทนายถึงกับเขย่าหัวของผมเบาๆ “มึงก็ซื่อเกิ๊น ให้ไปทำไม”
“เรื่องมันผ่านมานานเป็นปีแล้วนะ ตอนนั้นมึงคงสวีตกับแอลอยู่มั้ง” ทำไมผมต้องพูดถึงแฟนเก่าของทนายอีกล่ะเนี่ย
“ปีนี้ห้ามเลยนะ ห้าม กูจะตามคุมมึงแจเลย กูขอบอกไว้ก่อน”
“มึงคงโดนหนักกว่ากูอ่ะ” ทนายมันป็อปในหมู่ผู้หญิงจะตาย ถ้ามันไม่ตัวติดกับผม ป่านนี้มีกิ๊กมากกว่าสิบคนไปแล้วมั้ง “เอาเป็นว่าช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ เอาเรื่องสอบก่อนเนี่ย จะไม่รอดอยู่แล้ว”
“ขอหอมก่อน” มันไม่รอฟังคำอนุญาตจากผม แต่มันหอมแก้มเลยครับ ผมปล่อยให้แม่งทำตามอำเภอใจจนพอใจ จากนั้นทนายก็แยกตัวไปอ่านหนังสือแต่โดยดี
ตอนนั้นไมล์มันส่งข้อความมาหาผมพอดี
MILE : วันแข่งโดเนทมีอะไรจะให้ด้วยนะ
MILE : รอรับด้วย
MILE : มึงต้องชอบแน่ๆ“ยอมใจแม่ง” ทนายแอบอ่านจากด้านหลังของผม “วันนั้นสอบเสร็จแล้วใช่ป่ะ กูขอบอกวันนั้นเลยนะ”
ผมเอามือนวดขมับ “กูต้องไปทำบุญวัดไหนวะ เรื่องนี้มันถึงจะผ่านไปได้ด้วยดี”
“กูไปทำด้วยได้มั้ย” ทนายพูดบ้าง “ใจกูไม่แข็งเลย เห็นหน้าสัดไมล์แล้วกูพูดไม่ออก เป็นไรไม่รู้”
“...”
“แต่กูก็อาจจะต้องพูดว่ะ”
“...”
“เพื่อเราสองคน”
ผมเอื้อมมือไปจับมือของทนายเอาไว้ จากนั้นเราสองคนก็ยิ้มแห้งๆ ให้กัน
ถ้าผลลัพธ์ของมันจะเลวร้าย ก็ขอให้มันเลวร้ายน้อยที่สุดทีเถอะ
TBC*