ความเสี่ยงที่ 18
“เชรดดดดดดดด ท่านตี๋ว่ะ”
“โห เชี่ยอาร์ต มึงลากออกมาได้ กูนี่นับถือเลย”
“เชี่ย ตากูคงฝ้าฟาง ไอ้ตี๋มาไงวะเนี่ย”
“โหยยย กว่ามึงจะมาเจอเพื่อนเจอฝูงบ้างงง”
“นี่กูต้องจองตัวกับเลขามึงข้ามเดือนเลยป่ะวะ” ขอมองบนแพ้บ คือถ้าพวกมึงจะโหวกเหวกกันขนาดนี้... ทีหลังกินเหล้าที่บ้านพ่อตัวเองมั้ยจะได้ไม่เดือดร้อนชาวบ้าน
ดันเลือกโซนด้านนอกซะด้วย ทั้งร้านเขารู้หมดแล้วว่ากูชื่อตี๋และไม่ค่อยมาเจอเพื่อน บ้าบอจริงๆ
ผมมองปราดไปทั่วโต๊ะ แหม่ สมาชิกมากันเยอะตามที่อาร์ตมันโฆษณาไว้ ไอ้เฟิร์สนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะตามประสาคนเคยเป็นหัวหน้าว้ากเหมือนอย่างเคย บนม้านั่งตัวยาวฝั่งซ้ายเป็นปั่น เอ้ และพีทนั่งเรียงกันมา ส่วนฝั่งตรงกันข้ามก็เป็นไอ้บอยหน้าหล่อ ต่อด้วยมนุษย์เทพผู้ขี้เมา ถัดไปอีกหน่อยก็เป็นไอ้น้ำ
“ไง” ผมกับอาร์ตยกมือทักทุกคน ก่อนมันจะรีบเดินไปนั่งต่อท้ายพีทที่อยู่ปลายโต๊ะโดยไม่รอเพื่อนตอบกลับ ผมมองพีทกับน้ำยกแก้วแล้วพยักหน้ากลับมาให้เป็นการทักทาย
ระหว่างที่กำลังมองหาที่เหมาะๆแลนดิ้งอยู่นั้น ไอ้เทพก็กวักมือเรียกหยอยๆ
“มาๆ มานั่งนี่เลย” มันตบที่ข้างตัวปุๆเรียกให้ผมไปนั่งระหว่างมันกับน้ำแล้วทำตาวิบวับ “หายหน้าไปนาน กูละคิดถึ๊งคิดถึงง บอกเพื่อนมาซิครับว่าติดอะไรหรือติดใครอยู่ถึงไม่มาเจอเพื่อนฝูง”
“ตีนกูจะติดหน้ามึงเนี่ย!” ผมว่าพร้อมยกเท้าขึ้น ไอ้เทพหัวเราะคิกคัก
“โอ้ยย ฟ่อแฟ่ใหญ่เลยนะมึง อารมณ์ไม่ดีเหรอจ้ะตี๋” เฟิร์สที่อยู่หัวโต๊ะแซวยิ้มๆ
ห่าราก... ใครไปปากโป้งอะไรเรื่องกูรึเปล่า พักนี้ยิ่งมีประเด็นอยู่
“นั่งๆ” เทพยังคงยืนยันให้ผมนั่งลง แต่พูดก็พูดเหอะ ผมเคยนั่งข้างมันแล้วลำบากชิบหายเลยครับ นอกจากจะเมาแล้วเรื้อนชอบเลื้อยไปทั่ว มันยังเป็นพวกเมาแล้วชอบหาเรื่องอีกต่างหาก นี่ไม่นับไอ้ที่มันชอบสูบบุหรี่ในวงกับมอมผมด้วยนะ
เอาตรงๆจากใจคือไม่อยากนั่งข้างแม่งอ่ะ...
ในระหว่างที่กำลังยืนขมวดคิ้วตัดสินใจ จู่ๆไอ้น้ำก็เลื่อนตัวเองมานั่งติดกับไอ้เทพซะเฉยๆ
“ไหนมึงจะคุยอะไรกับกูเรื่องกลองนะเอ้” มันพูดกับเอ้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “อยู่ตรงนู้นฟังไม่ถนัดว่ะ ตี๋มึงมานั่งนี่แทนกูดิ๊”
น้ำหยิบกระเป๋าจากมือผมไปวางตรงที่มันเคยนั่ง ทำเอาไอ้เทพที่กำลังจะเอื้อมมือมาดึงผมลงไปนั่งถึงกับร้องอ้าว เป็นอันว่าผมเลยได้นั่งท้ายโต๊ะจ้องหน้าอาร์ตโดยมีน้ำอยู่ข้างๆเป็นกันชนระหว่างผมกับเทพแทน
โคตรของความไม่เนียน
ผมตบหลังมันเบาๆ เป็นการขอบใจ น้ำหันมาทำตาใสเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถามว่า ทำไม อะไรเหรอ
ไอ้ส้นตีน สาบานซิว่ามึงแลกที่เพราะจะคุยกับเพื่อนจริงๆ
“มึงนิ่” ผมพูดเสียงแข็ง โบกสักทีดีมั้ยล่ะ
มันหัวเราะนิดๆ ก่อนจะหันไปคุยกับเอ้และบอยที่อยู่อีกด้าน “เรื่องไรนะเอ้ ที่มึงจะถามกูกับบอย”
“หา” เอ้กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะนึกได้ “อ้อ เรื่องค่ายเก็บตัวมือกลองไง นี่มึงจะไปมั้ย” เอ้ว่าแล้วยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ
“นี่ปีหนึ่งยังไม่ได้เข้าค่ายฝึกเหรอวะ พวกปีสามแม่งทำอะไรอยู่เนี่ย ไม่ติดสอบแล้วเรอะป่านนี้” บอยบ่นเสียงดัง
“ไม่รู้ว่ะ ไปหลังสอบมั้ง แต่กูอาจจะไม่ไปนะ” น้ำออกตัว
“กูก็ว่างั้น ลางานลำบากว่ะ หน้าไซท์เนี่ย ให้พวกน้องๆจัดการกันเองเถอะ” เอ้ว่า
“เห้ยย เหลือกูคนเดียวกูก็ไม่ไปนะ” บอยว่า “เรื่องนี้ต้องตามจากใครวะ มือกลองปีสามเหรอ”
“ไปถามพวกไอ้พงศ์เอาเองไปพวกมือกลองเนี่ย” เฟิร์สเบรค “แล้วนี่งมึงทำอะไรไอ้ปั่น มัวแต่เล่นโทรศัพท์ไอ้ห่า”
“ตอบเมลล์ลูกค้าอ้ะ” ปั่นตอบแบบไม่ละสายตาขึ้นมามองคนถามด้วยซ้ำ
“ขยันชิบหาย เห้ย นี่คืนวันศุกร์นะเว้ย” บอยโวยวาย “พักหน่อยไม่ได้เหรอวะ เอ้า ชนๆๆ”
ว่าแล้วก็ยื่นแก้วไปหาคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ปั่นยกมือยันไว้ก่อน “ไม่ได้ว้อย กูต้องตอบเดี๋ยวนี้ พวกมึงไม่เข้าใจหัวอกคนทำงานฟรีแลนซ์แบบกูหรอก”
ก็จริง.. ปั่นเป็นคนเดียวในวง(เหล้านี้) ที่ไม่ได้ทำงานประจำครับ ด้วยความที่มีฝีมือและไม่อยากนั่งแกร่วรองานน่าเบื่อๆ ในออฟฟิสเดือนละชิ้นสองชิ้น หลังเรียนจบมันเลยตัดสินใจรับงานเรนเดอร์ตีฟขายเป็นล่ำเป็นสัน พวกบริษัทใหญ่ๆที่ต้องการใช้มือปืนทำแบบนี้มีอยู่มากทีเดียวครับ เนื่องจากราคาไม่แพง งานเร็ว และไม่ต้องจ่ายรายเดือน พวกภาพ Perspective สวยๆหรูหราชวนฝันที่เห็นแปะขึ้นป้ายเวลาขายโครงการ พร้อมตัวดอกจันเล็กจิ๋วว่า ภาพจำลองบรรยากาศจริงใช้เพื่อการโฆษณาเท่านั้น นั่นแหละครับ ผ่านมือมันมาหมดละ
“เออว่ะ มึงรับงานเองนี่หว่า แล้วไงล่ะ เดือนนี้กี่โปรเจ็กต์” พีทถามขึ้น
“สอง แต่มียิบย่อยอีก รวมๆแล้วเกือบยี่สิบรูปว่ะ นี่กูเปิดคอมเรนเดอร์ทิ้งไว้นะเนี่ย” ปั่นตอบขณะพิมพ์ไลน์ไปด้วย
“อะโหห รวยว่ะ” อาร์ตนับนิ้ว “รูปละสี่พัน โห..”
“รวยก็เหี้ยละ เดือนหน้านี่ยังไม่มีซักงาน ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาอะไรแดกครับ”
ผมพยักหน้า
ช่าย… ประเด็นสำคัญก็คือ ความไม่แน่นอน.. ฟรีแลนซ์แบบนี้ต้องขยันหางานให้ตัวเอง ไม่มีอะไรการันตีปริมาณงานหรือรายได้แต่ละเดือนได้เลย เดือนนี้งานล้นมือ แต่อาจได้นั่งตบยุงเล่นวินนิ่งไปอีกสามเดือนก็ได้ครับใครจะรู้ ทำได้แค่รักษาท่อต่องานจากลูกค้าให้ดีๆ คงระดับคุณภาพงานและส่งให้ตรงต่อเวลา ไม่งั้นเดี๋ยวเขาก็หนีไปใช้เจ้าอื่นกันหมด เงินช็อตทีนี่ไม่ตลกนะครับ
“เอ้อ ปั่น มึงส่งพอร์ตมึงมาดิ่ นี่กูถืออยู่โปรเจ็กต์นึง จะประกาศผลผู้ออกแบบกันอาทิตย์หน้า กูจะได้ฝากโพรไฟล์มึงไป เผื่อเขาจะเรียกใช้” ผมนึกได้
ปั่นทำหน้าดีใจ “จริงป่ะเนี่ยย เออๆ เดี๋ยวคุยนี่จบกูส่งให้เลยตี๋”
“แต่กูไม่รับประกันนะเว้ย ว่าเขาจะเรียกรึเปล่า” ผมออกตัว
“เห้ย แค่เขาเอาโปรไฟล์กูไปก็ดีแล้ว ขอบใจว่ะ” มันว่า
“โอ้ย พวกมึงนี่มีแต่งานๆๆ” เทพพ่นลมออกจมูกแรงๆ “มาเจอเพื่อนก็พักหน่อยสิวะ” พูดจบก็ดื่มเบียร์เข้าไปอึกใหญ่
“เห้ย นี่งานจำเป็น ต้องกินต้องใช้ไอ้ห่า” ปั่นยืนยัน “หรือวันนี้มึงจะเลี้ยง?”
“ห้ะ ใคร กูเหรอ” เทพชี้ตัวเอง “กูไม่รู้ กูเมาแล้ว” มันยกมือสองข้างขึ้นยอมแพ้แล้วทำหน้าตาใสซื่อ
“ถุยยย” อาร์ตแทรกขึ้นมาจากท้ายโต๊ะพร้อมปาทิชชู่ใส่หน้าเทพแม่นอย่างกับจับวาง “ทีงี้ล่ะมาเมา”
ทำเอาทั้งโต๊ะหัวเราะกันครืน
สรุปแล้วเรื่องที่คุยก็หนีไม่พ้นเรื่องงานหรอกครับ (ถ้าไม่อยากฟังก็เชิญมึงเมาไปเลยครับเทพ) มีเรื่องเล่าปรับทุกข์กันทุกคน ทั้งพวกที่อยู่ห้องแบบบริษัทใหญ่ๆอย่างไอ้น้ำ พวกที่อยู่หน้าไซท์แบบอาร์ตและเอ้ เฟิร์สที่เป็นคนทำทุกอย่างในบริษัทเล็กๆ ฟรีแลนซ์แบบปั่น รวมถึงอินทีเรียที่ต้องชนลูกค้าเองแบบพีท ต่างก็มีเรื่องเล่าทุกข์ระทมของการทำงานกันทั้งนั้น
เห็นจะมีแต่บอยกับเทพที่ไม่มีเรื่องบ่น เพราะหลังจากรับงานช่วยโปรเจ็กต์เล็กๆ ของรุ่นพี่จบไปพวกมันก็แทบไม่ได้แตะงานเต็กอีกเลย บอยกำลังทำเรื่องเรียนต่อปริญญาโท ส่วนเทพก็กลับไปดูแลกิจการโรงเลื่อยที่บ้าน ถ้าจะมีปัญหาก็น่าจะเป็นนับเงินไม่ทันเท่านั้นแหละครับ สองคนนี้เลยได้แต่ผสมโรงนั่งวิจารณ์ไปตามเรื่องตามราว คอยตบมุกให้เพื่อนๆ ไม่ซีเรียสจนเกินไป
จะว่าไปมาคุยแบบนีก็ดี เปิดโลกการทำงานให้ผมเยอะเลย
แต่ละคนก็ต้องเจอความสนุกและความลำบากกันคนละแบบ
ฟังแล้วก็วิจารณ์กันไป แลกเปลี่ยนคำแนะนำกันไป รู้สึกพวกเราโตขึ้นอีกนิด
_ _ _ _
00.25วงเหล้าวันนี้เลิกไวกว่าที่เคย
แต่ 9 คน 5 ทาวน์นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับพูดเลย มีป้อแป้อยู่เหมือนกัน
ผมที่ไม่ได้กินนั่งหาวแล้วหาวอีก ส่วนพวกคนที่ขับรถอย่างพีทและบอยก็หยุดไปตั้งแต่แก้วที่สอง
ดูน่าชื่นชมใช่มั้ยครับ เหตุผลไม่ใช่เพราะอยากจะเคารพกฎหรือเนื้อแท้เป็นคนดีอะไร แต่เพราะมีบทเรียนจากเรื่องจริงต่างหาก ตอนปีสี่ก็ไอ้บอยนี่แหละครับกินซะเยอะยังจะสะเออะขับรถ พอจะกลับเจอเป่าที่ด่านตรวจเข้าไป... จะเหลือเหรอครับ.. เรียกว่าออกจากข้าวสารปุ๊บก็เลี้ยวเข้าสน.ชนะสงครามปั๊บ คืนนั้นมันก็เลยต้องนอนในคุกแทนเตียงที่บ้าน เดือดร้อนพวกผมต้องออกมาจากคณะไปประกันตัวมันตอนตีสามเพราะมีส่งงานวันรุ่งขึ้น ไม่สนุกและไม่ตลกครับบอกเลย
ได้บทเรียนชิ้นโตแบบไม่มีใครกล้าเสี่ยงเมาแล้วขับกันอีก..
บอยรับหน้าที่ไปส่งเอ้กับเทพเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน หวังว่ามันจะลากเอาร่างเละๆของไอ้เทพไปได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ส่วนปั่นคนขยันก็กลับไปทำงานต่อ ชีวิตต้องสู้จริงๆ ให้ตาย
ส่วนคนอื่นๆ น่ะเหรอครับ…
นอนกองกันอยู่เบาะหลังรถผมนี่ไง ยกเว้นไอ้พีทที่ขับรถตามมา
ใช่ครับ… พวกมันจะแลนด์ดิ้งที่คอนโดผม!
ไอ้บ้าเอ้ย.. หรือนี่เป็นเหตุผลแท้จริงที่แม่งลากผมมาด้วยวะ
_ _ _ _
01.04ยังดีที่ไม่มีใครถึงกับอ้วกเรี่ยราด และที่สำคัญคือทุกคนมีสติพอจะอาบน้ำแปรงฟันก่อนนอนด้วย เห้ย มิติใหม่แห่งการเมาว่ะ ไม่มีใครทิ้งตัวเลยเหรอ ก็ดี.. จะได้ไม่ต้องทำความสะอาดขนานใหญ่เหมือนทุกทีที่มีคนเมามานอน กลิ่นละมุดไม่ใช่เรื่องตลก.. และการซักผ้าปูเตียงกลิ่นละมุดก็ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่
ผมโยนกระเป๋าสะพายลงพื้นแล้วเลื้อยตัวอยู่ที่เก้าอี้มุมห้องในชุดเดิมเพื่อรออาบน้ำ
พีทกับอาร์ตแยกกันอาบน้ำคนละห้อง ในขณะที่น้ำกับเฟิร์สในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลนอนอยู่บนเตียงเพราะอาบน้ำเสร็จแล้ว
“เห้ย ไม่ได้มานอนนี่ตั้งนานแน่ะ” เฟิร์สว่าแล้วเอาหน้าซุกหมอนใบโต
“คอนโดกูไม่ใช่โรงแรมนะครับสัส” ผมย้อน “แล้วอย่าน้ำลายไหลใส่หมอนกู”
เฟิร์สขำกิ๊ก “อนามัยจังครับเพื่อน”
ผมมองตาขวาง "สัด"
“เฟิร์ส มึงหยิบปลั๊กต่อมาดิ้ กูจะชาร์ตโทรศัพท์” น้ำกระดิกมือเรียก
เฟิร์สเอื้อมมือไปที่โต๊ะข้างเตียง แล้วส่งสายชาร์ตให้ “เอ้า เอาไป”
คนมาเยอะครับวันนี้ ถึงขนาดต้องเอาฟูกมาปูข้างเตียงเพิ่มเลยทีเดียว
โหวตกันแล้วครับว่าอาร์ตกับพีทต้องลงไปนอนข้างล่าง (โดยคนเข้าร่วมโหวตมีผม น้ำ และเฟิร์ส โหวตกันเมื่อกี้ โห.. ยุติธรรมกว่านี้มีมั้ย)
อืมมม… เมื่อไหร่จะได้อาบน้ำวะเนี่ย เมื่อยตัวไปหมด สงสัยวันนี้ใช้พลังเยอะไปหน่อย
แล้วเสียงอะไรเนี่ยแปลกๆ.. เหมือน.. โทรศัพท์เข้า
ไอ้ชิบหาย.. ผมรีบรื้อกระเป๋าตัวเองที่วางกองอยู่บนพื้น
ชัดเลย.. ไอ้เด็กหวานกำลังโทรมา
ถึงกับต้องถลาตัวออกมาจากห้องแล้วมากดรับสายนอกระเบียงห้องนั่งเล่น ทำเอาไอ้พวกที่กำลังนอนอยู่ถึงกับงงไป
“ฮะ. ฮัลโหล” ผมพูดไปปิดประตูระเบียงไป
(ฮัลโหล พี่วิน ไปไหนมาครับ นี่ผมโทรตั้งนานแล้วนะ ไลน์ก็ไม่อ่านเลย นึกว่าเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย)
“ไม่ได้เป็นอะไร กูเลิกงานแล้วก็ไปกินข้าวกับพวกแม่ง เอาโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า ไม่ได้เช็คเลย” สี่มิสคอลเลยเหรอวะ นี่มึงจะร้อนรนอะไรขนาดนั้น
(เฮ่ออ ค่อยยังชั่ว นานกว่านี้นี่จะขับรถออกไปตามแล้วนะครับ)
“เกินไปละมึงอ่ะ” ผมว่า
(ก็ปกติไม่หายไปนานแบบนี้นี่ครับ ว่าแต่นี่กินเหล้ารึเปล่า ถึงคอนโดรึยัง)
“เอ่ออ.. ไม่ได้กินเหล้า.. แล้วก็ถึงคอนโดแล้ว..” ผมตอบมันเสียงเบา
“นี่ทำไมกูต้องรายงานมึงด้วยเนี่ย มึงสิควรไปนอน”
(นอนไม่หลับหรอก ยังไม่รู้ว่าพี่อยู่ไหนนี่นา)
“อ่า..”
(แต่ตอนนี้รู้ละ นอนได้สบายใจ พี่เองก็รีบนอนนะครับ)
“อะ.. เออๆ”
(ผมเป็นห่วงนะครับ)
เอ่ออออ เอ่อออออออออออ ทำไมกูต้องติดอ่างทางความคิดด้วย แต่ไม่รู้จะตอบมันว่าอะไรอ่ะครับ
ซึ่งจริงๆแล้วไอ้บทสนทนาพวกนี้.. เด็กหวานก็พูดอยู่เป็นประจำแหละครับ แล้วผมก็จะคิดทุกครั้งว่ามัน “เยอะ”
แต่หลังจากที่มันประกาศกร้าวว่า เฮ้ยเนี่ย จีบอยู่ ผมก็ดันรู้สึกแปลกๆกับคำพูดแนวนี้ของมันซะอย่างนั้น
ก็มันไม่ได้พูดเล่นเหมือนที่ผมเข้าใจน่ะสิ..
บอกไม่ถูก
และไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง
คิดยังไม่ทันจบก็ไปสบตากับไอ้พีทที่เดินออกมาจากห้องน้ำในห้องนั่งเล่นผ่านกระจก มันขมวดคิ้วแล้วทำหน้างงใส่ผมก่อนจะบุ้ยใบ้ถาม
/มึงแอบมาคุยกับใครดึกดื่นวะ/ เชี่ย ตอบว่าอะไรดีอ่ะ หาสาเหตุไม่ทัน
/ไม่มีอะไร มึงเข้าไปนอนเลย/ ผมขยับปาก
/ใคร/ มันยังไม่ยอมครับ
ไอ้นี่…เสือกละ
/ไปนอนเลย/ ผมโบกมือไล่
/อ๋าา ไล่กูเหรอ.. ก็ด้ายยยย/ พีทอมยิ้ม..และเหมือนจะหัวเราะหึ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งบนโซฟาหน้าทีวี
/กูไม่ไป/ไอ้ชิบหาย..
(พี่วิน? เป็นอะไรครับ) เสียงคนในสายเรียกสติผมกลับมา
“อ่า..” ผมว่าแบบเก้อๆ แล้วหมุนตัวหันหลังให้กระจก “ไม่มีไรหรอก พวกแม่งมานอนด้วยน่ะ”
(พวกเพื่อนพี่น่ะเหรอครับ)
“อื้อ มึงอ่ะไปนอนได้ละ กูก็จะนอนแล้วเหมือนกัน” ผมพยายามตัดบท
(ฮึ่ยย..) หวานทำเสียงในลำคอ (นี่พี่จะทำผมนอนไม่หลับก็อย่างเนี้ย) มันว่า
“อะไร กูทำอะไร”
(ช่างเหอะ ผมไปนอนแล้วก็ได้)
“อืม ไปนอนเหอะ” เออช่วยรีบวางหน่อย ป่านนี้ไอ้พีทคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
(ครับ ฝันดีนะครับพี่วิน)
ผมกดตัดสาย
“เชี่ย!!!” หันหน้ากลับมาก็ต้องตกใจเพราะไอ้พีทที่ควรจะนั่งอยู่ที่โซฟาดันเอาหน้ามาแนบกระจก มันหัวเราะเสียงดัง
“ไอ้ห่าพีททท ตกใจแทบตาย” ผมด่าไปเลื่อนเปิดประตูไป “หัวใจวายไปมึงรับผิดชอบมั้ย”
“แล้วหัวใจมึงนี่ใครต้องรับผิดชอบล่ะ กูจะได้ตามตัวถูก” มันลอยหน้าลอยตาย้อนผม
จู่ๆก็อยากถีบเพื่อนตัวเองครับ “เชี่ยไร! เพ้อเจ้อสัด” ผมโวย แถมด้วยการปิดประตูแรงๆ ทำเอาไอ้พีทหัวเราะลั่น
“มึงนี่ไม่เนียนเลยว่ะตี๋” มันส่ายหัวแล้วตบไหล่ผม “ให้กูสอนจีบสาวมั้ย เรียกกูว่าท่านอาจารย์สิ”
“เหอะ” ผมย่นจมูก
“อ้ะ เดี๋ยวๆๆๆ หรือนี่มึงไม่ได้จีบเขา” มันยกมือขึ้นชี้หน้าผม “มึงโดนเขาจีบเหรอวะ เชี่ยยยย นี่เป็นสิ่งที่มึงรอคอยเลยนะ คนมายื่น Proposal จีบมึงอย่างที่มึงเคยบอกอ่ะ ใคร อะไร ยังไงวะ ไหนบอกกูซิ ต่อมเสือกกูทำงานเต็มที่แล้วเนี่ย” พีทพูดเร็วปรื๋อ
“ไม่มีไรทั้งนั้นอ่ะ อย่าเดามั่ว มึงไปนอนนนนน” ผมยืนกรานไม่ตอบ เอามือดันหลังมันให้เข้าไปในห้องนอน เกลียดคนรู้ทัน “ไปเลยๆ”
“ด้ายย ไม่บอกกู กูสืบเองก็ด้ายยย กูต้องรู้ให้ได้ว่าใครมาจีบเพื่อนกู ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” พีทหันหน้ามามองด้วยสายตาคาดโทษก่อนจะผลักประตูเข้าไป เดชะบุญที่ทุกคนหลับกันไปแล้ว ไม่งั้นเรื่องคงไม่จบง่ายๆ
อ๋อ เด็กปีหนึ่งหน้าหล่อๆ ที่เคยหิ้วกูตอนเป็นลมแม่งจีบกูอยู่ว่ะ ถุยยยยยยย จะให้พูดอย่างนั้นรึไงเล่าาา!!!
_ _ _ _
11.57“กากสัดดดดดดดด”
“หวายย เชี่ยเฟิร์สมึงอ่อนมากก”
“โว้ เล่นให้เด็กมันดูหน่อยซิเพื่อนรัก”
“พูดมากจริงๆ เก่งแต่ปากนะไอ้อาร์ต”
“เล่นแม่งเลยป่ะล่ะ”“โว้ยยยยย คอนโดกูไม่ใช่ร้านเกม ไอ้พวกบ้าาาาา” ผมโวยวาย
ดูสิครับ พวกมันไม่เห็นจะสะเทือนเลย แม่งทำเหมือนผมเป็นอากาศธาตุอย่างนั้นแหละ
แทนที่ตื่นมาจะอาบน้ำแปรงฟันกินข้าวเช้าแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านกลับช่อง พวกแม่งดันปักหลักเอาคอมมาต่อทีวีในห้องนั่งเล่นผมแล้วดวลวินนิ่งกันเฉย แล้วนี่ใครไปค้นเอาจอยกูออกมาวะเนี่ย ไร้มารยาทจริงๆ นั่งกันหน้าสลอนอยู่ที่โซฟา
ผมเริ่มจะคิดแล้วนะว่าพวกมันวางแผนฮุบคอนโดผมแล้วเปลี่ยนเป็นเกมเซนเตอร์หรือสถานพักตากอากาศของพวกแม่ง นี่เล่นไปตะโกนบลัฟกันไปอย่างเมามัน อินจังเลยนะพวกมึง ไม่ได้เห็นใจเจ้าของห้องอย่างผมเลยสักกะติ๊ดเดียว
“มึงก็หยุดทำงานแล้วมาเล่นด้วยกันดิ่วะ” เฟิร์สว่าขณะสายตายังจับจ้องกับหน้าจอ “แป๊บเดียวเนี่ย เดี๋ยวไอ้พีทก็แพ้ละ มึงมารอเลยตี๋”
“ถ้างานไม่เร่งกูจะต้องทำวันเสาร์มั้ยล่ะ คิดสิมึง” ผมถอนหายใจ
“เดี๋ยวๆ ใครจะแพ้ครับคุณเฟิร์ส เมื่อกี้แค่อ่อยให้เฉยๆ คุณมึงรอดูกูนะครับ” พีทว่า
“ให้ไวเลยครับ ทั้งคู่น่ะครับ กูกับไอ้น้ำรอนานแล้วครับเพื่อน เสืออาร์ตจะได้ลงสนาม”
“อะโห กล้าเนาะ มึงนี่เสือมากเลยเนาะ เมี้ยวๆๆ” เฟิร์สหัวเราะใส่ เลยโดนอาร์ตโยนเศษขนมใส่ ไอ้ห่า..ปาก็ไม่แม่น แล้วนั่นพรมกูมั้ย ใครจะเก็บ..
“ปล่อยตี๋แม่งทำงานไปเหอะ ลงมาก็แพ้ หว่าย อ่อนนนน” น้ำพูดให้ผมยู่หน้าเล่นๆ
แสด รองานเสร็จก่อนเถอะ เทพวินนิ่งจะจุติให้พวกมึงได้กราบไหว้กัน
ก็เพราะประชุมบรีฟผู้ออกแบบเมื่อวานนั่นแหละ มีข้อมูลต้องเพิ่มอีกตั้งเยอะ แถมต้องส่งรายงานให้ดีไซเนอร์เจ้าแรกที่มารับบรีฟวันโน้นอีกต่างหาก เดี๋ยวจะหาว่าไม่ยุติธรรม ผมเลยต้องมานั่งจุ้มปุ๊กทำรายงานสรุปอยู่ที่โต๊ะกินข้าวในขณะที่เพื่อนๆเล่นเกมกันอยู่แบบนี้ ว้าโว้ย
ผมดันแว่นกรอบหนาที่ใส่อยู่แล้วตั้งสมาธิเขียนรายงานการประชุมต่อให้เสร็จ
สักพักใหญ่ๆโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะผมก็สั่นครืด พร้อมโชว์ข้อความจากไลน์ที่หน้าจอ
นายหวาน : วันนี้ไม่มาเหรอครับ
//แนบรูปเซลฟี่คู่กับจิ๋วเด็กนี่มันเอาเวลาที่ไหนมาหาแมวได้ทุกวี่วันเนี่ย
ผมมองไปยังกองเพื่อนของตัวเอง พวกมันไม่มีทีท่าว่าจะกลับในเร็วๆนี้แน่ ดูทรงแล้วน่าจะสามสี่โมงเย็นโน่น งานเนี่ยเหลือแค่ส่งอีเมลล์ก็จะเสร็จ แต่ไหนจะรอพวกแม่งย้ายตัวเองกลับบ้าน ไหนจะเก็บห้อง จัดที่จัดทางเตรียมรับเลี้ยงจิ๋วอีก นี่พวกสายไฟก็ยังไม่ได้เอาพลาสติกมาพันกันแมวแทะ ขาโต๊ะก็ยังไม่ได้หุ้ม ลูกเหม็นในตู้ก็ยังไม่ได้ทิ้ง ตรงราวระเบียงก็ยังไม่ได้เอาตะแกรงไปติดกันร่วงลงไป ของแตกได้ก็ยังไม่ได้เก็บเข้าตู้
โอ่ย ยุ่งตาย กว่าจะได้เข้าไป
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพิมพ์ตอบคนเด็กกว่าไปตามจริง
Wynn_Tect : ไม่ว่างว่ะ ไม่แน่ใจว่าจะได้เข้าไปมั้ย
Wynn_Tect : ยังไงกูก็ฝากดูจิ๋วด้วยละกันวันนี้
นายหวาน : อ้าว เหรอครับ งานเร่งเหรอ
Wynn_Tect : นิดหน่อย
นายหวาน : โอเค งั้นตั้งใจทำงานนะครับ
/แนบรูปจิ๋วแทะนิ้ว
Wynn_Tect : อย่าให้กัดดิ่! เดี๋ยวจิ๋วติดนิสัย!
นายหวาน : 5555
นายหวาน : ครับครับอืมม เดี๋ยวนะ..
ผมเลื่อนไปดูรูปที่เด็กหวานส่งมาในมือถือตัวเอง
มันเป็นรูปถ่ายของหวานที่รวบตัวจิ๋วไว้ในมือเดียวแล้วยกขึ้นมาแนบหน้า เจ้าแมวตัวเล็กทำตาบ้องแบ๊วน่าฟัด ส่วนตัวคนอุ้มเองก็ยิ้มกว้างแบบที่มันชอบทำ หางตาตกๆยกยิ้มอย่างสบายใจ มีความสุขจังนะมึงเนี่ย ว่างจัง งานไม่ต้องทำมั้ง
ผมจ้อง…
แต่จะว่าไป มันก็ดูโทรมไปเยอะเหมือนกันนะ..
ผมที่ปกติจะถูกเซทมาอย่างดี อย่างมากวันนี้ก็ได้เจอแค่หวีแบบลวกๆ นัยน์ตาที่ปกติจะดูสดใสเป็นประกายปรากฏรอยสีแดงจางๆ เช่นเดียวกับใต้ตาที่มีรอยคล้ำเป็นวง ผิวก็ดูซีดเซียวจนทำให้ไฝเม็ดเล็กใต้ตาขวาของมันดูชัดกว่าที่เคย ทุกอย่างที่เห็นเหมือนจะประกาศว่าเจ้าตัวขาดการพักผ่อนขนาดไหน
นี่มันได้นอนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่วะ… เอาเวลาดูแมวไปนอนมั้ย
จะมัวเทียวไปเทียวมาทำไม
คิดจบก็ได้คำตอบให้ตัวเองทันที
มันจีบมึงไงล่ะครับตัวกู...ไอ้เด็กผู้ชายปีหนึ่งที่เพิ่งจะพ้นจากรั้วโรงเรียนมาหมาดๆ มันจะมาจีบหนุ่มออฟฟิสที่อายุห่างกันห้าปีอย่างกูนี่ไง
แค่เรียบเรียงสถานการณ์สองประโยคอย่างเมื่อกี้ยังเห็นแต่อุปสรรคซ้อนอุปสรรค ยังไม่ต้องคิดถึงมิติอื่นๆเลยนะครับ
มันอาจจะยังไม่แน่ใจกับความรู้สึกตัวเองด้วยซ้ำ อาจจะแค่เหงา แค่อยากรู้ อยากลองดู
แล้วผมเนี่ย... แน่ใจแล้วเหรอวะ ที่จะยอมเปิดโอกาสให้มันจีบอยู่แบบนี้...
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างตัดสินใจ
ไอ้วิน มึงต้องตั้งสติ...“ตี๋!! นี่งานมึงเสร็จยังเนี่ย ไอ้อาร์ตจะไปซื้อข้าวเที่ยงอ่ะ มึงจะกินอะไร” เสียงเรียกของน้ำทำเอาผมสะดุ้งออกจากภวังค์
“กูไปแค่เซเว่นนะ ถ้านอกนั้นจะสั่งไลน์แมน”
“อะ เออ.. เสร็จแล้วๆ เดี๋ยวกูไปด้วยขอกูส่งเมลล์แป๊บนึง” ผมตอบไปตามนั้น
“นี่มึงแอบอู้งานป่ะเนี่ย ปกติทำงานเสร็จเร็วจะตายห่า” เฟิร์สบอก
พีทตวัดสายตาวาววับเหมือนรอจังหวะอยู่นาน “จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหรอครับมึงงงง”
ใช่ ต้องตั้งสติให้มากๆเลย..ผมเขวี้ยงเศษกระดาษพลาดหัวไอ้พีทไปนิดเดียวจริงๆ
_ _ _ _
พาไปกินเหล้ากันทั้งตอน 5555
สาระเนื้อเรื่องอะไรไม่ค่อยจะมีเลยค่ะ เป็นความอยากเขียนล้วนๆ อ่านเอาบันเทิง(รึเปล่า?) ละกันนะคะ ฮือ
ขอบคุณคนอ่านทุกๆคนที่คลิกเข้ามาอ่านกันและให้ความเอ็นดูตี๋วินและเจ้าหวานนะคะ ดีใจจริงๆ ทุกคอมเมนต์มีความหมายกับเรามากๆ
ใครที่เพิ่งเข้ามาอ่านก็ยินดีต้อนรับนะค้า /เชิญขึ้นเรือค่ะ เราไม่ใจร้ายหรอก สัญญา
สำหรับตอนหน้าน้านนนน
กลับออฟฟิสกันค่ะ!
อยากเม้ากับเราหรือคอมเมนต์ฟิคในทวิตภพ
#วิเคราะห์การรัก ได้เลยค่ะ เดี๋ยวเราจะตามไปหาเอง 5555 (ไม่หลอนเนาะ ไม่หลอนสิ!)
ปอลอ เรื่องคำหยาบในวงเหล้า น้อมรับไว้ค่า (บางทีก็เขินที่จะต้องพิมพ์คำนั้นตรงๆ จริงๆนั่นแหละค่ะ แต่จะพยายามปรับดู ทุกคนจะได้อ่านกันลื่นๆเนอะ)
ปอลอ 2 ถ้ามีคำติชม จัดมาได้เลยนะคะ อยากพัฒนางานให้มากกว่านี้จริงๆ เรื่องนี้ก็นิยายเรื่องแรก + เขียนสนองตัวเองล้วนค่ะ สารภาพเลย 555
พบกันตอนหน้าค่ะ
