... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (I) บัลลังก์ปักษา l up : 19/08/17 [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ... สิ บ ส อ ง เ ศ ร้ า ... l (I) บัลลังก์ปักษา l up : 19/08/17 [END]  (อ่าน 488818 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12




ตอนที่ 19



ผมผ่านช่วงสอบไปได้อย่างยากลำบาก

ผมมีสอบทั้งหมดสี่วัน บางวันมีสอบครึ่งวัน บางวันก็มีสอบทั้งวัน เป็นสัปดาห์อภิมหานรกแตกที่ผมคุยกับอาสาน้อยมาก ทั้งๆ ที่เราสองคนอยู่ห้องเดียวกัน ต่างคนต่างก็จริงจังในการสอบของตัวเองมาก จนลืมที่จะสวีตกันไปชั่วขณะ

ระหว่างนั้นผมสังเกตว่าไมล์ยังคงพยายามเรื่องอาสาอยู่ แม้ว่าจะน้อยลงไปมากแล้วก็ตาม นี่ผมคิดไปเองหรือเปล่านะว่ามันเริ่มจะทำใจได้แล้ว เอ๊ะ หรือมันกำลังถอยไปตั้งหลัก ผมเองก็เดาไม่ถูก ที่แน่ๆ ผมต้องเตรียมคำพูด เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับตั้งรับความรู้สึกของไอ้ไมล์หลังจากที่ผมบอกความจริงกับมันไป...

ผมไม่ควรจะลืมความรู้สึกของไอ้เตด้วย

พักหลังๆ เตเงียบมากจนผิดปกติ มันเป็นหนุ่มลุคเย็นชาก็จริงแต่มันให้ความสำคัญกับเพื่อนมาก สมัยที่ผมอยู่ห้อง 204 มันชอบชวนออกไปดื่ม ร้านเหล้าน้อยคือร้านประจำของมัน แต่หลังจากที่ผมแยกห้องออกมาอยู่กับอาสา เตก็เริ่มคุยกับผมน้อยลง น้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้มันก็ไม่คุยกับผมอีกแล้ว

ทักไปก็ไม่ตอบ คุยต่อหน้าก็เป็นลักษณะถามคำตอบคำ

บอกตามตรงว่าผมอึดอัดในความสัมพันธ์นี้มาก แต่ผมไม่มีเวลาที่จะแก้ปัญหา ผมเอาเวลาทั้งหมดเทลงไปกับการเตรียมสอบ แม้กระทั่งจะสวีตกับอาสาผมยังไม่มีเวลาเลย เพราะงั้นหวังว่าหลังสอบผมจะมีเวลาเคลียร์ทุกอย่าง

แต่โชคชะตาไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นได้ง่าย

สอบเสร็จปุ๊บ งานก็เข้าผมปั๊บ

“ทนาย อาสา มานี่ดิ๊” พี่อ้ายกวักมือเรียกผมกับอาสายิกๆ “มึงสองคนไปเตรียมตัวถ่ายรูปทำสแตนดี้เรียกแขกนะ เย็นนี้เลย กูนัดช่างภาพไว้แล้ว”

เย็นนี้! ใครบ้างวะที่จะไม่สตัน

“กะทันหันไปป่ะ” ผมโวยทันที “หาคนอื่นได้มั้ย ผมจะไปดูหนัง”

พี่อ้ายทำหน้าโหด “ไม่ใช่เดือนหอแล้วจะเป็นใคร อย่ามาเรื่องมากได้ป่ะ นี่เป็นคำสั่ง อาสามันยังไม่อิดออดเลย”

“ไม่จริง” ผมหันไปมองหน้าแฟนตัวเอง มันนิ่งจริงๆ ด้วย “นี่จะไม่โวยวายสักหน่อยเหรอ”

“ทำไงได้ล่ะ เพื่อหอ ยังไงก็ต้องทำ”

แม่งคงรู้ตัวสินะว่าตัวเองคือนางฟ้า ผมอดคิดอย่างเซ็งๆ ไม่ได้ ไอ้งานแบบนี้ใจจริงผมก็ไม่อยากปฏิเสธหรอกครับ แต่จู่ๆ ภาพที่ผมเคยวางแผนเอาไว้ว่าหลังสอบเสร็จจะไปเดตกับอาสามาพังป่นปี้ จะไม่ให้ผมหงุดหงิดได้ยังไง

“ก็ได้ๆ ยอมก็ได้”

“นางฟ้าสวยสั่งได้ว่ะ” พี่อ้ายทึ่งในตัวของอาสา ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้ทำอะไรมากเลย

“สวยอะไรล่ะพี่ เลิกใช้สักทีคำนี้อ่ะ”

“ไม่เคยจะยอมรับห่าไรหรอก”

พี่อ้ายเดินจากไปแล้ว ผมทำหน้าเซ็งอยู่ต่อหน้าอาสา มันส่งสายตาปลอบโยนมาให้

“ยังไงคืนนี้กูก็อยู่กับมึงทั้งคืนนี่”

มันอ่อยผมอีกแล้วเหรอ มันรู้ตัวมั้ยว่ากำลังใช้คำไหนอยู่ แม่งเป็นอะไรที่ล่อเป้ามากเลยนะ ผมกำลังจะอ้าปากพะงาบๆ พูดต่อ แต่ก็มีคนคนหนึ่งเข้ามาขัดจังหวะพอดี

ไอ้ไมล์นั่นเอง ทันทีที่ผมมองเห็นมัน ผมก็ก้าวถอยหลัง เพราะรู้ดีว่ามันมาคุยกับอาสา ไม่ได้มาคุยกับผม แต่แล้วไมล์กลับร้องเรียกผมไว้

“มึงนั่นแหละ ไม่ใช่อาสา”

อาสาปล่อยให้ผมได้คุยกับไมล์เพียงลำพัง มันเดินเข้าไปยังส่วนกลาง ส่วนผมยืนอยู่กับไมล์แถวๆ บันไดขึ้นไปยังห้องต่างๆ ผมลอบสังเกตสีหน้าของไมล์ ดูเครียดๆ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความตื่นเต้น

ผมเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาแล้ว

“กูจะขออาสาคบวันแข่งโดเนทว่ะ”

เหมือนมีปืนใหญ่ยิงเข้าตรงกลางที่กบาลของผม ไมล์ไม่ได้คิดแค่จะให้ของอาสา แต่มันจะขอคบเลย มันเกินไปแล้วหรือเปล่าวะ
 
“มึง...” ผมอึ้งจนพูดไม่ออก

“มึงคงเริ่มสนิทกับอาสาจนห่วงมันมากแล้วใช่ป่ะ กูสังเกตได้จากวันที่มึงมารับอาสาที่ร้านคาเฟ่อ่ะ”

มันไม่ใช่แค่สนิทน่ะสิวะ “ไมล์ ฟังกูนะ...”

“กูว่าอาสาแม่งมีใจให้กูว่ะ”

หา? ผมอ้าปากค้าง หันไปมองอาสาซึ่งกำลังยืนคุยกับคนในหอคนอื่นๆ

“ยังไงกูก็จะไม่รบกวนมึงแล้วล่ะ แต่กูขอมาบอกมึงไว้ก่อน”

ไมล์ตบไหล่ผม ผมพยายามร้องเรียกมันเอาไว้แต่มันก็วิ่งหายไปไหนไม่รู้อย่างรวดเร็ว อาสาเดินเข้ามาหาผม มันไม่ถามว่าไมล์พูดอะไร แต่ผมนี่แหละจะบอกมันเอง

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

“ทนาย อาสา พวกมึงตามกูมานี่” พี่อ้ายเรียกเราสองคน

ผมกลอกตาขึ้นไปบนฟ้า ไม่รู้ว่าทำไมโชคชะตาถึงปล่อยให้เรื่องของผมกับอาสาวุ่นวายถึงเพียงนี้







หลังจากตอนนั้นผมก็ไม่มีจังหวะคุยกับอาสาอีกเลย เพราะเราสองคนมัวแต่ยุ่งเรื่องถ่ายรูปทำสแตนดี้ ผมก็นึกว่าจะได้ถ่ายแบบแชะสองแชะ ที่ไหนได้แม่งถ่ายเป็นสิบๆ พี่อ้ายดูเหมือนจะเซียนในเรื่องนี้ มีการเตรียมคอสตูมชุดอื่นนอกจากชุดนักศึกษามาให้ถ่ายด้วย

“นานๆ ทีจะได้ถ่ายก็ควรถ่ายเก็บไว้ เผื่อเอาไปลงโปสเตอร์โปรโมตหอ” พี่อ้ายชี้แจง ส่วนผมยังอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ก็เลยไม่ได้พูดจาอะไร มีแต่ถ่ายๆ ให้มันเสร็จๆ ไป

อาสาสังเกตได้ถึงพฤติกรรมของผม ดูเหมือนมันจะรอให้มีจังหวะที่พอจะคุยกับผมได้ แต่นั่นก็คงจะเป็นหลังงานเสร็จ หลังจากเก๊กท่าจนเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว เราสองคนก็เสร็จงานพอดี ภาพที่ออกมาค่อนข้างเป็นที่ถูกอกถูกใจของพี่อ้าย พี่มันจึงไม่ได้รั้งตัวเราสองคนไว้ทำอะไรอีก แต่บอกว่าถ้ามีโอกาสจะพาไปเลี้ยงข้าวแทน

ผมกับอาสาอยู่บนรถ รู้สึกว่าช่วงนี้เราจะได้คุยกันบนรถบ่อยมากเลยแฮะ อาจเป็นเพราะตอนอยู่ข้างนอกมีสายตาที่มองมาค่อนข้างเยอะกระมัง ผมกับมันก็เลยไม่กล้าที่จะพูด เพราะบางคำพูดก็สื่อได้เลยว่าผมกับอาสาเป็นอะไรกัน

“เป็นอะไร” เสียงอาสาอ่อนโยนมากตอนที่ถามผม มันดึงมือผมไปกุม จากนั้นก็บีบเสียแน่น

“เรื่องไมล์อีกแล้วว่ะ” ผมตัดสินใจพูดกับอาสาตรงๆ

“เกิดอะไรขึ้น”

“มันจะขอมึงคบ”

“หา!” อาสาร้องเสียงดัง “ได้ไง”

“ไม่รู้ มันคิดว่ามึงชอบมันเหมือนกัน”

อาสาปล่อยมือผม เพราะจะเอามือนั้นไปนวดขมับของตัวเองแทน ระดับความตึงเครียดจากเลเวลห้าสิบ ตอนนี้พุ่งทะยานไปเลเวลเก้าสิบเก้าแล้วครับ

“กูทำให้มันคิดแบบนั้นเหรอ สาบานได้ กูไม่ได้ทำห่าอะไรเลยนะ” อาสาเหลือบมองผม “มึงโมโหเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า”

“กูไว้ใจมึง” ผมพูดตรงๆ

“จริงนะ?” นัยน์ตาของอาสาสั่นอย่างที่ผมรู้สึกได้

“จริงสิ”

“เฮ้ออออ” มันถอนหายใจอย่างโล่งอก “ถ้ามึงคิดแบบนี้กูก็โอเค พร้อมจะสู้ต่อแล้ว”

“เราควรจะทำยังไงกันดี”

“คงต้องบอกมัน”

“บอกวันไหน”

“วันนี้เลยมั้ยล่ะ”

อาสาใจร้อนกว่าผมอีก ผมมองแฟนตัวเองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

“มึงพร้อมเหรอ”

“พร้อมดิ มันจะขอกูคบแล้วนะ มึงยอมเหรอวะ”

“ยอมก็บ้า” คราวนี้เป็นทีของผมที่จะดึงมืออาสามากุมเอาไว้ “สู้มั้ย”

“สู้ดิวะ”






หน้าห้อง 204

ผมกับอาสาอยู่ไม่สุข เราสองคนเดินไปเดินมาอย่างบ้าคลั่งระหว่างที่กำลังจะเคาะประตูห้อง ยังไงวันนี้ไมล์มันต้องรู้เรื่องของผมกับอาสา ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ทุกอย่างต้องจบที่วันนี้

อาสาพยักหน้าส่งสัญญาณว่าพร้อมแล้ว ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเคาะประตูอดีตห้องเก่าของตัวเอง รู้สึกตื่นเต้นจนควบคุมมือตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

รออยู่ประมาณหนึ่งนาทีก็ไม่มีใครมาเปิดให้ ผมจึงลองเคาะดูอีกที

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ไม่มีคนมาเปิดประตูจริงๆ

“เต ไมล์ อยู่ในห้องมั้ยวะ” ผมลองส่งเสียงถามดู

“ไฟก็เปิดอยู่นะ”

“ลองโทรหามั้ย”

อาสาพยักหน้า มันกดโทรออกหาไมล์ ไม่นานไมล์ก็กดรับสาย

“อยู่ไหนวะ”

“...”

“หา! จริงเหรอ! ไอ้สัด โรง’บาลอะไร!”

ผมช็อก ใบหน้าอาสาดูตกใจมาก เกิดอะไรขึ้น

“ฉิบหาย เออๆๆ เดี๋ยวกูรีบไป”

“มีอะไร” ผมเริ่มร้อนใจ

“เชี่ยเตมอเตอร์ไซค์ล้ม และก็โดนพวกหอสองรุมกระทืบซ้ำ ไมล์อยู่โรง’บาลกับมันตอนนี้”

เหี้ยอะไรเนี่ยยยยยยยยยยย

ผมรู้สึกเหมือนมีค้อนหนักๆ ทุบหัวผมหลายๆ ที เพื่อนโดนหนักขนาดนี้ผมยังมีเวลามาคิดทำเรื่องนี้อยู่อีก ผมด่าตัวเองระหว่างที่วิ่งไปยังรถพร้อมกันกับอาสา มันเองก็คงจะคิดเหมือนผม สีหน้าของมันดูไม่ดีเอาเสียเลย

ก่อนถึงรถผมเหลือบมองไปที่หอสอง พวกมันยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้แคร์เลยว่าเพิ่งทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของการอยู่ในโซนหอพักชายลงไป...

และผมจะไม่มีวันปล่อยไปง่ายๆ แน่นอน








โรงพยาบาลประจำจังหวัด

สิ่งที่ผมเซอร์ไพรส์ก็คือหน้าห้องฉุกเฉินมีพวกหอสามอยู่เต็มไปหมด มีพวกที่เป็นเพื่อนคณะของไอ้เต ไอ้ไมล์ และก็พี่อ้าย ประธานหอของผมกำลังเดือดปุดๆ พร้อมชกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ทุกเมื่อ

อาสาพุ่งตัวไปหาไอ้ไมล์ทันที มันกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ม้านั่งซึ่งมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด

“มันเป็นไง”

“เลือดเต็มตัวมันเลย” ไมล์มือสั่นมาก เสื้อผ้าของมันยังมีเลือดของไอ้เตติดอยู่ “มันโทรมาหากู แทนที่มันจะโทรไปเบอร์ฉุกเฉิน กูจะ...กูจะช่วยอะไรมันได้”

“มึงก็ช่วยพามันมาโรง’บาลแล้วนี่ไง” ผมพูดปลอบ สายตาของผมเต็มไปด้วยความกังวลใจ ตอนนี้สติของไมล์เหมือนจะหลุด ไม่สามารถคิดวิเคราะห์อะไรได้อีกต่อไป

“กู...ไม่เคยเห็นใครเจ็บหนักขนาดนี้มาก่อน” ไมล์มองมือของตัวเองที่กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง “แม่งเลวร้ายมาก เลวร้ายมากๆ”

“เชี่ยเตจะต้องไม่เป็นไรดิวะ” อาสาบีบมือเพื่อน มือของมันเองก็สั่นเหมือนกับมือของอีกฝ่ายนั่นแหละ “มันไม่เป็นไรแน่นอน มันเก่ง ไม่งั้นมันจะดูแลมึงกับกูสองคนมาตั้งนานได้ไง”

ผมมองความผูกพันของอดีตเพื่อนร่วมห้องก่อนจะถอนใจ ทำไมเหตุการณ์บ้าบอคอแตกนี่ต้องเกิดขึ้นด้วยวะ ผมขยี้ผมตัวเองอย่างแรงก่อนจะลุกขึ้นยืน รู้สึกอยากระบายอารมณ์กับทุกสิ่ง อยากเตะทุกอย่าง

ผมทำอะไรอยู่ตอนที่เพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์ล้ม

ผมทำอะไรอยู่ตอนที่เพื่อนโดนพวกหอสองรุมกระทืบ

ผมคิดจะทำร้ายจิตใจเพื่อนอีกคน ขณะที่อีกคนกำลังโดนทำร้ายอย่างจะเป็นจะตาย

ทำไมผมมันเหี้ยได้ถึงขนาดนี้วะ

สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดกำลังเดินมาหาพวกเรา พี่สงครามพร้อมพวกหอสองอีกนิดหน่อยตรงมายังที่ที่พวกเรายืนอยู่ ผมพุ่งออกไป กะจะไปเคลียร์เรื่องนี้ให้กระจ่าง ทว่ามีคนที่ไวกว่าผม

พี่อ้ายเดินเข้าไปต่อยหน้าพี่สงครามอย่างแรงหนึ่งทีจนหน้าหัน

แทนที่ผมจะได้ไปเคลียร์ ผมกับต้องเดินไปจับตัวพี่อ้ายเอาไว้แทนโดยมีเพื่อนคณะไอ้เตซึ่งอยู่หอเดียวกันมาช่วย ทางฝั่งพี่สงครามก็มีพวกหอสองจับตัวเอาไว้เหมือนกัน แต่เป็นการพยุงมากกว่า

ผมไม่เคยเห็นพี่อ้ายเดือดขนาดนี้มาก่อน

“มึงดูลูกหอมึงยังไงสงคราม ต้องให้น้องกูโดนแบบนี้อีกสักกี่คน!”

“น้องมึงพูดจาดูถูกเด็กหอกูก่อนนะ”

“มันรถล้มก่อนไอ้สัด! ลูกหอมึงรุมคนรถล้มด้วยเหรอ ทำไมใจหมาแบบนี้วะ”

พี่สงครามอ้าปากค้าง ดูเหมือนจะเป็นความจริงที่พี่มันเพิ่งรู้

“จริงเหรอ”

“เออ!” พี่อ้ายร้อง

พี่อ้ายเผยแพร่ความเดือดไปสู่พี่สงครามเป็นที่เรียบร้อย รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากตัวชายที่ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวที่สุดในมหา’ลัยของผม

“พวกมันตาย!”

พี่สงครามหันไปพูดกับคนในหอตัวเอง จากนั้นก็เดินกลับไปโดยที่ไม่เหลียวหลังกลับมาอีก

ผมปล่อยพี่อ้าย พี่มันหันมาด่าผม “กูควรจะได้ชกมันอีกหมัด!”

“แค่คุยๆ กันก็ได้มั้งพี่ อีกอย่างพี่สงครามเองก็ไม่ได้เป็นคนลงมือ”

“มันบอกกูว่ามันจะคุมเด็กหอของตัวเองให้อยู่”

“มันคุมยาก พี่ก็รู้ว่าหอสองมันเป็นคนยังไงกัน”

“นี่มึงอยู่หอไหนกันแน่ทนาย หอสองหรือว่าหอสาม”

“ผมอยู่หอสามดิ”

“แล้วมึงไปเข้าข้างพวกหอสองทำไม”

พี่อ้ายคงโมโหมากจริงๆ ผมปล่อยให้พี่มันอยู่กับพวกหอสามคนอื่นๆ จากนั้นก็เดินกลับไปหาไมล์กับอาสา มันสองคนนั่งพิงผนังของโรง’บาล ยังไม่มีสีหน้าดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมทรุดตัวนั่งลงข้างๆ อาสา เอื้อมมือออกไปคิดจะกุมมือมันเอาไว้ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ยังทำแบบนั้นไม่ได้ จึงมีแค่นิ้วก้อยของผมกับมันที่ชนกันอยู่แค่นั้น อาสาเหลือบมามอง มันขยับมือเข้ามาใกล้ผมอีกนิดหน่อย กลายเป็นว่านิ้วก้อยของมันเกี่ยวนิ้วก้อยของผมเอาไว้อยู่

ราวกับว่าเราให้คำสัญญาต่อกันว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้...








เวลาผ่านไปราวๆ เกือบสองชั่วโมงได้ ผมเห็นพวกหอสองกำลังเดินมาที่นี่ คราวนี้ไม่มีพี่สงครามมาด้วย สภาพของพวกมันสะบักสะบอมมากเสียจนผมกับพี่อ้ายไม่กล้าพุ่งเข้าไปทำอะไร

พวกมันเหล่านั้นไม่ยอมมองหน้าพวกเราเลย แต่เดินผ่านไปหาพยาบาลแทน คล้ายกับจะมาทำแผลที่เพิ่งถูกทำร้ายมา

“ฝีมือพี่สงคราม” อาสาพึมพำด้วยสายตาว่างเปล่า “คงสั่งให้พวกนั้นมาขอโทษ แต่พวกมันยังไม่ทำ”

“พวกนี้โดนฝ่าตีนพี่สงครามมาเหรอ”

“ใช่”

“...”

“แค่พี่สงครามคนเดียวด้วย?”

ดูท่าคนพวกนี้จะกลายเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ของพี่สงคราม พวกมันบาดเจ็บหนักจนแทบจะยืนไม่อยู่

“แล้วแบบนี้พวกมันจะไม่เกลียดพี่สงครามเหรอวะ”

“กูว่าไม่” อาสาพูด “ถ้าไม่ผิดจริงๆ พี่สงครามก็ไม่ลงมือทำร้ายเด็กหอตัวเองหรอก มึงดูอย่างพี่อ้ายดิ พี่อ้ายเคยตบหัวกูกับมึงมั้ยล่ะ” คำตอบก็คือไม่เคย

ผมเคยได้ยินมาว่าพวกหอสองมีพละกำลังที่สูงส่งและก็รู้ดีว่าตัวเองนั้นมีแรงมากกว่าคนอื่น น้อยครั้งที่ผมจะได้ยินว่าพวกมันทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะพูดจายียวนกวนส้นตีน จากที่ฟังๆ ดู ผมคิดว่าพวกนี้อาจจะไม่รู้ว่าเตเพิ่งรถล้มมา ส่วนเตก็อาจจะไปพูดจาผิดหูพวกมันจริงๆ ก่อนรถจะล้ม ถึงได้โดนหนักขนาดนี้

ระหว่างที่ผมคิดวิเคราะห์อยู่นั่นเอง หมอก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เขาบอกว่าให้ทุกคนสบายใจได้ เตไม่เป็นอะไรมาก มีซี่โครงหักธรรมดากับมีบาดแผลฟกช้ำตามตัวที่อาจจะมากหน่อย หมอเอ่ยชมว่าคนไข้มีร่างกายที่แข็งแรงมาก ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเจ็บหนักกว่านี้ เมื่อได้ฟังแล้วผมก็สบายใจขึ้น

ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นปล่อยให้ผม อาสา และก็ไอ้ไมล์เข้าไปหาไอ้เตแค่สามคน

มันนอนอยู่บนเตียง สภาพของมันเหมือนผ่านสงครามมาอย่างหนัก และมันยังคงหลับอยู่

“ปล่อยให้มันนอนดีกว่า” อาสาเอ่ย

“คืนนี้เดี๋ยวกูอยู่เฝ้ามันเอง” ไมล์พูด “มึงสองคนช่วยไปเอาเสื้อผ้าของกูกับมันมาให้หน่อยนะ”

“ได้” ผมรับคำ “งั้นพวกกูไปเอามาเลยนะ”

“รบกวนด้วยนะ”






ทุกครั้งที่อยู่กันตามลำพังบนรถ มีครั้งไหนที่ผมกับอาสาไม่มีเรื่องเครียดให้ถกกันมั้ยนะ

ผมขับรถกลับมหา’ลัยด้วยความรู้สึกจืดชืด ไร้รสชาติของชีวิต นึกถึงสภาพไอ้เตกับไอ้ไมล์ ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดไปหมด ผมรู้สึกว่าผมมีความสุข ขณะที่เพื่อนกำลังเดือดร้อน มันไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดขึ้นเลยสักนิด

“เราสองคนทำผิดอยู่มั้ยวะ” อาสาเอ่ย “กูอดคิดมากไม่ได้เลยว่าถ้าไมล์มันอยู่ในห้อง แล้วเราสองคนบอกเรื่องเรากับมัน แล้วมันมารู้ทีหลังว่าเตเจ็บหนัก มันจะแย่กว่านี้มากแค่ไหน”

ผมเอื้อมมือไปลูบหัวอาสา “ยังดีที่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น”

“เตไม่เคยพูดจาดูถูกคนอื่นมาก่อนเลยนะ มันมีอะไรผิดปกติป่ะวะ”

ผมก็ได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอาสา แม้ว่าไมล์จะแสดงออกมากกว่าเต แต่เตก็ยังเป็นอีกคนที่ชอบอาสาอยู่

“เพราะกูหรือเปล่า” อาสาพึมพำ “มันมาๆ หายๆ พักหลังๆ นี่มันหายไปเลย กูไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่”

ผมก็ไม่รู้ จริงๆ ผมมัวแต่เอาใจใส่กับเรื่องอาสาและก็เรื่องเรียนจนบางครั้งก็ลืมนึกถึงเพื่อนสองคนนี้ไปชั่วขณะ

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด ทำไมผมมันเหี้ยได้ถึงขนาดนี้วะ

ผมจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ ตอนเดินลงมาจากรถ ผมถึงกับต้องตกตะลึงเพราะเห็นว่ามีพี่สงครามกับพรรคพวกหอสองยืนรออยู่

กูช็อก

“เพื่อนมึงเป็นไง” พี่สงครามดูโหดขึ้นกว่าครั้งไหนๆ

“ไม่ได้หนักอะไรครับ” ผมตอบ

“ดี”

“...”

“พวกเหี้ยนั่นขอโทษเพื่อนมึงกับไอ้อ้ายหรือยัง”

ผมกับอาสาส่ายหน้า พี่สงครามกำหมัด จากนั้นก็พูดด้วยคำพูดเดิมๆ ที่เคยพูด

“พวกมันตาย!” ประธานหอสองหันไปหาพวกของตัวเอง “ไปลากพวกแม่งกลับมา กูจะสั่งสอนมันอีก”

อาสาเตรียมยกมือห้าม แต่ไม่ทัน พวกหอสองกระจายกันไปหมดแล้ว นี่อาจจะเป็นสไตล์ของหอสองก็เป็นได้ ผมกับอาสาไม่ควรไปยุ่ง

เราสองคนเดินเข้าไปในหอ ช่วงระยะเวลาที่ลับหูลับตาคน อาสาจับตัวผมให้หยุดนิ่งอยู่กับที่

“มีอะไรเหรอ” ผมถาม

“จูบหน่อย”

มันไม่รอฟังคำอนุญาตจากปากผม แต่ดึงศีรษะของผมให้โน้มลงไปหาเป็นที่เรียบร้อย อาสาก็ยังเหมือนเดิม ชอบจูบกับผมเหมือนเดิม

“โอเค กูดีขึ้นแล้ว”

“อะไรของมึงวะ” ผมเขินนิดหน่อย เราสองคนออกเดินกันต่อ

“มึงคือความสบายใจของกูนะ มึงอย่าลืม”

มันเคยพูดคำนี้กับผมตั้งแต่ตอนที่เราสองคนยังไม่ได้คบกัน ผมยิ้มนิดหน่อย ก่อนจะลอบจูงมืออาสาแล้วเดินไปข้างหน้า






โรงพยาบาล

ผมกับอาสาได้แต่ยืนอึ้งอยู่หน้าห้องพักพิเศษของเต ไมล์มีสีหน้าสลดใจที่ต้องแจ้งเราสองคน

“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เตบอกยังไม่อยากเจอพวกมึงสองคนในตอนนี้ว่ะ โทษทีนะ”

ไมล์รับเสื้อผ้าแล้วกลับเข้าไปในห้อง ผมกับอาสามองหน้ากัน พอจะรู้ว่าทำไมเตถึงไม่อยากเจอเรา

“มันชอบกูใช่มั้ย” อาสาถามผม

ผมพยักหน้า ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังอาสาอีกต่อไปแล้ว

“แล้วมึงก็รู้ว่ามันชอบกู”

ผมพยักหน้าอีกครั้ง

“ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่า...” อาสาเอ่ยเสียงสั่น หันมามองผมด้วยใบหน้าซีดเผือด

“เตมันรู้เรื่องของเราแล้ว” ผมพูดออกมาได้แค่นั้น






TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12




ตอนที่ 20
พาร์ตของเต



‘มึงจะทำอะไรวะ’

‘ลงโทษไง’

‘ทำอะไร’

‘จะกลัวอะไรขนาดนั้น นี่แฟนมึงนะ’

‘ท่าทางมึงตอนนี้น่ากลัวมากอ่ะ’

ไม่ว่าจะทำยังไงผมก็ลบบทสนทนานั้นออกไปจากหัวไม่ได้ บทสนทนาที่ดังขึ้นในห้องน้ำ โดยมีผมยืนฟังอยู่ด้านนอก

‘อาสาแม่งชอบกูแล้วแน่เลยว่ะ กูจะขอคบมันเป็นแฟน’

‘...’

‘กูขอโทษนะเต’

และผมก็ลบคำพูดที่โคตรคิดไปเองของไอ้เชี่ยไมล์ไม่ได้ด้วย มันแม่งยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังนก มันเสียอาสาไปแล้ว และมันก็เสียให้กับคนที่เคยพูดว่าจะไม่มีวันจะชอบนางฟ้าคนนี้ คนที่ผมกับไมล์เคยไว้ใจให้อยู่ห้องเดียวกันกับอาสา

ทุกอย่างมันพังไปหมดแล้วโว้ยยยยยย!

“เต ตื่นแล้วเหรอวะ” ผมลืมตาหนักๆ ของตัวเองขึ้นมา รู้สึกปวดไปหมดทั้งร่าง คนที่กุลีกุจอวิ่งเข้ามาหาผมอยู่ข้างเตียงก็คือไอ้ไมล์

ผมพ่นลมใส่มันแทนคำตอบ

“ทนายกับอาสากลับไปแล้วนะ”

ผมมองไปทางอื่น

“กูถามได้มั้ยว่ามึงโกรธอะไรพวกมัน มันสองคนเป็นห่วงมึงมากเลยนะเว้ย”

ผมไม่ได้โกรธ แค่ยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้า หลังจากวันที่ผมเห็นพวกมันสองคนลากกันไปกอดจูบดูดดื่มในห้องน้ำ ผมก็ไม่กล้าสู้หน้าพวกแม่งเลยสักนิด แม้กระทั่งตอนประชุมหอเรื่องแข่งโดเนท ผมก็ยังไม่มองหน้าพวกมันสองคนเลย

ความรักไม่ใช่เรื่องผิด ผมกลัวความอ่อนแอและความเห็นแก่ตัวของผมจะนำพาอารมณ์มาใส่เพื่อนที่รักกันไปแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง พวกมันสองคนใจตรงกันไม่ใช่ความผิดของพวกมันแม้แต่น้อย เพียงแต่ผมยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง กลัวจะด่าทนาย กลัวจะตัดพ้ออาสา กลัวว่าตัวเองจะเผยความไร้เหตุผลของผมให้เพื่อนได้เห็น

ผมจำเป็นต้องเข้มแข็ง เพราะมีคนอ่อนแอหนึ่งคนที่ผมต้องดูแลมันอยู่อย่างช่วยไม่ได้ คนคนนั้นก็คือไอ้ไมล์ ผู้ซึ่งไม่รู้ห่ารู้เหวอะไรเลยว่าโลกใบนี้เขาไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว

อีกหนึ่งเหตุผลที่ผมไม่สามารถเหวี่ยงอารมณ์ใส่ทนายกับอาสาได้ก็คือเชี่ยไมล์นี่แหละครับ ถ้าผมเหวี่ยง มันก็จะรู้ทันทีว่าสองคนนั้นแม่งเป็นแฟนกันแล้ว ผมพอจะเดาการแสดงออกของมันได้ ไมล์จะไม่เงียบและหลบหน้าหลบตาเพื่อนทั้งสองคนแบบผม แต่มันจะโวยวาย จะด่า และจะตัดพ้อต่อว่า ตามสไตล์คุณชายโลกสวยที่ไม่เคยได้พบเจอเหตุการณ์เลวร้ายใดๆ ในชีวิต

เพราะงั้นผมถึงแสดงออกมากไม่ได้ ได้แต่เก็บไว้ในใจคนเดียว เก็บจนเครียดต้องไปหาเหล้าแดก จากนั้นก็เมาจนรถล้ม พวกที่ผมด่าเพราะเมาในร้านเหล้าก็ตามมารุมกระทืบ

ทำไมกูต้องพาชีวิตตัวเองให้มาเจออะไรแบบนี้วะ

“ตอบกูมาดิ เงียบทำไมวะ” ไอ้นี่แหละครับที่ทำให้ผมปวดหัวสุดๆ แล้ว เห็นหน้าจืดๆ ดูเป็นคนดีแบบนี้นี่แม่งโคตรรับมือยาก ผมขอบอกเลย

“กูง่วง ดึกแล้วกูขอนอนได้มั้ย” ผมตอบส่งๆ “มึงกลับไปนอนที่ห้องก็ได้นะ เดี๋ยวก็แข่งโดเนทแล้ว ไปช่วยงานพี่อ้ายไป”

“ไอ้สัด กูกลับแล้วใครจะเฝ้ามึง” มันเดินมาห่มผ้าห่มให้ผมอย่างลวกๆ “กูก็มีแค่มึง มึงก็มีแค่กู อย่ามากเรื่องได้ป่ะวะ”

“วันนั้นมึงมีของให้อาสาไม่ใช่เหรอ” แล้วมึงก็จะไปขอคนที่มีแฟนแล้วมาคบกับมึงด้วย กูไม่อยากจะนึกภาพเลย

“มึงเป็นอย่างนี้กูจะไปมีอารมณ์ให้ได้ไง”

มันแคร์ผมด้วยเหรอ ปกติเห็นแม่งพูดแต่เรื่องตัวเองไม่ก็เรื่องของอาสา

“หายเจ็บบ้างมั้ยวะ” มันถาม

“ก็โอเค”

“หมอบอกมึงแข็งแรงมาก”

เรื่องร่างกายผมไม่สงสัยในตัวเองหรอก แต่เรื่องใจเนี่ยสิที่ผมอยากจะรู้นักว่าผมอดทนมาได้ยังไง ผมอกหักแต่ผมก็ต้องมานั่งทนฟังเพื่อนละเมอเพ้อพกหาคนที่มีเจ้าของแล้วทุกวัน แถมคนมีเจ้าของนั่นยังเป็นคนเดียวกันกับคนที่ทำผมใจร้าวอีก

ชีวิตกูนี่มันน่าเอาไปเขียนอัตชีวประวัติฉิบหาย

“จะนอนแล้วเหรอ”

“อืม”

“อยากได้อะไรบอกนะ”

“ดูแลคนอื่นเป็นด้วยเหรอมึงน่ะ”

“ก็มึงนี่แหละเป็นคนแรก”

“...”

“อาสายังไม่เคยป่วยให้กูดูแลไง”

เชี่ยไมล์มันก็งี้แหละครับ เอะอะอะไรก็อาสา อาสาอยู่นั่น ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะพลิกตัวหันไปอีกทาง

“พักเยอะๆ นะ หมอบอกว่าถ้ามึงฟื้นตัวได้ไว อีกไม่เกินอาทิตย์ก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ โชคดีนะที่มึงมาเจ็บหลังสอบเสร็จแล้วอ่ะ”

“อืม”

“แอร์ห้องนี้หนาวมาก กูปรับลดลงแล้วล่ะ”

“อืม”

“ห่มผ้าอีกมั้ย ทนายกับอาสาเอาผ้าห่มจากที่ห้องมาให้มึงด้วยนะ”

“มึงหยุดพูดสักทีได้ป่ะ กูจะนอน” เสียงของผมแข็งขึ้นมาเล็กน้อย ความหงุดหงิดพุ่งทะยาน อาจเป็นเพราะได้ยินชื่อคู่รักซึ่งผมพยายามจะลืม

ไมล์เงียบกริบทันที ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย จนกระทั่งเสียงยุบตัวของโซฟาข้างเตียงของผมดังขึ้น ไมล์คงขยับไปนอนตรงนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เฮ้ออออ ผมเผลอหงุดหงิดอย่างไร้เหตุผล แถมยังลงกับไอ้ไมล์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรอีก

ผมผิดเองนั่นแหละ

“ไมล์”

“...”

“หลับแล้วเหรอ”

“...”

“กูขอโทษ”

ผมกับมันก็อย่างงี้ เวลาอยู่ในห้องชอบเถียงกันไปมา คนที่งอนผมบ่อยสุดก็คือไอ้ไมล์ ส่วนผมไม่เคยงอนมันเลย อาจเป็นเพราะผมเข้าใจว่าไมล์มันโตมาแบบไหน และผมก็เสือกยอมมันมาตั้งแต่แรก ทำให้ทุกวันนี้ผมจำเป็นที่จะต้องยอมมันต่อไป

ไอ้คุณชายไม่ขยับตัวเลยสักนิด ผมก็เลยต้องแกล้งพูดว่า “กูหิวน้ำ”

ได้ผลแฮะ มันขยับไปเอาน้ำมาให้ผมดื่ม มันเดินอ้อมมาส่งให้ผมต่อหน้าเลยนะ เชี่ย นี่ผมต้องใช้การบาดเจ็บเป็นข้ออ้างในการง้อแล้วเหรอวะ

“แดกแล้วก็นอนซะ” แม่งงอนจริงว่ะ

“ไอ้สัด กูขอโทษ กูเจ็บตัวอยู่ไง”

“มึงไม่รู้หรอกว่ากูห่วงมึงแค่ไหน แล้วมึงยังจะมาด่ากูอีก”

“กูไม่ได้ด่า กูแค่ขอนอนเฉยๆ”

“มึงตอบแทนคนที่ตัวสั่นเพราะมึงด้วยคำพูดแบบนั้นเนี่ยนะ ไอ้เหี้ยยยย” มันตีแขนผมจนผมร้องโอดโอย

“สัด แล้วมึงจะตัวสั่นทำไม กลัวกูเหรอ”

“กลัวดิ กลัวมึงเป็นอะไร”

“...”

“กูมัวแต่สนใจเรื่องของตัวเองจนไม่ได้สนใจมึงเลย กูรู้สึกผิดแค่ไหนมึงไม่รู้หรอก” ไมล์พูดอย่างอัดอั้นก่อนจะเดินหนีไปเป็นที่เรียบร้อย ผมเอื้อมมือจะไปคว้าแขนมันไว้แต่ไม่ทัน มันชิงเดินออกไปก่อนแล้วครับ

“ไมล์มานี่”

“เหี้ยอะไร”

“มานี่ดิ๊ไอ้สัด กูมีอะไรจะคุยด้วย”

“...”

“กูเจ็บตัวอยู่นะ”

มันมาจริงๆ ด้วย นี่ผมต้องใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างจริงๆ เหรอเนี่ย อย่าไปเล่าให้ใครฟังก็แล้วกันนะครับ ผมอายเขาน่ะ

ไมล์ทิ้งตัวนั่งลง สายตาของมันอยู่ระดับเดียวกันกับผมที่นอนตะแคงข้างอยู่พอดี

“มีอะไรวะ ไหนบอกจะรีบนอน” ชินซะแล้วกับการค่อนขอดของมันแบบนี้

“ตอนนี้กูเจ็บ”

“มึงย้ำหลายรอบแล้ว”

“กูคงอยู่กับมึงอย่างเต็มที่ไม่ได้นะ”

ไมล์ชะงัก จ้องหน้าผมเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามสื่อ

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มึงอย่าอ่อนแอ และห้ามคิดว่ามึงไม่มีใคร เพราะมึงมีกูอยู่”

“เต”

“...”

“นี่มึงสั่งเสียเหรอ!”

ไอ้ห่า นี่มึงแช่งกูป่ะวะ “จะบ้าเหรอ”

“ก็ดูพูดเข้า”

“กูนอนพักอยู่นี่ แต่กูรู้ว่าอนาคตข้างหน้าอาจจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น และมันก็อาจจะไม่เป็นอย่างที่มึงหวัง” ผมพูดอย่างจริงจัง “มึงต้องเข้มแข็ง มีอะไรก็มาหากูละกัน”

“สิ่งที่กูไม่เคยหวังก็คือมึงเจ็บนี่แหละ ไอ้สัด กูใจหายใจคว่ำมากนะ” สีหน้าของผมอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด “เพื่อนแบบมึงกูหาไม่ได้อีกแล้ว”

เออ ใครมันจะไปยอมมึงเท่ากู ไอ้ฟาย

“กูได้พูดแล้ว กูโล่งแล้ว ขอนอนนะ”

“อืม อยากได้เหี้ยไรก็บอก”

“แล้วเรื่องให้ของอาสา...”

“กูยังไม่มีความคิดเรื่องนั้นเลยว่ะ กูต้องเห็นมึงดีขึ้นก่อน”

รู้สึกดีใจที่มีมันเป็นเพื่อนก็คราวนี้ แม้ว่าผมกับมันจะเพิ่งมารู้จักกันก็ตอนที่อยู่หอสามด้วยกันก็ตาม นานๆ ทีไอ้ไมล์มันจะทำให้ผมประทับใจ เพราะสิ่งที่มันถนัดคือการทำให้ผมปวดหัวมากกว่า






เช้าวันถัดมา ผมตื่นตอนที่หมอกับพยาบาลเข้ามาเช็กอาการของผม หมอบอกว่าผมแข็งแรงมาก ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะเจ็บหนักมากกว่านี้ ให้พักอยู่ที่โรงพยาบาลสักหนึ่งอาทิตย์ อย่าขยับตัวให้มากเพราะได้ใส่เฝือกบริเวณซี่โครงที่หัก และก็ทานอาหารอ่อนๆ
ไอ้เชี่ยไมล์ยังไม่ตื่นเลย มันยังคงทำหน้าที่เฝ้าไข้ด้วยการนอนเฉยๆ ต่อไป เมื่อคืนผมค่อนข้างหลับสนิท จึงไม่รู้ว่าไมล์มันได้ทำอย่างอื่นนอกจากนอนหรือไม่ หลังจากที่คุยกันเรื่องให้ของอาสา เราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก

ผมกำลังจะร้องเรียกเชี่ยไมล์ให้ตื่น แต่มีคนสองคนเดินเข้ามาในห้องซะก่อน สองคนนั้นคือคนที่ผมอยากจะหลบหน้ามากที่สุดในตอนนี้ แต่นี่คือผมอยู่บนเตียง แถมยังบาดเจ็บและถูกให้น้ำเกลือ ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้จริงๆ

สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแต่ทำใบหน้าไม่รับแขกก็เท่านั้น

“เต” อาสาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผม “มึงเป็นไงบ้าง”

มันก็ยังเป็นคนที่ผมแคร์มากที่สุดคนเดิม มันเป็นเจ้าของใบหน้าโดดเด่นน่ารักแต่การกระทำกลับดูแมนๆ สวนทางกับใบหน้า ทั้งเสียงและบุคลิกภาพดูยังไงก็โคตรมีเสน่ห์ ผมไม่แปลกใจที่ผมกับไมล์จะหลงเสน่ห์นี้เข้าไปเต็มๆ หลังจากที่ได้ใกล้ชิดกับอาสา
แน่นอน ไอ้ทนายเองก็คงจะรู้สึกเหมือนกัน

มันคงรู้ว่าผมรู้เรื่องของมันกับอาสาแล้ว เพราะมันเอาแต่ทำหน้านิ่งๆ ปล่อยให้อาสาเป็นคนพูดต่อไป

“ใครมาวะ” ไอ้เชี่ยไมล์ตื่นแล้ว มันตกใจที่เห็นทนายกับอาสายืนอยู่ในห้อง “อ้าว มาแต่เช้าเลยเหรอ”

“อยากมาดูมันอ่ะ สีหน้ามันยังดูไม่ดีเลย” อาสาเป็นคนตอบ

“เมื่อคืนกูตื่นมาดูมันทุกชั่วโมงเลยนะ” ไมล์เริ่มเป็นกังวล เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับมองอย่างสำรวจ ตอนนี้เพื่อนทั้งสามคนกำลังมองผมอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับแต่ละคนเป็นหมอ ไม่ใช่นักศึกษา “มึงอาการแย่ลงเหรอวะเต”

ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ที่ผมทำหน้าแบบนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับร่างกายเลยสักนิด แต่เกี่ยวกับเพื่อนสองคนผู้มาใหม่นี้ ผมยังไม่อยากเจอพวกมัน ผมยังไม่พร้อม ยังทำใจไม่ได้ และที่สำคัญผมไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวกับพวกมันยังไงดี

ขอเวลาผมหน่อยเถอะ

“ตามหมอมั้ย” ทนายพูดอย่างเครียดๆ

“นั่นสิ กดปุ่มเลยนะ” ไอ้ไมล์จะเอื้อมมือไปกดจริงๆ

“สัด” ผมต้องร้องห้ามพวกมันเอาไว้ “อาสามึงช่วยพาเชี่ยไมล์ไปแดกข้าวเช้าหน่อย กูมีเรื่องจะคุยกับทนาย”

อาสามีสีหน้างงๆ นิดหน่อย มันมองสบตากับทนายราวกับต้องการถามเพื่อประกอบการตัดสินใจ ทนายพยักหน้า จากนั้นอาสาก็เดินนำเชี่ยไมล์ออกไปจากห้อง

ทนายรอจนเสียงประตูปิด มันช่วยผมให้ลุกขึ้นมาอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน จากนั้นก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ พร้อมจะถกปัญหากับผมทุกประเด็น

ผมจ้องหน้ามัน มันจ้องหน้าผม ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดออกมาก่อน

“กูรู้เรื่องของมึงกับอาสาแล้ว”

ริมฝีปากของมันกระตุกนิดหน่อย แต่มันก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายฟังมากกว่า

“กูยินดีด้วยนะ”

ทนายขมวดคิ้ว “อยากด่าอะไรก็ด่ากูมาเถอะ”

“กูรู้ อยู่ใกล้อาสาใครจะไปอดใจไหว อีกอย่างมึงเองก็หล่อฉิบหายวายป่วง อาสาไม่ชอบมึงก็ให้มันรู้ไป” ผมพูดเหมือนพูดคุยกับเพื่อนธรรมดา ทนายมีสีหน้าที่ผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ยังดูไม่ไว้วางใจกับสถานการณ์นี้อยู่ดี

มึงกลัวกูเอาเข็มน้ำเกลือจิ้มหน้ามึงหรือยังไง

“กูก็ไม่เคยคิดว่ามันจะลงเอยแบบนี้ว่ะ” ทนายเอ่ยตรงๆ “กูยอมรับว่ากูมองมันน่ารักตลอด แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะตกหลุมงูพิษน้อยอย่างมัน”

มันเรียกอาสาว่าอะไรนะ “งูพิษเหรอ”

“เออ เห็นใสๆ อย่างนั้นแม่งร้ายใช่ย่อยเลยนะนั่น”

ผมหลุดหัวเราะนิดหน่อย “โดนมาเยอะเหรอ”

“อย่าให้กูเล่าเลย มันเจ้าเล่ห์เหี้ยๆ” แม้ปากจะด่า แต่สีหน้ามันก็ดูมีความสุขดี นี่สินะคนมีแฟน “กูไม่ได้นึกภาพเอาไว้ว่ามึงจะยอมเรื่องกูกับอาสาง่ายๆ แบบนี้อ่ะ เกิดอะไรขึ้นวะ”

“กูไม่ได้ยอม แต่กูก็ไม่ได้คิดจะขวาง”

“มึงต้องมีเหตุผลดิ”

“เพราะมึงกับอาสาเป็นเพื่อนกูไง จะให้กูทำไงล่ะ”

ทนายดูอึ้งไปเล็กน้อยกับคำพูดของผม “เหรอวะ”

“...”

“กูขอโทษนะ”

“ถ้าอาสาชอบกู กูก็พร้อมจะเห็นแก่ตัวเหมือนกัน แต่มันไม่ได้ชอบกูเลยนี่ไง”

“นี่กูรู้สึกผิดกับมึงจริงๆ นะ ทั้งๆ ที่กูรู้ความรู้สึกของมึงแท้ๆ แต่กูก็ดันไป...ชอบคนเดียวกันกับมึง”

“สัด นี่มึงกำลังพูดถึงนางฟ้าอยู่นะ”

“นั่นสิเนอะ”

“เรื่องมึงกับอาสา คนที่มึงควรคิดให้หนักๆ ไม่ใช่กู แต่เป็นสัดไมล์” ผมพูดจากใจ “อย่างน้อยก็อย่าให้มันช็อกมากจนเกินไป กูขอล่ะ กูขี้เกียจปลอบมัน”

ทนายกลับมาทำสีหน้ากังวลอีกครั้ง “กูรู้สึกว่ากูเหี้ยมากเลย”

“ความรักแม่งก็ทำให้คนเราเหี้ยได้ทั้งนั้นนั่นแหละ”

“ขอบคุณมึงจริงๆ นะที่เข้าใจ”

“ดูแลอาสาให้ดีก็แล้วกัน” ผมพูด “กูรู้ว่ามึงเป็นคนจริงจัง กูดูมึงออกตั้งแต่วันที่มึงแสดงอาการหวงอาสาแล้ว มึงไม่เหมือนคนอื่น”

“กูก็แค่...”

“ความรู้สึกมึงเริ่มตอนนั้นเหรอวะ”

“ไม่รู้ว่ะ แค่เป็นห่วงมันมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย”

“เฮ้อ” ผมจะถามให้ตัวเองปวดใจทำไม “ตอนนี้กูอาจจะสู้หน้าอาสาไม่ค่อยได้ ยิ่งตอนที่อาสาอยู่กับมึง กูยิ่งสู้หน้าไม่ได้ใหญ่เลย หวังว่าจะเข้าใจกูนะ”

“...”

“กูอยากทำใจเงียบๆ ว่ะ”

“กูขอโทษ” ทนายพูดคำนี้อีกครั้ง

“ถ้ามึงรักและดูแลอาสาจนมันลืมความนกของมันไปตลอดกาล กูจะไม่โกรธมึงเลยสักนิด” ผมชูกำปั้นขึ้นมา ทนายยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะยกกำปั้นตัวเองขึ้นมาชนกับผม

“อาสาเป็นห่วงมึงนะ”

“มันก็ห่วงเพื่อนทุกคนนั่นแหละ” ผมพูดอย่างขมขื่น

“มันเป็นห่วงมึงเรื่องกูกับมัน กลัวมึงคิดมาก”

“อืม”

“...”

“ปล่อยให้กูทำใจไปเถอะ เดี๋ยวกูก็ต้องมาดูแลสัดไมล์อีก อีกไม่นานมันก็คงรู้แล้วนี่”

ทนายถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แม้ว่ามันจะสมหวังในความรัก แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น ผมเชื่ออย่างสนิทใจว่าตลอดเวลาที่มันอยู่กับอาสา มันคงคิดหนักเรื่องผมกับไมล์ตลอดเวลา ทนายไม่ใช่คนไม่ห่วงความรู้สึกคนอื่น ไม่ใช่คนคิดอยากจะทำอะไรก็ทำ เรื่องของอาสามันคงไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว

ที่สำคัญมันคงรักอาสามากพอจนถึงกับต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเอง ซึ่งตั้งแต่ที่ผมสัมผัสไอ้เชี่ยทนายมา มันไม่ใช่คนที่จะยอมกลืนน้ำลายตัวเองง่ายๆ เพราะงั้นมันคงให้ความรู้สึกกับอาสาไปมากจริงๆ

ผมเข้าใจมันเป็นอย่างดี เข้าใจอย่างที่สุด คนอย่างอาสาเกิดมาเพื่อให้คนอื่นรุมรัก แม้ว่าตัวมันเองจะคิดว่าตัวเองนกแล้วนกอีกก็ตาม

“กูไม่อยากจะคิดภาพนั้นเลย” ทนายบอกความรู้สึกที่อยู่ลึกเข้าไปในใจให้ผมฟัง “กูกับอาสาเห็นใจเชี่ยไมล์มากนะ แต่ไม่รู้จะพูดยังไงให้มันออกมาดูแย่น้อยที่สุดดี”

“เข้มแข็งไว้ มึงต้องแข็งแกร่งเพื่ออาสา”

“...”

“เพราะถ้าไมล์มันรู้ คงไม่ได้มีแค่ไมล์ที่สะเทือนใจว่ะ”

“ต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วสินะ” ทนายหัวเราะเบาๆ “กูอยู่กับอาสา มึงอยู่กับเชี่ยไมล์”

“มึงควรขอบใจกูนะ ที่กูปล่อยให้มึงอยู่กับอาสาอ่ะ ไม่งั้นมึงคงไม่ได้แฟนหรอก”

“กูขอบใจมาก อยากแดกไรล่ะ”

“เบียร์สิงห์”

“สัด มึงเจ็บอยู่”

“ก็หลังจากหายแล้วนี่ไง”

“เออ กูจะจำไว้”

“...”

“ขอบใจมากนะเว้ย”

“กูรู้แล้ว ไอ้สัด เดี๋ยวก็ขอบคุณ เดี๋ยวก็ขอโทษอยู่นั่น”

“ก็กูรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”

“พาอาสาออกไปไกลๆ กูได้แล้วไป ถ้ารู้สึกขอบคุณกูจริงๆ ปล่อยให้กูอยู่กับไอ้เชี่ยไมล์เถอะ”

“กูสองคนเป็นห่วงมึงมากนะ”

“รู้แล้ว”

“...”

“ไว้เจอกันนะเพื่อน”






ไมล์กลับมาอีกทีตอนสายๆ

ทนายกับอาสากลับไปแล้ว ผมคิดในใจว่าทนายคงจะนำเรื่องที่ผมพูดกับมันไปเล่าให้อาสาฟัง ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ อยากละลายกลายเป็นน้ำแล้วไหลไปสู่คลองแสนแสบที่กรุงเทพฯ ตอนคุยกับทนายทุกอย่างดูดี เหมือนผมไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่เลยครับ ผมเจ็บปวด ผมอยากดึงหัวใจของตัวเองออกมาแล้วก็หาพลาสเตอร์ยามาติด อยากแสดงออกให้โลกรู้ว่าผมอกหัก แต่ผมก็ทำอย่างนั้นไม่ได้

เพราะผมมีไอ้เชี่ยไมล์อยู่ด้วย

มันอาบน้ำเสร็จก็มานั่งส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่ข้างๆ ผม

“อาสาเลี้ยงข้าวกูด้วยแหละ” มันยักคิ้วทักทายผมราวกับต้องการแข่งขัน ผมแค่นหัวเราะตอบมันกลับไป “เป็นไรวะ เถียงกูกลับมาสิ”

“ไม่มีแรง” ผมพลิกตัวมาอีกฝั่งหนึ่งแล้วก็หลับตา

“มึงไม่ได้ดีขึ้นเลยใช่มั้ยเนี่ย”

“กูดีขึ้น”

“แต่สีหน้ามึง...”

“มึงกลับไปช่วยงานพี่อ้ายไป ใกล้จะแข่งโดเนทแล้ว พี่อ้ายคงต้องการคน”

“ทนายกับอาสาจะไปช่วยวันนี้ กูฝากพวกมันไปบอกพี่อ้ายแล้ว”

“เดี๋ยวพ่อแม่กูจะมา” ผมโกหก ใครจะไปกล้าบอกว่าลูกชายเมาแล้วขับ จากนั้นก็ถูกพวกที่เคยพูดจาหมาๆ ใส่ตอนเมามารุมกระทืบ พ่อแม่คงจะภูมิใจตายห่า

“เหรอวะ” จุดอ่อนของไอ้เชี่ยไมล์คืออาสาและก็พวกผู้ใหญ่ครับ มันเข้าหาผู้ใหญ่ไม่ค่อยเป็น “งั้นกูกลับมอนะ” เห็นมั้ย ได้ผลชะงัดนัก “มึงจะเอาอะไรป่ะวะ”

“กูมีครบแล้ว ไม่เป็นไร”

“มีไรโทรหานะเว้ย”

“รู้แล้ว”

“ดีเลย กูจะไปดูของที่สั่งพอดี ของที่กูจะให้อาสาอ่ะ” มันยักคิ้วท้าทายผมอีกรอบ แต่ผมไม่เล่นด้วย

“...”

“สัดเต ที่มึงดูไม่มีความสุขเพราะว่ากูกำลังจะไปขออาสาคบใช่มั้ยวะ”

“...”

“ใช่แน่ๆ แต่ไหนมึงบอกว่ามึงถอยให้กูแล้วไง”

ผมเคยพูดอย่างนั้นจริงๆ เมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากทราบความจริงเรื่องทนายกับอาสาผมก็ลั่นวาจาบอกกับไอ้ไมล์ว่าเรื่องอาสา ผมขอยอมแพ้ มันก็เลยคิดว่าผมไฟเขียวให้มันทำทุกอย่างตามที่มันต้องการ ซึ่งมันจะคิดอย่างนั้นก็ไม่ผิด

“กลับไปได้แล้วไป” ผมยังไม่มีอารมณ์อยากคิดอะไรซับซ้อนทั้งนั้นในตอนนี้

ไมล์มองดูผมอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ แต่มันก็ยอมกลับมหา’ลัยแต่โดยดี ผมนอนเซ็งๆ อยู่ในห้องต่อไป พยายามทำให้ความเจ็บปวดในหัวใจมันน้อยลง

ไม่นานนักผมก็รู้สึกเหงาเป็นบ้า

หรือว่าห้องนี้ควรจะมีสัดไมล์อยู่ในห้องด้วย








ตอนบ่ายผมนอนดูทีวีเซ็งๆ อยู่คนเดียว จู่ๆ โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นเฉย เมื่อเช้าผมคุยกับพ่อแม่แล้ว บอกพวกท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะฉะนั้นคนที่โทรมาสายนี้ต้องไม่ใช่คนในครอบครัวของผม เป็นเพื่อนผมคนใดคนหนึ่งอย่างแน่นอน

ทนาย

มันโทรมาทำไมวะ ผมกดรับสายด้วยความงุนงง

“ฮัลโหล”

[เอามันกลับไป]

“หา”

[เอาไอ้เชี่ยไมล์กลับไป]

เสียงปลายสายดูแข็งมาก ฟังก็รู้ว่ามันสุดทนแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น”

[กูทนอยู่นิ่งๆ ไม่ได้แล้วนะ และอาสาก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว เชี่ยไมล์แม่งรุกหนัก ข้ามหน้าข้ามตากูไปหมดแล้วตอนนี้]

ผมกลืนน้ำลาย เข้าใจไอ้เชี่ยทนายเป็นอย่างดี ใจหนึ่งมันคงอยากบอกความจริง แต่ใจหนึ่งก็คงอยากจะรอให้ผมดีขึ้นกว่านี้ก่อน ดราม่าสำหรับไอ้ไมล์ควรมีทีละเรื่อง ไม่ใช่ปาใส่หน้ามันตู้มเดียว คนโลกสวยอย่างมันไม่ควรมาเจอดราม่าหนักๆ ในเวลาเดียวกันครับ

[กูขอโทษที่โทรมารบกวนมึง แต่กูไม่ไหวแล้วจริงๆ ว่ะ]

“กูเข้าใจ”

[...]

“ทนมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย”

[สำหรับเรื่องไอ้ไมล์ก็พักใหญ่ๆ แล้ว]

“อาสาสนิทกับมันมากนี่”

[ช่วงก่อนสอบ อย่าให้กูพูด]

“เฮ้อ”

[...]

“เดี๋ยวกูจัดการเอง”

[กูจะเลี้ยงเบียร์สิงห์มึงสักสิบลัง]

“กูอัดเสียงไว้แล้วนะเว้ย”

ทนายวางสายไปแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ผมคิดไม่ใช่เรื่องความเจ็บปวดที่ปล่อยอาสาไป แต่เป็นความคิดเรื่องที่ว่าจะทำอย่างไรให้ไมล์เจ็บปวดน้อยที่สุดดี ไม่ช้าก็เร็วยังไงไอ้ไมล์ก็ต้องรู้ และยิ่งทนายโทรมาหาผมทั้งๆ ที่มันเกรงอกเกรงใจผมจะตายห่าก่อนหน้านี้ แสดงว่าช่วงระหว่างเตรียมงานคงมีโมเมนต์ของไมล์กับอาสาซึ่งมันอดรนทนไม่ไหว

ยังไงเรื่องช่วยเพื่อนก็ต้องมาก่อนเรื่องหัวใจใช่มั้ย

กูทำเพื่อความรักของมึงเลยนะเนี่ยอาสา

ผมกดโทรออกหาไอ้ไมล์ พยายามกระแอมเสียงให้แหบที่สุดในสามโลก

[เต ว่าไงวะ]

“กูไข้ขึ้น”

[หา!]

“ไม่มีแรงเลย มาอยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย”

[ได้ เดี๋ยวกูรีบไป]

เอาเป็นว่าช่วงนี้ยังไงผมก็ต้องใช้เรื่องเจ็บตัวของผมเป็นข้ออ้าง เพราะได้ผลกับไอ้เชี่ยไมล์มากที่สุดแล้ว เชื่อมั้ยครับว่าไอ้ไมล์มันบึ่งรถมาหาผมไวมาก ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีมันก็ปรากฏตัวอยู่ในห้องของผมแล้ว แสดงว่าแม่งเหยียบคันเร่งมาจนสุดจริงๆ
แกล้งทำหน้าซีดไม่ทันเลยกู

“ไหน” ไอ้ไมล์พุ่งเข้ามาจับหน้าผากผม “เชี่ย ตัวร้อนอยู่นะ บอกหมอยัง”

อ้าว ตัวผมร้อนเหรอ โชคดีไป

“บอกไปแล้ว หมอจัดยามาให้แล้วด้วย” ผมแถ

“สาด ทำไมปล่อยให้ตัวเองไข้ขึ้นวะ”

“สงสัยเครียดมั้ง”

“แล้วนี่พ่อแม่อยู่ไหน”

“กลับไปแล้ว” ทำไมผมกลายเป็นคนโกหกเก่งแบบนี้วะ

“มึงไม่ควรอยู่คนเดียวนะ” ไอ้ไมล์ดูเครียดมาก “ไหนหมอบอกมึงแข็งแรงไง นี่มึงอ่อนแอชัดๆ อยู่ดีๆ ก็ไข้ขึ้น”

ทำไมรู้สึกเหมือนถูกมันสบประมาทวะ

“กูแข็งแรง” ผมกัดฟัน

“มึงอ่อนแอ”

“สัด”

“นอนได้แล้ว พักผ่อนเยอะๆ” มันเดินมาห่มผ้าห่มให้ผม ผมจ้องหน้ามันด้วยสายตาสำรวจ “มองอะไร”

“มึงจะอยู่กับกูตลอดใช่ป่ะ”

“แหงดิ”

“กูลืมตาขึ้นมากูต้องเห็นมึงนะ”

“เออ ไอ้สัด นอนไปเถอะ”

“อย่าไปไหนนะเว้ย”

“เอออออออ”

ผมพลิกตัวนอนหลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากมัน ที่ผมทำสิ่งนี้ก็เพื่อไอ้ทนายกับอาสา และก็เพื่อตัวไอ้ไมล์เองด้วย ยิ่งไมล์มันถลำลึก มันก็จะยิ่งเจ็บปวด เพราะงั้นมันต้องอยู่ห่างๆ เพื่อนอีกสองคนนั่นแหละถูกแล้ว

แปลกแต่จริงที่ความเหงาของผมมันลดลงไปหลังจากที่ไมล์กลับมาอยู่ในห้องพักแห่งนี้







TBC*

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :m25: :m25: :m25: เบาหวานกำเริบ

ออฟไลน์ kredkaew26

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :pig4: :pig4: :pig4: เย้ เย้ ดีใจอ่ะ  มาทีเดียว 2 ตอนเลย  ขอบคุณคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ^^

ออฟไลน์ kredkaew26

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
เย้ เย้ อีกรอบ  5555 เพิ่งจะเม้นไปว่ามาทีเดียว 2 ตอน  เม้นเสร็จ โผล่มาอีก 2 อิ อิ  อย่างนี้จะไม่ให้รักคนเขียนยังไงไหว   :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ttke72

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ว้าวว เตไมล์ก็มาาา เชียร์คู่นี้
 :hao7:  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ mmello07

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทนายอาสา
เตไมล์
โอเคครบจบปิ๊ง :katai2-1:

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
ทนาย-อาสา
เต-ไมค์
พี่สงคราม-พี่อ้าย ได้มั้ยคู่นี้

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เต รู้เรื่อง ทนาย อาสาแล้ว
แต่เต ไม่โวยวาย อยู่นิ่งๆ ทำใจได้ แม้จะปวดรวดร้าว
เพราะความรักที่ตรงกันของทนาย อาสา

ทั้งเต ทนาย อาสา ห่วงความรู้สึกของไมล์
ความเป็นเพื่อนรักของทั้งสี่คนสูงมาก
เชียร์ เต ไมล์  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

พี่สงคราม พี่อ้าย :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ทนาย อาสา :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
แล้วทำไมอาสาไม่ปฏิเสธอ่าาา

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
คู่นี้เขาเหมาะกันจริงๆ

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
เตไมล์ก็ดีน่าาาา
คนอกหักมารักกัน ฟินไปอีกแบบ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เตคู่กับไมค์ดีแล้ว  :katai2-1:

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เตไมค์เด้อจ้าาาาาาาาาาาาาาาาา   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ wichta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ดีใจมาอย่างจุใจแต่ก็อ่านจบรวดเดียวและรวดเร็ว ยิ้มไป ฟินไป ขำไป หน่วงไป ลุ้นไป มโนไป และสุดท้ายก็รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Dealta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ลุ้นคู่เตไมล์ เอาคุ่นี้อีกคู่น้าาาา  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling2:

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เตไมล์ช่วยกันปลอบใจกันและกันไปนะจ๊ะ ส่วนอาสาทนายจะดูแลเอง หิ้ววววว
ปล. พี่สงครามและพี่อ้ายเป็นของนุ

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
อื้อหืออออ เตไมล์แน่ๆเลยอ่ะ 55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
โอ๊ยไม่เชียร์ไอ้คู่นู้นแล้ว เหม็นความรัก


555555 น่ามั่นไส้จริงๆ อิจฉาเว้ยยยยย



ลุ้นคู่นี้ดีกว่า ตลกดี พึ่งเห็นไมล์น่ารักก็ตอนห่วงเพื่อนนี่แหละ รู้สึกมุ้งมิ้งขึ้น 10 ระดับ

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





ตอนที่ 21



เมื่อวานอาสาทำผมปวดหัวแทบบ้า

จุดเด่นของมันคือน่ารักสะดุดตา แต่จุดด้อยของมันก็คือใจดีครับ ถ้าหากถามผมว่าทำไมความใจดีของมันถึงเป็นจุดด้อยน่ะเหรอ ก็เพราะมันใจดีกับคนอื่นไปทั่วถึงขั้นทำให้แฟนมันหึงจนเลือดขึ้นหน้าน่ะสิ!

ที่สำคัญไปกว่านั้นคนที่มันใจดีด้วยมากที่สุดก็คือไอ้ไมล์ ตอนช่วยกันจัดเต็นท์งานแข่งโดเนทของหอสาม อาสาใช้เวลาอยู่กับผมห้าเปอร์เซ็นต์ อยู่กับคนอื่นอีกห้าเปอร์เซ็นต์ และอยู่กับไอ้ไมล์ทั้งสิ้นเก้าสิบเปอร์เซ็นต์!!!

กูเข้าใจแล้วว่าทำไมสัดไมล์มันถึงคิดไปเอง กูเข้าใจแล้ววววววววววววว

ผมมองเจ้าตัวดีที่นอนอยู่บนเตียงอย่างสงบโดยไม่รู้ตัวว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามันจะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเคลียร์กับผม แม้ว่าวันนี้จะมีงานแข่งโดเนทและก็งานโอเพนเฮ้าส์ของมหา’ลัยเราก็ตาม

“อาสา ตื่น” ผมส่งเสียงก่อน อาสาไม่ขยับตัวเลยสักนิด เมื่อวานมันกับผมถูกใช้งานอย่างกับกรรมกรครับ สภาพของอาสาก็เลยเป็นอย่างที่เห็น “ตื่นโว้ย!”

“อืออออ” มันตอบผมกลับมาแค่เสียงสะลึมสะลือ

“เดี๋ยวก็ถึงเวลานัดของพี่อ้ายแล้วนะ ตื่นได้แล้ว” และมันก็ต้องมาเคลียร์กับผมก่อนด้วย เมื่อคืนเหนื่อยกันมากจนไม่มีเวลาแม้กระทั่งพูดคุยกันก่อนนอน

“...”

“ไม่ตื่นกูจูบนะ” ผมทิ้งตัวลงไปนั่ง อาสาขยับหัวของมันมาซบตักผม พร้อมกับยื่นมือสองข้างมาโน้มคอผมลงไป

“มาเลยยยยย”

ผมขยับศีรษะออกจากมือของมัน แม้ว่าใจจะหวิวไปหลายสิบระดับกับคำเชิญชวนนี้ ถ้าเป็นเรื่องจูบ อาสาไม่เคยปฏิเสธเลยครับ มันบอกว่ามันเสพติดการจูบผมไปแล้ว

ถึงจะเป็นอย่างนั้น...ยังไงตอนนี้มึงก็ต้องตื่นมาเคลียร์กับกูก่อนนนน

มันยังคงส่งเสียงสะลึมสะลือและก็ใช้ตักผมเป็นหมอนอันแสนล้ำค่า

“อาสา ก่อนไปงานเรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”

“...”

“เมื่อวานกูงอนมึงนะโว้ย”

อาสาลืมตาแทบจะในทันที มันหันมามองผมด้วยดวงตาที่ยังตื่นไม่เต็มที่ของมัน ที่จริงผมไม่ได้งอน ผมพูดแบบนั้นเพียงเพราะต้องการคุยด้วยเท่านั้นเอง

“ทำไม” มันลุกขึ้นนั่ง ผมของมันยุ่งเหยิงไปหมด อยากถ่ายรูปตอนนี้แล้วส่งไปหาแฟนคลับทั้งหลายของมันจริงๆ “งอนกูเรื่องอะไร”

“เมื่อวานมึงทำตัวเหมือนไม่เห็นหัวกูเลย”

อาสาอ้าปากค้าง ใบหน้าของมันดูตกใจมาก “จริงเหรอ”

“มึงตัวติดอยู่แต่กับไอ้ไมล์”

“ไม่จริงเลย”

“อาสา ปกติกูเป็นคนมีความอดทนและไม่คิดมากนะ แต่เมื่อวานมึงทำเกินไปจริงๆ”

มันช็อกแดก คงไม่คิดว่าผมจะตัดพ้อต่อว่ามันขนาดนี้มั้ง อาจเป็นเพราะตอนนี้สถานการณ์ระหว่างไมล์กับอาสาค่อนข้างสุ่มเสี่ยง แถมไมล์ยังวางแผนที่จะขออาสาคบอีก จะไม่ให้ผมเดือดเนื้อร้อนใจได้ยังไง ผมต้องทำใจแทบตายก่อนโทรไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่นอนอยู่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ผมไม่อยากจะรบกวนอีกฝ่าย

ถ้าผมไม่สุดทนจริงๆ คงไม่ทำแบบนั้นหรอก

“ทนาย” มันพึมพำน้ำเสียงอ่อน

“กูต้องโทรไปหาไอ้เตเพื่อให้ไอ้เตเรียกตัวไมล์กลับไป เพราะมึงมัวแต่อยู่กับไอ้ไมล์ มึงกำลังทำร้ายทั้งมันทั้งกูอยู่มึงรู้ป่ะ”

“ความคิดกูก็แค่อยากอยู่เป็นเพื่อนไมล์เท่านั้นเอง ปกติมันก็อยู่แต่กับเชี่ยเต...”

“แต่มันไม่คิดแบบนั้นไง”

อาสายอมอ่อนให้ผมชนิดที่ว่าไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่เคยเห็นสีหน้ามันเป็นกังวลขนาดนี้ นี่มันระดับเดียวกันกับตอนที่รอฟังอาการเจ็บของไอ้เตเลยนะ ดีไม่ดีอาจจะมากกว่านิดหนึ่งด้วยซ้ำ

มันห่วงความรู้สึกของผมมาก แค่ได้เห็นหน้าแบบนั้นผมก็หายคิดมากแล้ว เพียงแต่ผมต้องทำให้ไอ้คนอัธยาศัยดีไปทั่วคนนี้มันได้หลาบได้จำซะบ้าง เพราะผมหึงทีละหลายๆ เรื่องไม่ได้ครับ แค่เรื่องที่มันฮอตในหมู่เพศผู้ผมก็ปวดหัวจะแย่ นี่ต้องมาหึงเรื่องที่มันใจดีกับคนอื่นไปทั่วอีก ฆ่าผมให้ตายดีกว่า

“มึงรู้บ้างมั้ยว่ากูหายออกไปจากเต็นท์ตั้งเป็นชั่วโมง”

“...”

“ตอนนั้นมึงอยู่แต่กับสัดไมล์ไง”

“...”

“กูหายไปช่วยพวกหอหกยกเครื่องดนตรี มึงก็ยังไม่รู้ เพราะมึงอยู่แต่กับคนอื่นที่ไม่ใช่กู”

นัยน์ตาของอาสากำลังสั่นระริก ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป

“กูผิดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

ผมแค่อยากให้มันจำว่าอย่าทำแบบนี้บ่อยๆ เพราะผมคงทนไม่ได้แน่ๆ แม้เราสองคนจะยังไม่ได้เปิดตัวกับคนอื่น อย่างน้อยมันก็ควรเกรงใจผมบ้าง

ใครๆ ก็รู้ว่าผมทั้งหวงทั้งห่วงมันขนาดไหน เรื่องแบบนี้มันต้องช่วยกันสิ ผมขี้หึง มันก็ไม่ควรทำให้ผมหึง อย่างน้อยก็อย่าไปยิ้มกับคนที่ชอบมันต่อหน้าผม ผมทนไม่ไหว

“แค่อย่าทำอีกก็พอ”

อาสาพุ่งตัวมาสวมกอดผมในแบบที่ผมตั้งรับไม่ทัน ทำให้เราทั้งคู่ล้มลงไปบนเตียง ขาขาวๆ ที่โผล่พ้นกางเกงนอนของมันทำเอาผมสติขาดกระเจิง ลำตัวนุ่มๆ ของมันอิงแอบแนบชิดไปกับตัวของผมที่กำลังนั่งอยู่ มันเบียดผมมากเพราะมันกอดผมแน่น มันคงรู้สึกผิดมากจริงๆ

“ขอโทษ”

“...”

“กูขอโทษนะทนาย อย่าโกรธกูเลย”

จริงๆ หายโกรธตั้งนานแล้วล่ะ เพียงแต่แอ็กติ้งเล่นใหญ่ไปเท่านั้นเอง ผมแกล้งปั้นสีหน้าถมึงทึงใส่มัน มันขยับตัวมามองหน้าผมโดยที่มือยังโอบรอบคอผมอยู่

จากนั้นมันก็ลุกหนีไป

อะไรวะ อย่างน้อยมันก็ควรจะจูบ หอม หรืออ้อนอะไรผมสักหน่อยสิ มันต้องทำตัวตามสไตล์ของงูพิษ ไม่ใช่ตัดอารมณ์ฉับทิ้งกันไปแบบนี้

ผมทำหน้าเซ็งอยู่ตอนที่มันกลับมากอดคอผมอีกรอบ มันปาดน้ำซึ่งติดอยู่บนปากของมันนิดหน่อย

“อะไรของมึง” ขอพื้นที่ในการนั่งทำหน้างง

“ไปแปรงฟันมา”

“...”

“มึงจะจูบกับกูตอนเพิ่งตื่นนอนไม่ได้ กูไม่ยอม”

“ไอ้เหี้ย กูไม่ได้...” ผมจะบอกว่าผมไม่ได้รังเกียจ แต่อาสาก็ยึดริมฝีปากผมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นี่แหละครับงูพิษสไตล์ ชอบทำให้คิดมาก ชอบทำให้งอน แต่สุดท้ายก็มักจะมีวิธีทำให้ผมใจระทวยได้เสมอ คราวนี้ก็เช่นกัน มันจูบแบบคุกเข่าบนเตียง กลายเป็นว่าใบหน้าผมต้องเงยสูง ขณะที่มันก้มหน้าลงมาต่ำ แขนทั้งสองของผมสามารถกอดเอวของมันได้แน่นตามที่ใจปรารถนา

มันไม่ควรทำแบบนี้ ไม่ควรบดขยี้ริมฝีปากของผมอย่างชุ่มฉ่ำด้วยลิ้นซึ่งสุดแสนจะเร่าร้อนของมันแบบนี้ ไม่ควรเลยจริงๆ เพราะผมจะปรารถนาให้มันมีตอนต่อไป ไม่ใช่จบลงที่จูบและก็นอนเบียดแนบกายกันเหมือนทุกครั้ง

เช้านี้เหมาะจะเป็นครั้งแรกของผมกับอาสามั้ยนะ

“ใช้จูบชดเชยความผิดเหรอ” ผมกระซิบเสียงกระเส่า ตอนที่อาสาพักหายใจและเอาหน้าผากมันมาชิดติดกับหน้าผากผม

“ได้ผลป่ะวะ”

“ยังว่ะ”

มันยิ้มก่อนจะจู่โจมจูบผมอีกรอบ

ไอ้สัด ตัวมึงตอนตื่นนอนก็เซ็กซี่โคตรๆ อยู่แล้ว ยังจะมาอ่อยกูแบบนี้อีก

ผมชักทนไม่ไหว จับตัวมันให้ลงไปนอนตรงกลางเตียง กลายเป็นผมที่ขึ้นคร่อมมันและก็ก้มหน้าลงไปเป็นผู้นำในการจูบแทน อาสาเองก็ว่าง่าย ไม่อิดออดขัดขืนอะไรสักคำ อีกทั้งยังประคองศีรษะของผมไม่ให้ผมจากไปไหนง่ายๆ อีกต่างหาก

งูพิษน้อยเสพติดการจูบ โดยเฉพาะจูบที่มาจากผม...ผมรู้สึกภูมิใจที่สามารถครอบครองริมฝีปากบางๆ เล็กๆ นั่นได้ตามอำเภอใจและนานเท่าไหร่ก็ได้ ในเมื่อเจ้าตัวชอบและก็ชื่นชอบการจูบกับผมยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

แต่มันไม่ได้น่ะสิ ความสุขที่แท้จริงมันไม่ได้มีแค่การจูบนะ ผมจำเป็นต้องสอนเขา ไม่ก็ทำให้เขาเห็น เราสองคนจะได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกขั้น และไม่แน่อาสาอาจจะชอบอย่างอื่นมากกว่าจูบก็ได้

ผมอยากรู้จังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นมั้ย

“อืมมม” มันเคลิ้มกับจูบของผมจนหลับตาพริ้ม

“กูซื้อถุงยางมาแล้วนะรู้เปล่า”

อาสาลืมตามองผมด้วยสายตาที่ทำให้อกผมแทบระเบิด

“และตอนนี้ถุงยางในลิ้นชักมันก็สั่นไปหมดแล้ว ทำไงดี”

อาสาหน้าแดงก่ำ ผมเลียริมฝีปากขณะรอฟังว่าอีกฝ่ายจะให้คำตอบว่ายังไง ริมฝีปากของผมคลอเคลียตามดวงหน้าขาวๆ ของมันไปเรื่อยๆ ด้วยใจปรารถนา

“ซื้อมาแล้วเหรอ” มันถามย้ำ

“ใช่ ดูมั้ย” ผมทำท่าจะขยับไปหยิบให้มันดู แต่อาสาจับแขนผมเพื่อห้าม

สัญญาณแดกแห้วของผมมาแล้ว

“กู...” มันไม่กล้าสบตาผม อีกทั้งยังเอามือมาบีบเสื้อยืดของผมจนยับ “กลัวว่ะ”

“ทำไม”

“กูไม่เคย”

หลังจากที่ได้ยิน ผมคิดว่าใจของผมระเบิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ ผมหลุบสายตาลงต่ำสำรวจไปทั่วร่างของอาสาอย่างรวดเร็วด้วยความไวแสง

“อะไร”

“ทั้งหมดนี่...จะกลายเป็นของกูเหรอ”

อาสาหน้าแดงหนักขึ้นไปอีก

“ของกูคนเดียวเหรอ”

“ไอ้เหี้ย” อาสาเอียงหน้าไปทางอื่น คล้ายๆ กับเขินอายเกินกว่าจะสบตาผม

“มึงไม่เคยกับผู้หญิงเหรอวะ”

มันส่ายหน้า “กูเป็นนกนะสัด”

“ดีแล้วที่นก” ผมกอดมันอย่างหวงแหน “กูดีใจที่จะได้เป็นคนแรกของมึง ดีใจมากกกก”

“กูยังไม่ยอมมึงเลย”

ผมยิ้มกริ่มก่อนจะจูบแก้มมันอย่างเชื่องช้าเนิบนาบ “เดี๋ยวก็ยอม”

ผมกับมันจูบกันอย่างดูดดื่มอีกรอบ คราวนี้มือของผมเริ่มอยู่ไม่สุข ผมลูบไปทั่วร่างกายของอาสา ยิ่งได้สัมผัสความนวลเนียนผมก็ยิ่งรู้สึกปรารถนาอยากจะครอบครอง ยิ่งเร็วเท่าไหร่ได้ยิ่งดี

เช้านี้เลยมั้ย หรือยังไง

ถุงยางในลิ้นชักมันสั่นไปหมดแล้วจริงๆ นะ

“ทนาย” อาสาพึมพำชื่อผม มันดันตัวผมให้ออกห่าง “เอาจริงเหรอวะ”

“อืม” เอาสิ ขอตอนนี้เลยด้วย ผมยอมรับว่าผมหื่นแล้ว

“ให้กูไปอาบน้ำก่อนมั้ย”

มันยอมผม มันยอมผมมมมมมมมมมมมม มันยอมผมครับทุกคน!

“ไม่ต้องอาบ” แค่นี้ก็หอมชื่นใจแล้วเหอะ

“แต่วันนี้มีงาน...”

“แป๊บเดียว”

“...”

“ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง”

“แต่...”

เสียงของอาสาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู ผมรู้สึกเกลียดเสียงเคาะประตูทุกครั้ง เพราะมันมักดังขัดเวลาที่ผมกับอาสากำลังสวีตกัน

“ทนาย อาสา อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันข้างล่างนะเว้ย” คนพูดก็คือพี่อ้าย พี่มันร้องตะโกน จากนั้นก็เดินหนีไป

ผมทำหน้าเซ็งที่สุดในโลก อาสาหัวเราะนิดหน่อย

“กูรอด”

“ไม่” ผมยืนกราน

“ทนาย” มันส่งเสียงอ้อน

“...”

“ครั้งแรกกูขอนานๆ”

ผมชะงักกึก

“ครั้งนี้มันเร่งด่วนเกินไป มันไม่น่าจดจำ”

ผมให้ความปรารถนาของตัวเองมาครอบงำเรื่องนี้ได้ไงเนี่ย ผมยอมแพ้ในที่สุด เข้าอกเข้าใจอย่างแรงว่าทำไมอาสาถึงได้พูดแบบนี้

“ขอโทษ” ผมจุมพิตขมับของมัน “แต่ขอแหย่นิ้วจองได้ป่ะวะ”

“เฮ้ยยย”

“ไม่เจ็บหรอก”

“มัน...สกปรกป่ะวะ”

“ไม่”

“มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ”

“ไม่ใช่ แค่อยากจองเอาไว้”

“...” อาสาทำสีหน้าไม่ถูก ทั้งเขินทั้งไม่แน่ใจปะปนกันไป

“อีกอย่างมึงจะได้รู้ว่ากูรอให้มึงมาเป็นของกูอยู่”

“...”

“และกูก็รอจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”

ผมโน้มตัวไปประทับริมฝีปากบนริมฝีปากบางของอาสาอีกรอบ ดูเหมือนมันคล้อยตามและสั่นไปหมดเพราะคำพูดของผม คำพูดที่แฝงไปด้วยความปรารถนาและก็ความจริงใจ

ผมต้องช่วยอาสาให้ลืมสัมผัสแปลกใหม่ด้วยการแลกลิ้นไม่มีหยุดยั้ง คนรักของผมหลับตาปี๋แถมยังตัวสั่น ระหว่างที่ผมมอบการตีตราจองให้มันอย่างเชื่องช้าและค่อยเป็นค่อยไป

มันไม่รู้ว่าผมตื่นเต้น มันไม่รู้ว่าผมต้องฝืนอดทนอดกลั้นแค่ไหนเพื่ออยากให้เรื่องราวในเช้าวันนี้มีตอนต่อไป

ตอนที่แยกจากกัน ผมมองอาสาซึ่งกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างเสียดาย ก้มลงมองน้องชายตัวเองที่พร้อมใช้งานแต่ก็ไม่ได้ใช้
อย่างน้อยมึงก็ควรมารับผิดชอบนะ

อาสามองเห็นผมมองน้องชายตัวเองพอดี มันยิ้มกว้างก่อนจะกวักมือเรียกผมเข้าไปข้างใน

“เดี๋ยวช่วย”

เฮ้ยยยยยยยยยยยยย ผมรีบเข้าไปหามันอย่างกระตือรือร้นเหมือนหมาดีใจที่ได้ของกิน อาสาหัวเราะกับท่าทางของผม ก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองเพื่ออาบน้ำ

“เอ่อ...”

“อาบด้วยกัน”

“กูอาบแล้วนะ”

“อาบอีกรอบสิ”

ผมทำตามที่มันพูดทันทีด้วยการถอดเสื้อผ้าออก

ตอนนี้มึงชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้แล้วล่ะตอนนี้ สั่งกูมาเลย อยากได้อะไรขอแค่ให้บอก ถ้ามึงช่วยกูปลดปล่อยความอัดอั้นของกูได้ จะเอาบ้านหรือเอารถกูก็ให้หมด

ผมมองความขาวของอาสาอย่างเพ้อๆ มันจับใบหน้าของผมให้ตั้งตรงไม่ให้มองลงไปยังส่วนล่างของมัน แม่เจ้า แค่หุ่นท่อนบนของมันก็สิบผ่านแล้ว แถมมันยังไม่เคยผ่านมือของใครมาอีก โชคดีอะไรของผมขนาดนั้นวะ

“อย่าขี้โกงดิวะ กูยังไม่มองของมึงเลย”

“มึงจะช่วยกูยังไง” ผมถามเสียงกระเส่า ตอนนี้สถานการณ์ของผมกับอาสาโคตรเสี่ยง พร้อมเลยเถิดไปไกลถึงจุดสูงสุด

อาสาพูดด้วยใบหน้าแดงๆ พร้อมกับกางแขนออก

“จะทำอะไรกับกูก็ได้ เต็มที่เลย ยกเว้นสอดใส่”

แค่นี้ก็ดีมากแล้วป่ะวะ ถือว่าแก้ขัดไอ้หื่นที่น้องชายพองตัวใกล้จะระเบิดได้เป็นอย่างดี

หื่นเพราะอาสา ได้ปลดปล่อยก็เพราะอาสา

ไม่ต้องเสียเวลาสืบเลยครับว่าผมพุ่งเข้าไปนัวเนียอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแค่ไหน มันก็ยอมผมทุกอย่าง คล้อยตาม ไม่มีขัดขืน

“อีกแล้วเหรอ”

“ก็มึงขาว”

“มันเป็นรอยไอ้สัด”

“ใครจะเห็นนอกจากกูล่ะ”

“...”

“ยอมให้กูจูบมึงทุกที่เถอะ”

“...”

“มึงจะเซ็กซี่ จะฮอตไปถึงไหน กูใกล้จะบ้าเพราะมึงอยู่แล้วเนี่ย”






ณ เต็นท์หอสาม งานแข่งโดเนท

ผมอยู่ในสภาพสดชื่นแต่ก็สดชื่นไม่สุด ส่วนอาสาดูไม่ค่อยสบายตัวเพราะผมรุกเร้ามันจนร่างช้ำไปหมด สายตาของผมมองไปหามันอย่างเกรงใจหน่อยๆ ขณะที่มันนั้นเริ่มปั้นปึ่งใส่ผม หาว่าผมทำมันช้ำไปทั้งตัว

นี่ขนาดพี่ทนายยังไม่จริงจังนะเนี่ยเบบี๋้...

ในงานมีบรรยากาศที่สนุกสนานแม้แดดจะร้อน สีสันของงานก็คือแต่ละหอต่างก็งัดจุดเด่นของตัวเองมาขายอย่างเต็มที่เพื่อให้คนเข้ามารุมเต็นท์และบริจาคเงินเพื่อช่วยน้องช้าง เป็นอย่างที่ผมแอบคาดการณ์เอาไว้ในใจ เต็นท์หอสามมีผู้หญิงมารุมเยอะมาก แปลกแต่จริงที่มีแต่เด็ก ม.ต้น ไม่ก็เด็ก ม.ปลาย ทั้งนั้น

ส่วนเต็นท์หอสอง คนรุมเห็นจะเป็นนักศึกษาหญิงจากมหา’ลัยเดียวกัน สาวๆ ที่นี่เขาคงจะชอบผู้ชายหุ่นดีๆ มีพละกำลังมั้ง ฮอตสุดในเต็นท์นั้นเห็นจะเป็นพี่สงคราม เพราะผมได้ยินเสียงเรียกชื่อพี่สงครามดังมาถึงข้างในเต็นท์ของผมเลยทีเดียว

พี่อ้ายยังไม่หายโกรธพี่สงครามเลยครับ ดูเหมือนเรื่องเด็กหอสองมารุมทำร้ายไอ้เตจะกลายเป็นเรื่องแตกหักระหว่างพี่ๆ สองคน คนที่ได้รับกรรมเห็นจะเป็นเด็กหอสามนี่แหละ พี่อ้ายแม่งดันหนักมาก ทำยังไงก็ได้ให้คนมารุมเต็นท์เราเยอะๆ เยอะกว่าเต็นท์หอสองได้ยิ่งดี

ไม่มีเต็นท์ไหนเงียบเหงาแม้กระทั่งเต็นท์ของพวกหอห้า พวกมันฉลาด เอาใจเนิร์ดวัยเยาว์ด้วยการแต่งตัวเป็นตัวละครจากภาพยนตร์เรื่องต่างๆ มีเด็กๆ ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ส่วนพวกหอหกหนีไม่พ้นวาดภาพเหมือนและก็เล่นดนตรีขับกล่อม หอเหล่านี้ก็มีคนน่าดึงดูดอยู่เหมือนกันนะครับ

พวกหอหนึ่งไม่มีอะไรแปลกใหม่ ใช้วิธีชี้แจ้งเป็นทฤษฎีพร้อมป้ายให้ความรู้แน่นปึ้กว่าช่วยเหลือช้างมีข้อดีอย่างไร ไอ้พวกนี้มันฮอตกับสาวๆ ที่มาจากคณะเด็กเรียนทั้งหลายและก็พวกหนูๆ ที่อยากจะเรียนหมอ ผมแอบเห็นว่าไอ้ป๊อบเพื่อนผมวิ่งรับแขกจนเหนื่อยเลยแหละ

หอที่น่าหมั่นไส้แต่ก็น่าอิจฉาที่สุดก็คือหอสี่ พวกมันปล่อยให้เต็นท์เป็นเต็นท์ร้าง จ้างแม่บ้านกับยามจากหอของมันมานั่งเฝ้าเต็นท์เฉยๆ เพื่อป้องกันคำครหาว่าหอสี่ไม่ยอมให้ความร่วมมือเรื่องการจัดงานระดมทุนครั้งนี้ พวกมันเลยแปะป้ายใหญ่เบ้อเร่อว่า

‘บริจาคไปแล้วกว่าหนึ่งล้านบาท ถ้าไม่เชื่อ ลองโทรไปถามอธิการบดีได้’

แม่งกวนส้นตีนสัดๆ

ปล่อยให้พวกมันชนะไปเถอะครับ หออื่นจะต้องไปหาเงินให้ถึงหนึ่งล้านภายในวันนี้ถ้าอยากเอาชนะ ว่าแต่ใครมันจะกล้าเปย์ได้เท่าพวกหอสี่ ยังไงก็ไม่มีหรอกครับ เพราะฉะนั้นงานนี้พวกมันชนะเลิศไปเลยไม่ต้องไปแข่งด้วยหรอก

“ถ้าพี่ให้ถ่ายรูปพี่คนนั้นหนูให้สองร้อยเลย”

“ไม่ได้จริงๆ ต้องไปถามมันก่อน”

“หนูแค่แอบถ่ายเองนะ”

“พี่ไม่ให้แอบ”

“หวงจัง”

อาสาถือกล่องรับบริจาคอยู่และกำลังต่อสู้กับเด็กสาว ม.ต้น ที่เข้ามาคุยด้วยตั้งแต่เมื่อกี้ ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยเข้าไปดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่ผมเดินเข้าไป เด็กๆ พวกนั้นก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปผมอย่างรวดเร็ว

ผมกะพริบตาหลบแสงแฟลชแทบไม่ทัน

“อย่าถ่ายเยอะสิ” อาสาร้อง

“มีไรกัน”

“พี่คนนี้เขาหวงพี่สุดหล่ออ่ะ เขาไม่ให้พวกหนูถ่ายรูป” ช่างเป็นกลุ่มเด็กสาวที่พูดตรงดีจริงๆ

“หวงทำไมล่ะ” ผมถามอาสายิ้มๆ มันเอาแต่ทำหน้าบึ้ง

“บรรยากาศสีชมพูนี่มาเลยค่ะ” สาวๆ เหล่านั้นยกกล้องขึ้นมาอีก

“เอาล่ะๆ ถ้าจะถ่ายรูปคู่ต้องช่วยน้องช้างเยอะๆ นะ อย่าลืมเข้าไปแชร์ให้คนอื่นรู้ด้วยว่าช้างไทยกำลังลำบาก” ผมพูดไปกอดไหล่ของอาสาไป ดูมันขัดขืนยังไงชอบกล

“ได้เลยค่า ได้เลย”

นี่ผมกำลังคิดจะเอาเปรียบเด็กอยู่ป่ะวะ บอกให้เด็กไปบริจาคเยอะๆ เนี่ยนะ ระหว่างที่ผมกำลังคิดในใจ อาสาก็กระตุกแขนให้ผมกลับเข้าไปในเต็นท์ เราสองคนมานั่งพักกันตรงหน้าสแตนดี้เสี่ยวๆ ของผมกับมัน

ผมหาผ้ามาปิดหน้าตัวเองเอาไว้ มันรู้สึกแปลกๆ นะที่จะต้องเห็นตัวเองยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ

“เป็นไรเปล่า” ผมถามแฟนตัวเอง สภาพมันตอนนี้ไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่

“ร้อน” มันไม่สบายตัวตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว สาเหตุก็เป็นเพราะผมนี่แหละ

“พักก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูไปช่วยพวกนั้นเอง” หอผมโชคดีที่ยืนเฉยๆ ให้ถ่ายรูปก็ได้เงินไปช่วยน้องช้างแล้ว นอกจากจะได้รักษาศักดิ์ศรีหอที่หน้าตาดีที่สุดแล้ว ยังได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมอีกต่างหาก

“กูไม่อยากให้มึงโดนถ่ายรูปเยอะๆ เลย” อาสาทำหน้าเซ็ง

“ทำไมล่ะ”

มันชูโทรศัพท์ที่กำลังเป็นแอพฯ เฟซบุ๊กอยู่

มาส่องของดีต่างจังหวัด น้องทนาย ปีหนึ่ง คณะบัญชี การันตีความแซ่บเพราะน้องอยู่หอสาม มอ B หอสุดโด่งดังที่รวมผู้ชายหน้าตาดีที่สุดเอาไว้!

“หา!” ผมอ้าปากค้าง

“แค่มีคนถ่ายรูปมึงไปหนึ่งคนเอง จากนั้นก็มีมาอีกเป็นสิบๆ รูป”

“ไม่เห็นจะรู้ตัวเลย”

“ดังใหญ่แล้ว”

“เปล่าสักหน่อย”

“หวงอ่ะ” อาสาบ่นอุบ

งูพิษของผมได้ใช้ความน่ารักของมันอีกแล้ว มันทำให้ผมหลงมันหัวปักหัวปำเลยนะแบบนี้

“หวงอะไรล่ะ เมื่อเช้ากูยังคลั่งมึงอยู่เลย”

“ไม่รู้ มันหวง” อาสาขยับโทรศัพท์ให้ดู “มึงดูคอมเมนต์ดิ น่าจับทำผัวบ้างล่ะ ครางชื่อพี่ทีบ้างล่ะ ช่วยมาว่าความที่ห้องพี่ทีบ้างล่ะ” อาสาทำหน้าบูดอย่างจริงจังมาก “ว่าความไรวะ ชื่อทนาย แต่ไม่ได้เรียนนิติสักหน่อย”

ผมไม่เคยเห็นอาสาออกอาการขนาดนี้ ปกติมีแต่ผมที่เป็นฝ่ายหึงมากกว่า ผมจึงได้แต่มองอย่างสนอกสนใจว่ามันจะทำยังไงต่อไป
 
“นี่แค่ภาพนิ่งของมึงเองนะ”

“ใจเย็น” ผมรีบปราม “เรื่องที่มึงหึงกูที่สุดคือเรื่องกูอาจจะดังในโซเชียลใช่ป่ะ”

“ใช่” แม่งก็ยอมรับโคตรไว “เรื่องอื่นกูโอเค กูไว้ใจมึง แต่เรื่องนี้กู...ไม่รู้ว่ะ”

อาสาอาจจะหึงหวงผมแค่เรื่องนี้ แต่ผมน่ะเหรอ...หึงทุกเรื่องครับ

“เหมือนเค้าผ่านมาแซวนั่นแหละน่า”

“ไม่ชอบโดนแซวไง ก็เลยไม่อยากให้มึงโดน”

“ใจเย็นอาสา ใจเย็น” ผมเอียงคอเข้าไปกระซิบ “กูรอเป็นของมึงอยู่เนี่ย มึงจะกังวลอะไร”

มันผลักหน้าผมออกไปพร้อมใบหน้าสีชมพูระเรื่อ “ไอ้สัด เดี๋ยวคนเห็น”

“ฮ่าๆๆ นั่งอยู่ตรงนี้แหละนะ” ผมรีบลุกพลางร้องเรียกไอ้โอ๊ค “โอ๊คมึงช่วยดูอาสาให้หน่อยนะ”

“ได้ จะจับตาดู จะไม่เลิกจ้อง” ไอ้โอ๊คเดินมาใกล้ๆ ก่อนจะทำอย่างที่มันพูดจริงๆ แม่งโคตรกวนตีน มันหัวเราะลั่นตอนที่ผมทำหน้าถมึงทึง ก่อนจะเดินไปทำอย่างอื่นซึ่งมันทำค้างไว้ แต่ดึงมาทำใกล้ๆ อาสาแทน

มีเพื่อนดี มันดีตรงนี้นี่แหละ

อาสาเอื้อมมือมาคว้าแขนผมก่อนพูดอย่างกังวล “ยังไม่เจอไมล์เลย”

“ดีแล้ว” ผมพูดเสียงเรียบ “มึงก็รู้ว่าถ้าเจอจะเป็นยังไง”

ในใจของผมภาวนาให้เตเห็นข้อความที่ผมส่งไป ภาวนาให้มันใจดีช่วยผมกับอาสาให้ผ่านวิกฤตเรื่องไมล์ไปได้ด้วยดี

ถ้ามันทำได้ ผมจะเพิ่มเบียร์ให้มันอีกสิบลังเป็นยี่สิบลังเลย

LAWYER : กูจะขอเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย
LAWYER : มึงรู้ว่ากูพูดถึงเรื่องอะไร
LAWYER : กูยอมหน้าด้านให้มึงด่ากูว่ากูไม่เห็นใจมึง
LAWYER : เพราะกูรักอาสาจริงๆ







TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





ตอนที่ 22
พาร์ตของเต




เพราะกูรักอาสาจริงๆ
เพราะกูรักอาสาจริงๆ
เพราะกูรักอาสาจริงๆ


เชี่ยทนายแม่งคนจริงนี่หว่า มันกล้าส่งข้อความมาหาผมแบบนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมกำลังอยู่ในช่วงเวลาทำใจ มันกล้าเสี่ยงโดนผมเกลียดเพื่อความรักของมัน แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่โกรธมันหรอก ถ้าผมเป็นมัน ผมก็ต้องหาที่พึ่งเหมือนกัน

ความรักเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน แต่สำหรับบางคู่ถ้าไม่มีคนช่วยเหลือเลยยังไงก็ไม่มีวันมาเจอกัน มีความสุขกัน ปรับความเข้าใจกัน หรือคืนดีกัน

ทีนี้งานหนักก็ตกมาอยู่กับผมแล้วสินะ ทนายนะทนาย แทนที่มึงจะมาใช้งานกูในช่วงที่สภาพร่างกายกูดีๆ มึงมาให้กูช่วยตอนที่กูนอนเป็นผักเปียกๆ อยู่บนเตียงในโรงพยาบาลเนี่ยนะ กูจะทำห่าอะไรได้บ้างวะ

“วันนี้แข่งโดเนทแล้วนี่หว่า” ไอ้ไมล์ซึ่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาพึมพำ มันกำลังดูโซเชียลอยู่ เห็นได้ชัดว่าวันนี้คนทั้งมหา’ลัยกระตือรือร้นกับเรื่องที่พวกหอพักชายจะแสดงศักยภาพมาก คงจะเต็มโซเชียลไปหมด “รูปทนายเต็มเลย”

“เซเลบไง”

“กูตื่นเต้นแล้วนะเนี่ย” มันวางโทรศัพท์แล้วหันมาพูดกับผมตรงๆ “ว่าจะไปตอนงานใกล้เลิก”

สำหรับผมนะ ผมไม่อยากให้มันโผล่หน้าไปด้วยซ้ำ ผมรู้ดีว่าไมล์จะเป็นยังไงเมื่อถูกอาสาปฏิเสธ มันคงจะด่าผมเลยแหละว่าทำไมผมถึงไม่ห้ามมัน

เพราะงั้นผมคงต้องชิงห้ามมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อเป็นการตัดปัญหาตั้งแต่ต้น

“เหมือนกูจะไข้ขึ้นอีกแล้วว่ะ” ผมต้องได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในปีนี้อย่างแน่นอน

“จริงเหรอ ยังไม่ดีขึ้นเลยเหรอวะ โรง’บาลห่าไรเนี่ย ย้ายมั้ย”

“มึงต้องอยู่เป็นเพื่อนกูก่อนนะ”

“ป่วยแล้วอ้อนเหรอวะ”

“เสียงกูอ้อนมั้ยล่ะ”

“ก็ไม่”

“งั้นกูไม่อยู่”

สัด มันแกล้งผมเหรอ “เหี้ย กูอยากให้มึงอยู่”

“อ้อนดิวะ อ้อน อ้อนนนนนน”

ชายชาตรีอย่างผมจะไปทำเสียงอ้อนทำแมวอะไรล่ะครับ แม่งเสียเชิงชาย ผมไม่ทำ

“อยู่กับกูหน่อยนะ”

ท้ายที่สุดแล้วผมก็ยอมพูดเสียงอ่อนลงไปอีกสิบระดับ ไอ้ไมล์หัวเราะชอบใจที่แกล้งผมได้

“ห่า กูไม่ไปไหนหรอก”

ขอให้จริงเถอะ เรื่องเอาของไปให้อาสามึงก็ไม่ต้องไป มึงอยู่กับกูนี่แหละ

คนนกๆ ต้องอยู่กับคนนกๆ สิวะ






เวลาผ่านไป ไอ้ไมล์เริ่มจะอยู่ไม่สุข มันมองดูนาฬิกา สลับกับมองผมซึ่งแกล้งทำหน้าป่วยอยู่ เพราะผมมันก็เลยไปหาอาสาไม่ได้ ที่จริงผมก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หรอกนะ แต่สักวันหนึ่งผมเชื่อว่ามันจะขอบคุณผม

“น้องอิ๊งเขาทักมาถามอ่ะว่ามึงเป็นไงบ้าง” ไมล์หาอะไรทำด้วยการเล่นโซเชียลไปเรื่อยๆ “น้องมันเคยกิ๊กกับมึงด้วยเหรอ”

“สามวันมั้ง”

“เฮ้ย” ไมล์ดูตกใจมาก

“เพิ่งรู้เหรอ”

“ใช่ เรื่องนี้ทำไมกูไม่รู้วะ”

“ตอนนั้นมึงยุ่งแต่กับเรื่องอาสาอ่ะ” ผมตอบพลางดูทีวีด้วยสีหน้าเฉยชา

“มึงตัดใจจากอาสาได้ไวจังวะ”

เพราะกูมีเพื่อนอย่างมึงนี่ไง กูถึงต้องรีบตัดใจ ผมลองนั่งนึกนอนนึกดูดีๆ แล้วนะ สิ่งที่ทำให้ผมจำเป็นจะต้องลืมอาสาให้ไวที่สุดไม่ใช่เพราะทนายหรือเพราะอาสา แต่เป็นเพราะไอ้หน้าจืดโลกสวยนี่ ในช่วงเวลาที่มันเดินหน้าจีบอาสา ผมเองก็ลองไปจีบๆ ดูบ้าง ผลปรากฏว่าผมดูออกว่าอาสาแม่งไม่มีใจ ช่วงนั้นจึงมีบ้างที่ผมเบนเข็มไปหาผู้หญิง หาคู่นอนไปเรื่อยเพื่อแก้เหงาไปวันๆ  น้องอิ๊งเป็นหนึ่งในนั้น เธอเป็นน้องที่รู้จักกับไอ้ไมล์มาตั้งแต่มัธยม เห็นว่าจบมาจากโรงเรียนเดียวกัน

ผมยักไหล่แทนคำตอบ

“ถ้ากูได้คบกับมัน มึงจะโกรธกูมั้ยเนี่ย”

“ไม่” เป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่ทนายคบกับอาสา ผมไม่โกรธ โกรธไปก็ใช่ว่าอาสาจะมาชอบผมนี่หว่า

“ใจกว้างจังไอ้สัด”

“ถ้ากูคบกับอาสา มึงโกรธหรือไง” ผมย้อนถาม

“โกรธ”

“...”

“และก็อิจฉาด้วย”

“มึงชอบอาสาขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ก็ชอบไง กูถึงลงทุนทำทุกอย่างขนาดนี้” ไมล์มองหน้าผมเหมือนผมถามอะไรแปลกๆ ที่ไร้สาระ ผมถอนหายใจยาว คิดอย่างปลงๆ ว่าถ้ามันรู้ความจริงสภาพมันคงจะแย่มากๆ คนอย่างมันเติบโตมาพร้อมกับความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หน้าตาก็ดี บ้านก็รวย อยากได้อะไรก็ได้ และมีเพื่อนผู้ยอมมันทุกอย่างหนึ่งคนถ้วน ชีวิตแม่งจะดีไปไหน

บางทีแค่นั้นสำหรับไมล์อาจจะดีพอแล้วก็ได้ ไม่ต้องสมหวังเรื่องความรักอะไรนี่หรอก ปล่อยอาสาให้มันมีความสุขไปเถอะ

“ทำไมถึงชอบวะ” ผมถาม

“ก็มันน่ารัก”

“แค่นั้นน่ะนะ”

“อยู่ด้วยแล้วได้หัวเราะ”

“แล้วไงอีก”

“มองไม่เบื่อดี”

“เหตุผลแต่ละข้อของมึงนี่นะ” ผมส่ายศีรษะ เมื่อเทียบกับทนาย ความรักของไอ้ไมล์ดูเด็กน้อยไปเลยครับ ไอ้ทนายเคยบุกเดี่ยวไปช่วยอาสาที่หอสองเลยนะ มันมีความกล้ามากกว่าเด็กหอสามทุกคนรวมกัน

ผมจะพูดยังไงดีให้เพื่อนผมคนนี้มันตัดใจ

“กูว่ามึงปล่อยเรื่องให้ของอาสาไว้ก่อนดีมั้ย” ผมลองเกริ่นดู

“ทำไมวะ ฤกษ์งามยามดีมันคือวันนี้”

“ช่างหัวแม่งเถอะ เชื่อกู กูว่าอย่าดีกว่า”

“กูคิดไว้แล้ว อีกอย่างถึงมึงจะไข้ขึ้น แต่มึงก็ดูดีขึ้นมาก กูสบายใจที่จะทำเรื่องนี้แล้วล่ะ”

“ไมล์” ผมพูดอย่างจริงจัง “กูไม่รู้ว่ากูควรเป็นคนพูดกับมึงหรือเปล่า แต่กูว่ามึงลองคิดใหม่อีกทีดิ๊”

“เต วันนี้มึงเป็นไรเนี่ย ขัดกูจังเลย”

“...”

“ตอบน้องอิ๊งด้วย แม่งทักกูใหญ่แล้วเนี่ย น้องเขาคงคิดถึงมึง”

ผมจิ๊ปาก รู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสีย ใจอยากจะบอกไอ้ไมล์ตรงๆ ว่าอาสามันมีแฟนแล้ว แต่จะให้พูดยังไง เพราะอีกใจหนึ่งก็กลัวว่าผมจะปลอบไอ้เชี่ยไมล์ไม่ไหว สภาพผมไม่พร้อม พูดแป๊บเดียวผมก็เหนื่อยแล้ว อีกอย่างหนึ่งการนอนเป็นผักเปียกๆ อยู่บนเตียงตรงนี้ผมไม่สามารถจับตัวไอ้ไมล์เอาไว้ได้เลย ไม่รู้ว่าหลังจากที่มันฟังจากปากผม มันจะทำอะไรผิดๆ หรือเปล่า

“ไม่ตอบน้องอิ๊งเหรอ”

“ไม่” ผมตอบสั้นๆ “เบื่อแล้ว”

“สาด น้องโรงเรียนกู”

“นมใหญ่แต่ตื๊อฉิบหาย กูไม่โอเค”

“เลือกได้เหรอมึงน่ะ”

“กูอยู่หอสามเพราะกูหล่อนะครับ”

ไมล์พ่นลม ในที่สุดมันก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับทำหน้ายิ้มแป้นใส่ผม

“อะไรวะ” ผมชักหวาดระแวง

“กูเรียกน้องอิ๊งให้มาอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้วล่ะ”

“ว่าไงนะ!”

“กูจะไปหาอาสาแล้ว ไว้ค่อยคุยกันตอนที่กูกลับมานะ”

“ไมล์”

มันพุ่งตัวออกไปแล้ว ผมรีบกดโทรศัพท์โทรออกหามันแทบจะในทันที แต่มันรู้แกว มันกดตัดสายทิ้งภายในเวลาไม่ถึงสองวินาที
ถ้าผมไม่ติดอยู่กับเตียง ป่านนี้ผมคงลากมันกลับมาแล้ว

ทนายเอ๊ย กูช่วยได้แค่นี้จริงๆ ว่ะ






“พี่เตทานผลไม้มั้ยคะ เดี๋ยวอิ๊งหั่นให้”

“...”

“หรือว่าพี่เตอยากดื่มน้ำคะ”

“...”

“อิ๊งเปลี่ยนช่องเป็นช่องที่ฉายหนังบู๊แล้วน้า อิ๊งจำได้ว่าพี่เตชอบ”

ผมง่วนแต่กับโทรศัพท์ ไม่ได้สนใจเลยว่าน้องอิ๊งจะพูดอะไรกับผมบ้าง น้องเขาก็มีความพยายามนะครับ เห็นผมไม่สนใจก็พยายามทำทุกอย่างให้ผมสนใจ

เธอยังไม่รู้ว่าผมเทเธอไปแล้ว หรือเธอแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่เนี่ย

ผมพยายามแชตไปหาไอ้ทนาย ดูเหมือนมันจะยุ่งอยู่กับการเรียกแขกซะจนลืมไปเลยว่าปัญหากำลังจะไปถึงตัวมันแล้ว ผมลองกดโทรออกหาอาสาดู มันไม่รับสายประมาณสองครั้งเห็นจะได้ จากนั้นมันถึงกดรับ

[ฮัลโหล ว่าไงเต]

ยอมรับว่าใจสั่น แต่ผมขอลืมความรู้สึกนี้ไปชั่วขณะ

“อาสา มึงเห็นไอ้ไมล์มั้ย”

[กูยังไม่เห็นมันเลยนะ]

ไอ้ไมล์ออกไปจากห้องพักผมเมื่อเกือบสามชั่วโมงที่แล้ว สมมติว่ามันขับรถอย่างเต่าคลานมากที่สุด ยังไงป่านนี้ก็น่าจะถึงมหา’ลัยแล้วนี่

“ยังไม่เห็นจริงๆ เหรอ”

[ใช่ มีอะไรหรือเปล่าวะ]

“งานแข่งโดเนทจะเสร็จหรือยัง”

[เนี่ย กำลังเก็บของกัน]

“อยู่ใกล้ทนายป่ะ”

[เดินไปหาได้]

“เรียกมันมาคุยหน่อย”

ผมชอบที่อาสาไม่เซ้าซี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมอยากคุยกับทนาย มันก็ส่งโทรศัพท์ไปให้คุย ตอนนี้ผมตื่นเต้นจนถึงขนาดต้องลุกขึ้นมานั่งโดยมีน้องอิ๊งเป็นผู้ช่วยเหลือ ผมมองหน้าเธออย่างรู้สึกผิด แต่แค่ผมมองเธอ น้องอิ๊งก็ทำหน้าดีใจเหมือนผมให้รางวัลชิ้นใหญ่กับเธอไปแล้ว

ค่อยมาเคลียร์กับเธอทีหลังก็แล้วกัน

[ว่าไง]

เสียงแม่งทุ้มดีจริงๆ คนอะไรหล่อทั้งหน้าและก็เสียง

“ไมล์มันไปหาอาสาแล้วนะ”

[เฮ้ย เหรอวะ แต่ทำไมไม่เห็นเลย]

“มันออกไปเมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว”

[กูไม่เห็นจริงๆ อาสา เห็นไมล์ป่ะ (ไม่เลย) อาสาก็ไม่เห็น]

ผมว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วนะ ผมลองคิดไปถึงจำนวนมิสคอลล์ที่ผมฝากเอาไว้ในมือถือไอ้ไมล์ ผมโทรไปแรกๆ มันกดตัดสาย แต่หลังๆ มันไม่รับสายผมเลย

“ทนาย”

[อะไรวะ]

“เมื่อตะกี้มึงได้สวีตกับอาสาบ้างมั้ย” ผมกลั้นใจถาม

[ถามห่าอะไรเนี่ย]

“เออ ตอบมาเถอะน่า” ผมคิดไปก่อนว่าบางทีไมล์อาจจะแอบเห็นภาพที่มันสองคนสวีตกันเหมือนกับผมก็ได้

[กู...ตอบได้เหรอ] รู้กันซะขนาดนี้แล้วมึงก็ตอบๆ มาเหอะ

“เออ”

[แต่มึงจะ...]

“สัด ตอบมา”

[ก็ได้ ก่อนกูออกมาเรียกแขกรอบสุดท้าย กูให้อาสาพากูไปฉี่]

แม่ง ภาพที่ผมเคยเห็นมันเล่นซ้ำเหมือนกับเดจาวู

[มันหวงกูเพราะกูให้คนถ่ายรูปเยอะ]

“...”

[มันน่ารักกูก็เลยอดใจไม่ไหว]

“...”

[จูบ ในห้องน้ำ นั่นแหละ]

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย ทำไมมึงสองคนต้องทำในห้องน้ำตลอด ไม่เข้าใจ”

[ยังไม่ได้ทำอย่างนั้น อย่าเพิ่งคิดลึกดิ] ตัดเรื่องนี้ทิ้งไปก่อนได้มั้ยวะ

“มึงต้องพูดประโยคอะไรบางอย่างกับอาสาแน่ๆ” ประโยคที่ทำให้คนอื่นรู้เลยว่ามันสองคนเป็นอะไรกัน

[ก็...]

“...”

[ก็บอกรักมันอ่ะ]

หมั่นไส้แม่งฉิบหายเลยโว้ยยยยยย ผมพยายามตัดความร้อนรุ่มปนอิจฉาออกไป ก่อนจะเริ่มพูดถึงประเด็นหลักที่ผมโทรมาหา

“กูว่าไมล์มันเห็นมึงสองคนว่ะ”

[อะไรนะ]

“เหมือนกับที่กูเคยเห็น”

[พูดเป็นเล่น]

“ไม่งั้นมันจะหนีหน้ากูแบบนี้ทำไม”

[อาสา ฉิบหายแล้ว] มันไม่ได้พูดกับผมครับประโยคนี้ [ไมล์รู้แล้ว มันแอบเห็นพวกเรา (เหี้ยยยยยยยยยยยย แล้วมันอยู่ไหน) ไม่รู้ (ฉิบหาย กูตายแน่ กูตายแน่ๆ)]

ใครบอกว่านางฟ้าประจำหอพักชายคืออาสาครับ ไม่จริงแล้วล่ะ คนที่ทำให้นางฟ้ายอมจริงๆ ต่างหากคือนางฟ้าที่แท้จริง คนคนนั้นก็คือไอ้สัดไมล์นี่แหละ

ตอนนี้เพื่อนทุกคนปวดหัวเพราะมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ออกไปตามหามันทีดิ๊”

[ต้องไปตามที่ไหนวะ]

“ไม่รู้ว่ะ ตามร้านเหล้า ร้านพี่น้อยไรงี้”

[เออๆ]

“...”

[กูขอโทษนะเต]

“สัด เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องไอ้ไมล์ก่อน”

[อืม]

“ได้เรื่องยังไงโทรมาบอกด้วยนะ”

[ได้]

“ไม่ต้องให้เรื่องถึงพี่อ้ายนะเว้ย”

[กูรู้น่าว่าต้องทำไง]

ผมกดวางสายไปแล้ว รู้สึกอยากถอดสายน้ำเกลือและก็เดินออกไปตามหาไอ้ไมล์ด้วยตัวเอง แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้

สัดไมล์มึงไปอยู่ที่ไหนของมึงวะ







18.36 น.

น้องอิ๊งกลับไปแล้วครับ หลังจากใช้ความพยายามเรียกร้องความสนใจจากผม ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้และหันหลังกลับไป มีการพูดกับผมทิ้งท้ายด้วยนะว่าโทรมาหาเธอได้เสมอเวลาเหงา นี่เธอถูกใจอะไรในตัวผมหรือเปล่าครับนี่

ทนายยังตามหาตัวไอ้ไมล์ไม่เจอ ไม่มีความคืบหน้า ผมกดโทรออกหาไอ้ไมล์เป็นรอบที่ล้าน ไม่ว่าจะยังไงมันก็ยังไม่ยอมรับสาย ผมกระหน่ำไลน์ไปหามันด้วย แต่มันก็ไม่อ่าน

ผมบอกทุกคนแล้วว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมกลัว ผมกลัวว่าผมจะรับมือคนโลกสวยอย่างไมล์ตอนเจอเรื่องผิดหวังไม่ได้ พอคิดไปต่างๆ นานาผมก็อดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ ไมล์มันหลงใหลอาสามาก ยิ่งมีช่วงที่มันคิดว่าอาสามีใจยิ่งแล้วใหญ่ ผมกลัวว่ามันจะทำร้ายตัวเอง
 
เสียงโทรศัพท์ของผมดัง คนที่โทรเข้ามาก็คือทนาย

[สัดเต ไม่เจอว่ะ]

“เหี้ย” ผมแทบจะเอาตีนมาก่ายหน้าผาก

[มึงต้องรู้สิว่ามันอยู่ไหน]

“คราวนี้กูไม่รู้จริงๆ ว่ะ”

[กูกับอาสาตามหาทั่วมอแล้ว]

“...”

[มันจะร้องไห้แล้วเนี่ย (เปล่าสักหน่อย)]

เสียงปลายสายของอาสาดูแฝงไปด้วยความกังวล

“มึงอย่าปล่อยให้มันร้องไห้”

[แม่ง เครียดว่ะ]

“...”

[กูทำให้ความเป็นเพื่อนระหว่างพวกมึงพัง]

คนที่ทำพังคือกูกับไมล์ต่างหาก ไม่ใช่มึง

“ไว้ค่อยมาคุยเรื่องนี้ทีหลัง”

[...]

“ลองพยายามหาตัวมันอีกทีนะ”

[อืม]




20.14 น.

[เตไหน เตเพื่อนไมล์เหรอ]

“ครับพี่เมษ ไอ้ไมล์มันได้โทรหาพี่บ้างป่ะ”

[มันไม่โทรหากูมานานแล้ว มีปัญหาอะไรหรือเปล่า]

“เปล่าครับพี่”

[เงินมันหมดเหรอ]

“ไม่ใช่ครับ”

[อะไร เกิดอะไรขึ้น]

“แค่นี้ก่อนนะครับ”







[ฮัลโหล]

“มอส นี่พี่เต เพื่อนไอ้ไมล์นะ”

[อ้าวพี่เต โทรมามีอะไร]

“เดี๋ยว เรียนพิเศษอยู่เหรอ”

[ช่าย]

“โทษที พี่ไม่กวนแล้ว”

[คุยได้พี่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า]

“ไอ้ไมล์ได้ติดต่อมอสไปบ้างป่ะ”

[คุยกันสองสามวันก่อน พี่ไมล์บอกว่าให้ผมเตรียมรับพี่สะใภ้]

“งั้นแปลว่าไม่ได้คุยกันวันนี้”

[ครับ มีไรป่ะเนี่ย ผมตกใจนะ]

“ไม่มีอะไร ตั้งใจเรียนพิเศษไป”

[ครับๆ]







“ฮัลโหลแม่ครับ ผมเต เพื่อนไมล์ที่มหา’ลัยนะครับ”

[เตเหรอ เอ๊ะ คนไหนนะ คนที่หล่อๆ หรือว่าคนที่ตัวขาวๆ]

“คนที่เอ่อ...”

[อ๋อ คนหล่อๆ ตัวสูงๆ หน้าดุๆ หน่อยใช่เปล่า]

“ครับ”

[มีอะไรหรือเปล่าคะลูก]

“ไมล์ได้กลับบ้านวันนี้หรือเปล่าครับ”

[เจ้าไมล์ไม่ได้กลับมาหรอก ลูกที่อยู่บ้านกับแม่ตอนนี้มีแต่เจ้ามอสคนเดียว นี่อย่าลืมบอกไมล์ให้กลับบ้านมาหาแม่บ้างนะ แม่คิดถึง]

“เฮ้อออออ”

[เอ๊ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าจ๊ะเนี่ย]

“เอ่อ ไม่มีครับ ขอบคุณมากนะครับแม่”

[ฝากทักทายคนตัวขาวๆ ด้วยนะ เอ๊ะ ชื่ออะไรนะ]

“อาสาครับ”

[ไมล์ชอบเพื่อนคนนี้มากเลย]

“ได้ครับแม่”







21.48 น.

ผมรู้สึกปวดหัวจนใกล้จะบ้า ผมใช้งานโทรศัพท์หนักมากจนต้องชาร์จไปใช้ไป อาสาเพิ่งโทรมาหาผมหลังจากที่ผมพยายามติดต่อครอบครัวไอ้ไมล์ มันบอกว่าหายังไงก็หาไม่เจอ และยังบอกด้วยว่าฝากความหวังเอาไว้ที่ผม ถ้าผมไม่รู้ก็ไม่มีใครรู้ เพียงแค่ผมบอกมา มันจะเป็นคนไปตามตัวไมล์ให้เอง

แปลกแต่จริงที่ผมไม่รู้ว่ะ

TAECHIT : ไมล์ อย่าหนีปัญหาเหมือนเด็ก
TAECHIT : มีไรมาคุยกัน


ผมด่าในสิ่งที่มันเกลียดที่สุด แต่มันก็ยังไม่อ่านข้อความของผมอยู่ดี ผมเครียดจนขยี้ผมตัวเองจนยุ่ง ไมล์มันควรจะอยู่ที่ไหนในตอนนี้ ผมห่วงมันจนคิดไปไกลแล้วว่าตอนนี้สภาพมันคงแย่มาก

อย่างน้อยมันก็ต้องมีเพื่อนอยู่ด้วยสักคนสิ

ผมส่องไอจีและเฟซบุ๊กของมันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ วันนี้ยังไม่มีการอัพเดตเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผมไม่สงสัยเลย แต่เอ๊ะ...ผมเห็นรูปหนึ่งรูปซึ่งอาสาเป็นคนแท็กมันมา

รูปตอนที่พวกมันสองคนติวกันอยู่ที่ร้านคาเฟ่ยี่สิบสี่ชั่วโมง

ผมจำได้ว่าตอนผมเห็นรูป ผมบีบโทรศัพท์แน่น ความรู้สึกในตอนนั้นมีทั้งปลง ทั้งอิจฉาปนๆ กันไป แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกรักรูปนี้ขึ้นมา

ไมล์เล่าว่ามันรักช่วงเวลาที่ได้อยู่กับอาสาในร้านนั้นมาก มันพยายามถ่วงเวลาทุกวิถีทาง หน้าด้านให้อาสาอยู่ต่อทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายง่วง อยากกลับห้อง

ถ้าไม่ใช่ที่นี่ก็คงไม่มีที่อื่นแล้วล่ะ

ผมเตรียมจะกดโทรออกหาทนายหรือไม่ก็อาสาเรื่องให้มันไปตามไอ้ไมล์ที่ร้านนี้ แต่แล้วผมก็ชะงัก เพราะลองนึกภาพไอ้ไมล์มันเหวี่ยงต่อหน้าเพื่อนทั้งสองคน ยังไงมันก็คงไม่มีทางใจเย็นง่ายๆ แน่ เพราะงั้น...ผมนี่แหละต้องเป็นคนไปหามัน

แต่จะไปยังไงดีล่ะ...






22.53 น.

กว่าผมจะออกมาจากโรงพยาบาลได้ก็เสียเวลาไปมาก ไหนจะต้องหลบหมอ หลบพยาบาล และก็หลบยาม บอกได้เลยว่าเหนื่อยจนแทบจะเป็นลม ผมพยายามรื้อค้นหาชุดของตัวเองในห้องพัก แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จึงได้แต่สวมแจ็กเก็ตทับชุดผู้ป่วย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้สะดุดตาพลเมืองดีที่ไหนทั้งนั้น เพราะกลัวเขาจะจับผมกลับไปยังโรงพยาบาลที่ผมหนีออกมา
ผมขอตามหาเพื่อนก่อนก็แล้วกันครับ

ไอ้ฝนเหี้ยนี่ก็ตกได้ถูกเวลาเหลือเกิน ตัวของผมเปียกอย่างกับลูกหมา รู้สึกเหนื่อยและไม่สบายตัวจนแทบขาดใจ ตอนที่เดินเข้าไปในร้านนั้น ผมตัวสั่นงันงกเพราะทั้งหนาวและก็เหนื่อย

ไมล์นั่งอยู่ตรงนั้น ในที่ที่มันกับอาสาเคยนั่ง ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ มันตกใจใหญ่ที่เห็นผม และตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นสภาพผม

“เต!”

“อืม” ผมรับคำพูดของมันได้แค่นั้น

“เหี้ย ทำไมมึงถึงได้...”

“บ้าระห่ำเหรอ” ผมแกล้งหัวเราะ แม้สภาพผมใกล้จะเดี้ยงแล้ว

“สัดเอ๊ย!” ไมล์ถอดเสื้อนอกของตัวเองมาคลุมตัวผมเอาไว้

“กูต่างหากที่ต้องด่ามึง เป็นฟวยไร”

“ก็กู...” มันทำหน้ายากเกินกว่าผมจะเข้าใจ “กูโมโห กูหงุดหงิด กูผิดหวัง กูเสียใจ กูอับอาย กู...”

“พอ” ผมหอบหายใจ เอื้อมมือไปแตะไหล่ของมัน “บอกแล้วไงว่ากูอยู่นี่”

“มึงรู้มาก่อนแล้วใช่ป่ะ” นัยน์ตาของไมล์ดูสลดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน “แล้วมึงก็พยายามห้ามกูด้วย”

“อืม”

“แต่กูก็ไม่ฟังมึง”

“อืม”

“กูเป็นห่วงมึงว่ะ กลับโรง’บาลกันเหอะ”

ผมจับแขนของมันเอาไว้ตอนที่มันทำท่าจะลุก “อยู่จนกว่ามึงจะรู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยกลับ”

“เต ถ้ามึงเป็นไรเพิ่ม กูจะรู้สึกผิดฉิบหายเลยนะ”

“มึงควรรู้สึกผิดตั้งแต่ตอนที่มึงไม่รับสายกูแล้ว”

“...”

“กูบอกแล้วไงว่ามึงยังมีกูอยู่ อีกอย่างมึงอาจจะรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่มึงก็ต้องเข้มแข็งด้วย มึงดูสภาพกูดิ” ผมขยับตัวให้มันเห็นถึงความพังของร่างกายผม “หมอต้องฆ่ากูแน่ๆ”

“สาดดดด” ตอนนี้ไมล์มันรู้สึกผิดกับผมมากกว่าโกรธเรื่องทนายกับอาสาแล้วล่ะครับ “ไป กลับโรง’บาลกัน”

“มึงรู้สึกดีขึ้นยังล่ะ”

“ก็ยัง”

“งั้นอยู่ต่อ”

“มึงจะบ้าเหรอ”

“มึงชอบที่นี่ไม่ใช่เหรอ” ผมพูด “คนเราควรอยู่ในที่ที่เราสบายใจ”

“กูแค่มาระลึกถึงความทรงจำเฉยๆ”

“...”

“ไหนๆ ก็มีแต่กูที่จำอยู่คนเดียว”

“...”

“กูอายมากเลยว่ะเต ถ้าอาสาบอกปัดกู กูคง...อาย”

“จริงๆ มึงควรเจ็บปวดหรือผิดหวังนะ ทำไมมึงอายล่ะ”

ไมล์มองหน้าผมก่อนจะกะพริบตาปริบๆ “นั่นสิ”

“มึงชอบอาสาจริงหรือเปล่าเนี่ย”

“ก็...ชอบสิวะ”

“แป๊บนะ” ผมกดโทรศัพท์โทรออกหาไอ้ทนาย ระหว่างนั้นไอ้ไมล์ก็ยกมือเรียกพนักงานของร้านให้หาผ้าขนหนูสะอาดมาให้ผม ที่พนักงานบริการดีขนาดนี้อาจเป็นเพราะตกใจกับสภาพผมด้วยล่ะมั้ง ไมล์บอกให้เธอสบายใจว่าผมกับมันจะอยู่กันอีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น

ทนายรับสายแล้ว ผมจึงกดเปิดลำโพง

[ฮัลโหล เจอไมล์แล้วเหรอ]

ไมล์ทำหน้าถมึงทึงพลางจะลุกหนี แต่ผมพยายามจับมือมันเอาไว้ให้นั่งอยู่ต่อ

“ยัง” ผมโกหก

[มีไรป่ะวะ นี่กูกับอาสากำลังจะขับรถออกไปนอกตัวจังหวัดแล้ว ไว้ค่อยคุยกันได้ป่ะ]

ไมล์อ้าปากค้าง ผมจ้องหน้ามันอย่างจริงจังพร้อมขยับปากว่า ‘พวกมันเป็นห่วงมึง’

“มีเรื่องจะถามนิดหน่อยว่ะ”

[ตอนนี้เหรอ]

“เออ”

[อาสาครับ ถือโทรศัพท์ให้หน่อย]

เสียงกุกกักดังขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้กลายเป็นว่าเราทั้งสี่คนกำลังอยู่ในสายเดียวกัน

[ว่ามา]

“มึงชอบอาสาเพราะอะไรวะ”

[คำถามอะไรของมึงอีกแล้วเนี่ย]

“ตอบๆ กูมาเหอะ”

[มันนั่งอยู่ข้างๆ จะให้กูตอบไง]

“ทำเหมือนมันไม่ได้ยินสิ”

[ก็เอ่อ...กูอยากปกป้องมัน] ผมมองหน้าไมล์ตอนที่ทนายมันตอบ

“เพราะอะไรล่ะ”

[มันดูน่าปกป้องอ่ะ]

“ไม่ใช่เพราะมันหน้าตาน่ารักเหรอ”

[ก็ส่วนหนึ่ง เดี๋ยว นี่มึงถามกูเรื่องนี้ทำไม จะเอาไปเขียนคอลัมน์เหรอ]

“ตอบกูก็พอ อย่าบ่นนักเลยน่า”

[กูเขินนะ มันอยู่ข้างๆ กูเนี่ย ไอ้สัด]

“อาสา มึงปิดหูแป๊บดิ๊”

[...] อาสาไม่ตอบ นี่อย่าบอกนะว่านั่งเขินอยู่เหมือนกัน ไมล์กลืนน้ำลาย แม้ว่าสีหน้ามันจะดูไม่ดีแต่มันก็ตั้งใจฟัง

“แล้วไงอีก”

[กูชอบที่จะได้ดูแลมัน มันเป็นคนฮอตมาก มีคนชอบเยอะมากก็จริง แต่สำหรับกู กูไม่ได้ชอบมันที่ตรงนั้น]

“...”

[กูมองว่ามันน่าสงสาร]

“...”

[คนอื่นมองว่ามันเป็นนางฟ้า สำหรับกูมันก็เป็นนางฟ้าแหละ มีคนมองมันชื่นชมมันมากมาย แต่ไม่เห็นจะมีใครกล้าเข้ามาปกป้องดูแลมันสักคน]

ไมล์ทำสีหน้าสลด ผมเองก็สะอึก ผมกับมันชอบอาสาก่อนทนายแท้ๆ แต่ปล่อยปละละเลยให้มันนกกับคนนั้นคนนี้ ไม่สนใจว่ามันจะรู้สึกยังไง

เราสองคนไม่ได้ทำห่าอะไรเลยตอนที่อาสาเจ็บใจ เพราะมัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่อยู่ได้ แต่ทนายมันไม่กลัว มันกล้าที่จะกลืนน้ำลายตัวเอง กล้าทรยศพวกผม และกล้าทำในสิ่งที่พวกผมต้องด่ามันแน่ๆ มันกล้าเสียสละตรงนั้นเพื่อให้ได้ดูแลและปกป้องอาสา
มันมีสิ่งที่ผมกับไมล์ไม่มี

“มึงพร้อมที่จะปกป้องอาสาทุกสถานการณ์ว่างั้น”

[พร้อมดิ]

“มึงคิดว่ากู ไอ้ไมล์ และก็มึง ใครรักอาสามากที่สุด” ไอ้ไมล์อ้าปากพะงาบๆ พร้อมชี้หน้าด่าผม หาว่าผมถามอะไรที่โคตรไม่สร้างสรรค์

ทนายเงียบไปพักหนึ่ง ผมได้ยินเพียงเสียงเคลื่อนตัวของรถจนกระทั่งมันตอบกลับมาอีกครั้ง

[กูไม่แน่ใจในเรื่องนี้นะ แต่ถ้าจะให้แข่งกูก็พร้อมจะสู้]

“...”

[แฟนกู กูก็รักของกูมากป่ะวะ]

ไมล์กดวางสาย มันฟุบหน้าลงกับโต๊ะคล้ายกับคนสิ้นหวัง ฝั่งนู้นคงจะงงแหละว่าโทรมาถามอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ตัดสายไปซะดื้อๆ
 
“มึงไม่เจ็บเหรอ” ไมล์รำพึง

“เจ็บ” ผมตอบ “แต่มึงเจ็บกว่า...กูต้องทำเป็นไม่เจ็บ”

มันหันมามองหน้าผมพร้อมทำสีหน้าใกล้จะร้องไห้ แต่ไม่ร้อง

“กูผิดเอง”

“...”

“จริงๆ ไม่มีใครมาแทรกกลางเรื่องของกูกับอาสา กูต่างหากที่ไปแทรกกลางเรื่องของคนอื่นเอง”

“ทำใจเถอะนะ” ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองจับมือไอ้ไมล์เอาไว้ตลอด มันบีบมือผมแน่นขึ้นก่อนจะฟุบหน้าลงไปอีกครั้ง

เดี๋ยว ไอ้สัด มือกู...

ผมปล่อยมันไปดีกว่า อยากจับมือผมก็จับไป เพราะผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกดี ความรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างๆ ในเวลาที่เราเจ็บใจ เจ็บกาย และก็เปียกฝนอย่างกับลูกหมา

“ไปกันเถอะ” มันกระตุกมือผมให้ลุกขึ้นยืน

“ไปไหน”

“กลับโรง’บาล”

“แต่...”

“มึงจะตายอยู่แล้ว กูไม่ยอมให้มึงตายหรอกนะ”

ผมยังไม่ได้ป่วยถึงขั้นนั้นสักหน่อย แต่ก็ยอมๆ มันไปเพราะในที่สุดไอ้ไมล์ก็ใจเย็นลง ตอนอยู่ที่หน้าร้าน ผมกับมันมองหน้ากันว่าจะเอายังไง เพราะฝนยังไม่ยอมหยุดตกเลย

“เดี๋ยวกูวิ่งไปเอาร่มที่รถ”

“สัด ไม่เอา กลับเข้าร้านดีกว่า” ฝนตกหนักขนาดนี้ มันออกไปไม่ถึงสองวิก็คงเปียกไปทั้งตัวแน่ๆ

“มึงต้องกลับโรง’บาล”

มันวิ่งฉิวออกไปแล้ว ผมได้แต่มองตามด้วยสายตาละห้อย ปกติแล้วควรจะสลับกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงต้องเป็นฝ่ายวิ่งไปเอาร่มมารับคุณชายแน่ๆ แต่วันนี้คุณชายได้เปลี่ยนไปแล้ว

ตั้งแต่ที่ผมเจ็บตัว มันก็เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ

ผมว่ามัน...น่ารักขึ้นนะ







TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





ตอนที่ 23



วันต่อมา

“เอาไงดี” อาสากับผมเดินไปเดินมาหน้าห้องพักของไอ้เตในโรงพยาบาล ตอนนี้เราสองคนรู้แล้วว่าเตตามหาไมล์จนเจอด้วยการออกไปทั้งๆ ที่ใส่ชุดผู้ป่วยอยู่ มันสองคนต้องอยู่ข้างในห้องแน่ๆ

“ถ้ามึงไม่พร้อม เดี๋ยวกูเข้าไปคนเดียวก็ได้นะ” ผมพูด

“ถ้าพวกมันรุมต่อยมึงล่ะ”

“ก็ยอมให้แม่งต่อย”

“เฮ้ย”

“ทำไงได้ล่ะวะ ถ้าพวกมันจะโกรธก็ไม่ผิดอ่ะ”

ผมเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วล่ะ จะรักอาสาก็ต้องยอมเจออะไรแบบนี้ มันสองคนชอบอาสามาก่อน และผมก็เป็นคนมาทีหลังแถมยังฉกไปเฉย มันไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงจะกระไรอยู่

“ไปด้วยกันนี่แหละ” อาสาเอ่ยในที่สุด “กูจะไม่หนีพวกมันอีกแล้ว”

ผมสบตากับอาสา ปล่อยให้อาสาได้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ สักครู่ ไม่นานนักผมก็เคาะประตูห้องพักไอ้เต ได้ยินเสียงคนร้องบอกให้เข้าไปได้ เราทั้งสองคนจึงเดินเข้าไป

ในห้องมีไอ้เตกับไอ้ไมล์อยู่กันสองคน สภาพเตไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันขมวดคิ้วขณะที่หลับอยู่ แสดงว่าคนที่เรียกเราสองคนเข้าไปก็คือไอ้ไมล์

“มันหลับว่ะ” ไมล์พูด ยังดูไม่ค่อยกล้าสู้หน้าพวกผมสองคน “นั่งก่อนมั้ย”

ผมกับอาสาเดินไปนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ไมล์หันหลังให้เราสองคนอยู่พักใหญ่ จากนั้นมันก็หันมาหาอย่างกะทันหัน
อาสาสะดุ้ง ส่วนผมกระแอมนิดหน่อย

“กูขอโทษ” ไมล์เอ่ย

“กูขอโทษ” ผมเอ่ยบ้าง

“กู...ขอโทษ” อาสาเอ่ยตามๆ มา

เราสามคนมองหน้ากัน แล้วก็พากันถอนหายใจกันหมด

“กูผิดเองอ่ะ” ไมล์เริ่มกลับมาเป็นตัวเอง “กูไม่รู้เรื่องรู้ราวห่าอะไรเลย”

“กูต่างหากที่ผิดอ่ะ”

“กูเองก็ผิด”

“พอเลยมึงสองคน” ไมล์พ่นลม “เอาเป็นว่าเดี๋ยวเรามาเริ่มต้นกันใหม่ ที่ผ่านมาถ้ากูทำอะไรผิดหรือทำให้พวกมึงผิดใจกัน ทะเลาะกัน กูขอโทษจริงๆ นะเว้ย”

อาสาสะกิดสีข้างของผม ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“เพราะกูไม่รู้เรื่องของพวกมึงสองคนอ่ะ กูไม่รู้จริงๆ”

“ไม่เป็นไร” ผมพูดบ้าง “กูเองก็...คาบคนที่มึงชอบมาแดกอย่างหน้าด้านๆ”

“อย่าพูดอย่างนั้นดิวะ อาสาก็ชอบมึงนะ”

“ไม่รู้ว่ะ กูรู้สึกผิดนะ แต่กูก็ชอบมันอ่ะ จะให้กูทำไง”

“ไม่เป็นไร”

“มึงสองคนพูดเหมือนกูไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้เลยเนอะ” อาสาค่อยๆ เอ่ย

“มึงนั่งเงียบๆ ไป” ไมล์กล่าว ก่อนจะหันมาหาผม “ไม่เป็นไร เริ่มใหม่กัน”

ผมรู้ว่าไมล์ไม่ได้ทำใจได้ง่ายอย่างเช่นคำที่มันพูด สิ่งที่ผมรู้สึกก็คือมันคงไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว ผมยังคงรู้สึกผิดอยู่ ไม่ว่าจะยังไงก็ยังไม่สามารถลบความรู้สึกผิดนี้ออกไปจากใจได้ แต่ก็ถือว่าผมโชคดี อย่างน้อยเพื่อนสองคนนี้ก็ไม่ได้จงเกลียดจงชังผม พวกมันยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และผมเองก็ควรจะดูแลอาสาให้สมกับการที่พวกมันปล่อยให้ผมกับอาสาได้รักกัน

อาสามองผมพร้อมกับส่งรอยยิ้มแห้งๆ มาให้ ถึงไมล์จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่มันก็ยังไม่สามารถสบายใจได้อย่างเต็มที่อยู่ดี มันก็คงรู้สึกเหมือนผมอ่ะ

เราสองคนจึงได้แต่นั่งเงียบๆ มองดูไมล์ผู้ซึ่งมองดูเตอีกทีหนึ่ง

“ถ้าเตมันไม่ออกไปหากูทั้งๆ ที่ใส่ชุดคนป่วยแถมยังตากฝน กูอาจจะแผลงฤทธิ์มากกว่านี้”

“มันเป็นห่วงมึงมากนะ” ผมพูด “กูไม่เคยต้องรับสายมันมากขนาดนี้มาก่อน”

“กูรู้สึกผิดเลย”

“มึงไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ เตมันคงสบายใจ” อาสาพูดบ้าง

“แต่มันเป็นหนักขึ้นนะ หมอบ่นมันแทบตาย” ไมล์เอามือนวดขมับ “เพราะกูแท้ๆ”

“มันเป็นไงบ้าง”

“ไข้ขึ้น และก็เปลี่ยนเฝือกอันใหม่อ่ะ อาจจะต้องนอนพักไปยาวๆ”

ผมมองไอ้เตอย่างสลดใจ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมยังไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อนที่ดีเลย ผมควรจะเปลี่ยนเวรกับไมล์มาเฝ้ามันบ้างนะ

“วันนี้มึงจะไปทำอะไรที่ไหนหรือเปล่า เดี๋ยวกูกับอาสาอยู่เฝ้าให้” วันนี้เป็นวันเสาร์ครับ โชคดีไป

“กูเฝ้าเอง ไม่เป็นไร” ไมล์คงคิดไปแล้วว่าเตเป็นหนักขึ้นเพราะมันจริงๆ “มึงสองคนอ่ะ จะไปสวีตที่ไหนก็ไปๆ”

“สาด ใครจะกล้าไป” อาสาโวยวาย

“มึงจะอยู่เฝ้าเชี่ยเตกับกูทั้งวันหรือไง”

“แน่นอนสิ” อาสาหันมาหาผม “ทนายมันก็จะเฝ้าเหมือนกัน”

ในเมื่อไล่ไปไหนก็ไม่ไป ไมล์ก็เลยยอมแพ้ ผมกับอาสานั่งเฝ้าไอ้เชี่ยเตอยู่แบบนั้น จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง

บรรยากาศเดิมๆ ของพวกเราเริ่มกลับมาเหมือนตอนที่ผมเข้ามาอยู่ห้อง 204 ใหม่ๆ ไอ้ไมล์กับอาสาเริ่มคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พวกมันห่างๆ กันไป ผมมองดูมิตรภาพระหว่างคนสองคน ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจางลงไปได้ง่ายๆ แม้จะมีเรื่องความรักมาแทรกกลาง แต่สองคนนี้ยังไงก็ไม่มีวันเลิกเป็นเพื่อนกัน

ผมดีใจที่เตกับไมล์ไฟเขียวให้ผมกับอาสา ผมไม่ลืมเบียร์ยี่สิบลังสำหรับเต ดีไม่ดีอาจจะเพิ่มเป็นสามสิบลังเพราะจะได้เผื่อไอ้ไมล์ด้วย ต้องรอให้เตหายซะก่อน

ตอนบ่ายมีเหตุการณ์น่าลุ้นระทึกเกิดขึ้น แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี พวกหอสองบุกเข้ามาหาไอ้เตเกือบสิบคนจนพี่พยาบาลปวดหัว แกนนำก็คือพี่สงคราม พี่มันสั่งให้พวกที่รุมทำร้ายไอ้เตวันนั้นมากล่าวขอโทษ ไอ้เตมึนมาก มันบอกว่าไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรมาก เพราะมันเองก็ด่าหอสองไปเยอะเหมือนกัน สรุปก็คือเรื่องนี้จบลงได้ในที่สุด แต่พี่สงครามไม่วายหันมาบ่นกับผม

“กูทำขนาดนี้เชี่ยอ้ายแม่งก็ยังไม่หายโกรธกู”

พี่สงครามกับพี่อ้ายนี่ยังไง แม้คนหนึ่งจะเป็นประธานหอสองและอีกคนเป็นประธานหอสาม แต่ก็ดูแคร์กันมากเกินกว่าจะเป็นหอที่ไม่ชอบขี้หน้ากัน

ถ้ามากกว่านี้อีกนิดผมจะจิ้นแล้วนะ...

“เอาน้ำมั้ย” ไมล์ถามเต

“เอา ขอเย็นๆ” เตพูดเสียงแหบ

“ไม่ได้ ต้องแดกน้ำอุณหภูมิห้อง”

“กูจะแดกน้ำเย็น”

“ไม่ได้โว้ย”

ไอ้คู่นี้ก็น่าจิ้นเหมือนกันแฮะ...






คะแนนสอบมิดเทอมวิชาแรกประกาศแล้ว

ผมผ่านมีนมาเยอะมาก แต่ไม่ได้ท็อปครับ คนที่ได้ท็อปวิชานี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้โจ้จากหอหนึ่ง คู่ปรับตลอดกาลของไอ้โอ๊ค มันบ่นเรื่องนี้หนักมาก บ่นเช้าบ่นเย็น แถมยังพูดกับผมอีกด้วยว่าวิชานี้ปล่อยแม่งชนะไปก่อน วิชาอื่นก็คอยดูกันต่อไป

แม่งยังไม่สำนึกอีกว่าคนที่มึงแข่งด้วยมาจากหอหนึ่ง กูขอย้ำว่าหอหนึ่ง หอหนึ่งในตำนานนะเว้ย

ผมเข้าใจคำว่า ‘หอหนึ่งเรียนเก่งเหี้ยๆ’ แล้วในที่สุด เพราะตอนคะแนนประกาศ ไอ้พวกหอหนึ่งแม่งก็ชิงระดับท็อปไปหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกปีสองจากหอหนึ่ง อาสาถึงกับหลุดอันดับไปเยอะแต่ก็ถือได้ว่าเป็นที่หนึ่งของหอสามอยู่ดี มันเรียนเก่งจริงๆ สมคำเล่าลือ

“กูจำได้ว่ามึงซิ่วมาจากหมอ” อาสาพูดขึ้นมาตอนที่เราอยู่ในห้อง 503 ด้วยกันตามลำพัง “มึงควรจะได้คะแนนเยอะกว่านี้ป่ะวะ”

อื้อหือ แบบนี้เรียกว่าดูถูกหรือเปล่าครับเนี่ย

“สาด”

“ล้อเล่นน้า” อาสาเอื้อมมือมาบีบแก้มผม

“พวกหอหนึ่งมอมึงอ่ะแม่งน่ากลัวเหี้ยๆ คนหรือยอดมนุษย์”

“ก็วันๆ พวกมันเอาแต่อ่านหนังสืออ่ะ มึงก็มีเพื่อนอยู่หอหนึ่งไม่ใช่เหรอ”

“มึงพูดแบบนี้ทำกูขึ้นเลยนะเนี่ย กูอยากเอาชนะพวกนั้น”

“เดี๋ยว กูแค่แซวเล่นเองว่ามึงซิ่วมาจากหมอ ควรทำคะแนนให้ได้มากกว่านี้ ไม่ใช่ให้มึงไปแข่งกับคนพวกนั้น”

“จะได้วัดไงว่ากูเองก็มีดี”

“...”

“แต่พวกหอหนึ่งมันไม่น่าวัดด้วยเลยว่ะ กูขอยอมเรื่องเรียนพวกแม่งจริงๆ”

พูดถึงเรื่องเรียน มันทำให้ผมพานนึกไปถึงเรื่องที่ตกลงกับแม่เอาไว้ ผมยังไม่ได้เล่าให้อาสาฟังเลย และตอนนี้ผมควรจะเล่าได้แล้ว

“มึง”

“ว่าไง”

“จริงๆ แล้วกูมีข้อตกลงกับแม่ว่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา

“ข้อตกลงอะไรวะ”

“เกรดเทอมนี้กูต้องได้เอทุกตัว ไม่งั้นแม่จะจับกูเข้าไปเรียนมอทัพไทย”

อาสาหันมาถลึงตาใส่ผม “อะไรนะ”

“ตามนั้นเลย”

“เฮ้ย นี่มันเรื่องใหญ่มากนะเว้ย” ฉิบหายแล้วกู ผมกลืนน้ำลายตอนที่ใบหน้าของอาสาเริ่มบึ้งตึงขึ้นมาเรื่อยๆ “มึงจะเรียนปีหนึ่งอีกครั้งหนึ่งหรือไง”

“สัด ไม่เชื่อใจกูเลยเหรอ”

“เกรดเอทุกตัวมันยากนะ เทอมที่แล้วกูยังมีเกรดบี บีบวกเลย”

ผมถึงกับอึ้งกิมกี่

“พวกหอหนึ่งดึงมีนน่ะ แล้วอาจารย์เขาใช้คะแนนอิงกลุ่ม พวกหออื่นตายเรียบ รวมถึงกูด้วย”

ชักจะหมั่นไส้ไอ้หอบ้านี่ขึ้นมาแล้วนะ แต่ผมก็ไม่ควรจะสร้างศัตรูเพิ่ม อีกอย่างไอ้เชี่ยป๊อบเพื่อนผมมันก็อยู่หอนี้ ไม่รู้ล่ะ ผมแค่หมั่นไส้ เพราะถ้าไม่ได้เกรดเอทุกตัวขึ้นมา ผมต้องไปทักทายเซย์ไฮพี่ทัพ ผู้บริหารของมหา’ลัยทัพไทยแน่ๆ (จำชื่อได้แล้วในที่สุด)
 
ตอนที่ผมยังอึ้งอยู่ อาสาก็ลุกขึ้นเดินไปไหนไม่รู้ จากนั้นมันก็วางชีทกองเบ้อเริ่มเอาไว้ตรงหน้าผม
 
“อ่านทุกวัน อ่านให้ตายไปข้าง” อาสาพูดเสียงดังลั่น “ไม่อ่านไม่ต้องจูบ”

“มึงจะทนไหวเหรอ” ผมแกล้งเย้า อีกฝ่ายทำเป็นเชิดหน้า

“ไหว”

“...”

“ไม่ได้นะ มึงต้องอยู่กับกูนะ” อาสาเริ่มขาดสติ มันเขย่าตัวผมอย่างบ้าคลั่ง “กูไม่ยอมให้มึงไปไหนทั้งนั้นโว้ย”

คิดถูกหรือคิดผิดที่บอกมันเนี่ย แต่ตอนมันกังวลก็น่ารักไปอีกแบบนะครับ

“เชื่อใจกูสิ” ผมยักคิ้ว “กูซิ่วมาจากหมอนะ”

“ให้มันจริง”

“กูจะอ่านหนังสือทุกวันเลย”

“อยากได้เกรดเอทุกตัวใช่มั้ยล่ะ”

“เปล่า กูอยากจูบมึง” พูดจบผมก็ดึงตัวอาสามานั่งบนตัก จากนั้นก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของมันแรงๆ หนึ่งที

ชื่นใจฉิบหาย

“จูบก่อนอ่านได้ไง” มันแกล้งโวย เตรียมพร้อมจะลุกหนี แต่ผมไม่ให้มันไปไหนง่ายๆ “อาสา จำเรื่องนั้นได้ป่ะ”

“เรื่องไหน”

“เรื่อง...อย่างว่าไง” ผมทำหน้ากรุ้มกริ่ม ขณะที่อาสาไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับผมเลย มันทำหน้าบึ้งตึงขึ้นมาซะอย่างงั้น

งูพิษของกูจะมาไม้ไหนอีกวะ

“กูไม่ยอมแล้ว”

เหมือนมีเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ ทั้งๆ ที่ข้างนอกฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตก ผมแม่งช็อกเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาได้ ทำไมจู่ๆ ก็ไม่ยอมผมเฉยเลยล่ะ ทำไมล่ะทำไม

น้องชายผมจะต้องโวยวายหนักมากแน่ๆ ผมรู้สึกได้เลย

“ทำไมอ่ะ” เสียงของผมโอดครวญเกินกว่าจะให้เพื่อนหน้าไหนมาฟังทั้งนั้น ไม่งั้นโดนล้อยันเกษียณแน่ๆ

“กูไม่อยากพูดถึง” อาสาลุกหนีจากผมแล้ว

งูพิษเอ๊ย เรื่องนี้อย่าแกล้งเชียวนะ มันเรื่องใหญ่มากนะเว้ย

“อาสา บอกมาสิว่าทำไมอ่ะ” ผมต้องเดินตามเพื่อไปจับมือจับไม้ของมัน

“กูไม่อยากพูดถึงจริงๆ”

“...”

“เดี๋ยวจะทะเลาะกัน”

เหี้ย ผมทำอะไรผิดป่ะวะ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอาสาไม่ยอมผมแล้วล่ะ ผมต้องมีความผิดบางอย่างที่ทำให้อาสาไม่สบายใจ ว่าแต่มันเรื่องอะไรกันล่ะ

“บอกกูมาเถอะ กูจะได้รู้ว่ากูผิดอะไร”

“...”

“อย่าลืมนะว่าเราเคยคุยกันไว้ว่ามีอะไรให้บอกกันตรงๆ”

อาสาถอนหายใจ มันมองหน้าผมด้วยสีหน้าเหงาหงอย
 
“มึงยังละเมอถึงชื่อแฟนเก่าอยู่เลย”








ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“เชี่ยป๊อบ”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เปิดประตูโว้ย”

ไม่ใช่ไอ้ป๊อบที่เป็นคนมาเปิดประตู แต่เป็นรูมเมตของมัน คนมาเปิดประตูให้มองหน้าผมเหมือนผมไปฆ่าคนในครอบครัวของมันมา ซึ่งผมก็เข้าใจมันเป็นอย่างดี ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า ผมซึ่งอยู่หอสามแต่มาเดินเล่นอยู่ที่หอหนึ่ง อีกทั้งยังมากวนเวลาอ่านหนังสือของมันอีก จะไม่ให้มันมองจิกผมได้ยังไง

“คุณหล่อก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าคุณจะทำอะไรก็ได้นะครับ”

ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ทนการมองจิกของคนคนนั้นอยู่อีกประมาณสองถึงสามนาที ไอ้ป๊อบมันก็เดินออกมา

“โทษทีกูไปอาบน้ำมา” ไอ้ป๊อบเอ่ย มันแทรกตัวออกมาจากห้อง ดันตัวรูมเมตของมันเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ปิดประตู “มึงนี่ก็มาหอกูเหมือนไม่มีกฎมีเกณฑ์อะไรเลยเนอะ”

“กูรู้ว่าพวกหอหนึ่งไม่มีเวลามาหาเรื่องกูหรอก”

“เออ จริงว่ะ” ไอ้ป๊อบกอดอก “มึงมีไร”

“มีที่นั่งมั้ย”

“สุดทางเดินมี”

ไอ้ป๊อบเดินนำผมไป มันไล่เด็กปีหนึ่งที่นั่งอยู่ก่อนแล้วออกไป เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามันเป็นขาใหญ่ของหอนี้

“กูเป็นเดือนหอปีนี้” มันยักไหล่ราวกับรู้ว่าผมคิดอะไร

“เดือนหอหนึ่งนี่่้ได้อะไร ของหอสามกูได้เลือกอยู่ห้องตามอำเภอใจ”

“เดือนหอกูน่ะเหรอ เลือกที่อ่านหนังสือได้ทุกที่”

“แต่ครั้งนี้มึงไม่ได้อ่านหนังสือนี่”

“มึงจะคุยกับกูมั้ยสัดทนาย”

ขอจบการอยากรู้เรื่องหอคนอื่นแต่เพียงเท่านี้

“มึงจะฟังเรื่องแบบสั้นๆ หรือมึงจะฟังแบบยาวๆ กูรู้ว่ามึงไม่ค่อยมีเวลา” ผมรู้ใจเพื่อนดีจึงได้ถามคำถามแบบนี้ออกไป
 
“สั้นๆ สิ เวลาเป็นเงินเป็นทอง”

“ได้”

“...”

“อาสาไม่ให้กูเอา เพราะกูละเมอชื่อแฟนเก่า”

สิ้นคำพูดผม ไอ้ป๊อบถึงกับต้องอ้าปากค้าง

“มึงคบกับอาสาแล้วหรือว่าจะนอนกันเฉยๆ วะ!”

“ไอ้สัด คบแล้วดิ”

“กูเพิ่งรู้!”

“นึกว่ามึงเดาได้แล้ว”

“กูเดาออกที่ไหนกันเล่า กูรู้แค่ว่ามึงชอบ แต่ก็...” มันทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดอะไรบางอย่างได้ “เออว่ะ อาสาก็ชอบมึงเหมือนกันนี่หว่า คบกันก็ถูกแล้วป่ะวะ”

“มึงรู้ได้ไง”

“ก็ตอนที่แอลมา เขาไลน์มาคุยกับกูเรื่องแอล บอกว่าแอลมันดูดีโน่นนี่ เขาคงกลัวมึงรีเทิร์นนั่นแหละ”

“กูเพิ่งรู้นะเนี่ย” ถ้าตาผมเป็นรูปหัวใจได้ มันคงเป็นไปแล้ว “ที่กูบอกมึงว่ากูเครียดไง เรื่องนี้แหละที่กูจะเป็นบ้าตาย จำไม่ได้เหรอ”

“เริ่มจำได้แล้ว สรุปคือมึงคบกับอาสาแล้ว?”

“ใช่” ผมไม่รู้จะปิดไอ้ป๊อบไปทำไม ในตอนแรกคนที่ผมไม่อยากให้รู้เรื่องผมกับอาสามากที่สุดก็คือไอ้เตกับไอ้ไมล์ ตอนนี้พวกมันสองคนรู้แล้ว เพราะงั้นผมไม่จำเป็นต้องปิดบังใครอีก

“แล้ว...เขาไม่ให้มึงเอา?”

“เออ กูกลุ้มอยู่เนี่ย”

“มึงไปละเมอชื่อแอลทำไมล่ะ”

“นั่นแหละปัญหา” ผมทึ้งหัว “อาสาคงคิดว่ากูมีเยื่อใยกับแอลอยู่”

“แล้วมึงมีมั้ยล่ะ”

“ไม่มี” ผมตอบทันที “หัวกูนี่มีแต่อาสา อาสา และก็อาสา ไม่เชื่อมึงลองมาแงะดูสิ”

“สัด กูเรียนแต่การแงะขากรรไกรคน กูไม่ได้เรียนการแงะสมองคน”

“มึงได้เรียนการแงะหัวใจมั้ย อาสาก็อยู่ในนี้นะ”

“มึงจะมาเสี่ยวกับกูให้ได้อะไรครับเพื่อน ไปเสี่ยวกับอาสาโน่น”

“จะอะไรก็ช่าง มึงต้องเชื่อใจเพื่อนมึง”

“อืมมมม” ป๊อบมองผมอย่างพินิจพิเคราะห์ “ถ้าจะให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องที่มึงละเมอเป็นชื่อแฟนเก่านะ...กูไม่รู้ว่ะ” แรกๆ เหมือนจะดูดี แต่ทำไมถึงกลับลำทำให้หงายเงิบขนาดนั้น “แต่ถ้าจะให้กูเดาตามประสาบ้านๆ จิตใต้สำนึกของมึงยังไม่ลืมแอล และแน่นอนว่าอาสาก็คงจะคิดว่ามึงไม่ลืมแอลเช่นเดียวกัน”

“กูลืมแล้วจริงๆ นะ” ผมร้องลั่น “ฉิบหายแล้ว ทำไงดีวะ”

“มึงอยากเอาเขาขนาดนั้นเลยหรือไง” ป๊อบเลิกคิ้วจับผิดผม

“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้นดิวะสัด”

“...”

“อาสามันจะเชื่อใจกูน้อยลง”

“แล้วมึงไปละเมอทำไมเล่า”

“กูจะไปรู้มั้ย” ผมกังวลมาก “อาจจะแค่ครั้งสองครั้งมั้ง”

“ครั้งสองครั้งก็ทำเขาจำได้ไปจนตายเลยนะ”

“ป๊อบ มึงทีมกูมั้ยเนี่ย”

“กูย้ายทีม กูจะอยู่ทีมอาสา”

“กูเพื่อนมึงตั้งแต่ ม.ปลาย”

“อาสาน่ารัก ถ้าจะให้เลือกระหว่างมึงกับอาสา กูเลือกอาสา”

ไอ้ฟาย แฟนมันนั่งหัวโด่อยู่นี่ เดี๋ยวปั๊ด...

“กูไม่รู้จริงๆ ว่ะว่าควรทำไง มึงต้องทำให้อาสาเชื่อใจด้วยตัวของมึงเอง และก็...เลิกละเมอชื่อแฟนเก่าได้แล้ว”

“กูจะเลิกยังไงดี”

“หลังจากเลิกกัน มึงได้เคลียร์กับแอลบ้างหรือยัง” ป๊อบยิงคำถามใส่ผม

“เขามีคนใหม่แล้วเขาก็บอกเลิกกู เลิกปุ๊บ จบปั๊บ ไม่ได้คุยกันอีกเลย”

“ลองคุยบ้างอาจจะดีขึ้นก็ได้นะ” ป๊อบลองเสนอแนวทาง “ที่มึงยังเพ้อถึงชื่อแอลอยู่อาจเป็นเพราะมันยังคาราคาซัง”

“ไม่นะ” ผมขอทะเลาะกับจิตใต้สำนึกของตัวเองหน่อยเหอะ “กูคลั่งอาสาจะตายห่า กูไม่ได้คิดถึงแอลเลย”

“ผิดกับเชี่ยแอลนะ”

“ทำไม”

“มันยังคิดถึงมึง”

ผมอ้าปากค้างหน่อยๆ “โม้”

“จริงๆ มันบอกกูว่าที่มันเลิกกับมึงเพราะว่าที่บ้านสั่งให้เลิก”

“บ้านใคร”

“บ้านมัน”

“หา?” เป็นความจริงที่ผมเพิ่งรู้ “พูดจริงป่ะวะ ตอนนั้นมันควงคนใหม่เย้ยกูนะ”

“แอลจะควงใครก็ได้ป่ะวะ หน้าอย่างมันแค่ยืมตัวมาควงหลอกๆ ใครๆ เขาก็ยินดีมาทำให้”

ผมพูดอะไรไม่ออก ไอ้เชี่ยป๊อบไม่มีวันโกหกผมแน่ๆ เพราะงั้นเรื่องนี้คงมีส่วนจริงอยู่ค่อนข้างมาก และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแอลถึงยอมเลิกกับผมง่ายๆ ถ้าเป็นเพียงเพราะที่บ้านสั่งให้เลิก

ทำไมแอลไม่สู้

“บ้านมันไม่ถูกกับโสภาพรรณ...กรุ๊ป” ยังดีนะที่มันพูดถึงชื่อบริษัท ไม่ได้พูดถึงชื่อแม่ผมเฉยๆ “ช่วงนั้นเหมือนจะมีปัญหากันเพราะทำธุรกิจเหมือนกันและก็แข่งกัน แม่ไอ้แอลเป็นพวกหัวดื้อ เอาแต่ใจตัวเอง ก็เลยบังคับลูกชายให้เลิกกับมึงนี่ไง”

“กูไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

“ตอนนั้นมึงทะเลาะกับพ่อแม่เรื่องจะซิ่วออกจากหมออยู่ไง”

ผมอดที่จะรู้สึกหัวใจวูบไหวไม่ได้ นึกไปถึงสายตาของแอลก่อนเราจะแยกกันที่สวนอาหารของบ้านมัน มันมองเหมือนยังชอบผมอยู่เลย

“สายเกินไปแล้วว่ะ” ผมพูดตรงๆ “ตอนนี้กูเป็นแฟนอาสาแล้ว”

“เรื่องนั้นมันก็รู้” ไอ้ป๊อบหัวเราะหึๆ “แค่มันเห็นมึงมองอาสา มันก็ยอมแพ้แล้ว”

ผมนั่งคอตก รู้สึกอยากถอนหายใจยาวๆ

“เห็นทีคงต้องหาเวลาโทรไปเคลียร์”

“เกิดมาหล่อก็ต้องทนหน่อยนะ” ป๊อบตบไหล่ผม

“แต่ต้องเคลียร์กับอาสาก่อน แฟนปัจจุบันต้องมาก่อน”

“คือมึงอยากเอาเขาไง”

“สัด ให้เกียรติแฟนกูด้วย”

“ขอโทษครับ”

“ขอบใจมากนะ ไว้วันหลังนัดกันกับไอ้พวกนั้น”

“โอเค โชคดีนะมึง”

“...”

“ถ้ามึงทำอาสาเจ็บ กูเสียบต่ออย่างรวดเร็วแน่ๆ กูขอรับรอง”

“เอาตีนกูไปแดกไป”









ห้อง 503

ผมคิดไม่ตกจนนอนไม่หลับ ตอนนี้คนอยู่ข้างๆ ผมนอนหลับปุ๋ยอย่างสงบเป็นที่เรียบร้อย มีแต่ผมที่ยังคงตื่น แถมยังพลิกตัวไปมาและก็ตาสว่างมาก

เรื่องของแอลรบกวนจิตใจของผม รู้สึกเหมือนผมติดค้างคำขอโทษของมันอยู่ เราเลิกกันทั้งๆ ที่ไม่ใช่เหตุผลเรื่องแอลมีคนใหม่ แต่ถึงอย่างนั้น...ผมกับแอลก็จบกันไปแล้ว

“เชี่ยเอ๊ย สัดแอล”

ผมอดบ่นพึมพำออกมาไม่ได้จริงๆ

ตอนนั้นอาสาดันลืมตาตื่น ผมไม่รู้ว่ามันได้ยินในสิ่งที่ผมเพิ่งจะรำพึงออกไป

ปัญหาเล็กๆ เริ่มก่อตัว โดยที่ผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจ







TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12




ตอนที่ 24
พาร์ตของไมล์






‘สัดไมล์ อย่าถ่ายได้ป่ะ’
‘ขอถ่ายหน่อย มึงก็ออกจะดูดี’
‘ดูดีเหี้ยอะไรล่ะ กูเป็นสิวโว้ย’
‘เห็นไม่ชัดหรอก’
‘ไอ้เหี้ยไมล์’

“ยังไม่เลิกเพ้ออีกเหรอ” ผมสะดุ้งสุดตัวตอนที่คนป่วยส่งเสียงดัง “อ่อนแอสัดๆ”

พูดแบบนี้แม่งขึ้นเลยนะเนี่ย

“อ่อนแอห่าไรล่ะวะ กูก็แค่ดูคลิปเก่าๆ ก่อนที่จะลบทิ้ง”

“อาสามันไปสู่ประตูสวรรค์กับทนายแล้ว”

“มึงพูดเตือนตัวเองอยู่เหรอวะ”

“ขอด่ามึงเป็นตัวพยัญชนะย่อของคำว่าคิด วิเคราะห์ แยกแยะ”

“มึงด่าสั้นๆ ก็ได้มั้ง จะพูดยาวๆ ทำไม”

“-วย”

ไอ้เตด่าผมได้แสดงว่ามันดีขึ้นมากแล้ว ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาผมอยู่กับมันตลอดเลยครับ ถ้าไม่ใช่เวลาเรียน สถานที่ที่ผมอยู่ก็คือห้องพักในโรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งนี้นี่แหละ

ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ สภาพจิตใจผมดีขึ้นมากตามลำดับ ตั้งแต่ตอนที่ผมได้รับรู้ว่าทนายมันรักอาสาในแบบที่ผมไม่สามารถรักได้ ผมก็เริ่มยอมแพ้ สมมติถ้าอาสาถูกพี่สงครามลากตัวไปอีกหน ผมคงไม่กล้าบ้าบิ่นไปบุกหอสองคนเดียวแบบที่ทนายเคยทำ
อย่างน้อยผมก็จะเรียกไอ้เตไปเป็นเพื่อน

ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วที่ชีวิตผมมีแต่ไอ้เต ตอนที่ห้อง 204 ยังมีกันแค่สามคนซึ่งก็คือผม ไอ้เต และก็อาสา ผมก็เริ่มสนิทกับเตมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แม้จะมารู้ทีหลังว่ามันเองก็ชอบอาสาเหมือนกันกับผม แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้มิตรภาพระหว่างเราสองคนเปลี่ยนไปเลยสักนิด ตรงกันข้ามเรากลับสนิทกันมากขึ้น อาจเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ความลับของกันและกัน

เตมันแตกต่างจากผม มันเป็นคนที่ชอบแต่ไม่แสดงออก ผมรู้ว่าผมต้องเป็นคนหลุดปากบอกอาสาก่อนมัน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่เด็กจนโตผมอยากได้อะไรก็ต้องได้ตลอด บางทีจิตใต้สำนึกของผมคงอดรนทนไม่ไหวกับการเก็บความลับเรื่องความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออาสา จึงได้เอ่ยปากบอกอาสาว่าผมชอบมันตอนที่ผมเมา

ใครจะรู้ว่านั่นจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ช่วงแรกไอ้เตก่นด่าผมใหญ่ หาว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้อาสาต้องออกจากห้องไป ไม่ต่างอะไรจากการขับไล่เพื่อนทางอ้อม ผมก็สวนมันกลับว่าผมเองก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ อีกอย่างจะให้เก็บความลับต่อไปเรื่อยๆ ผมก็ทนไม่ไหวอีก ตอนนั้นอาสากับกอเตยก็เหมือนจะลงเอยกันแล้วด้วย นั่นยิ่งเป็นชนวนที่ทำให้ผมร้อนรุ่มอยู่ในใจ

แม้เราจะทะเลาะและเถียงกันเรื่องอาสาต้องย้ายออกจากห้อง แต่กลายเป็นว่าผมเคยชินที่จะต้องมีมัน ถ้าวันไหนไม่ได้เถียงมัน ผมคงนอนไม่หลับ ที่สำคัญไปกว่านั้นไอ้เตเป็นเพื่อนประเภทที่ยอมผมมากกกก มันยอมผมยิ่งกว่ายอมอาสาอีก ช่วงระหว่างที่อาสาหลบหน้าผม (และแน่นอนว่ามันไปตัวติดกับทนาย) ตอนนั้นไอ้เตได้อยู่ใกล้ชิดผมมากที่สุด ผมเพิ่งรู้ว่ามันยอมผมโคตรๆ ผมอยากได้อะไรมันก็พาไปหา ผมรู้สึกแย่มันก็ช่วยปลอบให้ผมดีขึ้น การที่มีมันอยู่ทำให้ผมลืมเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับอาสาไปชั่วขณะ

ตอนที่มันเจ็บตัว ผมก็ลืมเรื่องอาสาไปชั่วขณะเช่นเดียวกัน

ใจหนึ่งผมก็เจ็บปวดนะตอนที่รู้ความจริงเรื่องทนายกับอาสา แต่อีกใจหนึ่งผมก็รู้สึกโล่งอก เหมือนได้ตัดเอาความอึดอัดในหัวใจออกไป ไม่มีใครต้องมาคอยกังวลว่าผมจะไปอยู่ใกล้ใครหรือแสดงออกว่าชอบกับใคร ผมก็แค่เป็นผม

จริงๆ แล้วไม่เคยรู้สึกสบายตัวและสบายใจขนาดนี้มาก่อน

ระหว่างที่กดลบคลิปของอาสา ผมได้คิดถึงคำพูดของไอ้เตไปด้วย ตอนที่มันถามว่าผมชอบอาสาเพราะอะไร เหตุผลของผมช่างเบาบางเสียเหลือเกิน ผิดกับทนาย เหตุผลของมันหนักแน่นมากอีกทั้งยังจริงใจอย่างเต็มเปี่ยมทุกคำ

มันคงเกิดมาเพื่อเป็นพระเอกของอาสาจริงๆ

แล้วผมล่ะ ผมควรจะได้เป็นพระเอกของใครดี

“ไร้สาระว่ะ” ไอ้เตพูดหลังจากที่ผมคิดจบพอดี ผมสะดุ้งฉิบหาย เพราะแม่งพูดได้ถูกช่วงมากจนเหมือนมีการนัดคิว “การ์ตูนห่าไรเนี่ย”

มันดูทีวีอยู่ ที่จริงมันควรจะได้ออกจากโรงพยาบาลไวกว่านี้ แต่ด้วยความซ่าส์และบ้าพลังของมัน (มันใส่ชุดคนป่วยออกไปตามหาผม) หมอก็เลยอยากจะขอดูอาการของมันต่ออีกสักสองสามวัน การอยู่โรงพยาบาลนานเกินไปทำให้ไอ้เตกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด
และผมนี่แหละต้องเป็นคนรองรับอารมณ์มัน

ช่วงเวลาที่ผมพร่ำเพ้อ ไอ้เตเป็นคนรับฟังผมอยู่คนเดียว เพราะงั้นเวรกรรมได้ตามสนองผมแล้วล่ะครับ

“โยนรีโมตใส่ทีวีเลย” ผมแกล้งแหย่มัน

“กูจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร”

“...”

“อยากกินไอติมว่ะ”

“กินไม่ได้”

“กูไม่ได้เป็นหวัดนะ”

“กูไม่ให้แดกเฉยๆ เนี่ยแหละ”

“ไมล์ กวนตีนกูเหรอ”

“เปล่า แค่อยากให้มึงรักษาสุขภาพ”

ไอ้เตเลิกคิ้ว “ให้กูออกจากโรง’บาลให้ได้ก่อนเถอะ”

“มึงจะทำไร”

“กูจะเตะมึงก่อนเป็นอันดับแรก”

ผมหัวเราะที่ยั่วให้คนเจ็บตัวโมโหได้สำเร็จ จะว่าไปมันนี่แหละเป็นความบันเทิงเพียงอย่างเดียวของผมในตอนนี้ ไม่สิ มันเป็นความบันเทิงตลอดกาลของผม

มีวันไหนบ้างมั้ยเนี่ยที่ผมไม่มีมันอยู่ด้วย...ไอ้สัด ไม่มีเลยนี่หว่า อย่างน้อยผมต้องได้คุยกับมันหนึ่งประโยคทุกวันอ่ะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“พี่เตพี่ไมล์ น้องอิ๊งเองค่ะ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงใสแจ๋วของน้องโรงเรียนเก่าของผม แม้ว่าเธอจะเป็นคนที่เอ่อ...แรงๆ ไปสักหน่อย (ก็แค่ขึ้นห้องกับไอ้เตน่ะครับ) แต่ก็ไม่ใช่คนนิสัยเลวร้ายอะไร

ไอ้เตถึงกับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าเลยทีเดียว

“เข้าไปแล้วนะคะ”

น้องอิ๊งไหว้ผมกับเตก่อนจะวางกระเช้าผลไม้ซึ่งเอามาเยี่ยมไอ้เตโดยเฉพาะ

“ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว เดี๋ยวอิ๊งช่วยดูพี่เตต่อให้เอง พี่ไมล์ไปหาอะไรทานได้เลยนะคะ”

ผมอ้าปากเตรียมเอ่ยแย้ง ทว่าอิ๊งกลับเดินไปหาไอ้เตพร้อมๆ กับเตรียมป้อนอาหารกลางวันที่พยาบาลจัดมาให้เป็นที่เรียบร้อย อื้อหือ นี่อิ๊งพร้อมเป็นเมียไอ้เตเลยป่ะเนี่ย ทำไมดูกระฉับกระเฉงว่องไวขนาดนี้

ผมนี่ยืนทื่อคู่กันกับเสาน้ำเกลือเลยฮะ

ระหว่างนั้นเตส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาทางผมพอดี ผมเองก็ไม่มีอารมณ์อยากออกไปกินข้าวข้างนอกเหมือนกัน เพราะงั้นเห็นทีผมจะต้องช่วยเพื่อนก่อน อีกอย่างหนึ่งผมก็ไม่ได้เชียร์น้องอิ๊งให้ได้กับไอ้เตอะไรขนาดนั้น

“พอดีพี่ทานมาแล้วน่ะ” ผมโกหก “พี่ยืนดูอิ๊งป้อนอาหารเพื่อนพี่ได้”

“ติดเพื่อน น่ารักเชียว” อิ๊งเอ่ยแซว แต่เธอเอามือป้องปากพร้อมกับพูดอย่างไร้เสียงกับผมว่า ‘พี่ไมล์ออกไปเถอะค่ะ อิ๊งอยากอยู่กับพี่เตสองคน’

ฉิบหายแล้วไงกู อีกคนก็ขอให้ช่วย อีกคนก็ขอให้สนับสนุน

ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่สักพัก จากนั้นก็ตัดสินใจทำมึนอยู่ในห้องต่อไป แกล้งทำเป็นเล่นโทรศัพท์ ขณะที่น้องอิ๊งเริ่มป้อนข้าวไอ้เตอย่างจริงจัง

TAECHIT : พาน้องเขาออกไป

เตทักไลน์ผมมา ผมหันไปสบตากับมัน มันก็ส่งสายตาขู่

MILE : ให้กูพาน้องอิ๊งไปไหน
TAECHIT : มึงไม่ต้องไป แต่น้องอิ๊งต้องออกไป
TAECHIT : กูนึกว่าน้องเขายอมแพ้เรื่องกูแล้วนะ
MILE : มึงอาจจะมีดีก็ได้ น้องอิ๊งอาจจะชอบผู้ชายหล่อ
TAECHIT : ผู้ชายหล่อหาที่ไหนก็ได้ป่ะวะ ทำไมต้องเป็นกู


“พี่เตอย่าเพิ่งเล่นโทรศัพท์สิคะ ตั้งใจทานอาหารก่อน” อิ๊งแกล้งทำเสียงดุ คิดว่าไอ้เตมันจะกลัวมั้ยครับ มันก็เล่นโทรศัพท์คุยกับผมต่อเฉยน่ะสิ

MILE : ให้กูถามให้มั้ย
TAECHIT : เออ อยากรู้เหมือนกัน


ผมเตรียมอ้าปากถาม แต่ไอ้เตส่งสัญญาณมือบอกผมว่า ‘ไม่ใช่ตอนนี้ ไอ้สัด’

TAECHIT : กวนตีน
MILE : กลัวมึงแดกข้าวไม่อร่อยไง เห็นทำหน้าเครียด
TAECHIT : กูอยากอยู่เงียบๆ
TAECHIT : ห้องนี้มีแค่มึงมันก็ดีอยู่แล้วป่ะวะ


โอ้โห กูซึ้งใจได้มั้ยวะเพื่อน ผมไม่คิดว่ามันจะพูดแบบนี้ และนั่นเป็นคำพูดที่ถูกอกถูกใจผมมากเลยทีเดียว

“น้องอิ๊ง จริงๆ แล้วหมอสั่งให้เตมันนอนพักผ่อนเลยอ่ะ” ผมแถอีกแล้วครับ “เดี๋ยวกินคำนี้เสร็จมันต้องกินยาและก็นอนเลย โอเคนะ”

“ได้ค่ะพี่ไมล์” น้องแม่งจริงจัง สงสัยอยากเป็นเมียไอ้เตจริงๆ

อิ๊งช่วยดูแลตามที่ผมบอก ไม่นานนักเตก็แกล้งทำเป็นนอนหลับ น้องอิ๊งทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเฉย ไม่มีทีท่าว่าจะลุกหนีออกไปไหนทั้งสิ้น

“อิ๊งไม่กลับเหรอ”

“วันนี้อิ๊งว่างค่ะ อิ๊งช่วยดูแลพี่เตได้”

“อิ๊งเป็นไรกับมันอ่ะ” ผมถามตรงๆ สาเหตุที่ผมถามเพราะอยากให้น้องเขาคิดทบทวนว่าตัวเองเป็นอะไรสำหรับไอ้เต ที่กำลังทำอยู่นี่มันเกินหน้าที่ไปหรือเปล่า อะไรเทือกๆ นั้น ไม่ใช่เพราะผมอยากสอใส่เกือกนะครับ

น้องโรงเรียนเก่าผมทำท่าเขิน “อิ๊งชอบพี่เต อยากเป็นแฟนพี่เตค่ะ ไม่อยากเป็นแค่กิ๊ก”

ได้ยินมั้ยวะไอ้หนุ่มฮอตของหอสาม ผมสังเกตเห็นว่าหน้าไอ้เตกระตุกนิดหน่อย มันคงได้ยินสิ่งที่น้องอิ๊งพูดเต็มๆ

“งั้นเหรอ” ผมรำพึง “งั้นวันนี้อิ๊งกลับก่อนดีมั้ย ยังไงเตมันก็นอนยาวอยู่แล้ว มันตื่นอีกทีคงจะค่ำเลย”

“ไม่เป็นไรค่ะ อิ๊งชอบตอนพี่เตหลับ พี่เตหล่อเหมือนตอนตื่น”

เชี่ยเต กูเริ่มไม่มีอะไรจะมาช่วยมึงแล้วนะ

“งั้นก็ตามใจอิ๊งเลย”

“ขอบคุณค่ะพี่ไมล์”

“...”

“พี่ไมล์จะออกไปไหนก็ได้นะคะ เดี๋ยวอิ๊งอยู่เอง”

พี่จะทิ้งเพื่อนพี่ได้ไงล่ะครับน้อง! ผมชักจะปวดหัวกับน้องอิ๊งแล้วนะครับ ตอนแรกเธอก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่หลังจากที่เธอเอาแต่ย้ำๆๆ ให้ผมออกไปจากห้อง ผมก็ชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาซะอย่างนั้น

“ปกติอิ๊งไม่เคยอยากได้ใครขนาดนี้นี่นา” ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กัดฟันขณะพูด

“บ้าน่า พี่ไมล์ อย่าเอ็ดไป” อีกฝ่ายทำท่าเขินอย่างมีจริตจะก้าน พร้อมๆ กับตีแขนผมเบาๆ ผมบอกแล้วไงครับว่าเธอเป็นคนแรง เรื่องคำพูดแค่นี้เธอรับได้ สบายมาก
 
“บอกเหตุผลได้ป่ะ” ผมแกล้งกระเซ้า

“พี่เตหลับแล้วแน่นะคะ”

“ใช่สิ อีกนิดมันก็จะกรนแล้วมั้ง” ลับหลังน้องอิ๊ง ไอ้เชี่ยเตชูนิ้วกลางใส่ผมทั้งๆ ที่หลับอยู่ ไอ้ฟายเอ๊ย

“อิ๊งไม่กล้าพูดอ่ะ”

น้องยังจะเขินอีกเหรอครับเนี่ย “บอกมาเหอะ เตมันไม่ได้ยินหรอก”

“ก็แหม...”

“...”

“อันนั้นของพี่เตใหญ่มากกกกกเลยค่ะ”

สิ้นเสียงของน้องอิ๊ง ไอ้เตถึงกับไอเสียงดังเลยครับ ส่วนผมอ้าปากค้าง หันไปมองตรงส่วนนั้นของไอ้เตโดยอัตโนมัติ ดีนะที่ผ้าห่มปิดไว้อยู่ ไม่งั้นผมได้พิสูจน์ตามคำพูดน้องอิ๊งแน่ๆ ว่าจริงหรือเปล่า

เป็นเพื่อนกับมันมาสองปี ผมไม่เคยสังเกตตรงนั้นเลยครับ

“พี่เตตื่นแล้วเหรอคะ”

“มัน...ละเมอไอน่ะ”

“มีด้วยเหรอ”

“มีสิ”

ผมไม่รู้ว่าควรจะขำดีมั้ย ตอนนี้หน้าไอ้เตเริ่มหงิกขึ้นมาเรื่อยๆ ยิ่งน้องอิ๊งอยู่นาน มันก็ยิ่งทรมาน รู้สึกสงสารมันเหมือนกันนะครับ




 

ในที่สุดน้องอิ๊งก็กลับ ไอ้เตแกล้งหลับจนหลับจริง ผมเล่นโทรศัพท์จนแบตฯ หมด เริ่มรู้สึกหิวจึงคุ้ยหาของกินในตู้เย็น

“กลับไปแล้วเหรอ” ไอ้เตตื่นแล้ว ทันทีที่มันตื่นก็ถามถึงน้องอิ๊งเลยทีเดียว

“ไอ้ไข่ใหญ่ ตื่นแล้วเหรอ” ผมแซวยิ้มๆ

“สัด อย่ามาล้อดิ”

“...”

“เอ๊ะ หรือกูควรภูมิใจ?” มันทำหน้าสับสนก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ผมรีบกุลีกุจอเข้าไปช่วย “รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะเลย”'

“เป็นคนป่วยก็ต้องหลับ มึงทำถูกแล้ว” ผมกลับไปหานมเปรี้ยวในตู้เย็นมาแกะแล้วดื่ม “กูขอโทษนะที่ไล่น้องออกไปไม่ได้”

“ไม่เป็นไร กูได้หลับพอดี”

“...”

“แต่กูตกใจฉิบหาย น้องชอบกูเพราะไอ้นี่ของกูเนี่ยนะ” มันขยับผ้าห่มออก พร้อมๆ กับมองจ้องเขม็งไปที่น้องชายของตัวเอง

“มึงมองทุกวันไม่รู้เหรอว่ามันเป็นไง”

“ก็กูเห็นทุกวันไง เลยไม่รู้สึกว่ามันใหญ่อะไร” ให้ตายเถอะ นี่ผมกำลังคุยเหี้ยอะไรกับมันอยู่เนี่ย “มึงลองดูซิ แล้วเทียบกับของมึง ของใครใหญ่กว่ากัน”

“สัดเต จัญไรโคตรๆ”

“กูพูดจริงนะ” มันสงสัยจริงๆ แต่ผมไม่มีวันจะแก้ความสงสัยของมันอย่างเด็ดขาด มีอย่างที่ไหน ให้ไปส่องไอ้จ้อนเพื่อน มันบ้าป่ะวะ “มาดูซิ”

“ให้พ่อมึงมาดูสิ” ผมเดินไปที่ระเบียง ไม่สนใจจะหันกลับมามองอีก

แม้กระทั่งของอาสากูยังไม่เคยส่องเลย จะให้กูมาส่องของมึง มึงคิดอะไรอยู่

“ก็ไม่เห็นใหญ่ไรขนาดนั้น” เชี่ยเตบ่นพึมพำอยู่คนเดียว ยัง ยังไม่เลิกหมกมุ่นอีก “ไมล์ มาช่วยกูหน่อย กูปวดฉี่”

“เออ”

ผมโยนนมเปรี้ยวทิ้ง เดินไปพยุงไอ้เตให้ขยับตัวลงมาจากเตียง ระหว่างนั้นผมสะดุดเท้าตัวเองนิดหน่อย ทำให้ผมทิ้งตัวลงไปกองกับพื้น ตอนลุกขึ้นนั่ง อะไรบางอย่างของไอ้เตก็ปรากฏสู่สายตาของผมเต็มๆ

เชี่ย...ที่น้องอิ๊งพูดเป็นความจริงว่ะ

“มึงเล่นตลกให้กูดูอยู่เหรอ” ไอ้เตยังขำที่ผมล้ม “เจ็บป่ะวะ” มันยื่นมือมาให้ผมจับ ผมจับมือมันก่อนจะลุกขึ้นยืน

ฉิบหาย ผมให้คนป่วยช่วยผมได้ไง

“ขอโทษนะสัด”

“ขอโทษไรวะ”

“ที่มึงต้องมาดึงกูขึ้นไปเนี่ย”

“อะไรของมึง เล็กน้อยจะตาย” เตมันลุกได้แล้ว มันเดินลากสายน้ำเกลือตัวเองไปยังห้องน้ำ “ตอนเข้าห้องน้ำกูจะดูของตัวเองอีกทีว่าใหญ่จริงเปล่า”

“มึงอยากทำเหี้ยอะไรก็เรื่องของมึง”

“ไมล์”

“มีไร”

“ทำไมหน้ามึงแดงวะ”

“อะไร...ของมึง”

“หน้ามึงแดงฉิบหาย แดงแบบ...โคตรแดงอ่ะ ไปดูในห้องน้ำดิ”

ผมรีบวิ่งไปดูกระจกในห้องน้ำตามคำพูดของมัน แม่งใช่จริงๆ ด้วย หน้าผมแดงทำมะเขือเปาะแปะอะไร นี่มันเรื่องอะไรกัน!

“มึงไปเขินห่าไรมา สีหน้าแบบนี้แม่งกำลังเขินอยู่ชัดๆ”

“กูไม่ได้เขิน” ผมบอกปัด

“จริงนะ”

“จริงสิวะ”

“แน่นะ”

“มึงถามเอาโล่หรือไง”

“ก็นึกว่ามึงจะเขินของของกู” ไอ้เตเดินชนไหล่ผมเข้าไปในห้องน้ำ “ถ้าเป็นงั้นกูคงภูมิใจตายห่า”

“เชี่ยเต จัญไรสัด”

“จัญไรห่าไร ของกูใหญ่ กูจะอวด”

“พ่อมึง เข้าไปฉี่ได้แล้วไป”

“มาดูมั้ย”

“กูจะดูทำเหี้ยอะไรล่ะ!”

“แล้วจะเสียงดังทำไมล่ะเนี่ย”

ประตูห้องน้ำถูกปิดไปแล้ว ผมเผลอเอาหลังพิงประตูพลางคิดอย่างหนักหน่วงว่าผมเขินอะไร

เหี้ย...

ผมเขินไอ้นั่นของเชี่ยเตจริงๆ








21.02 น.

ฉิบหายแล้วผม ฉิบหายแน่ๆ แม้กระทั่งอาสาก็ไม่สามารถทำให้ผมมีอาการอย่างนี้ได้ ผมควรทำไง ผมควรปรึกษาใคร นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ ถ้าไอ้เตรู้ผมคงโดนล้อยันลูกบวชแน่ๆ

ผมควรทำไงดี ควรลบความรู้สึกบ้าๆ นี้ออกไปยังไงดี

โชคดีที่ไอ้เตไม่ได้ติดใจอะไรอีกแล้ว มันเลิกดูทีวีและหันมาสนใจหนังสือวรรณกรรมคลาสสิกซึ่งมันเป็นคนสั่งให้ผมหยิบออกมาจากห้อง 204 มันบอกว่าอาจารย์สั่งงานให้วิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นโปรเจ็กต์หลังสอบมิดเทอม และมันก็ยังไม่ได้เริ่มทำเลย
เพราะมันมีหนังสือ มันก็เลยไม่ได้สนใจผม ผมฉวยโอกาสนั้นนั่งคิดนอนคิดเรื่องที่ผมเขิน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโยงไปหาตรงส่วนนั้นของไอ้เชี่ยเตทุกที

ตอนนี้ผมชักจะอยากโทษน้องอิ๊งแล้วนะ ทำไมต้องให้ผมรับรู้เรื่องนี้ด้วย นี่ผมเอาตัวเองออกมาจากเรื่องนี้ไม่ได้เลยนะเนี่ย แต่ผมก็เป็นคนถามน้องเขาเองนี่หว่า สรุปก็คือทุกอย่างมันเริ่มมาจากผม จากผมคนเดียว

“โว้ย!” จู่ๆ ผมก็ร้องออกไปสั้นๆ

“เป็นบ้าอะไรของมึง” ไอ้เตถึงกับสะดุ้ง

“อย่ามายุ่งกับกู”

“อกหักแล้วไร้สติงี้เหรอวะ”

“-วย”

“ดุดันฉิบ” ไอ้เตหัวเราะอย่างไม่ถือสา “หงุดหงิดไรมา ไหนเล่าซิ”

เสียงที่ดูเป็นห่วงของมันทำเอาอวัยวะภายในผมสั่น ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ

“มีควายตัวหนึ่ง”

“แล้ว?”

“มันไปไถนา”

“...”

“จบ”

“เอาห้าวิของกูคืนมา” ไอ้เตวางหนังสือลง “เอาดีๆ ดิ มึงเป็นอะไร”

“...”

“ปกติเวลามึงเพ้อถึงอาสา มึงไม่กั๊กกับกูเลยนะ ถึงแม้ว่ามึงจะรู้ว่ากูก็ชอบอาสาอ่ะ” พูดแบบนี้แสดงว่ามันคงต้องการให้ผมเปิดเผยกับมันเหมือนแต่ก่อน ประเด็นอยู่ที่ว่าตอนนี้เรื่องปวดหัวของผมเป็นเรื่องของมันล้วนๆ ผมจะพูดกับมันได้ยังไง

ก็ได้ ผมยอมแพ้

“มีควายตัวหนึ่ง”

“ยัง ยังไม่จบอีก”

“จู่ๆ มันก็เขิน...เพื่อนมัน” ผมพูดเสียงเบาจนเตต้องเอียงหน้าเข้ามาฟังใกล้ๆ “จบแล้ว”

ไอ้เตเลิกคิ้ว “เรื่องเหี้ยไรของมึงเนี่ย”

“เห็นมั้ย มันไม่มีอะไรสักหน่อย”

“ควายตัวนั้นชื่อไรล่ะ” สีหน้าของไอ้เตเปลี่ยนไป ทำไมกลายเป็นเจ้าชู้ขึ้นมาซะงั้น เฮ้ย มันทำหน้าเจ้าชู้ใส่ผมจริงๆ นะครับ สัดเต นี่กูเพื่อนมึงไง กูเพื่อนมึงงงงงงงง

“สุชาติ”

“นั่นวินมอเตอร์ไซค์ในหนังฟรีแลนซ์ป่ะวะ”

“...”

“ชื่อมารุตหรือเปล่า”

“ไอ้สัด นั่นพ่อกู” ผมเอื้อมมือไปตีแขนมัน

“ฮ่าๆๆ”

“...”

“ชื่อมนต์ธัชอ่ะดิ”

มนต์ธัชนั่นชื่อผม แม้ว่ามันจะถามว่าควายตัวนั้นชื่อนี้หรือเปล่า แต่ทำไมผมถึงเริ่มทำสีหน้าไม่ถูก

“แต่กูว่าไม่ใช่ว่ะ” เตมันเป็นคนพูดคำนี้เอง ผมยังไม่โล่งอกเพราะรู้ว่ามันคงไม่จบคำพูดแค่นี้แน่

“...”

“ควายตัวนั้นต้องชื่อเตชิต” มันหันมามองหน้าผมยิ้มๆ “เพราะกูเริ่มเขินเพื่อนตัวเองแล้วเนี่ย”

สัดเต...มึงเล่นอะไรของมึง มึงทำอะไรกูวะ มึงทำอะไร!

ไอ้อวัยวะที่สั่นอยู่ข้างในไม่ใช่ตับไตไส้พุง ลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่...แต่เป็นหัวใจ







TBC*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2017 01:07:57 โดย Chiffon_cake »

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





ตอนที่ 25





ผมนึกว่าทางคณะจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก เรื่องไปเที่ยวกระชับความสัมพันธ์ห่าเหวอะไรนั่น ผมไม่อยากไปเลยสักนิด เพราะอะไรรู้มั้ยครับ

เพราะอาสาไม่ได้ไปด้วย

“กูไม่ไป” ผมพูดกับไอ้โอ๊ค หลังเสร็จสิ้นการประชุมระหว่างพี่ปีสองกับน้องปีหนึ่ง อาสากับไมล์ไม่ได้มาร่วมประชุมด้วย เห็นว่าต้องไปรับไอ้เต วันนี้มันออกจากโรง’บาลได้แล้วครับ #เย้

“มึงไม่ไปไม่ได้นะ รุ่นพี่บังคับมาว่ามึงต้องไป” โอ๊คเอ่ยอย่างจริงจัง

“ทำไมต้องเป็นกูวะ”

“มึงหล่อ”

มันใช่เหตุผลเหรอ... “มึงก็หล่อ”

“แต่หล่อไม่สู้มึงไง มึงไม่ไป สาวๆ เขาก็ไม่ไปนะ”

“เกี่ยวกับกูที่ไหน” ยังไงผมก็จะไม่ยอมในเรื่องนี้

“นี่มึงไม่รู้ตัวเลยเหรอว่ามึงฮอตกับสาวๆ มากเลยนะ”

“ไม่รู้” ผมตอบอย่างไม่สนใจ

“เพราะมึงมัวแต่ขลุกอยู่แต่กับพี่อาสาไง”

“กูสบายใจที่จะทำงั้น”

“ถ้ามึงออกจากโลกของพี่อาสามานิดนึง มึงจะรู้เลยว่าสาวๆ เขาอยากได้มึงกันมากแค่ไหน” ไอ้โอ๊คมองซ้ายมองขวา “วันนี้พี่อาสาไม่อยู่นี่ มาลองพิสูจน์สักนิดสักหน่อยดูมั้ยล่ะ”

“ฟาย” ผมด่ามันทันที “คดีเก่ากูยังเคลียร์ไม่ได้เลย มึงจะหาคดีใหม่ให้กูทำไม” ไอ้โอ๊คกับเพื่อนคนอื่นๆ รู้แล้วครับว่าผมกับอาสาคบกันอยู่ ข่าวมันเริ่มกระจายไปอย่างเงียบๆ อาสาต้องการแบบนี้ เพราะไม่อยากเป็นที่สนใจมากไปกว่านี้

จริงๆ แล้วมันนั่งหายใจเฉยๆ คนเขาก็สนใจมันอยู่แล้วนะ แต่ผมไม่พูด ผมยอมมันทุกอย่างครับ

“คดีเก่านี่อะไรวะ ไม่เห็นมึงเล่าให้ฟังเลย”

จะให้กูเล่าจริงๆ เหรอว่าอาสาไม่ให้กูเอา เพราะกูละเมอชื่อแฟนเก่า จะให้กูเล่าจริงๆ น่ะเหรอออออ

“เฮ้อ ช่างแม่งเหอะ”

“มึงห้ามทำพี่อาสากูเจ็บเชียวนะ” ไอ้โอ๊คบีบไหล่ผมเป็นเชิงขู่

“พี่อาสามึงอะไร นั่นแฟนกู ของกูโว้ย”

“พี่อาสาเป็นของเด็กหอสามทุกคน”

“หยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้”

“ทนาย” เสียงผู้หญิงดังขึ้น เธอชื่อปังครับ และหุ่นเธอก็ปังมากด้วย เป็นเพื่อนในคณะของผมเอง “ไปเที่ยวด้วยใช่ป่ะ”

ผมกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ แต่เชี่ยโอ๊คเอ่ยแทรกขึ้นมาซะก่อน “มันจะไปอยู่”

“ดีเลย ไว้เจอกันนะ” ปังส่งยิ้มให้ผมแล้วเดินจากไป

ไอ้โอ๊คหันมายักคิ้วใส่ผม “กูบอกแล้ว”

“ไร้สาระ” ผมกลอกตา

“ที่มึงหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่เนี่ยเพราะคดีเก่าของมึงใช่ป่ะ” ไอ้โอ๊คทำตัวเป็นกูรูผู้รู้ทุกเรื่องอีกแล้ว “ทำไมไม่เคลียร์ล่ะวะ คนอย่างมึงแคร์พี่อาสาจะตาย มึงปล่อยให้พี่เขาคิดมากทำไม”

“ประเด็นคือกูไม่รู้จะเคลียร์ยังไงเนี่ยสิ”

“กูมีวิธีเหี้ยๆ วิธีหนึ่ง มึงอาจจะไม่ชอบนะ แต่มึงลองฟังกูก่อนก็ได้”

“อะไรวะ” ผมเริ่มสนใจขึ้นมา

“ทำให้พี่เขาหึง”

“ไอ้สัด นั่นมันเพิ่มคดีใหม่ชัดๆ!”

“มึงนี่มันมีความเป็นพ่อบ้านจริงๆ” ไอ้โอ๊คหัวเราะ “พี่อาสาเขารักมึงอยู่แล้วใช่ป่ะ การที่มึงทำให้พี่เขาหึงเนี่ย มันจะทำให้พี่เขารักมึงมากขึ้นไปอีก”

“มันเป็นทฤษฎีของใครวะ ทำไมฟังดูเหี้ยจัง”

“อาจารย์โอ๊ค”

“เออ เหี้ยจริง”

“สาด ไม่ลองไม่รู้นะเว้ย”

“เฮ้ออออ” ผมทอดถอนใจ

“เจอตัวแล้ว” ผมได้ยินเสียงผู้หญิงจึงหันไปดู ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็คือผู้หญิงจากคณะไหนไม่รู้กำลังมารุมล้อมผม ทุกคนมีกล้องอยู่กับตัวอย่างกับเป็นนักข่าว

ว็อทเดอะฟัค

“ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยจ๊ะน้องทนาย”

“พี่สัญญาจะทำรูปน้องออกมาให้ดูดีมากที่สุด”

“ตอนนี้น้องทนายเริ่มมีแฟนคลับแล้วน้า”

ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงดันตัวไอ้โอ๊คออกมาแล้วก็ไปหลบหลังมัน

“ทำห่าอะไรของมึงเนี่ย”

“อาสาไม่ชอบให้กูดังในโซเชียล”

“มีใครห้ามโซเชียลได้ด้วยเหรอ”

เสียงชัตเตอร์ดังระงมสลับกับแฟลชที่มีมาเป็นระยะ ไม่ว่าจะยังไงผมก็ห้ามเธอเหล่านั้นไม่ทัน

คดีใหม่ของผมได้มาถึงแล้ว ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้ทำห่าอะไรเลยด้วยซ้ำ








ห้อง 503

“กูหาเนื้อคู่ของกูเจอแล้ว แท็กวิชุดา สุดศรีสว่าง”

“...”

“ช่วยไลฟ์แล้วครางชื่อแอปเปิ้ลข้างๆ หูพี่ที”

“...”

“สาธุ ขอให้ยังโสด”

ผมหลับตาปี๋ จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ไม่ได้ เพราะอาสาอ่านคอมเมนต์เสียงดังลั่นห้อง มันตวัดสายตามามองผมที่อ่านหนังสืออยู่บนเตียง ดูท่าคืนนี้ระหว่างผมกับมันคงจะยังอีกยาวไกล

“เตเป็นไงบ้าง” ผมเฉไฉอย่างหน้าด้านๆ

“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง”

“เฮ้ย กูขอโทษ กูห้ามเขาไม่ได้จริงๆ”

“มึงจะถ่ายรูปขึ้นไปไหน แบบนี้คนก็ยิ่งให้ความสนใจมึงเยอะสิ”

ความผิดกูใช่มั้ยนั่น “อาสา กูรักแต่มึงคนเดียวนะ”

“เรื่องนี้แม่งเป็นจุดอ่อนในการหึงของกูจริงๆ” มันยอมรับตรงๆ เลยแฮะ น่ารักว่ะ “ของมึงนี่เรื่องไหนวะ”

“ทุกเรื่องอ่ะ”

อาสาเลิกคิ้ว สีหน้าของมันดูดีขึ้นเล็กน้อย ผมดีใจที่เป็นอย่างนั้น เพราะอย่างน้อยมันก็รู้สึกดีขึ้นเพราะสิ่งที่ผมเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ผมเสแสร้งจะเป็น

กูนี่ขี้หึงตัวพ่อเลยนะ บอกไว้ก่อน

“จำไม่ได้เหรอ ตอนมึงไปอ่านหนังสือกับไมล์ กูก็หึง ตอนมึงใส่ขาสั้นแล้วหมามันมามอง กูก็หึง ตอนที่มึงเดินอยู่ข้างนอกแล้วมีแต่ผู้ชายด้วยกันมาจ้อง กูก็หึง”

“...”

“สรุปคือกูหึงและหวงมึงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ต่อมความหึงของกูทำงานตลอดเวลาอย่างกับเซเว่น”

อาสาหรี่ตามองผม แกล้งมองผมอย่างจับผิด ถ้ามันเริ่มเล่นหูเล่นตาขนาดนี้แสดงว่าหายโกรธแล้วล่ะครับ ทันทีที่เป็นแบบนั้นผมก็ดึงตัวมันลงมาบนเตียง จากนั้นก็สวมกอดพร้อมยกขากอดก่าย ทำเหมือนมันเป็นหมอนข้างของผมอีกใบหนึ่ง

เราสองคนนิ่งกันไปสักพัก จากนั้นผมจึงได้เอ่ยเรื่องที่ยังไม่สบายใจออกไปตรงๆ

“เรื่องกูละเมอชื่อแอล กูไม่รู้ว่าเพราะอะไรจริงๆ มึงอย่าโกรธกูเลยนะ”

อาสาที่อยู่ในอ้อมกอดผมนอนตะแคงนิ่ง มันคงตั้งใจฟังและก็ครุ่นคิดอยู่

“กูรักมึงจะตาย กูหลงมึงจะแย่”

“พูดงี้เพราะอยากให้กูยอมป่ะวะ”

ทำไมคนรอบตัวชอบคิดว่าผมหื่น แม้กระทั่งแฟนของผม

“บ้า กูแค่อยากให้มึงสบายใจ”

“กู...ไม่รู้ว่ะ”

“มึงได้ยินบ่อยมั้ย”

“สองสามครั้ง ไม่สิ สามสี่ครั้ง”

“...”

“มันไม่เยอะ แต่กูก็ไม่สบายใจอยู่ดี”

“...”

“เวลาคนเราจะฝันถึงอะไรบางอย่าง เพราะเรากำลังคิดถึงหรือไม่ก็กำลังนึกถึงสิ่งนั้นอย่างบ้าคลั่ง กูเชื่อเรื่องนี้อยู่นะ”

“อาสา” ผมฝังใบหน้าของตัวเองลงกับต้นคอขาวของอีกฝ่าย “กูต้องทำไงว้า”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“...”

“ยังไงกูก็ไม่หายกังวลว่ะ”

“มึงเชื่อใจกูดิ”

“แอลก็ดูดีออกอย่างนั้น”

“แต่มึงน่ารักกว่าเยอะนะ”

“...”

“นี่กูต้องคุยกับแอลต่อหน้ามึงใช่ป่ะ มึงถึงจะสบายใจ”

“จริงๆ แล้ว...”

“แป๊บ เดี๋ยวกูโทรหาแอลเดี๋ยวนี้”

อาสาคว้าหมับที่ข้อมือผม มันห้ามไม่ให้ผมทำอย่างที่พูด

“ถ้างั้นต้องทำยังไงอ่ะ มึงถึงจะเลิกคิดมาก”

“กูไม่คิดอะไรแล้วล่ะ”

เป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิดเดียว ผมกอดมันแน่นอีกรอบ ขณะที่มันเองก็ปล่อยให้ผมกอดไปอย่างง่ายๆ

“เรื่องไปเที่ยวกับคณะอ่ะ กูไปด้วยไม่ได้จริงๆ นะ ปีที่แล้วมันมีปัญหา”

“ปัญหาอะไร”

“พวกหอสองมันรุมแกล้งกู หลังจากนั้นเพื่อนในคณะก็ไม่ให้กูไปค้างคืนนอกสถานที่กับพวกมันอีกเลย”

“หอสองปีสองเหรอวะ”

“ใช่”

“แกล้งอะไร”

“มันจะแกล้งถอดเสื้อผ้ากูให้ล่อนจ้อนทั้งตัวก่อนอาบน้ำอ่ะ”

ฟิวส์ผมขาดอย่างกะทันหันราวกับมีคนมากระชาก

“โอเค มึงไม่ต้องไปก็ได้ มึงอยู่นี่แหละ และกูก็จะไม่ไปด้วย”

“ไม่ได้ มึงต้องไป ปีหนึ่งเขาให้ไปกันทุกคน” ทำไมอาสาต้องมีเงาของรุ่นพี่คณะสิงอยู่ในตอนนี้วะ

“แต่จริงๆ กูอยู่ปีสองแล้วนะ”

“ไม่นับสิวะ ตอนนี้มึงอยู่ปีหนึ่ง คณะบัญชี”

ผมดิ้นพล่าน ทำให้ตัวของอาสาที่ผมกอดอยู่ดิ้นไปด้วย

“กูไม่เคยห่างจากมึงเลย ทำไงดี กูไม่อยากห่างอ่ะ”

“สองคืนเอง”

“มึงพูดเหมือนมึงไม่รู้สึกอะไรเลย”

“ทำไมกูจะไม่รู้สึกล่ะ” อาสาหันหน้ากลับมาหาผม ตอนนี้เราสองคนมองหน้ากันโดยที่ผมยังกอดอาสาอยู่ “กูคงนอนไม่หลับแน่ๆ”

“งั้นก็อย่าปล่อยให้กูไปสิ”

“ได้ไงวะ ปีหนึ่งยังไงก็ต้องไป”

“อย่าทำตัวเป็นพี่ปีสองตอนนี้ได้ป่ะวะ”

“ยังไงกูก็เป็นรุ่นพี่มึง มึงไปเหอะ ใครๆ เขาก็อยากให้มึงไปทั้งนั้นอ่ะ”

ผมพ่นลมใส่อาสาจนผมหน้าม้าของมันปลิว “กูจะไปได้ไงวะ เรื่องแอลกูยังเคลียร์กับมึงไม่ได้เลย ยังไงกูก็ยังไม่สบายใจอ่ะ”

“ไม่มีห่าไรหรอก ปล่อยกูกังวลไปนี่แหละ”

“มันได้ที่ไหนกันล่ะวะ คนรักกันที่ไหนเขาปล่อยให้แฟนตัวเองเป็นกังวล”

“...”

“กูว่ากูคงต้องหาเวลาคุยกับแอลต่อหน้ามึงจริงๆ ว่ะ”

อาสาไม่ได้ทำสีหน้าดีขึ้นเท่าไหร่ และนั่นก็ยิ่งทำให้ผมปวดใจ ไอ้จิตใต้สำนึกห่าเหวเอ๊ย ทำไมมึงทำงานตรงข้ามกับความคิดความรู้สึกกูขนาดนี้วะ

กูมีปัญหากับแฟนกูเลยเนี่ย มึงเห็นม้ายยยยย






ผมยังคงหน้าบูดหน้าบึ้งตลอดสองสามวันหลังจากนั้น เพราะใกล้วันไปเที่ยวกับคณะมากขึ้นทุกที ผลการสอบที่ผมทำคะแนนผ่านมีนมาได้เยอะทุกตัวไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมจะนอนหลับได้ไงถ้าไม่มีอาสานอนอยู่ข้างๆ และที่สำคัญผมจะทำยังไงดีถ้าไอ้ตัวล่อเสือล่อตะเข้อย่างอาสาต้องเดินไปนั่นไปนี่ตามลำพัง

แค่คิดว่ามันจะไม่ได้อยู่ในสายตาของผม ผมก็อารมณ์ขึ้นแล้ว! มีแฟนฮอตต้องเข้าใจ ถ้ามันฮอตในหมู่ผู้หญิงผมจะไม่ว่าเลย แต่นี่มันฮอตในหมู่เพศเดียวกัน ซึ่งอันตรายกว่าเยอะ ไม่รู้พวกแม่งจะเข้ามาหาแฟนผมไม้ไหน

หนึ่งวันก่อนที่ผมจะไป ผมพาอาสามานั่งร้านกาแฟ (ไม่ใช่ร้าน Pink Chiffon บ้าบอที่มีแต่สีชมพูอีกแล้วครับ) เป็นร้านเงียบๆ ในห้องคูหาเดียวและมีเพียงไม่กี่โต๊ะ แต่ทันทีที่ผมกับอาสามานั่ง ภายหลังโต๊ะก็เต็มเฉยเลย

ผู้ชายสองคนกำลังนั่งกินขนมหวาน ไม่สิ ต้องเรียกว่ากินคนเดียวดีกว่า ขนมที่อาสาสั่งมาผมยกให้มันกินคนเดียว ส่วนผมน่ะเหรอ ไม่กินหรอก เหตุผลเดิมๆ เกี่ยวกับเรื่องซิกซ์แพ็กส์น่ะครับ

“ไม่อยากไปเลย” ผมพูดเสียงออดอ้อน ใครจะได้ยินก็ช่างหัวแม่งแล้วครับ ผมไม่อยากห่างจากแฟนผมอ่ะ

อาสาตักไอติมวานิลลายัดเข้าปากผม ผมต้องฝืนกลืนมันลงไปในคอ

“กูบอกไม่แดกไง ถ้าซิกซ์แพ็กส์กูพัง กูมีพุงแล้วมึงหนีกูไปทำไงอ่ะ”

อาสาหัวเราะ “ไอ้ห่า คิดได้ยังไง”

“...”

“กูไม่ได้ชอบมึงเพราะมึงหล่อนะทนาย”

“ดีเลย เปิดประเด็นมาแบบนี้งั้นกูถามต่อเลย มึงชอบกูเพราะอะไร”

“ก็...” อาสายิ้ม หลุบสายตาลงต่ำอย่างเขินๆ อื้อหือ ช่วยผมด้วย แม่งโคตรน่ารักอ่ะ “มึงอยู่ด้วยแล้วสบายใจดี”

“มีอีกมั้ย อยากฟัง”

“กูชอบที่มึงปกป้องดูแลกูด้วย”

“...”

“ตอนยิ้มมึงน่ามองดี”

“...”

“ภูมิใจเวลาเดินด้วย”

“เดี๋ยว หลังๆ มันเพราะกูหล่อหรือเปล่าวะ” ผมหัวเราะเบาๆ

“ไม่รู้ว่ะ มาถามแบบนี้จะให้ตอบไงอ่ะ ก็มันชอบไปแล้ว”

ผมยิ้มกริ่ม “กูไม่อยู่มึงจะทำไงเนี่ย ไม่มีใครดูแลมึงได้ดีเท่ากูอีกแล้วนะ”

“กูก็ดูแลตัวเองไง กูไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขานะเว้ย”

สายตาของผมจ้องมองไปที่อาสาซึ่งยังคงเอร็ดอร่อยกับขนมตรงหน้าอยู่ หน้าตากับท่าทางน่ารักๆ แบบนี้ไม่อยากปล่อยให้คลาดสายตาจริงๆ ผมหันไปมองรอบๆ โต๊ะ สาวๆ ส่วนใหญ่สะดุ้งเมื่อเห็นผมมองไปที่พวกเธอ

“เขามองมึงอ่ะ” อาสาพูด

“กูว่าเขามองมึงมากกว่า” ผมตอบกลับ

“ถามเลยป่ะ ขอโทษนะครับ คุณมองใครครับ มองผมหรือมันงี้”

ผมกับอาสาหัวเราะพร้อมกัน คงไม่มีใครกล้าไปถามหรอกมั้ง ผมมองรอยยิ้มอาสาด้วยสายตาอ่อนโยน

นี่จะต้องห่างกันไปจริงๆ เหรอวะ สองสามวันนี่มันนานมากเลยนะเว้ยยยยย

“สบายใจเถอะ ไม่ต้องห่วงกู กูจะเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่กระโตกกระตาก ทำเหมือนกูไม่มีตัวตนในโลก”

“สัด เป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์เหรอ” ผมจำได้ คำพูดนี้แฮร์รี่พูดไว้ในหนังภาคสอง

“ก็อยากให้อยู่เงียบๆ ไม่ใช่หรือไง”

“พูดเองแล้วนะ” ผมถือโอกาสเลยละกัน “หนึ่ง ถ้าจะออกไปข้างนอกให้ชวนไอ้เตกับไอ้ไมล์ไปด้วย สมมติเตมันไม่ไหวก็ให้ชวนไมล์ไป อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว”

“ไม่หวงกูกับไอ้ไมล์แล้วเหรอ”

“ไม่แล้ว” ผมยักไหล่ “สอง ห้ามตอบไลน์กูช้าเกินห้านาที”

“สัด กูอาบน้ำอยู่ทำไง”

“เอาโทรศัพท์ไปเข้าห้องน้ำด้วย”

“ให้ตายเถอะ”

“สาม บอกรักกูบ่อยๆ”

“ทนาย เกี่ยวมั้ยเนี่ย” อาสาโวยวาย แต่มุมปากกลับยกยิ้ม ผมทำมันเขินอีกแล้ว

“ไม่เกี่ยวหรอก แต่กูชอบฟัง”

มันส่ายหน้าใส่ผม ขณะที่ผมทำหน้าภูมิอกภูมิใจกับคำพูดของตัวเอง ถ้ามันทำได้ตามนี้ผมก็เบาใจแล้ว อย่างน้อยผมก็สบายใจและอุ่นใจที่แฟนยังรักและเอาใจใส่

แค่สองคืนเอง ผมต้องทำได้สิ







ห้อง 503 คืนก่อนที่เราสองคนจะแยกจากกัน

ผมเริ่มทำใจได้แล้วนิดหน่อย ด้วยการใช้วิธีปล่อยวางและก็ปลง ระหว่างกำลังคิดอาสานั่งพิงผม มันกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ ส่วนผมกำลังเหม่อลอยโดยมีมือหนึ่งจับผมอาสาเล่น ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ผมควรจะเข้านอนเร็วเพราะพรุ่งนี้ล้อหมุนตีห้าครึ่ง

หมุนเหี้ยไรเช้าจังเลยวะ

“ทำไมเข้าเฟซบุ๊กทีไรต้องเจอแต่รูปมึง” อาสาพึมพำ “กูเจอทุกครั้งเลยว่ะ”

“คนมันหน้าตาดีอ่ะนะ ต้องเข้าใจ” เสียงของผมเรียบง่าย ไม่ได้แฝงความกวนประสาทแต่อย่างใด เพราะผมใจลอยอยู่

“สมมติถ้ามึงไม่อยู่แล้วกูเข้าเฟซบุ๊ก กูก็ต้องเห็นมึงน่ะสิ”

“ถ้าเขายังแชร์กันอยู่ก็ยังเห็นนั่นแหละ”

“คนในคณะเรานี่แชร์จังเลย”

“...”

“แต่ก็ดี ได้เห็นรูปมึงบ่อยๆ ก็ดี ในเมื่อมึงจะไม่อยู่แล้วนี่” ประโยคท้ายของอาสาแผ่วลงไป ผิดกับตอนกลางวันลิบลับ ตอนนั้นมันยังดูไม่เป็นอะไรเลยนี่

“ไม่หวงแล้วเหรอ”

“กูทำใจได้แล้วล่ะ หน้าอย่างมึงถ้าไม่ดังก็คงจะไม่ใช่ป่ะ”

“ที่มึงต้องแคร์คือกูต่างหาก ไม่ใช่คนอื่น เขาแชร์ เขาผ่านมาเมนต์ แล้วไงวะ กูนั่งกอดมึงอยู่เนี่ย กูไม่ได้ไปไหน”

“รู้แล้วล่ะน่า”

“...”

“แต่ก็...หึง”

“...”

“แต่ก็น้อยลงแหละ”

มันควรไปคุยกับตัวเองก่อนคุยกับผมมั้ยเนี่ย ผมคิดขำๆ ในใจ อาสาเอื้อมมือไปปิดไฟบนเพดาน ทำให้ทั้งห้องมีแต่แสงสีส้มจากโคมไฟตรงหัวเตียง

โรแมนติกสัดๆ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเราสองคนไม่ต้องแยกจากกัน

ผมเพ้อมากเลยใช่มั้ยเนี่ย ใช่สิ ผมต้องเพ้อ นี่ผมไม่เคยแยกจากมันเลยนะ ตลอดสองเดือนที่รู้จักกันมา แทบจะไม่มีวันไหนที่ผมต้องนอนแยกห้องกับมันเลย

จู่ๆ มันก็ดึงใบหน้าของผมให้โน้มไปหามันเพื่อจูบ เป็นการจูบหวานๆ ที่ไม่ได้ดูดดื่มเร่าร้อนอะไร แต่นั่นก็ทำให้ผมสัมผัสอะไรบางอย่างได้

กลิ่นงูพิษน้อยนี่ลอยมาเลยครับ

“เปลี่ยนใจได้มั้ย มึงไม่ต้องไปแล้ว” นั่นไง ผมบอกแล้ว ฮ่าๆๆ ตอนกลางวันกับตอนกลางคืนนี่ต่างกันลิบเลยนะ พอใกล้เวลาที่ผมจะไปจริงๆ กลายเป็นอาสาที่เริ่มโอดครวญแทนที่จะเป็นผม

ผมมองไปที่กระเป๋าเป้ซึ่งวางอยู่ติดประตูห้อง “ทันมั้ยล่ะ บอกคนอื่นเขาไปแล้วว่าจะไป”

“ไม่ต้องไป”

“มึงก็ไปด้วยกันสิ”

“เพื่อนไม่ให้ไปไง ลืมแล้วเหรอ” เพราะความมีเสน่ห์ต่อเพศเดียวกันของมันทำให้มันไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนเหมือนคนอื่นๆ ไม่รู้เรียกว่าเกิดมาโชคดีหรือเกิดมามีกรรม

“งั้นกูไม่ไปนะ”

“แต่มึงก็บอกคนอื่นไปแล้วไง”

นี่เราสองคนจะคุยเรื่องนี้กันทั้งคืนมั้ยครับเนี่ย ผมดึงตัวอาสาเข้ามากอด ใบหน้าของมันฝังอยู่ตรงไหล่ของผม มันเอาหัวชนไหล่ผมย้ำๆ เหมือนเวลาแมวอ้อน

“นี่ถ้าคิดได้ไวกว่านี้กูคงไม่ได้ไปอ่ะ” ผมพูดเสียงอ่อนโยน

“กูบ่นไปงั้นแหละ ยังไงมึงก็ต้องไป”

“...”

“อยู่กับโอ๊ค อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวนะเว้ย”

“กลัวกูไม่ปลอดภัยเหรอ”

“กลัวมึงโดนลากเข้าห้อง”

ผมหลุดขำพรืด “เดี๋ยวนะ กูมั้ยวะที่จะต้องเป็นคนไปลากคนอื่นเข้าห้อง”

“กูว่ามึงไม่ทำ”

“เออ นั่นก็จริง”

“ทักไลน์กูมาบ่อยๆ ด้วย”

“เอ๊ะ เดี๋ยว ชักจะคุ้นๆ แล้ว”

“และก็...”

ผมไม่ปล่อยให้มันพูดบางอย่างออกมาก่อนหรอก

“กูรักมึง”

อาสาหุบปากฉับ จากนั้นก็ยิ่งซบใบหน้าเข้ากับไหล่ผมใหญ่ งูพิษเขินอายม้วนต้วน นี่ถ้ามีหางคงบิดไปมาจนรัดตัวเองไปแล้วมั้งน่ะ

“เขินเหรอ”

“เออ”

“นึกว่าชินแล้ว”

“ไม่เคยชินหรอก”

“...”

“กูแพ้เสียงมึงตอนที่คุยกับกูสองคนอ่ะ”

ผมเลิกคิ้ว “แปลว่าไรวะ”

“คือตอนที่มึงอยู่ต่อหน้าเพื่อน เวลาคุยกับกูเสียงมึงไม่อ่อนหวานแบบนี้อ่ะ”

“เหรอ”

“เจอมึงบอกรักเสียงแบบนี้ทีไร กู...เขินทุกที”

“บอกหมดไม่มีกั๊กเลย ฮ่าๆๆ”

“จะกั๊กทำไมล่ะ”

“รักมึงนะ” ผมพูดกรอกหูมันเบาๆ

“...”

“รักมึงจัง”

“พอ”

“รักโคตรๆ เลย”

“ไอ้สัด”

“ฮ่าๆๆ ต้องย้ำเดี๋ยวลืม”

“ช่วยโทรมาย้ำอีกหลายๆ รอบด้วย”

“ฮ่าๆๆ ครับ” อาสาทำผมอารมณ์ดีก่อนนอนจนได้ “นอนป่ะ”

“อืม”

เราสองคนปิดสวิตซ์โคมไฟ ในห้องมืดสนิท ผมนอนอยู่บนเตียงตัวเอง ส่วนอาสานอนอยู่อีกเตียงหนึ่ง แม้เตียงจะมีสองหลัง แต่เราก็ขยับมาติดกัน จึงไม่ได้ห่างกันมากมายเท่าไหร่

“อาสา เรื่องแอล...” ผมค่อยๆ พูด

“...”

“ก่อนกลับมากูจะเคลียร์ให้ได้นะ”

“บ้า มึงจะเอาเวลาที่ไหนไปเคลียร์”

“กูสัญญาว่าจะไม่ละเมอชื่อมันอีก”

“จริงๆ แล้วก็แค่ไม่กี่ครั้งเอง”

“แต่มึงก็กังวลไง”

“ให้กูบอกความลับป่ะ” อาสานอนตะแคงหันมาคุยกับผม สรุปคืนนี้เราจะได้นอนกันตอนไหนครับเนี่ย

“ความลับอะไร”

“มึงละเมอชื่อแอลสามสี่ครั้ง แต่นอกนั้น...”

“...”

“เป็นชื่อกูหมดเลย”

“หา!”

“ก็ตั้งแต่คบกัน มึงก็ละเมอชื่อกูตลอด กูต้องตื่นมาขานบ่อยมาก มึงรู้ป่ะ”

งูพิษ...ไอ้งูพิษเอ๊ยยยยย

“เป็นอีกหนึ่งเรื่องโปรดเกี่ยวกับมึงที่กูโคตรชอบ”

“อาสา มึงนี่นะ” ผมกัดฟัน “กูละเมอว่าอะไรบ้าง”

“อาสา วันนี้ไปห้างไอ้พี่คีนกันเถอะงี้ ไม่ก็อาสา มึงอย่าออกไปเดินข้างนอกคนเดียวนะ พวกหออื่นมาปีนหอเราเยอะ ประมาณนี้แหละ”

“กูละเมอถึงมึงแต่มึงก็ยังคิดมากเรื่องแอลอีกเนอะ”

“ก็มึงยังละเมอถึงเขาอ่ะ”

“โอเค กูผิดทุกอย่าง” ยอมแล้วจ้า “ต่อไปอัตราการละเมอถึงแอลจะเป็นศูนย์ อัตราการละเมอถึงอาสาจะเป็นร้อย ไม่สิ เป็นล้าน”

“...”

“สบายใจรอได้เลยนะ”

“กูขอโทษที่คิดมากนะ”

“ถ้ามึงละเมอถึงชื่อคนอื่นกูก็คิดมากเหมือนกัน”

“...”

“ดีไม่ดีกูอาจจะไปเผาบ้านมันให้วอดทั้งหลัง”

“...”

“กูกลับมามึงต้องโดนกูจัดหนักแน่ หึๆ”

“จัดหนักอะไรวะ”

ผมยิ้มกริ่มโดยที่คิดว่าอาสาจะต้องเห็นแน่ๆ “ยัง ยังทำเป็นไม่รู้อีก”

“กูว่ากูนอนดีกว่า” อาสาพลิกตัวไปนอนหงายแล้วหลับตา

“กูจองอีกทีได้มั้ยคืนนี้” ผมพูดอย่างไม่หวัง แต่ถ้าได้ก็ดี

“สัด เที่ยงคืนกว่าแล้ว”

“...”

“กูกลัวไม่จบ”

“...”

“ขนาดจบในห้องน้ำตัวกูยังระบมเลยสาด มึงนัวเนียกูหนักมากรู้ป่ะ”

นี่ขนาดยังไม่โดนนะเนี่ยยังบ่นขนาดนี้ ถ้าโดนจะบ่นแค่ไหน แต่ผมชอบนะ เหมือนเป็นฟีดแบ็กตอบรับความร้อนแรงของผม หึๆ

“งั้นคืนนี้นอนกอดก็พอ” ผมไม่รอมันอนุญาตพร้อมพุ่งเข้าไปกอด กลายเป็นว่าร่างของผมอยู่บนเตียงของมัน

“นอนได้แล้วเดี๋ยวมึงตื่นไม่ทัน”

“อาสา”

“หืม”

“รักนะ”

“จะพูดอีกทำไมเนี่ยยยยย”

“ช่วยเขินหน่อย”

“ง่วงแล้วสาดดด นอนๆๆ”

“มึงเขินนี่ ฮ่าๆๆ”

“...”

“ฝันดีนะครับ”

“กูรักมึงเหมือนกันนะทนาย”






TBC*

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12




ตอนที่ 26
พาร์ตของเต




LAWYER : พรุ่งนี้กูไม่อยู่ ไปเที่ยวห่าเหวไรไม่รู้สามวันสองคืน
LAWYER : กูฝากอาสาไว้กับมึงทีได้ป่ะ
LAWYER : เดี๋ยวเพิ่มเบียร์สิงห์ให้มึงเป็นสามสิบลังเลยเอ้า


มึงไม่เหมาทั้งโรงหมักเบียร์มาให้กูเลยล่ะวะสาดดดดดดดดดด

ตั้งแต่ขอความช่วยเหลือหนึ่งครั้ง ไอ้ทนายก็มาขอความช่วยเหลือผมอีกเป็นสองครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว บางครั้งก็รู้สึกหมั่นไส้ แต่บางครั้งก็รู้สึกเข้าใจ ถ้าผมเป็นแฟนอาสาก็คงกังวลเหมือนกัน อาสาเป็นผู้ชายที่ไม่เหมือนคนอื่น ไม่ใช่ว่ามันมีสี่ขาหรือมีหางแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะมันมีฟีโรโมนต่อเพศเดียวกันมากเกินไปหน่อย

เหมือนเทพเจ้าผู้สร้างมันใส่ส่วนผสมในการผลิตผู้ชายที่ชื่ออาสาผิดน่ะครับ แทนที่จะใส่ฟีโรโมนต่อเพศหญิงมาแต่กลับใส่ฟีโรโมนต่อเพศชายซะงั้น และไม่ได้ใส่น้อยๆ ด้วยนะ น่าจะใส่เป็นแกลลอนเลยล่ะ รู้สึกปวดหัวแทนไอ้ทนายอยู่เหมือนกัน

“ใครเช็กรถน้อง มึงหรือเปล่าวะไมล์” ไอ้กล้า เพื่อนคณะไอ้ไมล์ซึ่งอยู่หอสามกำลังพูดกับเจ้าตัว ตอนนี้กล้ากับบอมบ์มาหาไมล์ที่ห้อง 204 ไมล์ดูใจลอยยังไงก็ไม่รู้ “สัดไมล์ กูถามมึงอยู่นะ”

“ถามว่าไรวะ”

“มึงเป็นคนเช็กรถน้องหรือเปล่า”

“กูเหรอ ไม่น่าใช่นะ”

“งั้นใครวะ” กล้าหันไปหาบอมบ์

“ไม่รู้แต่ไม่ใช่ไอ้ไมล์ ช่วงประชุมงานกันไมล์มันอยู่เฝ้าไอ้เตที่โรง’บาล” บอมบ์ตอบ

พวกคณะบัญชีเขาคุยงานกัน ผมไม่ควรไปยุ่งด้วยสินะ หลังจากวันที่ผมออกมาจากโรงพยาบาล ไอ้ไมล์ก็ดูสติหลุดๆ ถามอะไรก็สะดุ้งตลอดไม่รู้เป็นไร พอมีเพื่อนมันมาหาที่ห้อง ผมก็นึกว่ามันจะเป็นงานเป็นการขึ้นมาบ้าง มันอยู่ปีสองและมีหน้าที่ในการดูแลปีหนึ่ง แต่ถึงจะเป็นงั้น ไมล์ก็ยังดูเหมือนคนสติไม่เต็มร้อยอยู่ดี

เพื่อนมันยังมองว่ามันแปลกเลย

“กูว่าไม่ต้องคุยเหี้ยอะไรกับมันแล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มันก็รู้งานเองนั่นแหละ” บอมบ์กับกล้าลุกขึ้นยืน “พวกกูไปนอนละ ขอให้หายไวๆ นะสัดเต”

“ขอบใจ” ผมโบกมือลา

ตอนที่สองคนนั้นเดินจากไป ไมล์หลุบสายตาลงต่ำพร้อมๆ กับใช้เท้าเขี่ยขี้ยางลบบนพื้น เมื่อกี้มันกับเพื่อนใช้ดินสอเขียนแผนงานอยู่น่ะครับ

“ไมล์”

“...”

“เพื่อนนัดกี่โมงนะ”

“...”

ตายห่าละ มันเป็นอะไรของมันทำไมถึงได้เอาแต่เงียบ ผิดปกติโคตรๆ เลยนะแบบนี้ ผมขยับร่างของตัวเองไปหามันอย่างช้าๆ จากนั้นก็เอื้อมมือไปสะกิด

“เฮ้ย!” มันสะดุ้งโหยง

“มึงเป็นไรเนี่ย ไหวมั้ย มึงเอาสติทิ้งไว้ที่โรง’บาลเหรอวะ ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้” ผมสงสัยมานานจึงโพล่งถามออกไป

“อะไรนะ”

ผมรู้สึกอยากเอานิ้วเท้ามานวดขมับ ปกติแล้วไอ้ไมล์มันไม่ใช่คนแบบนี้นะครับ หรือเพราะมันอกหักจากอาสาก็เลยช็อก แต่เรื่องก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วนะ

ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง พร้อมๆ กับหมุนเก้าอี้ของมันให้หันมาหา เพื่อที่ผมจะได้สบตากับมันโดยตรง

“เป็นห่าอะไร พูดมา”

มันไม่กล้าสบตาผมเลย ชักจะยังไงๆ แล้วนะ ผมเริ่มใจคอไม่ดี

“ไมล์”

“มีไรวะ”

“เป็นไรเนี่ย มึงเป็นไร”

“กูไม่ได้เป็นอะไร” ดูเหมือนจู่ๆ สติมันก็กลับมา “อะไรของมึง มาถามมาจ้องหน้าทำไม”

“ก็มึงเหมือนเป็นบ้าไปแล้วอ่ะ”

“กูไม่ได้เป็น”

“มึงดูหลุดๆ”

“เปล่า”

“สัด กูเพื่อนมึงนะ”

“ก็ได้ๆ” เออดี ยอมง่ายๆ แบบนี้แหละดี เรื่องจะได้ไม่ยาว “กูแค่คิดว่ามึงจะอยู่คนเดียวสามวันสองคืนได้หรือเปล่า”

เรื่องของผมทำมันสติหลุดได้ถึงขนาดนั้นเชียวเหรอ “กูอยู่ได้”

“แต่มึงยังเจ็บอยู่ไง”

“ก็แค่ต้องระวังตอนขยับตัวป่ะวะ แผลฟกช้ำตามตัวก็โอเคขึ้นมากแล้ว”

“...”

“นี่มึงเป็นห่วงกูเหรอเนี่ย” ผมแกล้งกระเซ้า

“ก็ใช่ไง”

อ้าว ยอมรับมาตรงๆ แบบนี้ผมไปต่อไม่เป็นเลยสิครับเนี่ย ผมมองไอ้ไมล์ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เพราะรู้ดีว่าความรู้สึกของผมน่ะเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างที่ผมเคยบอก...ไมล์มันน่ารักขึ้นมาก ถึงแม้ว่ามันจะยังมีมุมเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าลดลงไปมากแล้ว
หน้าตาที่ดูเป็นคนดีและอบอุ่น รวมทั้งหน้ามันเวลาเขินเป็นอะไรที่น่ามองฉิบหาย

สารภาพตามตรงเลยนะครับ ตอนแกล้งแหย่ไอ้ไมล์ให้มันเขินเล่นๆ ผมมีความสุขกว่าตอนที่เปย์ไอ้อาสาเยอะ ไม่ใช่เพราะอาสาไม่ดี (มันดีจะตายเพื่อนผมอ่ะ) เพียงแต่ว่าผมไม่เห็นวี่แววว่าผมจะสุขสมหวังเลยต่างหาก (จีบยังไงก็นก) ผิดกับไมล์ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพื่อนผม แต่ไม่ว่าผมจะทำอะไร เช่น ถาม จ้องมอง แกล้ง กวนประสาท หรืออะไรก็แล้วแต่ มันเขินผมทุกการกระทำของผมทั้งหมด

มันเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่การพูดคุยกับน้องอิ๊งในวันนั้น

“กูไม่เป็นไร” ผมพูดให้มันเบาใจ “มึงไปดูแลน้องๆ เถอะ อาสามันไม่ได้ไปช่วย ขาดแรงงานไปคนหนึ่งนี่”

“ไม่มีใครให้แม่งไปหรอก ดูแลยาก”

“เออจริง”

“...”

“ทนายมันฝากกูดูไอ้อาสาด้วย สงสัยจะห่วง”

“กูกลัวอาสาจะได้มาดูมึงแทนมากกว่า ดูสภาพสิ”

“เชี่ย จะต้องให้กูย้ำอีกกี่ครั้งว่ากูโอเค”

“ไม่รู้ว่ะ กูยังไม่อยากปล่อยมึงเอาไว้คนเดียว”

“งั้นมึงก็ไลน์ไปฝากกูไว้กับอาสาสิ เหมือนที่ทนายทำกับแฟนมัน”

“นั่นสิเนอะ”

“ให้มันรู้ไปเลยว่าเราสองคนเหมือนเป็นแฟนกันแล้ว” ยั้งปากตัวเองไว้ไม่ทัน เหมือนไหลไปตามสถานการณ์

“เชี่ยเต ใช่เวลาพูดเล่นมั้ยเนี่ย” ไมล์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ไลน์ยิกๆ “พูดออกมาอย่างหน้ามึนๆ เลยเนอะ”

“มึงก็มึนๆ ตอบรับกูไปสิว่าใช่ เรื่องของเราจะได้ง่ายๆ” ยัง ผมยังไม่หยุดอีก

“ไอ้เหี้ยยย” ไมล์ผลักตัวผมเบา ผมแกล้งร้องโอดโอย “เฮ้ย ขอโทษ”

“เขินรุนแรงจังวะ”

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

“เออ”

“กูคุยไลน์กับอาสาก่อน”

มันคิดจะฝากผมกับอาสาอย่างจริงจังเหรอวะเนี่ย ผมมองดูไมล์ซึ่งก้มหน้าก้มตามองจอโทรศัพท์อย่างเคร่งเครียด มองไปมองมาก็รู้สึกเพลินดี เพราะสิ่งที่มันกำลังจริงจังอยู่คือเรื่องของผมทั้งนั้น น้อยครั้งนะครับที่มันจะมีมุมแบบนี้

“มันไม่ตอบอ่ะ”

“มันคงสวีตอยู่กับทนาย”

“ทิ้งข้อความไว้อย่างงี้แหละเนอะ”

แผลใจของผมกับมันถูกฮีลไวดีจัง “มึงไม่รู้สึกอะไรแล้วเหรอ”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องสองคนนั้น”

“สัด เพื่อนมันมีความสุข กูอกหักสองสามวันก็หาย”

ผมเลิกคิ้ว มองดูไอ้ไมล์อย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ปกติคนอย่างมันต้องคร่ำครวญพร่ำเพ้อถึงจะถูก แต่ไหงทุกอย่างกลับง่ายขึ้นมาแบบนี้ จะว่าไปผมก็ทำใจเรื่องอาสาได้เร็วเหมือนกัน สงสัยจริงๆ ว่าเพราะอะไร

เพราะไอ้เชี่ยไมล์หรือเปล่า

“กินยาแล้วใช่มั้ย”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก ยาที่ผมกินคือยาบำรุงกระดูกครับ

“ล้างหน้า แปรงฟันหรือยัง”

ผมพยักหน้าอีก

“นอนได้แล้ว เดี๋ยวกูปิดไฟให้”

ผมทิ้งตัวลงไปนอน มองดูไมล์ที่เดินไปนอนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง แม้ว่าสมาชิกในห้อง 204 จะขาดไปสองคน แต่เตียงก็ยังเป็นเตียงสองชั้นตามเดิม ผมเปลี่ยนจากนอนเตียงชั้นบนหลังเดียวกับไมล์ มานอนแทนที่อาสาซึ่งอยู่เตียงชั้นล่างอีกหลังแทน

เพราะห้องกว้าง ผมกับมันจึงอยู่ห่างกันมาก

นึกไปถึงห้องไอ้ทนายกับอาสา พวกมันเลื่อนเตียงมาติดกันตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปอยู่ห้อง 503 แล้วนี่หว่า ผมเคยไปห้องพวกมันบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยสะกิดใจสักทีว่ามันสองคนต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล ซึ่งมันก็ใช่จริงๆ ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ผมก็แค่...อยากให้ระยะห่างระหว่างผมกับไมล์แคบลงก็เท่านั้นเอง

มันจะไม่อยู่ตั้งหลายวันนะ

ไอ้คณะนี้แม่งจัดไปเที่ยวอะไรช่วงนี้วะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

ผมนอนพลิกตัวไปมาแม้จะพลิกได้เบาๆ ก็ตามที กว่าจะหลับก็คงตอนที่ไอ้ไมล์ตื่นพอดีล่ะมั้ง ผมนึกไปถึงตอนมันดูแลผมในโรงพยาบาล แม้ว่าผมจะเจ็บตัวและก็นอนพักรักษาอยู่บนเตียง แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำที่ดี ไมล์มันไม่เคยต้องดูแลผมตลอดเวลาและทำทุกอย่างขนาดนั้น เพราะปกติแล้วเวลาผมไม่สบาย มันทำมากสุดก็แค่ซื้อยาพาราฯ มาให้ แต่หลังจากที่ผมเจ็บตัวพร้อมกับตอนที่มันรู้เรื่องอาสา มันก็เปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน

บอกตามตรงผมแพ้มันว่ะ...ไม่ใช่มันอยู่ใกล้ๆ แล้วผมจะคันยุบยิบนะ ผมแพ้เพราะว่าผมชอบเห็นตอนที่มันกระตือรือร้นใส่ใจเรื่องของผม

นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญแบบนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาผมจะมีไปนอนกับคนนั้นคนนี้บ้างตามประสา แต่เธอเหล่านั้นก็ไม่สามารถเติมเต็มความอ้างว้างในใจของผมได้ แต่สำหรับไอ้ไมล์ เพียงแค่มันมาดูแลเอาใจใส่ผมแค่นี้ ผมก็ใจเต้นอย่างรุนแรงแล้ว

มันช่วยผมทั้งเรื่องดูแลกายและหัวใจ แล้วผมล่ะ สามารถช่วยอะไรมันได้มั้ย มันก็เพิ่งอกหักมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ

ผมนอนคิดอะไรเพลินๆ อยู่ดีๆ ไอ้ไมล์ก็เดินขึ้นมานอนบนเตียงผม

“เขยิบ”

“อะไรของมึงวะ”

“เขยิบ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องล้อ ไม่ต้องแซวอะไรทั้งนั้น”

แม้จะงงแดก แต่ผมก็เขยิบให้มันอยู่ดี เตียงนี้ไม่ค่อยกว้างจึงทำให้ผู้ชายร่างค่อนข้างควายสองคนต้องนอนเบียดกัน

อืม ถ้าแซวแล้วมันลุกหนี ผมไม่แซวดีกว่า กลิ่นหอมจากแชมพูผสมกับครีมอาบน้ำสูตรสดชื่นแบบนี้ ผมสามารถสูดกลิ่นตลอดคืนได้เลยนะเนี่ย

“ไม่ร้อนเหรอ” ผมถามเสียงเบา

“บอกว่าอย่าพูดไง”

“ก็...ไม่ได้พูด กูถาม”

“กวนตีนละ”

มันนอนอยู่บนเตียงกับผมก็จริงแต่หันหลังให้ผม ผมลังเลอยู่นานว่าจะสวมกอดมันดีหรือเปล่า กอดแล้วจะเป็นยังไง มันจะร้องด่าผมมั้ย มันจะคิดอะไรมากหรือเปล่า ผมกำลังคิดวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของการกอดครั้งนี้อยู่

ช่างหัวแม่งแล้ว มันจะไม่อยู่ตั้งหลายวันนี่

ผมเอื้อมมือไปกอดเอวมันไว้อย่างหลวมๆ เพราะใจยังไม่กล้าพอ (นี่ไม่กล้าแล้ว?) ไมล์เกร็งจนตัวแข็งไปหมด มันไม่ยอมพูดอะไรเลย

“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องล้อ ไม่ต้องแซวอะไรทั้งนั้น” ผมกระซิบเลียนแบบเชี่ยไมล์ ก่อนจะฝังใบหน้าลงไปที่ต้นคอของมัน ทำให้ผมกับไมล์ตัวแนบชิดติดกันมากขึ้น

ไมล์ตัวงอ แม้จะยอมผมโดยง่ายแต่ตัวมันก็เกร็งอยู่ดี

“ไม่ต้องเกร็ง” พูดจบผมก็หยิบผ้าห่มมาคลุมตัวเราสองคนเอาไว้ก่อนจะกอดมันต่อ ผมปล่อยให้ความเงียบไหลผ่านระหว่างเราสองคนไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ “เรื่องนี้กูจะไม่บอกใคร”

“ห้ามบอกเชียว โดยเฉพาะอาสา”

“ทำไม”

“กูอายมัน”

“เออ”

“...”

“กูก็อาย”

ถ้าเพื่อนสองคนเริ่มมีซัมธิง มีหรือที่อาสาจะไม่ล้อ แต่อาสาอาจจะไม่เท่าไหร่ ไอ้ทนายเนี่ยสิตัวดี

“ไม่หันมาหน่อยเหรอวะ” ผมลองถามดู

“ไม่อ่ะ แค่นี้ก็เยอะไปแล้ว” เสียงมันเบามากจนผมต้องขยับหูเข้าใกล้มันไปอีก เพิ่งรู้ว่าตัวเชี่ยไมล์มันหอมได้ถึงขนาดนี้ ดมแล้วตื่นอ่ะ เอ่อ หมายถึงดมแล้วสดชื่นไม่ง่วงเหงาเศร้าซึม ไม่ใช่อะไรบางอย่างตื่นนะครับ ขอชี้แจงแถลงไข

“เยอะอะไรวะ”

“กูไม่เคยแสดงออกแบบนี้กับมึงอ่ะ”

“...”

“มันเยอะไป”

“...”

“แต่กูก็อยากแสดงออกอยู่ดี”

โหย น่ารักว่ะ ผมแกล้งหอมต้นคอของมันไปทีหนึ่ง

“เชี่ย”

“กูไม่บอกใคร” ผมรีบพูด

“ไม่ต้องบอกนะ”

“งั้นถ้ากูไม่บอกใคร กูทำมากกว่านี้ได้งั้นสิ” นานๆ ทีเชี่ยไมล์มันจะยอมผม เพราะงั้นผมขอฉวยโอกาสนี้หน่อยเหอะ รู้สึกถือไพ่เหนือกว่ายังไงก็ไม่รู้ เหมือนผมต้องเป็นฝ่ายรุกเข้าหามันอ่ะ และผมก็ทำได้ดีมากซะด้วย เพราะมันขยับตัวอย่างเอียงอายกับเกร็งตัวแข็งขืนตอนที่ผมสัมผัส

ถ้ากูรุก มึงรับใช่ป่ะเพื่อน

“กูรู้สึกแปลกๆ ว่ะ” มันไม่ตอบแต่พูดระบายออกมาแทน ตอนที่มันเผลอ ผมก็ฉวยโอกาสสูดกลิ่นที่ต้นคอมันอีกครั้ง “กูไม่เคยรู้สึกกับมึงแบบนี้นะ มันเปลี่ยนไป”

“กูรู้”

“มึงว่ามันเร็วไปมั้ย”

“จะเร็วกว่านี้ก็ได้นะ” นี่ผมเมากลิ่นมันไปแล้วเหรอเนี่ย จมูกกับปากผมอยู่ไม่ห่างคอมันเลยนะครับ

“สาด พอ” มันพยายามหลบ แต่ก็ทำได้ยากเพราะพื้นที่มีจำกัด “หื่นกามเหรอมึง เจ็บตัวก็ยังไม่เจียม”

“อย่าดูถูกนะครับ ปากกับอย่างอื่นยังใช้การได้อยู่”

“มึงกับกูนี่ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเลยนะเนี่ย แม่งเยอะเกินเพื่อนไปแล้วอ่ะ”

“ไมล์”

“...”

“หันมา”

“ไม่”

“หันมา”

“มึงจะทำอะไร”

“ถ้ามึงหันมา กูสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเลย”

มันพลิกตัวหันมาหาผมอย่างช้าๆ ผมมองเห็นสีหน้าของมันไม่ค่อยชัด แต่ที่แน่ๆ มันไม่กล้าสบตาผมเลย กูเพิ่งรู้ว่ามึงมีมุมตะมุตะมิน่าฟัดแบบนี้

“กูพร้อมจะทำทุกอย่างที่เกินเพื่อนกับมึงนะ” ผมพูดอย่างจริงจัง อีกฝ่ายถึงกับกลืนน้ำลายไปเลย “บอกตามตรงตอนอยู่กับอาสากูไม่ได้สบายใจเหมือนตอนอยู่กับมึง แม้ว่ามึงจะเอาแต่ใจไปนิดก็เถอะ แต่กูรู้ รู้ว่ากูอยากอยู่กับมึงมากกว่า”

“จริงเหรอวะ” ไมล์กระซิบถามย้ำ

“โคตรจริง” ผมเอียงหน้าผากไปติดกับหน้าผากของมัน “เพราะงั้นถ้ามึงคิดเหมือนกันกับกู มึงไม่ต้องกลัวว่ามันจะเร็วไปช้าไป มึงอยากทำอะไรกับกูมึงทำเลย กูยอม เพราะที่ผ่านมากูก็ยอมมึงอยู่แล้ว”

“...”

“ดีไม่ดีนานวันเข้า กูอาจจะยอมมึงมากกว่านี้”

“...”

“กูคงเกิดมาเพื่อยอมมึงมั้ง”

ไมล์เงียบไป เหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ผมจ้องมองดวงตาของเพื่อนที่เพิ่งเคยใกล้ชิดมากขนาดนี้ ขนตามันยาวอย่างอลังการงานสร้างมากครับ

“ถ้าไม่มีมึง กูคงแย่กว่านี้” ไมล์ค่อยๆ เอ่ยในที่สุด “คงแบกรับความอับอายเรื่องทนายกับอาสาไม่ไหว”

“ฟาย สองคนนั้นมันไม่เห็นจะล้อห่าอะไรมึงเลย พวกมันแคร์มึงมากเหมือนที่พวกมันแคร์กูอ่ะ”

“ไม่รู้ว่ะ”

“สัด” ผมจุมพิตที่หน้าผากของมัน “เรื่องมันผ่านไปแล้ว และตอนนี้มึงมีกู”

“...”

“สำหรับกู แค่มีมึงกูก็พอใจมากแล้ว”

เป็นทีของไมล์ที่เริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ชิดกับผมแทน

“เหมือนเจ็บกันสองคน และต่างฝ่ายต่างก็ช่วยกันรักษาแผลใจไรงี้เลยว่ะ”

“แผลใจห่าไรนั่นกูลืมไปแล้ว”

“...”

“กูอยากเริ่มต้นใหม่กับมึง” ผมบีบแก้มของไมล์เบาๆ “กูยอมมึงมาหลายเรื่องแล้ว เรื่องนี้มึงยอมกูได้ป่ะวะ”

“เฮ้อออออ” ไมล์ถอนหายใจ “ก็หน้าด้านมานอนข้างๆ แถมยังยอมให้กอดให้หอมตามอำเภอใจขนาดนี้ กูคงไม่ยอมมึงมั้งสัด”

“หึ” ผมพอใจกับคำตอบของมัน “งั้นขอทำมากกว่านี้นะ ตอนนี้เลย”

“ไอ้เหี้ย ไหนบอกว่ากูหันมาแล้วจะไม่ทำอะไรไง!” มันเสียงดังขึ้นมากจนผมอดตกใจไม่ได้

“มึงคิดไปถึงไหนเนี่ย”

“ผิดคำพูดสัดๆ อ่ะ” แม้จะโวยวายแต่หน้ามันก็ดูเขินอายโคตรๆ

“ก็แค่จูบเอง”

“...”

“ไม่ทำก็ได้” ผมไม่ขอมากกว่านี้ดีกว่า เดี๋ยวแม่งกลับไปนอนที่เดิมผมทำไง ผมตายเลยนะ

“จูบเหรอ” มันถามอย่างลังเล

“เออสิ ถ้ากูกับมึงได้กันตอนนี้ก็คงไม่ฟินอ่ะ เพราะกูทำอะไรให้มึงมากไม่ได้ กูมีเฝือก”

ยิ่งผมพูดแบบนี้มันก็ยิ่งเขินหนักไปอีก นี่มันนึกภาพไปถึงไหนแล้วเนี่ย

“มึงรุก กูรับงั้นสิ” ไมล์เอ่ยเสียงแผ่ว

“ยังจะต้องสืบอีกเหรอ”

“...”

“มึงเคยเอากับผู้หญิงป่ะ”

ไมล์ส่ายหน้า

“เคยได้กับผู้ชายป่ะ”

มันส่ายหน้าอีก

“กูผ่านมาเยอะแล้ว มึงคิดว่ากูจะยอมเป็นคนโดนมึงกระทำเหรอวะไมล์”

“มึงเคยได้กับผู้ชายด้วยเหรอ” จู่ๆ เสียงมันก็เข้มขึ้น

“เปล่า กูแค่ถามมึงเฉยๆ”

“นอนกันเหอะ ดึกมากแล้ว”

“สาด ยังไม่จูบเลย”

“ก็จูบสิวะ จะรอไรล่ะ”

แม่ง ที่แท้ก็ชอบให้ทำเลย ไม่ชอบให้ลีลานี่เอง

จูบแรกของผมกับมันผ่านไปได้ด้วยดี มันสมัครใจ ผมเองก็สมัครใจ ผมกับมันสบายใจที่จะได้อยู่ด้วยกัน ได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้ และผมคิดว่าอีกไม่นานผมคงต้องจับมันรวบหัวรวบหางไว้แล้วล่ะ

ตอนนี้เราสองคนอาจจะยังไม่กล้าบอกใคร แต่ถ้าคบกันเมื่อไหร่ผมแกรนด์โอเพนนิ่งชัวร์ๆ

อย่าลืมนะครับว่าไมล์มันอยู่หอสาม แม้ว่ามันจะฮอตไม่สู้อาสา แต่มันก็ฮอตในแบบของมันอ่ะ

ผมรู้ ผมอยู่กับมันมาเยอะ และผมจะอยู่กับมันต่อไป







05.03 น.

“ไปแล้วนะ” เสียงกระซิบของไมล์เหมือนลอยมาจากที่ไหนสักแห่งที่ไกลแสนไกล “เต กูไปนะ อย่าลืมกินยา ดูแลตัวเองนะเว้ย”

ผมซึ่งยังตื่นไม่เต็มตาเอื้อมมือไปข้างหน้า จับนั่นจับนี่ไปทั่ว ในที่สุดก็เจอตัว ผมล็อกเป้าหมาย ดึงตัวมันลงมาหาแล้วกอดแน่นๆ

“สัด” อีกฝ่ายดิ้นพล่าน “กอดทั้งคืนยังไม่พออีกเหรอ”

“หื่อออ” ผมส่งเสียงตอบเป็นเชิงปฏิเสธ

“สายแล้ว กูจะไปแล้ว ต้องไปดูน้อง”

“หื่่ออออออ”

“สาบานดิ๊ว่าตอนนี้ไม่มีสติจริงๆ”

ผมใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากไอ้ไมล์

“อะไรของมึง” ไมล์สงสัยกับการกระทำของผม

“ของ...กู”

“หา?”

“มึง เป็น ของ กู”

“หลับต่อเหอะกูว่า มึงดูไม่ไหวแล้ว” ไมล์ขยับตัวออกไป จากนั้นก็ห่มผ้าห่มให้ผม “มีไรด่วนๆ โทรหานะเว้ย”

ผมสะลึมสะลือเกินกว่าจะลืมตามาดูไมล์ได้ไหว ได้ยินเสียงมันหัวเราะในลำคอ ก่อนที่ผมจะได้รับสัมผัสเบาๆ ที่หน้าผาก

แค่นั้นมันไม่พอเว้ย ผมดึงตัวมันเอาไว้ ชี้นิ้วไปแตะที่ริมฝีปากของตัวเอง

“เรื่องมากสาด”

แต่มึงก็ยอมใช่มั้ยล่ะ เพราะเห็นจูบกูใหญ่เลยนี่หว่า








10.32 น.

TAECHIT : จะลงมาหรือจะให้กูขึ้นไป
ARSA : เฮ้ย เดี๋ยวกูลงไป
ARSA : ทนายคุยกับมึงใช่มั้ย
TAECHIT : เออ โคตรขี้หวงคนเหี้ยอะไร


ไม่นานนักตัวขาวๆ ของอาสาก็มาโลดแล่นอยู่ในห้องห้องเดิมของมัน มันสำรวจตรงนั้นตรงนี้ใหญ่ ขณะที่ผมขมวดคิ้ว เล่นโทรศัพท์อย่างตึงเครียดอยู่บนเตียง

“เล่นเกมอยู่เหรอวะ”

“เปล่า”

“...”

“รอคนตอบไลน์อยู่”

เพราะเห็นเป็นเพื่อนมานานล่ะมั้งผมเลยกล้าพูดกับมันไปตรงๆ แม้จะรู้ว่าตัวเองต้องเขินแน่ๆ ถ้าอาสารู้เรื่องไมล์กับผม แต่ก็ช่างเหอะ มันล้อได้ไม่นานหรอกเดี๋ยวมันก็ลืม

“ฉิบหายละ” อาสารีบเช็กโทรศัพท์ตัวเอง “นั่นไง บ่นกูใหญ่แล้ว”

“ทนายเหรอ”

“เออดิ มันห้ามกูตอบไลน์มันช้าเกินห้านาที เรื่องเยอะสัด” แม้ปากจะบ่นแต่มึงก็ดูมีความสุขดีนี่

ผมมองมันก่อนจะหันมามองโทรศัพท์ตัวเองบ้าง ผมทักไมล์ไปตั้งแต่ผมอาบน้ำเสร็จตอนเก้าโมง มันยังไม่ตอบผมเลย

“เชี่ยไมล์ลืมโทรศัพท์เหรอวะ” อาสาชี้มือไปที่โต๊ะ ผมอ้าปากค้าง โทรศัพท์เชี่ยไมล์วางอยู่นี่ แปลว่าเจ้าของมันไม่ได้เอาไปด้วย

ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยยยยยยยย แล้วกูจะติดต่อมึงยังไงว้า

“สาดดดดดดดด” ผมร้องโอดครวญอย่างหมดหวัง “พวกมันไปไกลกันยังวะ”

“กูว่าใกล้ถึงแล้วมั้ง ผ่านมาหลายชั่วโมงขนาดนี้แล้ว”

“ฟาย ฟาย ฟายยยย”

“ใจเย็นเชี่ยเต มึงใจเย็น” อาสาดูงงงันไม่น้อย แต่ก็ปลอบโยนผม

สัดทนาย มึงขอความช่วยเหลือจากกู เพราะงั้นกูจะขอความช่วยเหลือจากมึงบ้าง

ผมกดโทรออกหาทนาย ไม่นานมันก็รับสาย ไอ้เชี่ยนี่ต้องเล่นโทรศัพท์คุยกับแฟนมันตลอดเวลาแหง ซึ่งก็ใช่จริงๆ เพราะอาสาไม่เคยอยู่ห่างจากโทรศัพท์เลย

[ไงสัดเต] เสียงดูเงียบมากคล้ายกับไม่ได้อยู่บนรถบัส

“เรียกเชี่ยไมล์มาให้กูคุย”

[ทำไมอ่ะ]

“มันลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องเนี่ย โง่ฉิบบบบ”

[โวยวายจังวะ เป็นห่าไรของมึง]

“เร็วๆ อย่าพูดมาก”

[...]

“ไม่งั้นกูจะจับอาสาโยนเข้าหอสอง” คนถูกพาดพิงหันมามองผมอย่างงงๆ

ทนายเงียบไปครู่หนึ่ง [งั้นกูจับไอ้ไมล์โยนเข้ากลางวงของพวกหอสองหอสี่หอห้าหอหกของคณะบัญชีบ้าง]

มันรู้ เชี่ยทนายมันรู้ และไม่ยอมผมง่ายๆ ด้วย รู้สึกเหมือนฟ้าผ่าที่กลางใจเลย

[กูพูดเล่น มึงห้ามทำงั้นกับอาสานะ กูใจขาดแน่เลยว่ะ]

“มึงก็ห้ามเหมือนกันไอ้ฟาย”

ผมกับมันกำลังเล่นอะไรกันอยู่เหรอครับ ทนายบ่นอุบเล็กน้อยเพราะไมล์อยู่ไกลจากจุดที่มันยืนอยู่มาก ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงไมล์

[เตเหรอ]

“มึงลืมโทรศัพท์”

[หา! เออว่ะ จริงด้วย]

“มึงแกล้งกูเหรอไมล์”

[แกล้งห่าไร กูอยากคุยกับมึงจะตาย! ทำไงดีเนี่ย]

“ไม่รู้ว่ะ นี่กูต้องติดต่อมึงผ่านทนาย ผ่านเชี่ยบอมบ์และก็เชี่ยกล้าใช่ป่ะ”

[...]

“เพิ่งวันแรกๆ มึงก็ทดสอบกูเลยนะ หึๆ” เพราะเมื่อคืนเราสองคนเพิ่งเปิดใจกันไป แทนที่ผมจะได้ติดต่อมันอย่างสบายใจเฉิบ แต่นี่กลับมีอุปสรรคมาคั่นกลาง ผมขอบ่นหน่อยเหอะ

[(ไมล์ บอมบ์ กล้ามาช่วยยกของหน่อย) กูต้องไปแล้วนะเต]

“เหี้ยยยยยยยยยยยย” ผมโหยหวน

[กูนึกถึงแต่มึง คิดถึงแต่มึง แค่นี้นะ]

ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด สายถูกตัดไปแล้ว ผมมองโทรศัพท์ตัวเองอย่างสิ้นหวัง อาสาซึ่งเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างค่อยๆ เลิกคิ้วมองผม สายตาของมันดูทะเล้น

“กูจะถามดีมั้ยน้า”

“อยู่กับกูทั้งวันเดี๋ยวมึงก็รู้ มึงไม่ต้องเหนื่อยถามเลย”

“ตอนอยู่โรง’บาลคงมีอะไรเกิดขึ้นเยอะเนอะ”

“อืม เยอะดิ เมื่อคืนก็เยอะ”

“หา!”

“กูถึงเป็นบ้าเป็นบออยู่นี่ไง”

“...”

“โอยยยย คิดถึงมันอ่ะ”







อีกฟากหนึ่ง

“บอมบ์ พากูเข้าเมืองหน่อยดิ๊ ไปห้างของที่นี่”

“อะไรวะไมล์”

“มีของต้องซื้อว่ะ”

“อะไรเหรอ”

“โทรศัพท์”

“อ้าว แล้วเครื่องนั้นของมึงล่ะ”

“ลืมเอามา”

“แค่ลืมเอามาถึงกับต้องซื้อใหม่เลยเหรอ”

“เออน่า พาแวบไปหน่อย แป๊บเดียว”






TBC*


ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12





ตอนที่ 27
พาร์ตของเต





[ฮัลโหล]

“ครับ นั่นใครพูดครับ”

[กูเอง]

“หา?”

[ซื้อโทรศัพท์ใหม่แล้วนะ และนี่ก็เบอร์ใหม่]

“เฮ้ยยยย”

[เพราะมึงอ่ะสาด กูถึงต้องเสียตังค์หลายหมื่น]

“ไมล์ นี่มึงถึงขนาดต้อง...”

[แค่นี้นะ แจกข้าวน้องก่อน]

ไมล์กดวางสายทั้งๆ ที่ผมยังอ้าปากพะงาบๆ อยู่เลย ผมไม่คิดว่ามันจะแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ ถ้าไม่มีเงินทำไม่ได้นะเนี่ย

“ทนายเล่าให้ฟังแล้ว” อาสาซึ่งนอนเล่นอยู่กลางห้องพึมพำขึ้นมา “ไมล์ลงทุนไปซื้อโทรศัพท์ใหม่เพราะทนคิดถึงมึงไม่ไหว”

“เดี๋ยว” ผมท้วงเก้อๆ “พวกมึงสองคนผูกเรื่องได้ไวดีจัง รู้เหรอว่ามันถูก”

“ก็ไม่น่าจะผิดนะ” อาสาเอ่ยยิ้มๆ มันนอนไปเล่นโทรศัพท์ไป

ผมเริ่มสัมผัสได้ตงิดๆ แล้วว่าอาสามันไม่ธรรมดา ทนายเคยบอกผมว่าอาสาเป็นคนเจ้าเล่ห์ เมื่อก่อนผมก็ไม่ค่อยรู้สึกหรอก แต่หลังจากที่มันมีแฟนเนี่ยสิ ทำไมถึงดูมีฤทธิ์เดชแฝงอยู่ข้างใน

แทนที่มันจะกลายเป็นแง่ลบ แต่มันเสือกโอเคดูเข้ากับอาสาซะงั้น นี่ผมมองว่ามันมีหลายมิติมากขึ้นตั้งแต่คบกับทนายนะเนี่ย ทนายแม่งทำเพื่อนผมเปลี่ยนไป

“ทนายเคยบอกกูว่ามันเคยจิ้นมึงสองคน”

“...”

“ใช่จริงๆ ด้วย”

“จิ้นห่าไรของแม่ง” ผมโวยวาย ไอ้คำว่าจิ้นนี่ผมเคยได้ยินนะ แต่ไม่รู้มันใช้ยังไง

“มันว่ามึงกับไมล์ดูเข้ากันดี”

“...”

“จริงๆ มันรู้สึกนานแล้ว มึงดูห่วงไมล์มากกว่าห่วงกูอีก”

ผมกะพริบตาปริบๆ กะจะเถียงมันสักเล็กน้อย ทว่ายิ่งคิดคำพูดของไอ้ทนายก็ยิ่งถูก เวลามีเรื่องทีไรผมให้ทนายอยู่กับอาสา ส่วนตัวเองขอไปอยู่กับไมล์ทุกที มันทำให้ผมนึกไปถึงคำพูดของทนายซึ่งพูดทำนองว่าอาสามีคนมารุมชอบเยอะ แต่ไม่ยักมีใครเข้ามาปกป้องมัน อยู่เคียงข้างมันสักคน

เออ กูยอมแพ้มึงก็ได้สัดทนาย แต่เอ๊ะ ผมแพ้มันไปแล้วนี่หว่า

“แล้วมึงคิดว่าไง” ผมถามอาสาที่รู้จักผมกับไมล์ดีกว่าทนาย

“ก็ไม่ว่าไรนะ เพื่อนมีความสุขกูก็โอเค”

“เออ คิดเหมือนกูเลย” ผมยิ้มน้อยๆ “มึงกับทนายไม่ค่อยทะเลาะกันใช่ป่ะวะ กูเคยเป็นสาเหตุป่ะ” ผมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นชนวนให้ความรักของคนอื่นเขามีปัญหา

“ไม่ค่อยนะ แต่ทนายมันจะมีปัญหาเวลาที่กูอยู่กับไมล์มากกว่า”

“อืม เข้าใจมัน”

“ไมล์มันแสดงออกไง”

“กูก็แสดงออก”

“สาด เกทับอะไร มันไม่ได้อยู่นี่”

“นั่นสิ อีกอย่างมันผ่านไปแล้วนี่หว่า”

“จริงๆ แล้วกูกับทนายมีปัญหากันอยู่เรื่องหนึ่ง” อาสาค่อยๆ เอ่ย สีหน้าของมันดูตึงเครียดมากขึ้น ผมเดาไปเองว่าเรื่องนี้มันไม่เคยบ่นให้ใครฟังนอกจากทนาย ตั้งแต่พวกมันคบกันก็ไม่เห็นว่าจะเปิดเผยห่าอะไรมากมาย คนนอกที่มองมาก็พากันนึกว่าพวกมันสนิทกันเพราะอยู่ห้องเดียวกันเฉยๆ

ก็พวกแม่งเล่นมุ้งมิ้งงุ้งงิ้งกันอยู่ในห้องสองคน ใครเขาจะไปรู้ล่ะวะว่ามีอะไรมากกว่าเพื่อนร่วมห้อง

“ว่ามา ไหนๆ กูก็ว่างแล้ว” สัดไมล์ถึงจะถอยโทรศัพท์มาใหม่ แต่ก็เป็นพี่ปีสองอยู่ดี เพราะงั้นมันคงไม่ค่อยว่างคุยไลน์กับผมหรอกครับ

“กูว่าทนายยังไม่ลืมแฟนเก่า”

เชี่ย...ดราม่านี่หว่า ดราม่าเบอร์ใหญ่ด้วยนะ

“บ้า มึงคิดมากไปเปล่า”

“ถ้ามันลืมแล้วจะละเมอชื่อแฟนเก่าทำไมวะ” อาสาพลิกตัวไปมา คล้ายกับเรื่องนี้ทำมันเครียดสะสมมาหลายวัน

“เอ่อ...” ตายห่า ผมควรจะพูดกับเพื่อนผมยังไงดี “แล้วมันละเมอชื่อมึงป่ะ”

“ละเมอ”

“มากกว่าแฟนเก่ามันใช่มั้ย”

“ก็มากกว่าอ่ะ แต่...”

“มึงอย่าคิดมากเลย” เข้าใจแล้วว่าทำไมทนายถึงหลงเพื่อนผมนัก ดูดิ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เก็บเอามาใส่ใจ อาสาคงรักทนายมากแล้วจริงๆ “คุยเรื่องนี้กับทนายแล้วใช่ป่ะ”

“ใช่ มันบอกว่าจะเคลียร์เรื่องนี้ให้ได้ก่อนมันกลับมา”

“มันจะเคลียร์ยังไงของมัน”

“ไม่รู้ว่ะ”

“เออ พวกมึงสองคนนี่ตลกดีนะ” ดราม่าเพราะการนอนละเมอ เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยิน “แฟนเก่ามันสวยมากเหรอ มึงถึงคิดมากได้ถึงขนาดนี้”

“เหมือนไมล์อ่ะ”

ผมชะงักค้าง “เหมือนเชี่ยไมล์?”

“ใช่ แต่เป็นเวอร์ชั่นที่ผอมบางเอวคอด ผู้ชายด้วยกันมองยังต้องกลืนน้ำลายอ่ะ”

ผมลองนึกภาพตาม ลองคิดว่าไอ้ไมล์มันผอมลง ตัวบางลง และเอวก็คอดกิ่ว อื้อหืออออ ผมอดกลืนน้ำลายไม่ได้จริงๆ ว่ะ (ถ้ามันอยู่แถวนี้คงโบกกบาลผม) ว่าแต่...เฮ้ยยยยย

“แฟนเก่าเชี่ยทนายเป็นผู้ชายเหรอ!”

อาสาพยักหน้าเบาๆ

“ห่านเป็ด กูนึกว่าแม่งเป็นสายหญิงมาตลอด” ผมอึ้งมากจริงๆ

“มันบอกว่ามันได้หมดอ่ะ ชอบใครมันก็คบ”

“สมมติถ้าแฟนเก่าทนายไม่ใช่ผู้ชาย มึงจะคิดมากขนาดนี้ป่ะเนี่ย”

อาสายิ้มแหยๆ ส่งให้ผม “ไม่ว่ะ”

“เคยเห็นเหรอ”

“เออ”

“...”

“กูยังมองตาค้างเลย”

ชักรู้สึกปวดหัวแทนเชี่ยอาสาแล้วไง ผมมองอย่างเข้าใจเป็นอย่างดีว่าทำไมมันถึงอดคิดมากไม่ได้ ถ้าไมล์มันละเมอถึงชื่ออาสาหรือคนอื่น ผมก็อดคิดมากไม่ได้เหมือนกัน

เดี๋ยว ผมยังไม่ได้คบกับเชี่ยนั่นสักหน่อย

“มึงต้องเชื่อใจมัน” ผมกล่าวในที่สุด “มันรักมึง อยากปกป้องมึง มันคงไม่อยากทำมึงเจ็บหรอก ที่มันบอกว่าจะเคลียร์เรื่องนี้ก่อนกลับอ่ะ มึงก็รอมันหน่อยแล้วกัน”

“กูงี่เง่าป่ะวะ”

“งี่เง่าห่าไรวะ ถ้ามึงงี่เง่า ทนายมันจะทักไลน์มึงถี่ขนาดนี้ป่ะ”

“เหรอวะ”

“เออ สบายใจเหอะ”

ผมมองดูอาสาซึ่งมีท่าทีผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นหลังจากได้ระบายกับผม ก่อนที่ตัวเองจะหันมาสนใจโทรศัพท์ เชี่ยไมล์แม่งก็ยังเหมือนเดิม ไม่ตอบไลน์ผมเหมือนเดิม กูถามจริงเหอะไมล์ นี่มึงซื้อโทรศัพท์ใหม่มาเป็นพร็อพเสื้อผ้าของมึงเฉยๆ หรือไง

ทันใดนั้นโทรศัพท์ผมก็แผดเสียงดังลั่น คนที่โทรมาคือเพื่อนโรงเรียนสมัย ม.ปลาย โน่น มันอยู่หอสี่ นานๆ ทีพวกเราจะนัดไปสังสรรค์กัน ดูจากทรงแล้วผมคิดว่าครั้งนี้มันคงจะโทรมานัดผมแล้วล่ะ

“เชี่ยตุ้ยโทรมาป่ะ” อาสาถาม “มันทักกูมาอยู่เนี่ยว่าคืนนี้เอาไง”

แสดงว่ามันวางแผนกันไว้แล้ว ผมกดรับสาย ไอ้ตุ้ยชวนไปดื่มกันสักหน่อย วันนี้มันนึกครึ้มอกครึ้มใจอยากจะเลี้ยง (เชี่ยแม่งก็เลี้ยงมาโดยตลอด) ผมมองไปที่อาสา ให้การตัดสินใจของผมทั้งหมดอยู่กับมัน เพราะถึงผมจะไปหรือไม่ไป ผมก็ดื่มไม่ได้อยู่ดี

ถ้าไมล์รู้คงด่าผมตาย เพราะมันเป็นคนช่วยดูแลผมให้ดีขึ้น แต่ผมกลับทำตัวเองแย่ลง ผมรู้เลยว่ามันจะทำหน้าบึ้งตึงขนาดไหนถ้ามันรู้เข้า

“กูขอทนายก่อนได้ป่ะ”

งานเกรงใจแฟนก็มา...ผมพยักหน้ารออาสาคุยกับทนาย

“มันไม่ตอบอ่ะ”

“รอแป๊บ มันอาจจะทำกิจกรรมอยู่มั้ง”

ผมบอกเชี่ยตุ้ยว่าเดี๋ยวจะทักไป ปล่อยให้อาสาคุยกับทนายเรื่องนี้ได้นานตามต้องการ

“แปลก เมื่อตะกี้มันยังคุยกับกูอยู่เลย”

“ทำกิจกรรมแหละ”

อาสาแม่งติดแฟนนี่หว่า นี่มันรู้ตัวมั้ยเนี่ยยยย

“ถ้าจะไปคงไม่ยากแหละเนอะ รอมันตอบกลับมาก็แล้วกัน”

“อืม”









20.25 น.

“โทรหาก็ไม่รับ”

“...”

“ไลน์ก็ไม่ตอบ”

“อาสาใจเย็น” ผมพูดคำนี้มากกว่ายี่สิบครั้งแล้วครับ “กูถามไมล์ให้แล้ว มันบอกว่าทนายโดดกิจกรรมไปนอนอยู่ห้อง มันอาจจะหลับอยู่ก็ได้” คณะนี้มันก็ดี๊ดี ทนายมันโดดไปนอนก็ไม่คิดจะลากตัวมันกลับไปทำกิจกรรม มันเป็นอภิสิทธิ์ชนของคณะบัญชีเหรอครับเนี่ย

อาสาดูเซ็งไปเลย ตลอดทั้งบ่ายมันเอาแต่เล่นโทรศัพท์จนแบตฯ หมดเพราะรอทนายตอบกลับ ผมพยายามปลอบใจมันว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกมั้ง ทนายอาจจะยุ่ง แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นอาสาก็ยิ้มไม่ออกสักที ถ้าให้ผมเดานะ มันคงตกลงกันว่าต้องคุยไลน์กันตลอด แต่ตอนนี้ทนายกลับไม่ได้ทำตามที่ตกลงกัน

เป็นคู่ที่น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย ผมอดชมไม่ได้จริงๆ แม้ว่าเพื่อนผมจะทำสีหน้าไม่ดีอยู่ ผมรู้เลยว่ามันรักกันมากอ่ะ ไม่ต้องเสียเวลาสืบห่าไรเลย

ใกล้ถึงเวลานัดเข้าไปทุกที อาสาตัดสินใจบอกกับผมว่าเราสองคนควรไปหาเชี่ยตุ้ยกัน อาสาไม่ได้ดื่มกับเพื่อนโรงเรียนเก่ามานานแล้ว มันอยากพบปะพูดคุยกัน ผมตามใจมันแต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกมันว่าผมคงดื่มด้วยไม่ได้นะ ซึ่งคิดไปคิดมามันก็ควรจะเป็นอย่างนี้นั่นแหละถูกแล้ว เพราะทันทีที่มาถึงร้านบาร์หิ่งห้อย ผมก็เห็นเลยว่าอาสามันฮอตมาก นี่ผมลืมความจริงข้อนี้ไปได้ยังไง

ฮอตไม่ฮอตก็ดูสายตาเพื่อนๆ ที่มองอาสาได้ ขนาดเพื่อนกันแท้ๆ แม่งยังมองกันตาวาว

“มันดูดีขึ้นว่ะ” เพื่อนโรงเรียนเก่าคนหนึ่งกระซิบกับผม มองดูอาสาที่ยังคงง่วนอยู่กับโทรศัพท์

“มันก็งี้แหละ” ไอ้บ้านี่ไม่เคยน่ารักน่ามองน้อยลงหรอก

“ช่วงนี้ไม่ได้ยินข่าวเรื่องมันเลย คราวนี้มันจีบใครอยู่วะ” เพื่อนเหล่านี้รู้ดีว่าอาสาเคยชอบผู้หญิง จีบแต่ผู้หญิง

“ไม่แล้วล่ะ” ผมตอบ ไอ้พวกนี้ไม่ใช่พวกปากมากเพราะงั้นผมจึงเปรยๆ ให้พวกมันได้รู้แบบเป็นน้ำจิ้มก่อน “มันมีคนรู้ใจแล้ว”

“สาด ใครวะ”

“ให้แม่งบอกเองละกัน”

อาสาไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับผมหรือคนอื่นๆ ดูมันกังวลเรื่องทนายไม่ตอบไลน์มันมากซะจนเพื่อนถามคำมันก็ตอบคำ ผมคอยดูมันอยู่ใกล้ๆ พยายามช่วยมันอีกแรงด้วยการทักไปหาเชี่ยไมล์ รายนี้แม่งก็ยุ้งยุ่ง อาจเป็นเพราะช่วงเวลาที่ปีสองเตรียมงานกัน มันเอาเวลามาเทให้กับการดูแลผมหมดเลย มันอาจจะรู้สึกผิดก็ได้ครับที่ไม่ได้ช่วยเพื่อน

“อะไรเนี่ย” อาสามองจอโทรศัพท์ของมันที่กำลังเปิดแอพฯ เฟซบุ๊กอยู่ เป็นรูปของไอ้ทนายที่ถูกถ่ายติดโดยเพื่อนของมันซึ่งถ่ายแบบเซลฟี่บนรถ “ทำไมมันอยู่กับป๊อบ”

เชี่ยทนาย อะไรของมึงวะเนี่ย ผมมองดูอาสากดทักหาคนที่ชื่อป๊อบอย่างรวดเร็ว ดูมันร้อนอกร้อนใจมาก ผมนี่ก็เห็นทุกอย่างทุกเหตุการณ์ไปอีก

ARSA : ทำไมอยู่กับทนายล่ะ

ไม่นานนักเบอร์คนที่ชื่อป๊อบก็โทรมา ผมนั่งอยู่ข้างๆ อาสาจึงได้ยินทุกคำพูดของมัน

“ทนายเหรอ ทำไมอยู่กับป๊อบ จะไปกรุงเทพฯ เฮ้ย ทำไมเร่งด่วนแบบนี้”

“...”

“แม่แอลเสียเหรอ”

ผมกะพริบตาปริบๆ เพื่อนผมดูอึ้งจนทำสีหน้าไม่ถูก

“อื้ม โทรศัพท์แบตฯ หมดด้วยเหรอวะ”

“...”

“รีบชาร์จแล้วติดต่อมาด้วยนะ”

อาสาวางสายไปแล้ว มันวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทันที และเลิกให้ความสนใจเจ้าเครื่องนี้ในที่สุด

“แอลนี่คือ...” ผมกระซิบ

“แฟนเก่าทนาย” มันตอบ

เพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะกันดูเหมือนจะไม่รู้ว่าอาสาเปลี่ยนไป ผมไม่แน่ใจว่ามันกำลังรู้สึกอะไรอยู่ในตอนนี้ พยายามลองคิดดูว่าถ้าเป็นผม ผมจะคิดมากดีหรือไม่

นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาสามันกังวลเรื่องแฟนเก่าของทนายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ว่าสถานการณ์สำหรับคนชื่อแอลในตอนนี้ค่อนข้างหนัก อาสาคงไม่นำประเด็นนี้มาทะเลาะกับทนาย แต่จะให้ห้ามความคิดไม่ให้กังวล มันก็คงทำไม่ได้

“ชงให้หน่อย” มันบอกผมพร้อมส่งแก้วให้ “มึงไม่ดื่มเลยนี่”

“เหตุผลด้านสุขภาพ” ผมยักไหล่ ชงเหล้าใส่แก้วให้ตามที่มันต้องการ

“ไมล์สั่งไว้เหรอวะ”

“มันไม่ได้สั่งหรอก”

“...”

“แต่ก็อยากทำเพื่อมัน มันไม่เคยดูแลกูดีขนาดนี้ไง”

อาสายิ้มน้อยๆ ขยับแก้วของมันที่เพิ่งได้รับจากผมมาชนกับแก้วน้ำเปล่าของผม มันดูเศร้าๆ นอยด์ๆ สติหลุดไปเลย

“อย่าคิดมากดิวะ”

“กูไม่ได้คิด”

เหรอ ไม่ได้คิดจริงๆ น่ะเหรอ ผมส่ายหน้าใส่คนที่พยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง

“กูเป็นเพื่อนมึงมาตั้งแต่ ม.ปลาย และกูก็เคยชอบมึงด้วย ทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงรู้สึกอะไรอยู่” ผมกับมันคุยกันอยู่สองคน เพื่อนคนอื่นแม่งหาเรื่องไปแซวสาวโต๊ะนั้นโต๊ะนี้หมดแล้ว นี่แหละครับ สไตล์ของหอสี่ “มีอะไรก็เล่าให้กูฟังได้”

“โอเค กูคิดมาก” อาสาโพล่งออกมาในที่สุด “กูคิดว่ามันยังไม่ลืมแฟนเก่า ทีนี้พอเขามีเรื่อง ทนายมันรีบไปหาเขาเลยนะเว้ย จากที่คุยกับกูทั้งวันอ่ะ มันหายไปเลย กูต้องไปเห็นมันในเฟซของเพื่อนมัน แบบนี้คืออะไรวะ”

มาเต็ม...ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะค่อยๆ พูด “แบตฯ โทรศัพท์มันหมดไง”

“มันใช้ของเชี่ยป๊อบโทรมาหากูก็ได้ ทำไมต้องให้กูทักไปแล้วค่อยโทรมา”

“...”

“ไอ้เชี่ยไมล์มันถึงกับซื้อเครื่องใหม่เพื่อติดต่อกับมึงเลยนะเว้ย”

“ทนายมันจะเอาเวลาที่ไหนไปซื้อ”

“ไม่รู้ ในหัวกูมันตีกันไปหมดแล้วเนี่ย” อาสาทึ้งหัวตัวเอง ก่อนจะยกแก้วขึ้นมาดื่มหนักๆ ไปอีกหลายอึก เมาชัวร์แบบนี้ คืนนี้มันต้องเมาให้ผมตามเก็บร่างมันแหง “กูไม่อยากคิดมากนะ แต่มันก็คิดไปแล้วว่ะ”

“...”

“ไมล์โทรมา” อาสามองโทรศัพท์ของผมที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ย

“มึงโอเคนะ เดี๋ยวกูรับสายเชี่ยไมล์ก่อน”

“อืม”

ผมมองดูอาสาเพื่อให้แน่ใจว่ามันมีสติมากพอที่จะไม่โดนหนุ่มๆ โต๊ะไหนลากไป ก่อนเดินไปยังหน้าร้านเพื่อคุยกับไมล์ ตอนนี้มันคงว่างคุยกับผมแล้วล่ะ

[ทนายหายไป!]

ผมซึ่งอยู่หน้าร้านแล้วไม่รู้สึกตกใจเลยสักนิด

“มันไปกรุงเทพฯ”

[หา!]

“แม่แฟนเก่ามันเสียอ่ะ”

[...]

“อาสารู้แล้วด้วย”

[นี่กูพลาดไปทั้งหมดกี่เรื่องวะ แค่กูไปช่วยเพื่อนทำกิจกรรมเนี่ยนะ]

“จริงๆ แล้วอาสามันก็คิดมากเรื่องแฟนเก่าของทนายมาก่อนหน้านี้แล้ว และยิ่งพอทนายรู้ว่าเขามีปัญหาก็วิ่งแจ้นไปหาเขาอย่างไวว่อง มันก็เลยยิ่งคิดหนักอ่ะ”

[มันปรึกษามึงเหรอ]

“ใช่ ทั้งวันเลยวันนี้ เนี่ย มันกำลังดื่มอยู่ เมาแน่เลยคืนนี้”

[เชี่ยเต]

“ไรวะ”

[กูเชื่อใจมึงได้ใช่มั้ย]

“สาดดดด” ขอโวยวายหน่อยเถอะ “กูจะไปทำอะไรมัน มันเพื่อนกู และมันก็เป็นแฟนเพื่อนอีกคนของกูไปแล้ว”

[ก็มึงบอกตลอดว่าตอนอาสาเมามันน่ารักกว่าปกติ]

“กูเคยพูดเฉยๆ”

[...]

“ไมล์ จะหึงก็ดูสถานการณ์หน่อย”

[หึงเหี้ยไร]

“กูอยากเริ่มต้นอย่างจริงจังกับมึงนะ ถ้ากูตัดเรื่องอาสาไม่ได้ กูจะกอดจะหอมมึงทำไม”

[...]

“กูจะทำให้มิตรภาพของเราเปลี่ยนไปทำไม”

[ขอโทษ]

“...”

[กูไม่เคยให้ใครมาอยู่ในหัวของกูทั้งวันแบบนี้ แม้กระทั่งอาสาก็เถอะ ตอนกูทำกิจกรรม กูนึกถึงมึงแล้วกูมีความสุขอ่ะ พอมาได้ยินอะไรแบบนี้กูก็เผลอคิดไปเรื่อยเหมือนกัน ขอโทษนะ]

“ไม่เป็นไร” ผมรู้สึกดีหลังจากได้ยินประโยคเหล่านั้น

[มึงจะช่วยดูแลอาสาใช่ป่ะ]

“อืม”

[เอาจริงๆ กูเริ่มเป็นห่วงมันแล้วเนี่ย]

“มึงโวยวายเรื่องกูก่อนเป็นห่วงอาสา มึงเป็นเพื่อนประเภทไหนเนี่ย”

[ก็กูเห่อมึงอ่ะสัด!]

ไมล์เป็นผู้ชายประเภทมีแต่ศูนย์กับร้อย ถ้ามันให้ใครศูนย์คนคนนั้นจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากมันเลย แต่ถ้ามันให้ใครเต็มร้อย แม่งจะได้รับเต็มๆ เหมือนที่ผมกำลังได้อยู่ในตอนนี้

“คิดถึงมึงนะ” ผมพูดออกมาจากหัวใจ

[...]

“คิดถึงจริงๆ”

[...]

“รีบกลับมาสานต่อเรื่องของเรากันได้แล้ว”

[กูก็รีบฉิบหายอยู่เนี่ย]







TBC*

ออฟไลน์ Chiffon_cake

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 712
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1544/-12




ตอนที่ 28
[/b]




ผมรู้สึกมึนและก็อึนไปหมดหลังจากที่รู้ข่าว

ป้านลคือแม่นมของแอลและเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวาน คนที่บอกข่าวผมก็คือไอ้ป๊อบ ผมขอร้องให้มันมารับถึงจังหวัดที่คณะผมมาทำกิจกรรมกัน ก่อนที่เราสองคนจะมุ่งเข้าสู่กรุงเทพฯ เหตุผลที่ผมรีบเป็นเพราะอยากให้กำลังใจแอล และสองก็คือไปไว้อาลัยป้านล ผู้ที่ทำให้ผมกับแอลสามารถรักกันได้

จริงๆ แล้วครอบครัวของแอลไม่ได้สนับสนุนให้แอลเป็นเกย์เท่าไหร่นัก พ่อกับแม่ของแอลเป็นหนุ่มสาวนักธุรกิจที่มีลูกตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เวลาหล่อหลอมให้ท่านทั้งสองมีความคิดที่โตเกินอายุไปมากและหลงรักในความสมบูรณ์แบบ พี่สาวและพี่ชายของแอลเป็นหนุ่มสาวในอุดมคติที่ประสบความสำเร็จทางด้านการเรียน แต่แอลก็ไม่ได้ด้อยในด้านนั้น เพียงแต่ว่าแอลมีจิตใจหลงรักคนเพศเดียวกันเท่านั้นเอง

ผมคือแฟนคนแรกของมัน และผมจะรักกับมันไม่ได้เลยถ้าไม่มีป้านลคนนี้คอยช่วยเหลือ

ระหว่างทางป๊อบเล่าให้ฟังถึงสาเหตุที่แอลเลิกกับผม เพราะพ่อแม่ไม่เห็นด้วย อ้างเรื่องธุรกิจโน่นนี่นั่น และอีกหนึ่งเหตุผลหลักก็คือพ่อแม่ขู่มันว่าถ้าไม่เลิก จะไม่ให้เงินช่วยรักษาป้านล

ผมไม่คิดว่าเหตุการณ์ทางฝั่งของแอลจะแย่ขนาดนี้ สำหรับผม เพียงแค่แอลบอกว่ามันไม่รักผมและมันก็มีคนใหม่ไปแล้ว ผมก็ไม่คิดจะยื้อหรือรั้งอะไรมันเอาไว้อีก ผมชักรู้สึกผิดที่ปล่อยให้แอลเผชิญเรื่องแบบนี้คนเดียวมานานตั้งหกเดือน แต่ว่า...ยังไงตอนนี้ผมก็รักอาสาไปแล้ว

พูดถึงอาสา...มันจะต้องคิดมากเรื่องผมอยู่แน่ๆ ผมมันเป็นไอ้โง่ที่ไม่เคยพบกับความสูญเสีย ที่บ้านผมปู่ย่าตายายยังอยู่ครบ ผมจึงไม่คุ้นชินกับการสูญเสียญาติผู้ใหญ่ พอได้ยินว่าป้านลท่านไปแล้ว ผมก็เลยไม่รู้จะทำใจยังไง

ผมนับถือท่านเหมือนเป็นป้าแท้ๆ ของผมคนหนึ่ง ช่วงนั้นท่านต่อสู้เรื่องความรักของผมกับแอลมาก ยอมมีปากมีเสียงกับแม่ของแอลเพียงเพราะต้องการให้แอลมีความสุข ผมกับท่านสนิทกันมาก แต่ห่างเหินกันไปช่วงที่ผมเลิกกันกับแอล เมื่อได้รู้ว่าท่านเป็นโรคร้าย ผมก็รู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมา

“กูยุ่งเรื่องของมึงกับแอลมากไปมั้ยเนี่ย” ไอ้ป๊อบที่นั่งขับรถอยู่ข้างๆ ผมเริ่มพึมพำ เรากับเพื่อนอีกสองสามคนตัดสินใจขับรถไปกรุงเทพฯ เพื่อให้กำลังใจแอลโดยเฉพาะ “แล้วอาสาจะคิดมากเพราะกูมั้ยวะ”

“ไม่เป็นไร เรื่องของกูสองคนเดี๋ยวกูเคลียร์เอง” ผมพูด “มึงก็นะ ลงทุนขับรถมารับกูเลย ไกลมากเลยนะเว้ย”

“ก็มึงน่าจะเป็นคนที่ให้กำลังใจแอลได้ดีที่สุดป่ะ”

ป๊อบกับคนอื่นๆ สนิทกับแอลมาตั้งแต่สมัยประถม ส่วนผมเพิ่งได้มารู้จักพวกมันทั้งหมดก็ตอนมัธยม เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่ว่าแอลมีเรื่องให้ช่วยเหลืออะไร พวกมันก็มักจะยกโขยงกันไปช่วยทุกที จำตอนที่แอลอยากกินข้าวกับผมมั้ยครับ ไอ้พวกนี้แม่งยกกลุ่มมารับผมถึงที่คณะกันเลยทีเดียว

ตอนนั้นอาสาก็ถึงกับหน้าตึงไปอยู่เหมือนกัน

“ไม่มีใครพกพาวเวอร์แบงก์มาเลยเหรอวะ” ผมถาม

“มีแต่คนรีบๆ ไม่มีใครเอามาหรอก”

แบตฯ โทรศัพท์ผมหมดตั้งแต่ตอนผมแอบไปงีบในห้องพักระหว่างที่คนอื่นๆ กำลังทำกิจกรรม เมื่อตะกี้ผมเพิ่งคุยกับอาสาผ่านทางโทรศัพท์เสร็จ และผมก็ค่อนข้างมั่นใจด้วยว่าอาสาไม่ได้วางใจเรื่องผมกับแอลเลยแม้แต่น้อย

แทนที่ผมจะเคลียร์ แต่ผมกลับทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากขึ้นไปอีก

ผมทอดถอนใจ ไอ้ป๊อบมันได้ยินพอดี

“ทุกอย่างจะต้องโอเค”

“ในหัวกูมันตีกันไปหมดแล้วตอนนี้”

“กูเข้าใจ”

“แต่มึงรู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้กูรักอาสา”

“...”

“หลังงานศพกูคงต้องเคลียร์กับแอลทุกอย่าง”







งานศพป้านลจะจัดสวดอภิธรรมทั้งหมดเจ็ดวันก่อนฌาปนกิจ ที่จัดหลายวันเพราะป้านลเคยเป็นครูมาก่อน มีลูกศิษย์มากมายหลายคนแวะเวียนมาทำความเคารพศพป้านลกันอย่างไม่ขาดสาย

ตอนที่ผมกับคนอื่นๆ ไปถึงก็ดึกมากแล้ว งานสวดอภิธรรมในคืนนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ผมกับเพื่อนๆ เดินไปหาแอลที่นั่งอยู่ในศาลา สภาพแอลเหมือนคนไร้วิญญาณ ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของมัน มันรักและผูกพันกับป้านลมากกว่าพ่อแม่ของมันอีกมั้ง

ป๊อบกับคนอื่นๆ เข้าไปใกล้ชิดแอลก่อน ส่วนผมได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ เพราะคิดว่าผมคงไม่มีสถานะที่จะเข้าไปใกล้ชิดมันได้ถึงขนาดนั้นอีกแล้ว

“มาด้วยเหรอ” แอลเอ่ยทัก หันไปมองเพื่อนทุกคนอย่างตกใจระคนซาบซึ้งใจ

“คนนี้ก็มานะ” ป๊อบพยักพเยิดมาทางผม แอลหันหน้ามาก่อนจะอ้าปากค้าง

“ทนาย”

“ไง”

“มันรู้ข่าวมันก็มาด้วยเลย” ป๊อบพยายามพูดให้เพื่อนรู้สึกดี

“ขอบคุณทุกคนนะ” การที่ผมมาไม่ได้ช่วยทำให้แอลหายเศร้าจากการสูญเสียป้านลหรอก แอลสั่งให้เด็กแถวนั้นหาน้ำหาท่ามารับรองพวกผม ก่อนจะเล่าเรื่องการป่วยและก็เรื่องอื่นๆ ของมันให้ฟัง

จากที่ฟังๆ ดูแอลไม่ได้คบคนอื่นตลอดช่วงเวลาที่คบกับผมเลยครับ

แอลหลอกให้เพื่อนคนที่ใกล้ชิดผมตายใจว่ามันมีคนใหม่ เนียนไปหมดจนพลอยทำให้ไอ้ป๊อบเกลียดขี้หน้ามันไปด้วย แม้ว่ามีบางครั้งที่ป๊อบจะก่นด่าและมันก็ไม่ได้โกรธอะไร อาจเป็นเพราะมันมีเหตุผลของมันที่ไม่สามารถบอกใครได้

ผมเริ่มคิดหนักขึ้นมา ตอนที่คบกับมัน ผมรักมันจริงๆ หรือเปล่า ทำไมผมถึงได้ปล่อยให้มันเผชิญหน้ากับปัญหาครอบครัวหนักขนาดนี้

“แท้จริงแล้วแม่กูก็แค่ขู่ แม่ไม่เคยเลิกจ่ายเงินค่ารักษาป้านลเลย” แอลถอนหายใจ “กูดูโง่ฉิบหาย”

มันโง่ แต่ผมโง่กว่า...ผมรู้สึกผิดจนแค่จะนั่งอยู่ตรงนั้นให้นานขึ้นก็ทำได้ยากแล้ว

“แอลมึงมีพาวเวอร์แบงก์ป่ะ”

“มี อยู่บนรถ” แอลพูด “ตามมาสิ”

ผมกับแอลเดินไปที่รถด้วยกัน แม้จะดึกแล้วแต่ในวัดก็ยังมีคนอยู่มาก งานศพป้าแอลจัดค่อนข้างใหญ่ จึงยังมีคนอยู่เต็มไปหมด
เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมกับแอลได้อยู่กันตามลำพัง

“กูเสียใจด้วยนะ”

“กูรู้”

“...”

“ก่อนเสียป้านลพูดถึงมึงด้วยนะ”

ผมรู้สึกใจคอห่อเหี่ยว “เหรอ”

“เพื่อความสบายใจของป้า กูเลยบอกว่ากูยังคบกับมึงอยู่”

“...”

“กูมันไร้สาระเนอะ”

แอลกดปลดล็อกรถ เข้าไปหยิบพาวเวอร์แบงก์ออกมาให้ผม ผมเพิ่งได้จ้องมองหน้ามันใกล้ๆ ก็คราวนี้ เหมือนมันไม่ได้นอนมาหลายวัน

“แอล กูขอโทษ กูมันเหี้ยมากเลย”

“มึงไม่เหี้ยหรอก” แอลไม่กล้าสบตาผม “กูนี่แหละเป็นคนผลักไสไล่ส่งมึงเอง มึงจะไปมึงก็ไม่ผิดป่ะวะ”

“แต่ว่า...”

“กูยังรักมึงอยู่”

ผมถึงกับยืนอึ้ง ไม่คิดว่าแอลจะสารภาพตรงๆ กับผมแบบนี้

“แต่กูรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะงั้นมึงอย่ามาทำสีหน้าแบบนี้ใส่กู อย่าขอโทษกู มันจะทำให้กูตั้งความหวังทั้งๆ ที่กูรู้ว่ามันไม่มี”
ผมดึงตัวมันเข้ามากอดไว้อย่างหลวมๆ นี่อาจจะเป็นสัมผัสสุดท้ายที่ผมให้มันได้

มันร้องไห้ออกมาอย่างอดกลั้น

“กูรู้ว่ามึงอยากร้องไห้ แต่มึงร้องไม่ได้”

“...”

“อยู่ต่อหน้ากูมึงร้องได้เลย ไม่ต้องแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง”

“...”

“กูขอโทษนะ แต่กูคงทำให้มึงได้แค่นี้”

แอลร้องไห้ไร้เสียงสะอื้น ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่เปียกชื้นอยู่บนไหล่ของผม ผมปล่อยให้มันร้องไห้อยู่กับไหล่ผมแบบนั้นจนกระทั่งมันพอใจ

“ป้านล...ไปแล้ว”

“...”

“ป้าไปแล้วจริงๆ ว่ะ” แอลแสดงความอ่อนแอให้ผมได้เห็นอย่างไม่มีกั๊ก ผมรู้สึกเสียใจร่วมไปกับมัน สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น แค่กอดและปลอบมันในเวลาที่มันเสียใจมากที่สุด

“กูจะอยู่ช่วยจนงานศพเสร็จสิ้นนะ”







ตอนกลับผมขอให้ป๊อบไปส่งที่บ้านแทนที่จะเช่าโรงแรมอยู่กัน โชคดีที่บ้านของผมอยู่ไม่ไกลจากวัดที่จัดงานศพของป้านล เพื่อนผมทุกคนก็เลยได้อาศัยใบบุญในการพักบ้านผมกันใหญ่

โทรศัพท์ของผมมีแบตฯ แล้ว ทันทีที่ผมถึงห้องนอนของตัวเอง ผมก็กดโทรออกหาอาสาทันที

“เชี่ยทนาย” คนกดรับสายคือไอ้เต

“เกิดอะไรขึ้น อาสาไปไหน”

“เมาเละ”

“หา!” ผมอ้าปากค้าง “มึงอยู่กับมันป่ะ มันอยู่ไหน มันเป็นไงบ้าง”

“หลับไปแล้ว นอนอยู่เตียงเก่ามันที่ห้อง 204 อ่ะ”

หัวใจของผมกระตุกวูบ “เพราะกูเหรอวะ”

“เพราะหมามั้ง”

“เต นี่มึงอย่า...”

“กูรู้ กูขอโทษ มึงคงมีเหตุจำเป็น แต่มึงช่วยเคลียร์เรื่องแฟนเก่าอะไรของมึงนี่เร็วๆ สักที อาสามันคิดมากเรื่องนี้จนใกล้จะบ้าอยู่แล้ว มันติดอยู่เรื่องเดียวเนี่ย”

“กูรักมันคนเดียวนะ”

“รักแต่ก็ช่วยทำให้มันมั่นใจหน่อย”

“...”

“ช่วงนี้ฝั่งนู้นเขาเศร้าอยู่ แต่มึงก็อย่าปลอบฝั่งนู้นจนลืมนึกถึงใจฝั่งนี้นะเว้ย มึงมีแฟนแล้ว เวลามึงทำอะไรมึงต้องคิดดีๆ”

“เข้าใจแล้ว”

“มันรักมึงมากไปแล้ว แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันก็คิดมาก มึงอย่าลืมนะว่ามันนกมาทั้งชีวิตแล้วอ่ะ มึงอย่ามาทำให้มันรู้สึกว่ามันจะนกอีก”

“นี่มึงเก็บกดมานานใช่มั้ย”

“ใช่ อาสาเมาไม่ใช่เรื่องรับมือง่าย”

“กูอยากไปรับมือแทน”

“ได้โปรดช่วยกลับมาไวๆ” ผมอุ่นใจที่เตไม่ได้คิดอะไรกับอาสาในแง่นั้นอีกแล้ว จากที่ฟังๆ ดูเหมือนมันจะห่วงอาสาในฐานะเพื่อนมากกว่าอะไรทั้งหมด

“อาจจะอีกสี่ห้าวันว่ะ”

“...”

“กูจะอยู่ช่วยงานศพจนเสร็จ”

“เคลียร์กับแฟนมึงเองละกัน”

“...”

“แต่กูขอบอกไว้ก่อนว่ามึงอย่าให้อาสามันถึงขั้นต้องประชดประชัน” เตพูดเสียงแข็ง “เพราะใจมึงขาดแน่กูบอกไว้ก่อน”

“หา?”

“มึงอย่าลืมนะว่าอาสามันฮอตขนาดไหน ถ้ามันใช้จุดนี้ในการเอาคืนมึง”

“...”

“มึงตายแน่เพื่อน”








ตลอดหลายวันหลังจากนั้นผมเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

แม้แอลจะเอ่ยปากหลายครั้งว่าไม่ต้องอยู่ช่วยทุกวันก็ได้ แต่ผมก็ได้ให้คำมั่นกับมันไปแล้วผมจึงต้องทำตามนั้น ป๊อบเป็นคนอยู่ช่วยผม มันให้เพื่อนที่อยู่หอหนึ่งจัดการเรื่องเรียนให้ ส่วนผมมีไอ้โอ๊คคอยช่วยเก็บชีทให้ผม ทั้งยังบอกอีกด้วยว่าจะช่วยดูอาสาให้อยู่ห่างๆ ซึ่งตอนนี้เป็นอะไรที่ผมต้องการเอามากๆ

เพราะอาสาเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

LAWYER : วันนี้มาช่วยงานแต่เช้านะ
ARSA : อืม
LAWYER : ตื่นไปเรียนหรือยัง
ARSA : อยู่มอแล้ว กำลังเรียนอยู่
LAWYER : คิดถึงมากๆ เลยนะ
ARSA : โอเค


ดูก็รู้ว่ามันเปลี่ยนไปไม่เหมือนปกติ นอกจากการพิมพ์ตอบไลน์ผมจะห่างเหินมากมายแล้ว ตอนที่ผมโทรไปแล้วมันรับสายก็ยังถามคำตอบคำอีกต่างหาก

[ฮัลโหล]

“ทำอะไรอยู่ อยู่ไหน”

[คณะ เรียนหนังสือ]

“เหรอ”

[อืม]

“ไม่ถามกูหน่อยเหรอว่ากูอยู่ไหน หรือทำอะไร”

[กูรู้ว่ามึงอยู่ไหนหรือทำอะไร]

“อาสา คุยกันดีๆ สิ”

[ขอโทษนะ ต้องไปเรียนแล้ว]

ตอนที่มันวางสาย ผมรู้เลยว่ามันกำลังงอนผมเบอร์ใหญ่มาก มันไม่เคยทำกับผมแบบนี้ และคนที่จะแก้ปัญหาได้มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้น ผมใช้เวลาว่างจากการช่วยงานศพพยายามติดต่ออาสาทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ แม้อาสาจะให้ความร่วมมือผมในบางครั้ง แต่มันก็ห่างเหินกับผมมากขึ้นทุกที ผมร้อนใจจนแทบบ้า แต่งานทางนี้ผมก็ยังทิ้งไม่ได้เพราะผมสัญญากับแอลไว้แล้ว

ผมต้องใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุด เตกับไมล์บอกผมอยู่หลายครั้งว่าอาสาออกไปข้างนอกบ่อย พอผมถาม อาสาก็ไม่ยอมบอก ผมคิดมากแทบตายแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะสำหรับแอล ผมก็มีส่วนผิดอยู่ ผมอยากทำให้ความผิดของผมมันน้อยลง เนื่องด้วยผมรู้แน่ๆ ว่าไม่ว่าจะยังไงความผิดของผมมันก็ไม่มีวันที่จะหายไป

ผมแค่อยากทำอะไรสักอย่างให้แอลเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อชดเชยความผิดที่ผมเคยทำ ที่ผมปล่อยมือแอลไปอย่างง่ายดายโดยไม่พยายามสืบเสาะหาความจริง ทิ้งให้แอลเผชิญหน้ากับปัญหาคนเดียวตลอดหลายเดือน

หวังว่าอาสาจะอยู่รอผม และหวังว่าความผิดของผมจะไม่ใหญ่พอจนอาสาไม่ให้อภัย

และในที่สุดก็ถึงวันที่ผมจะได้กลับมหา’ลัยสักที

ผมกราบลาป้านล ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เคยทำไว้ให้ผมกับแอล มองดูควันที่ลอยออกมาจากปล่องไฟ เป็นความรู้สึกที่หดหู่เกินบรรยาย แอลนั่งคอตกอยู่ตรงโซฟา มันไม่กล้าแม้แต่จะมองดูควันซึ่งลอยโขมงอยู่เหนือเมรุ

คนในครอบครัวปล่อยให้มันนั่งอยู่ตามลำพัง ผิดกับผมที่เดินไปนั่งอยู่ข้างๆ ผมไม่พูดอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้แอลจมจ่อมอยู่ในความเศร้า

“ต้องมีสักวันกูจะเข้มแข็งขึ้นว่ะ”

“...”

“แต่วันนี้กูทำไม่ได้จริงๆ”

ผมเอื้อมมือไปบีบไหล่ของมันเป็นเชิงปลอบ “เพื่อนทุกคนจะคอยอยู่เคียงข้างมึง”

“กูขอโทษนะ”

“ขอโทษไรวะ”

“ที่ทำให้มึงมีปัญหากับแฟน”

ผมคิดว่าแอลรู้ก็เพราะไอ้เชี่ยป๊อบ มันยืนอยู่ไกลๆ คอยมองดูผมกับแอลอยู่

“เขาน่ารักฉิบหายเลย มึงอย่ายอมเสียเขาไปง่ายๆ ล่ะ”

“แน่อยู่แล้ว” ผมยิ้มน้อยๆ ให้แอลมันสบายใจ “ขอให้มึงเจอคนที่ดูแลมึงได้ไวๆ นะ กูไม่อยากให้มึงเศร้านาน”

“หายากนะ” แอลแกล้งหัวเราะ

“มองเชี่ยป๊อบบ้างดิ” ผมพูดเล่นๆ แอลหุบยิ้มแล้วเลิกคิ้วมองผม

“อะไรของมึง”

“กูก็พูดไปอย่างนั้นเอง”

ผมไม่รู้หรอกว่าแอลมันจะถือสาในสิ่งที่ผมพูดมั้ย ไม่รู้หรอกว่าคู่ไอ้ป๊อบกับไอ้แอลจะมีการพัฒนาหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ผมไม่เคยโล่งใจเรื่องแอลเท่านี้มาก่อนตั้งแต่หลังจากที่เลิกกัน ผมรู้ความจริงทุกอย่าง อีกทั้งยังได้อยู่ช่วยแอลจนสุดความสามารถ ทำทุกอย่างเท่าที่คนอย่างผมจะช่วยได้และผมก็รู้สึกดีขึ้น

เหมือนสิ่งที่ยังคั่งค้างอยู่ได้ถูกผมจัดการไปจนหมดสิ้น เคลียร์ปัญหาทุกอย่างที่คาราคาซัง และจบกับแอลด้วยดี ไม่มีการโกรธเกลียด ไม่มีการต่อว่าเรื่องที่แอลมีคนใหม่

และผมก็คิดว่า...ผมคงไม่น่าละเมอชื่อแอลอีกต่อไปแล้ว







ห้อง 503

กว่าผมจะมาถึงห้องก็ดึกมากแล้ว ผมไม่อยู่หลายวันสภาพห้องดูแย่กว่าเดิมนิดหน่อย ผมไม่เห็นว่าอาสาไม่ได้อยู่ในห้อง มันหายไปไหนวะ

ผมกดโทรหาอาสาแต่มันไม่รับสาย ไม่นานนักผมจึงตัดสินใจโทรหาเต

[กูเห็นมึงกลับมาแล้ว]

มันรับสายผมด้วยคำนี้เหรอ

“อาสาอยู่ไหน”

[กูไม่รู้ ร้านที่ไหนสักร้านมั้ง]

“...”

[อยู่ดีๆ มันก็ทำตัวเละเทะ ไปเที่ยวทุกวัน กูไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันไม่ยอมบอกอะไรกูเลย]

“เหี้ย”

[มึงมาก็ดี เมียใครก็ไปเคลียร์เอง]

“...”

[รีบเคลียร์ด้วยนะ กูกับไมล์เป็นห่วงมันจะแย่อยู่แล้ว มันไม่เคยเป็นแบบนี้]

“กูรู้แล้ว เริ่มร้อนใจละสัด”

ผมเกาหัวอย่างแรง ไม่คิดว่าอาสาจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ผมจำได้ถึงสิ่งที่เตเคยเตือนผมเอาไว้เมื่อหลายวันก่อนว่าถ้าอาสามันประชดประชันผมขึ้นมา ใจผมขาดแน่นอน

ขอร้องว่าอย่าให้มันทำอะไรถึงขั้นนั้น

ผมตามหาร้านที่น่าจะเจออาสา ผ่านไปสองสามร้านผมก็เริ่มหงุดหงิด ดูเหมือนคราวนี้อาสาจะซ่อนตัวกับผมได้เก่งกว่าที่ผมคิด
จะบ้าตาย งูพิษของผมคงใช้ท่าไม้ตายกับผมแล้วล่ะ

ไอ้เตโทรเข้ามา ผมกดรับสายอย่างรีบร้อน

[เจอตัวละสัด อยู่บาร์หิ่งห้อย เพื่อนกูบอกมา]

ผมรีบเลี้ยวรถกลับเพื่อจะไปรับตัวอาสาทันที







บาร์หิ่งห้อย

ผมชอบร้านนี้เพราะว่ามันเงียบดีนี่แหละ ผมเดินเข้าไปด้วยสภาพที่เหนื่อยไปทั้งตัวแต่ก็สู้ หันซ้ายหันขวาไม่นานในที่สุดก็เจอตัว
เข้าใจแล้วว่าทำไมใจผมขาดชัวร์ๆ ถ้าอาสาจะประชดประชัน ผมเข้าใจแล้ว

มันนั่งอยู่ท่ามกลางไอ้พวกหอสี่หน้าตาหื่นกาม ชนแก้วกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว สภาพมันดูแย่มาก ผมก็ยุ่ง ใบหน้ามีไรหนวดสีเขียวขึ้นมาเล็กน้อยแถมยังแดงก่ำด้วยความเมา

“อาสา” ผมรีบเข้าไปหาพร้อมๆ กับทุบโต๊ะให้มันหันมา ผมเข้าถึงตัวมันไม่ได้ เพราะไอ้พวกบ้านี่รุมรายล้อมมันเต็มไปหมด

“ใครวะ” เสียงแบบนี้รู้เลยว่าเมามากแล้วชัวร์ๆ “ใช่แฟนเก่ากูป่ะ แฟนเก่ากูแน่ๆ เลย”

มึงฆ่ากูดีกว่านะถ้าจะพูดแบบนี้

“ไอ้พวกคนรวยทั้งหลาย ถ้ามึงไม่ลุก กูจะคว่ำโต๊ะนี้ในอีกไม่ช้า” ผมกัดฟันพูด มองหน้าคนอื่นๆ ด้วยสายตาข่มขู่ พวกมันเริ่มลังเล เนื่องด้วยรู้ดีว่าผมเคยบุกเดี่ยวไปที่หอสองคนเดียวมาก่อน (เรื่องนี้ค่อนข้างดังในหมู่หอพักชายน่ะครับ)

หลายคนเริ่มลุกไปจากโต๊ะ เหลืออยู่คนเดียวที่ยังไม่ยอมลุก

“อาสาอยากกลับไปกับมันหรือเปล่า” มันยังมีหน้ามาถามแฟนผมอีกว่าต้องการอะไร

อาสามองผมด้วยนัยน์ตาฉ่ำๆ ปนความตัดพ้อต่อว่า

“ไม่”

“...”

“กูอยากอยู่กับมึง”

เหมือนมีดาบหลายพันเล่มแทงใจผมทีละเล่มๆ ผมไม่เคยเห็นอาสาอ่อยผู้ชายคนอื่นแบบนี้ต่อหน้าผม นั่นทำให้สติของผมขาดผึง
 
“ได้” ผมพูดอย่างคับแค้นใจ “มึงอยากอยู่กับมัน กูก็จะให้อยู่”

“...”

“แต่ต้องรอให้กูเป็นศพก่อน!”

ผมลงมือรุนแรงไปหน่อย ไอ้เด็กหอสี่คนนั้นเจ็บจนหน้าเละไปหมดโดยที่ผมไม่ได้ถูกตอบโต้อะไรมากมาย ผมรีบดึงตัวอาสาให้ตามผมออกมา มันดิ้นพล่านขัดขืนผมมาก

เรากำลังเข้าสู่ช่วงทะเลาะกันอย่างรุนแรงแล้วเหรอ

“ไอ้สัด ปล่อย!” อาสาสะบัดมือผมออกอย่างแรงตอนที่เราทั้งคู่อยู่ลานจอดรถแล้ว

“กลับห้อง”

“กูไม่ได้นอนห้องนั้นนานแล้ว”

เหี้ย ว่าไงนะ “แล้วมึงไปนอนห้องไหนวะ”

“ห้องไหนก็ได้ที่กูพอใจ”

“อาสา” ผมเริ่มมีน้ำโหขึ้นมา “มึงจะมาประชดประชันกูแบบนี้ไม่ได้นะ มึงก็รู้ว่ากูหวงมึงมากอ่ะ”

“มึงไม่เอาเวลาไปอยู่กับแฟนเก่ามึงแล้วเหรอ”

“ว่าไงนะ”

“เห็นปลอบใจกันดีนักนี่”

“มึงเมาแล้ว กลับห้องกัน”

“กูไม่กลับ”

“...”

“ตอนที่มึงอยู่ลับหลังกู มึงทำอะไรบ้างทนาย”

“อย่าใช้อารมณ์ดิ”

“มึงบอกว่าจะเคลียร์เรื่องนี้ให้กู แต่มึงก็ทำให้เรื่องมันยุ่งเหยิงมากขึ้น”

“...”

“มึงอาจจะไม่ได้แคร์กูถึงขนาดที่ว่าอยากทำเพื่อกูขนาดนั้น”

“อาสา!” ผมร้องลั่น ไม่คิดว่ามันจะคิดเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ “ฟังกูก่อน”

อาสาเดินหนีผมไปแล้ว ผมปวดหัว หงุดหงิด และก็อารมณ์เสีย จึงระบายอารมณ์ด้วยการเตะอะไรบางอย่างที่อยู่แถวนั้น

ผมต้องทำยังไงมันถึงจะหายโกรธผม...







TBC*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2017 01:16:14 โดย Chiffon_cake »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด