┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[จบ]==  (อ่าน 274802 ครั้ง)

ออฟไลน์ xxSunShinexx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/06/60]
«ตอบ #300 เมื่อ07-07-2017 20:38:06 »

ทำไมชั้นสังหรณ์ใจว่ามันจะมีอะไรบางอย่าง OMG
กำลังจะสวีทล่ะเชียววว เรื่องอะไรอีกเนี่ยยย :katai1:

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/07/60]
«ตอบ #301 เมื่อ08-07-2017 18:03:56 »

ภามพูดไม่ได้เหรอ แต่ฟังได้นิ มีสาเหตุอะไรที่ทำให้ไม่ยอมพูดแน่ ๆ
รูปลักษณ์ภายนอกภามเป็นยังไง แล้วทำไมพี่ภูพูดจาเย็นชากับภามอ่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/07/60]
«ตอบ #302 เมื่อ11-07-2017 00:05:26 »

ทำไมภามถึงพูดไม่ได้ล่ะ มีเรื่องที่ทำให้กระทบจิตใจรึป่าว

ออฟไลน์ kiszy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/07/60]
«ตอบ #303 เมื่อ12-07-2017 16:57:25 »

เรื่องเริ่มคลี่คลายยยยยยยละ

พี่ภูก็น่ารักขึ้นทุกวันๆเลยยยย

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[17]==[P.10]== [06/07/60]
«ตอบ #304 เมื่อ12-07-2017 19:48:15 »




-18-

 

ผู้ชายที่อยู่ในจอมองดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เพียงแต่เขาผอมมาก...ผอมเหมือนไม่ได้กินข้าวมาเป็นปี ใบหน้าที่พอจะมองออกว่าคมคายดูซูบเซียว แก้มตอบจนเบ้าตาลึกกว่าคนทั่วไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเขาไม่ได้ผอมขนาดนี้คงเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่ง

ที่ไรอันเคยบอกว่าภามเหมือนพี่ภู ผมเข้าใจแล้วว่าเหมือนยังไง...เหมือนราวกับเป็นฝาแฝด ทั้งลักษณะใบหน้ารวมถึงส่วนสูงทะลุจอนั่น ที่แตกต่างกันคงเป็นบรรยากาศ ท่าทาง แล้วก็สีของดวงตา ของพี่ภูจะเป็นสีเทาเยือกเย็น ในขณะที่ของภาม...เป็นสีดำสนิทและว่างเปล่าจนดูน่ากลัว

ในขณะที่ผมกำลังพิจารณาลักษณะภายนอกของอีกฝ่าย ภามที่ไม่รู้ว่าผมมองอยู่ก็หยิบใบอะไรสักอย่างขึ้นมาก่อนจะชูให้กล้องเห็น มันเป็นรายงานที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษยึกยือ ผมอ่านไม่ออกเพราะลายมือนั้นดูเละเทะอ่านยากมาก แต่พอเห็นลายเซ็นของคนเขียนและการลงชื่อด้านล่างผมก็เข้าใจว่ามันคือรายงานอะไร

แดเนียล เรกซ์...จิตแพทย์

“บังคับให้หมอเขียนหรือเปล่า” พี่ภูหรี่ตาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ทำเอาผมสะดุ้งหันไปมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้เห็นสายตาที่ทอแววเป็นห่วงแตกต่างจากน้ำเสียงโดยสิ้นเชิงก็หมดสิ้นคำถาม...เขาต้องมีเหตุผลแน่ แถมภามยังไม่มีท่าทีอะไรเลยด้วยซ้ำ ผมคิดว่าฝั่งนั้นก็คงรู้ว่าพี่ชายตัวเองจงใจทำเป็นเย็นชา

ภามเอากระดาษลงโดยไม่ได้พูดตอบคำถามแต่เอามือชี้ที่ปากตัวเองเป็นคำตอบ

“รู้ว่าไม่พูด แต่นายมีวิธีสารพัดในการข่มขู่หมอให้เขียนตามที่ตัวเองต้องการ” พี่ภูถอนหายใจแต่ภามยังคงนั่งเงียบไม่เปลี่ยนแปลง “เปลี่ยนหมอมากี่คนแล้วภาม ต่อให้นายไล่ พ่อก็ต้องหามาเพิ่มอยู่ดี”

พอโดนพี่ตัวเองดุภามก็ก้มหน้าลง ดวงตาว่างเปล่าวูบไหวเล็กน้อย ผมเห็นพี่ภูหลับตาลง ท่าทางอดกลั้นเหมือนพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ใจอ่อน

“ช่างเถอะ กินยาซะ”

ภามรีบเงยหน้ามองกล้อง พยักหน้ารัวๆ แล้วหยิบยากับน้ำขึ้นกินอย่างรวดเร็วตามคำสั่ง

“ดีมาก”

พอโดนชมดวงตาคู่นั้นก็เป็นประกายเล็กน้อย แม้ใบหน้าจะยังว่างเปล่าแต่ก็ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม

“วันนี้เป็นยังไงบ้าง” พี่ภูถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ดูก็รู้ว่าฝืนทำ

ผมได้แต่ขมวดคิ้วแล้วมองภามใช้มือในการสื่อสารด้วยความขัดใจ ถึงจะพอเดาได้บ้างแต่ก็ไม่ทั้งหมด นึกอยากเรียนภาษามือขึ้นมาก็ตอนนี้

“เบื่อก็ออกไปข้างนอก”

คราวนี้คนฟังส่ายหน้ารัว เขาชี้นิ้วมาทางกล้อง ซึ่งมันทำให้สีหน้าของพี่ภูอ่อนลงแทบจะทันที

“รอก่อน อีกไม่นานก็กลับแล้ว”

ผมหันหน้าไปมองคนพูด มือเผลอกำชายเสื้อเขาแน่นจนเจ้าตัวละสายตามามอง

กลับ...หมายถึงกลับอังกฤษสินะ แล้วจะมาที่นี่อีกหรือเปล่า ผมยังเรียนไม่จบ จะไปหาได้ยังไง คำถามและความกังวลมากมายวนเวียนอยู่ในหัวจนกระทั่งใครอีกคนจับมือผมแล้วบีบเบาๆ ความรู้สึกทั้งหมดก็จางหายไป

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้น...ผมอดกลั้นและเก็บคำถามทุกอย่างไว้ในใจก่อนจะหันกลับไปสนใจจอภาพอีกครั้งแล้วก็พบว่าภามกำลังทำไม้ทำมือถามอะไรบางอย่างซึ่งทำให้พี่ภูต้องถอนหายใจยาว

“ถ้าทำตัวดีจะคุยกับพ่อให้ อย่าโวยวาย อย่าแกล้งไรอันอีก เข้าใจหรือเปล่า”

ภามทำหน้าว่างเปล่า ดูดื้อดึง ชัดเจนว่าคำตอบคือไม่

“พี่กลับไปเจ้านั่นก็ไม่มายุ่งแล้ว ทนหน่อย” พี่ภูขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อฝั่งนั้นยังนิ่งไม่รับคำ “ถ้าไม่ตกลงก็ไปหาหมออยู่อย่างนั้นนั่นล่ะ ต่อให้ไล่ไปสักกี่คน พ่อก็ต้องหามาเรื่อยๆ อยู่ดี”

คนในจอทำหน้าหงุดหงิดแล้วสะบัดหน้าไปด้านข้างด้วยความไม่พอใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยังพยักหน้าให้ เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อฟังพี่ภูมากและท่าทางจะกลัวโดนโกรธน่าดู

“ไปนอนได้แล้ว” พี่ภูพูดแค่นั้น รอจนได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าน้อยๆ แล้วเขาก็กดวางสาย

ความมืดเข้าปกคลุมแทนที่เมื่อแสงจากจอโทรศัพท์ดับลง ผมรู้สึกได้ว่าคนข้างๆ เอนตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า เลยเลือกที่จะไม่ถามอะไรแล้วเอนตัวนอนตาม

“ภามโคตรเหมือนพี่เลย” ผมเปิดประโยคสนทนาด้วยสิ่งที่รู้สึกเป็นอย่างแรกตอนได้เห็นภาม “แบบ...โครงหน้า รูปหน้า ความสูง มีแค่สีตามั้งที่ไม่เหมือนกัน พ่อแม่พี่ทำยังไงถึงออกมาเหมือนกันได้ ทั้งที่ดูก็รู้ว่าอายุต่างกันแล้วก็ไม่ใช่แฝด ผมไม่เข้าใจ”

พี่ภูส่งเสียงหืมเหมือนจะแปลกใจออกมาก่อนจะเปลี่ยนเป็นการหัวเราะเบาๆ แทน ผมนึกหงุดหงิดใจไม่น้อยที่มันมืดเกินไปเลยอดเห็นหน้าเขา แถมพอพยายามจะขยับหน้าไปดูใกล้ๆ ก็โดนตีหน้าผากดังเพียะอีก

เอาเถอะ...เขาหัวเราะได้ผมก็ดีใจ

“ไม่ถามเรื่องภามหรือไง”

“เอาแบบรักษาหน้าหรือเอาแบบจริงใจ”

“ลองแบบรักษาหน้า…”

“ถ้าพี่พูดออกมาแล้วไม่สบายใจ ผมก็ไม่อยากรู้หรอก ไม่ต้องพูดก็ได้” ผมทำเสียงอ่อนๆ ประกอบเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

“แล้วถ้าจริงใจล่ะ”

พอได้ยินคำถามแล้วผมก็ปรับอารมณ์ เปลี่ยนเสียงอ่อนๆ เป็นน้ำเสียงจากใจจริง

“ผมโคตรอยากรู้เลย คือถ้าถามเองก็กลัวจะโดนด่าว่าเสือกไง ก็เลยรอให้พี่พูดเองอยู่”

“มึงนี่มัน…”

“โอ๊ย! เจ็บบบ” ผมร้องโอดโอยแล้วเอามือกุมแก้มสองข้างของตัวเองที่โดนดึงไว้แน่น ป้องกันไม่ให้มือของคนข้างๆ พุ่งเข้ามาดึงอีก

นี่แก้มคนนะไม่ใช่หนังยาง ดึงจนจะย้วยอยู่แล้ว!

“หมั่นไส้” เขาบอกสั้นๆ ก่อนจะดึงแขนผมที่ขยับตัวหนีให้กลับไปนอนดีๆ คงกลัวว่าถ้าผมขยับหนีแรงๆ แล้วเต็นท์จะพัง

“มือก็หนัก” ผมบ่นพึมพำก่อนจะได้มือหนักๆ ที่ว่าหยิกเข้าให้ที่แขนเป็นรางวัล

“นิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นเจ็บ...หนังมึงหนาไม่ใช่หรือไง”

“นี่พี่ลืมไปหรือเปล่าว่าผมเป็นคน”

ข้องใจหนักมาก แต่ละคำทำเหมือนผมเป็น…

“มึงเป็นคนเหรอ กูเข้าใจผิดมาตลอดเลย”

“...” เอาเป็นว่าผมจะด่าในใจ

“บ่นไรในใจ” พี่ภูพูดขึ้นมาลอยๆ ในขณะที่ผมได้แต่เหวอ

“พี่ไปเรียนวิชามาจากไอ้โซเหรอ” ไม่มองยังรู้อีกว่านินทา เป็นวิชาที่น่ากลัวมาก

“งั้นมั้ง”

“ว่าแต่...ทำไมถึงมาได้ล่ะ พี่บอกผมว่าติดงานนี่” ทำเอาหงอยไปตั้งนาน อยู่ๆ ก็มาให้ดีใจซะงั้น

“งานเสร็จไว...แล้วมาแถวนี้พอดีเลยแวะมา”

“มาแถวนี้พอดี...มาทำงานแถวนี้พอดีเนี่ยนะ” ผมถามย้ำ ทั้งย้ำเขาและย้ำความคิดตัวเองเพื่อทบทวนความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ก่อนสมองที่ง่วงงุนมาตั้งแต่เช้าจะประมวลผลเสร็จ มือของคนข้างๆ ก็ตะปบลงมาที่ตาผมอย่างแม่นยำ

“เลิกคิด เลิกพูดเรื่องนี้”

อย่างงี้ก็ได้เหรอ…

“ไม่คิดก็ได้” ผมบอกแล้วแปะมือทับไว้บนมือของเขาไม่ให้มีโอกาสดึงหนี ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาแค่วางมือทับตาผมไว้แบบนั้นโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก

พอได้หลับตาแถมยังมีมืออุ่นๆ วางทับไว้ผมก็เริ่มง่วงนอน สติเลือนหายไปช้าๆ ตามระยะเวลาที่ผ่านพ้น แต่แล้ว…

“ภามเด็กกว่ามึงสองปี...”

สาบานทีว่าไม่ได้แกล้ง

ผมดึงมือพี่ภูออกจากหน้า ก่อนจะใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อถ่างตาตัวเองให้เปิดกว้าง แม้จะล้าเต็มทนแต่เพื่อพี่ภู...เก้าทนได้...น่าจะนะ

“เราเคยอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวที่มีครบพ่อแม่ลูก แต่วันหนึ่งพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจแยกทาง พ่อเลือกจะดูแลภาม เพราะพ่อมีฐานะและภามยังเด็ก พ่อไม่อยากให้ภามลำบาก ส่วนกูตามแม่มาอยู่ไทย แรกๆ ก็เหนื่อย ทั้งกูทั้งแม่ทำกับข้าวไม่เป็น เงินก็ไม่ค่อยมีเพราะแม่ไม่ยอมใช้เงินที่พ่อให้ เราใช้ชีวิตกับอาหารเดิมๆ เป็นปี จนทุกวันนี้กูก็ยังรู้จักอาหารไทยไม่หมด แต่ถ้าไม่นับเรื่องเป็นห่วงน้องก็ถือว่ามีความสุขดี”

ความง่วงที่มีจางหายไปทันทีที่ได้ยินเรื่องราว พี่ภูยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นของเขาราวกับไม่รู้สึกอะไร แต่แค่เขาพูดยาวและเยอะกว่าทุกครั้ง ผมก็พอจะมองออกถึงความไม่ปกติ

ผมกำลังจะได้รับรู้เรื่องราวสำคัญของเขา…

“พ่อกับแม่ตกลงกันว่า ถ้าฝ่ายไหนปิดเทอมจะยอมให้อีกคนบินไปอยู่ด้วย เพราะงั้นภามถึงได้ติดกูมาตลอด เรายังสนิทกันเหมือนเดิม” พี่ภูเงียบไปครู่หนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังนึกถึงอดีตอยู่หรือเปล่า เลยทำได้แค่ลูบหลังมือที่ตัวเองจับไว้แต่แรกเบาๆ

“...”

“แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…” น้ำเสียงเรียบเย็นกว่าปกติของพี่ภูทำให้ผมใจหาย อยู่ๆ ก็รู้สึกกดดันตามไปด้วย “วันนั้นกูออกไปซื้อของให้แม่ ปล่อยให้ภามที่ปิดเทอมและเพิ่งบินมาหาอยู่บ้านกับแม่สองคน ใครจะไปคิดว่ามันจะมีโจรสารเลวบุกขึ้นบ้านตั้งแต่หัวค่ำ”

ผมสูดหายใจลึก เริ่มเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปากอยากจะบอกคนเล่าว่าถ้าไม่อยากเล่าไม่ต้องเล่าก็ได้ แต่ตัวเองกลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

“แม่ปกป้องภาม...ส่วนตัวเองโดนแทงตายต่อหน้าต่อตาน้อง โจรตกใจกลัวจนหนีออกไปตัวเปล่า แล้วไม่นานก็ถูกจับได้...พอรู้ข่าวพ่อกูก็รีบบินมาหา เข้ามากอดกูกับน้องที่ตัวสั่นอยู่ที่โรงพยาบาล หลังจัดการพิธีศพแม่เรียบร้อยก็รีบพากูกับน้องกลับไปอยู่ด้วยที่อังกฤษ”

“พี่ภู…”

“กูใช้เวลาทำใจอยู่สักพัก แต่อาจเพราะตอนนั้นยังเด็ก แล้วเฮเลนที่เป็นแม่เลี้ยงก็ใจดีมาก กูถึงได้ลืมเลือนความเศร้าได้ไม่ยาก แต่กับภาม…” เขาเงียบเสียงไป สักพักก็ยังไม่พูดอะไรออกมา ผมเลยพลิกตัวตะแคงเข้าหา กุมมืออุ่นนั้นมาวางไว้ตรงอกเพื่อให้กำลังใจ

“ภามกลายเป็นเด็กเก็บกดที่ยอมให้กูเข้าใกล้ได้แค่คนเดียว และไม่มีใครรู้เลยว่าน้องคิดอะไรอยู่...” พี่ภูหยุดพูดไป ผมที่กำลังตั้งใจฟังเลยต้องเงียบตาม ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ “เพราะตั้งแต่แม่ตาย...ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงภามอีกเลย”

ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้...แต่เพราะไม่พูด

“เพราะพ่อเป็นห่วงก็เลยเรียกหมอมาดูอาการ แน่นอนว่าในต่างประเทศการพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เพราะงั้นทุกๆ วันบ้านกูเลยมีหมอเดินเข้าออกเป็นว่าเล่น ทุกคนลงความเห็นว่าภามฝังใจเรื่องแม่...และเป็นโรคซึมเศร้า”

ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด ได้เห็นเหตุการณ์ต่อหน้าต่อตาแบบนั้น เป็นใครจะทนได้บ้าง

“ทุกคนตามใจภามมาก กูเองก็เคยเป็นแบบนั้น แต่ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งรับรู้เรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ภามไม่พูดก็จริงแต่ก็ยังก้าวร้าว กูเลยต้องพยายามไม่ตามใจน้อง อะไรดีก็บอกว่าดี แต่ก็ไม่พูดจาอ่อนโยนเหมือนคนอื่นเพราะไม่อยากให้น้องได้ใจ โชคดีที่ภามเชื่อฟังกูอะไรๆ เลยไม่แย่นัก”

พี่ภูพูดเหมือนกำลังระบายออกมา หลายครั้งที่เขากำมือผมแน่นจนรู้สึกเจ็บ แต่ผมก็ยอมให้ทำ เพราะคิดว่ามันอาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

“แต่ทุกคนชะล่าใจเกินไป…ตอนเด็กๆ แม่เคยบอกกูว่าอยากให้กูเข้ามหา’ลัยนี้ เพราะงั้นกูเลยบอกน้องว่าจะมาเรียนที่นี่ ภามพยักหน้าโดยที่ไม่ได้พูดตอบอะไร กูเลยคิดว่าน้องไม่เป็นอะไรแล้ว...แต่วันต่อมาพ่อก็โทรมาบอกว่าภามพยายามฆ่าตัวตาย ดีที่แม่บ้านมาห้ามไว้ทัน กูทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเหมือนเสียศูนย์ สุดท้ายเลยขอให้พ่ออนุญาตให้ภามมาอยู่กับกูที่ไทย ยอมมีคนตามติดดูแล ขอแค่ได้อยู่กับน้องด้วยและได้ทำตามที่เคยคุยกับแม่ไว้ด้วย”

ผมฟังเสียงพี่ภูพูดแล้วก็รู้สึกหน่วงและปวดที่ใจจนเจ็บไปหมด...แตกต่างจากคนพูดโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่ใช่เพราะเขากำมือผมแน่นเป็นระยะ ผมคงคิดว่าผู้ชายคนนี้ไร้ความรู้สึก แต่เพราะรู้ว่าเขามีความรู้สึก...ถึงได้เข้าใจว่าเขาเจ็บปวดขนาดไหน

“จำคนที่กูเคยบอกว่ามีเรื่องด้วยตอนปีหนึ่งได้ไหม”

“จำได้…” คนที่ทำให้พี่ภูมีข่าวเสียๆ หายๆ จนใครต่อใครก็มองเขาไม่ดี

“ครั้งหนึ่งกูกลับช้าภามเลยออกมาตามแต่ไปมีเรื่องกับไอ้นั่นระหว่างทาง กูเห็นน้องโดนทำร้ายจนเลือดไหลอาบหน้าก็เลยจัดการจนมันเข้าโรงพยาบาล ถึงมันจะออกไปแล้วแต่ก็ปล่อยข่าวเล่นกูสารพัดจนมีคนนั้นคนนี้ตามหาเรื่องอยู่ทุกวัน ส่วนภาม...พ่อสั่งเด็ดขาดให้ย้ายกลับอังกฤษ เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอากลับไป กูเลยต้องแยกกับน้อง ใช้การคุยกันทางคอลเป็นประจำเพื่อสื่อสารกัน”

เพราะแบบนั้นพี่ภูถึงได้โดนมองไม่ดี ผมถอนหายใจเพื่อระงับอารมณ์ เกลียดไอ้พวกคนเลวที่ทำร้ายภามและใส่ร้ายพี่ภู เกลียดคนที่ว่าร้ายเขาทั้งที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง เกลียดทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตเขาแย่แบบนี้

“แต่กูไม่เคยคิดมาก่อนว่าภามจะมองการคอลกันของเราเป็น ‘แรงขับเคลื่อนในการมีชีวิต’...วันนั้นกูหลับไปก่อนจะได้คอลเพราะเหนื่อยจากการเรียนและการทำงานทางไกล แต่แล้วคนของพ่อก็มาเคาะห้อง บอกว่าภามพยายามฆ่าตัวตาย เพราะแบบนั้นกูเลยดรอปเรียน บินกลับไปหาน้องที่อังกฤษ” ยิ่งน้ำเสียงของเขาเรียบเย็นมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ออกแรงบีบมือเขาแน่นมากขึ้นเท่านั้น อยากจะช่วยรับความเจ็บปวดนั้นมาแต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้ “ต้องขอบคุณที่ภามยังไม่ไปไหน กูใช้เวลาเป็นปีเพื่อคุยกับน้อง ยอมกระทั่งบอกว่าจะไม่มาเรียนที่นี่แล้ว แต่พ่อก็ยังขอให้กูมาทำตามที่เคยคุยกับแม่ กูสัญญากับน้อง บอกว่าจะไม่มีทางผิดคำพูดอีก จะคอลหาทุกวัน ขอเวลาอีกแค่สี่เดือนแล้วกูจะกลับไปหา”

สี่เดือน...คือระยะเวลาหนึ่งเทอม

“เทอมสองกูจะกลับอังกฤษ ทำเรื่องขอจบและทำงานที่นั่น”

อีกไม่ถึงสองเดือน…

ผมใจหายวาบ แต่ก็เข้าใจดีถึงเหตุผลของเขา ถ้าผมเป็นพี่ภู...ก็คงทำแบบเดียวกัน

“พี่ภู…” ผมเรียกเสียงเบาก่อนจะขยับกายเข้าหาอีกนิด “ถ้าผมอยากรู้เรื่องอื่น พี่ยังจะให้ผมไปถามภามเองอยู่ไหม”

ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเอง...เขาเคยบอกผมแบบนั้น และผมเพิ่งมาเข้าใจความหมายของมันตอนนี้เอง…ภามไม่ให้ใครเข้าใกล้ ไม่เอาใครทั้งนั้น แต่พี่ภูก็ยังบอกให้ผมไปถามเอง และไรอันก็บอกว่าพี่ภูคิดว่าผมจะทำได้

เขาเชื่อ...ว่าผมจะทำได้

“พี่อยากให้ผมช่วยใช่ไหม”

พี่ภูเงียบไป ในขณะที่ผมเองก็ไม่ได้เร่งรัดแต่จับมือเขาไว้แล้วรออยู่เงียบๆ จนสุดท้ายก็เป็นอีกฝ่ายที่ขยับกายหันมาหา เราสบตากันท่ามกลางความมืดมิด

“ถ้ามึงอยาก…”

“ไม่ใช่” ผมส่ายหน้า แก้คำพูดของเขาใหม่ “ถ้าพี่ต้องการต่างหาก”

“...”

“พี่ไม่ได้มองผมเป็นน้องใช่ไหม” เอ็นดูเหมือนน้อง เห็นผมเป็นเหมือนภาม

พี่ภูนิ่งไปพักใหญ่ เขาค่อยๆ ถอนมือออกจากการกอบกุมของผมช้าๆ ความอบอุ่นที่หายไปทำให้ผมเกือบยื่นมือไปยึดจับไว้ แต่ก็ยังกัดริมฝีปากแล้วห้ามใจตัวเองทัน

ถ้าคำตอบของเขาคือเห็นเป็นน้อง…

ผมคง…

“ไม่เอาน้องนะ”

ต้องหาแผนใหม่

“ขี้เกียจหาแผนใหม่...โอ๊ย!” ผมยกมือกุมจมูกที่ถูกดีดไว้แน่น เจ็บจนน้ำตาซึม อยากจะเอาคืนสักสองเท่า แต่พอมองเห็นดวงตาแวววาวของคนทำก็ต้องทิ้งความคิดไป

“กูมองมึงเป็นกระต่าย…”

กระต่ายอีกแล้ว!

“ไม่เอา…”

“กระต่ายที่มีแค่ตัวเดียวในโลก”

เจอแบบนี้...ไม่ยอมก็เหี้ยละ

“ภูมิใจอ่ะ” ผมอมยิ้มจนแก้มจะแตก และไม่รู้ว่าเขาเห็นหรืออะไรถึงได้ยื่นมือมาดึงแก้มผมได้ถูกจุดเหลือเกิน

“และที่มึงถาม…”

“...”

“คำตอบของกูคือต้องการ”

ถ้าพี่ต้องการต่างหาก…

ผมดึงมือพี่ภูออกจากแก้มก่อนจะสบตาเขาแล้วยิ้มให้ ถึงแม้จะเห็นไม่ชัดนักแต่ก็เชื่อว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ผมอยากสื่อ

“ยินดีครับ”

สิ้นคำ...ผมขยับกายเข้าหาแล้วใช้แขนทั้งสองข้างกอดรอบตัวคนตัวสูงไว้แน่นก่อนจะซุกหน้าเข้ากับอกกว้างที่ทำให้อุ่นไปทั้งกายและใจ

“นอนซะ” พี่ภูใช้มือหนึ่งลูบหัวผมเบาๆ ราวกับจะช่วยกล่อมให้นอนหลับฝันดี

“ฝันดีครับพี่”

“ฝันดี…”

“...”

“ก้อน…”

“หือ”

“เมื่อไหร่จะปล่อย”

“หลับแล้ว”

ช่วงกอบโกย ปล่อยก็โง่แล้ว

 

 

ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยความรู้สึกดีสุดๆ ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะอะไร บางทีอาจเป็นเพราะพี่ภูเปิดใจให้ผมมากกว่าเดิมรวมถึงยอมเล่าเรื่องสำคัญให้ฟัง หรืออาจเพราะเขายอมปล่อยให้ผมนอนกอดทั้งคืน

แต่คิดไปคิดมา...ดูแล้วน่าจะเป็นทุกอย่างรวมกัน

ผมหันไปมองหน้าคนที่ยังหลับอยู่ยิ้มๆ

นับเป็นครั้งแรกที่ผมตื่นก่อนและได้มองหน้าพี่ภูตอนหลับ เขามีท่าทางสงบนิ่งเหมือนแค่หลับตาเฉยๆ และพร้อมจะลืมตาตลอดเวลา แตกต่างจากผมเวลานอนที่ชอบทำตัวเป็นก้อนซูชิโดยสิ้นเชิง ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความโชคดีที่ผมตื่นก่อนหรือพี่ภูนอนเยอะหรอก...แต่เป็นเพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงกอบโกย ผมเลยต้องตั้งนาฬิกาปลุกตัวเองแต่เช้า ทั้งหมดเพื่อตื่นมาดูหน้าคนหลับ

จะว่าอิจฉาก็อิจฉา แต่จะว่าภูมิใจก็ภูมิใจ ผมอิจฉาที่เขาดูเพอร์เฟคสุดๆ ไม่ว่าจะในเวลาไหน และภูมิใจ...ที่ได้อยู่ใกล้คนแบบนี้

น่าอวดมาก ถ้าไอ้โซไม่ได้เมียดีผมจะไปอวดมันให้อิจฉาตาร้อนผ่าว แต่เพราะเป็นพี่กีล์...เลยอวดไม่ได้

“จะลากกูไปกินในน้ำตกเลยไหม”

“ได้ก็ดีนะ” ผมตอบกลับทันควันตามนิสัยคิดไวปากไว พอโดนจ้องกลับมาด้วยสายตาเหมือนจะด่าก็ไม่สะทกสะท้านเพราะรังสีความน่ากลัวในดวงตาคู่นั้นไม่เคยทำอะไรผมได้อยู่แล้ว

“ตื่นแล้วก็เตรียมตัวกลับ” พี่ภูสะบัดหัวสองสามทีเหมือนจะเรียกสติก่อนเขาจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันมาหาผม “คืนนี้ต้องไปงาน มึงต้องกลับกับกูก่อน”

“รับทราบ” ผมพยักหน้าแข็งขันแล้วยอมออกมาจากเต็นท์แต่โดยดี หลังจากนั้นก็ยืนมองคนหน้าดุเก็บเต็นท์อย่างรวดเร็วด้วยความชื่นชม...ชื่นชมในความเท่ ขนาดแค่เก็บเต็นท์นะ

พอได้อยู่กับคนที่ชอบ ต่อให้ต้องเดินเป็นระยะทางไกลๆ ผมก็ยังมีความสุข ตลอดทางที่เดินผ่านผมแทบจะกระโดดเดินเหมือนกระต่ายบ้าที่โคตรเกลียด ยิ่งพอหันไปเห็นคนที่เดินอยู่ข้างๆ ยิ้มน้อยๆ ก็แทบตัวลอย

“มีความสุขมากหรือไง” พี่ภูถามเหมือนจะข้องใจ ผมเลยหันไปฉีกยิ้มใส่แล้วตอบตามตรง

“มากขนาดที่โดนด่าว่าเป็นกระต่ายยังไม่โกรธอ่ะ”

“ขนาดนั้นเลย?”

“อื้อ”

“กูก็เรียกมึงเป็นกระต่ายมาตลอด ปกติก็ไม่เห็นโกรธ”

ผมหยุดเท้าที่กำลังเดิน พี่ภูเลยหยุดไปด้วย เราหันมาสบตากันโดยไม่ต้องบอก แล้วก็เป็นผมที่ทำหน้าตาจริงจังใส่เขาก่อน

“จ๋าเคยบอกผมว่า ในชีวิตของเรามักจะมีคนๆ หนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น...และไม่ว่าจะทางไหน ถ้าขึ้นชื่อว่าแตกต่างมันก็คือความพิเศษ...ถ้าได้เจอคนๆ นั้น ไม่ว่ายังไงก็อย่ายอมปล่อยให้เขาเดินจากไป”

“แล้วถ้าเขาจะไปล่ะ”

ผมชักสีหน้า อารมณ์มาเต็มสุดๆ เมื่อนึกว่าพี่ภูจะไปตามที่เขาสมมติ

“ไม่ให้ไป ต่อให้ต้องลากเข้าถ้ำก็จะทำ”

“เข้าถ้ำ” คนหน้าตายเลิกคิ้ว เหมือนเขาจะไม่มั่นใจนักว่าได้ยินถูกหรือเปล่า ซึ่งผมก็ใจดีพยักหน้ายืนยันให้

“ลากเข้าถ้ำ จับกินให้ไปไหนไม่รอด”

คนฟังทำหน้าอึ้งไปหน่อยๆ ในขณะที่ผมยืดอกภูมิใจในความคิดตัวเอง ผ่านไปสักพักพี่ภูก็ยกมือขึ้นมาปิดปาก ส่วนมืออีกข้างยื่นมาปิดตาผม

“หึหึ มึงแม่ง…”

“พี่ปิดตาผมทำไม” ผมพยายามจะแกะมือใหญ่เหนียวหนึบที่ปิดตาตัวเองไว้ออก แต่โดนแขนของคนข้างๆ ล็อคคอให้ขยับเข้าใกล้เพื่อให้มือข้างนั้นปิดตาผมได้แน่นกว่าเดิมเสียก่อน

“เงียบๆ”

“พี่ยิ้มใช้ไหม พี่หัวเราะด้วยเมื่อกี้ เอามือออก ผมจะดู” ผมพยายามแงะมือปลาหมึกออกแต่แรงสู้ไม่ได้ สุดท้ายเลยได้แต่เดินตัวปลิวไปตามแรงดันของคนที่ปิดตาผมไว้

“ลากเข้าถ้ำ จับกินงั้นเหรอ…” เขาทวนประโยคของผมด้วยน้ำเสียงขบขัน เท้าก้าวไปเรื่อย ส่วนมือก็ปิดตาผมให้เดินตาม “ลูกกระต่ายอย่างมึงจะทำอะไรได้”

“ผมไม่ใช่ลูกกระต่ายนะ!”

“ไม่อยากเลื่อนขั้นแล้วเหรอ”

ลูกกระต่ายนี่คือเลื่อนขั้น?

“ตัวก็เล็ก เตี้ยก็เตี้ย ก้อนก็ก้อน ไอ้กระต่ายก้อน”

“ผมไม่ได้ตัวเล็กแล้วก็ไม่ได้ตัวเตี้ยนะ...พี่สูงเองต่างหาก” ต้องย้ำอีกกี่ครั้งว่าอีกหนึ่งเซนติเมตรผมก็ร้อยแปดสิบแล้ว โคตรไม่สมควรใช้คำว่าเตี้ย คือมันไม่ใช่มากๆ แล้วไอ้เรื่องอ้วน...หมายถึงก้อน ผมหนักหกสิบเองนะ

“เหรอ” คนพูดว่าแค่นั้นแล้วปล่อยมือออกจากตาผม แต่แขนอีกข้างยังล็อคคอไว้เหมือนเดิม พอเห็นว่าผมเงยหน้ามองเขาก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วกดสายตาลง

“โอเค เตี้ยก็ได้”

ความต่างระหว่างส่วนสูงสิบเซนติเมตรไม่ใช่เรื่องตลก

“ก้อน”

“หือ”

“มึงเจอคนคนนั้นแล้วเหรอ” พี่ภูเอามือที่ล็อคคอผมออกแล้วเปลี่ยนไปเป็นล้วงกระเป๋าเดิน ท่าทางของเขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่จนผมต้องหยุดความร่าเริงเพื่อคิดตาม “คนที่มึงคิดว่าแตกต่าง”

“อื้ม” ผมยกมือจับแขนเสื้อคนข้างๆ ไว้แทนคำตอบว่าคนๆ นั้นหมายถึงใคร

“อืม”

“แล้วพี่ล่ะ...เจอหรือยัง”

คนที่แตกต่าง...และพิเศษ

“ยัง…”

ผมเกือบหมดแรงตอนที่ได้ยิน ทั้งยังเผลอปล่อยมือที่จับแขนเสื้อเขาไว้โดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่มือไร้น้ำหนักจะทิ้งลงข้างกาย...ใครอีกคนก็ดึงมันไปจับไว้แน่น

“ผมเคยบอกว่าไม่รักไม่ผิด เพราะพี่ไม่เคยให้ความหวังผม พี่จำได้หรือเปล่า”

เขาเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังทบทวนความทรงจำก่อนจะพยักหน้านิ่งๆ

“จำได้”

“ตอนนี้พี่ให้ความหวังผมแล้วนะ”

ถ้ายังทิ้งกันไป...จะบอกว่าไม่ผิดไม่ได้แล้ว

“อืม” พี่ภูมองตรงไปด้านหน้า ผมเลยหันไปมองตาม แล้วก็เห็นรถออดี้คันหรูจอดอยู่ตรงที่เดิม “กูก็ไม่ได้ชอบให้ความหวังใครนักหรอก”

“ดีแล้ว...เพราะถ้าพี่แกล้งผม ผมจะฟ้องป๋ากับจ๋าให้มาจัดการ” ผมแกล้งพูดติดตลกเพราะไม่อยากให้บรรยากาศดูกดดันกว่าเดิม แต่เหมือนคนที่ยังเงียบจะไม่ขำ เพราะใบหน้าของเขายังคงนิ่งสนิทขณะที่หันมามองผมเช่นเดิม

“ที่บอกว่ายัง…เพราะอยากให้มั่นใจมากกว่านี้”

ผมเงยหน้ามองด้วยความตกใจ สบกับสายตาแวววาวที่เป็นประกายเหมือนกำลังเอ็นดูคู่นั้นด้วยใจที่สั่นเทา

“พี่…”

“คนที่แตกต่าง คนที่พิเศษ...ถ้ามึงหมายถึงคนที่ใช่ กูยังไม่เจอ”

“...”

“แต่ถ้าคนที่อยากให้ใช่…”

เขากระชับมือของเราที่จับกุมกันไว้แน่นขึ้นแล้วมองผมด้วยดวงตาคมกริบที่ทำให้ใจเต้นแรง

“เจอแล้ว”

 

------------------



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2017 14:35:22 โดย CHESS. »

ออฟไลน์ sahatsawat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #305 เมื่อ12-07-2017 20:02:47 »

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด เขินนนน :ling1: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ jaokhwan

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #306 เมื่อ12-07-2017 20:10:25 »

 :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #307 เมื่อ12-07-2017 20:20:50 »

โอ้ยยยยยยยพี่ภูของน้อง
เขินกับคำพูดอ่ะ


ออฟไลน์ xxSunShinexx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #308 เมื่อ12-07-2017 20:29:38 »

งื้ออออ อยากไปสิงร่างน้องเก้า
อะไรคือนอนซุกอก พี่ภูขาดทุนไปเท่าไหร่แล้ว

ออฟไลน์ m.starlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #309 เมื่อ12-07-2017 20:32:18 »

เขินหนักมาก  :o8: :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
« ตอบ #309 เมื่อ: 12-07-2017 20:32:18 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ xxSunShinexx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #310 เมื่อ12-07-2017 20:34:15 »

เม้นใหม่นะคะ เหมือนเนื้อหาเม้นท์หายอ่า

งื้ออออ อยากไปสิงร่างน้องเก้า
อะไรคือนอนซุกอก พี่ภูขาดทุนไปเท่าไหร่แล้ว
เรื่องภามคงไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครเอาชนะคนบ้าได้หรอก ฮ่าาาา
เชื่อว่าถ้าน้องภามได้เจอกับเจ้าเก้าแล้ว อาจจะเปิดศึกชิงเจ้าเก้ากับพี่ภู . ... ..ก็เป็นได้

ออฟไลน์ Nunng

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #311 เมื่อ12-07-2017 20:39:07 »

เขินแงงงงงงงงง :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #312 เมื่อ12-07-2017 21:43:34 »

 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #313 เมื่อ12-07-2017 22:02:41 »

คนที่อยากให้ใช่ อ่ะ  ฮือออ เขิน  พี่ภู   :-[
ก้าวหน้าขึ้นมากกกอ่ะ น้องเก้าเอ้ย ได้นอนกอดพี่ภูทั้งคืนด้วย แหม
เรื่องของภามน่าสงสารมาก ก็เข้าใจภาม แต่ก็สงสารพี่ภูด้วย
อยากให้ภามหายเป็นปรกติ ต้องหวังพึ่งน้องเก้าแล้ว น้องทำได้แน่ ๆ
อยากให้น้องเก้าได้เจอภามเร็ว ๆ จัง

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1705
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #314 เมื่อ12-07-2017 22:03:58 »

พี่ภูววววววววว :-[

ออฟไลน์ hpimmc

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #315 เมื่อ12-07-2017 22:06:44 »

ประโยคสุดท้าย
มันแอคแทคแรงเหลือเกินค่ะคุณ



ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #316 เมื่อ12-07-2017 22:16:07 »

อีกหน่อยก็ใช่นะพี่ภู  :-[ :-[

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #317 เมื่อ12-07-2017 22:39:18 »

 :pig4:

ออฟไลน์ missm2c

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #318 เมื่อ12-07-2017 23:17:11 »

“ที่บอกว่ายัง…เพราะอยากให้มั่นใจมากกว่านี้”

ผมเงยหน้ามองด้วยความตกใจ สบกับสายตาแวววาวที่เป็นประกายเหมือนกำลังเอ็นดูคู่นั้นด้วยใจที่สั่นเทา

“พี่…”

“คนที่แตกต่าง คนที่พิเศษ...ถ้ามึงหมายถึงคนที่ใช่ กูยังไม่เจอ”

“...”

“แต่ถ้าคนที่อยากให้ใช่…”

เขากระชับมือของเราที่จับกุมกันไว้แน่นขึ้น แล้วมองผมด้วยดวงตาคมกริบที่ทำให้ใจเต้นแรง

“เจอแล้ว”

--------ปิดอ้างอิง----------
อะไรจะกราวใจขนาดนี้คะพี่ภู ก้อนนี่ใจสั่นระดับ 10 เลยค่ะ #พี่ภูของบ่าว

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #319 เมื่อ12-07-2017 23:18:01 »

พี่ภูของน้องงงงงงง :ling1: :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
« ตอบ #319 เมื่อ: 12-07-2017 23:18:01 »





ออฟไลน์ knxiiviii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #320 เมื่อ13-07-2017 00:02:16 »

โอ๊ย โดนพี่ภูแอคแทค ไปไหนไม่รอดแล้ว ฮือออ

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #321 เมื่อ13-07-2017 06:09:26 »

โรแมนติกมากเลยเจ้าค่ะ
หนูก้อนคงยิ้มแก้มปริแน่ๆ

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 889
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #322 เมื่อ13-07-2017 08:16:09 »

เขินนน :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #323 เมื่อ13-07-2017 10:08:45 »

เขินคำพูดดดดด

ออฟไลน์ ktsingto

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #324 เมื่อ13-07-2017 11:13:42 »

 :o8: :-[ :impress2:  เขินแทนเบยย

ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #325 เมื่อ14-07-2017 06:51:14 »

ประโยคสุดท้ายเป็นอะไรที่ดีต่อใจสุดๆ

ออฟไลน์ kiszy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #326 เมื่อ14-07-2017 20:57:01 »

กรี๊ดดดดดด คนที่อยากให้ใช่ ฮืออออออ พี่ภู๊!!!!!!!!

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #327 เมื่อ14-07-2017 21:32:47 »

สงสารภาม อยากรู้จังว่าเก้าจะใช้วิธีไหนช่วยน้อง
เขินพี่ภูมาก เก้าคงเขินจนตัวระเบิดไปแล้วมั้ง  :hao7:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[18]==[P.11]== [12/07/60]
«ตอบ #328 เมื่อ18-07-2017 18:47:36 »





-19-

 

ผมนั่งรถกลับกรุงเทพกับพี่ภูก่อนตามที่เราตกลงกันไว้เพราะถ้ารอกลับพร้อมคนอื่นๆ อาจจะไปไม่ทันเวลางานเลี้ยงเริ่ม แต่จากที่คิดว่าจะกลับมาถึงพอดีกลับกลายเป็นว่าผมต้องมานอนกลิ้งอยู่ที่หอเพราะกลับมาไวเกิน ส่วนพี่ภูก็แยกกลับไปจัดการตัวเองที่คอนโดเพราะเขาต้องโทรไปหาภามก่อนเวลา ด้วยความขี้เกียจส่วนตัวทำให้ผมปล่อยตัวเองให้นอนว่างจนถึงห้าโมงกว่า ตื่นมาอีกทีเพราะเสียงปลุกจากสายโทรเข้าของโทรศัพท์ ซึ่งก็เป็นพี่ภูที่โทรมาเรียกเพราะถึงเวลาเดินทาง และด้วยความง่วงที่สั่งสมทำให้ผมเผลอหยิบเสื้อนักศึกษามาใส่แล้วเดินลงไปด้านล่างโดยไม่รู้ตัว

แน่นอนว่าได้รับสายตามองแรงตั้งแต่หัวจรดเท้าตอบกลับมา

“ว่าแล้วต้องเป็นงี้” พี่ภูถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาใกล้จนติดก่อนจะยกมือจัดทรงผมยุ่งเหยิงให้ผมช้าๆ “ไม่รู้จักเตรียมตัว”

“ผมง่วงอ่ะ” ผมยกมือขยี้ตาประกอบ รู้สึกเหมือนสมองยังไม่ตื่นตามด้วยซ้ำ

“ง่วงก็ไปนอน”

“ต้องไปงานกับพี่”

“กูไปคนเดียวได้ ไปนอนไป” เขาดันไหล่ผมเบาๆ น้ำเสียงไม่ได้มีความไม่พอใจแฝงอยู่เลยแม้แต่นิด

“ผมตื่นแล้ว” ผมกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปลุกตัวเอง พร้อมทั้งจ้องมองคนตรงหน้าแน่วแน่เพื่อยืนยันความตั้งใจ “ไปด้วยนะ”

“ก้อน” พี่ภูเรียกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมรีบยืดตัวตรงแสดงความตั้งใจ อารมณ์ง่วงงุนเมื่อกี้หายไปเกือบหมด

“ครับ”

“มึงเป็นคนแบบนี้ก็ดี แต่บางเวลาก็ต้องฝืนตัวเองบ้าง...โดยเฉพาะเวลางาน อย่างน้อยต้องรู้จักกาลเทศะ การแต่งตัวก็เป็นปัจจัยหนึ่ง เข้าใจที่กูจะสื่อหรือเปล่า”

“ผมจะขึ้นไปเปลี่ยนชุด” ผมรีบตอบแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าหอ แต่โดนดึงแขนแล้วดันให้เข้าไปนั่งในรถเสียก่อน

“เดี๋ยวไม่ทัน มาเถอะ”

พอขึ้นมาบนรถแล้วบรรยากาศก็เข้าสู่ความเงียบ แม้แต่ผมที่ขยันชวนคุยยังไม่มีอารมณ์คุย นับเป็นครั้งแรกที่โดนพี่ภูตำหนิแบบจริงจัง...ถึงเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาก็เถอะ แต่ผมรู้สึกแย่ยิ่งกว่าโดนตะโกนด่าเสียอีก

ยอมรับว่าผมไม่เคยโดนว่าแบบนี้เลยสักครั้ง ป๋าก็ตามใจ จ๋าทำอะไรก็ไม่น่ากลัว มีหลายครั้งที่โดนลากไปออกงาน แต่ผมก็ไม่เคยสนใจอะไรเท่าไหร่ หวังแค่เข้าไปกินแล้วก็กลับ แต่ผมไม่รู้ว่าสังคมการออกงานของพี่ภูเป็นแบบไหนเลยเผลอทำตัวตามปกติ ลืมคิดไปเลยว่าเขาเป็นคนพามา ถ้าเสีย...ก็จะทำให้เขาเสียไปด้วย

“ผมขอโทษนะ” ผมดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆ เมื่อรถหยุดตรงไฟแดง พี่ภูมองผมด้วยสายตาแปลกใจก่อนเขาจะยกมือวางแปะบนหัวผมแล้วตบเบาๆ สองสามที

“กูไม่ได้ดุ”

“ผมจะทำให้พี่ดูไม่ดีไปด้วย”

“...”

“ผมจะพยายามปรับตัว”

พี่ภูถอนหายใจยาว มือขยับมาดันหน้าผมที่ก้มอยู่ให้เงยขึ้นสบตา

“แค่เวลาออกงานทำตัวดีๆ รักษาหน้าเจ้าของงานหน่อยก็พอ...มึงเป็นของมึงแบบนี้ก็ดีแล้ว”

“ครับ...ต่อไปถ้าออกงานกับพี่ ผมจะรักษาหน้าพี่นะ” ผมบอกความตั้งใจของตัวเองพร้อมทั้งยกยิ้มเสริมให้อีกทีเพื่อให้เขามั่นใจ

“มึงเข้าใจที่กูจะสื่อหรือเปล่าเนี่ย” พี่ภูส่ายหน้าเบาๆ เหมือนจะอ่อนใจ จากนั้นเขาก็หันกลับไปขับรถต่อโดยไม่สนใจผมอีก

ถามว่าเข้าใจไหม แน่นอนว่าเข้าใจ เพียงแต่ผมมองกลับกันก็เท่านั้น

ถ้าพูดถึงการไปงานเลี้ยงโดยเฉพาะงานทางธุรกิจ ผมไม่เคยมีความคิดจะไปมานานแล้ว ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายเมื่อสองสามปีก่อนที่ไปกับป๋าแล้วโดนเจ้าของงานมองด้วยสายตาดูถูกและโดนลูกของเขาพูดจาไม่ดีใส่แค่เพราะผมไม่ได้ใส่เสื้อสูทแบรนด์เนมราคาแพง ถ้าไม่ใช่เพราะป๋ามาเจอแล้วบอกว่าเป็นลูกตัวเอง ผมคงโดนลากออกจากงานให้ป๋าขายหน้าแน่ๆ วันนั้นผมของขึ้นถึงกับเดินออกมาก่อนเวลาด้วยซ้ำ ป๋าต้องรีบตามมาโอ๋ให้ใจเย็นแล้วปฏิเสธเรื่องทางธุรกิจเด็ดขาดจนเจ้าของงานหน้าเสีย ซึ่งผมก็ยอมรับว่าค่อนข้างสะใจพอสมควร…แต่ก็นั่นแหละ ยอมรับว่าตอนนั้นผมยังเด็กและสิ่งที่ทำก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกที่ควร พอคิดได้แล้วก็ยอมให้ป๋าคุยงานต่อแล้วรับคำขอโทษแต่โดยดี แต่ก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่อยากไปออกงานไหนอีกแล้ว

ส่วนในกรณีของพี่ภู ถ้าให้ผมทำเพื่อเจ้าของงานเห็นทีคงจะยาก เพราะผมไม่สามารถแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้อยู่แล้ว เพราะงั้นทางเดียวที่ทำได้คือมองหาเหตุผลที่จะทำให้เราเต็มใจทำ

ผมจะยอมทำในสิ่งที่ไม่ชอบ...ไม่ใช่เพื่อคนอื่น แต่เพื่อคนที่ผมแคร์เท่านั้น

“กูมีสูทตัวเล็กอยู่ข้างหลัง ลองหยิบมาใส่ดู”

ก็เป็นซะแบบนี้...แล้วจะไม่ให้ผมชอบเขามากกว่าเดิมได้ยังไงกัน

งานเลี้ยงที่เรามาเข้าร่วมจัดที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งซึ่งมีการ์ดยืนอยู่ด้านหน้างานคอยตรวจสอบบัตรเชิญอย่างเคร่งครัด เท่าที่จำได้ตอนแอบมองชื่องานในโทรศัพท์พี่ภู ดูเหมือนงานนี้จะเป็นงานเครื่องเพชรแบรนด์ใหม่ เป็นงานของชาวต่างชาติที่เพิ่งจะมาเปิดธุรกิจที่ประเทศไทย

“บัตร” การ์ดในชุดสูทกับแว่นดำตามแบบฉบับการ์ดในการ์ตูนแบมือออก ผมได้แต่มองพี่ภูยื่นบัตรให้ตรวจเงียบๆ พร้อมกับสำรวจร่างกายผ่ายผอมของพวกนั้นไปพลางๆ ไม่รู้เดี๋ยวนี้เขาเลือกคนยังไง หุ่นแห้งเป็นไม้จิ้มฟันไปหมด พี่ๆ คนของพ่อยังดูน่าเกรงขามกว่านี้เยอะเลย

“เดี๋ยว”

ผมหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวเข้างานก่อนจะหันหน้าไปตามเสียงเรียกแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะรู้สึกไม่ชอบใจการพูดจาห้วนๆ แบบนี้เป็นที่สุด

“ไม่มีบัตรเข้าไม่ได้”

“หมายความว่าไง”

“บัตรหนึ่งใบต่อหนึ่งคน” ว่าแล้วก็กางมือกั้นไว้ไม่ให้ผมเดินตามพี่ภูเข้าไป

คราวนี้ผมถอนหายใจยาวด้วยความขี้เกียจปิดบัง นึกรังเกียจเสียงและคำพูดนินทาจากคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังขึ้นมาในทันที...เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากออกงาน

“เขามากับผม” พี่ภูเดินกลับมาหา ขมวดคิ้วแล้วกวาดตามองทีเดียวพวกที่จ้องอยู่ก็หลบตากันเป็นแถว

“บัตรหนึ่งใบต่อหนึ่งคน” การ์ดตัวแห้งย้ำคำเดิม

“อืม” พูดจบแค่นั้นเขาก็เดินกลับมาดึงแขนผมให้เดินตามออกไปด้านนอกโดยไม่แคร์สายตาของใครทั้งนั้น อีกทั้งบัตรที่ถือไว้ยังปล่อยลงพื้นอย่างง่ายดาย ไม่สนใจคำว่า VIP ที่ปรากฏอยู่บนนั้นเลยสักนิด

“พี่ภู จะดีเหรอ”

ถึงผมจะดีใจที่เขาดูแคร์กันแต่ก็ยังนึกถึงความจำเป็นที่พี่ภูต้องมางานนี้อยู่ดี แล้วเล่นกลับมาแบบนี้จะไม่แย่เอาเหรอ

“ช่างเถอะ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะพาผมเดินกลับไปยังที่จอดรถ “ที่เชิญก็เพราะรู้จักแล้วเห็นกูอยู่ไทยพอดี ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรมากมายอยู่แล้ว”

“มิสเตอร์เดรค!”

ทั้งผมทั้งพี่ภูชะงักเท้าแล้วหันไปมองเสียงเรียกจากด้านหลังพร้อมกัน ที่ตรงนั้นมีชายชาวต่างชาติวัยกลางคนยืนอยู่ ท่าทางของเขาดูเหนื่อยหอบเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด

“คิดว่าจะไม่ทันแล้ว” เขาเผยรอยยิ้มกว้าง รีบเดินเข้ามาหาแล้วดึงมือพี่ภูไปจับไว้ “ต้องขอโทษจริงๆ ที่เสียมารยาท เชิญเข้าไปในงานก่อนเถอะครับ...คุณเองก็ด้วยนะ”

ผมสบตากับพี่ภู พอเห็นเขาพยักหน้าให้เลยเดินตามหลังไปเงียบๆ ตลอดทางที่เราเดินผ่านมีแต่สายตาจับจ้องมา ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเราได้เดินเข้ามาทางช่องทางพิเศษที่แทบไม่มีคน

ชายชาวต่างชาติที่ดูจะให้เกียรติพี่ภูมากๆ แนะนำตัวให้ผมฟังว่าเขาชื่อปีเตอร์ เป็นเจ้าของงานนี้ ตอนที่กำลังเดินไปรอบๆ เขาบังเอิญได้ยินแขกซุบซิบเรื่องพี่ภูเลยรีบวิ่งตามออกมาพร้อมทั้งขอโทษผมแทนการ์ดพวกนั้นด้วย เพราะจริงๆ แล้วแขกที่จำกัดว่าต้องมีบัตรใบละคนคือแขกทั่วไป แต่แขกวีไอพีแบบพี่ภูเขาจะใช้วิธีเชิญเป็นครอบครัวอยู่แล้ว ผมได้ฟังแล้วก็พยักหน้ารับนิ่งๆ พยายามไม่พูดอะไรเพราะต้องการรักษามารยาทให้ได้มากที่สุด

“รอบๆ งานมีการจัดแสดงเครื่องเพชรชุดใหม่ของผมอยู่ เชิญเดินดูแล้วก็รับประทานอาหารตามสะดวกเลยนะครับ” ปีเตอร์ยิ้มก่อนจะจับมือพี่ภูอีกครั้งแล้วเดินแยกไปหาแขกคนอื่น

“เขาดูเป็นคนดีนะ” ผมกระซิบกับคนข้างๆ ที่ยืนมองชุดเครื่องเพชรในตู้อยู่

“วงการนี้คนใส่หน้ากากเป็นเรื่องปกติ”

“แล้วพี่ไม่เป็นไรเหรอ…” ที่ต้องอยู่กับเรื่องแบบนี้นานๆ...ผมที่ไม่เคยโดนบังคับคงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันแย่ขนาดไหน

“ชิน” พี่ภูตอบแค่นั้นแล้วเงียบไป ร้อนถึงผมที่ต้องพยายามหาเรื่องชวนคุยไม่ให้บรรยากาศแย่ๆ เข้ามาแทนที่

“วันนี้พี่ดูดีมากอ่ะ” ผมยกนิ้วโป้งยืนยันก่อนจะยิ้มแหยให้เมื่อคนฟังหันมามองด้วยสายตาเหมือนมองตัวประหลาด “จริงๆ”

“เหรอ”

ถึงจะทำเหมือนพูดไปเฉยๆ แต่จริงๆ ผมไม่ได้โกหกเลยสักนิด วันนี้พี่ภูดูดีมากจริงๆ...ทั้งผมที่เซตเป็นระเบียบซึ่งผมไม่ได้เห็นมานาน ทั้งชุดสูทสีดำล้วนที่เขาใส่อยู่ ทุกๆ อย่างทำให้เขาดูโดดเด่นจนเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คนที่เดินผ่าน

“เขาอาจจะคิดว่าเด็กนี่เข้ามาทำอะไรในงาน” ผมพูดขำๆ ก่อนจะกวาดตามองสภาพตัวเอง ถึงจะไม่ได้ย่ำแย่อะไรเพราะหน้าดี แต่เสื้อสูทตัวเดียวของพี่ภูก็ไม่ได้ทำให้ผมดูภูมิฐานขึ้นเลย

“เพราะมึงไม่พยายามทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่เองต่างหาก”

“ผมไม่อยากแก่”

“เด็กบ้า”

ไม่อยากแก่ก็ผิด…

ผมใช้เวลาไปกับการเดินตามติดพี่ภูเป็นลูกหมา ดีที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักเขารวมถึงโดนสายตาดุๆ กดดันถึงได้ไม่มีคนกล้าเดินเข้ามาคุยด้วยเท่าไหร่นัก ผมเองก็ไม่สนใจเครื่องเพชรที่จัดโชว์แต่ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปกับการหยิบของกินตามทาง รู้ตัวอีกทีก็เต็มสองมือจนคนที่เดินนำต้องหันมาช่วยถือ

“แล้วบอกไม่ก้อน”

“ก็ไม่ก้อนจริงๆ อ่ะ” ผมขมวดคิ้วมุ่นแล้วก้มมองพุงตัวเองด้วยความกังวล ถึงจะเริ่มรู้สึกว่ากางเกงแน่นแต่ก็ยังไม่ถึงกับล้นออกมา จะว่าไป...วางแพลนออกกำลังกายไว้ตั้งนานแล้วแต่ผมยังไม่ได้เริ่มแบบจริงจังเลย

“กินดีๆ อย่าถือไปถือมา เดี๋ยวตกแตก” พี่ภูทำหน้าดุก่อนจะวางจานของผมลงบนโต๊ะใกล้ๆ

“ไม่อร่อยเลยอ่ะ”

“ก็ไม่ต้องกินแล้ว”

“แต่ผมหิว”

คนฟังถอนหายใจ เขาใช้แรงดึงจานออกไปจากมือผม พอจะยื่นมือไปเอากลับก็โดนเขาเอาหลบไปอีก

ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย...กระต่ายของพี่เวลาโมโหหิวกับโมโหง่วงมันน่ากลัวมากนะ

“เดี๋ยวอีกสักพักออกไปกินข้างนอก ไม่อร่อยก็ไม่ต้องฝืน”

ผมเปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน หน้าตาที่บูดบึ้งกลายเป็นยิ้มกว้างแทน ในขณะที่คนมองหันหน้าหนีเหมือนจะบอกว่าไม่ให้พูดอะไรต่อ และถ้าถามว่าจะทำตามไหม…คำตอบคือไม่

“ดีใจจัง” ผมเดินไปอยู่ข้างๆ แล้วยื่นหน้าไปมองคนหน้าดุที่ก้มลงมองเครื่องเพชรที่จัดแสดงอยู่

“อะไรของมึง”

“เปล่า”

รู้อยู่แก่ใจก็พอว่าเขาแสดงออกว่าแคร์ผมมากกว่าเดิม ท่าทางก็ดูอ่อนลงหลายเท่า ถึงจะยังเป็นพี่ภูคนเดิมอยู่แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าผมเริ่มเจาะกำแพงน้ำแข็งของเขาได้แล้ว แถมท่าทางจะลึกมากขึ้นเรื่อยๆ เสียด้วย

แต่ไม่หรอก...มันยังไม่พอ

เป็นคนที่อยากให้ใช่มันก็น่าดีใจ แต่ถ้าได้เป็นคนที่ใช่...ผมไม่อาจจินตนาการได้เลย...ว่าตัวเองจะมีความสุขขนาดไหน

“มึงคิดยังไงกับเครื่องเพชรชุดนี้” พี่ภูถามขึ้นมาลอยๆ สายตาของเขาจับจ้องตู้เครื่องเพชรอย่างตั้งใจจนผมต้องดึงสติกลับมาที่เดิม ถึงจะรู้สึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยที่เขาดูสนใจเรื่องนี้แต่ผมก็ยังก้มลงมองตาม

ในตู้จัดแสดงที่เขากำลังให้ความสนใจมีเครื่องเพชรชุดหนึ่งจัดแสดงอยู่ มันเป็นเครื่องเพชรครบชุดที่ค่อนข้างสะดุดตา ถ้าเทียบกับตู้อื่นๆ ที่ผมมองผ่านๆ เครื่องเพชรชุดนี้แลดูจะมีความโดดเด่นมากที่สุด แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครสนใจนัก

“ชุดนี้ดีที่สุดในงาน” ผมกวาดตามองอีกครู่เดียวแล้วละสายตาออก “แต่ก็ยังอยู่ในระดับธรรมดา”

“ธรรมดา?”

“โดดเด่นด้วยดีไซน์ก็จริง แต่ก็ยังหาได้ทั่วไป” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเข้าไลน์ที่เคยคุยกับจ๋าทิ้งไว้ พอเจอรูปที่ต้องการก็ส่งให้พี่ภูดู “เหมือนกันไหม”

พี่ภูมองสลับไปมาสักพักเหมือนกำลังพิจารณา จากนั้นก็พยักหน้า

“เหมือนเกือบแปดส่วน”

“นั่นแหละ ผมถึงบอกว่าธรรมดา” ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วยักไหล่ด้วยท่าทางเฉยชาไร้ความสนใจเครื่องเพชรราคาแพงในตู้ “คนในงานนี้ไม่มีความรู้เรื่องเครื่องเพชรเลยด้วยซ้ำ สักแต่มองมูลค่าที่แปะอยู่หน้าตู้”

“อืม”

“แต่พี่ก็เก่งนะที่รู้ว่าตู้นี้ดีที่สุด”

“แม่เลี้ยงกูชอบเครื่องเพชร” พี่ภูตอบเสียงเรียบก่อนจะเลิกสนใจเครื่องเพชร

จะว่าไปเหมือนเฮียเจย์ เลขาพ่อซีก็เคยบอกผมอยู่เหมือนกันว่าแม่...ไม่สิ...แม่เลี้ยงของพี่ภูชอบเครื่องเพชร

อืม...แบบนี้เข้าทางแม่น่าจะสะดวก

“ที่น่าสนใจคือ...ทำไมมึงถึงดูรู้เรื่องเยอะต่างหาก” เขาหรี่ตามองผม “พ่อแม่มึงทำงานอะไร”

ผมทำหน้าเหวอเมื่อรู้สึกเหมือนพี่ภูกดดันให้ตอบ คือเขาทำเหมือนกับผมพยายามปิดบัง ซึ่งมันไม่ใช่เลยสักนิด

“ผมไม่เคยบอกพี่เหรอ...ว่าป๋าเป็นพ่อค้าเพชร”

“...”

 

 

วันนี้เป็นวันที่ดีอีกหนึ่งวัน ผมยิ้มกว้างเหมือนคนบ้าตั้งแต่เช้ายันมืด ยิ่งยามถอดเสื้อสูทแล้วหันไปเห็นคนที่นั่งอยู่บนเตียงก็ยิ่งอารมณ์ดี

ใช่...ตอนนี้พี่ภูอยู่ในห้องผม

หลังจากที่เราขับรถกลับจากงานและแวะกินข้าวข้างทางเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าทางที่เรากลับมันผ่านหอผมพอดี ด้วยความเป็นคนดีระดับสิบและเห็นว่ามันดึกแล้ว ผมเลยทั้งตะล่อม ทั้งหลอกล่อ...หมายถึงชวนให้พี่ภูมาค้างด้วยกัน ตอนแรกเขาก็ทำท่าจะไม่เอา แต่พอโดนสะกิดให้ดูน้ำมันที่ใกล้หมดรวมถึงโดนคะยั้นคะยอสารพัดว่าไม่อยากให้ขับรถคนเดียว สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามที่บอก

‘ผมเป็นห่วง’

น่าจะเป็นคำนี้ที่ทำให้เขายอม แต่จริงๆ ผมพูดไม่หมด ควรจะบอกว่า ผมเป็นห่วง...และผมอยากนอนกับพี่ แบบนี้น่าจะตรงประเด็นกว่า

“พี่ภู” ผมหันไปหาคนที่นั่งบนเตียง ตาเป็นประกายเมื่อนึกอะไรดีๆ ออก “ไปเดินเล่นกันไหม”

“ตอนนี้?” คนที่กำลังกดโทรศัพท์เลิกคิ้วเหมือนจะถามว่ามึงบ้าเหรออะไรแบบนั้น

“ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสแล้ว”

“ทำไม”

ผมไม่ตอบคำถามแต่ดึงมือคนที่ยังอยู่ในชุดสูทเต็มตัวให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะพาเขาเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน จริงๆ ห้องของผมอยู่ชั้นบนสุด ชั้นต่อไปคือชั้นดาดฟ้าที่ไม่มีคน เจ้าของหอบอกว่าเคยเปิดเป็นที่นั่งเล่นให้คนขึ้นไปนั่งชิล แต่พอไม่ค่อยมีคนขึ้นไปเลยไม่ได้บำรุงรักษาแล้วปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น...และที่นั่นคือจุดหมายของผม

ประตูดาดฟ้าที่ไม่ได้เปิดใช้มานานส่งเสียงดังแอดอย่างน่ากลัว จำได้ว่าปีก่อนที่ผมเคยขึ้นมามันยังไม่เป็นขนาดนี้นะ สงสัยว่าจะร้างมากจริงๆ

“ถึงแล้ว”

“ดาดฟ้า?” พี่ภูเปรยเบาๆ ก่อนจะก้าวนำผมไปด้านหน้าแล้วมองบรรยากาศสบายๆ รอบกายด้วยสายตาแปลกใจ

ตอนนี้ดึกมากแล้วก็จริง แต่ด้วยแสงสีอะไรหลายๆ อย่างทำให้ท้องฟ้าและพื้นที่บริเวณนี้ไม่มืดอย่างที่คิด ออกจะดูผ่อนคลายและน่ามองเสียด้วยซ้ำ ผมดึงแขนคนที่ยังยืนนิ่งให้เดินไปริมราวดาดฟ้าก่อนจะพยักพเยิดให้เขาถอดเสื้อสูทออกรับลม ซึ่งคนหน้าดุก็ยอมทำตาม เขาถอดเสื้อตัวนอกพาดไว้ที่บ่า จากนั้นก็ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงมองไปในทิศทางเดียวกับผม

“ปีที่แล้วผมชอบขึ้นมานั่งฟังเพลงคนเดียวที่นี่ แต่พอเริ่มมีกิจกรรมเยอะก็เลยเหนื่อย ถึงหอทีไรหลับเป็นตายตลอด”

“กินๆ นอนๆ มิน่า…”

“พี่นี่!” ผมหน้าตึง อยากจะหันไปตีคนพูดสักที แต่เพราะเป็นเขาเลยทำไม่ได้ ต้องยืนฟึดฟัดอยู่คนเดียวแบบนี้ “เอะอะก็ว่าอ้วนตลอด”

“ยังไม่ได้บอกเลยสักคำ...” พี่ภูยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นมือมาจิ้มแก้มผม “ว่าอ้วน”

“ถ้าไม่ใช่พี่นะ…” ผมหรี่ตามองคนหน้าดุ

“จะทำไม”

“จะเชือดทิ้ง!”

พี่ภูแสร้งทำหน้าตกใจหน่อยๆ เขากวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเอาความมั่นใจที่เคยมีลดหายไปเกือบครึ่ง

“อย่างมึงเนี่ยนะ…”

“กับคนอื่นเขากลัวผมกันทั้งนั้นล่ะ” ผมบอกด้วยความมั่นใจแล้วชูคอขึ้นนิดๆ ให้ดูสูงส่ง แต่ลืมไปว่าชูยังไงก็เตี้ยกว่าเลยได้รับสายตาขบขันตอบกลับมาจากคนมองแทน...เอาซะหดคอแทบไม่ทัน

“เผอิญว่าเป็นกู”

“เผอิญว่าพี่ไม่ใช่คนอื่น” ผมแก้ให้ถูก แต่กลับโดนดึงแก้มไปหนึ่งทีโดยไร้เหตุผล

พี่ภูส่ายหน้าหน่ายๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับวิวตรงหน้าแทน ผมเห็นเขาไล่สายมองตั้งแต่ด้านล่าง ลามไปยังตึกต่างๆ ย่านการค้าที่ห่างออกไป และสิ้นสุดอยู่ที่ท้องฟ้ามืดมิดที่มีแสงจากดวงดาวเป็นประกายสะท้อนลงมา โชคดีแล้วที่ขึ้นมาแล้ววันนี้ท้องฟ้าเปิดทำให้สามารถมองเห็นดวงดาวได้เยอะกว่าปกติ ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสได้มองเห็นใบหน้าผ่อนคลายของเขาอีกเมื่อไหร่

ผมปล่อยให้พี่ภูมองท้องฟ้า ส่วนตัวเองหยิบเรดที่พาดคอไว้ยัดใส่หูแล้วเปิดเพลงคลอเบาๆ แบบที่ชอบทำ จากนั้นก็เท้าแขนไว้กับราวระเบียงแล้วมองออกไปในทิศทางเดียวกับเขา เสียงเพลงที่ดังเบาๆ ในหูกับบรรยากาศตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก สบายใจจนเผลอหลับตาแล้วเงยหน้ารับลมเป็นเวลานาน

มารู้สึกตัว...ก็ตอนที่ใครอีกคนเอื้อมมือมาดึงหูฟังออกไปข้างหนึ่ง

“พี่ภู?”

เขาไม่ตอบแต่ยัดหูฟังข้างนั้นใส่หูตัวเอง ผมที่อึ้งไปตอนแรกหลุดยิ้มออกมาแทบจะทันทีก่อนจะโดนมือใหญ่ของคนที่เหลือบตามองผลักให้หันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง

ความเงียบที่ดำเนินผ่านไปไม่ได้น่าอึดอัดใจเลยสักนิด เพราะนอกจากจะมีเสียงเพลงเบาๆ คลออยู่ในหู ผมยังรับรู้ได้ว่าเรากำลังใกล้กันมากกว่าเดิมด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าเรายืนฟังเพลงกันแบบนั้นอยู่นานเท่าไหร่ แต่จวบจนเพลงสุดท้ายจบลง ความเงียบเข้ามาครอบคลุมแบบสมบูรณ์แบบ เราก็ยังยืนอยู่ที่เดิม…และใส่หูฟังไว้คนละข้างอยู่อย่างนั้น

“ทุกครั้งที่เจอกัน…” พี่ภูพูดขึ้นมาช้าๆ “มึงพาดหูฟังอันนี้ไว้ที่คอตลอด”

“มันชื่อเรด” ผมยิ้มเมื่อนึกถึงตอนที่ได้มันมา “ป๋าซื้อให้ผมตอนวันครบรอบ”

“ครบรอบ?”

“อื้อ...ครบรอบวันตายของไข่อูฐ”

“อะไรนะ” พี่ภูถามย้ำ เขาถอดหูฟังออกแล้วหันมามองหน้า ผมเลยจำต้องถอดตามแล้วหันไปหา “ไข่อูฐ?”

“หมาตัวแรกของผมอ่ะ”

“...”

ผมทำหน้างงเมื่อพี่ภูเงียบไป หน้าตาผ่อนคลายของเขากลับไปตายด้านเหมือนเดิม ท่าทางราวกับได้ยินอะไรแสลงหูสุดๆ ซึ่งผมลองทบทวนตัวเองดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะพูดอะไรผิด

“ไข่อูฐ…” ยังไม่ทันพูดขยายความคนที่ยืนนิ่งก็ยกมือห้าม ผมเลยต้องหุบปากฉับตามคำสั่ง

“ข้ามชื่อนี้ไปที”

“ทำไมอ่ะ...มันมีสตอรี่นะพี่”

“บอกให้ข้ามก็ข้ามเถอะ” พี่ภูกลอกตา ท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่าถ้าผมพูดเรื่องนี้ต่อเขาจะผลักผมตกดาดฟ้าแน่นอน

“ก็...ป๋าซื้อให้เพราะผมเสียใจที่ไข่...ที่หมาตาย ผมเลยมองเรดเป็นเหมือนเพื่อนอีกคน พกไปไหนติดตัวมาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่เจ๊งเลยนะ เจ๋งใช่ไหมล่ะ” ผมยิ้มอวดๆ ด้วยความภูมิใจ

“ก็ไปถามป๋ามึงสิว่าซื้อมาเท่าไหร่…” เขาพึมพำเบาๆ แต่พอเห็นผมตั้งท่าจะถามต่อก็หันหน้าหนีไปอีกทาง

“พี่…”

“เล่าอีก”

“หา”

“เรื่องของมึง…” เขาพูดต่อโดยไม่หันมามอง ในขณะที่ผมได้แต่เบิกตากว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ความตื่นเต้นดีใจวิ่งพล่านอยู่ในอกจนรู้สึกปวดไปหมด

“รอแป๊บ” ผมบอกก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหารูปที่ต้องการแล้วยื่นให้คนข้างๆ ดู

“หมา?”

“หมาผมเอง น่ารักไหม”

“ทำไมเยอะแบบนี้” พี่ภูขมวดคิ้ว เขากวาดตามองโทรศัพท์ผมด้วยความแปลกใจก่อนจะชี้นิ้วไปที่ปอมเมอเรเนียนสีขาวฟูตัวหน้าสุด “ตัวนี้เหมือนกระต่าย...เหมือนมึง”

เดี๋ยวๆ

“มันชื่อฮันโซ” ผมเมินคำพูดพี่ภูแล้วไล่บอกชื่อหมาให้เขาฟังแทน

“ตัวที่เหลือคงไม่ใช่…”

“ชิบะตัวนี้เก็นจิ โกลเด้นตัวนี้แมคครี ฮัสกี้ตัวนี้ดีว่า แล้วก็ร็อตไวเลอร์ตัวสุดท้ายเมอร์ซี่ เท่มะ”

“...”

ผมฉีกยิ้มให้คนที่ยืนทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ อยากจะถามว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่าแต่ก็พอจะเดาได้ สงสัยตกใจที่ผมมีความสามารถในการตั้งชื่อสูงส่ง

“ไม่มีลูซิโอ้เหรอ”

“พี่โคตรรู้ใจผมอ่ะ!” ผมเบิกตากว้าง เปลี่ยนรูปในมือเป็นชิบะแล้วยื่นให้เขาดู “จ๋าส่งมาให้ผมดู บอกว่าเก็นจิกำลังท้อง ผมก็ว่าจะตั้งชื่อลูกมันว่าลูซิโอ้อยู่เลย”

“ชื่อเก็นจิ...แต่ท้อง?”

“ก็ใช่ไงพี่ มีแค่ดีว่ากับเมอร์ซี่ที่เป็นตัวผู้” ผมสลับรูปให้เขาดู แต่พอเงยหน้ามองก็ต้องงงเมื่อพบว่าพี่ภูทำหน้านิ่งเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

“เอาชื่อมาจากเกมแล้วยังเสือกสลับเพศอีก...กูจะด่ามึงว่าอะไรดี”

“เราต้องรู้จักสร้างความแตกต่างไง” ผมหัวเราะเสียงดังด้วยความอารมณ์ดี จำได้ว่าตอนบอกไอ้โซมันก็พูดแบบนี้เหมือนกัน “จ๋าบอกผมว่า ถ้าสิ่งที่เราทำมันแตกต่าง แต่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ทำไปเถอะ”

“กูรู้แล้วว่าไม่ใช่คำสอนของแม่มึงหรอกที่ผิด” พี่ภูพูดหน้าตายก่อนจะยื่นมือมาจิ้มหน้าผากผมแรงๆ จนเกือบหงายหลัง “วิธีคิดมึงนั่นล่ะที่ผิด”

“ทำไมเหมือนโดนด่าเลย”

“ก็ด่าไง”

ผมร้องอ๋อดังๆ แล้วลากเสียงยาวกวนตีนจนโดนมือพิฆาตตบลงมากลางหน้าผากเสียงดัง ลำบากตัวเองต้องยกมือลูบหน้าผากให้หายแสบอีก

“ชอบเล่นแรงอ่ะ”

“แล้วโกรธไหม” คนที่ควรโดนโกรธยกยิ้มน้อยๆ สายตาเป็นประกายแวววาวเหมือนจะถามว่าโกรธลงเหรอ ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของผมคือ…

“ไม่”

ใครจะโกรธลงกัน

พี่ภูหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันออกไปมองด้านนอกอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูอารมณ์ดี สังเกตได้จากรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากของเขา เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมอารมณ์ดีตามไปด้วยแล้ว ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อรู้สึกได้ว่าครั้งนี้ผมสบายใจมากกว่าครั้งก่อนที่เคยขึ้นมาบนนี้เสียอีก บรรยากาศเองก็ดีกว่ามาก…เหมือนทุกอย่างเป็นใจไปหมด

ในระหว่างที่กำลังมองท้องฟ้า อยู่ๆ ก็มีลมหอบใหญ่พัดผ่านเข้ามาจากด้านข้าง ผมรีบหลับตาเพราะกลัวฝุ่นเข้าตา เส้นผมตีหน้าจนยุ่งเหยิงไปหมด แต่ก่อนจะได้ยกมือขึ้นจัดทรง ใครอีกคนก็คว้าไหล่ให้หันไปหาแล้วใช้มืออีกข้างช่วยเกลี่ยผมให้ช้าๆ

“ทำไมถึงทำขนาดนี้”

“หือ”

“ทำไมถึงทำเพื่อกู…”

ผมเงยหน้าสบตาคนถาม จ้องมองดวงตาสีเทาดุที่ดูอ่อนลงหลายส่วนด้วยใจที่เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย คำถามที่เขาถาม ผมเองไม่เคยคิดหาคำตอบ แต่เมื่อได้ยิน...ได้สบตา...ความรู้สึกมากมายกลับล้นทะลักจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาถึงจะตรงกับความรู้สึกจริงๆ มากที่สุด

“กูไม่ได้มีอะไรดีพอ…”

ผมหยุดคำพูดของพี่ภูด้วยการกุมมือของเขาที่ละอยู่ตรงแก้มผมไว้

มาบอกว่าอยากให้เป็นคนที่ใช่ เปิดทางให้กันถึงขนาดนั้น...แล้วทำไมผมต้องทิ้งโอกาสที่ได้มา ที่ไม่พูดถึงไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่เพราะรู้สึกมากเกินไปถึงพยายามไม่นึกถึง กลัวว่าจะไปแสดงอาการน่าอายให้เห็น

"ที่ผมทำทุกอย่าง อยากรู้ไปทุกเรื่อง คอยวนเวียนอยู่ไม่ห่าง มันเป็นเพราะผมอยากอยู่ใกล้พี่...อยากเป็นเหมือนอากาศที่ทำให้พี่สบายใจ”

มองไปทางไหนก็เจอ แค่หลับตาก็ทำให้รู้สึกดี

 “...”

“แย่หน่อยที่ผมเป็นคนโลภมาก เลยไม่อยากเป็นแค่อากาศที่ไร้ตัวตน...”

เพราะคนอย่างผมก็มีความเห็นแก่ตัวไม่ต่างจากคนอื่นๆ…ผมไม่อยากเป็นแค่อากาศที่วนเวียนอยู่รอบกายแต่กลับไร้ซึ่งความสำคัญใดๆ

“...”

ผมกดมือใหญ่นั้นให้แนบแก้มพร้อมกับเอียงคอรับสัมผัสอบอุ่นที่ชื่นชอบ ก่อนจะช้อนตามองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายซึ่งอัดอั้นอยู่ในใจ

“แต่อยากเป็นอากาศที่พี่รู้ว่ามี"

 

-----------------------


TALK : จริงๆ นังก้อนมันไม่ได้อ้วนนะคะ 5555 มีตอนนึงนางบอกแล้วว่านางสูง179หนัก60 คือมันไม่ได้อ้วนเลยนะ พี่ภูแค่แกล้งบ่อยไปนิดจนนางเริ่มไม่แน่ใจเฉยๆ ฮ่าๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2017 14:35:59 โดย CHESS. »

ออฟไลน์ Natsuki-ChaN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: ┌▼Nitrogen ไนโตรเจน▲┘ ==[19]==[P.11]== [18/07/60]
«ตอบ #329 เมื่อ18-07-2017 19:12:32 »

งือออ ตอนท้ายมันน //เขิลม้วนตัวว ///---///
เจ้าก้อนดาเมจมากกก เอามือพี่ภูแนบจับไว้ที่แก้มแล้วช้อนตามอง ช็อตนี้ข้าตายแล้วว  :jul1:
เจ้าก้อนรวยกว่าที่คิดนะเนี่ย มานั่งคิดๆดูแล้วเจ้าก้อนก็ดูเหมือนลูกคุณหนูจริงๆแหะ
ชักอยากรู้แล้วซิว่าป๋ากับจ๋าเลี้ยงมายังไง  :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2017 20:08:27 โดย Natsuki-ChaN »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด