[เรื่องสั้น] ความทรงจำที่หายไป (28-04-2660) (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ความทรงจำที่หายไป (28-04-2660) (จบ)  (อ่าน 7100 ครั้ง)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2017 01:47:31 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ความทรงจำที่หายไป


นิยายเรื่องนี้เคยพิมพ์กับสำนักพิมพ์ Hermit Books ในจำนวนที่จำกัด ผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้วยังมีหลายคนถามหาหรือตามหาตามเว็บต่าง ๆ วันนี้ก็เลยนำมาโพสต์ เพื่อผู้อ่านจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อในราคาแพง หากมีโอกาสผู้เขียนคงจะได้จัดทำเป็นเล่มด้วยตัวเองอีกครั้งค่ะ

ปล. ช่วงเวลาของเรื่องนี้เป็นช่วงก่อนเรื่องเพลงดาวทำนองคลื่นนะคะ



เรื่องย่อ :
‘สิรันทร’ โปรแกรมเมอร์หนุ่มต้องสูญเสียความทรงจำจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ความทรงจำในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาหายไปพร้อมกับชื่อของ ‘นับพล’ ผู้ที่ให้คำมั่นสัญญากันเอาไว้ว่าจะเปิดร้านขนมโฮมเมดด้วยกัน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้สิรันทรต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยมี ‘นายแพทย์ขวัญนพ’ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่นับพลขอให้ช่วยฟื้นฟูความทรงจำของคนรัก เพราะถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เรื่องราวระหว่างเขาและสิรันทรอยู่ในความทรงจำของกันและกันตลอดไป 



สารบัญ





เรื่องอื่น ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2017 00:03:14 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เรื่องราวของเราอยู่ในความทรงจำของกันและกันตลอดไป...






บทนำ


ผมทอดตามองแผ่นหลังกว้างของบุรุษพยาบาลร่างใหญ่ที่กำลังเดินห่างออกไป รู้สึกขอบคุณเขาอยู่ไม่น้อยที่มักจะเข็นรถเข็นพาผมออกจากห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ มาเปลี่ยนอิริยาบถในสวนสุขภาพด้านหลังโรงพยาบาล อากาศเช้านี้แจ่มใสกว่าทุกวันเพราะฝนที่ตกเมื่อคืนได้ชะล้างความแห้งแล้งออกไป ในใจนึกอยากจะลองเดินโดยไม่ต้องมีไม้ค้ำยันดูบ้าง ผมจึงพยายามยันตัวลูกขึ้นจากรถเข็นสัมผัสปลายเท้าลงบนยอดหญ้าขจีที่พราวด้วยหยดน้ำเล็ก ๆ แต่ยิ่งทิ้งน้ำหนักลงเท่าไรความปวดแปลบที่ยังคงหลงเหลือก็แล่นเตือนให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ทุกครั้งไป   

 
พยายามกัดฟันยืนแต่ไม่สำเร็จ...


ผมทิ้งตัวลงนั่งตามเดิมพร้อมกับถอนใจเฮือก มองขึ้นไปตามลำต้นไม้ใหญ่เห็นเจ้ากระรอกขนฟูกำลังกระโจนตามกันจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่งอย่างไม่กลัวว่าจะตกลงมา พวกมันคงมีความสุขไม่น้อยที่ได้วิ่งไปตามใจคิด เพียงพริบตาเดียวคู่หูจอมซนก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว ผมจึงละสายตาจากภาพนั้นมองไปยังท้องฟ้าสีครามที่ประดับประดาด้วยริ้วเมฆสูดกลิ่นไอเค็มของทะเลจากนั้นก็ปิดเปลือกตาลงฟังเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ปล่อยให้สายลมเย็นโบกโชยกระทบผิวหน้า สำหรับผมช่วงนี้คงเป็นช่วงที่ร่างกายได้หยุดพักอย่างเต็มที่หลังจากต้องเหน็ดเหนื่อยกับหลายสิ่งมาเนิ่นนานเหลือเกิน


“รัน”


เสียงทุ้มต่ำที่ดังไม่ห่างหูทำให้ต้องลืมตาขึ้นมองหาต้นเสียง ไม่นานร่างสูงก็เดินอ้อมรถเข็นมาหยุดยืนต่อหน้า ผู้ชายคนนั้นย่อตัวลงนั่งก่อนจะรั้งมือของผมไปกุมเอาไว้พร้อมกับถามคำถามเดิม ๆ เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เราได้พบกัน 


“คุณจำผมได้หรือยังครับ”


ผมสบตาเจ้าของคำถามแล้วเปลี่ยนเป็นไล่มองไปตามคิ้วหนาเรียงเส้นรับกับสันจมูกที่เชื่อมลงมาสู่ริมฝีปากที่ไม่เคยเปลี่ยนรูป ซ้ำยังดูคล้ายเส้นตรงแสนราบเรียบพอ ๆ กับสีหน้าของเขาเข้าไปทุกที ผมพยายามพิจารณาทุกรายละเอียด พยายามนึก แต่สุดท้ายก็ต้องส่ายหัวเป็นคำตอบ เพียงเท่านั้นดวงตาทอที่เคยทอประกายแห่งความหวังของเขาก็วูบดับไม่ต่างกับเปลวไฟปลายไม้ขีด


“ม...ไม่เป็นไร” คนพูดยิ้มเจื่อนกระนั้นมืออุ่นก็ยังไม่ละจากไปไหนทั้งยังบีบเบา ๆ เพื่อยืนยันในถ้อยคำที่เขาพูด “คุณยังจำผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่คุณหายดีผมก็สบายใจแล้ว”


ถึงปากจากพูดเช่นนั้นแต่สีหน้ากลับแสดงออกซึ่งความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขาลุกขึ้นก่อนจะหันไปพยักหน้ากับหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวที่ยืนห่างไปไม่ไกลนัก จากนั้นจึงขยับถอยเพื่อให้เธอเข้ามายืนแทนที่


“เข้าไปข้างในกันดีกว่านะคะคุณสิรันธร เดี๋ยวอีกสักครู่คุณแม่ของคุณก็คงจะมาถึงแล้วละค่ะ” พยาบาลสาวส่งยิ้มสวยให้ก่อนจะโน้มตัวลงปลดล็อคล้อ จากนั้นจึงเข็นรถเข็นพาผมย้อนกลับไปยังทางเดิม ระหว่างนั้นเธอยังคงชวนคุยเหมือนเคยกระนั้นผมก็อดใจหายไม่ได้เลยเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้ยินเสียงของเธออีก


“จะได้กลับบ้านแล้วนะคะ ดีใจไหมคะ” เธอถาม ส่วนผมไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่หันไปยิ้มน้อย ๆ กับเจ้าของคำถาม เผลอสบตาอีกคนที่เดินตามมาไม่ห่าง เขาไม่พูดอะไรอีกเลยจนผมแทบจะลืมไปว่า ณ ที่ตรงนี้ยังมีเขาอยู่อีกคน 


คุณพยาบาลพาผมกลับมาถึงห้องพักเพื่อเปลี่ยนชุด ผมพยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนจะถอดเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนที่สวมอยู่ออกจากนั้นจึงหยิบเสื้อเชิ้ตที่วางเตรียมไว้มาสวมแทน หกเดือนของการใช้ชีวิตในโรงพยาบาลกำลังจะจบลง บาดแผลจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในชีวิตยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้หวนนึก ความรู้สึกเจ็บปวดยามเคลื่อนไหวร่างกายก็คงมีอยู่ เป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นถึงผลของความประมาทที่พร้อมจะเปิดทางให้พญามัจจุราชเข้ามาคว้าเอาชีวิตไปได้ทุกขณะ


“สวมกางเกงเรียบร้อยหรือยังคะ ดิฉันจะได้เปิดม่าน” เสียงหวานดังขึ้นหลังผ้าม่านผืนใหญ่ที่ถูกดึงปิดล้อมรอบเตียงในขณะที่ผมกำลังติดกระดุมกางเกง


“ครับ”


ทันทีที่ได้ยินเสียงขานรับจากผม เจ้าของเงาบางที่พาดทับลงบนผ้าผืนใหญ่ก็ใช้มือเกี่ยวลากม่านให้เปิดออก ผมหยุดสำรวจตัวเองจากเงาสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวเองในชุดอื่นที่ไม่ใช่ชุดของผู้ป่วย ภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวเนื้อนุ่มยังคงปรากฏรอยนูนแดงจากการผ่าตัดเปิดช่องท้องเพื่อรักษาอวัยวะภายในรวมถึงร่องรอยจากการถูกกระจกบาดตามลำตัวและท่อนแขน ผมติดกระดุมเสื้อจนเสร็จเรียบร้อย เอื้อมมือแตะลงเหนือหางคิ้วด้านขวาที่เห็นรอยบาง ๆ คงเป็นแผลที่เกิดจากการเย็บเพราะศีรษะกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างเมื่อตอนที่รถพลิกคว่ำไถลลงไปตามความลาดชันของแนวผา ทั้งร่างก็คงจะมีเพียงบาดแผลในตำแหน่งนี้กระมังที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาบดบังได้


“ไม่ต้องห่วงนะคะ แผลนี่เล็กนิดเดียวอีกไม่นานก็จางไปเอง ดิฉันรับรองว่าคุณสิรันธรต้องกลับมาหล่อเหมือนเดิมแน่ค่ะ” คำพูดติดตลกของเธอทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เรายิ้มให้กันผ่านเงาสะท้อนบนระนาบกระจก เพิ่งสังเกตว่าผู้ชายคนนั้นหายไปแล้ว ยังไม่ทันจะได้ถามจากคุณพยาบาล คนที่เปิดประตูเดินเข้ามาก็ทำให้ความตั้งใจของผมหยุดลงเพียงเท่านั้น 


“ยินดีด้วยนะหลานชาย ได้กลับบ้านสักที”


ผมละสายตาจากยิ้มหวานของสาววยยกมือไหว้ชายวัยกลางคนเจ้าของผมสีดอกเลาหวีปัดเรียบแปล้ที่กำลังพาร่างท้วมมาหยุดยืนตรงหน้า เขาคือนายแพทย์อภิชาติที่นอกจากจะเป็นเพื่อนรักของพ่อแล้ว เขายังเป็นแพทย์เจ้าของไข้ที่ให้การดูแลผมมาตลอดหกเดือน ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไรที่ผมกล่าวขอบคุณในความช่วยเหลือที่ได้รับจากเขา ไม่รู้ว่าเขาจะเบื่อฟังมันบ้างไหม แต่ผมก็ยังอยากจะพูดอยู่ดี


“ขอบคุณคุณลุงอีกครั้งนะครับ”


เขายิ้ม พร้อมกันนั้นมือที่เคยช่วยชีวิตก็ตบเบา ๆ ลงบนบ่าของผม “ต่อจากนี้หลานต้องดูแลตัวเองดี ๆ อย่าทำให้แม่เขาต้องเป็นห่วง แล้วก็อย่าประมาทอีก”


“ครับคุณลุง”


“เราคงต้องเจอกันไปอีกนานเลยละ จนกว่าหลานชายจะหายเป็นปกติ”


นึกสงสัยเสียจริง คำว่า “หายเป็นปกติ” ของคุณลุงหมอมันหมายความว่าอย่างไรกันนะ แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บข้อข้องใจนั้นเอาไว้แล้วตอบรับเพียงสั้น ๆ


“หลานต้องทานยา ทานอาหารที่มีประโยชน์เยอะ ๆ รวมถึงหมั่นออกกำลังกายและมาทำกายภาพบำบัดจะได้หายไว ๆ” ผู้อาวุโสกำชับ


“จำขึ้นใจเลยครับคุณลุงหมอ คุณลุงหมอย้ำผมเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่ที่บอกว่าจะให้ผมกลับไปพักฟื้นที่บ้าน”


คำพูดของผมเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้ไม่น้อย คุณลุงอภิชาติยังคงเป็นคุณลุงที่ใจดีเสมอมา คุณลุงเป็นคนเดียวที่ให้การช่วยเหลือครอบครัวของเราอย่างแข็งขันนับตั้งแต่วันที่พ่อจากไป การสนทนาของเรายังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งแม่ของผมมาถึง แม่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับผู้ชายคนนั้น คนที่ผมพบที่สวนด้านหลังโรงพยาบาล ใบหน้าของเขาซีดเซียวและเรียบเฉย ต่างจากแม่ที่ดูจะดีใจอยู่มากทีเดียวกับการได้ออกจากโรงพยาบาลของผมในครั้งนี้


“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่ช่วยดูแลเจ้ารัน” แม่ละล่ำละลักพร้อมกับมองมาที่ผม


“ไม่เป็นไรหรอกคุณสิรินทรา มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นหมออยู่แล้ว อีกอย่างเจ้ารันมันก็หลานผมเหมือนกัน” คุณลุงหมอนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนเรื่องอาการทางสมอง...” ยังไม่ทันจะกล่าวจบผู้ชายคนนั้นก็แทรกขึ้นจนดวงตาทุกคู่ในห้องต่างก็จับจ้องไปที่เขา


“เขาจะมีโอกาสกลับมาจำได้เหมือนเดิมไหมครับคุณลุงหมอ”


“อืม...คิดว่าคงต้องให้เวลาเขาหน่อยน่ะ”


เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของคุณลุงหมออภิชาติกำลังแสดงออกถึงความเป็นกังวล ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นได้แต่เพียงพยักหน้ารับก่อนจะเบนสายตามองมาที่ผม สีหน้าของเขาก็ดูเป็นกังวลไม่ต่างกัน นั่นคงเพราะเรื่องที่ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำที่หยุดลงเพียงแค่สองปีให้หลังนับจากจบการศึกษากระมัง เหตุการณ์สุดท้ายที่จำได้ก็คือผมกลับมาที่บ้านเพื่อบอกแม่ว่ากำลังจะย้ายที่ทำงาน ส่วนหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย


รถแล่นออกจากโรงพยาบาลก่อนจะมุ่งหน้าไปตามถนนเลียบชายหาด ที่นี่เงียบสงบไม่ต่างจากตอนที่ผมยังเด็ก มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นนกนางนวลกำลังบินถลาหยอกล้อกับเกลียวคลื่น หูได้ยินเสียงของแม่พูดถึงเหตุการณ์ยากจะลืมเลือนไม่หยุด ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักเท่าไรจึงจะสามารถลบมันออกจากความทรงจำได้ นาน ๆ ผมถึงจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเจ้าของรถที่อาสามาส่งสักที เขาขานรับเพื่อให้แม่ไม่รู้สึกว่ากำลังพูดอยู่คนเดียว และทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขาพูดผมก็จะลอบมองไปยังกระจก เห็นได้ชัดว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นไม่ได้แสดงว่ามีความสุขเลยสักนิด หัวคิ้วที่แทบจะชนกันก็พาเอาคิ้วของผมขมวดมุ่นตามไปด้วย เมื่อเราบังเอิญสบตากันในเงาสะท้อนก็เป็นผมที่ต้องรีบเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง


ทิวทัศน์สองข้างทางทำให้ผมลืมคนตรงหน้าไปชั่วขณะ และเมื่อรถค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงจนกระทั่งมาหยุดนิ่งนอกรั้วสีขาวที่กั้นล้อมรอบอาณาเขตของบ้านไม้สองชั้นซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางไม้ใหญ่ใบหนา นั่นทำให้ผมรู้ว่าผมได้มาถึงบ้านของผมแล้ว และเมื่อมองไปรอบ ๆ คำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัว


ผมไม่ได้กลับมาที่นี่นานแค่ไหนแล้วนะ หกเดือน? ไม่สิ! แม่บอกว่ามันมากกว่านั้น แม่เล่าว่าผมจากที่นี่ไปเมื่อสามปีที่ก่อน ตั้งแต่วันที่ผมถูกย้ายให้ไปช่วยงานทางด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่สำนักงานในต่างประเทศผมก็ไม่ได้หวนคืนมาที่นี่อีกเลย จนกระทั่งผมตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อกลับมาเปิดร้านขนมตามที่ตั้งใจเอาไว้ แต่แล้วแผนการทั้งหมดก็เป็นอันต้องพังทลายลงเพียงเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น


รถเคลื่อนผ่านซุ้มประตูเข้ามาตามทางที่โรยด้วยกรดหินกระทั่งจอดสนิทที่หน้าบ้าน ผมเปิดประตูลงจากรถอย่างไม่รั้งรอใช้ไม้เท้าค้ำยันพยุงกายไม่ให้น้ำหนักลงที่ขาซึ่งคุณหมอเพิ่งจะถอดเฝือกออกไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แม้คนมาส่งจะอาสาเข้าช่วยแต่ผมก็มั่นใจว่าผมดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องรบกวนใคร ผมกล่าวขอบคุณในความปรารถนาดีของเขาก่อนจะพาร่างของตัวเองเข้าไปในบ้านที่เป็นเหมือนกล่องใส่ความทรงจำในวัยเด็กของผม เป็นความทรงจำเมื่อครั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นแม่จึงรักบ้านหลังนี้มากจนไม่คิดจะขายและไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยกัน แม้ผมจะพยายามรบเร้าหรือหาเหตุผลหว่านล้อมเท่าไรก็ตาม ข้าวของทุกอย่างแทบจะไม่มีอะไรต่างไปจากช่วงเวลาที่ผมยังสามารถจำมันได้  อันที่จริง...หากจะพูดว่าไม่มีอะไรต่างไปจากตอนที่พ่อยังอยู่ก็คงไม่ผิด เปียโนหลังใหญ่ยังคงตั้งอยู่ในห้องหนังสือ จำได้ไม่เคยลืมว่าหลังอาหารเย็นแม่มักจะนั่งเล่นเพลงโปรดของพวกเรา ในขณะที่ผมเองก็เพลิดเพลินไปกับหนังสือนิทานเล่มใหญ่ที่พ่อหยิบมาอ่านให้ฟัง 


แม่ช่วยประคองพาผมขึ้นไปบนห้องนอน หน้าต่างบานเลื่อนถูกเปิดอ้าไว้ให้ลมพัดเข้ามาไล่ไอร้อน ผ้าม่านสีขาวพริ้วไหวไปตามแรงลม ได้ยินเสียงโมบายแขวนหน้าต่างดังแว่วสลับกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง เมื่อแม่เดินไปรวบผ้าม่านเก็บไว้ที่ด้านหนึ่ง ผมจึงสามารถเห็นชายหาดสีขาวสะอาดตาได้จากตรงนี้ ผมหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงนุ่มมองหญิงวัยกลางคนร่างเล็กที่กำลังเดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยปอยผมที่ตกลงมาเคลียหน้าผากของผม พลันยิ้มจาง ๆ ก็จุดขึ้นบนใบหน้าที่เริ่มปรากฏริ้วรอยนั้น
ยิ้มของแม่คือสิ่งที่ผมปรารถนาจะได้เห็นอยู่ทุกเวลา เชื่อเหลือเกินว่าใบหน้าของผมเองก็เป็นสิ่งที่แม่หวังว่าจะได้พบอีกหนเช่นกัน นึกไม่ออกเลยว่าหากอุบัติเหตุคราวนั้นปลิดชีวิตของผม วันนี้แม่จะอยู่อย่างไร คิดได้เช่นนั้นมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าการมีลมหายใจอยู่ถือว่าเป็นโชคดีแม้จะต้องประสบกับความทุกข์ยากแสนสาหัสก็ตาม


“แม่ดีใจที่ลูกกลับมาอยู่บ้านเราเสียที” เสียงของแม่สั่นเครือแต่ก็ยังอ่อนโยนและน่าฟังไม่เปลี่ยน ผมยิ้มก่อนจะเอนศีรษะลงบนหนุนตักอุ่นอย่างที่เคยทำพร้อมกับคว้ามือของแม่มาแนบแก้ม ในเวลานี้ไม่มีอะไรจะให้ความรู้สึกสบายและปลอดภัยอย่างที่สุดเท่ากับตักของแม่อีกแล้ว 


“ต้องขอบคุณคุณหมออภิชาติจริง ๆ” จู่ ๆ แม่ก็พูดถึงคุณลุงหมอเจ้าของไข้ของผม





คุณลุงหมออภิชาติ...


ภาพของเขาที่ปรากฏตรงหน้าผมนั้นเลือนรางเหลือเกิน นั่นเพราะผมไม่อาจบังคับเปลือกตาให้เปิดขึ้นได้ แต่กระนั้นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดก็ยังเอ่อล้นยากที่จะหักห้าม อาการปวดร้าวที่ศีรษะและช่องท้องบวกกับเสียงที่ฟังดูวุ่นวายของทั้งหมอและพยาบาลประจำห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทำให้ผมนึกสภาพตัวเองไม่ออกเลยจริง ๆ 


“อาจารย์คะ คนไข้อาการหนักมากค่ะ หนูทำทุกวิธีแล้วแต่ความดันก็ยังไม่ขึ้น ท้องก็เริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ อาจารย์มีความเห็นว่ายังไงคะ”


เสียงหวานติดจะเป็นกังวลของใครคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด มันค่อนข้างเร็วรัวจนเกือบจะฟังไม่ทันแต่ก็ยังน้อยกว่าคำตอบที่เธอได้รับ


“อาการแบบนี้คิดว่าน่าจะมีเลือดออกในช่องท้อง คุณโทรประสานห้องผ่าตัดด่วนเลย ผมจะผ่าเอง”
และนั่นก็คือคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ผมจะไม่รู้สึกตัวอีกเลย


“คิดอะไรอยู่จ๊ะลูก” เสียงของแม่ดึงความคิดของผมกลับมาพร้อมกับสัมผัสจากมืออุ่นที่วางลงมาบนศีรษะ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้น พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้กับหัวเตียง ผมจ้องมองไม่วางตาจนแม่ต้องเอี้ยวตัวหยิบกรอบรูปนั้นมาถือไว้


เมื่อได้เห็นใกล้ ๆ ก็พบว่ามันคือภาพถ่ายชายหนุ่มสองคนในชุดลำลอง มีฉากหลังเป็นทะเลในวันที่ท้องฟ้าประดับประดาด้วยปุยเมฆ หนึ่งในนั้นคือตัวผม ส่วนอีกคนที่ยืนกอดคออมยิ้มอยู่ข้างกันก็คือ ‘เขา’


“รูปของลูกกับนับพล” แม่กล่าวพลางส่งกรอบรูปให้


“นับพล” ผมทวนคำก่อนจะรับกรอบรูปนั้นมาพิจารณา ใช่จริง ๆ เขาคือผู้ชายคนนั้น คนที่พบกันที่โรงพยาบาลและคนที่อาสามาส่งผมกับแม่ที่บ้าน คนที่เฝ้าถามซ้ำไปซ้ำมาว่าผมจำเขาได้หรือไม่


นับพล...เขาเคยอยู่ในความทรงจำของผมจริง ๆ ด้วย แล้วผมไปทำความทรงจำในช่วงนั้นตกหล่นไว้ตรงไหนกัน?



...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-04-2017 23:47:51 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ฝันร้าย


ชายที่นั่งประจำที่ในตำแหน่งคนขับลอบมองผู้เป็นเจ้านายที่กำลังทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างผ่านกระจกมองหลัง มือหยาบกร้านกำพวงมาลัยค่อยคลายออกเมื่อรถถึงที่หมายและจอดสนิท กระนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะขยับ ยากจะคาดเดาเหลือเกินว่าเขากำลังมองไปที่ไหนและก็ไม่ง่ายนักที่จะรู้ว่าขณะนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ขืนปล่อยให้อยู่อย่างนี้มีหวังคงไปไม่ทันเวลานัดเป็นแน่ ลุงสิงห์ถอนใจเบา ๆ ตัดสินใจเอี้ยวตัวหันมาเอ่ยปากเตือนคนใจลอยที่เอาแต่นั่งนิ่งราวกับถูกสาป

 
“ถึงแล้วครับคุณรัน”


เจ้าของชื่อรั้งสติกลับคืนก่อนจะสบตาคนพูด มองไปรอบ ๆ ก็เห็นจริงตามคนขับรถว่า จึงเปิดประตูก้าวลงไปยืน สิรันทรเผลอยิ้มกับตัวเองเมื่อพบว่าในที่สุดเขาก็สามารถยืนได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยันอีกต่อไป ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองไปยังอาคารโบราณสองชั้นสีขาวหม่นซึ่งสร้างขึ้นตามแนวคิดศิลปะแบบตะวันตก ระเบียงทำเป็นซุ้มอาร์เคดโค้งรับน้ำหนักของหลังคายาวตลอดแนวปีกซ้ายและขวา เหนือประตูทางเข้าที่หน้ามุขประดับด้วยลวดลายปูนปั้นสลักตัวอักษรเป็นร่องลึกว่า "ฤดีบรรเทา" ซึ่งเป็นชื่อของอาคาร เป็นอีกครั้งที่ได้กลับมาที่นี่ ที่ที่ทำให้เขายังคงมีชีวิตอยู่


สิรันทรมาตรวจเพื่อติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด ผลการเอกซเรย์กระดูกขาที่ดามเอาไว้ด้วยเหล็กเป็นที่น่าพอใจ  ส่วนหนึ่งเพราะความมีวินัยของตนเอง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อแนะนำให้เขาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเมื่ออยู่ที่บ้านโดยการเกร็งกล้ามเนื้อต้นขา นั่งห้อยขาขยับข้อเท้าและข้อเข่า ซึ่งคนป่วยก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากจะชมเชยแล้วผู้ให้การรักษายังคาดการณ์ว่าอีกไม่เกินสองปีกระดูกที่หักก็คงจะประสานกันดีและสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ


หลังจากตรวจติดตามอาการกระดูกหักแล้ว สิรันทรก็ถูกส่งต่อไปยังศูนย์สมองและระบบประสาท ร่างสูงแทรกตัวผ่านกรอบประตูเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ผ่านหอพักผู้ป่วยที่แสนจะเงียบสงบก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไม้สักขัดมันเงาวับทอดวนสู่ชั้นบน หยุดยืนที่ซุ้มอาร์เคดซึ่งเรียงเป็นช่องต่อกันยาวไปตามปีกซ้ายของตัวอาคาร ลมหายใจหนักผ่อนผ่านปลายจมูกพลางทอดตามองออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ที่ถูกแต่งแต้มด้วยระลอกคลื่นสีขาวโดยมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีฟ้าจัด ช่วยส่งให้สิ่งที่เห็นเบื้องหน้านั้นไม่ต่างอะไรกับภาพวาดสีน้ำมันของจิตกรฝีมือดีในยุคที่ผู้คนนิยมเสพงานศิลป์ซึ่งสร้างขึ้นจากความประทับใจเมื่อแรกเห็น แต่อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงดวงอาทิตย์ดวงโตก็คงจะเคลื่อนคล้อยและลับหายไปตรงจุดที่ผืนน้ำและแผ่นฟ้าบรรจบกัน อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อแสงทองสาดส่องอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นทุกสิ่งจะยังคงสวยงามเหมือนเช่นที่เห็นในวันนี้ไหม


เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับกระเบื้องลายโบราณชวนให้ชายหนุ่มที่กำลังปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศยามบ่ายต้องดึงสายตากลับ ที่แท้ก็พยาบาลสาวสวยที่ไม่ได้พบกันเสียนาน เธอหอบแฟ้มประวัติคนไข้ตั้งใหญ่เดินสวนทางมาอย่างรีบร้อนแต่ก็ยังมีแก่ใจแวะทักทายคนคุ้นหน้าตามประสาคนอัธยาศัยดีก่อนจะขอตัวไปทำงานต่อ สิรันทรก้มมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าจวนได้เวลานัดจึงเริ่มก้าวอีกครั้ง กระทั่งมาหยุดที่หน้าศูนย์สมองและระบบประสาท ยื่นใบนัดให้พยาบาลประจำศูนย์ฯ นั่งรออยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงขานชื่อตนเอง ชายหนุ่มจึงผุดลุกขึ้นเดินตามร่างบางในชุดกระโปรงสีขาวสะอาดตาไปยังห้องที่อยู่ลึกเข้าไปสุดทางเดิน


“เชิญค่ะ” หญิงสาวผายมือเมื่อดึงประตูเปิดออก คนเดินตามหลังค้อมศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินผ่านร่างเล็กเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่เจ้าของห้องกำลังง่วนอยู่กับการคีย์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์


สิรันทรกล่าวทักทายจากนั้นจึงนั่งลงตามคำเชิญจ้องหน้าคนฝั่งตรงข้าม เผลอมุ่นคิ้วน้อย ๆ ด้วยความสงสัยเมื่อพบว่าเขาไม่ใช่อาจารย์หมอศุภชัยคนที่คุณลุงหมออภิชาติเคยแนะนำให้รู้จักเมื่อคราวก่อน หากแต่เป็นชายหนุ่มอายุราว ๆ สามสิบปีเศษ ผมสีเข้มตัดรองทรงสูงถูกปล่อยตามธรรมชาติ ที่สะดุดตาคงไม่พ้นแว่นกรอบหนาสีดำสนิทดูเชย ๆ แต่กลับน่ามองยามเมื่ออยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย ทั้งหน้าตาและผิวพรรณบ่งบอกว่าน่าจะไม่ใช่คนท้องถิ่นแถบนี้ สิรันทรมองเพลินจนไม่ทันสังเกตว่าเสียงรัวเคาะแป้นพิมพ์หยุดลงตั้งแต่เมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คนฝั่งตรงข้ามส่งยิ้มมาให้


“หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือเปล่าครับ คุณถึงได้จ้องไม่วางตาเชียว” ประโยคกระเซ้าเย้าแหย่ทำเอาคนมองนึกขึ้นได้ว่ากำลังแสดงกริยาไม่สุภาพจึงกล่าวขอโทษก่อนจะอธิบาย


“ผมคิดว่าผมต้องมาพบอาจารย์หมอศุภชัยเสียอีก”


“อ๋อ...อาจารย์ศุภชัยท่านติดภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศน่ะครับ ท่านก็เลยมอบหมายให้ผมดูแลต่อ แล้วตอนนี้อาการคุณเป็นยังไงบ้าง” กล่าวพลางคลิกเมาส์เปิดดูประวัติการรักษาก่อนจะเริ่มคีย์ข้อมูลตามที่คนไข้เล่าให้ฟัง


“ที่ขาก็ยังเจ็บแปลบ ๆ อยู่บ้างเวลางอเข่าน่ะครับ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร แต่รู้สึกแปลกดีพอนึกว่ามีเหล็กดามอยู่ข้างใน” สิรันทรตอบยิ้ม ๆ


“เดี๋ยวก็ชินครับ ขยันทำกายภาพบำบัด อีกไม่นานก็เดินเหินได้เป็นปกติ ทีนี้จะเหลือก็แต่....” ชายหนุ่มหยุดมือพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนาก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนประเด็น “คุยกันตั้งนานยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อขวัญนพ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ...” เหลือบตามองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้งแล้วกล่าวต่อ “สิรันทรใช่ไหม”


เจ้าของชื่อพยักหน้ารับจากนั้นจึงเบนสายตาไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกเปิดค้างไว้ 


“ผมดูภาพที่ได้จากการทำ CT scan ครั้งล่าสุดของคุณแล้วนะครับ” นายแพทย์ขวัญนพกล่าวพร้อมกับผลักหน้าจอให้อีกฝ่ายมองถนัดขึ้น “กะโหลกศีรษะที่ร้าวก็ประสานกันดี ทุกอย่างดูปกติดี”


สิรันทรมองภาพโครงสร้างในหัวตัวเองที่แสดงรายละเอียดในมุมมองต่าง ๆ อย่างสนอกสนใจ เลื่อนตามองตามปลายปากกาที่อีกฝ่ายใช้ชี้ที่จุดต่าง ๆ ประกอบการอธิบาย ไม่คิดว่าใต้เนื้อลงไปจะมีลักษณะดังเช่นที่เห็นนี้


“คุณยังรู้สึกเจ็บตรงไหนอยู่บ้างไหม หรือว่ามีอาการผิดปกติอื่น ๆ บ้างหรือเปล่า อย่างเช่น คลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืด หรือว่าเดินเซทรงตัวไม่อยู่” ถามก่อนจะรั้งแฟ้มประวัติที่พยาบาลวางไว้ให้มาเปิดดู


“ไม่นี่ครับ” คนถูกถามตอบในขณะที่ตาก็มองตามกระดาษที่ถูกพลิกไปทีละหน้า หูได้ยินเสียงพึมพำเป็นศัพท์ทางการแพทย์ที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก


ในที่สุดแฟ้มบันทึกประวัติการรักษาเล่มโตก็ถูกปิด เจ้าของตาคมกริบเลิกสนใจเอกสารตรงหน้า เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มเบาบางจากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงราบเรียบยากจะคาดเดา “ยังพอมีเวลา เราไปคุยกันต่อที่ห้องทำงานของผมกันดีกว่าครับ”


สิรันทรมองคนที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกอย่างแปลกใจแต่ยังไม่ทันได้ถามเขาก็พูดขึ้นเสียก่อน


“ใกล้หมดเวลาให้บริการแล้ว แต่ผมยังมีอีก 2-3 ประเด็นที่อยากจะคุยกับคุณต่อสักหน่อย” กล่าวจบก็ลุกขึ้น ผายมือเชิญคนไข้ให้เดินตาม


....


เมื่อก้าวพ้นเขตห้องตรวจออกสู่ระเบียงทางเดินขวัญนพก็ชะงักเล็กน้อยในขณะที่เท้ายังคงก้าวต่อ แม้สิ่งตรงหน้าจะเป็นภาพที่เห็นอยู่ทุกวัน หากแต่ทุกวันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป จากตรงนี้มองเห็นสะพานปลาอยู่ริบ ๆ คลื่นลมสงบในขณะที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงแต้มด้วยริ้วส้มเหลือง เหนือขึ้นไปบนเส้นขอบฟ้าปรากฏภาพของดวงอาทิตย์ที่เหลืออยู่เพียงครึ่งดวง หากได้มองมาจากชายหาด ภาพที่ปรากฏแก่สายตาในขณะนี้ก็คงจะเป็นภาพตึกทั้งหลังที่ถูกฉาบด้วยแสงสีส้มไม่ผิดแน่ ตรงกันข้ามกับสิรันทรที่เวลานี้ไม่ได้สนใจทัศนียภาพอันแสนงดงามยามอาทิตย์อัสดงแม้แต่น้อย ดวงตาเคลือบด้วยแววแห่งความสงสัยนั้นยังคงจ้องมองไปยังแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงตรงหน้า ในใจใคร่รู้เหลือเกินว่านายแพทย์ขวัญนพคนนี้อยากจะคุยอะไรกับตนเองกันแน่


ตรวจพบความผิดปกติ? หรือว่ามีอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น?


ความคิดแตกฉานซ่านเซ็นกลับมารวมกันอีกครั้งเมื่อจู่ ๆ คนเดินนำหยุดก็ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง บนประตูไม้เนื้อแข็งมีป้ายติดเอาไว้ว่า ‘น.พ.ขวัญนพ นภศิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาท’


“นี่ห้องทำงานผมเอง” เจ้าของห้องหันมากล่าวก่อนจะบิดลูกบิดเปิดประตูเดินนำเข้าไปด้านใน 


ทันทีที่สาวเท้าก้าวตาม สิรันทรก็พบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของห้องเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือราวกับเป็นห้องสมุดขนาดย่อม ผนังด้านหนึ่งติดนาฬิกาลูกตุ้มที่ยังคงแกว่งไปมาทำหน้าที่บอกเวลาอย่างแข็งขัน โต๊ะทำงานที่ทำจากไม้สักขัดมันตั้งอยู่ริมหน้าต่างวงกบไม้แกะสลักประดับด้วยม่านสีขาวปักฉลุลาย นอกจากจะสวยงามแล้วยังใช้บังแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในยามบ่ายได้เป็นอย่างดี


“เชิญนั่งก่อนครับ” มือหนาผายออกเชื้อเชิญให้คนที่มาด้วยกันนั่งลงที่โซฟากลางห้อง


สิรันทรนั่งลงพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ “ไม่เหมือนห้องทำงานเลยนะครับ ดูเหมือนห้องสมุดมากกว่า”


“พอดีผมชอบอ่านหนังสือหนังสือน่ะครับ พวกเพื่อน ๆ หรือคนไข้ที่รู้ก็ซื้อฝากบ้าง ซื้อเองบ้าง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ที่บ้านพักไม่มีที่จะเก็บแล้ว”


คำพูดนั้นพอจะเรียกรอยยิ้มจากใบหน้าเรียบนิ่งได้บ้าง ดวงตาช่างสงสัยมองตามร่างสูงที่กำลังแทรกตัวเข้าไปในช่องทางเดินระหว่างชั้นหนังสือ ไม่ช้าเขาก็หยุดชะเง้อไล่หาพร้อมกับใช้ปลายนิ้วลากไปตามสันปกที่เบียดกันแน่น ในที่สุดก็รั้งเล่มหนึ่งออกมาเปิดอ่าน สิรันทรเลื่อนตาลงมองสองมือที่ประสานกันอยู่ตรงหน้าก่อนจะผ่อนลมหายใจเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองผ่านช่องประตูระเบียงเห็นเรือประมงลำใหญ่กำลังเคลื่อนห่างออกจากฝั่งมุ่งหน้าไปที่ไหนสักที่ กว่าจะกลับเข้าฝั่งอีกทีก็คงพรุ่งนี้เช้าหรืออาจจะอีกหลายวันทีเดียว


“คุณชอบอ่านหนังสือหรือเปล่า ถ้าคุณชอบ ผมมี...” 


“ผมพร้อมแล้วครับ”


เสียงพลิกหน้ากระดาษหยุดลงเพียงเพราะคำพูดแผ่วเบาหากแต่มีพลังพอที่จะเรียกดวงตาซึ่งกำลังกวาดไล่ไปตามแต่ละตัวอักษรในหน้ากระดาษให้มองไปยังคนพูดได้อย่างไม่ยาก


“เข้าเรื่องของคุณหมอเลยดีกว่า อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลยครับ ผมทราบว่าเวลาของคุณหมอคงไม่ได้มากนัก”


เมื่อได้ฟังดังนั้นความคิดที่ขวัญนพจะสร้างความคุ้นเคยระหว่างหมอกับคนไข้เพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกอึดอัดก็เป็นอันต้องพับเก็บ จัดการสอดหนังสือคืนที่ก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ


“ผมเป็นอะไรเหรอครับ”


นายแพทย์หนุ่มส่ายหน้าทันทีที่ได้ฟังคำถาม “อย่าเพิ่งเป็นกังวลไปครับ คุณไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น ผมก็แค่คิดว่ากรณีของคุณเป็นกรณีที่น่าสนใจ จากอุบัติเหตุคราวนั้นนอกจากขาที่หักและมีเลือดออกในช่องท้องแล้ว คุณยังได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ซึ่งเราก็ได้ทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ไปหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่พบความผิดปกติ”


“มันน่าสนใจตรงที่ว่าทำไมผมถึงจำเรื่องราวในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาไม่ได้อย่างนั้นสินะครับ” สิรันทรสบตานิ่งรอฟังคำตอบในขณะที่ขวัญนพเองไม่รีรอที่จะพยักหน้ายอมรับ


“ผ่านมาหลายเดือนแล้ว คุณพอจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากย้ายที่ทำงาน เหตุการณ์ในวันที่เกิดอุบัติเหตุ...” ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันก่อนจะค่อยคลายออก “หรือว่า...อะไรเกี่ยวกับเขา พอจะจำได้บ้างไหมครับ”


จบคำถามของขวัญนพ สิรันทรก็มุ่นคิ้วพลางส่ายหน้าเป็นคำตอบ มองคุณหมอร่างสูงที่ลุกเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน จากนั้นก็กลับมานั่งลงที่เดิมพร้อมกับส่งสมุดสเก็ตช์เล่มหนึ่งให้ 


“แต่ผมว่ามันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนี่ครับ มันก็เหมือนเราลืมเรื่องสมัยเด็ก ๆ บางเรื่อง หรือลืมบางสิ่งบางอย่างที่เคยทำเมื่อเวลาผ่านไป” สิรันทรกล่าวพลางรับสมุดเล่มนั้นมาวางบนตัก


“ก็จริง มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับคุณ แต่สำหรับนับพล ผมว่ามันเป็นปัญหาใหญ่เชียวละ” ขวัญนพกล่าวก่อนจะกดตาลงต่ำมองที่สมุดเล่มโตบนตักของคนตรงหน้า “จะไม่เปิดดูสักหน่อยหรือครับ”


คนฟังนั่งนิ่ง ไม่รู้ตัวเลยว่าอาการลังเลถูกส่งผ่านสายตาออกมาอย่างเห็นได้ชัด ครู่หนึ่งจึงก้มลงมองมือของตัวเองที่กำลังลูบคลำไปบนปกซึ่งทำจากกระดาษชานอ้อยสีน้ำตาล ในที่สุดก็ไม่อาจทนต่อความใคร่รู้ที่มีอยู่มากได้ ทันทีที่สมุดเก็ตช์ถูกเปิดออก สิ่งแรกที่เห็นก็คือภาพถ่ายของสองหนุ่มหน้าตามอมแมม ที่คนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการบีบครีมไส้แอแคลร์โดยมีอีกคนคอยยืนลุ้นให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง ใต้ภาพมีข้อความเขียนด้วยลายมือว่า ‘จุดเริ่มฝัน’ ลงวันที่เมื่อสี่ปีก่อน


“อาจารย์หมอศุภชัยท่านได้มันมาจากคุณแม่ของคุณอีกที”


สิรันทรยังคงพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อย ๆ ยิ่งจำนวนหน้าเพิ่มขึ้นเรื่องราวระหว่างตนเองกับผู้ชายคนนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ดวงตาสั่นไหวกลับหยุดนิ่งที่ประโยคสั้น ๆ กลางหน้ากระดาษทางด้านซ้ายมือซึ่งเขียนว่า ‘You can't blame gravity for falling in love.’ เมื่อเลื่อนตาไปตามเส้นลูกศรที่ซี้โยงไปยังอีกหน้ากระดาษก็พบภาพถ่ายใบหนึ่ง เป็นภาพของตัวเขาเองที่กำลังส่งแอปเปิ้ลสีเขียวสดให้ใครบางคนที่ถือโอกาสพาดคางลงบนบ่าและสวมกอดจากด้านหลัง


“เป็นสแครปบุ๊กหนึ่งในสองเล่มที่คุณเริ่มทำตั้งแต่รู้จักกับนับพล ส่วนเล่มนี้เป็นเล่มที่คุณกับเจ้าพลช่วยกันทำเมื่อตอนที่ตัดสินใจว่าจะลาออกจากงานมาเปิดร้านขนมตามที่ฝันเอาไว้ ร้านของคุณสองคน”


สิรันทรนิ่งงันในขณะที่มือยังคงพลิกหน้ากระดาษต่อไป บางหน้าเป็นภาพสเก็ตช์ภายในอาคาร เดาว่าน่าจะเป็นร้านขนมที่ขวัญนพพูดถึงเมื่อสักครู่ มันไม่ได้มีเพียงภาพลายเส้นดินสอเท่านั้น แต่ยังมีภาพถ่ายสถานที่จริงถูกติดเอาไว้ข้าง ๆ กันเพื่อเปรียบเทียบด้วย


“ร้านที่ว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดคุณก็ถูกส่งไปทำงานที่ต่างประเทศเสียก่อน” ขวัญนพหยุดมองภาพถ่ายแหวนทองคำขาวที่วางคู่กันก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนแหวนนั่น...” คิดว่าคงไม่ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ  นายแพทย์หนุ่มจึงหยุดอยู่เพียงเท่านั้น มองเจ้าของใบหน้ารูปไข่ที่ยังคงนั่งจ้องภาพที่เห็นไม่วางตา


สิรันทรถอนใจแรงมองแหวนทองคำขาวที่สวมติดนิ้วนางข้างซ้ายมาตลอดนับตั้งแต่ได้สติ “ก่อนหน้านี้ผมพยายามนึกหาที่มาของมันแต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกสักที”


ขวัญนพพยักหน้า กำลังจะเล่าต่อ จู่ ๆ คนไข้ของเขาก็ขัดขึ้น


“วันนี้พอก่อนได้ไหมครับหมอ” พูดจบก็ปิดสมุดสเก็ตช์ก่อนจะส่งคืน


นายแพทย์หนุ่มรับมาถือไว้และจำต้องหยุดเพียงแค่นั้น สังเกตเห็นใบหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีของอีกฝ่ายก็อดที่จะถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้


“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”


“ปวดหัวนิดหน่อยครับ วันนี้ผมคงให้คุณหมอรักษาได้แค่นี้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ” เจ้าของหน้าเซียวฝืนยิ้มเพื่อให้คนที่กำลังพยายามช่วยเหลือตนเองได้คลายความกังวล


“อย่าเรียกว่ารักษาเลยครับ เรียกว่านั่งคุยกันดีกว่า เพราะตอนนี้ร่างกายคุณก็ปกติดี”


คนฟังพยักหน้าน้อย ๆ ยอมรับว่ายังไม่มีตรงไหนบ่งบอกว่าเป็นการรักษาจริงตามที่อีกฝ่ายว่า ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การพูดคุยกัน


...พูดคุยเพื่อจะทบทวนความจำในช่วงห้าปีที่ผ่านมา...ห้าปีที่ไม่รู้ว่าเขาได้ทำมันหล่นหายไปตอนไหน... 



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


ขวัญนพเดินออกมาส่งสิรันทรที่หน้าตึก แม้เป็นช่วงเวลาแดดร่มลมตก แต่ผู้คนที่มาขอรับการรักษาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไม่บางตา นั่นคงเป็นเพราะโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลเก่าแก่และถือว่าดีที่สุดในย่านนี้ หลายคนจึงเลือกที่จะหนีร้อนมาพึ่งเย็นที่นี่ บ้างฝากความหวังเอาไว้ในมือแพทย์และพยาบาล ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่ทุกคนที่จะสมหวัง บางคนกลับออกไปด้วยรอยยิ้มในขณะที่บางคนกลับออกไปพร้อมกับคราบน้ำตา นั่นคือวัฏจักรที่ขวัญนพทำใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องได้พบตั้งแต่ตัดสินใจสอบเข้าโรงเรียนแพทย์


เจ้าของร่างสูงเหลือบมองคนที่ยืนเคียงข้างกัน ชายหนุ่มอายุย่างยี่สิบเก้าปีที่ดูแล้วก็ปกติดีทุกอย่าง ใครจะคิดว่าหน้าตาเกลี้ยงเกลาบวกกับรูปร่างที่ผอมบางเช่นนี้จะสามารถรอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่คนทั้งจังหวัดพากันโจษขานมาได้ ขวัญนพเองก็ติดตามข่าวนี้อยู่เหมือนกัน ดูจากสภาพรถที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัยช่วยกันนำขึ้นมาจากหน้าผาริมทะเลแล้วยังอดคิดไม่ได้ว่าคนขับไม่น่ามีชีวิตรอด หากไม่ได้ต้นไม้ใหญ่ขวางไว้รถที่พลิกคว่ำคงลื่นไถลไปตามความลาดชันของแนวผาตกลงสู่ทะเล กว่าจะมีคนมาพบและงัดเปิดประตูได้ เขาก็คงกลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปเสียแล้ว แต่เมื่อเขาสามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็นับว่าปาฏิหาริย์ยังมีอยู่ ภายนอกอาภรณ์ที่สวมใส่บัดนี้เหลือเพียงรอยจางของบาดแผลซึ่งปรากฏให้เห็นเพียงเล็กน้อยบริเวณท่อนแขนและที่หางคิ้วเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่อาจลดความน่ามองของคนคนนี้ลงได้เลยสักนิด 


“ขอบคุณนะครับหมอ” สิรันทรหันมากล่าวเมื่อรถยุโรปโบราณคันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบที่บันไดทางลง


“ไม่เป็นไรครับ เราคงจะได้เจอกันอีก” นายแพทย์หนุ่มกล่าว รอกระทั่งอีกฝ่ายก้าวขึ้นนั่งประจำที่ด้านหลังคนขับ หน้าหล่อชะเง้อมองตามรถเก่าที่กำลังเคลื่อนลับตาไป กำลังจะเดินกลับเข้าภายในตัวอาคารก็ต้องชะงักเมื่อใครคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น 


“เป็นยังไงบ้างหมอ” นับพลถามขึ้นแทนคำทักทาย


“เขาจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมาไม่ได้เลยว่ะ” ขวัญนพกล่าวเสียงขรึมพอ ๆ กับสีหน้าของตนเองพลางมองอีกคนที่ตอนนี้ก็คงจะกำลังรอให้เกิดปาฏิหาริย์อยู่เช่นกัน


...


ชายหนุ่มในชุดนอนเอาแต่นั่งเหม่อหมุนแหวนที่นิ้วอยู่บนเตียง ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลในวันนี้ นึกถึงเรื่องราวในสมุดสเก็ตช์เล่มนั้น รวมถึงช่วงเวลาห้าปีที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหน ไม่นานความเหนื่อยล้าก็ทำให้จำต้องเอนกายลงนอน เมื่อหัวถึงหมอนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในความคิดพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลงช้า ๆ


‘รัน...ได้ยินผมไหม’


‘ตื่นเสียทีสิรัน คุณหลับนานเกินไปแล้วนะ...’


เสียงของใครคนหนึ่งดังซ้ำ ๆ อยู่ในความมืด พยายามจะลืมตามองแต่หนังตาก็หนักเสียเหลือเกิน  อยากจะร้องถามกลับว่าเขาเป็นใครในก็คอแห้งผากราวกับโรยด้วยเม็ดทราย เสียงนั้นยังดังแว่วอยู่ข้างหู ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแต่ใครคนนั้นก็ยังพร่ำพูดยู่อย่างนั้น ครั้งไหนที่ได้ยินเสียงสะอื้นคนฟังก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่าเขาร้องไห้หรือเสียใจด้วยเหตุผลใดกัน


“รัน ค...คุณฟื้นแล้ว”


เจ้าของชื่อซึ่งนอนอยู่บนเตียงพยายามปรือตาขึ้น เมื่อดวงตาสามารถปรับเข้ากับแสงภายในห้องได้สิรันทรก็พบว่าตนเองเองกำลังนอนอยู่ท่ามกลางสายระโยงระยาง รู้สึกได้ถึงลมเย็น ๆ จากท่อสายยางที่สอดอยู่ในโพรงจมูก หูได้ยินเสียงเครื่องติดตามสัญญาณชีพและการทำงานของหัวใจดังเป็นจังหวะต่อเนื่อง พลันความรู้สึกปวดระบมก็แล่นไปทั่วร่าง อากาศเย็นเฉียบทำเอาเนื้อตัวสั่นสะท้านกระนั้นยังรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากมือของใครคนหนึ่ง


“รัน...คุณฟื้นแล้ว” ผู้ชายคนนั้นกล่าวทั้งน้ำตานองหน้า


“คุณ...” พยามยามเปล่งเสียงแต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน


“คุณเป็นยังไงบ้าง รู้ไหม ผมห่วงคุณแทบแย่ ผมคิดว่าคุณจะไม่ฟื้นขึ้นมาคุยกับผมอีกแล้ว” เจ้าของดวงตาช้ำแดงละล่ำละลัก 


“ผ...ผมไม่เป็นไร” พูดพลางเลื่อนมือขึ้นกุมศีรษะที่กำลังปวดหน่วง “คุณ...” ดวงตายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าอิดโรยของคนที่ยังคงกุมมืออีกข้างหนึ่งของตนเองไม่ห่าง เขายกมือข้างที่เหลือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มก่อนจะยิ้มกว้างอย่างกับดีใจเสียเต็มประดา


ดีใจเรื่องอะไรกันนะ? แต่ช่างเถอะ มีอีกเรื่องที่อยากรู้มากกว่านั้น...


“คุณเป็นใครครับ?”



เมื่อสิ้นคำถาม สีหน้าของคนฟังก็สลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่นานรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


“ร...รัน นี่คุณล้อผมเล่นใช่ไหม” ปากหยักฝืนยิ้มในขณะที่คำถามเดิมยังดังซ้ำ


“คุณเป็นใคร?”


ปากบางพร่ำพูดคำถามเดิมซ้ำ ๆ กระทั่งสะดุ้งตื่น สิรันทรยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางมองไปรอบ ๆ ที่แท้มันก็แค่ความฝัน คืนนี้ยังคงเป็นอีกคืนที่เขาฝันถึงเรื่องเดิมและมันก็เป็นเรื่องเดิมที่เคยเกิดขึ้นจริงเสียด้วย


...


สิรินทรายิ้มกับภาพของสามีที่ตั้งอยู่บนหลังตู้หนังสือ ข้างกันคือโกศบรรจุอัฐิอดีตข้าราชการกรมประมงที่ทุ่มเททั้งชีวิตปกป้องดูแลท้องทะเลบ้านเกิด การเสียชีวิตตั้งแต่ในวัยหนุ่มของ ‘ธรรพ์ณธร’ ทำให้เธอต้องรับบทหนักในการดูแลลูกชายโดยลำพัง โชคดีที่ยังมีธุรกิจค้าขายอาหารทะเลแปรรูปซึ่งเป็นกิจการที่รับช่วงต่อจากบิดารวมถึงเงินช่วยเหลือจากหลวงทำให้เธอสามารถส่งเสียลูกชายให้เรียนจบด้าน Computer Science ได้สำเร็จซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่หญิงตัวเล็ก ๆ ผู้นี้อยู่ไม่น้อย ดวงตาสีหม่นละจากภาพนั้นมองออกไปยังท้องทะเลกว้างใหญ่ฉาบด้วยแสงระยิบระยับของแดดยามเช้าที่สาดทอกระทบริ้วเคลื่น พลันของเสียงฮัมเพลงของเจ้าหนูวัยกระเตาะหลานชายนายสิงห์คนเก่าคนแก่ของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากตลาดก็ดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงรถที่แล่นเข้ามาจอด


“กั้ง ดูซิลูกว่าใครมา” สิรินทราร้องบอก


ไม่นานเด็กชายวัยเก้าขวบพร้อมตะกร้าใบโตซึ่งเต็มไปด้วยยอดตำลึงและผักสดอีก 2-3 อย่างก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามารายงาน


“รถคุณพลครับคุณยาย” หนุ่มน้อยละล่ำละลักก่อนจะโผล่หน้าออกไปต้อนรับ ‘คุณพล’ ผู้ที่ตนเองยกให้เป็นพี่ชายใจดีอันดับที่สองรองจาก ‘คุณรัน’ ลูกชายคุณยายเจ้าของบ้าน


สิรินทราโคลงศีรษะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องของเจ้าหนู เดาได้ไม่ยากว่าคนที่เพิ่งมาถึงคงจะมีของติดไม้ติดมือมาฝากเหมือนเช่นเคย เงียบเสียงเด็กชาย หนุ่มกรุงเทพฯ รูปร่างสูงโปร่งก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกระเช้าผลไม้ในมือ เขาเดินตรงมายังระเบียงเพราะรู้ว่านายหญิงของบ้านโปรดปรานมุมนี้เป็นที่สุด เธอจึงมักออกมานั่งรับลมคิดอะไรเพลิน ๆ ที่ตรงนี้เสมอ นับพลยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวทักทายอย่างนอบน้อมก่อนจะวางกระเช้าผลไม้ลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงนั่งลงตามคำเชื้อเชิญของเจ้าบ้าน พูดคุยกันตามประสาคนคุ้นเคยอยู่พักหนึ่ง ตาคมก็เริ่มมองหาคนที่เป็นสาเหตุให้ต้องรีบบึ่งรถจากกรุงเทพฯ มาที่นี่แต่เช้า
 

“เจ้ารันไม่อยู่หรอกจ้ะ ออกไปสะพานปลากับนายสิงห์ตั้งแต่เช้ามืด” หญิงวัยกลางคนกล่าวพลางเลื่อนจานขนมที่แม่บ้านเพิ่งยกมาวางให้ชายหนุ่ม “เห็นบอกว่าจะไปช่วยลุงสิงห์เลือกปลามาทำกับข้าว”


คนฟังเพียงแต่ยิ้มบาง เป็นจังหวะเดียวกับที่รถกระบะเก่าคร่ำคร่าแล่นกลับเข้ามาในเขตบ้าน เสียงเครื่องยนต์จะพังแหล่ไม่พังแหล่ดังแข่งกับเสียงโหวกเหวกของบรรดาคนงานที่นั่งเบียดกันอยู่ท้ายกระบะซึ่งเต็มไปด้วยลังพลาสติกขนาดใหญ่สำหรับใส่กุ้งหอยปูปลา หลังจากส่งลูกชายของเจ้านายถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว นายสิงห์ก็เลี้ยวรถออกไปทันที     


“นั่นไง ตายยากจริง พูดถึงก็มาพอดีเลย” สิรินทรายิ้มพลางชะเง้อมอง ครู่หนึ่งชายหนุ่มในชุดกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวลายขวางก็เดินยิ้มร่าผ่านกรอบประตูเข้ามา แข้งขาสมส่วนยังคงปรากฏรอยแผลที่เกิดจากการผ่าตัดเป็นทางยาวเอาไว้คอยเตือนทั้งเจ้าตัวและคนที่ได้เห็นไม่ให้เอาสติไปตั้งไว้บนความประมาท สิรันทรชูถุงที่อัดแน่นด้วยปลามาแต่ไกลราวกับเด็กชายน้อย ๆ ที่กำลังอวดฝีมือให้ผู้เป็นแม่ได้เห็น   


“ยิ้มหน้าบานมาเชียว”


“วันนี้ได้ปลาทูสดมาเยอะเลยครับแม่ เดี๋ยวเช้านี้รันจะทำต้มยำปลาทูให้แม่ทาน” ลูกชายกล่าวก่อนจะหันไปค้อมศีรษะทักทายอีกคน


เพียงแค่นั้น...สิรันทรทำเพียงแค่นั้น


นับพลได้สบตาคนตรงหน้าเพียงไม่ถึงเสี้ยวนาทีเจ้าของรอยยิ้มสดใสก็หันไปทางอื่น อดคิดไม่ได้ว่าในสายตาของสิรันทรตอนนี้ตัวเขาคงกลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว


“รันฝากเจ้ากั้งซื้อเครื่องต้มยำ ไม่รู้จะได้เรื่องไหม เดี๋ยวต้องเข้าไปตรวจงานสักหน่อย” กำลังจะหันกลับเข้าไปในบ้าน คำพูดที่แม่กำลังพูดกับอีกคนก็ทำให้ต้องรอฟังให้จบ


“ถ้าอย่างนั้นเช้านี้พลอยู่ทานข้าวด้วยกันสิลูก”
เงี่ยหูฟังว่าฝ่ายนั้นจะตอบว่าอย่างไร


“ไม่รบกวนดีกว่าครับแม่ พอดีผมนัดกับเพื่อนเอาไว้แล้ว”


‘แม่’ ...ถ้าไม่เพราะสแครปบุ๊กเล่มนั้น สิรันทรคงนึกสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ดูสนิทสนมกับแม่ของเขานัก


สิรินทรานึกเสียดายเมื่อได้ฟังคำตอบ นานเหลือเกินที่ไม่ได้ทานข้าวพร้อมหน้ากัน รองจากลูกชายแท้ ๆ นับพลก็คืออีกคนที่เธอรักเหมือนลูก แม้จะรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อห้าปีก่อน แต่ยิ่งนานวันทั้งสองคนก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันไม่ใช่สิ่งผิด ยิ่งตอนที่สิรันทรต้องย้ายไปทำงานที่ต่างประเทศก็เป็นนับพลที่คอยแวะเวียนมาคุยเป็นเพื่อนคลายเหงา ซ้ำตอนที่ลูกชายของเธอประสบอุบัติเหตุก็ได้หนุ่มกรุงเทพฯ คนนี้คอยช่วยเหลือเป็นธุระให้


“เอาไว้วันหลังแวะมาทานข้าวกับแม่บ้างนะลูก ดูสิ ตั้งแต่รันออกจากโรงพยาบาล พลก็หายหน้าไปเลย”


นับพลสบตาคนที่ถูกพูดถึงก่อนจะอธิบายถึงสาเหตุของการหายหน้าหายตาไปของตนเองให้ผู้อาวุโสได้ทราบ “ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่งน่ะครับ เอาไว้ถ้างานทางโน้นลงตัวเมื่อไร ผมจะแวะมาทานข้าวกับแม่บ่อย ๆ นะครับ”


“จ้ะ ว่างเมื่อไรก็แวะมานะ จะได้มาคุยกับรันด้วย เผื่อว่า...” สิรินทราชะงักเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเผลอพูดเรื่องที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจออกไป โชคดีที่ยังพอนึกหาทางออกได้ทัน “เผื่อว่าไม่เจอกันนาน น่าจะมีเรื่องอะไรคุยกันเยอะแยะ”


ชายหนุ่มตอบรับความปรารถนาดีด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ในใจคิดว่าคงไม่มีประโยชน์ในการจะพร่ำพูดเพื่อให้คนที่ไม่มีตนเองอยู่ในความทรงจำอีกต่อไปกลับมาจำได้ นี่เขาคงมาถึงทางตันแล้วจริง ๆ


“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับแม่” หนุ่มกรุงเทพฯ กล่าวพร้อมกับยกมือไหว้แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่ลืมจะหันไปบอกลาลูกชายเจ้าของบ้าน “ผมไปก่อนนะ”   


“รัน...เดินไปส่งพี่เขาสิลูก” สิรินทราเตือนเมื่อเห็นลูกชายยังคงยืนนิ่งไม่ได้แยแสกับการจะอยู่หรือไปของแขกผู้มาเยือน


“ครับแม่” คนอายุน้อยสุดในที่นั้นรับคำสั้น ๆ ยอมทำตามแต่โดยดีทั้งที่นึกอยากจะต่อต้านก็ตาม


สิรันทรเดินตามหลังคนตัวสูงไปเงียบ ๆ แม้ในใจจะมีหลายข้อข้องใจแต่ปากก็หนักเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยคำถามออกไป ที่หนักกว่านั้นก็คือดันเผลอถอนใจเฮือกใหญ่จนคนเดินนำต้องชักเท้าเหลียวกลับมามอง กระนั้นนับพลก็ยังปิดปากเงียบ ท่าทางของสิรันทรบ่งบอกอยู่แล้วว่าไม่ได้อยากจะเดินออกมาส่งเขาตั้งแต่แรก แต่ที่ทำลงไปก็เพราะไม่อยากจะขัดใจผู้เป็นแม่ก็เท่านั้น ยิ่งอีกฝ่ายเบนสายตามองไปทางอื่นก็ยิ่งให้รู้สึกเจ็บร้าวข้างในใจนัก ในที่สุดเมื่อเห็นว่าพ้นสายตาผู้ใหญ่แล้วคนกำลังจะกลับจึงตัดสินใจพูดขึ้น


“คุณส่งผมแค่นี้ก็ได้”


“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวเข้าบ้านก่อนนะครับ” ถ้อยคำบั่นทอนความรู้สึกหลุดออกจากปากบางทันควัน พูดจบก็ทำท่าจะหมุนตัวกลับเข้าบ้านแต่ก็ต้องหยุดเพราะถูกรั้งเอาไว้ สิรันทรจ้องข้อมือข้างซ้ายของตนเองที่ถูกยึดด้วยมือใหญ่ ดวงตาสั่นไหวค่อย ๆ ไล่ขึ้นไปตามท่อนแขนแกร่งกระทั่งมาหยุดที่ดวงหน้าเรียบนิ่ง หากแต่หน้าต่างของหัวใจนั้นกำลังเปิดอ้าบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง


“รัน” เจ้าของมืออุ่นเอ่ยพร้อมกับทอดตามองมือขาว มือของสิรันทรยังคงนุ่มน่าสัมผัสเหมือนเก่า แต่สิ่งที่ต่างไปก็คือมันกลับว่างเปล่าเฉกเช่นเดียวกันกับแววตาที่กำลังมองมา


“มีอะไรหรือครับ” กล่าวพลางชักมือกลับล้วงกระเป๋ากางเกง กำโลหะแพลทินัมชิ้นเล็ก ๆ เอาไว้แน่นเพื่อเป็นการยืนยันกับตัวเองว่าไม่ได้ทำมันหล่นหายไปไหน


นับพลมองคนตรงหน้าอย่างชั่งใจ ในที่สุดเขาก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้าเพื่อจะบอกว่าไม่มีอะไร


“คุณเข้าบ้านเถอะ” พูดจบก็หันหลังให้ เมื่อเหลียวกลับมาอีกครั้งก็พบว่าอีกฝ่ายเดินหายเข้าไปในบ้านแล้ว ร่างสูงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น พยายามนึกหาคำตอบแต่ก็ตอบตนเองไม่ได้ว่าความรู้สึกที่กำลังขยายตัวตีวงกว้างลุกลามอยู่ภายในใจขณะนี้มันคืออะไรกันแน่ระหว่าง ‘น้อยใจ’ กับ ‘เสียใจ’ แต่นั่นก็ไม่เท่ากับคำถามที่ว่าตัวเขายังมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกเช่นนี้กับคนคนนี้ได้อยู่อีกไหม’


...


ขวัญนพส่งธนบัตรให้พนักงานคิดเงินที่เคาท์เตอร์จากนั้นจึงถือแก้วกระดาษใส่กาแฟร้อนเดินตรงมายังโต๊ะตัวที่อยู่ด้านในสุดของร้านกาแฟใต้อาคารโรงพยาบาลที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ชายหนุ่มวางกาแฟแก้วหนึ่งลงตรงหน้าคนที่เอาแต่ถอนหายใจเฮือก ๆ นับตั้งแต่ที่มาถึง เห็นแล้วอดขันในท่าทางของเพื่อนไม่ได้ ริมฝีปากที่เหยียดเป็นเส้นตรงมานานค่อย ๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแรกของวัน นายแพทย์ขวัญนพยกกาแฟขึ้นจิบหวังจะให้รสขมช่วยขับไล่ความง่วงและความอ่อนล้าหลังการออกตรวจอาการผู้ป่วย ณ หอพักผู้ป่วยตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ดูท่าแล้วกาแฟก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ชายหนุ่มวางแก้วกระดาษที่ของเหลวสีดำพร่องไปเกือบครึ่งลงบนโต๊ะ จัดการถอดแว่นสายตาวางข้าง ๆ กัน ใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือบีบนวดเบา ๆ ที่หัวคิ้วพลางเหลือบมองคนที่ยังคงเอาแต่นั่งทำหน้าเหมือนกับแบกโลกเอาไว้ทั้งโลก เห็นแบบนี้แล้วอดกระเซ้าไม่ได้


“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยสิวะ” คุณหมอหนุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ดี


แม้อยากจะทำให้ได้อย่างที่เพื่อนบอก แต่มันก็ยากเย็นแสนเข็ญสำหรับนับพล ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางหมดอาลัย ผ่อนลมหายใจหนักราวกับอยากจะปลิดมันทิ้งจากปลายจมูกเสียให้รู้แล้วรู้รอด


“นี่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยหรือวะ มันถึงทางตันแล้วใช่ไหม”


“เรื่องอะไรวะ” คนฟังแสร้งเลิกคิ้วไม่เข้าใจทั้งที่รู้อยู่เต็มอก


“เรื่องรัน”


“ก็ไม่เห็นจะยาก หาใหม่สิ มีให้เลือกตั้งเยอะตั้งแยะ” ขวัญนพแกล้งยักคิ้วพลางยกกาแฟขึ้นจิบอย่างไม่ใส่ใจ กระทั่งน้ำเสียงจริงจังที่บอกว่า “ฉันรักรัน” ทำให้คุณหมอแจ้งแก่ใจว่าไม่ควรจะเอาเรื่องนี้มาพูดเล่น ๆ 


“เออ ๆ รู้แล้ว ๆ แกบอกฉันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว” ขวัญนพรีบตัดบท เบื่อจะเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนเต็มที “ห่วงแต่คนอื่น แล้วเรื่องของตัวแกเองล่ะยังไง”


นับพลถอนใจอีกครั้งในขณะที่มือก็หมุนแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกไปด้วย “เมื่อตอนสายฉันแวะไปที่ร้านมา พอดีนัดช่างให้เข้ามาตรวจสภาพสายไฟที่เดินไว้ ปล่อยทิ้งมาหลายปีกลัวจะมีที่ชำรุด”


“นี่แกเอาจริงเหรอ”


คนถูกถามนิ่งคิดก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ร้านนั่นมันเป็นความฝันของรันนี่นา”


“แล้วงานแกที่กรุงเทพฯ ล่ะ”


“ฉันยื่นใบลาออกไปแล้ว กำลังรีบสะสางให้เรียบร้อยทันสิ้นปี ระหว่างนี้ก็ว่าจะทยอยย้ายของมาอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ได้อยู่ใกล้ ๆ รัน ไม่แน่นะ พอเวลาผ่านไปฉันอาจจะยอมรับก็ได้ว่าการได้เห็นเขามีความสุขมันสำคัญกว่าการที่เขาจำฉันได้”


“เฮ้อ...ไอ้พลเอ๊ย! ไอ้พล...ฉันชักจะเชื่อแล้วสิที่เขาว่าความรักคือการเล่นกลของเคมีในสมอง” นายแพทย์ผู้ไม่เคยเชื่อในอานุภาพของความรักส่ายหัวดิกให้กับท่าทางสิ้นหวังของคนตรงหน้า


ในเวลาเดียวกัน เสียงหัวเราะได้คืนความมีชีวิตชีวาให้กับบ้านสองชั้นริมทะเลอีกครั้ง...


สองแม่ลูกกำลังช่วยกันปรุงอาหารอยู่ในครัว กระเทียมตำละเอียดผสมกับพริกไทยและเกลือถูกเทคลุกเคล้าจนทั่วปลาจาระเม็ดตัวเขื่องที่ล้างจนสะอาดแล้วบั้งเพื่อให้ส่วนผสมแทรกซึมเข้าไปในเนื้อ กลิ่นของเครื่องเทศแม้จะหอมเตะจมูกแต่ก็เล่นเอาสิรันทรซึ่งรับหน้าที่เป็นพ่อครัวถึงกับจามไม่หยุด


“สงสัยจะมีคนบ่นคิดถึง” ผู้เป็นแม่ที่กำลังเตรียมหม้อสำหรับทำต้มยำกระเซ้าลูกชาย


“โธ่...แม่ก็พูดไป เพราะกลิ่นพริกไทยนี่ต่างหาก” สิรันทรกล่าวพลางใช้นิ้วถูที่ปลายจมูกไปมาจนผิวขาวขึ้นสีแดงระเรื่อ     


“พ่อชมว่าคุณรันเลือกปลาเก่ง ได้แต่ปลาสดตัวโต ๆ กลับมาทั้งนั้น” หญิงสาวที่กำลังเตรียมเครื่องต้มยำเอ่ยขึ้น


“ถ้าไม่เก่งก็เสียชื่อลูกชายนักวิชาการประมงหมดสิครับพี่ทราย” พูดจบก็หันไปหมุนก๊อกน้ำล้างมือพร้อมกับฟังแม่กับลูกสาวลุงสิงห์พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงเรื่องต้มยำปลาทู


“เอ้อ...รัน” สิรินทราเอ่ยขึ้น


“ครับแม่” เจ้าของชื่อขานรับในขณะมือก็ถูสบู่ไปด้วย


“วันนี้แม่ไม่เห็นลูกสวมแหวนเลย ไปทำหายที่ไหนหรือเปล่า”


สิรันทรชะงัก มองสองมือที่กำลังถูกันไปมา จัดการเปิดน้ำล้างฟองออกจนหมดแล้วจึงตอบคำถามนั้น “เมื่อเช้ารันไปเลือกปลา กลัวว่ามันจะหลุดหายก็เลยถอดใส่ไว้ในกระเป๋าน่ะแม่” พูดจบก็ล้วงกระเป๋าหยิบแหวนทองคำขาวออกมาพร้อมกับสวมมันกลับคืนที่เดิม


...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ความทรงจำที่หล่นหาย


นายแพทย์ขวัญนพยังคงนัดตรวจติดตามอาการของสิรันทรเป็นระยะ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานเขาก็พบว่าคนไข้ได้มารออยู่ก่อนแล้ว ร่างสูงในชุดลำลองกำลังนั่งเอนหลังพิงพนักโซฟาหลับตาพริ้ม เจ้าของห้องดึงประตูปิดอย่างเบามือก่อนจะก้าวเดินอย่างเงียบเชียบเข้าไปย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ จ้องมองใบหน้านั้นราวกับต้องมนต์สะกด กำลังจะเอื้อมมือแตะลงบนริมฝีปากชวนสัมผัสพลันคนที่เป็นตัวการให้ลืมตัวก็ปรือตาขึ้นเสียก่อน ทำเอานายแพทย์หนุ่มที่ตกอยู่ในภวังค์ถึงกับสะดุ้งผุดลุกอย่างรวดเร็วรีบเดินไปคว้าแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นเปิดอ่าน ไม่รู้จะกัดการกับมือไม้เกะกะและหัวใจที่ปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้ได้อย่างไร


“เพิ่งเลิกประชุมเหรอหมอ” สิรันทรกล่าวด้วยน้ำเสียงงัวเงียเมื่อลืมตามาพบกับเจ้าของห้อง


“ช...ใช่ ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณต้องรอนาน จะหลับต่อก็ได้นะ คุณเป็นเคสสุดท้ายแล้ว” ขวัญนพวางเอกสารลงก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายพยุงตัวลุกขึ้น   


“โอ๊ะ!” สิรันทรร้องขึ้นเมื่อความเจ็บแล่นร้าวไปทั่วทั้งขาขณะที่น้ำหนักถูกถ่ายเทลงที่เท้า เกือบจะทรุดตัวลงเข่ากระแทกพื้นอยู่แล้ว โชคยังดีที่ขวัญนพโผเข้ามาประคองไว้ได้ทัน


“เป็นอะไรหรือเปล่า”


“ม...ไม่เป็นไรหมอ” ตอบพลางขยับตัวเบี่ยงออกให้ความใกล้ชิดแปรเปลี่ยนเป็นความห่างเหมือนเดิม “สงสัยจะลุกเร็วไปก็เลยเจ็บ”


“จะลุกจะนั่งต้องทำช้า ๆ นะครับ ขาคุณยังไม่หายดี”


สิรันทรพยักหน้า มองเจ้าของห้องที่ยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เริ่มเลยไหมหมอ”


“อืม...ผมว่าวันนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศบ้างดีไหม” ขวัณนพเสนอ เมื่อเห็นคิ้วหนาเลิกขึ้นด้วยสงสัยจึงกล่าวต่อ “ผมว่าเราออกไปข้างนอกกันดีกว่า”


นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมประสาทพาคนไข้ของเขาเดินไปตามทางเดินปูอิฐตัวหนอนที่ขนาบข้างด้วยแมกไม้นานาพรรณ กระทั่งเข้าสู่บริเวณของสวนสุขภาพซึ่งมีคนใจดีมอบเงินให้แก่โรงพยาบาลสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ป่วยในระยะพักฟื้นได้เดินเล่นออกกำลังกาย รวมถึงให้บรรดาญาติ ๆ ที่ต้องผจญกับความเครียดได้ผ่อนคลาย สองคนพากันนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาว ต่างฝ่ายต่างทอดตามองทะเลยามคลื่นลมสงบ แสงสีทองสาดกระทบระลอกคลื่นเกิดเป็นประกายระยิบระยับตา  เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้ามองเห็นเหล่านกนางนวลสีขาว บ้างก็กำลังบินวนจ้องจะจับปลาตัวเล็ก ๆ กินเป็นอาหาร บ้างก็ถลาเล่นลมอย่างอิสระให้มุนษย์นึกอิจฉา   


“วันนี้คุณมีอะไรอยากจะเล่าให้ผมฟังบ้างไหมครับ” เป็นขวัญนพที่เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบก่อนจะหันไปหาคู่สนทนา ดวงหน้าชวนมองนั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่ากำลังแปลกใจระคนสงสัย เห็นแล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้ “ไม่มีอะไร ผมก็แค่อยากฟังคุณบ้าง หลายสัปดาห์มานี้คุณได้แต่ฟังเรื่องที่ผมเป็นคนเล่า”


สิรันทรฟังยิ้ม ๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังทิวทัศน์อันงดงามที่อยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง และนี่ก็ถือเป็นคำตอบที่สมบูรณ์สำหรับหมอขวัญนพ


“คุณไม่มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟัง ถ้าอย่างนั้นคุณมีอะไรอยากจะถามผมไหม วันนี้เรางดคุยเรื่องเครียด ๆ กันสักวันก็แล้วกัน” คนอายุมากกว่าพูดกลั้วหัวเราะ “วันนี้ผมจะเอาความเป็นหมอเก็บไว้บนห้องทำงาน ส่วนคุณ...ปาความเป็นคนไข้ทิ้งลงทะเลไปได้เลย” กล่าวจบก็ทอดตามองไปยังจุดแบ่งทะเลและท้องฟ้าออกจากกัน นานแล้วที่ไม่ได้มีโอกาสนั่งชมทะเลเช่นนี้ นั่นเพราะงานในแต่ละวันที่ทำให้แทบจะไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหน     


“หมออยู่ที่นี่มานานแล้วเหรอครับ”


“เข้าปีที่สาม” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมปล่อยให้สายลมปะทะผิวหน้าแล้วพูดต่อ “ก่อนหน้านั้นก็เคยมาเป็นแพทย์ใช้ทุน พอจบแพทย์เฉพาะทางต่อยอดก็ได้มาทำงานที่นี่”


“หมอชอบที่นี่เหรอถึงได้กลับมา”


“มันคงเป็นความรู้สึกผูกพันมั้งครับ คุณดูสะพานปลานั่นสิ” ขวัญนพกล่าวพลางชี้ไปยังสะพานปลาที่เห็นอยู่ไกล ๆ “ผมนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ทั้งที่ไม่ชอบกลิ่นทะเล ไม่ชอบกลิ่นชันยาเรือ ไม่ชอบเสียงคลื่น แต่ผมมักจะไปที่นั่นเวลามีเรื่องให้คิด”


“คนมาทะเลเขาว่ามีสองแบบนะหมอ ถ้าไม่หนีร้อนก็หนีรัก” สิรันทรอมยิ้ม “หมอเป็นแบบไหน”


“สงสัยจะเป็นแบบที่สอง” ขวัญนพหัวเราะในลำคอก่อนจะมองออกไปยังสะพานคอนกรีตที่ทอดยาวสู่ทะเลกว้างใหญ่ 


“หมอเป็นเพื่อนกับ...คุณนับพลเหรอครับ”


“ใช่ ผมรู้จักพลมาตั้งแต่สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย เราเคยอยู่ชมรมอาสาด้วยกัน จนกระทั่งพลเรียนจบได้งานทำเราก็ยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน จะเริ่มมาห่างกันก็ตอนที่ผมต้องไปเป็นแพทย์ใช้ทุนในโรงพยาบาลต่างจังหวัด” คุณหมอวัยย่างสามสิบสี่เล่าถึงความหลังก่อนจะก้มมองนาฬิกาข้อมือ “ตายจริง วันนี้ผมชวนคุณคุยจนลืมเวลาเลย”


“ไม่เป็นไรครับหมอ คุยกับหมอก็สนุกดีเหมือนกัน”


“ถ้าเจ้าพลอยู่ด้วยคงสนุกกว่านี้ รายนั้นเขาเดินทางบ่อยมีเรื่องเล่าเยอะ เอาไว้ถ้าวันไหนมันแวะมาผมจะให้มันไปรับคุณ จะได้มาทานข้าวด้วยกันดีไหมครับ”


“ก็แล้วแต่หมอสิครับ” สิรันทรตอบรับข้อเสนอนั้นแบบไม่คิดอะไร


และด้วยคำตอบแบบไม่คิดอะไรนั้นเอง สุดสัปดาห์ถัดมาหมอขวัญนพก็ทำตามที่ได้พูดเอาไว้จริง ๆ นาน ๆ จะมีวันว่างสักทีจึงใช้โอกาสนี้นัดพบเพื่อนเก่า โดยขอให้เจ้าถิ่นอย่างสิรันทรช่วยแนะนำร้านอาหารให้


“เชิญนั่งก่อนสิครับหมอ” คนมาถึงก่อนกล่าวเมื่อเดินนำคุณหมอหนุ่มเข้ายังโต๊ะติดป้ายจองซึ่งตั้งอยู่ริมระเบียงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลยามโพล้เพล้ได้อย่างชัดเจน


ขวัญนพกล่าวขอบคุณก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญ สังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังมองหาใครอีกคนจึงเอ่ยขึ้น “นับพลกำลังตามมาครับ มันบอกให้เราสั่งอาหารกันไปก่อนได้เลย มันทานไม่ยาก”


คนฟังพยักหน้าพลางหย่อนตัวนั่งลงจากนั้นจึงร้องเรียกบริกร


“หมอแพ้อาหารอะไรบ้างไหมครับ” สิรันทรกล่าวทั้งที่ตายังคงไล่อ่านรายการอาหาร


“ไม่นะ ผมทานได้หมด”


“ถ้าอย่างนั้นเอา...ปลาเห็ดโคนทอดกระเทียมครับ” หันไปพูดกับบริกรที่ยืนรอจดรายการอาหาร


“ส่วนผม...ขอเป็นยำทะเลลุยสวนก็แล้วกันครับ” พูดจบขวัญนพก็เงยหน้าขึ้น “แค่นี้ก่อนก็ได้นะครับ เหลือไว้ให้เจ้าพลมันสั่งบ้าง”


“คนเริ่มเยอะแล้ว เดี๋ยวจะรอนาน ผมขอสั่งอีกสัก 2-3 อย่างแทนคุณนับพลไปเลยก็แล้วกันนะครับ คิดว่าเขาคงทานได้” สิรันทรไม่รอฟังความเห็น หันไปพูดกับบริกร “ผัดไทยกุ้งสด ต้มยำปลาทู แล้วก็เนื้อปูผัดผงกะหรี่ไม่ใส่ไข่ ส่วนผัดไทยก็ไม่ต้องใส่ไข่เหมือนกันครับ”


หลังจากจดรายการอาหารเรียบร้อย บริกรร่างใหญ่ก็ทวนรายการอีกครั้งก่อนจะจัดการเก็บเมนูแล้วเดินหายเข้าไปหลังร้าน ขวัญนพลอบมองชายหนุ่มที่ยังคงเพลิดเพลินอยู่กับภาพดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า คำสั่งยิบย่อยเมื่อครู่ทำให้อดที่จะถามไม่ได้   


“คุณไม่ทานไข่หรือครับ”


“ปกติไม่ค่อยทานครับ”


“ไม่ทานเองหรือคนใกล้ชิดไม่ทานก็เลยไม่ทานตาม”


คำถามนั้นทำเอาสิรันทรต้องละสายตาจากความสวยงามตรงหน้า หันกลับมามองเจ้าของคำถามด้วยความแปลกใจ


“ถามดูน่ะครับ ผมน่ะไม่ทานเนื้อ ไม่ใช่เพราะนับถือสิ่งศักดิ์อะไร แต่เพราะแม่ไม่ชอบทานเนื้อ ที่บ้านก็เลยพากันไม่ทานตามไปด้วย” ขวัญนพอธิบายก่อนจะถามซ้ำ “แล้วคุณรันล่ะครับ ไม่ทานไข่เพราะเหตุผลไหน”


ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะได้ตอบข้อสงสัยบริกรก็ยกอาหารจานแรกมาวางพร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นของนับพล คนมาใหม่เลือกนั่งลงที่เก้าอี้ว่างฝั่งเดียวกับเพื่อนแทนการนั่งข้างคนรักอย่างที่ควรจะเป็น นั่นเพราะเขารู้สถานะของตัวเองในยามนี้ดี ชายหนุ่มทักทายสองคนที่มาถึงก่อน หากแต่คำตอบกลับตามมารยาทของสิรันทรนั้นยิ่งทำให้รู้สึกห่างเหินนัก


“แกจะเอาอะไรเพิ่มไหม” ขวัญนพที่นั่งข้างกันเอ่ยขึ้นเมื่ออาหารถูกนำมายกมาจนครบ หวังจะทำลายบรรยากาศมึนตึงแต่ก็ดูว่าจะไม่สำเร็จง่าย ๆ


“ไม่ละ นี่ก็เยอะแล้ว”


คำตอบนั้นช่างฟังแล้วไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย ไม่มีชีวิตชีวาพอ ๆ กับใบหน้าของคนพูด คาดเดาได้ไม่ยากว่าอาหารค่ำวันนี้คงเป็นมื้อที่ไม่อร่อยที่สุดในชีวิตของนับพล


...


ครบสองเดือนสำหรับการติดตามรักษาอาการกะโหลกร้าวและการเรียกคืนความทรงจำในช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าหล่นหายไปไหนของสิรันทร ขวัญนพอ่านแฟ้มประวัติกับตรวจดูผลการเอกซเรย์จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มันไม่แปลกหากคนเราจะมีภาวะสูญเสียความทรงจำหลังจากสมองได้รับความกระทบกระเทือน แต่ที่น่าแปลกก็คือความทรงจำที่หายไปนั้นคือความทรงจำในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมาในขณะที่สิรันทรกลับจำเรื่องอื่น ๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในวัยเด็ก เรื่องของพ่อ หรือเรื่องราวสมัยเรียน จนบัดนี้แพทย์ก็ยังไม่พบความผิดปกติและยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้


คุณหมอหนุ่มวางแฟ้มประวัติคนไข้ลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยืนที่ริมหน้าต่าง กอดอกมองร่างผอมสูงที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้า เมื่อ 2-3 นาทีก่อนสิรันทรแวะมาที่นี่เพื่อรับการตรวจติดตามการรักษาอย่างเคย แต่ขวัญนพกลับบอกให้อีกฝ่ายลงไปรอที่สวนสุขภาพเพราะโดยให้เหตุผลว่าตนเองติดประชุมด่วน เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำให้จำต้องละสายตาจากภาพนั้นหันกลับมาคว้าโทรศัพท์กับสมุดสเก็ตช์แล้วเดินออกไปจากห้อง กำลังจะออกจากตัวอาคารก็เห็นเพื่อนวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบันไดมา ยังไม่ทันได้กล่าวทักทายกันอีกฝ่ายก็รัวคำถามจนไม่รู้จะตอบข้อไหนก่อนดี


“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าแกถึงให้ฉันรีบมา รันเป็นอะไรหรือเปล่า ร...หรือ หรือว่ารันจำได้แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นแกตอบฉันสิวะไอ้นพ”


“แกใจเย็น ๆ ก่อน เขายังจำไม่ได้หรอก”


“ถ้าอย่างนั้นแกมีอะไร” อีกฝ่ายยังคงถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ฉันอยากให้แกช่วยพิสูจน์สมมติฐานบางอย่างว่ะ” ขวัญนพก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะกล่าวต่อ “พอดีฉันมีประชุม เดี๋ยวแกไปที่สวนด้านหลังโรงพยาบาลก็แล้วกัน แล้วก็นี่...ฉันได้มันมาจากอาจารย์หมอศุภชัยท่านบอกว่าได้มันมาจากคุณแม่ของสิรันทรอีกที” พูดจบก็ส่งสมุดสเก็ตช์ที่ถูกแปลงมาเป็นสแครปบุ๊กให้


นับพลเองจำได้แม่นนั่นเพราะทั้งเขาและสิรันทรต่างก็เป็นเจ้าของสมุดเล่มนี้ร่วมกัน แม้จะไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของเพื่อนนักแต่ก็ไม่รั้งรอที่จะรับมันมาถือไว้ กระนั้นรอยยิ้มกับคำพูดมีเลศนัยที่ขวัญนพทิ้งท้ายเอาไว้ก็ยังทำให้อดที่จะรู้สึกหวั่นข้างในใจไม่ได้
 

“รับรองว่าการขับรถมาจากกรุงเทพฯ ของแกเช้านี้คุ้มแน่”


...


สิรันทรเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ไม้สีขาวซึ่งหันหน้าออกสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่ รอว่าเมื่อไรผู้ช่วยของคุณหมอขวัญนพจะมาถึง ดวงตาสีดำสนิทที่ฉาบคลุมด้วยแววแห่งความหม่นหมองทอดมองเกลียวคลื่นที่ผลัดกันซัดเข้าหาหาดทรายเม็ดละเอียดระลอกแล้วระลอกเล่า หากแผ่นฟ้าตรงหน้าเป็นดั่งฉากสะท้อน เสียงแหวกอากาศของเครื่องบินที่ลอยอยู่เหนือน่านฟ้านั่นก็คงจะเป็นเสียงกลไกการทำงานของเครื่องฉาย ที่กำลังฉายภาพเหตุการณ์ซึ่งหายสาบสูญไปจากความทรงจำของตนเองมาแสนนาน...


ร่างสูงเดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาวางไว้ที่หน้าห้องอย่างรีบร้อนก่อนจะเดินกลับเข้าไปคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงให้ฝากข้อความเท่านั้น เขากดโทรออกอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ค่ำคืนที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อคนที่ปลายสายได้ ขณะที่หูยังแนบกับโทรศัพท์ดวงตาเป็นกังวลก็เลื่อนขึ้นมองนาฬิกาติดฝาผนังซึ่งบอกเวลาเกือบแปดโมงเช้า อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าก็จวนจะได้เวลาเดินทางแล้วแต่คนที่สัญญาว่าจะไปส่งก็ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น


“ฝากข้อความอีกแล้วเหรอเนี่ย คุณไปอยู่ที่ไหนของคุณกันนะ” สิรันทรถอนใจเฮือกกดวางสายอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน จ้องมองตั๋วเครื่องบินสองใบที่วางอยู่คู่กัน ยังไม่ทันจะได้คิดว่าจะทำอย่างไรกับมันเสียงโทรศัพท์ภายในห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะ แอบหวังให้เป็นสายจากคนที่กำลังรออยู่แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง เมื่อคนที่โทรมากลับเป็นเจ้าหน้าที่ของคอนโดที่แจ้งว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยได้จัดการเรียกแท็กซี่ให้เรียบร้อยแล้ว อีกไม่เกินสิบนาทีรถน่าจะมาถึง และจะส่งคนขึ้นมาช่วยยกของ


หลังจากวางสายได้เพียงไม่นานเสียงกริ่งก็ดังขึ้น ทันทีที่เปิดประตูออกไปเจ้าของห้องก็พบกับ รปภ. ประจำคอนโดยืนยิ้มแฉ่งอยู่ที่หน้าห้อง


“มีแค่นี้เหรอครับคุณรัน” ร่างสูงใหญ่ในชุดยูนิฟอร์มกล่าวพลางก้มมองกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่ข้างประตู


“แค่นี้ครับพี่ ที่เหลือเดี๋ยวผมถือลงไปเองครับ”


คนฟังพยักหน้าก่อนลากกระเป๋าใบใหญ่ไปรอที่หน้าลิฟต์ ในขณะที่สิรันทรหันกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง จัดการคว้าสัมภาระเล็ก ๆ น้อย ๆ หนังสือเดินทางและเอกสารที่เตรียมไว้ใส่ลงในเป้สะพายหลังจากนั้นจึงเดินมาหยุดที่โต๊ะทำงานพร้อมกับมองตั๋วเครื่องบินสองใบนั่นพลางนึกถึงคำสัญญาในวันนั้น...


“มีโอกาสแล้วก็ไปเถอะ เรื่องเปิดร้านน่ะ เลื่อนออกไปก่อนก็ได้”


เจ้าของเสียงทุ้มต่ำกล่าวพลางทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง จ้องมองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราสอนทำขนม นอกจากจะไม่ตอบกลับแล้วเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะใส่ใจตนเองเลยแม้แต่น้อย เป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้คนมองอดมันเขี้ยวไม่ได้


“นี่...ฟังผมอยู่หรือเปล่า” ยังไม่ทันได้คำตอบแขนแกร่งก็กระชับโอบรัดรอบเอววางคางลงบนบ่าถือโอกาสสูดกลิ่นหอมที่ลำคอระหงฟอดใหญ่


สิรันทรขยับตัวหนีแต่ยิ่งหนีคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังก็ยิ่งกอดแน่นขึ้น สุดท้ายก็จำใจปิดหนังสือเมื่อมือปลาหมึกสอดเข้ามาใต้เสื้อใส่นอนเนื้อบางแถมยังลูบไล้หน้าท้องเล่นอย่างย่ามใจ ปากบางเม้มแน่นเอี้ยวตัวส่งสายตาปรามอีกฝ่ายให้หยุดแต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผลเมื่อปากหยักย้ายมากดจูบลงที่หลังคอ สุดท้ายคนเสียเปรียบก็รั้งมือซนให้พ้นจากชายเสื้อก่อนจะเอ่ยปาก


“พอได้แล้วน่า จั๊กจี้”


“ก็คุณไม่ยอมพูดกับผมนี่นา” ไม่ว่าเปล่ายังไล่จูบลงบนเนื้อคอขาวจนคนในอ้อมแขนต้องกระถดตัวหนี


สิรันทรเอี้ยวกลับใช้สองแขนคล้องคอหนารั้งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อนจะกล่าว “จะพูดอยู่นี่ไง คุณก็หยุดเสียทีสิ ทำแบบนี้ ล...แล้ว ผม...” ยังพูดไม่ทันครบถ้อยกระทงความก็ถูกโถมเข้าใส่จนหงายไปกับที่นอนนุ่มเสียก่อน ดวงตาไหวระริกจ้องมองใบหน้าของคนที่ทาบทับลงมาบนร่าง ไม่ยากเกินกว่าจะคาดเดาว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่เพราะรอยยิ้มที่ค่อย ๆ ผุดพรายขึ้นนั้นบอกความหมายภายในตัวเองอยู่แล้ว สิรันทรจำต้องเสมองทางอื่นเมื่อดวงตาฉ่ำรักกำลังมีอิทธิพลอยู่เหนือจังหวะการเต้นของหัวใจ ยอมปล่อยให้ปลายจมูกโด่งสัมผัสลงที่ข้างแก้มก่อนจะลากไปตามแนวสันกราม พลันสุ้มเสียงหวานกระเส่าชวนให้หัวใจวูบไหวก็ดังขึ้นที่ข้างหู


“ผมไม่อยากฟังแล้ว อยาก...” เจ้าของเสียงถอยห่างออกมาเล็กน้อย ไม่ได้คิดจะขอความเห็นหากแต่อยากมองคนที่เป็นต้นเหตุให้ตนเองไม่อาจคงความยับยั้งชั่งใจเอาไว้ได้อีกต่อไป สองแก้มขึ้นสีแดงเรื่อเชิญชวนให้อยากจะกดปลายจมูกลงไปอีกสักร้อยสักพันหน ขณะที่เนื้อตัวหอมกรุ่นก็ทำให้นึกอยากครอบครองแสดงความเป็นเจ้าของไปเสียทุกตารางนิ้ว แต่เมื่อต้องเลือก...   


“ผมอยากจูบคุณมากกว่า” พูดจบก็โน้มหน้าเข้ามาก่อนจะแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากยวนใจ ดูดชิมความหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระทั่งสัมผัสแสนนุ่มนวลนั้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความดุดันร้อนแรงตามอุณหภูมิของไฟปรารถนาที่กำลังลุกโชนและพร้อมที่จะหลอมรวมสองร่างเข้าด้วยกัน มือไม้อยู่ไม่สุขลุกล้ำเข้าใต้ชายเสื้ออีกครั้งก่อนจะทำหน้าที่สำรวจตรวจสอบผิวเนื้อลื่นมือ ลูบไล้ลากวนตั้งแต่สะโพกมนไปจนกระทั่งแผ่นอกที่กำลังแน่นตึงตอบสนองสัมผัสอยู่ในขณะนี้


“พ...พล”


เสียงเรียกชื่อนั้นขาดหายเป็นห้วง ๆ แต่เจ้าของชื่อก็หาได้ใส่ใจ ปากหยักผละออกจากเนื้อปากสีเรื่อเพียงเล็กน้อยก็กลับแนบสนิทราวกับจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายไปใช้ลมหายใจร่วมกับใครนอกเสียจากตนเอง 


“อ...อื้อ...พ...พล...” คมฟันที่กดลงบนกลีบปากอย่างหยอกเย้าทำเอาสิรันทรแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ ก่อนที่ทั้งใจและกายจะถูกดึงดิ่งลงสู้ห้วงรักอันยากจะถอนตัว ร่างผอมก็รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายวาดแขนขาวเหนี่ยวรั้งลำคอแกร่งเอาก่อนจะเบือนหน้าซบลงกับซอกคอชื้นเหงื่อเพื่อหลบหลีกจากสัมผัสเร่าร้อนจากริมฝีปากของอีกฝ่าย


“ร...รัน เป็นอะไรไป” นับพลกระซิบพลางยันตัวลุกขึ้นนั่งทั้งที่ยังมีลูกลิงเกาะคอแน่น มือข้างหนึ่งกอดรัดเอวสอบเอาไว้ในขณะที่อีกมือลูบขึ้นลงเบา ๆ บนแผ่นหลังของร่างที่กำลังหายใจหอบ “ไหน...บอกผมซิว่าคุณเป็นอะไรไป” พูดพลางเลื่อนมือขึ้นแกะแขนที่คล้องแน่นออก รั้งมือนุ่มมากุมเอาไว้ในขณะที่ดวงตาจดจ้องแหวนโลหะสีเงินเทาที่สวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้ายก่อนจะจุมพิตลงแผ่วเบา


สิรันทรขยับห่างออกมาสบตาเจ้าของคำถาม ยอมรับว่าไม่มีครั้งไหนที่ปากจะตรงกับใจได้เท่ากับครั้งนี้  “ค...คุณ คุณกำลังทำให้ผมไม่อยากไปไหนทั้งนั้น”


เมื่อได้ฟังดังนั้นนับพลก็หัวเราะในลำคอทอดตามองคนรักอย่างเอ็นดู แม้อายุจะห่างกันเพียงไม่กี่ปี แต่สิรันทรในสายตาของเขาก็ยังคงเป็นน้องชายน้อย ๆ ที่อยากจะดูแลไปทั้งชีวิต “กลัวจะคิดถึงผมเหรอ”


“ใครว่า” ริมฝีปากบางบ่นงึมงำพร้อมกับมองไปทางอื่น


“เอาน่า...คิดถึงก็บอกมาตรง ๆ ผมจะได้จองตั๋วแล้วนั่งไปส่ง”


“จริงนะ” คนอายุน้อยกว่าหูผึ่งหันกลับมาถามด้วยแววตาเป็นประกาย


“ไหนบอกไม่คิดถึงไง”


“ใครจะไปคิดถึง”


“อืม...ถ้าอย่างนั้นจะได้ไม่จองตั๋ว” นับพลพูดอย่างไม่ใส่ใจพลางขยับออกห่างทำปรายตามอง


“เอ๊า! ทำไมกลับคำล่ะ”


“ก็เขาไม่คิดถึง แล้วจะไปส่งเขาทำไมล่ะ”


“ถ้าอย่างนั้นคิดถึงก็ได้ ก็เพราะคิดถึงไง ถึงได้ไม่อยากไป ตั้งแปดเดือนเลยนะ ไม่ใช่แปดวัน ถ้าไปเวิร์คช็อปแล้วผมเกิดติดใจยอมเซ็นสัญญาทำงานต่อที่นั่นตามที่ผู้จัดการเสนอคุณจะว่ายังไง”


“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” พูดจบก็รั้งคนเอาแต่ใจมากอดไว้ “สัญญานั่นก็แค่สามปีเอง ผมรอได้ ยังไงก็จะรอ”


“ไม่เอาหรอก คิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึง ค...คุ...ณ ด้...วย”


ท้ายประโยคนั้นฟังอู้อี้แต่ก็ไม่เกินความสามารถของนับพลที่จะเดาได้ มือแกร่งวางลงบนศีรษะพร้อมกับแทรกนิ้วลงกับเส้นผมนุ่มลื่น แตะริมฝีปากอุ่นลงที่หน้าผากของคนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาสบตากันก่อนจะกล่าว  “ผมบอกแล้วไงว่าจะไปส่ง เดี๋ยวพอคุณไปอยู่ที่โน่นผมก็จะโทรไปคุยทุกวันเลยดีไหม ฟังเสียงกันให้เบื่อไปเลย”


“จริงนะ” รอยยิ้มนั้นราวกับรอยยิ้มของเด็กน้อยที่ต้องการเพียงแค่การทำตามสัญญาเท่านั้น ถึงคำพูดของอีกฝ่ายจะทำให้ยิ้มออกอยู่บ้าง แต่สิรันทรก็อดใจหายไม่ได้เพราะตลอดสองปีที่ตัดสินใจคบหาไม่มีครั้งไหนที่ต้องจากกันไปไกลเพียงนี้ จะมีบ้างก็ตอนที่นับพลต้องออกไซต์งานต่างจังหวัด นั่นก็เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ รู้ดีว่าอีกไม่กี่วันจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แต่คราวนี้มันช่างนานเหลือเกิน


“จริงสิ ผมเคยโกหกคุณเหรอ”


สิรันทรไม่ตอบ แต่เอนศีรษะพิงอกกว้างแนบหูฟังเสียงใต้อกเสื้อที่ดังสม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลายเหมือนคนที่กำลังกอดอยู่ในตอนนี้


“อุตส่าห์บอกไปแล้วนะว่ามีแพลนจะลาออก แทนที่จะส่งคนอื่นไป ไม่เข้าใจผู้จัดการเลยจริง ๆ”


“เขาอยากให้คุณอยู่ต่อไง เพราะแฟนผมเป็นคนมีความสามารถ”


“สามารถอะไรเล่า ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เอาหัวหน้า Network Engineer ไปล่ะ เก่งกว่าผมตั้งเยอะ”


“เอ้า! จู่ ๆ ทำไมวกมาลงที่ผมได้ล่ะเนี่ย” นับพลพูดพลางโยกศีรษะของคนเอาแต่ใจเบา ๆ


“หรือไม่จริง”


“จริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือตอนนี้คุณกำลังพาล”


“พาลที่ไหนกัน”


“ก็นี่ไง รู้ทั้งรู้ว่างานของผมกับงานของคุณมันคนละอย่างกัน แต่ก็ยังพาล” ไม่พูดเปล่า พร้อมกันนั้นนิ้วหนาก็ขยี้ที่ปลายจมูกของคนที่กำลังมุ่นคิ้วเงยหน้าขึ้นประท้วงอย่างมันเขี้ยว...



(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


“ขอนั่งด้วยคนนะครับ”


เสียงที่ดังขึ้นใกล้ ๆ ทำให้คนที่กำลังนั่งปล่อยใจคิดอะไรเพลินถึงกับสะดุ้ง


“คุณ” สิรันทรขมวดคิ้ว แทบไม่เชื่อสายตาว่าจะได้พบกับเขาที่นี่ “คุณเองเหรอครับที่คุณหมอขวัญนพบอกว่าเป็นผู้ช่วยที่จะมาดูแลผม”


“ช...ใช่ครับ” คนถูกถามทำเอาเออก่อนจะนั่งลง แม้จะนั่งห่างกันคนละฝั่งของเก้าอี้แต่กลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก และตั้งแต่วินาทีนั้นความเงียบก็โอบล้อมทั่งคู่เอาไว้ นับพลเปิดสมุดสเก็ตช์ที่ได้มาจากขวัญนพออกดูพลางถอนใจเบา ๆ


“ตอนนี้ผมเริ่มคิดได้แล้วว่าการที่คุณจะจำผมได้หรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ผมกลับคิดว่าการได้เห็นว่าคุณปลอดภัยเท่านี้ก็น่าจะทำให้ผมมีความสุขแล้ว”


สิรันทรลอบมองคนพูด เห็นว่าเขากำลังยิ้ม...เป็นรอยยิ้มแบบที่ไม่อาจตีความหมายได้ ไม่รู้ว่าดีใจหรือเสียใจกันแน่  ในขณะที่ดวงตาคมกริบคู่นั้นก็ไม่รู้ว่ากำลังมองไปที่ไหน มันยากเกินจะคาดเดาเสียเหลือเกิน


“ลึก ๆ ผมก็ยังหวังว่าสักวันคุณจะจำผมได้” คนอายุมากกว่ายังคงมองออกไปยังผืนน้ำตรงหน้า สูดลมหายใจลึกและผ่อนออกมายาวราวกับต้องการให้ความหนักอกหนักใจปลิดปลิวตามออกมาด้วย “เพราะผมมีหนึ่งเรื่องที่อยากจะขอโทษคุณ”


“ขอโทษผม...เรื่องอะไรเหรอครับ”


“ผมผิดสัญญา ผมสัญญาว่าจะไปพร้อมกับคุณ สัญญาว่าจะไปส่งคุณ แต่ผมก็ไม่ได้ไป เกือบหนึ่งปีที่คุณไปอยู่ที่นั่น ผมพยายามติดต่อคุณแต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย จนกระทั่งผมเองก็ถูกขอให้ไปช่วยงานที่มาเลเซีย” ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วอึดใจจากนั้นจึงกล่าวต่อ  “พอผมเช็กกลับมาที่บริษัท เพื่อน ๆ ทางนี้บอกว่าคุณตัดสินใจอยู่ที่นั่นต่อและถูกส่งไปที่เมืองอื่น แต่คุณรู้ไหม เมื่อต้นปีที่ผ่านมาผมดีใจมากที่รู้ข่าวว่าคุณกำลังจะกลับ ดังนั้นผมก็เลยขอย้ายจากทางโน้นเพื่อกลับมารอคุณ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้พบกันคุณก็ประสบอุบัติเหตุเสียก่อน”


สิ้นเสียงของนับพล บรรยากาศก็กลับเงียบงันอีกครั้งคล้ายทุกสิ่งกำลังจะหยุดเคลื่อนไหวไม่เว้นแม้กระทั่งลมหายใจ มีเพียงภาพในหัวของสิรันทรเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นต่อเนื่องราวกับภาพฉาย ภาพของสาวลูกครึ่งในชุดสีแดงเพลิงที่ขับรถปาดหน้าแย่งที่จอดกันที่ลานจอดรถของบริษัท แต่นั่นก็ไม่น่าเจ็บใจเท่ากับการที่ผู้หญิงคนนั้นเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งเข้าไปสวมกอดชายหนุ่มเจ้าของแขวนทองคำขาวที่เขาสวมติดนิ้วมาหลายปี มันเป็นภาพที่ไม่อาจทนดูได้เขาจึงขับรถออกมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกตัวอีกทีก็มานอนอยู่ที่โรงพยาบาลเสียแล้ว


...


ในที่สุดกำหนดเวลาที่อาจารย์หมอศุภชัยอนุญาตให้นายแพทย์ขวัญนพได้มีโอกาสเก็บข้อมูลของผู้ป่วยในกรณีที่น่าสนใจและปฏิบัติงานแทนก็หมดลง ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันสุดท้ายสำหรับการติดตามอาการของคนไข้หลายรายซึ่งสิรันทรก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมอขวัญนพก็ออกมาส่งผู้เป็นกรณีศึกษาของเขาเช่นเคย   


“คนเยอะจังเลยนะครับหมอ” เจ้าของร่างสูงกล่าวกับคนเดินมาส่งเมื่อพบว่าวันนี้ที่โรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้คน ได้ยินเสียงลูกเด็กเล็กแดงร้องไห้กระจองอแงคละเคล้ากับเสียงพูดคุยกันของบรรดาคนที่มาเข้ารับการตรวจรักษา ดังอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ ทำเอาพยาบาลที่ขานชื่อคอแหบคอแห้งไปตาม ๆ กัน   


“จะเข้าฤดูฝนก็แบบนี้ละครับ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ป่วยกันเยอะ บางคนก็เลยมาฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กันไว้”


“จริงสินะครับ ช่วงนี้อาการเปลี่ยนแปลงจนตามไม่ทันเลย เช้าฝนตกพอบ่ายแดดเปรี้ยงอีกแล้ว”


“คุณจะฉีดกันไว้สักเข็มไหมล่ะครับ แต่ต้องถามก่อนว่าแพ้ไข่รึเปล่า”


“เกี่ยวอะไรกับแพ้ไข่ครับหมอ”


“ก็เพราะว่าไข่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่น่ะสิครับ ถ้าฉีดให้ในคนที่มีอาการแพ้ไข่รุนแรงละแย่เลย” ขวัญนพอธิบาย ระหว่างนั้นก็นึกขึ้นได้จึงขอแวะเข้าไปเซ็นเอกสารที่เคาท์เตอร์ ส่วนสิรันทรซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกนั้นขยับเข้าไปชะเง้อคอฟังพยาบาลสาวที่กำลังให้ความรู้แก่เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่งเกี่ยวกับเชื้อไข้วัดใหญ่และวัคซีนป้องกันอย่างสนอกสนใจ หลังจากอธิบายภาคทฤษฎีแล้วเธอก็หยิบอุปกรณ์ขึ้นมาอธิบายภาคปฏิบัติต่อ กระบอกฉีดยาในมือของสาวสวยทำเอาเด็กหลายคนพากันกลืนน้ำลายเอื๊อกไม่เว้นกระทั่งผู้ใหญ่ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้


“นั่นละครับ เข็มเดียวเลย” ขวัญนพที่เดินกลับออกมากล่าวพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเขาสนใจจะฉีดสักเข็มหรือไม่


“ไม่ละหมอ ผมกลัวเข็ม” สิรันทรยิ้มแหย ๆ


“อ้อ...และไอ้เข็มเดียวนี่แหละครับที่ทำให้เจ้าพลมันอดไปต่างประเทศกับคุณ”


“หมอหมายความว่ายังไงครับ” คนถามทำคิ้วขมวด


“ตอนที่มันกลับจากต่างจังหวัด มันไปฉีดวัคซีนนี้แล้วเกิดอาการแพ้ค่อนข้างรุนแรงทีเดียว ก็เลยต้องนอนโรงพยาบาลไปหลายวัน มันถึงไม่ได้ไปส่งคุณตามที่สัญญาไว้” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามของคู่สนทนาทำให้คุณหมอหนุ่มไม่ลังเลที่จะกล่าวต่อ “ไหน ๆ คุณก็ไม่ได้มีธุระ เราไปดื่มกาแฟกันไหมครับ เผื่อว่าคุณมีอะไรอยากจะคุยกับผมต่อ”


สิรันทรไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธหากแต่เดินตามเงียบ ๆ แม้ภายนอกจะดูนิ่งขรึมแต่ภายในกลับร้อนรุ่มเมื่อบางสิ่งยังคงคลุมเครือ กระทั่งเมื่อมาถึงร้านกาแฟในขณะที่ขวัญนพเดินดิ่งไปยังเคาน์เตอร์ ตัวเขาเองก็มองหาที่นั่งเหมาะ ๆ จนในที่สุดก็ได้โต๊ะซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล หลังจากสั่งกาแฟเรียบร้อยนายแพทย์หนุ่มก็กลับมานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้พูดอะไร 


“คือผม...” ท่าทางอึกอักกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสิรันทรทำให้ขวัญนพตัดสินใจเอ่ยขึ้น


“ถ้าคุณจะขอโทษเรื่องที่คุณจำเรื่องราวเกี่ยวกับนับพลได้ตั้งนานแล้วน่ะ ไม่ต้องหรอกครับ ผมพอจะทราบตั้งแต่วันที่เราสามคนไปทานข้าวด้วยกันแล้วละ” ปากหยักยกขึ้นเมื่อนึกอะไรได้ “เอ...หรือว่าจริง ๆ แล้วคุณอาจจะไม่เคยลืมช่วงเวลาห้าปีนั้นเลยก็ได้...ใช่ไหมครับคุณสิรันทร”


“ครับ ผมไม่เคยลืมเลยทั้งที่พยายามจะลืม” เจ้าของชื่อยอมรับโดยดุษณี กดตาลงต่ำมองสองมือที่บีบประสานกันแน่น


“จำได้กระทั่งว่าเจ้าพลมันชอบทานอะไร หรือมีอะไรบ้างที่ทานไม่ได้”


“เขาเคยเล่าว่าเมื่อตอนเด็ก ๆ เขาแพ้ไข่ ถึงแม้พอโตมาอาการแพ้นั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยแต่เขาก็พยายามเลี่ยงที่จะทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไข่”


“คุณก็เลยตัดปัญหาด้วยการไม่ทานไข่ตาม”


คนฟังพยักหน้าน้อย ๆ “แต่เขาก็ยังตามใจผมเรื่องเปิดร้านขนม ส่วนเรื่องที่เขาไปฉีดวัคซีน ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลย” เผลอกดคมฟันลงบนเนื้อปากสีซีดกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ นึกตำหนิตนเองที่ไม่ใช้ความพยายามและอดทนให้มาก นี่ถ้าหากนับพลเป็นอะไรลงไปตั้งแต่ครั้งนั้น การได้รู้ความจริงในวันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการปิดประตูลงกลอนจองจำตัวเขาเองเอาไว้ในห้วงแห่งความทุกข์ 


“ไม่แปลกครับ เพราะตัวเจ้าพลเองมันก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน” ขวัญนพลอบถอนใจ “นี่ก็คงพอที่จะช่วยไขข้อข้องใจของคุณได้เปราะหนึ่งแล้วนะครับ ส่วนเรื่องอุบัติเหตุคราวนั้น ผมเดาว่ามันต้องเกี่ยวกับคุณเชอรีน”


“คุณเชอรีน...ใครเหรอครับ” สิรันทรถามพาซื่อ


“ก็ผู้หญิงที่คุณพบที่ลานจอดรถของบริษัท วันที่คุณตั้งใจจะเข้าไปลาออกนั่นละครับ”


“คุณหมอทราบ?”


“เจ้าพลมันเล่าว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยที่บริษัทเห็นรถคันหนึ่งวนหาที่จอดอยู่นานสุดท้ายก็โดนคุณเชอรีนปาดหน้าแย่งที่จอดไปได้ ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดถึงรู้ว่าเป็นรถของคุณและเป็นเลขทะเบียนเดียวกันกับรถคันที่พุ่งชนขอบกั้นริมทะเล ส่วนเรื่องคุณเชอรีน ผมขอไม่พูดแทนนับพลนะครับ คุณควรจะได้ฟังจากปากของมันเอง แต่ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้จักมันดีกว่าผม” ขวัญนพกล่าว ตาคมยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของคนอายุอ่อนกว่าที่ตอนนี้คงกำลังรู้สึกสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย ตัวเขาเองก็ได้แต่เอาใจช่วยให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี


...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...


ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
บทส่งท้าย


“เจ้าพลมันคงอยากให้คุณจำมันได้เสียทีนะครับ”


ขวัญนพกล่าวเมื่อขับรถมาจอดหน้าตึกสองชั้นสไตล์โมเดิร์นที่ด้านหน้าติดถนนเลียบชายหาดส่วนด้านหลังหันออกทะเล


“ขอบคุณหมอมากนะครับที่ทำให้ผมเข้าใจทุกอย่าง”


“ที่นี้ก็จะได้อยู่ใกล้ ๆ กันสักที”


“หรืออาจจะไกลเกินกว่าจะมองเห็นกันแล้วก็ได้” สิรันทรกล่าวพลางชะเง้อคอมองหาคนที่ตั้งใจมาพบแต่กลับไร้ซึ่งเงาของเขา


“ไม่หรอกครับ คุณจะมองเห็นเขาถ้าคุณเปิดใจ เหมือนที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ไงครับ”


เมื่อได้ฟังดังนั้นสิรันทรก็หันกลับมาส่งยิ้มให้ขวัญนพก่อนจะกล่าวคำอำลา ชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วจึงเปิดประตูลงจากรถเงยหน้าขึ้นมองไปยังอาคารตรงหน้าที่ทั้งเขาและนับพลช่วยกันออกแบบ ชั้นล่างตั้งใจจะเปิดเป็นร้านขนมแบบโฮมเมดส่วนชั้นบนกันไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวสำหรับพักอาศัย มีระเบียงเอาไว้สำหรับนั่งดูดาวและฟังเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งด้วยกัน


ร่างผอมสูงก้าวห่างออกไปแล้วแต่รถของขวัญนพยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม เขากำลังมองคนรักของเพื่อนผ่านกระจกหน้าต่างรอกระทั่งอีกฝ่ายไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปภายในตัวอาคารจึงออกรถ


“เลิกเล่นสนุกสักทีนะรัน ก่อนที่ผมจะเผลอใจไปมากกว่านี้” นั่นคือถ้อยคำที่เขาอยากจะพูดแต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงกลืนมันลงคอและยิ้มให้กับเงาสะท้อนของคนขี้ขลาดที่ประกฏอยู่ในกระจกก็เท่านั้น


เมื่อผลักประตูเข้ามาสิรันทรก็เดินสำรวจจนทั่วก่อนจะมานั่งลงที่มุมหนึ่ง สังเกตว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยกระดาษจดสูตรขนมที่วางกระจัดกระจายปนกับแผนผังไซต์งาน คนเจ้าระเบียบจึงอดไม่ได้ที่จะจัดการเก็บให้เรียบร้อย แยกกระดาษที่แสดงโครงสร้างภายในอาคารกับตำหรับตำราภาษาอังกฤษไว้ด้วยกัน เดาได้ไม่ยากว่านับพลคงจะใช้มุมนี้เป็นที่สำหรับนั่งอ่านหนังสือและทำงานตามประสาคนที่ชอบหอบงานกลับมาทำที่บ้าน มือขาวรั้งหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูจะไม่เข้าพวกออกจากกอง แวบแรกที่เห็นก็จำทันทีว่ามันเป็นตำราเล่มแรกที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากจะเปิดร้านขนม สิรันทรพลิกเปิดหน้ากระดาษอาร์ตมันพิมพ์สี่สีไปเรื่อยกระทั่งมาหยุดที่กึ่งกลางเล่มซึ่งมีซองจดหมายเสียบอยู่ ที่หน้าซองระบุต้นทางคือประเทศสิงคโปร์ จ่าหน้าด้วยลายมือถึง ‘มิสเตอร์นับพล พลพลากิจ’ ส่วนชื่อผู้ส่งก็คือ...


“เชอรีน ตัน”


ชายหนุ่มจ้องมองซองจดหมายในมืออย่างชั่งใจ ในที่สุดก็ถือวิสาสะดึงสิ่งที่สอดอยู่ข้างในออกมา พบว่ามันคือการ์ดเชิญร่วมงานสมรสที่จะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ณ ประเทศสิงคโปร์  ชื่อของเจ้าสาวก็เป็นชื่อเดียวกับชื่อของผู้ส่ง และนี่ก็ถือเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคำถามที่ค้างคาอยู่ภายในใจของเขามาเนิ่นนาน


...       


แสงสุดท้ายของวันกำลังเลือนหายไปในความมืด เรือประมงต่างทยอยกันออกจากฝั่งมุ่งหน้าสู่ท้องน้ำกว้างใหญ่ พกพาความหวังของคนที่อยู่ข้างหลังไปเต็มลำเรือ อีกไม่นานตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนอยู่เหนือห้องเครื่องก็จะถูกจุดขึ้นเพื่อให้แสงสว่างแข่งกับแสงดาวและแสงของดวงจันทร์ สิรันทรหย่อนตัวลงนั่งที่โขดหินทอดตามองภาพตรงหน้าพลางคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา โชคดีแค่ไหนที่เรื่องความทรงจำที่หล่นหายเป็นเพียงเรื่องที่เขาสร้างขึ้น เหตุผลก็เพื่อพาตัวเองหนีให้พ้นเพราะความเข้าใจผิด หากวันนี้ทุกอย่างไม่กระจ่างชัดก็ไม่รู้ว่าจะต้องหนีไปอีกนานแค่ไหน ก้มมองแขวนที่นิ้วนึกขอโทษเจ้าของที่ทำให้ต้องเป็นห่วงและต้องเสียใจ คิดไม่ออกเลยว่าหากอุบัติเหตุในวันนั้นพรากเอาลมหายใจไป เขาจะสามารถย้อนกลับมาแก้ไขความผิดในวันนี้ได้อย่างไรกัน   


ยกหลังมือขึ้นซับละอองน้ำเล็ก ๆ ที่ปลิวตามแรงลมมากระทบกับผิวหน้า สูดกลิ่นไอทะเลเข้าปอดก่อนจะผ่อนลมผ่านปลายจมูกอย่างสบายใจ เมื่อไม่เห็นวี่แววของคนที่ต้องการพบเพื่อปรับความเข้าใจก็คงต้องกลับเสียที อย่างไรก็แล้วแต่สิรันทรให้สัญญากับตัวเองว่าจะต้องย้อนกลับมาที่นี่อีก คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยุงร่างลุกขึ้นยืนแต่เพราะตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่บนโขดหินทำให้ลื่นเสียหลักจนเกือบจะล้มลง โชคดีที่ได้ใครคนหนึ่งช่วยประคองเอาไว้ได้ทันไม่เช่นนั้นคงจะต้องกลับไปนอนโรงพยาบาลอีกเป็นแน่


“ระวังหน่อยสิครับ” เสียงนั้นฟังแล้วให้รู้สึกอุ่นใจพอ ๆ กับอกกว้างที่แนบสนิทกับแผ่นหลัง ที่ต้นคอรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อน ในขณะที่แขนแกร่งยังคงเกี่ยวรวบรอบเอวไม่ห่าง


สิรันทรเหลียวมองใบหน้าคมสันที่อยู่ห่างกันไม่ถึงฝ่ามือพลางเรียกชื่อของเขา


“พล...”


เจ้าของชื่อแปลกใจยิ่งนักกระนั้นก็ยังขานรับ ค่อยคลายวงแขนออกก่อนจะจูงมืออีกคนเดินกลับเข้าฝั่ง เห็นแหวนโลหะสีเงินเทาที่นิ้วเรียวแล้วพอจะทำให้หัวใจเหี่ยวแห้งกลับมีน้ำหล่อเลี้ยงขึ้นมาบ้าง นั่นเพราะก่อนหน้านี้เคยคิดว่าอีกฝ่ายคงจะทิ้งมันไปเสียแล้ว แม้ต้องจำใจปล่อยมือจากกัน แต่ก็อยากจะบอกความรู้สึกตอนนี้ให้รู้เหลือเกิน


“ดีใจที่คุณยังเก็บมันไว้” คนพูดยิ้มบาง “แต่ในเมื่อคุณจำเรื่องที่ผ่านมาไม่ได้ก็ถือเสียว่ามันเป็นของขวัญจากเพื่อนคนหนึ่งก็แล้วกัน คุณไม่จำเป็นต้องสวมมันไว้ที่นิ้วอีกแล้วละครับ”


สิรันทรกดตาลงต่ำจ้องมองแหวนที่นิ้วก่อนจะกล่าวอ้อมแอ้ม “ใครว่าจำไม่ได้ล่ะ ไม่เคยลืมเลยต่างหาก”
นับพลมุ่นคิ้วทบทวนสิ่งที่ได้ฟังจบลงไป ในที่สุดรอยยิ้มแห่งความยินดีก็จุดขึ้นอีกหน ร่างสูงโปร่งที่ในหัวเต็มไปด้วยคำถามขยับเข้ามายืนต่อหน้าพลางเอื้อมจับต้นแขนคนพูด “หมายความว่าคุณจำได้แล้ว?” ยังไม่ทันได้รับคำตอบใด ๆ ก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดเสียแน่นให้สมกับที่รอคอยมาแสนนาน


“เบา ๆ ก็ได้ ผมหายใจไม่ออก”


ได้ฟังเสียงบ่นอู้อี้ของคนในอ้อมอก เจ้าของแขนแกร่งก็คลายวงแขนขยับถอยออกมามองดวงหน้านั้นให้ถนัด “คุณจำได้ตั้งแต่เมื่อไร”


“บอกแล้วไงว่าไม่เคยลืม” พลันรอยยิ้มน่าสงสัยก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าจนคนมองต้องมุ่นคิ้ว


“แสดงว่าคุณแกล้งจำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ” นับพลหรี่ตามองเจ้าของยิ้มหวานที่กำลังยักคิ้วล้อเลียน วิศวกรหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรั้งร่างของคนรักเข้ามาหา “คุณใจร้ายมาก หนีผมไปตั้งสามปี แถมกลับมาแล้วยังแกล้งจำเรื่องที่ผ่านมาม...ไม่ ได้ อี...ก”
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ สิริรันที่พร้อมจะจมลงในอ้อมกอดแสนคิดถึงก็โผเข้าซบหน้ากับอกอุ่น ปากพร่ำพูดคำขอโทษในขณะที่แขนเกี่ยวรัดรับรอบลำตัวหนา ถึงตอนนี้หากนับพลคิดผลักไสก็จะไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด


“เป็นอะไรไป ทำไมกอดแน่นจัง” 


“คิดถึงนี่”


เสียงสารภาพแผ่วเบาเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ลอดผ่านกลีบเมฆสาดกระทบผิวกายจนอุ่นไปทั่วทั้งร่าง นับพลยิ้มน้อย ๆ ใจอยากจะฟังคำนี้ซ้ำอีก กระนั้นก็ยังอดนึกน้อยใจในการกระทำของอีกฝ่ายไม่ได้


“คิดถึงแล้วทำไมแกล้งกันได้ หืม?” พูดพลางเชยปลายคางมนขึ้น สำรวจใบหน้าชวนมองด้วยสายตาเอ็นดู เมื่อสังเกตเห็นความกังวลในแววตาของคนในอ้อมกอด เขาก็ไม่รั้งรอที่จะทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่คำถามสลักสำคัญที่ต้องคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้


“จะลงโทษเสียให้เข็ด” นับพลกล่าวก่อนจะโน้มหน้าลงส่งผ่านความรู้สึกจากภายในใจผ่านริมฝีปากที่สัมผัสกัน เพื่อบอกให้รู้ว่า ไม่ว่าคำตอบนั้นจะเป็นแบบไหน ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะเป็นอย่างไร มันไม่สำคัญเท่ากับคำว่า ‘คิดถึง’ ที่อีกฝ่ายได้พูดออกมาเมื่อสักครู่


สิรันทรหลับตาลงรับจุมพิตที่ถวิลหามาแสนนาน รสจูบของนับพลยังคงความหวานหอมซ่านลิ้นยั่วยวนชวนลุ่มหลงไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่ก่อนที่ความโหยหาจะเปิดอ้าให้หัวใจเตลิดไปไกล ดวงตาคู่งามก็เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใช้สองมือดันอกแกร่งเตือนให้รู้ว่าจูบนั้นเนิ่นนานและเข้าใกล้ความลึกซึ้งชนิดที่ยากจะถอนตัวเข้าไปทุกทีแล้ว


“ยังไม่ได้กึ่งหนึ่งของความผิดที่ทำเลย” คนอายุมากกว่าพูดกลั้วหัวเราะเมื่อสองปากผละห่างจากกัน   


“จะยอมให้ลงโทษ แต่ต้องไม่โกรธกัน” สิรันทรกล่าวอ้อมแอ้ม รู้สึกอายอยู่เหมือนกันทั้งที่ตนเองทำผิดมหันต์แต่ก็ยังเรียกร้องเอาจากอีกฝ่าย


“ไม่โกรธ ถ้าสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันที่นี่ ไม่หนีไปไหนอีก”


ปากบางคลี่ยิ้มทำหน้าทะเล้น “แล้วถ้าหนีล่ะ จะตามหากันให้เจอหรือเปล่า” พูดจบก็ขยับตัวหลุดออกจากวงแขนแกร่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามแนวยาวของหาดทรายสีขาวลืมว่ามีเหล็กดามกระดูกไปเลย


“รัน! อย่าวิ่งเดี๋ยวล้ม”


นับพลโคลงหัวอย่างอ่อนใจเมื่อพบว่าคำห้ามปรามของตนเองไม่เป็นผล มันไม่สามารถหยุดร่างที่กำลังห่างออกไปได้ คนออกอาการเป็นห่วงจึงเร่งฝีเท้าก้าวตาม จากเดินเปลี่ยนเป็นวิ่งในขณะที่ปากก็ร้องห้ามไปด้วยแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะยอมหยุด แถมยังหันกลับมาหัวเราะชอบใจได้น่ากวนโมโหเสียไม่มี


“โอ๊ย!”


สุดท้ายก็เป็นคนตามที่ล้มหน้าคะมำไม่เป็นท่า เสียงร้องโอดโอยทำให้สิรันทรต้องหยุด ชายหนุ่มชักเท้ากลับหันมามอง เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบตรงดิ่งเข้ามาหาเจ้าของร่างที่นอนฟุบหน้าลงกับผืนทรายด้วยความตกใจ ริมฝีปากสีเรื่อละล่ำละลักเรียกชื่อคนรักพร้อมกับนั่งลงประคองคนตัวโตขึ้นนอนหนุนตัก ปัดเศษทรายที่ติดอยู่บนผิวหน้าออก


“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ปากบางยังคงพร่ำถาม แต่ดวงตาแสนอ่อนโยนคู่นั้นก็ไม่เปิดขึ้นมามองกันสักที พยายามออกแรงเขย่าให้รู้สึกตัวแต่นับพลก็ยังคงนอนแน่นิ่งจนเขาเริ่มใจคอไม่ดี


“พล ลืมตาสิ คุณกำลังทำให้ผมกลัวนะ”


มันได้ผล เสียงสั่นเครือปลุกให้คนในอ้อมแขนปรือตาขึ้นช้า ๆ มือหนายกขึ้นแตะหน้าผากตัวเองพลางปากส่งเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวดในขณะที่สิรันทรเองพยายามมองหาร่องรอยการบาดเจ็บแต่ก็ไม่พบ


“คุณเจ็บตรงไหน บอกสิว่าคุณเจ็บตรงไหน”


“ห...หัว ผมปวดหัว”


“คุณต้องไม่เป็นอะไรนะ” พูดจบก็กัดฟันพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้น แต่ร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงก็ทำให้สิรันทรรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิดเลย กว่าจะพากันลุกได้ช่างทุลักทุเลเหลือเกิน แขนขาวโอบเข้าที่เอวของคนเจ็บพร้อมกับรั้งแขนหนักพาดลงมาบนบ่า “ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”


“ด...เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน”


“อะไรอีก คุณเจ็บอยู่นะ”


“ค...คุณ คุณเป็นใครครับ”


คำถามนั้นทำชะงัก หน้าซีดเผือดเหลียวกลับไปสบตาคนพูด ทันทีที่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จุดขึ้นบนหน้าที่เคยเหยแกเพราะความเจ็บปวดของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองถูกต้มจนเปื่อย รีบผละออกโดยอัตโนมัติ ไม่คิดว่าจะโดนเอาคืนรวดเร็วเช่นนี้ กระนั้นนัยน์ตาคมก็ยังจ้องมองหน้าของคนรักอย่างคาดโทษ


“เล่นอะไรบ้า ๆ”


นับพลกดยิ้มมุมปาก เสียงห้วนห้าวบวกกับใบหน้าจริงจังนั่นทำให้รู้ได้ไม่ยากว่าน้องชายเล็ก ๆ กำลังไม่พอใจพี่ชายคนนี้อยู่เหลือกำลัง ร่างสูงเดินตามคนที่กำลังเดินหนีพร้อมกับรั้งแขนที่ยังคงปรากฏรอยจางของบาดแผลเอาไว้ “ผมล้อเล่นน่า ผมไม่มีทางลืมคุณหรอก อย่าโกรธเลยนะ”


เงียบ...


ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากปาก สิรันทรแกะมืออีกฝ่ายออก กอดอกทอดตามองระลอกคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง กระนั้นคนง้อก็ยังไม่หมดความพยายาม ขยับเข้าใกล้จนอกแนบกับแผ่นหลังของคนงอน ใช้แขนคล้องเอวบางเอาไว้หลวม ๆ กดจูบลงที่หลังคอขาวซึ่งเป็นจุดอ่อนแล้วจึงเลื่อนขึ้นกระซิบที่ข้างหู


“หายโกรธนะครับ”


สิรันทรถอนใจเบา ๆ เมื่อความวูบไหวส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่าตนเองกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับมนุษย์ช่างประจบ จึงตัดสินใจหมุนตัวกลับมาสบตาคนอายุมากกว่าอีกครั้ง


“ยอมให้ลงโทษก่อนแล้วจะหายโกรธ”


“จะลงโทษผมยังไง หืม?” นับพลกล่าวพร้อมกับกระชับวงแขนแน่น จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่งามของคนในอ้อมกอด มองไล่ลงมาตามสันจมูกกกระทั่งหยุดที่ปากสีเรื่อซึ่งมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ว่ามันหวานหอมและน่าหลงใหลเพียงใด


“ก็...แบบนี้ไง” พูดจบสิรันทรก็ยกแขนขึ้นเหนี่ยวรั้งคอหนาโน้มคนตัวโตลงมารับโทษที่เขาจะมอบให้โดยการบดเบียดปากลงบนเนื้อปากนุ่มก่อนจะดูดดึงตามอำเภอใจราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ


นับพลยอมรับว่ามันเป็นการลงทัณฑ์ที่ร้ายกาจ ทำให้ร่างกายและหัวใจปั่นป่วนที่สุด ชายหนุ่มเลื่อนมือลงต่ำบีบคลึงสะโพกมนอย่างเผลอไผล ในที่สุดก็หลับตานิ่งรอรับบทลงโทษอย่างยอมจำนน หากความหวามไหวที่เกิดจากสัมผัสเย้ายวนคือโซ่ตรวนฉุดรั้งร่างให้ดิ่งลงสู่ห้วงรักอันแสนหวานแล้วละก็ เขาก็เต็มใจยอมรับโทษทัณฑ์นี้ไปตลอดชีวิต


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อนะคะ)


การเปิดร้านในช่วงสัปดาห์แรกเริ่มลงตัวแล้ว ผลพวงจากการบอกกันปากต่อปากของบรรดานักชิมขาจรที่บังเอิญผ่านทางมาทำให้ลูกค้าหน้าใหม่พากันแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ดังนั้นกว่าที่สองคนจะเก็บร้านเสร็จก็ปาเข้าไปดึกดื่นค่อนคืนเกือบแทบทุกวัน นับพลละสายตาจากจานกระเบื้องในมือ ที่ขอบจานสกรีนคำ ‘Memory of Love’ ซึ่งเป็นชื่อของร้าน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปยังร่างผอมในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนสวมทับอีกทีด้วยผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายจุดที่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำความสะอาดพื้น อดีตวิศวกรระบบเครือข่ายกดยิ้มมุมปากก่อนจะวางจานใบสุดท้ายที่เพิ่งเช็ดเสร็จลงในถาด จากนั้นจึงเดินอ้อมเคาน์เตอร์ตรงเข้าไปสวมกอดคนที่กำลังหยุดยกแขนขึ้นซับเหงื่อจากด้านหลัง


“เหนื่อยไหม” ปากหยักกระซิบถามที่ข้างหู


น้ำเสียงห่วงใยนั้นทำให้คนถูกถามเลือกที่จะส่ายหน้าเป็นคำตอบ สิรันทรหมุนตัวกลับพร้อมกับส่งยิ้มให้เจ้าของท่อนแขนแกร่งที่ยังคงโอบรอบเอวตนเองไม่ยอมห่าง ชายหนุ่มแทรกเรียวนิ้วลงบนเส้นผมชื้นเหงื่อของของอีกฝ่าย จัดการเสยปัดขึ้นเพื่อไม่ให้ตกลงมาบดบังดวงตาแสนอ่อนโยนคู่นั้น แม้งานร้านขนมจะไม่ได้ซับซ้อนเหมือนกับงานวางโครงสร้างระบบเครือข่ายแบบที่นับพลเคยทำ แต่เชื่อเหลือเกินว่าการเริ่มต้นทำในสิ่งใหม่ต้องส่งผลให้เขาเหนื่อยล้าขึ้นเป็นสองเท่าอย่างแน่นอน


“แล้วคุณล่ะ เหนื่อยหรือเปล่า”


“ไม่เหนื่อยเลย สนุกดีออก” พูดพลางกระชับลำแขนรั้งร่างคนรักเข้ามาใกล้ “เหนื่อยกว่านี้ก็ทำมาแล้ว”


คำพูดนั้นจะเป็นคำพูดธรรมดา ๆ หากคนพูดไม่ส่งสายตาหวานเยิ้มกรุ้มกริ่มจนสิรันทรต้องมองไปทางอื่น หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการเปิดช่องให้คนตรงหน้าใช้โอกาสนี้กดปลายจมูกลงบนแก้มขึ้นสีเสียงดังฟอด ซ้ำยังแตะย้ำกลีบปากอุ่นลงบนซอกคอขาวให้ต้องหาทางหนี 


“พอเถอะ จั๊กจี้ หยุดได้แล้ว”


เจ้าของคอระหงประท้วงหนัก ดันแผงอกที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามของคนที่ไม่มีคำว่า ‘พอ’ อยู่ในหัวให้ออกห่าง กระนั้นนับพลก็ยังไม่ยอมลดละเลื่อนปากขึ้นมากระซิบชิดใบหูแดงซ่าน


“คุณไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวผมปิดร้านเรียบร้อยแล้วจะตามขึ้นไป”


ไม่ใช่เพราะความว่านอนสอนง่ายที่ทำให้สิรันทรยอมโอนอ่อน หากแต่เป็นแววตาที่มองมากับสัมผัสแสนพิเศษนั่นต่างหากที่ทำให้ไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้ากันได้อีกต่อไป คนอายุน้อยกว่าก้มหน้างุดเก็บซ่อนความเขินอายจำใจเดินหันหลังจากมาในขณะที่สายตาคู่นั้นยังคงตามติด    


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย นับพลก็ปิดไฟภายในร้านก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องก็พบสิรันทรในชุดเดิมยังคงนอนเอกเขนกคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นแม่อยู่บนเตียง ชายหนุ่มจึงคว้าผ้าเช็ดตัวเดินหายเข้าไปในห้องน้ำสักพักก็กลับออกมาในสภาพที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวบดบังท่อนล่าง เป็นเวลาเดียวกับที่คนรักของเขาเพิ่งวางโทรศัพท์ลงที่หัวเตียง สิรันทรดึงผ้าเช็ดตัวพาดบ่าลอบมองร่างสูงที่เดินไปหยุดขยี้หัวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ไล่ตาสำรวจจากไหล่กว้างลงมาตามแผ่นหลังขาวที่พราวไปด้วยหยดน้ำเล็ก ๆ กระทั่งมาสุดที่เอวสอบเข้านิด ๆ ตามมาตรฐานหนุ่มนักกีฬาตัวแทนมหาวิทยาลัย ก่อนที่ความคิดจะกระเจิดกระเจิงไปกันใหญ่เจ้าของร่างผอมสูงก็ผุดลุกขึ้นก้มหน้าก้มตาเดินเปิดเข้าไปห้องน้ำเพื่อทำธุระของตนเองบ้าง กว่าจะกลับออกมาอีกทีนับพลก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว 


สิรันทรในชุดคลุมอาบน้ำเดินมาหยุดที่หน้ากระจก คอเสื้อแหวกลึกทำให้เห็นรอยแผลเป็นจากการถูกกระจกบาดที่บริเวณเหนือราวนมด้านขวายาวค่อนมาถึงตรงกลางหน้าอก ส่วนตามลำตัวที่อาภรณ์ปิดคลุมนั้นก็ยังพอมีร่องรอยซึ่งเป็นผลพวงจากอุบัติเหตุให้เห็นอยู่บ้าง ที่หัวเข่าและหน้าแข้งปรากฏรอยนูนแดงที่คาดว่าน่าจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แต่มันก็ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวเสียจนเจ้าตัวต้องกระมิดกระเมี้ยนเก็บซ่อน ชายหนุ่มยังคงดำเนินชีวิตตามปกติ หากมีใครสงสัยในที่มาของบาดแผลเหล่านี้เขาก็พร้อมที่จะเล่าประสบการณ์เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอย่างไม่เกี่ยงงอน


เสียงกระแอมเบา ๆ ทำให้คนที่กำลังยืนใจลอยต้องเบนสายตามองไปยังเจ้าของเสียงที่นั่งอยู่ปลายเตียงผ่านเงาสะท้อนบนระนาบกระจก ไม่รู้ว่านับพลนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร ที่รู้ก็คือสายตาส่งที่มากำลังทำให้ร่างกายเย็นเฉียบกลับอุ่นร้อนขึ้นราวกับถูกลามเลียด้วยไอแดด สิรันทรแก้เก้อโดยการเดินไปเปิดตู้หยิบเสื้อผ้าแต่ปากก็ไม่วายถามคำถามที่ในใจสงสัย


“ม...มองอะไร”


“ก็แค่...อยากจำคุณให้ได้ทุกรายละเอียด” คนพูดคลี่ยิ้มก่อนจะลุกขึ้นสาวเท้าเข้ามาใกล้พลางรั้งเสื้อนอนตัวเก่งจากมือบางวางลงบนเก้าอี้ “ไหนขอดูหน่อยซิ ไม่เจอกันตั้งสามปีมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่า” พูดจบก็จูงมือสิรันทรที่ออกอาการขัดขืนไปที่เตียง


“ไม่มีหรอกน่า” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมกับคว้ามือที่เตรียมจะกระตุกปลายสายคล้องเอวของเสื้อคลุมอาบน้ำก่อนจะผลักให้ห่างตัว


“พูดอย่างเดียวจะเชื่อได้ยังไง”


“แล้วจะเอายังไง”


“ต้องทำแบบนี้” พูดจบนับพลก็ผลักร่างที่ไม่ทันตั้งตัวหงายลงบนเตียง จากนั้นร่างใหญ่หุ่นนักกีฬาก็ทาบลงมาจนสิรันทรไม่อาจขยับหนีได้


“หนักนะเนี่ย ทับลงมาได้”


“ผมมาตามแรงดึงดูดของคุณไง” เมื่อเห็นคนฟังทำหน้าไม่เข้าใจเจ้าของรอยยิ้มมีเสน่ห์จึงกล่าวต่อ “คุณเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าเราไม่อาจโทษแรงโน้มถ่วงของโลกเมื่อได้ตกหลุมรักใครสักคน...”


“...รู้ตัวไหมว่าคุณกำลังทำให้ผมตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำอีก” นับพลกล่าวพลางแตะปลายจมูกลงบนสันจมูกของอีกฝ่ายก่อนจะถูขึ้นลงเบา ๆ อย่างหยอกเย้าพอให้จั๊กจี้


“อย่าน่า ลุกขึ้น ผมจะไปแต่งตัว” เจ้าของสองแก้มแดงซ่านเอ่ยปากปรามเมื่อมือหนายังคงวนเวียนอยู่กับสายรัดเอว


“แต่งตอนนี้อีกไม่กี่นาทีก็ต้องถอดออกหมดอยู่ดี” คนตัวโตผละออกก่อนจะเท้าแขนมองร่างที่นอนเคียงกัน อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นมือขาวยังคงจับสายผูกเอวแน่น ในขณะที่ตัวเขาเองก็ยังไม่ละความพยายามที่จะดึงมันออกเช่นกัน


“ทำไมพูดไม่ฟังอย่างนี้นะ” สิรันทรโวยวายพร้อมกับพยายามปัดมืออีกฝ่ายออก แต่ยิ่งทำเช่นนั้นกลับทำให้เนื้อผ้าที่ทับเหลื่อมกันอยู่แยกออกจนเห็นขาขาว


นับพลมองเลยลงไปยังเนื้อนูนแดงที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัดใส่เหล็กดามกระดูก ชายหนุ่มยันกายลุกขึ้นนั่ง รั้งเรียวขาของอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะจุมพิตอย่างแผ่วเบาบนร่องรอยที่เห็นทีไรก็ทำให้เจ็บแปลบข้างในใจทุกครั้งไป ปากหยักแตะย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก ค่อย ๆ ลากเลยเถิดขึ้นมาจนกระทั่งถึงโคนขา ยอมตัดใจละเว้นส่วนที่สิรันทรพยายามซ่อนเร้นขยับขึ้นพรมจูบบนแผงอกที่กำลังไหวเทิ้มยามเมื่อมือของเขาเลื่อนต่ำลงคลึงขยำที่สะโพก อาศัยจังหวะนี้กระตุกปลายสายคล้องเอวแล้วโยนทิ้งไปให้ไกล ทาบมือลงเหนือแผ่นอกตึงแน่นก่อนจะผลักเสื้อคลุมแสนเกะกะไปกองไว้ด้านหลังเผยเนื้อเนียนให้ปรากฏแก่สายตา ไม่รอช้ารีบวางกลีบปากอุ่นลงบนรอยแผลที่กลางอก เพียงดูดดึงเบา ๆ คนใต้ร่างก็เผลอส่งเสียงครางกระเส่าออกมา เท่านั้นหัวใจที่เคยบอบช้ำก็เต้นแรงราวลิงโลด คำเรียกที่หลุดออกจากริมฝีปากสีหวานมีแต่ชื่อ ‘พล’ ในขณะที่แววตาไหวระริกคู่นั้นก็สะท้อนเพียงเงาของเขา สิรันทรกำลังมองมา และนับพลก็รู้ดีว่าสายตาคู่นี้ก็จะไม่มีวันมองใครที่ไหนอีก


มือบางกอบกำผ้าปูที่นอนแน่นหวังจะสะกดความรู้สึกหวามไหวแต่ก็ดูจะไร้ผลเมื่อริมฝีปากร้อนยังคงตั้งหน้าตั้งตาที่จะแสดงความเป็นเจ้าของในทุกอณูเนื้อ สิรันทรคลายมือจากผ้ายับย่นย้ายขึ้นมาสัมผัสลาดไหล่แน่นก่อนจะลูบไล้ขึ้นไปบนแผ่นหลังที่อุดมด้วยกล้ามเนื้อ ความวาบหวามลามลึกไปทั่วทั้งร่างจนเผลอรั้งสองแก้มสากขึ้นมาประกบจูบอย่างไม่อาจหักห้ามใจ แรงปรารถนาที่เก็บอั้นไว้เป็นแรมปีถูกส่งผ่านปลายลิ้นร้อนที่เป็นดั่งสะพานเชื่อมความรู้สึก อาภรณ์ที่เคยสวมใส่ถูกปลดเปลื้องออกทีละชิ้นก่อนจะโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี เมื่อไม่มีอุปสรรคใดมาขวางกั้นมือไม้ก็เริ่มคลึงเคล้นเนื้อตัวของกันและกันอย่างรู้ใจ สองร่างก่ายกอดสอดประสานทั้งร่างกายและลมหายใจ เสียงบดเบียดของริมฝีปากคละเคล้ากับเสียงผิวเนื้อกระทบผิวเนื้อที่ดังรัวราวกับเสียงกลองในยามศึก หากเปรียบสิรันทรเป็นผืนทรายเม็ดละเอียด เวลานี้นับพลก็ไม่ต่างอะไรกับระลอกคลื่นที่กำลังโถมกระแทกเข้าหาฝั่งอย่างบ้าคลั่งก่อนจะทิ้งฟองสีขาวเอาไว้เป็นสิ่งย้ำเตือนความทรงจำ


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดที่พายุเสน่หายังคงโหมกระหน่ำ คลื่นแห่งความต้องการดูดกลืนสองร่างจมลึกลงในห้วงรักอันแสนหวาน  ต่างคนต่างยินยอมพร้อมใจปล่อยให้เกลียวน้ำหมุนวนหลอมรวมเนื้อกายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน กระทั่งคลื่นลมสงบลงคนอายุมากกว่าก็ปรือตาขึ้นมองเจ้าของเรือนร่างละมุนมือที่ตะแคงหันหลังให้ มีเพียงผ้าห่มสีขาวปกปิดท่อนล่าง กระนั้นบั้นท้ายยวนตาก็ยังโผล่แพลมออกมาเชิญชวนให้นึกอยากขยำขยี้เสียให้แหลกคามืออีกสักหน


ความคิดของนับพลหยุดลงเพียงเท่านั้นเมื่อสิรันทรขยับเข้าหาจนแผ่นหลังเบียดแนบกับอกแกร่ง ซ้ำยังใช้แขนของเขาหนุนต่างหมอนอย่างสบายใจ ชายหนุ่มกดจูบลงบนหัวไหล่กลมกลึงที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจหอบก่อนจะถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง พาดแขนรั้งเอวของอีกฝ่ายมากอดไว้จนแน่นให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ไม่ได้เป็นเพียงความฝัน จากนั้นปากหยักก็เคลื่อนเข้าชิดใบหูก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันแหบพร่า


“คุณรู้ไหมว่าผมตกใจมากแค่ไหนตอนที่เห็นคุณนอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล บนตัวคุณมีสายระโรงระยางเต็มไปหมด แทบไม่มีตรงไหนบอกให้รู้เลยว่าคนคนนั้นคือคุณ” พูดพลางใช้ปลายจมูกลากวนอยู่บนบ่าเปลือยเปล่าจนคนหลับเผยอปากครางฮือในลำคอด้วยความรำคาญ


“ผมอยากไปนอนอยู่ตรงนั้น อยากเจ็บแทนคุณเสียเอง ยิ่งตอนที่คุณฟื้นขึ้นมาแล้วจำอะไรไม่ได้มันยิ่งทำให้ผมแทบบ้า แต่พอรู้ความจริง ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะโกรธคุณดีไหม มันดีใจมากกว่าเหมือนกำลังรอคอยปาฏิหาริย์แล้วสุดท้ายปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น”
สิ้นเสียงนั้นสิรันทรก็ลืมตาโพลงพลิกตัวกลับทอดมองคนตรงหน้าพร้อมกับกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ผมขอโทษ ขอโทษที่ทำให้ต้องเป็นห่วง” มือโรยแรงเลื่อนขึ้นปัดปอยผมที่ตกลงมาเคลียคิ้วหนาของอีกฝ่ายก่อนจะกระซิบ


“ผมรักคุณนะ”


นับพลส่ายหัวอย่างไม่เชื่อก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนกลีบปากบาง “หลอกให้ผมดีใจอีกหรือเปล่า...คนโกหก”


ได้ฟังดังนั้นคิ้วเรียงเส้นสวยก็เคลื่อนเข้าหากันในทันที สิรันทรไม่รีรอที่จะรั้งมืออุ่นมาวางแนบลงบนแก้มราวกับลูกแมวที่ต้องการความเอาใจใส่จากเจ้าของ “หัวใจกับร่างกายของผมไม่เคยโกหก คุณก็เห็น” คนพูดกลืนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนเบนสายตาไปทางอื่นพร้อมกับย้ำให้ให้อีกฝ่ายแน่ใจอีกครั้ง


“ทุกอย่างเหมือนเดิม ม...มันยังเป็นของคุณเหมือนเดิม” ท้ายประโยคแผ่วเบาแต่กลับตอกตรึงลงตรงกลางใจคนฟัง กระนั้นนับพลก็ยังแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ สอดแขนหนุนศีรษะเหม่อมองไปยังเพดานว่างเปล่ารอดูว่าคนรักจะแก้สถานการณ์นี้ได้อย่างไร 


“จะให้ทำยังไงถึงจะเชื่อกัน”


สิรันทรยันร่างขึ้นจ้องหน้าคนที่ขณะนี้ไม่ได้เอาสายตามาหยุดไว้ที่ตนเองอีกต่อไป เมื่อไม่ได้รับคำตอบชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าก็กระโจนขึ้นทับบนร่างหนาที่ทำให้ขัดใจ ใช้ปลายนิ้วไต่ไปบนต้นแขนชวนฝังคมเขี้ยวอย่างเบามือ เล่นเอานับพลกัดกรามแน่นพยายามข่มใจบังคับไม่ให้กล้ามเนื้อที่เริ่มคลายตัวกลับมาแข็งขืนขึ้นอีกครั้ง


“จะไม่นอนหรือไง”


“ก็ตอบมาก่อนสิว่าจะให้ทำยังไงถึงจะเชื่อที่ผมพูด”


นับพลคลี่ยิ้มพลางคล้องแขนโอบรอบลำตัวของคนเหนือร่างก่อนจะเลื่อนลงยึดสะโพกมนเอาไว้แน่น “พูดเฉย ๆ ใครจะไปเชื่อ แสดงให้ผมเห็นอีกทีสิ”   


น้ำเสียงและแววตาของคนพูดทำให้ประโยคนั้นไม่ได้ยากเกินกว่าที่สิรันทรจะสามารถคาดเดาความหมาย ชายหนุ่มกดยิ้มมุมปากจับปลายคางสากโยกเบา ๆ อย่างมันเขี้ยวก่อนจะกล่าว “ถ้าอย่างนั้นจะทำให้จำไปจนตายเลยคอยดูก็แล้วกัน” พูดจบก็โน้มตัวลงประกบปากดูดชิมความหวานของรสรักที่คราวนี้ดูจะเร่าร้อนกว่าครั้งไหน ๆ  นาทีนั้นคลื่นลมที่เพิ่งจะสงบลงได้เพียงไม่นานก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นพายุใหญ่อีกครา กว่าจะกลับคืนสู่สภาวะปกติดังเดิมได้ก็คงต้องรอจนกระทั่งฟ้าสางเสียแล้วกระมัง   


จบ


หวังว่าทุกคนจะมีความสุขที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2017 01:49:05 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดีนะที่เข้าใจกันเสียที รันนี่นะน่าตีเสียจริง

ออฟไลน์ andaseen

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-1

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
นับพลน่าจะงอนให้หนัก..กกก เรื่องน่ารักมากค่า..อ่านพาร์ทของคุณหมอมาก่อนนึกว่าเป็นแฟนเก่า ที่แท้เป็นรักข้างเดียวนี่เอง  :hao5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
สุดยอดพระเอกเลยนับพล  :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
หลอกแบบนี้คนฟังคงช็อคมาก แต่ฟังเหตุผลแล้วให้อภัย อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น 100% เพราะมันเป็นแค่เสี้ยวนึงของเวลานะคะ

ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆ อ่านแล้วมีความสุขมากค่า

ออฟไลน์ megatef4

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ขอบคุณมากๆค่ะ  น่ารักแต่อ่านครั้งแรกไม่คิดว่าจะไม่ลืมเลยค่ะ  555   คิดว่าเสื่อมจริง 

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
 :pig4: :pig4:
เรื่องสั้นของ นับพล กับ รัน  ช่างเป็นเรื่องสั้นที่ซึ้งมากกกน่ารักน่าจะเป็นเรื่องยาวนะอยากอ่าน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โล่งอกไป นึกว่าจะดราม่า อิอิ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เอาซะเราเกือบร้องไห้เลย  :ling1: สนุกมากกกกกพอรู้ความจริงแล้วหวานกันมากกกกก

ออฟไลน์ janehh

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
แรกๆ สงสารคุณนับพลมาก ฮืออออ
แต่หลังๆ หวานนน ชอบมากเลยค่ะ :L2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โล่งอกไปทีที่รันไม่ได้ความจำเสื่อมจริงๆ

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
 :mew4: :hao7: กินใจมากกก ลุ้นมากกกกนึกว่าจะเทาๆๆ เอ้า!!!!ชมพูเฉย 55555ชอบบบแยากให้แต่งยาวๆๆๆน่าจะดีๆๆ แต่นี้ดี5555 ชอบบบบบค่ะ

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
จะเรียกว่าทำตัวเองได้ไหม เข้าใจผิดเอง เจ็บเอง แต่ก็นะเพราะรันเองก็ไม่รู้ อารมณ์วู่วามมันอันตรายจริง แต่ดีที่ไม่ความจำเสื่อมจริง แค่หลอกลองใจ นับพลเป็นผู้ชายที่ดีมาก  :กอด1: :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด