from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]  (อ่าน 35719 ครั้ง)

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************

Welcome to FRANC's diary...

from PAST to FUTURE...
อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ?




'เพื่อน' คนที่คอยยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันเมื่อมีความสุข
'เพื่อน' คนที่คอยปลอบใจและร้องไห้ไปด้วยกันเมื่อมีความทุกข์
'เพื่อน' คนที่สำคัญในชีวิตที่แทบทุกคนจะต้องมี
แต่ความสัมพันธ์ของเพื่อน ที่มีต่อเพื่อนด้วยกัน มันก็มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างความสนิทกับ 'ความรัก'

เพราะ 'เขา' คือคนที่อยู่ในใจของผมมาโดยตลอด
และ 'เรา' ก็อยู่ในความสัมพันธ์ที่เรียกว่าเพื่อนกัน
แต่ถึงแม้จะรู้ว่าเขาเป็นเพื่อน แต่สำหรับหัวใจของผมนั้น มันไม่ใช่เลย
เขาเป็นมากกว่านั้น
เขาเป็นรอยยิ้ม เขาเป็นความสุข
เขาเป็นคราบน้ำตา เขาเป็นความทุกข์
และที่สำคัญ เขา... เป็น 'ความรัก' ของผม

ผมเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อเขามันผิดหรือเปล่า
การเดินทางของความรักของผมนี้ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
และผมก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามันจะลงเอยเช่นไร


จาก 'อดีตเพื่อน'
จะเปลี่ยน 'อนาคต' ของเราสองคนไปเป็นเช่นไร
คำตอบของความรักนี้คงไม่มีใครตอบแทนได้ นอกจาก 'หัวใจ... ของคนสองคน'
มาร่วมลุ้นไปกับเส้นทางหัวใจของผมดวงนี้ได้...


 :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7:

Hi ทุกคน!!
ไม่รู้ว่าจะมีคนจำได้หรือเปล่า แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอโทษก่อนเลยนะฮะ
เนื่องจาก นิยายเรื่องนี้เคยลงในเล่าแล้วครั้งหนึ่ง และประกาศว่าจะ re-write แต่เพราะปัญหาส่วนตัวบางประการ
จึงทำให้ไม่สามารถแก้จนจบได้ และทำให้การลงนิยายในเล่าเป็นอันต้องยุติตามไปด้วย
ต้องขอโทษจริงๆ นะฮะ

 o1

นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ รวมทั้งช่วงเวลา เป็นเพียงสิ่งที่สมมติขึ้นมา อาจมีบางส่วนที่ใช้ชื่อสถานที่จริงมาประกอบ แต่ก็เป็นเพียงฉากเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นแนวเพื่อนรักเพื่อน ที่ไม่รู้ว่าฟรุ้งฟริ้งไหม และก็ไม่รู้ว่าดราม่าหรือเปล่า อยากให้ลองติดตามดู
การเล่าเรื่องจะเป็นการเล่าจากนายเอกเพียงฝ่ายเดียว และไม่มีพาร์ทเสริมของตัวละครอื่นๆ นะฮะ เป็นความตั้งใจของผู้เขียนเอง เพื่อต้องการให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับชีวิตจริงของคนเรามากที่สุด ที่จะรับรู้สิ่งต่างๆ จากเราแค่ด้านเดียว

โทนเรื่องอาจจะเรื่อยๆ เอื่อยๆ หน่อยนะฮะ มีสูง มีต่ำบ้าง ยังไงก็ฝากติดตามและติชมกันได้ฮะ
คอมเม้นต์ให้กันบ้างสักนิด เพื่อนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น
สุดท้ายนี้ ของฝาก ไดอารี่ ของ 'ฟร๊องก์' เล่มนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยน๊าาา

PorschePor
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2018 18:29:16 โดย PorschePor »

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE: Le Prologue [22/4/2017]
«ตอบ #1 เมื่อ22-04-2017 22:44:07 »

Le prologue

          ‘เพื่อน’ คนสำคัญที่คนทุกคนต้องมี หลายคนแสวงหาเพื่อนที่จะอยู่เคียงข้างและคอยเป็นกำลังใจให้กันเพื่อให้ผ่านพ้นในยามที่ทุกข์ และร่วมยิ้มและแบ่งปันเสียงหัวเราะไปด้วยกันในยามสุข เพื่อนที่ทุกคนต่างเรียกว่าเพื่อนแท้ ซึ่งมันต้องเกิดจากความผูกพัน ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และที่สำคัญก็คือความรักที่มีให้กัน

          มิตรภาพแห่งเพื่อนนั่นลึกซึ้งมาก จนไม่สามารถหาคำมานิยามได้ แต่ความรู้สึกดีที่มีต่อกันนั้นก็มีเส้นแบ่งอย่างชัดเจนที่ย้ำเตือนไม่ให้ความสัมพันธ์เกินเลยไป โดยความรักที่มอบให้นั้นจะต้องไม่ลึกซึ่งจนเกินไปกว่าคำว่าเพื่อน แต่คุณเคยไหมที่จะรู้สึกดีกับใครสักคน ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘เพื่อน’ และที่สำคัญเพื่อนคนนั้นเป็นคนที่ทะเลาะและคอยแกล้งเราตลอด แต่ก็คอยอยู่เคียงข้าง ช่วยเหลือเราตลอดเหมือนกัน

          ผมไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดหรือเปล่า กับสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ ‘รัก’ ทั้งๆ ที่รู้ว่า ‘เขา’ เป็นเพื่อน แม้จะไม่ใช่เพื่อนที่สนิทมากมายนัก แต่ความรู้สึกผูกพันที่มีให้ต่อกันมันก็มากกว่าแค่ความเป็นเพื่อนร่วมรุ่น แต่ผมก็ไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองไม่ให้รู้สึกดีกับเขาเกินไปกว่าคำว่าเพื่อนได้

          ผมยอมรับว่าผมรู้สึกกับเขาเกินคำว่าเพื่อน แต่มันเกิดขึ้นตอนไหนผมก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน รู้ตัวอีกที ผมก็มอบความรักให้เขาไปมากเกินเส้นแบ่งของคำว่าเพื่อนแล้ว

          หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับเราสองคน กลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกของผมที่ก้าวล้ำเส้นไป แต่ความสัมพันธ์ทางกายของเรากลับล้ำไปมากกว่าที่เพื่อนจะมีกัน

          อนาคตระหว่างผมกับ ‘เขา’ จะเป็นเช่นไรกันก็ไม่รู้ ผมมองไม่เห็นทางจริงๆ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทางที่เรากำลังเดินไปมันจะเป็นแบบไหน แต่สำหรับผม ความรู้สึกที่มีต่อเขาก็ยังคงมากเกินสถานะเพื่อนอยู่เสมอ มากจนไม่สามารถถอนตัวได้   

          แล้วความรู้สึกที่ผมเป็นอยู่แบบนี้ ผมนั้นผิดหรือเปล่า???



à suivre...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2017 22:35:23 โดย PorschePor »

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE: Chapitre 1 [23/4/2017]
«ตอบ #2 เมื่อ23-04-2017 19:27:23 »

Chapitre 1

        ติ๊ด! ติ๊ด!

   เสียงเรียกเข้าแบบคลาสสิกของสมาร์ตโฟนยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่งดังขึ้นขณะที่ผมนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นของบ้าน

   ผมคว้ามันขึ้นมาเพื่อจะกดรับโดยแทบไม่ต้องดูว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา ขณะนี้เวลาห้าทุ่มครึ่งซึ่งเป็นเวลาประจำที่ ‘เขา’ จะโทรเข้ามาในทุกๆ วัน

   “ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงสดใสเข้าไปในกระบอกเสียงนั้น ไม่ว่าจะผ่านไปไม่รู้กี่ร้อย กี่พันครั้งที่ต้องรับสายของคนคนนี้ แต่มันก็ไม่เคยไม่ทำให้หัวใจของผมทำงานหนักเลย แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้คุยโทรศัพท์กับคนคนนี้

   [นอนยัง] คำถามง่ายๆ ถูกถามกลับมาทันที

        “ยัง” ผมตอบ พลางอมยิ้มไปด้วย

   [แล้วทำไรอยู่อ่ะ ทำไมไม่นอน] เขาถามผมต่อด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วจะรู้สึกอบอุ่นเสมอ

   “ก็นอนดูทีวีอยู่ แล้วทำไมปาร์คไม่นอนล่ะ” ผมถามเขากลับ

   [ก็... โทรมาหาฟร๊องก์อยู่นี่ไง] แค่นั้นแหละครับ ผมนี่รู้สึกร้อนหน้าผ่าวขึ้นมาทันที เป็นธรรมดาที่เขาจะปล่อยคำพูดเลียนๆ แบบนี้ออกมา และก็เป็นธรรมดาที่ผมจะต้องเขิน ทำใจให้ชินไม่ได้สักที
 
   เขาที่ผมพูดถึงก็คือคนนี้แหละครับ เพื่อนสมัยมัธยมของผมเอง ชื่อก็อย่างที่ทุกคนได้ยินผมเรียกเขาในโทรศัพท์แหละครับ ‘ปาร์ค’ คือชื่อของเขาครับ ปาร์คเป็นคนที่ตัวสูงมาก สูงตั้งประมาณ 185 เซ็นต์ได้เลยแหละ ไม่รู้ว่าจะเปรตไปไหน แต่มันก็ไม่ใช่สูงแต่ผอมแห้งเป็นต้นเสานะครับ ปาร์คน่ะเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียนที่เคยเข้าแข่งในระดับประเทศมาแล้ว (ตอนนั้นมันมาอวดผมใหญ่เลยแหละ) เลยทำให้มันมีหุ่นที่ดูสมส่วน มีกล้ามแต่ไม่ได้ใหญ่และน่ากลัวเหมือนพวกที่เล่นกล้ามจนเป็นกล้ามปูนะ แต่เป็นกล้ามแบบนักกีฬาทั่วไปน่ะครับ และที่มันตัวสูงอาจมีส่วนมาจากการเล่นบาสของมันด้วย

   ส่วนหน้าตามันก็... ดีเลยแหละ ต้องบอกว่าดีมากเลยด้วยซ้ำ ใบหน้าเรียวได้รูป คิ้วเข้มที่เรียงเส้นเฉียงขึ้นเล็กน้อย ตาคมสีนิลที่แฝงด้วยความทะเล้น แต่ก็ดูน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน จมูกโด่งเป็นสันราวกับมีใครบรรจงปั้นเอาไว้นั้นอยู่เหนือริมฝีปากเรียวบางแต่หยักลึกสีแดงระเรื่อดูน่าสัมผัส ที่ผมมองทีไรมักเผลอคิดว่าอยากลองจุมพิตริมฝีปากบางคู่นั้นเสมอ ผิวสีแทนแต่เนียนละเอียดดูเป็นลูกผู้ดีมีสกุล แต่มันก็จริงแหละครับ บ้านของปาร์ครวยมาก ที่บ้านมันประกอบธุรกิจส่วนตัว นั่นคือนำเข้าเครื่องปรับอากาศจากต่างประเทศ และพ่อของปาร์คเองก็ถือหุ้นใหญ่ของโรงแรมที่จังหวัดภูเก็ตอีกด้วย ไม่รู้จะรวยไปไหน แต่ปาร์คเองก็ไม่ใช่คนอวดรวยอะไร อยู่แบบคนปกติทั่วไป

   นี่ก็คือเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่กล้าคิดและหวังอะไรกับมันมาก ก็ดูสิครับมันดูสมบูรณ์แบบทุกอย่าง ทั้งรูปร่าง หน้าตา และชาติตระกูล ที่สำคัญมีคนติดตามทางสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ และตามจีบมันเยอะแยะมากมายอีกต่างหาก ส่วนผมก็เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งแค่นั้นเอง

   ไหนๆ ก็ได้รู้จักปาร์ค คนที่ผมรู้สึกดีด้วยแล้ว ก็มารู้จักผมกันบ้างแล้วกัน ผมชื่อฟร๊องก์ ชื่ออาจจะฟังดูแปลกๆ นะครับ แต่ฟังประวัติความเป็นมาของชื่อผมก่อน แล้วคุณจะเข้าใจ มันเริ่มจากแม่ผมเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสมาก่อน ก็เลยตั้งชื่อผมตามภาษาฝรั่งเศสเลย ก็คือ France หรือ ฟร๊องซ์ ที่แปลว่าประเทศฝรั่งเศส แม่ผมก็เลยเกิดไอเดียขึ้นมา ดัดแปลงไปมาเลยกลายมาเป็น ฟร๊องก์อย่างในปัจจุบัน แม่เปลี่ยนตัวการันเป็นก.ไก่แทนเพราะผมเป็นคนไทย เกิดที่ไทย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนแม่ตั้งคิดอะไรของเขาเหมือนกัน แต่เวลาผมเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็จะเขียนตัวสะกดเป็นภาษาฝรั่งเศสเสมอ ก็คือ Franc และด้วยความที่เป็นก.ไก่การันผมเลยตัดตัว e ออกเหลือแค่ตัว c ต่อท้ายแทน

   ผมตัวเล็กกว่าปาร์คพอสมควรครับ ผมสูง 173 เซ็นต์ ซึ่งก็ถือเป็นมาตรฐานชายไทยนะ ไม่เตี้ย แต่รูปร่างของผมค่อนข้างบางคล้ายกับแม่ของผม เลยโดนปาร์คด่าประจำว่าแห้งบ้าง เตี้ยบ้าง และมันก็มักพูดเสมอว่าถ้าไปอยู่กับมันนะ มันจะขุนให้อ้วนเลย ผมก็รอมันอยู่นะครับว่าเมื่อไหร่มันจะพาผมไปอยู่ด้วยสักที ฮ่าๆ หน้าตาผมเหรอครับ พูดไปจะหาว่าผมหลงตัวเอง แต่ผมมั่นใจนะว่าหน้าตาผมโอเคอยู่ แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง เอาเป็นว่าหลายคนมักบอกว่าผมหน้าหวานและยังชอบทำตาโตแบ๊วๆ อีกต่างหาก แต่ที่ทำให้ผมมั่นใจว่าหน้าตาดี เพราะปาร์คเคยบอกว่าชอบเวลาผมยิ้ม รอยยิ้มผมดูสดใส

   [เงียบไปเลย ฮ่าๆ เขินอยู่อ่ะดิ๊] ปาร์คส่งเสียงล้อเลียนมาทางกระบอกเสียงไฮเทคทำให้ผมหลุดออกมาจากภวังค์ กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ปาร์คมันรู้ครับว่าผมคิดยังไงกับมัน แต่ผมก็บอกมันเสมอว่าผมจะไม่ทำอะไรเกินเลย และไม่ยุ่งวุ่นวายกับมันมากเกินไป ยังไงผมจะยังรักษาระยะของความเป็นเพื่อนไว้อยู่ ทำให้มันเชื่อใจว่าผมไม่ได้คิดเกินเลยอะไรไปกับมันมาก แต่ที่จริงผมก็แอบรู้สึกนะ แต่ก็ได้แค่เก็บมันเอาไว้ ไม่สามารถพูดหรือแสดงออกไปออกไปได้

   “เขินบ้าไร นั่งดูทีวีอยู่ต่างหาก เลยไม่พูด” ผมก็แก้ตัวไปงั้นแหละ จริงๆ ผมเขินจนหน้าร้อนไปหมดแล้ว ป่านนี้หน้าผมคงแดงเป็นลูกตะลึงสุกแล้ว

   [เหรอออ~] เนี่ยแหละครับปาร์ค กวนประสาทผมเป็นที่หนึ่ง

   “อืม” ผมตอบรับสั้นๆ เวลามันโทรมาผมจะไม่ค่อยพูดหรอก ไม่ใช่ว่าเป็นคนพูดไม่เก่งนะ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่า แต่ปาร์คเนี่ยสิ ไม่รู้ว่าสรรหาเรื่องพูดมาจากไหน ถึงเอามาเล่าให้ผมฟังได้ทุกวัน แต่ผมก็ชอบนะ เพราะถ้าวันไหนมันไม่โทรมา วันนั้นผมจะนั่งมองนาฬิกาอยู่ตลอดและรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไป

   [วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง] ปาร์คเอ่ยถามถึงสารทุกข์สุกดิบของผม เป็นประจำทุกวันที่ปาร์คจะถามผมว่าวันนี้เป็นไงบ้าง ผมก็จะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ส่วนเรื่องของปาร์ค ผมก็ไม่ค่อยรู้นักหรอก เพราะเวลาผมถามมัน มันก็มักจะเนียนๆ เปลี่ยนประเด็นอยู่เสมอ ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไรจะต้องปิดบัง

   ที่ปาร์คถึงถามผมแบบนั้น เพราะเราสองคนเรียนอยู่คนละมหาวิทยาลัยกัน ตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ปีสองแล้ว แต่มหา’ลัยเราก็อยู่ไม่ไกลกันมากนะ ยังพอไปมาหาสู่กันได้ ที่สำคัญคือปาร์คมีรถยนต์ ไปไหนมาไหนค่อนข้างสะดวก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ปาร์คมาหาผมบ่อยๆ หรอกครับ ปาร์คแทบไม่เคยมาหาผมเลยด้วยซ้ำ มีแต่ผมที่นั่งรถไปหาปาร์คที่มหา’ลัยบ่อยๆ

   ทุกคนคงอยากรู้ล่ะสิว่าเรื่องของผมกับปาร์คมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง แต่ก่อนอื่นขอให้คุณเข้าใจไว้ก่อนนะ ว่าผมกับปาร์คเป็นแค่เพื่อนกัน แม้ว่าผมจะคิดไปเกินเพื่อนก็เถอะ แต่ก็รู้ตัวดีว่ามันไม่สามารถก้าวล้ำเส้นไปมากกว่านี้แล้ว

   เอาล่ะ ผมจะเล่าเรื่องตอนที่ผมรู้ตัวว่าเริ่มมีใจให้กับปาร์คเลยก็แล้วกัน

**********__________**********

   สี่ปีก่อน

   ‘เพื่อนแฟนมึงเดินมาโน้นแล้ว!’ เสียงก้อย เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นในขณะที่ผมกำลังเดินไปส่งงานครูที่หน้าชั้นเรียน ผมสะดุ้งเฮือกเพราะคนที่กำลังเดินสวนมาก็คือเนส เพื่อนสนิทของปาร์ค ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ตอนนี้ผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สี่ เพื่อนส่วนมากก็จะเป็นเพื่อนห้องเดิมที่ไม่ได้ย้ายออก และก็จะมีเพื่อนที่มาจากต่างห้องในตอนมัธยมต้น นั่นก็คือปาร์ค เนสและคนอื่นๆ ห้องผมไม่ค่อยมีเด็กเข้าใหม่เท่าไร มีไม่ถึงสิบคนน่ะครับ หนึ่งในนั้นก็คือก้อย

   ผมยืนหน้างงใส่พวกก้อยที่นั่งยิ้มเยาะเย้ยผมอยู่ราวกับกำลังมีความลับเด็ดๆ เกี่ยวกับผมที่พร้อมจะแฉอยู่ ซึ่งผมก็งงสิครับว่าเรื่องอะไร แล้วเพื่อนแฟนที่ว่านั่นคือใครกันแน่ ผมงงไปหมด ผมไม่มีแฟนนะ แล้วใครจะเป็นเพื่อนแฟนของผมล่ะ (เพื่อนๆ รู้กันนะครับว่าผมมีรสนิยมแบบไหน ผมเองก็ไม่ได้จะปกปิดอะไรอยู่แล้ว)

   ‘เพื่อนแฟนอะไรของมึงวะ’ ผมเดินเข้าไปถามในสิ่งที่สงสัยทันที หลังจากที่ส่งงานครูเสร็จเรียบร้อยแล้ว

   ‘อย่าคิดว่าพวกกรูไม่รู้ เมิงแอบชอบใครอยู่บอกกูมา ไม่งั้นกูไปบอกเจ้าตัวจริงๆ ด้วย’ ผมก็งงเป็นไก่ตาแตกสิครับว่ามันพูดถึงใคร ผมไปชอบใครตอนไหน คนที่เคยชอบก็มีนะ แต่มันเป็นตอนมัธยมต้น พวกนี้ยังไม่เข้าโรงเรียนนี้เลยด้วยซ้ำ อีกอย่างตอนนี้พี่เขาก็จบจากโรงเรียน ไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแล้วด้วย

   ‘มึงหมายถึงอะไรกันวะ กูไม่เข้าใจ’ ผมถามมันอย่างไม่เข้าใจ

   ‘มึงชอบเพื่อนไอ้เนสใช่มั้ย’ คนที่มันหมายถึงนั่นคือปาร์คน่ะเหรอ เห้ย!!! พวกมันรู้ได้ไง ผมไม่ได้แสดงออกเลยนะ หรือว่าแสดงออกแต่ผมไม่รู้ตัว ก็ไม่น่าจะใช่ ผมแค่กลับบ้านไปนั่งดูรูปของปาร์คที่เคยถ่ายเอาไว้ตอนไปทัศนศึกษาตอนเทอมหนึ่งเท่านั้นเอง อ๋อ... ลืมบอกไป ตอนนี้เป็นเทอมสองของม.4 แล้วครับ และก็เพิ่งจะเปิดเรียนมาจากการหยุดในเทศกาลคริสมาสต์ โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนในเครือของคริสตศาสนจักร จะมีการหยุดในเทศกาลคริสมาสต์ทุกปี

   ‘มะ...มึงรู้ได้ไง’ ผมพูดตะกุกตะกัก

   ‘แน่ๆ เลยแบบเนี่ย ไหนมึงลองเล่าดิ ว่ามึงชอบมันได้ไง’ ใบเฟิร์นเพื่อนในกลุ่มก้อยเริ่มปฏิบัติการเค้นความจริงจากผม ไอ้พวกนี้ไปเอาข้อมูลมาจากไหนเนี่ย หรือมันมีกล้องสอดแนมอยู่ที่บ้านผม เลยทำให้รู้ว่าผมนั่งดูรูปปาร์คแล้วยิ้มอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน

   ‘มึงรู้ได้ไงว่ากูชอบมัน’ ผมถามกลับไปโดยไม่เอ่ยชื่อ เพราะปาร์คและเนสนั่งอยู่ถัดไปจากก้อยและใบเฟิร์นเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น

   ‘ก็สายตาที่มึงมองมัน ท่าทางมึงบ่งบอกซะขนาดนั้น’ พวกนี้น่ากลัววะ เพิ่งเข้ามารู้จักกับผมไม่นาน แต่ทำไมมองผมออกได้เยอะขนาดนี้ แสดงว่าสายตาผมที่มองปาร์คมันฟ้องมากเลยว่าผมชอบมัน

   ‘เหรอ’ ผมพูดต่อไม่ออก ได้แต่หันไปมองปาร์คอย่างระแวง กลัวว่ามันจะได้ยิน ผมไม่อยากให้มันรู้ เพราะผมกลัวว่าความรู้สึกของมันจะเปลี่ยนไป ผมกลัวว่ามันจะเกลียดผม

   ‘แล้วมึงชอบมันได้ไง ชอบมาตั้งแต่เมื่อไหร่’ ก้อยยิงคำถามกับผมต่อ

   ‘กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูเริ่มชอบมันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็ไม่รู้ว่าชอบมันได้ไง พูดแล้วก็เหมือนน้ำเน่าเนอะ กูมารู้ตัวอีกทีกูก็รู้สึกว่ากูชอบมันไปแล้ว’ ผมไม่บอกหรอกครับว่ากลับบ้านแล้วผมดูรูปปาร์คทุกวัน แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงใจอ่อนมาเล่าให้คนอื่นฟังง่ายๆ แบบนี้ แต่มันก็จริงอย่างที่ผมพูดนะครับ ผมไม่รู้ตัวจริงๆ ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นได้ยังไง เพราะความรู้สึกมันไม่ค่อยชัดเจน แต่ผมจำได้นะว่าวันแรกที่ผมเริ่มนั่งดูรูปปาร์คคือคืนวันที่ 25 ธันวาคม นั่นก็คือในวันคริสมาสต์ ซึ่งผมก็งงว่าตอนกลางวันของวันก่อนหน้าก็คือวันที่ 24 ที่โรงเรียนผมให้นักเรียนแต่ละห้องจัดปาร์ตี้สำหรับวันคริสมาสต์และปีใหม่ได้ ถือเป็นการให้เด็กผ่อนคลายและสนุกกับเทศกาลแห่งความสุขนี้ วันนั้นผมยังด่าปาร์ค และยังทะเลาะกับมันอยู่เลย แต่ทำไมถัดมาอีกวันผมถึงมานั่งดูรูปมันแล้วยิ้มซะแล้วก็ไม่รู้

   ‘เออ กูเข้าใจว่ะ แล้วมันรู้ยังว่ามึงชอบ’ ก้อยเอ่ยต่อ

   ‘ยังหรอกมึง แต่พวกมึงอย่าบอกมันนะ กูไม่อยากให้มันรู้’ ผมรีบชิ่งบอกพวกก้อยให้ปิดปากไว้ทันที

   ‘ทำไมวะ ถ้ามันรู้ มึงจะได้เดินหน้าเต็มที่แบบไม่ต้องกลัวอะไร เพื่อนคนอื่นไม่มีใครว่ามึงหรอก เชื่อดิ กูว่าจะคอยเชียร์กันด้วยซ้ำ ดูมันก็ท่าทางเหมือนเกย์อยู่นะ มึงมีโอกาสนะเว้ย’ ก้อยพล่ามยาว มันก็จริงอย่างที่ก้อยว่า ปาร์คดูท่าทางคล้ายๆ กับเกย์อยู่บ้าง เพราะมันค่อนข้างเป็นระเบียบแล้วก็ชอบเล่นชอบแกล้งพวกผม แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะ แต่ผมไม่กล้าบอกให้มันรู้จริงๆ ผมกลัวอย่างเดียว กลัวว่ามันจะเกลียดผม

   ‘แต่กูกลัว... กลัวว่าถ้ามันรู้แล้ว มันจะเกลียดกู’ ผมบอกความจริง

   ‘เชื่อดิว่ามันไม่เกลียดมึงหรอก มันไม่ใช่คนใจร้ายสักหน่อย’ ก้อยพยายามกล่อมผม

   ‘ยังไงก็เถอะ กูยังไม่พร้อมว่ะ พวกมึงอย่าเพิ่งบอกมันนะ’ ผมพูดทิ้งท้ายเชิงข้อร้องเอาไว้ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ที่นั่งของตัวเอง ผมนั่งอยู่กลางๆ ห้องแถวติดกับปาร์คนั่นแหละครับ แต่ที่นั่งอยู่เยื้องกันนิดหน่อย ปาร์คนั่งอยู่แถวหลังเยื้องไปทางขวามือของผมหนึ่งแถว ถ้าอยู่แถวเดียวก็ปาร์คก็จะนั่งหลังผมอ่ะครับ

**********__________**********

   หลายวันต่อมา หลังเลิกเรียน เนสเข้ามาทักผม แล้วถามผมว่าผมชอบปาร์คเหรอ ผมนี่หน้าเหวอเลยครับ เนสรู้ได้ไง ถ้าเนสรู้ ปาร์คก็ต้องรู้อ่ะดิ

   ‘เนสรู้?’ ผมถามเสียงสูงด้วยความตกใจ

   ‘ก็พวกก้อยมาบอก’ พวกก้อยงั้นเหรอ! ผมสั่งไว้แล้วว่าห้ามบอก ทำไมเอาไปบอกล่ะ เดี๋ยวปั๊ดจะด่าให้ลืมโลกเลย

   ‘ละ... แล้ว เอ่อ... ปาร์ครู้รึเปล่า’ ผมพูดติดๆ ขัดๆ ได้แต่ภาวนาว่าปาร์คยังไม่รู้เรื่อง

   ‘รู้ดิ ก็ก้อยพูดต่อหน้าไอ้ปาร์คเลย’ พอได้ฟังคำตอบ ผมแทบจะเป็นลมหายไปตรงนั้นเลย ปาร์ครู้แล้ว แล้วผมจะทำยังไง จะสู้หน้ากับมันยังไง

   ‘และ... แล้วมันว่าอะไรหรือเปล่า’ ผมเป็นคนติดอ่างไปแล้ว

   ‘ก็ไม่เห็นว่าอะไร มันก็ยิ้มๆ อยากรู้ไรลองไปถามมันดูดิ พรุ่งนี้แลกที่นั่งกันก็ได้นะ ฮ่าๆๆ’ แล้วเนสก็เดินจากไปอย่างกวนๆ สองคนนี้กวนประสาทพอๆ กันแหละครับ แถมหน้าตายังดีเหมือนกันอีก แต่เนสหน้าจะหล่อแบบไทยๆ หน่อย แต่ก็ไม่ได้หล่อเข้มนะครับ เนสจะดูหล่อแบบเป็นสุภาพบุรุษ และก็ผิวขาว อะไรแบบนั้น

   แต่เนสจะหล่อยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้ผมเครียดมาก พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปจะมองหน้าปาร์คยังไงแล้วปาร์คจะเกลียดผมหรือเปล่า จะคุยกับผมไหม โอ๊ย!!! ผมคิดไม่ตกจริงๆ ก้อยนะก้อย ทำกันได้ บอกไม่ให้บอกแล้วยังจะบอกอีก น่าโมโหนัก!

**********__________**********

   ปัจจุบัน

   นั่นแหละครับ จุดเริ่มต้นของความรู้สึกของผมที่มีต่อปาร์ค จริงๆ ผมต้องขอบคุณพวกก้อยเหมือนกันนะ เพราะถ้าก้อยไม่ทักผมในวันนั้น ผมคงไม่รู้ใจตัวเองแบบนี้ และก็ต้องขอบคุณที่ก้อยบอกเรื่องนี้กับปาร์ค เพราะมันทำให้ผมได้ใกล้ชิดและสนิทกับปาร์คมากขึ้นจนถึงปัจจุบันนี้
 
   เพราะหลังจากวันที่ปาร์ครู้ว่าผมชอบนั้น ปาร์คก็ไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปเลย ยังคงคุยกับผม แกล้งผม แล้วก็ด่ากับผมเหมือนเดิม อาจจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำไป ส่วนผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกก้อย ก็แค่เคืองๆ อยู่สองสามวัน

   [นอนได้แล้ว จะตีหนึ่งแล้ว] ปาร์คพูดเสียงเข้มเป็นเชิงคำสั่ง ผมคุยโทรศัพท์กันเกือบชั่วโมงหรือไม่ก็ชั่วโมงกว่าๆ แบบนี้ทุกวัน ผมรู้ว่าปาร์คคิดกับผมแค่เพื่อนที่สนิทและไว้ใจมากๆ คนหนึ่ง แต่เพราะการที่ปาร์คเป็นแบบนี้มันก็ทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่าปาร์คเองก็คงมีใจให้กับผมเช่นกัน

   “อืม วางดิ” ผมบอก จริงๆ อยากบอกนะครับว่าฝันดี แต่ปากมันหนัก ไม่กล้าพูด

   [วางก่อนดิ] ยังคงกวนประสาทผม

   “ก็วางดิ จะได้นอน” ผมไม่ยอมครับ

   [อืมๆ ฝันดีล่ะกันนะครับฟร๊องก์]

   “อืม... ฝันดี” แล้วปาร์คก็กดวางสายไป

   ผมได้แต่มองโทรศัพท์แล้วยิ้มอยู่แบบนั้น แค่ได้คุยทุกวันแบบนี้ผมก็ดีใจแล้ว จริงๆ ปาร์คก็ใช้โทรศัพท์รุ่นเดียวกับผมนะ มันเคยบอกว่าลองเปิดกล้องคุยกันสิ จะได้เห็นหน้ากัน แต่ผมไม่กล้าครับ อายแล้วก็เขินด้วย ไม่กล้าสู้หน้ามัน ดวงตามันมีเสน่ห์มากเกินไป

   ผมลืมบอกไปอีกอย่างครับ ปกติผมจะอยู่หอนะ แต่วันนี้เป็นวันพฤหัสผมจึงกลับบ้าน วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ผมไม่มีเรียนน่ะ จริงๆ แม่จะไม่ให้ผมอยู่หอด้วยซ้ำ เพราะบ้านก็ไม่ได้อยู่ไกลจากมหา’ลัยมากเท่าไร นั่งรถไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง แต่ผมก็ขี้เกียจน่ะครับ มันต้องต่อรถหลายต่อจะเร็วหน่อยก็ต้องพึ่งแท็กซี่ไปเลย ก็เลยอ้างโน้นนี่ว่าเรียนหนักบ้างแหละ อยู่ปีสองต้องทำกิจกรรมให้น้องปีหนึ่งบ้างแหละ ไหนจะมีสอบย่อยอีก บลาๆๆ สารพัดจะอ้างแหละครับ จนสุดท้ายแม่ก็ใจอ่อน ยอมให้ผมไปอยู่หอแต่โดยดี

   แต่ถึงกระนั้นแม่ผมให้ก็ให้ผมหารูมเมทมาร่วมหารค่าห้องด้วย ทั้งๆ ที่ผมอยากอยู่คนเดียวมากกว่า แต่ก็เข้าใจพวกท่านนะว่าอยู่คนเดียวค่าใช้จ่ายมันก็ค่อนข้างสูง ผมก็เลยจะหาเมทมาอยู่ด้วย แค่นั้นแหละครับ ผมโดนปาร์คด่าเลย ตั้งแต่ขอไปอยู่หอแล้ว มันบอกว่าบ้านอยู่แค่นี้จะไปอยู่หอทำไม อยู่หอมันอันตรายอะไรแบบนี้ ผมก็อยากจะถามนะครับว่าที่มันอยู่คอนโดฯ ทุกวันนี้มันไม่อันตรายหรือไง (ก็ที่ผมเคยบอกแหละครับ บ้านมันรวย พ่อแม่มันก็เลยซื้อคอนโดฯ ที่อยู่ไม่ไกลกับมหา’ลัยมันเท่าไรให้ แต่ถ้าผมจะไปหามันที่คอนโดฯ ผมก็ต้องนั่งรถไปอีกต่อหนึ่ง หรือไม่ก็ต้องขึ้นแท็กซี่ไป) แล้วยิ่งมันรู้ว่าผมจะหาเมทมาอยู่ด้วยนะครับ มันด่าผมนี่หูแทบชาไปเลย

   ‘จะหาเมททำไม อยู่คนเดียวสบายๆ ไม่ชอบหรือไง!’

   ‘ก็แม่อยากให้หาคนช่วยหารค่าห้อง’

   ‘ค่าห้องมันจะสักเท่าไรเชียว บอกแม่ฟร๊องก์เลยนะว่าฟร๊องก์จะอยู่คนเดียว!’ มันเอาแต่ใจแค่ไหนล่ะครับ ลองดูสิ

   ‘แต่...’

   ‘ไม่มีแต่ บอกแม่เลยว่าจะอยู่คนเดียว ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่เชื่อกันก็ลองดู!’ นิสัยมันเป็นแบบเนี่ยแหละครับ ชอบขู่ผม ถ้าผมไม่ทำตามที่มันต้องการมันก็จะโกรธ พาลหาเรื่องผม แถมยังงอนไม่คุยด้วยเป็นอาทิตย์ๆ ทั้งที่เป็นเพื่อนกันแต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงชอบสั่งให้ผมทำโน้นนี่แบบนี้

   ‘เออๆ แต่ไม่รับปากนะว่าแม่จะให้หรือเปล่า’ ผมยอมรับปากกับคนเผด็จการ

   ‘ต้องรับปาก ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปอยู่ หออ่ะ!’ ดูมันสิครับ มันจะเป็นพ่อแทนพ่อแท้ๆ ของผมแล้ว ตัดสินใจแทนทุกอย่าง ไอ้บ้าเอ๊ย! ปากก็บอกว่าเป็นแค่เพื่อน แต่ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย มันทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองนะ!

   ‘ปาร์คอย่าเอาแต่ใจดิ มีเหตุผลหน่อย’
 
   ‘ไม่รู้แหละ คุยกับแม่ให้ได้ว่าจะอยู่คนเดียว ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปอยู่!’ สิ้นเสียงคำสั่งปาร์คก็วางสายไปเลย แล้วผมทำอะไรผิดหละ ก็แค่จะไปอยู่หอ แล้วต้องหาเมทอยู่ด้วยแค่เนี่ย

   แต่ในที่สุดผมก็ได้อยู่หอสมใจครับ แต่ก็แลกมาด้วยการโดนแม่ด่า จนสุดท้ายก็ได้อยู่คนเดียวสมใจคุณชายปาร์คเขาล่ะ หึ! วันที่ไปดูหอกับผมนี่ยิ้มหน้าบานเลย ได้ดั่งใจแล้วนี่ครับ ทำไมไม่มาอยู่หอผมแทนเลย ผมจะได้ไปอยู่คอนโดฯ มันแทน คงจะหรูกว่าหอผมเยอะเลย

   แม่กับพ่อผมรู้จักปาร์คครับ อาจจะไม่ได้เจอกันมากเท่าไร แต่ก็รู้ครับว่าปาร์คเป็น ‘เพื่อน’ ที่ผมค่อนข้างสนิทและใกล้ชิดมากที่สุด ส่วนพ่อแม่ปาร์คเองก็คงพอรู้จักผมครับ เคยเจอกันอยู่บ้างแต่แค่ไม่กี่ครั้ง พ่อปาร์คดูนิ่งๆ เงียบๆ แต่ใจดีมาก ส่วนแม่ปาร์คนี่เฮฮา เข้าใจและเข้ากับลูกได้ดี น่ารักมากๆ เลยแหละ ถึงว่าปาร์คขี้อ้อนกับแม่ ปาร์คมีพี่อีกคนแต่รายนั้นผมไม่เคยเจอกันหรอกครับ

   พอได้มาอยู่หอผมก็คิดถึงบ้านครับ ตั้งแต่เล็กจนโต (โอ้แม่ถนอม) ผมอยู่บ้านมาตลอดเลยครับ ถือว่าเป็นเด็กติดบ้านเลยก็ว่าได้ พอเวลามาอยู่หอก็เลยออกอาการ Homesick เกิดขึ้น ทำให้ผมกลับบ้านบ่อย (แทบจะทุกอาทิตย์อ่ะครับ) พอวันพฤหัสฯ ปุ๊บ แล้วสุดสัปดาห์ว่างก็จะรีบนั่งรถกลับบ้านทันทีอย่างไม่ลังเล
 
   ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรเด่นมากเนอะ ก็เรียนๆ เล่นๆ ไปวันๆ รอโทรศัพท์จากปาร์ค นั่งยิ้มคนเดียว ฮ่าๆ เหมือนคนบ้าเลย แต่ผมก็ยังไม่มีแฟนนะ ตั้งแต่มัธยมแล้ว จนตอนนี้เข้ามหา’ลัยมาเป็นปีล่ะ ยังหาแฟนไม่ได้เลย แต่ผมก็ไม่สงสัยนะ ก็ผมไม่สนใจใครเลยนี่ครับ อาจจะมีมองและก็ปลื้ม ก็ชอบอยู่บ้างประปราย แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะจีบหรือจริงจัง เพราะยังไงใจผมก็มีแต่ปาร์คคนเดียว (น้ำเน่าเนอะ)

   ผมเป็นพวกไม่ค่อยสนใจโลกด้วยมั้งครับ แต่เป็นคนที่แคร์คนรอบข้างมากๆ นะ ยิ่งสนิทมากเท่าไรผมก็จะยิ่งแคร์ความรู้สึกเขามากเท่านั้น ผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละ เลยโดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ ผมโกรธบ้างนะเวลาโดนแกล้งแรงๆ แต่ผมไม่เคยโกรธใครได้นานหรอก เพราะผมมักจะใจอ่อนเสมอเวลาเห็นเพื่อนหรือคนที่ผมรักเป็นทุกข์หรือมีปัญหา ผมไม่ค่อยเกลียดใคร แต่ถ้าถึงขั้นเกลียดเมื่อไหร่ ไม่ต้องพูดกันครับ ผมจะทำเหมือนคนๆ นั้นเป็นธาตุอากาศ ไม่มีความหมายใดๆ กับชีวิตผมเลย


à suivre...

ตอนแรกๆ จะยังเป็นการปูเรื่องก่อนนะฮะ  :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2017 22:35:40 โดย PorschePor »

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เจิมมมมมมมม  :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:         ชอบคะสนุกดีมากต่ออีกนะ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 2 [25/4/2017]
«ตอบ #4 เมื่อ25-04-2017 20:40:51 »

Chapitre 2

   วันจันทร์มาเยือนอีกแล้ว ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์สามวันผ่านไปเร็วเนอะ ผมรู้สึกว่ายังพักผ่อนไม่เต็มที่เลย ต้องมาเผชิญกับบทเรียนอีกแล้ว วันนี้ผมนั่งรถกลับหอตั้งแต่เช้าตรู่ครับ เอาของกลับหอก่อน แล้วก็รอเวลาไปเรียนทีเดียวครับ อยากจะบอกว่า... ผมไม่ได้อาบน้ำออกมาจากบ้าน! ก็มันเช้าอ่ะ แค่ล้างหน้าแปรงฟัน ฉีดน้ำหอมอีกหน่อยก็นั่งรถมาเลย ถ้าไปสายๆ รถมันจะติด แล้วคนจะเยอะ ซึ่งมันน่าอาย 

   ผมมีเรียนเช้าครับวันนี้เลยต้องรีบกลับมา เป็นวันเดียวที่เรียนเช้า ปกติผมมีเรียนบ่ายโมงครับ เพราะผมเรียนอยู่ภาคพิเศษหรือภาคเปลที่หลายๆ มหา’ลัยใช้เรียกกัน จะเริ่มเรียนตอนบ่ายถึงหัวค่ำครับ ผมจะเลิกเรียนหกโมงเย็น หรือไม่ก็สองทุ่มแบบนี้สลับกันในแต่ละอาทิตย์ ซึ่งผมก็คิดว่าดีนะ ไม่ต้องรีบแหกขี้ตาตื่นไปเรียน ผมเลยคุยโทรศัพท์กับปาร์คดึกๆ ดื่นๆ ได้ไงครับ ส่วนมันน่ะเหรอ มีเรียนเช้ามันก็ไม่หวั่นหรอก เพราะมันนั่งเล่นเกมออนไลน์ดึกกว่าที่คุยโทรศัพท์กับผมเสียอีกมั้ง แต่เห็นแบบนั้นมันเรียนเก่งนะครับ หัวดีอยู่ แต่อาจจะติดขี้เกียจไปบ้าง

   “ทำงานเสร็จยังอ่ะฟร๊องก์” เสียงป๊อปอายเพื่อนผู้หญิงในกลุ่มเอ่ยทักผมหลังจากที่ผมเดินเข้าไปที่ศูนย์อาหารหลังเลิกเรียนในวิชาแรกตอนเก้าโมง ที่นี่มักจะเป็นจุดนัดพบของกลุ่มผม ถ้าว่างไม่ติดอะไรทุกคนจะมากินข้าวด้วยกันก่อน ก่อนที่จะไปเรียน ในเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วรอเรียนบ่ายโมง แต่ส่วนใหญ่วันจันทร์ตอนประมาณสิบเอ็ดโมงแบบนี้จะเป็นที่ประจำทุกอาทิตย์เลยครับ
 
   “งานอะไรอ่ะ” ผมหันไปถามป๊อป (เรียกสั้นๆ) หลังจากวางกระเป๋าลงข้างๆ กับเก็ทเพื่อนชายอีกคนที่ผมอาศัยรถยนต์มาเรียนด้วยเสมอ

   กลุ่มผมมีอยู่แปดคน รวมผมแล้วนะ มีผู้หญิงอยู่สี่คน อีกสี่ก็ผู้ชาย แต่ก็จะมีผมกับไวน์ที่ไม่ใช่ผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ ไวน์จะออกสาวๆ อย่างชัดเจนเลยครับ ส่วนผมถ้าดูผิวเผินจะไม่ค่อยแสดงออกมากเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ปกปิดอะไร ไวน์ตัวเล็กกว่าผมอีกครับ จัดว่าเป็นคนที่น่ารักเลยแหละ ตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าตาจิ้มลิ้มดูแบ๊วๆ จัดฟัน ที่สำคัญมีแฟนแล้วนะครับ แฟนหวงมากซะด้วย

   ทุกคนในกลุ่มผมเรียนมัธยมมาจากคนละที่ทั้งนั้นเลย เพิ่งมาเจอและรู้จักกันที่นี่ ตอนแรกๆ ที่เข้ามาเรียนมหา’ลัยผมมีเพื่อนแค่สองคนก็คือไวน์กับโดนัท เพราะสองคนนี้เป็นคนเข้ากับคนง่าย เฮฮา ก็เลยสนิทกับผมค่อนข้างเร็ว

   ไวน์ก็อย่างที่ผมบอกไว้ในตอนแรกแหละครับ ร่างเป็นผู้ชาย แต่จิตใจออกไปทางผู้หญิงเยอะกว่า แต่ก็น่ารักดีนะครับผมว่า ถึงไวน์จะแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ก็ไม่ได้ทำตัวน่าเกลียด ผมว่าไวน์ยังวางตัวในสังคมได้ดีกว่าคนที่เป็นแบบนี้อีกหลายๆ คนด้วยซ้ำไป ด้วยความที่มีหน้าตาน่ารัก แถมยังตัวเล็ก ทำให้ไวน์ป๊อปปูล่าไม่เบาทั้งในคณะ จนถึงมหา’ลัย แต่ไวน์ก็ไม่เล่นกับใครมั่วๆ นะ อาจจะมีออกท่าทางชอบบ้าง แต่ไม่มากนัก เป็นเพราะตัวเองมีแฟนแล้วด้วย เลยไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนที่เข้ามาผัวพัน จะมีก็แค่เล่นกัน (ค่อนข้างแรง) กับผู้ชายอีกสองคนในกลุ่ม ไวน์เป็นคนจริงใจครับ ถึงบางทีคำพูดจะดูหนักและรุนแรงไปหน่อย แต่ก็พูดออกมาเพราะคิดแบบนั้นจริงๆ นิสัยก็คล้ายๆ ผมแหละครับ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ แต่ผมจะพูดไว้หน้าบ้าง แต่ไวน์นี่ ไม่ชอบด่าเละครับ

   ส่วนโดนัทเป็นผู้หญิงครับ รู้จักกับไวน์มาก่อนเพราะเคยคุยกันทางเฟซบุ๊กก่อนที่มหา’ลัยจะเปิดเรียน (ตอนปีหนึ่ง) เธอเป็นคนหน้าตาดีครับ หุ่นก็อวบนิดๆ เรียกว่าเป็นผู้หญิงมีเนื้อ นม ไข่? ดีกว่า เห็นอย่างนี้คนตามจีบเยอะนะครับขอบอก อาจเป็นเพราะความอวบอึ๋มของเธอด้วย แต่ถ้าผู้ชายที่ตามจีบเธอได้มาเห็นความโก๊ะ เปิ่น ฮาแตกของเธอก็อาจจะพากันหนีหายไปหมด โดนัทเป็นคนเฮฮามากครับ คอยสร้างสีสันให้กับกลุ่มเสมอ แต่แปลกเวลาเมาเมื่อไหร่จะกลายเป็นคนนิ่งเงียบ นั่งตาเย้มอยู่เฉยๆ ไม่คุยกับใครเลย ก็แปลกดี

   “ก็งานลิทไง” ป๊อปอายพูด ผมก็ถึงบางอ้อทันที พวกผมเรียนอยู่คณะศิลปศาสตร์ครับ เอกภาษาอังกฤษ เลยต้องเรียนวิชาบังคับคือวิชาวรรณคดีภาษาอังกฤษ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าลิท (Lit) ซึ่งย่อมาจาก Literature

   ป๊อปอายคือเพื่อนอีกคนในกลุ่ม พวกผมสามคนเข้ามาอยู่กลุ่มป๊อปอายทีหลัง ก็ประมาณเมื่อเทอมที่แล้ว ปีหนึ่งเทอมสอง เพราะเรียนในคลาสเดียวกันก็เลยเริ่มสนิทกันมากขึ้น ป๊อปอายพวกผมจะเรียกสั้นๆ ว่าป๊อป เพราะเธอป๊อปมากในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ป๊อปอายเป็นคนหน้าสวยมากๆ ชอบแต่งตาเฉียวๆ หุ่นดี แต่งตัวเก่ง บุคลิกของเธอจะออกแนวผู้หญิงเปรี้ยวๆ ไม่ใช่กลิ่นตัวนะครับ ฮ่าๆ เลยทำให้เป็นที่หมายปองในบรรดาผู้ชาย ซึ่งที่มหา’ลัยผมมันจะเป็นธรรมเนียมไปแล้วมั้งครับ ที่ผู้ชายวิศวะจะต้องคู่กับผู้หญิงศิลปศาสตร์ แต่ก็ยังไม่ใช่กับป๊อปอายนะ เพราะเธอยังไม่คิดจะมีแฟนเลย ป๊อปอายเคยบอกว่าตอนนี้ขอมอบความสุขกับตัวเองให้เต็มที่ก่อน อีกอย่างยังไม่มีใครถูกใจด้วย ผมว่ามันก็เป็นความคิดที่ดีนะ

   “อ๋อ เสร็จแล้ว อยู่ในกระเป๋าอ่ะหยิบเอานะ เดี๋ยวเราไปซื้อข้าวก่อน” ผมหยิบกระเป๋าเป้ส่งให้ป๊อปอาย “เก็ทไปซื้อข้าวเป็นเพื่อนหน่อยดิ” ก่อนที่ผมจะหันไปหาเก็ทที่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่อย่างขะมักเขม้น

   เก็ท ผู้ชายร่างใหญ่ สูงกว่าปาร์คเสียงอีก และกล้ามเนื้อค่อนข้างหนาครับ เพราะเก็ทมีเชื้อแขกขาวชาวอาหรับ เนื่องจากปู่ของเป็นลูกครึ่งดูไบ ใบหน้าเก็ทจะออกไปทางแขกๆ มากกว่า หล่อนะครับ ตาคม หน้าเรียวดูเข้มๆ แต่ตัวขาวมากๆ เป็นแขกขาวน่ะครับ เก็ทเป็นเพื่อนที่ผมสนิทและไว้ใจที่สุดในกลุ่ม มันมีแฟนอยู่แล้วครับ แต่อยู่คนละมหา’ลัยกัน เหมือนผมกับปาร์คนั่นแหละ (แต่รู้สึกว่าผมกับปาร์คจะไม่ใช่แฟนกันนะ) และเก็ทก็รู้ครับว่าผมมีคนที่รักอยู่แล้ว เก็ทเป็นคนเงียบๆ นะครับ ไม่ค่อยพูด ถ้าคนไม่รู้จักจะมองว่าเย็นชาก็ไม่แปลก แต่เก็ทกลับเป็นที่ปรึกษาที่ดีมากๆ ของผม

   “น่ารำคาญจริงๆ เลย จะต้องให้อุ้มไปด้วยเลยไหม” เมื่อกี้ผมบอกว่าเก็ทเป็นคนเงียบๆ ใช่ไหม แต่ผมขอแก้คำพูดนิดหนึ่ง ไอ้นี่มันเงียบกับคนอื่น แต่กับผมนี่บางทีมันกวนประสาทมากเลยทีเดียว

   “ก็ดีนะจะได้ไม่ต้องเดิน ฮ่าๆ” กวนมาผมก็กวนกลับสิ ใครจะไปยอม ผมน่ะปากใช่ย่อยนะ บอกไว้ก่อน

   “จะไปก็ไปสิ เดี๋ยวเที่ยงคนเยอะก็อดกินอีก แค่นี้ยังผอมไม่พอหรือไง” ว่าแล้วเก็ทก็ลุกเดินนำหน้าผมไป แล้วมันรู้ได้ไงว่าผมจะกินอะไร ร้านไหน

   “รอด้วยดิเก็ท!” ผมเรียกก่อนจะวิ่งไล่หลังไป หมอนี่ขายาวฉิบหายลุกไปแป๊บเดียว เดินไปได้ตั้งไกลล่ะ “เดี๋ยวมานะ เออป๊อปอย่าลอกนะ ลองๆ แปลงประโยค แปลงคำเอาหน่อยแล้วกัน” ก่อนที่ผมหันไปคุยกับเพื่อนที่อยู่ที่โต๊ะ

   ตุบ! โอ๊ย!

   ผมล้มลงกับพื้นเพราะชนเข้ากับกำแพงมนุษย์อย่างจัง ผมมัวแต่หันไปคุยกับเพื่อนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ เลยวิ่งไม่ดูทางเลยชนเข้ากับใครไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่าเขาตัวใหญ่กว่าผม และที่สำคัญคือผมเจ็บก้นมาก!

   “เป็นอะไรไหมครับ... น้องฟร๊องก์” เสียงทุ่มเอ่ยถามพร้อมกับมือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้า

   “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณนะครับ” ผมปฏิเสธที่จะจับมือนั้นอย่างสุภาพ ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

   “มีไรหรือเปล่าฟร๊องก์ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” เก็ทเดินกลับมาหา คำถามแรกแลดูเป็นห่วง แต่ทำไมหลังมันเหมือนด่ากันเลยอ่ะ

   “ไม่เป็นไรเก็ท” ผมหันไปตอบเก็ทที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะกล่าวขอโทษคนตรงหน้าที่ผมชนเข้าเมื่อกี้ “ฟร๊องก์ขอโทษพี่หมากด้วยนะครับ ฟร๊องก์รีบไปหน่อยเลยไม่ทันได้ระวัง” ผมก้มหน้างุดๆ ขอโทษพี่หมาก รุ่นพี่ปีสามในคณะเดียวกัน แต่อยู่คนละสาขา

   พี่หมากเคยเป็นพี่เทคผมตอนที่ผมอยู่ปีหนึ่ง เขาคอยปลอบเวลาประชุมเชียร์แล้วพวกผมโดนพี่ว๊ากด่า เลยทำให้ผมรู้จักกับเขา พี่หมากตัวสูงครับ แต่เตี้ยกว่าเก็ทหน่อย แต่ก็สูงพอๆ กับปาร์ค แต่ตัวหนากว่านิดหน่อย (มีแต่คนตัวสูงๆ เนอะ มันเลยทำให้ผมดูเตี้ยไง ทั้งๆ ที่จริงผมก็สูงในระดับมาตรฐาน) ผมจำได้ว่าพี่หมากชอบเข้าฟิตเนต เพราะตอนปีหนึ่งชอบชวนผมไปด้วย แต่ผมขี้เกียจเลยปฏิเสธเป็นประจำ หน้าตาดีเลยแหละครับ เขามีงานพิเศษเป็นนายแบบด้วย เลยต้องฟิตร่างกายตลอดมั้ง เพื่อให้หุ่นคงที่ ล่าสุดผมเห็นเขาเล่นมิวสิกวีดีโอด้วย ถือว่าเป็นที่หมายปองของทั้งสาวแท้และสาวเทียม รวมทั้งเก้งกวางด้วย แต่ความรู้สึกผมบอกว่าพี่เขาเป็นเกย์เหมือนกันนะ แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร

   “ไม่เป็นไรครับ แล้วนี่จะรีบไปไหนล่ะ” พี่หมากโปรยยิ้มหวานมาให้ผม ผมยอมรับนะครับว่าเคยปลื้มๆ พี่เขาอยู่เหมือนกัน ผมชอบเวลาพี่เขายิ้ม ตานี้หยีเลย พี่เขายิ้มสวยดีครับผมว่า

   “รีบไปซื้อข้าวน่ะครับ” ผมตอบพลางยิ้มให้

   “ฟร๊องก์รีบไปเหอะ คนเริ่มเยอะแล้ว” เก็ทขัดขึ้นมา มันไม่ค่อยชอบหน้าพี่หมากครับ มันเคยบอกว่าพี่เขาไม่น่าไว้ใจ ไม่อยากให้ผมเข้าใกล้ แต่ผมก็รู้สึกว่าพี่เขาไม่เห็นมีอะไรเลย

   “ผมไปก่อนนะครับ” ผมก้มหน้าให้พี่หมากอีกครั้ง ก่อนจะถูกเก็ทคว้ามือแล้วกระชากออกจากพี่เขาไปทันที

   “เก็ทเป็นอะไร ปล่อยมือฟร๊องก์ก่อน” ผมพยายามหยุดเดินและสะบัดมือออกจากการจับกุมของเก็ทเพราะผมรู้สึกว่าเก็ทบีบมือผมแรงมาก

   “ทำไมขอโทษมันเสร็จแล้วไม่รีบเดินหนีมา” เก็ทเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่มันทำผมเสียงสันหลังวาบ

   “ก็แค่คุยกับเขาตามมารยาท” ผมตอบกลับ ตอนนี้เก็ทปล่อยมือผมแล้ว แต่คนรอบข้างก็เริ่มมองแล้วเช่นกัน จริงๆ เขามองกันตั้งแต่ที่ผมชนพี่หมากแล้วล้มเมื่อกี้แล้วแหละ

   “ไม่เห็นสายตาที่มันมองหรือไง มันจะกินฟร๊องก์เข้าไปทั้งตัวแล้ว บอกแล้วไม่เชื่อฟังกันเลย บอกแล้วว่ามันไม่น่าไว้ใจ ยังชอบไปยุ่งกับมันอีก” เก็ทบ่นยืดยาวเล่นเอาผมอารมณ์เดือดขึ้นเหมือนกัน

   “แล้วจะให้ฟร๊องก์ทำยังไง! ฟร๊องก์เดินชนเขาก็แค่ขอโทษแล้วเขาถามก็ตอบไปตามมารยาท เก็ทจะด่าฟร๊องก์ให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ทำไม” ผมเริ่มเสียงดังขึ้นมาแล้ว ผมไม่ใช่คนยอมคนที่จะปล่อยให้ใครมาด่าฉอดๆ แล้วยืนร้องไห้อยู่เฉยๆ นั่นไม่ใช่ผมแล้ว

   “ช่างเหอะ เก็ทแค่อยากเตือนฟร๊องก์เอาไว้ รีบไปซื้อข้าวซะ คนเริ่มเยอะแล้ว” เก็ทรู้ครับว่าผมเป็นคนยังไง ถ้ายิ่งแรงมา ผมก็ยิ่งแรงกลับ ผมจึงเดินไปซื้อข้าว หงุดหงิดอยู่เหมือนแหละ แต่ก็ไม่ใช่ไม่สามารถควบคุมได้

**********__________**********

   ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ ส่วนเก็ทก็เดินตามหลังผมมาเงียบๆ ผมกับเก็ทมักทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องประจำแหละครับ แต่แป๊บเดียวก็หายโกรธแล้ว ผมบอกแล้วไงครับว่าผมโกรธง่ายแต่หายเร็ว

   “เมื่อกี้เกิดไรขึ้นวะ” นุ่นถามหลังที่เก็ทหย่อนก้นลงนั่งเก้าอี้ข้างขวาของผม

   “ไม่มีอะไร เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” ผมตอบ

   “อืม พวกกูจะลุกไปช่วยกันอยู่แล้วตอนที่มึงล้มอ่ะ แต่เห็นไอ้เก็ทมาพอดีเลยให้มันช่วยเลย” นุ่นพูดต่อ

   นุ่น ผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ผิดกับนิสัยและบุคลิกที่เหมือนทอมบอย ทั้งการพูดจาที่ห้าวหาญและเลี้ยงหมาไว้ในปากเยอะมาก รวมทั้งความบ้าดีเดือดที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ผู้ชายหลายคนที่มาลองดีเป็นต้องหน้าหงายกลับไปทุกราย แต่นุ่นก็ยังคงปฏิญาณตนนะว่าตัวเองยังชอบผู้ชายอยู่ ผมก็งงเหมือนกันทั้งๆ ที่มีผู้ชายตั้งหลายคนเข้ามาให้เลือก แต่นุ่นกลับแสดงบทเป็นยักษ์ เป็นมารใส่จนผู้ชายชิ่งหนีหายไปกันหมด

   “...” ผมไม่ตอบอะไร พลางเหลือบตามองเก็ทนิดหน่อย ส่วนมันก็เหมือนรู้ตัว มองผมอยู่เช่นกัน ผมเลยก้มลงกินข้าวในจานของตัวเอง วันนี้ผมกับเก็ทมาช้าครับ เลยกินข้าวทีหลังอยู่สองคน เพราะมัวแต่คุยกับอาจารย์เรื่องงานอยู่ ปกติแล้วผมจะมามหา’ลัยพร้อมกับเก็ท รวมถึงโดนัทและไวน์ด้วย จะมารถเก็ทด้วยกัน ส่วนที่เหลือจะมากับเพื่อนอีกคน เพราะบ้านเก็ทผ่านหอที่พวกผมอยู่พอดี แล้วเวลาเรียนยังตรงกันตลอดอีก

   “ไม่อยากเรียนลิทเลย” เสียงหวานๆ ของแก้วดังขึ้น
 
   แก้วเป็นคนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มก็ว่าได้ หน้าตาสะสวยแบบไทยๆ  เป็นคนมีมารยาทเพราะที่บ้านอบรม สั่งสอนมาดีมาก เห็นป๊อปอายเคยบอกว่าบ้านแก้วเป็นตระกูลผู้ดีเก่า แก้วเลยถูกสอนมาให้เรียบร้อยแบบนี้ น้ำเสียงหวานๆ เข้ากับตัวและหน้าตาครับ ดูจากผิวพรรณก็รู้แล้วว่าเป็นลูกผู้ดี แก้วตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเลย จึงกลายเป็นคนที่ทุกคนเกรงใจและทะนุถนอมมากที่สุด ไม่มีใครพูดคำหยาบหรือใช้กูมึงกับแก้วเลย

   “เรียนๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็ผ่านไป” จะมีก็แต่คนนี้แหละครับ ที่เพื่อนในกลุ่มก็พอดูออกว่าคิดยังไงกับแก้ว

   มันชื่อดิวครับ เข้ากลุ่มมาพร้อมกับเก็ท มีแค่สองคนนี้แหละครับที่จบมาจากโรงเรียนเดียว เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม ดิวสูงกว่าผมไม่เยอะมากครับ น่าจะประมาณ 180 เซ็นต์เห็นจะได้ ผิวไม่ขาวมาก ออกขาวเหลืองน่ะครับ หน้าตาใช้ได้เลยทีเดียว ดิวเป็นคนที่ชอบแซวคนอื่นครับ แต่บางทีก็มากเกินไป แต่ก็เป็นสีสันดีนะครับ ดิวกับนุ่นมักจะเป็นตัวยุ ตัวชงกันประจำ คนหนึ่งปล่อยมุก อีกคนรับมุกได้ทันควัน สนุกไปอีกแบบ พวกผมพอรู้นะครับว่าดิวกำลังจีบแก้วอยู่ ถึงจะชอบพูดจากวนไปหน่อยก็เถอะ แต่บางครั้งก็แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน รวมทั้งสีหน้าและแววตาเวลามองแก้วด้วย พวกผมก็ไม่ได้ห้ามนะครับ อยากให้ได้ลองศึกษากันเอง

   แนะนำไปแนะนำมาก็ครบแปดคนพอดี (นับรวมผมด้วยนะ) เป็นไงล่ะเพื่อนผมแต่ละคน ใช้ได้เลยใช่มั้ยล่ะ เอาล่ะครับ ผมขอกินข้าวให้หมดจานก่อน (ซึ่งก็ไม่เคยกินหมดได้สักที) เดี๋ยวจะต้องไปเรียนต่อตอนบ่ายอีก วิชาที่จะไปเรียนก็ไม่พ้นลิทหรอกครับ ผมว่าวิชามันน่าสนใจนะ สนุกดี อาจารย์จะสอนให้อ่านวรรณคดี นิทาน เรื่องเล่าภาษาอังกฤษแล้วให้วิเคราะห์แก่นเรื่อง รวมถึงดูภาพยนตร์ด้วย แต่เวลาเรียนกดดันไปหน่อยครับ อาจารย์แกชอบกดดัน นิสิตส่วนมากเลยไม่ค่อยอยากจะเข้าเรียน แล้วอาจารย์จะชอบเช็คชื่อครับ ถ้าวันไหนคนขาดเยอะๆ ผมยังเคยโดนเช็คขาดเลย แอบโดดเรียน

   วู้ววว~ เรียนเสร็จสักทีครับ วันนี้ผมเลิกเรียนตอนหกโมง ซึ่งเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้า มีพักแค่ตอนสิบโมงครึ่งถึงบ่ายโมง หลังจากนั้นก็ยิงยาวเลย เหนื่อยมากกก ที่สำคัญหิวมากด้วย (อันนี้ประเด็นสำคัญกว่า)
ผมรีบชวนเพื่อนไปกินข้าวทันทีครับ พวกผมจะแบ่งกันไปรถสองคัน นั่นก็คือรถเก็ทกับรถดิว สองคนนี้บ้านรวยครับเลยมีรถขับรับส่งเพื่อนๆ

   เกือบชั่วโมงต่อมาพวกผมก็นั่งจดจ่ออยู่กับมื้อเย็นในห้างดังครับ มันเป็นที่ประจำของพวกผมเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ได้มาบ่อยมานะครับ มาแค่บางครั้งบางคราว มาบ่อยมีหวังจนตาย กินกันเสร็จพวกผมก็มีคิวดูหนังกันต่อ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการไปร้องคาราโอเกะ ไม่ต้องห่วงเรื่องการกลับดึกอยู่แล้วนี่ครับ พรุ่งนี้เรียนตั้งบ่ายโมงกลัวอะไร

   “ฟร๊องก์!” เสียงผู้หญิงที่ไหนเรียกผม หลังจากที่เดินออกมาจากร้านอาหาร

   “อ้าวเนส พัด มาทำไรกันเนี่ย” ผมหันไปตามแหล่งก็ก็พบกับเพื่อนสมัยมัธยมสองคน คือเนสกับพัด สองคนนี้เป็นแฟนกัน เพิ่งเปิดตัวหลังจากที่เข้าเรียนมหา’ลัย ตอนมัธยมไปแอบชอบกันตอนไหนไม่มีใครรู้เลยสักคน

   “มาดูหนังน่ะ พรุ่งนี้เนสเรียนบ่าย แล้วพัดก็ไม่มีเรียน ก็เลยมาเที่ยวกัน” พัดพูดอย่างยิ้มแย้ม ก็แหมคู่นี้หวานกันจะตายไป น่าอิจฉาจริงๆ

   เนสเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับผม แค่คนละคณะ เนสเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนพัดเรียนมหา’ลัยเดียวกับปาร์ค แล้วก็เรียนวิศวะเหมือนกับเนสอีกต่างหาก หนุ่มวิศวะคู่กับสาววิศวะ หวานซะไม่มี

   “มดเดินตามมาเป็นทางแล้วมั้งเนี่ย ว่าแต่พัดจะกลับยังไงล่ะ”

   “เดี๋ยวเราไปส่งเองแหละ” เนสว่าครับ สองคนนี้คบกันอย่างเปิดเผย พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายรู้ เนสเลยสามารถไปส่งหรือไปรับพัดออกมาเที่ยวได้ แต่ทั้งคู่ก็รู้ขอบเขตนะ พัดออกจะเรียบร้อย เนสเองก็เป็นสุภาพบุรุษ

   “แล้วฟร๊องก์มากับใครล่ะ” พัดเอ่ยถาม
 
   “อ๋อ เรามากับเพื่อนน่ะ เดินไปนู้นกันหมดแล้ว” ผมชี้ไปที่กลุ่มเพื่อนที่นั่งรออยู่แถวโซฟาเพื่อรอดูหนัง

   “งั้นฟร๊องก์ไปเถอะ แล้วเจอกันใหม่”

   “คราวหน้าก็ชวนไอ้ปาร์คมันมาด้วยสิ จะได้ดูหนังด้วยกันสองคนมั้งไง ฮ่าๆ” เนสกวนประสาทผมทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ชิ! ถ้าชวนมันมาง่ายๆ ก็ดีน่ะสิ ผมกับมันเคยดูหนังด้วยกันนับครั้งได้เลย ผมชวนเท่าไรก็ไม่เคยว่าง
สรุปแล้วผมและเพื่อนก็เขาไปดูหนังเรื่องเดียวและรอบเดียวกับเนสและพัด ตอนออกจากโรงหนังเนสยังกวนเส้นผมไม่เลือก กวนประสาทพอๆ กันเลยทั้งปาร์คทั้งเนส

   หนังที่เลือกดูวันนี้สนุกมากเลยครับ พวกผมชอบดูหนังฝรั่ง ถูกใจผมมากๆ เรื่องนี้ ตอนนั่งอยู่ในโรงหนัง บรรยากาศทำให้ผมนึกย้อนกลับไปในเวลาที่ผมไปดูหนังกับปาร์ค ถึงมันจะเป็นเพียงไม่กี่ครั้ง แต่มันก็ประทับใจผมทุกครั้ง โดยเฉพาะครั้งแรกที่ปาร์คชวนผมไปดู แม้จะผ่านมาปีกว่าแล้ว แต่ผมยังจำภาพ เสียงและบรรยากาศวันนั้นได้อย่างไม่ลืมเลือน ไหล่ที่ผมซบในฉากที่ผีออกมา กลิ่นกายผสมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ปั่นป่วนสติของผมให้กระเจิดกระเจิง ทุกอย่างของปาร์คในวันนั้นยังวนเวียนอยู่ในความรู้สึกและความทรงจำของผมอย่างไม่เสื่อมคลาย

   หลังจากแยกกับเนสและพัดไป ผมกับเพื่อนๆ ก็ไปร้องคาราโอเกะกันต่อครับ ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว แต่จะกลัวอะไร อยู่หอคนเดียวกลับดึกแค่ไหนก็ไม่มีใครด่า โฮะๆ

   แต่พวกผมอยู่ร้องคาราโอเกะกันไม่ครบหรอกนะครับ ดิว แก้ว ป๊อปอายต้องกลับก่อน สามคนนี้อยู่บ้านครับ จริงๆ สำหรับดิวไม่มีปัญหาเรื่องกลับดึกหรอก มันชอบไปร้านเหล้ากับพวกผมประจำ แต่ที่กลับเร็วเพราะเป็นห่วงแก้วมากกว่า รวมถึงนุ่นด้วยที่อยู่บ้านเช่นกัน แต่พ่อแม่ของนุ่นค่อนข้างปล่อย เพราะรู้ว่านุ่นดูแลตัวเองได้ นุ่นเลยไม่ซีเรียสเรื่องที่บ้านจะเป็นห่วงเท่าไร เก็ทเองก็อยู่บ้าน แต่ก็ผู้ชายนะครับ ถ้าพ่อแม่จะห่วงหวงขนาดนั้นก็กระไรอยู่

   พวกผมร้องคาราโอเกะกันจนเวลาล่วงเลยไปจนถึงห้าทุ่ม เก็ทอาสาไปส่งทุกคน และแน่นอนผมเป็นคนสุดท้ายที่เก็ทจะไปส่ง เพราะหอผมเป็นทางผ่านของบ้านเก็ท และก็ไม่ไกลกันเท่าไร นั่นจึงเป็นเหตุให้ผมกลับหอเป็นคนสุดท้ายเสมอเวลาไปไหนมาไหน


à suivre...  :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2017 22:36:03 โดย PorschePor »

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เก็ทจะเป็นแค่เพื่อนที่จริงใจ หรือเพื่อนอะไรกันน้าาาาาา   :o8: :-[

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Exclusif 1 [26/4/2017]
«ตอบ #6 เมื่อ26-04-2017 19:26:48 »

Exclusif 1

     เกือบสองปีก่อน

     ตอนนี้ผมจบม.6 แล้วครับ เวลาไปผ่านไปเร็วมากจริงๆ ผมกับปาร์คต้องแยกจากกันแล้วสิ ผมไม่อยากให้วันนี้มาถึงเลย ตอนนี้ผมยังไม่มีที่เรียนเลยครับ ส่วนปาร์คน่ะเหรอ ได้ที่เรียนตั้งนานแล้วแหละครับ แต่มันก็ไม่ทิ้งผมน่ะ มันก็คอยหาโควต้าโน้นนี่มาให้ผมตลอด แต่ส่วนมากไม่ค่อยถูกใจผมหรอกครับ ก็ผมน่ะอยากเรียนอะไรที่เกี่ยวกับภาษา เกี่ยวกับศาสตร์แห่งศิลป์ หรือไม่ก็ด้านวารสารอะไรพวกนั้น แต่มันกลับหาแต่ด้านวิทยาศาสตร์ หรือไม่ก็คำนวณอะไรมาให้แบบเนี่ย ผมถนัดที่ไหนล่ะ ลำพังคณิตที่โรงเรียนก็จะตกแหล่ไม่ตกแหล่อยู่แล้ว

     ปาร์คเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ครับ มหา’ลัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านมันเท่าไร ส่วนบ้านผมอยู่ไกลออกมาพอสมควร ผมอยากเรียนมหา’ลัยนี้เหมือนกันนะครับ มันเป็นมหา’ลัยในฝันที่ผมอยากเข้าเลยแหละ แต่ถึงบ้านปาร์คจะอยู่ไม่ไกลจากระแวกนั้น มันก็ยังอ้อนแม่ให้ซื้อคอนโดฯ ให้มัน มันบอกว่ามันอยากอยู่คนเดียว ดูแลตัวเองเพราะมันโตแล้วอะไรของมันก็ไม่รู้ แม่มันก็ยอมครับ ก็แหงล่ะ บ้านรวยนี่ครับ คอนโดฯ แค่นั้นทำไมจะให้ลูกไม่ได้ล่ะ จริงไหม ได้คอนโดฯ แล้วมันก็ยังได้รถยนต์ใหม่อีกคันด้วย เพราะแม่เป็นห่วงเรื่องการเดินทางของมัน คราวนี้มันก็มีพร้อมเลยแหละครับ

     ติ๊ด! ติ๊ด!

     เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ผมดังขึ้น ผมเอื้อมมือไปหยิบมันมาดูว่าใครโทรมา พอได้เห็นหน้าจอที่มีไฟกระพริบแค่นั้นแหละ ริมฝีปากของผมก็กระตุกยิ้มระรื่นขึ้นมาทันที

     ‘ฮัลโหลปาร์ค’ ใช่ครับ คนที่โทรเข้ามาแล้วทำให้ผมยิ้มได้แบบนี้ก็มีคนเดียวเท่านั้นก็คือปาร์ค

     [อยู่ไหนเนี้ย ทำอะไรอยู่] ปลายสายส่งเสียงกลับมาอย่างร่าเริง อารมณ์ดีอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย

     ‘อยู่บ้านอ่ะดิ กำลังอ่านหนังสือ ใกล้จะสอบแล้ว คราวนี้ต้องทำคะแนนให้ได้เยอะๆ ไม่งั้นมีหวังไม่มีมหา’ลัยแน่ๆ’ ผมพล่ามยาว แต่ก็จริงนี่ครับ ถ้าผมไม่อ่านหนังสือ ผมก็จะไม่ได้เข้ามหา’ลัยดีๆ อย่างที่ผมหวัง

     [แล้วอ่านเข้าใจป่ะน่ะ อ่านอะไรอยู่ GAT อ่ะดิ] ปาร์คพูดอย่างกับมานั่งอยู่ข้างๆ ผมงั้นแหละ

     ‘อือ ไม่รู้เรื่องเลย’ ผมบอก

     [ก็ทำแบบที่สอนให้ในเอ็มเมื่อคืนดิ] เมื่อคืนปาร์คเล่น MSN เพื่อสอนข้อสอบวิเคราะห์ของ GAT ให้ผมครับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดี พยายามแล้วนะ แต่มันไม่ได้อ่ะ งงลูกศรบ้าบออะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด

     ‘ก็กำลังทำอยู่ แต่ไม่รู้ถูกเปล่า ไม่ค่อยเข้าใจ’ ผมพูดเสียงอ่อน

     [โง่จริงเลย] ดูมัน! แทนที่จะให้กำลังใจกลับมาด่าผมซะอย่างงั้น [ไม่เข้าใจใช่ม่ะ งั้นไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็เตรียมหนังสือไว้เดี๋ยวเข้าไปรับ จะได้ติวให้]

     ปาร์คจะมารับผมไปติวครับ! นี่มันลงทุนถึงขนาดเลยเหรอ

     ‘เอ่อ... อืมๆ จะมาตอนไหนอ่ะ’


     [ให้เวลาครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเข้าไปรับ ถ้าไปถึงต้องเสร็จแล้วนะ ไม่งั้นก็ไม่ติว] ไม่ต้องตกใจครับ ตั้งแต่ที่ผมเริ่มสนิทกับมันมา มันก็เผด็จการแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

     ‘เออๆ วางสายดิจะได้รีบไปอาบน้ำ’ ผมกระแทกเสียงใส่ก่อนจะกดวางสายเอง ถ้าไม่ติดว่าจะให้ติวให้ก็ไม่ง้อหรอก! เหอะ!

**********__________**********

     สี่สิบห้านาทีต่อมา

     ไหนมันว่าครึ่งชั่วโมงจะมาไง โธ่! ไอ้ปาร์ค ช้าตลอด!

     เอี๊ยด!!! ปี๊มๆ

     เสียงเบรกรถ เครื่องยนต์ และเสียงบีบแตรดังขึ้นที่หน้าบ้าน มาช้าแล้วยังจะกวนประสาทอีก

     ผมเดินสะพายกระเป๋าเป้ที่บรรจุหนังสือออกไปอย่างเชื่องช้า กะจะกวนมันกลับ ลืมบอกไปครับวันนี้ผมอยู่บ้านคนเดียว พ่อกับแม่ไปธุระตั้งแต่เช้ามืด นี่ก็เกือบสิบเอ็ดโมงแล้วล่ะ

     ‘เดินให้มันเร็วหน่อยดิ หนักตูดหรือไง’ ทีตัวเองมาช้าล่ะ ผมตอกมันกลับในใจ

     ‘เออ หนักตูด มาอุ้มหน่อยดิ’ ผมแกล้งกวนกลับ

     ปึง!

     มันลงมาจากรถพุ่งตรงมาหาผมที่กำลังล็อคประตูรั้วอยู่พร้อมทำท่าเหมือนจะอุ้มผมจริงๆ เล่นเอาใจผมร่วงไปอยู่ที่ตาตุ้มเลยครับ ตกใจน่ะครับไม่ใช่อะไร

     ‘เฮ้ย! เล่นอะไรเนี่ย’ ผมร้องออกมาเสียงดัง พร้อมกับผลักอกปาร์คอย่างแรงทันทีที่ตั้งตัวได้

     ‘ก็อยากให้อุ้มไม่ใช่เหรอ’ ปาร์คยักคิ้วเยาะเย้ยผมอย่างไม่สำนึก ไอ้บ้าเอ๊ย เล่นไรไม่รู้เรื่องเลย เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้าแล้วเอาไปบอกพ่อกับแม่ขึ้นมาทำไง

     ถึงผมจะคิดว่าพ่อและแม่รู้ว่าผมเป็นยังไง แต่ผมก็ไม่อยากให้ท่านต้องมานั่งคิดมาก และต้องเป็นกังวลว่าผมให้ผู้ชายมาหาแถมยังทำอะไรไม่ดีไม่งามยันบ้าน

     ‘ประชดเว้ย!’ ผมตะโกนใส่หน้ามัน แต่ด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก ก็คนมันตกใจนี่ ถึงผมจะแอบดีใจก็เถอะ แต่เล่นแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ เป็นใครก็ตกใจทั้งนั้นแหละ ‘จะไปกันยังอ่ะ เดี๋ยวก็ไม่ได้ติวพอดี’

     ‘ขึ้นรถสิ หรือจะต้องให้อุ้มขึ้นจริงๆ’ มันยังกวนผมไม่เลือก แถมยังทำท่าอุ้มเด็กล้อเลียนอีก

     ‘ไม่ต้อง!’ ผมรีบก้าวขึ้นรถทันที รถใหม่ของมันครับ เพิ่งออกใหม่มาไม่นานนี้เอง ป้ายแดง แต่ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้หรอก รู้แค่ว่ายี่ห้อ Mercedes Benz แต่ไม่รู้ว่ารุ่นอะไร รู้อย่างเดียวว่าราคาแพง!!

     วันนี้ปาร์คแต่งตัวธรรมดามากเลยครับ เสื้อยืดสีขาวมีลายสกรีนตัวหนังสือว่า ‘CLEAN’ กับกางเกงผ้าสีเข้มขาสั้นเท่าหัวเข่า พร้อมกับรองเท้าแตะคู่หนึ่ง มีแอคเซสเซอรี่อย่างเดียวคือนาฬิกาข้อมือ ซึ่งมันเคยบอกราคาเอาไว้ แต่ผมจำไม่ได้เหมือนกัน จำได้อย่างเดียวว่ามันแพง แม้จะแต่งตัวดูธรรมดาถึงธรรมดามาก แต่ไม่รู้สิ มันก็ยังดูดีในสายตาของผมอยู่ดี

     ‘ไปติวที่ไหนดีล่ะ’ ปาร์คเอ่ยถามขึ้นหลังจากขับออกมาจากบ้านผมได้สักพัก ผมนั่งเงียบมาตลอดทางเลย ไม่ได้โกรธมันหรอกนะ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรต่างหาก อยู่กับมันสองต่อสองแบบนี้ผมชอบประหม่า ทำอะไรไม่ถูก

     ‘แล้วแต่เลย’ ผมให้มันเลือกเลย เพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะไปติวที่ไหนดี

     ‘งั้นเข้าไปติวในม.ปาร์คแล้วกัน’ ปาร์คตัดสินใจเสร็จสรรพ ก่อนจะขับตรงไปยังมหา’ลัยที่ผมอยากเข้าที่สุดทันที มันเป็นรางบอกเหตุที่ดีหรือเปล่าเนี่ย

     ไปถึงมหา’ลัยที่ปาร์คจะเข้าไปใช้ชีวิตนักศึกษาในอนาคตก็ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ผมชักหิวข้าวแล้วสิครับ แต่ก็ไม่กล้าบอกมัน ยังไม่เริ่มติวเลย จะไปที่อื่นก่อนซะแล้ว เกรงใจมันอุตส่าห์ไปรับมาติวให้ เดี๋ยวเสียความตั้งใจของมันหมด

     ‘กินข้าวก่อนมั้ย’ ปาร์คหันมาถามขณะที่หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในมหา’ลัย

     ‘ปาร์คหิวป่ะล่ะ ถ้าหิวก็ไปกินก่อนก็ได้’ ผมเป็นเงี้ยแหละครับเวลาอยู่กันสองต่อสอง ประหม่าไปหมด ไม่ค่อยกล้าพูด แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าเพื่อนก็อีกเรื่องหนึ่ง มันจะไม่ค่อยเขิน (ถ้าไม่โดนแซว)

     ‘ก็หิวอ่ะ ยังไม่ได้กินอะไรเลย’ เข้าทางผมเลยครับ กำลังหิวพอดี

     เป็นอันว่าปาร์คต้องวนรถออกจากมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ก่อนที่เราสองคนจะมานั่งกันที่ร้านดังแถวมหา’ลัยนี้

     ผมกับปาร์คนั่งกินข้าวกันไปเรื่อยๆ ผมกินช้ามากๆ มัวแต่ละเมียดละไมอยู่ ก็มันเขินนิ ปาร์คนั่งอยู่ตรงข้ามก็ชอบเหลือบตามามองอยู่นั่นแหละ ทำตัวไม่ถูกเว้ย! สุดท้ายผมก็ต้องยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับความร้อนของอุณหภูมิร่างกาย

     ‘เดี๋ยว! กินน้ำแก้วปาร์คดีกว่า ขอบแก้วมันมีรอยร้าว ไม่รู้จะมีเศษแก้วร่วงลงไปในน้ำเปล่าไม่รู้ ไม่ปลอดภัย’ ปาร์คว่าพร้อมกับดึงแก้วน้ำที่ผมกำลังจะก้มลงไปดูดออก ก่อนจะเลื่อนแก้วตัวเองมาให้ ผมไม่ได้สังเกตจริงๆ นะว่าตรงขอบแก้วของตัวเองมันมีรอยแตกเล็กๆ อยู่ เพราะรอยมันไม่ใหญ่ ดูไม่ชัดเลยด้วยซ้ำ

     นี่แสดงว่าปาร์คก็เป็นห่วงผมอยู่เหมือนกันน่ะสิ คิดแล้วก็เขิน ได้ดูดน้ำหลอดเดียวกันด้วย ก็เหมือนได้จูบกันทางอ้อม ไม่รู้ว่าปาร์คสั่งน้ำอะไรมา แต่รู้ว่ามันหวานจัง

     ‘รีบกินข้าวให้หมดจะได้ไปติวกัน แล้วจะได้รีบไปดูหนังกันต่อ’ อะไรนะ ดูหนังงั้นเหรอ ปาร์คชวนผมไปดูหนังครับ เป็นครั้งแรกเลย ก่อนหน้านี้ผมเคยชวนหลายรอบ แต่ปาร์คไม่เคยไปด้วยเลยสักครั้ง แต่วันนี้ไม่รู้อะไรดลใจให้ปาร์คเอ่ยปากชวนผมเอง มีหรือครับที่ผมจะปฏิเสธ

     ‘ฟร๊องก์อิ่มแล้ว’ ผมบอกไปครับ ผมเป็นคนกินน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่เคยกินข้าวหมดจานเลยสักครั้ง ผมก็รู้สึกเสียดายนะสงสารชาวนาที่ปลูกข้าวเหมือนกัน แต่ก็ยัดเข้าไปไม่ไหวหรอก ท้องแตกพอดี

     ‘กินหรือดม กินแบบนี้ไงมันถึงได้ผอมแบบเนี่ย ไม่แมนเลย กล้ามไม่มี’ ใครจะเหมือนปาร์คล่ะ! เป็นนักกีฬานิ

     ‘ก็อิ่มแล้วจริงนี่ แล้วฟร๊องก์ไม่ได้ผอมแห้งขนาดนั้นสักหน่อย’ ผมแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ

     ‘อย่างนี้น่าจะพามาอยู่บ้านด้วยสักเดือน จะเลี้ยงให้อ้วนเลย’

     ‘มองฟร๊องก์เป็นตัวไรเนี่ย!’

     ‘ก็คนเนี่ยแหละ แต่ปาร์คจะเลี้ยงฟร๊องก์ให้อ้วนๆ จะได้มีเนื้อนิ่มๆ ไว้ให้กอด’ ปาร์คพูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า ปาร์คบอกจะกอดผม มันทำให้ผมคิดมากนะ แค่นี้ก็เพ้อจะแย่แล้ว ได้ยินแบบนี้ยิ่งเพ้อเข้าไปใหญ่

     ‘รีบไปติวเหอะ จะบ่ายโมงแล้ว’ ผมตัดบท เปลี่ยนเรื่องด้วยความเขินอาย
กินข้าวมื้อนี้ผมมีความสุขมากๆ ได้กินน้ำแก้วเดียวกับปาร์ค ได้รู้ว่าปาร์คก็เป็นห่วงผมอยู่เหมือนกัน แถมปาร์คยังบอกว่าอยากขุนผมให้อ้วนเพื่อเอาไว้กอดอีก โอ๊ย! อะไรจะมีความสุขขนาดนี้ ผมรู้สึกเลยว่าหัวใจผมพองโตมาก ถึงจะมีคำว่าเพื่อนค้ำคออยู่ แต่หัวใจมันชุ่มชื่นเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงอย่าห้ามไม่ได้

**********__________**********

     ปาร์คนั่งติวให้ผมไปเรื่อย แล้วก็เอาหนังสือของตัวเองมาให้ผมลองทำเป็นแบบฝึกหัด ตอนแรกผมทำไม่ค่อยได้หรอก มันยากอ่ะ แต่ปาร์คก็มีความพยายามสูงมาก พยายามสอนและอธิบายจนผมเข้าใจในที่สุด นอกจากจะอยากให้เป็นมากกว่าเพื่อนแล้ว ยังถือได้ว่ามันเป็นครูของผมคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

     เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว ตอนนี้ผมเข้าใจวิธีวิเคราะห์ข้อสอบแล้วแหละ ปาร์คให้ผมทำแบบฝึกหัดเยอะมาก พอผมเริ่มงอแงก็จะถูกดุทุกครั้ง จนในที่สุดก็ทำแบบฝึกหัดจนหมดหนังสือ และผมก็รู้สึกเหนื่อยแล้วด้วย

     ‘พอเข้าใจแล้วใช่ไหม ทำได้แล้วนิ’ ปาร์คว่าพลางหยิบขนมเข้าปาก ปาร์คแยกออกไปซื้อขนมมาตอนที่บอกให้ผมลองทำแบบฝึกหัด

     ‘อืม ก็พอได้แล้ว ก็เล่นให้ฟร๊องก์แบบฝึกหัดเยอะขนาดนี้’ ผมเงยหน้าขึ้นมามองปาร์คพลางยู่หน้าใส่อย่างหมั่นไส้

     ‘ก็ต้องฝึกเยอะๆ แบบนี้แหละ จะได้คุ้นเคย จะได้สอบได้คะแนนเยอะๆ ไง’ ปาร์คยิ้มก่อนจะยืนมือที่หยิบขนมกินมายีหัวผม

     ‘มือเลอะขนมแล้วมาเช็ดหัวฟร๊องก์อีก!’ ผมบริภาษเบาๆ ขณะที่ต้นเหตุได้แต่หัวเราะชอบใจอย่างไม่รู้สำนึก ก่อนที่มือใหญ่นั้นจะหยิบชิ้นขนมยื่นมาตรงหน้าของผม ผมทำหน้างงๆ แต่ก็อ้าปากงับ แต่แล้ว...

     ‘ฮ่าๆ อยากกินก็หยิบเองดิ’ ปาร์คหัวเราะร่า มันกวนผมได้ตลอดจริงๆ สินะ!

     ‘ไม่กินก็ได้วะ ชิ!’ ผมเชิดหน้าแกล้งงอนกลับ

     ‘โอ้ๆ ไม่ง้อนะ ฮ่าๆ’ ดูมันดิครับ ดูความกวนประสาทของมัน มันยังมีหน้ามาหัวเราะผมอีกนะ ถึงจะรู้สึกดีด้วย แต่บางทีที่โมโหผมก็อยากจะเอาเท้าลูบหน้ามันเหมือนกันนะ

     ‘เออ!’ ผมสบถใส่ ชิ! ง้อสักหน่อยก็ไม่ได้ ใช่สิ ผมมันไม่ใช่แฟนนิ ผมมันก็แค่เพื่อนคนหนึ่ง!

     ‘เก็บของได้แล้ว ไอ้เตี้ยขี้งอนเอ๊ย!’ ปาร์คพูดด้วยรอยยิ้มพลางเอื้อมมือข้างเดิมมาผลักหัวผมเบาๆ แต่แล้วมันเปื้อนไหมล่ะ! แต่นั่นก็ทำให้ผมแอบอมยิ้มนะ อาจจะไม่ง้อตรงๆ แต่ก็รู้ว่าปาร์คกำลังง้อผมอยู่ ‘พวกแบบฝึกหัดที่เหลือเอากลับไปทำบ้าน ปาร์คให้หนังสือไปเลย’

     ‘ปาร์คจะกลับแล้วเหรอ’ ผมหันหน้ากลับมามองปาร์คอีกครั้ง ยังไม่อยากกลับเลยอ่ะ อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้นานๆ

     ‘อะไรจำไม่ได้เหรอ ที่บอกว่าจะพาไปดูหนังอ่ะ อะไรวะ แค่นี้ก็ลืม’ เออจริงด้วย ปาร์คบอกว่าจะพาผมไปดูหนังนี่นา ดูหนังกับปาร์คสองคน แค่คิดก็เขินแล้ว

     ‘อ๋อ ลืมแค่นิดเดียวเอง ก็มันมึนๆ กับข้อสอบนิ’ ผมแก้ตัว

     ‘รีบเก็บของเข้า ได้รีบไป เดี๋ยวจะเย็นไปกว่านี้ ว่าแต่กลับบ้านดึกได้เปล่าเนี่ย’

     ‘คงได้แหละ พ่อกับแม่น่าจะกลับประมาณสองทุ่ม เดี๋ยวโทรบอกเขาไว้ก่อนก็ได้’

     ‘ไม่งั้นก็นอนคอนโดฯ ปาร์ค จะได้พาไปดูคอนโดฯ ใหม่ เพิ่งแต่งเสร็จสดๆ ร้อนๆ เลยนะ ฟร๊องก์จะเป็นคนแรกที่ได้เห็นเลยนะ’ น้ำเสียงเต็มใจนำเสนอมาก แต่ผมก็อยากเห็นนะ ยิ่งรู้ว่าจะได้เป็นคนแรกด้วย ยิ่งอยากเห็นเข้าไปใหญ่

     ‘คงนอนไม่ได้หรอก แต่อยากไปดูห้องนะว่าเป็นยังไง อยากรู้ว่ารสนิยมปาร์คจะดีขนาดไหน’ ผมพูดยิ้ม พร้อมกับก้มเก็บของไปด้วย

     ‘รสนิยมปาร์คดีมากเลยแหละ ถ้าฟร๊องก์เห็นนะ อึ้งแน่ๆ งั้นเดี๋ยวหลังดูหนังเสร็จจะพาไปดู’ ปาร์คพูดจบผมก็เก็บของใส่กระเป๋าเสร็จพอดี พร้อมไปด้วยกันต่อแล้ว เย้!

**********__________**********

     เกือบชั่วโมงต่อมาผมกับปาร์คก็มาอยู่ที่ห้างดังใกล้ๆ กับมหา’ลัยของปาร์ค ปาร์คกำลังยืนดูโปรแกรมหนังอยู่ ส่วนผมก็ยืนรออยู่ด้านหลัง ผมดูเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ได้ดูกับปาร์คสองคนก็มีความสุขมากๆ แล้ว

     ‘สรุปเอาเรื่อง...’ ปาร์คหันกลับมาบอกผม แต่เรื่องนั้นมันเป็นหนังผีไม่ใช่เหรอ ผมน่ะกลัวผีจนขี้ขึ้นสมอง

     ‘เอ่อ... นั่นมันหนังผีไม่ใช่เหรอ’

     ‘อืม ก็มันไม่มีอะไรน่าดูอ่ะ ดูเนี่ยแหละ สนุก เร้าใจดี’ เมื่อตัดสินใจได้ ปาร์คก็เดินนำผมไปซื้อตั๋วทันที ก่อนจะเดินไปซื้อน้ำและป๊อปคอร์น ทั้งผมและปาร์คอ่ะไม่ได้อยากกินหรอก แต่คนตัวใหญ่อีกคนเนี่ยสิ อยากได้แก้วที่เป็นเซ็ตป๊อปคอร์นพร้อมน้ำ ถึงจะเป็นแก้วเจ้าปัญหานั่น สรุปก็เลยต้องซื้อทั้งเซ็ตนั้นมา

     และแล้วปาร์คกับผมก็เข้าไปดูหนังจนจบครับ ครั้งนี้ปาร์คเลี้ยงผมทั้งตั๋วหนังและเซ็ตป๊อปคอร์น ฮั่นแน่! อยากรู้ล่ะสิว่าในโรงหนังเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับปาร์คบ้าง ผมจะเล่าคร่าวๆ ให้ได้รู้กันก็ได้ แต่ขอบอกก่อนนะว่าคร่าวๆ จะให้เล่าหมด ผมก็อายเป็นนะ

     จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกครับ พอเข้าไปในโรงหนังตอนแรกผมก็จัดการเก็บขาตัวเองขึ้นมาไว้บนเบาะพร้อมเอี้ยวตัวไปทางปาร์คเล็กน้อยเลยครับ ก็คนมันกลัวนี่ ส่วนปาร์คก็มองตามการกระทำของผมแล้วก็ขำเยาะเย้ยเบาแบบที่ได้ยินกันแค่สองคน ก็คนมันกลัว ผิดด้วยรึไงเล่า!

     เราสองคนนั่งติดกันมากๆ ปาร์คซื้อตั๋วที่นั่งที่โซฟาแบบสวีตที่ไม่มีที่กั้นตรงกลาง ทำให้ไม่มีอะไรมากั้นระหว่างผมกับปาร์คเลย ศีรษะของผมอยู่ใกล้กับไหล่ของปาร์คมากๆ แทบจะเรียกว่าเหมือนผมกำลังซบไหล่ดูหนังอยู่เลยแหละ แต่พอถึงฉากผีออกมาเมื่อไหร่ ผมก้มหน้าติดไหล่ปาร์คแน่นเลยแหละครับ ส่วนเจ้าตัวก็แอบหัวเราะผมแทบทุกครั้ง รวมทั้งในบางครั้งก็จะวาดแขนมาโอบผมเป็นเชิงปลอบขวัญอีกด้วย ตอนซบลงไปไหล่กว้างๆ นั้นผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของปาร์ค มันทำให้สมองผมเบลอไปหมดเลยครับ ไม่ใช่เหม็นนะ แต่มันดูมีเสน่ห์มากเลยต่างหาก ผมนั่งดูอย่างนี้อยู่แทบทั้งเรื่อง ถ้าตั๋วราคาหลายร้อยบาท ผมคงได้ดูไม่ถึงห้าสิบหรอก แต่ก็ถือว่าได้กำไรอยู่นะ ได้ใกล้ชิดปาร์คขนาดนี้

     ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอกครับ อย่าลืมว่าเราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน หลังจากภาพยนตร์ที่ผมดูไม่รู้เรื่องเลยนั้นจบ ปาร์คก็พาผมไปดูคอนโดฯ ตามที่สัญญาเอาไว้ คอนโดฯ ของมันอยู่เลยออกมาจากมหา’ลัยมันพอสมควรครับ แต่ไม่ไกลมาก ขับรถได้ค่อนข้างสะดวก เพราะแค่ขึ้นทางด่วนก็สามารถไปถึงมหา’ลัยได้เลย มันเลือกทำเลซื้อคอนโดฯ ดีมากเลยแหละ

     ส่วนห้องมันก็ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น ผนังห้องถูกติดด้วยวอลเปเปอร์สีเขียวอ่อนดูผ่อนคลาย ส่วนเฟอร์นิเจอร์ก็จะมีรูปทรงแปลกตาไม่เหมือนใคร ส่วนมากจะเป็นโทนสีขาว ดำและเทา ให้ความรู้สึกของความเป็นผู้ชาย แต่ดูสดใสด้วยผนังสีเขียวอ่อน ห้องจึงดูเป็นธรรมชาติ โซฟาสีเทาวางอยู่ที่ห้องนั่งเล่นและมีไว้รับแขก เข้าชุดกันดีกับโต๊ะรับแขกสีขาวสูงประมาณหนึ่งฟุตครึ่ง ด้านหน้าเป็นทีวีจอเอลซีดีขนาดใหญ่ติดอยู่บนผนัง มีมุมเล็กๆ จัดไว้เป็นครัว มีมินิบาร์กั้นแบ่งเป็นห้องอาหาร พร้อมกับโต๊ะอาหารขนาดปานกลางอยู่ด้านหน้าครัวนั้น

     คอนโดฯ ของปาร์คมีห้องนอนสองห้อง และห้องน้ำสองห้อง คือห้องน้ำด้านนอก และห้องน้ำในห้องนอนอีกห้องหนึ่ง ห้องนอนห้องแรกผมเดาว่าน่าจะมีไว้รับแขก ปาร์คน่าจะทำเผื่อไว้เผื่อเวลามีเพื่อนหรือใครมานอน ห้องนี้ถูกจัดอย่างเรียบง่ายแต่ก็มีของต่างๆ วางรกอยู่เหมือนกัน เลยกลายเป็นว่าเหมือนเป็นห้องเก็บของเสียมากกว่า ส่วนอีกห้องมีขนาดใหญ่กว่าพอสมควรและมีห้องน้ำในตัว ถูกจัดแต่งให้ดูโปร่ง ประตูกระจกกั้นระหว่างตัวห้องกับระเบียง ถูกประดับไว้ด้วยผ้าม่านยาวจรดพื้นสีเทา เตียงสีขาวบริสุทธิ์มีผ้าห่มสีขาวคาดดำเป็นลายดูสะอาดตาปูทับอยู่ ในห้องนี้ยังมีทีวีติดผนังไว้ด้วยเช่นกัน แต่เป็นขนาดจอเล็กกว่าด้านนอก

     ห้องน้ำด้านนอกถูกตกแต่งด้วยพื้นกระเบื้องลายแปลกตา พร้อมกับสุขภัณฑ์ที่ดูมีสไตล์ไม่เหมือนใครเช่นกัน แต่พอผมได้เห็นห้องน้ำในห้องนอนของปาร์คเท่านั้นแหละ ผมนี่ยืนอึ้งไปเลย ผมสงสัยมากว่าจะมีประตูไว้ทำไม ในเมื่อประตูที่ปิดห้องน้ำนั้นเป็นกระจก ถึงจะไม่ใช่กระจกใสก็เถอะ แต่เวลาอาบน้ำก็สามารถมองเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจนอยู่ดี ลองนึกภาพกระจกที่มันจะสะท้อนเงาคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงเราจะไม่เห็นหน้าตา แต่เราจะเห็นทรวดทรงได้ชัดเจน แบบนั้นเลยครับ ส่วนด้านในพื้นถูกปูด้วยกระเบื้องแบบก้อนหินมน ออกแนวรักษ์ธรรมชาตินะครับ สัมผัสธรรมชาติแบบไม่มีปกปิดจริง
 
     และสิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ในการได้มาเห็นคอนโดฯ ปาร์คครั้งนี้ ก็คือ ผมได้เห็นว่าของขวัญทุกอย่างที่ผมเคยให้ปาร์คเอาไว้ ไม่เว้นแม้กระทั่งกล่อง กระดาษห่อของขวัญ หรือแม้แต่ริปบิ้น ปาร์คได้เก็บมันไว้เป็นอย่างดี เมื่อผมเห็นผมก็ยิ้มออก ส่วนปาร์คก็ยิ้มพร้อมยักคิ้วให้แบบกวนๆ เหมือนจะบอกให้ผมชื่นชมในสิ่งที่เขาทำ

     ‘จำได้ใช่ไหมว่าของใคร’

     ‘จำไม่ได้ก็บ้าล่ะ ให้เองกับมือทุกอัน’ ผมตอบพลางยิ้มอย่างเขินอาย รู้สึกว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้ามากเป็นพิเศษจนมันร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า ตลอดจนใบหู

     ‘ขอบคุณนะ ปาร์คจะเก็บรักษามันไว้อย่างดีตลอดไป’ ปาร์คเอื้อมมือมาโยกศีรษะผมเล่นเบาๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ทำให้ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้
 
     ‘ขอบคุณเช่นกันนะที่เก็บของพวกนี้อย่างดี แล้วก็... ขอบคุณสำหรับวันนี้ด้วยนะ’

     ‘ยินดีเสมอ’ ใบหน้าของปาร์คยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ชวนให้หัวใจของผมทำงานหนักขึ้นทุกครั้งที่ได้มอง

     หลังจากที่ผมสำรวจคอนโดฯ ของปาร์คเรียบร้อย ปาร์คก็ออกมาส่งผมที่บ้าน แต่ก่อนหน้าที่ผมจะถึงบ้าน เราทั้งคู่ก็แวะกินข้าวเย็นกันก่อน ผมกลับถึงบ้านก็สี่ทุ่มกว่าน่ะครับ แต่ผมก็รู้สึกดีนะ วันนี้คือวันดีวันหนึ่งของผมเลย ผมได้ใช้เวลาอยู่กับปาร์คสองต่อสองตลอดทั้งวัน และมันเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม ผมก็หวังว่าวันนี้ปาร์คเองก็จะมีความสุขไม่ต่างกัน เพราะสำหรับผมนั้นคงไม่มีวันลืมวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตอย่างวันนี้แน่นอน


à suivre...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2017 22:35:05 โดย PorschePor »

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 3 [27/4/2017]
«ตอบ #7 เมื่อ27-04-2017 19:46:25 »

Chapitre 3

     หลังจากส่งโดนัทเป็นคนสุดท้าย เก็ทก็ขับรถมุ่งหน้าไปส่งผมที่หอ ตอนนี้เกือบห้าทุ่มครึ่งแล้วครับ ช่วงนี้ถนนไม่ค่อยมีรถมากเท่าตอนหัวค่ำแล้ว เก็ทจึงค่อนข้างใช้ความเร็วได้เต็มที่

     ติ๊ด! ติ๊ด!

     เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นขณะที่เก็ทหักพวงมาลัยเข้ามาในซอยที่หอผมตั้งอยู่

     ไม่ต้องเดาเลยว่าใคร เวลาแบบนี้มีคนเดียวแหละครับ อย่างที่ทุกคนรู้กัน ปาร์คนั่นเองแหละครับ จะรอให้ถึงหอก่อนค่อยโทรฯ มาก็ไม่ได้

     “ฮัลโหลๆๆ” ผมหยิบลูกแอ๊บเปิ้ลทรงแบนที่สามารถสื่อสารได้ขึ้นมากดรับสาย พร้อมกับกรอกเสียงไปด้วยน้ำเสียงกวนๆ

     [ฮัลเหลๆๆๆๆ] ดูมันครับ กวนไปก็กวนกลับ ไม่มียอมกันเลย

     “ว่าไง”

     [อยู่ไหนเนี่ย เหมือนมีเสียงเครื่องยนต์รถเลย] หูโคตรดีเลย ขนาดเสียงเครื่องยนต์รถเก็ทเบามากแล้วนะ มันยังอุตส่าห์ได้ยินอีก หูดีเหมือน...

     “ก็อยู่บนรถ” ผมตอบกลับไปห้วนๆ

     [รถใคร]

     “รถเพื่อนอ่ะดิ หรือจะให้บอกว่ารถแฟนดีอ่ะ มีแฟนมาส่งถึงหออะไรแบบนี้” ผมพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงกวนเล็กน้อย พลางหันมองเก็ทที่กำลังมองผมตาเขียว ก็ดันไปบอกว่ามันเป็นแฟนนี่ครับ ฮ่าๆ
     [อ๋อ ฮอตเนอะ มีฟงมีแฟนมาส่งด้วย ไปไหนกันมาล่ะ ถึงได้กลับดึกดื่นขนาดนี้ เสร็จไปกี่ยกล่ะ] ไอ้นี่ก็บ้าจี้ตาม แล้วดูน้ำเสียงมัน โคตรประชดประชันเลย มันพูดแบบนี้ มันทำให้ผมคิดนะครับว่ามันกำลังหึงหวงผมอยู่ แต่ก็รู้แหละครับว่ามันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น อาจจะแค่กวนประสาทผมเล่น หรือไม่ก็แกล้งล้อเลียนแค่นั้นแหละ

     “ก็นิดหน่อย” ผมก็เล่นไม่เลิกครับ อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะพูดกับผมว่าอะไร

     [พ่อแม่ส่งมาเรียนนะฟร๊องก์ ไม่ใช่มาหา...] มันพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ผมก็พอเดาได้แหละครับ แต่ก็ไม่แน่ใจ

     “หาอะไรมิทราบ” ผมยังคงยียวนต่อไปเรื่อยๆ แกล้งมันก็สนุกดี นานๆ ทีจะได้แกล้งมันแบบนี้ ส่วนมากมันจะรู้ทันผมตลอด หรือไม่ก็จะแก้เกมเป็นฝ่ายกลับมาแกล้งผมแทน เรื่องคิดแผน วางแผน ทำแผนซ้อนแผนเนี่ย มันถนัดนัก!

     [ไม่บอก! แล้วเมื่อไหร่จะถึงหอ] แล้วมันก็เปลี่ยนเรื่องไปเลยครับ กวนจริงๆ

     “ถึงพอดีเลยเนี่ย ไปก่อนนะที่รัก” ผมแกล้งหันไปพูดกับเก็ท จนมันยกกำปั้นมาขู่ผมเลย อะไรอ่ะเล่นแค่นี้ก็ไม่ได้

     [ไปก่อนนะที่รัก (ดัดเสียงสุดฤทธิ์) จะอ้วกว่ะ] ไม่อยากจะบอกว่าเสียงตอนที่มันพูดเนี่ย ดัดจริตมาก

     “ท้องหรอก น่าเสียดาย ฟร๊องก์ยังไม่ได้ทำไรปาร์คเลย” ผมกวนมันต่อหลังจากที่ลงมาจากรถเก็ทเรียบร้อยแล้ว รถเก็ทค่อยๆ เคลื่อนออกไปช้า ผมเองก็โบกมือลาให้ในระหว่างที่อีกมือถือโทรศัพท์แนบหูอยู่

     [พอได้และ เล่นมากไปและ!] เอ้า! บทจะจบก็จบซะงั้น แถมยังกระแทกเสียงใส่อีกต่างหาก

     “ใครเริ่มก่อนล่ะ ถามหน่อย” ผมตอบไปเสียงเข้ม ผมไม่ผิด กวนผมก่อนเองทำไม ถึงจะรักก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมง่ายๆ หรอกนะ!

     [ฟร๊องก์!] ดูมัน!

     “กล้าพูดเนอะ!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

     [เออๆ ปาร์คผิดเอง จบป่ะ] น้ำเสียงโคตรจะพอใจเลย [แล้วไปไหนมาเนี่ย ทำไมกลับดึก]

“ไปกินข้าว ดูหนังแล้วก็ร้องคาราโอเกะ”

     [สบายจริงๆ] ประชดผมหรือเปล่า

     “แน่น๊อน!” พูดด้วยเสียงสูง “เออ วันนี้เจอเนสกับพัดด้วย”

     [อืม เป็นไงบ้างล่ะ หวานกันเหมือนเดิม]

     “ใช่ๆ เห็นแล้วอิจฉาเลย น่ารักดีนะฟร๊องก์ว่า” ผมว่าพลางยิ้ม เมื่อนึกถึงภาพเนสและพัด ผมอยากให้ผมกับปาร์คเป็นแบบนั้นบ้าง ฮ่าๆ

     [น่าอิจฉาสองคนนั้นเนอะ ปาร์คอยากมีแบบนี้มั้งจัง]

     “ฟร๊องก์ก็อยู่นี่แล้วไงปาร์ค มองข้ามไปไหนล่ะ” หยอดกลับไปสักหน่อยครับ ขำๆ

     [เออเนอะ ลืมฟร๊องก์ไปได้ไง ถุยยย... เอามากระทืบอ่ะดิ] ชิ! ใช่สิกูมันก็แค่เพื่อน!

     “เลว! แต่เดี๋ยวนี้ไม่เจอปาร์คเลย” จริงๆ ครับ ผมกับมันไม่เจอกันนานแล้ว หลายเดือนแล้วแหละครับ ได้แต่โทรศัพท์คุย ได้ยินเสียง แต่ไม่เห็นหน้า บางทีก็เหงานะครับ

     [ก็ตั้งแต่ฟร๊องก์ไปอยู่หอนั่นแหละ เลยไม่ได้เจอกัน บอกแล้วว่าจะไปอยู่ทำไม] ซะงั้นครับ มันผิดเพราะผมมาอยู่หอใช่ไหมเนี่ย

     “เอ้า! ปาร์คมีรถนิ ขับมาหาได้นิ ไม่ได้ไกลกันสักเท่าไหร่เลย แต่ก็อย่างว่าแหละ ปาร์คจะมาหาฟร๊องก์ทำไม” ผมพูดอย่างน้อยใจ ก็จริงแหละครับ มันจะมาหาผมทำไม ธุระอะไรก็ไม่มี แค่มันโทรฯ มาทุกวันๆ ก็ดีแค่ไหนแล้ว

     [น้อยใจเหรอ ปาร์คก็โทรมาหาฟร๊องก์แทนอยู่ทุกวันนี่ไง] วันนี้ผมเป็นอะไรของผมเนี่ย ตอนแรกๆ ก็กวนมันอยู่ แล้วทำไมตอนนี้กลับรู้สึกน้อยใจขึ้นมาซะงั้น หรือเพราะผมได้เห็นคู่เนสกับพัดสวีทหวานกัน เลยรู้สึกว่าอยากให้ผมกับปาร์คเป็นแบบนั้นมั้ง

     “เปล่า ไม่ได้น้อยใจสักหน่อย ก็แค่บอกว่าไม่ได้เจอเลย ไม่ได้อะไรสักหน่อย” ผมบอกปัดๆ ไม่อยากให้มันต้องมานั่งคิดมาก เพราะผมบอกมันเองนี่ครับว่าเป็นเพื่อนกันแบบนี้ก็พอใจแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นแฟนหรอก

     [ไว้ว่างๆ จะไปหาแล้วกัน จะไปนอนด้วยที่หอเลย ดีป่ะ] อย่าพูดให้กูดีใจเล่นได้ไหม รู้ไหมว่ากูคิดจริง และจะรอมึงจริงๆ

     “พูดงี้ทุกทีอ่ะ”

     [จริงๆ เปิดห้องรอไว้เลย] เปิดห้องรอ? ทำอะไร???

     “พูดมีเลศนัยแบบนี้ฟร๊องก์คิดลึกนะ”

     [เดี๋ยวจะเล่นให้เหนื่อยจนไปเรียนไม่ไหวเลยค่อยดู ฮ่าๆ] ก็เล่นต่อเนอะ เนี่ยแหละครับ เสน่ห์ของมัน มันเป็นคนขี้เล่น เล่นมากจนบางครั้งก็รู้สึกว่ามากเกินไป แต่ผมก็ยังชอบนะ

     “ขนาดนั้นเชียว” ผมถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาทกลับไป

     [แน่นอน!]

     แล้วผมกับปาร์คก็คุยกันไปเรื่อยๆ จนเกือบชั่วโมงครึ่ง ปาร์คก็วางสายไป ผมจะมีความสุขทุกวันก่อนนอน ถึงได้ยินแค่เสียงผมก็มีความสุขแล้ว เพราะผมรู้ว่าจะให้มันมาหาผมบ่อยๆ คงเป็นไปไม่ได้ ส่วนมากก็จะมีแต่ผมที่ไปหามันมากกว่า

     บางทีผมก็รู้สึกเหงาๆ เหมือนกันนะ ผมมักชอบเข้าไปแอบดูเฟซบุ๊กของปาร์คอยู่เสมอ แต่ไม่ได้โพสต์หรือแชทอะไร ได้แต่นั่งอ่านนั่งดูคนมาคอมเม้นต์ มากดไลค์เยอะแยะนั้น อย่างที่บอกว่ายอดคนติดตามปาร์คในเฟซบุ๊กถือว่าไม่น้อยเลยแหละครับ หรือไม่ก็ถามข่าวคราวจากเพื่อนๆ ที่อยู่มหา’ลัยเดียวกับมัน ผมมีเพื่อนสนิทชื่อแคมป์ ที่เป็นเกย์เหมือนกันเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับปาร์ค ผมมักจะถามข่าวคราวกับแคมป์เป็นประจำ (มันรู้ครับว่าผมชอบปาร์ค ไม่ใช่แค่มัน เพื่อนทั้งห้อง  เพื่อนต่างห้อง รวมทั้งครูและรุ่นน้องบางคนก็รู้ครับ ผมไม่ปกปิด แต่ก็ไม่ได้เปิดเผย ส่วนปาร์คเองก็ไม่ได้อะไร) ก็มักจะได้ข่าวที่ผมฟังแล้วรู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจทุกครั้ง

     อย่างเช่นเรื่องที่ปาร์คกำลังคบอยู่กับผู้หญิงต่างสาขาที่อยู่คณะเดียวกันบ้าง ปาร์คชอบไปกินข้าว หรือไปไหนมาไหนกับรุ่นพี่ รุ่นน้องต่างคณะ บลาๆ ผมไม่รู้หรอกครับว่าเรื่องพวกนี้มันจริงหรือเปล่า แต่ผมก็หาเหตุผลที่ว่าแคมป์จะหลอกหรือกุเรื่องให้ผมเชื่อขึ้นมาเองไม่ได้ ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่มันก็เสียดแทงหัวใจผมให้เจ็บได้เหมือนกัน

     ส่วนเรื่องเฟซบุ๊ก ผมไม่ค่อยแชทหรือโพสต์หามันเท่าไหร่ เพราะมันไม่ค่อยตอบผม แปลกเหมือนนะครับ โทรมาหาผมทุกคืน แต่เวลาคุยกันทางเฟซบุ๊ก ไลน์หรืออื่นๆ มันกลับไม่ค่อยคุยกับผมเลย ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากคิดมาก ผมมักบอกตัวเองเสมอว่ามันคงไม่ว่าง คงกำลังเล่นเกม หรือไม่ก็ออนไลน์ทิ้งเอาไว้ หรือถ้าเป็นโพสต์ที่มันไม่ตอบก็เพราะจะมาคุยกันในโทรศัพท์แทน พยายามคิดเข้าข้างตัวเองเข้าไว้

     บางทีผมก็เหนื่อยเหมือนกันนะ กับการวิ่งตามหัวใจของตัวเอง คุณเคยไหมล่ะ การที่ได้แต่เฝ้ามองใครสักคนที่คุณรัก ทั้งที่เขาไม่ได้อยู่ไกลจากเราเลย แต่คุณกลับคว้าตัวเขาไว้ไม่ได้สักที คุณได้แต่ไล่ตามเขาไปเรื่อยๆ โดยที่เขาแทบจะไม่หันมามองคุณเลย เขาเพียงแค่หันกลับมาให้อาหารและน้ำตอนที่เหนื่อย แล้วก็ให้เราวิ่งตามต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีหยุดพัก แม้ตัวคุณเองจะเหนื่อยแค่ไหน แต่คุณก็จะไม่อยากหยุด เพราะทุกครั้งที่คุณเหนื่อย เขาจะมองกลับมาและให้กำลังใจกับคุณเสมอ และเมื่อใดที่คุณหยุด ก็เท่ากับคุณแพ้ให้กับหัวใจที่คุณไล่ตามมันมาแสนนาน

     พูดถึงเรื่องเฟซบุ๊กขึ้นมา ที่ผมไม่อยากโพสต์อะไรมากเพราะมันเคยมีเรื่องมีราวมาก่อน มันเคยเกิดเรื่องๆ หนึ่งที่ทำให้ผมไม่พอใจพี่ชายของปาร์คขึ้นมา ผมลืมบอกไปครับ ปาร์คไม่ใช่ลูกคนเดียว มันมีพี่อีกคน ชื่อปอนด์ พี่เขาเป็นเกย์ครับ ผมไม่เคยเจอตัวจริงหรอก แล้วก็ไม่อยากจะเจอด้วย ทำไมน่ะเหรอ เรื่องมันมีอยู่ว่า

**********__________**********

   ย้อนกลับไปเมื่อตอนผมอยู่ปีหนึ่ง ระบุวันและเวลาที่แน่นอนไม่ได้...
 
   วันนี้ผมมีนัดที่เพื่อนสมัยมัธยมมาเจอกันครับ ง่ายๆ คือนัดไปเจอกันที่โรงเรียน เพราะที่โรงเรียนกำลังจัดกีฬาสีวันสุดท้ายอยู่ครับ พวกผมเลยไปดูการแสดงและการเชียร์ของพวกน้องๆ เขาหน่อย เพื่อนๆ ก็ไปกันไม่เยอะเท่าไรหรอกครับ เพราะไม่ได้บังคับ ใครว่างมาได้ก็มา ก็มีกลุ่มของผมบางคนรวมทั้งผม แล้วก็กลุ่มปาร์ค และกลุ่มก้อยบางส่วน มีแค่เนี้ยแหละครับ
 
   พวกผมก็เจอกันต่างแต่ช่วงสายๆ เกือบๆ เที่ยงวันน่ะครับ แต่รอจนเพื่อนมากันครบก็ตกบ่ายสามโมงเย็น พวกผมก็นั่งรอไป คุยเล่น แกล้งกัน ถ่ายรูปกันบ้างเพื่อรอให้มากันครบ พอเพื่อนมากันครบ ก็นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนโรงเรียนเลิกเรียน งานกีฬาเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย จะว่าไปพวกผมไม่ได้สนใจกีฬาสีนั่นกันเท่าไรหรอกครับ มัวแต่นั่งคุย ก็คนไม่ค่อยได้เจอกันนี่เนอะ เจอกันที่ก็คุยกันยาวเป็นธรรมดา ถึงเวลานี่พวกผมก็ได้เวลาลาจากโรงเรียนที่แสนรักนี้เหมือนกัน พวกผมทุกคนมุ่งหน้าไปยังร้านหมูกระทะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก แต่ก็หลายป้ายรถเมล์อยู่ ใครมีรถก็ขับพาเพื่อนบางส่วนไป ส่วนคนที่เหลือๆ ก็ต้องนั่งรถเมล์ตามไปสมทบ แน่นอนว่าผมได้อานิสงส์ติดสอยห้อยตามไปกับปาร์ค
 
   แต่กว่าผมและเพื่อนคนอื่นๆ ที่จะรอไปพร้อมมันจะได้ออกจากโรงเรียนก็ล่อไปเกือบหกโมงเย็น เพราะมัวแต่นั่งรอมันเล่นบาสเก็ตบอลดวลกับรุ่นน้องที่มันสนิทๆ อยู่ ก็มีมันกับเนสเล่นกันสองคน ส่วนผมและเพื่อนอีกสองคนก็นั่งรอมันไปตามระเบียบ
 
   จากนั้นพวกผมก็ไปรวมตัวกันที่ร้านหมูกระทะที่ว่านั่นอีกครั้ง ต่อโต๊ะยาวมากๆ และที่สำคัญ เสียงดังมากครับ ฮ่าๆ เป็นปกติธรรมดาของพวกผมที่เวลาไปไหนมักจะเสียงดัง โดยเฉพาะกลุ่มผม ดังแบบไม่แคร์สื่อใดๆ ทั้งสิ้น
 
   ผมไม่ได้นั่งติดกับปาร์คหรอกครับ มีเพื่อนคนอื่นๆ มานั่งคั้นอีกสองคน ส่วนมากทุกคนจะไม่ได้สนใจการกินเท่าไร จะมุ่งเน้นอยู่แต่กับการพูดคุยและถ่ายรูปมากกว่า ก็บอกแล้วว่านานๆ เจอที ก็ต้องเต็มที่กันหน่อย ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก โดยเฉพาะผม แคมป์และแซนด์ เพื่อนผู้หญิงอีกคนในกลุ่มที่มันอุตส่าห์กลับมาจากบางแสนเพื่อการนี้ สองคนนี้ผมค่อนข้างสนิทมากกว่าคนอื่นๆ เป็นเพื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยและมีอะไรจะช่วยกันตลอด
 
   ผมนั่งกิน นั่งถ่ายรูป สนุกๆ กันไปอยู่สักพัก ปาร์คก็บอกเพื่อนๆ ว่าจะขอตัวกลับก่อน มีธุระ มันจะกลับพร้อมกับ  วิชญ์ครับ สองคนนี้ก็สนิทกันพอสมควร แต่ยอมรับว่าผมรู้สึกไม่ดีเท่าไร เวลาปาร์คไปไหนมาไหนกับวิชญ์สองคน เพราะผมกับแคมป์รู้สึกว่าวิชญ์จะเป็นเกย์ด้วยเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมไม่อยากคิดมากครับ ไม่อยากมองปาร์คไม่ดีด้วย
 
   พอได้ยินว่าปาร์คใกล้จะกลับ ผมก็เลยเข้าไปขอถ่ายรูปกับมัน ก็ตั้งแต่เจอกัน ผมยังไม่ได้ถ่ายรูปกับมันเลย มัวแต่ถ่ายกับคนอื่นรอบโต๊ะแล้ว เหลือแต่มัน ผมเป็นอย่างงี้แหละครับ ไม่ค่อยกล้าขอมันถ่าย เพราะรู้ว่ามันเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูป แต่นานๆ จะเจอกันทีแบบนี้ผมต้องขอถ่ายด้วยครับ ไม่งั้นเสียดายแย่ ผมอยากเก็บทุกช่วงเวลาไว้เป็นความทรงจำระหว่างผมกับมัน
 
   เวลามันอยู่ต่อหน้าคนอื่นมันจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกเหมือนเวลามันคุยกับผมในโทรศัพท์ บางครั้งก็ทำให้ผมไม่มั่นใจว่าแบบไหนคือตัวตนที่แท้จริงของมันกันแน่ เพราะเวลาอยู่กับคนอื่นๆ มันแทบจะไม่สนใจผมเลยด้วยซ้ำ นานๆ ทีจะมาคุยหรือเล่นด้วย มันยังเล่นกับแคมป์มากกว่าผมเลยครับ แต่ผมก็ไม่อะไรหรอก แค่ได้เห็น ได้เจอมันก็พอใจแล้ว
 
   ‘ปาร์ค ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยดิ’ ผมเดินเข้าไปบอกมันตอนที่มันกำลังจะกลับ ก่อนจะส่งโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้เครื่องใหม่เยี่ยมที่เพิ่งถอยออกมาไม่นานให้เพื่อน
 
   ‘เอาดิ’ แล้วผมก็เริ่มถ่ายรูปกับมันครับ ค่อนข้างหลายรูปอยู่เหมือนกัน จนเพื่อนส่งโทรศัพท์คืนมา ปาร์คก็หยิบมาแล้วกดเปลี่ยนเป็นโหมดกล้องหน้าแล้วตัวเองเป็นคนกดถ่ายเองครับ
 
   ‘...’ ผมไม่พูดอะไรเมื่อปาร์คส่งโทรศัพท์คืนมาให้ผม ไม่รู้จะพูดอะไรครับ มันเขิน สมองมันตึบๆ ไปหมด
 
   ‘กลับแล้วนะ ไว้เจอกันใหม่ ไอ้เตี้ย!’ มันแซวผมทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มเอาไว้อีกหนึ่งดอกพลางเอามือมายีหัวผมอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่ปาร์คจะหันหลังเดินจากไป
 
   ‘อืม ไว้เจอกัน’ ผมโบกมือลามันพร้อมวิชญ์ที่เดินตามหลังมันไป

   และในที่สุดทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้านกัน ผมกลับมาถึงบ้านก็ตกสี่ทุ่มแล้วครับ มาราธอนมากๆ แต่ก็เป็นวันที่สนุกและมีความสุขมากๆ อีกวันหนึ่ง ได้เจอเพื่อนๆ ที่แทบไม่ได้มีเวลาเจอกัน ผมนั่งเปิดดูรูปในโทรศัพท์มือถือไปเรื่อยๆ จนมาถึงเซตรูปที่ผมถ่ายคู่กับปาร์ค รูปแรกๆ ที่เพื่อนถ่ายให้ก็รู้สึกดีแล้ว แต่รูปที่ผมชอบที่สุดคงไม่พ้นรูปที่ปาร์คเป็นคนถ่ายเอาไว้เอง

   รูปนี้หน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันมาก เรียกได้ว่าติดกันเลยด้วยซ้ำ แต่หน้าปาร์คจะอยู่เหนือหน้าของผมอยู่นิดหน่อย ผมว่ารูปนี้ปาร์คดูดีมากครับ หล่อเข้ม ดวงตาคมคู่นั้นดูเป็นประกาย มีการอมยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ส่วนผมเหรอครับ ก็ ยิ้ม... ยิ้มแบบเขินๆ แต่ก็ยังดูดี (ชมตัวเองนิดหนึ่ง) ผมอัพโหลดลงในเฟซบุ๊กทันทีครับแล้วก็ไม่ลืมติดแท็กด้วย แต่ไม่ได้อัพโหลดรูปเดียวนะ ผมอัพรูปเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็ด้วยเหมือนกัน เพื่อความเนียน มันมีรูปอื่นๆ ที่มีปาร์คติดมาด้วย ผมก็ติดแท็กไปด้วยเช่นกันจะได้ไม่เป็นที่สังเกต

   แต่วันรุ่งขึ้น รูปถ่ายคู่ของผมกับปาร์คกลับกลายเป็นปัญหาขึ้นมาซะงั้น เมื่อพี่ปอนด์ พี่ชายของปาร์คเข้ามาคอมเม้นต์ใต้ภาพว่า
 
   ‘เป็นอะไรกับน้องชั้น มายุ่งกับปาร์คทำไม’
 
   ตอนนั้นผมเดาอารมณ์ของประโยคดังกลาวไม่ถูกเลย ว่าพี่เขาแซวเล่นๆ หรือเอาจริง แต่ผมก็ทำใจดีสู้เสือ ตอบกลับไปว่า
 
   ‘เป็นเพื่อนกันครับ เพื่อนกันถ่ายรูปด้วยกันไม่ได้หรอครับ’
 
   มันจะว่ากวน ก็กวนนะครับ แต่ก็เป็นเพื่อนกันจริงๆ นี่ แม้ว่าผมจะคิดไม่ซื่อกับปาร์คก็เถอะ แต่ในรูปก็ไม่ได้มีอะไรเกินเลยกว่าคำว่าเพื่อนเลย แต่ผมก็เดาไว้ไม่ผิดหรอกครับว่าพี่ปอนด์จะต้องมาตอบกลับ
 
   ‘ให้จริงอย่างที่ว่าแล้วกัน อย่าคิดว่าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่’
 
   ‘ผมรู้ตัวเสมอฮะ ว่าผมกับปาร์คเป็นเพื่อนกัน’ ผมกลั่นใจพิมพ์ตอบกลับไป ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรกับประโยคที่ตัวเองพิมพ์ แต่ผมเองก็ไม่อยากให้ปาร์ครู้สึกลำบากใจในการคบหรือคุยกับผมต่อ แม้ในฐานะเพื่อนก็ตาม ผมว่าการบอกแบบนี้คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับปาร์ค
 
   ‘จำคำพูดตัวเองไว้ด้วยนะ’
 
   เมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้น ปาร์คจึงเป็นฝ่ายมาห้ามทัพ ด้วยกันคอมเม้นต์ย้ำสถานะของเราสองคนไป นั่นคือ ‘เพื่อนกัน’ จึงเป็นการสิ้นสุดการสนทนา แต่ผมเองก็ยังได้แต่สงสัยว่าเพราะอะไรพี่ปอนด์ถึงได้มาแสดงออกแบบนี้กับผม นี่แค่ขนาดไม่ได้เป็นอะไรลึกซึ้งกัน อุปสรรคยังเข้ามาแล้วเลยครับ แค่ความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อน ยังมีปัญหาขนาดนี้เลย เรื่องของผมกับปาร์คในแบบที่ผมอยากให้มันเป็นคงไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ

**********__________**********

   กลับสู่โลกปัจจุบัน

   นั่นแหละครับเรื่องราวว่าทำไมผมถึงไม่ชอบหน้าพี่ชายของปาร์ค และผมเองก็คิดว่าเขาก็คงไม่ค่อยชอบผมเท่าไรเหมือนกัน อาจจะดูไร้เหตุผลเนอะ แต่ผมก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจหรอกครับ เรื่องมันก็ผ่านมานานพอสมควรแล้วด้วย ปาร์คเองก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ แม้แต่วันถัดๆ มาจากวันที่เกิดเรื่อง เมื่อคุยโทรศัพท์กันตามปกติ ปาร์คก็ไม่ได้เอ่ยถึงเลย ผมว่าก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้งครับ

   อีกอย่างระหว่างผมกับพี่ปอนด์ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เพราะเรื่องราวของผมกับปาร์คก็คงไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่าคำว่าเพื่อนเช่นกัน

   แต่วันนี้ผมเป็นอะไรของผมเนี่ย คุยโทรศัพท์กับปาร์คแบบมีความสุขอยู่ดีๆ พอวางสายแล้วกลับคิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องซะงั้น เฮ้อออ... ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน


à suivre...

ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
คือจะมีแต่ฟร็องที่แอบรักไปเรื่อยแบบนี้ ยอมตามปาร์คไปแบบนี้ใช่มั้ย คนแต่งช่วยบอกเราหน่อย เพราะว่า เราไม่ชอบแนวนายเอกแบบนี้เท่าไหร่ เราอ่านแล้วอึดอัดอทนอะ ถ้ายหร็องจะตามแต่ปาร์ค อย่างเดียวบอกเราหน่อยนะ เราจะได้หยุดอ่าน เราอึดอัดแทน กับการกะทำของทั้งสองคน อีกใจอยากให้ฟร็อง ถอยออกมามากๆๆๆ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
คือจะมีแต่ฟร็องที่แอบรักไปเรื่อยแบบนี้ ยอมตามปาร์คไปแบบนี้ใช่มั้ย คนแต่งช่วยบอกเราหน่อย เพราะว่า เราไม่ชอบแนวนายเอกแบบนี้เท่าไหร่ เราอ่านแล้วอึดอัดอทนอะ ถ้ายหร็องจะตามแต่ปาร์ค อย่างเดียวบอกเราหน่อยนะ เราจะได้หยุดอ่าน เราอึดอัดแทน กับการกะทำของทั้งสองคน อีกใจอยากให้ฟร็อง ถอยออกมามากๆๆๆ

ไม่เชิงซะทีเดียวฮะ คาแรคเตอร์ของฟร๊องก์ที่วางไว้คือจะค่อนข้างยึดติดกับความรักที่มีต่อปาร์คมากๆ เพราะปาร์คคือรักแรก แต่เมื่อเรื่องผ่านไปเรื่อยๆ มันจะเริ่มมีอะไรเข้ามามากขึ้นๆ เรื่อย เพื่อให้ฟร๊องก์ ปาร์ค รวมทั้งตัวละครตัวอื่นๆ ได้ทดสอบความรู้สึกของตัวเอง อาจจะไม่ใช่ฟร๊องก์ที่เป็นฝ่ายตาม อาจจะไม่ได้มีแค่ปาร์คก็ได้ฮะ

เรื่องนี้ฟร๊องก์เป็นตัวเอกก็จริง แต่เราเองก็วางบทของตัวละครตัวอื่นๆ ให้มีผลกับโทนของเรื่องเช่นกันฮะ ยังไงลองติดตามดูก่อนนะฮะ ดีไม่ดียังไงติชมได้เต็มที่เลย เพราะเราเองก็อยากรู้ว่าคนที่อ่านรู้สึกอย่างไร

ยังไงก็ขอบคุณมากนะฮะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ดำเนินเรื่องแบบอึดอัดมันได้นะคะ แต่ว่าควรไปทีละเรื่อง2เรื่องนะ ถ้าเอา หลายๆ situation มารวมกันในตอนเดียว มันจะทำให้เรื่องดูอึดอัด( แต่ไม่ใช่อึดอัดแบบอารมณ์บีบคั้นนะคะ อึดอัดแบบไม่โอเคหนะ)    แต่ถ้าคนแต่งบอกว่ามันมีเหตุของมัน เราก็จะคอยเชียร์ต่อไปจ้า   :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 4 [28/4/2017]
«ตอบ #12 เมื่อ28-04-2017 18:59:22 »

Chapitre 4

   เกือบสองปีก่อน

   วันนี้เป็นอีกวันที่ผมต้องโทรถามปาร์คว่าจะมาเรียนหรือเปล่า ช่วงหลังๆ ของการเรียนมอหกปาร์คมักจะมาโรงเรียนสายเป็นประจำ เวลาผมถามว่าทำไมมาสายมันก็บอกว่าตื่นสาย เล่นเกมดึกอะไรของมันก็ไม่รู้ ผมล่ะเซ็ง แต่ก็เข้าใจครับ มันเรียนเก่งแล้วก็ได้โควต้าของมหาวิทยาลัยแล้ว เลยไม่ค่อยห่วงมันสักเท่าไร ห่วงตัวเองที่ยังไม่มีที่เรียนเลยมากกว่า

   ‘ปาร์คอยู่ไหน มาเรียนเปล่าเนี่ย’ ผมโทรไปหามันตอนพักเบรก 20 นาทีตอนเวลาสิบโมงเช้า โรงเรียนผมมีพักสามเวลาครับ จะมีตอนเช้าคือสิบโมงเช้า พัก 20 นาทีของนักเรียนทั้งโรงเรียน ส่วนพักกลางวันนักเรียนประถมจะพักตอนสิบเอ็ดโมงถึงเที่ยง ส่วนเด็กมัธยมจะพักตอนเที่ยงสิบนาที ถึงบ่ายโมง และตอนบ่ายสามโมงเย็นจะมีพักเล็กๆ สำหรับเด็กป.1 - 4 ให้อีก 10 นาที แต่เด็กมัธยมจะชอบลงไปซื้อของกินเวลานี้ประจำ

   [อยู่บ้าน กำลังจะไปโรงเรียนแล้ว อีกประมาณสิบห้านาที] ปลายสายตอบกลับมา มันมาเวลานี้เป็นประจำแหละครับ แล้วที่สำคัญ มันมาโรงเรียนสายแต่ไม่เคยโดนเข้าห้องปกครองเลยสักพัก มันบอกว่าพวกที่เข้าสายตอนก่อนสิบโมงอ่ะโง่ เพราะช่วงเวลานั้นครูฝ่ายปกครองจะยังยืนดักอยู่หน้าประตูเข้าโรงเรียน แต่ถ้าเลยสิบโมงไปแล้วทางจะปลอดโปร่ง มีแค่กล้องวงจรปิด เดินเนียนๆ เข้ามาก็ไม่มีใครรู้หรอก ดูความคิดมันสิครับ

   ‘รีบๆ มาแล้วกัน ครูแมวด่าถึงปาร์คจนไม่ได้ผุดได้เกิดแล้ว’ ครูแมวที่ผมพูดถึงก็คือครูประจำที่พวกผมทุกคนรักมากๆ แหละครับ ท่านเป็นครูที่ปากค่อนข้างจัด พูดตรง ด่าแรงและเจ็บ แต่ท่านก็หวังดีนะครับ เวลาเด็กมีปัญหา ท่านจะช่วยเสมอๆ และก็เฮฮาไปตามภาษาด้วย

   [บอกครูแมวอย่าบ่นให้มากไป เดี๋ยวเถอะ!] ปาร์คมันว่า ผมรู้ครับว่ามันก็พูดเล่นๆ ไปงั้น เวลาเจอครูแมวด่าเข้าจริงๆ ก็หงอยไปเหมือนกันแหละ ฮ่าๆ

   ‘เหรอออ... อย่างปาร์คจะทำอะไรเขา’ ผมแกล้งหยอกมันกลับ ตอนนี้ผมกับเพื่อนๆ อีกบางส่วนนั่งกันอยู่บนห้องครับ จริงๆ พักทุกพักนักเรียนทุกคนจะต้องลงจากตึก ห้ามอยู่บนห้องเรียนโดยเด็ดขาด เพื่อกันของหาย แต่พวกผมไม่ค่อยเชื่อหรอกครับ กฎมันมีไว้แหกอยู่แล้ว พักแค่ 20 นาทีจะเดินขึ้นเดินลงตึกทำไมให้เสียเวลา ห้องเรียนผมอยู่ตั้งชั้นสี่ เมื่อยจะตาย แต่ถึงกระนั้นพวกผมก็ต้องคอยระวังครูฝ่ายปกครองที่จะเดินตรวจตึกด้วยนะครับ จะมีคนเฝ้าที่บันด้วยคนหนึ่ง เพื่อกระจายบอกห้องอื่นๆ ที่อยู่ในชั้นเดียวกัน เป็นไงล่ะ ทำงานกันเป็นระบบดีไหม อีกอย่าง ห้องผมเป็นห้องประธานนักเรียนของปีนี้ครับ ดังนั้นสิทธิพิเศษ (ที่ตั้งกันขึ้นมาเอง) จึงเยอะกว่าห้องอื่นๆ

   [แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน] มันว่าก่อนจะตัดสายทิ้งไป

   มาถึงคาบเรียนในตอนบ่าย วันนี้มีเรียนวิชาชีววิทยาครับ กับครูแมว ครูประจำชั้นของเรานี่เอง ผมเป็นคนที่ถ้าสนใจวิชาไหน หรือวิชาไหนครูสอนน่าสนใจผมจะตั้งใจเรียนมากครับ จะจดทุกอย่างอย่างละเอียด ไม่เข้าใจตรงไหนจะถาม (เป็นตัวอย่างที่ดี น่าลอกเลียนแบบ ฮ่าๆ) เพื่อไม่ต้องไปนั่งรื้อฟื้นก่อนสอบครับ ผมจะได้มานั่งอ่านทวนในชีทที่จดๆ เอาไว้ได้เลย

   วันนี้เรียนเรื่องโครงสร้างของ DNA และ RNA ครับ ค่อนข้างซับซ้อนนะ เพราะต้องจำคู่ของมันว่ากรดอะมิโนตัวไหนคู่กับตัวไหน แต่ผมก็เข้าใจแหละครับ พยายามฟังและจดในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ ส่วนปาร์คน่ะแหละ ก็นั่งเล่นนั่งจดสลับกันไปมา แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยจดนะ

   อ๋อ ลืมบอกไป ปาร์คนั่งติดกับผมเลย ห้องเรียนผมจะใช้โต๊ะแลกเชอร์ทั้งหมด และจะจัดเป็นคู่ๆ แน่นอน ผมคู่กับปาร์ค แต่ก่อนหน้านั้น ตอนม.6 เทอมหนึ่งผมไม่ได้นั่งติดกับปาร์คหรอก ช่วงแรกๆ ผมโกรธอะไรมันไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่าโกรธมาตั้งแต่ม.5 ตอนเกือบๆ จบเทอม แต่สุดท้ายก็ดีกัน ผมเลยขอแลกที่แต่จำไม่ได้แล้วว่าแลกกับใคร พวกผมนั่งกันเป็นติ่ง คู่สุดท้ายหลังสุดของห้องเลยครับ แต่ไม่ใช่เด็กขี้เกียจ (สักเท่าไร) นะ ก็ตั้งใจได้เหมือนกัน

   ‘เข้าใจไหม’ เสียงครูแมวถามขึ้น หลังจากอธิบายการจับคู่กรดต่างๆ ในสาย DNA เรียบร้อย

   ‘ก็พอได้ แหะๆ/...’ มีการแบ่งออกเป็นส่วนพวก คือพวกที่ตอบกับพวกที่เงียบ ผมเดาว่าพวกที่เงียบคงไม่รู้เรื่องหรือไม่ก็ยังมึนๆ กันอยู่ ไม่ต้องตกใจว่าทำไมพวกผมพูดกับครูไม่มีหางเสียง แต่มันเป็นความเคยชินครับ ด้วยความสนิทสนม ครูเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรกับแค่เรื่องหางเสียง แต่พวกผมก็ไม่ได้ลามปามจนเกินไปนะครับ รู้ว่าอย่างไหนควรและอย่างไหนไม่ควร

   ‘เออๆ เดี๋ยวให้พักสิบนาทีล่ะกัน ครูไปเข้าห้องน้ำก่อน’ ครูแมวพูดก่อนที่จะวางปากกาไวท์บอร์ดแล้วเดินออกจากห้องเรียนไป

   ทุกคนในห้องเริ่มผ่อนคลายครับ แน่นอนว่าวิธีการพักผ่อนของทุกคนในยามบ่ายแบบนี้นั่นคือการนอนหลับ แม้จะเป็นเวลาเพียงสิบนาทีก็เถอะ

   ผมหันไปมองปาร์คซึ่งตอนนี้ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เร็วจริงๆ ผมก็เลยหันไปซบมันที่หลังครับ แต่ก็กลัวมันหนักแล้วจะตื่นมาด่า ผมก็เอาแขนท้าวหัวตัวเองเอาไว้หน่อยไม่ให้ทิ้งน้ำหนักลงไปที่หลังมันตรงๆ ผมหลับอยู่อย่างนั้นสักพัก เผลอหลับไปจริงๆ เลยครับ จนครูแมวส่งเสียงด่าแบบเล่นๆ มา

   'ไอ้ปาร์คกับฟร๊องก์อ่ะตื่นได้แล้ว รักกันจริงๆ รักปานจะแหกตูดดม’ ได้ยินแบบนั้นผมก็เลยค่อยๆ เงยหน้ากลับขึ้นมาด้วยหน้าสะลึมสะลือ ส่วนปาร์คก็ค่อยๆ เงยหน้าตามผมขึ้นมา แต่ผมก็ต้องตาโตเพราะเพื่อนทั้งห้องกำลังมองมาที่ผมกับปาร์คเป็นตาเดียวกัน หลายๆ คนอมยิ้ม บางคนก็แอบขำ แต่ที่ชัดๆ ก็กลุ่มเพื่อนผมเลยครับ ขำกันแบบไม่เกรงใจ ขำกันแบบเยาะเย้ยมากๆ
ในระหว่างที่หลับ ผมรู้สึกว่าหัวผมอยู่ติดกับหัวปาร์ค แต่ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพื่อคลายความสงสัยนี้ตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมจึงถามเพื่อนในกลุ่มที่เห็นเหตุการณ์ซะเลย

   ‘เมื่อตอนที่กูหลับอ่ะ มันเป็นยังไงมั้งวะ’ ผมถามเพื่อนตรงๆ เลยครับ ไม่รู้จะอ้อมค้อมทำไม

   ‘มึงก็ซบที่หลังมัน ส่วนตัวมันก็เอนๆ ไปหาตัวมึง’ จริงเหรอครับ ถึงว่าทำไมผมถึงรู้สึกว่าหัวเราสองคนติดกัน

   ‘เหรอ’

   ‘เออ เชี้ย แม่งโคตรเหมือนคู่รักเลย นอนหนุนกันซะ’ มันว่าพลางยิ้มเยาะๆ

   ‘...’ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อครับ เขิน รู้สึกอย่างเดียวว่าตอนนี้หน้าผมร้อนผ่าวขึ้นมา

**********__________**********

   เฮือก!

   ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนสายๆ ครับ นี่ผมฝันไปหรอกเนี่ย ฝันถึงเหตุการณ์เมื่อตอนม.6 สงสัยผมจะคิดถึงมันมากๆ จนถึงขั้นเก็บเอามาฝัน

   จะว่าไปมันก็นานแล้วสินะที่ผมไม่ได้เจอปาร์ค รวมทั้งเพื่อนหลายๆ คนในกลุ่มเลย เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่เดี๋ยวคงได้เจอกับปาร์ค เพราะใกล้จะถึงวันเกิดมันเลยครับ ส่วนเรื่องของขวัญไม่ต้องเป็นห่วง ผมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว

   อีกแค่สามวันก็จะถึงวันเกิดปาร์คแล้วแหละครับ ปกติปาร์คไม่เคยจัดงานวันเกิดที่ไหน มันบอกว่าวันเกิดควรอยู่กับแม่ กับครอบครัว ดูแลแม่ เพราะเป็นวันที่แม่เจ็บที่สุด ปีนี้ก็คงเหมือนกันแหละครับ ผมคิดว่าปาร์คก็คงอยู่กับพ่อแม่เหมือนทุกๆ ปี

   วันนี้ผมก็ไปเรียนตามปกติครับ กลับห้องมาก็รีบอาบน้ำ รอโทรศัพท์ของปาร์ค เป็นกิจวัตที่ทำประจำทุกวัน แต่วันนี้จะต้องนัดเจอมัน เพื่อเอาของขวัญวันเกิดไปให้

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   พูดไม่ทันขาดคำ มันก็โทรมาเลยครับ

   “ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงสดใสลงไป พร้อมกับรอยยิ้มที่ฉายออกมาบนใบหน้าของตัวเอง

   ทำไรอยู่ นอนยังอ่ะ] ปาร์คเองก็เสียงดูสดใสๆ เหมือนกัน

   “นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ยังไม่หลับอ่ะ”

   [ว่างเนอะ] มันกัดผมกลับมาเบาๆ

   “แน่นอนสิ”

   [ฟร๊องก์ วันศุกร์นี้ว่างป่ะ] ปาร์คเริ่มพูดเข้าประเด็น วันศุกร์ที่มันพูดถึงก็คือวันเกิดมันเองครับ นี่มันรู้ใช่ไหมว่าผมจะต้องนัด เลยชิงถามผมก่อน

   “ก็ว่างนะ ทำไมเหรอ” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้

   [ก็วันเกิดปาร์คอ่ะ กะจะชวนไปเที่ยวเป็นเพื่อนหน่อย แล้วก็ปาร์ตี้นิดหน่อยตอนกลางคืน] นี่ผมได้ยินไม่ผิดใช่ป่ะ ปาร์คชวนผมไปเที่ยวในวันเกิด โอ้ยยย! เขิน

   “อืมๆ ไปสิ ฟร๊องก์ไม่มีเรียนวันศุกร์อยู่แล้ว” ผมตอบไปอย่างดีใจ ตอนนี้ยิ้มแก้มจะปริอยู่แล้ว

   [แล้วปาร์ตี้ตอนกลางคืนอ่ะ อยู่ได้ป่าว วันศุกร์กลับบ้านไม่ใช่เหรอ] เออ นั่นสิ ผมลืมนึกไปเลย ปกติถ้าผมออกไปเที่ยวกลางคืน ผมจะเลือกไปเที่ยวเฉพาะวันที่อยู่หอ เพราะพ่อแม่ผมไม่ชอบให้ไปเที่ยวอะไรแบบนี้ ผมเลยไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหนตอนกลางคืนหรอกครับ

   “เออ นั่นสิ” เสียงเศร้าขึ้นทันทีเลยครับ เสียดาย

   [งั้นเอางี้ดิ อาทิตย์นี้ก็ไม่ต้องกลับบ้าน วันศุกร์ก็มานอนค้างคอนโดฯ ปาร์คแทน เอาแบบนี้ล่ะกัน] พูดเอง คิดเอง ตัดสินใจแทนเองเสร็จสรรพครับ ใช้ระบบเผด็จการของจริง เหลือก็แต่ผมที่จะต้องโทรบอกที่บ้านว่าอาทิตย์นี้ไม่ได้กลับบ้านเพราะมีงานบลาๆๆ ฮาๆ หัดเป็นเด็กเลี้ยงแกะตั้งแต่เมื่อไหร่

   “งั้นก็ตามนั้น แล้ววันศุกร์จะให้ไปเจอที่ไหน กี่โมง” ผมถามรายละเอียดจะได้เตรียมตัวถูก

   [รอที่หอนั่นแหละ เดี๋ยวไปรับ ประมาณสิบโมงล่ะกัน] ปาร์คแจงรายละเอียด นี่เป็นครั้งที่สามเองนะ ที่ปาร์คจะมาหอผม ครั้งแรกคือวันที่มาดูและจองหอ ครั้งที่สองคือมาช่วยผมขนของไปหอ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม มาเพื่อรับผมไปเที่ยวด้วย ตอนนี้ไม่ต้องสงสัยว่าผมเป็นยังไง ยิ้มไม่หุบเลยแหละครับ หน้านี่ร้อนๆ บอกไม่ถูก

   “โห้ๆ จริงเปล่าเนี่ย คุณชายปาร์คจะมารับฟร๊องก์ที่หอเนี่ย” ผมแกล้งกัดกลับไป

   [ถ้าพูดมากจะให้นั่งรถมาเอง] โห้ย โหดร้ายมาก เล่นนิดเล่นหน่อยก็ไม่ได้

   “ชิๆ แล้วจะรอแล้วกัน เลี้ยงด้วยนะวันเกิดอ่ะ”

   [เออหน่า พาหมามาก็ต้องเลี้ยงให้ดีอยู่แล้วสิ]

   “ไอ้ปาร์ค ไอ้เลว ฟร๊องก์ไม่ใช่หมานะ!” ผมปั๊ดด่าให้ ทำเป็นเนียนใจดี แต่กลับมาว่าผมเป็นหมาซะงั้น เดี๋ยวกัดแม้งเลย หื้อ? กัด?

   [อย่าโหดดิ ปาร์คไม่ชอบหมาดุ ปาร์คชอบหมาเชื่องๆ ฮ่าๆๆๆ] มันยังไม่หยุดครับ แล้วยังหัวเราะเยาะมาอีก

   “ยังไม่หยุดนะ! เดี๋ยวเจอหน้าจะต่อยให้หน้าแหก!” ผมทำเสียงโหด ทำโหดไปงั้นแหละ เจอมันจริงๆ ผมก็ได้แต่ยิ้ม

   [ต่อยหน้าปาร์คถึงเหรอ เตี้ยขนาดนั้น ไม่เจอนานแล้วสูงขึ้นมั้งป่าว] ไอ้เลว มันกัดผมไม่หยุดเลยอ่ะ ดูมันดิครับ กวนประสาทนี่เป็นที่หนึ่ง

   “ไม่คุยด้วยแล้ว แม่ง!” ผมงอนแล้วนะ งอนจริงๆ ด้วย แล้วมันก็ต้องง้อด้วย ไม่รู้แหละ

   [โอ้ๆ ขี้งอนจริงๆ เลยว่ะไอ้เตี้ยเอ๊ย] เห็นไหมล่ะ ยังไงมันก็ต้องง้อ
หลังจากนั้นผมก็คุยกับมันต่ออีกสักพัก มันก็ต้องวางสายไปก่อน เพราะพรุ่งนี้มีพรีเซ็นต์งานอะไรของมันก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้าเลยต้องรีบนอนเร็วกว่าปกติ

**********__________**********

   และแล้วก็มาถึงวันที่ผมรอคอย วันศุกร์ที่เป็นวันเกิดของปาร์ค และเป็นวันที่ผมกับปาร์คจะไปเที่ยวด้วยกัน ผมไม่อยากจะบอกว่าเมื่อคืนหลังจากคุยโทรศัพท์กัน ผมก็ตื่นเต้น ถึงขั้นมานอนเอาใกล้เช้า นี่เลยตื่นสายนิดหน่อย

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   ใกล้ถึงเวลานัด ปาร์คก็โทรมา มันมาถึงหอผมก่อนเวลา 15 นาที จึงบอกให้ผมรีบลงไปเลย มันจอดรออยู่หน้าหอแล้ว ผมก็จัดแจงคว้ากระเป๋าสะพายข้างแล้วรีบสวมรองเท้าแล้วกดลิฟต์ลงไปทันที

   “ทำไมมาเร็วจังอ่ะ” ผมถามมันหลังจากขึ้นมานั่งบนรถมันเรียบร้อย

   “ก็ได้เที่ยวด้วยกันนานๆ ไง” มันตอบพร้อมยักคิ้วเท่ๆ

   ปาร์คดูดีขึ้นมากเลยครับ ผมไม่ได้เจอมันนานแล้ว เพราะต่างคนต่างไม่มีเวลา เรียนหนักด้วยกันทั้งคู่ เวลาผมว่าง ปาร์คก็มักจะไม่ว่าง เวลาปาร์คว่างผมก็ไม่รู้ เพราะปาร์คไม่ค่อยจะบอก

   ตอนนี้ปาร์คดูหล่อแบบมีสไตล์มาก ผมที่ไม่สั้นไม่ยาวมาก ตัดรองหวีด้านข้างใบหูและด้านหลังให้ดูสั้น ส่วนด้านบนก็ยาวลงมาปิด ผมสีดำไม่ได้ผ่านการย้อมแต่อย่างใดถูกจัดเซตมาให้ดูดีขึ้น ปาร์คดูขาวขึ้นนิดๆ ด้วยแหละครับ แต่เพราะสีผิวออกแทนเป็นทุนอยู่แล้ว จึงไม่ได้ดูขาวมาก ซึ่งต่างกับผม ที่ค่อนข้างจะขาวมากเหมือนกัน วันนี้มันใส่ชุดชิลล์ครับ แต่ดูรวมๆ แล้วหล่อมากๆ เสื้อยืดสีดำลายกราฟฟิกแนวๆ ที่กำลังฮิตในตอนนี้ กางเกงยีนส์สกินนี่สีดำ ตัดด้วยรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสีพื้นขาว ลายสีน้ำเงิน ยอมรับเลยครับว่ามันดูดีมากๆ

   ส่วนผมก็แต่งคล้ายๆ กัน เสื้อยืดสีขาวเป็นลายทั้งตัวยี่ห้อของสตรีทแฟชั่นชื่อดัง กางเกงยีนส์สกินนี่สีดำเช่นกัน รองเท้าหนังสีดำส้นแพลตฟอร์ม ช่วยเสริมให้ตัวเองสูงขึ้นอีกประมาณหนึ่งนิ้วครึ่ง ใส่กำไรเท่ๆ กับแหวนเพิ่มให้ดูเยอะอีกหน่อย ผมเป็นคนชอบแต่งตัวนะครับ เวลาว่างๆ ก็จะเข้าไปดูเว็บที่พวกฝรั่งจะโพสต์รูปแฟชั่นลงกัน

   “กินไรมา ทำไมดูสูงขึ้น” แล้วมันก็กวนผมต่อทันที

   “กินส้นรองเท้าไง อยากลองไหมล่ะ” ผมทำเป็นยกเท้าขึ้นมาขู่

   “ฮ่าๆๆ ส้นหนาขนาดนี้ ถึงว่าดิทำไมถึงดูสูงขึ้น ข้างในเสริมด้วยป่าวเนี่ย ฮาๆ” มันหัวเราะเย้ยผมพลางยักคิ้วอีกที

   “เออๆ เตี้ยแล้วผิดรึไงวะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ผมมาตรฐานชายไทยนะ ไม่ได้เตี้ยสักหน่อย ใครจะสูงเหมือนตัวเองละ อย่างกับเปรต ชิ!

   “ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย จะบอกว่าน่ารักดี” หะ... ห๊ะ เมื่อกี้มันชมผมว่าน่ารัก! ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม ปาร์คชมผมว่าผมน่ารัก 

   “อะ... เอ่อ แล้วจะไปเที่ยวไหนเนี่ย” ผมถามพลางเกาหัวเก้อๆ บรรเทาอาการเขินของตัวเอง ไอ้บ้าเอ๊ย บทจะชมก็ชมกันต่อหน้าเลย เขินเป็นเหมือนกันนะ ถึงจะเป็นแค่... เพื่อนก็เถอะ...

   “ไปเดินสยามล่ะกัน หาไรกิน ดูหนัง แล้วตอนเย็นค่อยไปต่อ ปาร์คจองร้านไว้แล้ว” ผมพูดก่อนจะขับรถออกไป

   “ไหนว่าวันเกิดจะอยู่กับแม่ไง เห็นทุกปีอยู่กับแม่ไม่ใช่เหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย เพราะปกติปาร์คจะไม่ฉลองวันเกิดอะไรแบบนี้ แต่ปีนี้นึกยังไงขึ้นมาถึงได้ฉลองเฉยเลย

   “ก็อยู่กับแม่มาตั้ง 20 ปีแล้ว ปีนี้ก็เลยเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” มันหันมายิ้มกวนๆ

   อ๋อ ลืมบอกไป ผมไม่ได้ลืมเอาของขวัญวันเกิดมันมานะครับ แต่พอดีว่ากล่องมันเล็ก เลยใส่กระเป๋าสะพายของผมมาได้ แอบบอกก็ได้ว่าผมให้อะไรมัน มันเป็นกีต้าร์ตัวเล็กๆ ครับ เป็นโมเดลจำลอง แต่ดีดแล้วมีเสียง และสามารถสลักชื่อไว้ที่ตัวกีต้าร์ได้ มีตัวเดียวในโลกเพราะสั่งทำครับ แต่เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ ราคาเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ ผมลืมบอกไปอีกอย่างใช่ไหม ที่ซื้อโมเดลกีต้าร์ให้เพราะปกติปาร์คชอบเล่นกีต้าร์ครับ มันมักจะถ่ายวีดีโอร้องเพลงและดีดกีต้าร์ลงเฟซบุ๊กอยู่บ่อยครั้ง แต่แต่ละวีดีโอมักจะเห็นหน้าปาร์คไม่ชัด เบลอๆ หรือเห็นแค่ช่วงตัวก็มี อีกอย่างตอนม.6 เวลาว่างๆ มันก็เล่นกีต้าร์และร้องเพลงให้ผมและเพื่อนคนอื่นๆ ได้ฟังประจำ

   ไปถึงพารากอน เราสองคนก็ตรงดิ่งไปหาอะไรกินกันทันที ระหว่างที่อยู่ในร้านอาหาร ปาร์คไม่ลืมถามถึงของขวัญ ผมก็แกล้งเล่นละครครับ บอกว่าเออลืมไปเลย ไม่มีเวลาไปซื้อ เล่นเอาปาร์คงอนผมใหญ่เลยแหละครับ แต่ก็แกล้งมันไปอย่างนี้ก่อน เดี๋ยวค่อยให้ ผมอยากให้มันเป็นคนสุดท้าย

   หลังจากกินอะไรกันเสร็จ เราก็เดินดูของกันเรื่อยเปื่อย ปาร์คก็ซื้อพวกเสื้อผ้าครับ แถมยังใจดีซื้อให้ผมด้วย มากับคนรวยนี่โชคดี ฮ่าๆๆ เสร็จแล้วตกบ่ายๆ เราก็ไปดูหนังกัน ผมก็แอบฉวยโอกาสซบไหล่มันซะเลย เนียนๆ ไป

   พอมืดๆ หน่อยเราก็ไปยังร้านที่ปาร์คจองเอาไว้ครับ เป็นร้านอาหารกึ่งผับ ดูแล้วค่อนข้างจะมีระดับอยู่เหมือนกัน ปาร์คบอกไว้ว่านัดเพื่อนๆ ไว้มาปาร์ตี้กัน แต่อยู่ไม่ดึกมาก เพราะบางคนที่ชวนมีเรียนต่อตอนเช้า ส่วนใครอยู่ดึก หรืออยากไปต่อก็แล้วแต่ เพื่อนที่ปาร์คชวนมาก็มีทั้งเพื่อนใหม่ที่มหา’ลัย แล้วก็เพื่อนเก่าๆ ตอนมัธยมที่สนิทกัน จึงทำให้ผมไม่รู้สึกกร่อย เพราะปาร์คชวนแคมป์กับแซนด์มาด้วยเหมือนกัน

   พวกเราปาร์ตี้กัน เต้น ดื่มกันหนักพอสมควร ปาร์คได้ของขวัญเยอะมากๆ เพื่อนใหม่ที่มหา’ลัยหลายๆ คนให้ของขวัญหรูมาก บางคนเป็นของแบรนด์เนมด้วยซ้ำ ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไร มัวแต่ดื่มและแดนซ์อยู่กับพวกแคมป์กับแซนด์ แต่ผมยังพอมีสติอยู่นะ เวลาก็ล่วงเลยมาจนดึกแล้วเหมือนกัน หลายๆ คนก็เริ่มทยอยกลับกันไปแล้ว เหลืออยู่แค่ไม่กี่คน ที่นัดกันไปเที่ยวต่อที่อื่น

   “เรากลับกันเถอะฟร๊องก์” ปาร์คเดินเข้ามาหาผม ท่าทางดูกึ่มๆ มึนๆ เหมือนกัน

   “ขับรถกลับไหวหรอ สภาพแบบเนี่ย” ผมถามกลับด้วยความไม่มั่นใจ ดูปาร์คจะดื่มไปเยอะเหมือนกัน

   “ไหวๆ ยังไหวอยู่ รีบกลับเหอะ ง่วงแล้ว” มันพูดจบก็คว้ามือผมออกจากร้านไปทันที แต่ก็ไม่ลืมบอกลาเพื่อนๆ

   “ไหวไหมเนี่ยปาร์ค ไม่ไหวก็กลับแท็กซี่ก็ได้” ผมพยายามโน้มน้าว เพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุ

   “รีบขึ้นรถเถอะน่า ขับไหว ไม่ไกลหรอก” มันว่าแล้วก็เปิดประตูยัดผมเข้าไปในรถ

   “ขับดีๆ ล่ะ” ผมพูดเตือนสติมันหลังจากที่มันเดินอ้อมมาขึ้นฝั่งคนขับ

   “รู้แล้วๆ บ่นจริงๆ บ่นเป็นเมียไปได้” มันว่าก่อนจะสตาร์ทเครื่อง แล้วขับออกไป แต่คำพูดนั้นก็ทำกระตุ้นการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือดของผมได้ไม่น้อย


à suivre...

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะฮะ ยังไงจะเอามาปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อๆ ไปฮะ  :pig4:  :mew1:

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 5 [28/4/2017]
«ตอบ #13 เมื่อ28-04-2017 21:25:54 »

Chapitre 5

   เราทั้งคู่มาถึงที่หมายคือคอนโดฯ ของปาร์คโดยสภาพยังครบสามสิบสอง แม้ว่าปาร์คจะขับรถเสียวจนผมนั่งเกร็งฉี่แทบราดก็ตาม แต่ปลอดภัยก็ถือว่าดีแล้ว

   “ลุกไปอาบน้ำก่อนสิปาร์ค!” ผมดุเมื่อปาร์คล้มตัวลงนอนทันทีที่มาถึงห้อง

   “ฟร๊องก์ไปอาบเหอะ ปาร์คไม่ไหวแล้ว ง่วงมาก เมื่อเช้าก็ตื่นเช้า อาบเสร็จแล้วก็มานอน เสื้อผ้าหยิบเอาเลยในตู้ กางเกงในใหม่อยู่ในลิ้นชักชั้นล่าง รู้สึกจะมีฟรีไซส์ ส่วนผ้าขนหนูในห้องน้ำมีอีกผืน” มันพูดโดยไม่ได้ลืมตา

   ผมนั่งมองมันอยู่สักพัก จนในที่สุดเสียงลมหายใจของมันก็เริ่มดังสม่ำเสมอ สงสัยหลับไปแล้ว ผมจึงลุกไปอาบน้ำ แล้วก็หาเสื้อผ้าจากในตู้ของปาร์คมาใส่ มีแต่เสื้อกับกางเกงตัวใหญ่ๆ ใส่ทีนี่หลวมโคร่งมากๆ แน่เลย แต่ปาร์คก็หลับไปแล้วเลยไม่อยากปลุก นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ให้ของขวัญมันเลย แต่ช่างมันเหอะ ให้พรุ่งนี้ก็เหมือนกัน เพราะของขวัญอื่นๆ ที่คนให้ก็ยังอยู่ในรถ ไม่ได้เอาขึ้นมา

   ผมหยิบของขวัญออกมาจากกระเป๋า เอามาวางไว้บนโต๊ะข้างๆ เตียงที่เวลาปาร์คตื่นมาจะเห็นได้ชัดๆ ก่อนจะปิดไฟแล้วเดินอ้อมมายังเตียงอีกฝั่ง

   ผมนอนมองปาร์คหลับในความมืดสลัวอยู่อย่างนั้น มันอดไม่ได้นะที่จะคิดว่าเราเป็นแฟนกัน วันนี้ผมได้นอนร่วมเตียงกับปาร์ค แต่กลับเป็นในฐานะเพื่อน ผมอยากให้ช่องว่างที่อยู่ตรงกลางระหว่างเรามันหายไปซักที อยากให้เส้นที่คั้นกลางมันหายไป ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับปาร์ค ถึงจะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในใจผมมันรั้น มันเจ็บเหลือเกิน

   หลายคนอาจจะบอกว่าความรัก คือการมองคนที่เรารักเดินจากไปอย่างมีความสุข แต่ผมคิดว่ามันทำใจยากนะ ที่จะเห็นคนที่เรารักมีความสุขกับคนอื่นที่ไม่ใช่เรา บางครั้งผมก็สงสัยนะว่าใครเป็นคนให้นิยามนี้ และสงสัยว่าเขาเคยรักใครจริงๆ บ้างหรือป่าว เพราะถ้าเขามีรักจริง ทำไมเขาถึงทำใจได้ง่ายขนาดนั้น

   แต่ถึงจะเจ็บปวดขนาดไหน แต่ผมก็คงต้องทำใจอยู่และยอมรับมันให้ได้แหละ เพราะเมื่อถึงวันหนึ่ง ปาร์คก็ต้องมีคนที่ตัวเองรัก และผมก็หยุดอยู่ได้แค่ในสถานะของความเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะสนิทมากขนาดไหน มันก็ไม่สามารถก้าวล้ำเส้นเกินเลยไปได้

   ผมยังคงนอนมองหน้าปาร์คที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ปาร์คยังคงดีดูเสมอ แต่ผมก็คงใกล้ได้เพียงเท่านี้ ได้แค่มองปาร์คอยู่ในที่มืด ที่แสงสว่างไม่มีวันส่องมาถึง ดีที่สุดที่ผมเป็นคนคงเป็นได้แค่ ‘เพื่อน’ คู่ใจ ที่อยู่ข้างหัวใจ แต่ไม่มีสิทธิ์เข้าไปครอบครองพื้นที่ในหัวใจได้

   ไม่รู้ว่าผมนอนมองปาร์คผ่านความมืดอยู่นานแค่ไหน จนในที่สุดผมก็คล้อยหลับไป วันนี้เหนื่อยแต่ก็มีความสุขมากๆ ผมคงจะหลับฝันดีมากกว่าทุกวัน เพราะผมได้ใช้เวลาอยู่กับปาร์คทั้งวัน แถมยังนอนใกล้กันขนาดนี้อีก

**********__________**********

   ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาปรับสภาพแสงหลังจากที่เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่เอ๊ะ! รู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆ พาดอยู่บนตัว

   “ปะ... ปาร์ค” ปาร์คกำลังนอนกอดผมอยู่ มาเต็มที่แขนและขาเลย

   “อื้อ... ตื่นแล้วหรอ” ปาร์คขยับริมฝีปากเรียวได้รูปนั้นทั้งที่ยังไม่ลืมตา และยังไม่ปล่อยผมออกจากอ้อมกอด

   “เอ่อ... ปาร์คปล่อยฟร๊องก์ก่อนดีกว่าไหม” ผมพูดเสียงเบา พร้อมกับลมหายใจถี่และหนัก หัวใจผมเองก็ทำงานหนักมากเลยตอนนี้

   “ไม่ปล่อย! ตัวฟร๊องก์นิ่มจะตาย อยากเอามาเป็นหมอนข้างไว้นอนกอดทุกคืนเลย” ปาร์คว่าโดยไม่ลืมตาเช่นเดิม แถมยังกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก

   “บะ... บ้า! ฟร๊องก์เป็นคนนะไม่ใช่หมอนข้าง ปล่อยได้แล๊ว! อึดอัด” ผมทำเป็นดิ้นเล็กน้อย จริงๆ ไม่ได้อึดอัดอะไรหรอกครับ แต่หัวใจผมนี่สิ มันเต้นแรงจนจะเด้งออกนอกตัวผมแล้ว ผมกลัวปาร์คจะได้ยิน ยิ่งใกล้กันขนาดนี้ด้วย ผมยิ่งคิดไม่ซื่ออยู่ อย่าทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองมากไปกว่านี้เลย

   “...” ปาร์คไม่พูดอะไร แถมยังเอาหน้ามาซุกต้นแขนผมอีก โอ้ย!! ปาร์คจะรู้ไหมเนี่ยว่ากำลังทำให้ผมหวั่นไหว กำลังทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าปาร์คก็มีใจให้กับผมเหมือนกัน

   แต่เอ๊ะ! อะไรแข็งๆ มันทิ่มอยู่ที่ต้นขาผม

   “ปาร์ค... เอ่อ... คือ... ของปาร์คมันทิ่ม... ขาฟร๊องก์อยู่” ผมบอกด้วยน้ำเสียงติดขัด รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวหนักกว่าเดิม เลือดสูบฉีดอย่างหนักขึ้นมาที่ใบหน้า

   “เห้ย!! ขอโทษๆ พอดี... ก็ตัวฟร๊องก์หอม...” ปาร์คอุทานเสียงดังพร้อมกับร่างกายที่เด้งตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยประโยคหลังอย่างแผ่วเบาจนผมแถบไม่ได้ยิน

   “ไอ้หื่นเอ๊ย!! เข้าห้องน้ำไปเลยไป!” ผมลุกขึ้นนั่งแล้วทำเป็นพูดเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินของตัวเอง หัวใจผมสูบฉีดอย่างหนัก ไอ้บ้าปาร์ค มาแข็งอะไรตอนนี้

   “มันเป็นปกติของผู้ชายเว้ย ที่เช้าๆ มันจะ... ‘แข็ง’ แบบนี้” ปาร์คแก้ตัวเสียงเข้ม โดยไม่หันมามองผม แต่ผมแอบเห็นใบหูของปาร์คแดงนะ สงสัยจะอาย ฮ่าๆ

   “จริงหรอออ...” เห็นแบบนั้นก็พลิกวิกฤตเป็นโอกาส อยากแกล้งผมก่อนดีนัก ดังนั้นแกล้งกลับซะเลย

   “แน่นอนสิ! ปาร์ค ‘แข็ง... แรง’ ไง มันก็ต้องฟิตเป็นธรรมดา อยากลองไหมล่ะ” แล้วอยู่ๆ ปาร์คก็หันกลับมายิ้ม พร้อมมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ปน... หื่น

   “เอ่อ...” ผมอึ้งจนพูดไม่ออก นี่ปาร์คคิดจะมีอะไรกับผมจริงเหรอ หรือปาร์คกำลังคิดอะไรกับผมเหมือนที่ผมคิดกับปาร์คมาตลอด หรือว่ารักของผมกำลังจะสมหวังแล้ว

   “หื้ม ว่าไง อยากลองพิสูจน์ไหมล่ะ” ปาร์คขยับตัวเข้ามาหาผมเรื่อยๆ พร้อมพูดด้วยเสียงลม แหบเล็กน้อย แต่มันชวนให้เกิดอะไรมากในสถานการณ์แบบนี้ ปาร์คคิดจะทำอะไรอยู่เนี่ย!

   “ปะ... ปาร์ค” ผมมองหน้าปาร์คนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน ผมแอบหวั่น แต่ก็ตื่นเต้น ดีใจ ความรู้สึกมันผสมปนเปกันไปหมดจนไม่รู้จะทำยังไงดี ผมไม่เคยนี่ครับ อีกอย่างคนตรงหน้าผมตอนนี้คือคนที่ผม... รักอีกต่างหาก

   “ฟร๊องก์...” ปาร์คโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของปาร์คที่รินรดใบหน้าผมอยู่ หัวใจผมเต้นแรงมากราวกับเสียงกลองตีรัวๆ จนผมเองยังได้ยิน ปาร์คยังคงไม่หยุดการกระทำดังกล่าว จนตอนนี้ริมฝีปากเราอยู่ใกล้กันมาก “ฮ่าๆ หน้าฟร๊องก์โคตรตลกเลย”

   สุดท้ายปาร์คก็หลุดขำออกมา แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากผมอย่างแรง จนผมนี่หงายเงิบไปเลย สรุปมันแกล้งผมเหรอครับเนี่ย ตอนแรกตั้งใจจะเป็นฝ่ายแกล้ง แต่สุดท้ายก็โดนมันพลิกเกมแกล้งผมกลับซะผมตายสนิทเลย เล่นบ้าอะไรของมันเนี่ย รู้ไหมว่าผมคิดจริงนะ!! ผมแอบหวังว่าริมฝีปากเราจะสัมผัสกันด้วยซ้ำ โมโหชะมัด!!

   “ไอ้บ้า!! ปากเหม็น ลุกไปเลยไป!! ผมว่าพร้อมจะผลักอกปาร์คออกจากรุนแรง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีทันที

   “ฮ่าๆ หน้าฟร๊องก์ตอนเขินตลกชะมัด เขินจนทำอะไรไม่ถูกเลย” ปาร์คยังคงไม่เลิกล้อเลียนผม “ปาร์คหล่อล่ะสิ ถึงจ้องตาไม่กระพริบเลย”

   “เหอะ! หลงตัวเองโคตร” ผมหันมาเบะปากใส่มัน หมั่นไส้ อยากเอาคืนแต่ทำอะไรไม่ได้ มันแค้นนน!!!

   “นอกจากหลงตัวเอง แล้วก็ทำให้ใครบางคนหลงได้เหมือนกันน๊า” ปาร์คยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง แต่ประโยคนั้นทำให้ใจผมเริ่มทำงานหนักอีกแล้ว หัวใจจะวายไหมเนี่ย

   “บ้า! ไปอาบน้ำแล้ว ขี้เกียจพูดด้วย!!” ผมว่าก่อนจะเชิดหน้าเดินลงจากเตียงแล้วรีบตรงดิ่งไปในห้องน้ำทันที

   โอ้ยยย!! เช้านี้ผมรู้สึกเหนื่อยจัง รู้สึกเหมือนผมเพิ่งไปออกกำลังกายมา หัวใจผมทำงานหนักมาก แบบที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมปาร์คต้องทำท่าทางแปลกๆ แกล้งผมแบบนี้ด้วย รู้ว่าผมมีใจด้วยแต่ยังมาเล่นกับผมอีก คิดว่าผมเป็นไม่รู้สึกหรือไง หรือปาร์คจะแอบไหวหวั่นกับผมแล้วจริงๆ ก็... ปาร์คพูดว่าตัวผมหอม อร๊ายยย... เขิน เลิกคิดๆ อาบน้ำดีกว่า

   ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานพอสมควร โชคดีที่ปาร์คมีแปรงสีฟันใหม่พอดี ผมเลยจิ๊กมาใช้ตั้งแต่เมื่อคืน ฮ่าๆ ที่อาบนานไม่ใช่อะไรหรอก ทำใช้อยู่ว่าถ้าออกไปเจอหน้าปาร์คแล้วจะทำหน้ายังไง ก็แหม มันยังเขินอยู่นิ ลองให้คนที่รักมาทำแบบนี้กับคุณบ้างสิ แล้วคิดจะรู้ว่าผมไม่ได้เว่อร์เลย ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวแกล้งก็เถอะ
   ผมก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อผ้าที่หลวมโคตรๆ ตัวเดิมของปาร์ค ผมมัวแต่เขินจนลืมหยิบชุดเข้าไปเปลี่ยนน่ะสิ อย่ามองว่าผมซกมก หันไปมองปาร์คที่ยังคงนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง แต่ที่โต๊ะข้างๆ เตียงไม่มีกล่องของขวัญของผมแล้ว!

   “หึหึ” ปาร์คส่งเสียงหัวเราะอย่างมีเลศนัย พลางมองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม

   “หัวเราะอะไร อาบน้ำแป๊บเดียว เป็นบ้าไปแล้วเหรอ” ผมจิกกัดไป ขณะที่ตัวเองกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมอยู่

   “ป๊าววว... หึหึ” ปาร์คยังคงไม่หยุดมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
 
   “มีอะไร บอกมานะ!” ผมเดินเข้าไปหาปาร์ค ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไปเลย

   “ก็... เซ็กซี่ดีนะ” ปาร์คว่า ทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก เซ็กซี่อะไร ใครเซ็กซี่ นี่มันพูดกับผมอยู่เปล่าวะเนี่ย ทีวีก็ไม่ได้เปิด ปาร์คเองก็ไม่ได้ดูอะไรในโทรศัพท์มือถืออยู่ด้วย

   “ใครเซ็กซี่ เป็นอะไรเนี่ย งงหมดแล้ว!” ผมแหวเสียงเข้มใส่ปาร์คที่ยังนอนยิ้มมองผมเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรว่าผมกำลังจะเดือด

   “ฟร๊องก์ไง เห็นแห้งๆ อย่างงี้แอบซ้อนรูปเหมือนกันนะ” ห๊า!! ผมเนี่ยนะ อะไรของมันวะ มึงพูดบ้าอะไร ไอ้ปาร์ค!

   “พูดอะไรฟร๊องก์งงไปหมดแล้ว” ผมยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูด

   “ก็ลองดูที่ประตูห้องน้ำสิ หึหึ”

   เพียงแค่ผมหันกลับไปมองยังประตูห้องน้ำที่เพิ่งออกมาเท่านั้นแหละครับ ผมนี่เห็นภาพเลยทีเดียว ผมลืมไปเลยว่าประตูมันเป็นกระจกขุ่น!! แม้จะไม่ได้เห็นในห้องน้ำทั้งหมด แต่เวลาที่เดินผ่านหน้าประตูนี่เห็นสัดส่วนเต็มๆ เลยแหละครับ และที่สำคัญ ฝักตัวมันอยู่เยื้องกับประตูบ้านี่ด้วย งั้นก็แปลว่าปาร์คเห็นสัดส่วนผมหมดเลยสินะ!!

   “อะ... ไอ้โรคจิต ไอ้ @$&%##^%%#%!!” ผมก้มหน้างุดๆ พร้อมปากที่ขยับด่าเสียงดัง หมดกันผม จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ปาร์คต้องแซวผมจนแก่แน่ๆ เลย พลาดมาก! ไอ้ผมก็มัวแต่เขินบ้าบอ ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ ไม่แหกตาดูอะไรเลย

   “ใครใช้ให้มองเล่า!” ผมยังคงก้มหน้าอยู่ ไม่กล้าสบตากับปาร์ค มันจะเห็นเงาช้างน้อยของผมด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้

   “ก็เห็นหุ่นน่ามอง ก็เลยเผลอมองไป ไม่เป็นไรหรอกน่า คนกันเอง ฮ่าๆ” ปาร์คว่าพลางหัวเราะเยาะผมเสียงดัง “เอางี้ ฟร๊องก์นอนดูของปาร์คดิ จะได้ถือว่าหายกัน ฮ่าๆๆๆ”

   “ใครจะไปดู... ของเล็กๆ ชิ!” ผมว่าและเชิดหน้าใส่ ก่อนจะเดินเอาผ้าขนหนูไปตาก

   “ลองแล้วหรอ ถึงว่าเล็ก โดนของพี่แล้วจะร้องไม่ออกนะน้อง” ปาร์คยังคงเล่นไม่หยุด ไม่ต้องตกใจไป มันเป็นแบบนี้ตลอดแหละ เล่นเยอะจนบางทีผมก็คิดเยอะตามไปด้วย

   “ไปอาบน้ำเลยไป! จะออกไปรอข้างนอก เร็วๆ ด้วยหิวข้าวแล้ว” ผมว่าก่อนจะรีบออกนอกห้องไปทันที จะอยู่ให้ตัวเองพรุนเพิ่มหรือไง ทำไมผมสู้ปาร์คไม่เคยได้เลยเนี่ย ไม่ยอม!!

   ว่าจะถามเรื่องของขวัญสักหน่อยว่าเห็นยังหรือหายไปไหน เพราะผมออกมาดูที่กระเป๋าของผมที่อยู่นอกห้อง ก็ไม่เจอของขวัญนะ ผมจำได้ว่าวางไว้แล้วเมื่อคืน แต่มันหายไปไหนเนี่ยสิ มัวแต่ทะลึ่งอยู่ เลยไม่ได้ถามเลย

**********__________**********

   ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ผมนั่งดูทีวีที่โซฟารับแขกรอคุณชายปาร์คอาบน้ำ ก่อนนี้ผมแอบไปสำรวจตู้เย็นมาแล้ว กะว่าจะทำอะไรกินด้วยกัน แต่ปรากฏว่าเปิดตู้เย็นไปแล้วแทบจะหน้าหงายกลับมาเลย แทบจะไม่มีของสดอยู่เลยด้วยซ้ำ มีแค่ไส้กรอกสำเร็จรูปนิดหน่อย และไข่ไก่อีก 3-4 ฟอง นอกนั้นอัดแน่นไปด้วยเบียร์ เหตุผลที่ไม่ค่อยเที่ยวก็คงเพราะแบบนี้สินะ

   “เสร็จแล้วครับผม น้องฟร๊องก์ของพี่รีบไปเปลี่ยนชุดเร็ว จะได้ออกไปกินข้าวกัน” ปาร์คเดินออกมาจากห้องในชุดใหม่พร้อมเที่ยว

   ปาร์คแต่งตัวค่อนข้างชิลล์ แต่ก็หล่อและดูดีมาก เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อน ต้องการจะสื่ออะไรหรือเปล่าเนี่ย พับแขนขึ้นมาถึงข้อศอกแบบเท่ๆ และไม่ติดกระดุมที่ต้นคอสองเม็ด และห้อยแว่นกันแดดเอาไว้ มันก็เผยให้เห็นกล้ามอกนิดหน่อย กับกางเกงผ้าขาสั้นสีน้ำตาล ใส่ถุงเท้าด้วย แสดงว่าคงไม่ได้คีบแตะไป ที่ข้อมือมีเพียงนาฬิกาเหมือนเดิม แม้จะดูธรรมดา แต่มันก็ดูเต็มมากสำหรับการออกไปกินข้าว

   “ว่าแต่พี่ปาร์คจะแต่งตัวออกไปเที่ยวไหนหรอครับ แค่ออกไปกินข้าวจะต้องแต่งเต็มขนาดนี้เชียวเหรอ” เล่นมาผมก็เล่นกลับครับ มันชอบเล่นแบบนี้บ่อยๆ อยู่แล้ว

   “พี่ปาร์คจะพาน้องฟร๊องก์ไปเที่ยวด้วยนี่ครับ เลยต้องหล่อหน่อย” ปาร์คว่าพลางยิ้มสดใส แต่ก็เหมือนพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ด้วย

   “พาน้องฟร๊องก์ไปเที่ยว ต้องเลี้ยงน้องฟร๊องก์ดีๆ ด้วยนะ” ผมเดินเข้าไปใกล้ปาร์คมากขึ้น พร้อมพยายามยิ้มในแบบที่คิดว่าทำแล้วดูยั่วมากที่สุด ซึ่งมันอาจจะดูทุเรศในสายตาปาร์คก็ได้ แต่เล่นมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ต้องเอาให้สุด เผื่อรอบนี้ผมจะชนะบ้าง

   “รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะครับ เดี๋ยวพี่ปาร์คอดใจไม่ไหว แล้วจะไม่ได้ไปไหนกันพอดี” น็อคดาวน์เลยครับเจอแบบนี้ ชอบพูดให้ไหวหวั่นอยู่เรื่อยเลย บางทีมันแหย่ผมเล่นทางโทรศัพท์ มันก็ไม่เขินขนาดนี้หรอกครับ แต่นี่มันเล่นต่อหน้าผมอย่างนี้ ไม่ไหวครับๆ ขอชิ่งหนีก่อนดีกว่า

   วันนี้อะไรกันเนี่ย ตั้งแต่ตื่นแล้วนะ แปลกทั้งปาร์ค และแปลกทั้งความรู้สึกของตัวเอง รู้สึกว่าหัวใจมันกระชุ่มกระชวยยังไงไม่รู้ มันเหมือนกับต้นไม้ที่แม้จะไม่ได้ขาดน้ำหล่อเลี้ยง แต่มันก็ไม่ได้รับการใส่ปุ๋ย จนมาถึงวันนี้ มันเหมือนมีปุ๋ยวิเศษมาใส่ให้ต้นไม้ต้นนี้มันงอกงามต่อ นี่ปาร์คกำลังจะทำให้ผมสมหวังหรือเปล่า ผมกำลังจะสมหวังกับคนที่ผมรอคอยมาตลอดใช่ไหม

   ที่วันเกิดของปาร์คปีนี้พิเศษกว่าปีอื่นๆ แปลกกว่าปีอื่น เพราะมันกำลังมี ‘บางอย่าง’ เปลี่ยนแปลงไปใช่ไหม ทั้งการกระทำในวันนี้ของปาร์คมันคือสื่อถึงบางอย่างในใจ เช่นเดียวกับจังหวะหัวใจของผมและปาร์ค ที่มันกำลังจะบรรจบกันเป็นจังหวะเดียวแล้วสินะ

   ผมกลับออกมาในชุดที่ซื้อเมื่อวาน โดยที่ยังไม่ได้ซัก รู้สึกว่าตัวเองซกมกยังไงไม่รู้ ก็ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนนิ ไม่คิดว่าจะออกไปไหน คิดว่ามาค้างคืนเดียว แล้ววันนี้ก็กลับ แต่ปาร์คกลับออกไปเที่ยวอีกซะงั้น ออกมาก็เห็นปาร์คใส่รองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลนั่งรอเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

   “เชิญครับน้องฟร๊องก์” ปาร์ควาดแขนพร้อมยักคิ้วกวนๆ ให้ผม ไอ้นี่เล่นไม่เลิกจริงๆ

   ตอนแรกผมคิดว่าจะไปกินข้าวกันใกล้ๆ คอนโด แต่ที่ไหนได้ปาร์คพาผมออกมาไกลพอสมควรเลยครับ ร้านที่มันพามาเป็นร้านอาหารเล็กๆ ครับ แต่ดูภายนอกแล้วร่มรื่นมากเลย ต้นไม้เยอะมากและไม่คิดว่าจะมีร้านแบบนี้ในเมือง แต่เจ้าตัวบอกว่าอร่อยมากๆ มันมากินประจำ ส่วนผมไม่รู้จักหรอกครับ ไม่ค่อยผ่านมาแถวนี้ด้วยเพราะมันค่อนข้างไกลจากมหา’ลัย และบ้านของผม

   พอเข้ามาด้านใน ร้านนี้ตกแต่งได้น่ารักมาก ตรงกลางร้านมีต้นไม้ที่แขวนกระดาษซึ่งเป็นพรที่แต่ละคนเขียนแล้วนำมาแขวน ผนังทาด้วยสีอ่อน ประดับด้วยแจกันดอกไม้น่ารักๆ ติดผนัง ไฟสีส้มนวลๆ ให้ความรู้สึกอยากอาหารเพิ่มขึ้น จำนวนโต๊ะมีไม่มากครับ ซึ่งคนก็เต็มทุกโต๊ะ แต่โชคดีที่ยังเหลือที่ว่างอยู่ แถมยังเป็นมุมดีที่มองเห็นต้นไม้ร่มรื่นด้านนอกอีกต่างหาก

   เมื่อมาถึงโต๊ะ ผมก็เอาที่มองออกไปดูพวกต้นไม้ ใบไม้ด้านนอกทันที เพิ่งเห็นว่ามีบ่อปลาคาร์ฟด้วย เหมือนว่าตอนกลางคืนร้านจะยังคงเปิดอยู่ และสามารถเลือกนั่งด้านนอกได้ เห็นมีโต๊ะอยู่สี่ที่ จริงๆ เวลานี้ก็น่าจะออกไปนั่งได้นะ เพราะผมออกมาถึงนี่ก็ประมาณบ่ายสองแล้ว (คงไม่ต้องบอกว่าพวกผมตื่นสายกันแค่ไหน) ผมเป็นคนที่ชอบธรรมชาติ ชอบไปเที่ยวทะเล ภูเขา แต่ก็ไม่ได้ไปบ่อยนักหรอกครับ เคยไปเที่ยวแบบนี้กับปาร์คแค่สองครั้งเอง แต่ไม่ได้ไปสองคนนะ ไปกับเพื่อนๆ เนี่ยล่ะครับ แต่ว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันเนอะที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ตอนมอหกโน้น แถมยังไม่น่าจดจำสำหรับผมอีกต่างหาก

   นั่งที่โต๊ะได้ไม่นานพนักงานก็เอาเมนูมาให้ แต่ผมยังไม่รู้ตัวหรอกครับในตอนแรก มัวแต่ชื่นชมธรรมชาติอยู่ ก็ไม่คิดนี่ครับว่าจะมีร้านที่บรรยากาศดีๆ ในกรุงเทพฯ แบบนี้ บรรยากาศเหมาะมากสำหรับการมาออกเดท อ๊ะ! ออกเดต? ผมกับปาร์ค ออกเดต? แค่คิดผมก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที

   “ฟร๊องก์จะกินอะไรสั่งเลยนะ ปาร์คเลี้ยงเอง เลี้ยงขอบคุณสำหรับทุกอย่าง” ผมเลิกสนใจธรรมชาติรอบข้าง หันมามองทางต้นเสียงที่พูดเสียงทุ้มหวาน พร้อมกับสายตาเป็นประกายที่มองผมอยู่เช่นกัน ริมฝีปากของปาร์คกระตุกยิ้มบางๆ แต่มันกระแทกเต็มๆ หัวใจผมเลย นี่ผมออกเดทกับปาร์คอยู่จริงๆ หรือเนี่ย ฝันของผมกำลังจะเป็นจริงแล้วใช่ไหม เรื่องของผมกับปาร์ค...

   “อะ... อืม ใจดีจัง” ผมแกล้งพูด แต่ปากนี่ส่งยิ้มหวานออกไปเรียบร้อย ผมยิ้มจนตาโตๆ ของตัวเองแทบปิด อ่านเมนูไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ สมองมันวิ๊งๆ ไปหมด รอยยิ้มของปาร์คเมื่อกี้มันคว้าหัวใจผมให้หลุดลอยไปทั้งดวงแล้ว

   แล้วเราสองคนก็สั่งอาหารกันเป็นที่เรียบร้อย ส่วนใหญ่จะเป็นปาร์คล่ะครับที่เป็นคนสั่ง ผมไม่รู้ว่าที่นี่อะไรอร่อย และก็ไม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษ แค่มากินสองคนกับปาร์คก็อิ่มแล้ว ฮ่าๆ ก็เลยให้ปาร์คเป็นคนจัดการซะเป็นส่วนใหญ่

   สั่งอาหารเสร็จปาร์คก็ใช้สองมือนั่งท้าวคางมองผมแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไอ้คนที่โดนจ้องอย่างผมก็ทำตัวไม่ถูกสิครับ ยิ่งหวั่นไหวตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว ทำอะไรไม่ถูกแล้ว มันเขิน มันเกร็งนะเว้ย!

   “มองอะไรเล่า!” ผมว่าอย่างอายๆ ก่อนจะหันออกไปมองนอกร้านเช่นเดิม

   “มองคนเขิน”

   “ใครเขิน บ้าป่าว” ผมยิ้มไม่หุบเลยครับ ใบหน้าก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ลามไปยังใบหูแล้วตอนนี้

   “ใครไม่รู้ นั่งหน้าแดง หูแดงอยู่ตอนนี้ ฮ่าๆ” ปาร์คว่าเล่นเอาผมอายแทบมุดโต๊ะหนีเลยครับ อย่าแกล้งกันได้ไหมเนี่ย เพื่อนบ้าบออะไรปากหวานขนาดนี้!

   “ร้อนเถอะ!” ผมว่า แต่ยังไม่ยอมหันไปมองหน้าปาร์ค

   “ร้อนหรอ พี่ครับ พี่...”

   “เห้ย! จะทำอะไร” ผมร้องอย่างตกใจรีบหันกลับมาคว้าแขนที่กำลังชูขึ้นของปาร์คลงทันที

   “ไม่มีอะไรแล้วครับ โทษทีครับ” ปาร์คหันไปตอบพนักงานที่เขาเดินมาจริงๆ ก่อนจะหันกลับมายิ้มเยาะเย้ยผม “ก็เห็นว่าร้อน เลยจะบอกให้เขาลดอุณหภูมิแอร์ให้ไง”

   “ก็ใครแกล้งล่ะ!” ผมแถกลับไป พลางหันไปมองรอบร้าน ที่หลายๆ คนกำลังอมยิ้มกับท่าทางของเราสองคนอยู่ จนในที่สุดพนักงานก็ทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟจนครบ จึงถือเป็นการยุติการแซว และการแถของคนสองคน ผมค่อนข้างหิวครับ พออาหารมาก็ลงมือทานเลย ปาร์คเองก็คงหิวมากเช่นกัน เพราะเปลี่ยนจากท่าทางเล่นๆ เมื่อกี้มาก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียวเลย ฮ่าๆๆ แพ้ความหิวด้วยกันทั้งคู่


à suivre...

มาลงให้อีกตอนฮะ เดี๋ยวไม่อยู่หลายวัน (":

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 6 [3/5/2017]
«ตอบ #15 เมื่อ03-05-2017 21:16:07 »

Chapitre 6


   “นี่เราจะไปไหนกันต่ออ่ะ หรือว่ากลับห้องเลย” ผมเอ่ยถามหลังจากออกมาจากร้านอาหาร

   “อยากไปไหนต่อไหมล่ะ”

   “อืม... งั้นไปเอเชียทีคกันไหม เคยไปยัง” ผมบอกยิ้มๆ อยากไปเดินเล่น เย็นๆ แบบนี้บรรยากาศมันค่อนข้างดีเลย

   “เคยแต่ไม่บ่อยอ่ะ ขี้เกียจขับรถไป รถแม่งติด!” ปาร์คว่า

   “ก็ไม่ต้องขับรถไปสิ”

   “ไม่ขับรถไปจะไปยังไง เดินไป?” ปาร์คหันมาถามหลังจากเราสองคนขึ้นมานั่งประจำที่บนรถ

   “นั่งเรือไปไง ปาร์คก็ขับรถไปจอดไว้ในห้างหรือที่ไหนที่ใกล้ๆ ท่าเรือ ถ้าไม่มีก็ค่อยนั่งบีทีเอสไปอีกทีก็ได้”

   “นะ... นั่งเรือเนี่ยนะ” ปาร์คว่าด้วยสีหน้าแปลกๆ เหมือนกำลังวิตกกับการนั่งเรือข้ามฟาก

    “ใช่ นั่งเรือ ไม่เคยนั่งหรอ” ผมถามพลางอมยิ้ม

   “ก็ไม่เคยนิ มันจะปลอดภัยเหรอฟร๊องก์” สีหน้าปาร์คยังคงแย่เหมือนเดิม

   “ปลอดภัยสิ มีฟร๊องก์อยู่ทั้งคนจะกลัวอะไร” ผมยิ้มพร้อมกับตบอกอย่างภูมิใจ ภูมิใจกับอะไร?

   “เป็นคนขับเรือรึไง ฮ่าๆ พูดมาได้” ปาร์คยิ้มออกแล้วครับ แสดงว่ายอมไป

   “เอาน่า ลองดูสักครั้ง เดี๋ยวจะติดใจนะ”

   สุดท้ายปาร์คก็ยอมไป แม้สีหน้าจะดูกังวลบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าตอนแรก คนเรามันต้องลองอะไรที่ไม่เคยลองสักครั้ง จะได้ทำให้เรารู้ว่าเราทำมันได้และมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด

   ปาร์คขับรถมาจอดไว้ยังสถานที่หนึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือสาทรนัก ตอนขับรถหน้าปาร์คดูผ่อนคลายลงมากนะ แต่พอมาถึงท่าเรือที่มันค่อนข้างจะโครงเครงแค่นั้นแหละ หน้าปาร์คดูซีดไปทันที ถ้าจะกลัวจริงๆ

   “ฮ่าๆ หน้าซีดเลย” ผมทำเป็นหัวเราะเยาะ

   “ปลอดภัยแน่นะ” ปาร์คถามย้ำ ไม่รู้รอบที่เท่าไรแล้ว ถามตั้งแต่ออกมาจากร้าน

   ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มที่ขอบฟ้า แต่ยังพอมีแสงแดดอ่อนๆ รำไร ไม่ได้ร้อนอะไร ผมว่ามันกลับสวยงามมากด้วยซ้ำ เพราะแสงแดดที่สะท้อนกับผืนน้ำที่ทอดยาวของแม่น้ำเจ้าพระยา เกิดเป็นประกายสีทองอร่ามขึ้นมา ทำให้รู้สึกอบอุ่นมากเลย พบมองกลับไปเห็นปาร์คยืนอยู่ข้างๆ แล้วผมยิ่งรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจ แม้จะเป็นแค่เพื่อนแต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้ยืนเคียงข้างกันในเวลานี้

   “อืม เชื่อสิ นั่นเรือมาแล้ว” ผมว่าก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือปาร์คเอาไว้ ให้รู้ว่าผมจะไม่ทิ้งเขาไปไหน

   เมื่อเรือมาเทียบท่า ผมก็ก้าวขึ้นเรือโดยไม่ลืมที่จะกระชับมือที่จับกับปาร์คอยู่แล้วออกแรงดึงเล็กน้อยเพื่อให้ปาร์คก้าวตามผมเข้ามาในเรือ จากนั้นผมก็พาปาร์คไปนั่งบริเวณกลางลำเรือ เพื่อไม่ให้ปาร์คเมา คนในเรือค่อนข้างแน่น แต่ก็ยังพอมีที่นั่งว่างเหลืออยู่ แม้จะได้ที่นั่งแล้ว แต่มือของเราก็ยังไม่ปล่อยออกจากกัน ผมรู้สึกได้ว่าปาร์คเองก็กระชับมือตัวเองเช่นกัน

   ผมหันไปยิ้มให้ปาร์ค ซึ่งตอนนี้สีหน้ากลับเป็นปกติแล้ว ปาร์คไม่ได้หันกลับมามอง แต่สายตาที่ทอดยาวไปข้างหน้านั้นผมรับรู้ได้ถึงประกายแห่งความสุข ปาร์คเองก็กำลังมีความสุขใช่ไหม สุขเหมือนกับผมในตอนนี้

   “เป็นไง โอเคใช่ไหมล่ะ บอกแล้วว่ามันไม่มีอะไรหรอก” ผมพูดพลางอมยิ้ม

   “^_^” ปาร์คไม่ตอบอะไร แค่เพียงหันมาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มจางๆ ให้ผม

   ไม่นานผมสองคนก็มาถึงเอเชียทีค ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเรือ มือของเราสองคนจับกันไว้ตลอด ถ้ามองจากสายตาของคนอื่น เราคงไม่ต่างจากคู่รัก ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น ขอให้ผมได้มีความสุขสักหน่อยเถอะ

   ตอนลงเรือผมเป็นคนก้าวนำไปก่อน แต่พอขึ้นจากเรือกลับเป็นปาร์คที่จูงมือผมนำไป คงหายจากการกังวลแล้วสินะ ถึงได้มีท่าทางมั่นใจได้แบบนี้

   “ยิ้มร่าเชียว ไม่กลัวแล้วหรือไง” หลังจากขึ้นฝั่งมา ผมกับปาร์คก็ปล่อยมือกันครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไรหรอก เพราะมันไม่มีเหตุผลที่จำเป็นจะต้องจับมือกันไว้แล้วนิ

   “ใครกลัว ไหนๆ ใครกลัว” ปาร์คพูดพร้อมทำท่าดูนักเลงๆ แต่ผมว่ามันดูตลกมากกว่า

   “จ้า ไม่มีใครกลัวเลย หน้านี่ซีดเชียว” ผมเบะปากพลางยิ้มเบาๆ หมั่นไส้จริงๆ ค่อยดูนะตอนกลับจะแกล้งให้เข็ด

   จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นกัน ดูของโน้นนี่ เวลาเย็นๆ แบบนี้คนเริ่มมากันเยอะพอสมควร ปาร์คบ่นเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องมา ปาร์คเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมาก แต่ไม่ค่อยถ่ายรูปตัวเองเท่าไร แถมยังไม่ชอบให้ใครถ่ายด้วย ผมเองก็มีรูปปาร์คอยู่แค่ไม่กี่รูป ยิ่งรูปคู่นี่นับได้เลยครับ

   เราใช้เวลาเดินดูของกันพอสมควร จนตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งผมและปาร์คได้ของเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกันทั้งคู่ ที่ใช้เวลาเดินนานเพราะส่วนใหญ่ปาร์คจะหยุดถ่ายรูปตามจุดแนวๆ โดยใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายเนี่ยล่ะครับ แต่ภาพก็ออกมาสวยอยู่ แถมบางทียังแอบถ่ายผมเวลาเผลอๆ อีกด้วย ผมแอบเห็นบางครั้งที่ปาร์คกำลังเล็งกล้องมาทางผม หน้าผมนี่คงตลกมาก บอกให้ลบก็ไม่ยอม เราเดินกันเรื่อยเปื่อยจนตอนนี้มาหยุดอยู่หน้าร้านขายตุ๊กตาไม้ทำมือร้านหนึ่ง ผมว่ามันน่ารักมากเลยนะ เป็นงานทำมือที่ละเอียดมาก

   “เห้ยฟร๊องก์ ดูตุ๊กตาตัวนี้ดิ หน้าเหมือนฟร๊องก์เลย ฮ่าๆ” ปาร์คกวักมือเรียกผมให้ไปดูตุ๊กตาไม้ตัวเล็กๆ ขนาดประมาณฝ่ามือที่กำลังนั่งขัดสมาธิทำหน้าแบ๊วอยู่

   “ไม่เห็นจะเหมือนเลย ตุ๊กตานี่แบ๊วจะตาย ดูสิตาโตเชียว” ผมเดินเข้าไปหาปาร์คที่ยิ้มกว้างถือตุ๊กตาตัวนั้นอยู่ ถ้าตุ๊กตาตัวนี้หน้าเหมือนผมจริง ปาร์คก็เป็นคนที่คว้ามันเอาไว้แล้วสินะ

   “ฟร๊องก์ก็ตาโตเถอะ เอาไหม เดี๋ยวซื้อให้ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิด” ปาร์คถามแต่ไม่รอฟังคำตอบจากผมเลย เดินไปหาคนขายเพื่อจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย

   “วันเกิดปาร์คเนี่ยนะ แล้วมาให้ของขวัญฟร๊องก์ทำไม” หลังจากที่ปาร์คจ่ายเงินเรียบร้อย ก็เดินกลับมาพร้อมยื่นตุ๊กตามาให้ผม

   “ก็วันเกิด เราต้องเป็นผู้ให้บ้างสิ” ปาร์คยิ้ม แต่ผมนี่สิ ยิ้มแก้มปริเลย

   ผมยินดีรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ แล้วเอามันมากอดไว้ที่อกทันที มันมีค่ามากสำหรับผม ถึงจะไม่ใช่ของแพงหรือมีมูลค่าอะไรมากมายนัก แต่คุณค่าทางจิตใจสำหรับผมแล้ว อะไรก็มาแทนที่มันไม่ได้

   “ยิ้มไม่หุบเชียวนะ ว่าแต่ของขวัญของปาร์คอยู่ไหนล่ะ ไหนบอกว่าจะให้” นั่นสิ ผมลืมนึกถึงเจ้ากีต้าร์ตัวน้อยที่ผมอุตส่าห์ไปตามหามาให้ปาร์ค ยิ่งปาร์คถามมาแบบนี้ผมยิ่งสงสัย แสดงว่าปาร์คยังไม่เห็นของขวัญเหรอ แล้วมันหายไปไหน หรือว่าผมเมาจนคิดว่าวางไว้ที่ข้างหัวเตียงในห้องปาร์คแล้วทั้งที่จริงผมลืมหยิบไปจากหัวเตียงของผมเอง

   “ฟร๊องก์ว่าฟร๊องก์วางไว้ที่โต๊ะข้างๆ หัวเตียงปาร์คนะ แต่...”

   “ปาร์คไม่เห็นเห็นเลย ฟร๊องก์เบลอหรือเปล่า” ปาร์คทำหน้างง

   “นั่นสิ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฟร๊องก์กลับไปดูที่หอให้อีกที ถ้าอยู่ที่หอเดี๋ยวฟร๊องก์เอามาให้ทีหลังนะ” ผมบอกด้วยความกังวล

   “โห้ แค่ของขวัญฟร๊องก์ยังลืมเลย ปาร์คไม่สำคัญสินะ” ปาร์คว่าด้วยท่าทางน้อยใจ พร้อมเดินหนี

   “เห้ยๆ ไม่ใช่นะ ปาร์คสำคัญกับฟร๊องก์เสมอแหละ แต่ฟร๊องก์เองยังงงเลยว่าของขวัญมันหายไปไหน” ผมรีบวิ่งไปจับแขนปาร์คไว้ทันที ผมกลัวปาร์คจะเสียความรู้สึก

   “ช่างมันเถอะ ไม่ต้องให้ปาร์คก็ได้” ปาร์คหันมาตอบยิ้มๆ แต่ดูเป็นรอยยิ้มที่ฉายแววแห่งความเศร้า

   “งั้นไปกินไอติมกัน มีร้านหนึ่งอร่อยมาก เดี๋ยวฟร๊องก์เลี้ยงเอง ถือว่าไถ่โทษแล้วกันนะ อย่าโกรธฟร๊องก์เลยนะ” ผมว่าก่อนจะอวยโอกาสคว้ามือปาร์คให้เดินตามไป

   แล้วเราก็มาหยุดที่หน้าร้านไอศกรีมโฮมเมดร้านหนึ่ง เวลาผมมาเที่ยวที่นี่ ผมต้องแวะซื้อกินเป็นประจำ เป็นไอศกรีมแบบโคน มีให้เลือกหลายรส แต่ผมว่าที่นี่รสนมจัดว่าเด็ด รู้สึกได้ว่าเขาใช้นมสดจริงๆ มาทำ

   “ปาร์คเอารสอะไร” ผมหันกลับไปถาม

   “เอาเหมือนฟร๊องก์ล่ะ ไม่รู้อะไรอร่อย” หน้าปาร์คดีขึ้น แถมยังอมยิ้มอีกด้วย

   “พี่ครับ เอารสนมสองอัน” ผมหันไปบอกคนขาย แต่ก็ต้องยืนรอสักพักถึงจะได้ เพราะคิวค่อนข้างเยอะ

   “อ่ะนี่ได้แล้ว อร่อยมากกก” ผมว่าพลางทำหน้าฟินสุดฤทธิ์

   “ไปหาที่นั่งกัน เมื่อยอ่ะ” ปาร์คว่าหลังรับไอศกรีมจากผมไป จากนั้นเราก็ไปหาที่นั่งกัน ได้ที่ดีพอดีเลย ใกล้ริมน้ำ ลมพัดเย็นๆ กับแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว

   ไอศกรีมวันนี้มันอร่อยกว่าทุกครั้งที่ผมเคยมากิน ผมกินไอศกรีมไปก็แอบลอบมองปาร์คที่นั่งอยู่ข้างๆ ไป นั่งพิจารณาใบหน้าเรียบเนียนได้รูป เส้นคิ้วที่เรียงสวย จมูกโด่งเป็นสัน และปากสีแดงระเรื่อที่กำลังจัดการกับไอศกรีมอยู่นั้นอย่างเพลินๆ จนปาร์คเองก็หันมามองผมเช่นกัน เราสองคนสบตากันพอดี ดวงตาคมเป็นประกายของปาร์คที่มองเข้ามายังนัยน์ตาของผม ก่อนที่นิ้วเรียวของปาร์คจะค่อยๆ เอื้อมมาแตะที่ริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

   “กินดีๆ สิ เลอะหมดแล้ว รู้ว่ามันอร่อยแต่ไม่ต้องรีบก็ได้” ปาร์คพูดติดตลก พร้อมใบรอยยิ้มบางๆ แต่น้ำเสียงเข้มเจือความเป็นห่วง นิ้วหัวแม่มือเรียวค่อยๆ บรรจงเช็ดไอศกรีมที่เลอะปากผมออก

   “อ๊ะ... อืม ขอบคุณนะ” ผมก้มหน้าหนีจากสายตานั้น มันทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมอายและอาจจะถึงขั้นละลายลงไปกองกับพื้นราวกับไอศกรีมนี้ได้

**********__________**********

   ผมกับปาร์คนั่งกันสักพัก ไอศกรีมหมดไปนานแล้ว เราสองคนก็นั่งเงียบกันตั้งแต่ที่ปาร์คเช็ดปากให้ผมนั่นเป็นต้นมา ผมก็แอบเหลือบมองปาร์คอยู่บ้าง แต่ไม่กล้ามองตรงๆ แล้วครับ อายมาก ยอมรับว่าแพ้ดวงตาคู่นั่น ส่วนปาร์คก็นั่งอมยิ้มมองยังผืนน้ำเบื้องหน้าอยู่เงียบๆ โดยที่ผมเองก็เดาความคิดของปาร์คไม่ถูกเหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่

   “นี่ไปนั่งชิงช้าสวรรค์กัน มาที่นี่ยังไม่เคยขึ้นเลย” อยู่ๆ ปาร์คก็หันมาพูดกับผม เล่นเอาผมที่แอบมองอยู่สะดุ้งเลย

   “เอาดิ ฟร๊องก์ยังไม่เคยขึ้นเหมือนกัน” ผมตอบยิ้มๆ

   “ป่ะ ไปกัน” แล้วอยู่ๆ ปาร์คก็คว้ามือผมไปทันที

   ไม่นานเราก็มาอยู่บนชิงช้าสวรรค์ที่เป็นแลนด์มาร์กของที่นี่เรียบร้อย แน่นอนครับว่าปาร์คเป็นคนจ่ายเงิน สบายไป เราสองคนนั่งฝั่งเดียวกันครับ ทั้งที่กระเช้าก็ถือว่ากว้างพอสมควร แต่ปาร์คกลับมานั่งติดกับผมซะงั้น จะว่าไปวิวมันก็ไม่ได้สวยเท่าไรหรอกครับบนนี้ เพราะมองไปทางไหนกรุงเทพฯ ก็เต็มไปด้วยตึกอยู่แล้ว จะมีก็แต่แสงไฟที่สะท้อนผืนน้ำที่สั่นไหวเป็นระลอกคลื่นนั้น ที่ทำให้เงาสะท้อนของแสงไฟนั้นเป็นประกายระยิบระยับเหมือนแสงดาวกลางท้องน้ำ

   แล้วอยู่ๆ กระเช้าเราก็มาหยุดอยู่ตรงจุดยอดของชิงช้า เพราะให้คนขึ้นกระเช้าที่ด้านล่าง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือปาร์คโน้มหัวลงมาอิงที่ไหล่ผม เล่นเอาผมนั่งนิ่ง ค้างเติ่งเหมือนกระเช้าที่หยุดอยู่กับที่ไปเลย

   “บรรยากาศดีเนอะว่าไหม” ปาร์คพูดเสียงแผ่ว

   “อ่ะ... อืม” ผมตอบกลับไปเบาๆ เช่นกัน แต่ตอนนี้ตัวผมเกร็งมาก

   “ถ้าได้อยู่กับแฟนแบบนี้ก็คงดี” ปาร์คเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ทำเอาหัวใจผมเต้นแรงอีกครั้ง

   ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ที่หัวใจผมทำงานหนักแบบนี้ ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้นานๆ จัง อยากให้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป มีความสุขด้วยกันแบบนี้ อยากเก็บมันไว้นานๆ เพราะไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้อีกไหม

   ผมไม่รู้และไม่กล้าฟันธงหรอกว่าการกระทำของปาร์คในวันนี้ ปาร์คจะคิดยังไงกับผม อนาคตผมไม่รู้ แต่ตอนนี้คนที่อยู่ข้างๆ ผม คนที่กำลังซบไหล่ผมอยู่นี้ทำให้ผมมีความสุข ทำให้หัวใจผมเต้นแรง ทำให้ผมยิ้มได้อย่างไม่มีข้อกังขา และเขาคนนี้คือคนให้ชีวิตผมมีแสงสว่างที่สดใส เขาอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้ตลอดไปก็พอ

   ปาร์คยังคงซบไหล่ผมอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านานเท่าไร จนกระทั่งสิ้นสุดรอบของเราทั้งคู่ ผมไม่อยากให้ชิงช้าสวรรค์หมดรอบเลย แต่จะทำไงได้ล่ะ แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขจนปริ่มล้นแทบสำลักออกมาแล้ว

   “กลับกันเถอะ เดี๋ยวดึก ยังไม่ได้แกะของขวัญเลย” ปาร์คว่าพลางเดินนำผมไปยังท่าเรือ

   ขากลับนี้ปาร์คไม่มีท่าทีกลัวเรือเหมือนตอนแรกครับ คงรู้แล้วแหละว่ามันไม่ได้อันตรายอะไร ผมก็พอเข้าใจนะครับ คนไม่เคยทำ แล้วลองทำอะไรครั้งแรก ก็ย่อมมีกลัวกันบ้าง แต่ดูคราวนี้สิ เป็นผู้นำเชียว

**********__________**********

   ใช้เวลามากพอสมควรกว่าที่จะฝ่ารถติดมาถึงคอนโดฯ ของปาร์คได้ เมื่อมาถึงคอนโดฯ พวกผมก็ต้องเหนื่อยกันอีกรอบ กับการขนของขวัญ ทั้งกล่องเล็กกล่องใหญ่ (แต่ก็ยังคงไม่เห็นกล่องของขวัญของผมเช่นเดิม) ขึ้นห้อง

   “ฮ้า หมดซะที” ปาร์คล้มตัวลงนั่งที่โซฟาทันทีที่ขนของขวัญเที่ยวสุดท้ายขึ้นมาบนห้อง แต่ทำเหมือนว่าขนกันหลายรอบมาก ทั้งที่จริงแค่สองรอบเอง ของขวัญมันไม่ได้มีเยอะอะไรมากมายหรอกครับ แต่มีอยู่สองกล่องที่ใหญ่ เดาได้เลยว่าคงเป็นตุ๊กตา โคตรเข้ากับปาร์คเลย ให้ตุ๊กตา ฮ่าๆ

   “ทำเป็นเหนื่อย ฟร๊องก์เห็นถือกล่องใหญ่แค่กล่องเดียวเอง โถ่” ผมแซว ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาข้างๆ ปาร์ค

   “มันหนักนะ” ปาร์คทำเสียงอ้อน เห็นแล้วขำครับ ไม่น่าเชื่อนะว่าปาร์คจะดูตลกได้ขนาดนี้ และผมคิดว่าคงไม่มีใครเคยเห็นมุมนี้ของปาร์คหรอก เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่น ปาร์คเฮฮาก็จริง แต่ก็ค่อนข้างจะเคร่งขรึมอยู่พอสมควร ไม่ได้มีมุมน่ารักๆ บวกกับความปัญญาอ่อนแบบที่ผมได้เห็นอยู่นี่หรอก

   “เริ่มแกะเถอะ อยากเห็นของขวัญแล้ว ถ้าน่ารักจะได้จิ๊ก ฮ่าๆ”

   “แหนะๆ ไม่ต้องมาเนียนเลย ของขวัญตัวเองก็ไม่มี” ปาร์คจี้จุดเล่นเอาผมเศร้าลงทันที

   “...” ผมหุบยิ้มไม่ได้พูดอะไรต่อ

   “ฟร๊องก์... เห้ย ปาร์คขอโทษ ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย โอ๋ๆ” ปาร์คหันมามองหน้าผมหน้าเสียเลยครับ ก่อนจะดึงผมไปซบอกแล้วลูบผมปลอบ “ไม่มีก็ไม่เป็นไร แค่ของขวัญเอง ยังไง ‘ตัวคน’ ก็ต้องสำคัญกว่าสิ”

   “ฟร๊องก์ไม่เป็นไรหรอก ขอโทษนะที่ลืมเอาของขวัญมา แต่มีให้แน่นอน” ผมขืนตัวออกจากแผงอกนั้น พร้อมกับขอบตาที่ร้อนผ่าวและห้ามหยดน้ำไม่ให้ร่วงหล่นจากขอบตานั้น “แกะเถอะ ดึกแล้ว” ผมตัดบท ก่อนจะก้มหน้าไปหยิบกล่องของขวัญมาไว้ในมือ

   “อืม ของฟร๊องก์ไว้ทีหลังก็ได้ไม่เป็นไรหรอกเนอะ จริงๆ ไม่ต้องให้ปาร์คก็ไม่ว่าอะไรหรอก ได้มาทุกปีแล้ว” ปาร์คเอื้อมมือมาโยกหัวของผมเบาๆ ทำให้ผมยิ้มออก แล้วเราสองคนก็ลงมือแกะของขวัญนับสิบกล่องตรงหน้า

   ไม่นานของขวัญตรงหน้าก็ถือแกะออกจากกล่องจนหมด มีของหลายอย่างครับ ทั้งถูกและไม่ถูกใจปาร์ค แต่ปาร์คบอกว่าก็ดีใจหมดแหละ เพราะทุกคนตั้งใจให้ จิตใจหล่อจริงๆ ครับ

   “เอ๊... รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง” ปาร์คทำท่านึกอะไรบางอย่างก่อนจะลุกจากโซฟาก่อนหายเข้าไปในห้องนอน ผมมองตามด้วยความสงสัย ไม่นานปาร์คก็กลับออกมาพร้อมกับกล่องของขวัญคุ้นตาในมือ

   “ของใครน๊า ลืมทิ้งไว้ในห้อง” ปาร์คทำท่าล้อเลียน ผมที่เหลียวกลับไปมอง เห็นแล้วถึงกับยิ้มแก้มปริเลยครับ นึกว่ามันจะหายไปซะแล้ว เพราะผมจำได้ว่าผมวางไว้ให้ปาร์คแล้วเมื่อคืน ที่แท้ก็แกล้งผมนี่เอง เล่นซะเนียนเลย

   “นี่แกล้งกันเหรอเนี่ย รู้ไหมฟร๊องก์ใจไม่ดีเลยนะ นึกว่าของขวัญจะหายไปแล้วซะอีก” ผมเดินไปหาปาร์คที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนจะต่อว่าด้วยใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มอยู่ไม่เปลี่ยน

   “ข้างในนี้คืออะไรนะ อยากรู้จัง แกะเลยนะ”

   “อืมมม” แล้วปาร์คก็บรรจงแกะห่อของขวัญของผมอย่างเบามือ และดูระมัดระวังมาก อย่างที่ผมบอกว่าแหละครับ ปาร์คเก็บของขวัญทุกอย่างของผมเป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้กระทั่งกระดาษห่อของขวัญ จึงไม่แปลกที่จะเห็นปาร์คตั้งใจแกะขนาดนี้ ซึ่งต่างจากอันก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

   “จะเปิดแล้วนะ” พอแกะกระดาษออกจนหมด ปาร์คก็วางกระดาษนั้นไว้ที่ชั้นหนังสือข้างๆ ประตู แล้วค่อยๆ เปิดฝากล่องของขวัญนั้นอย่างทะนุถนอม ส่วนผมนี่ยิ้มไม่หุบเลยครับ ก้มมองมือปาร์คที่กำลังเปิดฝากล่องอย่างตื่นเต้น ยิ่งกว่าเปิดดูผลสอบอีก

   “น่ารักมากเลยฟร๊องก์ มีเสียงด้วย แถมยังมีชื่อปาร์คด้วย โคตรชอบเลย” ปาร์คยิ้มกว้างทันทีที่ได้เห็นของขวัญ แถมยังเอานิ้วดีดสายกีต้าร์เบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาที่สดใสแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

   “เป็นไง น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ” ปาร์คที่ว่ายิ้มกว้างแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างกว่าอีก ปากนี่จะฉีกถึงใบหูอยู่แล้ว

   “โคตรน่ารัก น่ารักเหมือนคนให้ ถูกใจมากเลย” เมื่อกี้ผมหูฝาดหรือเปล่า ปาร์คพูดว่าผมน่ารักอีกแล้ว ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม

   “ปาร์คว่าอะไรนะ ฟร๊องก์ได้ยินไม่ชัดเลย” ผมแกล้งถามต่อ

   “น่ารักครับ น่ารักเหมือนฟร๊องก์เลย แต่ฟร๊องก์น่ารักกว่าอีก ชัดพอไหมครับ หื้ม” ปาร์คว่าพร้อมกับยื่นมืออีกข้างมาบีบจมูกผมส่ายไปมา

   “เจ็บ!” ผมว่าพลางสะบัดหน้าหนีมือใหญ่นั้น พลางย่นจมูกใส่ แต่ริมฝีปากก็ยังคงเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม

   “ขอบคุณนะฟร๊องก์ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย ขอบคุณที่อยู่ข้างปาร์คมาโดยตลอด ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข วันนี้ฟร๊องก์ทำให้ปาร์คมีความสุขมาก เป็นวันที่ปาร์คมีความสุขมากๆ และจะจดจำไว้ตลอดไปเลย ขอบคุณจริงๆ” ปาร์คปรับเข้าสู่โหมดซึ้ง ก่อนจะหันไปวางของขวัญที่ชั้นหนังสือเดิม แล้วดึงตัวผมเข้าไปกอด

   ปาร์คกำลังกอดผมอีกแล้ว ผมไม่ได้ฝันไป ผมรับรู้ได้ถึงท่อนแขนแข็งแรงที่กำลังโอบกอดรอบกายผมอยู่ ฝ่ามือที่กำลังลูบหลังผมอย่างแผ่วเบา และคางที่เกยอยู่บนไหล่ผม ผมรับรู้ถึงมันได้ ผมค่อยๆ ยกแขนตัวเองขึ้นกอดปาร์คกลับเช่นกัน เรายืนกอดกันอยู่แบบนั้นโดยไม่สนใจว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมมีความสุขเหลือเกิน มันสุขยิ่งกว่าสุขจากการที่เราได้รับ เพราะผมเองก็ทำให้ปาร์คมีความสุขที่ได้อยู่กับผมเช่นกัน

   “ขอบคุณนะ” แล้วปาร์คก็ผละตัวออกแล้วใช้มือมาประคองใบหน้าผมไว้แทน

   “อ่ะ... อืม มีความสุขมากๆ นะ” ผมพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ ผ่านริมฝีปาก

   “ฟร๊องก์คือคนที่ทำให้ปาร์คมีความสุขที่สุด และเป็น ‘คนพิเศษ’ ที่สุดสำหรับปาร์ค”

   “ปะ... ปาร์ค” ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ‘คนพิเศษที่สุดสำหรับปาร์ค’ ผมคือคนพิเศษของปาร์ค หมายถึงผมกับปาร์ค... ผมสมหวังแล้วใช่ไหม

   “รักนะครับ คนพิเศษของปาร์ค” ผมแทบอ่อนละทวยเหมือนได้ยินคำบอกรักจากปากของปาร์ค ปาร์ครักผม เช่นเดียวกับที่ผมรักปาร์ค แต่มันจะใช่ความรักแบบเดียวกันหรือเปล่านะ

   “...” ผมพูดอะไรต่อไม่ถูก ตอนนี้ทุกอย่างมันล้มปริ่มที่อกข้างซ้ายของผมแล้ว ปาร์คปล่อยมือจากใบหน้าผมก่อนจะยีเส้นผมของผมเบาๆ ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้

   วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ปาร์คมีความสุข แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นวันที่วิเศษที่สุดเลย ตั้งแต่ตื่นถึงตอนนี้ ไม่มีวินาทีไหนแล้วที่ผมไม่มีความสุข ผมลืมความทุกข์ทุกอย่าง และปาร์คคือคนเดียวที่ทำให้ผมก้าวผ่านความทุกข์มาได้


à suivre...

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รู้สึกใจไม่ดีแปลกๆ  :serius2: :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 7 [5/5/2017]
«ตอบ #18 เมื่อ05-05-2017 20:01:55 »

Chapitre 7

   หลังจากที่เราสองคนผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ผมก็ขอตัวไปอาบน้ำก่อน ขืนอยู่ต่อหัวใจผมจะวายเอาได้ ในระหว่างที่ผมอาบน้ำ ปาร์คก็อาสาเอาเสื้อผ้าผมไปซักและอบแห้งให้ สำหรับใส่ต่อวันพรุ่งนี้ หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็กลับออกมาในเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของปาร์ค กับกางเกงกีฬาแบบยางยืดขาสั้นที่ผมต้องผูกเชือกไว้แน่นเพื่อกันไม่ให้มันหลุด ส่วนปาร์คอาบน้ำด้านนอกเสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน

   เมื่อตากผ้าขนหนูและเสื้อผ้าผมเสร็จเรียบร้อย เราสองคนก็ล้มตัวลงนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แต่มันไม่เหมือนกับเมื่อคืนก่อน เพราะตอนนี้เรานอนมองตากันและกันอยู่

   “ฝันดีนะ” และก็เป็นผมที่ต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน ไม่ไหวจริงๆ ครับ หน้าผมจะไหม้อยู่แล้ว

   “ฝันดีเช่นกันนะ... ฟร๊องก์” ปาร์คยิ้มบางๆ ก่อนจะปิดไฟ

   ตอนนี้เรานอนอยู่ใกล้กันมาก แม้จะไม่ได้กอดกัน แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากตัวปาร์ค ซึ่งมันทำให้ผมอบอุ่นใจมาก แม้วันนี้สถานะของเราสองคนมันจะดูเหมือนเกินเส้นของคำว่าเพื่อนไปแล้ว แต่ผมก็ยังมั่นใจไม่ได้เพราะทุกอย่างมันก็ยังดูคลุมเครืออยู่เช่นกัน 

   ไม่นานปาร์คก็หลับไปพร้อมกับผมหายใจแผ่วและถี่เป็นจังหวะ ผมมองไล่รายละเอียดบนโครงหน้าของปาร์คที่กำลังหลับสนิทอยู่ และพิจารณาว่าปาร์คกำลังคิดอะไรกับผมอยู่ แล้วจะรู้ไหมว่าหัวใจผมมันถูกกระตุ้นให้มีความหวังมากขึ้น แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะทำอะไรมากกว่านี้ ผมกลัวว่าสิ่งที่ผมทำจะทำให้เขาไม่สบายใจ และบางทีปาร์คอาจจะห่างเหินกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เพื่อรักษาระยะก็ได้ ผมไล่มองมาหยุดที่ริมปีปากบางสีแดงนั้น ผมอยากลองสัมผัสเรียวปากอิ่มสีระเรื่อนั้นจัง ตั้งแต่เมื่อเช้าที่ปาร์คแกล้งผมแล้ว ถ้าวันนี้ผมขอก้าวล้ำเส้นของความเป็นเพื่อน จะเป็นอะไรไหม

   ผมค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ปาร์คมากขึ้น ก่อนจะก้มลงจริดริมฝีปากของผมกับริมฝีปากของปาร์คอย่างแผ่วเบา ใจผมเต้นรั่วยิ่งกว่าเสียงกลองในเพลงร็อคหนักๆ มันเต้นเหมือนจะหลุดออกมาจากช่องอก ผมกลัวว่าปาร์คจะรู้ตัวว่าผมกำลังทำในสิ่งที่น่าอับอายอยู่

   “อื้อ” ผมถึงกับสะดุ้ง เมื่อปาร์คขยับตัว หัวใจผมเต้นเร็วมากด้วยความตกใจเหมือนเพิ่งไปวิ่งมาสักร้อยรอบ และไม่กล้าที่จะทำอะไรมากกว่านี้ จึงถอยตัวกลับมานอนข้างๆ ผมยังคงนอนมองปาร์คต่อไปเรื่อยๆ จนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

**********__________**********

   “ฟร๊องก์...” เสียงใครปลุกผมแต่เช้าเนี่ย คนกำลังหลับสบาย

   “...” ผมพลิกตัวหนีความรำคาญ

   “ฟร๊องก์ ตื่นได้แล้ว” โอ๊ย! ใครวะแม่ง คนจะหลับจะนอน ใครบังอาจเข้ามาในห้องกูวะ!

   “อื้อออ...” ผมพลิกตัวพร้อมกับเอามือปัดไปมาด้วยความรำคาญ พลางเอาหน้ามุดกับหมอนข้าง

   ว่าแต่ ทำไมหมอนข้างมันแข็งๆ วะ ผมจำได้ว่าผมเลือกซื้อหมอนข้างนิ่มๆ มานี่ แต่ทำไมตอนนี้มันแข็ง แถมยังขยับเองได้ด้วย

   “เห้ย!” เมื่อผมลองลืมตาขึ้นมองก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจทันที ผมกำลังนอนซุกอกปาร์คอยู่ แถมตอนนี้ปาร์คอยู่ในสภาพเปลือยทอนบนอยู่อีกต่างหาก!

   “ตื่นได้แล้ว สายแล้ว ได้รีบกินข้าว จะได้พาไปส่ง” ปาร์คพูดเสียงเรียบแต่ก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

   “ปะ... ปาร์คจะทำอะไรฟร๊องก์!” ผมผละออกจากอกปาร์ค ก่อนจะถามด้วยความตกใจ ก็ตกใจจริงๆ นี่ อยู่ๆ ตื่นมาก็เจอปาร์คกำลังแก้ผ้านอนอยู่ข้างๆ แบบนี้

   “เปล่า” ปาร์คยังคงตอบเสียงเรียบ ผมเงยหน้ามองปาร์ค สายตาปาร์คดูแปลกๆ ไป รวมทั้งน้ำเสียงด้วย ทำไมมันดูเย็นชาไปหมด

   “ปาร์ค เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามเสียงแผ่ว

   “เมื่อคืน... ฟร๊องก์ทำอะไร” ปาร์คยังคงพูดคงเสียงราบเรียบในโทนเดิม แต่เริ่มดันตัวเองออกห่างจากผม ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

   “ทะ... ทำอะไร” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ลุกขึ้นมานั่งตามปาร์ค เมื่อคืนผมแอบขโมยจูบปาร์ค แต่เขาหลับไม่ใช่เหรอ แล้วเขาจะรู้ได้ไงว่าผมทำอะไร ผมมั่นใจว่าเขาหลับนะ เขาต้องหลับไปแล้วสิ

   “ตอนที่ปาร์คหลับ ฟร๊องก์ทำอะไรกับปาร์ค” น้ำเสียงปาร์คเริ่มแข็งมากขึ้น ดวงตาคมกริบจ้องทะลุเข้ามายังดวงตาของผม ที่ตอนนี้ได้แต่ก้มหลบสายตา ผมกลัว ถ้าปาร์คไม่ได้หลับ ถ้าปาร์ครู้ว่าผมแอบครอบครองริมฝีปากนั้น ผมจะทำยังไง ปาร์คจะเกลียดผมหรือเปล่า ตอนนี้ในหัวผมมีแต่คำถามตีกันวุ่นวายไปหมด

   “ปะ... เปล่านะปาร์ค ฟร๊องก์ได้ทำอะไรที่ไหน ละเมอไปเองล่ะมั้ง” ผมแกล้งหัวเราะและเล่นมุกตลกเพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่ทำไว้

   “กูจะถามมึงเป็นครั้งสุดท้ายนะฟร๊องก์ เมื่อคืนมึงทำอะไรกับกู!” สิ้นเสียงของปาร์ค ผมถึงกับต้องเงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจ ทั้งที่ปกติปาร์คไม่เคยพูดจาแรงและจริงจังขนาดนี้กับผมเลย ส่วนใหญ่ปาร์คจะเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ และเรียกผมว่าฟร๊องก์เสมอ แต่ครั้งนี้ทำไมปาร์คถึงเปลี่ยนไป แถมหน้าของปาร์คตอนนี้ก็ดูไม่เหมือนปาร์คคนเดิมที่ผมเคยรู้จักด้วย

   “ปาร์ค!” ผมได้แต่เรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ

   “เมื่อคืนมึงทำอะไรไว้อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ ที่กูยอมให้มึง ‘จูบ’ อยู่แบบนั้น เพื่อกูจะพิสูจน์ว่ามึงจะหยุดตัวเองได้หรือเปล่า แต่แล้วมึงก็ไม่หยุดมัน จนกูต้องเป็นฝ่ายหยุดการกระทำบ้าๆ นั้นเอง!” ปาร์คพูดเล่นเอาผมอึ้ง นี่เขารู้ตัว เขารู้ตัวตลอดว่าผมทำอะไรเขา เป็นไปได้ไง ในเมื่อเขาดูเหมือนคนหลับสนิทขนาดนั้น แล้วตอนที่เขาขยับตัว นั่นแปลว่าเขาเตือนผมให้หยุดใช่ไหม นี่ผมทำอะไรลงไป

   “ปาร์ค... ฟร๊องก์ไม่ได้ตั้งใจนะ ฟร๊องก์ขอโทษ อย่าโกรธฟร๊องก์เลยนะ” ผมรีบปรี่เข้าไปแกะแขนกำยำนั้นไว้ทันที “ฟร๊องก์สัญญานะว่าต่อไปนี้ฟร๊องก์จะไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นอีก ฟร๊องก์สัญญาว่าฟร๊องก์จะคิดกับปาร์คแค่เพื่อน แค่เพื่อนเท่านั้น...” น้ำตาผมไหลออกมาไม่หยุด ผมพูดรัวๆ รวดเดียวเพราะกลัวว่าปาร์คจะไม่อยู่รอฟังผม ผมจะต้องทำยังไง เขาจะหายโกรธผมไหม เขาจะเกลียดผมหรือเปล่า ผมจะต้องเสียคนที่ผมรักไปไหม หรือแม้แต่ความเป็นเพื่อนผมก็ยังไม่สามารถเป็นได้อีกต่อไป

   ปาร์คเงียบไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้สลัดแขนออก เขายังคงนั่งนิ่ง ปล่อยให้ผมเกาะแขนและร้องไห้เป็นคนบ้าอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ทุกอย่างมันมืดไปหมด ผมคิดอะไรไม่ออก ผมรู้แต่ว่าผมผิด ผิดที่ทำอะไรแบบนั้นลงไป แล้วผมจะต้องทำยังไงเพื่อชดเชยความผิดนี้

   “ฟร๊องก์ขอโทษนะปาร์ค ฮึกๆ ฟร๊องก์ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ฮึก ก็เมื่อวานปาร์คทำเหมือน... มีใจให้ฟร๊องก์” ผมขอร้องพลางสะอื้น 

   “ปล่อยปาร์คเถอะ ปาร์คขอโทษที่การกระทำของปาร์คมันทำให้ฟร๊องก์เข้าใจผิด” ปาร์คแกะมือผมออกจากแขนของเขา ก่อนจะจับเอาไว้ “ปาร์คอยากให้ฟร๊องก์ลองกลับไปทบทวนนะ เราเคยพูดกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเราจะเป็นแค่เพื่อนกัน และฟร๊องก์ก็รับปากว่าจะไม่คิดเกินเลย แต่ฟร๊องก์กลับทำลายความไว้ใจที่ปาร์คมีให้ กลับทำลายความเชื่อใจในตัวฟร๊องก์ ฟร๊องก์กลับทำลายมันหมด ลองคิดทบทวนดูให้ดีนะ ถ้าฟร๊องก์ยังคิดเกินเลยกับปาร์คอยู่ ปาร์คว่าเราคง... เป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกต่อไป”

   แค่ปาร์คพูดจบ ผมก็ปล่อยโฮออกมาอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายผมกับปาร์คก็เป็นไม่ได้แม้แต่เพื่อนกัน ทุกอย่างผมเป็นคนก่อเอง ผมเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันพังเอง ทำลายความรู้สึกดีๆ ความไว้ใจของปาร์คเอง นี่ใช่ไหมสิ่งที่ผมสมควรจะได้รับ เพราะการเผลอใจให้กับความต้องการของตัวเอง

   “รีบไปอาบน้ำเถอะ จะได้ไปหาอะไรกิน” ปาร์คพูดแล้วก็เดินจากไป ก่อนจะหันกลับมาพูดต่อ “เสื้อผ้าฟร๊องก์ ปาร์คเอาไปไว้ห้องน้ำ ‘ข้างนอก’ แล้วนะ”

   ผมยังคงนั่งร้องไห้อยู่บนเตียง ร่างกายผมรู้สึกอ่อนแอไปหมด ตอนนี้ผมเหมือนคนไม่มีแรง ไม่มีแรงแม้แต่จะหายใจต่อ หัวใจผมเหมือนกำลังถูกใครบีบเอาไว้อย่างแรง จนผมปวดแน่นที่ทรวงอก สถานที่ที่ผมจะไปชำระล้างร่างกายคือห้องน้ำด้านนอก ที่ของผมก็คือข้างนอก นอกใจของปาร์คเช่นกัน...

**********__________**********

   ผมใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าที่จะลากสังขารออกไปอาบน้ำยังห้องน้ำด้านนอกได้ หลังจากประโยคสุดท้ายที่ปาร์คพูดเอาไว้ ก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนอีก ตอนนี้ปาร์คคงเกลียดผมไปแล้ว ส่วนผมก็ไม่รู้จะขอโทษยังไงอีก แม้จะอยากพูด อยากปรับความเข้าใจแทบตาย แต่เพราะผมทำผิดเอาไว้จริงๆ พูดไปก็ยิ่งเหมือนผมแก้ตัว

   คุณเคยเป็นไหม เวลาที่ทำผิดอะไรสักอย่างแล้วถูกจับได้ มันจะเหมือนมีชนักติดไว้ที่หลังคุณตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน หรือไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ความผิดนั้นก็ไม่มีวันหลุดไปถ้าเราไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน สำหรับตอนนี้ปาร์คคงไม่อยากจะฟังคำอธิบายใดๆ จากผมอีกแล้วแหละ

   เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงที่ผมใช้เวลาอาบน้ำ สลับกับการร้องไห้อย่างหนักอยู่ในห้องน้ำ สายน้ำที่ไหลผ่านร่างกายผมไปมันจะช่วยล้างความผิดของผมออกไปได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ในที่สุดผมก็ก้าวออกมาจากในนั้น ปาร์คที่แต่งตัวเสร็จนานแล้วนั่งกดโทรศัพท์รอผมอยู่ตรงโซฟา ผมอยากเดินเข้าไปนั่งคุยด้วยจัง แต่ก็ทำได้แค่เช็คผมแล้วเอาผ้าขนหนูไปตาก

   ผมเข้าไปเอากระเป๋สะพายในห้อง และไม่ลืมหยิบตุ๊กตาไม้ที่ปาร์คซื้อให้ติดมาด้วย อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้เก็บช่วงเวลาดีๆ ไว้สักหน่อย เพราะมันคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว จากนั้นผมก็ออกมาจากห้อง สายตาพยายามมองหาของขวัญที่วางไว้บนชั้นหนังสือเมื่อคืน แต่ก็ไม่พบ ผมได้แต่ถอนหายใจและคิดว่าปาร์คคงทิ้งไปแล้ว เพราะคงไม่อยากได้อะไรที่เป็นของผมอีกแล้ว

   “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ แล้วก็... ขอโทษ” ผมพูดด้วยเสียงแผ่วเบาหลังจากเดินมาหยุดที่โซฟา

   “...” ปาร์คไม่ตอบอะไร ก่อนจะหยุดเล่นโทรศัพท์แล้วหยิบกุญแจรถและกระเป๋าสตางค์เดินนำออกไป ผมจึงเดินตามปาร์คออกไปอย่างเงียบๆ โดยทิ้งระยะห่างจากเขาพอสมควร

   “จะกินอะไรก่อนไหม” ปาร์คเริ่มบทสนทนาใหม่หลังจากที่เราสองคนขึ้นประจำที่บนรถ

   ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ผมไม่รู้สึกหิวใดๆ ทั้งสิ้น ผมแทบไม่มีความรู้สึกอะไรกับสิ่งรอบตัวเลยด้วยซ้ำ นอกเสียจากความรู้สึกปวดหน่วงๆ ที่อกด้านซ้าย เหมือนมีใครเอาแผ่นเหล็กร้อนๆ มาทาบเอาไว้ที่หัวใจของผม

   ปาร์คก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ สรุปคือบทสนทนาของเราสองคนจบลงแค่นี้ ปาร์คขับรถออกไปเรื่อยๆ ไม่ช้า แต่ก็ไม่เร็ว ไร้ซึ่งเสียงสื่อสารใดๆ มีเพียงแต่เสียงแอร์คอนดิชั่นเนอร์ และเสียงลมหายใจแผ่วๆ ของผมและปาร์คสลับกันอยู่เท่านั้น มันช่างเป็นสภาวะที่กดดันและทรมานเหลือเกิน

   ใจจริงก็อยากถามอยู่เหมือนกันนะว่าของขวัญอยู่ไหนหรือไปไว้ไหนแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าถามออกไป เพราะกลัวได้ยินคำตอบแล้วจะเสียใจเอง ปาร์คเองก็ดูไม่ได้สนใจผมเท่าไร เขาตั้งใจกับการขับรถมาก จนในที่สุดก็มาถึงหอผม

   “ฟร๊องก์ไปก่อนนะ” ผมพูดเสียงเศร้าก่อนจะลงจากรถไป

   ปาร์คขับรถออกไปช้าๆ ผมรู้สึกเหมือนหัวใจผมมันกำลังจะแตกสลายเหมือนรถที่วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายก็ได้ที่ผมจะได้เห็นหน้าปาร์ค และคงเป็นวันสุดท้ายที่เป็นเพื่อน และ ‘คนพิเศษ’ ของกันและกัน

   “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจ ก่อนจะหอบร่างที่ไร้เรี่ยวแรงขึ้นไปยังห้องของตัวเอง ต่อไปนี้ผมคงต้องเข้มแข็งขึ้น อยู่กับความเป็นจริง ทำเพื่อพ่อแม่ อยากเป็นคนที่แข็งแรงและร่าเริงเหมือนเดิม แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ผมถึงจะเป็นฟร๊องก์คนเดิม

**********__________**********


ต่อด้านล่าง...

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 7 [5/5/2017]
«ตอบ #19 เมื่อ05-05-2017 20:03:03 »

ต่อๆ


   เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงวันจันทร์ ผมไม่อยากออกไปไหนเลย ตลอดวันที่ผ่านมาตั้งแต่ที่ปาร์คมาส่งผมที่หอตอนสายๆ ผมก็ไม่ได้ออกจากห้องเลย ผมไม่หิว ไม่ได้กินข้าว เอาแต่นอนร้องไห้ ตอนนี้ผมไม่พร้อมจะเจอใครทั้งนั้น หลังจากที่ปาร์คมาส่งผมที่หอ เราสองคนก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ปาร์คไม่โทรมาหาผม และผมเองก็ไม่กล้าจะโทรหาเขา

   เมื่อวานที่ผ่านมา ผมไม่รู้ว่าผมร้องไห้ไปเยอะแค่ไหน และไม่รู้ว่าตัวเองมีสภาพเป็นอย่างไร ผมแค่อยากร้อง คุณเคยเป็นไหม ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาออกมาแล้ว ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ร้องจนเหนื่อย เหนื่อยแล้วหลับไป ตื่นมาเมื่อไร ผมก็จะร้องไห้ออกมาอีก

   ถึงแม้จะไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากพบเจอใคร แต่ผมก็จำเป็นจะต้องออกไปเรียน ผมไม่อยากให้พ่อแม่ผิดหวัง ไม่อยากให้ท่านเสียเงินส่งเสียผมฟรีๆ ค่าเทอม ค่าอะไรต่อมิอะไรก็แพงไม่ใช่น้อย ฉะนั้นผมต้องทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดเหมือนกัน

   ผมจัดการตัวเอง อาบน้ำ แต่งตัว ทำตัวเองให้ดูดีที่สุดเท่าที่สภาพจะเอื้ออำนวยได้ เพราะแค่ผมได้ส่องกระจก ก็ต้องตกใจกับสภาพที่ดูไม่ได้ของตัวเอง ตาที่บวมและช้ำมากๆ หน้าตาเศร้าหมอง แววตาเหมือนคนที่ไร้วิญญาณ ผมเผ้ายุ่งเหยิง บอกตรงๆ ว่าสภาพของผมตอนนี้ดูไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้

   เมื่อจัดแจงตัวเองให้ดูดีขึ้น (นิดหน่อย) พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็รู้สึกปวดหัวมากขึ้น จริงๆ มันมึนๆ ตั้งแต่ผมตื่นแล้วแหละ แต่ก็พยายามอดทน เมื่อแต่งตัวเสร็จผมก็ไม่ลืมหยิบแว่นตากันแดดมาสวมเพื่อปิดบังดวงตาทั้งสองที่บวมคล้ำ ถึงผมจะเศร้า จะท้อหรือมีปัญหาแค่ไหน แต่ถ้าผมจะต้องออกไปเจอผู้คน ผมจะแสดงให้เขาเห็นไม่ได้ว่าเราอ่อนแอ ผมเป็นพวกไม่ชอบให้ใครมาสงสาร

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ ผมก็รีบพุ่งตัวไปหามันทันที ผมหวังว่าปาร์คจะโทรมา แต่ก็ไม่ใช่ แต่เป็นเก็ทต่างหาก คงจะมาถึงหอผมแล้วจึงโทรมา

   “เสร็จแล้ว เดี๋ยวลงไป” ผมกรอกเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด

   [อืม] เก็ทตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนจะตัดสาย

   ผมคว้าหนังสือ สวมรองเท้า แล้วไม่ลืมจะเช็คตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายว่าดูปกติไหม ก่อนเดินลงไปหายังรถเก็ทที่จอดรออยู่ด้านล่าง

   “ใส่แว่นดำทำไม แดดก็ไม่ได้แรง เป็นอะไรหรือเปล่า” เก็ทตั้งคำถามทันทีที่ผมขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งข้างคนขับ ซึ่งเป็นที่ประจำของผม

   “เปล่า” ผมตอบและทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

   “เอาดีๆ มีอะไรก็บอก” เก็ทเริ่มจะเค้นคำตอบ

   “บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร ไปเถอะ คนอื่นรออยู่ เดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน” ผมตัดบท ก่อนจะหันออกไปมองนอกรถแทนเพื่อบอกเป็นนัยๆ ว่าให้หยุด

   “อืม” มักจะเป็นประจำของเขา ที่จะเฉยชาแบบนี้ เก็ทมักจะไม่เซ้าซี้ ถ้าอีกฝ่ายอยากพูด เก็ทก็จะรับฟังและเป็นที่ปรึกษาที่ดี ผมเองก็ค่อนข้างสนิทกับเก็ทนะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่าเก็ทมักใส่ใจผมเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะผมหรอกนะ เก็ทใส่ใจเพื่อนทุกๆ คน

   เมื่อมาถึงมหา’ลัย แน่นอนว่าทุกคนถามผมว่าเป็นอะไร ทำไมต้องใส่แว่นกันแดด ซึ่งก็แน่นอนอีกว่าผมไม่บอกใคร และจะไม่ตอบปฏิเสธอะไรออกไป ทุกคนก็คงสงสัยกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้ามาวุ่นวายอะไร มีก็แต่เก็ท ที่ค่อยจับผิดผมมาตั้งแต่เช้า (ทุกวันจันทร์ผมมีเรียนเช้าครับเก้าโมงเช้าจนถึงหกโมงเย็น เรียนบ้าไปเลยใช่ไหมล่ะ จะมีพักช่วงสายๆ สิบโมงครึ่งถึงบ่ายโมง จากนั้นก็เรียนต่อยาวๆ)

   ความปวดหัวของผมทวีความรุนแรงมากขึ้น ผมเองก็ไม่ได้พกยามากินด้วย ก็อย่างว่า แค่เมื่อเช้าว่าจะกินยังลืมเลย แต่ผมก็ไม่ได้บอกใครนะครับ ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ทุกคนไปซื้อข้าวกัน ส่วนผมนั่งจองเฝ้าโต๊ะไว้ และบอกพวกนั้นว่าผมไม่หิว ก็มันไม่หิวจริงๆ แหละ ตอนนี้ผมอยากนอน แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าปาร์คเป็นยังไง ป่านนี้จะเกลียดผมไปแล้วหรือยัง จะนึกถึงผมบ้างหรือเปล่า จะรู้บ้างไหมว่าผมเป็นยังไง

   หลายคนคงคิดนะครับว่าผมใส่แว่นกันแดดเข้าเรียนได้ยังไง ผมอ้างกับอาจารย์ว่าตาผมเพิ่งหายแพ้มาครับ หมอสั่งห้ามโดนแสงจ้า จึงทำให้ยังไม่มีใครได้เห็นว่าผ่านใต้เลนส์แว่นตาบางๆ นั้น สภาพดวงตาผมทุเรศแค่ไหน

   ปึก!

   “กินซะ!” จานข้าวถึงวางที่ด้านหน้าของผม พร้อมด้วยคำสั่งห้วนๆ ของเก็ท

   “วู้วๆ ผัวซื้อข้าวมาให้เมียด้วยเว้ย” นุ่นส่งเสียงแซวทันทีเมื่อเธอเดินมาถึงโต๊ะ ทำให้พวกที่เหลือ ไม่เว้นแม้แต่แก้ว ที่ตอนนี้ดูจะมีซัมธิงกับดิวไปซะแล้ว ก็ยังไม่วายหัวเราะคิกคักเยาะผม

   “ไม่กิน ไม่หิวอ่ะ” ผมว่าพร้อมกับพลักจานข้าวออกไป

   “กินซะหน่อย จะได้มีแรง สภาพดูไม่ได้แล้วรู้ตัวบ้างไหม” เก็ททำเสียงดุ เขากำลังใช้สายตากดดันผม แถมยังดูเหมือนดวงตาคู่นั้นสามารถมองทะลุแว่นที่ผมใช้ปิดบังได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

   “ไม่หิวจริงๆ เดี๋ยวขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ” ผมว่าก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไปเพื่อตัดปัญหา ผมไม่ชอบให้ใครมาคอยจับผิดแบบนี้!

   “มานี่หน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย” ผมเดินมาใกล้ถึงห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังโรงอาหาร อยู่ๆ ก็มีมือใหญ่ก็มาคว้าแขนผมให้เดินตามไปทันที

   ปึก!
 
   เก็ทผลักผมเข้าไปในรถของเขา ก่อนจะแทรกตัวเข้ามานั่งด้วย ทำให้ผมต้องขยับตัวไปนั่งอีกเบาะ เขาไม่ลืมที่จะสตาร์ทรถเพื่อไล่ความร้อน และไม่ต้องกลัวใครจะเห็นเพราะรถเก็ทติดฟิล์มทึบมากๆ

   “มีไร! อยู่ๆ ก็ลากตัวมา ตกใจหมด” ผมพูดอย่างหงุดหงิด

   “...” เก็ทไม่พูดแต่ยื่นมือมาคว้าแว่นกันแดดผมออกทันที

   “เห้ย! เอาคืนมานะ!” ผมรีบคว้าคืน แต่ก็ไม่ทัน แถมยังถูกเก็ทคว้าข้อมือรวบไว้อีกต่างหาก

   “ทำไมสภาพถึงเป็นแบบนี้” เก็ทเค้นเสียงถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง

   “ไม่ได้เป็นอะไร แค่นอนน้อย” ผมก้มหน้างุดๆ เพื่อกลบเกลื้อนสิ่งที่กำลังโกหก

   “นอนน้อยแต่ทำไมตาถึงบวมเหมือนคนที่ร้องไห้ไม่หยุดแบบนี้” เก็ทยังคงคงน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงด้วยความกดดันและดูเป็นห่วงเป็นใยอย่างมาก นี่เป็นเหตุผลที่ผมค่อนข้างจะสนิทกับเก็ท เขาใส่ใจคนอื่น แม้ว่าภายนอกจะดูขรึมๆ แต่จริงๆ แล้วเขาสังเกตเพื่อนๆ เสมอ

   “ไม่มีอะไรหรอกน่า เอาแว่นคืนมาได้แล้ว” ผมพูดพลางแกะแขนออกจากการจับกุมของเขา

   “ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายคนที่เป็นห่วง รู้จักรักตัวเองซะบ้าง เดี๋ยวกลับไปที่โต๊ะแล้วกินข้าวซะด้วย อย่าให้ต้องพูดซ้ำอีก ไม่งั้นจะจับกรอกปากซะให้รู้แล้วรู้รอด” เก็ทพูดยาวด้วยเสียงดุ ก่อนจะคืนแว่นผมแล้วเปิดประตูลงจากรถไป ผมจึงตามออกไป

   แต่ก้าวออกจากรถมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ความปวดหัวที่สะสมมาก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ โลกมันดูหมุนไปหมดจนหน้าเวียนหัว แล้วจู่ๆ สติผมก็วูบดับไปพร้อมกับเสียงแว่วสุดท้าย

   “เห้ย! ฟร๊องก์!”

**********__________***********

   “อื้อ” ผมรู้สึกตัวด้วยอาการปวดหัวและกระบอกตาอย่างรุนแรง

   “ฟื้นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างๆ ผม ทำให้ผมต้องค่อยๆ ปรับสายตาเพื่อมอง

   “ฟร๊องก์อยู่ที่ไหน” 

   “อยู่โรงพยาบาล ฟร๊องก์เป็นลมไป เก็ทเลยพามาที่นี่” เก็ทลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะก้มลงมาเอามือมาอังที่หน้าผากของผม “เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวไหม”

   “ปวดหัวมากเลยเก็ท ฟร๊องก์เหนื่อย ฟะ... ฟร๊องก์...” ผมพูดติดๆ ขัดๆ เหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว ทำไมผมถึงอ่อนแอแบบนี้

   ผมไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหน แต่ร่างกายผมยังรู้สึกอ่อนเพลีย รวมทั้งจิตใจของผมด้วย หัวใจของผมตอนนี้แทบไม่มีแรงที่จะเต้นต่อไปด้วยซ้ำ

   “เหนื่อยก็หยุดพักก่อนสิ” เก็ทพูดเสียงนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ มือใหญ่ที่แตะหน้าผากเมื่อสักครูเลื่อนมาลูบผมของผมอย่างแผ่วเบา

   “ฟร๊องก์... ทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย ฟร๊องก์ทำลายความเชื่อใจที่มีต่อกัน ฟร๊องก์... ฮือๆ เขาต้องเกลียดฟร๊องก์แล้วแน่ๆ เลยเก็ท เขาคงเกลียดฟร๊องก์ไปแล้ว” ผมระบายสิ่งที่อึดอัดอยู่ในใจออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

   “ไม่มีความผิดใดที่คนเราจะให้อภัยกันไม่ได้หรอกนะ แต่ตอนนี้เขาอาจจะแค่อยู่ในอารมณ์โกรธ ฟร๊องก์ก็หมั่นง้อเขาสิ ถ้าเขารู้ว่าฟร๊องก์แคร์เขามากขนาดนี้ เก็ทเชื่อว่าเขาไม่มีทางเกลียดฟร๊องก์ได้หรอก” เก็ทยังคงลูบหัวผมอย่างแผ่วเบาอย่างให้กำลังใจ

   การที่คนเราเจอเรื่องอะไรที่เลวร้ายมา บางทีเราก็แค่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ ใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้างเรา ไม่ทิ้งให้เราเผชิญกับปัญหาอย่างเดียวดาย ผมก็แค่ต้องการใครสักคนเพื่อรับฟัง ผมเจ็บปวดเหลือเกินที่เก็บไว้คนเดียวโดยไม่รู้ว่าทางออกมันจะเป็นแบบไหน ผมไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ไม่รู้จะเผชิญปัญหานี้อย่างไร

   ปาร์คจะรู้หรือเปล่าว่าผมไม่สบาย จะรู้ไหมว่าผมสำนึกผิดและเจ็บปวดกับการกระทำที่เลวร้ายของตัวเองแค่ไหน หรือว่าปาร์คไม่สนใจผมแล้ว

   “ฟร๊องก์ไม่รู้ว่าฟร๊องก์จะต้องทำอย่างไรต่อไป ฟร๊องก์กลัวเขาเกลียดฟร๊องก์ ฟร๊องก์กลัว...” ผมพูดรัวๆ พร้อมกับเสียงสะอื้น

   “ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตอนนี้ก็พักก่อน ดูแลตัวเองก่อน เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีขึ้นเอง”

   “...” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เก็ทปลอบผมอยู่อย่างนั้นจนเผลอหลับไปอีกครั้ง     

   ผมตื่นมาอีกครั้งพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงที่หอแล้วครับ ส่วนคนที่พามาก็นั่งดูทีวีที่ปิดเสียงเอาไว้อยู่ ปิดเสียงไว้แล้วจะดูรู้เรื่องไหมล่ะนั่น

   “เก็ท... หิวน้ำ” ผมพูดเสียงแผ่วเบา แต่ก็ยังพอทำให้ผู้ที่อยู่ร่วมห้องด้วยได้ยิน ตอนนี้ผมรู้สึกเพลีย และคอแห้งมาก ส่วนตาไม่ค่อยปวดเท่าไรแล้ว เพราะผมคงนอนหลับไปนานพอสมควร เพราะดูจากฟ้าแสงนอกผ้าม่านแล้ว มันมืดมาก แสดงว่าตอนนี้ก็คงมืดแล้ว แต่แค่ไม่รู้ว่ากี่โมง

   “อ่ะ เดี๋ยวกินข้าว กินยาแล้วก็นอนพักซะ พรุ่งนี้ไม่ต้องไปเรียนหรอก สภาพอย่างนี้” เก็ทลุกจากการจ้องหน้าจอทีวีไปเทน้ำมาให้ผม ก่อนจะเดินกลับไปอุ่นโจ๊กในไมโครเวฟให้ผมอีกครั้ง

   “ไม่ค่อยหิวเลยอ่ะ อยากนอนมากกว่า” ผมพูดเสียงอ่อยหลังจากดื่มน้ำเสร็จ

   “ไม่หิวก็ต้องกิน หมอบอกว่าฟร๊องก์อดอาหาร นี่ไม่ได้กินข้าวมากี่วันแล้ว” เก็ทพูดเสียงเข้ม เดินไปที่โต๊ะทำงานพร้อมกับโจ๊กที่อุ่นเมื่อครู่ “กินเองไหวไหม หรือต้องให้ป้อน”

   “กินเองได้” ผมว่าก่อนจะค่อยๆ ลุกลงจากเตียงไปยังโต๊ะ

   ผมนั่งทานโจ๊กได้ไม่กี่คำก็วางช้อนลง มันรู้สึกขมคอไปหมด ไม่มีความอร่อยเลย แต่เก็ทก็บังคับให้ผมทานต่ออีกตั้งหลายคำ จนผมต้องบอกว่าไม่ไหวแล้วจริงๆ เก็ทถึงยอมให้กินยาแล้วพากลับไปนอนที่เตียง

   ผมไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันนะว่าจะมีสภาพแย่ได้ถึงขนาดนี้ และไม่อยากจะเชื่อด้วยว่ามันเพิ่งจะผ่านวันที่ผมมีความสุขที่สุดมาแค่ไม่กี่วัน วันที่ทั้งสุขมากจนแทบสำลักและทุกข์อย่างแสนสาหัส มันคงจริงอย่างที่เขาว่าสินะ ความสุขอยู่กับเราไม่นาน เมื่อใดที่สุขก็ตักตวงมันให้เต็มที่ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าทุกข์มันจะย้อนกลับมาเมื่อไหร่ ในเมื่อความสุขมันอยู่กับเราไม่นาน แต่ทำไมความทุกข์ ความเศร้ามันกลับอยู่กับเรายาวนานเหลือเกิน หรือว่าจริงๆ แล้วความสุขที่แท้จริงนั้นมันไม่มีจริง แค่เมื่อใดที่ความทุกข์ทุเลาลง ช่วงเวลานั้นเราถึงเรียกว่าเราสุขมากขึ้น

   วันนี้คงเป็นวันที่ผมล้ม หมดแรงที่จะวิ่งตามหัวใจตัวเองต่อแล้ว ไม่ใช่เพราะมันหนีผมไปไกลหรอก แต่มันเข้ามาใกล้เกินจนผมอดใจไม่ไหวที่จะต้องคว้ามันมาเชยชม แต่แค่มือของผมจับมันไม่มั่นคงพอ นั่นจึงทำให้มันเตลิด หนีผมไปไกลกว่าเดิม จนตอนนี้ผมคงตามมันไม่ทัน และหามันไม่เจออีกแล้ว
 
   เพราะผมทรยศหัวใจตัวเอง ผมก้าวล้ำสถานะของตัวเอง ทั้งที่ผมเป็นคนสัญญาไว้แท้ๆ แต่ผมกลับทำมันพังด้วยตัวของผมเอง อย่างว่าแหละ ขนาดตัวเองยังเจ็บใจเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนที่โดนทำลายความเชื่อใจล่ะ ถ้าผมเป็นปาร์ค ผมคงเกลียดคนที่ทำกับผมแบบนี้มาก ทั้งที่ผมเชื่อใจและไว้ใจ

   “ฮึก...” คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาตลอด ทั้งที่ผมไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากเพราะผม แต่ตอนนี้ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมห้ามมันไม่อยู่จริงๆ

   “ร้องวันนี้ซะให้พอ แล้วพรุ่งนี้ฟร๊องก์จะต้องเข้มแข็งกว่านี้นะ” เก็ทเดินเข้ามานั่งข้างๆ พลางเอามือลูบผมอย่างแผ่วเบาเป็นกำลังใจ

   “ฟร๊องก์ขอโทษ... นะ ฮึก... ที่ทำให้เก็ท... ต้องลำบากแบบนี้” ผมพูดติดขัด พร้อมเสียงสะอื้นประปราย

   “เพื่อนกัน ก็ต้องดูแลกันสิ” เก็ทยังคงลูบหัวผมอยู่ “ทุกคนมีวันที่อ่อนแอทั้งนั้นแหละ แต่เราต้องข้ามมันไปให้ได้ ยังมีอีกหลายคนนะที่อยู่ข้างๆ เรา” เก็ทว่าพลางยิ้มบางๆ

   “ขอบคุณนะ ขอบคุณ...”

   คืนนี้เก็ทอยู่เป็นเพื่อนผมทั้งคืน โดยที่เขาอ้างว่า กลัวผมอยู่คนเดียวแล้วจะฟุ้งซ่าน คิดทำร้ายตัวเอง แต่ก็ดีแล้วครับที่เก็ทอยู่เป็นเพื่อน เพราะถ้าผมอยู่คนเดียว ผมคงจมอยู่กับความเศร้า ดูอะไรเศร้าๆ ฟังเพลงเศร้าๆ อย่างเดียว แต่คงไม่ถึงขั้นฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเองหรอกครับ

   วันต่อมาผมและเก็ทไม่ได้ไปเรียนด้วยกันทั้งคู่ เก็ทอยู่ดูแลผมทั้งวัน ส่วนใหญ่จะนอนหลับมากกว่าเพราะเมื่อคืนเก็ทแทบไม่ได้นอนเลย เพราะต้องนั่งปลอบและฟังผมร้องไห้และระบายความอึดอัด ความทรมานในใจแทบทั้งคืน ผมเองก็เพลียสะสมมาหลายวัน ตื่นมาล้างหน้า กินข้าวกินยา แล้วก็นอนหลับต่อเช่นกัน

   เพื่อนคนอื่นไม่ต้องเป็นห่วงครับ เก็ทเป็นคนโทรบอกและรับสายจากบางคนเรียบร้อยหมดแล้ว รวมทั้งฝากลาอาจารย์ให้ด้วย ได้พักพร้อมทั้งมีคนอยู่ด้วยแบบนี้ก็ค่อยดีขึ้นหน่อยครับ อย่างน้อยวันนี้ผมก็ไม่ค่อยฟุ้งซ่านมากเท่าไร ผมไม่ร้องไห้แล้ว แต่ก็ยังคงซึมๆ อยู่ เก็ทก็ดูแลผมเป็นอย่างดีครับ โดยเฉพาะเรื่องอาหารและยา บังคับให้ผมกินอย่างกับเป็นหมอซะเอง


à suivre...

อ้าววว!!! กำลังมีความสุขอยู่ดีๆ ทำไมปาร์คทำแบบนี้ล่ะ!!  :hao5:

สงสารฟร๊องก์ แต่ก็แอบอิจฉาที่ฟร๊องก์โชคดีมีเพื่อนอย่างเก็ท ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรมากไปกว่าเพื่อนหรือเปล่า

ส่วนไอ้ปาร์ค มันจะกลับมาไหมก็ไม่รู้ ใจร้ายเกิน!!   :angry2: :angry2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

from PAST to FUTURE... Chapitre 7 [5/5/2017]
« ตอบ #19 เมื่อ: 05-05-2017 20:03:03 »





ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
รอติดตามนะค๊ะ

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด ว่าแล้วว่าใจไม่ดี๊ ไม่ดี มาเจอตนนี้เข้าไป อินน้ำตาซึมเลยค่ะ  :sad4: :o12: :o12:

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 8 50% [6/5/2017]
«ตอบ #23 เมื่อ06-05-2017 19:49:10 »

Chapitre 8
50%

   วันเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ แต่อาการผมยังคงไม่ดีขึ้นเลย หลังจากที่ผมป่วย ผมก็กลับไปเรียนตามปกติ เพื่อนๆ ในกลุ่มก็เข้ามาถามไถ่ แต่ไม่มีใครเซ้าซี้ถึงเรื่องส่วนตัวที่เกิดขึ้นมากนัก คงเพราะอาการที่ยังไม่คงที่ของผม ถามมาเดี๋ยวบ่อน้ำตาผมแตกอีก

   เวลาไปเรียนและอยู่ต่อหน้าเพื่อน ผมพยายามทำตัวร่าเริง เหมือนปกติที่ ‘เคย’ เป็น แต่พอกลับมาอยู่ที่หอคนเดียวทีไร ผมก็มักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเบอร์ของปาร์ค ดูรูป แม้แต่ของขวัญชิ้นพิเศษที่ผมได้รับในวันนั้น แล้วร้องไห้ประจำ ผมอยากกดโทรออกแต่ใจผมไม่กล้าพอ และวันนี้เองก็เช่นกัน ผมนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังโชว์เบอร์ของปาร์คที่เตรียมเพื่อกดโทรออกอยู่

   ติ๊ด ติ๊ด!

   แต่ไม่ทันที่ผมจะกดอะไร หน้าจอก็ตัดไปเป็นภาพคู่ระหว่างผมกับปาร์คโชว์ขึ้นมาทันที ปาร์คโทรหาผมครับ เขากลับมาแล้วจริงๆ

   “...” ผมรีบกดรับทันที แต่ยังไม่ได้พูดอะไรกับไป มือที่จับมือถืออยู่นั้นกำลังสั่นจนรู้สึกได้

   [ฟร๊องก์] เสียงราบเรียบที่ละมุนหูนั่นดังขึ้น พร้อมกับหยาดน้ำตาของผมที่ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่

   “ปะ... ปาร์ค ฮึก” ผมส่งเสียงกลับไปพร้อมเสียงสะอื้น ทั้งที่ไม่อยากให้ปาร์คได้ยิน ไม่อยากให้ปาร์ครู้ว่าผมกำลังร้องไห้

   [ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไร หื้ม...] เสียงนุ่มทุ้ม ดูอบอุ่นของปาร์คที่ผมเฝ้ารอมาหลายวัน มันกระตุ้นบ่อน้ำตาของผมได้ดีเลยทีเดียว

   “ปะ... เปล่า” ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นและหยดน้ำตาไม่ให้ออกมา ผมไม่ได้ร้องเพราะเสียใจ แต่ผมร้องเพราะผมดีใจ ดีใจมากที่ได้คุยกับคนๆ นี้อีกครั้ง หลังจากไม่ได้ยินเสียงเป็นเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ แต่สำหรับผมกลับรู้สึกว่าเราทั้งคู่ห่างกันไปเป็นเดือน เป็นปี

   [ยังขี้แยเหมือนเดิมเลยนะ โตขนาดนี้แล้ว] ปาร์คพูดติดตลก แต่น้ำเสียงนุ่มทุ้มแสนคุ้นหูนั้นยังคงแฝงด้วยความเป็นห่วงที่มีอยู่อย่างชัดเจน

   “ปาร์คเป็นไงบ้าง ไม่โกรธฟร๊องก์แล้วใช่ไหม” ผมถามออกไปอย่างร้อนรน

   [สบายดี ปาร์คไม่ได้โกรธอะไรฟร๊องก์สักหน่อย แค่... ให้เวลาฟร๊องก์ได้คิดทบทวนดู ยังไงเราก็ยังเป็น ‘เพื่อน’ กันนิ] นี่สินะครับ คำยืนยันที่ชัดเจน ปาร์คยังคงยืนยันคำเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และมันคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างที่ผมคิด ผมเพ้อเข้าข้างตัวเองด้วย ผมควรจะรู้ตัวได้แล้วสินะครับ

   “อืม... ’เป็นเพื่อนกัน’ แค่ปาร์คไม่โกรธ ไม่เกลียดฟร๊องก์ก็ดีใจแล้ว” ผมยิ้มทั้งน้ำตา ใจหนึ่งก็ดีใจที่ปาร์คไม่โกรธผม แต่อีกใจกลับสมเพศตัวเองที่ทำได้แค่ย้ำกับตัวเองให้กลับไปอยู่ ณ จุดๆ เดิม
 
   [อย่าคิดมากนะ ยังไงเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม เหมือนที่เคยเป็น] มันไม่เหมือนเดิมหรอกปาร์ค เพราะหลังจากวันนั้น ที่ฟร๊องก์คิดเข้าข้างตัวเอง ความรู้สึกฟร๊องก์มันก็ถลำลึกลงไปกว่าเดิม จนฟร๊องก์ไม่สามารถถอนตัวจากปาร์คได้แล้ว

   ใครจะว่าผมโง่ ผมงี่เง่า ผมจมปลัก ผมก็ไม่สนใจหรอก ถ้าคุณได้เรียนรู้ถึงความหมายและคุณค่าของคำว่ารักที่มีให้กับใครสักคน คุณจะรู้ว่าคำๆ นี้มันศักดิ์สิทธิ์และมีค่ามาก มันทำให้คุณยอมได้ทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุข แม้จะเป็นรักแค่ข้างเดียวก็ตาม

   ผมนอนคุยโทรศัพท์กับปาร์คไปเรื่อยๆ ถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสา หลังจากที่ไม่ได้คุยกันหลายวัน อาการผมดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยต่อไปนี้ผมก็คงไม่ต้องนอนร้องไห้แทบทุกคืน แค่ผมได้คุยกับปาร์คเหมือนเมื่อก่อน ก็ถือเป็นโชคดีของผมแล้ว จากนี้มันขึ้นอยู่กับตัวผมเองที่จะต้องห้ามใจ และบังคับใจตัวเองไม่ให้คิดเกินเลยอีก และหยุดอยู่ในที่ๆ ตัวผมควรอยู่

**********__________**********

   หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกอย่างก็ดู (เหมือน) จะเข้าที่เข้าทาง กลับมาเป็น ‘ปกติ’ ปาร์คยังคงโทรหาผมบ้าง แต่อาจจะไม่ทุกคืนเหมือนแต่ก่อน คุยสั้นบ้างยาวบ้าง แต่ผมก็โอเคแล้วแหละ ด้านสภาพจิตใจผมไม่ค่อยคิดอะไรมากแล้ว คงเป็นอีกหนึ่งความโชคดีของผมมั้งครับ ที่เมื่ออะไรผ่านไปแล้ว และทุกอย่างมันคลี่คลายแล้วผมจะไม่ค่อยหยิบมาคิดอีก ถ้าไม่มีประเด็นมาสะกิด อีกอย่างผมก็ยินดีรับสถานภาพแบบนี้มาอยู่ตลอดแล้วนี่ครับ

   วันนี้นึกยังไงไม่รู้ เก็ทถึงชวนผมออกมาทานข้าวก่อนตั้งแต่สิบโมง ทั้งที่เรียนตั้งบ่ายโมง ตอนโทรมานี่ผมกำลังงัวเงียเพิ่งตื่นเลยครับ ก็เล่นโทรปลุกตั้งแต่แปกโมงเช้า มึงจะรีบไปหนายยย! เมื่อคืนหลังคุยโทรศัพท์กับปาร์คผมก็นั่งเล่นเฟซบุ๊กและทำงานต่ออีก จนตีสามได้นอนไปแป๊บเดียวเอง ต้องตื่นอีกแล้ว แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังออกไปทานข้าวกับเก็ทนะครับ อย่างน้อยมันก็เป็นคนที่อยู่ข้างผมในยามที่ผมทุกข์อีกคน

   “นึกยังไงถึงมากินข้าวไวขนาดนี้” ผมเปิดประเด็นถามทันทีที่เก็ทมาถึง

   “ก็ไม่อะไร แค่เบื่อๆ” เก็ทว่าเสียงเรียบ สีหน้าไม่สบอารมณ์ เป็นไรของมันวะ ปกติก็นิ่งอยู่แล้วนะ แต่วันนี้ยิ่งดูนิ่งผิดปกติ

   “มีอะไรบอกได้นะ ขนาดเก็ทยังคอยช่วยฟร๊องก์เลย” ผมพูดยิ้มๆ มองมันเป็นกำลังใจให้ ผมรู้ครับว่ามันเป็นยังไง ถ้ามันอยากจะเล่าเดี๋ยวมันก็เล่าเอง แต่คงยากหน่อย ถ้ายิ่งไปเซ้าซี้ ก็เหมือนกับผมแหละครับ มันจะยิ่งหงุดหงิด

   “ไปกินข้าวก่อนเถอะ ไว้จะเล่าให้ฟัง” เก็ทตัดบทก่อนจะขับรถไปที่ร้านอาหารแถวละแวกมหา’ลัย

   บอกว่าจะพามากินข้าว แต่ไหนพามานั่งร้านอาหารอิตาเลียนซะงั้น ไหนข้าว?? ฮ่าๆ พอมาถึงร้าน ผมสองคนก็รีบเดินเข้าไปในร้านทันที นี่ขนาดเพิ่งจะสิบโมงเช้าเองนะ แต่โคตรร้อนเลย!! ที่รีบเข้ามาข้างไหนร้านก็เพราะมันเป็นร้านติดแอร์ครับ ตอนนี้คนไม่เยอะ เรียกว่าแทบจะไม่มีคนเลยด้วยซ้ำ

   ติ๊ด ติ๊ด!

   เมื่อก้นหย่อนลงบนเก้าอี้นวม เสียงโทรศัพท์ของเก็ทก็ดังขึ้นทันที สีหน้าเก็ทเองก็เปลี่ยนไปทันทีเช่นกัน คิ้วนี่ขมวดเป็นโบว์เลยครับ เพิ่งเคยเห็นท่าทางหงุดหงิดของมันขนาดนี้

   “เดี๋ยวมานะ สั่งก่อนได้เลย” เก็ทว่าก่อนจะเดินออกนอกร้านไปพร้อมกับโทรศัพท์

   พนักงานเอาเมนูมาให้ที่โต๊ะ แต่ผมบอกไปว่ายังไม่สั่งอาหาร ขอรอเพื่อนสักครู่ พนักงานก็ยิ้มแล้วเดินจากไป ไม่ได้ว่าอะไร
 
   “ทายสิใครเอ่ย” ระหว่างที่ผมนั่งกดโทรศัพท์มือถือรอเก็ทคุยโทรศัพท์อยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีคนเอามือมาปิดตาผม พร้อมกับส่งเสียงยียวนกวนประสาทที่ฟังดูไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย ใครแกล้งกูวะเนี่ย

   “เห้ย! ใครอ่ะ เล่นบ้าอะไรเนี่ย!” ผมว่าก่อนจะดิ้นและสะบัดหน้าออกจากฝ่ามือนั้นทันที

   “เห้ย!/อะไรวะ!” ผมกับชายนิรนามสบถออกมาพร้อมกัน ด้วยสีหน้าที่ตกใจทั้งคู่ แต่ผมดูจะเป็นความหงุดหงิดมากกว่า เล่นบ้าอะไร รู้จักกันเหรอ!

   “ผะ... ผมขอโทษครับ นึกว่าเพื่อน” ชายในชุดนิสิตเรียบร้อยคนนั้นก้มหัวขอโทษเป็นระวิง ด้วยสีหน้าเจื่อน

   “คราวหน้าก็ดูให้ดีๆ หน่อยสิ ไม่ใช่เล่นอะไรแบบนี้ ตกใจหมด” ผมไม่ได้ด่าอะไรกลับไปมากมายหรอกครับ ตอนแรกก็โมโหนะ แต่พอเห็นหน้าสำนึกผิดของเขาแล้วผมก็ใจอ่อนลง เพราะรู้ว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

   “ผมขอโทษจริงๆ นะครับ ไม่ได้ตั้งใจ” สีหน้าเขายังคงไม่ดีขึ้น

   “อืม... ไม่เป็นไรหรอก” ผมตอบ พร้อมส่งยิ้มบางๆ ให้เป็นเชิงบอกว่าผมไม่ได้ไม่พอใจอะไร

   “ขอบคุณครับ” แล้วใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มขึ้นมาทันที

   ผู้ชายตรงหน้าผมนี้น่าจะเรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับผมนี่แหละครับ แต่ผมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย เขาเป็นผู้ชายตัวสูง แต่ไม่มากเท่าไร แต่ก็สูงกว่าผม (แค่เล็กน้อย) น่าจะประมาณ 180 นิดๆ ผิวไม่ขาวมาก ผมไถข้าง ด้านบนยาวลงมาปิดพอสมควร ถูกจัดทรงไว้เป็นอย่างดี เข้ากับใบหน้าเรียวที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างที่ดูสดใส ซึ่งมาพร้อมกับเหล็กดัดฟันสีน้ำเงิน จมูกเป็นสัน แต่ไม่ถึงกับโด่งมาก กับดวงตาสีดำเป็นประกายบ่งบอกว่าเป็นคนร่าเริงอย่างเห็นได้ชัด ดูโดยรวมเขาเป็นคนที่หน้าตาดีมาก แต่ออกแนวหล่อแบบสดใสๆ มากกว่า

   “...” ผมไม่ได้ว่าอะไรต่อ เพราะถือว่าเรื่องโอเคแล้ว ผมก็นั่งลงที่เดิมไม่ได้สนใจเขาอีก

   “เอ่อ... ให้ผมเลี้ยงคุณเป็นการไถ่โทษนะครับ” อยู่ๆ เขาก็เดินมาพูดกับผมที่ด้านข้างของเก้าอี้

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องลำบาก” ผมตอบยิ้มๆ กลับไปตามมารยาท

   “นะครับ ไม่งั้นผมคงไม่สบายใจแน่ๆ”

   “แต่...”

   “มีอะไรกันหรือเปล่า” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เสียงเก็ทก็ดังขึ้นมาจากหน้าร้านครับ จริงๆ ตอนนี้คนในร้านก็เริ่มมองๆ มาแล้วแหละ น่าจะมองตั้งแต่ที่ผมโวยวายแล้วล่ะครับ แต่ยังดีที่มีอยู่ไม่กี่คน เลยไม่อายเท่าไร

   “แฟนหรอครับ” เขาถามสีหน้าหม่นลงทันที

   “ป่ะ... เปล่า เพื่อนน่ะ”

   “อ๋อ งั้นผมขอเบอร์ไว้หน่อยนะครับ ไว้ผมจะเลี้ยงขอโทษ อย่าปฏิเสธกันเลยนะครับ” เขาว่าก่อนจะล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงส่งมาให้ผม

   “เอ่อ... เอางั้นก็ได้” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมกดเบอร์ของตัวเองให้เขาไป แค่หันไปมองหน้าเขาแล้วเห็นรอยยิ้มมีเสน่ห์นั้น ก็ทำให้ผมตัดสินใจให้เบอร์เขาไปเลย

   “ขอบคุณนะครับ แล้วผมจะ ‘โทรหา’ ครับ” แล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้มสดใสนั้น และไม่ลืมโค้งหัวเล็กน้อยให้กับเก็ทที่เดินเข้ามาเช่นกัน

   “ใครอ่ะ มีอะไรกัน” เก็ทเดินกลับมายังโต๊ะ ก็เอ่ยปากถามทันที

   “อ๋อ... เขาทักคนผิดน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ

   “อืม สั่งอะไรหรือยัง” สีหน้าเก็ทดูเครียดกว่าตอนมาถึงอีก มีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ

   “ยังเลย รอเก็ทเนี่ยล่ะ จะได้กินพร้อมกัน” ผมพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่เหมือนเก็ทจะไม่เล่นกับผมเลย

   จากนั้นผมกับเก็ทก็สั่งอาหารตามที่ตัวเองต้องการไปคนละอย่าง ผมกินน้อยอยู่แล้วครับ เลยไม่สั่งอะไรมากินเล่น ส่วนเก็ทก็สั่งๆ ไปเหมือนไม่ได้อยากกินอะไรมากมาย เห็นเพื่อนเป็นแบบนี้ผมก็อึดอัดแทนนะครับ และก็พอเข้าใจล่ะว่าทำไมตอนที่ผมไม่สบายใจ เก็ทถึงได้ดูเป็นห่วงเป็นใยขนาดนั้น มันก็คงเหมือนกับผมในตอนนี้แหละ อยากรู้ว่าเป็นอะไรจะได้ช่วยได้ถูกจุด

   ไม่นานอาหารที่เราสั่งก็มาเสิร์ฟ เมื่อเห็นเก็ทไม่พูดอะไร ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร เป็นคนไม่ชอบเซ้าซี้ใครและไม่ชอบให้ใครเซ้าซี้อยู่แล้ว เลยไม่ซักไซ้ แล้วผมกับเก็ทก็นั่งทานกันจนอิ่ม เก็ทที่ปกติก็ทานเยอะตามประสาคนที่ตัวค่อนข้างใหญ่ แต่วันนี้กลับพร่องไปเพียงเล็กน้อย

   “ถ้าแฟนฟร๊องก์ทะเลาะกับฟร๊องก์ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง และเป็นเรื่องที่มันไม่เป็นจริงอีกต่างหาก ฟร๊องก์จะทำยังไง” อยู่เก็ทก็ถามขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำเสร็จ ทำให้ผมเงยหน้ามองเก็ทอย่างงงๆ

   “อืม... ฟร๊องก์ก็คงพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจแหละ แล้วก็พิสูจน์ว่าเรื่องที่เขาคิดมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ”

   “แต่ถ้าเราพยายามพูด พยายามอธิบายทุกอย่างแล้วหล่ะ” เก็ทถามกลับเสียงเข้ม และสีหน้าจริงจัง

   “ก็คงให้เวลาหรือปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ล่ะมั้ง คนคบกันก็ต้องเชื่อใจกัน ฟร๊องก์เชื่อนะ ถ้าคนสองคนเชื่อใจกัน อุปสรรคอะไรก็มาขวางไม่ได้หรอก” ผมว่าพลางยิ้มเล็กน้อยเป็นกำลังใจ

   “แฟนเก็ทเขาคิดว่าเก็ทกับฟร๊องก์มีอะไรกัน” เก็ทว่าเล่นเอาผมตาค้างไปเลย

   “ห๊ะ! เก็ทกับฟร๊องก์เนี่ยนะ!” ผมตาโตจ้องหน้าเก็ทอย่างตกใจและเหลือเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน

   “อืม ที่เก็ทไปเฝ้าฟร๊องก์ตอนที่ฟร๊องก์ไม่สบายนั่นล่ะ เขาคิดว่าเก็ทไปมีอะไรกับฟร๊องก์ เก็ทก็พยายามอธิบายแล้วนะ แต่เขาก็ไม่ฟัง” เก็ทพูดเครียดๆ “ขอโทษนะที่ต้องทำให้ฟร๊องก์ซวยไปด้วย แต่เก็ทสัญญาว่าจะไม่ให้ฟร๊องก์เดือดร้อนเด็ดขาด”

   “เห้ย! ฟร๊องก์เองก็มีส่วนผิด ที่ต้องให้เก็ทอยู่เฝ้า เรื่องนี้ฟร๊องก์ก็มีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบ” ผมไม่ยอมให้เก็ททะเลาะกับแฟนเพราะผมหรอกครับ เรื่องนี้คนผิดก็คือผมเลย ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่าง

   “ไม่ต้องหรอก”

   “ไม่ได้! ยังไงฟร๊องก์ต้องรับผิดชอบ เก็ทจะมาทะเลาะกับแฟนเพราะฟร๊องก์ไม่ได้!” ผมตอบกลับเสียงเข้มบอกถึงจุดยืนอันชัดเจนของตัวเอง

   “ยังไงเก็ทจะลองคุยดูก่อนอีกที ถ้าเรื่องมันถึงที่สุดแล้วจริงๆ ฟร๊องก์ค่อยช่วย” ผมรู้นะครับว่าเก็ทลำบากใจ เพราะปกติตัวเก็ทจะคอยเป็นฝ่ายช่วยเหลือเพื่อนอยู่ตลอด ฉะนั้นพอเก็ทมีปัญหา เพื่อนอย่างผมจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไปได้ไง ยิ่งเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับผมด้วย ผมยิ่งต้องยุ่งเลย

   “ยังไงเก็ทก็ต้องให้ฟร๊องก์ช่วยนะ เดี๋ยวฟร๊องก์จะช่วยอธิบายเองว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ” ผมพูดอย่างมาดมั่น

   “อืม แต่ต้องสัญญานะ ว่าฟร๊องก์จะไม่คิดมากกับเรื่องนี้ จริงๆ ก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันหนักหรอก แค่ไม่เข้าใจกันมากกว่า” เก็ทว่า แต่ผมดูจากสีหน้าและท่าทางของเก็ทตอนที่ออกไปคุยโทรศัพท์ มันดูมากกว่าสิ่งที่เก็ทพูด แต่เอาเถอะ ผมจะช่วยเต็มที่ในส่วนของผม ถ้าไปก้าวก่ายมากเรื่องอาจยิ่งยุ่งไปกันใหญ่

   แล้วเราก็นั่งคุยกันต่ออีกพัก โดยบรรยากาศดีขึ้น เพราะเมื่อลงลึกถึงรายละเอียด ผมกับเก็ทก็ต้องขำออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เพราะแฟนเก็ทเข้าใจว่าที่ผมป่วยเพราะเก็ทเป็นคนทำ คงไม่ต้องสงสัยนะว่าทำอะไร รุนแรงแค่ไหนผมถึงป่วยหนักขนาดนั้น เออ!! ก็คิดได้เนอะคนเรา ฮ่าๆๆ

   แต่ในเสียงหัวเราะของเราสองคนนั้น มันก็จะแอบมีประเด็นซีเรียสซ้อนอยู่นะ และผมว่าเก็ทเองก็คงจะคิดเหมือนกัน ว่าทำไมแฟนเก็ทที่อยู่ต่างมหา’ลัย และไม่เคยสงสัยหรือกังวลเรื่องของผมกับเก็ทมาตลอด ทั้งที่เราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมาระแคะระคาย ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรที่เรายังไม่รู้แน่ๆ

**********___________***********


เดี๋ยวมาต่ออีก 50% ที่เหลือให้นะฮะ

มีตัวละครใหม่โผล่มาอีก 2 คน จะเข้ามามีบทบาทอะไรในชีวิตฟร๊องก์หรือเปล่านะ  :hao7: :katai2-1:
แล้วมาลุ้นกันว่าแฟนเก็ทที่เกิดเข้าใจผิดเรื่องของเก็ทกับฟร๊องก์จะเป็นอย่างไร
แล้วจริงๆ แล้วระหว่างเก็ทกับฟร๊องก์มีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า?

คอมเม้นต์ติชมได้เต็มที่เลยนะฮะ เป็นกำลังใจเล็กๆ ให้พัฒนาต่อไป (":  :mew1:

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
อืมมม. เราว่าปาร์คแปลกๆอ่ะ เพื่อน ชายที่ไหนเขาทำกันขนาดนี้เหรอ งงใจ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 8 (100%) [7/5/2017]
«ตอบ #25 เมื่อ07-05-2017 20:01:08 »

50% พาร์ทหลัง

   เวลาล่วงเลยมาถึงเวลาเรียนแล้วครับ หลังจากที่ได้คุยเรื่องปัญหาของเก็ทกับแฟนเขา ท่าทางเก็ทก็ดูสบายใจขึ้น และทำตัวนิ่งๆ เหมือนปกติ เนียนมากจนไม่มีใครสงสัยเลยว่าเก็ทกำลังมีปัญหา อาจเป็นเพราะเก็ทได้ระบายออกมาด้วยมั้งครับ บางทีการเก็บอะไรไว้คนเดียว มันจะยิ่งทำให้เราจมอยู่กับความทุกข์มากกว่านะ

   แต่ในช่วงกลางวันที่เรียน เก็ทก็มีปลีกตัวออกไปคุยโทรศัพท์บ้าง แต่ไม่บ่อยนัก แต่พอกลับเข้ามาในห้องทุกครั้งเก็ทจะมีสีหน้าและอาการที่ดีขึ้น ผมว่าคงคุยกัน เข้าใจกันมากขึ้นแล้วล่ะมั้งครับ แต่ดูท่าทางเก็ทจะรักแฟนมากเลยนะ ไม่งั้นคงไม่มานั่งเครียดหรือคิดมากแบบนี้หรอก ดูแล้วน่าจะเป็นอีกหนึ่งคู่ที่น่าอิจฉา รองลงมาจากดิวและแก้ว ที่ตอนนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

   “ดีกันแล้วหรอ ยิ้มหน้ามามาเขียว” ผมแกล้งแซวทันทีที่เก็ทกลับมาถึงที่นั่ง ส่วนมากผมจะนั่งติดกับเก็ทครับ โดยบางครั้งก็จะมีไวน์มานั่งด้วย ไวน์มันชอบแกล้งเก็ทครับ แกล้งเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัว เล่นทะลึ่งๆ และที่สำคัญ เวลาอยู่กับดิวสองคนนี้ทะลึ่งมากๆ ครับ แต่เก็ทก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เก็ทเคยบอกว่าแตะโน้นนี่ได้ แต่ถ้าจับตรงน้องชาย โดนต่อยแน่

   “ก็ยังไม่มากหรอก เหมือนยังระแวงๆ อยู่นิดๆ” เก็ทว่าพลางอมยิ้มที่มุมปากแบบว่าอารมณ์ดี

   “งั้นให้ฟร๊องก์ช่วยยืนยันไหมล่ะ คิดแล้วยังขำอยู่เลย ฟร๊องก์กับเก็ทเนี่ยนะ นอกจากจะมีอะไรกันแล้ว มันคงต้องรุนแรงมากสินะ ฟร๊องก์ถึงได้ป่วยขนาดนั้น ฮ่าๆๆๆ” ผมหัวเราะคิกคัก

   “อยากช่วยเหรอ งั้นเลิกเรียนพาไปเจอเอาไหม จะได้เคลียร์กันไปเลย” เก็ทหันมายักคิ้ว ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด หรือไม่มีอะไรต้องปิดบัง

   “ห๊า! นี่จะได้เจอแฟนเก็ทตัวเป็นๆ หรือนี่” ผมแกล้งท่าทางโอเว่อร์แอคติ้ง แต่ไม่ได้กระโตกกระตากนะ อย่าลืมว่าคนอื่นไม่รู้เรื่อง

   “เว่อร์ไปมั้ง เรียนได้แล้ว” แล้วเราหันกลับไปสนใจการเรียนเหมือนเดิม

   “แหนะ ผัวเมียสองคนนี้แอบคุยอะไรกันกุ๊กกิ๊กๆ ฟร๊องก์ แกมันร้ายนักนะ! ฉันเฝ้าถนอมของฉันมาตั้งนาน” แต่ไม่ทันไร ไวน์ก็ส่งเสียงกระแนะกระแหนจิกกัดผมมา

   “ของอย่างงี้มันอยู่ที่เบ้าหน้าและ ‘ลีลา’ จ้ะ” ผมว่าพลางขยิบตาให้ไวน์ ผมกับไวน์ชอบเล่นกันขำๆ แบบนี้แหละครับ ช่วยให้ชีวิตมีสีสัน ไม่น่าเบื่อเกินไป

   “ต๊ายยย!! กล้าพูดนะ เสียซิงให้มันแล้วหรือไง” ไวน์ว่าต่อ ผมกับเก็ทมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาทันที นี่ทำไมต้องมีแต่คนคิดว่าผมกับเก็ทมีอะไรกันต้องเนี่ย

   “ของเคยๆ กันเนอะ ตัวเองเนอะ” ไอ้ผมก็ไม่ยอมหยุดนะครับ ไม่แปลกใจแล้วแหละว่าทำไมแฟนเก็ท ที่ขนาดไม่ได้มาเห็นกับตาของตัวเองยังเข้าใจผิด

   “กรี๊ดดด! อีฟร๊องก์ ออกตัวแรงนะ ทำไมไม่แบ่งกูบ้าง!! เก็ทอ่ะใจร้าย ทำไมไม่ ‘กิน’ เค้าบ้างล่ะ” ไวน์ดีดดิ้นเบาๆ พอน่ารัก แต่ก็ดูดัดจริตมากเหมือนกัน ก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นกับเก็ทที่นิ่งเงียบแต่ก็แอบขำอยู่

   “พอเถอะ กูจะอ้วกว่ะ” เงิบกันทุกคน จริงๆ ปล่อยให้เก็ทมันเงียบก็ดีอยู่แล้ว เล่นนิดเล่นหน่อยก็ไม่ได้

   “เออ กูกลับไปหาผัวกูก็ได้วะ! เนอะที่รัก” แล้วไวน์มันก็หันไปเล่นกับดิวต่อ เพื่อนในกลุ่มคนอื่นก็หัวเราะกันไปตามประสา โดยไม่ได้สนใจอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าชั้นเรียนเลย จริงๆ มันก็ไม่ค่อยน่าเรียนเท่าไหร่นักหรอกครับ อาจารย์ก็แค่เปิดสไลด์ แล้วก็พูดๆ ตามสิ่งที่อยู่บนหน้าจอไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากแฮนด์เอ้าท์ที่เขาแจก อ่านเองก็ได้ครับ เลยไม่ต้องตั้งใจเรียนอะไรมาก แต่เห็นพวกผมเล่นๆ เรียนๆ กันแบบนี้ เกรดที่ออกมาก็ถือว่าดีใช้ได้อยู่นะครับ

   “อย่าเอ็ดไปสิที่รัก เดี๋ยวคนอื่นรู้ว่าก้นที่รักหลวมมันจะดูไม่ดีนะ” สิ้นเสียงดิวแค่นั้นล่ะครับ ทุกคนก็ปล่อยก๊ากออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งแก้วที่นั่งยิ้มๆ อยู่ตอนแรก จนอาจารย์เริ่มหันมามองแล้วครับ ถึงต้องทำเป็นเรียบร้อยกันหน่อย ส่วนไวน์นี่แทบเงิบครับ แต่มีหรือที่คนอย่างมันจะยอมแพ้

   “ก็ของที่รักเล็กเองทำไมล่ะ หาว่าของเค้าหลวม” เจอไวน์ตอกกลับ ดิวก็เงิบไปเหมือนกันล่ะครับ แก้วนี่หน้าแดงเลย ไม่รู้ว่าไปคบกันได้ไง คนหนึ่งก็ทะลึ่ง ปากหมาเป็นที่หนึ่ง ส่วนอีกคนก็เรียบร้อยเหลือเกิน แปลกดีเหมือนกันนะ

   “หยุดๆ เลยมึงสองคน จะเอาเรื่องผัวๆ เมียๆ มาประจานกันเองทำไมวะ พวกมึงดูสองคนนั้นสิ กินกันเงียบกริบ ไม่มีใครรู้เลย” เอาแล้วไงครับ สุดท้ายก็แว้งกลับมาที่ผมกับเก็ทอีกแล้ว นุ่นเลยครับ สาวห้าวประจำกลุ่มเรา ดึงประเด็นกลับมาหาตัวผมอีกแล้ว อุตส่าห์ผลักให้พ้นตัวไปได้แล้วแท้ๆ ที่สำคัญทุกคนทำท่าทางถูกใจกว่าตอนที่ดิวแซวไวน์อีกต่างหาก ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ถูกพาดพิงอีกคน ที่นั่งหัวเราะเหมือนไม่รู้สึกรู้สา สมควรแล้วไหมล่ะที่แฟนจะชวนทะเลาะ เล่นไม่แก้ตัวอะไรเลย

   “อ้าวอีเหี้ย กูอุตส่าห์เก็บเงียบแล้วนะ ฮ่าๆ” เล่นมาก็เล่นกลับครับ ใสๆ 18+

   “นั่นไง ว่าแล้วไหมล่ะ” ป๊อปอายตบเข่าอย่างถูกใจ

   “ห๊ะ! จริงหรอฟร๊องก์” ไม่เว้นแม้แต่แก้วที่ส่งเสียงสดใสมาถามผม นี่เรียบร้อยๆ ยังไม่วายเล่นกับเขาด้วย

   “เห็นเงียบๆ แดกเรียบนะคะ ใช่ไหมมึง” โดนัทครับ หันไปพยักหน้าล้อเลียนกับไวน์ สรุปคือผมโดนรุมครับ แกล้งผมกันครบทุกคน เป็นเรื่องสนุกกันไปเลย ไอ้ที่น่าตบสุดก็คงเป็นเก็ทเนี่ยล่ะครับ แม้งไม่คิดจะช่วยเลย นั่งขำอย่างเดียว

   “เห้ยมึง ทำไมมึงได้ของดีๆ แล้วไม่แบ่งกูบ้างวะ” หมาในปากโผล่มาอีกตัวแล้วครับสำหรับดิวที่หันไปถามเก็ท โอ้ย!! ไปกันใหญ่แล้วครับ ตอนแรกก็เป็นไวน์ ไหงกลายเป็นผมที่โดนรุมซะงั้นอ่า

   “พอเลยพวกมึง ไอ้ดิวมึงนี่มันดีแค่หนังหน้าจริงๆ เลยนะ กูจะแช่งให้มึงเลิกกับแก้ว!” ผมว่าไอ้ดิวหน้าซีดเลยครับ รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยผมแทบจะหมอบกราบแทบเท้า

**********__________***********
   
   สุดท้ายก็จบการเรียนสำหรับวันนี้แล้วครับ แน่นอนว่าผมพรุนไปทั้งตัว ขนาดผมบอกให้พวกมันหยุดแล้วนะ แต่มันก็ยังแซวกันไม่หยุด หาเรื่องมาแซวกันอยู่นั่น โดนกันทั่วหน้าครับ ไม่เว้นแม้กระทั่งแก้ว แต่ที่โดนหนักสุดก็เห็นจะเป็นผมเนี่ยล่ะครับ คนมีกรรม โดนแกล้งตลอด!
   
   ผมกับเก็ทแยกกับทุกคนทันทีหลังจากออกจากห้องเรียน และก็กลายเป็นประเด็นเด็ดสุดท้ายที่พวกนั้นแซวผม หาว่าผมสองคนจะรีบไปกินตับกัน เพราะทนไม่ไหวที่เพื่อนแซวให้เกิดอารมณ์ เลยต้องรีบไป ดูความคิดของพวกมันสิครับ เพื่อนสารเลว!!

   ผมสองคนมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารร้านหนึ่งที่ห้างสรรพสินค้าที่เก็ทนัดแฟนเอาไว้ ทำไมต้องเป็นร้านอาหารตลอด ฮ่าๆ คงเพราะมันสะดวกสุดมั้ง มีที่นั่งอะไรด้วย แล้วก็ได้อิ่มท้องด้วย

   เราสองคนมาถึงกันก่อนที่แฟนเก็ทจะมาถึง ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดของแฟนเก็ทนักหรอกครับ แค่ชื่อยังไม่รู้เลย เพราะเก็ทเก็บเป็นความลับมาก จริงๆ จะเรียกว่าเก็บเป็นความลับก็คงไม่ถูก แค่รู้ว่าเก็ทมีแฟน แต่แค่ไม่เคยพูดรายละเอียดหรือเล่าให้ใครฟังมากกว่า ประมาณว่าคบก็ไม่เห็นจะต้องมานั่งพูดให้คนนอกรู้เห็น

   “ขอโทษนะมาช้าไปหน่อย ขอโทษฟร๊องก์ด้วยนะคะ” ไม่นานก็มีเสียงผู้หญิงเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างเพรียวบางราวกับนางแบบจะปรากฏต่อสายตาของผม โห้!! ที่แฟนเก็ทหรือเนี่ย สวยมาก หุ่นดีอย่างกับนางแบบ

   ผู้หญิงที่เดินมาหยุดตรงหน้าของผมและเก็ทนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง ส่วนโค้งเว้าชัดเจน แสดงถึงการรักษารูปร่างเป็นอย่างดี ขนาดเธอใส่ชุดนักศึกษาที่ไม่ได้เข้ารูปอะไรนัก แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดรูปร่างที่ดีนั้นได้ ช่วงขาเรียวยาวเสริมด้วยรองเท้าส้นสูงเพิ่มให้เธอดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก บวกกับท่าทางมั่นใจของเธอ ยิ่งทำให้ดูสวยสง่าเหมือนพวกดารา เซเล็บจนคนอื่นๆ ในร้านต้องมองเหลี่ยวหลัง

   ไม่ต้องบอกว่าหน้าเธอสวยแค่ไหน หน้าของเธอดูมีเอกลักษณ์ครับ ดูท่าทางจะเป็นลูกครึ่งเหมือนกัน เธอสวยแต่ไม่ได้สวยแบบที่เห็นทั่วๆ ไป แต่จะดูสวยคม ปนสายตาหยิ่งๆ หน่อย ผมว่าทำให้เธอดูน่าสนใจ ริมฝีปากบางแต้มด้วยลิปสติกสีอ่อนที่กำลังเหยียดยิ้มบางๆ ให้กับผมและเก็ท โดยรวมเธอเหมาะกับการเป็นนางแบบมากเลยครับ หน้าได้ หุ่นได้ เลิศเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเก็ทที่ท่าทางเย็นชา นิ่งๆ แบบนั้นจะมีแฟนที่ดูโฉบเฉี่ยว มั่นใจได้ขนาดนี้

   “อ่ะ... อ๋อ เรากับเก็ทก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง” ผมตอบพร้อมส่งรอยยิ้มกลับเป็นมารยาท จะว่าไปก็แอบเกร็งอยู่เหมือนกันนะ แฟนเก็ทที่ผมคิดไว้ตอนแรกคงจะเป็นผู้หญิงน่ารักๆ หวานๆ อะไรแบบนั้นไง ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างที่ยืนอยู่ข้างหน้าตอนนี้

   “งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะคะ จะได้ไม่เสียเวลาฟร๊องก์ด้วย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ก่อนจะก้าวไปนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างเก็ท

   “เข้าใจที่เราอธิบายให้ฟังแล้วใช่ไหม ว่าเรากับฟร๊องก์ไม่ได้มีอะไรกัน” เก็ทเปิดฉากพูดทันที

   “เธอเงียบๆ ไปเลย ฉันเบื่อที่จะฟังเธอพูดล่ะ ฉันอยากฟังจากปากฟร๊องก์มากกว่า” เธอหันไปจิกกันด้วยคำพูดพร้อมกับส่งสายตาพิฆาตไปยังเก็ท ผมนี่หายใจไม่ทั่วท้องเลย ถ้าผมพูดอะไรไม่ดีออกได้จะโดนเล่นงานไหมเนี่ย

   “อ่ะ... เอ่อ”

   “เราชื่อ ‘ชัญญ่า’ นะ เรียกว่า ‘ญ่า’ เฉยๆ ก็ได้” เธอหันกลับมาส่งยิ้มให้ผม แต่ดูเป็นรอยยิ้มที่เคลือบพิษเอาไว้ ถ้าผมเผลอทำอะไรไม่ถูกใจเธอสงสัยผมคงไม่ได้กลับหอในสภาพสมบูรณ์แน่ๆ

   “อืม... ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

   “เอาล่ะ ไหนๆ เราก็รู้จักกันแล้วนะ ญ่าจะคุยกับฟร๊องก์แบบตรงไปตรงมาตามประสาคนรู้จักกันเลยก็แล้วกัน”

   “อ่ะ... ได้ๆ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรกลับไปเลยครับ

   “ฟร๊องก์เป็นอะไรกับเก็ทกันแน่” เอาแล้วครับ เรื่องเปิดประเด็นแล้ว

   “เพื่อนไง เพื่อน!” ผมรีบพูดออกไปอย่างรวดเร้ว ราวกับว่ากำลังเล่นเกมถามตอบแบบจับเวลาก็ไม่ปาน

   “เพื่อนสุขสันต์ ฟันกันเองหรือเปล่า” ชัญญ่าพูดพลางแสยะยิ้มเหี้ยมแบบที่เล่นเอาใจผมสั่น


à suivre...


แฟนเก็ทออกโรงแล้ว แถมยังถามถึงความสัมพันธ์ของเก็ทและฟร๊องก์ซึ่งๆ หน้าเลย
คราวนี้จะเป็นยังไงต่อไปนะ

ฝากคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กัน เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นต่อๆ ไป  :mew1:


ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
Chapitre 9

   “เพื่อนสุขสันต์ ฟันกันเองหรือเปล่า” ชัญญ่าพูดพลางแสยะยิ้ม ผมนี่อึ้งไปเลยครับ ไม่คิดว่าจะเจอคุยพูดแรงๆ และสีหน้าเหยียดหยามแบบนี้

   “ขอโทษนะ แต่เราขอพูดตรงๆ บ้างแล้วกันว่าเรากับเก็ทเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่มีและไม่เคยมีอะไรเกินเลยจากคำว่าเพื่อน” ผมพูดด้วยเสียงจริงจังขึ้นทันที เหมือนกันอารมณ์ของผมในตอนนี้ที่มันชักร้อนๆ ขึ้นมาแล้วเหมือนกัน “จะเชื่อไม่เชื่อก็อยู่ที่ญ่าแล้วแหละ เพราะทุกอย่างที่เราพูดมันคือความจริง และเราก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากด้วย มันอยู่ที่ใจของญ่ากับเก็ทเองมากกว่าว่าคบกันแล้วเชื่อใจกันมากแค่ไหน ถ้าคบกันแต่ไม่เชื่อใจกัน ไม่ไว้ใจกัน ต่อให้เราขนคนมาอีกเป็นร้อยเป็นพันก็ช่วยยืนยันอะไรไม่ได้หรอก!” ผมบอกยืดยาวรัวๆ แทบไม่หายใจ

   “ฮ่าๆ เพื่อนคนนี้เลิศว่ะเธอ ฉันชอบ!” แล้วอยู่ๆ ชัญญ่าก็หันไปหัวเราะพลางตบไหล่เก็ท เล่นเอาผมนี่งงไปหมด ไหนเมื่อกี้ยังดูซีเรียส จริงจังอยู่เลย

   “ก็บอกแล้วว่าไอ้นี่มันพูดตรง แล้วเชื่อเรายังล่ะว่ามันไม่เป็นอย่างที่เธอคิด” เก็ทถามกลับ สองคนนี้แทนตัวเองได้น่ารักดีเหมือนกันนะ ฉัน-เธอ สำหรับชัญญ่า และเรา-เธอ สำหรับเก็ท

   “จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ปักใจเชื่อตั้งแต่แรกแล้วแหละ แต่... มันมีคนส่งรูปนี้มาให้ฉัน” ชัญญ่าพูดก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าหนังแบบถือสีแดงใบเล็กยี่ห้อดังกับราคาที่แสนแพงของเธอ แล้วหยิบรูปขึ้นมา 3-4 ใบ

   “ไม่เห็นบอกก่อนว่ามีรูปอะไรมาด้วย” เก็ทว่าก่อนจะหยิบรูปพวกนั้นขึ้นมาดู ผมเองก็ชะเง้อคอมองเช่นกัน ก็อยากเห็นว่ามันเป็นรูปอะไร ถึงได้มีประเด็นบ้าบอแบบนี้ขึ้นมา “เห้ย!! นี่มันรูปบ้าบออะไรกันวะ” แล้วเก็ทสบถออกมาทันทีที่เห็นรูปพวกนั้น

   “ไหนเอามาดูดิ!” ผมว่าก่อนจะแย่งรูปในมือเก็ทมาดูทันทีเช่นกัน และผมก็ต้องตะลึ่งเมื่อได้เห็นรูป ใครแอบถ่ายรูปบ้าๆ พวกนี้เนี่ย เลือกช็อตถ่ายได้สาวเลวและสื่อความในเชิงลบมาก! ผมมองรูปที่อยู่ในมือสลับไปมาหลายรอบ รูปหนึ่งเป็นรูปตอนที่เก็ทจับมือผมที่ใส่แว่นตาดำอยู่ อีกรูปเป็นรูปที่เก็ทก้มลงมามองผมที่นอนกองอยู่บนพื้น ส่วนอีกสองรูปเป็นรูปตอนที่เก็ทอุ้มผมไปยังรถ

   “เธอไปได้รูปพวกนี้จากไหนมา” เก็ทถามชัญญ่าด้วยสีหน้าจริงจัง เหมือนเรื่องทุกอย่างมันกำลังจะดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่อยู่ๆ กลับมีพายุลูกใหญ่ซัดมาเต็มๆ ซะงั้น

   “เอาเป็นว่ามีคนส่งมาให้ฉันก็แล้วกัน ทีนี้จะปฏิเสธยังไงล่ะ กล้าพูดไหมว่ามันไม่จริง กล้าพูดไหมล่ะฟร๊องก์ว่ารูปพวกนี้เป็นรูปตัดต่อ!”

   “เราไม่แก้ตัวหรอกนะกับรูปพวกนี้ แต่ดูจากมุมกล้อง และช็อตที่เลือกมาแล้ว เราก็รู้เลยว่าคนที่ส่งรูปมาให้น่ะไม่หวังดี” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจัง

   “งั้นเหรอ แต่มันก็เป็นจริงอย่างในรูปใช่ไหมล่ะ” เธอกดดันผมต่อ
 
   “ใช่ มันเป็นอย่างที่เธอเห็นแหละ เก็ทคงอุ้มเราจริงๆ อย่างในรูปจริง แต่ตอนนั้นเราไม่มีสติด้วยซ้ำ ดูไม่ออกหรอ คนบ้าอะไรจะคุยกันขณะที่อีกคนนอนหมดท่ากลางแดดเปรี้ยงๆ แบบนั้น”

   “ตอนนั้นฟร๊องก์ไม่สบายแล้วเป็นลมไป เราก็เลยอุ้มฟร๊องก์เพื่อพาไปโรง’บาล” เก็ทอธิบายเสริม

   “กะ... ก็ที่ฟร๊องก์ไม่สบายก็เพราะว่า... เธอไม่ใช่เหรอ เก็ท!” ชัญญ่าพูดหน้าแดง ไม่รู้เพราะโกรธจัดหรือกำลังอาย

   “เพราะเราบ้าอะไรหล่ะ! เราพูดกี่ครั้งแล้วว่ามันไม่เกี่ยวกับเรา ไม่เกี่ยวกับเรื่องอย่างว่าเลย!” เก็ทว่าเสียงเข้ม

   “ก็เพื่อนฉันบอกว่าเห็นเธอสองคนอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันศุกร์” ชัญญ่าพยายามหาข้ออ้างขึ้นมาเสริมทัพตัวเอง ผมเนี่ยนะอยู่กับเก็ทตั้งแต่วันศุกร์ บ้าแล้ว ผมอยู่กับปาร์ค ไปเที่ยวกับปาร์ค และผมยังนอนกับปาร์คอีกต่างหาก จะเอาเวลาที่ไหนไปอยู่กับเก็ท

   “เอ่อ... เดี๋ยวนะ เราเนี่ยนะอยู่กับเก็ทตั้งแต่วันศุกร์” ผมขัดขึ้นมาอย่างงงๆ เก็ทเองก็ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจเช่นกัน

   “ใช่ เพื่อนญ่าบอกว่ามันเห็นเก็ทกับฟร๊องก์อยู่ด้วยกัน... ที่หอของฟร๊องก์” ผมพอรู้แหละครับว่าใครเป็นคนสร้างข่าวมั่วๆ นี่ขึ้นมา

   “ถ้างั้นก็ไม่ใช่แหละ เราว่าญ่าโดนเพื่อนหลอก ไม่ก็สร้างเรื่องแล้วแหละ เรากับเก็ทไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะเราไม่ได้อยู่หอตั้งแต่วันศุกร์ และเราก็กลับมาอีกทีสายๆ วันอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ เราอยู่กับ... เอ่อ... ‘เพื่อน’ อีกคนหนึ่งทั้งวันศุกร์และวันเสาร์” ผมบอกความจริงไป

   “ส่วนของฟร๊องก์เราไม่รู้นะ แต่เราไปบ้านยายกับแม่มาตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ แล้วก็กลับมาเช้าวันจันทร์ พอส่งแม่เสร็จก็เปลี่ยนชุดออกไปรับฟร๊องก์ไปเรียนเลย จนถึงเหตุการณ์ในรูปเนี่ยแหละ” เก็ทอธิบายยาว น่าจะเป็นหนึ่งใจประโยคที่ยาวที่สุดที่ผมเคยได้ยินเก็ทพูดเลยล่ะ

   “งั้นก็แสดงว่าฉันเข้าใจเธอผิดล่ะสิ รวมทั้งฟร๊องก์ด้วย” ชัญญ่าที่มีสีหน้ามั่นใจมาโดยตลอด ถึงกับเกิดอาการหน้าเจื่อน ซีดลงไปในทันที

   “เราไม่อะไรหรอก ออกแนวงง ปนตลกด้วยซ้ำ ทั้งที่เรากับเก็ทก็รู้จัก และเป็นเพื่อนกันมาก็นานพอสมควร โดยที่ญ่าไม่สงสัยหรือไม่ระแคะระคายด้วยซ้ำ แต่อยู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นมา เราว่าเพื่อนคนที่ ‘กุเรื่อง’ มาหลอกญ่าคงไม่ได้หวังดีกับญ่าหรอก” ผมพูดไปตามเนื้อผ้า ตามสถานการณ์ที่ผมอ่านเอาไว้

   “ญ่าก็คิดนะ มาถึงตอนนี้ญ่ายิ่งมั่นใจเลย เพื่อนคนนั้นไม่ได้สนิทหรือคุยกับญ่าเท่าไรหรอก แต่อยู่ๆ ทักมา ญ่าเองก็งงๆ เหมือนกัน ได้รู้แบบนี้แล้วญ่ามั่นใจเลยว่าเรื่องที่หลายๆ คนบอกญ่ามาตลอดตั้งนานแล้วมันเป็นความจริง ที่เพื่อนญ่าคนนั้นมันแอบชอบเก็ท หึ! ปั่นหัวฉันซะป่วนเชียว เดี๋ยวแม่จะเล่นกลับให้หนักเลย!” ชัญญ่าพูดพร้อมชูกำปั้นทำท่าทางหมายมั่นปั้นมืออย่างหนักแน่น เมื่อได้รู้ความจริงทุกอย่าง ผมว่าแล้วว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง ผมแอบแค้นอยู่เหมือนกันนะที่ดึงผมเข้าไปเกี่ยวด้วย แต่ก็ช่างเถอะครับ เพราะสองคนตรงหน้าผมนี้เข้าใจกันแล้ว และผมเองก็ได้มีส่วนช่วยแก้ปัญหาให้เก็ทแล้ว

   “คราวหน้ารับข่าวอะไรมาก็พิจารณาก่อนนะว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า ไม่ใช่มาโวยวายแบบนี้” เก็ททำหน้าเบื่อหน่ายเหมือนไม่ค่อยพอใจ ฮ่าๆ ผมเพิ่งเคยเห็นเก็ทงอนแบบนี้ งอนนิ่งๆ แอบประชดประชันเล็กๆ แต่ก็ดูน่ารักดีนะ ในมุมที่ใช้อ้อนแฟน

   “ย่ะ ดิฉันขอโทษค่ะ! คราวหน้าดิฉันจะพิจารณาอย่างดีเลย พอใจไหมยะ!” ชัญญ่าเบะปากกลับ ว่าไปคู่นี้ก็ดูน่ารักดีนะครับ แอบกัดกันไปมา คนหนึ่งก็กัดนิ่งๆ อีกคนก็กัดแรงๆ แต่ดูแล้วก็รู้เลยว่ารักกันมากขนาดไหน ถ้าคนไม่เข้าใจ ไม่เชื่อใจกันจริงๆ เรื่องคงไม่จบง่ายๆ แบบนี้หรอกครับ

   “^_^” ผมนั่งผมภาพตรงหน้ายิ้มๆ ผมเองก็อยากมีโมเม้นต์แบบนี้บ้างนะ มีแฟนที่ไม่ต้องหวานเลียน แต่ก็รักกัน เข้าใจกันแบบนี้... ถ้า... ผมกับปาร์ค... เป็นแบบนี้ได้ก็ดีสินะ

   “คอยดูนะ ฉันจะหาวิธีแก้เผ็ดยัยนั่นให้เจ็บแสบเลย” ชัญญ่าว่า

   “ให้มันจบๆ ไปเถอะ ยิ่งต่อความยาว เดี๋ยวมันก็วุ่นวายกว่านี้หรอก” เก็ทดุกลับเบาๆ

   “ไม่รับปากย่ะ! ฉันหมั่นไส้ เนอะฟร๊องก์เนอะ อย่างนี้มันต้องสั่งสอน” แล้วชัญญ่าก็หันมาหาแนวร่วม ซึ่งบนโต๊ะมีสามคน ก็แน่นอนว่าแนวร่วมจะต้องเป็นผม

   “ฮ่าๆ อยากทำอะไรก็เอาเลย เราว่าชัญญ่าจัดอ่ะเด็ดๆ ได้อยู่แล้ว” ผมพูดเหมือนไม่ได้สนับสนุนอะไร แต่จริงๆ แล้วมันโคตรจะสนับสนุนเลยล่ะครับ

   แล้วพวกเราก็นั่งทานอาหารกันไป คุยกันไป ผมเข้าขากับชัญญ่าได้ดีมากๆ พูดคุยๆ แล้วเธอดูตลก กวนๆ มากกว่า แต่เธอบอกว่าเธอชอบดึงหน้าครับ คนเลยไม่ค่อยกล้าคุยกับเธอเท่าไรเพราะคิดว่าเธอเหวี่ยง แล้วก็เผาเก็ทให้ผมฟังด้วยครับ ว่ามีเก็ทเนี่ยแหละที่กล้าเข้ามาจีบชัญญ่า แล้วมาจีบแบบนิ่งๆ หน้าตายๆ ตอนแรกๆ ก็โดนด่ากลับไปแหละครับ แต่ชัญญ่ามากกว่าที่เจ็บใจเพราะด่าอะไรไปเก็ทก็เหมือนไม่มีความรู้สึกอะไร เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนในที่สุดต่างคนก็ต่างรู้ใจตัวเอง จนคบกันในที่สุด โรแมนติกชะมัด ฟังแล้วผมก็แอบอิจฉาครับ ชัญญ่าเม้าธ์อะไรให้ผมฟังเยอะแยะมากมาย เธอคุยเก่ง คุยตลกมาก แต่มักจะมีเสียงขัดคอขึ้นมาประจำ โดยเก็ทผู้นิ่งเงียบ แต่เธอก็ไม่สนใจครับ เม้าธ์ต่ออย่าไม่แคร์

   “ว่าแต่น่ารักๆ อย่างฟร๊องก์นี่แฟนคงหวงมากเลยสินะ” นั่งคุยไปกินไปจนถูกคอกันสักพัก อยู่ๆ ชัญญ่าก็ถามผมขึ้นมา ทำเอาผมหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างเลย ‘แฟน’ คำนี้อยู่ห่างไกลจากตัวผมเหลือเกิน

   “ญ่าก็พูดเกินไป หน้าอย่างเราเนี่ยนะจะมีแฟน” ผมตอบกลับไปแบบยิ้มเจื่อนๆ พยายามไม่ทำให้เสียบรรยากาศ สภาวะอารมณ์ผมยังไม่ค่อยนิ่งเท่าไร ถึงจะดีกับปาร์คแล้วก็เถอะ แต่มันก็ยังไม่สนิทใจเหมือนแต่ก่อน จะว่าไปผมกับปาร์คก็ช่างห่างไกลคำว่าแฟนเหลือเกิน

   “เห้ย!! อย่ามาอำกันนะ อย่างฟร๊องก์ไม่มีแฟน แล้วพวกหน้าเสล่อๆ ที่เดินควงกันไปมานั้นเรียกว่าอะไร” ชัญญ่าว่าด้วยน้ำเสียงตกใจ “ฟร๊องก์ไม่มีแฟนจริงเหรอเธอ” ก่อนจะหันไปถามเก็ทต่อ

   “ไม่รู้สิ...” เก็ทตอบเรียบๆ “แต่ก็ไม่รู้ว่าคนที่ทำให้ร้องไห้จะเป็นจะตายนั้นเรียกว่าอะไรเหมือนกัน” จึก! เห็นเงียบๆ พิษสงเพียบนะครับ เล่นเอาซะผมจุกเลย

   “อะไรกันเนี่ย แอบรักเขาข้างเดียวหรือว่ายังไง” ชัญญ่าทำตาปิ๊งๆ เหมือนจะอ้อนให้ผมพูด

   “กะ... ก็คงประมาณนั้น แหะๆ” ผมตอบหน้าเจื่อน “เก็ทแม่งพูดมากว่ะ!” ผมหันไปแว้ดใส่เก็ทเบาๆ พร้อมค้อนกลับอย่างไม่พอใจ

   “ไม่ต้องเครียดนะๆ เขาไม่สนใจก็ไม่ต้องไปแคร์ หน้าอย่างฟร๊องก์หาได้สบายอยู่แล้ว เชื่อเราดิ” ชัญญ่าพูดด้วยความมั่นใจ แต่ทำไมผมไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลย ไม่เห็นมีใครเข้ามาจีบผมเลยสักคน

   “หึหึ” เก็ทส่งเสียงหัวเราะในลำคอเหมือนรู้อะไรสักอย่าง จากนั้นผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อชัญญ่าเห็นสีหน้าผมไม่ค่อยดี เธอเลยเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาแทน และไม่วกกลับไปเรื่องนั้นอีก

   จะให้ผมไม่แคร์ปาร์ค ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ เพราะหัวใจผมมีแค่มันนิ อีกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ชัญญ่าพูดด้วยซ้ำ เพราะผมไม่มีคนมาสนใจจริงๆ ครับ ผมคงเกิดมาเป็นได้แค่ ‘คนข้างใจ’ ที่ไม่มีวันเข้าไปอยู่ในใจ 

   เรานั่งคุยกันจนดึกเลยครับ รู้ตัวอีกที ร้านต่างๆ ภายในห้างก็เริ่มปิดร้านไปกันหมดแล้ว แน่นอนครับว่าเก็ทต้องไปส่งผมที่หอ ส่วนชัญญ่าขับรถมาเองครับ ก็เลยต้องแยกกันตั้งแต่ที่ห้าง ก่อนกลับเธอได้ขอแลกเบอร์กับผมเอาไว้ด้วย แถมยังแกล้งแซวเก็ทอีกต่างหากว่าอย่าล่วงเกินผม เพราะเธอบอกว่าผมตัวจริงน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้เดี๋ยวเก็ทจะอดใจไม่ไหว ซึ่งผมว่ามันไม่จริงอย่างที่เธอว่าเลย


à suivre...

ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
ฟร็องมะไหร่จะเปิดใจให้คนอื่นสักที จมอยู่กับคนๆเดียวอยู่ได้

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 10 (50%) [10/5/2017]
«ตอบ #28 เมื่อ10-05-2017 21:09:38 »

Chapitre 10

50%

   หลังจากแยกจากชัญญ่ามา เก็ทก็เป็นสารถีประจำตัวที่ต้องขับรถมาส่งผมในถึงหน้าหอ ฮ่าๆ รู้ว่าชีวิตตัวเองสบายดีจัง ไม่นานผมก็กลับมาถึงหอเป็นที่เรียบร้อย เวลานี้ก็ใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าปาร์คจะโทรมาหาหรือเปล่า ถึงหลังจากวันนั้นปาร์คจะไม่ได้โทรหาผมทุกวันเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมก็ยังคงรอโทรศัพท์จากปาร์ค ณ เวลาเดิมทุกคืนเช่นเคย

   เวลาเลยห้าทุ่มครึ่งไปแล้วครับ สงสัยปาร์คคงจะไม่โทรมา งั้นผมไปอาบน้ำดีกว่า จะได้นอน วันนี้เหนื่อยๆ ตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว แถมยังมีเรื่องวุ่นวายอีกต่างหาก ขอพักร่างสักหน่อยแล้วกัน

   และแล้วผมเข้าไปอยู่ในห้อง รู้สึกสดชื่นมากเมื่อสายน้ำไหลรินลงมาบนผิวกายเปลือยเปล่า แต่ในขณะที่ผมอาบน้ำอยู่ ผมว่าผมได้ยินเสียงโทรศัพท์นะ หรือหูผมแว่วไปเองเพราะมัวแต่คิดถึงปาร์ค แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รีบอาบน้ำให้เสร็จอย่างรวดเร็ว แล้วรีบออกมากดดูโทรศัพท์ทันที

   ทันทีที่เห็นหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นโชว์เบอร์ที่ไม่ได้รับ ผมก็ยิ้มกว้างออกมาทันที ก่อนจะรีบจัดแจงทาครีมและใส่ชุดนอนอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบโทรศัพท์อีกรอบเพื่อกดโทรออกทันที

   ตู๊ดดด... ตู๊ดดด...

   [ทำไมไม่รับโทรศัพท์] น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดของปาร์คลอดออกมาจากโทรศัพท์ทันทีที่รับสาย

   “อ๋อ ฟร๊องก์อาบน้ำอยู่เลยไม่ได้รับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง ก็ดีใจนี่ครับที่ได้คุยกับมัน

   [เหรอ ปกติเห็นอาบน้ำไว แล้วทำไมวันนี้อาบน้ำดึกจัง] เสียงปาร์คดูเย็นลงแล้วครับ แต่ผมก็แอบงงเหมือนกันนะว่าทำไมต้องหงุดหงิดแค่ไม่ได้รับโทรศัพท์ ปกติก็ไม่เห็นเป็น

   “พอดีฟร๊องก์เพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อตอนห้าทุ่มนี่เอง วันนี้เลยอาบน้ำดึก”

   [แล้วไปไหนมา ทำไมกลับดึกดื่นเอาป่านนี้] เสียงปาร์คเริ่มแข็งขึ้นอีกแล้วนะ และรู้ไหมว่ามันทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าปาร์คกำลังหวง และเป็นห่วงผมอยู่ ทั้งที่จริง...

   “เอ่อ... พะ... พอดีฟร๊องก์กับเพื่อนมีปัญหานิดหน่อย เลยต้องไปเคลียร์ปัญหาอ่ะ เลยกลับช้า” ไม่รู้เพราะอะไร ผมถึงได้รู้สึกกลัวและกดดันกับน้ำเสียงดุๆ ของปาร์ค ผมกลัวว่าปาร์คจะโกรธผมอีก ทั้งที่เราเพิ่งจะดีกันได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ด้วยซ้ำ

   [เพื่อนคนไหนล่ะ คนที่ชอบมาส่งตอนดึกๆ นั่นหรือเปล่า หึ! เพื่อนหรือผัวกันแน่วะ!] ปาร์คว่าด้วยน้ำเสียงประชดประชันกึ่งดูถูกดูแคลน ผมไม่ชอบเวลาที่ปาร์คพูดแบบนี้กับผมเลย จะทำแบบนี้ให้ผมเข้าใจผิดและคิดไปเองอีกเพื่ออะไร

   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปาร์คล่ะ ปาร์คจะหงุดหงิดทำไม” ผมบอกกลับอย่างไม่พอใจ แต่ยังคงพยายามรักษาระดับเสียงให้คงที่

   [เออ! มันไม่เกี่ยวกับปาร์คหรอก ขอโทษแล้วกัน] ปาร์คกระแทกเสียง

   “ปาร์ค...” ผมเรียกชื่อมันเสียงอ่อย

   [ขอโทษนะที่ปาร์ควุ่นวาย ถ้ามันกวนใจฟร๊องก์มาก ปาร์คจะได้ไม่รบกวนอีก] น้ำเสียงปาร์คอ่อนลง และฟังดูตัดพ้อมาก ผมไม่เข้าใจเลยว่าปาร์คเป็นอะไร ดูหงุดหงิด ไม่พอใจ พอไม่ได้ดั่งใจก็ประชด ผมตั้งตัวไม่ถูกและรับมือไม่ทัน

   “ปะ... ปาร์ค ฟร๊องก์ไม่ได้...” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ปาร์คก็ตัดสายไปทันที ทั้งที่เราเพิ่งคุยได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าในอารมณ์แบบนี้ผมไม่กล้าโทรกลับไปอีกหรอกครับ กลัวว่าเรื่องมันจะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเปล่าๆ ผมเองก็อารมณ์ไม่นิ่งแล้วเหมือนกัน รอให้ปาร์คอารมณ์เย็นลงแล้วค่อยอธิบายก็แล้วกัน

   จะว่าไปที่ผมพยายามคิด พยายามทำให้ทุกอย่างเหมือนปกติ มันคล้ายกับว่าผมกำลังหลอกตัวเองอยู่เหมือนกันนะ เพราะเอาตามจริง ผมรู้สึกว่าปาร์คเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่เราทะเลาะกันแล้วแหละ ถึงปาร์คจะเป็นฝ่ายโทรมาหาผมก่อน แต่ผมก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ดี แค่ผมพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ และคิดว่าทุกอย่างมันกลับไปเป็นเหมือนเดิม

   ยิ่งผมพยายามกลับเข้าใกล้ปาร์คเหมือนเดิมเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าปาร์คเดินห่างออกไปจากผมมากเท่านั้น คงเหมือนกับแก้วที่ร้าวล่ะครับ ยังไงมันก็สมานกันไมได้เหมือนเก่า ความรู้สึกผิดหวังของปาร์คที่มีกับผมก็เช่นกัน

   คืนที่ผ่านมาผมนอนไม่ค่อยหลับเลยครับ ทั้งที่ตัวเองง่วงและเพลียมาก แต่จิตใจมันกระวนกระวายจนข่มตานอนยังไงก็ไม่หลับ ผมอยากเคลียร์กับปาร์คให้รู้เรื่อง และอยากรู้ว่าปาร์คเป็นอะไร

   เมื่อถึงเวลาสายๆ ผมตัดสินใจกดโทรฯ ออกหาปาร์คอีกครั้ง ผ่านมาคืนหนึ่ง ถ้าปาร์คได้นอนพักผ่อนก็คงอารมณ์ดีขึ้นแล้วแหละ แต่สุดท้ายก็รอสายอยู่นานปาร์คก็ไม่รับโทรศัพท์

   ‘อาจจะยังไม่ตื่นก็ได้มั้ง’ ผมคิดเข้าข้างตัวเอง แต่จิตใจผมตอนนี้กระสับกระส่าย จนอยู่ไม่เป็นสุขมาก

   จากนั้นผมก็อาบน้ำแต่งตัว รอเก็ทมารับเพื่อไปกินข้าวกับเพื่อนคนอื่นๆ แม้จะพยายามทำตัวเหมือนปกติ แต่ภายในใจผมนี้ร้อนรนมาก ผมอยากพูดคุยกันให้รู้เรื่องกันไป ไม่ชอบให้อะไรค้างคาแบบนี้เลย

   “เป็นไรอีกล่ะ ดูเหมือนมีเรื่องเครียดๆ นะ” เก็ทถามขึ้นหลังจากที่เดินตามผมออกมาเมื่อผมปลีกตัวออกไปซื้อข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย คงมีแต่เก็ทแหละมั้งครับที่สังเกตอาการกระวนกระวายใจของผมออก ทั้งที่ผมพยายามข่มมันไว้ และตีสีหน้าเรียบเฉย

   “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่... เข้าใจกันผิดนิดหน่อย แล้วยังไม่ได้อธิบาย” ผมบอกออกไป โดยที่รู้สึกว่าผมอยากจะพูดมันออกไปบ้าง และรู้สึกอยากมีคนรับฟัง มีคนให้คำปรึกษามากขึ้น

   “มีอะไรที่อยากระบายก็เล่าให้ฟังได้นะ ถ้ามันจะทำให้สบายใจขึ้น” เก็ทพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เขาเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ แม้เราสองคนจะเพิ่งรู้จักกันตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ผมกลับรู้สึกสนิทใจและผูกพันกับผู้ชายตรงหน้าเหมือนเป็นเพื่อนกันมาแสนนาน

   แล้วในระหว่างที่ต่อแถวซื้อข้าวกัน ผมก็เล่าคร่าวๆ ให้เก็ทฟังถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยที่เก็ทฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีการพูดขัดหรือแทรกอะไร จนผมเองก็เดาไม่ถูกว่าเขารู้สึกเช่นใด

   “เก็ทก็ไม่รู้รายละเอียดระหว่างฟร๊องก์กับหมอนั่นมากมายหรอกนะ แต่เก็ทอยากถามฟร๊องก์คำถามหนึ่งว่า ‘ตอนนี้ฟร๊องก์กับเขาเป็นอะไรกัน’ เพราะดูท่าทางของหมอนั่นแล้ว เขาดู ‘หวง’ ฟร๊องก์มากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’ นะ” เมื่อผมเล่าจบ เก็ทก็พูดขึ้นหลังจากที่เงียบฟังผมอยู่นาน

   ผมย้อนคิดถึงประโยคบอกเล่าของเก็ทที่ทิ้งประโยคคำถามกลับมายังผมแล้วผมยิ่งหาคำตอบไม่ได้ นั่นสิ ผมกับปาร์คเป็นอะไรกันแน่ ก่อนหน้าที่ไปเที่ยวด้วยกัน ท่าทางของปาร์คก็ดูเหมือนว่ากำลังมีใจให้กับผม แต่พอผมก้าวล้ำเส้น ก็เสียความรู้สึก และย้ำสถานะหนักแน่นว่าเราสองคนเป็น ‘เพื่อน’ กัน ดันให้ผมกลับมายังสถานะเดิมที่เคยเป็น แต่พอมาเมื่อวาน กลับแสดงอาการราวกับว่ากำลัง ‘หึง’ และ ‘หวง’ ผมอยู่ จนตอนนี้ความรู้สึกผมมันตีกันยุ่งเหยิ่งไปหมด

   สรุปว่าผมอยู่ในตำแหน่งไหนกันแน่ ?

   “กินข้าวเถอะ ไม่ต้องคิดมาก บางทีช่วงนั้นหมอนั่นอาจจะแค่กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ได้” เก็ทพูดพลางยิ้มจางๆ ที่มุมปากเป็นกำลังใจผม ผมก็ยิ้มรับและพยายามไม่คิดมาก

   แต่คำถามที่ว่า ‘ตอนนี้ฟร๊องก์กับเขาเป็นอะไรกัน’ มันยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท เหมือนก้อนปุยเมฆของกลุ่มคำพูดล่องลอยอยู่ทุกหนทุกแห่งในห้วงความคิดของผม โดยที่ผมไม่สามารถหาคำตอบมาตอบคำถามให้สมบูรณ์ได้
   
**********__________**********

   ตลอดวันผมยังคงพยายามติดต่อกลับไปหาปาร์คนะ ถึงจะเว้นช่วงการโทรฯ ค่อนข้างนานเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนมากเกินไป และยิ่งทำให้ทำอย่างแย่ลง แต่ทุกครั้งปาร์คก็จะไม่รับโทรศัพท์ของผม ผมยิ่งรู้สึกว่าปาร์คอยู่ห่างออกไปจากผมมากขึ้นทุกที ทั้งที่ปกติปาร์คไม่เคยไม่รับโทรศัพท์ ถ้าจะโกรธกัน งอนกัน แต่ก็จะต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่องทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป จริงๆ มันต่างไปตั้งแต่ ‘วันนั้น’ แล้ว

   เมื่อกลับมาถึงหอ ผมตัดสินใจกดโทรศัพท์หาปาร์คอีกครั้ง อารมณ์ของผมเองก็ใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีแล้ว ผมรู้สึกน้อยใจ และฉงนสงสัยกับตัวเองบ้างว่าถ้าวันหนึ่งผมหายไป แล้วปาร์คจะรู้สึกไหม และจะตามหาผมหรือเปล่า

   [...] ปลายสายกดรับโทรศัพท์ แต่ไม่ส่งเสียงกลับมา

   “ปาร์ค” ผมเอื้อนเอ่ยชื่อของคนปลายสายอย่างแผ่วเบา

   “อืม... มีอะไร” เสียงปาร์คตอบกลับมาอย่างเยือกเย็นและเย็นชา แต่ผมก็พยายามฝืนยิ้ม และทำใจดีเข้าสู้ แค่ปาร์คยอมรับสายผมก็ดีใจแล้ว

   “ฟร๊องก์แค่อยาก ‘คุย’ กับปาร์ค” ผมตอบกลับด้วยการพยายามทำให้น้ำเสียงดูร่าเริง

   “อืม” ยังคงนิ่ง และดูเย็นชา จนผมเริ่มจะไปต่อไม่ถูก ผมเคยบอกแล้วนิครับว่าปกติปาร์คจะเป็นฝ่ายชวนคุยมากกว่า พอให้ผมเป็นคนชวนคุยโดยที่อีกฝ่ายแทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับแบบนี้ คำพูดก็เริ่มกลืนหายไปพร้อมกับลำคอที่เริ่มตีบตัน

   “ปาร์คไม่อยากคุยกับฟร๊องก์เหรอออ...” ผมพยายามทำเสียงอ้อน เผื่อปาร์คจะหลุดขำ

   “ฟร๊องก์มีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็วางสายเถอะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาด้วย” นอกจากจะไม่เล่น ไม่รับมุกผมแล้ว ปาร์คยังตอกผมกลับอย่างไม่ไว้หน้าด้วย หัวใจผมเริ่มเต้นแรงพร้อมทั้งรู้สึกปวดร้าวราวกับคีมเหล็กอันใหญ่และแข็งแรงมาบีบมันเอาไว้ มันผสมปนเปกันระหว่างความโกรธและความน้อยใจ

   “ไม่เลยนะปาร์ค ไม่เสียเวลาเลย ปาร์คยังโกรธฟร๊องกอยู่เหรอ ฟร๊องก์ขอโทษนะ เมื่อคืนที่พูดไปฟร๊องก์ไม่ตั้งใจ... และก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ผมรีบพูดอย่างร้อนรนเพราะกลัวว่าปาร์คจะวางสายหนีผมเหมือนครั้งที่แล้ว

   “ปาร์คไม่ได้โกรธ” ปาร์คตอบกลับมาเสียงเรียบ แต่ผมไม่ได้รู้สึกยินดี หรือดีใจที่ได้ยินแบบนั้นเลย ผมกลับรู้สึกว่าปาร์คตอบส่งๆ เหมือนเลี่ยงปัญหาให้มันจบๆ ไป “... แค่ไม่อยาก ‘รบกวน’ เวลาฟร๊องก์”

   “ไม่เลย ปาร์คไม่ได้รบกวน ไม่ได้วุ่นวายเลย ฟร๊องก์ดีใจด้วยซ้ำที่ได้คุยกับปาร์ค”

   “งั้นเหรอ นึกว่าดีใจที่ได้อยู่กับคนอื่น”

   “แต่ก็ไม่มีใครทำให้ฟร๊องก์ดีใจและมีความสุขได้เท่าปาร์คหรอกนะ” ได้จังหวะที่ดูเหมือนปาร์คอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ผมก็หยอดมุกหวาน อ้อนกลับไป

   “ช่างมันเถอะ ปาร์คไม่ได้โกรธฟร๊องก์อยู่แล้ว” ปาร์คพูดด้วยน้ำเสียงปกติกลับมา ผมยิ้มออกทันที อย่างน้อยเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง

   “จริงนะ” ผมแกล้งถามย้ำแบบติดตลก

   “อืม ถามมาก!”

   “น่ารักที่สุดเลยยย”
 
   แล้วผมก็คุยกับปาร์คต่ออีกสักพัก จนจู่ๆ ปาร์คก็ขอวางสายไป โดยบอกผมว่ามีธุระ เอาไว้ค่อยคุยกันที่หลัง แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ดูไม่ปกติ รวมทั้งอาการปาร์คด้วย แม้จะดูเหมือนปาร์คไม่ได้โกรธ ไม่ได้เคืองอะไรผมแล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่าปาร์คยังดูหมางเมินชอบกล หรือมันเป็นการบอกผมทางอ้อมถึงจุดที่ผมอยู่ เป็นการสร้างกำแพงไม่ให้ผมรุกล้ำเข้าไปเกินกว่าที่ควรเป็นอีก

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   หลังจากที่วางสายจากปาร์คไปไม่นาน ยังไม่ทันที่ผมจะเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เสียงโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนเตียงนอนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงเปลี่ยนทางจากที่กำลังจะเปิดโน้ตบุ๊กที่โต๊ะทำงาน กลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนเตียงแทน

   ‘08x-xxx-xxxx’

   ผมทำหน้าฉงนเมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยขึ้นโชว์อยู่บนหน้าจอ ผมจ้องมองโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องนั้นนิ่งๆ จนสุดท้ายสายก็ถูกตัดไป แต่เพียงไม่ถึง 10 วินาที มันก็ส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเบอร์เดิม

   “สวัสดีครับ” แม้จะสงสัย แต่ผมก็ตัดสินใจกดรับสายในที่สุด

   [สวัสดีครับบบ] น้ำเสียงทะเล้นๆ ที่ฟังดูไม่คุ้นเคยเหมือนกับเบอร์โทรศัพท์ดังกลับมาตามสาย

   “นั่นใครเหรอครับ” ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบรักษาระดับให้ดูปกติ

   [จำผมได้ไหมครับ ที่แกล้งปิดตาคุณเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพื่อน] บุคคลปริศนาก่อนหน้านี้ไขข้อข้องใจให้แก่ผมด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสดใส เบิกบาน (จะอารมณ์ดีไปไหน)

   “อ๋อครับ จำได้ครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”

   [อะไรกันครับ นี่คุณลืมแล้วเหรอว่าผมสัญญาว่าจะเลี้ยงข้าวคุณเป็นการขอโทษ] เขาแกล้งทำเสียงเศร้า แต่ฟังดูก็รู้ครับว่าเขาไม่ได้เศร้าจริงๆ

   “อ๋อครับ” ผมตอบกลับไปนิ่งๆ

   [งั้นคุณสะดวกเมื่อไหร่ครับ พรุ่งนี้เลยไหม]

   “จริงๆ ไม่ต้องลำบากก็ได้นะครับ” ผมตอบกลับอย่างมารยาท และรักษาน้ำใจ จริงๆ ผมเกรงใจมากกว่า แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเลิ้งอะไรหรอกครับ

   [ไม่ได้ครับ ผมสัญญาแล้ว ผิดคำสัญญามันดูไม่ดีนะครับ] เขายังคงตื๊อผมต่อ

   “งั้นก็ได้ครับ วันพรุ่งนี้ก็ได้ แต่ผมเลิกเรียนหกโมงเย็นนะ คุณสะดวกหรือเปล่า ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องเลี้ยงอะไรผมก็ได้ครับ ผมไม่ติดใจอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ผมยังคงพยายามโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจ เพราะผมเองไม่ได้เก็บมาคิดตั้งแต่วันนั้นแล้ว จริงๆ ผมลืมเหตการณ์ที่เกิดในวันนั้นไปแล้วด้วยซ้ำ

   [แหน่ะ อีกแล้วนะครับ ให้ผมได้ ‘เลี้ยง’ คุณน่ะดีแล้ว โอเคครับ พรุ่งนี้หลังหกโมงเย็น คุณเลิกเรียนแล้วผมจะโทรหานะครับ] เขาสรุปทุกอย่างด้วยน้ำเสียงที่ดูร่าเริงกว่าปกติ ดูๆ เขาเป็นคนอารมณ์ดีมากเลยนะครับ

   “ครับ ตามนั้น ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

   [ไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ผมสิต้องขอบคุณคุณ ที่ยอมให้ผมได้เลี้ยงตอบแทน]

   “ครับๆ” ผมตอบกลับ แต่ทำไมผมต้องอมยิ้มด้วย รู้สึกถึงความน่ารัก น่าเอ็นดูของคนปลายสายอย่างบอกไม่ถูก

   [งั้น... ผมไม่รบกวนคุณแล้วล่ะครับ ยังไงพรุ่งนี้อย่าลืม ‘สัญญาของเรา’ นะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะโทรหาใหม่] พูดเสร็จเขาก็กดวางสายไป แต่ผมยังคงอดที่จะอมยิ้มกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ผมรู้สึกว่าแค่ได้คุยกับคนๆ นี้แล้วอะไรๆ มันก็ดูสดใสขึ้น

**********__________**********

   “เมื่อไหร่มึงสองคนจะมีข่าวดีกันวะ” นุ่นสาวห้าวของเราเปิดประเด็นทันทีที่ทุกคนนั่งรวมตัวกันที่ร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัย ไม่ต้องสงสัยหรือเบื่อกันนะครับว่าทำไมพวกผมถึงอยู่กันแค่ร้านอาหาร ไม่ก็โรงอาหารในเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงแบบนี้ ก็เพราะพวกผมจะนัดกันเป็นปกติอยู่แล้ว เวลาที่เรียนบ่ายโมงก็จะมากินข้าว นั่งเม้าธ์มอยกันก่อน

   “มึงถามใคร” ผมถามกลับไปอย่างสงสัย เพราะไอ้คำถามไม่ระบุตัวคนของนุ่นนั้น มันมุ่งตรงมาที่ผมกับเก็ท

   “อย่ามาทำเป็นไก๋ รู้ๆ กันอยู่ ดูอย่างดิวกับแก้วดิ๊ รักกันก็เปิดตัวคบกันให้เพื่อนได้รู้ได้เห็น ไม่เหมือนมึงสองตัว จะปิดเงียบไปถึงไหน” เอาอีกแล้วครั้ง วันก่อนก็เพิ่งโดนเล่นงานไปซะเละ ยังไม่ทันไร ผมโดนอีกแล้วเหรอเนี่ย!

   “ฮิ้ววว!” พวกตัวเสริมทัพทำงานแล้วครับ

   “พอเถอะพวกมึง วันก่อนกูเพิ่งโดนไป พรุนหมดแล้วเนี่ย” ผมว่าพร้อมทำหน้าซังกะตาย

   “พรุนหมดแล้ว!! เก็ท ตัวเองทำรุนแรงขนาดนั้นเลยหรอ” ผมแทบหงายหลังให้หัวฟาดพื้นยิ่งนัก เมื่อคำพูดแก้ตัวของผมกลายเป็นดาบสองคมกลับเข้ามาเล่นงานตัวผมเอง

   “โอ้ยยย!! กูหมายถึง กูเหนื่อยจนไมมีแรงเล่นกับพวกมึงแล้ว” ผมแก้ตัวเสียงดังด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

   “อุ๊ตะ! เล่นกันจนหมดแรงเลยเว้ย ฮ่าๆๆ” ครับ ผมพูดอะไรมันก็ต่อได้หมดเลยครับ ผมยอมแพ้แล้ว

   “ล้อเล่นหน่ามึง คิดมาก รักก็บอกว่ารัก จะคบกันเพื่อนไม่ว่าหรอก จะเชียร์ซะด้วยซ้ำ เนอะๆ” นุ่นยังไม่จบครับ อยากจะกระโดดถีบขาคู่แบบไม่ต้องเกรงใจว่ามันเป็นผู้หญิง

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   แล้วโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้นมาช่วยชีวิตผมไว้พอดี

   “ฮัลโหลครับ” ผมกดรับสายต่อหน้าเพื่อนๆ คนอื่นที่มองอย่างสงสัย พวกมึงจะมองคนคุยโทรศัพท์ทำซากอะไร! ผมหันไปถลึงตาใส่เพื่อนๆ ก่อนที่พวกมันจะทำท่าหัวเราะเยาะผม แล้วก้มหน้าลงอ่านเมนู

   [เรียนอยู่หรือเปล่าครับ ผมรบกวนหรือเปล่า] เสียงปลายสายทักมาอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงที่ฟังกี่ครั้งก็ยังสดใสเหมือนเดิม

   “อ๋อ เปล่าครับ กำลังจะทานข้าว” ผมตอบพลางหยิบเมนูขึ้นมาดูเช่นกัน แต่พอเงยหน้าขึ้นมาแค่นั้นแหละ ทุกคนมองหน้าผมเป็นตาเดียวเลย ทำไมเหรอ หน้าผมมีอะไรติด? 

   [ผมแค่จะโทรมาเตือนน่ะครับ เรื่อง ‘นัดของเรา’ เย็นนี้] คนปลายสายพูดมาต่อ

   “เฮ้ย!” แต่ตอนนี้ไอ้ไวน์เอาหูมาแนบข้างโทรศัพท์ผมแล้วครับ “ทำไรเนี่ย” ผมหันไปแว้ดใส่ ก่อนที่มันจะหัวเราะพร้อมทำปากขยุบขยิบล้อเลียน

   [มีอะไรหรือเปล่าครับ] เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย

   “อ๋อๆ เปล่าหรอกครับ พอดีเมื่อกี้เพื่อนแกล้ง”

   [ไอ้เราก็นึกว่าว่าเราซะอีก] ปลายสายตอบกลับมาด้วยเสียงเศร้าแบบติดตลก ทำให้ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อย [งั้นคุณทานข้าวกับเพื่อนเถอะครับ แล้วตอนเย็นค่อยมาทานกับผม]

   “คะ... ครับ แล้วเจอกันครับ” แล้วเขาก็วางสายไป พร้อมกับผมที่รู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที

   “แหนะๆ ผัวอยู่ด้วยทั้งคน แต่กลับคุยกับชู้” นุ่นเปิดประเด็นอีกรอบ นี่พวกมันจะไม่สั่งข้าวกันใช่ไหมครับ หรือว่าอยากกินส้นพระบาทของผมเป็นมื้อกลางวัน

   “แล้วเจอกันนะครับ” ไวน์ทำเสียงใหญ่ล้อเลียน “ก็ไม่รู้สินะ แอบไปหว่านเสน่ห์กับใคร ที่ไหน เล่ามาเลยนะ”

   “หว่านเสน่ห์หว่านเสน่ออะไรล่ะ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เขาไม่ได้มาจีบสักหน่อย” ผมบอกปัดๆ ก็จริงนี่ครับ เขาก็แค่อยากจะขอโทษ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น

   “เหรอออ... ใครเชื่อก็แดกหญ้าแล้ว” ไวน์ว่าต่อ

   “พอๆ กินข้าวเถอะ เดี๋ยวก็ไม่ได้กินกันพอดี หรือพวกมึงอยากกินตีนกูแทน” ผมตัดบทแล้วเรียกพนักงานมารับออเดอร์ทันที ตัดปัญหาไปเดี๋ยวจะต่อความยาวสาวความยืดมากไปกว่านี้ แต่งเรื่องกันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้ไปแต่งนิยายขายเถอะครับ ทั้งที่เรื่องจริงมันไม่มีอะไรเลย


เหลืออีก 50% นะฮะ...

คนที่โทรมาคนนั้นจะเป็นใครกันนะ??  :hao6:

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
อ่านมาเรื่อยๆ เพลงก็ลอยเข้ามาในหัว เป็นทุกอย่างให้เธอแล้วแม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย . . . .

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด