♧♣Touch Love♣♧ สัมผัสรัก ด้วยหัวใจ {♧สัมผัส{❤}ส่งท้าย♣+แจ้งข่าว}13/01/61 P.16 จบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♧♣Touch Love♣♧ สัมผัสรัก ด้วยหัวใจ {♧สัมผัส{❤}ส่งท้าย♣+แจ้งข่าว}13/01/61 P.16 จบ  (อ่าน 151135 ครั้ง)

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2

ออฟไลน์ DREAM COME TRUE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 379
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
สนุกมากกกก
ติดเลยตอนนี้ หยุดอ่านไม่ได้ ชอบแพนอะ

ออฟไลน์ PingPong_Hunlay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
พึ่งหลงเข้ามาอ่าน น่ารักทั้งคู่เลยยยยย
ชอบฉากนั่งตักมากกกก เป็นอะไรที่ฟินนน
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด มาอัพต่อเถอะ พรีสสส จะลงแดงแล้ว555

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
เปย์หนักมาก อย่างว่าแหละแพนน่ารักขนาดนี้จะไม่เปย์ได้ยังไง :katai2-1:

ออฟไลน์ inspirer_bear

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-5
ตินสายเปย์  เปย์หนักมากบอกเลย

ออฟไลน์ КίmY

  • BJYX♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-3
โอ้ยย พี่ตินสายเปย์อย่างแท้จิง  :hao7:
ป๋าขา สนใจรับเลี้ยงอีกสักคนไหมค่ะ  :laugh:

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สัมผัส{❤}ครั้งที่12



ตั้งแต่วันที่บัตรทองนั่นมาอยู่ในมือเทพแห่งการกิน เอ้ย เทพแห่งพฤกษาอย่างผมก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว จำนวนเงินที่ใช้จ่ายไปในแต่ละวันนั้นคงไม่ใช่ถูกเพราะร้านอาหารนับสิบๆร้านที่เรียงรายอยู่เรียกความอยากอาหารขึ้นมาทันทีที่เห็น


“ขอไอศกรีมรสชาเขียวโคนนึงครับ”ผมชะโงกหน้าไปสั่งไอศกรีม ณ ร้านแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณทางเดินของชั้น6โซนอาหารแห่งนี้
ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆที่มีพนักงานแค่สองคนเท่านั้น ตอนแรกที่เดินผ่านก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากถัดออกไปอีกหน่อยก็มีร้านไอศกรีมขนาดใหญ่เปิดอยู่ติดกันหลายร้าน


ครั้งแรกที่ผมตัดสินใจซื้อคือเมื่ออาทิตย์ก่อน...ไอศกรีมชาเขียวสูงเกือบไม้บรรทัดถูกยกส่งให้ลูกค้าคนหนึ่งที่รออยู่ ขนาดของไอศกรีมที่ไม่ธรรมดาทำเอาผมตารุกวาวด้วยความสนใจจึงได้ลองเข้าไปสั่งบ้าง...แต่แล้วรสชาติของมันที่ได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรกก็ทำให้ผมตกเป็นทาสอย่างทุกวันนี้


“ได้เลยครับ...มาทุกวันเลยนะครับ”พนักงานชายคนที่เป็นเจ้าของร้านพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนจะหันหลังไปหยิบโคนสีน้ำอ่อนตรงไปยังเครื่องทำไอศกรีมหลากรสชาติ เนื้อไอศกรีมชาเขียวที่ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆนั้นเรียกความอยากอาหารออกมาได้จนสุด


“ขอสูงๆนะครับ”ผมเอ่ยบอกเจ้าของร้าน


“คิก...ครับๆ...เห็นว่าอุดหนุนทุกวันหรอกนะ”เขาหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเพิ่มความสูงของไอศกรีมชาเขียวมากขึ้นกว่าที่ขายเป็นประจำเล็กน้อย


“ขอบคุณนะครับ”ผมพูดพร้อมกับรับไอศกรีมโคนรสชาเขียวมาชิมรสชาติเหมือนอย่างเคย อีกมือที่ว่างก็หยิบแบงค์ที่ตินให้ไว้ส่งไปให้เจ้าของร้านตรงหน้าที่ยืนยิ้มอยู่ ความจริงจะใช้บัตรก็ได้แต่ของราคาไม่เท่าไหร่ผมไม่อยากเสียเวลารูด อีกอย่างตินก็ให้เงินผมมาเยอะถ้าไม่ใช้เลยก็กลัวจะไปทำตกหายเข้าสักวัน


“ดูจะชอบมากนะครับ”


“อย่าใช้คำว่าชอบมากเลย...ใช้คำว่าชอบที่สุดดีกว่า ชาเขียวนี่รสชาติเหมือนของญี่ปุ่นเลย”เลียไปได้สักพักก็หันมาตอบอีกฝ่าย


“ก็เราใช้ชาเขียวของประเทศญี่ปุ่นนี่ครับ...นำเข้ามาเลยด้วย”เขาอธิบายแล้วยื่นเงินทอนมาให้ผม


“ว่าแล้วเชียว รสชาติเหมือนที่เคยกินเลย”


“คุณเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นเหรอครับ?”


“ผมมาจากญี่ปุ่นน่ะ”ผมบอกไปตามตรง


“อ้อ...ก็ว่าอยู่ คุณดูไม่เหมือนคนไทยเท่าไหร่”เขาพึมพำพลางใช้สายตามองมายังผมที่กำลังกินไอศกรีมรสชาเขียว


“พี่ชาย...อย่าจีบลูกค้าสิคะ”เสียงหวานของน้องสาวเจ้าของร้านดังขึ้นพร้อมกับยกถาดสีเงินตีเข้าที่หลังคนที่ได้ชื่อว่าพี่ชายเบาๆ


“จีบที่ไหน...เปล่าสักหน่อย”คนถูกกล่าวหาหันไปพูดกับน้องสาว


ร้านนี้อย่างที่บอกไปว่ามีพนักงานแค่สองคนซึ่งก็คือพี่น้องคู่นี้...แม้คนพี่จะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของร้านแต่ความจริงที่เห็นอยู่ทุกวันนั้นทำให้รู้น้องสาวต่างหากที่ดูเหมือนเป็นเจ้าของร้านมากกว่า เธอทั้งคอยเตรียมวัตถุดิบ ทำความสะอาดร้านและยังคอยช่วยพี่ชายที่มักจะซุ่มซ่ามอยู่เสมอ


“เห็นมองไม่ละสายตาเลยนี่”เธอยังคงพูดต่อ


“โหย...ขอมองหน่อยไม่ได้เหรอ”


“ไม่ต้องมาขอหนู...ไปของพี่เขานู่น”พูดจบก็ส่งสายตามายังผมที่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย


“ครับๆ...ขอโทษที่อาจเสียมารยาทนะครับ”เจ้าของร้านหันมาขอโทษผม


“ไม่เป็นครับ...ผมไม่ถือ”แค่ถูกมองไม่ใช่เรื่องที่ต้องโกรธอะไรเลย ตรงกันข้ามการที่ถูกมองแปลว่าผมคงจะดูดีมากแน่ๆ


“งั้นไว้เจอกันใหม่นะครับ”เขายืนโบกมือบ๊ายบายผมที่ก้าวออกจากร้านมาก่อนจะถูกน้องสาวใช้ถาดตบเอาอีกรอบ


“คิก”ผมหลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพนั้น ถึงน้องสาวจะบอกว่าเขาจีบแต่ที่ผมมองคิดว่าไม่ใช่...สายตาที่มองมาอาจจะดูเหมือนหยอดแต่ก็แฝงไปด้วยประกายของความขี้เล่น


ความจริงจะยังไงก็ได้ ถ้าเขาให้ไอศกรีมชาเขียวผมเยอะจะให้ผมยืนให้เขามองสัก10นาทีก็ยังได้


ผมในชุดเสื้อคอวีสีน้ำเงินกับกางเกงสามส่วนสีดำเดินไปเรื่อยๆตามทางเดินของห้าง...ตั้งแต่วันที่ตินซื้อ ไม่สิ ดูจากจำนวนควรจะใช้คำว่าเหมาเสื้อผ้าจากร้านมาผมก็ต้องใส่เสื้อผ้าพวกนั้นทุกวัน โชคดีที่ตินไม่ได้ซื้อมาแค่พวกเสื้อเชิ้ตที่นอกจากจะติดกระดุมยากแล้วยังทำให้ผมดูเหมือนเด็กที่ต้องคอยให้ตินมาจัดเสื้อให้ทุกครั้งไป


ก็ยอบรับว่าพวกเสื้อเชิ้ตทำให้ผมดูดีขึ้นแต่ก็ไม่อยากใส่ทุกวัน ทุกวันนี้ผมเลยเลือกชุดลำลองสบายๆใส่มาแทน...เสื้อบางตัวก็มีฮู้ดอยู่ข้างหลังใช้กันแดดได้ถูกใจผมมากเลย ตินเองก็คงเห็นว่าผมถูกใจวันต่อมาเลยจัดการซื้อมาให้อีกโดยที่ผมไม่รู้ตัว


ถึงจะบ่นและบอกให้เอาไปคืนคนฟังก็เอาแต่หูทวนลมจนผมต้องปล่อยเลยตามเลย


แต่ยังไงผมก็ยังชอบยูกาตะมากกว่าบางครั้งเลยใส่ยูกาตะมาเดินห้างให้เป็นสนใจของผู้บ้างเป็นบางครั้งซึ่งตินเองก็เคยบอกอยู่ว่าผมเหมาะกับชุดยูกาตะมากกว่าเพียงแต่ชุดนั่นไม่เหมาะมาเดินใส่ยังประเทศนี้เท่านั้นเอง


แต่ใส่บ่อยๆเดี๋ยวคนที่นี่คงชินละมั้ง


ไอศกรีมชาเขียวที่อยู่ในมือหายวับลงท้องไปในเวลาไม่ถึง10นาทีพร้อมกับดวงตาสีเขียวอ่อนของผมที่หยุดลงที่ป้ายชื่อร้านสั้นๆแต่อ่านค่อนข้างอยากเพราะเป็นภาษาอังกฤษรึเปล่า?


“คะ...บับ?”ผมออกเสียงตามที่นึกได้ก่อนที่คิ้วทั้งสองข้างจะค่อยๆขมวดเข้าหากันเพราะคิดว่าสิ่งที่อ่านไม่น่าจะถูกต้อง


ตัวอักษรแค่ห้าตัวทำไมอ่านยากแบบนี้เนี่ย


‘Kebab’


นั่นคือชื่อของร้านตรงหน้าที่ทำให้ผมต้องยืนขมวดคิ้วเพราะไม่รู้ว่ามันอ่านว่ายังไง


“ยินดีต้อนรับค่ะ”ยืนอยู่ได้ไม่นานพนังงานสาวก็ออกมาตอนรับด้วยรอยยิ้ม


“ครับ...”ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆเดินตามพนักงานเข้าไปในร้านที่ถูกตกแต่งด้วยสีดำดูอึมครึมแต่กลับดูเรียบหรูขึ้นเพราะทั้งโต๊ะหรือเก้าอี้ล้วนเป็นสีเงินทั้งหมด


“นี่เมนูของร้านนะคะ...วันนี้มีเนื้อแกะพึ่งส่งตรงมาจากออสเตเรียด้วยนะคะ จะรับเป็นเคบับเนื้อแกะไหมคะ”พนักงานแนะนำเมนูด้วยรอยยิ้ม


“เคบับ?”หมายความว่าชื่อร้านคือเคบับสินะ


ผมเปิดดูเมนูที่เต็มไปด้วยอาหารแบบเดียวกันแต่แตกต่างกันที่ไส้ด้วยความสนใจ นอกจากเนื้อแกะที่ทางร้านแนะนำยังมีทั้งเนื้อหมู ไก่หรือแม้แต่เนื้อวัวด้วย อีกทั้งยังมีแยกเป็นส่วนๆอย่างสันนอก สันใน เนื้อน่อง โคนขาและอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน


“ขอเคบับแกะละกันครับ”ผมสั่งเมนูทางพนักงานแนะนำ


“ไม่ทราบว่าจะรับเป็นส่วนไหนดีคะ?”เธอถามต่อ


“...สันในก็ได้ครับ”ผมตอบก่อนที่พนักงานจะทวนรายการแล้วเดินจากไป


ไม่นานอาหารที่สั่งก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ขนาดที่ดูใหญ่กว่าในรูปที่เห็นและกลิ่นหอมของเนื้อแกะและเครื่องเทศที่ผสมอยู่เรียกความอยากอาหารให้กลับมาอีกครั้ง


“อื้ม...อร่อย”ผมแทบจะตะโกนออกมาเมื่อสัมผัสถึงรสชาติของผักนานชนิดกับเนื้อแกะที่เข้ากันได้ดีกันแป้งเหนียวนุ่มที่พันอยู่รอบๆ


อร่อยมาก


อร่อยสุดๆ


ดวงตาสีเขียวอ่อนของผมเปล่งประกายด้วยความสุขยามได้กินของอร่อย พอกินชิ้นแรกหมดผมก็หันไปสั่งพนักงานอีกชิ้นแต่เปลี่ยนเป็นเนื้ออย่างอื่นบ้าง


ระหว่างที่จัดการเคบับชิ้นที่สองผมก็ยกนาฬิกาเรือนเงินขึ้นมาดู ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมงแล้ว...ภาพของตินที่ยังคงนั่งทำงานอยู่ภายในห้องผุดเข้ามาในหัว


“...คงไม่ได้นั่งทำงานโดยลืมกินมื้อกลางวันอีกแล้วหรอกนะ”ผมพึมพำเสียงเบาออกมา


คนอะไรเวลาทำงานก็มีสมาธิซะจนไม่กินข้าวกินปลา


“น้องครับ...ผมขอเคบับสันในกวาง2ชิ้นห่อกลับบ้านด้วย”ผมหันไปตะโกนบอกพนักงานที่อยู่ไม่ไกล


หลังจากคิดเงินเสร็จผมก็เดินออกมาพร้อมกับหิ้วถุงที่มีกล่องพลาสติกวางซ้อนกันอยู่สองกล่องออกมาตรงขึ้นไปยังด้านบนของห้างในส่วนของสำนักงานที่ตินอยู่


พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เห็นผมก็ทำความเคารพก่อนจะปล่อยให้ผมขึ้นลิฟต์ไป ในวันแรกที่ผมมาคนเดียวจำได้เลยว่าถูกกันตัวไว้ไม่ให้ขึ้นไปหาติน...ด้วยความที่ไม่มีใครที่รู้จักแถมโทรศัพท์ก็ไม่มีผมเลยได้แต่อธิบายให้เขาเข้าใจแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล สุดท้ายผมก็ต้องเดินคอตกไปยังบันไดหนีไฟก่อนจะกลับไปอยู่ในร่างเทพลอยขึ้นไปหาตินพร้อมบอกเรื่องนี้


ไม่รู้ว่าตินไปทำอะไรวันต่อมาที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเห็นผมก็ทำความเคารพและขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นคราวก่อน ผมก็ได้แต่พยักหน้างงๆแล้วขึ้นไปหาติน


ความจริงก็ไม่ใช่แค่พนักงานรักษาความปลอดภัยหรอกที่สงสัยว่าผมเป็นใคร เหล่าพนักงานที่อยู่ในออฟฟิชเองก็มองมายังผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแต่เพราะพวกเขาเคยเห็นตินพาผมมาเลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้โดยไม่ถามอะไร


ซึ่งก็ดีแล้ว...ถ้าถามมาผมก็คงต้องบอกว่าเป็นแฟนตินอีก


ทำแบบนั้นเดี๋ยวสาวๆจะเฉาตายกันพอดี


ระหว่างที่เดินไปยังห้องตินผมก็เอ่ยทักทายคนที่ทำงานอยู่ในออฟฟิช...ทุกคนที่เห็นผมทักทายก็ทักทายตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน


แกร็ก


“ติน”ผมเปิดประตูพร้อมกับเรียกคนด้านในทันทีโดยไม่เคาะประตูเหมือนอย่างที่คนอื่นทำ


ภายในห้องทำงานยังคงมีสภาพเหมือนทุกครั้งที่เข้ามา สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือแฟ้มเอกสารที่น้อยลงจนเหลือเพียงแค่เล่มเดียวในมือของตินที่กำลังเปิดอยู่


“ติน”ผมก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้นเมื่อคนตรงหน้ายังไม่มีท่าว่าจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของผม


“นี่...ติน”ครั้งนี้ผมเรียกโดยที่ยกนิ้วขึ้นมาจิ้มแก้มขาวๆนั่นเล่น


“...ไปนั่งรอที่โซฟาก่อน ฉันไม่มีเวลามาเล่นด้วยหรอกนะ”ตินตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกมาจากแฟ้มเอกสารตรงหน้า


“ผมไม่ได้มาเล่นสักหน่อย...นี่คุณกินมื้อกลางวันรึยัง?”


“...กินแล้ว”


“ไม่เชื่อ”ผมสวนกลับรวดเร็วจนดวงตาสีฟ้าคมๆต้องเงยขึ้นมามอง


“อะไรที่ทำให้คิดแบบนั้น?”


“ก็คุณเคยกินมื้อกลางวันที่ไหนกัน...ยิ่งโกหกผมก็ยิ่งเป็นห่วงนะรู้ไหม”ผมบอกออกไปตามตรง


แค่มองก็รู้แล้วว่าตินโกหกเพื่อให้ผมไม่ต้องมาคอยห่วง


“...ฉันแค่ไม่หิว”สุดท้ายคำตอบเดิมๆก็ดังขึ้น


“ผมมีมื้อกลางวันมาฝากด้วย”ผมพูดแล้ววางถุงที่มีกล่องพลาสติกใส่เคบับไว้ตรงหน้าติน


“อะไร?”ตินละสายตาจากผมไปมองถุงบนโต๊ะ


“เคบับน่ะ...ผมพึ่งเคยกินครั้งแรก อร่อยมากๆเลยซื้อมาฝากติน”


ผมเริ่มยิ้มออกเมื่อตินวางแฟ้มเอกสารในมือลงแล้วหยิบกล่องใส่เคบับออกมามองแต่แล้วสายตาของตินกลับจ้องไปยังกล่องเคบับอีกกล่องที่วางอยู่ในถุง...


“สองชิ้น?”ตินเงยหน้าขึ้นมาถาม


“เอ่อ...นั่นน่ะ...”จะบอกว่าไงดีล่ะ


“นายกินแล้วแปลว่า...ให้ฉันสองชิ้นสินะ”ตินยกยิ้มขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของผมก่อนจะหยิบกล่องใส่เคบับอีกอันขึ้นมาแล้วเปิดออก


“...”ผมได้แต่ยืนมองเคบับสันในกวางค่อยถูกกินไปทีละน้อยด้วยความอยากกิน เส้นผมสีเขียวเข้มที่ถูกมัดรวบไปด้านหลังส่ายไปมาเล็กน้อยเพราะผมสะบัดหัวไล่ความอยากที่มีออกไป


ได้เห็นตินกินได้เยอะผมก็ควรจะดีใจไม่ใช่มาอยากกินทั้งที่พึ่งกินหมดไปสองชิ้นแบบนี้


“หึ...น้ำลายไหลแล้ว”


“อุ๊บ...”มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาปิดเช็ดปากทันทีที่ได้ยิน


“อยากกินก็บอกสิ”


“ตินกินเถอะ...ผมกินมาแล้ว”ผมบอกไปตรงๆ


“กินมาแล้วแต่ก็ทำหน้าอยากกินอีก”


“ก็มันน่ากินนี่นา...อร่อยไหม”ผมถามออกไป


“อืม...ใช้ได้...เอาไปสิ”ตินหยิบเคบับอีกกล่องที่ยังไม่ได้กินมาให้


“ตินกินเถอะ...แค่ชิ้นเดียวคงไม่อิ่มเท่าไหร่”


“รองท้องแค่นี้ก็พอแล้ว”


“รองท้อง?”


“ทำงานเสร็จจะพาไปกินบุฟเฟ่”


“บุฟเฟ่?...หมายถึงร้านที่กินเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีอั้นน่ะเหรอ!”จำได้ว่าเคยเห็นอยู่หลายร้านเหมือนกันแต่ยังไม่เคยเข้าไปสักครั้ง


นี่ตินจะพาผมไปที่นั่น


“ใช่...เพราะงั้นเอาไปกินแล้วนั่งรอเงียบๆ...เข้าใจนะว่าห้ามกวน”


“ได้เลย”ผมแทบจะยกมือขึ้นแนบหัวตามแบบทหารด้วยซ้ำ


บุฟเฟ่ๆ


ในหัวผมมีแต่คำว่าบุฟเฟ่อยู่เต็มไปหมด ระหว่างที่คิดว่าร้านบุฟเฟ่ที่ตินพาไปจะเป็นร้านไหนเคบับในมือก็หมดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้


โซฟาตัวเดินถูกผมเอนตัวลงนอนโดยหันหน้าไปมองตินที่เปิดแฟ้มเอกสารอันสุดท้ายออกพร้อมกับมือที่ขยับปากกาไปมาอย่างคล่องแคล่ว เวลาตินทำงานนี่ให้บรรยากาศแตกต่างกับตอนไม่ทำงานอย่างชัดเจน


คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้ากันแน่นเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างมากกับเนื้อหาภายในแฟ้ม ปากกาในมือก็ถูกเคาะเป็นจังหวะจนเหมือนเป็นนิสัยไปแล้ว


ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงในที่สุดแฟ้มเอกสารที่อยู่ในมือก็ถูกปิดและวางลง โดยปกติตินใช้เวลากับแฟ้มเอกสารแต่ละอันไม่เคยถึงชั่วโมงแต่ครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าปกติแปลว่าคงมีเรื่องคิดเยอะเป็นแน่


“ไม่ไหวไปกินกันวันอื่นก็ได้นะติน”ผมบอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเหนื่อยมากกว่าปกติ


“ไม่อยากกิน?”ตินลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหา


“อยากกินสิ...แต่คุณดูเหนื่อยๆ ถ้าเป็นลมขึ้นมาผมแบกไม่ไหวหรอกนะ”ผมพูดติดตลก


“เป็นเทพนี่...ไม่ถึงร้อยกิโลหรอกน่า”ตินกวนกลับ


“แค่50โลผมก็ขอบายแล้ว”ไม่ต้องให้ถึง100กิโลหรอก ด้วยพละกำลังที่มีแค่จะอุ้มผู้หญิงสักคนยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าใช้พลังช่วยก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะอุ้มใครแม้แต่ตินก็ตาม จะว่าไปก่อนหน้านี้ผมเคยบอกว่าจะอุ้มตินด้วยนี่นะ แค่นึกถึงใบหน้าของตินตอนนั้นก็อยากจะขำออกมาดังๆ


“อ่อนแอ”


“ผมได้ยินนะ”ไม่ต้องมาเบนหน้าหนีเลย


“สรุปจะไปไหม?”ตินถามย้ำอีกรอบ


“แน่ใจนะว่าไหว”ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาตินที่พยายามไม่แสดงออกว่าเหนื่อย


“ไหวน่า...ไม่ได้อ่อนแอเหมือนเทพแถวนี้หรอก”


“ไหนๆ...เทพอยู่ไหน...ผมมองไม่เห็นอะไรเลย”คำกวนของตินถูกย้อนกลับไปด้วยฝีมือผม ในเมื่อตอนนี้ผมอยู่ในร่างมนุษย์คำดูถูกนั่นผมไม่รับมาให้หนักหรอกนะ


“กวนเก่งนะ”ตินวางมือลงบนเส้นผมสีเขียวเข้มก่อนจะออกแรงขยี้แรงๆ


“โอ้ย...ไม่เอาแบบนี้สิ ผมเสียทรงหมด”ผมปัดมือที่ขยี้เส้นผมตัวเองออกไปแต่เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมให้ทำได้ง่ายๆเลยเกิดการต่อสู้เล็กๆขึ้น


ตินใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ปัดมือผมที่หมายจะจับมือเขาไว้ออกมา นั่นทำให้ผมเตรียมจะก้าวถอยหลังเพื่อหนีแต่กลับถูกมือข้างเดิมคว้าเอวก่อนจะกระชับเข้าไปใกล้มากขึ้นโดยมืออีกข้างก็ยังคงขยี้เส้นผมสีเขียวเข้มจนฟูไปหมด



(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อค่า)


“ติน...พอสักที...บอกให้พอไง”เมื่อหนีก็ไม่ ปัดป้องก็ไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจใช้หัวตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายขยี้เล่นแทนมือชนเข้ายังอกตินเต็มแรง


“...เจ็บ...”


ดูเหมือนว่าจะได้ผลสินะ


“ขอเอาคืนบ้างละกัน”ผมพูดเสียงเหี้ยมพร้อมกับกระโดดขึ้นใช้มือสองข้างขยี้เส้นผมสีดำสนิทของตินจนฟูฟ่องยิ่งกว่ารังนกด้วยความสะใจ


“แพน...หยุด...เฮ้ย...”ระหว่างที่ตินหนีและผมขยับตามไปขาของพวกเราก็พันกันไปมาจนสุดท้ายก็ล้มลงไปบนพื้นพร้อมกัน แต่ผมไม่รู้สึกเจ็บอะไรเพราะมีตินเป็นเบาะรองรับตัวผมเอาไว้


“ติน...เป็นอะไรไหม”ผมรีบถามแล้วช่วยพยุงให้ตินลุกขึ้นนั่งช้าๆ


“เจ็บ...เล่นอะไรเนี่ย?”พูดจบก็หันมามองผมเคืองๆ


“คนที่เล่นก่อนคือตินนะ...เจ็บตรงไหน”ผมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง


“เจ็บหัวนิดหน่อย”


“ขอผมดูหน่อยนะ”พูดจบก็ขยับไปด้านหลังเพื่อดูว่าตรงไหนที่ตินเจ็บ มือของผมค่อยๆไล่ไปตามศีรษะเรื่อยๆจนถึงบริเวณที่นูนกว่าตรงอื่นเล็กน้อย และพอผมสัมผัสมัน...


“อึก...”ร่างกายของตินที่สะดุ้งเล็กน้อยนั้นทำให้ผมรู้ว่าเป็นตรงนี้เองที่เจ็บ


“ขอผมรักษานะ”ผมบอกแล้วเริ่มหลับตาลงโดยไม่สนเสียงค้านของติน แสงสีเขียวอ่อนส่องสว่างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหายไปในเวลาไม่ถึงนาที เพียงแค่นี้บริเวณที่นูนขึ้นก็หายสนิท


“ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”ตินบอกก่อนจะยกมือขึ้นลูบบริเวณที่ผมรักษา


“ผมไม่อยากเห็นตินเจ็บนี่...”มันรู้สึกใจไม่ดีเท่าไหร่


“แพน...”


“ตินไม่ต้องกังวลอะไรหรอกนะ...ผมมีพลังที่สามารถช่วยคุณได้ผมจึงไม่ลังเลที่จะช่วย...อีกอย่างมันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลย”แค่รักษาบาดแผลเอง


“พลังพอที่จะอยู่ในร่างมนุษย์ใช่ไหม”ตินหันหน้ามาถาม


“อืม...ตอนนี้ผมชินกับการปรากฏตัวแล้ว เรื่องพลังไม่มีปัญหา”


“ก็ดี...แต่คราวหน้าไม่ต้องรักษาเข้าใจนะ”ดวงตาสีฟ้าที่จ้องมานั้นดูจริงจังกว่าที่เคย


“ทำไมล่ะ”


“เก็บพลังของนายไว้เถอะ...มาช่วยมนุษย์บ่อยๆไม่โดนลงโทษรึไง”


“ไม่หรอก...เทพอย่างพวกเรามีสิทธิ์ที่จะช่วยใครก็ได้ตามที่ต้องการ...ดังนั้นการที่ผมเลือกจะช่วยตินก็เป็นสิทธิ์ของผมเอง”


“ที่รักษาให้เพราะอยากไปกินบุฟเฟ่สินะ”ตินเปลี่ยนเรื่องก่อนจะลุกขึ้นยืน


“เปล่าสักหน่อย”...ถึงจะมีส่วนก็เถอะ


“ไปกินกัน”


“ขอบคุณนะติน!”ผมตะโกนไล่หลังตินที่เดินออกไป


“...คนที่ต้องขอบคุณ...คือฉัน”ตินหยุดเดินแล้วหันมาบอกด้วยเสียงนิ่ง แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาก่อนจะวิ่งตามแผ่นหลังนั้นไปจนถึงชั้น8ซึ่งเป็นหนึ่งในโซนอาหารของห้างสรรพสินค้าแห่งนี้และเป็นชั้นที่ผมมาบ่อยเพราะ...


“มาซื้อชาเขียวอีกรอบเหรอครับ”เจ้าของร้านไอศกรีมที่ผมมากินทุกวันเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างทุกครั้ง


“ผมกำลังจะไปกินบุฟเฟ่น่ะ...แต่กินไอศกรีมก่อนก็ดีเหมือนกัน...ขอแบบเดิมนะครับ”ผมหันไปบอกเจ้าของร้านด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปมองตินที่หยุดเดินแล้วเลิกคิ้วมองมาทางผม


“ได้ครับ”เจ้าของรับหันไปหยิบโคนแล้วเริ่มใส่เนื้อไอศกรีมสีเขียวน่ากินลงไปช้าๆ


“ขอเยอะๆนะครับ”ผมพูดเหมือนอย่างทุกครั้ง


“ครับๆ...แต่ต้องแลกกับให้ผมมองคุณนะ”ทำเสร็จไอศกรีมชาเขียวสูงลิ่วก็ถูกส่งมาให้ผม


“ก็มองอยู่ทุกครั้งนี่”รสชิตของชาเขียวนี่อร่อยจริงๆ


“ฮะฮะ...นั่นสิครับ...ว่าแต่มาที่นี่ทุกวันมีแฟนทำงานอยู่นี่เหรอครับ?”คำถามที่ได้ยินทำเอาผมสะอึกเล็กน้อย


“...แฮะๆ”ผมไม่ตอบอะไรแต่ส่งยิ้มไปให้แทน


“แพน!”เสียงของตินไม่ได้เรียกให้ผมหันไปเท่านั้นแต่คนอื่นที่อยู่รอบๆก็ไปมองเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้แต่เจ้าของร้านไอศกรีม


ไม่หันไปมองคงแปลกล่ะก็เล่นตะโกนซะดังแถมยังทำเสียงไม่พอใจอีก


ทั้งที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับแต่ก็ยังมีผู้หญิงหลายคนส่งเสียงกรี๊ด


“...คนคนนั้น...หรือว่า...”เจ้าของร้านมองไปยังตินแล้วพึมพำด้วยใบหน้าที่ค่อยๆซีดลง


“ตะโกนทำไมล่ะติน...คนอื่นมองกันหมดแล้วเนี่ย”ผมหันไปบ่นคนที่ก้าวเข้ามาหาด้วยใบหน้าตึงๆ


“จะไปกินบุฟเฟ่ไม่ใช่...มากินไอติมแบบนี้เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”


“ไม่ปวดหรอกน่า...เจ้านี้อร่อยนะ...ลองไหม”ถามเสร็จก็ยกไอศกรีมสีเขียวที่มีร่องลอยถูกเลียไปตรงหน้าติน


ก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างตินไม่มีทางกินพวกของหวานหรอกก็แค่ถามไปอย่างนั้น...


“เอาสิ”


“ห๊ะ?”ผมถึงกับอึ้งเมื่อเห็นตินก้มลงมาเล็กน้อยแล้วเลียไอศกรีมบริเวณเดียวกับที่ผมกินไปแล้ว


ทั้งที่อยู่ให้ห้างขนาดใหญ่ที่เปิดเครื่องปรับเย็นเฉียบแต่ใบหน้ากลับรู้สึกร้อนขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ


“...ใช้ได้นี่”ตินเลียปากตัวเองเบาๆก่อนจะตอบกลับมาด้วยสายตาที่เป็นประกาย เหล่าผู้คนที่มองอยู่ถึงกับอ้าปากค้างไม่เว้นแม้แต่ผม


“...เอ่อ...คุณคนาธิป...”เจ้าของร้านดูเหมือนจะรู้จักตินแฮะ


แต่ทำไมต้องทำหน้ากลัวขนาดนั้นด้วยล่ะ


“จะจีบลูกค้าฉันก็ไม่ได้ห้ามหรอกนะ...แต่คนนี้ไม่ได้...เพราะอะไรคงไม่ต้องบอกใช่ไหม”ตินพูดกับเจ้าของร้านที่ดูเหมือนตัวเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ


“คะ...ครับ...ขอโทษด้วยครับ”


“ไปกันได้แล้วแพน”บอกเสร็จก็คว้าแขนผมเดินออกมาจากบริเวณที่มีคนมุงทันที


พอผ่านช่วงที่มีคนมุงไปตินก็ปล่อยแขนที่จับไว้แล้วเดินนำไปเหมือนอย่างก่อนหน้านี้เพียงแต่บรรยากาศที่แผ่ออกมานั้นไม่เหมือนเดิม ผมได้แต่จัดการไอศกรีมตรงหน้าแล้วลอบมองตินเป็นระยะๆ


“ติน...โกรธอะไร”ผมเร่งเท้าให้ไปเดินขนาบก่อนจะหันไปถามตามตรง


“ไม่ได้โกรธ”ตินตอบทันที


“งั้นไม่พอใจอะไร”ผมยังคงถามต่อ


กึก!


ร่างของตินหยุดเดินทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่มองมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก จากที่มองก็รู้ว่าตินไม่พอใจกับอะไรสักอย่างจะบอกว่าเป็นเพราะผมซื้อไอศกรีมก็คงไม่ใช่


“รู้ไหมว่าหมอนั่นจีบนายอยู่น่ะ”ตินพูดออกมาด้วยเสียงเข้มๆ


“...จีบเหรอ”


“ใช่”


“เขาไม่ได้จีบหรอกนะ”ผมบอกไปตามที่รู้สึก


“ก็เห็นอยู่ชัดๆว่าจีบ”ตินบอกต่อ  สายตาที่จ้องมานั้นเหมือนจะบอกว่าไม่ผิดแน่นอน


“ผมรับรู้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่สื่อออกมาได้...จริงอยู่ที่เขามีความรู้สึกดีๆให้ผมแต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดมาจีบหรอก”เทพอย่างพวกเราอ่านความรู้สึกของมนุษย์ออกแม้สำหรับผมอาจจะยากเพราะไม่ใช่เรื่องที่ถนัดก็ตาม


“...มันก็ไม่แน่นี่...หมอนั่นอาจชอบนายก็ได้”


“ถ้าจะใช้ความชอบมาตัดสินว่าเขาจีบละก็...คุณมีมากกว่าอีกนะติน”ผมเอ่ยออกไปตรงๆ


“อะไรมีมากกว่า?”


“ชอบไง...ถ้าให้เปรียบเขากับติน...ตินยังชอบผมมากกว่าที่เขาชอบเลย”


“ใครบอกกัน!”ตินขึ้นเสียงดังใส่แล้วก้าวนำออกไปเร็วๆ


“คิก...นี่อย่าหนีสิ...ชอบกันก็บอกมาตรงๆสิ”ผมวิ่งตามตินไปด้วยรอยยิ้ม


“ไม่ได้ชอบ”ตินหันมาย้ำเสียงแข็ง


“ไม่ชอบก็ไม่ชอบ...แต่ผมชอบตินนะ”


กึก!


เป็นอีกครั้งที่ร่างของตินหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน


“ว่าอะไรนะ?”


“หื้อ?”


“เมื่อกี๊พูดว่าอะไรนะ”ตินถามด้วยเสียงที่ดังขึ้น


“ไม่ชอบก็ไม่ชอบ...”


“หลังจากนั้นล่ะ”


“...แต่ผมชอบตินนะ”ผมทวนประโยคที่พูดออกไปอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ


“จะสารภาพรักกันรึไง”


“สารภาพรัก?...เปล่าสักหน่อย”ผมส่ายหน้าไปมา


“ก็บอกอยู่ว่าชอบฉัน”


“อืม...ชอบ...แต่ไม่ได้รักนี่”ผมบอกออกไปตามตรง


ผมชอบตินก็ใช่อยู่แต่ก็แค่ชอบเท่านั้นไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งถึงขนาดจะเป็นคำว่ารักหรอก


รัก...ไม่ใช่คำที่จะพูดออกมาง่ายๆ ยิ่งสำหรับเทพอย่างพวกเราคำว่ารักนั้นจะมอบให้กับคนที่เรารู้สึกด้วยมากที่สุดไม่เหมือนอย่างมนุษย์ที่อยากพูดก็พูดออกมาโดยที่ไม่รู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำคำนั้น


“มันต่างกันเหรอ?”


“สำหรับมนุษย์ผมไม่รู้หรอก...แต่สำหรับผม ไม่สิ สำหรับพวกเราคำว่ารักนั้นจะบอกแค่กับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น”ผมอธิบายให้ตินฟังไปตามตรง


“แล้วนายล่ะ...มีรึยัง”ตินสบตาผมแล้วถามต่อ


“มีอะไร”


“คนที่บอกคำว่ารักได้ไง”แววตาของตินที่จ้องมานั้นดูเหมือนกำลังคาดคั้นเอาคำตอบจากผมให้ได้


“ผมยังไม่เจอหรอก...อยู่กับคุณแบบนี้ก็สนุกดีไม่อยากหาใครทั้งนั้นแหละ”ผมส่งยิ้มไปให้ตินที่มองมา


สำหรับผมในตอนนี้ที่ได้อยู่กับติน...มันสนุกและมีความสุขมากพอแล้ว


ไม่จำเป็นที่ต้องไปหาหรอก...คนที่รักน่ะ


“หึ...สนุกที่ได้กินน่ะสิ”ตินยกยิ้มขึ้นก่อนจะก้าวต่อไปอีกครั้ง


“ไม่เกี่ยวกับกินสักหน่อย”ผมไม่ใช่พวกเห็นแก่กินนะ


“อยู่กับฉันอีกสิบปีคงลอยไม่ขึ้น”


“ผมได้ยินนะติน...ถึงจะอ้วนยังไงก็ลอยขึ้นเหอะ”


พวกเราเถียงกันไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาถึงร้านบุฟเฟ่อาหารญี่ปุ่นชื่อดังที่ค่าหัวต่อคนแพงเกือบ1000ได้ ตินเดินนำเข้าไปด้านในโดยมีพนักงานตามไปติดๆ โต๊ะที่เลือกเป็นโต๊ะใหญ่ที่น่าจะเหมาะกับคนที่มาตั้งแต่4คนขึ้นไปไม่ใช่2คนแบบนี้


“เรานั่งโต๊ะนี้ได้เหรอติน?”ผมกระซิบถาม


“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”


“ก็พวกเรามาแค่สองคนเองนี่”


“ฉันไม่ชอบนั่งแบบบาร์เท่าไหร่...อีกอย่างดูจากนายแล้วโต๊ะแค่นั้นคงไม่กว้างพอสำหรับวางอาหารที่นายจะหยิบหรอก”พูดจบก็ยกยิ้มขึ้นเหมือนมองผมทะลุปุโปร่ง


“ไม่ได้กินเยอะขนาดนั้นสักหน่อย”


“จะรอดู”


“ไม่ทราบว่าจะรับน้ำซุปแบบไหนดีคะ...มีซุปใส ซุปข้น ซุปต้มยำ ซุปเย็นตาโฟและซุปโปรโมชั่นเดือนนี้คือซุปมิโสะค่ะ”พนักงานสาวพูดแทรกการสนทนาของเรา


“เอาอะไร”ตินหันมาถาม


“ได้กี่ซุปล่ะ”


“สอง”ตอนตอบ


“งั้นเลือกคนละอัน...ผมเอามิโสะ”ตั้งแต่มาจากญี่ปุ่นก็ไม่ได้กินมิโสะเลย


คิดถึงเหมือนกัน


“อีกอันเอาซุบข้น”


“ค่ะ...รับเป็นซุปข้นกับซุปมิโสะนะคะ...คุณคนาธิปอยากได้อะไรเรียกได้นะคะจะไปหยิบมาเสิร์ฟถึงที่เลยค่ะ”พูดจบเธอก็เดินกลับไปด้วยรอยยิ้มหวานๆ


“แหมๆ...พ่อคนเนื้อห๊อมหอม”อดไม่ได้ที่จะกวน ผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลังเป็นเรื่องปกติจนน่าโมโห


“หึงรึไง”ตินยักคิ้วกวนๆส่งมาให้


“ใช่...หึงสุดๆเลย ถ้ากล้านอกใจจะเอาหนอนยัดปากแน่”เล่นมาก็เล่นกลับนะติน


อยู่ด้วยกันมาตั้งนานทำไมจะไม่รู้ว่าเจ้าของห้างสรรพสินค้านี่เกลียดอาหารจำพวกแมลงที่สุด...ไหนๆก็มีโอกาสเล่นก็ขอเล่นสักหน่อยละกัน


“หึ...ไปตักอาหารมาไป”


“คุณไม่ไปเหรอ”ผมถามกลับเพราะเห็นตินนั่งเท้าคางมองดูสายพานที่มีจานวัตถุดิบสำหรับต้มไหลมาช้าๆ


ร้านนี้เป็นร้านเหมือนชาบูของญี่ปุ่นแต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือมีเคาน์เตอร์ด้านข้างขนาดใหญ่สำหรับตักของสดและวัตถุดิบต่างๆไปให้พ่อครัวทำได้ แถมยังมีอาหารสำเร็จมากมายด้วย


แค่ได้กลิ่นก็อยากตักมาให้หมดร้านเลย


“ไม่ล่ะ...ฝากเอาชาเขียวด้วย”ตินเลื่อนแก้วเปล่ามาให้ผมก่อนจะบอกสิ่งที่ต้องการ


“ใช้กันเลยนะ”


“ไม่ได้?”


“ได้สิ...รอแป๊บนะ...เดี๋ยวจะตักมาเผื่อเยอะๆเลย”ผมบอกก่อนจะคว้าแก้วสองใบตรงไปยังมุมเครื่องดื่มโดยไม่สนใจเสียงของตินที่บอกว่าไม่ต้องเอาอาหารมาเยอะ


พอผมกลับมาพร้อมแก้วชาเขียวสองใบน้ำซุปสองแบบก็ถูกนำมาเสิร์ฟแล้ว...ตินเองก็เริ่มหยิบของบนสายพานใส่ลงในหม้อฝั่งที่เป็นน้ำข้น


“ติน...กินด้วยกันนะ...ผมเองก็อยากลองกินซุปข้นเหมือนกัน”ผมบอกอีกฝ่ายให้รู้ไว้เพราะเขาหยิบของใส่แค่ที่ฝั่งซุปข้นที่ตัวเองสั่งเท่านั้น


“เอาสิ”ตินชะงักจานที่มีกุ้งใส่อยู่แล้วเปลี่ยนมาใส่ในซุปมิโสะฝั่งผมบ้าง การกระทำนั้นทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาแล้วลุกขึ้นไปสั่งและตักอาหารที่วางเรียงรายอยู่ด้านข้างมาจนเต็มโต๊ะไปหมด ตินเองก็มีบอกให้ผมพอแต่มีเหรอที่จะยอมทำตาม


“อื้มม...อร่อย...”ผมพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุขเมื่อได้ริมรสอาหารในหม้อ ถึงซุปมิโสะนี่จะอ่อนไปหน่อยแต่ก็ถือว่าใช้ได้ในระดับหนึ่ง


“กินให้หมดล่ะ”ตินบอกพร้อมกับซดน้ำซุปเบาๆ


“แน่นอน...อ๊ะ...ทาโกะยากินี่อร่อยนะ...ตินลองสิ”ผมใช้ตะเกียบคีบทาโกะยากิลูกลมๆแล้วลุกขึ้นเอื้อมมือไปจ่อที่ปากของติน


“...ไม่...อุ๊บ...”ก็รู้ว่าตินต้องปฏิเสธเลยอาศัยช่วงที่ตอบจัดการยัดใส่ปากซะเลย จากนั้นผมก็ต้องเบนหน้าหนีพร้อมกลั้นขำสายตาคมๆที่จ้องมาจนตัวแทบพรุนของคนตรงหน้าตลอดการกินมื้อกลางวันควบเย็นนี่


บุฟเฟ่ครั้งแรกในชีวิตประทับใจผมมากๆไม่ว่าจะเป็นน้ำซุปข้นที่อร่อยกว่าน้ำซุปมิโสะที่ผมเลือก อาหารต่างๆมากมายที่เรียงรายอยู่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาแต่รสชาติก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน แม้แต่ของหวานเองก็มีทั้งไอศกรีม เค้ก ฟรุตสลัดหรือพวกมาการองก็ยังมี


แต่สิ่งที่ทำให้ผมคิดว่าอาหารมื้อนี้ประทับใจไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นแต่เป็นตินที่นั่งอยู่ตรงข้ามคอยแกล้งผมโดยการใส่ผักที่ไม่ชอบลงในหม้อจนมองไม่เห็นก้นแล้วก็บอกผมให้กินให้หมด


พวกเราต่างแกล้งกันไปมาตลอดมื้ออาหาร...ทั้งที่เป็นแบบนั้นบรรยากาศรอบๆกลับไม่ได้ตรึงเครียดตรงกันข้ามบรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความผ่อนคลายและความสนุกจนเผลอหัวเราะออกมาหลายรอบ...


เพียงแค่มีตินนั่งอยู่อีกฝั่งเท่านั้น


อย่างที่คิด...


ตินเป็นมนุษย์ที่ผมชอบที่สุดจริงๆด้วย
...................................................................................
สวัสดีค่ะ

มาอัพต่อแล้ววว

ตินเริ่มหวงแพนขึ้นเรื่อยๆ เป็นฉากที่เขียนแล้วรู้สึกว่าน่ารักมากๆ

บอกตรงๆว่าตอนแรกเราคิดจะแต่งให้เรื่องนี้ไม่ยาวมาก กะให้จบประมาณ13ตอน

แต่พอได้เขียนไปเรื่อยๆมีหลายๆฉากที่อยากแต่งเพิ่มขึ้น ฉากนั้นก็อยากให้มี ฉากนี้ก็อยากแต่ง เยอะไปหมดเลย55

เพราะงั้นคงต้องกลายเป็นเรื่องยาวซะแล้วล่ะ

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

บ๊ายบาย

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ askmes

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
มาแล้ว... ดีต่อใจ.. มาต่ออีกไวๆนะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แหม นี่แค่ชอบใช่ไหมคะเทพแพนตัวน้อย อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
มีความหึงๆๆๆๆ  >\\\\\\\<
ตอนนี้ยังแค่ชอบเนอะ ต่อไปค่อย...รัก...

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
โอย หนูแพนนนน ขนาดแค่ชอบนะเนี่ย

ส่วนตินก็มีถามอีก ความหึงปรากฎแล้วววว :hao3:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ยาวต่อไปเลยค่ะ สนุกดี

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
แพนน่ารักกกกก อ่านกี่รอบก็น่ารักก น่าฟัดมากกก
ชอบความพูดตรงๆ ชอบก็บอกชอบ แต่ยังไม่ถึงขั้นรักนะติน พยายามเข้า 55555
 o18

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ตัลลั๊ค ขอบๆเอาอีกๆตินเริ่มซึนละ 555

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สวีทกันกลางร้านเจยนาจาาาาาา

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
จีบกันอีกแล้ววว
เหม็นความรัก 55555

ออฟไลน์ PingPong_Hunlay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ didididia

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ทั้งหึงทั้งหวงแพนออกนอกหน้าเลยนะ :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ КίmY

  • BJYX♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-3
โอ้ยยย ความออร่าสีชมพูนี้  :-[

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ hoihak

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
หึงละเซซซ่ ว้ายๆๆๆ คิกๆ

ออฟไลน์ เป็ดอนุบาล

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
อย่ารีบจบเลยกำลังสนุกกก
เขินนะนี่ยิ่งอ่านยิ่งเขิน :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ aeecd

  • :: 8018 ::
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-0

ออฟไลน์ .Koi4541

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หว๊ายยแกกก หึงซะแล้ว~~ :katai2-1:

ปล.ขอบคุณมากเลยค่ะที่ไม่ทำให้มันเป็นเรื่องสั้น เพราะเราชักไม่อยากให้มันมีตอนจบซะแล้ว 55555

ออฟไลน์ HanATarO

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-2

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
สัมผัส{❤}ครั้งที่13




มีคนเคยบอกว่าเมื่อมีครั้งที่1เกิดขึ้น ครั้งที่2หรือ3ก็จะตามมา


ตอนแรกที่ได้ยินก็ไม่เชื่อเท่าไหร่แต่ตอนนี้ผมเชื่อแล้วล่ะ...ตั้งแต่วันที่ตินพาไปกินบุฟเฟ่ผมก็ติดใจมากจนวันต่อมาต้องขอตินให้พาไปอีก จริงอยู่ที่ไปกินคนเดียวตอนที่ตินทำงานอยู่ก็ได้แต่แบบนั้นมันดูไม่สนุกนี่...การจะกินให้สนุกต้องมีคนไปด้วยและคนที่ว่านอกจากตินก็คงไม่มีใคร


ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่...


“ไม่”คำปฏิเสธดังขึ้นทันทีที่ผมพูดว่าอยากไปกินบุฟเฟ่


“ทำไมล่ะ เมื่อวานคุณก็ปฏิเสธผมไปแล้วนะ...วันก่อนด้วย...แล้วก็วันก่อนนู้นอีก”ระหว่างพูดผมก็ยกมือสองข้างขึ้นเท้าเอวพลางจ้องไปยังเจ้าของห้างสรรพสินค้าเขม็ง


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกปฏิเสธ...ตั้งแต่วันที่ไปกินมาก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตินพาไปกินอีกเลย


วันนี้แหละผมจะต้องให้เขาพาไปให้ได้


รสชาติของน้ำซุปและอาหารภายในร้านทำให้ผมกินไม่หยุดจนตินบอกว่าหมดเวลาแล้ว แม้จะเสียดายไปบ้างแต่ก็จำใจลุกขึ้นจากโต๊ะไป


“ยังต้องถามเหตุผลอีกเหรอ”ตินถามกลับก่อนจะวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ


“ไม่ถามก็ได้...พาผมไปกินหน่อยสิ”


“เฮ้อ...นายรู้ไหมว่าตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงที่นั่งกินมีคนมองอยู่น่ะ”


“อืม...ก็พอรู้”ผมตอบแล้วนึกย้อนกลับไปวันนั้น ก็จริงที่ระหว่างกินมีหลายตาหลายคู่ที่มองมาแต่จำได้ว่าตัวเองไม่ค่อยสนใจอะไรนักนอกจากจัดการอาหารแสนอร่อยตรงหน้าเท่านั้น


“ขนาดตัวก็แค่นี้แต่เล่นกินซะเหมือนอดอยากมาเกือบสิบปี...ไปอีกเขาคงให้เข้าร้านหรอก”ตินพูดต่อ


“ไม่ได้กินเยอะขนาดนั้นสักหน่อย...หมายความว่าเขาไม่ให้ผมเข้าร้านเหรอ”


“เปล่า...ยังไงร้านบุฟเฟ่ก็มีจุดขายตรงที่กินได้ไม่จำกัดตราบใดที่ไม่เหลือก็ไม่มีใครว่าหรอก”


“งั้นทำไมถึงไม่พาไปล่ะ”


“นายก็ไปกินคนเดียวได้นี่”ตินตอบกลับมา


“บอกไปแล้วไงว่ากินคนเดียวมันไม่สนุก”


“แค่กินยังต้องสนุกด้วยรึไง”


“ก็มัน...”


“ไม่ต้องมาทำหน้าหง๋อยเลย...นายก็เห็นว่าช่วงนี้ฉันมีงานเยอะ”ตินพูดเสร็จก็เปิดแฟ้มเอกสารที่วางไว้ขึ้นมาอ่านต่อ


“อืม...”ช่วงนี้ตินมีงานเยอะจริง ขนาดกลับห้องยังต้องนั่งทำงานต่อจนดึกดื่น...แต่ละวันได้นอนยังไม่ถึง5ชั่วโมงเลย


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เข้ามา”ตินบอกคนที่เคาะประตู


“คุณติน...ได้เวลาไปประชุมแล้วครับ”คนที่เปิดประตูเข้ามาคือกายในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับเสื้อนอกสีดำและกางเกงขายาวสีเดียวกัน


“อืม...จะรออยู่นี่หรือจะไปข้างนอก”ตินลุกขึ้นแล้วหันหน้ามาถามผมที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม


“...อยากไปกินบุฟเฟ่กับติน”ผมเอ่ยเสียงเบาก่อนจะหันไปสบดวงตาสีฟ้าสดอย่างอ้อนวอน


“...”ตินไม่ตอบแถมยังทำหน้านิ่งไม่เปลี่ยน


“นะ...ผมอยากไปกินกับติน...นะนะ”นอกจากจะทำเสียงอ้อนแล้วยังให้ออฟชั่นเสริมโดยการเอื้อมมือไปดึงเสื้อนอกตินก่อนแกว่งไปมา


“...”สายตาของตินสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนกำลังใจอ่อนนั่นทำให้ผมรีบดำเนินการต่อทันที


“ไม่ต้องไปกินร้านเดิมก็ได้...ขอแค่เป็นบุฟเฟ่ก็พอ...นะนะ...ไปกันนะ”


“ก็ได้...แต่...”


“เยส เยี่ยมเลย ขอบคุณนะติน”ผมกระโดดกอดตินแน่นซุกหน้าลงที่แผ่นอกอุ่นๆเมื่อได้ยินคำตอบนั่น


ในที่สุดก็จะได้ไปกินแล้ว


“ฉันบอกว่าแต่ไง”ตินยกมือขึ้นผลักหัวผมเล็กน้อยระหว่างพูด


“...แต่อะไร”ผมเงยหน้าถามแล้วคลายอ้อมกอดออก


“ฉันต้องประชุมประมาณ3ชั่วโมง”ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเสร็จก็บอก


“แล้ว?”


“นี่ก็5โมงแล้ว...กว่าจะเสร็จก็น่าจะ2ทุ่มกว่าได้...มันดึกไปที่จะกิน”


“อ้าว...แต่ผมอยากกินบุฟเฟ่นี่”แบบนี้ก็แปลว่าต้องไปกินวันอื่นเหรอเนี่ย


“ขอติดไว้ก่อน...วันนี้จะพาไปกินอะไรที่อร่อยกว่านั้น...โอเคไหม”


“จริงเหรอ...งั้นได้เลย”แค่ได้ยินคำว่าอร่อยก็ไม่จำเป็นต้องคิดคำตอบแล้ว


“ดี...ฉันไปประชุมล่ะ”


“อืม...โชคดีนะผมจะรออยู่ที่นี่”ผมตะโกนไล่หลังพร้อมโบกมือบ๊ายบายตินที่เดินออกไปด้วยรอยยิ้ม


จากนั้นผมก็นอนเล่นรอตินอยู่บนโซฟากลางห้องจนถึงเวลาสองทุ่มกว่าตินก็กลับเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าที่ดูตึงเครียดกว่าปกติ เขาพาผมลงไปยังรถสีดำเงาคันเดิม ร้านที่ตินพาไปเป็นร้านอาหารแนวที่ผมไม่เคยกินมาก่อนนั่นคือข้าวต้มกุ้ย...แค่ชื่อก็ทำให้ผมต้องทวนอยู่หลายรอบ


อาหารง่ายๆที่ใช้เวลาทำไม่นานถูกยกเสิร์ฟในสภาพพึ่งทำเสร็จทำให้ทั้งกลิ่นและสีสันหน้ากินมาก แถมข้าวต้มที่ตินสั่งให้ก็ลื่นคอมากเวลากินเข้าไปเท่าไหร่ มื้อนี้ผมไม่ได้กินกับตินแค่สองคนแต่มีกายและจิมมาร่วมโต๊ะด้วยซึ่งผมก็ยินดีเพราะการกินอาหารต้องหลายๆคนสิถึงจะอร่อยแต่เพราะท่าทางของตินทำให้ผมไม่ค่อยอยากอาหาร


ตลอดขากลับจากการกินข้าวต้มกุ้ยผมก็แอบเหล่มองคนข้างกายที่นั่งกอดอกด้วยใบหน้านิ่งๆราวกับมีเรื่องให้คิดมาก คิ้วคมที่ขมวดเข้าหากันแน่นนั่นผมอยากยกมือขึ้นลูบให้มันคลายออกเหลือเกิน


“ติน...”เหมือนมือจะไปไวกว่าความคิด รู้ตัวอีกทีผมก็ขยับตัวเข้าไปประชิดพร้อมกับยกมือขึ้นลูบคิ้วที่ผูกกันเป็นโบว์ตรงหน้าเบาๆ
“...”ตินที่เห็นแบบนั้นก็หันหน้ามาหาผมด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นกว่าเดิม


“อย่าขมวดคิ้วแบบนั้นสิ...เพราะผมอยากกินบุฟเฟ่สินะ”ผมถามออกไปเสียงเบาโดยที่ยังไม่หยุดมือที่ลูบ


“เปล่า...ไม่ใช่เพราะนาย”ตินตอบแทบจะทันที


“งั้นอะไรล่ะ”


“เรื่องที่บริษัทน่ะ”


“ถ้าคิดไม่ออกก็นอนพักสักงีบ...เดี๋ยวสิ่งที่คิดไม่ได้ก็จะคิดได้เองล่ะ”ผมบอกออกไปตามที่คิด


“...อืม”ตินตอบรับเบาๆแต่ก็ยังไม่คลายคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมออก ขนาดถึงห้องแล้วก็ยังทำหน้าเครียดอยู่เหมือนเดิม


ถึงจะอยากช่วยแค่ไหนแต่ดูเหมือนว่าบรรยายกาศรอบๆจะไม่ค่อยน่าเข้าใกล้ผมเลยแต่เข้าไปอาบน้ำเผื่อว่าตินจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง


เมื่อผมอาบเสร็จเจ้าของห้องก็เข้าไปอาบน้ำต่อโดยที่ไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ...บรรยากาศที่บอกว่าอย่างพึ่งเข้าใกล้ทำเอาผมต้องนั่งอยู่เงียบๆรอจนอีกฝ่ายออกมาจากห้องน้ำแล้วทิ้งตัวนั่งบนเตียงพร้อมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดทำอะไรสักอย่าง


“...ติน”ผ่านไปสักพักผมก็ตัดสินใจเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไป


“...”ตินไม่ตอบอะไรทำเพียงใช้สายตาหันมามองเท่านั้น


“ถึงผมจะช่วยอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยคุณก็ระบายสิ่งที่คิดให้ผมฟังได้นะ”ถ้ารับฟังผมมั่นใจว่าจะเป็นผู้ฟังที่ดี


“...อย่าทำหน้าแบบนั้น”เงียบไปสักพักตินก็บอกพร้อมกับยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าผมเบาๆ


“หน้าแบบไหน”ผมถามกลับ


“ฉันเครียดคนเดียวก็พอแล้ว...อย่าทำหน้าเครียดตามสิแพน”


“...”ผมไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าทำหน้าเครียดอยู่ด้วย


“ฉันกำลังคิดว่าจะเป็นยังไงถ้าเลือกที่จะใช้อารมณ์ในการตัดสินปัญหา”อยู่ๆตอนก็เอ่ยขึ้น


“อารมณ์แบบไหน”ผมถามต่อ


“หงุดหงิด...โมโห...แล้วก็โกรธละมั้ง”


“ถ้าเป็นอารมณ์พวกนั้นผลของมันไม่ใช่ในทางที่ดีนักหรอก...แต่ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ก็ขึ้นอยู่กับคนด้วย...บางคนอาจใช้อารมณ์พวกนั้นเป็นแรงผลักดันให้ประสบความสำเร็จ...โดยส่วนตัวผมไม่อยากให้ตินใช้อารมณ์พวกนั้นตัดสินหรอกนะ”ผมอธิบายพร้อมๆกับจับมือตินที่ลูบใบหน้าผมให้วางลงแล้วเปลี่ยนเป็นผมที่ไปลูบตามใบหน้าอีกฝ่ายแทน


ผมผ่านอะไรมาเยอะตั้งแต่ที่มีชีวิต


ได้พบเห็นอะไรมาก็มาก


การที่ใช้อารมณ์ด้านลบในการตัดสินปัญหาสิ่งที่ได้มักจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี


“งั้นฉัน...ควรทำยังไงดี”ตินถามต่อก่อนจะหลับตาลงโดยปล่อยให้ผมลูบใบหน้าตัวเองอยู่


“อืม...ใช้ความสมเหตุสมผลดีกว่า...แต่ถ้าใช้เหตุผลไม่ได้ก็ใช้ใจตัดสินเลย...หรือถ้ายังไม่ได้อีกก็จับฉลากเอา”ประโยคสุดท้ายผมล้อเล่นนะ


“หึ...เดี๋ยวไปหากระดาษก่อน”ตินยกยิ้มขึ้นก่อนจะตอบกลับมา


“ผมล้อเล่นหรอก”


“รู้แล้วน่า...ขอบคุณ”


“ผมยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”


“ไม่ต้องทำหรอก...แค่อยู่แบบนี้ก็พอแล้ว”ดวงตาสีฟ้าที่ทอประกายบางอย่างระหว่างพูดทำให้ผมมีความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาอีกแล้ว


“ติน...”


“อยากไปเที่ยวไหม”


“หื้อ?...ไปไหน”ผมเอียงคอถาม


“ทะเล”


“ไปสิ...แต่ว่าตินยังเครียดเรื่องงานนี่”เริงร่าได้แป๊บเดียวก็ต้องหยุดเพราะรู้ว่าตินยังไม่โอเค


“ฉันจะไปจัดการเรื่องนี้ที่ทะเลนี่แหละ”


“หมายความว่าไง”ผมกระพริบตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ


“ที่พัทยาเป็นจังหวัดที่อยู่ติดทะเลและเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจ...เจ้าของห้างแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจนี้กำลังจะขายห้างนั้นและฉันคิดจะซื้อมันไว้ ทั้งที่อีกฝ่ายตกลงจะขายแล้วแต่เพราะมีอีกคนหนึ่งเข้ามาแย่งทำให้ตอนนี้เจ้าของห้างนั้นลังเลอยู่ว่าจะให้ใครซื้อห้างนั้นดี...”


“คุณโกรธที่เจ้าของห้างผิดข้อตกลงเหรอ”


“เปล่า...สัญญาปากเปล่ามันไม่เรียกว่าข้อตกลงหรอก...ที่โกรธเพราะอีกคนที่จะแย่งซื้อห้างนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบหน้าน่ะ”พูดมาถึงตรงนี้ตินก็เริ่มทำหน้าบึ้ง


“ทำไมไม่ชอบล่ะ...หรือว่า...คนที่คิดจะทำร้ายตินเหรอ”ผมถามต่อทันทีที่นึกออก


“ใช่”


“มันเป็นใคร...ผมจะไปจัดการมันเอง”คนที่กล้าทำร้ายตินผมไม่ปล่อยไว้แน่


“นายพึ่งบอกว่าไม่ให้ฉันใช้อารมณ์ตัดสินะ”ตินบอกเสียงนิ่ง


“เอ่อ...แฮะๆ”ผมยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่ตินบอก


“ฉันรู้เลยว่าที่หมอนั่นต้องการห้างนั้นเพราะรู้ว่าฉันเล็งเอาไว้”


“แล้วตอนนี้ตินจะทำยังไงต่อ”


“ก็ง่ายๆ...นายบอกเองนี่ว่าไม่ให้ใช้อารมณ์”


“อืม...แล้วจะใช้อะไรล่ะ”


“หึ...”ตินไม่ตอบแต่ยกยิ้มขึ้น รอยยิ้มเหมือนกำลังนึกเรื่องสนุกได้นั้นทำเอาผมรู้สึกสงสารอีกฝ่ายชอบกล


หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้ราวสองอาทิตย์...วันนี้เป็นวันที่พวกเราเดินทางไปพัทยาตามที่ตินเคยพูดไว้ ภายในรถคันเดิมมีคนหน้าเดิมอย่างกายและจิมเป็นคนขับรถโดยที่มีตินและผมนั่งอยู่ด้านหลังเหมือนอย่างทุกครั้ง


ดวงตาสีเขียวอ่อนของผมหันออกไปมองวิวด้านนอกตลอดตั้งแต่ที่รถคันนี้ขับออกมาจากคอนโด ด้วยเส้นทางที่ไม่เคยมาทำให้ผมรู้สึกสนใจทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตา จากวิวที่เห็นแค่ตึกเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมดแปรเปลี่ยนเป็นวิวของทะเลที่ยาวสุดสายตา


“...เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงญี่ปุ่นเลย”ผมพึมพำออกมาเบาๆระหว่างที่เหม่อมองทะเล


“คุณแพนมาจากญี่ปุ่นสินะครับ”จิมเอ่ยถามทำลายความเงียบภายในรถ


“ใช่...แต่ถึงจะอยู่ญี่ปุ่นแต่ก็ไม่ค่อยได้ไปทะเลหรอกนะ”


“ทำไมล่ะครับ?”จิมถามต่อ


“ก็เพราะผมยาวๆแบบนี้เวลาโดนไอเค็มของทะเลแล้วจะเหนียวสุดๆเลยน่ะสิ”ผมบอกพลางทำหน้าย่น นึกถึงวันเก่าตอนที่ไปเดินเล่นริมชายหาดได้เลย...เส้นผมสีเขียวเข้มพลิ้วไสวไปมายามต้องลมแต่พอหลังจากเดินไม่ถึง10นาทีเส้นผมก็เริ่มพันกัน


จะสางก็ไม่ได้เพราะติดหนึบไปซะแล้ว


สุดท้ายก็ต้องไปล้างผมที่น้ำตกอยู่ตั้งนานกว่าผมจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิม


“อย่างนี้นี่เอง...แล้วคุณอยู่ญี่ปุ่นมานานรึยังครับ?”


“ประมาณ3...”พูดถึงตรงนี้ผมก็ต้องรีบหุบปากเพราะคำว่าร้อยกำลังจะดังออกไป


เกือบพูดว่าสามร้อยปีออกซะแล้ว


“3ปีสินะครับ”โชคดีที่จิมสรุปไปแบบนั้น


“...ใช่ครับ”ผมแอบถอนหายใจเบาๆแต่ดูเหมือนจะไม่รอดสายตาของตินที่จ้องมาพร้อมทำปากขมุบขมิบว่า...


คิดก่อนพูดหน่อย


ครับๆ...ผมก็ไม่ได้ตั้งใจนี่


“แปลว่าพอคุณตินกลับมาจากอเมริกาคุณก็ไปญี่ปุ่นต่อเลยใช่ไหมครับ?”


“ห๊ะ?...อ้อ...ใช่เลย”เกือบจะพูดไปแล้วว่าผมไม่เคยไปอเมริกา ดีนะที่ตินส่งสายตาคมๆมาให้เลยนึกได้ว่าเคยบอกพวกเขาไปว่าเราเจอกันที่อเมริกา


“ขี้ลืม”เสียงทุ้มที่บ่นมาเบาๆนั่นผมได้ยินเต็มสองหูเลยล่ะ


“ไม่ได้ลืมสักหน่อย”แค่เผลอไปนิดเดียวเอง


“หึ...”


“ไม่ต้องมาหึเลย...ว่าแต่คุณเถอะ...ไม่เป็นไรแล้วแน่นะ”ผมเลิกสนใจวิวข้างทางแต่หันกลับไปมองตินแทน


“อะไร”


“ไม่เครียดอะไรใช่ไหม”ผมถามกลับโดยไม่มีการกวนใด ใบหน้าของตินตอนมีเรื่องไม่สบายใจเมื่อสองอาทิตย์ก่อนนั้นทำให้ความอยากอาหารผมลดฮวบเลย


“ไม่แล้ว...เลิกห่วงเถอะ”


“ห้ามได้ที่ไหนกัน...ก็ห่วงนี่”คนมันห่วงจะบอกให้ไม่ต้องห่วงได้ไง


“ไม่เป็นไรแล้วน่า...แล้วคิ้วนี่น่ะขมวดเป็นเงื่อนตายขนาดนี้จะแกะออกไหมล่ะ”พูดจบก็ยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากผมเบาๆพร้อมรอยยิ้ม


“คิ้วนะ...ไม่ใช่เชือกจะผูกเป็นเงื่อนตายได้ยังไง”


“ใครจะรู้...”


“คุณรู้อยู่แล้ว...แค่อยากแกล้งผมน่ะสิ”


“แล้วจะทำไม”


“จะเอาหนอนยัดปาก”ผมพูดเสียงเข้ม


“เจอผักกาดยัดก่อนไหมล่ะ”ตินสวนกลับทันที เขารู้อยู่แล้วว่าผมไม่ชอบกินผักกาดแต่ผักอย่างอื่นผมจะกินได้หมด ถึงจะไม่ชอบใช่ว่าผมจะไม่กินเพียงแค่กินน้อยหน่อยเท่านั้น


“ติน!!”


“เสียงดัง”เมื่อผมเริ่มเสียงดังเขาก็หันหน้าหนีไปอีกทาง


“คุณนี่มัน...กวนจริงๆ”


“เอาที่สบายใจเลยครับ...”ตินพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะทำปากขมุบขมิบเป็นคำที่รู้กันได้แค่สองคนว่า...


ท่านเทพ


“...”ผมได้แต่นั่งเม้มปากกัดฟันตัวเองแน่นเพราะไม่สามารถเอาคืนอีกฝ่ายได้สักครั้ง


ไม่ว่ากวนอะไรไปก็ถูกสวนกลับจนน่าโมโห


คิดสิแพน...มันต้องมีอะไรสักอย่างที่เอาคืนได้สิน่า




(มีต่อนะคะ)

ออฟไลน์ nicedog

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-0
(ต่อค่า)


ผมนั่งนิ่งๆเพื่อคิดแผนการเอาคืนจนรถคันสีดำเลี้ยวเข้าไปภายในตึกแห่งหนึ่งที่มองไม่ถนัดว่าเป็นอะไร...ตินเดินนำเข้าไปภายในโดยมีผมเดินตามไปพร้อมกับกายและจิม ความหรูหราของสิ่งก่อสร้างทำเอาตาผมพล่ามัวไปชั่วขณะ...โรงแรมขนาดใหญ่ภายในถูกเปิดไฟและตกแต่งในโทนสว่างอย่างผนังก็เป็นสีเหลืองนวล พื้นก็เป็นกระเบื้องขัดเงาสีขาวสลับสีส้มอ่อน มีเพียงต้นไม้ขนาดกลางเท่านั้นที่มีสีเขียวช่วยตัดความสว่างภายในลงไปได้บ้าง


“ติน...เรามานี่ทำไม”ผมเอ่ยถามแล้วเดินขึ้นไปขนาบข้างติน


“เราจะพักที่นี่”ตินอธิบายโดยไม่หยุดเดิน


“แล้วห้างที่ตินบอกล่ะ”ผมถามต่อ


นึกว่าจะไปคุยเรื่องห้างกับเจ้าของก่อนสักอีก


“ห้างที่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมนี้อยู่ทางด้านตะวันตกติดกับสระว่ายน้ำกลางแจ้ง...เดี๋ยวฉันจะไปคุยเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนเพราะงั้นนายไปรออยู่ในห้องซะ...เข้าใจนะ”ตินพูดก่อนจะพากันเข้ามาในลิฟต์และให้พนักงานกดไปยังชั้น35


“ไปด้วยไม่ได้เหรอ”ผมหันไปถาม


“ฉันไปคุยธุรกิจ...การมีนายไปด้วยจะไม่สะดวก”เมื่อถึงชั้น35แล้วตินก็เดินนำออกไปอีกจนหยุดอยู่หน้าห้องหมายเลข359


“ผมอยู่เฉยๆได้นะ”ผมพยายามพูด


รู้อยู่ว่าตินไปคุยธุรกิจเพราะงั้นผมไม่คิดจะเข้าไปกวนอะไรหรอก


“ฉันไม่อยากให้หมอนั่นเห็นนาย”ตินบอกด้วยน้ำเสียงที่ผิดไปจากปกติอย่างชัดเจน


“หมอนั่น?...ใครเหรอ?”


“คู่แข่งทางการค้าไง”


“...หมายถึงคนที่ทำร้ายตินใช่ไหม”ผมยังถามต่อ


“ใช่”ตินพยักหน้าเล็กน้อย


“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม”


“เกี่ยวสิ...เพราะงั้นรออยู่นี่ห้ามออกไปไหน”การ์ดในมือตินเสียบเข้าไปในช่องหน้าประตูก่อนจะดันหลังผมให้เข้าไปด้านใน


“แต่ว่า...”


“ฉันจะให้จิมอยู่ด้วย”


“ไม่เอา”ผมรีบค้านทันทีที่ได้ยิน


“ทำไม”


“พวกเขาควรคอยปกป้องตินมากกว่าจะให้มาอยู่กับผม...ผมรออยู่นี่ก็ได้แต่คุณต้องให้ทั้งคู่ไปด้วยนะ”ผมพูดต่อ มันไม่ดีเลยถ้าจะให้คนหนึ่งมาอยู่เฝ้าทั้งที่สถานการณ์ของตินอันตรายกว่ามาก


ตั้งแต่มานี่ลางสังหรณ์ที่มีมันบอกว่ากำลังจะเกิดเรื่อง


ผมอยากจะอยู่ข้างๆตินแต่ก็เข้าใจว่าตินต้องการความเป็นส่วนตัวและสมาธิในการเจรจาธุรกิจดังนั้นผมจะไม่ตามไปก็ได้แต่จะให้จิมมาอยู่ด้วยไม่ได้


ไม่ยอมแน่ๆ


“...ตามนั้นก็ได้...แน่ใจนะว่าอยู่ได้”ตินถามย้ำ


“แน่สิ...ผมอยู่คนเดียวมาตั้งนานเรื่องแค่นี้ไม่ต้องห่วงหรอก...ห่วงตัวเองให้มากๆนะติน”ผมบอกพร้อมกับก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีฟ้าตรงหน้า


“ฉันเหรอ?”


“อืม...ผมสังหรณ์ไม่ค่อยดีเลย...อยากไปด้วยแต่ไม่เป็นไรผมจะรออยู่ที่นี่...ระวังตัวด้วยนะ”


“ฉันจะไม่เป็นไร...ไว้เจอกัน”ตินบอกลาแล้วเดินกลับไปยังลิฟต์พร้อมกับบอดี้การ์ดคนสนิทสองคน


พอมองดูลิฟต์ลงไปด้านล่างแล้วผมก็เดินเข้าไปในห้องพักสุดหรูที่ถูกตกแต่งอย่างลงตัวด้วยโทนสีสว่างเหมือนตัวโรงแรม...โซฟาตัวใหญ่สีน้ำตาลอ่อนถูกผมหย่อนก้นนั่งโดยที่มือคว้ารีโมทโทรทัศน์ขึ้นมาเปิดหาอะไรทำฆ่าเวลาที่ตินไม่อยู่


ผ่านไปสักพักใหญ่ความเบื่อก็เริ่มเข้ามาจู่โจมเลยเปลี่ยนจากนั่งดูโทรทัศน์เป็นนอนแช่น้ำในอ่านสีขาวสะอาดแทน ทั้งที่ผมอาบน้ำนานสุดแต่ตินก็ยังไม่กลับมาสักที


ถึงจะไม่สบายใจ...แต่แค่หลับตาลงแล้วตั้งสมาธิผมก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายยังไม่เป็นไร


ในเมื่อเป็นแบบนี้ขอออกไปเดินเล่นข้างนอกสักพักคนไม่เป็นไรมั้ง


เป็นห่วงไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาด้วย


กายกับจิมเป็นคนมีฝีมือ...ถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องช่วยตินได้แน่


ระหว่างที่คิดขาผมก็ก้าวออกจากโรงแรมเดินข้ามถนนไปอีกฝากที่มีร้านค้ามากมายตั้งอยู่ริมหาดทรายสีขาวโดยไม่รู้ตัว กลิ่นของไก่ย่างที่กำลังสุกหอมฉุยยั่วน้ำลายสุดๆแต่ก็ซื้อไม่ได้เพราะไม่มีเงิน


บัตรทองที่ตินให้คงใช้ได้แค่บนห้างไม่รวมถึงตามร้านแถวนี้หรอก ส่วนเงินที่ตินเคยให้ก็หมดไปตั้งแต่วันก่อนที่ไปซื้อแฮมเบอร์เกอร์ยักษ์กินแล้ว


เมื่อกินอะไรไม่ได้ผมเลยเลือกที่จะลงไปเดินตามแนวชายหาดแทน...รองเท้าผ้าใบที่ตินซื้อให้ถูกย่ำลงบนทรายเนื้อละเอียดเรื่อยๆ สายตาเองก็มองออกไปยังผืนน้ำสีฟ้าแกมน้ำเงินตรงหน้า สองมือยกขึ้นบังแสงแดดอันรุนแรงที่ทำให้ตามองแทบไม่เห็น
อากาศที่ร้อนจนแสบผิวนี่ทำให้ผมเตรียมจะเดินกลับห้องพักเพราะทนไม่ไหวจริงๆ


ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไก่ย่าง...ขืนเดินต่ออีก10นาทีคงสุกเตรียมส่งให้ลูกค้าได้เลย


ตุบ!


ทันทีที่หมุนกลับร่างของผมก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังด้วยความไม่ระวัง พอเริ่มมีสติผมเลยคิดจะก้าวถอยหลังแต่กลับถูกมือของคนตรงหน้าเอื้อมมาจับเอวแล้วกระชับตัวผมเข้าไปใกล้


“ปล่อย”ผมพูดเสียงแข็งเมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ นั่นทำให้ผมผลักอีกฝ่ายให้ออกห่างทันที อาจเพราะความตกใจคนตรงหน้าเลยยอมปล่อยโดยดี


“นี่เธอชนฉันนะ”เสียงของคนที่ผมชนดังขึ้นทำให้ผมได้มองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ ผู้ชายตรงหน้าอายุคงพอๆกับตินหรือมากกว่าไม่เกิน3-4ปี รูปร่างดี ตัวสูงใหญ่และหน้าตาเข้าขั้นใช้ได้แต่ด้อยกว่าตินเยอะ เส้นผมดีดำกับดวงตาสีน้ำตาลที่เห็นทำให้รู้ว่าเป็นคนไทยแท้


“ขอโทษที่ชน...และขอบคุณที่ช่วยครับ”ผมบอกอีกฝ่ายแล้วเตรียมเดินไปด้านข้าง สัมผัสแรกเมื่องมองผู้ชายคนนี้คือไม่ดี
ผมไม่รู้ว่าไม่ดีในแง่ไหนแต่ที่รู้คือไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ว่าจะกรณีใดๆก็ตาม


“เดี๋ยวสิ...ไหนๆก็คุยกันแล้วไปหาอะไรกินกันเถอะ”อีกฝ่ายเสนอด้วยรอยยิ้มเพลย์บอยซึ่งใช้ไม่ได้สำหรับผมที่เห็นว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้น่ามองเท่าของติน


“ผมมีธุระ...ขอตัวดีกว่า”พูดจบก็เดินขึ้นไปด้านบนที่มีร้านค้าขายของอยู่ตามทาง


“นี่...รู้ไหมว่าเธอเป็นแรกเลยนะที่ปฏิเสธฉันน่ะ”เขายังคงตื้อแล้วเดินตามผมมาจนรู้สึกรำคาญนิดๆ


“งั้นก็ต้องขอโทษด้วย...ถ้าอยากหาคนกินข้าวด้วยไปหาคนอื่นเถอะผมไม่ว่าง”ผมบอกแล้วพยายามก้าวเท้ายาวขึ้น


“เธอนี่น่าสนใจดีนะ...หน้าตาก็สวยด้วย...สเปกฉันเลย...โอ๊ะ...”ตำพูดของอีกฝ่ายหยุดชะงักเพราะผมหยุดเดินก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ


“ผมไม่ชอบคุณ...และอย่ามาชมว่าผมสวยเพราะผมเป็นผู้ชาย”ย้ำเสียงแข็งเสร็จก็เดินต่อไปโดยไม่สนใจเสียงที่ไล่ตามมา


ยังดีที่ไล่มาแค่เสียง...ถ้าเกิดยังตามมาอีกผมคงเลือกที่จะกลับไปอยู่ในร่างเทพแล้วลอยขึ้นไปบนห้องแน่


ผู้ชายแบบนั้นผมไม่ชอบ


ความต้องการของเขารุนแรงจนไม่น่าเข้าใกล้


และดูจะเป็นพวกอารมณ์ร้อนด้วย


“...ถึงไม่อยากยุ่งกับมนุษย์ไง”ผมพึมพำเสียงเบาพร้อมกับหันซ้ายขวาเพื่อดูว่ามีรถไหมก่อนจะข้ามถนนไปยังประตูโรงแรม


“ขออย่าให้เจออีกเลยเถอะ”อยู่ใกล้แล้วรู้สึกเหมือนจะเป็นลม


แค่นี้ก็อยากอ้วกแล้ว


ผมยกมือขึ้นปิดปากตัวเองแล้วพยายามตั้งสติให้มั่น


เทพอย่างผมรู้สึกถึงอารมณ์ ความรู้สึกรวมถึงความต้องการได้อย่างชัดเจน...ยิ่งมนุษย์คนไหนมีความรู้สึกเหล่านั้นในทางลบมากๆ พลังงานที่ปล่อยออกมาจะทำให้เทพอย่างพวกเรารู้สึกอึดอัด ดังนั้นเรื่องที่เทพต้องอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือตามป่าเขาก็เป็นหนึ่งในความจริงที่มนุษย์รู้เกี่ยวกับพวกเรา


“แพน!”เสียงทุ้มอันคุ้นเคยที่ตะโกนเรียกชื่อนั้นทำให้ผมหันไปตามเสียงก่อนจะเจอกันตินที่วิ่งออกมาจากโรงแรมโดยที่มีกายและจิมวิ่งตามหลังมา


“ติน”เรียกเสร็จผมก็วิ่งเข้าไปโผลกอดอีกฝ่ายแน่นพร้อมซุกหน้าลงที่คอของเขา เพียงแค่นั้นความรู้สึกอึดอัดและอยากอ้วกที่มีเริ่มหายไปเมื่อเข้ามาอยู่ใกล้ตินแบบนี้


“แพน?...เป็นอะไร”ตินที่ทำเสียงแข็งตอนแรกก็เริ่มอ่อนลงคงเพราะเห็นผมอยู่ในสภาพไม่ปกติล่ะมั้ง


“...รู้สึกแย่นิดหน่อย”เจอมนุษย์มาก็มาก...พึ่งเคยเจอมนุษย์ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก


“เกิดอะไรขึ้น”เขาถามพลางยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ


“...นิดหน่อย”


“อะไรคือนิดหน่อย”ตินเริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงเมื่อไม่ได้ยินคำตอบที่น่าพอใจจากผม


“ก็...เดี๋ยวค่อยบอกนะ”กระซิบบอกเสร็จก็ขยับออกมายืนตรงหน้าติน แค่ได้อยู่กับตินความรู้สึกแย่ๆที่มีก็หาไปทันทีต่างจากผู้ชายคนเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว


“ไม่เป็นไรแล้วเหรอ”


“อืม...อยู่กับตินแล้วช่วยได้เยอะเลย”ความรู้สึกอุ่นๆเหมือนปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจกว่ามนุษย์คนไหนที่เคยเจอมา


“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”


“ทำสิ”แค่ตินไม่รู้ตัวเท่านั้นแหละ


“ทำให้อิ่มท้องน่ะสิ”อยู่ๆตินก็เปลี่ยนเรื่องก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวผมไปมา


“อืม...อ๊ะ...ไม่ใช่สิ คนละเรื่องแล้วติน”คนกำลังพูดเรื่องเครียดมาพูดอะไรเนี่ย


“หึ...อยากกินอาหารทะเลไหม”


“อาหารทะเล?...อยากกินกุ้ง ปลาหมึกด้วย”สถานการณ์ตอนนี้พลิกกลับเรียบร้อยแล้ว เรื่องเครียดๆนั่นถูกผมโยนทิ้งไปก่อนจะหันมาสนใจอาหารทะเลที่ตินพูดแทน


“ร่าเริงเลยนะ”ตินพึมพำโดยที่สายตาของเขามองมายังผมที่ยิ้มออก ท่าทางของตินทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะเห็นผมทำตัวไม่เหมือนปกติ


“ขอบคุณนะติน...คุณน่ะใจดีมากรู้ไหม”จะมีสักกี่คนที่ทำแบบนี้


“...นายนี่มาโซรึไง”


“ห๊ะ?...มาโซ?...ผมไม่ได้ชอบความเจ็บปวดนะ”ผมตะโกนกลับเพราะเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น การอยู่ญี่ปุ่นมานานจึงได้รับรู้ถึงภาษาของประเทศนั้นบ้าง


คิดผิดแล้วที่ใช้คำที่ผมรู้จัก


“ฉันไม่ได้ใจดี”ตินพึมพำออกมาเบาๆ สายตาที่มองเหมือนไม่เชื่อนั้นทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม


“ใจดีสิ...ตินน่ะใจดีจริงๆนะ”คนที่ใจดีจริงๆน่ะไม่บอกหรอกว่าตัวเองใจดี


มีแค่คนที่อยู่รอบๆเท่านั้นที่สามารถรับรู้ได้


“ไปกินได้แล้ว”พูดจบตินก็ก้าวไปยังถนนอีกฝากหนึ่งทันที


“อย่ามาเขินน่าติน”ผมวิ่งตามพร้อมตะโกนเสียงดังจนคนรอบหันมามองเป็นแถว


“ไม่ได้เขิน...เลิกตะโกนสักที”ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้เขินแต่ก็ซ่อนใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อยไม่ได้หรอกนะติน


ผมก้าวยาวๆตามตินไปตามทางโดยมีกายและจิมเดินไล่หลังมาอีกทีจนถึงร้านอาหารสีฟ้าน้ำทะเลที่ตั้งอยู่ริมหาดทรายสีขาว บรรยากาศของร้านภายนอกเป็นเหมือเรือลำใหญ่ถูกประดับด้วยเปลือกหอยหรือหินอันสวยงาม เมื่อเข้ามาด้านในก็เจอกับบรรยากาศเย็นๆของเครื่องปรับอากาศก่อนจะพบกับพื้นที่มีทรายถูกนำมาเทไว้ให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่ทะเลจริงๆ


“คุณตินครับ”กายที่เดินตามมาวิ่งเข้าไปหาตินพร้อมกระซิบบางอย่างที่ทำเอาตินหน้าเครียดขึ้นมาทันตาเห็น


“ไปจัดการให้หน่อย”บอกกายเสร็จก็หันมามองจิมต่อ เพียงแค่มองก็ดูเหมือนจิมจะรู้ว่าเจ้านายต้องการอะไร เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไปยังเคาน์เตอร์ที่มีเจ้าของร้านอยู่ ส่วนกายเองก็ออกไปข้างนอกร้านแล้ว


“ติน...เกิดอะไรขึ้น?”ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบายใจนัก


“เหมือนกายจะเห็นคนที่ฉันไม่อยากให้เห็นนายน่ะ”ตินบอกแล้วคว้าแขนผมให้เดินตามไปยังห้องห้องหนึ่งที่อยู่ติดริมทำให้มองเห็นทะเลด้านนอกผ่านกระจกได้ ห้องนี้เป็นเหมือนห้องอาหารส่วนตัวเพราะถูกแบ่งออกจากโต๊ะอื่นๆอย่างชัดเจนเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว


“นี่ติน...คนว่าหมายถึง...”พอนั่งลงที่เก้าอี้เรียบร้อยผมก็เอ่ยขึ้น


“อย่างที่นายคิดแหละ...ตอนที่ฉันไปคุยธุรกิจก็ไม่ได้เจอกันเห็นว่ามาคุยก่อนแล้วซึ่งก็ดีเพราะฉันไม่อยากเจอหน้าหมอนั่นเท่าไหร่”ตินตอบโดยที่ผมยังถามไม่จบ


อย่างที่คิดจริงๆด้วยคนที่ว่าคือคนที่ทำร้ายติน


“ทำไมถึงไม่อยากให้เห็นผมล่ะ”


“ไม่บอก”


“ห๊ะ?”คำเดียวสั้นๆทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก


อีกแล้วเหรอ


นี่มันกี่รอบแล้วที่ผมได้รับคำตอบกวนๆแบบนี้


“ทำหน้าตลก”พูดจบตินก็หลุดหัวเราะออกมา


“ไม่ตลกนะติน...อย่ากวนสิ ขอคำตอบแบบจริงจังหน่อย”ผมอยากรู้จริงนะ


“ที่ฉันพูดเรียกว่าไม่จริงจังตรงไหน”ยิ่งตินถามกลับด้วยใบหน้าไม่รู้ร้อนแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนปั่นหัวมากขึ้น


“ทั้งหมดนั่นแหละ”


“หึ...สั่งอะไรดี”


“อย่าพึ่งเปลี่ยนเรื่องสิติน”ผมพูดถึงทันทีที่อีกฝ่ายเปิดเมนูบนโต๊ะขึ้นดู


“นายก็อย่าเสียงดังสิ...ถ้าเป็นเด็กดีเดี๋ยวคืนนี้จะพาไปกินบุฟเฟ่”


“บุฟเฟ่?...พูดแล้วนะ”ผมยิ้มร่าออกมาเมื่อได้ยินคำว่าบุปเฟ่


“อืม”


“แล้วจะไปกินที่ไหน”ผมถามต่อด้วยความตื่นเต้น


“โรงแรมที่เราพัก”


“หื้ม?...ที่โรงแรมมีด้วย?”


“อืม...เจ้าของโรงแรมเป็นคนเดียวกับเจ้าของห้างที่ฉันจะซื้อ...เขาเลยให้บัตรเข้าร่วมงานที่จะจัดในคืนนี้มา”ตินอธิบายนิ่งๆ มือที่จับเมนูก็เปิดไปมาเพื่อดูรายการอาหารภายใน


“งานอะไร”หรือว่าจะเป็นงานปาร์ตี้


“งานเลี้ยงฉลองครับรอบ50ปีของโรงแรม”


“งานฉลอง...เหมือนกับงานปาร์ตี้สินะ”ถ้าเหมือนกับปาร์ตี้ที่เคยเห็นก็แปลว่าต้องเต็มไปด้วยของกิน


“ก็เหมือนแต่งานฉลองมีของกินมากกว่างานปาร์ตี้เยอะ”


“ไปกันเถอะ...เดี๋ยวนี้เลย”ผมแทบทนรอถึงช่วงเย็นไม่ไหวแล้ว


“ตะกละ”เสียงพึมพำเบาๆนั่นทำให้ผมชะงักก่อนจะหันกลับไปมองค้อนติน


“ไม่ได้ตะกละ...แค่เห็นค่าของอาหารต่างหาก”ผมย้อนกลับด้วยรอยยิ้ม


แค่คิดถึงอาหารระดับโรงแรมวางเรียงรายตรงหน้าผมก็อดใจไม่ได้แล้ว

...

มาอัพต่อแล้วววว

วันนี้มาช้าเล็กน้อยพอดีออกไปทำธุระข้างนอกมากค่ะ

พอเราแต่งเรื่องนี้มาได้สักพักอยู่ๆก็เห็นภาพแพนอ้วนเป็นขึ้นมาในหัว ทำเอาหัวเราะออกมาเลยค่ะ55

กินเยอะแบบนั้นแต่ไม่อ้วนออกจะน่าอิจฉาอยู่ไม่น้อย

ตินเองก็เลี้ยงดีเหลือเกิน เดี๋ยวซื้อนู้นให้เดี๋ยวพาไปกินนั่น

น่ารักไปอีก

กล้าพูดเลยว่าเป็นเรื่องที่เราแต่งแล้วยิ้มแทบทุกตอน

หวังว่าทุกคนจะยิ้มตามเช่นกันค่ะ

ขอบคุณทุกๆกำลังที่มีให้นะคะ บางทีเราไม่ได้ดูแค่คอมเม้นท์แต่ยอดวิวเองก็มีส่วนช่วยให้เรามีกำลังใจแต่งมากขึ้น

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่า

บ๊ายบาย :bye2:

ปล.ตอนนี้นิยายเรื่องJurassicภาค2กำลังเปิดพรีอยู่หากสนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ทางเพจเรานะคะ

nicedog

♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด