ความเสี่ยงที่ 16
11.14
วันพุธ“พี่วินคะ มีลูกค้ามาพบค่ะ”
“หา” ผมเงยหน้าเหวอๆขึ้นจากกองเอกสาร “ดีไซน์เนอร์ของ XX อ่ะนะ พี่ไม่ได้นัดคุยกับวันพฤหัสเหรอ นี่วันอะไรนะ” ลืมวันลืมคืนไปหมดแล้วเนี่ย
“วันนี้วันพุธค่ะ แต่.. เอ่อ ไม่ใช่จาก XX อ่ะพี่” น้องแคร์ฟังโทรศัพท์ต่อ “พี่จอยให้รอในห้องประชุม 2 ค่ะ”
ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะรวบกระดาษตรงหน้าไปไว้ฟากหนึ่งของโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดิน
อะไรวะเนี่ย นัดก็ไม่ได้นัด นึกจะมาก็มาเหรอคร้าบบบ ถ้าติดประชุมจะทำยังไง ทำไมไม่นัดก่อนนนน โว้ยยยย คิดว่าพรี่เป็นใครครับเนี่ยยย
ผมมองปลายเท้าตัวเองขณะที่เดิน ถอนหายใจหนักๆก่อนจะเงยหน้าแล้วผลักประตูกระจกเข้าไป
อ่อ..เออ พี่ไม่ต้องนัดหรอกครับ
ทุกคนต่างหากที่ต้องคลานเข่าพร้อมกรวยบายศรีเข้าไปนัดพี่
“พี่ตะวัน มาได้ไงครับเนี่ย”
ร่างสูงที่กำลังยืนพินิจพิจารณาชั้นวางโมเดลในห้องหันกลับมาอย่างว่องไว แค่เห็นสูทคัตติ้งเรียบเป๊ะแบบนี้ก็จำได้แล้วล่ะ
“สวัสดีครับวิน” อีกฝ่ายยิ้มให้ผมอย่างอารมณ์ดี “พี่เพิ่งกลับจากเกาหลีน่ะ วันนี้ยังว่างๆอยู่เลยเอาของมาฝาก”
“จะมาทวงงานด้วยล่ะสิครับ” ผมพูดขำๆ
“นั่นก็ด้วยครับ อยากเห็น mood and tone บอร์ดแล้ว”
ผมอ้าปากค้าง ชิบผาย พ่อมาทวงงาน! ยังไม่เสร็จครับพูดเลย ก็เพิ่งจะส่งคอมเมนต์มาวันจันทร์ตอนกลางคืนเอง นี่ยังอยู่ที่พี่มีนฝ่ายแบรนด์ดิ้ง รายชื่อผู้ออกแบบก็ยังไม่ครบห้าเจ้า ตายห่าาาาา ในระหว่างที่กำลังคิดหาคำตอบที่ไม่ตลกแดกจนเกินไป คนตัวสูงก็หัวเราะขึ้นมา
“ฮ่าๆ พี่พูดเล่นครับวิน ดูทำหน้าตลกเชียว”
“หาา” ผมทำหน้าเหลอหลา
“พี่เอาของมาฝากเฉยๆน่ะ จะได้มีกำลังใจทำงาน” ว่าแล้วก็หยิบถุงขนมที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาโชว์
“ใจหายหมดเลย” ผมว่า “ได้ยินว่าทวงงานนี่ขนลุกเกรียวเลยครับ”
“ฮ่าๆ นี่อันนี้จากเกาหลี ส่วนอันนี้จากเซี่ยงไฮ้ครับ ลองแล้ว อร่อย รับประกัน” คนในชุดสูทยกไม้ยกมือประกอบแล้วส่งถุงขนมให้
“ขอบคุณครับ นี่พี่ตะวันซื้อมาเยอะแบบกินได้ทั้งออฟฟิสเลยเนี่ย อ้วนชัวร์” ผมบอกขอบคุณ ขนมสามถุงใหญ่ๆในมือหนักพอควร ผมเลยวางไว้ที่เก้าอี้ด้านหน้า
“แล้วก็นี่ อันนี้ของวิน” คุณตะวันยิ้มกว้างก่อนจะล้วงมือเข้าไปในเสื้อสูท หยิบถุงกระดาษเล็กๆ ออกมา “พี่ให้”
“เห้ยยยยยย” ผมเผลอร้องเสียงดัง “พี่ไปหามาได้ยังไงน่ะครับ!!!”
ผมมองถุงกระดาษในมือพี่ตะวันแล้วทำตาโต
นี่มันปากกาหมึกซึม LAMY สีน้ำตาลแบบลิมิเตดที่ collaboration กับ LINE friend มีขายเฉพาะที่เกาหลีนี่! แถมไม่ได้หาง่ายนะครับ Sold out ทั้งประเทศ ของมาทีจะตีกันตาย! ตอนนี้ราคาน่าจะพุ่งไปที่ด้ามละเกือบๆ ห้าพันบาทแล้ว
พี่ตะวันอมยิ้ม “เห็นวินชอบ LAMY พี่ว่าน่าจะชอบ”
“แต่ว่า มันแพงนะครับ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก”
“รับไปเถอะครับ นี่พี่มีอีกหลายแท่งเลย ไปประชุมแล้วเขาแจกมา”
“หา ประชุมอะไรครับเนี่ย” ผมทำหน้าไม่เชื่อ เบี้ยประชุมแจกเป็นปากการึไง
“ฮ่าๆ อย่าเป็นเด็กขี้สงสัยสิครับ” พูดจบก็ยัดถุงปากกาใส่มือผมหน้าตาเฉย
“เอ้าาาา” ผมร้องโวย
ไอ้นิสัยชอบเปย์ของพี่แกนี่คงเกินเยียวยาแล้วล่ะ
“ใช้ด้วยนะครับ อย่าเก็บไว้เฉยๆ” คนในชุดสูทยกมือขึ้นดูนาฬิกา “เดี๋ยวพี่ต้องไปล่ะ ไว้คุยกันนะครับ”
“อ่าา ครับ”
แล้วคุณตะวันก็เดินตัวปลิวออกไปจากห้องประชุม ทิ้งผมไว้กับขนมถุงเบ้อเร่อและปากกาลามี่ในมือ
นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป นี่มันนิสัยคนรวยจริงๆเลยแฮะ
_ _ _ _
18.36“อื้อ”
(ขอโทษนะครับ)
“เห้ย ไม่เป็นไร จะขอโทษทำไมเล่า ไปทำงานดิ่”
(ก็สัญญาว่าจะไป)
“ติดงานก็ติดงานดิ่ ไปทำงานไป ห่วงอะไรหนักหนาเนี่ย”
(ครับ ครับ)
ผมกดวางสาย
ไอ้หวานโทรมาบอกครับว่าทั้งอาทิตย์ที่เหลือนี่มันไปดูจิ๋วไม่ได้ ต้องทำโปรเจ็กงานกลุ่ม เตรียมพรีเซนต์อะไรไม่รู้
เออสิ มึงเป็นนักศึกษานะ ไม่ใช่หมอแมว จะมัวมาขลุกอยู่ที่คลีนิคทำไม อยู่ไปสิสตูดิโอน่ะ
จะว่าไป ตอนปีหนึ่งผมว่างขนาดมันเลยเหรอครับ ไหนจะงาน Design fundamental ไหนจะ sketch design ที่ต้องส่งความคืบหน้ากันทุกวันอังคารกับศุกร์ก็แทบจะลากเลือดแล้ว ไม่นับพวกวิชา Construction ที่แทบจะเอาตัวไม่รอดตอนเทอมแรก โชคดีหน่อยที่พวกวิชาทฤษฎีแบบประวัติศาสตร์ศิลป์หรือ Design Principle อาศัยฟังๆเอาในห้องเอาได้ กว่าจะปรับตัวได้นี่ก็ปาเข้าไปเกือบขึ้นปีสองแล้ว
แม่งเอาเวลาที่ไหนมาดูแลแมวจิ๋วได้เกือบทุกวันวะ นี่ไม่นับที่พักนี้แม่งชอบโทรมาถามงานบ้าง ไลน์มากวนประสาทผมบ้างตอนกลางคืนด้วยนะบางที มึงไม่ทำงานเหรอครับเด็กหวาน ไหนจะ
'คนทางนั้น' ของมันอีก เอาเวลาที่ไหนไปเทคแคร์แฟนวะ มาหยอดไปหยอดมากับกูอยู่ได้
มันก็แค่เด็กปีหนึ่ง
จะไปเอาอะไรจริงจังกับมันใช่มั้ยครับ
“วินไปยัง เดี๋ยวพี่จะกลับละ” เสียงพี่ฝ้ายเรียกผมจากประตูทางเข้า
“อ้ะ กลับครับ” ผมกวาดของลงกระเป๋า
ไม่ลืมหยิบเอาถุงปากกาที่ได้จากคุณชายตะวันไปด้วย
เออ จู่ๆก็ได้ปากกาฟรีแฮะ
ผมเดินออกจากออฟฟิสไปกับเจ้านาย ในใจก็คิดว่า เย็นนี้หลังจากไปเยี่ยมจิ๋วแล้วไปดูหนังดีมั้ยนะ
หรือว่าจะไปซื้อของที่ห้างดี ของสดในตู้เย็นจะหมดรึยัง
“อ้าว วินไม่ไปรถไฟฟ้าเหรอ” พี่ฝ้ายถามเมื่อเห็นผมทำท่าจะเดินไปอีกทาง
“ไปทำธุระนิดหน่อยครับ”
“แน่ะ นัดใคร”
“แมวน่ะครับ”
พี่ฝ้ายทำหน้างง
“แมวจริงๆ น่ะพี่ เมี้ยว” ผมยกมือขึ้นเป็นแมวกวักแล้วทำเสียงประกอบ
“แหมมม ” อีกฝ่ายหัวเราะแล้วเอามือตีไหล่ผม “ต้องแบ๊วเบอร์นี้เลยเหรอยะ”
“ฮ่ะๆ มันโดนน้ำร้อนลวกเอาน่ะครับ บังเอิญผมไปเจอมันพอดีเลยเอามารักษา”
“ห้ะ”
ผมพยักหน้าพร้อมเปิดหารูปในโทรศัพท์ให้ดู “นี่ไง”
“โอ้ย หูหายไปไหน น่าสงสารจังลูกก” พี่ฝ้ายร้องขึ้นหลังจากหยิบมือถือไปดู “แล้วนี่รักษามานานรึยัง ไม่เห็นบอกเลย” เจ้ฝ้ายผมนี่ก็ทาสแมวนะครับ ที่บ้านแกมีอยู่สองตัว เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เล็กแต่น้อย
“สักสามอาทิตย์แล้วล่ะครับ ที่คลีนิคตรงซอย 3 นี่เอง” ผมบอก “ไปด้วยกันมั้ยล่ะครับ”
“เอาสิ วันนี้พี่ไม่ได้รีบไปไหน”
เป็นอันว่าผมได้คนเดินไปคลีนิคเป็นเพื่อนอีก 1 ea
_ _ _ _
19.07วันนี้การรักษาแมวจิ๋วเป็นไปได้อย่างราบรื่น สภาพแผลดีขึ้นมาก แถมตัวแสบก็ยังร่างเริงแรงดีไม่มีตก เกาะไหล่ปีนหัวแทะนิ้วผมได้สบายๆ พอถึงเวลาเล่นเจ้าตัวเล็กก็ตาแป๋วเมื่อเจอคนหน้าใหม่ เดินเข้าไปดมๆอย่างตื่นเต้น พี่ฝ้ายคงมีกลิ่นแมวจากที่บ้านติดมา
“นี่ค่ะน้องวิน” พี่ผู้ช่วยพยาบาลส่งใบแจ้งค่ารักษาของอาทิตย์นี้มาให้ผมเซ็น ในขณะที่พี่ฝ้ายกำลังอุ้มจิ๋วเล่นอยู่
“เอ้ย พี่ออกให้เอง ถือว่าช่วยกันๆ” เจ้านายคนสวยของผมชะโงกหน้าเข้ามาดู “อ้ะ ไม่ต้องเถียง ชั้นเป็นเจ้านายเธอ” ผมที่กำลังจะส่งเสียงค้านโดนพูดดักคอไว้ “นี่ต้องรักษาอีกนานมั้ยคะ” พูดพลางส่งจิ๋วให้ผมอุ้ม ส่วนตัวเองก็ค้นกระเป๋าสตางค์ยื่นเครดิตการ์ดให้เจ้าหน้าที่ไป
“อีกสักอาทิตย์ก็กลับบ้านได้แล้วค่ะ ตอนนี้ไม่ต้องขูดเนื้อตายแล้ว รอให้แผลแห้งอย่างเดียว”
เออว่ะ ผมยังไม่ได้นึกเลยว่าจะทำยังไงกับจิ๋วต่อ
คงต้องหาบ้านให้แล้วสินะ.. ยังไงดีล่ะเนี่ย
“พี่ก็อยากรับอยู่หรอกนะ แต่เด็กๆที่บ้านสองตัวก็ไม่ไหวละ” พี่ฝ้ายโอดครวญ เอามือเกาคอแมวจิ๋วที่อยู่ในมือผม
“น้องวินฝากไว้ที่คลีนิคก่อนก็ได้ค่ะ หาบ้านได้แล้วค่อยมารับไป” พี่ผู้ช่วยแนะนำ
หลังจากเล่นกับจิ๋วไปเพลินๆ จนรู้ตัวอีกทีก็เกือบจะสองทุ่มก็ได้เวลาแยกย้ายกันกลับ ผมเอาเดินเอาจิ๋วไปใส่กรงก่อนจะเคาะหัวบอกลาแมวหูเดียวที่ทำตาใส มันเอาหัวถูมือผมแล้วร้องเมี้ยวกลับมา เฮ่ออ จะทำใจเอาไปให้คนอื่นเลี้ยงได้ยังไงล่ะเนี่ย
หรือผมจะแอบเลี้ยงในคอนโดดีนะ_ _ _ _
22.34(พี่ลบโพสเดี๋ยวนี้เลย)
“ทำไม”
(ไม่เอาอ่ะ ผมไม่ยอม)
“โว้ะ!”
มันเวรกรรมอะไรของผมที่ต้องลุกขึ้นมานั่งเถียงเป็นจริงเป็นจังกับเด็กอายุ 18 ตอนเกือบห้าทุ่มแบบนี้วะครับ
หลังจากผมโพสประกาศหาบ้านให้แมวจิ๋วเสร็จ (ไม่ใช่ทำใจง่ายๆนะครับ เขียนแล้วลบอยู่นั่นแหละ) ตั้งท่าเอนตัวพิงหัวเตียงแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านปุ๊บ ไอ้เด็กนี่ก็โทรมาปั๊บ โวยวายใหญ่ว่าไม่อยากยกแมวให้คนอื่น
(เดี๋ยวผมรับมาเลี้ยงเอง)
“หาเวลานอนให้พอก่อนเถอะมึงน่ะ ให้คนอื่นที่เขาพร้อมๆดีกว่า”
(ไม่เอา)
“มีเวลาดูแลที่ไหนล่ะ” ผมถอนหายใจ
(มีดิ่)
“คิดดีๆ นอนยังไม่ค่อยจะได้นอน นี่ปีต่อๆไปหนักกว่านี้อีก กูรับรอง”
(ผมดูแลได้ดิ่ นี่ยังไปหาได้เกือบทุกวันเลย)
“ค่าใช้จ่ายอีกเยอะแยะ ไหนจะค่ายาค่าวัคซีน ค่าอาหาร ต้องดูแลเยอะนะ”
(...)
“น่ะ เห็น-”
(แต่จิ๋วติดผมนะ)
นั่นไง.. ข้อนี้แหละที่ผมก็กังวล ไอ้ตัวแสบยังคงเล่นตัวกับพี่ผู้ช่วย ต้องให้ผมไม่ก็ไอ้เด็กหวานนี่ไปช่วยจับ ไม่งั้นมีอาละวาดข้าวของพังไปเป็นแถบๆ นี่บางวันไม่ว่างตรงกันทั้งสองคน แมวก็ไม่ต้องล้างแผลกันล่ะครับ ทั้งกัดทั้งข่วนจนเขาขยาดกันไปหมด
(ใช่มั้ยล่ะ ให้ผมรับเลี้ยงเนี่ยดีที่สุดแล้ว)
“บอกว่าไม่ให้”
(แล้วพี่จะทำยังไงอ่ะ ให้คนไม่รู้จักนี่ผมไม่ยอมนะ)
นี่ผมไม่เคยเห็นมันเถียงอะไรจริงจังขนาดนี้เลยนะ ให้ตายเหอะ
(พี่จะรู้ได้ไงว่าคนที่จะรับจิ๋วไปเขาจะดูแลดี เลี้ยงแมวเป็นรึเปล่า ถ้าเลือกคนที่มีแมวอยู่แล้วก็ไม่ได้อีก เดี๋ยวก็ตีกันตาย จิ๋วมันจะไปสู้อะไรใครเขาได้อ่ะ จิ๋วมันคอนดิชั่นเยอะนะครับพี่วิน)
“หวาน”
(ไปเจอพวกเลี้ยงระบบเปิดก็แย่อีก เกิดปล่อยออกไปข้างนอกแล้วจะอยู่ได้ยังไง โดนเจ้าถิ่นรังแกตายเลย)
“ฟังก่อนดิ่”
(รักแมวรึเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ดิ่พี่ ถ้ามันโดนทิ้งอีกจะทำยังไง หูก็มีอยู่ข้างเดียว ขนก็หลุดๆร่วงๆ…. เห้ย หรือคนที่จะมาขอรับจะเอาจิ๋วไปหากิน โพสสร้างสตอรี่ดราม่าๆ หากินจากความสงสาร)
ไปกันใหญ่แล้วไอ้บ้าาาาาาาา“ไอ้คุณหวานว้อยยยยยยย” ถ้านี่เป็นรถผมนี่ก็เรียกว่ากระทืบเบรคอ่ะครับ
(อะไรล่ะครับ)
“มึงอ่านโพสกูหมดป่ะเนี่ย ว่ามีข้อกำหนดกี่ข้อกว่าจะขอรับจิ๋วได้ ละเอียดกว่ารับมึงเข้าเรียนอีกมั้ง”
(อ่า..)
“ยาวไปไม่อ่านรึไง ชอบอ่านคลิกเบทเหรอ เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ยห้ะ ไอ้เด็กบ้า…” ผมบ่น
(ก็...)
เออ
แดกจุดไปดิ่
“เขียนไว้หมดแหละ บ้านมีกี่คน ต้องเคยเลี้ยงแมวมาก่อน แมวยังอยู่มั้ย กี่ตัว ประวัติวัคซีนเป็นยังไง วิธีเลี้ยงแมว ให้แมวกินอาหารออะไร สภาพบ้านเป็นยังไง แมวนอนที่ไหน มีสัตว์อย่างอื่นในบ้านมั้ย ข้างบ้านมีหมารึเปล่า นี่กูเป็นนักวิเคราะห์นะครับมึง รอบคอบพอ” ผมพูดเร็วปรื๋อ
(แล้วถ้า..)
ยัง ยังอีก ยังจะเถียงกูอีก…
“ถ้าไม่มีใครรับไป กูนี่แหละจะเอามาเลี้ยงเอง”
(อ๋อ…) เสียงคนเด็กกว่าอ่อนลงไปหลายสเต็ป
“พอใจยังไอ้เด็กยุ่ง”
(ก็ผมตกใจอ้ะ) มันแก้ตัวดื้อๆ
“คิดว่ากูจะใจร้ายอะไรขนาดนั้น”
(ไม่รู้นี่นา ก็ปกติใจร้ายกับผมตลอดเลย)
นั่น กลายร่างเป็นเด็กสามขวบไปแล้วครับ
“จะหาเรื่องใช่มั้ยห้ะ..” ผมทำเสียงขุ่น
(เปล่าครับ)
“กวนตีน”
(งั้นถ้าพี่เลี้ยงจิ๋ว ผมก็ไปหาได้ดิ่) มันเปลี่ยนเรื่องเฉย
“เออ..”
(สาาาธุ อย่ามีคนรับเลี้ยงเลย ให้พี่วินเลี้ยงเถอะ)
“อะไรของมึง”
(ก็ผมจะได้ไปหาบ่อยๆ)
“...”
(คิดถึง)
“มึงนี่ติดแมวเนอะ”
(ติดพี่ต่างหาก)
เหอออออ…..“พ่องสิ..” ไอ้เด็กนี่จะหนักข้อขึ้นทุกวันแล้วนะ หยอดไปเรื่อยเลยไอ้นี่
(อะไร ผมจริงจังนะ)
“...”
(พี่วิน?)
“กูจะนอนละ”
(หา?)
“บาย”
แล้วผมก็กดตัดสายมันไปอย่างเร็ว
จะจริงจังอะไรล่ะสัส!! ไปจริงจังกับแฟนมึงโน่น!! _ _ _ _
18.40
วันพฤหัสผมก้มหน้ามองนาฬิกาแล้วถอนหายใจเบาๆ วันนี้ลากยาวอีกแล้ว
จริงๆแล้วโปรเจ็กนี้ไม่ได้เกี่ยวกับผมโดยตรงหรอกครับ หลังบรีฟผู้ออกแบบเสร็จแบบชิวๆ ตอนบ่ายสองครึ่ง พี่ฝ้ายก็บอกว่าฝ่ายแบรนด์ดิ้งเขาจะบรีฟทิศทางให้ผู้ออกแบบภายในของคอนโดระดับ A++ กัน ให้ผมเข้าสังเกตการณ์ที่แถวหลังสุด เผื่อเวลาต้องบรีฟอินทีเรียโปรเจ็กต์ของคุณตะวันจะได้เข้าใจ งานอินทีเรียแบรนด์ดิ้งนี่รายละเอียดเยอะยุบยิบ ทั้งพรอบทั้งเฟอร์ตีกันให้ยุ่ง นั่งมาสองชั่วโมงครึ่ง ยังไม่มีท่าทางว่าจะจบเลย
สารภาพตามตรงว่าตอนนี้ไม่ค่อยได้สนใจที่เขาพรีเซนต์กันอยู่เท่าไหร่หรอก มัวแต่คิดอะไรไปเรื่อยมากกว่า
ก็….เรื่องไร้สาระแหละครับ ไม่สำคัญเท่าไหร่.. หรอกมั้ง……
คือปกติผมก็ว่าเป็นคนมองสถานการณ์อะไรไม่ค่อยพลาดนะ แต่พักนี้เหมือนเซนส์จะเสื่อมไปซะแล้ว
แยกไม่ค่อยออกแล้วครับ อันไหนจริงอันไหนไม่จริง.. ใครพูดจริงพูดเล่น
โว้ย ไม่ชอบเลย อะไรไม่แน่นอนแบบนี้เนี่ย
“วิน”
“...”
“น้องวิน?” พี่มีนฝ่ายแบรนด์ดิ้งที่ยืนอยู่หน้าห้องเอียงคอถาม
ผมทำหน้าเหวอไปสามวินาที “อ้ะ คะ ครับ”
“มีอะไรจะถามรึเปล่าคะ พวกขั้นตอนตรงนี้”
“อ่าาา ยังไม่มีครับ”
“โอเคค่ะ พอดีเดี๋ยวจะเข้าส่วนของการคิด Risk Management แล้ว อาจจะต้องขอให้ทีมวิเคราะห์ดูความถูกต้องอีกที”
“ครับๆ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นต่อเลยนะคะ”
“ครับผม”
พอตอบพี่มีนเสร็จก็อยากจะเอาหัวโขกโต๊ะให้สลบไป พี่ฝ้ายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะงี้ค้อนเอาตาเขียว ไอ้คนทำผิดแบบผมก็ได้แต่ก้มหัวขอโทษขอโพยไป มีอย่างที่ไหนมานั่งใจลอยระหว่างประชุม บ้าบอจริงๆ
พักนี้ผมว่าผมปล่อยให้คนเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวผมง่ายเกินไปแล้วล่ะ
มันชักจะรบกวนความคิดประจำวันผมมากเกินไปแล้ว
ผมดึงสติกลับมาตั้งใจฟังการประชุมใหม่ นั่งไปอีกเกือบสามสิบนาทีถึงได้ฤกษ์เลิกประชุมกัน
หลังจากโดนพี่ฝ้ายสวดเอาเรื่องเหม่อในห้องประชุมจบไปหนึ่งยก กราบขออภัยโทษเสร็จผมก็รีบพุ่งตัวมาที่คลีนิคสัตวแพทย์ หลังจากโทรเชคแล้วก็เป็นไปตามคาดคือมาไม่ทันจิ๋วล้างแผล คุณหมอใจกล้าจัดการเรียบร้อยแล้ว (พี่ผู้ช่วยสังเวยแขนตัวเองไปสองรอย พรุ่งนี้ต้องซื้อขนมมาให้ซะแล้ว) ผมโผล่เข้าไปตอนกำลังจะเอาจิ๋วเข้ากรงพอดี ไอ้ตัวแสบเห็นหน้าปุ๊บนี่ก็แหกปากเรียกเป็นอย่างแรก ต้องรีบเข้าไปอุ้มแล้วลูบหัวลูบหางเอาใจอยู่ตั้งนาน
อีกสิบห้านาทีคลีนิคจะปิด
ผมนั่งเอนตัวเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาหน้าห้องตรวจโดยมีแมวจิ๋วนอนครางครืดๆให้ผมเกาคออยู่บนตัก นี่ผมกลายเป็นทาสมันอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ
ผมกดดูอินบ๊อกซ์ของตัวเอง มีคนติดต่อมาเรื่องรับเลี้ยงแมวจิ๋วสองคน
คนหนึ่งมีแมวตัวเมียอายุห้าปีอยู่แล้วหนึ่งตัว ดูแลฉีดวัคซีนตามปกติ อืมม ตัวเมียกับตัวเมียก็อาจจะเข้ากันได้ แต่เขาเลี้ยงแมวระบบเปิด ผมว่าจิ๋วไปอยู่อย่างนั้นจะแย่เอา ไม่เสี่ยงดีกว่า
ส่วนอีกคนเคยเลี้ยงแมวมาก่อน ผ่านเกณฑ์ทุกอย่างแต่แฟนเจ้าของบ้านกำลังท้องอยู่… คิดหนักเลยครับ นี่ถ้ามีเด็กอ่อนเกิดมา ขนเจ้าจิ๋วจะไปกระตุ้นภูมิแพ้เด็กรึเปล่า แล้วเขาจะมีแวลาดูแลแมวมั้ยล่ะเนี่ย…
ผมก้มหน้ามองแมวจิ๋วที่อยู่บนตักตัวเอง มันส่งสายตาแป๋วแหววกลับมา แล้วยังจะยื่นจมูกมาชนคางผมอีก
ถ้าจะอ้อนซะขนาดนี้… ไม่ต้องหาคนรับเลี้ยงแล้วครับ
อยู่กะผมแม่งนี่แหละ!
ผมถอนหายใจแล้วพูดกับมันเบาๆ “ไปอยู่กับกูละกันนะจิ๋ว”
“จริงเหรอ!” ไอ้หวานที่ยืนอยู่ตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้พูดเสียงดัง
ผมตกใจจนจิ๋วที่อยู่บนตักสะดุ้งไปด้วย ยังดีที่จับไว้ทัน คนมาใหม่เดินก้าวยาวๆตรงมานั่งลงข้างผมหน้าตาเฉย
“นึกว่ามาไม่ทันแล้วเนี่ย” มันถอนหายใจ จะว่าไปวันนี้มันดูโทรมกว่าที่เคย สงสัยจะโดนฤทธิ์เดชของโปรเจ็กต์ดีไซน์เข้าไป ของเขาแรงครับ ใต้ตางี้คล้ำเชียว
“นี่มึงโดดงานดีไซน์บิลด์มาเหรอ เลวจริงๆ” ผมพูดถึงงานกลุ่มที่เด็กปีหนึ่งจะต้องทำร่วมกัน นอกจากจะต้องออกแบบแล้ว ยังต้องลงมือสร้างจริงกันเองอีกต่างหาก ถึงจะเป็นโปรเจ็กต์เล็กๆ เช่น ป้อมยาม ที่นั่งเล่นหน้าห้องสมุด บูธขายน้ำ บลา บลา บลา แต่สำหรับเด็กปีหนึ่งที่ไม่มีพื้นฐานการก่อสร้างจริง บอกได้เลยครับว่าหนัก
“เห้ย ไม่ใช่ดิ่ กลุ่มผมทำนาฬิกาแดดที่วงเวียนหน้าคณะ นี่เพิ่งเทปูนฐานเสร็จไง” มันรีบตอบ
“อ่อ” อย่างน้อยก็ต้องรอปูนเซทตัวอีกอย่างน้อยหนึ่งวันสินะ
“ว่าแต่พี่พูดจริงใช่มั้ย ที่จะรับเอาจิ๋วไปเลี้ยงเองน่ะครับ” หวานหันหน้ามาถามผม เจ้าตัวยิ้มจนตาตี่
“เออออ” ผมลากเสียง
“เยส!” มันพูดเสียงดังแล้วเอื้อมมือมาจับเอาจิ๋วที่อยู่บนตักผมไปอุ้มไว้กับอก “ไปอยู่กับพี่วินเนอะ จะได้ไปหาบ่อยๆ”
“...”
จำไอ้เรื่องที่ผมคิดไม่ตกในห้องประชุมจนโดนดุได้มั้ยครับ
เอาตรงๆ เลยก็เรื่องไอ้เด็กหน้าหล่อคนนี้น่ะแหละ
คือที่มันมาป้วนเปี้ยนรอบๆตัวเนี่ย ก็ไม่ใช่ว่ารำคาญอะไร เอ็นดูมันในฐานะรุ่นน้องคนหนึ่ง
แต่ที่มันขยันหยอดผม พักนี้มันชักจะเยอะไปแล้วไง
นี่เริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ามันพูดจริงหรือเล่น ถ้ามันไม่พูดที่ร้านกาแฟก็คงคิดไปแล้วว่ามันจะจริงจัง
ผมสลัดหัวไล่ความคิดออกจากหัวแล้วมองมันคุยหงุงหงิงกับจิ๋ว “มึงก็พูดภาษาแมวเป็นเรื่องเป็นราวเนอะ”
“เมื่อกี้พี่ยังคุยกับจิ๋วเลย”
“ไอ้--”
“กลับเข้ากรงเถอะเน้อะ เดี๋ยวคลีนิคจะปิดแล้ว พี่ๆที่ดูแลเขาจะกลับบ้านดึกเอา” มันเดินอุ้มแมวลอยหน้าลอยตาไปที่กรงแบบไม่รอผมด่าให้จบ เดี๋ยวเถอะมึง ขอให้คืนนี้ฝนตกแล้วปูนแม่งไม่แห้ง ขอให้ไม้แบบมึงเบี้ยว ไอ้เด็กบ้านี่
“อ้ะ น้องวินคะ” พี่ผู้ช่วยที่กำลังเดินเข้ามาเช็คเด็กๆที่อยู่ในกรงทักขึ้น
“ครับผม”
“เมื่อวานน้องผู้หญิงที่สวยๆ เขาถามเรื่องอาหารแมวรอยัลคานินสำหรับแมวในบ้านไว้ ฝากบอกได้มั้ยคะว่าของเข้าแล้ว”
“อ๋อ ได้ครับ เดี๋ยวผมบอกให้”
คนอายุน้อยที่สุดในห้องหันควับมามองหน้าผม “ใครน่ะครับพี่วิน”
“ยุ่ง”
“แฟนเหรอ?”
(...)
“เห้ย จิงดิ่ แฟนพี่เหรอ?”
“ยัง..”
“ยังไม่ใช่แฟน? พี่จีบอยู่??”
“ยังไม่หยุดถามอีกมึงเนี่ย..” ผมโวย “จะกลับมั้ย ไม่กลับกูกลับนะ... พี่ๆครับ ผมไปก่อนนะ” หันไปพูดประโยคสุดท้ายกับพวกพนักงานในคลีนิค
“เอ้ย กลับสิครับ.. นี่ เดี๋ยวผมไปส่ง” มันดึงข้อมือผมเอาไว้ก่อนจะหันไปยิ้มหล่อบอกลาคนอื่นๆ “ผมไปแล้วนะครับ บ๊ายบาย”
เสร็จแล้วก็เดินลากผมออกมาเฉย นี่กูเป็นเด็กอนุบาลกุ๊กไก่รึยังไง
“ขึ้นรถสิครับ รีบกลับกัน ผมง่วงแล้วอ่ะ” มันเปิดประตูฝั่งตัวเอง
“แล้วจะไปส่งกูทำไม แค่นี้กูเดินไปได้ป่ะ กลับไปนอนดิ่”
“ไม่เอาอ่ะ ต้องไปส่งพี่วินก่อนสิครับ”
ผมส่ายหัวให้ความเด็กโข่งของมันสามสี่ทีก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ หวานตามเข้ามานั่งก่อนที่จะค่อยๆ ออกรถไปเงียบๆ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไลน์หาพี่ฝ้ายเรื่องอาหารแมว ต่อด้วยการนั่งตอบอีเมลล์ที่ค้างมาตั้งแต่ตอนเย็น ก็วันนี้เล่นประชุมตั้งแต่บ่ายสามยันเกือบทุ่ม ตารางเวลาผมเลยรวนไปหมดน่ะสิครับ
นั่งตอบเมลล์ไปยังไม่ทันหมด รถของหวานก็มาจอดที่คอนโดผมเรียบร้อยแล้ว
“เอ้ย ขอบใจมาก มึงก็รีบไปพักผ่อน ดูไม่ได้เลยวันนี้” ผมบอกพลางปลดเข็มขัดนิรภัย เตรียมจะหยิบกระเป๋าแล้วเปิดประตู
“พี่วิน ผมถามอะไรหน่อยสิ..” หวานหันหน้ามามองผมหน้าเครียด “คนที่พี่พามาคลีนิคเมื่อวาน.. แฟนพี่จริงเหรอ”
นี่คุณมึงคาใจอะไรขนาดนั้นล่ะครับ “ถ้าใช่ล่ะ?” ผมถามกลับ
“ไม่เอาดิ่พี่ ซีเรียสนะ” มันพูดเสียงเข้มใส่ เชรดดด จะจริงจังอะไรขนาดนั้น
“ไม่บอก” ผมว่า “ทีมึงมีแฟนกูยังไม่ถามเลย”
หวานทำตาโต “เห้ย ตอนไหน”
“ก็มึงพูดเองที่ร้านกาแฟวันก่อนไง ว่าแฟนมึงเขาไม่ได้เข้าใจผิด แต่เขาไม่รู้เรื่อง” ผมย้อน
“โอ้ยยย” มันร้อง เหอะ ไม่คิดล่ะสิว่ากูจะจำได้ ขอโทษที นี่ตี๋วินเอง “ไม่ดิ่ พี่ตอบผมก่อน ตกลงคนนั้นนี่แฟนพี่รึเปล่า”
“ไม่ใช่” ผมส่ายหน้าตอบมัน อำไปก็ไม่ได้รางวัลอ่ะนะ “เอาจริงๆ กูว่ามึงควรเลิกหยอดไปทั่วแบบนี้นะ แฟนมึงอาจจะไม่รู้ แต่ติดเป็นนิสัยแล้วมันจะไม่ดี มึงควรจะให้เกียรติเขาบ้าง” ผมได้โอกาสสอน
“ไม่ใช่แล้วววว ผมไม่มีแฟนนนน” มันเอามือขยี้หัวตัวเอง ทำท่าเหมือนจะเอาหัวโขกพวงมาลัยรถซะให้ได้
“เอ้า ก็มึง..”
“ไม่ได้หยอดไปทั่วด้วย” หวานปิดหน้าแล้วพูดเสียงอู้อี้
“แต่มึงหยอดกูซะเป็นหนมครกเลยไอ้ห่า” ผมโวยวาย
“โอ้ยยยยยย” มันตั้งสติแล้วหันมาประจันหน้ากับผมแล้วถอนหายใจ “นี่ยังไม่ชัดอีกเหรอ”
“อะไรล่ะ”
“ผมจีบพี่อยู่ไง” “พ่อมึง” พูดออกไปด้วยความตกใจขั้นสุด
อยากจะบอกว่ามันอำแต่หน้าตามันตอนนี้นี่ห่างไกลจากคำว่าล้อเล่นไปเยอะ หวานถอนหายใจแล้วจ้องหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง
“ถือว่าผมขอเป็นรางวัลเมื่อตอนมีตติ้งแล้วกันนะ”
“ผมขอจีบนะครับ” _ _ _ _

มาแล้วค่าาาา ลืมตี๋วินกันหมดแล้วรึเปล่าาาา
มีมรสุมชีวิตนิดหน่อยแต่เรากลับมาล้าววววว คิดถึงทุกคนนะคะ
สำหรับตอนนี้.. ขุ่นตะวันคัมแบ็ก แต่หวานมาแรงกว่า ปีหนึ่งมันไฟแรงขนาดนี้เลยเรอะ เด็กๆนี่ดีจริงๆ 5555
ปล. แอบเห็น #วิเคราะห์การรัก อยู่ในทวิตภพ พูดแบบไม่เว่อร์ว่าดีใจน้ำตาจะไหล
ขอบคุณที่คลิกเข้ามาอ่านกันและเอ็นดูตี๋วินค่ะ มีไฟและกำลังใจในการเขียนจริงๆนะ /มากอดที
แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ
