from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]  (อ่าน 35725 ครั้ง)

ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
เชียร์ฟร็อง ใหเลิกยึดติด กับปาร์คได้ไว ปาร์ค คงเคยชิน กับการ มีฟร็อง คอย ยอม ทำตามสะเคยตัวจนตัวนิสัยเสีย หวง ทั้งๆที่คิดยังไงก้อไม่ทำให้ชัดเจน อยากให้ฟร็องถอย ออกมา แล้วดู สิปาร์จะก้าวเขามาหาเองมั้ย

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
อ่านมาเรื่อยๆ เพลงก็ลอยเข้ามาในหัว เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วแม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย . . . .

ฉันก็ยังยินดี แม้ไม่ใช่คนพิเศษ ไม่ได้สำคัญสำหรับเธอ...  :mew6:


เชียร์ฟร็อง ใหเลิกยึดติด กับปาร์คได้ไว ปาร์ค คงเคยชิน กับการ มีฟร็อง คอย ยอม ทำตามสะเคยตัวจนตัวนิสัยเสีย หวง ทั้งๆที่คิดยังไงก้อไม่ทำให้ชัดเจน อยากให้ฟร็องถอย ออกมา แล้วดู สิปาร์จะก้าวเขามาหาเองมั้ย

รอลุ้นดูว่าฟร๊องก์จะทำยังไงต่อไปฮะ  ขอบคุณมากนะฮะ :mew1:

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 10 (100%) [12/5/2017]
«ตอบ #33 เมื่อ12-05-2017 20:20:32 »

Chapitre 10

100%

   “เลิกเรียนซะที!! หิวข้าวจะตายห่าอยู่แล้ว” โดนัทพูดอย่างออกอาการดีใจอย่างจัดเจนจนอาจารย์ที่กำลังเก็บของหัวมามองหน้า พวกผมเลยต้องยิ้มแหยๆ กลับไป

   “ว่าแต่จะไปกินข้าวที่ไหนกันดี อยากกินซูชิ” ป๊อปอายว่า

   “เอาดิๆ ไปร้าน U สิ ของสดดี ไปด้วยกันหมดเลยไหม จะได้โทรไปจองก่อน ร้านนี้ชอบเต็ม” โดนัทรับบทเป็นแม่งาน สงสัยจะหิวจริงจังครับ (ตัวถึงได้อวบแบบนี้ ฮ่าๆ)

   “กูไม่ไปนะ พอดีมีธุระ” ผมพูดมาในขณะที่ทุกคนพนักหน้าตอบตกลง

   “ปล่อยนางไปเถอะ นางมีนัดแล้ว” ไวน์จิกกัดผมด้วยท่าทางหมั่นไส้แบบเต็มเปา

   “ทำอะไรก็เกรงใจผัวมั้งนะมึง ผัวก็มีอยู่แล้วทั้งคน” นุ่นปากหมาขาประจำทำหน้าที่อีกแล้วครับ

   “เออๆ ผัวกูไม่ว่าหรอกเนอะ แค่นี้เอง ใช่ไหม... โอ้ย! เจ็บนะเฟ้ย!” ผมหันไปเล่นกับเก็ท เลยโดนเก็ทดีดหน้าผากอย่างแรง เจ็บชะมัดเลย! เล่นก็ไม่ได้ ทีคนอื่นเล่นเสือกไม่แก้ตัว

   “ประเด็นเด็ดวันนี้ ผัวเมียคู่ซี้ตีกัน เพราะผัวจับได้ว่าเมียมีชู้ ฮ่าๆ” นุ่นเหมือนเดิมครับ นอกจากจะห้าวแล้ว สมองที่ใช้คิดมุกนี่ไวเหลือเกิน

   ติ๊ด! ติ๊ด!   

   แล้วเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นขัดจังหวะอีกครั้ง ทุกคนมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่แก้วที่ส่งยิ้มหวานให้แต่ออกแนวล้อเลียนผมอยู่มากกว่า

   “เอาแล้วเว้ยๆ ชู้โทรหาต่อหน้าผัวบังเกิดเกล้าเลย งานนี้จะเป็นยังไงต้องติดตามนะคะท่านผู้โชมมม” นุ่นทำทาท่าทางล้อเลียนเหมือนตัวเองกำลังเป็นนักข่าวรายงานข่าวสดก็ไม่ปาน

   “มะเหงก!” ผมว่าพร้อมกำมือทำท่าเฉกเช่นคำพูดใส่นุ่น ก่อนจะเดินแยกตัวห่างจากพวกนั้นเพื่อนรับโทรศัพท์ แน่นอนว่าผมถูกแซวทันที ก่อนที่พวกมันจะเลิกสนใจและหันไปเก็บข้าวของของตัวเอง เหลือเพียงแต่เก็ทที่ยังคงมองอยู่ คนอื่นที่เห็นเก็บๆ ของกันไม่ใช่ว่าจะเลิกสนใจผมไปเลยหรอกนะครับ หูนี่คงผึ่งกันเป็นแถว

   “ครับ” ผมเลื่อนนิ้วบนหน้าจอสัมผัสเพื่อรับสาย ก่อนจะส่งเสียงกลับไป

   [ดีครับผม สรุปเราไปกินที่ไหนกันดีเอ่ย] คนปลายสายส่งเสียงกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสดใสเหมือนเดิม

   “แล้วแต่เลยครับ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว”

   [งั้นไปกินที่ร้าน... ไหมครับ คุณรู้จักไหม]

   “อ๋อ รู้จักครับ” ผมตอบกลับไป ร้านที่เขาชวนไปเป็นร้านอาหารอีสานครับ พวกส้มตำ ไก่ย่างอะไรแบบเนี่ย ร้านอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยครับ ที่สำคัญรสชาติเด็ดสะดิ้งมาก 

   [ว่าแต่คุณจะไปยังไง]

   “เดี๋ยวให้เพื่อนไปส่งครับ เจอกันที่ร้านเลยนะครับ”

   [โอเคครับผม แล้วเจอกัน] เขาว่าด้วยน่าเสียงร่าเริงก่อนจะวางสายไป

   “เจอกันที่ร้านเลยนะครับ” นุ่นทำเสียงล้อเลียน “กูล่ะอยากเห็นหน้าผู้โชคร้ายคนนั้นซะจริง ฮ่าๆ”

   “เก็ทเดี๋ยวแวะส่งฟร๊องก์ที่ร้าน... หน่อยนะ” ผมทำเป็นไม่สนใจนุ่น จนมันต้องสะบัดหน้าอย่างไม่พอใจ ฮ่าๆ โคตรสะใจผมเลย ก่อนจะหันไปบอกเก็ทให้แวะส่งผม

   “อืม” เก็ทตอบนิ่งๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป เพื่อนคนอื่นๆ ก็เก็บของกันแล้วครับ แล้วก็ทยอยๆ เดินออกจากห้องไป โดยที่โดนัทก็กำลังโทรฯ จองโต๊ะที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่พวกนั้นตกลงกันก่อนหน้า ผมเลยรีบกวาดๆ ของลงกระเป๋าแล้วรีบเดินตามออกไปสมทบ

   แล้วพวกผมก็แยกกันขึ้นรถครับ แบ่งออกเป็นรถเก็ท 4 คน และรถดิวอีก 4 คน โดยรถเก็ทมีเก็ทเป็นคนขับ ผมนั่งหน้าซึ่งเป็นที่ประจำของผมอยู่แล้ว ด้านหลังจากเป็นไวน์และโดนัทครับ ส่วนอีกคันก็แน่นอนว่ามีดิวกับแก้ว แล้วก็นุ่นกับป๊อปอาย ปกติเวลามาเรียนก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ ยกเว้นว่าใครมีธุระ หรือเหตุจำเป็นอื่นๆ ก็จะมาเอง

   “แกๆ จะว่าไปฉันก็อยากกินส้มตำเหมือนกันนะ อิอิ” รถออกมาได้นาน ไวน์ก็พูดกระแนะกระแหนผมขึ้นมาทันที พร้อมทั้งโผล่หน้ามาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมอีก

   “ฮ่าๆ แกก็สงสารเพื่อนหน่อยสิ คนเขาอุตส่าห์จะไปอะจึ๊ย อะจึ๊ยกันสองคน” อะไรของโดนัทมันเนี่ย อะจึ๊ยบ้าบอคอแตกอะไร คนแค่ไปกินข้าว ที่สำคัญผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขาด้วยซ้ำ แค่ชื่อยังไม่รู้เลย

   “นุ่นไม่มาคันนี้ด้วย กูนึกว่าชีวิตกูจะสงบสุขแล้วซะอีก” ผมหันไปกัดแบบขำๆ
   
**********__________***********

   ไม่นานรถเก็ทก็พาผมมายังร้าน... ซึ่งเป็นที่นัดหมาย ก่อนผมจะลงจากรถ ไวน์ยังไม่วายกวนผมอีก บอกให้ผมถ่ายรูปผู้ชายมาให้นางดูด้วยว่าถูกใจไหม สรุปคือมันอยากได้เองใช่ไหม??

   ผมเดินไปที่หน้าร้าน พยายามสอดส่ายสายตามองหา ‘เขา’ คนนั้น

   “อ้าวคุณ มาแล้วหรอครับ ขอโทษทีที่มาช้า” แล้วเขาที่ว่าก็มาสะกิดผมจากทางด้านหลัง ผมแอบตกใจเล็กน้อยเหมือนกัน แต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมามาก

   “อ๋อ เพิ่งมาถึงเหมือนกันครับ ไม่ได้รอนานอะไรเลย” ผมตอบกลับแบบยิ้มๆ

   “งั้นเข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ เชิญครับ” แล้วเขาก็ผายมือให้ผมเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปด้านใน

   ร้านนี้เป็นร้านแบบเปิดโล่งครับ ไม่ได้เลิศหรูอะไร ก็สไตล์ร้านอาหารปกติ มีเคาน์เตอร์ทำครัวอยู่ด้านหน้าร้าน ด้านในก็มีโต๊ะอยู่จำนวนหนึ่ง ไม่เยอะครับเพราะไม่ใช่ร้านใหญ่ แม้มันจะไม่ได้หรูหรา หรือดูแพงยังไง แต่ผมชอบนะครับ มาทานบ่อยอยู่เวลาอยากกินอะไรพวกนี้ เพราะมันแซ่บจริงอะไรจริง ร้านส้มตำมันต้องบรรยากาศแบบนี้แหละครับ ถึงจะเด็ด ให้นั่งทานส้มตำในร้านติดแอร์ผมว่ามันไม่ได้ฟิลลิ่งสักเท่าไร

   “หิวไหมครับเนี่ย” เขาถามขึ้นเมื่อมาถึงโต๊ะ เราได้โต๊ะริมๆ ด้านในครับ อยู่ใกล้ๆ กับรัวที่เป็นต้นไม้ปลูกติดๆ กัน แต่มันไม่อึดอัด เพราะร้านนี้เปิดโล่งทุกด้าน

   “ไม่ค่อยครับ” ผมบอกไป แต่...

    โครก... คราก...

   เสียงท้องผมเองแหละครับ น่าอายมากเลย ก็ไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่มื้อกลางวันนี่ครับ ส่วนคนที่นั่งตรงข้ามนี่หัวเราะเสียงดังเชียว ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ อย่างอายเลยครับ

   “ท่าทางจะไม่ค่อยหิวจริงๆ นะครับ แต่ดูหิวมากๆ เลย ยังไงสั่งได้เต็มที่เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” เขาว่าพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างๆ ที่ทำให้เห็นเหล็กดัดฟันสีน้ำเงินอย่างชัดเจน “แต่ผมขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้พาไปเลี้ยงร้านหรูๆ แพงๆ”

   “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร แค่พามาเลี้ยงนี่ผมก็ต้องขอบคุณมากแล้วครับ” ผมรีบพูดขัดขึ้นมาทันที ผมไม่ได้ยึดติดกับความหรูหรา หรือความสบายขนาดนั้น “แบบนี้ดีแล้วครับ เป็นกันเองดี จะได้ไม่เกร็ง” แล้วผมก็พูดต่อยิ้มๆ

   “คิดเหมือนผมเลยครับ มานั่งกินร้านแบบนี้แล้วมันรู้สึก ‘เป็นกันเอง’ และ ‘ใกล้ชิด’ กันมากกว่า” รอยยิ้มกว้างดูสดใสนั้นยังคงฉายออกมาจากใบหน้าหล่อแบบน่ารักของคนตรงไหน “สั่งได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมเขียนใบให้เอง” แล้วเขาก็หยิบใบสั่งอาหารขึ้นมาจดครับ ร้านนี้ใช้วิธีการจดแล้วส่งให้แม่ครัวครับ ที่กระดาษจะมีหมายเลขโต๊ะอยู่เลยทำให้คนเสิร์ฟรู้ว่าเป็นของโต๊ะไหน

   แล้วเราสองคนก็สั่งอาหารกันครับ ผมเผลอสั่งอะไรที่อยากกินๆ แบบแบบลืมตัวเล็กน้อย เงยหน้าจากเมนูขึ้นมาเจอกับรอยยิ้มกึ่งหัวเราะของคนตรงหน้า เล่นเอาผมต้องหลบตาเลย เผลอทำอะไรบ๋องๆ ออกไปอีกแล้ว ก่อนหน้าก็ท้องร้อง นี่ยังสั่งอาหารแบบไม่เกรงใจอีก น่าอายชะมัดเลย!

   “สั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้ว รออีกนิดนะครับ เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว” เขาเอ่ยปากแซวหลังจากที่เดินกลับมาจากที่เอาใบสั่งอาหารไปให้คนขาย “คุณ... ผมชื่อ ‘ทาร์ต’ นะ แล้วคุณชื่ออะไร”

   “ชื่อ ฟร๊องก์ ครับ ยินที่ได้รู้จักนะครับ” ผมตอบกลับยิ้มๆ ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยจัง คงเพราะรอยยิ้มที่สดใสมากๆ ของคนตรงหน้า มันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาแบบไม่ตั้งใจ

   “ยินดีมากๆ ที่ได้รู้จักกันนะครับ... ฟร๊องก์” ตั้งแต่เจอหน้ากันนี่ผมยังไม่เห็นเขาหุบยิ้มเลย จะอารมณ์ดีไปไหน

   “ครับ”

   “ว่าแต่นี่ฟร๊องก์อยู่ปีหนึ่งป่ะ ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าเลย” ทาร์ตถามต่อด้วยใบหน้าสงสัย แต่ริมฝีปากนั้นก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่

   “ผมอยู่ปีสองแล้วครับ” ผมตอบกลับแบบขำๆ

   “อ้าว จริงดิ หน้ายังดูเหมือนเด็กมัธยมอยู่เลยด้วยซ้ำ งั้นผมก็ต้องเรียก ‘พี่’ สินะ” ทาร์ตทำหน้าเหมือนตกใจมากครับ แต่ผมรู้ครับว่าเขาแกล้ง จริงๆ หน้าผมไม่ได้ดูเด็กอะไรขนาดนั้นหรอก ก็เว่อร์ไป อีกอย่างปีสองกับปีหนึ่งนี่มันไม่ได้ต่างกันเท่าไรด้วยซ้ำครับ

   “ก็เว่อร์ไป ฮ่าๆ” ผมหัวเราะกับท่าทางของเขา

   “นี่ถ้าผมอยู่ปีสูงๆ แล้วนะ ผมคงนึกว่าพี่เป็นรุ่นน้องเฟรชชี่แน่ๆ” ทาร์ตยังคงแซวผม พร้อมกับส่งยิ้มกว้าง

   “^o^” ผมยิ้มร่าด้วยความเขิน

   “ว่าแต่พี่ฟร๊องก์เรียนคณะอะไร”
 
   “อ๋อ ศิลปศาสตร์ ภาษาอังกฤษน่ะ เราล่ะ”

   “ผมอยู่นิเทศฯ คณะก็ไม่ได้ไกลกันมากนะ แต่ทำไมผมไม่ยักจะเคยเห็นหน้าพี่เลย” เขาว่าขำๆ กับสิ่งที่ตัวเองคิด

   “ก็อาจจะเคยเห็นกันบ้างล่ะมั้ง แต่ไม่รู้จักกันไงเลยไม่ได้สังเกต” ผมบอกกลับด้วยรอยยิ้ม

   “คงงั้นมั้งพี่ แต่ต่อไปนี้เราคงได้เจอกันบ่อยขึ้นแล้ว”

   “ทำไมอ่ะ” ผมทำท่าฉงนสงสัย

   “ก็เรารู้จักกันแล้วไงพี่ พอรู้จักแล้ว คุ้นหน้ากันแล้ว ก็เจอกัน ทักกันบ่อยขึ้น”

   “ฮ่าๆ คงงั้นมั้ง” ผมหัวเราะออกมา

   แล้วผมก็นั่งคุย นั่งหัวเราะกับทาร์ตไปเรื่อยเปื่อย ทาร์ตเป็นคนตลกมากครับ มุกเพียบ เป็นคนอารมณ์ดีมากๆ จนทำให้ผมต้องยิ้มและหัวเราะตามไปด้วย

   “ว่าแต่พี่อยู่หอไหนหรอ อยู่ไกลเปล่าเดี๋ยวผมได้ส่งไปเป็นเพื่อน” ทาร์ตถามขึ้นมาหลังจากที่เรานั่งกินไปคุยไปจนอาหารใกล้จะหมด ผมเองอิ่มมากๆ แล้ว ท้องจะแตก ก็คุยไปด้วยมันเลยเพลินทำให้กินไม่หยุดเลย มารู้ตัวอีกทีตอนที่ผมกำลังจะจิ้มคอหมูย่างชิ้นสุดท้ายเข้าปาก แล้วทาร์ตนั่งมองผมแบบขำๆ ทำให้ผมรู้ตัวว่าตัวเองกินเข้าไปเยอะมาก

   “อยู่หอ... ไม่ไกลจากนี้มากหรอก ไม่ต้องไปส่งก็ได้” ผมตอบกลับไปอย่างเกรงใจ

   “เห้ย จริงดิพี่ อยู่ทางเดียวกับหอผมเลย งั้นเดี๋ยวกลับด้วยกันก็ได้” เขาว่าอย่างร่าเริง ตั้งแต่มาถึงนี่ผมยังไม่เห็นทาร์ตหยุดยิ้มเลยครับ ยิ้มเก่งและอารมณ์ดีมากจริงๆ

   “งั้นก็ได้ ฮ่าๆ ได้หารค่ารถกันด้วย ประหยัดดี”

   “แอบขี้เหนียวเหมือนกันนะพี่เนี่ย ฮ่าๆ” ทาร์ตแกล้งแซวผม

   “เขาเรียกว่าประหยัดโว้ย” ผมทำเป็นแย้งแบบติดตลก

   จากนั้นทาร์ตก็เรียกคิดเงิน แน่นอนว่าเขาเป็นคนเลี้ยงทั้งหมด แม้ว่าผมจะพยายามบอกว่าให้หารกัน แต่เขาก็ไม่ยอมอยู่ดี แถมยังบอกว่าคราวหน้าค่อยว่ากัน

   “ป่ะครับพี่ กลับกันเถอะ” ทาร์ตลุกออกจากเก้าอี้แล้วใช้มือแตะที่ไหล่ผมเป็นเชิงบอกให้ไปได้แล้ว

   ทาร์ตจัดการเรียกแท็กซี่ก่อนจะบอกที่หมาย

   “แล้วนี่พี่อยู่ห้องไหนอ่ะ อยู่คนเดียวหรอ”

   “อยู่คนเดียว ห้อง 611 อ่ะ ทำไมหรอ” ผมหันไปมองหน้าทาร์ตด้วยความสงสัย

   “เปล่าครับๆ เผื่อจะแวะไปหาไง” ทาร์ตหัวเราะ ผมก็หัวเราะตามกับท่าทางตลกโปกฮาของเขา

   ไม่นานผมก็มาถึงหอครับ ค่าแท็กซี่ผมจัดการยัดใส่มือทาร์ตเรียบร้อย แล้วรีบลงจากรถเลย กลัวว่ามันจะไม่รับครับ ให้เขาจ่ายโน้นนี่คนเดียวทั้งที่เพิ่งรู้จักกันมันดูน่าเกลียด

   “ไว้เจอกันนะพี่ฟร๊องก์ วันนี้ขอบคุณมากเลยครับ” ทาร์ตเปิดกระจกแล้วโผล่หน้าออกมาพูดกับผมด้วยท่าทางทะเล้น พร้อมกับโบกมือบ๊ายบายผม

   “อืม” ผมยิ้มตอบพลางโบกมือให้เช่นกัน ก่อนที่รถแท็กซี่จะค่อยๆ เคลื่อนออกไป


à suivre...

ตัวละครอีกตัวที่ชื่อทาร์ตมาอีกคนแล้ว
หนุ่มน้อยรอยยิ้มชวนฝันคนนี้จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของฟร๊องก์ได้ไหมนะ
จะเข้ามาเป็นรอยยิ้มให้กับฟร๊องก์หรือเปล่า...

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
จำได้เคยอ่านหลายตอนเลยแต่ยังไม่จบ
ถ้าคนแต่งกลับมาแต่งให้จบก็จะดีมาก

ตอนนี้ยังไม่ลุ้นนะเพราะเคยอ่านมากกว่าตอนนี้ไปแล้ว
แต่กำลังจะเข้มข้นขึ้นทุกทีๆ#ไม่สปอยด์ดีกว่า หุหุ

จะรออ่านจนกว่าจะถึงตอนที่เคยอ่านล่าสุดนะ
ขอบคุณฮับ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
จำได้เคยอ่านหลายตอนเลยแต่ยังไม่จบ
ถ้าคนแต่งกลับมาแต่งให้จบก็จะดีมาก

ตอนนี้ยังไม่ลุ้นนะเพราะเคยอ่านมากกว่าตอนนี้ไปแล้ว
แต่กำลังจะเข้มข้นขึ้นทุกทีๆ#ไม่สปอยด์ดีกว่า หุหุ

จะรออ่านจนกว่าจะถึงตอนที่เคยอ่านล่าสุดนะ
ขอบคุณฮับ

เราเห็นชื่อคุณมาคอมเม้นต์ปุ๊บ เราจำคุณได้ปั๊บเลย คราวนี้กลับมาต่อจนจบแน่นอนฮะ
ขอโทษด้วยนะฮะที่หายไปนานมาก และก็ขอบคุณมากๆ ที่ยังกลับเข้ามาอ่าน
  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เพราะอยากรู้จุดจบของอิปาร์ค ม่อกๆๆๆๆ
#เจ็บแสบนัก
หึหึ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 11 [14/5/2017]
«ตอบ #38 เมื่อ14-05-2017 19:58:17 »

Chapitre 11

   เมื่อคืนหลังจากที่กลับจากร้านส้มตำที่ไปกินกับทาร์ต ผมก็ยังคงแอบรอโทรศัพท์ของปาร์คอยู่ พร้อมกับนั่งเล่นเฟซบุ๊กรอไปด้วย แต่สุดท้ายปาร์คก็ไม่ได้โทรมา

   ส่วนเฟซบุ๊กผมก็มีอีกหนึ่งคำขอเป็นเพื่อนเข้ามาใหม่ เมื่อได้เห็นชื่อผมก็ยิ้มทันทีโดยที่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะยิ้มทำไม เป็นทาร์ตครับที่แอดเพื่อนผมมา แถมยังส่งอินบ๊อกมาหาผมเพื่อยืนยันชื่อเสียงเรียงนามให้ผมรับแอดอีกต่างหาก เจ้านี่ก็ดูแปลกๆ แต่ก็ตลกดี

   ผมกดเข้าไปดูในหน้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของทาร์ต ก็แอบงงๆ เล็กน้อยว่าทำไมมีเพื่อนผม คือโดนัทและไวน์เป็นเพื่อนร่วมกันอยู่ด้วย แสดงว่าไวน์ต้องแอบไปเหร่น้องเขาไว้แล้วแน่ๆ เลย ถึงได้รู้จักกัน   

   ติ๊ง!

   ‘รับแอดผมไวมาก’ แทบจะทันทีที่ผมกดรับเพื่อนของทาร์ต เขาก็ทักมาทันที ใครกันแน่วะที่เร็วกว่า

   ‘นี่นั่งเฝ้าหน้าจออยู่รึไง รับปุ๊บทักปั๊บ ;”p’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป

   ‘คงงั้นมั้งคับ ผมกลัวว่าพี่จะลืม’

   ‘ถ้าจะลืมง่ายขนาดนั้นก็เป็นปลาทองล่ะ’ ผมว่ากลับไปพลางอมยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าทะเล้นที่ประดับด้วยรอยยิ้มอันสดใสของทาร์ต

   ‘555+ แต่รูปโปรพี่ก็เหมือนอยู่นะ ดูสิตาโต แก้มป่องเชียว’ ผมตั้งรูปโปรไฟล์เป็นรูปหน้าผมที่กำลังทำปากเหมือนเป็ด แก้มป่องๆ ส่วนตาผมมันดูโตอยู่แล้ว พอทำแบบนี้มันยิ่งดูโตเข้าไปอีก ดูแล้วมันตลกดีผมเลยเอามาตั้ง

   ‘55 ซะงั้น’

   แล้วเราก็นั่งพิมพ์คุยกันในช่องแชทเฟซบุ๊กอยู่นานพอสมควร ขนาดคุยกันที่ร้านตั้งเยอะแล้วนะ เจ้านี่ยังสามารถหาเรื่องมาพูดกับผมได้อีกเยอะแยะมากมาย แถมยังแอบเข้าไปส่องรูปของผมในเฟซฯ แล้วเอามาแซวอีกต่างหาก ผมเลยเอามั้งครับ เข้าไปดูรูปของทาร์ตแล้วมาวิจารณ์บ้าง พอได้เข้าไปดูรูปส่วนใหญ่ของเจ้านี้ มีแต่รูปยิ้มๆ ทั้งนั้นเลยครับ น้องยิ้มเก่งมากจริงๆ และที่สำคัญองค์ประกอบรูปสวยมากๆ อย่างว่าล่ะ เรียนนิเทศฯ นี่เนอะ

   ผมพิมพ์คุยกับน้องเขาจนดึก มองนาฬิกาอีกทีก็เกือบตีหนึ่งแล้ว เลยต้องขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อน การคุยกับทาร์ตเมื่อคืนทำให้ผมลืมคิดไปเลยว่าตัวเองกำลังรอโทรศัพท์จากปาร์คอยู่

   หนึ่งอาทิตย์ต่อมา

   ตลอดช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านไป ผมได้คุยโทรศัพท์กับปาร์คแค่ 2 วันครับ และทั้งสองครั้งที่ได้คุยกัน ปาร์คจะโทรมาไวกว่าปกติแล้วก็จะขอวางสายไปก่อนเสมอทั้งที่เพิ่งโทรมาได้ไม่นาน บางคนอาจจะสงสัยครับว่าทำไมผมถึงไม่โทรไปหาปาร์คเองเลยล่ะ จะนั่งรอโทรศัพท์อยู่ทำไม ผมโทรหาปาร์คอยู่บ้างนะครับ แต่ปาร์คไม่รับสายและบ่อยครั้งที่ผมจะโทรในช่วงเวลาเดิม แต่สายไม่ว่าง ผมก็พยายามคิดในแง่ดี ส่วนหนึ่งคือคิดเข้าข้างตัวเองไม่ให้คิดมาก ว่าปาร์คอาจจะต้องธุระหรือมีงานเยอะเลยไม่ค่อยว่างก็ได้

   ชัญญ่าที่หายไปตั้งแต่วันที่เจอกัน อยู่ๆ เธอก็ทักไลน์ผมมาครับ แต่ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก เธอทักมาแกล้ง มาแซวผม แล้วก็บอกว่าอยากเจอกันอีก อยากเม้าธ์กับผม เธอบอกว่าผมเป็นคนคุยสนุก ผมว่าตัวชัญญ่าเองมากกว่าที่ทำให้บรรยากาศการคุยนั้นสนุก หลังจากที่เธอทักมา เราก็คุยกันในไลน์บ่อยขึ้น วันละนิดละหน่อย แต่ผมรู้สึกสนิทกับชัญญ่ามากขึ้นนะ ผมรู้สึกได้ว่าเธอเป็นคนตรงๆ แต่จริงใจ อีกอย่างผมยังได้รู้ความลับฮาๆ อะไรหลายๆ อย่างของเก็ทจากชัญญ่าด้วย เธอเผาซะเละเลย

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น

   “ว่าไง โทรมาแต่เช้าเลย” คิดว่าปาร์คกันหรือเปล่าครับ ถ้าใช่ คุณคิดผิดแล้ว

   เจ้านี่เป็นอีกคนที่ทั้งทักไลน์ บ้างก็แชทเฟซบุ๊ก และบ่อยครั้งที่โทรหาผม จนตอนนี้ผมกับทาร์ตเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องต่างคณะที่สนิทกันไปโดยปริยาย จริงๆ ก็ไม่อยากพูดว่าสนิทหรอกครับ แต่หลังจากที่รับแอดเฟซบุ๊กมันได้แค่วันเดียว มันก็โทรมาแล้วพูดจากวนผม จนผมพูดออกไปว่า ‘มึงจะไปไหนก็ไปเลย’ แค่นั้นล่ะครับ มันก็ตู่เอาว่าผมพูดกูมึงกับมัน แสดงว่าสนิทกันแล้ว จนตอนนี้ก็ดูเหมือนสนิทกันมากกว่าเดิม มันโทรมาหาผมแทบทุกวันเลยครับ ถ้าวันไหนไม่โทรมันก็จะไลน์มาบอกว่าไม่ว่าง แต่ก็ยังกวนผมในไลน์แทน

   [หิวข้าว ไปกินกับผมหน่อยดิ] ทาร์ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

   “ก็ชวนเพื่อนไปสิ มายุ่งอะไรกับพี่” ผมแกล้งตอบกลับเสียงแข็ง แต่จริงๆ ผมพยายามกลั้นหัวเราะอยู่

   [โห้พี่ ใจร้ายว่ะ เพื่อนผมมันไม่กินข้าวกันหรอกตอนนี้ วันนี้ผมเรียนบ่ายสอง กว่าพวกแม่งจะตื่นก็ก่อนเข้าเรียนแค่ 10 นาทีแค่นั้นแหละ]

   “นี่ก็ยังไม่ตื่นเถอะ คร่อกกก...”

   [ไม่ตื่นแล้วหมาที่ไหนคุยกับผมอยู่ ฮาๆ] อ้าว ไอ้เด็กเวร หลอกด่าผมซะงั้น

   “ว่ากูเป็นหมาเลย เดี๋ยวจะโดน!” อยู่ใกล้จะถีบให้ครับ จะตบหัวก็กลัวตบไม่ถึง ฮาๆ มันกวนผมแบบนี้เป็นประจำ แต่ผมไม่ค่อยถือหรอกครับ อายุไม่ได้ต่างกันมากมายขนาดที่เล่นกันไม่ได้ อีกอย่างผมก็รู้ว่ามันแกล้งเล่น ไม่ได้จริงจัง และไม่ได้เล่นอะไรแรงข้ามเส้นเกินไป

   [โคตรดุเลย!] เสียงสดใสแบบเดิมๆ ของทาร์ตดังกลับมาจากปลายสาย [ไปกินข้าวกับผมหน่อยนะ ผมเลี้ยงก็ได้]

   “น่ารำคาญจริงๆ เลยว่ะ เออๆ เดี๋ยวอาบน้ำก่อน จะไปกินร้านไหนอ่ะ” จริงๆ ไม่ได้รำคาญหรอกครับ ผมเองก็หิวแล้วเหมือนกัน อีกอย่างมีคนอาสาเลี้ยง ก็เอาซะหน่อย ฮ่าๆ

[ไปร้าน... ก็ได้ครับ แล้วก็ไปม.พร้อมกันเลย] หลังจากบอกที่หมายเสร็จ ทาร์ตก็ยังกวนผมต่อ กว่าจะวางสายได้ก็เสียเวลาไปกว่าสิบห้านาที แล้วบอกว่าให้ผมรีบๆ ด้วยเพราะมันหิวมาก เดี๋ยวเจอจะจับเอาข้าวยัดปาก!

   ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็มาถึงที่ร้าน... มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวธรรมดาๆ ครับ แต่อร่อยอยู่นะ อยู่ติดๆ กับคอนโดฯ ที่โดนัทอยู่เลยครับ ซึ่งไม่ไกลจากหอของผมมากนัก นั่งวินมอเตอร์ไซด์มา 20 บาทก็ถึงครับ เลยทำให้ผมเคยมาลิ้มลอง ร้านนี้ต้องก๋วยเตี๋ยวต้มยำเลยครับ รสเด็ดมาก

   “มานานยังพี่” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อทาร์ตมาจิ้มเอวผมจากด้านหลังในขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์อยู่ “ฮ่าๆ ขวัญอ่อนจัง แค่นี้ถึงกลับสะดุ้ง” ผมมองค้อนใส่เจ้าตัวที่กำลังยิ้มร่า

   “เล่นพิเรนๆ แบบนี้ใครไม่ตกใจก็บ้าแล้ว” ผมแหวใส่เสียงดัง แต่ทาร์ตยังคงยิ้มกว้างโชว์เหล็กดัดฟันอย่างไม่สะทกสะท้าน

   “ก็รู้ไงว่าเป็นพี่เลยกล้าเล่น”

   “คราวหน้าขอให้เล่นผิดคนอีก แล้วโดนต่อย!” ผมเบ้ปากก่อนจะเชิดหน้าใส่อย่างหมั่นไส้

   “โหดจริงอะไรจริง” ทาร์ตทำหน้าทะเล้นล้อเลียน

   “แล้วนี่มายังไง” ผมหันไปถามทาร์ตที่ยังคงนั่งยิ้มกว้างแบบกวนๆ มองผมอยู่

   “เดินมา”

   “อยู่แถวนี้หรอ”

   “อยู่คอนโดฯ... นี่เองครับ อยู่ติดร้านนิดเดียวเอง” มันอยู่คอนโดฯ เดียวกับโดนัทเลยครับ

   “อ้าว แล้วตอนนั้นจะนั่งรถเลยไปส่งที่หอทำไม ทั้งที่คอนโดฯ ตัวเองก็ถึงก่อน”

   “ผมกลัวพี่ทำอะไรคนขับแท็กซี่ครับเลยนั่งไปส่งเป็นเพื่อนลุงเขา”

   “ไอ้ $#%##@$%” ผมด่าเป็นชุดเลยครับ

   “ล้อเล่น แหม สาดกระสุนใส่ผมกระจุยเลย ดูดิ๊ คนมองทั้งร้านแล้ว” ทาร์ตหัวเราะอย่างสะใจ ผมเหลือบตามองรอบๆ ร้าน เห็นบอกคนหันมามองพวกผมด้วย ไอ้บ้าเอ๊ย! เสียภาพพจน์หมด

   “เฮียครับ เอาเส้นเล็กหมูแดงต้มยำพิเศษครับ พี่เอาไร” ทาร์ตตัดบทด้วยการเรียกเฮียเจ้าของร้านที่เพิ่งเก็บเงินโต๊ะใกล้ๆ มาสั่งอาหาร

   “ผมเอาบะหมี่หมูแดงต้มยำ ไม่ใส่กุ้งแห้งครับ แล้วก็น้ำเก็กฮวยครับ” ผมหันไปสั่งเฮียที่ยืนพุงพุ้ยรอรับออเดอร์อยู่

   “ผมเอาน้ำเปล่าครับ” เมื่อรับออเดอร์ครบ เฮียแกก็เดินกลับไป

   “พี่ไม่กินกุ้งแห้งหรอ” แล้วทาร์ตก็หันมาถามผมครับ ขณะที่ผมกำลังจะหยิบมือถือมาเล่นต่อ เลยทำให้ผมต้องวางมันลงกับโต๊ะเช่นเดิม

   “ไม่กินอ่ะ ไม่ชอบรสชาติของกุ้ง มันยังไงไม่รู้อ่ะ กลิ่นมันแปลกๆ แต่เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ก็เคยชอบกินนะ แต่พอโตมาก็ไม่กินแล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ฮ่าๆ” ผมอธิบายไม่ถูกเหมือนกันเวลามีคนถามว่าทำไมผมถึงไม่กินกุ้ง ผมแพ้หรือเปล่า บอกได้เลยครับว่าผมไม่ได้แพ้กุ้ง แต่จะมีบางครับที่กินแล้วปากจะเจ่อบวมเล็กน้อย แต่ไม่บ่อยครับ ผมสามารถกินได้นะ แต่ผมไม่ชอบ ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงดีกว่า

   “ฮาๆ พี่นี่ก็แปลกดีเนอะ จากเคยชอบ พอเวลาผ่านไปกลับเลิกชอบแบบหาสาเหตุไม่ได้ซะงั้น”

   “มันคงเบื่อล่ะมั้ง เลยกลายเป็นไม่ชอบไปในที่สุด” ผมตอบกลับขำๆ

**********__________**********

   “แล้วนี่พี่มีเรียนกี่โมง ทำไมต้องรีบขนาดนี้เนี่ย” หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวแบบเพลินไปหน่อย เก็ทโทรเข้ามาบอกจะเข้ามารับ ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือแทบจะพุ่งตัวออกจากร้านทันที

   “เรียนบ่ายอ่ะดิ วันนี้มีเทสต์ย่อยด้วย สายไม่ได้” ผมรีบจ่ายตังค์แบบลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าทาร์ตมันจะเลี้ยง ดันกลายเป็นผมที่เลี้ยงเอง แล้วคว้าแขนทาร์ตให้วิ่งตามผมออกมาเรียกแท็กซี่ทันที ส่วนเก็ทผมบอกแล้วว่าจะไปเอง มันก็ไม่ถามผมต่อครับ ก็วางสายไป

   “ฮ่าๆ ทันอยู่แล้วพี่ นี่ยังไม่เที่ยงครึ่งเลย”

   “ไม่ต้องมาหัวเราะเลย เพราะใครล่ะ กวนอยู่ได้ กินเสร็จช้าเลยเห็นไหม” ผมหันค้อนใส่ทาร์ตอีกครั้งหลังจากที่วิ่งออกจากร้านมารอแท็กซี่

   “ก็ใครมาแย่งหมูแดงผมกินก่อนล่ะ”

   “ไม่ได้แย่งเว้ย ก็สั่งพิเศษมันเยอะกว่า เลยขอแบ่งเฉยๆ นี่กูเป็นคนจ่ายนะเว้ย” ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ครับ ฮ่าๆ ผมแย่งหมูแดงมันกินจริงๆ ครับ ของมันสั่งพิเศษเยอะมาก ส่วนของผมธรรมดา ก็เยอะนะครับ ผมกินเส้นไม่หมดด้วย แต่หมูนี่หมดเกลี้ยง

   “โห้ คนเรา เป็นรุ่นพี่แท้ๆ ไม่รู้จักเสียสละ” ทาร์ตทำหน้าน่าสงสาร แต่ผมว่ามันน่าถีบมากกว่า แล้วมันก็กวักมือเรียกแท็กซี่ครับ “แท็กซี่มาแล้วพี่ ไปกัน”

   ประมาณ 20 นาทีผมก็มาถึงมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าผมให้แท็กซี่เข้าไปส่งถึงหน้าตึกคณะเลย ส่วนทาร์ตให้มันเดินไปคณะเองครับ หมั่นไส้!

   “เห็นไหม บอกแล้วว่ายังไงก็ทัน” ทันทีที่ลงจากรถ ทาร์ตก็ยิ้มมุมปากพร้อมยักคิ้วเท่ๆ เหมือนโชว์ว่าตัวเองเก่งที่คาดเดาไว้ถูกต้อง

   “โชคดีที่รถไม่ติดหรอก กลับคณะเองแล้วกันนะ” ผมว่าพลางแลบลิ้น

   “อ้าวฟร๊องก์! แล้วไม่ได้มากับเก็ทเหรอ” เสียงดิวดังขึ้นจากด้านหลัง ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าในตึก

   “ฮั่นแน่ๆ มีหนุ่มมาส่งด้วยเว้ย” ฟาร์มหมาประจำกลุ่มมาแล้วครับ นุ่นเปิดปากแซวทันที

   “เพื่อนพี่ฟร๊องก์เหรอครับ สวัสดีครับพี่ๆ” ทาร์ตส่งยิ้มประจำตัวก่อนจะยกมือไหว้ดิว แก้ว นุ่นและป๊อปอายอย่างนอบน้อม ไม่ค่อยจะประจบเลย ทีกับผมนี่กวนเอาๆ

   “รุ่นน้องด้วยว่ะมึง” ป๊อปอายเสริมทัพทันที ส่วนแก้วกับดิวนี่ยืนจับมือยิ้มหวานเป็นกำลังใจให้ผมมากเลยครับ

   “อะไรของพวกมึงเนี่ย แค่น้องที่รู้จักเว้ย” ผมแก้ตัว ก็แค่รุ่นน้องที่รู้จักจริงๆ นี่ครับไม่ได้มีอะไรอย่างที่พวกมันคิดกัน

   “น้องที่รู้จัก แล้วทำไมพวกกูไม่เคยเห็นกันเลยวะ ไปรู้จักกันได้ไง” นุ่นยังคงซักไซร้

   “ทำไม มึงต้องรู้จักทุกคนที่กูรู้จักหรือไง” ผมถามเสียงเข้มแต่กวนๆ กลับไป พร้อมยักคิ้วกวนๆ ให้อีกด้วย

   “อ้าว ทาร์ต มาคณะพี่ทำไม” เสียงโดนัทดังขัดขึ้น พร้อมกับเก็ทและไวน์ที่เดินมาพร้อมกัน

   “น้องทาร์ตสุดหล่อของพี่” ไวน์เสียงแหลมวิ่งตรงมาเกาะแขนทาร์ตทันที ผมล่ะอยากให้ผัวมันมาเห็นภาพตอนนี้จริงๆ เลย ไม่ค่อยจะแรดเท่าไร ว่าแต่สองคนนี้รู้จักทาร์ตได้ไง เห็นมีเฟซบุ๊ก แต่ไม่คิดว่าจะดูสนิทกันขนาดนี้

   “นี่มึงสองคนรู้จักทาร์ตด้วยเหรอ” ผมถามอย่างงงๆ

   “รู้สิ ก็มันเป็น ‘น้องชาย’ กู” โดนัทตอบเล่นเอาผมอึ้งเลย “ว่าแต่มึงเถอะ รู้จักกับน้องกูได้ไง”

   “เอ่อ... เรื่องมันยาว รีบไปสอบเถอะมึง เดี๋ยวไม่ทันนะ” ผมว่าก่อนจะรีบหันหนีแล้ววิ่งขึ้นตึกไปทันที

   “ไม่ต้องเลย...” เสียงพวกนั้นตะโกนตามหลังผมมาแต่ผมไม่สนใจแล้วครับ ชิ่งก่อนดีกว่า ถึงผมกับทาร์ตจะไม่ได้มีหรือเป็นอะไรที่ลึกซึ้งก็เถอะ แต่เชื่อสิ ปากแต่ละคนน่ะ สามารถสร้างเรื่องได้ทั้งนั้นแหละ


à suivre...

ตอนนี้ยกให้ทาร์ตเลย จะใช่คนที่เข้ามาทำให้ใจของฟร๊องก์เปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่านะ

เชียร์ใครดีนะ

กด 1 เลือก ปาร์ค
กด 2 เลือก เก็ท
กด 3 เลือก ทาร์ต
กด 4 หาคนใหม่
หรือกด 5 อยู่คนเดียวไปเถอะฟร๊องก์

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
คือถ้าเป็นเราอ่ะนะ เราชอบ คนแบบเก็ท ซึ่งได้แค่ชอบแต่จะให้ถึงขั้นแย่งเขามา เราก็คงกลายเป็น อิคนบาป2017  555  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
มายกมือว่าเป็นนักอ่านดั้งเดิมเรื่องนี้อีกคนครับ (หัวเราะ) ยังไงก็รอติดตามครับ เรื่องนี้สนุกเลย ไว้เดี๋ยวถึงตอนพีคๆจะกลับมา edit ให้ความเห็นครับผม

Ultimately, every story have it own unfolding. It is intriguing to see how this one shall do.

+ 8 มิ.ย. 60 + (ถึงตอนที่ 21)

ไม่รู้มีใครเคยบอกไหม แต่ปกติ ผู้ชายจะไม่ยีหัวคนที่เขาไม่เอ็นดูนะครับ (หัวเราะ) เก็ทนี่ผมว่าคาแรกเตอร์เข้าวินพระเอกมากเลยนะครับ เสียแต่มีแฟนแล้วเนี่ยละสิ เท่าที่ผมมอง ผมว่าเก็ทมีความรู้สึกต่อฟร็องก์นะครับ มากน้อยเท่าไหร่ไม่รู้ แต่มีแน่ และผมชอบเขาเพราะคาแรกเตอร์เขาเท่มาก นอกเหนือจากรูปลักษณ์เป็นลูกครึ่งอาหรับที่ทางกายภาพก็เปิดตัวมาว่าเท่กว่าปาร์ค (ซึ่งผมเดาจากทอล์ค ปาร์คคงจะเป็นพระเอก...) และเป็นคนเงียบๆขรึมๆไม่พูดมาก เลยทำให้ผมมองว่าการกระทำเขาค่อนข้างตีความยาก คือมันไม่ชัดเจนแต่ก็ตามสไตล์นิสัยคนเงียบๆแบบเก็ทอยู่แล้ว ทำให้เวลามีโมเมนท์นี่เราก็ลุ้น แต่จะเชียร์ก็เชียร์ได้ไม่สุดเพราะความไม่ชัดเจนแบบขรึมๆของเก็ท อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวละครตัวนี้มีความน่าสนใจมากครับ

ส่วนปาร์คนี่ก็ดูเหยียบเรือสองแคมดีนะครับ (หัวเราะ) ปาร์คนี่ผมว่ามีปัญหาตรงที่ว่าช่วงแรกที่ฟร็องก์แอบแทะเล็มเล็กๆน้อยๆตอนหลับ ปาร์คดูมีปฏิกิริยาตอบรับแรงมากครับ แต่พอกลับมาแล้วดูจะเล่นหยอกเล่นหยอกเอิน รวมถึงมีการคบหญิงซ้อนไปด้วย มันดูเหมือนจะสื่อว่าปาร์คมองว่าการอยู่กับฟร็องก์เหมือนกับการมีกิ๊กในสถานะเพื่อน เพราะถ้าได้จ้ำจี้กับฟร็องก์ มันคงจะทำให้ปาร์คได้ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศด้วย และฟร็องก์เองก็คงไม่ปฏิเสธ แนวคิดนี้มันก็เป็นพื้นฐานผู้ชายดีอยู่หรอกนะครับ เสียแต่ว่ามันทำร้ายจิตใจฟร็องก์น่ะสิ เพราะแนวคิดนี้มันไม่ได้สื่อว่าปาร์คจะต้องมา ‘รัก’ ฟร็องก์เลย อาจจะมีความรู้สึกดีๆให้ แต่พอปาร์คมีแฟน ความรู้สึกของปาร์คมันก็ต้องทุ่มไปให้แฟนมากกว่ากิ๊กในสถานะเพื่อนอยู่แล้ว เลยทำให้ฟร็องก์ถ้าจะมีแฟนจริงๆ อาจจะไม่เหมาะกับปาร์คสักเท่าไหร่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2017 22:43:53 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 12 P.2 [16/5/2017]
«ตอบ #41 เมื่อ16-05-2017 19:54:17 »

Chapitre 12

   หลังจากที่ทุกคนได้เจอผมมากับทาร์ต แน่นอนว่ามันกลายเป็นประเด็นเด็ดประเด็นร้อนประจำกลุ่มไปในบัดดล ผมที่อุตส่าห์หนีรอดไปในตอนแรก แต่หลังจากสอบเสร็จนั่นคงไม่ต้องเล่านะครับว่าเจอกับความโหดร้ายของเพื่อนแต่ละคนขนาดไหน คิดดูสิ แม้แต่แก้วที่ยิ้มๆ ขำๆ อย่างสุภาพ แต่เจอคำพูดเธอทีเดียว ผมนี่จุกเลยครับ

   ทุกคนเค้นเรื่องราวจากผมแบบหมดเปลือก ตอนแรกผมก็พยายามบอกว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ แต่ไม่มีใครเชื่อผมเลยครับ ยิ่งโดนัทนะ เสริมเข้ามาอีกประมาณว่า ‘ถึงว่าหมู่นี้เห็นเจ้าทาร์ตมันคุยโทรศัพท์ แล้วยิ้ม หัวเราะบ่อยๆ นึกว่าคุยกับใคร’ แค่นั้นล่ะครับ ผมนี่โดนยิ่งคำถามรัวอย่างกับกระสุนปืนเอ็มสิบหก

   แต่ผมก็เล่าแค่คร่าวๆ นะครับ ก็บอกแค่ว่าเจอกันได้ไง อะไรประมาณนั้น ส่วนเรื่องโทรคุยกัน ผมก็บอกเลี่ยงๆ ว่าไม่ได้คุยกันบ่อย แล้วก็ยืนยันว่าผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลยจริงๆ ก็แค่รุ่นพี่รุ่นน้องจริงๆ นี่ครับ

   “เออ นี่รู้กันยังว่าเสาร์หน้าจะมีกิจกรรมกระชับมิตรระหว่างคณะนะ สงสัยมหา’ลัยงบเหลือ” ป๊อปอายพูดเปลี่ยนประเด็ดออกจากเรื่องของผมหลังจากที่เลิกเรียนตอนเย็น

   “พวกเราต้องเข้าร่วมด้วยเหรอ ไม่ใช่เฉพาะปีหนึ่งเหรอ” แก้วถามเสียงหวาน

   “เหมือนเขาบังคับปีหนึ่งกับปีสองนะ ได้หน่วยกิจกรรม แล้วก็เหมือนเป็นการกระชับมิตรระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องอ่ะ เพิ่งมีปีนี้ปีแรก คณะเราคู่กับนิเทศฯ ต้องเข้าฐานและทำกิจกรรมร่วมกัน” ป๊อปอายว่าต่อ “งานนี้เหมือนจะเป็นงานใหญ่มากเลย แต่ทำไมดูไม่มีใครเตรียมตัวอะไรเลยก็ไม่รู้”

   “เห็นพวกพี่ปีสามเข้าทำฐานกันอยู่นะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของกิจกรรมอันนี้หรือเปล่า คงใช่แล้วแหละถ้างั้น” โดนัทเสริมต่อ ทำไมพวกนี้ข้อมูลเยอะกันจัง ผมนี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย อย่างว่าแหละครับ ผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจอะไรมากอยู่แล้ว ไปมหาวิทยาลัยก็อยู่แต่กับเพื่อนๆ พวกนี้ ไม่ค่อยรู้จักหรือเป็นที่รู้จักของใคร

   “แล้วพวกเราต้องทำอะไรไหม หมายถึงปีสองอ่ะ” นุ่นถามต่อ

   “ก็ไม่เห็นมีใครมาบอกอะไรเลยนิ คงไม่ต้องมั้ง ขี้เกียจมาด้วย เอาจริงๆ” ผมว่า อยากกลับบ้านนี่ครับ ถึงจะกลับทุกอาทิตย์ก็เถอะ วันเสาร์ทั้งทียังต้องมาทำกิจกรรมอีก

   “สนุกๆ ไงแก ได้เหร่หนุ่มๆ ด้วยนะ” ไวน์แสดงท่าทางดีดดิ้น ดูท่าทางดีใจจนเนื้อเต้น ไม่ใช่ประเด็นว่าจะได้ทำกิจกรรมหรอกครับ แต่คงเป็นเรื่องได้เหร่ผู้ชายมากกว่า

   “แกจะได้เจอกับน้องทาร์ตยิ้มหวานของมึงด้วยไงฟร๊องก์” วกกลับมาประเด็นเดิมจนได้ครับ เออ... นั่นสิ ผมก็ลืมไปเลยว่าทาร์ตมันเรียนนิเทศฯ

   “ไม่เกี่ยวกันเลย กลับกันเถอะ” ผมตัดบทแล้วลากเก็ทที่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์เงียบๆ กับดิวให้ลุกกลับทันที

   “แหม รีบอ้อนผัวพาหนีเชียวนะมึง ระวังโดนซ้อมล่ะ วันนี้จับชู้ได้ต่อหน้าต่อตา ดูสิเงียบทั้งวันเลย” นุ่นเจ้าเดิมยังไม่ยอมจบครับ

   “สงสารกูบ้างเถอะ กูไม่มีแรงจะสู้รบปรบมือกับพวกมึงแล้ว กูโดนมาทั้งวันแล้ว พวกมึงก็แม้งยัดข้อหาให้กูอยู่นั่นล่ะ บอกไม่มีอะไรๆ ห่า” ผมว่าเสียงเข้ม ไม่ได้โกรธหรอกครับ แต่แกล้งทำเป็นเคือง เพราะอยากให้พวกมันจบประเด็นสักที ผมไม่มีพื้นที่จะให้พวกมายิงแล้วครับ

   “โอเค กูเข้าใจเว้ย ต่อหน้าผัวมึงก็ต้องบอกอยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน เอาเป็นว่าพวกกูเข้าใจมึงนะ ผัวเก็ทของมึงเผลอเมื่อไหร่ เดี๋ยวพวกกูช่วยดันผัวน้อยของมึงด้วยแล้วกัน ฮ่าๆๆ ไปๆ กลับพวกเรา ให้ผัวเมียคู่นี้ได้มีเวลาเคลียร์กัน” จบครับ จบเลยชีวิตผม ระเบิดลูกสุดท้ายเล่นผมซะน็อคเลย

   ในที่สุดก็พากันกลับครับ ในรถโดนัทกับไวน์ก็แนะนำสรรพคุณของทาร์ตอย่างโน้นอย่างนี้ นี่โดนัทไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ ถ้าสมมติน้องชายของตัวเองเป็นเกย์ เชียร์กันซะขนาดนี้ ผมกับเก็ทต้องนั่งฟังทั้งคู่จนไปส่งทั้งสองคนตามที่หมายล่ะครับ รถถึงกลับเข้าสู่ความเงียบ

   “ชอบเด็กคนนั้นเหรอ” อยู่ๆ เก็ทก็ถามขึ้นมา เป็นประโยคแรกของวันเลยมั้งครับที่เก็ทเอ่ยปากคุยกับผม เห็นวันนี้เก็ทดูเงียบๆ นั่งกดโทรศัพท์อยู่ทั้งวันเลย

   “เปล่า ก็แค่พี่น้องกัน” ผมตอบไปตามความจริงครับ เพราะผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆ ส่วนตัวน้องเขาผมไม่รู้

   “อืม ว่าไปน้องมันก็ดูโอเคนะ ไม่ลองเปิดใจดูหน่อย” ผมหันไปมองเก็ทที่พูดโดยที่สายตายังมองไปยังถนนเบื้องหน้าอย่างสงสัย

   “หื้ม... ไม่น่าเชื่อว่าคุณเก็ทจะเอ่ยปากชมคนอื่น” ผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วยิ้มล้อเลียน

   “ไม่ได้ชม แค่พูดตามที่เห็น เด็กนั่นมันดูซื่อๆ ดี” เก็ทว่าต่อพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งมาดันหัวผมให้ถอยห่างออกมา

   “ไม่รู้ดิ น้องก็น่ารักดีนะ ฟร๊องก์เองก็ชอบรอยยิ้มน้องเขานะ รอยยิ้มน้องดูจริงใจ เห็นแล้วเหมือนมันเปลี่ยนโลกรอบข้างให้ดูสดใส แต่ความรู้สึกฟร๊องก์ยังติดอยู่ที่... คนนั้น” ผมพูดในโหมดจริงจังขึ้น พลางเหมอมองออกไปนอกกระจก ใจผมยังคงคิดถึงปาร์คตลอดครับ ปาร์คยังคงเป็นรักเดียวของผม ถึงจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

   เก็ทเป็นคนเดียวที่ผมกล้าพูด กล้าเล่า และเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องราวของผมมากที่สุด ยิ่งหลังจากตอนที่ผมป่วย แล้วเก็ทเป็นคนไปดูแลผม ผมยิ่งรู้สึกว่าเก็ทอบอุ่น และเชื่อใจได้ เก็ทสามารถเป็นที่พึ่ง ที่ปรึกษา และเป็นเพื่อนที่ดีได้ในเวลาเดียวกัน

   “อยู่ที่ตัวฟร๊องก์ แต่เก็ทก็อยากให้ฟร๊องก์ลองมองคนรอบข้าง ลองเปิดใจดูบ้าง เผื่อบางทีฟร๊องก์อาจจะก้าวออกมาจากจุดที่ฟร๊องก์เป็นอยู่ก็ได้” ต่อหน้าคนอื่นเก็ทอาจจะดูเงียบๆ ดูเย็นชานะครับ แต่เมื่อยามที่เพื่อนมีปัญหา เก็ทเป็นอีกคนที่จะคอยอยู่ข้างๆ ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจที่ดีๆ เสมอ

   “อืม ให้มันเป็นไปตามทางของมันล่ะกัน” ผมคงเป็นคนที่ดื้อมากนะครับ รับฟังแต่ไม่ค่อยปฏิบัติตาม ไม่มีใครเป็นผม ไม่มีใครเข้าใจหรอกครับ การที่เรารักใครสักคน มันยากมากนะครับที่จะหยุดรัก และปันความรักไปให้คนอื่น

   แล้วผมก็มาถึงหอครับ หลังจากประโยคของผม ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่ออีก เก็ทเคารพการตัดสินใจของทุกคน และเราสองคนก็เหมือนกันตรงที่จะไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของกันและกันมากเกินไป อาจเป็นเพราะแบบนี้ที่ทำให้ผมเลือกที่จะพูดอะไรหลายๆ อย่างกับเก็ท

**********__________**********

   กิจกรรมมหาวิทยาลัย

   และแล้ววันเสาร์ที่มีกิจกรรมก็มาถึง จริงๆ ตอนแรกผมไม่ได้อยากมานักหรอกครับ แต่ทาร์ตสิครับ บอกให้ผมไปให้ได้ เพราะคณะเราต้องทำกิจกรรมด้วยกัน แถมเพื่อนแต่ละคนก็เชียร์กันสุดฤทธิ์ บอกให้ผมสานความสัมพันธ์ คือถามตัวผมกับทาร์ตก่อนไหม

   กิจกรรมวันนี้คล้ายกับการรับน้องเลยครับ แต่แค่เป็นการจับคู่ระหว่างปีหนึ่ง ปีสองจากต่างคณะ ซึ่งจะเป็นคู่คณะที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดมา ซึ่งแน่นอนว่าผมได้คู่กับทาร์ต เพราะเป็นคนเดียวที่ผมรู้จักในคณะนิเทศฯ แถมกองเชียร์ก็ยังเชียร์กันเสียงดัง จนสุดท้ายคู่ของผมต้องกลายเป็นคิงและควีนจำเป็นของกลุ่มไปโดยปริยาย

   ผมนี่อายจนแทบทำอะไรไม่ถูกเลยครับ ส่วนทาร์ตนี้ยังดูชิลล์มาก ยังคงยืนโชว์ยิ้มโชว์เหล็กดัดฟันอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย

   การทำกิจกรรม พวกปีหนึ่งที่จับคู่ปีสองอย่างพวกผมจะต้องเวียนไปตามฐานของแต่ละคณะไปเรื่อยๆ ครับ เกณฑ์กับจับคู่คณะก็คือ เลือกเอาคณะที่อยู่ใกล้ๆ กันที่สุดมาคู่กันครับ เพราะเวลาทำฐานกิจกรรม จะได้ร่วมกันจัดเป็นฐานเดียว โดยคนที่จัดฐานหลักๆ คือปีสาม แต่ในวันนี้มีปีสี่บางส่วนมาร่วมทำกิจกรรมด้วย คือมาเป็นคนช่วยแกล้งน้องๆ ด้วยนั่นล่ะครับ

   ฐานแรกที่พวกผมต้องไป คือฐานของคณะศึกษาศาสตร์กับจิตรกรรมครับ ไปถึงก็โดนต้อนรับก่อนเลยครับ ด้วยมัดผม และป้ายสีที่หน้า แน่นอนคิงและควีนอย่างผมและทาร์ตโดนหนักเป็นพิเศษ แต่ผมถึงกับหัวเราะลั่นเมื่อมีพี่คนหนึ่งเอามะเขือยาวผูกกับเชือก แล้วมาผูกไว้ที่เอวของทาร์ต โดยให้มะเขือยาวห้อยลงมาตรงหว่างขา

   ฐานนี้เหมือนจะไม่มีอะไรมากนะครับ แต่พอเล่นจริงๆ แล้วเหนื่อยมาก เกมก็คือให้ผลัดกันแบกคู่ของตัวเองวิ่งขึ้นลงอัฒจรรย์ เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนสุดก็ต้องเป่าลูกโป่งทั้งที่ยังแบกอีกคนอยู่ แล้วขากลับต้องสลับกับคนแบก แล้วต้องใช้ลำตัวของทั้งคู่พยุงลูกโป่งกลับลงมาด้านล่างโดยห้ามหล่น เพราะถ้าหล่นต้องกลับขึ้นไปเริ่มใหม่จากด้านบน

   โดยในกลุ่มจะแบ่งทีมเป็น 5 ทีม แข่งกันรอบละ 5 คู่ ทีมไหนทำครบทุกคู่ก่อนเป็นทีมที่ชนะ สองทีมสุดท้ายที่แพ้ต้องโดนทำโทษ ขาขึ้นผมเป็นคนแบกทาร์ตขึ้นหลังครับ หนักมาก ก้าวไม่ไปกันเลยทีเดียว แถมยังต้านแรงโน้มถ่วงของโลกอีกต่างหาก แต่อย่างก็ยังดีที่คู่ผมไม่ได้เป็นคู่สุดท้ายที่ขึ้นไปถึงด้านบนของอัฒจรรย์ จากนั้นผมก็รีบหยิบลูกโป่งมาเป่าทันที แต่เป่าเท่าไรมันก็ไม่ใหญ่ครับ เพราะผมเหนื่อยและหนักมาก จนในที่สุดทาร์ตต้องแย่งลูกโป่งจากมือผมไปเป่าแทน และผมก็ต้องเปลี่ยนไปขี่หลังทาร์ต ซึ่งตัวทาร์ตคงสบายๆ มาก แต่ความยากคือมือทาร์ตก็ต้องจับขาผมเพื่อให้ผมตก มือผมก็ต้องเกาะไหล่ทาร์ตเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเช่นกัน ปัญหาคือเจ้าลูกโป่งเนี่ยล่ะ มันหล่นหลายรอบมาก จนสุดท้ายทีมผมก็เป็นทีมสุดท้ายที่ทำเสร็จ

   บทลงโทษไม่หนักหนามากครับ แค่... ให้เต้นท่าเซ็กซี่ที่สุดกับคู่ของตัวเอง โดยที่คิงและควีนอย่างคู่ผม ต้องไปเต้นข้างบนอัฒจรรย์ ซึ่งคณะอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ มองเห็นครับ ไม่ค่อยหนักเท่าไรเลย บทลงโทษ ทุกคนก็หัวเราะชอบใจกันมาก ทาร์ตเองก็หัวเราะไปกับเขาด้วย มันดูไม่ซีเรียสกับอะไรเลย แต่ผมนี่สิ อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยิ่งอีตอนเต้นนะ เสียงเชียร์ เสียงดูดปากเหมือนนกหวีดดังมาก เพราะผมได้สิทธิพิเศษได้เต้นเป็นคู่สุดท้าย ถือเป็นการปิดฟลอร์ อายมากครับ นี่ขนาดแค่ฐานแรกนะ

   “เป็นไงบ้างพี่ เหนื่อยไหม” ทาร์ตถามขณะที่พวกเรากำลังเดินไปยังฐานสุดท้ายของคณะวิศวกรรมศาสตร์และนิติศาสตร์ ซึ่งเป็นฐานที่กวนที่สุดแล้ว เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ถึงจะมีผู้หญิงก็ค่อนข้างห้าวและห่าม

   “เหนื่อยดิ ร้อนด้วยเนี่ย อยากกลับไปอาบน้ำนอนล่ะ” ผมบ่นอย่างอิดออด อากาศร้อนมากครับ แล้วกิจกรรมแต่ละฐานที่ผ่านมาก็หนักๆ ทั้งนั้น

   “น้องๆ มากันแล้วคร้าบบบ” เสียงโห่ร้อง ไม่รู้โห่รับหรือโห่ไล่ของพวกรุ่นพี่ประจำฐานก็ดังขึ้นทันที

   “ไหนใครเป็นคิง เป็นควีนประจำกลุ่มนี้ มาจากคณะไรกัน” พี่ผู้ชาย (หน้าตาดี) อีกคนเดินออกมาถาม ไวน์ผลักผมออกไปทันทีเลยครับ ดูมันทำกับเพื่อน

   “ว้าว! ‘คิงกับควีน’ กลุ่มนี้สมชื่อจริงๆ ฮ่าๆ” ผมรู้ความหมายดีครับ คงไม่ต้องอธิบาย

   “ฐานพวกพี่เล่นง่ายๆ ครับ พวกพี่รู้ว่าน้องๆ เหนื่อยกันแล้ว เลยมีของกินมาเสิร์ฟให้ จับคู่กันไว้แล้วใช่ไหม” เสียงพี่ผู้ชายคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

   “ใช่ครับ/ค่ะ” ทุกคนตอบพร้อมเพรียง

   “แต่กติกามีอยู่ว่า พวกน้องต้องแบ่งคนเป็นสามทีมหลักๆ ก่อน เพื่อแข่งเกมกับพวกพี่สามรอบ ใครชนะสองเกมก่อนเป็นฝ่ายชนะ ถ้าน้องๆ ชนะพี่ถึงจะมีน้ำ มีขนมอร่อยๆ ให้กิน เกมก็คือคล้ายกับลิงชิงบอล แต่เราจะใช้ลูกบอลเป็นอาวุธในการขว้างใส่ทีมของผู้ต่อสู้ ถ้าใครถูกปาลูกบอลใส่จะต้องตกเป็นเชลยของทีมคู่แข่ง ทีมไหนถูกจับเป็นเชลยหมดก่อนก็ถือว่าแพ้” พี่คนเดิมอธิบายวิธีการและกติกาการเล่นเกมคร่าวๆ ก่อนจะแบ่งให้พวกผมจับกลุ่มกันเป็นสามทีม

   ฐานนี้เป็นเกมที่สนุกมาก แบ่งข้างโดยใช้ถนนในมหาวิทยาลัยแล้วกั้นเขต ห้ามวิ่งหนีเกินเขตแดนของทีมตัวเอง แต่เวลาแย่งลูกบอล สามารถวิ่งข้ามเขตของกันและกันได้ แต่ถ้าข้ามไปแล้วต้องมั่นใจว่าจะไม่โดนลูกบอลปาใส่ ไอ้ผมนี่โดนปาไปคนแรกๆ เลยครับ ไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าพวกพี่เขาจ้องจะปาผมอย่างเดียวเลย ผมวิ่งหนีไปทางไหนก็โดนเขวี้ยงลูกบอลตาม แต่แรกๆ ทาร์ตเข้ามาช่วยป้องกันให้ ถ้าปาลูกบอลมาแล้วอีกทีมรับได้ ถือว่าไม่ตายครับ สามารถใช้เป็นอาวุธต่อได้เลย แต่ถ้าโดนปาแล้วรับไม่ได้ถือว่าตาย หนีไปหนีมาสุดท้ายผมก็โดนปาใส่จนได้ โดยพี่หน้ากวนที่ส่งเสียงโห่ดังลั่นตั้งแต่เข้าฐาน แถมยังยักคิ้วกวนๆ ให้ผมอีกต่างหาก

   เกมทั้งสามรอบกินระยะเวลานานพอสมควร เพราะถือเป็นฐานสุดท้ายแล้ว แต่ละคณะจะเต็มที่กับกิจกรรมมากๆ สรุปคือพวกผมชนะไปในรอบแรก แต่แพ้รวดในสองรอบหลัง พวกพี่เขาเล่นกันเก่งมากๆ แถมยังโหดมากๆ อีก ขว้างบอลมาทีแรงมาก สรุปพวกผมไม่ได้ของรางวัลคือพวกน้ำหวานและขนมครับ แต่ก็แกล้งทำเป็นเสียดายกันอะไรแบบนี้ จะได้ดูมีส่วนร่วมกับกิจกรรมหน่อย ไม่ใช่เล่นไปส่งๆ

   “อยากกินขนมกันไหม” พี่คนหนึ่งถามขึ้นมา

   “อยากคร้าบบบ/ค้าาา”

   “โอเค พวกพี่ใจดี จะให้กินแล้วกัน” พี่คนนั้นพูด พลางยิ้มอย่างมีเลศนัย ผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ กับรอยยิ้มนั้นไม่รู้ทำไม

   “เย้ๆๆ” เสียงดีใจคนทุกคนก็ดังขึ้น

   “แต่เราต้องให้เกียรติคิงกับควีนของกลุ่มได้กินก่อนนะ เชิญคิงกับควีนพะยะค่ะ” พี่คนนั้นทำท่าผายมือเชิญผมกับทาร์ตให้ออกไปยืนด้านหน้า พร้อมกับพวกพี่คนอื่นๆ รวมถึงลูกทีมของผมก็ต้องเฮ ปรบมือตามๆ กัน กูว่าแล้วว่ามันจะต้องมีอะไรแน่ๆ

   “ท่าทางคิงกับควีนจะเหนื่อยมากนะ งั้นพี่เอาขนมให้เนอะ” พี่เขาว่าก่อนที่เพื่อนเขาจะหยิบปลาสวรรค์ทาโร่เส้นยาวๆ ส่งมาให้จำนวนหนึ่งเส้น “นี่ครับขนม แต่เป็นคิงกับควีนจะต้องกินแบบพิเศษๆ หน่อย ต้องสวีทหวานกันนิดหนึ่ง”

   “เอ่อ... พี่ผมไม่ได้กินก็ได้นะ ซื้อกินเองก็ได้” ผมพูด เหงื่อตกเลยครับ วิธีกินมันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

   “^o^” ส่วนทาร์ตนี่ยิ้มร่าเชียวครับ

   “ถ้าควีนไม่กิน เพื่อนๆ คนอื่นก็อดกินด้วยนะครับ เพื่อนๆ ยอมเหรอ”

   “ไม่เอา พี่/มึง/ฟร๊องก์/นาย กินดิๆๆ” โอ้โห้ เสียงเชียร์ไม่เกรงใจและไม่เห็นใจกูเลยครับพวกมึง

   “เออๆ กูเล่นก็ได้ พวกเห็นแก่กิน” ผมหันกลับไปแหวใส่แบบงอนๆ รู้จักไม่รู้จักช่างมันเถอะครับ ฮ่าๆ

   “เยี่ยมเลยครับ เอาล่ะ กติกาไม่ยากครับ แค่ทั้งคู่ต้องกินทาโร่เส้นนี้โดยใช้แค่ปากกัดจากปลายทั้งสองด้าน ถ้าทาโร่เหลือเกินหนึ่งเซนฯ เพื่อนๆ อดกินขนมกันนะ” Your father died! (พูดตามในวีดีโอฝรั่ง) สิ หนึ่งเซนฯ นี่ผมไม่อยากจะนึกภาพตามเลยครับ

   “ถอนตัวทันไหม” ผมบ่นกระปอดกระแปด

   “สนุกๆ นะพี่ ผมไม่จูบพี่หรอก แต่... ก็ไม่แน่” ทาร์ตเขยิบเข้ามากระซิบข้างหู ยิ่งทำให้ผมขนลุกเขาไปใหญ่ แค่เข้ามากระซิบก็ขนลุกแล้ว ยิ่งคำพูด ผมขอลืมมันไปเลยก็แล้วกัน

   “โอ๊ะๆ มีกระซิบกระซาบ วางแผนกันด้วย อย่าหวานเกินหน้าเกินตานะครับ เดี๋ยวพวกพี่อิจฉา” ทุกคนหัวเราะผมกับทาร์ตกันหมดเลยครับ ตอนนี้ใจผมเต้นแรงมาก มันทั้งตื่นเต้นและกลัวในเวลาเดียวกัน

   “เริ่มกันเลยครับ เพื่อนๆ รอกินขนมอยู่” แล้วพี่เขาก็หยิบเส้นทาโร่ส่งมาให้ผมกับทาร์ต พวกผมรับมันไว้แล้วจับที่ปลายทั้งสองด้าน ทาร์ตมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มที่มีเหล็กดัดฟันสีน้ำเงินเด่นอยู่ด้านหน้าแค่ประมาณหนึ่งฟุต ส่วนผมก็ก้มๆ เงยๆ ไม่กล้าสบตาครับ ผมอาย ก่อนที่จะทาร์ตจะเอาเส้นทาโร่ใส่ปาก ผมจึงต้องทำตาม ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงเฮของคนในฐานนั้น ตอนนี้ผมปิดการรับรู้รอบข้างแล้วครับ อับอายมาก

   “เริ่มเลยครับ” แล้วทาร์ตก็เริ่มขยับปากเคี้ยงเส้นทาโร่เข้ามาเรื่อยๆ ผมมองนิ่งๆ อยู่หลายวินาทีก่อนจะเริ่มกัดเส้นทาโร่ขยับเข้าไปเช่นกัน จนใบหน้าของเราสองคนขยับเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงกรี๊ดจากรอบข้างที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

   แชะ! แชะ! แชะ!

   เสียงชัตเตอร์จากทั้งกล้อง DSLR  ทั้งกล้องโทรศัพท์มือถือดังระงมอย่างไม่หยุดแข่งกับเสียงกรี๊ดที่ดังอย่างเกรียวกราว ขณะที่ปลายจมูกของผมกับทาร์ตห่างกันแค่ไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร

   ผมหยุดตัวเองไว้ที่แค่นั้น ทาร์ตเองก็เช่นกัน ใบหน้าผมร้อนผ่าวจนไม่กล้าจะเหลือบตามขึ้นไปมองหน้าของคนตรงหน้า ผมไม่รู้ว่าสีหน้าของทาร์ตจะเป็นเช่นไร เราทั้งคู่ ‘หยุด’ อยู่ที่ ‘ระยะ’ แค่นี้เนิ่นนานกว่านาที แต่แล้วก็...


à suivre...

ตอนนี้ก็ยังคงมาเพื่อทาร์ต ซึ่งจะมีลุ้นพัฒนาความสัมพันธ์รึป่าวก็... ไม่บอก 555+
และเกิดอะไรขึ้นระหว่างฟร๊องก์กับทาร์ต รอลุ้นตอนต่อไป...  :impress2:

ขอขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกความเห็น และก็ทุกคนที่เข้ามาอ่านด้วยนะฮะ ชอบไม่ชอบยังไงก็คอมเม้นต์ให้กันได้เลยฮะ



คือถ้าเป็นเราอ่ะนะ เราชอบ คนแบบเก็ท ซึ่งได้แค่ชอบแต่จะให้ถึงขั้นแย่งเขามา เราก็คงกลายเป็น อิคนบาป2017  555  :laugh:
ผู้ชายอบอุ่นอ่ะเนอะ ใครๆ ก็ชอบ 55555+ ฟร๊องก์อยากเป็นคนบาป 2017 ด้วยไหม??  :hao6: :laugh:

มายกมือว่าเป็นนักอ่านดั้งเดิมเรื่องนี้อีกคนครับ (หัวเราะ) ยังไงก็รอติดตามครับ เรื่องนี้สนุกเลย ไว้เดี๋ยวถึงตอนพีคๆจะกลับมา edit ให้ความเห็นครับผม

Ultimately, every story have it own unfolding. It is intriguing to see how this one shall do.
บอกตรงๆ แอบลุ้นว่าคุณจะกลับมาอ่านอีกไหม ถ้าเอากลับมาลงอีก เพราะหายไปนานมากกกกกกก แต่ก็ต้องขอบคุณอย่างสูงที่เป็นแรงบันดาลใจเราทำการรีไรท์ใหม่ และขอบคุณมากๆ ที่วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา เป็นแนวทางและกำลังใจให้เราอย่างมากในการทำงานให้ดีขึ้น  :กอด1: (แต่ก็ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นจากเดิมมากหรือเปล่า 5555+) ยังไงรอลุ้นว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปยังไงนะฮะ  :mew1:

ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
แบบว่า ขอข้ามตอนไปตอนฟร็องเริ่มเปิดใจให้คนอื่นบ้างไลยได้มั่ย แบบว่า สนใจ ใส่ใจ ปาร์คน้อยลงไป อยากรู้ ฝั่งปาร์ค จะเปนไง ข้ามเลย ได้มั้ย 555555555

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Chapitre 13

   ผมกับทาร์ตหยุดตัวเองในระยะห่างที่เหลืออยู่น้อยนิด ใบหน้าผมร้อนผ่าวจนไม่กล้าจะเหลือบตามขึ้นไปมองหน้าของคนตรงหน้า ผมไม่รู้ว่าสีหน้าของทาร์ตจะเป็นเช่นไร เราทั้งคู่ ‘หยุด’ อยู่ที่ ‘ระยะ’ แค่นี้เนิ่นนานกว่านาที แต่แล้วก็...

   พลั่ก! จุ๊บ! แชะ! แชะ! กรี๊ด!!

   เส้นทาโร่ที่เหลือเพียงเล็กน้อยร่วงหล่นลงกับพื้นเบื้องล่าง ดวงตาของคนสองคนเบิกกว้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ขณะที่ริมฝีปากของทั้งคู่กระทบกันในเสี้ยววินาที ก่อนที่ร่างทั้งสองจะผละออกจากกันด้วยความตกใจสุดขีด

   ผมยืนหอบหายใจ พร้อมดวงตาที่เบิกกว้างมองทาร์ต และหัวใจที่เต้นแรงมากๆ ด้วยความตกใจ ปนอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่ถึงนาทีก่อนหน้า ผมกับทาร์ต... ปากของเรา... สัมผัสกัน!!!

   ในช่วงนาทีที่ผมกับทาร์ตหยุดนิ่งจากการกินเส้นทาโร่ ใครสักคนมาพลักหัวเราทั้งสองคนเข้าหากัน จน... ปากเรา... ‘จุ๊บ’ กัน เสียงตื่นเต้น เสียงกรีดร้องของคนโดยรอบยังคงดังระงมอยู่ไม่ขาด รวมทั้งเสียงรัวชัตเตอร์จากรอบทิศทาง แต่ตอนนี้สมองผมกลับไม่รับรู้อะไรแล้ว ผมกำลังตกใจและไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

   ทาร์ตที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของผมในระยะห่างที่ไม่แตกต่างจากตอนเริ่มเกมนัก ยังคงยืนตาโตกับสถานการณ์เช่นเดียวกัน ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำพูดใดๆ

   “โอ้ว จ้องกันขนาดนี้ระวังท้องนะครับ” เสียงของรุ่นพี่ดึงผมกับทาร์ตหลุดออกจากภวังค์

   ผมหันไปมองคนอื่นๆ ที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ บางคนก็ยังอึ้งกับสิ่งที่เกิดเมื่อครู่ บางคนก็ยิ้มปนหัวเราะคิกคัก บางคนก็ทำท่าทางเหมือนกำลังอายจนตัวม้วนไปพิงคนข้างๆ แต่ผมนี่สิครับ มันมึนๆ งงๆ ไปหมด อายจนไม่กล้าสบตากับใครเลยในตอนนี้

   “เส้นทาโร่ที่เหลือมันยาวเกินหนึ่งเซนฯ นะ เท่าที่พี่กะเอาทางสายตา แต่เอาเถอะ เพราะได้เห็นอะไรที่เด็ดกว่า พวกพี่ให้น้องทุกคนกินขนมล่ะกัน ฮ่าๆ” นี่ผมต้องเสียสละตัวเองขนาดนี้เชียวรึนี่

**********__________**********

   “พี่อย่าคิดมากนะ” ทาร์ตพูดขึ้น หลังจากเสร็จกิจรรม ผมกับเพื่อนๆ ที่กลับรถคันเดียวกับเก็ทรวมทั้งทาร์ตก็ล้างหน้าล้างตาแล้วพากันย้ายร่างไปรวมตัวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างๆ คอนโดฯ ที่โดนัทอยู่เจ้าเดิมครับ

   “ไม่เลยเว้ย อย่าพูดถึงมันเลย อายว่ะ” ผมส่ายหน้าหน่ายๆ พลางยิ้มเจื่อนให้ทาร์ต ตัวผมพยายามจะไม่นึกถึงมันนะ อีกอย่างมันจะทำให้น้องเขาไม่สบายใจด้วย

   “เอาหน่ามึง กูอยากจูบน้องทาร์ตจะตาย แต่น้องเขาไม่ยอมเลย มึงน่ะโชคดีแค่ไหนแล้ว” ไวน์เสนอหน้าเข้ามาทันทีทันใดเลยครับ

   “เอ่อ...” ทาร์ตยิ้มแต่ถึงกับพูดต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

   “จูบตีนกูก่อนก็ได้นะ ถือว่าแทนปากน้องกูก็แล้วกัน” โดนัทกัดขึ้น เล่นเอาทุกคนขำกร๊ากกันระนาว

   “อี๊! ตีนสากๆ ของมึงเก็บไว้ขัดพื้นห้องน้ำเถอะจ้ะ!” นางก็ตอกกลับแรงใช่เล่น เลยโดนฝ่ามืออรหันต์ของโดนัทโบกเข้าให้เต็มๆ กะโหลกเลย

   “คืนนี้มึงเตรียมตัวดังได้เลย ดูสิๆ กูถ่ายช็อตเด็ดไว้ด้วย” แล้วไวน์ก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมดู พอผมเห็นรูป ผมจะแย่งมาเพื่อกดลบ แต่มันกลับชักมือกลับอย่างเร็วปานฟ้าแล๊บไปซะก่อน

   รูปในจอมือถือนั้นก็เป็นช็อตที่ปากผมกับทาร์ตกำลังบรรจบกันพอดีเลยครับ ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเองนะ แต่อีนี่มีความสามารถมาก สามารถถ่ายมาได้ แถมยังชัดเจนแจ่มแจ้งอีกต่างหาก

   “มึงสงสารน้องมั้งเถอะ” ผมรีบหาข้ออ้างทันที โอ้ย! นี่แค่กล้องไวน์คนเดียวนะครับ แล้วไอ้เสียงชัตเตอร์รัวๆ จากใครต่อใครอีก ตายๆ ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเนี่ย

   “ผมสบายๆ ครับ ผมยินดีรับผิดชอบอยู่แล้ว” เอาเข้าไป แต่ละคน มึงจะรับผิดชอบอะไรของมึง ไอ้ทาร์ต!!

   “โอ้ย! พอๆ เลย มึงห้ามเอาไปเผยแพร่ที่ไหนนะมึง กูขอร้อง กูอาย!” ผมพยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารที่สุด เพื่อเรียกร้องหาความเห็นใจจากเพื่อนผู้น่ารัก (เหรอ?)

   “ไม่รับปากค่ะ เว้นแต่ว่าจะมีอะไรมาเป็นค่าปิดปาก” ไวน์ยักคิ้วพร้อมแสยะยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า

   “เดี๋ยวกูเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว”

   “ถุ๊ย! กูมีปัญญาจ่ายเองค่ะ! ไม่รู้ล่ะ รีบๆ กินเถอะ กรูอยากกลับไปลงรูปแล้ว ฮ่าๆ” แล้วนางก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พลางเบะปากแสดงความสะใจให้ผม อยากจะจับกดชามก๋วยเตี๋ยวให้จมน้ำก๋วยเตี๋ยวตายเลยครับ

   “อีเพื่อนเลว!” อยากทำอะไรก็ทำเถอะครับ ยังไงผมก็อายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้ว

   “ฮ่าๆ” แล้วทุกคนก็หัวเราะ ไม่เว้นแม้แต่เก็ทที่นั่งทำหน้าเย็นชา แต่มุมปากกระตุกยิ้มพร้อมกับดวงตาที่เหล่มาทางผมเล็กน้อย แต่ละคน ขนาดไอ้คนที่มีประเด็นด้วยยังไม่มีท่าทีเดือดร้อนเลย

   แล้วผมก็ไม่รอดครับ ไวน์จัดการลงรูปพร้อมแต่งสติกเกอร์แบ๊วๆ ให้ด้วย มันคงจะน่ารักกว่านี้ถ้าคนในรูปเป็นแฟนหรือคนรักกันจริงๆ แต่นี่ไม่ใช่ครับ ที่สำคัญมันแท็กผมมาด้วยครับแถมยังตั้งแชร์แบบสาธารณะอีกต่างหาก กว่าผมจะเปิดดูเฟซบุ๊ก คนก็กดไลค์กันตรึมแล้ว แถมคอมเม้นต์อีกนับไม่ถ้วน ผมรีบจัดการซ่อนจากไทม์ไลน์ทันทีครับ ปาร์คจะเห็นรูปนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าเห็นปาร์คจะรู้สึกอะไรบ้างไหม

**********__________**********

   วันอาทิตย์คือวันพักผ่อนของผมโดยแท้ หลังจากที่เหนื่อยมากๆ จากเมื่อวาน แถมยังเกิดเหตุการณ์ช็อกโลกอีก ผมเลยสละร่าง พักสมองอย่างเต็มที่เลยครับ รู้ตัวอีกทีก็บ่ายโมงแล้ว

   ตื่นมาก็จัดการหยิบโทรศัพท์มือถือมาเช็คเฟซบุ๊กก่อนเลยครับ พอเปิดขึ้นมาเท่านั้นแหละ จากตาที่ยังลืมไม่เต็มดวงถึงกับโตจนแถบจะถล่นออกมา ผมเด้งตัวขึ้นนั่งทันทีที่ได้เห็นจำนวนคนที่แอดเพื่อนมาเพิ่ม เวลาแค่ประมาณครึ่งวัน คนแอดมาหาผมเยอะมาก ไม่ต้องเดาเลยครับว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงแอดมา ที่สำคัญคนที่แอดมาส่วนใหญ่มีแต่พวกเกย์ทั้งนั้นเลย อะไรกันเนี่ย!

   ในช่องแชทก็มีข้อความเข้ามาเช่นกัน มีทั้งทักมาว่าอยากรู้จัก ให้รับแอดหน่อย แล้วก็ยังมี... ‘มีแฟนยังครับ’ เอิ่ม... ผมไม่ตอบได้ไหม พวกเขาจะด่าผมหรือเปล่า แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะไม่ตอบใคร ตอบแค่กับทาร์ตที่ทักมาด้วยความเป็นห่วง แล้วก็ขอโทษกับภาพนั้น ผมเลยดุกลับไปว่าจะมาขอโทษทำไม ในเมื่อไม่ใช่ความผิดของตัวเอง แน่นอนครับ ผมจัดการพิมพ์แชทไป ‘ด่า’ เจ้าตัวที่ลงรูปทันที พิมพ์รัวๆ เลยครับ มันอ่านแล้วจะได้ด่ากลับไม่ทัน ฮ่าๆ จากนั้นจึงลุกไปอาบน้ำ แต่งตัวเพื่อจะออกไปกินข้าว หิวแล้วนี่ครับ บ่ายโมงกว่าแล้ว

   ผมอาบน้ำ และพยายามไม่คิดถึงเรื่องรูปนั้นอีก เดี๋ยวกระแสมันก็จางหายไปเองแหละ อีกอย่างตัวผมไม่ได้โด่งดังหรืออยู่ในกระแสอยู่แล้ว แต่ถามว่าแค้นไหม แน่นอนครับ อยากจะตบบ้องหูไวน์แรงๆ สักที แม่งทำกันได้!

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขณะที่ผมกำลังใช้ไดร์เป่าผมให้แห้ง และเป็นการจัดทรงไปในตัว

   ผมวางไดร์ลง ก่อนจะเดินแบบไม่เร่งรีบนัก คงจะเป็นทาร์ต หรือไม่ก็ไวน์ล่ะมั้ง ถ้าเป็นไวน์จะด่าให้ไม่เป็นผู้เป็นคนเลยครับ ฮ่าๆ แต่เมื่อเห็นหน้าจอโทรศัพท์ ผมกลับคิดผิดถนัด

   ‘Park (“:’

   ชื่อและรูปของคนที่ผมคิดถึงอยู่เสมอโชว์หลาอยู่บนหน้าจอเพื่อรอการสัมผัสตอบสนอง

   “ฮัลโหลปาร์ค” ผมเลื่อนหน้าจอสัมผัส ก่อนจะกรอกเสียงร่าเริงพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้างที่ส่องสะท้อนกับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมดีใจมากแค่ไหนเวลาที่ได้คุยกับมัน

   [หวัดดีฟร๊องก์ ทำไรอยู่] น้ำเสียงที่ดูสดใสร่าเริงตอบกลับมาตามสาย วันนี้อารมณ์ดีอะไรมาเนี่ย

   “เพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังไดร์ผมอยู่เลย ปาร์คโทรมาซะก่อน” ผมยังคงยิ้มไม่หุบ เสียงแจ่มใสของปาร์คทำให้ผมรู้สึกถึงบรรยากาศเดิมๆ ที่กำลังหวนกลับคืนมา

   [งั้นไดร์ผมก่อนก็ได้นะ ฮ่าๆ]

   “ฟร๊องก์ไดร์ผมนานน้าาา” ผมแกล้งทำเสียงยานแบบกวนๆ

   [เดี๋ยวไปไดร์ให้เอาป่ะ] แปร๊ดดด!! หัวใจสูบเลือดพุ่งขึ้นมาหล่อเลี้ยงใบหน้าอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกได้ถึงไออุ่นร้อนของหยาดเลือดที่หน้าเลยครับ

   “ไม่ต้องทำมาเป็นพูดหรอก” ผมประชดกลับเบาๆ

   [พูดจริง ใกล้จะถึงหอฟร๊องก์แล้วด้วย]

   “ห๊า! ว่ะ... ว่าไงนะ” ผมเบิกตากว้างกับสิ่งที่ได้ยิน

   [แต่งตัวน่ารักๆ รอไว้เลย อีกไม่เกินสิบนาทีถึง] นี่ปาร์คพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย ปาร์คมาหาผม มาทำไม แล้ว... โอ้ย!! ผมคิดบวก ลบ คูณ หารหาเหตุผลต่างๆ นานา ก็ไม่เข้าใจอยู่ที่ว่าทำไมจู่ๆ ปาร์คถึงได้ขับรถมาหาผม แถมยังมีท่าทีอารมณ์ดีแบบนี้ด้วย

   “เห้ย! ปาร์คเล่นอะไรเนี่ย”

   [ไม่ได้เล่นครับผม ถ้าสิบนาทีปาร์คไปถึงแล้วยังไม่แต่งตัว จะ... หึหึ] ปาร์คพูดทิ้งท้ายไว้อย่างมีเลศนัยก่อนจะวางสายไป ปล่อยผมที่กำลังมึนงงนั่งเอ๋ออยู่คนเดียว

   สิบนาทีต่อมา ผมอยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่ ไม่ได้แต่งอะไรมากครับ แค่เสื้อยืดลายมิกกี้เม้าส์ สีสันสดใส กับกางเกงยีนส์ขาสั้นพับขานิดหน่อย ความยาวไม่ถึงหัวเข่า เตรียมรองเท้าผ้าใบเข้ากับสีเสื้อไว้ด้วย เผื่อต้องออกไปไหน พร้อมกับจัดทรงผมใหม่ให้ดูดีมีสไตล์มากขึ้น วันนี้ออกแนวสดใส เหมือนกับอารมณ์ของผมล่ะครับ

   ก๊อก! ก๊อก!

   ขณะที่ผมกำลังสำรวจตัวเองพร้อมกับนำผ้าขนหนูไปตาก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น โดยที่ผมส่องช่องตาแมวก็ไม่เห็นใครอยู่ที่หน้าห้อง จึงตัดสินเปิดออกไปดู

   “จ๊ะเอ๋!/เห้ย!” เสียงของผมและปาร์คดังขึ้นในจังหวะไล่เลี่ยกัน หลังจากที่ผมเปิดประตูออกไปแล้วปาร์คที่หลบอยู่ตรงผนังข้างๆ ประตูก็พุ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ผมไม่ต่อยหน้าหงายก็ดีเท่าไรแล้ว

   ปาร์คที่ยืนหัวเราะอยู่หน้าห้องผมนี้มีท่าทีที่สดใสมาก ผมไม่ได้เจอปาร์คเลยตั้งแต่วันนั้น แต่ปาร์คมาปรากฏตัวตรงหน้าผมตรงนี้ ความรู้สึกผมบอกว่านี่คือปาร์คคนเดิม ใบหน้าคมคายที่ฉายแววขี้เล่นแต่ก็เคร่งขรึมในเวลาเดียวกัน รอยยิ้มกินใจผมยังคงเป็นอย่างนั้นเสมอ 

   “เล่นบ้าอะไรเนี่ย!” ผมเอ็ดปาร์คด้วยใบหน้าบึ้งตึง

   “ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ ฮ่าๆ” ปาร์คไม่มีท่าทีสำนึกเลยครับ ใบหน้ายียวนที่กำลังหัวเราะผมอยู่นั่นทำให้ผมหมั่นไส้มาก

   “เออดิ เกือบต่อยแล้วด้วย ถ้ารู้ว่าเป็นปาร์คนะ จะต่อยเลยแหละ ไม่แค่เกือบ!”

   “โหดจริงๆ เข้าไปในห้องเถอะ เดี๋ยวห้องข้างๆ ด่าเอา” แล้วปาร์คก็ดันผมเข้าไปในห้อง และไม่ลืมปิดประตูให้ด้วย

   “แล้วขึ้นมาได้ไง” ผมกับปาร์คเดินมานั่งจุ้มปุ๊กลงบนเตียง ก็แหม หอผมไม่ได้กว้างใหญ่ มีห้องนั่งเล่น มีโซฟารับแขกเหมือนคอนโดฯ ปาร์คนี่ครับ ก็ต้องนั่งบนเตียงแบบนี้แหละ อย่าคิดลึก! (รู้สึกว่าจะยังไม่มีใครคิดอะไรเลย) ผมถามปาร์คแบบนั้นก็เพราะปกติหน้าหอจะเป็นประตูที่ต้องใช้การสแกนนิ้วไม่ก็ใช้บัตรแตะที่แถบแม่เหล็กหรืออะไรสักอย่างเพื่อให้ประตูมันเปิดนี่ครับ ก็เหมือนระบบรักษาความปลอดภัยของหอพักทั่วไป แต่คนที่นั่งข้างๆ ผมอยู่ตอนนี้เข้ามาได้ไง

   “โถ่ๆ ประตูระบบกระจอกๆ แบบนั้น ไม่ระคายฝีมือพี่หรอกไอ้น้อง” ปาร์คว่าพร้อมกับตบไหล่ผมและยักคิ้วอย่างเท่ๆ อารมณ์ว่า ‘กูเนี่ยเก่งมาก’

   “โคตรขี้โม้เลย” ผมหันไปผลักปาร์คอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้อย่างเต็มประดา แต่แทนที่คนถูกผลักจะกระเด็น กลับเป็นตัวผมเองที่กระเด็นห่างออกไปจากตัวปาร์คเอง

   “หะๆๆ” ปาร์คหัวเราะร่า แล้วลุกหยิบตุ๊กตาไม้ที่ตนซื้อให้ขึ้นมามองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินสำรวจห้องผม หยิบโน้น จับนี่ พลิกกระดาษตรงนั้นตรงนี้เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

   “แล้วนี่ทำไมอยู่ๆ ถึงมาหาฟร๊องก์” ผมเอามือทั้งสองข้างเท้ากับฟูกแล้วเอียงตัวอย่างสบายไปด้านหลัง

   “ไม่รู้สิ... อยากเจอ... คิดถึงมั้ง” ปาร์คพูดเสียงเบา โดยเฉพาะคำหลัง ซึ่งผมฟังไม่ค่อยถนัดเท่าไร ขณะที่ตัวเองไม่ได้หันมามองผม แต่กำลังก้มๆ เงยๆ สำรวจหน้าโต๊ะทำงานของผมต่อไป

   “หาอะไร รื้ออยู่ได้ เดี๋ยวห้องรก!”

   “หึหึ ไปกินข้าวกัน” ปาร์คไม่ตอบ แต่ตัดบทเป็นเรื่องอื่นทันที

   “อืม ไปดิ หิวอยู่พอดี”

   ปาร์คพาผมไปกินข้าวไกลเลยครับ ไปแถวมหาวิทยาลัยเขาเลย กินไป มันก็แกล้งผมไป แต่ก็เป็นอีกมื้อที่ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ ครับ

   ผมมีความสุขเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปาร์คมันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ผมไม่อยากหาเหตุผลหรอกครับว่าทำไม แค่ตอนนี้คนที่สร้างความสุขให้ผมอยู่ตรงหน้าผมแล้วจริงๆ

   หลังจากที่กินข้าวอะไรกันเสร็จ ก็เริ่มเย็นพอสมควรแล้วครับ เพราะกว่าพวกผมจะออกจากหอผมมาก็บ่ายสองกว่าๆ แล้ว นั่งกินข้าว แกล้งกัน เล่นกันอีกนานชั่วโมง นี่ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้วครับ ปาร์คไม่ได้บอกว่าจะไปไหนต่อ เดี๋ยวคงพาผมกลับหอล่ะมั้งครับ เออ! ว่าแต่ทำไมปาร์คถึงรู้ว่าอาทิตย์นี้ผมอยู่หอ ?

   “เออนี่ ทำไมถึงรู้ว่าอาทิตย์นี้ฟร๊องก์ไม่ได้กลับบ้านล่ะ” ผมถามออกไปในสิ่งที่ตัวเองสงสัย หลังที่ขึ้นมาประจำที่บนรถของปาร์คเรียบร้อย

   “ก็เห็นว่ามีกิจกรรม” ปาร์คตอบเสียงเรียบ

   “อ่ะ... อ้าว แล้ว...” แล้วรู้ได้ไงว่าผมมีกิจกรรม เพราะปาร์คโทรมาผมก็ไม่ได้บอกนะว่าจะมีกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย

   “แล้วทำไมถึงรู้ว่ามีกิจกรรมที่มอน่ะเหรอ” ปาร์คหันมายักคิ้วพร้อมกับมุมปากที่กระตุกยิ้มแปลกๆ

   “อืม นั่นล่ะๆ” ผมก้มหน้าหลบตาเจ้าเล่ห์นั้น

   “ก็รูปในเฟซบุ๊กไง” แต่พอได้ยินคำพูดราบเรียบที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากปากของปาร์คแค่นั้นแหละ ผมถึงกับตาโต ขนลุกซู่ หันไปมองหน้าปาร์คที่กำลังยิ้มมองผมอยู่เช่นกันด้วยความตกใจทันที

   “หะ... เห็นด้วยเหรอ” ผมเปล่งเสียงออกไปอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกกลัว และแคร์ความรู้สึกของปาร์คมากขนาดนี้

   “หึหึ ไปคอนโดฯ ปาร์คก่อนแล้วค่อยคุยก็แล้วกัน” 


à suivre...

ปาร์คโผล่กลับมาอีกแล้ว อย่าว่าเค้าน๊าาา
ว่าแต่ปาร์คจะพาฟร๊องก์ไปคุยอะไรที่คอนโดฯ ??


ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
เริ่มยืดเยื้อแล้ว ลำคานฟร็อง

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
รำคาญปาร์คจริงจะกั๊กฟร็องก์เอาไว้หรือไงไหนเมื่อตัวเองก็ไม่ยอมรับเขาเป็นแฟนเองพอมีคนสนนี่เป็นหมาหวงก้างทันทีเลยนะ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 14 [20/5/2017]
«ตอบ #48 เมื่อ20-05-2017 20:12:10 »

Chapitre 14

“หึหึ ไปคอนโดฯ ปาร์คก่อนแล้วค่อยคุยก็แล้วกัน” น้ำเสียงทะแม้งๆ ของปาร์คเพิ่งจะสิ้นสุดไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า แต่รอยยิ้มแปลกที่ยังคงฉายแววอยู่บนดวงหน้าเรียวนั้นยิ่งทำให้ผมตะหนก แต่สมองผมนี่เบลอไปหมดเลยครับ
 
   ผมนั่งนิ่งไม่พูดอะไรต่อ แต่รู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่นแปลกๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ ผมรู้สึกประหม่า รู้สึกกลัวและกังวลในเวลาเดียวกัน โดยที่ผมไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมตัวเองจะต้องกลัว ทั้งที่คนที่อยู่ข้างๆ ผมนั้นเป็นแค่เพื่อน และเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่ผมแค่กลัว... ปาร์คจะเสียความรู้สึก

   ผมตกอยู่ภายใต้สภาวะกดดันในห้องโดยสารรถที่จริงๆ แล้วก็กว้างพอสมควร แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันแคบและอึดอัดมากในเวลาแบบนั้น แต่เพียงไม่นานรถยนต์ของปาร์คก็มาจอดสนิทที่ลานจอดรถของคอนโดฯ

   ปาร์คเปิดประตูลงไปแล้วครับ บรรยากาศกดดันในรถหายวับไปทันที แต่สุดท้ายผมก็ต้องลงมาจากรถคันนั้น ให้นั่งร้อนอยู่ในรถคงไม่ไหวมั้งครับ ปาร์คเดินนำผมไปยังลิฟต์เพื่อจะไปยังห้องของเขา ผมเดินมองแผ่นหลังกว้างนั้นด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งกังวลว่าปาร์คจะรู้สึกยังไงกับรูปนั้น ทั้งไม่เข้าใจท่าทีที่ดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนแต่กลับดูแปลกๆ นั้น และก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองเล็กน้อย แค่หน่อยเดียวจริงๆ ครับ ว่าปาร์คอาจจะกำลังหวงผมอยู่ก็ได้ แต่ผมเดาไม่ถูกจริงๆ กับสิ่งที่อยู่ภายในท่าทีแปลกตาของปาร์คนั้นว่ามันคืออะไรกันแน่

   จริงๆ แล้วมันอาจเป็นเพราะไม่เคยล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในใจของปาร์คมาตลอดเลยต่างหาก ไม่ใช่แค่เพียงเวลาที่น่าอึดอัดนี้ แต่มันอาจจะตลอดเวลาที่เรารู้จักและสนิทกันมาเลยด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ปาร์คทำให้ผมดีใจ และคิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็หลายครั้งที่ผมไม่สามารถระบุสถานะที่แท้จริงให้กับตัวเองได้

   แล้วบรรยากาศที่แสนอึดอัดแบบภายในรถ แถมยังมากกว่าด้วยซ้ำก็กลับมาอีกครั้ง ทั้งที่ท่าทางของปาร์คยังคงดูร่าเริง แต่ในใจของผมกลับหวาดวิตก ความรู้สึกมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด จนไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถามว่าทำไมต้องพามาที่นี่

   “เอ่อ...” และก็เป็นผมเองครับที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวกับสภาวะแบบนี้ จนต้องส่งเสียงออกมาให้ผู้อยู่ร่วมห้องอีกคนไม่ลืมว่ายังมีผมอีกคนที่อยู่ในห้องด้วยเหมือนกัน

   “มีแฟนแล้วเหรอ” น้ำเสียงเรียบๆ ส่งคำถามแบบตรงๆ มาเสียดแทงหัวใจผมจนทำให้ผมยิ่งรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม

   “ป่ะ... เปล่า อย่างฟร๊องก์จะมีได้ไงเล่า” ผมพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ และควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเทา

   “แล้ว... รูปในเฟซ... คือใคร” ปาร์คยังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ จนผมเดาไม่ถูกกว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ดีใจที่เห็นผมมีแฟน ตัดพ้อ หรือหวง ผมไม่รู้จริงๆ

   “รูปไหน...” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง จริงๆ แล้วผมกำลังกลัวมากกว่า

   “ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่แฟนเหรอ ที่... จูบกัน” ปาร์คหันมามองผมด้วยสีหน้าราบเรียบเฉกเช่นเดียวกับโทนเสียง แต่ผมแอบเห็นนัยน์ตาคมคู่นั้นแอบสั่นไหวเล็กน้อย แค่เล็กน้อยจริงจนถ้าผมไม่ทันสังเกตซะก่อนก็คงไม่เห็น

   “คือ...” ผมพูดอะไรไม่ ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมถึงไม่ปฏิเสธออกไปว่าทาร์ตไม่ใช่แฟน ผมแค่อยากรู้ว่าปาร์คจะรู้สึกอะไรไหม ผมแค่อยากลองดูเท่านั้น

   “ดีใจด้วยนะ ไอ้เตี้ยของเรามีขายออกกับเขาสักที” ปาร์คพูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูร่าเริง ผิดไปจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง สรุปคือไม่ว่าผมจะมีแฟนหรือไม่มี มันก็ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ ใช่ไหม ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะหวงหรือห่วงผมเลย

   “จริงๆ แล้ว...”

   “เปิดตัวมาก็เล่นเอาทุกคนช็อคหมดเลยนะ” ผมยังพูดไม่ทันจบ ปาร์คก็ขัดขึ้นอีกด้วยท่าทางอารมณ์ดี จริงๆ แล้วผมแค่จะบอกว่า มันไม่ได้เป็นอย่างที่ปาร์คคิดเลย

   “ไม่ใช่นะ มันไม่ใช่อย่างนั้น” ผมพยายามแก้ตัว

   “เอาหน่าฟร๊องก์ มันชัดเจนขนาดนั้น เราเข้าใจเว้ยๆ” ปาร์คยังคงส่งยิ้มพลางตบบ่าเป็นกำลังใจให้ผม

   “โอ้ย! ฟังกันก่อนสิ คนนั้นไม่ใช่แฟนเว้ย! เป็นแค่รุ่นน้อง! แล้วในรูปอ่ะ มัน... เป็นแค่อุบัติเหตุ” ผมหันไปพูดกับปาร์คเสียงดัง ด้วยสีหน้าที่จริงจัง แต่ภายในผมกลับรู้สึกเจ็บเหลือเกิน กับการเมินเฉยของปาร์ค ในใจปาร์คไม่มีผมอยู่เลยสักนิดใช่ไหม

   “รุ่นน้อง? อุบัติเหตุ?” ปาร์คมองหน้าผมด้วยความสงสัย

   “ใช่ แค่อุบัติเหตุ แล้วบังเอิญเพื่อนมันถ่ายเอาไว้ มันเลยแกล้งฟร๊องก์” ผมอธิบายพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมคู่นั้นราวกับกำลังค้นหาสิ่งที่ซ้อนอยู่ในใจดวงนั้น

   “...” เงียบ ไร้สัญญาณตอบกลับใดๆ จากคนตรงหน้าทั้งสิ้น

   “จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรเลย แค่เล่นเกมกันอยู่ แล้วพวกรุ่นพี่ที่ทำกิจกรรมมันแกล้งเอา ไอ้เพื่อนตัวดีของฟร๊องก์ดันถ่ายรูปได้ช็อตเด็ดพอดี แล้วเล่นพิเรนทร์ ฟร๊องก์ยอมรับว่า... ปากฟร๊องก์กับน้องโดนกันจริงๆ แต่มันแค่แป๊บเดียวนะ ไม่ถึงวิด้วยซ้ำ” ผมพูดต่ออย่างยืดยาวเป็นหางว่าว ไม่รู้ทำไม แต่ผมไม่อยากให้ปาร์คเข้าใจผมผิด และผมแค่อยากให้ปาร์คได้รู้ความจริง ทั้งที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะอยากรู้หรือเปล่า แต่ผมไม่อยากให้มันคิดอะไรไปเอง เพราะอย่างไร คนตรงหน้าผมตรงนี้ก็ยังคงเป็นคนผมรักและเป็นห่วงความรู้สึกมากที่สุดอยู่ดี

   “งั้นเหรอ” ปาร์คยังคงจ้องผมไม่ได้เปลี่ยนท่าทางไปไหน

   “ใช่ ฟร๊องก์น้องเขาไม่ได้จูบกันด้วยซ้ำ มันแค่อุบัติเหตุ ที่ฟร๊องก์ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นด้วยซ้ำ” ผมอาศัยจังหวะที่ปาร์คกำลังคล้อยตามแบบนี้เสริมทัพเข้าไปอีกครับ

   “อืม...” ปาร์คตอบรับสั้นๆ

   มันเหมือนมีพลังงานดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เราสองคนต่างสบตากันโดยไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะหลบตาก่อน

   “ถ้างั้น... ปาร์ค...” ก่อนที่ปาร์คจะค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ดวงตาของเราสองคนยังคงมองลึกเข้าไปยังนัยน์ตาของอีกคน “ปาร์คจะลบรอยนั้นให้ฟร๊องก์เอง...”

   สิ้นเสียงนั้น ริมฝีปากนุ่มของคนตรงหน้าก็กดประทับลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา เปลือกตาของผมค่อยๆ ปิดลง ขณะที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่นั้นยังคงกดแช่อยู่แบบนั้นเนิ่นนาน

   ช่วงเวลานี้ผมไม่รับรู้อะไรรอบข้างอีกเลยครับ ทุกอย่างมันดูขาวโพลนไปหมด สติสัมปะชัญญะของผมหลุดประเด็นไปอย่างกระเจิดกระเจิง ผมรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางปุยเมฆนุ่มๆ ที่ผมกำลังจูบกับปาร์ค ผมกำลังทุกมันอยู่จริงๆ ไม่ได้ฝันไป ผมรับรู้ถึงรสสัมผัสที่หอมหวานของริมฝีปากสีแดงสดนั้นได้ ริมฝีปากอันนุ่มนวลที่กำลังบดเบียดริมฝีปากของผมอยู่อย่างแผ่วเบา

   ตอนนี้ผมรับรู้แค่ว่าหัวใจผมมันพองโตเหลือเกิน แถมยังเต้นจนจับจังหวะไม่ได้อีกต่างหาก รสจูบที่ทำให้ผมมีความสุข ช่างต่างกับครั้งก่อนยิ่งนัก ถึงรู้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ผิด แต่ครั้งนี้ขอให้ผมได้รับและรู้สึกถึงมันสักหน่อยเถอะ

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงโทรศัพท์มือถือของปาร์คดังขึ้นขัดจังหวะ? ของเราสองคน ทำให้ต้องผละออกจากกันด้วยความตกใจ ผมก้มหน้างุดๆ ไม่กล้าสบตากับปาร์ค เพราะสมองผมกับมึนงงและสับสนกับสิ่งที่ผ่านมา ส่วนปาร์คเองก็กุลีกุจ้อล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู

   “สวัสดีครับ...” ปาร์คหันมองหน้าผมเล็กน้อย เหมือนจะบอกว่าขอตัวไปคุยโทรศัพท์ก่อน แต่คงเห็นว่าผมก้มหน้าอยู่ เลยเดินออกไปเลย

   ผมมองตามแผ่นหลังนั้นที่เดินออกไปด้านนอกระเบียง พลางคิดถึงการกระทำเมื่อครู่นี้ ผมยอมรับว่าทั้งตื่นเต้น ทั้งตกใจ และดีใจในเวลาเดียวกัน ผมกำลังสับสน และก็แอบไม่เข้าใจอยู่ดีล่ะครับ ผมอาจคิดมากเรื่องจูบครั้งก่อนด้วย ที่ทำให้เราสองคนทะเลาะกัน (อย่างหนัก) ผมเลยไม่เข้าใจว่าครั้งนี้ปาร์คจะจูบผมทำไม ‘จูบเพื่อลบรอย’ ผมไม่เข้าใจความหมายของมัน และผมเองก็ไม่เข้าใจความหมายของการกระทำนั้นด้วย แต่ขอแค่อะไรๆ หลังจากนี้มันจะไม่แย่ไปกว่าเดิมก็พอ

   ปาร์คใช้เวลาคุยโทรศัพท์อยู่นานพอสมควร ส่วนผมที่นั่งรอ แรกก็คิดทบทวนโน้นนี่ไปมา แต่ก็หาเหตุผลหักล้างให้ตัวเองไม่ได้สักที จนปวดหัว สุดท้ายเลยเปิดทีวีดูดีกว่าครับ จะเพราะอะไรก็ช่างมันเถอะ

   แกร๊ก!

   ปาร์คกลับเข้ามาแล้วครับ ก่อนหน้าที่อาการผมเริ่มเป็นปกติแล้ว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจผมทำงานหนักอีกแล้ว ยิ่งตอนนี้ปาร์คล้มตัวลงนั่งที่โซฟาที่เดิม ข้างๆ ผม ใจผมยิ่งเต้นแรงขึ้นไปอีก ไม่ต้องสงสัยเลยครับ ผมแกล้งทำเป็นดูทีวีไม่หันไปมองหน้ามันเลย

   “เอ่อ... เมื่อกี้...” เสียงปาร์คพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ผมแอบเห็นหางตาว่าปาร์คกำลังส่ายหัวไปมาด้วย “หิวไหม” ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไป ดีแล้วแหละครับ

   “เพิ่งจะกินมาเอง ฮ่าๆ” ผมดึงบรรยากาศให้ดูร่าเริงขึ้น เพื่อลดความประหม่า แต่ก็ยังไม่ยอมหันไปมองปาร์คเหมือนเดิม

   “นั่นสินะ หะๆ” ปาร์คหัวเราะแห้งๆ

   “...” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป สายตายังจับจ้องตรงไปยังภาพที่ฉายอยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยมด้านหน้า แต่ถามว่าผมรู้เรื่องไหม ไม่เลยครับ เพราะผมไม่ได้สนใจเนื้อหาในโทรทัศน์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังดูช่องอะไรอยู่

   “...” ปาร์คเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเช่นกัน และก็กลายเป็นผมที่กดดันตัวเองซะเอง เลยคว้ารีโมตกดเปลี่ยนช่องไปมารัวๆ เลยครับ ไม่รู้จะทำไร เขินด้วย อะไรด้วย

   “เขินหรือไง หื้ม” น้ำเสียงทุ้มนุ่มหูดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะคว้าตัวผมที่กดเปลี่ยนช่องไปมาอยู่อย่างนั้นให้หันไปมอง

   “อ่ะ... เอ่อ...” ผมสบตาได้แค่เสี้ยววินาที ก็ต้องก้มหน้าหลบเช่นเดิม

   “หึหึ หน้าเหน้อหูเหอแดงหมดเลย... รู้ตัวไหมว่าตัวเองน่ารักแค่ไหน” น้ำเสียงปาร์คยังคงละมุน แต่คำพูดที่เข้ามากระแทกโสตประสาท กระดูกค้อน ทั่ง โกรนผมพร้อมใจกันทำงาน ให้เกิดเสียงสะท้อนก้องในหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   ‘รู้ตัวไหมว่าตัวเองน่ารักแค่ไหน’ มันดังซ้ำๆ ในหูของผมราวกับมีใครกรอเทปเสียงให้มันเล่นซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่หยุดหย่อน
 
   ไม่รู้ว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไรที่ปาร์คเอ่ยปากชมผมว่าน่ารัก แต่ผมพูดได้เลยว่าทุกครั้ง คำๆ นี้ที่เปล่งออกมาจากปากของคนๆ นี้มันทำให้หัวใจผมทำงานผิดปกติได้เสมอ

   “อะไรเล่า” ผมก้มหน้าต่ำลงไปกว่าเดิมอีกครับ โอ้ย! เชินมาก!!!

   “เมื่อกี้... ถือว่าลบสัมผัสจากเด็กคนนั้นออกก็แล้วกันนะ” ปาร์คยังคงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มและอบอุ่น “คราวหน้าอย่าให้ใครสัมผัสมันแบบนั้นอีกนะ” ก่อนที่เสียงนี้จะดังขึ้นที่ข้างหูผมในระยะประชิด มันดังแข่งกับเสียงเต้นเร็วแรงของหัวใจผม
   “...” ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่แอบอมยิ้มกับตัวเอง

   ฟอด!

   “รอปาร์คอยู่นี่ก่อนนะ ปาร์คออกไปธุระแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวกลับมา” แล้วอยู่ๆ ปาร์คก็ชิงหอมแก้มผม ทำเอาผมตาค้างเลย ก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์เดินออกจากห้องไป


à suivre...

อ้าววว... ครั้งก่อนโมโหฟร๊องก์ที่มาแอบจูบเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วทำไมคราวนี้ปาร์คถึงมาจูบฟร๊องก์เองล่ะ??
ฟร๊องก์เองก็ใจอ่อนตลอดเลย เฮ้อออ...

เราเชื่อว่าอ่านๆ มีหลายคนคงรำคาญฟร๊องก์ กับความจมปลักและรักชนิดที่โงหัวไม่ขึ้น แต่เราวางบุคลิกของฟร๊องก์ไว้แบบนี้ตั้งแต่แรก ฟร๊องก์เป็นเหมือนตัวแทนของคนที่มุ่งมั่นและเชื่อมั่นในรักแท้ แม้จะรู้ว่าตัวเองอาจไม่สมหวัง ดังนั้นทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของฟร๊องก์มันจึงเป็นเหมือนบทพิสูจน์และบทเรียนให้ตัวละครฟร๊องก์เรียนรู้อะไรมากขึ้น

ส่วนตัวปาร์ค เป็นตัวละครหนึ่งที่สำหรับเราคิดว่าน่าสนใจและน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน ปาร์คคือตัวละครที่แสดงถึงความไม่มั่นคงและสับสนในตัวเอง เราเชื่อว่ามีคนแบบนี้อยู่นะ คนที่เป็นที่สนใจของใครหลายๆ พบเห็นอะไรมาเยอะ จนไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองต้องการแบบไหนกันแน่

ส่วนเรื่องราวจะเป็นไปในทิศทางไหนต่อ ก็ต้องมาดูกัน  :hao3:


ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
รำคาญทั้งคู่ว่ะ แต่ยอมอ่านต่อเพราะอยากรู้จริงๆ ว่าเมื่อไหร่ปาร์คจะรู้ตัวซะที หรือแม่งจะรู้ตัวเมื่อสายไปแล้ว แต่เราขอภาวนาให้แม่งรู้ตัวเมื่อสายไปแล้วดีกว่า โทษฐานรู้ตัวช้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 15 [23/5/2017]
«ตอบ #50 เมื่อ23-05-2017 19:34:22 »

Chapitre 15

   ฟอด!

   ปาร์คออกจากห้องไปสักพักแล้ว แต่ผมยังคงนั่งอึ้ง ตะลึงกับสิ่งที่ปาร์คทำก่อนจะออกไปนั้นอยู่

   ผมมีความสุขนะครับ มีความสุขมากๆ แต่อีกด้านของหัวใจผมก็กำลังกลัว กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้งว่าปาร์คจะมีใจให้ผม แต่ผมก็ไม่รู้จริงๆ ครับว่าที่ปาร์คทำนั้นเพื่ออะไร

   จะบอกว่าเพื่อน ผมก็คงมองโลกในแง่ดีมากเกินไปหน่อย ผมไม่ได้อินโนเซ้นต์ขนาดที่ไม่รู้หรอกนะครับว่าเพื่อนเขาทำกันแบบนี้หรือเปล่า แต่ทำผมหาคำถามให้กับการกระทำนี้ไม่ได้ ผมกำลังไม่เข้าใจสถานภาพของตัวเองมากกว่า ว่าตอนนี้จุดยืนของผมคืออะไรกันแน่ เพื่อน... หรือมากกว่านั้น

   ผมไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้น ไม่กล้าแม้แต่จะพูดเกินเลยออกไปหลังจากเหตุการณ์วันนั้นด้วยซ้ำ แต่ทำไมกลับเป็นปาร์คที่คอยย้ำผมมาตลอดว่าไม่ให้ก้าวล้ำเส้น เป็นคนเลือกที่จะทำมันซะเอง

   ผมไม่เข้าใจจริงๆ และผมเองก็กำลังกลัวอยู่ด้วย กลัวที่อยู่ๆ เรื่องก็ดีขึ้นอย่างน่าตกใจ และกลัวว่าไม่นานเรื่องมันจะแปรเปลี่ยนเป็นเลวร้ายกว่าเดิม ผมกลัวมันเป็นเหมือนครั้งที่แล้ว ผมกลัวใจตัวเองที่จะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้ ผมกลัวว่าผมจะหยุดความรักของตัวเองให้อยู่ในสถานะเพื่อนไม่ได้อีกต่อไป

   ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเรียกหรือนิยามความรู้สึกแบบนี้ว่าอะไร ความรู้สึกที่มันมีทั้งความอิ่มเอมใจ อบอุ่นใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็กลับรู้สึกหวาดหวั่นและระแวงอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก

   ผมพยายามหยุดคิดเพราะมันเริ่มทำให้ผมปวดหัว ก่อนจะหันไปตั้งสมาธิกับการดูโทรทัศน์แทน

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   แล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ขัดความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าจะดูทีวีให้รู้เรื่อง (โคตรตั้งใจ)

   “ฮัลโหล ว่าไงทาร์ต” ใช่ครับ ทาร์ตโทรมา แต่มันทำให้ผมพาลนืกไปถึงจูบที่ปาร์คมอบให้เมื่อไม่นานนี้

   “หวัดดีครับพี่” น้ำเสียงที่ไม่ว่าจะได้ยินเมื่อไหร่ ก็ยังคงความสดใสปนทะเล้นไว้เหมือนเดิม

   “อืม” ผมตอบกลับสั้นๆ

   “พี่ยังคิดมากเรื่องรูป แล้วก็... เรื่องนั้นอีกเหรอ” ทาร์ตถามด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนลง และคำหลังเหมือนมันพยายามหาคำเพื่อให้ผมไม่คิดมากด้วย แต่อยากจะบอกมากเลยว่าผมไม่ได้คิดเรื่องนั้นตั้งนานแล้ว แต่ยิ่งมันพูด มันยิ่งย้ำภาพที่หน้าปาร์คเลื่อนเข้ามาใกล้กับหน้าผม ก่อนที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่จะสัมผัสกันให้ชัดขึ้นในความคิดของผมมากกว่า

   “เห้ย! เปล่าๆ ไม่ได้คิดอะไรแล้ว” ผมสะบัดหัวเพื่อพยายามสลัดภาพที่ติดอยู่ก่อนหน้าออกจากความคิด มันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข แต่ผมต้องไม่ลืมว่าตัวเองไม่เป็นอะไรเกินเลยกับปาร์ค นอกจากคำว่าเพื่อน

   “อ้าว เห็นพี่ดูเงียบๆ ไป ผมทักแชทเฟซก็ไม่ตอบ ทักไลน์ก็ไม่อ่าน นึกว่าพี่คิดมาก” เหรอครับ ผมไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามันทักมา รู้สึกนะว่าโทรศัพท์มันสั่น แต่ไม่ได้ใส่ใจมากกว่า เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมใส่ใจแค่กับคนตรงหน้า

   “ทักมาเหรอ พอดีไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาดูอ่ะ เลยไม่รู้ ฮ่าๆ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใส
 
   “แหนะๆ อยู่กับใครหรือเปล่าเนี่ย ถึงหายไปทั้งวันเลย” ไอ้หมอนี่มันรู้เยอะเกินไปแล้วครับ แอบ (ดมกลิ่น) ตามผมมาเปล่าเนี่ย รู้ดีจริงๆ

   “อย่ามาทำเป็นรู้ดี” ผมแกล้งทำเสียงดุ แต่จริงๆ ก็แอบขำอยู่เหมือนกันครับ

   “นั่นแน่ แฟนอ่ะเปล่า ใช่ม่ะๆ” ดูมันๆ ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลย

   “แฟนบ้าบอไรเล่า พอเลยๆ” ผมตัดบทก่อนที่มันจะลามปามไปมากกว่านี้ ไม่อยากให้มันเซ้าซี้มากครับ เพราะสุดท้ายจะเป็นผมเองที่จนมุม แค่เจอคำถามว่าแฟนหรือเปล่าผมก็ไปต่อไม่ถูกแล้วครับ เพราะทุกอย่างมันดูก้ำกึ่งไปหมด

   “ก็ได้ครับๆ เดี๋ยวผมจะไปสืบมาเองว่าใครคือแฟนพี่ ว่าแต่เขาอยู่มอเดียวกับเราป่ะ”

   “เปล่า คนละที่” ผมตอบกลับ อ้าวเห้ย! นี่ผมเผลอพูดอะไปเนี่ย ผมกำลังหมายถึงปาร์ค ซึ่งห่างไกลจากคำว่าแฟนสำหรับผมด้วยซ้ำ

   “อืม แล้วอายุเท่ากันเปล่าน๊า”

   “พอๆ ไม่หลงกลแล้ว!” ผมกระแทกเสียงกลับไป อย่าคิดว่าจะได้แอ้มผมเป็นครั้งที่สอง แต่แม่งครั้งแรกเสียรู้กับจนได้ เล่นเอาซะเนียนเชียวนะมึง!

   “โห้ อดเลยเรา” ทาร์ตทำเสียงอ่อยแบบขำๆ “ว่าแต่พี่มีแฟนแล้วเหรอ... ครับ”

   “เอ่อ... คือ...” ผมตอบอย่างอ้ำอึ้ง เพราะผมไม่รู้จริงๆ ว่าสถานะของผมกับปาร์คคืออะไรกันแน่ รวมทั้งเรื่อง... จูบเมื่อกี้ก็ด้วย

   “พี่ไม่สะดวกใจตอบก็ไม่เป็นไรนะ” ทาร์ตว่าเสียงนิ่งๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไป

   จากตอนแรกที่บรรยากาศดูอึดอัด แต่ทาร์ตก็กลับเปลี่ยนเป็นสนุกสนานได้อย่างรวดเร็ว ผมไม่ค่อยรู้สึกแปลกเท่าไรแล้วครับที่คุยโทรศัพท์กับมันแล้วแซวโน้น เล่นนี่ ก็เล่นคุยกันแทบทุกวันนี่ครับ ผมเองก็เพิ่งมารู้ตัวตอนเล่าให้คุณๆ อ่านกันเนี่ยล่ะ ว่าทาร์ตมันโทรหาผมแทบทุกวันเลย มันเลยทำให้ผมคุยโทรศัพท์กับมันแบบไม่ตะขิดตะขวงใจมั้งครับ

   แต่เวลาได้คุยกับมันก็ดีนะครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มและหัวเราะบ่อยมากๆ เวลาที่คุย เพราะมันชอบเล่นมุกมาสารพัด บางทีก็ฮาแตก แต่บางทีก็แป๊กไม่เป็นท่า แต่ความน่ารักสดใสของมันก็ทำให้ผมยิ้มออกอยู่ดีแหละครับ ยิ่งเวลานึกถึงรอยยิ้มกว้างๆ ที่มีเหล็กดัดฟันออกมาทักทายเสมอนั้นด้วย ยิ่งทำให้ผมยิ้มตามอย่างบอกไม่ถูก

   ผมคุยโทรศัพท์อยู่นานพอสมควรเลยครับ จนฟ้าด้านนอกเริ่มเป็นสีม่วงเข้มแล้ว และผมเองก็รู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน จะว่าไปปาร์คก็ออกไปนานมากแล้วนะ มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่า หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมถึงยังไม่กลับมาสักที

   “นี่พี่กินข้าวยัง” ปลายสายยังคงส่งเสียงมาไม่หยุด ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงครับ พูดมากฉิบหายเลย ฮ่าๆๆๆ แอบด่านิดหนึ่ง!

   “ยังไม่ได้กินเลย เริ่มหิวแล้วด้วย” ผมตอบกลับไปตามตรง

   “ไปกินข้าวกันไหม เดี๋ยวผมนั่งรถไปหาที่หอ”

   “ตอนนี้ไม่ได้อยู่หอว่ะ ออกมาธุระข้างนอกอ่ะ”

   “ว้า! อดกินข้าวกับพี่เลย” ทาร์ตทำเป็นเหมือนกำลังเสียดายอย่างเต็มประดา แต่ผมรู้ครับว่ามันแกล้ง

   “เว่อร์ๆ ไปกินข้าวไป คุยนานแล้วร้อนหู” ผมตัดบท

   “โอเคคร้าบบบ พรุ่งนี้... หวังว่าจะได้เจอกันที่มอนะ” มันทำเสียงทะเล้นมาตามสาย ก่อนจะวางสายไป ผมขำเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวกับความบ๋องของมัน

   หลังจากที่ทาร์ตวางสายไป ผมก็ยังคงนั่งๆ นอนๆ แก่วอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีเช่นเดิม ท้องผมก็เริ่มปฏิบัติการแจ้งเตือนให้ยัดของกินเข้าไปให้มันพอใจได้แล้ว นี่ก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้วแต่ปาร์คก็ยังไม่กลับมา มันออกจากห้องไปตั้งแต่ยังไม่ห้าโมงด้วยซ้ำ นี่ก็เกือบสามชั่วโมงได้แล้วนะครับ แต่อาจจะเป็นธุระสำคัญก็ได้มั้ง

   เมื่อเสียงท้องของผมเริ่มประท้วงหนักมากขึ้น จึงบีบบังคับให้ผมต้องเดินไปยังโซนครัว เพื่อสำรวจหาของกิน จริงๆ แล้วนี่เกรงใจ๊เกรงใจ ไม่ค่อยอยากจะรื้อของเท่าไรเลย แต่ไม่ไหวแล้วล่ะ ตอนนี้ต้องยอมจำนนให้กับความหิวโหยอย่างเลี่ยงไม่ได้

   แน่นอนครับว่าเปิดตู้เย็นที่ห้องปาร์คมันไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก แต่มีของสำเร็จรูปที่กินได้เยอะขึ้น ผมเลยจัดการหยิบไส้กรอกออกมาถุงหนึ่ง ฉีกนิดๆ แล้วยัดเข้าไมโครเวฟทันทีเลยครับ ขอกินแก้หิวก่อนแล้วกันนะ แค่นี้ปาร์คไม่ว่าหรอก ฮ่าๆ

   หลังจากอบไส้กรอกแค่ประมาณหนึ่งนาที ผมก็ได้ขอรองท้องเป็นที่เรียบร้อย ผมหยิบส้อมมาแล้วเดินไปกินไป ดูอะไรในห้องไปเรื่อยเปื่อย ระยะเวลาเดือนกว่าๆ ที่ผมไม่ได้มาที่นี่ มันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ผมสำรวจโดยรอบ ก่อนจะตัดสินใจเปิดเข้าไปในห้องนอน ที่ผมเคยทั้งมีความสุขมากๆ และก็เป็นที่ที่ผมทุกข์มากเช่นเดียวกัน

   ผมยังคงอมยิ้มกับเหล่าของขวัญที่ผมให้ ซึ่งปาร์คยังคงเก็บรักษามันไว้อย่างดี แล้วก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นกีต้าร์ตัวจิ๋วนั่นตั้งอยู่ที่โต๊ะข้างหัวเตียง พร้อมกับกระดาษโน้ตแปะไว้หนึ่งแผ่น

   ‘My best gift… My Franc’

   ผมยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงใบหูทันทีที่ได้เห็นข้อความบนโน้ตแผ่นนั้น ข้อความสั้นๆ แต่มันแทนความหมายมากมาย ผมรู้สึกใจสั่นกับคำว่า ‘My Franc’ ปาร์คสื่อถึงอะไร ถึงผมจะดีใจจนน้ำตามันเอ่อล้น แต่ในใจผมกลับสับสน ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดอะไรไปเอง ไม่กล้าจะตัดสินใจอะไรเองอีกแล้ว ผมคงขี้ขลาดเกินไปมั้งครับ แต่ผมกลัวว่าถ้าผมคิดอะไรเลยเถิดไปอีก เรื่องจะกลายเป็นแย่เหมือนครั้งที่แล้ว

   ภาพในวันนั้นยังคงตามหลอกหลอนผมอยู่ ถ้าผมก้าวล้ำเส้นไปอีก เราจะยังคงมองหน้ากันได้ไหม แต่ของที่อยู่ตรงหน้านี้ อีกทั้งการกระทำเมื่อเย็นนั่นมันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ ผมหาทางออกไม่เจอจริงๆ แม้ว่าหัวใจที่ผมวิ่งตามจะหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ผมกลับไม่กล้าคว้ามันเอาไว้ จริงๆ ผมไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือออกไปสัมผัสมันอีกครั้งด้วยซ้ำ เพราะผมกลัวว่ามันจะหนีผมไปไกลกว่าเดิม และจะไม่ย้อนกลับมาอีก

   ผมเลือกที่จะเลิกสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วหันหลังกลับออกไปด้านนอก มันคงไม่ดีเท่าไรที่ผมยุ่มย่ามกับห้องคนอื่นมากเกินไป

   และแล้วผมก็พาร่างมาทิ้งไว้บนโซฟาตัวเดิม ที่เดิม แค่เปลี่ยนอิริยาบถ และเปลี่ยนช่องทีวี ผมเบื่อเหมือนกันนะ รู้สึกเหมือนตัวเองถูกขังอยู่ในห้องยังไงไม่รู้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่กลับสักที คงเพราะปาร์คทิ้งท้ายให้ผมรอมั้งครับ ที่ทำให้ผมนั่งแหง็กอยู่อย่างนี้

   ไม่รู้เวลาผ่านไปเนินนานแค่ไหนขณะที่ผมนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา สติสัมปชัญญะและประสาทการรับรู้ของผมเริ่มปิดการทุกงานของตัวเองลงมากขึ้นๆ ทุกที จนในที่สุดผมก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

**********__________**********

   “ฟร๊องก์ๆ” เสียงดังที่ข้างหูสร้างความรำคาญให้ผมเป็นอย่างมาก แล้วยังตามมาด้วยแรงเขย่าที่ต้นแขนอีก โอ้ย! คนจะนอนมากวนทำไมเนี่ย!

   “อื้อ” ผมส่งเสียงอู้อี้ออกไปอย่างไม่ชอบใจ

   “ลุกก่อนเร็ว เข้าไปนอนในห้องจะได้สบายๆ” โอ้ย! บ่นจริงๆ เลยวุ้ย! พูดอะไรไม่รู้เรื่อง!

   “อื้ม จะนอน!” ผมบอกเสียงแข็งก่อนจะพลิกตัวหนีแรงเขย่าที่น่ารำคาญนั้น

   “ก็จะพาไปนอนไงครับ ลุกเร็ว” สัมผัสนั้นยังคงตามมา โถ่เว้ย! จะวุ่นวายไปไหนวะเนี่ย คนจะนอนมากวนอยู่ได้

   แล้วจู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าตัวผมลอยขึ้นผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกโหว่งๆ ในช่องท้องทำให้ต้องลืมตาขึ้นมามองว่าเกิดขึ้นอะไรขึ้นกับผมกันแน่

   “อ่ะอืม... ปาร์ค” ผมมองปาร์คที่กำลังอุ้มผมเข้าไปในห้อง โดยที่เจ้าตัวก้มลงมามองและยิ้มบางๆ ให้ผม แต่ตัวปาร์คเหมือนมีกลิ่นเหล้าเลยอ่ะ นี่กินเหล้ามาเหรอ

   “กำลังจะพาไปนอนนะ จะได้นอนได้สบายๆ” ปาร์คพาผมเข้ามาในห้องนอนเป็นที่เรียบร้อย และใบหน้าของเจ้าตัวยังคงแต้มด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่ปาก แค่นี้ก็ทำให้ผมนอนฝันดีแล้ว

   “ไปไหนมา ทำไมกลับช้าจัง” ผมพูดด้วยเสียงอ่อนด้วยความง่วงงัวเงียหลังจากที่ปาร์ควางผมลงบนฟูกเตียงนุ่มๆ อย่างเบามือ

   “พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ ยุ่งๆ เลยกลับช้า รอนานเลยเหรอ” ปาร์คที่อยู่ด้านบนตัวผมยังคงมีรอยยิ้ม

   “นานมากกก ขโมยกินไส้กรอกไปด้วยแหละ หะๆ” ทำไมรู้สึกว่าคำพูดของผมมันฟังดูปัญญาอ่อนจังวะ แต่ตอนนี้รู้แค่ว่าผมง่วงมาก และตาใกล้จะปิดลงทุกที แต่ใจมันยังคงอยากเห็นหน้าคนตรงหน้าอยู่

   “ขโมยกินของคนอื่นแบบนี้ ต้องโดนทำโทษนะรู้ไหม”

   “จะทำโทษอะไรฟร๊องก์ ไม่ยอมหรอก นี่แหน่ะๆ” ผมยกมือขึ้นตีไปยังตัวปาร์ค แต่ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดเหล่านั่นจะออกมาจากปากผม แต่ก็มีคนเคยบอกนะครับว่าถ้าผมงัวเงียๆ หรือไม่ก็เมา ผมจะขี้อ้อนและปัญญาอ่อนเป็นพิเศษ ซึ่งก็คงจะจริงมั้งครับ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองปัญญาอ่อนเลย

   “เจ็บๆ ดื้อจริงๆ เลย” แล้วจู่ๆ ปาร์คก็รวบมือทั้งสองข้างของผมไว้เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียว

   “อื้อ... จะทำอะราย ปล่อยเลยน๊า” เสียงผมยังคงอู้อี้ พูดไม่จับใจความไม่ถูก

   “อย่ายั่วกันนะฟร๊องก์” เสียงปาร์คเริ่มแหบพร่า พร้อมด้วยใบหน้าที่ก้มลงมาใกล้ผมมาขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่มือนั้นจะปล่อยมือทั้งสองของผมให้เป็นอิสระ

   ไม่รู้เพราะอะไร เมื่อผมได้เห็นดวงตาคมเบื้องหน้านี้ อาการงัวเงียของผมก็แทบจะหายไปในทันที มือข้างหนึ่งของผมเอื้อมออกไปจับใบหน้าเรียบเนียนเอาไว้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะคลี่ยิ้มจางๆ ออกมา นี่ผมกำลังฝันไปหรือเปล่า ตรงหน้าผมตอนนี้คือปาร์คจริงๆ หรือเป็นแค่เพียงแค่ฝัน

   “รู้ไหมว่าปาร์คไม่อยากก้าวไปเกินคำว่าเพื่อนระหว่างเราเลย” ริมฝีปากของปาร์คขยับขึ้นลงเปล่งเสียงนุ่มทุ้มที่ผมชอบฟังออกมา ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่น และกลิ่นแอลกอฮอล์จากคนตรงหน้า “แต่ปาร์คก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ทุกทีที่อยู่ใกล้ฟร๊องก์”
 
   “ปะ... ปาร์ค” ผมเอ่ยเบาๆ ฝ่ามือนั้นยังคงลูบแก้มข้างหนึ่งของปาร์ค ราวกับกำลังกลัวว่ามันจะหายลับไป รู้สึกถึงไอร้อนผ่าวละที่ขอบตา ก่อนที่หยดน้ำอุ่นๆ จะเอ่อล้นออกมา

   “เรากำลังทำผิดคำสัญญากันอยู่หรือเปล่า” เสียงนั้นค่อยๆ เบาลงจนหัวใจผมเริ่มสั่นเทาด้วยความกังวล ผมมองปาร์คด้วยภาพจางๆ จากม่านน้ำตา และกำลังกลัวว่าปาร์คตรงหน้าจะหายไป

   “ลองทำตามเสียงหัวใจสักครั้ง” ผมพูดออกไปอย่างแผ่วเบา ไม่รู้หรอกว่ามันจะผิดอย่างที่ปาร์คพูดหรือเปล่า แต่มันก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอที่คนเราจะลองทำตามหัวใจตัวเอง

   “อย่างนั้น... ปาร์ค ‘ขอ’ ทำตามเสียงใจตัวเองนะ” ปาร์คพูดเอื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มเบา ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะปิดกั้นคำพูดต่อๆ ไปของตัวเองไว้ด้วยริมฝีปากของผม

   รสจูบอันหอมหวานที่เราสองคนต่างมอบให้แก่กันและกัน เรียวลิ้นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่ร่างกายของเราทั้งสองจะเริ่มปลดเปลื้องเปลือยเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงเนื้อเนียนที่บดเบียดแนบชิดกัน ความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นไว้ด้วยความกลัวของเราสองคนตอนนี้มันได้พังทลายลงมาหมดแล้ว และเราทั้งสองก็ต่างถ่ายทอดความรู้สึกลึกซึ้งให้กันและกันโดยไม่สนใจกฏเกณฑ์ที่มาขว้างกั้น

   และผมจะไม่ลืม... วินาทีที่เราสองคนได้ทำตามเสียงหัวใจของกันและกัน 


à suivre...

รำคาญตัวละครได้ แต่อย่ารำคาญเค้าน๊าาา 5555555555+

ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
อย่าว่าเค้าน้า เค้าทนอ่านนิสัยฟร็องไม่ไหว ขอพักก่อน ไว้ตอนที่ 20 ค่อยกลับมาอ่าน ขอช้ามตอนพวกนี้ไปก่อนละกัน อึด อัด ลำคาน นิสัยฟร็อง ปนกันไปหมด

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รู้สึกเหมือนเรื่องร้ายๆ กำลังจะเข้ามาเลย -0-

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
รู้สึกว่าถ้าตื่นขึ้นมาหายเมาแล้วสติกลับมาแล้ว เหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นยังไงไม่รู้

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 16 [25/5/2017]
«ตอบ #55 เมื่อ25-05-2017 20:32:21 »

Chapitre 16

   ผมตื่นมาอย่างสะลึมสะลือพร้อมด้วยอาการปวดบริเวณสะโพกและบั้นท้าย ครั้งแรกนี่มันเจ็บชะมัด แต่สิ่งที่แลกกับความเจ็บนั้นก็คือความสุข สุขจากคู่กรณีที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ที่ยังคงนอนกอดผมหมดสภาพไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ข้างๆ ผมพยายามกระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความง่วง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวอย่างเบาแรงเพื่อไม่ให้คนที่หลับสนิทอยู่ข้างๆ รู้สึกตัว

   “จะรีบไปไหน นอนต่อก่อนสิ” คนแกล้งหลับกระชับอ้อมแขนกอดผมแน่นขึ้นไม่ให้ผมลุกหนีไปไหน

   “ปวดฉี่ จะเข้าห้องน้ำ” ผมบอกออกไปตามตรง จริงๆ ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมอายมากกว่า กะ... ก็เมื่อคืน เอ่อ... ช่างมันเถอะครับ ผมอายยย!

   “เดี๋ยวค่อยไปนะ ขออีกสิบนาที” คนดื้อยังคงพูดอย่างเอาแต่ใจ แถมยังกดหัวผมให้ซบลงไปที่บริเวณอกเปลือยเปล่าของมันอีก แต่... มันก็ทำให้ผมได้รู้นะ ว่าใจของปาร์คเองก็เต้นแรงไม่แพ้ใจของผมเลย

   “โห้ย! ฉี่จะแตกอยู่แล้ว” ผมต่อรองพร้อมกับขืนตัวออกจากแผงอกแข็งแรงและอบอุ่นนั้น หัวใจผมก็เต้นแรงมาก สติสตังค์ผมก็อยู่ไม่นิ่งแล้วครับ

   “ฮ่าๆ หอมแก้มก่อน แล้วจะปล่อย” คนเอาแต่ใจว่าทั้งที่ตายังไม่ลืมพร้อมกับทำแก้มป่องข้างหนึ่ง ได้ทีแล้วเอาใหญ่เลยนะครับ แต่... ก็ชอบนะ

   “ไม่เอา อย่าแกล้งดิ ปวดฉี่จริงๆ” ผมทำโวยครับ แต่ตัวเองกลับก้มหน้างุดๆ ด้วยความเคอะเขิน

   “งั้นก็ไม่ปล่อย ให้ฉี่ราดที่นอนนี่ล่ะ” โอ้ย! จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว

   “ไอ้บ้า!” ผมทุบอกของคนตรงหน้าเบาๆ เพราะถูกกอดอยู่จึงทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก “ทีเดียวนะ”

   “อืมมม” คนตัวใหญ่ว่าด้วยเสียงยาน และริมฝีปากที่กระตุกยิ้มบางๆ ด้วยความพอใจ

   ฟอด!

   ผมชะเง้อคอขึ้นไปหอมที่แก้มของคนที่สูงกว่าที่กำลังทำแก้มป่องๆ รออยู่แล้วด้วยความเขินขั้นสุดยอด

   จุ๊บ!

   แต่ไอ้คนขี้โกงก็เอาเปรียบผมอีกจนได้ หลังที่ผมถอนริมฝีปากออกจากแก้มไม่ถึงวินาที มือใหญ่ทั้งคู่ก็จับใบหน้าของผมประคองไว้ ก่อนที่ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อนั้นจะชิงจูบผมอีกครั้งอย่างอ้อยอิ่ง

   “มอนิ่งคิสครับ ฟร๊องก์ของปาร์ค” ปาร์คพูดอย่างแผ่วเบาและอบอุ่นไปถึงหัวใจหลังจากที่ถอนริมฝีปากออก และคำพูดนั้นก็เล่นเอาใบหน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมาแทบจะทันที

   “ไอ้บ้า! ฉวยโอกาส ปล่อยเลย!” ผมว่า แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้มออกมาอย่างหักห้ามตัวเองไม่ได้ ก่อนจะผลักตัวเองให้ออกห่างจากคนเจ้าเล่ห์นี้

   “ฮ่าๆ ‘เมีย’ ใครไม่รู้ น่ารักเป็นบ้า” เมื่อกี้หูผมแว่วไปเองหรือเปล่า ผมได้ยินอะไร เมียๆ นะ ผมได้ยินผิดไปหรือเปล่า ปาร์คเรียกผมว่า... เมีย!

   “บ้า!” ผมว่าเสียงดังก่อนจะรีบวิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำแบบลืมความเจ็บที่ช่องด้านหลังไปทันที โอ้ย! หัวใจผมเต้นแรงมากจนมันจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว แถมใบหน้าผมก็ร้อนจนแทบไหม้

   ผมยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมเองก็มีความกังวลอยู่ไม่น้อย ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ผมรู้ว่ามันจะต้องมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน ผมนอนด้วยความหวาดหวั่นว่าตื่นมาในวันนี้ผมกับปาร์คจะมองหน้ากันได้อยู่ไหม เราจะมองกันด้วยสายตาแบบไหน และความรู้สึกเราจะแปรเปลี่ยนไปเป็นเช่นใด เพราะการกระทำนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของผมไปตลอดกาล

   ตลอดทั้งคืนผมนอนคิดมากและกลัวมากว่าปาร์คจะเปลี่ยนไปอีก กลัวปาร์คจะทิ้งผมไป โดยไม่หันมามองผมอีก แต่ตอนนี้หัวใจผมกลับพองโต กลืนกินความกังวล ความหวาดกลัวก่อนหน้านี้หมดแล้ว เพราะการกระทำข้างคนที่อยู่ข้างกายผมเมื่อครู่ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปจริงๆ แต่มันไม่ได้เปลี่ยนไปในแบบที่ผมคิด ผมคงเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายมากนะครับ ที่มักจะคิดอะไรร้ายๆ ไปก่อนแล้ว ทั้งที่มันยังไม่เกิดหรืออาจจะไม่ได้เกิดเลยด้วยซ้ำ

   ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกระทำและการตัดสินใจเรื่องเมื่อคืนของปาร์ค ได้ครอบครองพื้นที่หัวใจของผมไปจนเต็มเปี่ยมเป็นที่เรียบร้อย ผมมีความสุขมากจนแทบจะสำลักมันออกมา สถานะที่แปรเปลี่ยนมันเหมือนเสียงระฆังที่ดังสนั่นอยู่ที่เส้นชัย พร้อมกับหัวใจดวงนั้นที่ผมวิ่งตามมานานแสนนาน ตอนนี้ผมได้มาหยุดอยู่ที่จุดหมายแล้ว หยุดพร้อมกับหัวใจที่มาอยู่เคียงข้างผมโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยไขว่คว้ามันอีก

**********__________**********

   ผมใช้เวลาในห้องน้ำทำธุระส่วนตัว แล้วก็จัดการอาบน้ำเพื่อความสดชื่น ก่อนจะกลับออกมาในชุดของปาร์คชุดเดิมที่ใส่นอนเมื่อคืน เมื่อออกมา ผมก็เดินไปรื้อชุดเปลี่ยนในตู้เสื้อผ้าของเจ้าของห้องราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของอีกคนก็ไม่ปาน ก่อนจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบในห้องน้ำ

   “เมื่อกี้มีคนโทรมา!” ปาร์คพูดเสียงแข็งขณะที่มือถือโทรศัพท์ของผมอยู่ เป็นอะไรขึ้นมา อยู่ๆ ก็อารมณ์เสีย ก่อนหน้ายังกวนอยู่เลย

   “ใครอ่ะ” ผมเดินเช็ดหัวพลางๆ ไปนั่งลงบนเตียงข้างๆ ปาร์ค

   “ไม่รู้!” ปาร์คว่าแล้วเอาโทรศัพท์มาวาง (กระแทก) ลงใกล้ๆ ขาผม แล้วลุกออกจากเตียงไป

   “อะไรของมัน“ ผมทำหน้างงๆ กับท่าทางของปาร์ค แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดู

   ไม่เห็นมีสายที่ไม่ได้รับเลย เมื่อผมเปิดเช็คว่าใครโทรฯ มาเมื่อกี้ตามที่ปาร์คบอก แต่ก็ต้องไปสะดุดกับเบอร์ของเก็ทที่เพิ่งโทรฯ เข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้ปาร์ครับโทรศัพท์ แต่ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนกำลังโกรธผมแบบนั้นด้วย

   “ฮัลโหลเก็ท” ผมโทรกลับไปหาเก็ททันที เผื่อมีเรื่องด่วน

   [อืม รู้แล้วว่าวันนี้ไม่ไปเรียน] เก็ทตอบกลับมาเสียงราบเรียบ ผมถึงออกว่าวันนี้ผมมีเรียน! ลืมไปเลยจริงๆ ที่เก็ทโทรฯ มาก็คงเพราะจะมารับผมหรือไม่ก็มาถึงหน้าหอแล้ว วันนี้วันจันทร์ผมมีเรียนเช้าด้วย

   “อ่ะ... อืม แวะมารับแล้วหรอ โทษทีไม่ได้โทรฯ บอกก่อน ลืมเลยเหมือนกันว่ามีเรียน ฮ่าๆ”

   [ไม่เป็นไร แค่นี้แหละ ไม่รบกวนล่ะ] เก็ทว่าก่อนจะวางสายไป

   ผมยักไหล่เล็กน้อยกับอาการแปลกๆ ของทั้งสองคน ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม แล้วตากผ้าขนหนู ว่าไปก็หิวอยู่เหมือนกันนะ ออกไปหาอะไรรองท้องหน่อยดีกว่า เมื่อวานเย็นก็กินแค่ไส้กรอก แถมตอนกลางคืนยัง... ใช้พลังการไปเยอะ

   แน่นอนว่าในตู้เย็นก็ไม่ค่อยมีอะไรที่ทำกินได้เท่าไรหรอก ผมเชื่อว่าปาร์คแทบจะไม่เคยทำอาหารกินเองในห้องเลย อย่างมากก็คงแค่อบไส้กรอก ไม่ก็ทอดไข่แค่นั้นแหละ แต่เป็นผมไปซื้อกินก็สะดวกกว่านะ ไม่ต้องเตรียม ไม่ต้องเก็บล้างอีกต่างหาก
 
   ผมหยิบไส้กรอกออกมาถุงหนึ่ง ไข่อีก 2 ฟอง โชคดีที่มีผักอยู่ ที่มีคือกะหล่ำปลี ผมเลยหยิบมันออกมาด้วยเลย กะจะผัดมาม่าเนี่ยล่ะ ง่ายดี ว่าแล้วผมหยิบซองมาม่ามาลวกน้ำให้เส้นมันสุกก่อน ก่อนจะจัดการหั่นกะหล่ำปลี

   “ทำไรอ่ะ!” จู่ๆ ปาร์คก็โผล่มาข้างหลังพร้อมกับทำเสียงดังที่ข้างหูผม

   “โอ้ย!” ผมร้องออกมาเพราะถูกมีดบาดเข้าที่นิ้วเต็มๆ เลย เพราะมันเลย! แม่งโผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจหมด! โอ้ย! เจ็บชิบ!

   “เห้ย! ขอโทษๆ เจ็บไหม” ปาร์คพูดด้วยท่าทีตระหนกทันที ก่อนจะคว้ามือข้างที่ถูกมีดบาดขึ้นไปดูแผล

   “เจ็บดิ!” ผมตอบกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง ไม่ได้โกรธมันหรอกครับ แต่กำลังเจ็บอยู่มากกว่า

   “ขอโทษนะ” ปาร์คว่าก่อนจะคว้านิ้วที่ถูกมีดบาดนั้นไปดูด เป็นแวมไพร์เหรอ ดูดเลือดเนี่ย มันเรียนที่ไหนมาว่าให้ดูดห้ามเลือด เขามีแต่ดูดเลือดเพื่อดูดพิษออกไม่ใช่เหรอ 

   “ปาร์ค” ผมมองหน้าปาร์คด้วยความตกใจ ส่วนปาร์คก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะยิ้มบางๆ ทั้งที่ปากยังดูดนิ้ว นิ้วนั้นของผมอยู่

   “ล้างแผล แล้วทายาก่อน เดี๋ยวปาร์คมาช่วยทำต่อ” แล้วปาร์คก็พาผมมานั่งทำแผล จริงๆ แผลไม่ได้ลึกมากเท่าไรหรอกครับ แต่ก็แสบใช้ได้เลย ดีที่ผมไม่ได้หั่นไปเต็มแรง ไม่งั้นมีหวังนิ้วผมคงได้ขาดไปแล้ว

   ผมนั่งมองปาร์คที่กำลังทำแผลให้ผมอย่างตั้งใจ ใบหน้าที่ดูหมองลงนิดหน่อย คงเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้ผมต้องเจ็บตัวแบบนี้ล่ะมั้ง ปาร์คทายาและติดพลาสเตอร์ยาให้ผมอย่างเบามือ ก่อนที่เป่าที่แผลเบาๆ เหมือนพ่อแม่ที่ชอบเป่าแผลให้ตอนเด็กๆ แบบขอให้หายเร็วๆ อะไรแบบนั้น มันทำให้ผมยิ้มออกกับภาพความน่ารักของคนตรงหน้า

   “เสร็จแล้ว หายไวๆ นะ” ปาร์คเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้จะแอบเศร้าไปหน่อย

   “ขอบใจนะ” ผมยิ้มตอบ

   “จะทำอะไรให้ปาร์คกินเนี่ย ไปทำต่อกัน” แล้วปาร์คก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมทั้งดึงผมให้ลุกตามด้วย ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง

   แล้วเราก็กลับมาทำอาหารด้วยความสนุกสนาน สนุกมากจนมันเหมือนจะเป็นความวุ่นวายเล็กๆ มากกว่า ต่างคนก็ต่างแกล้งกันไปมา จากแค่ล้างผักธรรมดาก็กลายเป็นการเล่นสงกรานต์ วักน้ำใส่กันจนเปียกไปหมด แผลที่ทำไว้ก่อนหน้า พลาสเตอร์ที่ปิดแผลไว้ก็เปียกซกเลยครับ พื้นห้องครัวก็เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำ แต่หลังเล่นกันสักพักก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อผมเริ่มจับกระทะเพื่อจะผัดสักที ไม่งั้นคงไม่ได้กินล่ะครับวันนี้

   ผมประจำหน้าที่เชฟ ส่วนปาร์คเป็นผู้ช่วยครับ แต่ช่วยให้เละหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆ ระหว่างผัดไป ผมก็หันไปสั่งให้ปาร์คหยิบโน้นนี่ใส่ไปด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็เชื่องดีครับ ทำตามทุกอย่างเลย ใช้ได้ๆ เชื่อฟังคำสั่งได้ดี

   “น่ากินอ่ะ” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แค่ผัดมาม่าเนี่ยนะ เว่อร์ไปเปล่าไอ้นี่

   “หมายถึงฟร๊องก์หรือผัดมาม่า” ผมหันกลับมองปาร์คก่อนจะยักคิ้วกวนๆ กลับไป

   “อย่ามากวน เดี๋ยวจะไม่ได้กลับหออีกวัน!” ปาร์คว่าพร้อมกับส่งหลังมือมาเขกหัวผมเบาๆ

   “ไอ้หื่น! ไปเอาจานมาเลย เสร็จแล้ว” ผมด่าออกไปด้วยความเขิน ก่อนจะไล่มันไปเอาจานทันที เล่นเอง เจ็บเอง บ้าที่สุด!

   ในที่สุดมาม่าผัดสูตรเด็ดของผมก็เสร็จเรียบร้อยครับ พูดให้ดูดีไปงั้น ทั้งที่จริงมันไม่ได้มีอะไรเลย แค่เส้นมาม่า ไข่ ไส้กรอกยี่ห้อดีหน่อย แล้วก็กะหล่ำปลี ผัดๆ ปรุงรส(ตามใจผม)แค่นั้นเอง กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็ต้องกิน สำหรับมันผมบังคับให้กินสถานเดียวครับ!

   “เห้ยอร่อยเหมือนกันนี่!” หลังจากที่เราสองคนยกมานั่งกินกันหน้าทีวี ชิมไปแค่คำเดียวปาร์คก็พูดออกมาด้วยเสียงตื่นเต้นปนทึ่ง

   “แน่น๊อน! ฟร๊องก์ซะอย่าง” ผมหันไปยักคิ้วให้อีกรอบพลางยิ้มกวนๆ

   “หลงตัวเองโคตรเลย!” ปาร์คว่าขำๆ พร้อมกับผลักหัวผมเบาๆ

   แล้วผมกับปาร์คก็นั่งกินกันไป หัวเราะกันไป รวมทั้งแกล้งกันไปด้วย ท่าทางอารมณ์เสีย หรือแอบเคืองของปาร์คก่อนหน้าหายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมเองก็ลืมๆ ไปเหมือนกันครับ ส่วนเจ้าตัวนี่คงลืมไปเสียสนิทเลยแหละ นั่งแกล้งผมขนาดนี้

   “เออ... คนที่โทรมาเป็นเพื่อนเหรอ” เมื่อกินหมด เราก็นั่งพักท้องกันครู่หนึ่ง อยู่ๆ ปาร์คก็ถามขึ้น นึกว่าลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก

   “เก็ทอ่ะเหรอ เพื่อนที่ม.แหละ” ผมตอบสบายๆ ไปตามความเป็นจริง

   “งั้นเหรอ แล้วใช่คนนี้หรือเปล่าที่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันตอนดึกๆ” ปาร์คพูดเสียงเรียบ สายตาจ้องมองตรงไปยังโทรทัศน์เบื้องหน้าอย่างเดาอารมณ์และความคิดไม่ถูก

   “อืม คนนี้แหละ จริงๆ ไม่ได้ไปด้วยกันตอนดึกๆ สักหน่อย เว่อร์ไป เก็ทเป็นเพื่อนในกลุ่มฟร๊องก์เนี่ยล่ะ แค่ฟร๊องก์จะติดรถไปไหนมาไหนด้วยตลอด” ผมทำเป็นพูดติดตลกเพื่อพยายามดึงบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียด

   “แล้ว... เคยมีอะไรกันเปล่า”

   “เห้ย! บ้าแล้ว! ฟร๊องก์กับเก็ทเป็นแค่เพื่อนกันนะปาร์ค!” ผมว่าเสียงดังด้วยท่าทางที่จริงจังและไม่พอใจ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วตัวเองขมวดเป็นโบว์

   “ก็ปาร์ค... หวง” ปาร์คพูดเสียงแผ่วเบาจนผมเองก็แทบไม่ได้ยิน แต่มันก็ทำให้ผมยิ้มเขินได้เหมือนกัน

   “หวงเหรอ” ผมแกล้งเอาไหล่ไปกระแซะๆ ปาร์ค

   “เปล่า!”

   “จริงอ่ะ” ผมไม่ยอมเลิกง่ายๆ หรอกครับ อยากได้ยินชัดๆ

   ตุบ!

   เพราะผมเล่นไม่เลิก ปาร์คเลยหันมาจับไหลทั้งสองข้างของผมแล้วกดตัวผมนอนราบลงไปกับโซฟา โดยที่ตัวมันจ้องหน้าผมอยู่ด้านบน

   “หวง! หวงมากด้วย!” ปาร์คว่าด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจัง พร้อมกับดวงตาคมกริบที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมราวกับกำลังบอกให้ผมรับรู้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้จริงจังแค่ไหน

   “...” ผมพูดอะไรไม่ออก ดวงตาโตๆ ของผมก็ไม่อาจต้านทานดวงตาคมดุจดวงตาเหยี่ยวคู่นั้นจนต้องหลบสายตาเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่หัวใจของผมที่แพ้พ่ายอย่างราบคราบให้กับคนตรงหน้า

   “อย่าทำแบบนี้กับใครรู้ไหม” เสียงของปาร์คอ่อนลง น้ำเสียงที่แฝงด้วยความออดอ้อน เว้าวอน

   “อืม... ปาร์คปล่อยฟร๊องก์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะได้ไปล้างจาน” ผมรับปาก ก่อนจะดันตัวปาร์คให้ลุกขึ้นเบาๆ บรรยากาศแบบนี้ผมเดาได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และตัวผมยังไม่พร้อมจะรับศึกหนักอีกครั้ง แค่เมื่อคืน... ก็เหนื่อยพอแล้วครับ

**********__________**********

   ตอนนี้ผมกลับมาถึงหอตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรน่ะเหรอ คุณกำลังคิดว่าอะไรอยู่ล่ะ ลองเดาดูดิ ฮ่าๆ ติ๊กตอกๆ ...

   อ๊ะๆ บอกก็ได้ มันไม่มีอะไรเลยครับ แค่ปาร์คพาผมออกไปดูหนัง แล้วก็เดินเล่นนิดๆ หน่อย และก่อนกลับเราสองคนก็หาอะไรยัดลงกระเพาะกันอีกหน่อย แต่ปาร์คสิครับโคตรเอาเปรียบผมเลย ก็มันเล่นแต่งตัวซะหล่อเชียว เสื้อเท่ๆ กับกางเกงยีนส์ขายาว ในระหว่างที่ผมใส่ชุดเดิม(อีกแล้ว)ของเมื่อวาน ลองย้อนกลับไปอ่านดูแล้วกันว่าผมแต่งอย่างไร แต่เอาง่ายๆ ว่ามาเดินคู่กับปาร์คแล้ว เหมือนเป็นเด็กถือของ เด็กรับใช้ที่บ้านอย่างไรอย่างนั้น แต่เรื่องมันน่าตื่นเต้นขึ้นอีกนิด แทนที่จะน่าเบื่อเกินไป คือในระหว่างที่เราเดินเลือกร้านอาหารอยู่นั้น ส่วนมากจะเถียงกันมากกว่าว่าตกลงแล้วจะกินอะไร เราบังเอิญเจอกับชัญญ่า แฟนของเก็ทเข้าครับ

   “อ้าว ฟร๊องก์!” ร่างเพรียวบางในชุดนักศึกษาปรากฏขึ้นตรงหน้าผมของและปาร์คพร้อมกับน้ำเสียงหวานแหลมที่ดูมั่นใจ

   “อ้าวญ่า เป็นไงมาไงเนี่ย” ผมส่งยิ้มร่าทักทาย จะว่าไปผมกับชัญญ่าก็คุยกันบ่อยเหมือนกันนะครับ ส่วนใหญ่จะเป็นในไลน์ แต่ก็จะมีฝ่ายสาวเจ้าที่โทรมาสนทนาในประเด็นเด็ดประเด็นร้อนด้วย อย่างล่าสุดที่เธอโทรมาคุยก็เป็นเรื่องของเพื่อนตัวปัญหาของเธอคนนั้น ยังจำได้ไหมครับ คนที่กุเรื่องให้ชัญญ่าเข้าใจผมกับเก็ทผิด เธอไปจัดการมาเรียบร้อยแล้ว

   ผมก็นั่งฟังคร่าวๆ นะครับ เพราะมันคงดูไม่ดีนักถ้าจะแสดงความเห็นหรือใส่อารมณ์มากเกินไปกับเรื่องที่ไม่ใช่ของผม แต่ก็พอจับใจความได้ประมาณว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของชัญญ่า ซึ่งแม่นั่นก็ชอบเก็ทมาตั้งแต่มัธยม แต่ด้วยความที่เก็ทเป็นคนที่ท่าทางเย็นชามาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม่นั่นเลยไม่ประสบความสำเร็จ จนเก็ทเปิดตัวว่าคบกับชัญญ่า เธอก็ค่อยๆ ตีสนิทกับชัญญ่าและกลุ่มเพื่อนๆ ของเธอเพื่อคอยหาเรื่อง แต่งเรื่องบ้างเล็กๆ น้อยๆ ให้ทั้งเก็ทและชัญญ่าต้องทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่หนักหนานัก เพราะทั้งคู่ค่อนข้างเชื่อใจกัน แถมยังมีโลกส่วนตัวสูงทั้งคู่อีกต่างหาก จนมาล่าสุดที่เธอมากุเรื่องของผมกับเก็ทเนี่ยแหละครับ เพราะเธออยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผม คงจะเห็นมั้งว่าผมไปไหนมาไหนกับเก็ทตลอด เลยเก็บข้อมูล ประจวบกับวันที่เกิดเรื่อง เธอเลยได้หลักฐานชิ้นเด็ดเพื่อมาใช้ยืนยันว่าเรื่องที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง และที่แย่ไปกว่านั้นคือชัญญ่ากับเก็ทก็แอบงอนง้อกันมาก่อนหน้านั้นแล้วด้วย พอมีเรื่องนี้เข้ามาอีกเลยทะเลาะกันกลายเป็นเรื่องใหญ่โต

   ส่วนชัญญ่าจัดการกับแม่นั่นอย่างไร ผมก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันครับ แต่รู้สึกว่าจะเจ็บแสบพอสมควรเลย ชัญญ่าบอกว่าใช้เวลารวบรวมข้อมูล หลักฐานพฤติกรรมของผู้หญิงคนนั้นอยู่นานพอสมควร ทั้งสืบจากคนใกล้ตัวโน้นนี่เต็มไปหมดเลยครับ จนสุดท้ายเธอก็ได้หลักฐานเด็ดๆ มาจัดการกับเจ้าหล่อน โดยส่งทุกอย่างไปให้แฟนผู้หญิงคนนั้นมั้ง จนทะเลาะกันใหญ่โต ถึงขั้นเลิกกันเลย ตอนแรกผมก็พูดๆ กลับไปนะว่าชัญญ่าทำรุนแรงเกินไปหรือเปล่า แต่ชัญญ่าก็อธิบายมาครับว่าก่อนหน้านี้เธอก็คิดอยู่ว่ามันจะเป็นบาปกรรมไหม แต่พอเธอสืบประวัติเพื่อนตัวร้ายคนนี้ของเธอเรียบร้อย เธอก็ได้รู้ว่า แฟนที่เจ้าหล่อนนั่นคบยาวนานที่สุดก็เพราะว่ารวย คบเพื่อหลอกเอาเงิน ทั้งที่ตัวเองก็ยังมีกิ๊ก และมีอะไรต่อมิอะไรกับผู้ชายอื่นไปทั่ว เห้อ... คนเราก็เนอะ บางทีรอปล่อยให้กรรมตามสนองอย่างเดียวก็อาจจะไม่พอจริงๆ หลังจากจบเรื่องนั้น ชัญญ่าก็ไม่มีท่าทีหวาดกลัวกับการที่จะถูกแก้แค้นอีกนะครับ เพราะประวัติอันฉาวโฉ่ของหล่อนนางนั้นมีเยอะมากจนถ้าชัญญ่างัดออกมาโชว์เพิ่มจริงๆ แม่นั่นคงไม่ได้ผุดได้เกิด งานนี้ทำให้ผมรู้สึกเลยครับว่ามีเรื่องกับผู้หญิง อันตรายมากจริงๆ มันเท่ากับขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ส่งยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้

   “ก็เลิกเรียนแล้วก็มาอ่ะ เบื่อๆ ว่าแต่ฟร๊องก์เถอะ ทำไมวันนี้มาไกลจัง แล้วมากับใครเนี่ย” ชัญญ่าตอบคำถามของผมอย่างฉะฉาน ก่อนจะส่งคำถามกลับมายังผมเช่นกัน เธอมองผมด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเหลือบมองไปยังปาร์คที่ยืนงงๆ กับบทสนทนาของเราสองคนอยู่ข้างๆ ผม

   “อ่ะ... อ๋อ นี่... เพื่อนฟร๊องก์น่ะ ชื่อปาร์ค” ผมแค่นยิ้มก่อนจะพูดออกไปอย่างยากลำบากกับสถานะที่มันยังดูคลุมเครือ ไม่ชัดเจน แต่ก็ต้องพูดออกไป ผมเน้นคำว่าเพื่อนหนักกว่าคำอื่นๆ เพราะตอนนี้มันคงเป็นความสัมพันธ์ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับผมและปาร์ค

   “อ๋อออ... เพื่อนนน...” ชัญญ่าทำเสียงยาวพร้อมยิ้มให้ผมอย่างมีเลศนัย “เราชัญญ่านะ เป็นเพื่อนฟร๊องก์เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จัก” ก่อนที่เธอจะหันไปทำความรู้จักกับปาร์คอย่างสนิทสนม ผมเองก็แอบขำกับท่าทางของชัญญ่าเหมือนกัน แต่ไม่ได้หันไปมองปาร์คว่าจะมีสีหน้าอย่างไรกับการโจมตีแบบซึ่งๆ เช่นนี้

   “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ” ปาร์คตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ

   “แล้วนี่จะไปไหนกันต่อเหรอ”

   “ว่าจะไปหาอะไรกินน่ะ” ผมตอบ

   “ชัญญ่าไปด้วยกันไหม” เป็นปาร์คครับที่ถามขึ้นมา ปกติแล้วปาร์คเป็นคนเข้ากับคนได้ง่ายครับ แล้วยิ่งคนที่เป็นกันเองอย่างชัญญ่าด้วย เลยไม่แปลกที่จะเริ่มทำความรู้จักกันได้ไว ดูอย่างผมที่การเข้าสังคมเกือบติดลบสิ ยังสนิทกับชัญญ่าได้ไวขนาดนี้เลย เพราะรู้สึกว่าไม่ต้องพิธีรีตอง ไม่ต้องวางตัว ใส่หน้ากากเข้าหากันมั้งครับ เลยทำให้ผมรู้สึกว่าชัญญ่าเป็นอีกคนที่น่าคบหาสมาคมด้วย

   “อุ๊ย! ว่าจะชวนอยู่พอดีเลย ไปสิๆ จะได้คุยกันยาวๆ” เพราะแบบนี้แหละครับ ถึงทำให้สนิทกับเธอได้ง่าย แม้บุคลิกภายนอกจะดูเข้าถึงยาก ดูหยิ่งดูแรง แต่พอได้รู้จักจริงๆ ผู้หญิงที่แต่งตัวเปรี้ยวแบบนี้ก็มีนิสัยน่ารักๆ อยู่เหมือนกัน

   “นี่ยังเถียงกับปาร์คอยู่เลยว่าจะกินอะไรกันดี ฟร๊องก์อ่ะอยากกินปิ้งย่าง แต่ปาร์คอยากกินอะไรต้มๆ” ผมว่าพลางเหลือบมองปาร์คที่ยังคงเดินข้างๆ แบบงอนๆ ชอบบรรยากาศแบบนี้จัง

   “งั้นเอางี้... ไปกินร้านส้มตำกัน ฟร๊องก์สั่งไก่ย่าง ส่วนปาร์คก็สั่งต้มแซ่บ เป็นไง ได้กินอย่างที่ต้องการ ครบเป๊ะ!” ชัญญ่าดีดนิ้วอย่างถูกใจ เล่นเอาผมสองคนหลุดขำออกมาอย่างไม่ได้นัดหมาย เออมันก็จริงของชัญญ่านะครับ ได้ทั้งอาหารปิ้งย่างและอาหารแบบน้ำต้มๆ เลย ก็คิดได้เนอะ

   “ฮ่าๆ ตามนั้นก็ได้” ปาร์ครับคำอย่างชอบใจ พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

   จากนั้นเราก็ไปจบกันอยู่ในร้านส้มตำสไตล์ร้านขึ้นห้างล่ะครับ บรรยากาศบนโต๊ะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ โดยมีชัญญ่าเป็นตัวชูโรง รวมทั้งปาร์คเองที่ก็ผลัดกันเล่นรับส่งมุกกันไปมา ส่วนผมก็มีเสริมๆ บ้างแต่ตามไม่ค่อยทันเท่าไร ส่วนใหญ่จะนั่งขำอย่างเดียวเลยครับ เผลอแป๊บเดียว สองคนนี้ก็ดูสนิทกันไปซะแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกว่าชัญญ่าเนียนมากในการแทรกคำถามที่เป็นการล้วงข้อมูลระหว่างผมกับปาร์ค ซึ่งบางทีเราก็รู้ทัน และบางครั้งใครสักคนก็หลุดพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ผมว่าชัญญ่าเก็บข้อมูลไปได้เพียบเลยแหละครับ หลังจากจบมื้ออาหารที่มีบรรยากาศไม่ต่างจากตลกคาเฟ่ เราสามคนก็เดินคุยกันต่อสักพักจนในที่สุดที่บ้านชัญญ่าก็โทรมาตามบอกว่ามีธุระด่วนจึงต้องแยกกัน ผมว่าถ้าทางบ้านของชัญญ่าไม่โทรมา พวกเราคงคุยกันยันห้างปิด ฮ่าๆ ผมอยากเห็นเหมือนกันนะ เวลาที่เก็ทกับชัญญ่าอยู่ด้วยกันสองคน มันจะเป็นอย่างไร คนหนึ่งก็มาดนิ่ง ขี้เก็ก เย็นชาซะเหลือเกิน แต่อีกคนก็วางท่าเปรี้ยวมั่นใจซะ แต่จริงๆ แล้วกลับตบมุกตลกได้เพียบ เป็นคู่ที่แปลกดีเหมือนกันนะ และวันนี้ผมก็ได้เห็นอีกมุมของปาร์คกับคนที่เพิ่งจะรู้จัก ปาร์คเองก็สามารถวางตัวและเข้ากับคนได้ดีและเป็นกันเองมากๆ ที่สำคัญ มันดูน่ารักมากในสายตาผม      

   เรื่องยังมีต่ออีกนิด แต่ก็แค่... เอ่อ... ตอนที่ปาร์คมาส่งผมที่หอแล้ว ก่อนที่ผมจะลงจากรถ ปาร์คก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด ก่อนจะหอมผมฟอดใหญ่ที่แก้มทั้งสองข้าง ก่อนจะคลอเคลียใบหน้าตัวเองอยู่ที่หัวไหล่ของผมอยู่สักพักจึงปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ส่วนผมหลังจากลงจากรถก็รีบเข้าหอไปทันทีเลยครับ เห็นตัวเองผ่านกระจกภายในลิฟต์ก็รู้ทันทีว่าผมกำลังเขินแค่ไหน ก็หน้าและใบหูที่แดงราวกับลูกตำลึงสุกของผมที่สะท้อนอยู่บนกระจกนั่นสิครับ เป็นหลักฐานมัดตัวชั้นดี ยังไงผมก็ยังไม่ชินหรอกครับ ที่จะให้ปาร์คมันมากอด มาหอม หรือแม้แต่... จูบ

   สำหรับผมในตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือความสมหวังหรือเปล่าที่คนที่ผมรัก มาอยู่เคียงข้าง แต่ผมคงไม่หวังอะไรไปมากกว่านี้แล้ว จริงๆ ผมไม่ได้หวังและไม่เคยหวังว่าผมจะได้รับอะไรมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ แม้ว่าในวันนี้สถานะด้านความสัมพันธ์ของผมกับปาร์คจะยังไม่เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน แต่ผมรับรู้ได้ว่าหัวใจและความรู้สึกของเราสองคนนั้นเด่นชัดและแจ่มแจ้งเพียงใด

   วันพรุ่งนี้ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเราจะต้องเผชิญอะไร ผมพร้อมจะจับมือปาร์คแล้วเดินต่อไป ผมอยากให้ปาร์ครับรู้ว่ามันยังคงมีผมอยู่เคียงข้างเสมอ ไม่ว่าทางจะไกลแค่ไหน แค่ขอให้มันพร้อมจะจับมือผมไปเช่นกัน

   หลังจากวันนั้นมา ผมรู้สึกว่าอะไรมันก็ดีขึ้น โลกของผมดูสดใสขึ้น ปาร์คโทรหาผมบ่อยขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่เราทะเลาะกัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันเหมือนแต่ก่อน แต่ผมว่าก็ไม่อึดอัดเท่าเดิม แถมทุกครั้งที่โทรมา การพูดจาของปาร์คก็ดูหยอกล้อผมมากขึ้น หรือแม้แต่บางครั้งก็มีแอบเลียนจนผมเองก็อยากจะอ้วกให้รู้แล้วรู้รอด แต่ช่วงเวลาที่ได้คุยกับมันก็ยังคงเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันอยู่ดี


à suivre...

ยังไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น 555+ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะดีกันแบบนี้ต่อไปหรือเปล่า หุหุ

เราขอน้อมรับทุกคอมเม้นต์น๊า ขอบคุณมากๆ ที่ทำให้เรารู้ข้อดี และข้อผิดพลาดในงานของเรา  :mew1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
มันดูพันพันและมีสัญญา บางอย่าง ไม่รู้สึกแฮปปี้เลยเรา รู้สึกหน่วงล่วงหน้ามาก 555

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
มันรู้สึกแปลกๆ อ่ะ คงเพราะยังไม่รู้ความรู้สึกจริงๆ ของปาร์คมั้งว่ารักฟร็องจริงหรือเปล่า ถึงไม่ได้มีความรู้สึกยินดีไปด้วยกับฟร็อง แต่เราขอถามหน่อยเถอะนะปาร์คเพื่อนกันเขาไม่เอากันแบบนี้หรอกนะ รีบๆ รู้ใจตัวเองเร็วๆ ล่ะก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายไป

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 17 P.2 [28/5/2017]
«ตอบ #59 เมื่อ28-05-2017 19:51:45 »

Chapitre 17

   วันนี้วันเสาร์ครับ แน่นอนว่าผมอยู่บ้าน กลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ เด็กติดบ้านก็งี้แหละ อย่างไรซะอยู่กับพ่อแม่ก็สบายใจสุด แต่เดี๋ยวผมจะออกไปเที่ยวล่ะครับ (ไหนว่าจะอยู่กับพ่อแม่) แคมป์กับแซนด์นัดเอาไว้ พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้วเหมือนกันนะ ตั้งแต่หลังวันเกิดปาร์คมา ไม่ได้เจอกันเลย ปกติพวกผมไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครับ นัดเดินช้อปปิ้ง นัดกินข้าว เม้าธ์มอยตามประสา แต่ส่วนใหญ่จะรอแซนด์กลับมาบ้านก่อนครับ ถึงจะนัดกัน เพราะแซนด์เป็นคนเดียวที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยต่างที่ ทางภาคตะวันออกแหละครับ ไปอยู่หอที่โน้นแล้วก็ไม่ได้กลับมาบ่อยเท่าไร มันบอกว่าขี้เกียจนั่งรถครับ

   วันนี้เรานัดกันไปเดินชิลล์ๆ กันที่หอศิลป์ฯ กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นที่โปรด ที่ประจำของแซนด์เลย มันเรียนศิลปกรรมครับ ที่นี่เลยเป็นทางของมันเลย อยู่ได้เป็นวันๆ ผมเองก็ชอบเรื่องพวกนี้นะ แค่วาดรูปอะไรไม่เก่ง ฮ่าๆ แต่ก็ชอบดูมันเพลินดี ส่วนแคมป์ไม่ต้องพูดถึงครับ เวลานัดมาที่นี่มันก็มักจะบ่นเป็นต่อยหอย บอกพามาทำไมน่าเบื่อ ว่าไปนั่น! อย่างว่าล่ะครับ ความชอบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนี่เนอะ

   “นัดกูมาที่นี่อีกและ มึงเลยอีแซนด์” มาถึงแคมป์บ่นทันทีเลยครับ แคมป์มาพร้อมกับแซนด์ ส่วนผมมาเจอที่นี่เลยครับ ผมรู้เลยว่าก่อนหน้านี้แคมป์คงบ่นแซนด์มาตลอดทาง

   “หัดดูศิลปะจรรโลมจิตใจบ้างเถอะมึงอ่ะ ดูแต่ผู้ชาย!” แซนด์กัดตอบเบาๆ ผมหัวเราะร่ากับการเถียงกันของสองคนนั้น จริงๆ เราสามคนชอบกัดกันไปมาแบบนี้อยู่แล้วแหละครับ แต่ก็น่าแปลกที่กลับสนิทกันอย่างกับอะไรดี

   เราเดินดูอะไรกันเรื่อยๆ ใช้เวลาอย่างไม่เร่งรีบนัก หยุดถ่ายรูปบ้าง นั่งบ้าง เมื่อเริ่มเหนื่อยเราก็แวะพักทานไอศกรีมกันก่อนครับ แล้วกะว่าจะไปออกไปหาอะไรทานกันฝั่งสยาม

   “มึงกับผัวเป็นไงบ้าง” แคมป์ถามขึ้นหลังจากที่เราสั่งไอศกรีมมานั่งกินที่โต๊ะเรียบร้อย มันไม่ได้ถามผมนะครับ ไม่ต้องตกใจ มันถามแซนด์ครับ เพราะก่อนหน้าเห็นแซนด์บ่นๆ ว่ามันมีปัญหากับแฟนนิดหน่อย

   “ก็จับได้ว่ามันคุยกับผู้หญิงอีกคนอยู่ กูเห็นในแชท สงสัยลืมลบมั้ง กรูเลยถามเลยว่าจะเอายังไง จะเลือกกูหรือชะนีนั่น” แซนด์พูดท่าทางสบายๆ เหมือนไม่ได้จริงจังเท่าไร แต่จริงๆ ผมก็รู้ครับว่ามันก็แอบเครียดอยู่เหมือนกัน

   “แฟนมึงก็ดีเนอะ กูเห็นมึงพูดแบบนี้ตลอดเวลาทะเลาะกัน แต่แม่งก็ไม่เลิก” ผมบอกขำๆ นี่เรื่องจริงเลยครับ เวลาที่แซนด์ทะเลาะกับแฟน มันก็จะชอบท้าว่าเลิกกันเลยไหม อะไรแบบเนี่ย แต่แฟนมันไม่เคยเลิกเลย มันเลยใช้มุกนี้เป็นข้ออ้างตลอด แต่ถ้าสักวันเกิดเลิกขึ้นมาจริงๆ คนที่เจ็บที่สุดคงไม่พ้นแซนด์หรอกครับ แต่มันก็เคยเปรยๆ ไว้ว่าที่มันพูดแบบนี้มันก็ทำใจไว้เสมอแหละ ยิ่งทะเลาะกันหนักๆ อย่างเรื่องนอกใจนี่ด้วย มันบอกว่ามันยิ่งต้องทำใจเลย ถ้าอยากไปมันก็จะปล่อย ไม่รั้งเอาไว้

   “แล้วมันว่าไง” แคมป์ถามต่อ

   “มันก็เลือกกูแหละ บอกกูว่าจะเลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่รู้ว่ะ นี่ก็ครั้งที่สองแล้วนะ กูก็ไม่ค่อยเชื่อใจเหมือนเดิมแล้วว่ะ” แซนด์ว่าอย่างปลงๆ ผมก็พอเข้าใจแหละครับ เป็นใครก็ต้องเสียความรู้สึก แค่ครั้งแรกก็เสียความรู้สึกมากแล้วนะผมว่า แต่นี่สองครั้งแล้ว จะมีครั้งต่อไปเปล่าก็ไม่รู้

   “อย่าคิดมากมึง บอกฟรานด้วยว่าถ้าเหงา เรียกกูได้” ฟรานนี่คือชื่อแฟนแซนด์ครับ ผมเคยเจอเป็นคนแรกเลย ตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวว่าคบกัน มันเหมือนเป็นการดูตัวอะไรแบบเนี่ยครับ แซนด์ก็ถามผมว่าเป็นยังไงดีไหม

   แฟนแซนด์ก็สไตล์เดียวกับแซนด์ล่ะครับ ติสๆ เหมือนกัน แนวๆ ครั้งแรกที่เจอฟรานไว้ผมยาวเหมือนผู้หญิงเลย ตัวผอมเหมือนกันทั้งคู่ แต่จัดว่าเป็นผู้ชายเซอร์ๆ ที่หน้าตาดีมากเลยทีเดียว ผมเห็นครั้งแรกนึกถึงพี่ซิน วง Singular เลย เหมือนมาก! ส่วนแคมป์เจอทีหลังผมครับ เจอตอนที่ฟรานตัดผมแล้ว ยิ่งดูหล่อขึ้นไปอีกครับ แคมป์เลยหลงเลย ชอบเข้าไปแหย่เล่นๆ เสมอ แต่ฟรานดูเป็นคนขี้อายเล็กๆ คงเพราะไม่ชินและไม่ได้สนิทกับพวกผมมากด้วยแหละ หรือจะกลัวก็ไม่รู้นะ เลยไม่ค่อยกล้าเล่นอะไรเท่าไร

   “เออ กูว่าจะบอกมันอยู่ แบ่งๆ กันกิน” แซนด์พูดไปหัวเราะไป ก่อนจะส่งฝ่ามือเล็กๆ แห้งๆ โบกเข้าเต็มๆ หัวแคมป์เลยครับ แต่มันก็เป็นการเล่นกันขำๆ มากกว่า แคมป์มันชอบแซวอะไรทะลึ่งๆ แบบนี้อยู่แล้ว สไตล์เดียวกับไวน์เลยเนอะ ทำไมเพื่อนแต่ละคนของผมถึงมีแต่แบบนี้ เอ๊ะ! หรือว่าผมเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ฮ่าๆ

   “ว่าแต่มึงเถอะ ได้ข่าวว่าผัวจับได้เหรอว่าแอบไปกินนอกบ้าน” ผมแกล้งหันไปแซวแคมป์ต่อทันที ตามข่าวที่ได้มา

   “แหมมึงก็ นิดหน่อย แต่จะว่าไปก็ไม่หน่อยนะมึง ใหญ่เชียว” ดูมันสิครับ ไม่ได้สำนึกอะไรเลย อาจจะฟังดูมั่วๆ นะครับ ซึ่งจริงๆ มันก็อาจจะมั่วจริง แคมป์เป็นคนที่ค่อนข้างรักสนุก (แต่ไม่อยากผูกพัน) แต่มันก็ป้องกันตัวเองทุกครั้ง และก็ไม่ได้กินมั่วซั่วแบบใครเข้ามาก็กินหมดอะไรแบบนั้น เรียกให้ถูกน่าจะต้องเรียกว่าไม่ได้มั่ว แต่ทั่วถึงมั้งครับ (ไม่ได้ต่าง)

   “สัด! ระวังเป็นเอดส์นะเมิง ถึงร้อยหรือยังล่ะ” ผมจิกกัดต่อ บางทีก็แอบอิจฉาแคมป์เบาๆ เหมือนกันนะ แต่ไม่ใช่อิจฉาในเรื่องอย่างว่านะ แต่เป็นเรื่องที่มันมีแต่คนเข้ามาขายขนมจีบเป็นประจำ เมื่อเทียบกับผมนี่ยังไม่เคยจะมีเป็นตัวเป็นตนเลยครับ ถ้าไม่นับ... ปาร์คที่เราเพิ่ง... มีอะไรกันไป... แถมมันยังเป็นครั้งแรกของผมอีกต่างหาก

   “พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกนะ พวกกูจะได้เตรียมทำโรงแก้วติดแอร์อย่างดีเอาไว้ให้” จัดว่าเป็นคำกัดที่เด็ดครับ โรงจำปาไม่เอาครับ อย่างมันต้องโรงแก้วอย่างดีไปเลย หมายถึงโรงศพอ่ะนะ

   “เออ! สัด” แคมป์ว่าขำๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาแทะเล็มไอศกรีมตรงหน้าต่อ อีกมือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย ผมที่นั่งข้างๆ ก็ทำหน้าที่เสือก เอ๊ย! ส่องสิครับว่าคุยอะไรกับใคร หึหึ ไม่ต้องเดาครับ มีแต่ผู้ชาย ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมาสนใจไอศกรีมตะโก้ของตัวเองต่อ

   “มาแอบดูของกู! ว่าแต่มึงเถอะ กับไอ้ปาร์คน่ะ ถึงไหนกันแล้ว ได้กันยัง” แค่นั่นล่ะครับ ไอติมแทบจะพุ่งออกจากปากเลยทีเดียว

   “แค่กๆ กะ... ก็เหมือนเดิม” ผมไม่รู้จะพูดอะไร จะให้บอกเรื่องนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดเท่าไร

   “ใจเย็น! ไอ้เหี้ยตกใจอย่างกับได้แล้วจริงๆ เออ! สรุปมันเป็นเกย์ป่ะวะ ทุกวันนี้กูยังสงสัย” แซนด์แทรกเข้ามาอย่างมีส่วนร่วม “แต่กูดูยังไงแม่งก็เกย์ว่ะ”

   “มันเป็นไบ! แดกได้หมด แต่ตอนนี้กูเห็นมันควงชะนีอยู่คนหนึ่ง กูเห็นที่มอหลายครั้งและ” แคมป์พูดด้วยท่าทางปกติ แต่ผมที่กำลังละเลียดไอศกรีมอยู่ถึงกับกลืนลงคออย่างยากลำบาก ปาร์คคบกับคนอื่นอยู่ นี่คือใจความที่ผมจับได้จากประโยคข้างต้น ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ในใจผมกลับรู้สึกกระวนกระวายไปแล้ว

   “ไอ้นี่แม่งน่ากลัว” แซนด์เสริมทัพ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามองผม แล้วก็เงียบไป คงเพราะสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไรนักของผมมั้งครับ พวกเราเลยจบบทสนาของเรื่องเอาไว้ที่แค่นั้น

**********__________**********

   เรานั่งกินไอศกรีมกันเสร็จสักพักแล้วแหละครับ ทั้งสองคนนั่งกดโทรศัพท์กันอย่างขะมักเขม้น ส่วนผมน่ะเหรอ ก็นั่งกดโทรศัพท์ดูนู้นนี่ไปพลางๆ แหละครับ เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดมากเรื่องที่แคมป์พูด เพราะมันไม่มีหลักฐาน จริงไม่จริงก็ไม่รู้ บางทีผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะเป็นแค่เพื่อนก็ได้ ผมยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเลยนี่ครับ นี่คือที่ผมพยายามบอกตัวเองอยู่นะ แต่จริงๆ แล้วผมควบคุมจิตใจตัวเองให้หยุดคิดไม่ได้เลยมากกว่า แต่จะให้คิดว่าแคมป์ใส่ความก็คงไม่ใช่เรื่องนัก สุดท้ายก็ต้องพยายามบอกตัวเองให้เลิกฟุ้งซ้านสักที

   “อ้าวน้องฟร๊องก์” ขณะที่ผมกำลังเลื่อนดูภาพในโทรศัพท์เพลินๆ เสียงทุ้มๆ ที่ร้องทักชื่อผมของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นไม่ไกล

   “... อ้าวพี่หมาก หวัดดีฮะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองทางต้นเสียงก็พบกับพี่เทคสุดหล่อของผมยืนยิ้มกว้างจนตาแทบปิดอยู่ บังเอิญจังเลย ไม่ได้เจอพี่เขาสักพักแล้วเหมือน มีแค่เดินสวนกันบ้างที่มหาวิทยาลัย แต่ก็ได้แค่ส่งยิ้มทักทายตามมารยาท

   “มาเที่ยวเหรอ” น้ำเสียงอบอุ่นและรอยยิ้มสดใสของพี่เขายังคงเป็นแบบนี้เสมอ ตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง บางทีโดยรับน้อง โดยแรงกดดันจากการประชุมเชียร์มา พอได้ยินเสียงทุ้มๆ นี้พร้อมกับรอยยิ้มก็ทำให้ผมผ่อนคลายได้เหมือนกัน

   “ครับ มากับเพื่อนฟร๊องก์ นี่แคมป์ นี่แซนด์ครับ” ผมยิ้มตอบก่อนจะแนะนำแคมป์กับแซนด์ที่นั่งทำหน้างงๆ ว่าคนตรงหน้าเป็นใครให้พี่หมากได้รู้จัก

   “ยินดีที่ได้รู้นะครับน้องๆ ว่าแต่นี่จะไปไหนกันต่อ” พี่หมากยังคงส่งยิ้มหวานให้พวกผม ก่อนจะเดินมายังโต๊ะที่พวกเรานั่งกันอยู่

   “ว่าจะไปกินข้าวกันฝั่งสยามน่ะครับ แล้วพี่หมากล่ะ”

   “พี่ยังไม่มีโปรแกรมเลยครับ ถ้างั้นขอไปกินข้าวร่วมโต๊ะอีกคนพวกน้องจะรังเกียจไหม” พี่หมากหยอดคำหวานพร้อมกับรอยยิ้มนั้น ทำเอาทุกคนยิ้มออกกับภาพตรงหน้าเลยครับ

   “ไม่รังเกียจหรอกครับ ไปหลายๆ คนก็สนุกดี” แคมป์ชิงตอบพร้อมส่งยิ้มกว้างกลับไปทันที เร็วเหมือนกันนะเนี่ย เห็นใครหล่อหน่อยไม่ได้เลย

   “แล้วฟร๊องก์ว่าไงครับ” พี่หมากหันมารอฟังคำตอบจากผม แหม เพื่อนเปิดทางให้ขนาดนั้น จะไปก็ไปเถอะครับพี่

   “เพื่อนว่าไงก็ตามนั้นล่ะครับ” ผมตอบพร้อมส่งยิ้มบางๆ ให้เขา

   จากนั้นไม่นานพวกเรา สี่กุมารหาญกล้า เห้ย! ไม่ใช่ พวกเราสี่คน ก็มาถึงร้านอาหารที่ตกลงว่าจะมากินกันก่อนหน้า แหมเล่นซะเก่าเลย สี่กุมาร ตั้งแต่สมัยไหนวะนั่น! แล้วเราทั้งสี่คนก็ย้ายร่างมาที่ร้านอาหารเด็ดร้านหนึ่งที่พี่หมากแนะนำ ซึ่งเดินจากหอศิลป์ฯ มาไกลพอสมควรเลยทีเดียว โชคดีที่ตอนนี้คนไม่ค่อยเท่าไรนัก พวกเราเลือกขึ้นไปนั่งชั้นบนเลยครับ เพราะมันรู้สึกสบาย สะอาดตา แถมยังไม่พลุกพล่านด้วย

   “อยากทานอะไรกันสั่งเลยนะครับ เดี๋ยวมื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่หมากพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นไม่เปลี่ยน แถมยังเป็นป๋าเลี้ยงพวกเราอีกต่างหาก ดูจากฐานะพี่หมากที่ชอบพาผมไปเลี้ยงบ่อยๆ ตอนปีหนึ่งแล้ว เขาก็ดูเป็นคนที่มีเงินอยู่ไม่ใช่น้อยเลยแหละครับ

   “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ หารๆ กันก็ได้” ผมตอบอย่างรักษามารยาท มันคงไม่ดีนักหรอกที่จะให้คนที่เพิ่งเจอโดยบังเอิญมาเลี้ยง

   “ใช่ครับ หารๆ กันก็ได้” แคมป์เสริมขึ้นมาอีกคน ส่วนแซนด์นั่งเงียบๆ ส่วนมากจะอยู่แต่กับหน้าจอโทรศัพท์มากกว่า มันเคยโดยพวกผมด่าไปหลายรอบแล้วครับ ว่าเพื่อนอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ในโทรศัพท์

   “ได้ไง พี่ขอมาด้วย อีกอย่างพี่ก็อายุมากสุด ให้พี่เลี้ยงนั่นแหละดีแล้ว” เหตุผลแรกพอไหวนะครับ แต่ไอ้ที่บอกว่าตัวเองแก่กว่าแล้วต้องเลี้ยงนี่ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นเท่าไร แต่เอาเถอะครับ มีคนอาสาเสียตังค์ก็อย่าขัดศรัทธาเลย ถือเป็นลาภปากและโชคดีของกระเพาะล่ะกัน

   “งั้นก็ตามใจครับ แล้วอย่ามาบ่นทีหลังนะพวกฟร๊องก์กินเยอะ” ผมทำเป็นแซวกลับ

   “ตัวเองน่ะกินให้เยอะก่อนเถอะครับ พี่เห็นเมื่อก่อนกินนิดเดียวตลอด” พี่หมากคงหมายถึงตอนปีหนึ่งที่เขาพาผมไปกินข้าวบ่อยๆ ล่ะครับ โดนบ่นประจำว่าผมกินน้อย แต่ตอนนี้ก็ไม่ต่างเท่าไรหรอกครับ

   “ฮ่าๆ เดี๋ยวคอยดูแล้วกัน” ผมยักคิ้วกวนๆ ให้เขา ก่อนจะก้มหน้าดูเมนูอาหาร

    เพียงไม่นานหลังจากที่อาหารมาเสิร์ฟจนครบ เผลออีกทีสิ่งตรงหน้าก็เหลือเพียงจานเปล่าซะแล้ว แคมป์นั่งคุยกับพี่หมากที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันอย่างออกหน้าออกตา ถามไถ่เรื่องโน้นนี่สารพัด ผมก็นั่งฟังๆ เรื่องที่ทั้งคู่คุยกันแหละครับ มีแทรกบ้างบางครั้ง เวลาที่พี่หมากถามเรื่องของผมกับแคมป์ แล้วแคมป์แม่งจะเผาผม ก็ต้องมีแก้ตัวกันหน่อย ภาพพจน์เสียหมด!

   “พี่ครับเช็คบิลเลย” พี่หมากเรียกเก็บเงินหลังจากที่พี่เรานั่งแช่กันเป็นชั่วโมงๆ ส่วนใหญ่นั่งคุยกันจนเพลินมากกว่า ฮ่าๆ “แล้วจะกลับกันเลยหรือเปล่าครับนี่”

   “แคมป์กับแซนด์คงกลับเลยฮะ มืดแล้ว เมื่อยมากแล้วด้วย” แคมป์ตอบ ผมเองก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกันครับ วันนี้เดินทั้งวันเพลียๆ อยู่

   “แล้วเราล่ะ กลับเลยหรือเปล่า” พี่หมากหันมาถามผมที่นั่งข้างๆ

   “ก็ว่าจะกลับเลยแหละครับ แต่เดี๋ยวข้ามไปซื้อของที่พารากอนก่อน” ผมตอบก่อนที่พนักงานจะนำใบเสร็จมาให้ พี่หมากจัดการจ่ายด้วยบัตรเครดิต ผมมองไม่เห็นเหมือนกันว่าค่าอาหารทั้งหมดเท่าไร แต่ร้านนี้ก็แพงใช่ย่อยอยู่ สั่งหลายอย่างด้วยน่าจะหมดเยอะพอสมควรเลย

   “งั้นเดี๋ยวพี่ไปเดินเป็นเพื่อน” เมื่อส่งบัตรเครดิตให้พนักงานเรียบร้อย พี่หมากก็ให้มาส่งยิ้มให้ผมอีก

   ออกจากร้านมาผมกับพี่หมากก็ส่งแคมป์กับแซนด์ขึ้นบีทีเอสกลับครับ สองคนนี้บ้านอยู่ทางเดียวกัน ส่วนบ้านผมอีกทาง  จากนั้นก็เข้าไปในพารากอนครับ จริงๆ ไม่ได้ซื้ออะไรนานหรอก ผมแค่จะซื้อครีมบำรุงหนังหน้าเอง ผมใช้อยู่แล้วเดินไปถึงเคาน์เตอร์บอกเขาว่าเอาอันนี้ๆ จ่ายตังค์ก็เสร็จแล้ว

   “แล้วนี่เรียนเป็นไงบ้าง” พี่หมากถามขึ้นหลังจากเดินผ่านเครื่องจับวัตถุอันตรายตรงประตูห้างไม่นาน

   “ก็สบายๆ อ่ะพี่หมาก แต่ก็เครียดๆ กับลิทอยู่เหมือนกัน อาจารย์สั่งงานยาก เขียน essay ทีปวดหัวเป็นวันๆ” ผมตอบแบบเว่อร์ๆ ไปครับ จริงๆ มันก็ไม่ถึงกับปวดหัวอะไรเป็นวันขนาดนั้นหรอก แต่เวลาทำงานวิชานี้ทีก็เล่นเอาสมองทำงานหนักมากเช่นกัน

   “อาจารย์แกก็ซีเรียสแบบนั้นแหละ แต่เรียนแล้วได้ความรู้เยอะนะ แต่มีอะไรก็ถาม ปรึกษาพี่ได้” ที่พี่หมากรู้รายละเอียดโดยไม่ต้องอธิบายเพราะพี่เขาเรียนเอกเดียวกับผมครับ

   “นั่นล่ะๆ เขาทำให้ดูหนังสนุกขึ้น ชอบ” ผมยิ้มปลื้มปริ่ม ตั้งแต่เริ่มเรียนและต้องดูหนังเพื่อวิเคราะห์ไปด้วย มันทำให้ผมใส่ใจในเนื้อหาและรายละเอียดปลีกย่อยของหนังมากขึ้นมากๆ และการดูหนังจะสนุกขึ้นด้วย เพราะเราจะเห็นได้ลึกและกว้างกว่าที่เราเคยมอง ไม่เชื่อคุณลองเริ่มดูหนังแบบละเอียดๆ ดูสิ จะเห็นอะไรเยอะเลย

   “ว่าแต่สนิทกับเพื่อนที่ชื่อ... อะไรนะ... ที่สูงๆ ขาวๆ นั่นอ่ะ”

   “เก็ทน่ะเหรอ ก็สนิทนะครับ ทำไมเหรอครับ” ผมหันไปถามพี่หมากอย่างงงๆ ว่าทำไมอยู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา และตอนนี้เราสองคนหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์เครื่องสำอางยี่ห้อดังที่ผมใช้อยู่แล้วครับ

   “อ๋อเปล่าหรอก... แล้วเป็นแฟนกันเหรอ”

   “พี่ครับเอาเซรั่มอันนี้ขวดหนึ่ง” ผมบอกสิ่งที่ต้องการกับพนักงานขายสาวสวยแต่แต่งหน้าจัดไปหน่อยที่ยืนยิ้มรอให้บริการอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ได้เจอพนักงานขายยิ้มๆ ใบหน้ารับแขกแบบนี้ก็ดีครับ รู้สึกอยากซื้อ อยากอุดหนุน แต่บ่อยครั้งที่ผมเดินผ่านเคาน์เตอร์แบรนด์อื่นเห็นหน้าบึ้งเป็นตูดแล้วผมกลัวเลยครับ แค่เดินผ่านมันจะฆ่ากูไหมเนี่ย! ว่าแต่เมื่อกี้ผมได้ยินพี่หมากพูดอะไรบางอย่าง ได้ยินไม่ชัดเหมือนกันครับ

   “เมื่อกี้พี่หมากว่าอะไรนะครับ” ผมหันกลับไปถามพี่หมากถึงประโยคเลือนลางที่ได้ยินเมื่อครู่หลังจากที่พนักงานรับคำก่อนจะเดินกลับไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อหยิบสินค้าให้

   “เปล่าหรอกครับ ว่าแต่นี่เรามีแฟนกับเขายังเนี่ย คนจีบเยอะแยะเลยดิ เห็นตอนปีหนึ่งมีแต่คนมาขอเบอร์” ผมรู้สึกเหมือนพี่หมากตัดบทเปลี่ยนเรื่องไปซะเฉยๆ เลยครับ แต่ช่างเถอะ คงไม่มีอะไรล่ะมั้ง แต่ที่เขาพูดก็เว่อร์ไปครับ ตอนปีหนึ่งมีคนมาขอเบอร์ผมก็จริง แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้น และที่สำคัญผมไม่ค่อยให้ไปหรอกครับ ส่วนใหญ่จะให้เฟซบุ๊กไป มากสุดก็คือไลน์ ต้องเป็นคนที่ผมรู้จักจริงๆ ครับถึงจะให้เบอร์ เพราะผมไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายมาก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังมีบ้างนะครับ แต่ไม่เยอะเท่าตอนปีหนึ่ง อาจเพราะผมเรียนหนักจนไม่ค่อยได้เจอคนอื่นต่างคณะ ต่างสาขาด้วยมั้ง

   “เขาก็ขอไปงั้นแหละครับ ฟร๊องก์เคยให้ใครที่ไหนล่ะ” ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถามโดยตรง และก็ยังคงรักษารอยยิ้มให้ประดับอยู่บนหน้าตลอด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้เลยว่าพี่หมากรู้สึกอย่างไรกับผม แต่ในเมื่อผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาเกินพี่น้อง ผมก็ไม่ควรไปให้ความหวังเขาถูกไหมครับ

   “สินค้าตามที่สั่งได้แล้วค่ะ มีบัตร... ไหมคะ” เสียงพนักงานคนเดิมดังขัดขึ้นมา ทำให้บทสนาของเราขาดตอนอีกครั้ง พี่หมากก็มองภาพของที่กำลังซื้อของด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนผมก็จัดการจ่ายเงินแล้วยืนรอรับของไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย

   “แล้วนี่พี่หมากกลับยังไง” ผมกับพี่หมากเดินออกจากโซนความงามมาหยุดที่หน้าช้อป Prada เพื่อจะแยกทางแล้วครับ ผมก็เหนื่อยๆ แล้วเหมือนกัน

   “รถพี่จอดอยู่ฝั่งสยามสแควร์น่ะครับ กลับด้วยกันไหม”

   “ไม่รบกวนดีกว่าครับ!” เสียงตอบกลับห้าวและห้วนดังขึ้น แต่นี่ไม่ใช่เสียงผมนะ “ฟร๊องก์รอนานไหม”

   “ปาร์ค!” และแล้วเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวจากทางด้านหลังของผม ผมร้องทักด้วยความตกใจเลยครับ อะไรมันจะบังเอิญซ้ำซ้อนขนาดนี้

   “รู้จักด้วยเหรอครับน้องฟร๊องก์” พี่หมากหน้าเสียไปเล็กน้อย ก่อนจะถามผมกลับมาด้วยน้ำเสียงมึนงง

   “รู้จักครับ รู้จักดีด้วย จริงไหม” จู่ๆ แขนยาวๆ ของปาร์คก็วาดมาโอบไหล่ผม ก่อนจะดึงผมเข้าไปแนบชิดกับตัวมันอย่างสนินสนม ท่าทางของมันยังคงพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์และท้าทาย
 
   “พะ... พี่หมากกลับก่อนเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวฟร๊องก์กลับเองได้” ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดเพื่อนรักษาน้ำใจ อย่างน้อยเขาก็เป็นรุ่นพี่อีกคนที่ผมเคารพ

   “ไม่มีอะไรแน่นะครับ” พี่หมากยังคงมองปาร์คด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ

   “ไม่มีหรอกครับ ฟร๊องก์ให้ปาร์คมารับเอง” ผมจำต้องโกหกตามน้ำออกไปเพื่อให้จบปัญหาและทำให้บรรยากาศดีขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้พี่หมากสบายใจขึ้นหน่อย แถมยังทำให้ปาร์คเย็นลงด้วย เพราะดูจากสีหน้าที่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ

   “โอเคครับ ถ้างั้นพี่กลับก่อนนะ ดูแลตัวเองด้วย” พี่หมากพูดทิ้งทายไว้ด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเช่นเดิมก่อนจะเดินจากผมกับปาร์คที่ยังคงโอบไหล่ผมอยู่ไป เขายังคงหันมามองผมเป็นระยะจนลับสายตาไป

   “ไม่เจอกันแป๊บเดียว ฮอตใหญ่นะ” ปาร์คเปิดปากแซวทันทีที่พี่หมากเดินหายไปจากสายตา

   “ฟร๊องก์มากับแคมป์แล้วก็แซนด์เถอะ เพิ่งมาเจอพี่เขาตอนหลัง”

   “ไม่รู้แหละ แอบมาเที่ยวกับคนอื่น ต้องโดนลงโทษ” ปาร์คพูดอย่างมีเลศนัยก่อนจะนำผมเดินไปยังลานจอดรถ และออกรถมุ่งหน้าไปยังบ้านของผมเอง...


à suivre...

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด