Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]  (อ่าน 77442 ครั้ง)

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
**********************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
                                                     

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*********************************************************************

สวัสดีค่ะ Airin_and เอง ^^
เรียกไอรินก็ได้น้า

สารบัญ
บทนำบทที่ 1บทที่ 2บทที่ 3บทที่ 4บทที่ 5บทที่ 6บทที่ 7บทที่ 8.1บทที่ 8.2บทที่ 9.1บทที่ 9.2บทที่ 10.1บทที่ 10.2บทที่ 11.1บทที่ 11.2บทที่ 12.1บทที่ 12.2บทที่ 13.1บทที่ 13.2บทที่ 14บทที่ 15.1บทที่ 15.2บทที่ 16.1บทที่ 16.2บทที่ 17.1บทที่ 17.2บทที่ 18.1บทที่ 18.2บทที่ 19.1บทที่ 19.2บทที่ 20บทที่ 21.1บทที่ 21.2บทที่ 22บทที่ 23.1บทที่ 23.2บทที่ 24บทที่ 25.1บทที่ 25.2บทที่ 26.1บทที่ 26.2บทที่ 27.1บทที่ 27.2บทที่ 28.1บทที่ 28.2บทที่ 29.1บทที่ 29.2บทที่ 30บทส่งท้าย

นิยายเรื่องอื่นๆ ที่ลงในเล้า
My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (จบแล้ว)ทำไงดีลูกผมเป็นเกย์ (On Air)Faded Fog หมอกเลือนรัก (On Air)Kill me gently จุมพิตอันธการ (On Air)

ถ้ามีอะไรผิดพลาด ยังไงก็ฝากให้คำแนะนำด้วยนะคะ

มาพูดคุยและติดตามกันได้ตามนี้เลยค่ะ
FacebookTwitter

ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ :)
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2017 16:05:29 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
«ตอบ #1 เมื่อ07-05-2017 19:18:02 »

บทนำ



วินาทีที่หัวใจเหมือนถูกบีบรัดด้วยลวดหนามที่มองไม่เห็นจนบิดเป็นเกลียว ราวกับมีสัญญาณเตือนภัยบางอย่างร้องบอกให้รับรู้ถึงภยันอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาตัว แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าสัญญาณเตือนภัยพวกนี้มักจะมาช้าเกินไปเสมอและมักจะทำให้ตั้งตัวไม่ทัน รู้ตัวอีกที… ทุกอย่างก็สายจนเกินแก้

“อึก…” ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทำงานของของตัวเอง ซึ่งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงยืนขึ้นทั้ง ๆ ที่รู้สึกเจ็บเจียนตายจนเหมือนจะล้มคว่ำลงไปอยู่แล้ว

ผมเอื้อมมือมาขยำเสื้อกาวน์ที่อกข้างซ้ายของตัวเอง ภาพทุกอย่างที่เห็นเริ่มพร่าเลือนเพราะความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ ความเจ็บปวดทรมานนี้มาพร้อมกับสิ่งที่สมองกำลังกรีดร้องบอกผมถึงอาการและโรคที่เกิดขึ้น ผมว่ามันคงเป็นเรื่องปกติของคนเป็นหมอที่กำลังเผชิญกับความเจ็บป่วยและกำลังจะกลายเป็นคนไข้เสียเอง ในหัวมันจะประมวลผลไปโดยอัติโนมัติว่าเรากำลังเป็นอะไร และดูเหมือนสิ่งที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่อาการเบา ๆ เสียด้วย

“คุณหมอ… ตายแล้ว! คุณหมอคะ!”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับวูบไป ทุกอย่างกลายเป็นสีดำสนิทเหมือนหน้าจอทีวีที่ถูกกระชากปลั๊กออกอย่างกะทันหัน มันให้ความรู้สึกแบบนั้นเลย

ผมได้ยินเสียงโวยวายจากเพื่อนร่วมงานและเหล่าพยาบาลที่กรูกันเข้ามา เสียงนั้นแผ่วเบาเหมือนมาจากที่ไกล ๆ

จากนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีก






ลมทะเลที่เข้ามาปะทะใบหน้าทำให้เส้นผมสีน้ำตาลเทาของผมพัดปลิวไปตามแรงลม มือทั้งสองข้างของผมถือถุงที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบในการทำอาหาร ของใช้จิปาถะในชีวิตประจำวัน มันหนักมากจนมือของผม คงเป็นรอยแดงจากน้ำหนักที่กดลงมา

มีใครสักคนยืนอยู่หน้าบ้านของผม ใบหน้าคมสันของเขามองไปยังทะเลสีฟ้าครามที่เต็มไปด้วยเรือรูปแบบต่าง ๆ เส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ที่เข้มจนเกือบดำ สายตาของผู้ชายคนนั้นไม่ละออกจากน้ำทะเลที่อยู่เบื้องหน้า แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้กำลังมองประกายคลื่นเหล่านั้นอยู่หรอก เหมือนเขามองทอดยาวออกไปแบบไม่มีจุดหมายมากกว่า

ร่างหนาของเขาดูกำยำอย่างชายหนุ่มสุขภาพดี เขาสวมกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม เสื้อยืดด้านในตัวหนึ่งกับเสื้อกั๊กแขนสั้น ดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยวแล้วก็ดูไม่เหมือนพวกที่เดินเรือแถวนี้เลยด้วย

ผมเสียเวลาพิจารณาใบหน้าคมสันอย่างไม่รู้ตัว นึกสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่นี่ หากเมื่อผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ชายหนุ่มคนนั้นและสังเกตเห็นปืนที่เหน็บอยู่ตรงบริเวณเข็มขัดผมก็ต้องชะงัก

ตำรวจงั้นเหรอ… ให้ตายเถอะ ผมเกลียดพวกพิทักษ์สันติราษฎร์ยิ่งกว่าอะไรดี คนธรรมดาทั่วไปก็ไม่ค่อยชอบตำรวจกันอยู่แล้ว

“เฮ้ คุณ”

ชายหนุ่มคนนั้นไหวตัวเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ เบือนหน้ากลับมาทางผม เขามีนัยน์ตาสีฟ้าอมเทา ใบหน้าคมที่ดูเหมาะเจาะไปเสียทุกส่วน เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีมากจนนิยามคำว่าหล่อเหลาให้เขาได้เลยทีเดียว

หากเมื่อได้มองหน้าเขาตรง ๆ พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผมรู้สึกคุ้นหน้าชายหนุ่มตรงหน้านี้อย่างประหลาด แต่ถึงจะพยายามค้นเข้าไปในหัวเท่าไรก็นึกไม่ออกสักทีว่าไอ้คลับคล้ายคลับคลานี่มันเกิดขึ้นจากที่ไหนหรือเมื่อไหร่

ผมปัดความคิดที่ว่าออก บางทีผมอาจจะแค่คิดไปเองก็ได้

“คุณมีธุระอะไรแถวนี้รึเปล่าครับ คุณตำรวจ”

ดูเขาไม่แปลกใจเท่าไรเรื่องที่ผมดูออกว่าเขาเป็นตำรวจ “ผมมาตามหาคนที่ชื่อออสติน การ์ดเนอร์ครับ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ของที่ยังอยู่ในมือทั้งสองข้างกดข้อนิ้วผมจนปวดไปหมด แต่ผมจะวางมันลงบนพื้นตรงนี้ก็ไม่ได้ จะเอาไปไว้ในบ้านตอนนี้เลยก็ไม่ได้เพราะยังติดพันกับการสนทนากับชายคนนี้อยู่ ผมถอนหายใจสั้น ๆ ออกมาอย่างเผลอตัว รู้นะว่าเสียมารยาท แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ

“ผมเองแหละครับ ออสติน การ์ดเนอร์” ผมว่า ไหวตัวนิดหน่อยเมื่อเห็นมือหนาเลื่อนมาใกล้ ๆ กับมือผม ผมรีบถอยห่างจากเขาทันที และนั่นทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าชะงักไปนิดหนึ่งอย่างเสียหน้า

“ผมแค่อยากจะช่วยคุณถือ”

“เอ่อ คือ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ” ผมว่า “แล้วคุณมีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอ”

“ผมชื่อไซม่อน แมคแนร์” เขาว่าพร้อมกับหยิบตราบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “เป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“คุณจะรังเกียจไหมถ้าผมขอเข้าไปคุยกับคุณในบ้านน่ะ”

“คุณมีหมายศาลรึเปล่า” ผมตัดสินใจวางของลงกับพื้น ยกมือกอดอกแล้วมองเขาตรง ๆ “หรือว่าหมายค้น? แล้วไม่ทราบว่าผมกำลังจะโดนจับข้อหาอะไร”

เจ้าหน้าที่แมคแนร์ยกยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาสีฟ้าหม่นระยิบระยับอย่างนึกขัน คงเพราะท่าทีตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยของผม… ปกติตำรวจทั่วไปจะหงุดหงิดนะกับการโดนราษฎรทำตัวใส่แบบนี้ แต่เขาเป็นเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลกลาง ก็คงไม่เหมือนตำรวจทั่วไปล่ะมั้ง หรือไม่… เขาก็แค่เพี้ยน

“ผมไม่มีหมายศาลหรือว่าหมายค้นอะไรทั้งนั้นแหละครับ คุณการ์ดเนอร์ ผมมาที่นี่ด้วยเรื่องส่วนตัว”

“เรื่องส่วนตัวแต่โชว์ตรานั่นให้ผมดูเนี่ยนะ?”

เขายังคงยิ้มน้อย ๆ อยู่ที่มุมปาก ผมชักเริ่มรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าแล้วสิที่ตีรวนใส่เขา

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ผมไม่รู้จักคุณ”

“ผมก็เพิ่งแนะนำตัวไปเองนี่ครับ ผมชื่อไซม่อน แมคแนร์ เป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ทีนี้คุณก็รู้จักผมแล้ว”

น่ะ แอบกวนประสาทเหมือนกันนะนั่น

“แล้วคุณมีธุระอะไรอยากคุยกับผม?”

พูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยหม่นลงนิดหนึ่ง “ผมอยากจะค่อย ๆ พูดเรื่องนี้ มันค่อนข้างละเอียดอ่อน”

อ่าฮะ

“อย่างน้อยก็ช่วยบอกหัวข้อเรื่องมาหน่อยได้ไหมครับ คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์” ผมถอนใจนิดหนึ่ง “คือผมก็เข้าใจนะว่าคุณมีตราเอฟบีไอ… คงไม่ได้คิดจะมาปล้นบ้านผมหรืออะไรแบบนั้นแน่ แต่ผมมีงานต้องทำต่อจากนี้”

“ผมคิดว่าทางโรงพยาบาลให้คุณพักงานอยู่ตอนนี้เสียอีก?”

คำพูดประโยคนั้นทำให้ผมหน้าตึงทันที นี่จะมาคุยเรื่องส่วนตัวแบบไหนถึงได้ไปเช็คกันมาหมดแล้วแบบนี้?

“ผมเขียนหนังสืออยู่บ้านน่ะ และผมก็มีตารางเวลาของตัวเอง”

“ผมรู้เรื่องที่คุณผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ”

คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักไป เบิกตากว้างขึ้นอย่างประหลาดใจก่อนจะหรี่ลงมองชายหนุ่มตรงหน้าที่สูงกว่าผมด้วยสายตาจับผิด

“คุณแอบตามสืบประวัติชีวิตผมเหรอ?”

“ผมอธิบายได้” เขารีบพูด “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหัวใจที่คุณได้ไป”

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองลืมวิธีการหายใจไปชั่วขณะ ผมไม่รู้หรอกว่าใครเป็นเจ้าของหัวใจที่ผมได้มาเพราะมันเป็นความลับของทางหน่วยงานอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังบอกว่าเขารู้เรื่องนั้นอย่างนั้นเหรอ?

“แล้ว… คุณรู้ได้ยังไง”

เจ้าหน้าที่หนุ่มยกยิ้มหากนัยน์ตาฉายแววเศร้าหมอง

“หัวใจที่คุณได้ไปน่ะ… มันเป็นของพี่ชายผมเอง”






-----------------------------------------
Talk: ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกันนะคะ ใครเล่นทวิตติดแท็ก #ไซคนด้าน กันนะคะ ทำไมถึงเอาแท็กนี้น่ะเหรอ? ก็เพราะนางด้านยังไงล่ะ 555555 //โดนไซม่อนถีบ// เอาเป็นว่า แล้วเจอกันตอนต่อไปนะคะ >3<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2017 19:45:59 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
«ตอบ #2 เมื่อ07-05-2017 19:31:38 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Jthida

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
«ตอบ #3 เมื่อ07-05-2017 20:07:05 »

อะไรยังไง รอ

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
«ตอบ #4 เมื่อ07-05-2017 23:21:24 »

รอ ๆ ๆ ไซคนด้าน


ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทนำ) P.1 [7/05/2017]
«ตอบ #5 เมื่อ09-05-2017 18:30:44 »


บทที่ 1



ผมนอนอยู่บนเตียงล้อเลื่อนที่กำลังถูกเข็นไปตามโถงทางเดินของโรงพยาบาล

ระหว่างที่เตียงกำลังเคลื่อนที่ไป ผมเหลือบไปเห็นห้องคนไข้ที่ภายในมีเด็กชายนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง มีสายเชื่อมต่อระหว่างเครื่องมือทางการแพทย์กับร่างของเด็กคนนั้น ที่อยู่ข้าง ๆ กันนั้นเองคือร่างของชายหนุ่มอีกคนซึ่งคงจะเป็นพ่อของเด็กคนนั้นมองดูอยู่อย่างสงบนิ่งไม่แพ้กัน

ผมสงสัยว่าเขากำลังหวังให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับลูกชายของเขา อย่างที่มันได้เกิดขึ้นกับผม

‘ในที่สุด’ อะแมนดา กอร์แมน แพทย์หญิงที่คอยดูแลผมมาตลอดพูดขึ้นยิ้ม ๆ ในวันที่เราได้รับข่าวดี ‘เราก็ได้หัวใจของคุณสักที’

ผมค่อนข้างแปลกใจตอนที่ได้ยินข่าวดีที่รอคอยมาตลอดหลายเดือนนี้ อันที่จริง เรื่องที่จะหาหัวใจมาปลูกถ่ายเพื่อสับเปลี่ยนกับหัวใจเน่า ๆ อันเดิมของผมน่ะ... ผมถอดใจมานานแล้ว
 
เลือดของผมเป็นกลุ่มเลือดที่พิเศษและหายากกว่าเลือดหมู่อื่น ๆ แทบไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะได้หัวใจจากผู้ที่ลงชื่อบริจาคอวัยวะของตนหลังจากเสียชีวิตลงและมีหมู่เลือดเดียวกันนี้ อันที่จริง วินาทีที่ผมล้มคว่ำลงที่โต๊ะทำงานของตัวเองในวันนั้น ผมเตรียมใจไว้แล้วว่ายังไงก็คงไม่รอดแน่ และแม้ว่าผมจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที (ก็ผมทำงานอยู่ในโรงพยาบาลนี่นะ) แต่การรอคอยอะไรที่ดูเป็นไปได้ยากช่างกัดกร่อนจิตใจ เพราะงั้นการที่จะช่วยตัวเองไม่ให้ตกไปอยู่ในจุดนั้น... หนทางที่ดูที่สุดคือตัดใจจากมันไปเสีย แค่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า แค่นั้นก็พอแล้ว

แต่แล้วอยู่ ๆ... วันหนึ่งผมก็ได้รับแจ้งว่ามีอวัยวะจากผู้ที่ลงชื่อบริจาคซึ่งมีหมู่เลือดเดียวกันกับผม จากนั้นไม่นานผมก็ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจโดยแพทย์หญิงที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้ดูแลไข้ของผม หล่อนคอยกรอกหูผมเสมอว่าสักวันจะต้องมีอวัยวะจากผู้บริจาคสักคนมาถึงผม นับเป็นวิธีการคิดที่ฟังดูแล้วก็แปลกดี ถ้าถามผมนะ เพราะมันเหมือนเรากำลังรอคอยให้ใครสักคนตายเพื่อที่เราจะได้เก็บเกี่ยวอวัยวะภายในของพวกเขามา บางที... นั่นอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งก็ได้ที่ผมเลือกที่จะไม่รอและตัดใจกับตัวเองไปเสีย

ผมไม่เคยคิดอยากให้สักคนตายเพื่อที่จะได้มีอวัยวะภายในตกทอดมาถึงผม ต่อให้มันจะเป็นอุบัติเหตุก็เถอะ ผมอุทิศตนทำงานเพื่อช่วยเหลือคนมาตลอดทั้งชีวิต ถึงมันจะไม่ได้ยาวนานอะไรมากเมื่อเทียบกับรุ่นใหญ่ ๆ แต่ผมก็ทุ่มเทให้กับงานของตัวเองเต็มที่ เรียกได้ว่าทั้งหมดที่ผมพยายามมามันมากพอแล้วสำหรับผม ผมไม่เสียดายชีวิตเลยต่อให้ต้องตายลงในวันนั้นทั้ง ๆ อย่างนั้น

แต่เหมือนดวงของผมจะยังไม่ตกต่ำลงถึงขั้นนั้น ผมเลยยังได้หัวใจของผู้บริจาคมาต่อชีวิตอย่างที่เป็น นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ผมคิดว่าตัวเองควรยินดีไปกับมัน

‘มันเป็นหัวใจของใคร คุณหมอ’ แปลกดีที่ตอนนี้ผมต้องมาเรียกเพื่อนร่วมงานว่าคุณหมอแบบนี้ แต่ผมคิดว่าอะแมนดาคงชอบ เพราะหล่อนยกยิ้มขันทีเดียวก่อนจะส่ายหน้า

‘คุณก็รู้ว่ามันเป็นความลับ คุณหมอ อย่ามาหลอกถามฉันเสียให้ยาก’

‘เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง’

หล่อนยังคงส่ายหน้ายิ้ม ๆ

‘เขาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุเหรอ’

‘ไม่เอาน่า ออสติน อย่าทำแบบนี้กับฉันเลย ฉันบอกอะไรคุณไม่ได้หรอก’

ถึงทีที่ผมจะยิ้มบ้างแล้วคราวนี้ ‘เราเลิกเล่นคุณหมอกับคนไข้แล้วเหรอ’

‘ไม่เห็นว่าเกมนี้จะมีคนไข้เลย มีแต่คุณหมอสองคน’ หล่อนตอบหน้าตาย

‘ขอผมเดาอะไรอย่างได้ไหม’

‘ว่าไงคะ’

‘คุณเองก็ไม่รู้เรื่องคนที่บริจาคหัวใจนี้มาให้ผม’

อะแมนดาถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง ‘ต่อให้ฉันรู้ ฉันก็บอกคุณไม่ได้หรอก คุณไม่ได้เป็นหมอนะตอนนี้ คุณคือคนไข้ต่างหาก’

‘เฮ้ อย่าพูดตัดรอนกันแบบนี้สิ เราเป็นเพื่อนกันนะ’

‘ใช่ และฉันเองก็รู้ว่าคุณแค่อยากกวนประสาทฉัน ไม่ได้อยากรู้เรื่องเจ้าของหัวใจคนก่อนของคุณเท่าไรหรอก เพราะคุณรู้ดีอยู่แล้วว่ายังไงก็จะไม่มีทางรู้’

ประโยคนั้นทำให้ผมนิ่งคิดไป ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างที่แพทย์สาวตรงหน้าบอกจริง ๆ หรือเปล่า ส่วนลึกในใจผม... บางทีผมอาจจะอยากรู้ก็ได้ว่าเจ้าของคนก่อนของหัวใจที่ผมเพิ่งได้มาครอบครองนั้นเป็นใคร แต่พอมาลองคิดในทางกลับกันดูอีกที... ถ้าเกิดว่าผมบริจาคร่างกายหรืออวัยวะให้ใคร ๆ ผมก็ไม่อยากให้คนคนนั้นรู้เรื่องของผมเท่าไหร่เหมือนกัน (ผมลงชื่อเข้าโครงการบริจาคไปเรียบร้อยแล้วด้วย อย่างที่ผมบอกว่าเลือดผมเป็นหมู่เลือดหายาก มันต้องมีประโยชน์กับใครอีกหลายคนที่กำลังรออย่างที่ผมเคยรออยู่แน่) เพราะงั้น... บางทีเจ้าของหัวใจที่ผมเพิ่งได้มาก็อาจจะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

‘ช่างเถอะ’ ผมตัดบท ‘ผมว่าผมไม่อยากรู้เรื่องผู้บริจาคแล้ว’

‘ดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาเข้าเรื่องจริงจังกันเถอะ’ จากนั้นเจ้าหล่อนก็เริ่มร่ายยาวถึงสิ่งที่ผมต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดหลังจากนี้เป็นต้นไป หล่อนเห็นผมเป็นแค่คนไข้คนหนึ่งจริง ๆ เต็มตัวแล้ว ซึ่งก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะถึงผมจะเป็นหมอ แต่ผมไม่ใช่หมอเชี่ยวชาญในด้านนี้อย่างที่เธอเป็น ใช่ว่าเป็นหมอแล้วจะต้องรู้ศาสตร์การแพทย์ไปเสียทุกอย่างนะครับ





แต่ผมจะพูดถึงไอ้สิ่งที่ผมต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดที่ว่านี้ให้ฟังทีหลัง ตอนนี้ผมยังมีอะไรที่เฉพาะหน้ากว่าให้ต้องรับมือ

ผู้ชายคนที่อ้างว่าเป็นน้องชายของเจ้าของหัวใจคนก่อน …หัวใจที่ผมกำลังใช้อยู่ตอนนี้… นั่งอยู่บนโซฟายาวในห้องรับแขก ส่วนผมที่ยังรับมือกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในตอนนี้ไม่ค่อยถูกได้แค่พูดขอตัวกับเขา อ้างว่าจะชงกาแฟให้แล้วผลุบเข้ามาอยู่ในครัวด้วยอาการใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ

ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ …

หัวใจที่ไม่ได้เป็นของผมมาแต่เกิด

ผมสะบัดความคิดนั้นออกจากหัว นี่ไม่ใช่เวลาพิรี้พิไรเสียหน่อย ผมกรอกน้ำในกาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า เปิดตู้แล้วหยิบกาแฟซองออกมาเทใส่แก้วสองใบ กำลังคิดอยู่ว่าควรจะต้องหาขนมง่าย ๆ ออกไปรับแขกหน่อยไหม มันจะดูเป็นพิธีรีตองมากไปรึเปล่า แถมอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน...

แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมอยากกินนี่หว่า นี่ออกไปซื้อของกลับมาตั้งใจจะทำอะไรกิน พ่อเจ้าหน้าที่เอฟบีไอนี่ก็มาอยู่หน้าบ้านเสียแล้ว

แต่… เขาบอกว่าตัวเองเป็นน้องชายของ…

“คุณครับ”

ผมสะดุ้งสุดตัว แทบจะกระโดดไปติดกับฝาบ้าน ไซม่อนเดินเข้ามาประชิดตัวผมจนแทบจะสัมผัสตัวกันอยู่แล้ว ผมรีบก้าวถอยหนีออกจากอีกฝ่ายทันที จากนั้นจึงถามเจ้าตัวด้วยน้ำสเียงที่พยายามควบคุมให้สงบ

“นี่… คุณจะเข้ามาทำไมเนี่ย ทำไมไม่นั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก?”

“เอ่อ ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจนะ” เขายกมือขึ้นเป็นเชิงขอโทษ “เห็นคุณหายเข้าครัวมานานผมเลยว่าจะมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยรึเปล่า”

“ไม่มี คุณ ผมแค่ต้มน้ำอยู่ มันเลยใช้เวลาหน่อย กลับไปรอที่เดิมเถอะ”

“คุณอยากให้ผมช่วยยกคุกกี้นี่ออกไปรึเปล่า” เขาชี้ไปที่ถาดซึ่งผมยกออกมาเตรียม ผมรีบพยักหน้าให้เขาเร็ว ๆ จะยังไงก็เอาเถอะ แค่ช่วยรีบ ๆ ออกไปจากตรงนี้ที

พวกเราทั้งคู่กลับออกมาอยู่ในห้องรับแขกอีกครั้ง ผมเลือกนั่งโซฟาเดี่ยวที่พอจะมีระยะห่างระหว่างผมกับไซม่อนอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจเขาหรืออะไรแบบนั้นนะครับ ผมแค่เป็นโรคไม่ค่อยชอบเข้าใกล้ผู้คน เคยมีคนบอกว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่ทำงานกับศพ… แต่ผมว่ามันก็ไม่เกี่ยวซะทีเดียวหรอก

“อ่า” ผมเกริ่นขึ้นมานิดหนึ่งหลังจากจิบกาแฟในแก้วไปอึกหนึ่ง “ตกลง… ที่คุณบอกว่าหัวใจที่ผมได้มานี่เป็นหัวใจของพี่ชายคุณ...”

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทานั่นดูหมองลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาสะกดมันกลับลงไปได้อย่างรวดเร็ว

“ครับ”

“คือ… อย่าหาว่าผมงั้นงี้เลยนะ คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์”

“เรียกผมว่าไซม่อนก็ได้ครับ” เขาพูดอย่างสุภาพ นั่นทำให้ผมต้องยักไหล่ทีหนึ่ง

“งั้นก็เรียกผมว่าออสติน คืองี้นะ ผมว่ามันแปลกไปหน่อยที่อยู่ ๆ คุณจะเดินมาแล้วบอกผมว่า ‘เฮ้ หัวใจที่คุณได้ไปน่ะ ของพี่ผมนะ’ คุณพอจะเข้าใจอารมณ์ผมไหม”

“เขาชื่อแบรด แมคแนร์” อีกฝ่ายไม่สนน้ำเสียงประชดประชันของผม เขาพูดตอบกลับมาท่าทีเป็นการเป็นงาน แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเรื่อย ๆ

“คุณไม่ควรจะรู้สิว่าหัวใจของเขาจะถูกส่งไปให้ใคร แบบนี้มันผิดไม่ใช่เหรอ”

“อ่า” ไซม่อนเอนตัวไปด้านหลัง ยกถ้วยกาแฟในมือขึ้นจิบเบา ๆ ดูเขามาดดีไม่เหมือนพวกเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ผมเคยรู้จักมาเลย “ผมก็ไม่อยากจะลงลึกถึงเรื่องนี้มากหรอกนะครับ”

“เกรงว่าคุณคงต้องลงแล้วล่ะ”

“คุณก็รู้นี่ว่าผมเป็นเอฟบีไอ ใช่ไหม”

ผมนิ่งงันไปทันที นี่หมอนี่ใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อหาเหรอว่าใครเป็นคนได้หัวใจของพี่ชายตัวเองไป ไม่แย่ไปหน่อยเรอะ ทำแบบนี้น่ะ

“นี่ คุณ---”

“พี่ชายของผมถูกฆ่า”

คำพูดที่ขัดขึ้นมานั่นทำให้ผมอ้าปากที่กำลังจะตำหนิเขาค้างไว้อย่างนั้น รู้สึกเหมือนมีขวานมาจามลงบนกล่องเสียง พูดอะไรไม่ออก

“และด้วยความที่ผมค่อนข้างเป็นคนที่มุทะลุ…” เขาว่าเสียงเรียบ นัยน์ตาหลบต่ำลงมองของเหลวสีน้ำตาลในถ้วย “ผมก็เริ่มสืบหาตัวคนร้ายที่ฆ่าพี่ชายผมจากทุกทาง ผมรู้ว่ามันอาจจะฟังดูผิดสำหรับคุณ แต่ตอนนั้นผมไม่สนอะไรอีกแล้ว ผมแค่อยากหาตัวคนที่ฆ่าพี่ให้เจอเท่านั้น”

“แล้ว… แล้ว…”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มอ่อนโยนให้ผม “พวกเราจับตัวคนร้ายได้แล้ว ทุกคนได้รับความยุติธรรมแล้ว”

ความยุติธรรมเหรอ

“แต่ทีนี้พอผมรู้ว่าใครคือคนที่ได้หัวใจของพี่ชายผมไปใช้ ผมก็นึกอยากรู้จักเขาขึ้นมา”

ผมพยักหน้านิดหนึ่ง ยกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นจิบอย่างไม่รู้ะพูดอะไร อันที่จริงผมพยายามไม่ดื่มกาแฟมากเกินไป เพราะงั้นนี่คงจะเป็นอึกสุดท้ายสำหรับวันนี้แล้ว

“ผมดีใจจริง ๆ ที่คุณเป็นคนได้หัวใจของเขาไป คุณหมอ พี่ชายของผมคือคนที่ช่วยชีวิตคุณ… คุณที่คอยช่วยเหลือคนอื่นมาตลอด”

“เอ่อ… ก็ไม่เชิงหรอกครับ” ผมว่า “คือ… ผมเป็นทีมแพทย์นิติเวชน่ะ ไม่ได้รักษาคนไข้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกครับ”

“อุ๊บ...” ไซม่อนยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับหลุดหัวเราะออกมาทันที ผมเงยหน้าไปมองเขาทันทีอย่างงง ๆ “ฮะ ๆๆๆ คุณนี่ตลกนะ ‘ไม่ได้รักษาคนไข้ที่ยังมีชีวิตอยู่’ งั้นเหรอ เออ ก็ฟังดูเข้าท่านะคุณ”

หน้าของผมร้อนขึ้นนิดหนึ่ง “ก็มัน…!”

“ไม่หรอกครับ ถึงยังไงงานของนิติเวชก็สำคัญอยู่ดี อย่างที่คุณรู้ว่าผมเป็นเอฟบีไอ ผมต้องพึ่งหน่วยนี้มาก เข้าใจความสำคัญดีเลยล่ะครับ”

“อ่า” ผมพยักหน้ารับไปแกน ๆ ก็ไม่รู้จะตอบรับคำชมยังไงดี ถ้าเป็นคนปกติส่วนมาก เขาคงจินตนาการไปว่าพวกเราใช้ชีวิตอยู่กับศพไปวัน ๆ และมันคงดูน่าสยดสยองมากกว่าน่าชื่นชม ซึ่งผมก็ไม่โทษพวกเขาหที่คิดแบบนั้นรอกนะ

“แล้วก็… นี่ครับ ถ้าคุณยังไม่เชื่อล่ะก็” เขายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผมดู ผมก้มลงอ่าน รู้สึกหน้าชา ตัวชาขึ้นมาทันทีที่เห็นลายมือข้างในนั้น

นั่นเป็นจดหมายขอบคุณที่ผมเขียนด้วยตัวเอง… ขอบคุณสำหรับหัวใจดวงที่หนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเขาได้ให้มา มันช่วยต่ออายุให้ผม และตอนนี้หนึ่งในครอบครัวที่ว่านั่นก็กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าผมจริง ๆ

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าอ่อนโยนหากมีความเศร้าจาง ๆ ปนอยู่ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างแล่นมาจุกอยู่ที่คอหอย ผมคืนจดหมายฉบับนั้นให้เขา ขยับตัวให้หลังพิงกับพนักที่นั่งด้านหลัง รู้สึกเหมือนหน้าซีดลง ยิ่งนึกสาเหตุการตายของชายหนุ่มที่ชื่อแบรด แมคแนร์… เจ้าของหัวใจที่แท้จริงที่ผมหยิบยกมาใช้อยู่

ผมจำได้ว่าตัวเองเคยถกเรื่องนี้กับหมออะแมนดา มีหลายช่วงเวลาที่ผมสับสนว่าการทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วเหรอ การเอาอวัยวะภายในของคนอื่นมาใส่ในร่างกายของตัวเอง… มันสมควรแล้วเหรอ พวกที่เคร่งศาสนาหน่อยอาจจะเริ่มยกเรื่องพระเจ้าและสิ่งที่ท่านประทานให้มาพูด ผมไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น แต่ส่วนหนึ่งในใจก็รู้สึกว่าการเคลื่อนย้ายอวัยวะจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งแบบนี้เป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติอยู่ดี

ไซม่อนที่อยู่ตรงหน้าผมเริ่มขยับตัว เขาอาจจะจับสังเกตได้ว่าใบหน้าของผมซีดเผือดลง ก็คงเป็นอย่างนั้นแน่ล่ะเพราะตอนนี้ผมหัวปั่นไปหมด

“ออสตินครับ”

“ว่าไงครับ”

“ผมรู้ว่าการที่ผมมาแสดงตัวกับคุณแบบนี้คงทำให้คุณตกใจ”

โอ้โห อย่าเรียกว่าตกใจเลย เรียกว่าช็อคจนแทบสลบเลยจะดีกว่า

“ออสติน ผมว่าคุณหน้าซีดมากเลยนะ” ใบหน้าคมขมวดคิ้วมากขึ้น มือข้างหนึ่งเลื่อนมาจะแตะหน้าผากผม “รู้สึกไม่ค่อยดีหรือเปล่---”

เสียงเขาขาดห้วงไปเพราะผมถอยหนีสัมผัสของเขาอย่างรวดเร็ว โอเค มันชัดเจนไปหน่อย… จริง ๆ ก็ชัดมาหลายครั้งแล้วล่ะ แต่ไอ้หมอนี่มันจะอะไรนักหนาเนี่ย ทำท่าจะมาโดนตัวผมหลายรอบแล้วนะ กับคนอื่นที่ผมเพิ่งเคยเจอ เพิ่งเคยรู้จักแบบนี้ ไม่เห็นมีใครเคยทำเลย

“เอ่อ…” เขาอึกอัก ผมเองก็เหมือนกัน

“ขอโทษด้วยครับ” ผมพูดขึ้นมาก่อน “คือ… ผมเป็นโรคแบบ เอ่อ ถูกตัวคนไม่ได้น่ะ”

คนฟังกระพริบตาปริบ ๆ ทันที “อะไรนะครับ?”

“คือ… ผมไม่ค่อยชอบสัมผัส เอ่อ คนเท่าไร พวกสกินชิปอะไรงี้ก็ไม่ค่อยโอเค”

“อ่า”

“คือ ไม่ใช่ว่าผมถือหรือรังเกียจอะไรหรอกนะครับ” ผมรีบพูด คนส่วนใหญ่พอได้ยินแบบนี้แล้วจะเข้าใจผิด “ผมแค่… ไม่ค่อยชอบความรู้สึกแบบนั้นเท่าไร เหมือนเป็นโรคน่ะครับ”

“ผมเข้าใจครับ” อีกฝ่ายว่า ผมว่าด้วยอาชีพของเขาแล้ว เขาคงเจอคนมาหลากหลายเหมือนกันแหละน่า “ผมสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษคุณ เพราะผมไม่รู้ก็เลยไม่ทันได้ระวัง เอาเป็นว่าผมจะพยายามอยู่ห่าง ๆ คุณหน่อยดีไหมครับ”

“ดีครับ” ผมแทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เอ๊ะ… ฟังดูแล้วมันแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ “คือ… ไม่ต้องถึงกับห่างเป็นเมตรอะไรแบบนั้นก็ได้ครับ แค่ เอ่อ ไม่โดนตัวผมก็โอเคแล้ว ถ้าคุณพอจะทำให้ผมได้ก็คงจะขอบคุณมาก”

ไซม่อนคลี่ยิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง รอยยิ้มนั่นทำให้ใบหน้าของเขาดูเด่นจับตาขึ้นจริง ๆ จากเดิมที่ดูดีอยู่แล้ว ผมเดาว่าเขาต้องเป็นคนที่ฮอตในหมู่สาว ๆ เป็นแน่

“คุณนี่ตลกจริง ๆ ด้วย ออสติน”

“เออ ขอบคุณที่ชมครับ” ผมว่า ไม่รู้หรอกว่าเขาประชดรึเปล่า แต่ฟังจากเสียงหัวเราะที่มาอีกระลอกนี่ เขาคงไม่ได้ตั้งใจชมแหง

“ว่าแต่สุขภาพคุณเป็นยังไงบ้าง”

ผมยักไหล่ให้คำถามนั้น “ก็… เรื่อย ๆ นะครับ ตอนนี้ก็เริ่มจะชินขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ต้องกินยาเยอะมาก ทั้งตอนเช้าแล้วก็ก่อนนอน”

“ผมเคยได้ยินมาว่ามีกรณีที่อวัยวะ… หรือหัวใจของคนที่รับไม่เข้ากัน”

“ใช่ครับ” ผมตอบ “บางทีก็มีกรณีที่อวัยวะปฏิเสธร่างกายของคนคนนั้น ซึ่งมันจะส่งผลออกมาให้เห็นในรูปแบบอย่าง ไข้ขึ้นสูง ท้องเสีย หรืออะไรแบบนั้น”

“แล้วคุณเป็นยังไงบ้างครับ?”

“ผมเพิ่งไปตรวจครั้งล่าสุดมาเมื่อวันก่อน” ผมเริ่มหยิบคุกกี้ขึ้นมากิน หิวจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว “หมอก็บอกว่าค่อนข้างดีเลยล่ะครับ ไม่มีการปฏิเสธอวัยวะ ทุกระดับก็ดูดีหมด นี่ที่หมอบอกมานะครับ”

“แล้วพวกไข้อะไรพวกนั้นที่คุณบอกมาล่ะ?”

“อืม… จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงนะครับ ก็มีวันที่แบบมีไข้ ตัวรุม ๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร”

“แล้ววันที่เป็นแบบนั้นคุณทำยังไงครับ” สีหน้าของเขาฉายแววกังวลอย่างชัดเจนจนดูตลก “คุณอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวนี่ ใช่ไหม?”

“ครับ”

บ้านของผมเป็นบ้านสองชั้นเล็ก ๆ ที่อยู่ติดริมทะเล บรรยากาศตอนเช้าหลังจากที่พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นเป็นอะไรที่วิเศษมากในบ้านหลังนี้ ผมจะชอบตื่นแต่เช้ามานั่งเอกเนกอยู่ที่ห้องนั่งเล่นซึ่งมีหน้าต่างทอดออกไปให้เห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอก จริง ๆ แล้วบ้านหลังนี้เรียกได้ว่าใหญ่เกินไปสำหรับอยู่คนเดียว ทุกวันนี้การทำงานบ้านก็เป็นอะไรที่ทำให้ผมเหนื่อยหน่ายเหมือนกัน ผมจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดนะช่วงที่ยังทำงานอยู่ แต่ตอนนี้ทางโรงพยาบาลให้ผมพักงานแล้ว เพราะงั้นผมึงต้องมาแกร่วอยู่บ้านทุกวัน ๆ และพอเป็นแบบนั้น จะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดก็ดูจะใช่ที่

ผมใช้เวลาว่างทุกวันนี้เขียนหนังสือ เป็นหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์นี่แหละ แต่ส่วนมากผมจะเขียนจากประสบการณ์ตัวเอง ซึ่งก็จะหนีไม่พ้น เอ่อ อะไร ๆ ที่เกี่ยวกับศพ ผมเคยเขียนบทความทางการแพทย์ร่วมกับคนอื่น ๆ มาก่อนนะ แต่ไม่เคยเขียนหนังสือเองมาก่อนเลย เพราะงั้นมันก็ถือเป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับผมเหมือนกัน

“คุณมีญาติใกล้ ๆ บ้างรึเปล่าครับเนี่ย”

ผมส่ายหน้า “ไม่มีครับ ป้าผมก็อยู่อังกฤษ พ่อกับแม่ก็เสียหมดแล้ว”

“แล้วพี่น้อง…”

“ผมเป็นลูกคนเดียวครับ”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคน อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมา เริ่มเดาได้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อจากนี้

“แบบนี้ถ้าคุณเป็นอะไรไป ใครจะมาคอยช่วยคุณล่ะครับ”

“เอ่อ สมัยนี้มีเทคโนโลยีที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถืออยู่นะครับ คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์”

“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ” สีหน้าเขาดูกังวล ผมนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร เดาออกว่าเขาจะพูดอะไรต่อจากนี้ “ผมว่าถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมจะมาหา---”

“อย่าดีกว่าครับ” ผมพูดตัดบท “รบกวนคุณเปล่า ๆ”

ไซม่อนนิ่งไป ดูเขาอึ้งไม่น้อยที่ได้รับการปฏิเสธแบบสายฟ้าแลบแบบนี้ นั่นทำเอาผมรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย

“คือ… คุณก็รู้ว่าผมเป็นโรค.. แบบ เอ่อ ไม่ค่อยถูกกับผู้คน” ผมพยายามว่า

“เปล่า คุณไม่ได้พูดว่าคุณไม่ค่อยถูกกับผู้คน คุณบอกว่าไม่ถูกกับการสัมผัสผู้คนต่างหาก”

“เอ่อ…”

“ให้ผมได้แวะมาเยี่ยมคุณหน่อยเถอะ ถึงยังไงคุณก็ได้หัวใจของพี่ผมไป ผมอยากทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่สูญเปล่า” 

ผมรู้สึกสะอึกอย่างบอกไม่ถูกกับคำพูดประโยคนั้น และมันทำให้ผมต้องรีบแก้ตัวไปน้ำขุ่น ๆ

“ผมดูแลตัวเองได้”

“ผมรู้ครับ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนแต่ก็เด็ดขาด “แต่ยังไงก็คงดีกว่าถ้ามีคนคอยมาเช็ค มาถามไถ่คุณเป็นระยะ ๆ แล้วนี่ปกติคุณไปโรงพยาบาลยังไงครับ คุณเพิ่งผ่าตัดหัวใจมาแบบนี้ คงไม่ได้ขับไปเองใช่ไหม”

“ไม่ครับ ปกติก็แท็กซี่”

“งั้นคราวหน้า คุณบอกผมนะครับ นัดกันไว้เลย เดี๋ยวจะพาคุณไปเอง”

เอ๊ะ… เดี๋ยว ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ?

“ถ้าอย่างนั้น… เดี๋ยววันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน ส่วนนี่นามบัตรผมนะครับ ในนั้นมีช่องทางการติดต่อทุกทาง” เขามัดมือชกเรียบร้อยเสร็จสรรพ จากนั้นก็หันมายิ้มหวานใส่ “คุณจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมขอนามบัตรหรือเบอร์โทรติดต่อของคุณได้”

อื้อหือ มาถึงขนาดนี้… ยังจะมีหน้าถามอีก… ทำไมไม่ยกเค้าบ้านไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ

ผมควานหานามบัตรของตัวเองให้เขา เหลือบมองเสี้ยวหน้าคมของชายหนุ่มอีกครั้งอย่างนึกตงิด ๆ ในใจ

เหมือนผมเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนมาก่อนจริง ๆ นะ แต่ก็นึกไม่ออกสักทีว่าไปเห็นที่ไหน

“เราเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้รึเปล่าครับ” ทนไม่ไหว ต้องถามออกไปจนได้ “แบบ… เราอาจจะเคยร่วมงานทำคดีไหนด้วยกันมาก่อน อะไรแบบนั้น”

“อ้อ ไม่หรอกครับ” ไซม่อนยิ้ม “เพราะถ้าเคยล่ะก็ คุณจะไม่มีทางลืมผมแน่”






-----------------------------------
Talk: ไซม่อนคะ... ความด้านนี้ ท่านได้แต่ใดมาคะ 555555 คือนางเนียนมาก อยู่ ๆ ก็แบบ มัดมือชกหมอหน้าตาเฉย ใครเล่นทวิตอย่าลืมแวะไปคุยกันได้นะ แท็ก #ไซคนด้าน ได้เลย มาเล่นเป็นเพื่อนที ไม่อยากแป้ก 55555
สำหรับนิยายเรื่องนี้ เราจะอัพทุกวัน อ. พฤ. อา. นะคะ ^^ ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยน้า~

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 1) P.1 [9/05/2017]
«ตอบ #6 เมื่อ09-05-2017 19:29:19 »

อื้อหือ รุกแรงจริงจัง

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 1) P.1 [9/05/2017]
«ตอบ #7 เมื่อ11-05-2017 06:18:41 »

ไซม่อน ตะไม นายเนียนงี้คะ อื้อหื้ม หรือเคยชิน ทำบ่อยไรงี้ ???

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 1) P.1 [9/05/2017]
«ตอบ #8 เมื่อ11-05-2017 19:03:15 »


บทที่ 2



เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งขับกล่อมอารมณ์ให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจได้เฉกเช่นเคย

ผมกระตุกเบ็ดตกปลาที่อยู่ในมือขึ้นมาจากน้ำ พิจารณาหนอนตัวอ้วนที่ติดอยู่ปลายตะขอจากนั้นจึงเริ่มออกแรงเหวี่ยงไปยังตำแหน่งอื่น ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กที่อยู่ริมชายหาดซึ่งอยู่ห่างจากตำแหน่งที่ผมอยู่ไปไม่ใกล้ไม่ไกล มีครอบครัวพาลูกมาเล่นแถวริมหาดนี้ประปราย

ทะเลตรงนี้ถึงจะสวยแต่ค่อนข้างห่างไกลตัวเมือง การคมนาคมไม่ได้สะดวกอะไรมากนัก จำนวนนักท่องเที่ยวจึงไม่เยอะจนน่าปวดหัวแบบทะเลที่ใกล้เคียงกันแต่อยู่ในทำเลที่ดีกว่า ส่วนมากแล้วจะเป็นคนท้องที่นี้แหละที่จะพาลูกหลานมาเล่นกันในเวลาเช้า ๆ สาย ๆ แบบนี้

ผมนั่งตกปลาอยู่ตรงเขื่อนซึ่งเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับตกปลาอยู่แล้ว มีคนคุ้นหน้าหลายคนแวะเวียนมา ผมก็ชวนพวกเขาคุยนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนเมื่อเริ่มสาย ๆ แดดเริ่มร้อนขึ้น บวกกับจำนวนปลาที่ผมตกมาได้ก็น่าจะมากพอแล้ว ผมจึงตัดสินใจเก็บเบ็ด เก็บข้าวของของตัวเองแล้วเดินกลับบ้าน

ระยะทางจากบ้านผมไปถึงเขื่อนที่ว่านั่นไม่ได้ไกลอะไรมาก แต่เพราะผมร่างกายอ่อนแอแบบนี้ไปแล้วไง มันเลยทำเอาผมหอบหายใจได้ไม่น้อยเหมือนกัน

ให้ตายเถอะ การที่ร่างกายซึ่งเคยแข็งแรงต้องกลายสภาพมาเป็นแบบนี้ ช่างเป็นอะไรที่น่าอึดอัดและไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย ผมยกแขนที่ยังถือถุงพลาสติกซึ่งใส่ปลาที่ผมตกมาได้ขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้า ก้าวเท้าเข้าใกล้ตัวบ้านเรื่อย ๆ จากนั้นผมก็ต้องเอะใจเมื่อเห็นร่างของใครคนหนึ่งตรงปรี่เข้ามาทางผมด้วยความร้อนรน

เหวอ…! นั่นมันไซม่อนนี่นา?

นี่หมอนี่มาทำอะไรของเขาเนี่ย!?

“ออสติน!” เขาพูดพร้อมกับจับไหล่ผมทั้งสองข้างแน่น ผมรู้สึกเหมือนบริเวณที่เขาสัมผัสอยู่โดนไฟฟ้าช็อต “นี่คุณหายไปไหนมา ผมเป็นห่วงแทบแย่”

ผมปัดมือเขาออกจากจากบ่า ถอยหลังกรูดด้วยความตกใจ ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวขึ้น มือไม้เย็นเฉียบ รู้สึกได้เลยว่าหน้าซีดลง และเหมือนเขาจะรู้ตัวจากปฏิกิริยานั้นของผม

“ผมขอโท--”

“อย่า” ผมพูดขัด รู้สึกหัวเสียกับคนตรงหน้าขึ้นมาทันที “คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้นะ คุณเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะมาโวยวายใส่ผมหรือมาโดนตัวผมแบบนี้ ผมไม่เคยขอให้คุณมารอผมที่หน้าบ้านแบบนี้ ไม่ได้นัดกันไว้ด้วยซ้ำ ไม่เสียมารยาทไปหน่อยรึไง”

อีกฝ่ายทำสีหน้ากระอึกกระอัก ถ้าไม่ใช่เพราะผมกำลังอารมณ์เสียอยู่ล่ะก็ อาจจะรู้สึกผิดก็ได้

“ผมขอโทษครับที่ทำให้คุณอึดอัด”

“ผมล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคุณไม่มีการมีงานทำรึไง” ผมพูดอย่างหงุดหงิด วางถังที่ใส่ปลาอยู่ลงบนพื้นขณะบิดลูกกุญแจเพื่อไขเข้าบ้าน “เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางนี่งานน้อยมากเลยเหรอ หรือช่วงนี้ไม่มีคดีให้ทำ”

“ผมพอจะหาเวลาว่างมาได้บ้างวันนี้น่ะ”

อันที่จริงหลังจากที่เขามาหาผมวันแรก นั่นก็ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว ถ้าพูดในเรื่องความถี่ที่เขามามันก็ไม่ได้มากมายจนถึงจะไปตัดสินว่าเขาว่างมากอะไรแบบนั้นหรอก ผมแค่ไม่ชอบใจที่อยู่ ๆ เขาก็โผล่มาแบบไม่บอกกล่าว แถมยังมาโทษที่ผมไม่อยู่บ้านอีก เขามีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนั้นวะ

“แล้วคุณมีธุระอะไรกับผม” ผมหันไปถามเสียงเย็น ไม่คิดจะเชิญเขาเข้าบ้านด้วย และเหมือนไซม่อนจะรับรู้เรื่องนั้นด้วย สีหน้าของเจ้าตัวจึงเจื่อนลงสนิท

“ผมแค่เป็นห่วงคุณ”

“ขอทีเถอะ ทำแบบนี้มันน่ารำคาญนะ”

“แล้วทำไมคุณไม่รับโทรศัพท์”

คำถามนั้นทำให้ผมชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นจึงตอบ “ผมไม่ได้เอาไปด้วยน่ะ เพราะคิดว่าแค่ไปตกปลาแถวนี้”

“ก็เพราะคุณไม่รับโทรศัพท์ผมน่ะสิ ผมถึงได้เป็นห่วง”

อ้าว กลายเป็นความผิดผมไปซะแล้วเหรอ

“คุณก็รู้อยู่ว่าตอนนี้ร่างกายตัวเองไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ไซม่อนว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ผมเริ่มบิดริมฝีปากอย่างไม่สบอารมณ์ นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นพ่อผมหรืออะไร “ถ้าเกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมา จะมีใครรู้ได้ยังไง ยิ่งคุณอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้อีก”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ--” พูดได้แค่นั้นแล้วต้องหุบปากลง นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมของเขาจ้องมองผมอย่างแน่วแน่ มันเป็นสายตาที่เหมือนจะสื่อว่า ‘นั่นเป็นหัวใจของพี่ผมนะ ช่วยเอาไปใช้ให้มันดี ๆ หน่อยได้ไหม’ เอ่อ โอเค ก็ได้… มันเกี่ยวกับเขาก็ได้

“ผมก็แค่อยากแน่ใจว่าคุณไม่เป็นไร”

“โอเค ๆ ผมเข้าใจแล้ว ผมผิดเองแหละ แต่คุณเองก็ผิดเหมือนกันนะ ถ้าอยากจะแวะมาตรวจสอบกันแบบนี้ก็หัดโทรมาบอกกันก่อน”

“เมื่อเช้าผมโทรแล้วนะครับ แต่คุณไม่รับสาย”

“ก็ผมบอกแล้วไงว่าออกไปตกปลามา ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย แล้วขอที คุณโทรมากะทันหันแบบนั้น… โทรตอนนี้มาตอนนี้ ใครจะไปตั้งตัวทันล่ะคุณ อย่างน้อยก็บอกล่วงหน้ากันสักวันสองวันก็ยังดี”

“เวลางานผมมันไม่แน่นอนนี่ครับ พอมีเวลาปลีกตัวมาได้บ้าง ผมก็อยากแวะมาหาคุณเลย”

โอ๊ย ตาย

ผมขมวดคิ้วให้เขาอย่างไม่ปิดบัง “แล้วมันเรื่องอะไรของคุณที่ต้องมาคอยบงการชีวิตผมไม่ทราบ โอเค ผมอาจจะได้หัวใจของพี่ชายคุณมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายมาเป็นเจ้าชีวิตคอยบงการผมให้ทำนู่นนี่ได้นะ”

“เอางี้ครับ เรามาพบกันคนละครึ่งทาง” เขาพยายามผ่อนหนักเป็นเบา เสียงนุ่ม ๆ ของเขากับท่าทีที่ยอมถอยให้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กยังไงก็ไม่รู้ “ผมแค่ขอแวะมาหาคุณ… มาดูให้รู้ว่าคุณปลอดภัยดี อาทิตย์ละครั้งก็ยังดี แต่ผมขอแค่ให้คุณพกโทรศัพท์เท่านั้น เผื่อว่าผมจะมากะทันหันแบบวันนี้ หรือถ้าเกิดอะไรที่มันฉุกเฉินกับคุณ อย่างน้อยคุณก็ใช้โทรศัพท์โทรหาผม… หรือหาใครก็ได้ ได้ไหมครับ คุณหมอ ผมขอคุณแค่นั้นเอง ผมจะไม่ขอร้องคุณให้ทำอะไรมากไปกว่านี้เลย”

คำว่าคุณหมอที่เขาใช้เรียกทำให้ผมหน้าร้อนวูบขึ้นมา เหมือนมันเป็นสิ่งที่เขาใช้ตอกย้ำสำนึกและความรับผิดชอบของผมอย่างไรอย่างนั้น และนั่นทำให้ผมจำใจตอบรับห้วน ๆ ไปจนได้

“ก็ได้ครับ แค่พกโทรศัพท์ก็พอใช่ไหม งั้นผมเองก็ขอบ้างแล้วกัน… หนึ่งเลย ถ้าจะโผล่มาล่ะก็ ช่วยบอกกันก่อนล่วงหน้า มันทำให้ผมอึดอัด จริง ๆ นะ อย่างน้อยต้องบอกผมล่วงหน้าหนึ่งวัน ไม่งั้นก็ไม่ต้องมา สอง กรุณาอย่ามาโดนตัวผม ผมบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือไงว่าไม่ชอบ ถ้าคุณทำตามสองข้อนี้ได้ ผมก็ยอมทำตามที่คุณขอ”

ไซม่อนนิ่งไป นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาของเขาจ้องตาผมอย่างหยั่งลึก มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก เหมือน… ขนลุก? ไม่สิ เหมือนมีอะไรมวน ๆ ในท้องมากกว่า เหมือนกับสายตานั่นพยายามอ่านผมให้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง และพร้อม ๆ กันนั่นก็พยายามทำให้ผมทำตามที่เขาต้องการไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น

“คุณเป็นหมอไม่ใช่เหรอครับ”

“ก็ใช่ครับ แต่ตอนนี้ผมอยากใช้คำว่าเคยเป็นมากกว่า เพราะผมโดนสั่งพักงานอยู่”

“คุณเป็นหมอ แล้วเวลาคุณตรวจคนไข้ คุณไม่ต้องโดนตัวพวกเขารึไง”

“นี่ คุณ ผมเป็นหมอนิติเวชนะ ได้ฟังที่ผมพูดบ้างรึเปล่าเนี่ย”

“แต่มันก็ต้องมีบ้างแหละที่คุณจำเป็นต้องรักษาคนที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ น่ะ”

ผมถอนหายใจออกมาอีกเฮือก เห็นสายตาของเขาที่มองมาอย่างมุ่งมั่นแล้วได้แต่นึกสงสัยในใจ นี่หมอนี่เป็นบ้าอะไรของเขากันนะ แค่เพราะผมได้หัวใจของพี่ชายตัวเองมา ทำไมต้องมาคอยเกาะติดกันขนาดนี้ด้วย สงสัยคงรักพี่มากจริง ๆ แฮะ

“ก็มีบ้างครับ ผมยอมรับ แต่ในช่วงเวลาแบบนั้นผมก็ทำได้นะ หมายถึง… สัมผัสคนน่ะ คือถ้ามันเป็นงาน แล้วมีคนกำลังบาดเจ็บอยู่ ผมก็เกี่ยงนั่นนี่ไม่ได้อยู่แล้ว ถูกไหม”

“แล้วคุณไม่คิดอยากรักษาให้มันหายบ้างเลยเหรอ ไอ้โรคถูกตัวคนไม่ได้ของคุณเนี่ย”

ผมไม่ตอบ ได้แต่ทอดสายตามองผ่านหลังเขาไปเพื่อบอกให้เจ้าหน้าที่หนุ่มรู้ตัวว่าผมไม่อยากคุยเรื่องนี้ ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ผมไม่สนหรอก เขาคิดว่าผมไม่เคยพยายามแก้ไขเรื่องนี้หรือไง ผมลองแล้วนะ ลองมาหลายครั้งแล้วก็หลายวิธีแล้ว… แต่เหมือนลึก ๆ ในใจผมรู้ดีว่ามันจะไม่มีวันหาย ตราบใดที่ผมยังไม่ได้รับความยุติธรรมจากผู้ชายคนนั้น

“เอาเถอะครับ” ไซม่อนพูดอย่างยอมแพ้ จากนั้นรอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าแทนที่สีหน้าเคร่งเครียดแบบเมื่อครู่ “ผมสัญญาแล้วนี่นาว่าจะไม่ขอให้คุณทำอะไรอีก ตกลงครับ ผมจะทำตามสองข้อที่คุณบอกมา แต่คุณต้องพกโทรศัพท์แล้วก็รับโทรศัพท์ผมนะ แบบนั้นโอเคไหม”

“โอเค” ผมว่า รู้สึกผ่อนคลายลงกับท่าทีสบาย ๆ แบบนั้นของคนพูด ผมว่าไซม่อนเก่งเรื่องนี้นะ ให้คู่สนทนารู้สึกสบายใจเนี่ย ติดแค่ว่าเขาเลือกจะทำมันในสถานการณ์นั้น ๆ รึเปล่าเท่านั้นเอง

และด้วยบรรยากาศระหว่างเราที่เริ่มดีขึ้น ผมจึงเอ่ยปากชวนอย่างเสียไม่ได้ “คุณจะเข้ามาข้างในก่อนไหมครับ ผมอาจจะชงกาแฟให้คุณได้สักแก้ว”

“วันนี้ขอตัวดีกว่าครับ เพราะผมตั้งใจจะมารับคุณไปทานข้าวนอกบ้าน”

ผมหันกลับไปมองเขาอย่างตะลึงงัน คาดไม่ถึง นี่ผมชักคิดจริง ๆ แล้วนะว่าเขาเข้าหาผมด้วยเหตุผลอื่นนอกเหนือไปจากเรื่องที่ว่าผมเป็นคนได้หัวใจของพี่เขาไปเนี่ย

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคุณ” ไซม่อนหัวเราะ มันเป็นเสียงหัวเราะที่จริงใจและเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ผมจ้องมองรอยยิ้มของเขาตาไม่กระพริบ นึกสงสัยว่าตัวเองเคยยิ้มและหัวเราะได้เต็มเสียงแบบนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ “ผมแค่หิวมากเท่านั้นเอง นี่ยังไม่ได้กินอะไรมาเลย เมื่อคืนงานหนักมาก”

พอฟังที่พูดและได้พิจารณาใบหน้าของไซม่อนดี ๆ แล้ว ผมก็เริ่มเข้าใจ หน้าเขาดูค่อนข้างอิดโรยและอ่อนล้าจริง ๆ เหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ผมรู้ดีว่าบางทีเวลาทำคดีบางคดี คุณก็เลือกเวลานอนไม่ได้ และตอนนี้เขาควรจะได้กลับไปพักผ่อนแท้ ๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ถ่อมาหาเพื่อดูว่าผมสบายดีรึเปล่า

จากที่หงุดหงิดเพราะการทำอะไรตามอำเภอใจของเขา ตอนนี้ผมใจอ่อนยวบไปเรียบร้อยแล้ว

“โธ่เอ๊ย คุณ ถ้าเหนื่อยมากทำไมไม่กลับไปพัก แต่ช่างเถอะ คุณจะออกไปหาอะไรกินใช่ไหม จริง ๆ ถ้าคุณบอกผมล่วงหน้านะ ผมทำอะไรให้คุณกินยังได้เลย นี่ผมก็เพิ่งจะได้ปลาสวย ๆ เนื้อแน่น ๆ มาตั้งหลายตัว แต่กะทันหันแบบนี้ ผมเตรียมของไม่ทัน ถ้าคุณมีเวลารอ…”

“ผมคงมีเวลาอยู่กับคุณสักสองชั่วโมง” เขาพูดพร้อมกับพลิกดูนาฬิกาข้อมือ “ผมว่าเราออกไปหาอะไรทานกันเถอะ แถวนี้คงมีร้านอร่อยอยู่บ้าง”

“มีหลายร้านครับ แถวนี้ถิ่นผม ผมแนะนำได้”

“เยี่ยมเลยครับ” เขายิ้มหวานอีกรอบ ช่างเป็นคนที่ขยันยิ้มจริง ๆ

“งั้นขอผมเอาของไปเก็บแล้วก็เอาปลาไปแช่ก่อน คุณรอผมหน่อยนะ”




ผมพาไซม่อนมาที่ร้านอาหารซึ่งขับรถจากบ้านผมไปประมาณสิบนาที เป็นร้านอาหารติดทะเลที่ให้บรรยากาศสบาย ๆ

“คุณอยากดื่มอะไรรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามระหว่างดูเมนูอาหาร “พวกไวน์หรือเบียร์ ผมดื่มไม่ได้นะเพราะต้องขับรถ แถมไปทำงานต่ออีกต่างหาก”

“ผมก็ดื่มไม่ได้ครับ” ผมว่า การผ่าตัดเปลี่ยนใจทำให้มีข้อจำกัดหลายอย่างในการใช้ชีวิต และเหมือนคนถามจะรู้ตัวตอนนี้

“อ่า ขอโทษด้วยครับ”

“ขอโทษทำไมล่ะครับ” ผมว่า เลือกสลัดทูน่ากับสเต็กปลาดอลลี่ ส่วนคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเลือกสเต็กปลาทูน่าย่างมะนาวกับมันฝรั่งและหัวหอมทอด

ไซม่อนยกแก้วน้ำโคล่าของตัวเองดื่ม ทอดสายตาออกไปมองทะเลเบื้องหน้า เวลานัยน์ตาคู่นั้นมองผิวน้ำที่เป็นประกายนั่น มันทำให้เขาดูเสน่ห์ขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก

“ผมรู้ว่าคุณเองก็คงผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาเหมือนกัน” เขาพูด ค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองผม นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นดูดผมเข้าไปอีกครั้ง คือปกติแล้ว ไซม่อนจะดูเป็นคนสุภาพ อ่อนโยน เวลาเขายิ้ม รอยยิ้มนั้นมันจะเลยขึ้นไปถึงดวงตาเขา คือดูจริงใจและตรงไปตรงมา แต่เวลาที่เขาไม่ได้ยิ้ม… หรือเวลาที่เขาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สายตานั้นจะเปลี่ยนไป มันดูลึกลับชวนให้ค้นหา เหมือนเป็นเหวที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ผมสงสัยว่าพวกตำรวจ พวกเอฟบีไอ หรือพวกที่ทำงานสืบสวนซึ่งเกี่ยวพันกับชีวิตคนและเหยื่อโดยตรงจะมีนัยน์ตาแบบนี้กันทุกคนรึเปล่า แฟนเก่าผมที่เป็นตำรวจก็มีตาน่าค้นหาแบบนี้เหมือนกัน และนั่นก็ทำให้ผมตกหลุมเขาไปเต็มเปา... ตกลงไปในเหวนั่นแบบยากที่จะถอนตัวขึ้น แต่นั่นก็เป็นอดีตที่ผ่านมาแล้ว และผมไม่ใช่คนที่เชื่อในรักนิรันดร์

“คุณหมายถึง” ผมดึงสติของตัวเองกลับมา “เรื่องที่ผมเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจน่ะเหรอ”

เขาไม่ได้ตอบ แต่ผมเดาว่านั่นเป็นการตอบรับอย่างหนึ่ง

“อืม… จะว่ายากลำบาก มันก็ยากลำบากแหละ หรือแม้แต่ทุกวันนี้ตอนไปตรวจที่โรงพยาบาล พวกเขาต้องเอากล้องใส่เข้าไปในตัวผมเพื่อตรวจสอบว่ามันอยู่เป็นสุขดีในอกของผมด้วยไหม บอกตรง ๆ เลย มันเป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกขนลุกมาก เหมือนเอาเบ็ดตกปลาใส่เข้าไปในรูที่อกน่ะคุณ ส่อง ๆ ดูความเรียบร้อยข้างใน แล้วตอนเขาเอามันออกก็ต้องกระตุกขึ้น...” ผมหยุดคำพูดของตัวเองลง มองไซม่อนที่มีสีหน้าตั้งอกตั้งใจฟังอย่างยิ่งยวดแล้วต้องกระแอมออกมาเบา ๆ “โทษที ผมว่าคงไม่ควรพูดเรื่องนี้บนโต๊ะอาหาร”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาส่งยิ้มอ่อนโยนให้ผมอีกแล้ว “ผมชอบฟังเรื่องของคุณ”

ผมรู้สึกเหมือนหัวใจสะดุดไปจังหวะหนึ่ง หน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อย เป็นเวลาเดียวกับที่อาหารมาเสิร์ฟพอดี ผมรอจนบริการผละไปแล้วจึงยกมือกระแอม

“ถ้าผมเป็นผู้หญิงล่ะก็ ผมคงนึกว่าคุณพยายามจะจีบผมอยู่”

“ฮะ ๆๆๆ” ไซม่อนหัวเราะรับ หยิบส้อมและมีดขึ้นมาถือในมือ “แล้วใครบอกล่ะว่าต่อให้คุณไม่ใช่ผู้หญิง ผมจะไม่พยายามจีบคุณ”

ผมแทบจะปล่อยส้อมที่จิ้มผักจากจานสลัดของตัวเอง อ้าปากค้างกับคำพูดสบาย ๆ นั่น ก่อนจะหรี่ตาลงมองชายหนุ่มอย่างจับผิด

“คุณจะบอกว่า… คุณกำลังจีบผมอยู่งั้นเหรอ?”

เขาไม่ตอบ ยกส้อมที่เสียบเนื้อปลาอย่างดีเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างละมุนละไม ผมวางส้อมของตัวเองลงแล้วเริ่มยกมือขึ้นกอดอกราวกับว่ามันเป็นปราการป้องกันให้ผมได้

“ผมว่าเราเริ่มชักจะไปกันใหญ่แล้ว”

“ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำเลยนี่” เขายิ้ม แต่มันไม่ใช่ยิ้มอ่อนโยนหรือสุภาพแบบนั้นอีกแล้ว แต่เป็นยิ้มแบบที่ผมให้คำจำกัดความว่า เอ่อ เจ้าเล่ห์ “แต่ขอโอกาสผมพูดอะไรอย่างสิ ก่อนหน้านี้คุณเคยบอกว่าคุ้น ๆ หน้าผมที่ไหนมาก่อนใช่ไหมครับ”

“ใช่”

“แล้วคุณได้เก็บเรื่องนั้นไปคิดบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ได้คิด” ผมรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว และรู้สึกว่าพลาดไปหน่อยที่พูดเร็วเกินไป เพราะมันอาจทำให้ไซม่อนรู้ว่าผมกำลังโกหก “ทำไมผมจะต้องคิดเรื่องของคุณด้วย แค่คุณเข้ามาป่วนก็แย่พอแล้ว”

“ไม่เห็นต้องตัดรอนกันโหดร้ายขนาดนั้นก็ได้นี่นา ออสติน”

“ผมว่าคุณเลิกเล่นเกมทายคำถามกันดีกว่า ทำไมคุณไม่บอกผมมาเลยล่ะว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน”

“คุณรู้จักบาร์ที่ชื่อไรท์แทรคไหมครับ ที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมือง”

ผมนิ่งไปทันที นั่นเป็นบาร์ที่ผมแวะเวียนไปเป็นบางครั้งเมื่อมีโอกาส แต่ผมไม่ค่อยไปสถานที่แบบนั้นคนเดียวหรอกนะ ครั้งล่าสุดที่ผมไป ผมก็ไปกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม

ผมหน้าซีดลงทันที เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเขาพยายามจะพูดอะไร

“คุณไปที่นั่นเหมือนกันเหรอ” อ๊ะ แย่ล่ะ หลุดคำว่า ‘เหมือนกัน’ ไปจนได้…

“ก็แวะเวียนไปบ้างครับ เท่าที่โอกาสอำนวย” เขายกยิ้มพราย เป็นยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกอยากคว่ำโต๊ะนี่ใส่หน้าเขา “คุณเองก็เหมือนกันเหรอ?”

ถ้าพวกคุณยังนึกไม่ออกนะว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่… ผมจะบอกให้ก็ได้ว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน

ไรท์แทรคที่ว่านั่นเป็นบาร์เกย์

“ผมแค่ไปกับเพื่อนเท่านั้น” ผมเบือนหน้าหนีออกไปมองนอกหน้าต่าง ยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่ม

“แต่คุณก็มีรสนิยมทางนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ”

ผมไม่ตอบ แต่รู้ดีว่านั่นเป็นคำตอบที่ชัดเจนยิ่งกว่าพูดออกมาตรง ๆ เสียอีก

“ผู้ชายคนที่อยู่กับคุณน่ะ เขาเป็นแฟนคุณเหรอ หรือว่าคู่นอน?”

“เปล่า เขาเป็นเพื่อนผม เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน” ผมว่า รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้เริ่มฝืดคอขึ้นมา

ไม่ใช่ว่าผมอับอายกับรสนิยมทางเพศของตัวเองอะไรแบบนั้นหรอกนะครับ ยิ่งกับคนประเภทเดียวกันด้วย (อ้าว ก็หมอนี่ไปบาร์เกย์มา ก็ต้องแปลว่ามันเป็นด้วยน่ะสิ) แต่ผมรู้สึก… รู้สึกเหมือนกำลังโดนก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว ไซม่อนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของผมมากขึ้นเรื่อย ๆ มันทำให้ผมอึดอัด

“เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแผนกสืบสวนนี่ ใช่ไหมครับ”

ทำไมหมอนี่มันรู้ดีจังวะ… ถึงจะบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอซึ่งเป็นสายงานใกล้เคียงกันก็เถอะ

“แปลกนะครับ” เขาถามต่อราวกับไม่รับรู้สีหน้าไม่พอใจของผม ผมรู้ว่าเขารู้ เขาแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็เท่านั้น “ผมนึกว่าคุณไม่ชอบพวกตำรวจเสียอีก ดูจากที่ปฏิกิรยาตอนเราเจอกันครั้งแรก”

“อ้อ แน่นอน ผมไม่ชอบพวกตำรวจหรอก” ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “พวกนั้นชอบเร่งฝ่ายผมให้ทำงานเร็ว ๆ จะเอาผลตรวจนั่นนี่อยู่นั่นแหละ อย่างกับเราเป็นหมอนั่งทางใน เห็นศพปุ๊บจะรู้ทุกอย่างเลย ขั้นตอนพวกนี้มันก็ใช้เวลาไม่น้อยนะคุณ แต่ตำรวจบางคนก็ไม่เข้าใจ”

“ผมนึกออกครับ” ไซม่อนว่า ดันจานที่มีมันฝั่งกับหัวหอมทอดมาให้ ผมเลยหยิบขึ้นมาจิ้มซอสแล้วเอาเข้าปาก “แต่ถึงคุณจะเกลียด คุณก็มีเพื่อนเป็นตำรวจนี่?”

“ก็นะ อย่างที่ผมบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่ผมก็มีเพื่อนตำรวจคนอื่น ๆ ด้วยเหมือนกันนะ มันเหมือน… จะว่ายังไงดี ก็ตอนทำงาน เราก็เจอหน้ากันวนเวียนแถวนี้นี่ครับ ถึงจะมีไม่ถูกกันบ้าง แต่ก็หนีไปไหนไม่พ้น”

“นึกออกครับ”

“แต่ผมก็เลือกคบเฉพาะกับตำรวจดี ๆ เท่านั่นแหละ” ผมเริ่มจัดการอาหารในจานต่อ ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ดีกับการที่ได้รู้ว่าเขาเป็นเกย์และพยายามที่จะจีบผม “แต่คุณอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องได้ไหม กลับมาที่เรื่องที่คุณพูดก่อนหน้านี้ก่อน”

“ได้สิครับ”

ผมขมวดคิ้ว มองหน้ายิ้ม ๆ ของเขาอย่างไปต่อไม่ถูก

“ตกลงว่าคุณเข้าหาผม เพราะว่าผมได้หัวใจของพี่คุณมา ไม่ใช่เพราะผม... หรือเพราะรสนิยมทางเพศของผม ผมเข้าใจเรื่องนี้ถูกใช่ไหม”

ไซม่อนวางส้อมกับมีดลง ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพร้อมกับเสมองไปอีกทาง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาแสดงท่าทีเหมือนไม่แน่ใจออกมาแบบนี้

“อ่า”

“คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์” ผมหรี่ตาลง

“แล้วถ้าผมบอกว่าผมเข้าหาคุณเพราะตัวคุณเองล่ะ” เขาหันมาสบตาผมตรง ๆ อีกครั้ง ไม่มีร่องรอยล้อเล่นอยู่ในคำพูดนั้น ผมรู้สึกเหมือนนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นเริ่มดูดกลืนผมเข้าไปอีกครั้ง “คุณจะว่ายังไง”

ผมนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามนั้น

ผมไม่ได้ออกมากินข้าวกับเขาเพราะอยากได้ยินอะไรแบบนี้






-------------------------------------
Talk: อื้อหือ... แบบนี้ก็ได้เหรอคะ #ไซคนด้าน เจอกันไม่กี่ทีก็บุกแบบนี้ก็ได้เหรอคะ 5555555 ไม่เป็นไรค่ะ เรา #ทีมไซม่อน อยู่แล้ว (ฮา) ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านกันน้า อ่านแล้วก็ช่วยเม้นท์กันเป็นกำลังใจหน่อยนนะคะ ^^ รักทุกคนเลย~ //ส่งจูบ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 2) P.1 [11/05/2017]
«ตอบ #9 เมื่อ11-05-2017 19:30:43 »

อะไรทำให้คุณหมอกลายเป็นคนเกลียดกลัวการสัมผัสกับคนอื่นหนอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 2) P.1 [11/05/2017]
« ตอบ #9 เมื่อ: 11-05-2017 19:30:43 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 2) P.1 [11/05/2017]
«ตอบ #10 เมื่อ11-05-2017 23:11:49 »

เนื้อเรื่องสนุก น่าติดตามดีค่ะ

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 2) P.1 [11/05/2017]
«ตอบ #11 เมื่อ13-05-2017 23:26:19 »

แหมมม คุณไซม่อนน แค่ 2 ตอน
แต่ทำออสตินอึดอัดกี่รอบแล้วเนี่ยย
55555 ชอบค่าาา ติดตามๆๆ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 2) P.1 [11/05/2017]
«ตอบ #12 เมื่อ14-05-2017 18:19:57 »


บทที่ 3



เสียงแอพพลิเคชั่นของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนดังขึ้น ผมละหน้าออกจากหน้าจอที่พิมพ์งานค้างไว้ เลื่อนมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่ใกล้มือขึ้นมาดู อ่านข้อความที่เด้งขึ้นมาแล้วผมถึงกับต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ มันมาจากไคล์ ไทเลอร์… เพื่อนสนิทของผมที่ห่างหายไปนาน เหมือนว่าช่วงนี้เจ้าตัวจะเจอมรสุมงานขั้นหนัก ผมส่งข้อความไปหาเขาเพื่อทักทายบ้าง แต่อีกฝ่ายไม่ค่อยมีเวลาตอบกลับเท่าไหร่ หรือต่อให้ตอบก็เป็นคำตอบสั้น ๆ ซึ่งนั่นก็ชัดเจนพอแล้วว่าเจ้าตัวกำลังยุ่งกับคดีของตัวเอง

ผมไม่ได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตกับโน้ตบุ๊คที่ใช้เขียนงานอยู่ตอนนี้เพราะมันจะทำให้เสียสมาธิ เพราะงั้นถ้ามีใครส่งข้อความหรือพยายามติดต่อผมผ่านทางช่องทางออนไลน์ โทรศัพท์จะเป็นแค่อย่างเดียวที่รับข้อมูลนั้นได้

ผมขยับแว่นที่อยู่บนหน้าเล็กน้อย มันเป็นแว่นกรองแสงที่ผมใช้เวลาต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก้มลงอ่านข้อความนั้นแล้วตอบเขา ปกติถ้าเป็นตอนที่ผมยังทำงานอยู่ ผมคงตอบเขาไม่ได้รวดเร็วขนาดนี้หรอก แต่จริง ๆ เขาก็ไม่เคยส่งข้อความมาหาผมเวลาทำงานเลยน่ะนะ เราค่อนข้างเคารพซึ่งกันและกัน แต่ตอนนี้ผมเป็นแค่อดีตหมอชันสูตรศพ… เป็นหมอที่ถูกพักงานอยู่ จะเรียกอะไรก็ช่าง เอาเป็นว่าไคล์เองก็รู้เรื่องนี้ดีเหมือนกัน

ผมเริ่มกดหน้าจอเพื่อพิมพ์ตอบเขา



Kiel Tyler: ออสติน นายอยู่ไหม

Austin Gardner: อยู่ มีอะไรรึเปล่า

Kiel Tyler: นายจะว่างช่วงสิ้นเดือนนี้ไหม



ผมอมยิ้มออกมานิดหนึ่ง สงสัยเพื่อนผมคนนี้จะเริ่มหาเวลาว่างพอจะมากินข้าวกันได้แล้ว ไคล์ ไทเลอร์เป็นตำรวจแผนกสืบสวนคดีฆาตกรรมอยู่ประจำเขตพื้นที่ที่ห่างออกไปจากที่ผมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่ หมอนี่เป็นคนทื่อ ๆ ครับ แล้วก็ไม่ชอบการใช้เทคโนโลยีพวกสมาร์ทโฟนพวกนี้ในการสื่อสารเท่าไร เพราะงั้นเวลาคุยกันในหน้าจอกับไคล์ ทุกอย่างจะห้วนและสั้นไปหมด บทสนทนาระหว่างผมกับเขาในช่องแชทนี้แทบจะเป็นแพทเทิร์นเดียวกันหมด

ว่างไหม ออกมากินข้าวกันไหม อาทิตย์หน้าเป็นไง เจอกันร้านไหน

อะไรแบบนั้นแหละครับ



Austin Gardner: ว่างตลอดทุกวันนั่นแหละ ร้านไหนดีล่ะรอบนี้

Kiel Tyler: เอ่อ รอบนี้ฉันไม่ได้มาชวนกินข้าวน่ะ



คำตอบนั้นทำให้ผมต้องเลิกคิ้วสูงขึ้นอย่างแปลกใจ คือนอกจากเจอเพื่อนัดกินข้าวแล้ว ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าไคล์จะติดต่อมาทำไม

ช่วงที่ผมยังทำงาน เขาก็ติดต่อมาขอให้ผมไปช่วยงานฝั่งนั้นบ้างตอนที่ยุ่ง ๆ แล้วคนไม่พอ แต่ตอนนี้ร่างกายผมไม่ได้แข็งแรงเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ไคล์เองก็รู้ดีและไม่เคยขอร้องให้ผมช่วยงานเลยหลังจากที่ทรุดตัวลงตอนนั้น เอ… หรือว่าจะมีงานอะไรเร่งด่วนจริง ๆ ถึงอยากให้ผมไปช่วย

ผมก้มลงไปพิมพ์ต่อ เห็นข้อความขึ้นมาเหมือนกันว่าอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ต่อมาอยู่ แต่เรื่องความเร็วในการพิมพ์น่ะ ไคล์สู้ผมไม่ได้หรอก หมอนั่นพิมพ์เร็วกว่าหอยทากเดินนิดเดียวเอง



Austin Gardner: ทำไม? มีเรื่องอะไรเหรอ? หรืออยากให้ช่วยชันสูตรศพ?

Kiel Tyler: ฉันอยากให้นายมาเป็นพยานขึ้นให้การในศาลให้ฉันหน่อย



เปรียบความรู้สึกของผมตอนนี้ เหมือนคนที่เดินอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็ตกลงไปหลุมพรวดเพราะกับดักที่ถูกใบไม้แห้งปิดเอาไว้เลยทำให้มองไม่เห็น คือมันงงไปหมด คุณพอนึกออกไหม เหมือนคุณมีเพื่อนคนหนึ่งที่คอยติดต่อกันตลอดเพื่อนัดทานข้าวกันเป็นประจำ วันดีคืนดีเพื่อนคนนั้นของคุณก็ติดต่อมาแล้วก็บอก ‘เฮ้ ช่วยเป็นพยานในศาลให้หน่อย’ เป็นคุณจะไม่ตกใจเหรอ



Austin Gardner: อะไรนะ!? เกิดอะไรขึ้น ไคล์

Kiel Tyler: นายจำคดีของฆาตกรตัวเลขเมื่อปีก่อนนู้นได้รึเปล่า



ผมจำฉายาของฆาตกรคนนี้ได้ทันที มันเป็นคดีที่เขย่าขวัญชาวเมืองไม่น้อยในช่วงเวลาที่ฆาตกรคนนี้ออกอาละวาด สิ่งที่มันทำกับเหยื่อก็คือจัดการให้เหยื่ออ่อนแรงจนไม่สามารถขัดขืนได้ จากนั้นก็ขืนใจแล้วก็ฆ่าทิ้งด้วยปืน ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ… ไอ้ฆาตกรคนนี้ไม่เลือกเพศเลย จะผู้หญิงหรือผู้ชาย

ใช่แล้ว… ผมจำได้แม่นเลยว่าคดีนั้นมันฆ่าไปทั้งหมด 6 ศพ เป็นผู้ชายสองคนแล้วก็ผู้หญิงสี่คน ทุกคนล้วนมีเส้นผมสีบลอนด์ทองกันหมด ส่วนที่มันมีฉายาว่าฆาตกรตัวเลขก็เพราะฆาตกรรายนี้ชอบเขียนตัวเลขแปลก ๆ เหมือนเป็นรหัสไว้ตามตัวของศพ ไอ้พวกสัญลักลักษณ์แบบนี้ ทางการสืบสวนจะเรียกว่าลายเซ็นของฆาตกร กล่าวคือพวกมันจะทิ้งร่องรอยแบบนั้นไว้เพื่อแสดงตัวว่า… มันนี่แหละที่เป็นคนจัดการกับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น

ฟังดูโรคจิตใช่ไหมคครับ? แต่ในเชิงจิตวิทยาแล้ว การทำลายเซ็นไว้แบบนั้นเป็นการแสดงให้โลกได้รับรู้ว่ามันนี่แหละที่เป็นคนทำ มันนี่แหละคือผู้ชนะ ลายเซ็นพวกนี้มักจะเป็นการท้าทายพวกตำรวจและทีมสืบสวนเสมอ ฆาตกรพวกนี้มักจะหยิ่งผยองและภูมิใจที่มันสามารถแสดงออกได้ว่ามันเป็นคนฆ่า แต่ตำรวจก็หาตัวมันไม่พบ วิปริตชะมัด

เหตุผลที่ผมจำคดีนี้ได้ก็เพราะ ผมเคยถูกดึงตัวไปช่วยงานชันสูตรศพอยู่ครั้งสองครั้ง ศพที่ผมได้ตรวจสอบเป็นศพของผู้หญิง ผมบอกได้เลยจากการวิเคราะห์ว่าฆาตกรน่ะเป็นพวกโรคจิตชอบใช้ความรุนแรง อวัยวะเพศของร่างที่ไร้ลมหายใจนั้นเสียหายอย่างหนัก… ผมจะไม่ลงลึกรายละเอียดมากนักแล้วกัน แต่เอาเป็นว่านอกจากมันจะข่มขืนเหยื่อด้วยแล้ว มันยังใช้วัตถุแปลกปลอมในการละเลงฉากฆาตกรรมของมันด้วย

คิดถึงตรงนี้… ผมก็เผลอยกมือขึ้นมาจับแขนลวก ๆ ราวกับต้องการโอบกอดตัวเอง

ผมเคยรับมือได้ดีกับงานที่ตัวเองทำมากกว่านี้ ผมเคยเป็นคนที่ลบอารมณ์ทั้งหมดได้เมื่ออยู่ในหน้าที่การงาน ไม่มีความรู้สึกสงสาร ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความรู้สึกสังเวชกับศพ เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คนอย่างพวกเราทำงานต่อไปได้ แต่ผมเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาแล้วเมื่อไม่นานก่อนช่วงที่ผมจะพักงานจริง ๆ ผมเริ่มจินตนาการไปแล้วว่าเหยื่อพวกนั้นอ้อนวอนฆาตกรยังไงตอนที่มันกำลังข่มขืนพวกเขา และพวกเขาต้องทรมานขนาดไหนก่อนที่ฆาตกรจะลงมือยุติความเลวร้ายเหล่านั้น...

เอาล่ะ… ผมต้องหยุดคิด ผมต้องหยุดคิดเดี๋ยวนี้ก่อนที่ตัวเองจะเป็นบ้าไป ตอนนี้ผมไม่ได้แม้แต่กำลังทำงานอยู่ด้วยซ้ำ



Kiel Tyler: 6 ศพ ผมบลอนด์ ทั้ง ช. ญ.



เขาบอกรายละเอียดคร่าว ๆ ของคดีนั้นมาเพราะกลัวว่าผมจะไม่รู้ ซึ่งนั่นไม่จำเป็นเลย



Austin Gardner: จำได้

Austin Gardner: แล้วมันทำไมเหรอ? ก็นายจัดการฆาตกรคนนั้นได้ไปแล้วนี่



ใช่แล้วครับ ไคล์เป็นคนที่จับฆาตกรตัวเลขได้ ไม่สิ… อย่าเรียกว่าจับเลย เรียกว่าเป็นคนฆ่าเลยดีกว่า เพราะตอนที่เขากำลังทำการเข้าจับกุม ผู้ต้องสงสัยคนนั้นขัดขืนคำสั่งที่ว่าไม่ให้ขยับตัวของเขา และเนื่องจากตอนนั้นเป็นเวลากลางคืน ไคล์ที่บุกไปจับคนร้ายเห็นอีกฝ่ายขยับตัวเอื้อมมือไปจะหยิบปืน เขาก็เลยยิงผู้ชายคนนั้น ฆาตกรคนนั้นไม่ได้ตายในทันทีหรอก แต่ก็สิ้นใจก่อนถึงโรงพยาบาลอยู่ดี แต่ยังไงก็แล้วแต่ หลังจากวันนั้นเมืองก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง ฆาตกรตัวเลขตายไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมอยู่ ๆ ไคล์จะต้องไปขึ้นศาลที่เกี่ยวกับคดีนี้ด้วย มันจบมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว



Kiel Tyler: ฉันโดนฟ้องว่าฆ่าผิดคน

Austin Gardner: ว่าไงนะ!!?



ผมอ้าปากค้าง แต่ด้วยสัญชาติญาณก็ยังพิมพ์ตอบไปต่ออยู่ดี



Austin Gardner: งี่เง่าชะมัด!! คนพวกนี้ไม่มีอะไรอย่างอื่นทำกันแล้วรึไงวะ!?

Kiel Tyler: คนฟ้องเป็นภรรยา…. ไม่สิ เคยเป็นภรรยาของฆาตกรมาก่อน

Kiel Tyler: หล่อนบอกว่าฉันจัดการผิดคน

Austin Gardner: หลังจากที่ผ่านไปเป็นปี ๆ แล้วเนี่ยนะ? ไม่งี่เง่าไปหน่อยรึไง

Austin Gardner: หล่อนต้องอยากได้เงินชดเชยจากเรื่องนี้แน่ ๆ

Kiel Tyler: นายมาเป็นพยานให้ฉันได้ไหม ออสติน

Kiel Tyler: นายเคยชันสูตรศพเหยื่อรายหนึ่งตอนนั้น แล้วก็ได้ร่วมตอนที่ชันสูตรศพของฆาตกรตัวเลขด้วยไม่ใช่เหรอ

Austin Gardner: ก็ใช่อยู่หรอก ถึงจะไม่ได้อยู่ทั้งงานก็เถอะ

Austin Gardner: ฉันขึ้นให้ปากคำได้ ไคล์ นายใส่ชื่อฉันไปได้เลย

Kiel Tyler: เดี๋ยวอัยการของฉันคงจะติดต่อนายแบบเป็นทางการไปอีกที อันนี้ฉันมาเกริ่นไว้ก่อน

Austin Gardner: ฉันก็ต้องช่วยนายอยู่แล้ว แต่ให้ตายเถอะ คนฟ้องนายนี่… จริง ๆ เลย

Kiel Tyler: เรื่องค่าเดินทาง ค่าที่พักอะไร ทางนี้คงจ่ายให้นาย ยังไงก็รบกวนด้วยนะ

Austin Gardner: พูดอะไรแบบนั้น ฉันเป็นเพื่อนนายนะ

Kiel Tyler: เถอะน่า ยังไงก็เป็นเงินของรัฐอยู่แล้ว นายเก็บใบเสร็จมาเบิกแล้วกัน

Kiel Tyler: ขอบคุณมากจริง ๆ นะ ออสติน

Austin Gardner: ฉันว่าเราน่าจะนัดเจอกันเพื่อคุยเรื่องนี้กันก่อนสักครั้งสองครั้งนะ

Kiel Tyler: ไว้จะพยายามหาเวลา รายละเอียดต่าง ๆ ทนายฉันจะส่งไปให้

Kiel Tyler: ต้องไปทำงานแล้ว ไว้คุยกัน

Austin Gardner: โอเค พยายามเข้านะ



ผมจ้องมือถือของตัวเองเนิ่นนานแม้ว่าหน้าจอจะดับมืดไปเรียบร้อยแล้ว ครุ่นคิดอยู่กับเรื่องที่เพิ่งคุยกับไคล์มา ปกติแล้วหมอนี่ไม่ค่อยขอร้องผมหรือใคร ๆ ให้ช่วยทำอะไรเท่าไรหรอก นอกจากจะเกินตัวจริง ๆ และนั่นทำให้ผมสงสัยว่าเพื่อนสนิทของตัวเองกำลังอยู่ในที่นั่งลำบากขนาดไหน

ผมกดเปิดรูปพักหน้าจอของโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลา อีกครึ่งชั่วโมงไซม่อนก็จะมาแล้ว หมอนี่นัดผมไว้ตั้งแต่เมื่อวานซืนว่าจะมาวันนี้ ผมบอกเขาว่าจะเข้าครัวทำกับข้าวเลี้ยง ตอบแทนที่เขาเลี้ยงผมเมื่อตอนไปกินข้าวด้วยกันคราวก่อน ผมเดินเข้าครัวไปจัดแจงหยิบวัตถุดิบออกมาเตรียม และเมื่อเริ่มลงมือไปได้พักหนึ่งเสียงกดออดหน้าประตูก็ดังขึ้น ผมละมือจากทุกอย่างแล้วเดินไปเปิด ใบหน้าคมสันซึ่งประดับด้วยรอยยิ้มหวานเป็นสิ่งแรกที่ผมได้เห็นเป็นอย่างแรก

“สวัสดีครับ” ไซม่อนเอ่ยทัก เขาอยู่ในชุดลำลองที่ดูดีกว่าปกติเล็กน้อย ใบหน้าก็ไม่ได้ดูอ่อนล้าเหมือนอดนอนมาทั้งคืน ตรงกันข้าม มันดูสว่างสดใสเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ

“อือ เข้ามาก่อนสิ”

ผมเดินเข้าข้างในก่อนเพื่อให้แขกเดินตามมา จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ห้องครัวเพื่อจัดการเตรียมอาหารที่ทำค้างไว้อยู่ต่อ ไซม่อนเดินตามเข้ามาพร้อมกับเริ่มยื่นหน้ามาที่เตาเพื่อดูว่าผมทำอะไร ผมหันกลับไปมองเจ้าตัวเบื่อ ๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่สลด ยิ้มรับหน้าตาเฉยอยู่นั่น ทำไมหมอนี่ถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ

“นี่ คุณ” ผมว่า “จะเข้ามาทำไมเนี่ย ไปรอข้างนอกสิครับ ใกล้เสร็จแล้วผมจะบอก”

“คุณมีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า”

ผมถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่มีครับ ผมไม่ชอบอยู่ใกล้คน เพราะงั้นตอนนี้ออกไปได้แล้ว”

“แต่ผมอยากอยู่ใกล้คุณนี่”

ผมถลึงตากับคำพูดสั้น ๆ ง่าย ๆ นั่นของเขา แต่หมอนี่ไม่สะเทือนอะไเรเลยสักนิด แถมยังส่งยิ้มหวานที่คงทำให้ผู้หญิงเกือบทุกคนละลายไปกองกับพื้น แต่เสียใจเถอะ ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะ ถึงจะแอบสะดุดกึกไปนิดหน่อยก็ตาม

‘แล้วถ้าผมบอกว่าผมเข้าหาคุณเพราะตัวคุณเองล่ะ’

คำพูดที่ไซม่อนพูดไว้เมื่อคราวก่อนตอนออกไปกินข้าวด้วยกันลอยเข้ามาในหัว ในตอนนั้น… ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองตอบอะไรออกไป แต่คิดว่าไม่ได้พูดอะไรตอบเลย ก็ผมไม่ได้คิดกับเขาในแง่นั้นนี่ แล้วก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความรักใหม่อีกครั้งด้วย อดีตที่ผ่านมามันย้ำเตือนอยู่ในใจ ฝังรากลึกอยู่ในนั้นจนทำให้ผมเข็ดหลาบ

อีกอย่าง… ผมเพิ่งจะเจอกับเขาได้ไม่นานเท่านั้น แต่การที่เจ้าตัวรุกเข้ามาดื้อ ๆ แบบนั้นมันอะไรกัน นิสัยแบบนี้มันน่าสงสัยแล้วก็ไม่น่าไว้ใจสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ ถึงเขาจะดูจริงใจตอนที่พูดเรื่องนั้นขึ้นมาก็เถอะ… แต่นี่ยังไม่นับเรื่องที่ผมเป็นโรคโดนตัวผู้คนไม่ได้อยู่อีกนะ คือแค่โดนนิดเดียวก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านวูบวาบชวนให้เจ็บแปลบไปหมดแล้ว แล้วผมจะมีความรักกับใครที่ไหนได้ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะ?

“นะครับ ให้ผมช่วยคุณเถอะ คุณก็ไม่ค่อยสบาย ร่างกายไม่แข็งแรง ให้ผมปล่อยคุณทำกับข้าวอยู่ในครัวคนเดียวแล้วตัวเองไปนั่ง ๆ นอน ๆ ดูทีวีงี้… ผมคงรู้สึกแย่มากแน่ ให้ผมช่วยเถอะครับ อะไรง่าย ๆ ก็ได้”

“โอเค ๆ เข้าใจแล้ว” ผมตัดบทจากนั้นจึงเริ่มสั่งงานเขาให้มาเป็นลูกมือให้ผม

เริ่มลงมือกันไปได้ครู่หนึ่ง ไซม่อนก็เริ่มเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาเชื่อมต่อบลูทูธกับสปีคเกอร์ของผมแล้วเปิดเพลงคลอ

ผมเหลือบมองใบหน้าคมที่ฮัมเพลงตามอย่างอารมณ์ดี เขาช่างเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วทำให้บรรยากาศโดยรอบดูมีสีสันขึ้นมาจริง ๆ

จะว่าไป… ไอ้บรรยากาศที่เหมือนมีสีสันแบบนี้… ครั้งสุดท้ายที่มันเกิดขึ้นในบ้านของผมนี่ มันผ่านมานานเท่าไรแล้วนะ

“หืม?” ไซม่อนหันมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ผมเพราะรู้สึกตัวว่าโดนจ้องมากเกินไป ผมรีบเบือนหน้าหนีทันที

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ในขณะที่หมอนี่ดูเป็นคนสร้างสีสัน แล้วทำไมตัวผมถึงได้ดูมืดมนแบบนี้น้อ…

เพลงของศิลปินที่ผมคุ้นหูอยู่คนหนึ่งดังลอยมาให้ได้ยิน ผมก้มลงมองมือที่กำลังหั่นผักอยู่ตรงหน้านิ่ง มันเป็นเพลงที่ค่อนข้างเก่า แต่ก็ยังพอได้ยินอยู่เรื่อย ๆ เพราะค่อนข้างดัง

ผมได้ยินเสียงจังหวะของกลองที่สอดประสานกับเบสในเพลงนั้น ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นตามจังหวะนั้นด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ราวกับว่าพื้นที่โดยรอบที่เคยสว่างไสวค่อย ๆ ถูกดูดกลืนเข้าไปอยู่ในความมืด เหมือนกับสายตาเริ่มไม่สามารถจับโฟกัสอยู่ที่อะไรรอบตัวได้

ตึก… ตึก… ตึก….

ผมว่าผมคงต้องขอให้เขาเปลี่ยนเพลงได้แล้ว

“ออสติน”

ผมสะดุ้งเฮือกจนแทบจะกระโดดลอยจากพื้นเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาประชิดตัว มือหนาเลื่อนมาคว้าข้อมือที่ถือมีดของผมไว้อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ สัมผัสจากมือของเขาทำให้ผมรู้สึกอุ่นซ่าน จากนั้นก็เป็นความรู้สึกแปลบ ๆ เหมือนมีไฟฟ้ามาช็อต

แต่ผมก็ยังปล่อยให้เขายึดแขนผมไว้แบบนั้น พวกเราสองคนจ้องตากันนิ่งราวกับจะพยายามล้วงลึกเข้าไปในจิตใจอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด

ไซม่อนค่อย ๆ ผละมือออก

“ระวังหน่อยสิครับ คุณ… มันอันตรายนะ เกิดไปโดนคุณเข้าแล้วเป็นแผลขึ้นมาจะทำยังไง”

“ก็…  ก็คุณมาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ผมงึมงำตอบ มือที่กำด้ามมีดอยู่เริ่มชื้นเพราะเหงื่อ นี่ผมกำลังกลัวหรือว่ากำลังตื่นเต้นกันแน่? ผมตอบคำถามนั้นไม่ได้เหมือนกัน

ไซม่อนจ้องหน้าผม สายตาของเขามองลึกลงมาอีกแล้ว ผมไม่ชอบให้เขามองแบบนี้… มันเหมือนผมกำลังเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับว่าเขากำลังชอนไชเข้ามาในส่วนลึกที่สุดของตัวผมได้มากกว่าที่ผมเองจะทำได้จริง ๆ เสียอีก

ไม่เห็นจะเข้าใจเลย… เขาบอกว่าเขาชอบผม

แล้วทำไมเขาถึงชอบผมล่ะ? ในเมื่อแม้แต่ตัวผมเองยังไม่ชอบตัวเองเลยด้วยซ้ำ

“เมื่อกี้คุณหน้าซีดเหมือนจะเป็นลมเลยนะ คุณหมอ”

“เอ่อ” ผมขยับตัว วางมีดลงบนเขียง เพลงที่เล่นผ่านสปีคเกอร์เปลี่ยนไปแล้ว และมันเป็นเพลงใหม่ของศิลปินที่ผมไม่รู้จัก ท่วงทำนองค่อนข้างสดใส ออกจะหลุดโลกนิดหน่อย แต่ยังไงมันก็ดีกว่าเพลงเมื่อกี้ สำหรับผมน่ะนะ

“คุณเหนื่อยหรือเปล่า ไปพักก่อนไหม”

“ไม่… ผมไม่เป็นไร”

“คุณไข้ขึ้นหรือเปล่า หรือว่ารู้สึกหน้ามืดบ้างไหม?” เขาว่า เลื่อนหลังมือมาทาบหน้าผากผม

ผมควรจะปัดมือเขาออกไป ควรจะถอยหนีจนหลังไปติดข้างฝา แต่ผมก็ทำเพียงแค่หลับตาแน่นปี๋แล้วปล่อยให้สัมผัสนั้นแตะลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา

รู้สึกวูบวาบไปหมด… รู้สึกมวนในช่องท้องด้วย

อยากจะปัดมันออก… อย่ามาโดนตัวกันได้ไหม…

“นี่ ออสติน” ไซม่อนว่า มือผละออกจากหน้าผากผมไปแล้ว ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ใบหน้านั้นอยู่ห่างผมออกไปไม่ไกล มันใกล้มากจนรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจของเขา ผมรู้สึกหัวหมุนไปหมดแล้ว

“อะ… อะไรครับ”

“ขอผมสัมผัสหน่อยได้ไหม” เขาว่า หลุบตาต่ำลงบนอกข้างซ้ายของผม “หัวใจของคุณน่ะ”

ผมรู้สึกว่าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้ายผมเต้นตุบตับรัวขึ้น

หัวใจที่อยู่ในนั้น… หัวใจที่เคยเป็นของพี่ชายเขา…

“แต่.. แต่…” ผมอึกอัก

“แค่นิดเดียวจริง ๆ” เขาว่า นัยน์ตาสีฟ้ามุ่งมั้นจนผมอยากจะกรีดร้อง ก็รู้ ๆ อยู่ว่าไม่ชอบให้มาโดนตัว! ยังจะมีหน้ามาขออะไรแบบนั้นอีก!

แต่… อีกส่วนหนึ่งในใจผมก็เข้าใจดี เข้าใจตัวเขาที่สูญเสียบุคคลผู้เป็นที่รักไป และตอนนี้ส่วนหนึ่งของคน ๆ นั้นก็อยู่ในตัวผม เขาคงอยากจะรับรู้ถึงมัน…

“กะ… ก็ได้” รู้ตัวอีกที ผมก็หลุดปากพูดออกไปแบบนั้นแล้ว “ก็ได้ครับ”

มือหนาค่อย ๆ เลื่อนมาแตะลงบนอกข้างซ้ายผมอย่างแผ่วเบา ผมอยากจะหลับตาแล้วกล้ำกลืนความรู้สึกที่ตัวเองแสนจะรังเกียจนี้ลงไป แต่ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่คมคู่นั้นกำลังดูดกลืนผมเข้าไปอีกแล้ว ผมแทบลืมหายใจตอนที่เห็นมันมองอยู่ที่แผ่นอกของผมโดยไม่ขยับไปไหน

ผมอ่านเขาไม่ออกเลย เขากำลังโหยหาถึงบุคคลที่เคยเป็นเจ้าของหัวใจนี้มาก่อนรึเปล่านะ? หรือว่ากำลังคิดอะไร... แล้วเขานึกเสียใจรึเปล่า ที่คนที่กำลังใช้หัวใจนี่อยู่ไม่ใช่พี่ชายของเขา แต่เป็นตัวผม… ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้

เขาค่อย ๆ ช้อนสายตาขึ้นมา ผมกลั้นใจ รู้สึกเหมือนลมหายใจจะขาดอยู่รอน ๆ อย่างบอกไม่ถูก เขายกมือขึ้นมานิด ทำท่าเหมือนจะแตะตัวผมอีกแล้ว ผมหลับตาแน่น สะดุ้งด้วยความตกใจ แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ละมือไปจากผมอย่างอ้อยอิ่งเท่านั้น จากนั้นก็คลี่ยิ้ม… เป็นยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยอีกแล้ว ผมเคยเห็นแววตาแบบนั้นมาจากคนมากมาย คนที่เป็นญาติของผู้เสียชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อในอุบัติเหตุหรือคดีต่าง ๆ คนที่ถูกพรากคนที่ตัวเองรักไปอย่างกะทันหัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วจนพวกเขาตั้งตัวรับไม่ทัน

ใช่แล้ว… ผมรู้จักสีหน้าแววตาแบบนี้ดี

“ขอบคุณครับ ออสติน” เขาพูดยิ้ม ๆ นัยน์ตาสีฟ้าหม่นฉายแววจริงใจเฉกเช่นเคย “มันมีความหมายกับผมมากจริง ๆ”

...นี่ผมแค่คิดไปเองคนเดียว

หรือว่าหมอนี่เป็นผู้ชายที่รับมือด้วยยากจริง ๆ กันนะ?





---------------------------------------------
Talk: ไซม่อน... นายหลอกจับนมออสตินหราาา? 55555555 ด้านว่ะนาย แต่เราก็รักนายนะ (ฮา) แล้วเจอกันตอนต่อไปนะคะ~ ใครเล่นทวิตเจอกัน #ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 3) P.1 [14/05/2017]
«ตอบ #13 เมื่อ16-05-2017 05:29:57 »

ไซม่อน กับแบรด จริง ๆ แล้วไม่ใช่พี่น้องแท้ ๆ ใช่ไหม เขามีอะไรพิเศษต่อกันใช่ไหม

ทำไม ไซม่อนแลดูโหยหาหัวใจแบรดแปลก ๆ ยังไงกันแน่ ??

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 3) P.1 [14/05/2017]
«ตอบ #14 เมื่อ16-05-2017 18:53:36 »


บทที่ 4



“นี่ครับ” ไซม่อนพูดพร้อมกับยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งมาให้ผมบนโต๊ะอาหาร ผมจัดการกับผัดผักและปลาเผาไปจนจะหมดแล้ว แถมคนตรงหน้าผมยังเอาไก่ทอดกับน้ำผลไม้มาเสริมบนโต๊ะด้วยนะ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะไอ้หมอนี่กินจุชิบเป๋ง ส่วนเรื่องน้ำผลไม้… เจ้าตัวคงรู้แหละว่าผมงดแอลกอฮอล์ทุกชนิดเพราะร่างกายพัง ๆ ของตัวเองนี่ คิด ๆ ไปแล้วก็อนาถตัวเอง บางทีผมก็อยากดื่มด่ำกับไวน์รสเลิศหรือเบียร์เย็นเฉียบบ้างนะ แต่ต้องมาคอยระวังทุกอย่างแบบนี้… แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่ควรบ่นสินะ แค่ได้หัวใจมาใส่ร่างให้ยังมีชีวิตอยู่ก็ดีเท่าไหร่แล้ว

“อะไรเหรอครับ” ผมถามกลับ ยกรูปใบนั้นขึ้นมาดูแล้วก็รู้คำตอบได้เลยโดยไม่ต้องรอฟัง

มีคนสามคนอยู่ในรูปถ่ายใบนั้น ชายหญิงคู่หนึ่งกับเด็กชายตัวจ้อยที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งก็คงเป็นลูกของทั้งสองคนนั่นเพราะความคล้ายคลึงที่เห็นได้ชัดเจน พวกเขาอยู่ในชุดลำลองดูดีและถ่ายกับวิวของสถานที่ท่องเที่ยวด้านหลัง นี่คงจะเป็นรูปที่ได้จากการไปเยี่ยมเยียนที่นั่นมา

หญิงสาวที่อยู่ซ้ายมือเป็นคนที่สวยมากคนหนึ่ง เส้นผมสีน้ำตาลแดงของหล่อนคลอไปกับใบหน้าไข่ได้รูป ผู้ชายด้านขวา…. แวบแรกที่ผมเห็นนึกว่าเป็นไซม่อนในแบบที่โตแล้วสักสามปี แล้วผมก็ตระหนักได้ในทันทีว่าผู้ชายคนนี้คือพี่ชายของเขา

แบรด แมคแนร์… เจ้าของหัวใจที่ผมได้มา

ผมรู้สึกสลดลงเมื่อเหลือบมองคนที่ยังมีชีวิตอยู่อีกสองคน ทั้งภรรยาแล้วก็ลูกของเขาจะใช้ชีวิตต่อจากนี้อย่างไร พวกเขาคงจะรู้สึกเศร้าเสียใจกับการสูญเสียหัวหน้าครอบครัวอย่างกะทันหันเช่นนี้ แล้วลูกของพวกเขาก็เพิ่งจะตัวแค่นี้เอง…

“นั่นครอบครัวของแบรดครับ” ไซม่อนบอกผม ซึ่งก็ไม่จำเป็นเลย เพราะแค่เห็นรูปผมก็รู้อยู่แล้ว “ส่วนนี่แองจี้… พี่สะใภ้ผม ส่วนเด็กคนนี้ชื่อแดน ตอนนี้แกอายุ 7 ขวบแล้ว”

“อ่า” ผมกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกอารมณ์ในตัวปั่นป่วน ผมส่งรูปนั้นคืนให้เขาเพราะทนดูไม่ไหว แต่ไซม่อนส่ายหัว

“เก็บไว้เถอะครับ ผมอัดรูปนั้นมาให้คุณ”

ผมไม่อยากเก็บ… แต่ก็เข้าใจดีว่าไซม่อนคงอยากให้ผมคอยระลึกถึงพี่ชายของเขา… และบุคคลที่ต้องสูญเสียเขาไป

ผมยกมันขึ้นมาดูอีกรอบอย่างอดไม่ได้ ยิ่งเห็นว่าคนทั้งหมดภายในรูปนั้นดีมีความสุขเพียงใด ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ขึ้น ทำไมกันนะ ครอบครัวที่เขาอยู่กันอย่างสงบสุขถึงต้องมาพังทลายลง

“คุณบอกผมว่า… จับตัวคนร้ายที่ฆ่าพี่ชายคุณได้แล้ว”

“ใช่ครับ”

“เขา… ฆ่าพี่ชายคุณยังไงครับ”

ไซม่อนนิ่งไป นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ “ปืนครับ ระยะเผาขน”

“อ่า…”

“พี่ชายผมไปกดเอทีเอ็มก่อนกลับบ้าน” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับยกน้ำพันช์ขึ้นดื่ม “แล้วที่ตรงนั้นค่อนข้างเปลี่ยวคน”

“พี่ชายคุณทำงานอะไร” ผมถาม ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าการถลำลึกเข้าไปพัวพันกับเจ้าของหัวใจคนก่อนจะยิ่งทำให้ผมเจ็บปวดและรู้สึกผิด แต่ก็อดไม่ได้จริง ๆ

“บริษัทมาร์เก็ตติ้งน่ะครับ แล้วแบรดเลิกงานค่อนข้างดึก”

 “อ่า” ผมพยักหน้ารับ ก้มหน้าลงไปมองเครื่องดื่มที่อยู่ในแก้วตัวเอง การเลิกงานดึกเป็นอะไรที่ไม่ดีเสมอนั่นแหละ

“ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณรู้สึกแย่กับเรื่องนี้นะครับ” คนตรงหน้าผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขารู้ดีเสมอว่าจังหวะไหนควรรุก จังหวะไหนควรผ่อน “แต่ก็แค่คิดว่า ยังไงคุณก็ได้หัวใจของเขาไป บางที… คุณอาจจะอยากรู้เรื่องเขาบ้าง”

“คนร้ายที่คุณจับได้น่ะ” ผมถามต่ออย่างหวั่นเกรง… ผมรู้ดีว่าในประเทศนี้ ต่อให้มีการจับตัวคนร้ายได้ ตัวให้คสบคุมตัวได้ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถเอาตัวของผู้ร้ายคนนั้นเข้าตารางหรือรับโทษอย่างสาสมจริง ๆ “เขา… ขึ้นศาลหรือยังครับ”

“แน่นอนครับ ศาลตัดสินโทษประหารชีวิตให้เขา”

คำตอบนั้นทำให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างนี้สิ ถึงจะเรียกว่าได้ความยุติธรรม

“แล้วตอนนี้… ลูกของเขา ผมหมายถึงแดนน่ะครับ แกอยู่กับพี่สะใภ้คุณเหรอ”

“ครับ” ไซม่อนยกยิ้มเศร้า ๆ “ยังดีที่แกมีแม่เหลืออยู่ แต่ผมก็พยายามไปเยี่ยมแกแล้วก็แองจี้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้นั้นแหละ ไม่อยากให้ทั้งคู่จมกับความเศร้ามากเกินไป”

“ดีครับ” ผมพยักหน้า “คุณต้องทำให้ทั้งสองคนร่าเริงขึ้นมาแน่ คุณเก่งเรื่องนั้น”

ไซม่อนชะงักกับคำชมตรง ๆ ไปนิดหนึ่งอย่างคาดไม่ถึงก่อนเจ้าตัวจะคลี่ยิ้มหวาน เป็นยิ้มที่เลยไปถึงตาของเขาเลย และผมว่าผมไม่ค่อยชอบรอยยิ้มนี้ของเขาเท่าไร มันทำให้ผมใจเต้นแปลก ๆ

“ขอบคุณครับ เป็นครั้งแรกเลยนะที่คุณชมผม”

“อ่า” ผมขยับตัวอย่างอึดอัด นึกขึ้นได้ว่าผู้ชายตรงหน้าเพิ่งจะสารภาพรักกับผมไปเมื่อไม่นานมานี้ การที่ผมยังยอมปล่อยให้เขามาป้วนเปี้ยน มาวนเวียนอยู่ในชีวิต บางทีมันอาจเป็นการให้ความหวังเขา และผมไม่ชอบให้ความหวังใคร “ผมว่าเราต้องมาพูดเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคนอย่างจริงจังกันหน่อยแล้ว”

ไซม่อนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจจริง ๆ คราวนี้ ก่อนจะยิ้มพรายอย่างมีเลศนัย แถมตายังประกายวิบวับเชียว เอ่อ ดูเหมือนเขากำลังเข้าใจผิดแล้วล่ะ

“คุณพร้อมจะบอกชอบผมแล้วเหรอครับ คุณหมอ”

“เอ่อ ไม่” เฮ้อ ทำไมหมอนี่ถึงได้เป็นคนแบบนี้กันนะ “ผมกำลังจะตอบปฏิเสธคุณต่างหากล่ะ ขอโทษด้วยนะครับที่ต้องพูดตรง ๆ แต่ผมคงคบกับคุณไม่ได้หรอก ผมไม่พร้อมที่จะคบกับใคร”

ไซม่อนยังคงมองผมนิ่ง ตอนแรกผมเกร็งแล้วก็กังวลว่าจะได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของผู้ชายตรงหน้านี้ แต่ก็เปล่า ชายหนุ่มยังคงรักษาเรียบเฉยของตัวเองเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบจนผมนึกสงสัย นี่มันชอบผมตามที่ปากพูดจริง ๆ รึเปล่าวะเนี่ย ทำไมถึงได้นิ่งนัก ปกติเวลาคนเราโดนหักอกต้องมีอาการกันบ้าง… แม้เพียงสักนิดก็ตามไม่ใช่เรอะ

“คุณตอบปฏิเสธผมซะเร็วเชียว” เจ้าตัวว่า เอียงคอมองผมราวกับมองเด็กตัวเล็ก ๆ ที่พูดอะไรไม่คิด “ผมยังไม่ทันสารภาพรักกับคุณเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะครับ คุณเล่นมาบอกก่อนแบบนี้ได้ไง”

อ้าว

“ถึงคุณจะไม่ได้สารภาพรักออกมาตรง ๆ แต่ไอ้ที่คุณพูด… ไอ้สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้มันก็ชัดเจนพออยู่แล้วไม่ใช่หรือไงครับ” ผมว่า รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไรบอกไม่ถูกที่เห็นสีหน้าเฉย ๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรของเขา มันเหมือนเขากำลังเล่นตลกกับความรู้สึกผมอยู่งั้นแหละ

ไซม่อนยกยิ้มกว้าง จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น ผมถดกลับไปในระยะทางที่เท่า ๆ กัน

“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ครับ คุณหมอ แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเสียใจด้วย ผมน่ะ ความอดทนสูงกว่าที่คุณคิดเยอะนะ เราค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปไม่ดีกว่าเหรอครับ”

ก็ไอ้ความมั่นใจในตัวเองเกินร้อยแบบนี้…

“คุณจะรีบร้อนหรือค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปยังไง ผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนเดิมอยู่ดี” ผมพูดอย่างเชื่อมั่น พอมาคิดดูก็แปลกดี เพราะเราทั้งสองคนต่างเชื่อมั่นในความคิดตัวเอง เขาเชื่อว่าตัวเองอาจจะเอาชนะใจผมได้ ผมเองก็เชื่อมั่นว่าจะไม่มีทางรักเขา ไม่สิ… ผมน่ะ เชื่อมั่นเลยล่ะว่าในชีวิตนี้คงไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว นี่ยังไม่นับว่าชีวิตผมมันเหลืออีกมากน้อยแค่ไหนด้วยนะ เอาจริง ๆ จากสุขภาพและสิ่งที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้  มันอาจจะไม่ได้เหลืออะไรมากมายก็ได้

“ทำไมคุณถึงได้หัวดื้อนัก”

“เพราะผมรู้น่ะสิว่าตอนจบมันจะเป็นยังไง” ผมพูด กลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง “เอาง่าย ๆ เลยนะ คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์ ผมน่ะ แค่โดนตัวคุณ… หรือโดนตัวใคร ๆ ยังทำไม่ได้เลย คิดดูสิ เรื่องนี้น่ะ มันเป็นพื้นฐานทั่วไปของคนปกติเลยนะครับ แค่นี้ผมยังทำไม่ได้เลย แล้วจะให้ผมมีความรัก… เอ่อ ผมว่ามันเป็นอะไรที่ข้ามขั้นไปสักหน่อยสำหรับผมนะ เอาเป็นว่าขอตัดไฟตั้งแต่ต้นลมตรงนี้ดีกว่า”

“คุณก็หาเหตุผลไปเรื่อย” เสียงทุ้มพูดขัด คำพูดนั่นทำให้ผมรู้สึกฉุนขึ้นมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเป็นจริงเป็นจังของคนพูดแล้วก็ต้องหุบปากกลับลงไป “คุณกลัวงั้นเหรอ ออสติน กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเหรอ ถ้าคุณเอาแต่ปิดตัวเองแบบนั้น แล้วคุณจะมีชีวิตใหม่นี่ไปเพื่ออะไร เรื่องที่คุณบอกว่าโดนตัวคนอื่นไม่ได้นั่นก็เหมือนกัน ผมถามจริง ๆ เถอะ คุณเคยเข้ารับการรักษาจริงจังรึเปล่า เคยนึกอยากหายจากอาการนั้นไหม ถ้าคุณพยายามล่ะก็ ยังไงซะมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาชนะไม่ได้นะ”

“แล้วทำไมคุณต้องมาคอยพูดจาสั่งสอนผมแบบนี้ด้วย” ผมลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเอง กำมือแน่นขึ้นอย่างหงุดหงิด “คุณมีสิทธิ์อะไรมาคอยบงการชีวิตผมเหรอ หรือคุณจะอ้างอีกว่าเพราะผมได้หัวใจของพี่ชายคุณมา? ถ้าคุณอยากได้มันคืนขนาดนั้นก็เอาไปเลย ผมไม่อยากได้หรอก ผมขอบคุณพี่ชายคุณนะที่เขายังทำให้ผมมีชีวิตได้ต่อ แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็คือชีวิตของผม ถูกไหม คุณไม่มีสิทธิ์มาพูดจากับผมแบบนี้”

ไซม่อนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น ใบหน้าของเขาแดงด้วยความอับอาย นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาแสดงอารมณืแบบนั้นเหมือนกัน และมันทำให้ผมอึ้งไป

ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง ก่อนจะเงยขึ้นพรวดอีกรอบแล้วสบตาผมตรง ๆ

“ผมขอโทษครับ ออสติน ผมพูดเกินไปหน่อย”

คำพูดนั่น… ท่าทางที่จริงใจของเขาทำให้ผมใจอ่อนยวบอีกแล้ว เป็นแบบนี้ทุกที

“คุณยกโทษให้ผมได้ไหม”

“อะ… อือ…” น่ะ แล้วผมก็ยกโทษให้เขาตามเคย “ช่างมันเถอะครับ”

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะบีบคุณหรืออะไรเลยนะ ถ้าคุณจะบอกว่าไม่ได้ชอบผม ผมก็ไม่ว่าอะไรเลย”

“ผมแค่จะบอกว่า… ผมรักใครอีกไม่ได้แล้วก็เท่านั้น” พูดพลางถอนหายใจออกมาสั้น ๆ เขาสบตาผมราวกับจะถามว่า อะไรคือสาเหตุให้ผมพูดออกไปแบบนั้น ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ยักไหล่ทีหนึ่ง “ก็แค่เจอรักแย่ ๆ มาเท่านั้นแหละครับ มันก็เลยทำให้ผมเข็ด ก็แค่นั้นเอง”

“มันไม่ได้ต้องแย่แบบนั้นเสมอไปนี่ครับ”

“ก็อาจใช่ครับ” ผมว่า “แต่ถึงยังไง… ผมก็โดนตัวใครไม่ได้อยู่ดี มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต”

“แต่เมื่อกี้ผมโดนตัวคุณได้นี่”

คำพูดง่าย ๆ นั่นของเขาทำให้ผมชะงักไป หันไปมองหน้าคนพูดเหมือนไม่อยากเชื่อหู อีกฝ่ายยักไหล่ให้ผมก่อนจะยิ้มยียวน “คุณยอมให้ผมแตะตัวคุณ”

ผมรู้สึกวูบวาบที่บริเวณอกด้านซ้ายขึ้นมาทั้ง ๆ ที่คนตรงหน้าไม่ได้เลื่อนมือมาจับด้วยซ้ำ หน้าผมร้อนฉ่าขึ้นทันที และไซม่อนต้องสังเกตเห็นแน่ ๆ ถึงได้ยิ้มแพรวพราวแบบนั้น ให้มันได้แบบนี้สิ!

“นั่น… มัน กรณีพิเศษ”

“เหรอครับ ดีเลย งั้นเรามามีกรณีพิเศษที่ว่าบ่อย ๆ ดีไหมครับ”

อ๊ากกกก ไอ้บ้านี่! ได้คืบจะเอาศอก!

“จริง ๆ แล้วผมเสียใจมากเลยนะครับ กับการตายของพี่” น้ำเสียงที่อยู่ ๆ ก็ฟังดูเป็นการเป็นงานขึ้นมาของไซม่อนทำให้ผมหยุดความคิดที่จะโวยวายลง เจ้าตัวทอดสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างบ้านผม นัยน์ตาคู่นั้นดูลึกลับและอ่านยากอีกแล้ว

ผมชอบตาเขา… เอาเป็นว่าผมจะไม่ปฏิเสธเื่องนั้นแล้วกัน

“ก่อนหน้าที่แบรดจะจากไป พวกเราทะเลาะกัน… ค่อนข้างหนักน่ะ” ไซม่อนว่า ก้มลงมองฝ่ามือราวกับคนที่ไม่แน่ใจในตัวเอง ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมนึกเสียใจไปกับเขาด้วย มันทำให้ผมอยากเข้าไปปลอบ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะปลอบยังไง “ผม… ตั้งใจว่าจะไปขอโทษเขานะ แต่ก็ปล่อยให้มันยืดเยื้อมาแบบนั้น… จนกระทั่งทุกอย่างสายเกินไป”

ผมปล่อยให้ชายตรงหน้าระบาย วิธีการเยียวยาที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องแบบนี้คือการระบายมันออกมา และผมเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้ฟังที่ดี

“คุณอยากได้แชมเปญไหม” ผมถาม “ผมมีเก็บไว้ขวดหนึ่ง… และถึงยังไงผมก็ดื่มไม่ได้อยู่แล้ว”

“ขอเป็นโอกาสหน้าดีกว่าครับ” ชายหนุ่มยกยิ้มบาง ๆ “ผมต้องขับรถไปทำงานต่อจากนี้… ต่อนะครับ ผมแค่กำลังจะบอกว่าเรื่องที่ผมทะเลาะกับพี่ชายน่ะ เป็นเรื่องที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิตแล้ว สาเหตุที่เราทะเลาะกันก็เป็นเรื่องงี่เง่า ผมใช้กำลังกับเขา… คือคุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมเป็นเอฟบีไอ เรื่องทักษาะการต่อสู้น่ะ ยังไงผมก็เหนือกว่าเขาอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังใช้กำลังกับเขา…”

ผมค่อย ๆ ยกมือขึ้นแตะบ่าเขา แวบเดียว จากนั้นก็ชักกลับ ไม่เหมือนคนที่พยายามจะปลอบเลย เหมือนสะกิดไหล่เขามากกว่า ไซม่อนยกยิ้มบาง ๆ ให้เป็นเชิงขอบคุณ เขารู้ว่าแค่นั้นก็เกินความสามารถของผมแล้ว

“ก็… นั่นแหละครับ เพราะงั้น ที่ผมอยากจะบอกคุณก็คือ… ผมไม่อยากเสียใจอะไรที่ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว อย่างเรื่องของคุณก็เหมือนกัน ในท้ายที่สุด ต่อให้คุณจะปฏิเสธผมก็ไม่เป็นไร แต่ผมอยากให้คุณลองเปิดใจสักนิด… แค่นิดเดียวก็ได้จริง ๆ หรืออย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้ผมพยายามอย่างเต็มที่สักครั้ง ผมไม่อยากเสียใจเพราะไม่ได้ทำตอนที่ยังมีโอกาสอีกแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไร”

ผมพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า… ที่เขาพูดมันก็มีประเด็นอยู่…

“ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณลำบากใจ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มหมอง ๆ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นท่าทีเปราะบางและไม่มั่นใจในตัวเองแบบนี้… ปกติเขามักจะทำตัวเหมือนเชื่อมั่นตลอดว่าเขาทำให้ผมรักเขาได้ แต่ตัวเขาในตอนนี้ ดูไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย “ผมนี่… แย่จริง ๆ เลย คุณคงจะรำคาญผมใช่ไหมที่คอยมาระรรานคุณแบบนี้”

ถึงคราวที่ผมต้องนิ่งเงียบ ไตร่ตรองความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อผู้ชายตรงหน้า จริงอยู่ที่ผมไม่ชอบใจอะไรในตัวเขาหลาย ๆ อย่าง รำคาญก็ออกจะบ่อย แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ต้องยอมรับว่าการที่มีเขาเข้ามาป้วนเปี้ยน มันช่วยสร้างสีสันให้กับชีวิตผม สีสันที่ผมขาดหายไปนาน

“ผม… ไม่ได้คิดว่าคุณระรานจริง ๆ หรอกนะ” ผมพยายามเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง อยากให้แน่ใจว่าสิ่งที่ออกมาจะผ่านการกรองในหัวมาแล้ว “แค่… เอาตรง ๆ นะ แค่กลัวคุณจะเสียใจ เพราะผมเองก็ดันเป็นซะแบบนี้ เลยไม่อยากให้คุณหวังอะไรมาก”

“คุณใจดีจัง” เขายิ้มกว้าง “แค่คุณกลัวว่าผมจะเสียใจ ผมก็ดีใจมากแล้วล่ะครับ”

เอ่อ ให้ตายเถอะ…

หมอนี่นี่ รับมือยาก…

“ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่ทำกับข้าวให้กิน” เขาว่า เริ่มเก็บจานชามขึ้นจากโต๊ะ ผมลุกขึ้นตามแล้วพูดห้าม

“ไม่ต้องหรอก คุณ เดี๋ยวผมล้างเอง คุณเตรียมไปทำงานต่อเถอะ”

ผมพูดพร้อมกับฉุดจานมาจากมือเขา ตรงดิ่งเข้าไปในครัว ไซม่อนเดินตามเข้ามา เขาคว้ามือผมไปกุมในฝ่ามืออุ่นของตัวเองอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว

ผมสะดุ้งเฮือก มองหน้าเขาเหมือนตั้งคำถาม พร้อม ๆ กันนั้นเองก็ค่อย ๆ แกะมือเขาออกไปด้วย

ให้ตายสิ… นี่ผมโดนตัวหมอนี่บ่อยมากเกินไปแล้วนะ ยิ่งมาวันนี้นี่… แทบจะนับไม่ถ้วนเลย แต่ทั้ง ๆ ที่เป็นอย่างนั้น ผมก็ยังยอมให้เขา… เหมือนทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นนี่มันขัด ๆ กันยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นแก้ไขจากตรงไหน

“ผมแค่อยากให้คุณให้โอกาสผม จริง ๆ นะ”

“ผม… ผมไม่รู้” ผมตอบตรง ๆ ก้มหน้าลงไม่สบตาเขาเพราะกลัวว่าจะโดนดูดกลืนเข้าไปอีก

“ไม่เป็นไร ผมจะทำให้คุณยอมรับเอง”

เอ่อ… ความมั่นใจหมอนี่มันกลับมาเร็วดีจังแฮะ

“จริงสิ คุณหมอ วันจันทร์อาทิตย์หน้าน่ะ ผมมาเช้าหน่อยได้ไหมครับ พอดีว่างช่วงนั้นพอดี”

“อื้อ มาสิ” ผมตอบรับหลังจากคิดถึงตารางในหัว “เออ จริงสิ ไซม่อน ช่วงสิ้นเดือนน่ะ ฉันต้องไปขึ้นศาล”

“หา? อะไรนะครับ?” น้ำเสียงเขาดูตกใจ ผมจึงต้องรีบอธิบาย

“เปล่า ๆ ไปขึ้นให้การเฉย ๆ น่ะ เพื่อนฉันที่เป็นตำรวจเขาโดนฟ้องน่ะ”

“อ้อ” เขาพยักหน้ารับ สีหน้าครุ่นคิด “ไคล์ ไทเลอร์น่ะเหรอครับ?”

“อื้อ”

“โดนฟ้องเรื่องอะไร”

“ฆ่าผิดคน… คดีฆาตกรตัวเลขน่ะ”

“บ้ากันไปใหญ่แล้ว” ไซม่อนส่ายหน้า นั่นทำให้ผมรีบพยักหน้าหงึก ๆ ตาม

“ใช่ไหมล่ะ ทำอย่างกับว่าทุกวันนี้ในศาลยังยุ่งไม่พอ แต่ช่างเถอะ ที่ฉันจะบอกก็คือ ฉันอาจจะต้องเข้าเมืองสักวันสองวัน เพราะไม่รู้ว่าไปเช้าเย็นกลับจะไหวไหม”

“คุณจะไปยังไงครับ”

“แท๊กซี่ล่ะมั้ง” ผมว่า ไซม่อนส่ายหน้าทันที

“อย่าเลยคุณ ให้ผมไปด้วยดีกว่า”

“แล้วคุณจะมีเวลาว่างแบบนั้นเลยเหรอ” ผมถามกลับอย่างงุนงง เขาทำหน้าครุ่นคิดทันที

“อือ… ถ้าคุณรู้วันเวลาแน่ ๆ แล้วลองบอกผมมาแล้วกัน ผมยังไม่กล้ารับปากตอนนี้”

“จริง ๆ แล้ว คุณไม่ต้องลำบาก---”

“ไม่หรอกครับ ถ้าผมพอปลีกตัวได้ ผมก็จะพาคุณไป ผมสัญญา”

โอ้โห… พูดมาถึงขนาดนี้ แล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ

ผมเดินไปส่งไซม่อนที่รถ หันไปมองท่าเรือที่ไม่ได้คึกคักอะไรมากในเวลานี้ มองเลยไปยังน้ำทะเลสีครามเป็นประกาย ก่อนที่เขาจะเข้าไปนั่งในรถ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดเรื่องของตัวเองออกไป แต่ผมก็เล่าเรื่องให้เขาฟัง

“ผมเอง… ก็มีเรื่องที่เสียใจมากที่สุดในชีวิตเหมือนกัน”

เจ้าหน้าที่หนุ่มชะงักกึกไปทันที เขาไม่ขึ้นรถเพราะตั้งใจรอฟังผมเล่าต่อ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดทีหนึ่ง ลมทะเลที่พักเข้ามาช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“แม่ผมเสียไปเมื่อห้าปีก่อนน่ะ ก่อนหน้าที่ท่านจะเสีย ท่านบอกว่า… อยากจะไปอยู่ไปอยู่ที่เกาะ… นั่นน่ะ คุณเห็นเกาะที่อยู่ตรงนั้นไหมครับ นั่นน่ะ ตอนเด็ก ๆ ผมกับครอบครัวเคยไปอยู่ที่นั่น มันเป็นเหมือนหมู่บ้านเล็ก ๆ มากกว่าจะเป็นเมืองจริง ๆ น่ะ”

“ฟังดูน่าสนุกดีนะครับ”

“ครับ” ผมอมยิ้มเมื่อคิดถึงความทรงจำวัยเยาว์ “บ้านผมค่อนข้าง… จะว่ายังไงดี ผูกพันธ์กับทะเลน่ะ ตอนที่ผมยังเด็ก เราเคยมีเรือลำหนึ่ง แบบ เรือแบบที่เราอาศัยอยู่ในนั้นได้น่ะ แล้วพวกเราสามคนก็เคยใช้ชีวิตอยู่ในนั้นจริง ๆ ด้วยนะ ถึงจะแค่แป๊บเดียวก็เถอะ”

ไซม่อนมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน มันทำให้ผมรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นแปลก ๆ ในอก แต่ผมพยายามไม่คิดถึงมัน

“แต่นั่นแหละ ทั้งหมดทั้งมวลก็คือ… ตอนบั้นปลายชีวิตของท่าน แม่ผมอยากจะกลับไปที่เกาะแห่งนั้นที่เราเคยอยู่ ท่านบอกว่ามันเป็นสถานที่ศักสิทธิ์ของท่าน เป็นเหมือนที่พักพิง… เป็นที่ที่อยู่แล้วก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น สบายใจ รู้สึกปลอดภัย อะไรทำนองนั้น”

เขาไม่พูดอะไรขัดผมเลย แค่รอฟังเงียบต่อเท่านั้น

“แต่… ที่เกาะนั่นน่ะ มันไม่มีโรงพยาบาลใหญ่ ๆ พอจะช่วยรักษาคนป่วยแบบฉุกเฉินได้เลย แม้แต่คนไข้ที่นั่นเองก็ถูกส่งมารักษาที่ฝั่งนี้กันแทบทุกคน… เพราะงั้น ผมก็เลยบอกแม่ว่า ไม่ได้หรอก ยังไงท่านก็ควรมาอยู่ที่โรงพยาบาลของฝั่งนี้… ” ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ “แล้ว… แล้ววันหนึ่งท่านก็จากผมไป ผมไม่ได้แม้แต่อยู่ข้าง ๆ ท่านด้วยซ้ำเพราะวันนั้นผมทำงาน จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดนะว่า… รู้งี้น่าจะพาแม่ไปที่เกาะนั่นน่าจะดีกว่า บางที… แม่อาจจะอยากตายที่นั่นมากกว่าก็ได้”

ไซม่อนเอื้อมมือมาบีบมือผม ผมไหวตัวด้วยความตกใจในตอนแรก แต่ตอนที่เขาบีบลงมา… ความจริงใจที่ไหลผ่านมือของเขามานั้น มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยากร้องไห้ ผมแทบจะลืมสัมผัสของมนุษย์จริง ๆ ไปแล้ว และมันก็ทำให้ผมต้องถามกับตัวเองว่า… มันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหนกันแน่นะ ไอ้อาการกลัวสัมผัสงี่เง่านี่น่ะ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ออสติน” น้ำเสียงนั้นนุ่มนวล ปลอบโยน ชวนให้สบายใจ “ผมเชื่อว่าแม่คุณต้องเข้าใจ คุณก็แค่คิดว่าต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อท่านเท่านั้น”

ผมนิ่งไปนาน คิดและใคร่ครวญถึงคำพูดนั้นของเขา ก่อนจะตอบกลับไปตามที่ใจคิด

“บางที… สิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนอื่นก็ได้นะครับ”

เขาไม่ตอบอะไรผม และผมก็ไม่พูดอะไรต่ออีก

แต่ไม่รู้ทำไม วินาทีแห่งความเงียบงันนั้นผมถึงได้รู้สึกว่าคนข้าง ๆ ตัวผมเข้าใจผมยิ่งกว่าใคร ๆ

แปลกดี…

ผมไม่ได้มีความรู้สึกสงบชวนให้สบายใจแบบนี้มานานแล้ว






--------------------------------------------------
Talk: อั๊นแน่ ออสติน เริ่มหวั่นไหวแล้วล่ะซี่~~ XD ก็นะ ไซม่อนน่ารัก ใจดี อบอุ่นอ่อนโยน (ไม่ค่อยอวย) ใครจะต้านทานไหว~ 555555555 เหมือนเดิมนะคะ ใครเล่นทวิตเจอกัน #ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
«ตอบ #15 เมื่อ16-05-2017 21:45:12 »

ด้วยอิทธิพลจากเม้นท์บน พออ่านเจอว่าผมใช้กำลังกับเขา... แอบคิดลึกเลยอ่ะ (หัวเราะ)

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
«ตอบ #16 เมื่อ17-05-2017 02:07:39 »

ด้วยอิทธิพลจากเม้นท์บน พออ่านเจอว่าผมใช้กำลังกับเขา... แอบคิดลึกเลยอ่ะ (หัวเราะ)


ใช่มะ ยิ่งอ่านตอนนี้ยิ่งรู้สึก เขาใช้กำลังกันก่อนหน้า แปลว่า ไซม่อนกับแบรดนี่ ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ เลย

จิงจัง ไซม่อน ทำไม นายหาเรื่องเข้าใกล้ออสติน สรุปคือตั้งใจมาทวงหัวใจพี่ชายตัวเองให้กลับมาเป็นของตัวเองแบบนี้มะ ???

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
«ตอบ #17 เมื่อ17-05-2017 02:17:07 »

ดีเนาะ

ออฟไลน์ pearlypear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
«ตอบ #18 เมื่อ17-05-2017 03:46:09 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
«ตอบ #19 เมื่อ18-05-2017 19:39:42 »


บทที่ 5




ผมลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความรู้สึกที่เหมือนโดนใครสักคนกำลังจ้องมองอยู่

มือเริ่มควานหาเครื่องช็อตไฟฟ้าที่เคยซื้อเก็บเอาไว้เมื่อไม่กี่ปีก่อน ผมใช้ปืนไม่เป็นและก็คิดเสียใจทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ผมน่าจะฝึกวิธีการใช้ปืนไว้บ้างตอนที่ร่างกายยังพอมีเรี่ยวแรงให้ทำ แต่มานึกตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว

ผมรู้ดีว่าไอ้เครื่องช็อตไฟฟ้าพวกนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรมากมายจริง ๆ หรอกถ้าหากมีใครคิดจะบุกเข้ามาทำร้ายจริง ๆ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรป้องกันตัวเลย ผมอาจจะสามารถทำให้ใครคนนั้นกระตุกและลงไปชักบนพื้นได้ในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นผมก็จะใช้เวลาช่วงนั้นในการหนี เป็นแผนที่สั้น ง่าย กระชับดีใช่ไหมล่ะ แต่มันคงจะง่ายกว่านั้นถ้าผมมีปืน ซึ่งแน่นอนล่ะว่าถ้าผมพกไว้สักวันผมอาจจะทำมันลั่นตัวเองตายก่อนเพราะใช้งานไม่เป็น ซึ่งคิดถึงข้อนั้นแล้ว… ไม่เอาล่ะ ผมนิยมเพลย์เซฟมากกว่า

ผมเพ่งตามองเข้าไปในความมืด ห้องนอนของผมมืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามาเพราะผมปิดผ้าม่านจนหมด

ผมก้าวเท้าลงไปบนพื้น เริ่มสำรวจตัวห้องอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ตัวบ้านในส่วนอื่น ๆ ผมทำแบบนั้นเสมอเวลาลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืน และคืนนี้ก็เป็นเฉกเช่นครั้งก่อน ๆ

ไม่มีใครมาเยือนยามวิกาลทั้งนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมคิดไปเอง

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจยาวอย่างอ่อนล้า ค่อย ๆ ก้าวเท้าขึ้นบันไดไปชั้นบน รู้สึกมึน ๆ หัวขึ้นมาเล็กน้อย ผมเลยตัดสินใจใช้โอกาสที่ตื่นขึ้นมานี้วัดอุณหภูมิร่างกายเสียเลย และปรากฎว่าผมมีไข้รุม ๆ

ผมจดอุณหภูมิร่างกายไว้ในกระดาษตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัด รู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอกขึ้นมานิด ๆ หายใจลำบาก ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพราะหัวใจดวงใหม่ของผมหรือเพราะความหวาดระแวงที่ทำให้ช่องท้องบิดเป็นเกลียวอยู่ในขณะนี้

ผมไม่ได้กลัวความมืด ไม่ได้กลัวการอยู่คนเดียว แต่ผมก็มีอะไรบางอย่างที่กลัวเหมือนกัน

ผมเดินกลับไปที่เตียง ซุกตัวลงในผ้าห่มแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่มีอะไรทรมานไปกว่าการต้องใช้ชีวิตอยู่แบบหวาดระแวงแบบนี้ การสะดุ้งตื่นขึ้นมาในค่ำคืนที่คุณควรจะนอนอยู่บนเตียงอย่างผาสุก… มันแย่พอ ๆ กับการที่คุณต้องกินข้าวไปด้วยร้องไห้ไปด้วยเพราะความขนขื่นในชีวิตนั่นแหละ

ผมเจอมาหมดแล้วทั้งสองอย่าง

“อึก….” ผมยกมือขึ้นปิดหู ทั้ง ๆ ที่ในยามค่ำคืนของละแวกนี้นั้นเงียบสงบ เสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งนั้นแผ่วเบาขนาดที่ถ้าไม่เงี่ยหูฟังดี ๆ ก็อาจไม่ได้ยิน

ผมกำลังกลัวอะไรอย่างอื่น บางทีนอกจากจะหัวใจล้มเหลวแล้วผมยังอาจเป็นโรคประสาทหลอน ผมนึกถึงอาชีพชันสูตรศพที่ตัวเองเคยทำ นึกถึงศพที่ตัวเองเคยผ่า บางทีมันอาจเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาผมอยู่ในตอนนี้ก็ได้ การได้หมกมุ่นอยู่กับการงานของตัวเองเคยช่วยทำให้ผมหายวิตกจริตหรือจมปลักอยู่ในห้วงความคิด…  ความรู้สึกแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมโดนพักงานอยู่ เพราะงั้นถึงต้องมาจมปลักอยู่กับความทรมานเดิม ๆ แบบนี้

ได้โปรด… เช้าเสียที เช้าสักทีเถอะ…

ผมหลับตาแน่น ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม วินาทีหนึ่งผมนึกถึงเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนนั้น… คนที่คอยแวะเวียนมาหาผมไม่ขาด การที่ได้คิดว่าพรุ่งนี้จะได้เจอเขาช่วยบรรเทาจิตใจของผมได้นิดหนึ่ง อย่างน้อยผมก็ยังพอมีเรื่องให้คาดหวังอยู่บ้าง… ใช่แล้ว ผมอยากจะเจอเขา ที่จริงก็อยากเจอตอนนี้เลย

“ไซม่อน…” ผมพึมพำชื่อนั้นออกมาจนได้ มันหลุดออกมาจากปากโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

ผู้ชายคนนั้นบอกว่าชอบผม ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะชอบเขาหรือเปล่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามีอิทธิพลกับชีวิตในช่วงระยะหลังนี้เหลือเกิน

เขาเป็นสีสันของผม… อยู่กับเขาแล้วมันทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ผมจะไม่ปฏิเสธเรื่องนั้นแล้วกัน

“อ่า…”

ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองจะยังรักใครอีกได้ไหม แต่ผมคิดว่าตัวเองก็ชอบเขานะ อย่างน้อยก็ในฐานะคนรู้จัก… ในฐานะเพื่อน และตอนนี้ผมนึกอยากให้เขามาอยู่ตรงนี้กับผม เขาต้องช่วยให้ผมเลิกจมอยู่กับห้วงอารมณ์ปั่นป่วนและเคว้งคว้างที่เหมือนตกลงไปในเหวลึกนี่อยู่แน่ ๆ

พรุ่งนี้ผมก็จะได้เจอเขา… อดทนอีกนิดนะ ออสติน แค่อีกนิดเดียวเท่านั้น

เดี๋ยวก็เช้าแล้ว






ผมว่าผมเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนมาก่อนน้า...

ผมครุ่นคิดอยู่กับตัวเองหลังจากที่ดื่มด่ำกับกาแฟยามเช้าและครัวซองต์รสเลิศที่ซื้อมาติดตู้อาหารเอาไว้ จริง ๆ แล้วผมคิดวนเวียนเรื่องนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว และผมไม่แน่ใจว่าระหว่างตัวไซม่อนเองกับแบรด พี่ชายของเขา คนไหนคือคนที่ผมรู้สึกคุ้นหน้ามากกว่ากัน

เสียงข้อความเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์ตรงหน้า ผมยกมันขึ้นมาดูพร้อมกับจิบกาแฟอึกหนึ่ง ข้อความนั้นมาจากไซม่อนนั่นเอง เป็นข้อความที่ยืนยันว่าเขาจะมาตรงตามเวลานัด ซึ่งนั่นก็คือในอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้

ผมตอบกลับเขาไปด้วยถ้วยคำง่าย ๆ เหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังแล้วตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นที่ชายหาดสักหน่อยก่อนที่เขาจะมา ผมบอกเขาเผื่อไว้เลยดีกว่า เดี๋ยวมาแล้วไม่เจอกันจะมาโวยวายอีก



Austin Gardner: เดี๋ยวผมจะออกไปเดินเล่นแถวชายหาดหน่อยนะ

Austin Gardner: จะพยายามกลับมาให้ทันก่อนคุณมา

Simon McNair: โอเคครับ



ว่าแล้วผมก็คว้าหนังสือที่อ่านค้างไว้อยู่ ตามด้วยโทรศัพท์มือถือ กุญแจบ้าน แล้วก็หมวกอีกหนึ่งใบก่อนจะปิดประตูลงกลอนบ้านของตัวเอง

ผมนึกถึงใบหน้าของแบรดซึ่งอยู่ในรูปถ่ายที่ไซม่อนเอามาให้ก่อนหน้านี้ระหว่างเดินทอดน่องไปตามทาง

ผมคิดว่าผมเคยเห็นหน้าเขา… อันที่จริง ผมคิดว่าผมคุ้นกับหน้าของเขามากกว่าหน้าของไซม่อนอีก มันเป็นความรู้สึกเหมือนแบบ พอผมคุ้น ๆ หน้าแบรดแล้ว ผมก็เลยคุ้นหน้าของไซม่อนไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น ผมไม่คิดว่าตัวเองเคยเห็นไซม่อนที่บาร์ไรท์แทรคนั่นนะ คือเจ้าตัวอาจจะมองผม แต่ผมไม่แน่ใจว่าผมเห็นเขาอย่างที่เขาเห็นผมรึเปล่า เพราะงั้นไอ้อาการคุ้น ๆ ที่ผมว่า… ไม่น่าจะเกิดที่บาร์นั้น

ผมเดินเลียบไปตามชายหาด ช่วงเวลานี้แดดยังไม่ร้อนมากเพราะยังค่อนข้างเช้าอยู่ บริเวณตรงนี้เงียบฉี่ ไม่มีใครสักคนอยู่ในระยะสายตาเลย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว ผมไม่ชอบอยู่ในฝูงชนมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ก่อนที่ผมเป็นโรคประหลาดโดนตัวคนไม่ได้นี่ด้วยซ้ำ

แต่แล้วผมก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งปรี่มาลิบ ๆ เข้ามาในระยะสายตา ผมหรี่ตาลงมองอย่างไม่แน่ใจ แล้วก็ค้นพบว่าเด็กสาวคนนั้นดูตื่นกลัวอยู่จริง ๆ

“คะ… คุณน้าคะ!” เจ้าหล่อนเรียกผมพร้อมกับหอบหายใจแรง ๆ แกก้มตัวลง งอตัววางมือบนเข่าแล้วหอบใจเรื่อย ๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกกังวลขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้นครับ? ทำไมวิ่งมาหน้าตาตื่น--”

“ชะ… ช่วยด้วยค่ะ คุณน้า! นะ… น้องชายหนูจมน้ำ!”

ผมใจหายวาบ หากวุฒิภาวะทำให้รีบตั้งสติแล้วถามกลับไป

“ไหน ตรงไหนครับ บอกน้ามาเลย”

“ทางนี้ค่ะ” เด็กหญิงผมดำที่ถักเปียสองข้างยกมือชี้จากนั้นจึงเริ่มออกวิ่งไปในทิศทางที่แกมาอีกครั้ง ผมออกวิ่งตาม ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวที่เป็นไปอย่างรีบร้อนทำให้หน้าอกจุกเสียด

ผมได้ยินตัวเองหายใจหอบถี่ขึ้น แต่ตอนนี้มีเด็กกำลังจะจมน้ำตาย แล้วผมจะหยุดตัวเองได้ยังไง

“นี่ค่ะ ตรงนี้ค่ะ! คุณน้าคะ..!”

“โอเค เธอรออยู่ตรงนี้นะ ไม่ต้องตามลงมา เข้าใจไหม” ผมหันไปกำชับกับเจ้าหล่อน โยนหนังสือ โทรศัพท์มือถือและเสื้อแขนสั้นที่ใส่คลุมตัวนอกออก โยนกองกับพื้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้าลงไปในน้ำทะเลตามตำแหน่งที่เด็กสาวคนนี้เพิ่งชี้ ผมเห็นฟองอากาศจากใครอีกคนที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ก่อนแล้ว เรื่องพิกัดในการดำลงไปจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร ปัญหาคือร่างกายผมจะรับภาระทั้งหมดนี่ได้รึเปล่านี่สิ

ผมดำลงไปในท้องทะเล กวาดสายตาหาร่างของเด็กชายอีกคนที่กำลังจมดิ่งลงไป ไม่ต้องใช้เวลามากมายในการหาตัวเขาให้เจอ แต่ต้องใช้แรงไม่น้อยในการว่ายไปให้ถึงยังตำแหน่งนั้น

หัวใจของผมกำลังถูกบีบรัดด้วยลวดหนามที่มองไม่เห็นอีกครั้ง แต่เด็กคนนั้นกำลังจะตายอยู่ต่อหน้าต่อตาผมนะ ขอทีเถอะน่า ทะเลผืนนี้น่ะ ผมว่ายมาตั้งแต่จำความได้แล้วมั้ง กับอีแค่เรื่องแค่นี้…

ผมทะยานลงไป ยืดมือออกไปจนสุดแขนเพื่อไขว่คว้าร่างของเด็กคนนั้นที่ค่อย ๆ จมลงไปเรื่อย ๆ วูบหนึ่งผมรู้สึกคล้ายจะเป็นลมเพราะร่างกายรับกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี่ไม่ไหว แต่สติอีกเฮือกหนึ่งก็ปลุกผมขึ้นมา รู้ตัวอีกทีผมก็กำลังพาเด็กผู้ชายคนนั้นขึ้นมาบนฝั่งแล้ว

ผมหอบหายใจระรัวขณะที่วางร่างนั้นลงบนพื้นทราย โชคดีที่แกไม่ได้ตัวหนักอะไรมาก ไม่อย่างนั้นผมอาจจะช่วยแกไม่สำเร็จก็ได้

“เจคอบ… ทำใจดีไว้ ๆ นะ พระเจ้า คุณน้าคะ เขาจะตายไหม”

“ถอยออกไปก่อน” ผมยกมือห้ามไม่ให้เด็กสาวผมเปียเข้ามาจากนั้นจึงก้มลงประกบปากลงกับจมูกและปากของแกเพื่อทำการผายปอด ถ้าเป็นเด็กเล็ก วิธีนี้จะเป็นการช่วยหายใจ ผมเอื้อมมือไปดึงเสื้อของแกขึ้นมาเพื่อสังเกตการพองลมของท้อง มันพองโตขึ้นมานิดหนึ่ง ผมจึงกดลงบริเวณกลางช่องท้องเพื่อดันให้ลมออก วินาทีนั้น ผมลืมไปหมดแล้วว่าตัวเองเคยเกลียดและกลัวการสัมผัสการผิวกายของผู้คนมากแค่ไหน สิ่งที่ผมคิดมีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องช่วยเหลือเด็กคนนี้

ในที่สุดเจ้าตัวก็สำลักเอาน้ำออกมาจากปาก ไอค่อกแค่กอีกสองสามทีแล้วจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

“เจคอบ!” คนเป็นพี่สาวเรียกพร้อมกับถลาตัวเข้ามากอดน้องชายแน่น “พระเจ้า…. ขอบคุณจริง ๆ ที่นายปลอดภัย ฮึก… ฉันนึกว่านายจะตายซะแล้ว”

“ออสติน!” เสียงใครบางคนที่เรียกชื่อทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง ไซม่อนนั่นเองที่วิ่งเข้ามาหาพวกเรา สีหน้าของเขาดูแตกตื่นและเป็นกังวล “นี่มัน…”

“เอมี่…” เจคอบที่เพิ่งได้สติกลับมาเรียกพี่สาวของตัวเองอย่างงง ๆ จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มได้สติคืนกลับมาแล้วเริ่มตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้อย่างเสียขวัญ

ผมหันไปมองผู้มาใหม่อย่างขอความช่วยเหลือทันที ไซม่อนคุกเข่าลงมาพร้อมกับปลอบเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย เด็กหญิงที่ชื่อเอมี่เองก็กำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน ดูเหมือนพวกแกจะกลัวกันน่าดู นี่พ่อแม่ของเด็กสองคนนี้ไปอยู่ที่ไหนเนี่ย ทำไมปล่อยเด็กมาเล่นน้ำตามลำพัง

“เอาล่ะ ๆ ไม่ร้องแล้วนะครับ คุณน้ามาช่วยแล้ว ปลอดภัยแล้ว”

หลังจากที่ปลอบกันเสร็จเรียบร้อย พวกเราทั้งคู่ก็พาทั้งสองคนไปส่งที่บ้านซึ่งไม่ได้อยู่ไกลจากบริเวณนั้นเท่าไรนัก

“โอ๊ย ตายจริง” แม่ของเอมี่และเจคอบร้องอย่างเสียขวัญ จากนั้นก็ตรงมากอดลูกชายคนเล็กแน่น “ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เดือดร้อน โอ๊ย ตายแล้ว ถ้าลูกเป็นอะไรไปขึ้นมาจะทำยังไง นี่นะ บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าแอบออกไปเล่นน้ำกันสองคน”

หลังจากที่จัดการเคลียร์เรื่องตรงนี้เสร็จ ไซม่อนก็รีบขอตัวพาผมออกมาโดยอ้างว่าผมเปียกไปหมดทั้งตัว เดี๋ยวจะไม่สบาย อยากให้ผมกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ซึ่งก็จริงของเขาแหละครับ ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกป่วยขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ยิ่งเมื่อคืนไข้ขึ้นหน่อย ๆ ด้วย คืนนี้คงเจอศึกหนักน่าดู

“โอย…” ผมครวญคราง พยายามฝืนยืนให้ตรงอยู่ตั้งนานตอนที่พาเด็กทั้งสองไปส่ง แต่ตอนนี้พอไม่ต้องเก๊กต่อหน้าใครแล้ว ผมก็เริ่มทรงตัวไม่อยู่ เวียนหัวไปหมด

“ไหวหรือเปล่าครับ ออสติน” ไซม่อนที่คอยประคองผมมาตลอดทางถามขึ้น ผมล้าเกินกว่าจะบอกให้เขาออกไปห่าง ๆ จากตัวผม อันที่จริงนะ ถ้าไม่มีเขาพยุงอยู่ ผมคงลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว เพราะงั้นผมคงจะว่าอะไรไม่ได้ “ให้ตายเถอะ ดูคุณสภาพแย่มากเลย มานี่เถอะครับ ขี่หลังผมไปแล้วกัน”

ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวทรุดตัวลงตรงหน้าผมเพื่อให้ขึ้นไปขี่คอตามที่พูด จะบ้ารึไง ถึงผมจะไม่ได้สูงเท่าหมอนี่ แต่ตัวผมก็ไม่ใช่เล็ก ๆ

“ไม่เอาหรอกคุณ” ผมขมวดคิ้วมุ่น เริ่มเดินไม่ตรง มองข้างหน้าไม่ค่อยชัดแล้วตอนนี้ “คุณก็รู้ว่าผมเกลียดการสัมผัสกับคนอื่น แล้วจะให้ขี่คอคุณเนี่ยนะ โอย ขอบายดีกว่า ผมจะเดินกลับ… แค่ก ๆ”

“น่ะ ก็เพราะคุณชอบดื้อแบบนี้” ไซม่อนพูดเสียงดุราวกับผมเป็นเด็กสามขวบ ขอบใจมากเลย แต่ได้ข่าวว่าผมอายุมากกว่ามันอีกเถอะ แล้วนี่ผมก็ปวดหัวเกินกว่าจะมายืนเถียงกับใครแบบนี้นะ “ออสติน… คุณ!”

ร่างของผมร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วงโลก แย่ล่ะสิ มึนจนตาลาย แต่เหมือนไซม่อนจะเข้ามารับผมไว้ทันแฮะ อีกฝ่ายจัดแจงเอาแขนผมขึ้นพาดคอของตัวเองจากด้านหลัง รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ถูกยกลอยขึ้นเหนือพื้นเรียบร้อยแล้ว ผมได้ยินเสียงถอนใจเหมือนอ่อนใจของเขา

“ให้ตายเถอะ อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนักได้ไหมครับ แล้วนี่… จับแน่น ๆ นะคุณ เดี๋ยวผมรีบพาคุณกลับบ้าน จะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า”

ผมไม่พูดอะไรตอบหากมือกระชับแน่นขึ้นตามคำสั่งของเขา แรงสะเทือนจากการที่ไซม่อนย่ำเท้าลงบนพื้นทำให้ผมมึนหัวหน่อย ๆ แต่ผมคิดว่าไซม่อนคงทำดีที่สุดแล้วที่พยายามควบคุมแรงไม่ให้กระแทกมากเกินไป

เมื่อมาถึงบ้าน เจ้าตัวก็เริ่มเจ้ากี้เจ้าการให้ผมถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ เขาพูดอะไรเป็นเชิงว่าจะช่วย ซึ่งผมนี่ไม่โอเคอย่างแรง คือผมแค่มึนหัวนะ ไม่ได้พิการทำอะไรเองไม่ได้ขนาดนั้น

“คุณแน่ใจเหรอว่าจะอาบคนเดียวได้น่ะ?”

“อือ…” ผมงึมงำ รับผ้าเช็ดตัวผืมขาวมาจากมือเขา รู้สึกเบลอ ๆ “ผมอาบคนเดียวได้”

“แน่ใจนะว่าไม่อยากให้ผมช่วย?”

“อ้อ แน่ล่ะ ผมอยากให้คุณช่วยแน่” ผมขมวดคิ้วมุ่น เริ่มหงุดหงิด มือชี้ไปที่เก้าอี้มุมหนึ่งของห้อง “ช่วยไปนั่งรอตรงนั้นนิ่ง ๆ เลยนะคุณ ผมอาบแปปเดียวเท่านั้นแหละ จะรีบออกมา”

หลังจากเสร็จธุระในห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ผมก็เดินสะโหลสะเหลกลับออกมาเหมือนผีหาหลุมตัวเองไม่เจอ มือแกร่งเลื่อนมาช่วยพยุงตัวผมทันทีที่เดินเข้ามาใกล้ ผมสะดุ้งเฮือกพร้อมกับผลักเขาออกไปด้วยความตกใจ พออาบน้ำแล้วในหัวเริ่มโปร่ง สัญชาติญาณเดิม ๆ ก็กลับมา

ผมเห็นนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นหม่นลงวูบในวินาทีที่ผมปัดมือเขาออก ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นจมเลย แต่ผมก็บอกเขาไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ชอบให้ใครโดนตัวน่ะ รู้จักกันมาขนาดนี้แล้วก็น่าจะเข้าใจกันสิ ไม่เห็นต้องมาเสียอะไรเอาป่านนี้เลย

แต่พอเอ่ยปากพูดออกไปจริง ๆ ผมกับต้องพูดเสียงอ่อน

“ขอโทษทีครับ ผม… แค่ก”

“ออสติน” เขาทำท่าเหมือนจะเข้ามาจับตัวผมอีกครั้ง แต่ก็หยุดไว้ได้ทัน มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นขึ้นราวกับจะคอยห้ามตัวเองเอาไว้ “คุณนั่งพักบนเตียงก่อนครับ เดี๋ยวผมไปเอายามาให้”

ผมพยักหน้ารับ บอกเขาว่ายาอยู่ที่ตู้ในห้องครัว จริง ๆ ผมยังมียาอีกเป็นตั้งเลยอยู่ที่ตู้ในห้องนอน แต่ยาพวกนั้นเป็นยาที่ต้องกินประจำ ไม่ใช่ยาลดไข้หรือแก้ปวด ผมขอให้เขาเอาเทอร์โมมิเตอร์มาวัดไข้ให้ด้วยเลย จากนั้นก็เขียนมันลงในแผ่นกระดาษที่ลงเวลาและวันที่อย่างเป็นระเบียบ

ไซม่อนกวาดตามองกระดาษแผ่นนั้นอย่างถี่ถ้วนขณะที่ผมเริ่มขยับตัว เตรียมจะยกขาขึ้นเหยียดนอนบนเตียง เป็นจังหวะเดียวกับที่ไซม่อนเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน

“โชคดีนะครับที่คุณไปช่วยเจคอบไว้ได้ทัน”

ผมนิ่งไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ก็จริงนะ โชคดีที่ผมบังเอิญเดินไปแถวนั้นพอดี”

“ถ้าคุณไม่ไปที่นั่น ป่านนี้แกอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

“อืม” ผมว่า ส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนใจ “เด็กก็แบบนี้ ทำอะไรไม่คิดเลย แอบหนีออกไปกันแค่สองคน”

“แต่เจอแบบนี้เข้าไปคงมีบทเรียนแล้วล่ะครับ จากนี้คงไม่กล้าออกมาเล่นน้ำกันแค่สองคนแล้ว”

“นั่นสินะ ก็ดีแล้ว”

ไซม่อนสาวเท้าเข้ามาประชิดตัวผมที่ยังนั่งบนขอบเตียง ขาของเขาสัมผัสกับเข่าของผม และมันทำให้ผมรู้สึกวูบวาบตรงบริเวณนั้นขึ้นมาทันที

ผมพยายามเบี่ยงตัวหนีอย่างสุภาพ แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งออกแรงกดที่เข่าผมไว้อย่างรู้ทัน นี่หมอนี่คิดจะทำอะไรของมันเนี่ย สรุปจะให้ผมนอนไหม

“คุณเคยบอกว่าตัวเองเป็นโรคกลัวการสัมผัสนี่”

“ก็ใช่---”

“แต่เมื่อกี้คุณช่วยผายปอดให้เจคอบ” ไซม่อนว่า จ้องลึกเข้ามาในตาผมราวกับจะคว้านไปให้ถึงไส้ใน ผมนิ่งอึ้งไปทันทีเมื่อร่างสูงค่อย ๆ โน้มหน้าลงมาขณะที่พูด “แถมยังขี่หลังผมจนกลับมาถึงบ้านด้วย”

“ก็… นั่นมัน”

หัวใจดวงใหม่ของผมเริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ผสมปนเปกัน ทั้งหวาดกลัว ตื่นเต้น ใจสั่น อยากจะหนี แต่ก็อยากให้มันเกิดขึ้น

ผมหลุบตาต่ำ มองลงไปบนริมฝีปากอิ่มของคนตรงหน้าอย่างเผลอตัว รู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก สงสัยว่าเขาเองก็กำลังมองปากของผมด้วยเหมือนกันรึเปล่า และเขากำลังมองมันด้วยความรู้สึกแบบไหน เขาจะรู้สึกกังวลหรือตื่นเต้นอย่างที่ผมเป็นไหม

โอย พระเจ้า ให้ตายเถอะ นี่ผมเป็นเด็กสาวม. ปลายที่เพิ่งมีความรักครั้งแรกหรือยังไง? แล้วทำไมหมอนี่ถึงได้ยื่นหน้าเขามาใกล้ขนาดนี้? ไหนมันเคยสัญญาแล้วไงว่าจะไม่โดนตัวผม ก็นั่นเป็นข้อแลกเปลี่ยนของเราไม่ใช่เหรอ…

ผมกำหมัดแน่นขึ้น เกร็งทุกส่วนของร่างกายด้วยความรู้สึกที่เหมือนหัวใจจะระเบิดออกมา ผมเดาว่ามันคงแสดงออกชัดเจนทางสีหน้า เพราะไซม่อนชะลอความเร็วลง แต่ไม่ถึงกับหยุดนิ่ง

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่เหมือนกับจะผลักคนมองให้ตกลงไปในเหวลึกจ้องตาผมไม่กระพริบ มันทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ จัง ๆ แล้ว กลัวว่าผมจะตกลงไปในเหวนั่นและหาทางขึ้นมาไม่ได้ตลอดไป

มือหนาของอีกฝ่ายค่อย ๆ เคลื่อนมาแตะลงบนแก้มผมอย่างแผ่วเบา แต่แค่นั้นก็ทำเอาผมสะดุ้งสุดตัวแล้ว นิ้วเรียวยาวของคนตรงหน้าคลอเคลียอยู่บนนั้นอย่างอ้อยอิ่ง และผมควรจะปัดมันออก…

“ก็นั่นมันอะไรครับ คุณหมอ?” เขาถามต่อ แววตาเป็นประกายรุ่งโรจน์น่ามอง ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย

“ก็… เด็กคนนั้น กำลังจมน้ำ” ผมพึมพำตอบราวกับสติสตังไม่อยู่กับตัว ผมไล่สายตาจากนัยน์ตาคู่สวยไปที่จมูกคมสันแล้วเลยไปถึงริมฝีปากของเขาอีกแล้ว “ผม… ก็ต้องช่วยสิ”

“แล้วถ้าเกิดว่าสถานการณ์เปลี่ยน” ไซม่อนพูด แม้แต่น้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มลึกของเขายังน่าฟัง นี่ผมกำลังต้องมนตร์ของชายตรงหน้าอยู่หรือยังไง “เป็นผมที่กำลังจะจมน้ำ… แทนที่จะเป็นเจคอบล่ะครับ?”

รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบิดเป็นเกลียวด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่รุนแรงบางอย่าง มันน่ากลัวนะ… แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกทรมานเหมือนอย่างตอนที่เจ็บหน้าอกเลย

“คุณจะช่วยผายปอดให้ผมไหม คุณหมอ”

อ่า ให้ตาย…. สายตาแบบนั้นมัน…

“ผม…” ได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ขณะที่ใบหน้านั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ “ผม… ก็ต้องช่วยคุณสิ ไซม่อน”

“อ่า” ชายหนุ่มครางในลำคออย่างพึงพอใจ เรารับรู้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกันแล้วในตอนนี้ “งั้นก็ช่วยผมด้วยสิครับ ออสติน”

“ผม…”

“ผมกำลังจมแล้ว”

จากนั้นริมฝีปากอุ่นก็ทาบลงมาบนริมฝีปากของผม

มันแผ่วเบา อ่อนโยน ชวนให้ใจละลาย แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมกลัวมากด้วย

ผมกำมือแน่นทั้งสองข้าง เหงื่อเม็ดหนึ่งหยดลงจากหน้าผาก ไหลไปตามข้างแก้มจนลงมาถึงปลายคาง ไซม่อนขยับลิ้นแตะริมฝีปากผมเบา ๆ ผมสะดุ้งเฮือก นั่นเป็นตอนที่เขาค่อย ๆ ผละริมฝีปากออกไปอย่างอ้อยอิ่ง

ไซม่อนยกยิ้มบาง ๆ มองตาผมตรง ๆ ด้วยนัยน์ตาลุ่มลึกนั่นอีกครั้ง

อย่าบอกนะว่าผมโดนเขาผลักตกลงไปในเหวนั่นแล้ว?






------------------------------------------
Talk: เอ๊าาาา เอาล่ะซี้ มีใครก็ไม่รู้ตกหลุมแหละ... 555555555 เอ้า! จูบกันแล้ว ๆ มาลุ้นกันว่าเขาจะได้กันเมื่อไห---//แค่กๆ เขาจะรักกันตอนหนายยย ไรงี้ ถถถถถถถ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ รักทุกคนเลย ม้วฟฟฟ
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2017 23:03:58 โดย Airiณ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
« ตอบ #19 เมื่อ: 18-05-2017 19:39:42 »





ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 5) P.1 [18/05/2017]
«ตอบ #20 เมื่อ18-05-2017 20:36:32 »

พ่อคุณชอบนัวเนียเหลือเกิน

ออฟไลน์ pearlypear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 5) P.1 [18/05/2017]
«ตอบ #21 เมื่อ18-05-2017 20:54:16 »

เนียนไปหรือป่าววววววววววววว :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 5) P.1 [18/05/2017]
«ตอบ #22 เมื่อ21-05-2017 19:17:20 »


บทที่ 6



เสียงออดดังขึ้นที่หน้าบ้านทำให้ผมต้องละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนังนิดหนึ่ง นั่งเขียนงานเพลินจนลืมดูเวลาไปเลย และไซม่อนก็ช่างมาตรงเวลาเสียเหลือเกิน

ผมเดินไปเปิดประตูบ้าน ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์กับนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่ดูเป็นประกายคุ้นเคยส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ผม ผมชะงักกึกไปนิดหนึ่งก่อนจะรีบก้มหลบมองเด็กชายตัวจ้อยอีกคนที่อยู่ตรงหน้าเขา ไซม่อนจับบ่าเด็กคนนั้นเบา ๆ เขาบอกผมไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะพาแดน… ซึ่งก็คือลูกของแบรดมาพบผมวันนี้ ไซม่อนบอกว่าแองจี้ฝากให้เขาช่วยดูแลเจ้าตัวเล็กสักหน่อยเพราะต้องไปทำธุระต่างเมือง ซึ่งพอไซม่อนถามถึงเรื่องนี้ผมก็ตอบตกลงโดยไม่เสียเวลาคิด

“สวัสดีครับ ออสติน” ไซม่อนว่า จากนั้นก็หันไปสะกิดหลาน “แดนครับ ทักทายคุณน้าออสตินหน่อยเร็ว เขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ไง ที่อาเล่าให้ฟัง”

“สวัสดีครับ” เด็กชายพูดพร้อมกับส่งยิ้มอาย ๆ มาให้ ผมยิ้มตอบกลับโดยอัตโนมัติ มือเลื่อนไปจับกับเจ้าตัวตามธรรมเนียนแม้ว่านั่นจะต้องฝืนกับโรคไม่ชอบถูกตัวคนของผม แกเองก็จับมือผมตอบอย่างแหย ๆ ตามประสาเด็กที่ตื่นเกร็งตอนที่เจอกับผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักครั้งแรก ผมรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาทันทีเมื่อนึกไปว่าแกต้องเจออะไรมาบ้าง

ถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว ผมไม่ชอบให้ใครมาบ้านบ่อย ๆ หรอกนะ แต่พอคิดว่าเด็กชายที่อยู่ตรงนี้เป็นลูกชายของเจ้าของหัวใจคนก่อน… มันรู้สึกเหมือนต้องชดเชยบางอย่างให้แกยังไงก็ไม่รู้

ผมเชิญทั้งสองคนเข้ามาในบ้าน สังเกตเห็นว่าแดนดูตื่นเต้นไม่น้อยกับบ้านหลังเล็กที่อยู่ติดทะเลของผม

“แกไม่ได้มาเที่ยวทะเลนานแล้วน่ะครับ” ไซม่อนพูดหลังจากบอกให้แดนเข้าไปนั่งรอบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นก่อน “ผมเลยคิดว่าถือโอกาส… พาแกมาเที่ยวด้วย มาเยี่ยมคุณด้วย คุณสบายดีหรือเปล่าครับ ออสติน”

“ก็เรื่อย ๆ เหมือนเดิมแหละครับ” ผมว่าพลางขยับตัวห่างจากเขานิดหนึ่งอย่างทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนใบหน้าเริ่มร้อนขึ้น

ตั้งแต่ที่เราสองคนจูบกันเมื่อคราวก่อน ผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเพราะไซม่อนบอกว่างานยุ่งมาก และพอหาเวลาว่างมาได้เขาก็พาหลานมาด้วย ซึ่งก็ดีนะสำหรับผม ถึงผมจะไม่ค่อยชอบอยู่ใกล้หรือสุงสิงกับคนเท่าไร แต่ถ้าต้องอยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง ผมก็ไม่รู้จะวางตัวยังไงดีเหมือนกัน

“แล้วงานเขียนไปถึงไหนบ้างแล้วครับ” เขาถามต่อขณะก้าวเท้าตามมา ผมเหลือบมองแดนที่นั่งเรียบร้อยอยู่บนโซฟา ตามองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นวิวทะเลกว้างไกล ตาของเขาเหมือนของไซม่อนไม่มีผิดเลย แต่เส้นผมเป็นสีแดงเข้มเหมือนแม่

“ก็ยังมีที่ต้องแก้เยอะอยู่เหมือนกัน แล้วงานคุณล่ะ ไซม่อน” ผมถาม ตามองไปที่รอยช้ำจาง ๆ ที่อยู่บนแก้มของเขาอย่างรู้ทัน ชายหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เช่นเคย เลื่อนมือไปแตะตรงรอยนั้นทันที

“ก็ปะทะกับคนร้ายนิดหน่อยน่ะครับ แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร”

“ก็พอเดาได้ครับ งั้นเดี๋ยวคุณไปนั่งกับแดนก่อนนะ ผมไปเตรียมของก่อน จะได้ไปตกปลากัน สายกว่านี้เดี๋ยวคนจะเยอะ”

ผมคุยกับไซม่อนล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วว่าจะพาแดนไปตกปลา ผมเลยเตรียมคันเบ็ดที่น้ำหนักเบามาเผื่อไว้ให้แก หยิบถังใบเล็กที่เอาไว้ใส่เหยื่อ จากนั้นพวกเราสามคนจึงมุ่งหน้าไปจัดแจงจองที่นั่งตกปลาบนสันเขื่อนที่ถูกทำไว้ให้เพื่อการนี้ มีคนอื่นที่มาตกปลาอยู่บ้างเหมือนกัน ส่วนมากก็คนที่ผมคุ้นตาทั้งนั้น ดูพวกเขาแปลกใจที่เห็นผมมากับไซม่อนและเด็กวัยประถมอีกคน

“นี่นะครับ แดน” ผมเริ่มสอนวิธีการตกปลาง่าย ๆ ให้แก “ขั้นแรกนะ เราต้องมีเหยื่อก่อน เดี๋ยวน้าใส่เหยื่อให้นะครับ เสร็จแล้วเดี๋ยวหนูเหวี่ยงลงไปแบบนี้”

ผมหยิบหางปลาหมึกที่ตัดเอาไว้ก่อนออกจากบ้านแล้วมาเสียบกับเหล็กกล้า สาธิตวิธีการให้เจ้าตัวดู แดนทำสีหน้าตั้งอกตั้งใจมากจนผมรู้สึกเขิน ผมต้องกลั้นใจจับแขนแกจากทางด้านหลังเพื่อสอนขั้นตอนพวกนั้น แต่มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ถึงขนาดหายใจไม่ออกอย่างที่เคยเป็น บางทีอาการงี่เง่านี้ของผมอาจจะเริ่มดีขึ้นแล้วก็ได้

“เสร็จแล้วหนูใช้นิ้วแตะไว้กับสายเบ็ดตรงนี้นะครับ เวลาที่ปลาติดเบ็ดแล้วหนูจะได้รู้ไง”

“เข้าใจแล้วฮะ” แดนว่า ยิ้มด้วยสีหน้าเป็นปลื้ม มันทำเอาผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“คิดว่าทำเองได้ไหมครับ”

“ฮะ แถวนี้ปลาเยอะมากไหมครับ คุณน้าออสติน”

“เยอะสิ” ผมว่า “น้าเคยตกปลาจากที่นี่ตั้งหลายครั้ง แทบไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่ได้ปลากลับบ้าน”

“ถ้าผมตกปลาได้” เด็กชายเริ่มว่าอย่างตื่นเต้น “เราจะเอามันไปทำเป็นข้าวกลางวันหรือข้าวเย็นได้ไหมครับ”

“ได้สิ” ผมว่า สายตาเหลือบไปมองไซม่อนที่กำลังยิ้มขณะมองดูหลานของตัวเอง ดูเขามีความสุขที่ได้เห็นหลานดีใจ เห็นรอยยิ้มนั่นของเขาแล้ว… ผมรู้สึกใจแกว่งยังไงไม่รู้แฮะ “โอเค งั้นพอเธอตกได้อะไรแล้วบอกนะครับ เดี่ยวน้าไปคุยกับอาของหนูหน่อย”

“ครับผม” รับคำหน้าชื่นทีเดียว ผมอยากให้แกตกได้ปลาสักตัวจัง

ไซม่อนเดินตามผมมา ไม่ได้ไกลจากเด็กชายมาก แค่อยู่ในระยะให้แกไม่ได้ยินเท่านั้น แต่ต่อให้อยู่ใกล้กว่านี้ ผมว่าแดนก็อาจจะไม่สนใจด้วยซ้ำเพราะแกกำลังตั้งสมาธิอยู่กับผืนน้ำทะเลที่มีเบ็ดของตัวเองจุ่มลงไปอย่างมาก

เห็นแบบนั้นแล้วมันทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ ตอนที่พ่อเพิ่งเริ่มสอนตกปลาให้ผม เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เลย

“แล้วนี่ตกลงวันนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอครับ” ผมเอ่ยปากถาม เพราะเท่าที่คุยกันผ่านแชท ดูเหมือนไซม่อนจะยุ่งกับการสืบคดีตลอดเวลา ผมเข้าใจดีเพราะตอนที่ยังทำงาน ตัวผมเองก็ยุ่งตลอดแบบนั้นเหมือนกัน ต่อให้เป็นวันเสาร์อาทิตย์ก็ตาม แต่ถ้ามีคดีเร่งด่วนขึ้นมา ต่อให้ไม่ใช่เวลางานก็ต้องไปทำ

“วันนี้หยุดได้ครับ คู่หูผมก็คอยอัพเดทนู่นนี่ให้ฟังตลอดอยู่แล้ว”

“แล้วพรุ่งนี้คุณจะทำยังไง” ผมถาม เพราะไซม่อนบอกก่อนแล้วว่าแองเจลีนหรือแองจี้ แม่ของแดนจะไม่อยู่บ้าน

“ผมตั้งใจจะพาแกไปฝากที่บ้านเพื่อนของแองจี้น่ะครับ เห็นว่าหล่อนติดต่อคุยกันไว้แล้ว”

ผมพยักหน้ารับ สายตามองตรงไปที่เด็กชายตัวจ้อยอย่างไม่อาจละออกได้

“ผมว่าคุณควรจะไปตกปลากับแกนะ” ผมว่า เพราะเตรียมเบ็ดมาเผื่อสำหรับเราทุกคน “พอคุณอยู่ใกล้ ๆ แกแล้ว คุณดูเหมือนพ่อแกไม่ผิด”

“อ่า ใช่ครับ” ไซม่อนยิ้ม ตามองที่แดนนิ่งเหมือนกัน “มีคนพูดแบบนั้นเยอะเหมือนกัน แม้แต่แบรดที่เป็นพ่อแท้ ๆ เองยังพูดเลย”

พูดจบแล้วเขาก็หัวเราะ แล้วรอยยิ้มนั่นก็ดูเศร้าสร้อยขึ้นมาราวกับมีอะไรกรีดลงกลางใจ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เข้าใจยากอะไรหรอก

“เขาเป็นคนดี” ผมพูด “ดูจากแดนผมก็รู้แล้ว ที่คุณพาเขามาเจอผม เพราะคุณต้องการบอกเรื่องนี้ใช่ไหม”

ไซม่อนไม่ตอบ เขาแค่ยิ้มนิด ๆ ที่มุมปากเหมือนอย่างเคย “ขอโทษด้วยนะครับที่มากวนคุณแต่หัววันแบบนี้ มือกลางวันวันนี้ให้ผมเป็นเจ้ามือเถอะนะ”

“อย่าเลยคุณ” ผมรีบส่ายหัว “คุณกับแดนเป็นแขกนะ ผมจะเลี้ยงเอง กลางวันนี้เราจะพาแดนไปกินร้านเดิมไหมครับ ผมจะได้โทรไปจองโต๊ะไว้ก่อน”

คนข้างตัวผมยิ้มกว้างขึ้น มองผมด้วยนัยน์ตาคู่คมที่เหมือนกับเหวลึกนั่นอีกแล้ว ครั้งนี้ผมจ้องตอบมันกลับอย่างไม่เกรงกลัว ผมชอบตาของเขาจริง ๆ และบางทีเขาอาจจะรู้

“ร้านเดิมเหรอครับ” น้ำเสียงเย้าแหย่อยู่ในที “ผมชอบคำนี้จัง เหมือนร้านประจำที่เราไปกินด้วยกันบ่อย ๆ เลย”

“ก็แค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่เหรอคุณ อย่ามาเว่อร์ไปหน่อยเลย” ผมตอบด้วยน้ำเสียงปั้นปึ่ง แต่ก็อดยิ้มออกมาน้อย ๆ ไม่ได้เหมือนกัน

“คุณว่าคุณจะกินไวน์ได้เมื่อไหร่ครับ” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ผมเดาได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร เขาอยากจะชวนผมจิบไวน์ด้วยกันกับเขา ผมนึกภาพตามนั้นแล้วรู้สึกล่องลอยไปกับมันเหมือนกัน แต่ยังอีกพักใหญ่เชียวล่ะกว่าผมจะแตะต้องของพวกนั้นได้

“น่าจะประมาณ 2-3 เดือนครับ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะ คุณกินได้ตามสบายเลย ผมไม่อยากให้คุณอดกินอะไรที่อยากกินเพราะผม”

“คุณชอบพูดดักคอแบบนี้อยู่เรื่อย”

ผมยักไหล่ เดินกลับไปที่ที่แดนนั่งตกปลาอยู่ จากนั้นก็บอกแกว่าอาของแกก็คิดอยากตกด้วยเหมือนกัน

พูดถึงตรงนี้ไซม่อนก็หน้าซีดลง ก้มตัวมากระซิบกับผมทันที

“คุณ จะบ้าเหรอ ผมตกปลาเป็นที่ไหนล่ะ ไปบอกหลานผมแบบนั้นได้ไง”

“อ้าว” ผมอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีทันที ใครจะไปคิดล่ะว่าหมอนี่ไม่เคยตกปลา ยิ่งเป็นคนที่จับเบ็ดมาตลอดตั้งแต่จำความได้อย่างผมด้วยแล้ว ยิ่งนึกภาพไม่ออกเลยในโลกนี้จะมีคนที่ไม่เคยตกปลากับเขาอยู่ด้วย “ก็ฝึกสิครับ คุณอาไซม่อน แดนเองไม่เคยตก เขายังลองเลย”

ไซม่อนหน้าง้ำลงเล็กน้อยเหมือนเด็ก ๆ เพราะน้ำเสียงล้อเลียนนั่นของผม ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าลงมาแล้วกระซิบที่ข้างหู

“งั้นคุณก็ต้องสอนผมตกด้วยสิครับ ออสติน”

“เอ๊ะ… เอ่อ” เดี๋ยว ๆๆๆ ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้มั้ง

“ทำไมครับ” ถึงทีเขายิ้มล้อเลียน “ทีกับแดน คุณยังสอนวิธีตกปลาให้เขาเลย พอเป็นผมแล้วคุณสอนให้ด้วยไม่ได้เหรอ?”

ว้อย… ทำไมไอ้หมอนี่ถึงชนะผมตลอดเลย

ผมสอนไซม่อนตกปลาแบบเดียวกับที่สอนให้แดน แต่หมอนี่ชอบมือลื่นมาจับตัวผมอยู่เรื่อย ทำเอาผมต้องรีบสะบัดออกแทบไม่ทัน ถึงเราสองคนจะ… เอ่อ จะ… จูบกันไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้ความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตตอนโดนตัวกันนี่จะหายไปนะครับ

“โห คุณอาก็ตกปลาด้วย” แดนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นเมื่อไซม่อนทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ “มาแข่งกันไหมฮะ ว่าใครจะตกได้ก่อน”

“น้อย ๆ หน่อยเถอะเราน่ะ” ไซม่อนหันไปหัวเราะให้แดน ยกมือลูบศีรษะแกอย่างอ่อนโยน ดูเขารักหลานมากจริง ๆ “ท้าแข่งแบบนี้ ขืนแพ้ขึ้นมาก็เสียหน้าแย่ จะไปบอกกับแม่ยังไง หืม ทำไมไม่ลองท้าคุณน้าออสตินดูล่ะ ดูสิ ไม่เห็นยอมจับเบ็ดสักที เอาแต่มองพวกเราอยู่เนี่ย”

อ้าว นั่น ยังจะวกกลับมาทางผมเอง

“คุณน้าออสติน ตกปลากันเถอะครับ จะได้ได้ปลากลับไปทำกับข้าวกันเยอะ ๆ เลย”

“อ่า… ก็ได้ครับ” ผมยอมรับปากอย่างเสียไม่ได้ เริ่มหยิบเบ็ดของตัวเองออกมา เล็งตำแหน่งแล้วเหวี่ยงลงไปทันที

นั่งอยู่อย่างนั้นสักพัก อยู่ ๆ สัมผัสบางเบาจากอีกฝ่ายก็เลื่อนมาแตะผม ผมสะดุ้งตัวนิดหนึ่ง หันกลับไปมองไซม่อนที่ยิ้มให้ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนี้มือข้างหนึ่งของเขาเริ่มเลื่อนมาแตะแขนผมแล้ว

ผมเม้มริมฝีปากแน่น ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ผลักสัมผัสนั้นออก ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังขึ้น มันเป็นสัมผัสง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ผมรู้สึกใจเต้นรัวราวกับวิ่งมาเป็นระยะทางร่วมกิโลฯ แล้ว

อ่า… อยากปัดมันออก แต่ถ้าทำแบบนั้น ไซม่อนอาจจะเสียใจอีกก็ได้ ผมยังจำแววตาของเขาครั้งก่อนได้ ตอนที่ผมปัดมือเขาออก ถึงผมจะเคยผลักเขาไปไม่รู้กี่รอบแล้วก็ตาม ส่วนมากเขาก็ไม่เป็นไรหรอก ยังตีหน้าทะเล้น ยิ้มหวาน ๆ ส่งคืนให้เหมือนเดิม แต่บางครั้งเขากับมีแววตาแบบนั้น… แบบที่แสดงออกมาให้เห็นว่าเสียใจกับการปฏิเสธของผม และบอกตามตรงเลย ผมไม่อยากเห็นแววตาแบบนั้นของเขา

“อ๊ะ! ผมตกได้แล้ว!” แดนอุทานขึ้นเสียงดังอย่างตื่นเต้นระคนตกใจ ผมรีบลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับตรงไปช่วยเด็กน้อยคนนั้น ส่วนอาของเจ้าตัวยังยิ้มยียวนกวนประสาทอยู่เลยตอนที่ผมช่วยแดนดึงปลาตัวนั้นขึ้นมา ผมพยายามไม่ช่วยแกมากเพราะให้แกคิดรู้สึกว่าเป็นผลงานของตัวเองจริง ๆ

หลังจากที่ตกปลากันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เอาปลาพวกนั้นกลับบ้าน ตัดสินใจว่าจะเอาปลาที่แดนตกได้ทำเป็นมือเย็น ส่วนมื้อกลางวันผมอาสาเป็นเจ้ามือพาทั้งคู่ไปเลี้ยงเอง

“แล้วคุณค่อยออกตอนซื้อวัตถุดิบมื้อเย็น” ผมพูดดักคอทันทีเมื่อเห็นไซม่อนอ้าปากจะค้าน “โอเคไหมครับ”

“ตกลงครับ” เป็นอันว่าคุยกันรู้เรื่อง

พวกเราเข้าไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ติดริมหน้าต่าง เป็นสิทธิพิเศษของผมที่เป็นลูกค้าประจำของร้านนี้เอง บวกกับเพราะโทรมาจองก่อนล่วงหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะได้ที่นั่งในร้านนี้ในช่วงเวลาเที่ยงตรงของวันได้ยาก

“โอ้โห” แดนร้องอุทานออกมาเมื่อกุ้งราดซอสกระเทียมถูกเสิร์ฟลงตรงหน้า เจ้าตัวหันไปมองอาอย่างเป็นปลื้ม “คุณอาฮะ กุ้งตัวใหญ่มากเลย”

“เอาเลย แดน จัดการเลยครับ” ไซม่อนว่า มือหนาเลื่อนไปลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู “อยากถ่ายรูปไปให้คุณแม่ดูด้วยไหมว่ามากินอะไรกับอาแล้วก็น้าไซม่อนวันนี้”

“อื้อ!”

นั่นแหละ พวกเราถึงได้เซลฟี่กันสามคน บอกตามตรง… ผมลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ผมถ่ายรูปเซลฟี่น่ะ มันเมื่อไหร่ นี่พอยิ่งคิดยิ่งรู้สึกชีวิตตัวเองมืดมนไร้สังคมยังไงก็ไม่รู้ นี่ผมปล่อยให้ตัวเองตกต่ำลงถึงขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย

ผมอมยิ้มนิดหนึ่งเมื่อเห็นไซม่อนบังคับให้แดนกินผักในจานสลัดจนหมด และเมื่อเจ้าตัวจัดการตามนั้นไซม่อนก็ตบรางวัลให้โดยการยอมให้แดนสั่งไอศกรีมมากินเป็นของหวาน ผมขอกาแฟตบท้ายส่วนตัวเขาตกลงกับแดนว่าจะแบ่งกันกินไอศกรีมคนละลูก

ดู ๆ แล้วก็น่ารักดี… สองคนนี้เหมือนพ่อลูกกันจริง ๆ นั่นแหละ

พวกเรากลับไปขลุกอยู่ที่บ้านผมตลอดทั้งบ่าย ไซม่อนปล่อยให้แดนเล่นเกมในโทรศัพท์ประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มตาปรือตามภาษาเด็ก ผมจึงบอกให้เขาพาหลานไปนอนที่ห้องนอนรับแขกบนบ้าน

ผมนั่งพิมพ์งานของตัวเองต่อในขณะที่ไซม่อนเองก็เริ่มหยิบแฟ้มคดีของตัวเองขึ้นมากางที่โต๊ะอาหาร ภายในตัวบ้านเงียบสงบอีกครั้งเมื่อพวกเราทุกคนจมอยู่กับโลกของตัวเอง

ผมขยับแว่นตาที่อยู่บนหน้านิดหนึ่งหลังจากที่อ่านทวนสิ่งที่ตัวเองเขียนลงไปอีกรอบ ได้ยินเสียงไซม่อนคุยโทรศัพท์แว่ว ๆ เจ้าตัวเดินออกไปคุยที่หน้าบ้านเพราะไม่อยากรบกวนผม ผมชอบที่เขาเป็นแบบนั้นนะ ถึงหลาย ๆ ครั้งจะรู้สึกเหมือนเขาก้าวล้ำเส้นของผมเข้ามามากเกินไป แต่เขาก็เคารพผมตลอด หรือแม้แต่ตอนที่เราจูบกัน พอผมบ่ายหน้าหนีอย่างอึดอัด เขาก็เข้าใจและไม่เซ้าซี้อะไรต่อ

ผมไม่ได้ปฏิเสธเขาตรง ๆ แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรมากเกินไปกว่านั้น เขาเองก็คงพอรู้ ถึงได้ไม่เซ้าซี้อะไรอีก และหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์วันนั้นไปเขาก็ไม่ได้เก็บเอามาถามซ้ำ ๆ ผมรู้ว่าเขากำลังรอจังหวะเวลาที่เหมาะ นั่นแหละ ส่วนที่ผมชอบเกี่ยวกับตัวเขา

ไซม่อนเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านอีกครั้ง ผมตัดสินใจใช้จังหวะนี้พักงานของตัวเองแล้วออกไปหาเขาที่ห้องครัว เจ้าตัวกำลังรวบรวมเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีเข้าด้วยกัน เขาไม่ทันรู้ตัวว่าผมกำลังเดินเข้าไปหา ผมเหลือบมองรูปถ่ายใบหนึ่งด้วยความอยากรู้ ก่อนจะต้องรู้สึกเสียใจที่ทำแบบนั้น เพราะในรูปนั่นคือเด็กชายคนหนึ่งอายุไม่น่าเกินเก้าขวบถูกห้อยแขวนคออยู่ในตู้เสื้อผ้า

“พระเจ้า” ผมอุทานออกมาเบา ๆ ไซม่อนสะดุ้งตัวอย่างแรงเพราะไม่ทันตั้งตัว เขารีบรวบเอกสารทั้งหมดขึ้นไปแล้วเก็บใส่ลงแฟ้ม จากที่ผมเห็น รูปถ่ายแบบนั้นไม่ได้มีแค่ใบเดียว และเด็กชายในรูปแต่ละคนก็ไม่ใช่คนเดียวกัน

ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองหน้าซีดลงขณะเอ่ยปากถาม “นั่นคดีที่คุณกำลังสืบอยู่เหรอ”

“ครับ ใช่” ไซม่อนตอบ สีหน้าไม่สบายใจเท่าไร “ผมไม่รู้ว่าคุณอยู่ข้างหลัง คุณไม่น่าต้องเห็นเลย”

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกแกน่ะ” ผมถาม ทั้ง ๆ ที่รูปถ่ายก็ตอบคำถามนั้นได้ดีอยู่แล้วแต่ผมก็ยังถามออกโง่ ๆ

“คนร้ายจับตัวพวกแกไปครับ มันซ่อนศพพวกแกไว้ในตู้เสื้อผ้า”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง “กี่คนน่ะ”

“ตอนนี้ก็เจ็ดแล้วครับ”

“ตอนนี้เหรอ” ผมถามทวนเหมือนไม่อยากเชื่อ ถึงผมจะเคยทำงานคอยวิเคราะห์สภาพและการตายของศพมาก่อนก็เถอะ แต่พอมันเป็นเรื่องของเด็กตัวเล็ก ๆ แล้ว… ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอ้วกเลย “หมายความว่ายังไง แล้วจะมีเพิ่มในอนาคตเหรอ”

“พวกเราเองก็พยายามเร่งสืบอยู่เพื่อไม่ให้มีจำนวนเพิ่มเหมือนกัน” เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สีหน้าของเขาดูอ่อนล้าต่างกับเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัดเลย ผมไม่ควรทำให้เขาเครียดเรื่องงานมากกว่าเดิมสิ

“คุณอยากได้แชมเปญไหม ที่ผมเคยบอกก่อนหน้านี้”

“แต่…” เจ้าตัวอึกอัก “คุณดื่มไม่ได้นี่นา”

“เถอะน่า ดื่มหน่อยเถอะ” ผมส่งยิ้มให้เขา รู้สึกได้เลยว่าไซม่อนงันนิดหนึ่ง นั่นสินะ ก็ผมไม่ค่อยยิ้มนี่นา “อย่างน้อยถ้าผมเปิดขวดให้คุณ ผมจะได้กลื่นของมันด้วยไง นั่นคงพอทำให้ผมชื่นใจขึ้นมาบ้าง”

ไซม่อนยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ผ่อนคลายลงอย่างเต็มที่ เป็นรอยยิ้มแบบที่เขามักส่งมาให้ผมเสมอตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน

เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง ราวกับผมเป็นกวางที่ตื่นกลัวและอาจกระโดดหนีกลับไปอยู่หลังพุ่มไม้ได้ทุกเมื่อ ผมว่าตัวเองอาจจะขี้ขลาดกว่ากวางที่ว่าด้วยซ้ำ และครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองทำตัวอ่อนหัดแบบนั้นอีกแล้ว

ผมกำมือแน่น ก้มหน้าลงต่ำนิดหนึ่งขณะที่ไซม่อนค่อย ๆ แตะปลายนิ้วลงบนใบหน้าของผม เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา บริเวณที่เขาสัมผัสร้อนวูบ มันน่ากลัวเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผมรู้สึก แต่มันมีอะไรบางอย่างตามติดมาเหมือนเป็นเงา เป็นความรู้สึกวาบหวิวที่ชวนให้ใจเต้น แล้วอยู่ ๆ ผมก็นึกถึงคำสารภาพรักอันแสนกำกวมของเขาขึ้นมา

‘แล้วถ้าผมบอกว่าผมเข้าหาคุณเพราะตัวคุณเองล่ะ’

ผมหน้าร้อนขึ้นกว่าเดิม เหงื่อชุ่มเต็มอุ้งมืออีกรอบ แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนี ไซม่อนค่อย ๆ ทาบจูบลงมาบนริมฝีปากของผม มันอ่อนหวานกว่าคราวที่แล้วที่เราจูบกันอีก ผมครางเสียงแผ่วในลำคออย่างตื่นกลัว มือหนาเลื่อนมาประคองแก้มผมไม่ให้ผินหน้าหนี ลิ้นร้อนค่อย ๆ สอดเข้ามาภายในโพรงปากอย่างระมัดระวัง

ผมตัวสั่น มือที่สั่นระริกเอื้อมขึ้นไปวางลงบนบ่าของเขาอย่างหวาดกลัว มือค่อย ๆ กำเสื้อของเขาแน่นขึ้น สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่อลิ้นนั้นกวาดขึ้นไปบนเพดานปาก ผมเกือบจะผลักบ่าเขาออกไปแล้วด้วยความตกใจ แต่ก็ยั้งตัวเองไว้อยู่ ทำเพียงขยำเสื้อของเขาแน่นขึ้นเท่านั้น

เหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปจนหมด รู้สึกตาลาย ในตัวมันร้อนรุ่มเหมือนไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น

ไม่เอาแล้ว… ผมกลัว

“อื้อ….” ผมคราง คราวนี้ไม่สามารถหยุดตัวเองได้ ผมเผลอใช้มือที่อยู่บนบ่าเขาออกแรงผลักเขาออก ไซม่อนลืมตาขึ้นมามองผม นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขาคมกริบอย่างน่าหวาดหวั่น ราวกับว่ามันกำลังเฉือนใจของผมออกเป็นชิ้น ๆ และผมก็อยู่นิ่ง ๆ บนเขียง ปล่อยให้เขาเชือดอยู่แบบนั้น

“อึก…” ไซม่อนไม่ปล่อยผมไปง่าย ๆ อีกแล้วคราวนี้ มือแกร่งยึดหลังต้นคอผม กดริมฝีปากลงมาพร้อมกับกวาดลิ้นร้อนไปทั่วทุกบริเวณอย่างกระหาย ผมสะดุ้งวาบ ตัวชาไปหมด ไม่มีแรงแม้แต่จะดิ้นขัดขืน… ไม่มีแรงแม้แต่จะผลักอกเขาออก

ผมตัวสั่น หลับตาทั้งสองข้างแน่นอย่างหวาดหวั่น เหงื่อไหลซึมไปทั่วทั้งตัวแล้วตอนนี้ และเหมือนไซมอนจะรู้ตัวว่าเขากำลังรุกล้ำผมมากเกินไป เขาเริ่มลดจังหวะลง แต่เหมือนความปรารถนาในตัวเขาก็มีมากเกินกว่าจะหยุดทุกอย่างได้ในทันที จูบร้อนแรงนั่นค่อย ๆ กลับมาเป็นอ่อนหวานอีกครั้ง นั่นไม่ได้ช่วยทำให้ผมหายกลัวเสียทีเดียว แต่ก็รู้สึกดีขึ้น

เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังลงบันไดมาทำให้พวกเราสองคนผละตัวออกจากกันอย่างอัตโนมัติทันที ผมเบือนหน้าหนี เดินหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ไซม่อนเองก็เหมือนกัน ก่อนที่เราจะผละออกจากกันแบบนั้น ผมเห็นว่าหน้าของเขาแดงเถือกไม่ต่างจากของผมเลย

นั่นทำให้ผมใจเต้น… ผมไม่คิดเลยว่าแม้แต่ไซม่อนเองก็ทำหน้าแบบนั้นได้ ก็หมอนี่มันสบาย ๆ ยิ้ม ๆ ไปหมดเสียทุกอย่าง มันอายเป็นกับเขาด้วยจริง ๆ สินะเนี่ย

“คุณอาไซม่อนครับ” แดนพูดด้วยเสียงงัวเงีย ยกมือขึ้นขี้ตาป้อย ๆ “ผมอยากเข้าห้องน้ำฮะ ห้องน้ำอยู่ตรงไหน”

“อ่า… เดี๋ยวน้าพาไปนะครับ” ผมรีบพูด เดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อไม่ให้แดนต้องลงมาเข้าห้องน้ำที่ชั้นล่าง และก็เผื่อไปให้ห่าง ๆ จากตัวไซม่อนด้วย

ให้ตายเถอะ อยู่ ๆ ก็มาจูบกันกลางบ้านได้นะ ก็รู้อยู่ว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน… ดีนะที่หลานไม่เห็น ถ้าโดนเห็นขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจเฮือก ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากอย่างเหม่อลอย สัมผัสอบอุ่นถึงขั้นร้อนระอุนั่นยังติดอยู่… ยังรู้สึกเหมือนไออุ่นจากลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่เลย

แดนเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยตัวเอง ส่วนผมพิงตัวลงกับผนังด้านหลังแล้วยกสองมือขึ้นปิดหน้าที่ร้อนฉ่าของตัวเอง

หัวใจที่อยู่ในอกเต้นตุบตับเสียงดังราวกับจะกระเด็นหลุดออกมา






------------------------------------
Talk: ไซม่อน... เอาเด็กมาล่อออสตินว่ะ 5555555 เมื่อไหร่เขาจะได้กั---- แค่ก ก็แหม เห็นจูบมาหลายรอบละไง น่าจะเตรียมความพร้อมเสร็จแล้วไรงี้ 555555555
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 6) P.1 [21/05/2017]
«ตอบ #23 เมื่อ22-05-2017 16:01:23 »

ลุ้นตามไปด้วยเลยยย โอยยยย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 6) P.1 [21/05/2017]
«ตอบ #24 เมื่อ22-05-2017 17:59:01 »

 :katai5:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 6) P.1 [21/05/2017]
«ตอบ #25 เมื่อ23-05-2017 19:03:10 »

บทที่ 7

 
ผมกับไซม่อนเข้าครัวเพื่อจัดการเตรียมมื้อเย็นโดยยอมปล่อยให้แดนนั่งดูการ์ตูนในโทรทัศน์ได้ เห็นเจ้าตัวบอกว่าแองจี้กำชับไว้ว่าไม่อยากให้เล่นเกมหรือดูทีวีมากเกินไป ซึ่งผมว่าก็สมเหตุสมผลดี

แต่เมื่อผมกลับออกมาเพื่อเตรียมโต๊ะอาหาร แดนก็กำลังใช้ไอแพดคุยกับหญิงสาวผมแดง ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากแองเจลีน แดนกำลังเล่าเรื่องที่ไปตกปลาและที่ไปกินข้าวมาวันนี้ให้เจ้าหล่อนฟัง ผมยิ้มออกมานิดๆ เมื่อเด็กชายเริ่มส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ

อย่างที่ไซม่อนบอกนั่นแหละ โชคดีจริงๆ ที่แกยังมีแม่ แกเสียพ่อแกไปคนแล้ว แต่อย่างน้อย แกก็ยังมีใครสักคนให้ยึดเหนี่ยว

เสียงฟ้าร้องกระหน่ำที่ดังมาจากด้านนอกทำให้เด็กชายที่กำลังคุยกับผู้เป็นแม่สะดุ้งตัวเฮือก เจ้าตัวหันซ้ายหันขวาแล้วมาเจอผมที่กำลังจัดโต๊ะเข้าพอดี แดนแทบจะโผตัวมากอดขาผม

“คุณน้าออสติน” เขาร้องเรียกอย่างตื่นๆ “ฟ้าผ่าเสียงดังมากเลย”

“อะ… อือ ใช่” ผมพูด พยายามบังคับไม่ให้เสียงตัวเองสั่น นึกขำ… ทั้งขำทั้งอ่อนใจตัวเอง คือไม่รู้เลยว่าระหว่างผมกับแดนใครจะสั่นมากกว่ากัน ผมก้มลงไปหาเด็กชายตัวจ้อยพร้อมกับกอดเขาแน่น นั่นต้องใช้แรงกำลังใจมหาศาลมากนะ และถึงแม้ตอนนี้ผมจะกำลังกอดเขาอยู่ด้วยความตั้งใจของตัวเอง ผมก็ยังรู้สึกใจเต้นแรงด้วยความกลัวอยู่ดี

แต่… ผมต้องหายจากอาการกลัวประหลาดๆ ของตัวเองนี่เข้าสักวันล่ะน่า… แต่ถ้าผมไม่ฝึก ไม่ฝืนเลย มันก็คงไม่มีทางหาย ผมอุ้มแดนกลับไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับลูบหัวเด็กชายด้วยมือที่สั่นนิดๆ ของตัวเอง นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่กลมจ้องผมนิ่งทีเดียว

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” เอ่อ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่กำลังบอกเด็กหรือบอกตัวเอง “ไม่ต้องกลัวนะครับ น้าอยู่นี่แล้ว”

“แม่ฮะ” แดนว่า หันไปหยิบไอแพดที่วางไว้เมื่อครู่ขึ้นมาถือ “นี่ไงฮะ คุณน้าออสตินที่ผมพูดถึง”

“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวในหน้าจอว่า ผมส่งยิ้มแหยๆ กลับไปให้เจ้าหล่อนแล้วทักทายกลับ “ขอโทษที่ไซม่อนพาแดนไปรบกวนนะคะ ไซม่อนนี่ก็จริงๆ เลย จะรบกวนคุณทำไมก็ไม่รู้ ร่างกายยิ่งไม่ค่อยแข็งแรงแท้ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมยิ้มตอบอย่างสุภาพ แดนที่นั่งอยู่ข้างผมเริ่มเอียงคอมองอย่างแปลกใจ

“คุณน้าออสตินไม่สบายเหรอครับ?”

“ไม่ค่อยแข็งแรงครับ แต่น้าสบายดี” ผมพูดตอบ แทบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นไซม่อนเดินออกมาจากครัวพร้อมกับอาหารที่เสร็จแล้ว ผมจึงส่งต่อไม้ให้ไซม่อนทันที

“หวัดดีครับ แองจี้” เจ้าตัวว่าพร้อมกับโบกมือให้กล้อง ผมใช้จังหวะนี้หลบเข้าครัวเพื่อหยิบเอาอาหารจานอื่นๆ ออกมาวางเรียง

เมื่อเดินกลับออกมา ไซม่อนก็ยังคุยกับแองเจลีนผ่านหน้าจออยู่อย่างนั้นโดยมีแดนเป็นลูกรับคอยเล่าเรื่องนู่นนี่เสริมให้ฟังตามประสาเด็ก ทั้งสามคนผลัดกันเล่าเรื่อง ผลัดกันหัวเราะ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอจ้องหน้าของไซม่อนอยู่ครู่ใหญ่เลยทีเดียว รอยยิ้มของเขาสดใสจริงๆ เสียงหัวเราะของเขาดังกังวาน มันนำความเบิกบานมาให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวได้อย่างง่ายดาย ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแองเจลีนกับแดนถึงยังมีความสุขอยู่ได้ทั้งๆ ที่เสียแบรดซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวไป เพราะทั้งคู่ยังมีไซม่อนอยู่ยังไงล่ะ

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมาให้ได้ยินอีกรอบ ผมเหลือบไปเห็นแดนสะดุ้งตัวนิดหนึ่ง เจ้าตัวขยับเข้าใกล้ผู้เป็นอา เกาะแขนอีกฝ่ายทันที ผมเดินไปเลิกผ้าม่านเพื่อดูบรรยากาศภายนอก ตอนนี้ฝนตกหนักมากจริงๆ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นวันเดียวกับเมื่อเช้าที่อากาศแจ่มใสท้องฟ้าโปร่ง ผมหันกลับไปหาอาหลานทันที

“ผมว่าคืนนี้พวกคุณค้างที่นี่เถอะครับ”

ไซม่อนหันขวับกลับมามองผมอย่างแปลกใจ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาเบิกกว้างขึ้นอย่างคาดไม่ถึง อันที่จริงผมเองก็แปลกใจตัวเองที่ออกปากชวนแบบนั้นเหมือนกัน แต่… จะว่าไงดี ก็สองคนนี้ขับรถมาใช่ไหมล่ะ ขืนเกิดอุบัติเหตุขึ้นบนท้องถนน… อืม… จะบอกว่าผมเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายก็ได้นะ แต่แค่นี้ผมก็ติดหนี้ครอบครัวของไซม่อนและแดนมากพออยู่แล้ว ผมไม่อยากให้ใครเป็นอะไรไปอีก

“ได้เหรอครับ ได้เหรอครับ” แดนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที ผมพยักหน้ารับ แกจึงชูสองมือขึ้นเหนือหัวอย่างลิงโลด “เย้!”

“แต่… มันจะไม่รบกวนคุณเหรอครับ” ไซม่อนพูดอย่างไม่แน่ใจ ผมเลยเลิกคิ้วข้างราวกับจะถามว่า ‘จนป่านนี้แล้ว ยังจะมาเกรงใจกันอีกเหรอ’ คือที่ผ่านนี่ก็เป็นฝ่ายเขาทั้งนั้นที่รุกเข้าหาผมก่อน แต่พอผมเสนองี้ดันจะมาเกรงใจกันเสียอย่างนั้นน่ะนะ? ให้มันได้แบบนี้สิ

“ถ้าไม่รบกวนคุณหมอมากเกินไป ทั้งคู่พักที่นั่นก็ดีนะคะ” แองเจลีนที่ยังถือสายอยู่พูด สีหน้ากังวลเหมือนกัน ผมเข้าใจหล่อนดี หล่อนเสียสามีไปแล้ว คงไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นกับลูกชายอีกคน “ขับรถตอนฝนตกอันตรายออก แถมเท่าที่ฟังเสียง ดูท่าจะตกหนักซะด้วย แล้วเรื่องเสื้อผ้า…”

“ของแดน ผมเตรียมมาเผื่อแล้วครับ เพราะคิดว่าแกอาจจะลงเล่นทะเลเลยเอามาเผื่อหลายตัวหน่อย”

“ผมไปเล่นน้ำพรุ่งนี้เช้าได้ไหมครับ” แดนเริ่มเขย่าขาคุณอาอย่างกระตือรือร้น วันนี้ช่วงเช้าหลังจากตกปลาเสร็จพวกเราก็ตรงดิ่งไปกินข้าวกลางวันทันที ตกบ่ายแดดก็แรงเกิน พอตอนเย็นฟ้าก็ครึ้มฝน เด็กน้อยที่ห่างหายจากทะเลมานานเลยไม่ได้เล่นเสียที

“ต้องดูก่อนนะครับ พรุ่งนี้อามีงานตอนสายๆ ด้วย”

“โธ่”

“ให้แกอยู่กับผมก่อนก็ได้ครับ” ผมว่า เห็นสีหน้าละห้อยของแดนแล้ว ใจนี่อ่อนยวบ “แล้วพอคุณเลิกงานค่อยมารับแกกลับ เพราะวันมะรืนแกต้องไปโรงเรียน ใช่ไหมครับ คนเก่ง”

“ครับ” แดนส่งยิ้มหวานมาให้ผม ผมยิ้มตอบนิดๆ ที่เขาว่ากันว่าเด็กใสซื่อและบริสุทธิ์คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ

“เฮ้อ เอาแบบนั้นก็ได้ครับ” ไซม่อนถอนหายใจเบาๆ อะไรของไอ้หมอนี่เนี่ย ทีก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะเคยเกรงใจอะไรกัน มาตอนนี้ล่ะทำเหนียม

ไซม่อนหันไปพูดอะไรสองสามคำกับคนในหน้าจอ แดนถลาตัวเข้ามาหาผม ยกแขนเล็กๆ ขึ้นกอดผมแน่น

“ขอบคุณนะฮะ คุณน้าออสติน น้าใจดีที่สุดเลย”

ผมหน้าร้อนขึ้น กอดเจ้าตัวเล็กตอบอย่างเงอะงะ มองเลยไปเห็นไซม่อนกำลังคลี่ยิ้มกว้างบนใบหน้าอย่างมีความสุข และรอยยิ้มนั่นก็ทำผมหน้าร้อนขึ้นกว่าเดิมอีก คือผมก็รู้มาแต่แรกแล้วว่านะว่ามันเป็นคนหน้าตาดี แต่พอมันยิ้มแล้ว… บรรยากาศรอบตัวดูแตกต่างจากเดิมไปเลย

ผมขุดหาเกมไพ่จากตู้เก็บของมาเล่นด้วยกันสามคนหลังจากที่เราอาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อยเตรียมเข้านอน เพราะการดูโทรทัศน์ในคืนที่ฝนตกหนักขนาดนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไร เล่นไปได้ไม่กี่เกม แดนก็เริ่มงัวเงีย ไซม่อนจึงตัดสินใจพาเด็กชายเข้านอน

“ไปนอนกันครับ เด็กดี เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นไม่ไหว” พูดพลางช้อนตัวของเจ้าตัวเล็กขึ้นในอ้อมแขน แดนงอแงนิดหนึ่งเพราะยังสนุกอยู่กับเกมตรงหน้า ผมโบกมือให้เขานิดหนึ่งขณะบอกราตรีสวัสดิ์ และเมื่อไซม่อนพาแดนเข้าห้องนอนสำหรับแขกเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มรวบไพ่ทั้งหมดเก็บใส่กล่อง

ผมตัดสินใจเปิดโน้ตบุ๊คแล้วเริ่มลงมือทำงานต่อในห้องนอนของตัวเอง ตอนนี้ทุกอย่างค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว แต่ผมยังคิดว่าตัวเองอยากได้ใครสักคนมาช่วยอ่านต้นฉบับให้ หนังสือที่ผมเขียนจะเน้นไปที่ประสบการณ์การทำงานของผมเสียเป็นส่วนใหญ่ พวกเคล็ดลับในการดูศพ เป็นเทคนิคเฉพาะทางที่ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะอ่านได้ ก็นะ… ก็งานที่ผมทำมามันมีแต่แบบนี้นี่หว่า

นั่งทำงานไปได้พักใหญ่ ผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ที่ชั้นสอง บ้านผมมีทั้งหมดสามห้องนอน ห้องหนึ่งคือห้องที่ผมกำลังใช้อยู่ซึ่งเป็นห้องเก่าของพ่อกับแม่ ห้องหนึ่งเป็นห้องนอนแขก อีกห้องกลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว

ผมดึงแว่นตาออกจากหน้า เหลือบมองไปที่ประตูเล็กน้อยเพราะได้ยินเสียงคนเดินผ่าน

นั่นคงเป็นไซม่อน ว่าแต่หมอนี่ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่นอนอีก

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ไซม่อนคงเดินลงไปถึงด้านล่างแล้ว

คิดแบบนั้นผมก็ผุดลุกออกจากเก้าอี้ นึกขึ้นได้ ผมยังไม่ได้เปิดแชมเปญให้เขาเลยนี่นา นี่ขนาดพูดมาหลายครั้งแล้วนะว่าจะเปิด ต้องมีเรื่องนั่นนี่ให้ลืมทุกที

ผมก้าวออกมาจากห้อง เดินมาถึงชั้นล่าง ไซม่อนยืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งตอนนี้แทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด สายฝนยังคงกระหน่ำอย่างรุนแรงภายนอกนั่น

ผมมองภาพสะท้อนจางๆ ของเขาที่อยู่บนบานกระจกหน้าต่าง เพราะเขาหันหลังให้แบบนี้ ผมเลยไม่เห็นตาของเขา และเงาสะท้อนของเขาก็จางเกินกว่าที่จะได้แววตาของเขาเช่นกัน

“ออสติน” เขาเอ่ยเรียกผมทั้งๆ ที่ยังไม่หันกลับมามองผม น้ำเสียงของเขาดูราบเรียบทำให้ผมเดาไม่ถูกว่าเขากำลังรู้สึกอะไร แต่เสียงทุ้มต่ำนั่นของเขาก็ทำให้ผมหยุดฝีเท้าลงในทันที ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้น “คุณลงมาทำอะไรเหรอครับ”

ลงมาทำอะไรงั้นเหรอ… ลงมาทำอะไรงั้นเหรอ? เขาถามคำถามนั้นกับผมซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเนี่ยนะ?

“อ่า โทษที ผมถามแปลกๆ ใช่ไหม” เจ้าตัวยกยิ้ม ผมเห็นจากเงาสะท้อนของเขา

“แล้วคุณล่ะ… ลงมาทำอะไร” ผมถามย้อน ไซม่อนหันหน้ากลับมามองผมอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ กระชากใจผมอย่างแรง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่

“ผมเหรอ ผมลงมาหาอะไรดื่มน่ะ รู้สึกคอแห้งขึ้นมา”

“คุณอยากได้แชมเปญไหมครับ ผมบอกว่าจะเปิดให้คุณมาหลายรอบแล้วก็ไม่ได้เปิดสักที เดี๋ยวคุณจะหาว่าผมขี้โม้ พูดไปเรื่อยแต่ไม่หมายความอย่างนั้นจริงๆ” พูดพลางเดินลิ่วๆ เข้าครัว ได้ยินเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายไล่ตามหลังมา

“ผมไม่พูดอะไรแบบนั้นหรอกน่า แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับ ออสติน”

ผมจัดแจงหยิบขวดแชมเปญกับแก้วไวน์ออกมาสองใบ แต่ผมดื่มแชมเปญนี่ไม่ได้หรอก เลยหยิบน้ำส้มกล่องจากในตู้เย็นติดมือมาด้วย รินของเหลวใส่แก้วสองใบ ยื่นแชมเปญให้เขา ยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาถือในมือ

เรายกแก้วของตัวเองขึ้นชนกันเบาๆ โรแมนติกจนแทบจะร้องไห้เลย ไซม่อนไม่ได้เปิดไฟในห้องนั่งเล่นนี่ด้วยซ้ำ เขาเปิดแค่โคมไฟตั้งโต๊ะอยู่ให้แสงสลัวๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ จากข้างนอกนั่นก็ช่างกระไร พูดเลย โรแมนติกกว่านี้มีอีกไหม

เขายกแชมเปญขึ้นจิบนิดหนึ่งก่อนจะหันมายิ้มให้ผม

“รสดีเชียวล่ะครับ” แล้วเจ้าตัวก็ส่งแก้วที่ว่ามาให้ ผมขยับแก้วไวน์ในมือนิดหนึ่งจากนั้นก็จ่อจมูกเข้าไปใกล้ กลิ่นแอลกอฮอล์ของมันช่างน่าโหยหาจริงๆ ไว้รอให้ผมได้รับคำอนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์ได้ก่อนเถอะ

ผมส่งแก้วนั้นคืนให้เขา “แค่ได้กลิ่นก็พอรู้แล้วล่ะครับว่ารสดี”

“ฮะๆๆๆๆ” ไซม่อนหัวเราะเบาๆ ผมเริ่มยกน้ำส้มของตัวเองดื่ม “ขอโทษด้วยนะครับ… ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยที่ตัวเองเป็นคนเดียวที่ได้ดื่มแชมเปญขวดอร่อยนี้ของคุณ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมดีใจนะที่คุณชอบ”

จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมพวกเราทั้งสองคน ผมปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเราเป็นอย่างนั้นครู่หนึ่ง และเมื่อน้ำส้มในแก้วผมหมดแล้ว ผมจึงเอ่ยปากถาม

“แล้วแดนล่ะครับ” ผมว่า มองก้นแก้วที่มีคราบสีส้มติดอยู่ “แกหลับสบายดีไหม”

“แกหลับสบายดีครับ ท่าทางแบบนั้นอะไรก็ปลุกไม่ตื่นหรอกจนกว่าจะถึงเช้า”

“คุณไปเยี่ยมแกบ่อยไหมครับ”

“ก็บ่อยเท่าที่ผมจะพอหาเวลาได้แหละครับ” เขาว่าพร้อมกับเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย ผมหันไปมองหน้าเขา

“คดีที่คุณกำลังทำอยู่น่ะ”

“ทำไมครับ”

“คุณจะจับตัวคนร้ายได้ไหม”

“ผมก็ทำเต็มที่นั่นแหละคุณ” เขาว่า แชมเปญในแก้วหมดแล้ว เขาหันมาทางผมเป็นเชิงถาม ผมเลยยกขวดแล้วรินใส่ให้เขาเลย ไซม่อนพูดขอบคุณเบาๆ “อืม… แต่ก็นะ คดีนี้น่ะมันผ่านมาสักพักแล้ว เหมือนมันเพิ่งถูกรื้อขึ้นมาทำใหม่ อะไรๆ ก็เลยยากสักหน่อย”

“อ่า”

“คุณเคยได้ยินไหมครับว่า” เขาว่า ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นเพราะฤทธิ์ของน้ำที่ดื่มเข้าไป “ช่วงเวลาที่ดีสุดในการไขคดีคือ 48 ชั่วโมงแรก ถ้าผ่าน 48 ชั่วโมงไปแล้วยังไขไม่ได้ โอกาสที่จะจับตัวคนร้ายได้ก็ลดลงฮวบฮาบอย่างน่าใจหายเชียวล่ะ”

“ผมเคยได้ยินมาบ้างครับ” ผมว่า ความที่ต้องทำงานกับพวกแผนกคดีฆาตกรรมก็เลยพอผ่านหูมา “แต่นี่เป็นคดีที่ถูกรื้อขึ้นมาอีกครั้ง?”

“อืม ใช่ครับ” เขาว่า “เด็กคนล่าสุดที่พบศพน่ะ… แกตายมาสองเดือนกว่าแล้ว”

“พระเจ้า…” ผมพึมพำ ถึงจะเคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม แต่ก็ไม่เคยทำใจกับมันได้สักที ยิ่งเหยื่อเป็นแค่เด็กด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่

“เราหยุดพูดเรื่องงานกันก่อนเถอะครับ” เขาว่า วางแก้วลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หันมามองหน้าผมตรงๆ ใจของผมเริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “ผมอยากบอกขอบคุณคุณ”

“ขอบคุณผมเหรอ” น้ำเสียงผมแปลกใจไม่น้อย “เรื่องอะไรล่ะครับ”

“ก็ที่คุณช่วยดูแลแดนวันนี้ไง” เขาว่า เขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมถดตัวไประยะเท่ากับที่เขาขยับมา แต่ไซม่อนก็ยังเคลื่อนหน้ามาอยู่อย่างนั้น มุมปากยกยิ้มเล็กๆ “คุณยอมจับมือแก ยอมสอนแกตกปลา ยอมสัมผัสตัวแก ยอมกอดแก”

“เรื่องแบบนั้นใครๆ เขาก็ทำได้ทั้งนั้นแหละคุณ” ผมอ้อมแอ้ม รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนข้างตัวเพิ่งจะสารภาพรักผมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แถม… แถมเรายังเพิ่งจูบกันอย่างลึกซึ้งเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ด้วย

ผมจิกเท้าลงบนพื้นด้วยความเกร็ง ลืมนึกไปเลยว่าสถานการณ์อาจจะกลายมาเป็นแบบนี้ อยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง… ชิบหายล่ะ นี่ผมเป็นเด็กป. 2 หรือไง ทำไมถึงลืมคิดเรื่องนี้ไปได้

ไซม่อนส่ายหน้า “ไม่ใช่ คุณไม่ใช่ใครๆ ก็ได้ เพราะว่าเป็นคุณต่างหาก มันถึงได้พิเศษ… มันถึงได้มีความหมาย”

ผมหน้าร้อนขึ้น หลบสายตาเขาวูบด้วยความอาย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ แบบนั้น

ผมกำแก้วในมือแน่นขึ้น รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากตัวเขาที่ค่อยๆ ขยับเข้ามา “คุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง เนื้อตัวเริ่มสั่น ไม่รู้ว่าผมกำลังกลัวหรือว่าตื่นเต้น อาจจะเป็นทั้งสองอย่างที่ผสมปนเปกัน ผมเองก็ไม่แน่ใจ

“ผม… รู้ครับ”

“แต่คุณก็ยังลงมาข้างล่างแบบนี้” เขาว่า แขนแกร่งโอบตัวผมเข้าไปแนบชิดกับตัวเขามากขึ้น ผมสะดุ้งแรงๆ หายใจถี่ขึ้นเพราะหัวใจที่สูบฉีดแรงกว่าปกติ

เดี๋ยว! เดี๋ยวนะ! แบบนี้มันจะดีเหรอ?

ผมไม่ได้กังวลหรือว่าถือเรื่องเซ็กส์อะไรขนาดนั้น ในอดีตที่ผ่านมาเคยนอนกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่อาทิตย์เดียวมาก่อนแล้วด้วยซ้ำ แต่ตัวผมในตอนนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้วไง โดยเฉพาะไอ้อาการประหลาดๆ ที่เวลาโดนใครแตะแล้วรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาแบบนี้ ขนาดตอนนี้ที่เขาแค่โอบไหล่ผม ผมยังเหงื่อตกแล้วเลย แล้วจะให้ทำมากกว่านั้น…

“หน้าซีดลงนะคุณ” น้ำเสียงล้อเลียน แม้แต่รอยยิ้มก็ยียวนพอกัน

ผมเงยหน้าขึ้นไปจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะต้องชะงักไปด้วยความตกใจ แววตาของเขาอ่อนโยนและจริงใจผิดกับรอยยิ้มน่าถีบของเขาจริงๆ

ชายหนุ่มเลื่อนหัวแม่โป้งลงมาปาดเหงื่อที่ไหลอยู่บนแก้มของผมออก ก้มหน้าลงมาทาบริมฝีปากบริเวณนั้นก่อนจะเป่าลมหายใจรดต้นคอ ผมสะดุ้งเฮือกสุดตัว

“ไซม่อน… คุณ…!”

“คุณลงมาหาผมถึงข้างล่างแบบนี้ น่าจะเตรียมใจมาแล้วนะว่าจะเจอกับอะไรบ้าง”

ก็นั่นไงล่ะปัญหา… ผมไม่ได้ตั้งใจมาเจอกับอะไรทั้งนั้นแหละ!

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2017 19:08:11 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 6) P.1 [21/05/2017]
«ตอบ #26 เมื่อ23-05-2017 19:03:57 »

“อื๊อ… อย่าครับ ไซม่อน ผมไม่--” ผมออกแรงดิ้นเบาๆ เมื่อใบหน้าคมเลื่อนต่ำลงซุกลงบนซอกคอผมอย่างออดอ้อน รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปดื้อๆ มือทั้งสองข้างที่พยายามผลักเขาออกสั่นเทาจนรู้สึกได้

ผมหลับตาลง ครางออกมาเสียงเบาเมื่อริมฝีปากร้อนขบลงบนบ่าผมเบาๆ ผ่านเนื้อผ้าเหมือนหยั่งเชิง ร่างของผมยิ่งสั่นหนัก กำลังจะเงยหน้าขึ้นไปด่าคนฉวยโอกาส อีกฝ่ายก็ก้มลงมาปิดปากผมด้วยปากตัวเองเสียก่อน

“อื้อ!” ผมร้องประท้วงด้วยความตกใจ ผลักบ่าของเขาออกทีหนึ่ง หากเมื่อมือหนาเลื่อนมาตะครุบมันไว้แน่นไม่ให้ผมขยับไปไหน ความวาบหวามก็เข้ามาแทนที่ความกลัว แรงปรารถนาทางกายที่ค่อยๆ พุ่งสูงขึ้นมา

ความรู้สึกสองอย่างที่ตรงข้ามกันกำลังผสมกันอยู่ในตัวผมตอนนี้ มันทำให้ผมเงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก เหมือนคนจะไปต่อก็ยังไม่กล้าพอ จะก้าวถอยหลังก็ยังเสียดายเพราะอุตส่าห์เดินมาถึงตรงนี้

“ให้ตายสิ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นหลังจากผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อขึ้น เจ้าตัวหอบหายใจออกมาเบาๆ ขณะพูด “คุณนี่มัน… ทำสายตาแบบนั้นแล้ว คิดว่าผมจะยอมปล่อยให้คุณกลับไปนอนง่ายๆ เหรอ”

“ไซม่อน ผม--- อุบ”

มือหนาผลักร่างผมให้นอนราบลงไปบนโซฟา กดจูบร้อนแรงลงมาอีกครั้งอย่างหื่นกระหาย

บ่าผมกระเพื่อมขึ้นลงเร็วขึ้นด้วยความกลัว นั่นทำให้คนด้านบนลดจังหวะจูบลงมาได้ ผมสังเกตเห็นสายตาที่เขามองใบหน้าผม หลุบต่ำลงมองเรือนร่างผม มันเต็มไปด้วยความห่วงใยและรักใคร่จนผมสัมผัสได้ มันทำให้ใจผมเต้นรัวขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่

เขามองผมด้วยสายตาแบบนั้นได้ยังไงกัน… ที่เขาบอกว่าชอบผมก่อนหน้านี้ เขาหมายความตามนั้นจริงๆ เหรอ?

มันไม่ใช่สายตาของคนที่ปรารถนาเพียงการสัมผัสทางกาย มันล้ำลึกกว่านั้น ราวกับว่ามันคือความรัก ความคิดนั้นทำให้ผมเป็นสุขและตื่นกลัวไปพร้อมๆ กัน

“ออสติน” เขาเรียกชื่อผม อารมณ์ที่พรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำเสียงนั่นทำให้ผมใจอ่อนยวบ มือหนาค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของผมออกอย่างเชื่องช้าราวกับไม่แน่ใจ เหมือนเขาพยายามจะหยุดตัวเอง… แต่ก็พยายามจะฝืนก้าวต่อไปข้างหน้าด้วย “ออสติน… ออสตินครับ ผมต้องการคุณ”

ให้ตายสิ นี่หมอนี่เป็นหนุ่มน้อยเพิ่งริรักหรือยังไง

“คุณอยากจะ… นอนกับผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมว่า จ้องมือที่สั่นเทาของเขา อดนึกขันขึ้นมาไม่ได้ ผมก็สั่น เขาก็สั่น เอาสิ จบงานนี้ไปแผ่นดินจะไหวกี่ริกเตอร์คงต้องหาเครื่องมือมาวัด “อย่างคุณไม่น่าอดอยากปากแห้งเรื่องอย่างว่านะ คุณก็หน้าตาดีออก”

ไซม่อนหัวเราะเสียงใสกับคำพูดตรงๆ นั่นทีเดียว แต่ก็ใช่ว่ามันจะถ่อมตัวนะ

“ผมก็เลือกเหมือนกันนะคุณ”

“บังเอิญจัง” ผมว่าหน้าตาย “ผมก็เหมือนกันเลย”

“แล้วคุณจะเลือกผมได้ไหม”

ผมจ้องตาเขา พยายามคว้านไปให้ถึงด้านใน ไซม่อนสบตาผมตอบราวกับยินยอมจะให้ผมทำแบบนั้นอย่างเต็มใจ แต่ให้ตายเถอะ… ผมไม่เห็นอะไรนอกจากความจริงใจและอ่อนโยนของเขาเลย

“คบกับผมนะ ออสติน”

ประโยคง่ายๆ สั้นๆ นั่นทำเอาผมใจกระตุกวูบ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งร้อนขึ้นไปอีก ยิ่งได้สบกับดวงตาคู่สวยของเขาตรงๆ

ไซม่อนคลี่ยิ้มหวานส่งมาให้ มันฉาบความไม่มั่นใจและกลัวการโดนปฏิเสธมาด้วยบางๆ ผมรู้ว่าเขาพยายามปกปิดส่วนนั้น แต่ผมก็ยังสังเกตเห็นมันอยู่ดี

การที่ได้รู้ว่าเขากลัวที่จะโดนผมปฏิเสธ มันทำให้หัวใจพองฟูขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

ชายหนุ่มโน้มหน้าลงมาจูบริมฝีปากของผมอีกครั้งราวกับขอกำลังใจ มันอ่อนนุ่มชวนให้ผมใจละลาย ผมจ้องหน้าเขา ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ

ผมพร้อมแล้วเหรอที่จะกระโดดลงไปในความสัมพันธ์รูปแบบนี้? เวลาที่ผ่านมาเยียวยาจิตใจผมได้เพียงพอแล้วเหรอ? แล้วถ้าผมตอบตกลงเขาไป แต่ทำตามความคาดหวังของเขาไม่ได้ มันจะไม่ยิ่งเป็นการทำร้ายจิตใจเขามากกว่าเดิมเหรอ?

“ทำหน้าแบบนั้น… คิดหนักเลยสิคุณ” เขาถามยิ้มๆ หากมันก็ยังปกปิดความไม่มั่นใจของตัวเองได้ไม่หมดอยู่ดี

“ก็ต้องคิดหนักสิ คุณเล่นมาขอผมคบในสถานการณ์แบบนี้”

“อ้าว” เจ้าตัวแกล้งตีหน้าเหลอหลาได้อย่างน่าถีบ “แล้วถ้าไม่ในสถานการณ์แบบนี้ มันต้องแบบไหนล่ะครับ”

“คุณขอตอนนี้ มันก็เหมือนแค่เพราะคุณอยากจะนอนกับผมเท่านั้น”

แววตาอ่อนโยนของเจ้าตัวประกายวูบขึ้นมาทันที ผมสะดุ้งนิดหนึ่ง และเมื่อมองลึกเข้าไปในนั้นรอบนี้ ผมเห็นแต่ความหนักแน่นมั่นคง ตรงไปตรงมาของเขา

“วันไนท์แสตนด์เหรอ? เห็นผมเป็นคนแบบนั้นเหรอครับ คุณหมอ”

“เอ่อ ไม่ ผมแค่บอกว่า--”

“คุณคิดว่าผมจะขอคนที่อยากนอนด้วยแค่คืนเดียวคบอย่างนั้นเหรอ? คุณคิดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ ออสติน”

ไม่… ไม่คิด แค่…

ไซม่อนจ้องหน้าผมเนิ่นนาน ปล่อยให้ผมอึกๆ อักๆ จนสมใจแล้วจึงเลื่อนหน้าลงมาจูบผมอีกรอบ ผมปล่อยให้เขาทำแบบนั้นโดยไม่ขัดขืน อาการกลัวสัมผัสค่อยๆ เลือนไป เหมือนเอาแต่คิดเรื่องอื่นจนลืมนึกถึงมากกว่า

มือหนาเลื่อนลงมาช้อนหลังผมขึ้นจากโซฟา ดึงร่างผมไปกอดแนบอก ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นรัว ไม่สิ หรือว่านั่นเป็นของผมกันนะ? ผมเองก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน

“คุณรังเกียจผมเหรอครับ” เสียงนั้นกระซิบลงมาเหมือนตัดพ้อ

“เปล่า… เปล่าครับ” ผมว่า ร่างกายที่สัมผัสกับตัวเขายังเกร็งอยู่เป็นบางส่วน แต่ไม่ได้ตื่นกลัวจนอยากจะวิ่งหนีอีกต่อไปแล้ว “ผม… ไม่ได้รังเกียจ”

“งั้น… เป็นผมได้ไหม ออสติน” ลมร้อนเป่าลงที่ข้างหูชวนให้วูบวาบ ผมหลับตาแน่น หูอื้อไปหมด ในอกจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ “ให้โอกาสผมได้ไหม ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณ”

ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับการโดนขอคบครั้งนี้ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองรักเขารึเปล่า… บางทีอาจจะนึกนิยมอยู่บ้างที่เขาคอยมาดูแล และถ้าให้เลือกระหว่างชอบกับเกลียด… ก็คงเลือกได้ว่าชอบ แต่ถ้าถามว่ามันเรียกว่าความรักไหม ผมเองก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกัน

หงึก

แต่ถึงจะคิดวุ่นวายอยู่ในหัว ผมก็พยักหน้าให้เขาไปแล้ว ก่อนจะพูดเสียงเบา

“ตกลงครับ”

เขาถลาเข้ามากอดผมแน่นขึ้น วางคางลงบนบ่าผมแล้วเริ่มซุกหน้าลงมา “ผมรักคุณ”

ผมกลืนน้ำลาย เกือบจะพูดกลับไปว่า ‘ผมเองก็รักคุณ’ อยู่แล้ว คำบอกรักของเขามันทำให้ผมเคลิ้มจริงๆ นะ

ไซม่อนทาบริมฝีปากลงมาบนปากผมอย่างร้อนแรงอีกครั้ง กลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ ลอยมาแตะจมูก อาการหวาดกลัวของผมค่อยๆ กลับมาอีกรอบเมื่อคนด้านบนออกแรงกดริมฝีปากลงมามากขึ้น สอดลิ้นเข้ามาในโพรงปากอย่างจาบจ้วง และเหมือนอีกฝ่ายจะจับสังเกตได้ เขาลดจังหวะของตัวเองลง ทาบริมฝีปากลงมาอย่างนุ่มนวล

ผมเอียงคอ เลื่อนแขนขึ้นโอบรอบคอเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่สัมผัสพวกนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

มือหนาผลักอกผมนอนราบลงไปกับโซฟาอีกรอบ ก้มลงมาจูบอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างถวิลหา ผมสงสัยว่าเขาต้องอดทนกับเรื่องนี้มานานเท่าไร… ต้องอดทนมามากแค่ไหนเพื่อรอช่วงเวลานี้

ไซม่อนช้อนร่างผมให้ลอยขึ้นมานิดหนึ่งจากนั้นก็กอดผมแน่นอย่างหวงแหน หน้าของผมเห่อร้อนไปหมด ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้อีก ไออุ่นจากร่างกายของใครอีกคนเป็นสัมผัสที่ผมห่างหายมาเนิ่นนานจนเกือบจะลืมไปแล้ว

ผมยอมรับนะว่าตัวเองยังกลัวอยู่ ตัวของผมสั่น ไหล่สะท้านขึ้นลงอย่างน่าสมเพช ลมหายใจเร็วและไม่คงที่ แต่ผมกลับต้องการมันมากพอๆ กับที่ผมกลัว

เขาก้มลงจูบที่แก้มผม จากนั้นก็กระซิบถามเสียงเบาด้วยน้ำเสียงยั่วยวน

“คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าเราไปทำกันที่ห้องของคุณ”

ผมขยับหน้าไปจูบปากเขาเร็วๆ ทีหนึ่ง มือเลื่อนไปสัมผัสเส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ของเขา มันนุ่มกว่าที่คิด

“ไม่ว่าหรอกครับ”

“งั้นก็เยี่ยมเลย”

เราลุกออกจากโซฟา ผมลูบหัวของตัวเองนิดหนึ่งอย่างเคอะเขิน หากอีกฝ่ายเลื่อนมือมาจับมือผมมั่น

ไซม่อนเดินนำผมขึ้นไปโดยที่ไม่ยอมปล่อยมือเลย หัวใจในอกข้างซ้ายของผมยังคงเต้นรัว อะดรีนาลีนในร่างกายสูบฉีดจนทำให้ปั่นป่วนไปหมด

ผมปล่อยให้เขาพาผมเข้าไปในห้องของตัวเอง เป็นความรู้สึกที่ตลกดี เขากุมมือของผมไว้แน่น ยกมันขึ้นไปจรดริมฝีปากลงบนหลังมือ ให้ตายเถอะ เขาคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายหรืออัศวินหรือยังไง ทำอะไรน่าอายเป็นบ้าเลย แต่ตัวผมเองที่ดันเขินไปกับการกระทำนั้นของเขาด้วยน่าจะบ้ามากกว่า

ไซม่อนเลื่อนมือมาถอดเสื้อผ้าของผมออก ผมทำตามเขา เลื่อนมือไปถอดเสื้อผ้าเขาบ้างอย่างกล้าๆ กลัวๆ เห็นไซม่อนยิ้มที่มุมปากกับท่าทีอ่อนหัดนั่นของผม ทำไงได้ล่ะ… ก็ผมยังไม่ชินกับการโดนตัวคนนี่นา

มือหนาดันให้ผมล้มลงไปนอนบนเตียงแผ่วเบาราวกับกลัวว่าผมจะเจ็บ ผมหลับตาแน่นปี๋ทันทีที่ร่างสูงเบียดลงมากอดผมแน่น เนื้อตัวของพวกเราทั้งคู่เปลือยเปล่า

ให้ตาย… สัมผัสแบบนี้… เหมือนผมกำลังละลายอยู่ในอ้อมกอดของเขาเลย

“ออสติน” เขาพึมพำเรียกชื่อผมขณะไล้มือลงบนแก้ม หน้าของเขาติดสีแดงจางๆ ผมมองเห็นเขาจากแสงไฟสลัวๆ ซึ่งมาจากโคมไฟบนหัวเตียง เขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์จริงๆ ผมสงสัยเหลือเกินว่ามีผู้หญิงกี่คนที่พยายามเข้าหาเขา และเขารับมือกับพวกหล่อนยังไง

“อึก…” ผมเกร็งตัวเมื่อคนที่ขึ้นคร่อมผมด้านบนไล้สันจมูกลงมาบนซอกคอ ความกลัวพุ่งขึ้นมาจับใจก่อนเป็นอย่างแรกจากนั้นก็ค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความเสียวซ่าน เขาเลื่อนหน้าเข้ามาจูบผมอีกรอบด้วยจังหวะที่เร็วและแรงขึ้น ผมป่ายมือไปเกาะบ่าเขาอย่างเงอะงะ ทำอะไรไม่ถูก อย่างกับคนที่ไม่เคยมีเซ็กส์มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

ไซม่อนคลอเคลียอยู่แถวๆ ซอกคอและใบหน้าของผมอย่างนั้นเนิ่นนาน เราแลกลิ้นกัน จูบตอบกันราวกับว่าร่างกายไม่เคยได้รับสัมผัสวาบหวามแบบนี้มานาน กับผมน่ะคงห่างหายมันมานานแน่ แต่สำหรับเขาแล้ว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

“ฮะ… แฮ่ก ไซ… อึก!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อคนด้านบนลากฝ่ามือสากไปตามผิวเนื้อเปลือยเปล่าแล้วเริ่มบดขยี้ลงบนยอดอก ผมใจหายวาบด้วยความกลัว สัมผัสของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงปรารถนา เขาก้มหน้าลงมาจูบผมอย่างอ่อนโยนราวกับจะปลอบ หากมือซุกซนข้างหนึ่งยังคงหยอกล้อกับแผ่นอกของผมไปมา มืออีกข้างช้อนตัวผมไว้จากด้านล่าง ยึดเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ผมดิ้นหนีไปไหน

ผมหลับตาแน่น ความรู้สึกภายในพลุ่งพล่านสลับกันระหว่างกลัวสุดขีดกับเป็นสุขอย่างล้นปรี่ เหมือนสองขั้วที่อยู่คนละด้านสลับกันไปมาจนทำให้ผมมึนงงไปหมด ร่างของผมสั่นอยู่ในอ้อมแขนเขา ไซม่อนจรดริมฝีปากลงมาอีกแล้ว ผมจูบตอบเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองสั่นแรงขึ้น น้ำใสๆ เริ่มเอ่อขึ้นมาบนหางตาทั้งสองข้าง มันมาจากความเสียวซ่านกับความหวาดหวั่นที่ผมมี ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรรุนแรงมากกว่า

“ออสติน” เสียงนั้นเรียกชื่อผมอย่างโหยหา สัมผัสอุ่นและชื้นจากลิ้นของเขาตวัดลงบนใบหู ผมกระตุกตัวด้วยความตกใจ ผิวกายของเขาที่แนบติดกับร่างผมชื้นไปด้วยเหงื่อ แผ่นอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อจนถึงหน้าท้องแนบอยู่กับร่างกายของผม ความร้อนจากเนื้อตัวของเขาทำให้ผมหอบหายใจถี่ขึ้นมาอีกครั้ง ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่ควรกลัว แต่มันห้ามความรู้สึกไม่ได้จริงๆ “ออสตินครับ”

มือสากไล้ลงบนต้นขาผม สะดุดอยู่ตรงบริเวณรอยแผลจางๆ ฝ่ามือเขาไล้วนไปมาอยู่บริเวณนั้นครู่หนึ่ง ผมหวังว่าเขาจะไม่รู้ว่ารอยแผลนั่นเกิดจากอะไร… หวังว่าเขาจะไม่ได้พยายามเพ่งมองในความมืดเพื่อพิจารณามัน แผลตรงนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าดูอะไรนักหรอก

“อะ… อ๊ะ” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหนาเลื่อนต่ำลงไปสัมผัสส่วนอ่อนไหวของผมอย่างเบามือ สัมผัสนั้นอ่อนโยนจนทำให้ผมอยากจะร้องไห้

ผมปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาข้างแก้ม ลืมตามองเขา ไซม่อนไล้สันจมูกลากลงตั้งแต่แผ่นอกของผมจนถึงหน้าท้อง เลื่อนหน้าไปโลมเลียอยู่แถวๆ ต้นขาของผม ทุกส่วนที่โดนเขาสัมผัสร้อนราวกับโดนไฟลวก

ผมตัวสั่น แม้แต่มือที่ยกมาปิดหน้าตัวเองยังสั่นจนผมยังนึกสังเวชตัวเอง ลมหายใจอุ่นเป่ารดที่ต้นขาของผมอย่างหยอกล้อ ผมได้ยินเขาเรียกชื่อผม มันผสมปนเปกับเสียงหวีดหวิวที่อยู่ในหัวของผม

“ออสติน” เขาว่า เสียงหอบหายใจที่ปนมาน้อยๆ กับคำพูดนั้นฟังดูเซ็กซี่เป็นบ้า เขากุมมือลงบนแกนกลางของผมแล้วเริ่มขยับขึ้นลง “ออสตินครับ ได้ยินผมไหม”

“ดะ… ได้ยิน” ผมขานรับอย่างมึนงง ในหัวมันตื้อไปหมด เหมือนจะเป็นลม

“ผิวคุณขาวจัง” เขาว่า นัยน์ตาสีฟ้าอมเทากวาดมองไปทั้งร่างของผมอย่างโลมเลีย ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว “ปกติเห็นแต่ผิวที่แขนกับขาคุณ… มันกลายเป็นสีนั้นเพราะคุณไปตกปลาบ่อยสินะ”

“ยะ… อย่ามอง” ผมพูดเสียงสั่น รู้ดีว่าผิวส่วนที่ไม่ได้โดนแดดของตัวเองขาวซีดขนาดไหน “อ๊ะ…. อึก! ไม่เอา…”

ผมเริ่มบิดตัวน้อยๆ เมื่อคนด้านบนเลื่อนหน้าลงมาครอบปากลงบนส่วนนั้นของผมแล้วเริ่มแทะโลมอย่างชำนาญ ผมเลื่อนมือไปจิกเส้นผมอ่อนนุ่มของเขา น้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้มมากขึ้น

ผมหลับตาแน่น รู้สึกถึงความกลัวที่ค่อยๆ เข้ามาเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง ทั้งร่างเกร็งกระตุกเมื่อนิ้วเรียวถูกสอดเข้ามาจากปากทางเข้าด้านหลัง ผมกรีดร้องรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ราวกับอากาศกำลังจะหมดลงอย่างไรอย่างนั้น

“อะ… อ๊ะ!!! ไม่เอา! ไม่เอาแล้ว ได้โปรด! หยุดเถอะ ไม่นะ!!”

นั่นเป็นตอนที่นิ้วที่สองถูกสอดเข้ามาในตัวผม ผมคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว รับรู้ได้เพียงแต่ความกลัวของตัวเอง นิ้วเรียวที่ขยับอยู่ในร่างผมหยุดลงแทบจะในทันที แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมถอนมันออกไป ผมอยากจะขยับตัวไปดึงมันออก แต่เหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปหมดแล้ว ทำอะไรไม่ได้นอกจากหายใจหอบถี่แบบนั้น

ผมกลัว… ไม่เอาแล้ว ทำไมต้องทำแบบนี้ ได้โปรด หยุดเถอะ พอเสียที

“ออสตินครับ” เสียงเรียกอย่างอ่อนโยนดังขึ้น แต่ผมไม่กล้าลืมตาขึ้นมอง ทำไมเขาไม่รีบๆ เอานิ้วออกไปจากตัวผมสักที ได้โปรด ผมกลัวแล้ว ผมไม่อยากทำแบบนี้ ผมทำอะไรผิด… “ออสตินครับ คนดี ลืมตาขึ้นมามองผมก่อน”

“ฮะ… ฮึก ไม่เอา ไม่เอาแล้ว ผมขอโทษ” ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำขณะที่พูดถ้อยคำพวกนั้นออกไป น้ำใสๆ ไหลอาบแก้ม “ได้โปรด ยกโทษให้ผมด้วย ไม่เอาแล้ว… ผมกลัว”

“ชู่ว” สัมผัสอ่อนโยนและบางเบาแตะลงบนแก้มของผม คนคนนั้นเลื่อนริมฝีปากลงมาจรดบนหน้าผาก จากนั้นก็แตะลงมาที่เปลือกตาผมอย่างแผ่วเบา “ได้โปรดเถอะครับ ออสติน ลืมตาขึ้นมาก่อนเถอะนะ ที่รักของผม ช่วยฟังคำขอของผมเถอะนะ”

ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างหวั่นเกรง นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่นั้นจ้องมองมาที่ผมอย่างอ่อนโยนและรักใคร่ นัยน์ตาสีเหมือนกับเหวลึกนั่น นัยน์ตาที่ทำให้ผมยอมปล่อยตัวเองให้ทิ้งตัวลงไป จมดิ่งเข้าไปในนั้น

ความกลัวที่เกาะกินหัวใจผมอยู่ค่อยๆ หายไป ไซม่อนเลื่อนหน้าลงมาจุมพิตริมฝีปากอีกรอบอย่างแผ่วเบา

“ไม่ต้องกลัวแล้ว ออสติน”

“อะ… อ่า” ผมคราง น้ำอุ่นๆ หยดลงข้างแก้มอีกรอบ เขากดสันจมูกลงตรงนั้น มันอ่อนโยน ชวนให้สบายใจ

“มองผมนะครับ คนดี มองตาผม นี่ผมเอง ไซม่อนไง ไม่ใช่คนที่คุณกลัว”

“ไซ… ม่อน” ผมเรียกชื่อเขาราวกับจะเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเอง เขากดริมฝีปากลงมาอีกรอบ ผมเริ่มจูบตอบเขาอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกวาบหวามกลับมาอีกครั้ง เขาเริ่มขยับนิ้วที่อยู่ในร่างของผมไปมาอีกรอบ ผมกระตุกตัวด้วยความตกใจ ร่างกายของผมยังสั่นอยู่ แต่ไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“ใช่แล้วครับ ออสติน” เขาพูด พรมจูบลงทั่วใบหน้าของผมอย่างหวงแหน ผมค่อยๆ เลื่อนมือขึ้นไปโอบบ่าเขา ไม่ละสายตาไปจากหน้าของเขาเลย “คนดีของผม เชื่อผมเถอะนะ ผมจะไม่ทำให้คุณเจ็บหรอก”

“อะ… อือ”

“ผมรักคุณ” เขาเอ่ยคำนั้นออกมาพร้อมกับจูบลงบนหน้าผากของผมอีกรอบ แขนผมสั่น… แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความรู้สึกที่เขาถ่ายทอดมาให้ผมรับรู้ต่างหาก

ไซม่อนประกบริมฝีปากลงมาอีกรอบ มันอ่อนหวาน ละมุนละไม ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ อยากให้เขาอยู่ตรงนี้กับผมไม่ไปไหน จูบของเขาแรงขึ้น นั่นทำให้ผมไหวตัวเล็กน้อยด้วยความตกใจ แต่ผมก็จูบตอบเขา เขาเริ่มสอดนิ้วที่สามเข้ามาในตัวผมแล้ว ผมครวญครางด้วยความเสียวซ่าน สะดุ้งตัวเมื่อเขาค่อยๆ ถอนมันออกไปทีละนิ้ว

ผมหลับตาลงอีกรอบ ได้ยินเสียงฉีกถุงยางจากคนตรงหน้า พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เห็นว่าเขาจัดการใส่มันให้ตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมหน้าร้อนวูบเมื่อคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ถึงมันจะมีความหวาดหวั่นปนมากับความตื่นเต้นนั้นด้วยก็เถอะ

“ไซม่อน…”

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเลื่อนหน้าขึ้นไปจูบริมฝีปากของเขา ได้ยินเสียงหอบหายใจแรงๆ ของตัวเองปนไปกับเสียงหอบหายใจของเขา ไซม่อนค่อยๆ ดันแกนกลางของตัวเองเข้ามาในร่างของผม ผมเกร็งตัวแน่น เท้าจิกลงบนผ้าปูที่นอน นิ้วจิกลงบนแผ่นหลังของเขาอย่างหวาดกลัว ผมรู้ดีว่ากำลังทำให้เขาเจ็บ แต่เขาไม่ว่าอะไรสักคำ

เขาดันร่างเข้ามา หัวใจในอกของผมเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหวาดหวั่น หากเมื่อได้สบตากับเขา… ราวกับสายตาคู่นั้นกำลังบอกผมว่า ทุกอย่างจะไม่เป็นไร นั่นแหละผมถึงยังคุมสติของตัวเองอยู่ได้

ผมเชื่อในตัวเขา… อย่างน้อยการที่ผมตัดสินใจนอนกับเขาแบบนี้ก็แปลว่าผมต้องเชื่อเขามากพอสมควร

อย่างน้อย… เวลาที่ได้อยู่กับเขา ผมก็รู้สึกสบายใจ

“อึก!” ผมอุทาน หลับตาลงพร้อมกับกอดเขาแน่นขึ้น ไซม่อนเลื่อนมือมาจับต้นขาผมให้เปิดกว้างออกเพื่อจัดท่า จากนั้นเขาจึงขยับสะโพกลงมาแล้วเลื่อนแขนมากอดผมไว้อย่างหวงแหน ผมกอดตอบ พยายามบังคับขาของตัวเองให้เปิดอ้าอยู่อย่างนั้นเพื่อให้เขากระแทกตัวลงมาโดยง่าย

“อือ…”

ผมได้ยินเสียงครางออกมาจากริมฝีปากนั้นของเขา ผมลืมตาขึ้นมอง เหงื่อเม็ดหนึ่งหยดลงจากปลายคางของเขา มันตกกระทบลงบนตัวผม ผมเองก็ร้อนไปหมดทุกส่วนเหมือนกัน ผมเลื่อนมือขึ้นลูบใบหน้าคมสันของเขาอย่างแผ่วเบา ร้องครางออกมาอีกระลอกเมื่อคนด้านบนขยับเอวด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น

อึก… กลัวจัง น่ากลัวชะมัด ใครก็ได้ เอาผมไปจากตรงนี้...

“ซะ… ไซม่อน” ผมเรียกชื่อเขาราวกับจะขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มลดจังหวะลงทันที ก้มหน้าลงมาจูบปากผมอย่างปลอบโยน หัวใจที่เต้นรัวด้วยความกลัวค่อยๆ สงบลง และเมื่อมันเลือนหายไป ผมก็ค่อยๆ ตวัดลิ้นไปเกี่ยวรับกับลิ้นร้อนของเขา จูบตอบเขาด้วยความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้น

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีเซ็กส์ และผมก็เคยทำได้ดีกว่านี้ หวังว่านั่นคงไม่ทำให้เขาผิดหวังมากจนเกินไป

“อึก…!” ร่างกายกระตุกเป็นครั้งสุดท้ายและน้ำสีขาวขุ่นทะลักออกมาจากตัว ผมปล่อยให้ตัวเองหอบหายใจจนตัวโยน เกี่ยวแขนขึ้นไปดึงร่างสูงลงมา

“ผมรักคุณ ไซม่อน” ผมกระซิบข้างหูเขาอย่างรู้ดีว่าเขากำลังรอคำนั้น

ไซม่อนผละตัวออกไปอย่างเชื่องช้า ไม่ละสายตาออกจากผม ผมมองตาเขาตอบก่อนจะส่งยิ้มให้ ขยับขึ้นไปหอมแก้มเขาเบาๆ เขาให้รางวัลด้วยการหอมแก้มผมตอบ จากนั้นก็ผลักผมให้ลงไปนอนบนหมอนแล้วพรมจูบลงทั่วหน้า

ผมหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะแบบที่ผมไม่ได้ทำมานานแล้ว เขาส่งยิ้มมาให้ นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขาสวยจริงๆ ผมแทบไม่อยากให้เขามองอย่างอื่นนอกจากผมเลย

“คุณน่ารักเกินไปแล้ว ออสติน ให้ตายเถอะ” เจ้าตัวว่าเหมือนคราง ซุกหน้าลงมาบนบ่าผมอีกรอบ

“น่ารักเหรอ? คุณต่างหากล่ะ… ที่น่ารัก” ผมว่า เลื่อนมือไปเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ของเขาเล่น หลุดหัวเราะออกมาอีกรอบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพวกเราเป็นผู้ชายสองคนที่ต่างฝ่ายต่างบอกว่าอีกฝ่ายน่ารัก… ติงต๊องชะมัด ถ้าใครมาได้ยินเข้าคงต้องหัวเราะก๊ากแน่ๆ

“ขำอะไรน่ะคุณ?” เขาเลิกคิ้วถาม รอยยิ้มบนมุมปากยียวนไม่น้อย ผมดันร่างตัวเองขึ้นกอดเขาแน่นก่อนจะว่า

“คุณจำได้ไหม ไซม่อน เรื่องเกาะที่อยู่ห่างจากที่นี่… ที่ที่แม่ของผมเรียกมันว่าเป็นสถานที่ศักสิทธิ์น่ะ สถานที่ที่อยู่แล้วชวนให้สบายใจ รู้สึกปลอดภัย… แล้วก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้”

“จำได้ครับ”

“คุณรู้ไหม… ผมน่ะไม่จำเป็นต้องไปถึงที่เกาะนั่นหรอก” ผมหัวเราะออกมาอีกรอบ ทาบจูบลงบนริมฝีปากเขาอย่างหวงแหน “แค่ได้อยู่กับคุณก็พอ… ไซม่อน คุณคือสถานที่ศักสิทธิ์ของผม คือที่พักพิงของผม”

เขาตอบผมด้วยการทาบจูบอ่อนโยนลงมาอีกครั้ง มือเลื่อนลงมาประกบติดกับฝ่ามือของผม

ให้ตายสิ ผมห่างหายกับสัมผัสอ่อนหวานชวนให้ลุ่มหลงแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ?





-------------------------------------------------
Talk: พอดีเรารีไรท์บทที่ 7 น่ะค่ะ เลยเอามาลงอีกรอบ ใครอ่านแล้วอ่านซ้ำก็ได้น้าาา อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-10-2017 19:45:57 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 4) P.1 [16/05/2017]
«ตอบ #27 เมื่อ23-05-2017 21:41:02 »

ด้วยอิทธิพลจากเม้นท์บน พออ่านเจอว่าผมใช้กำลังกับเขา... แอบคิดลึกเลยอ่ะ (หัวเราะ)

ใช่มะ ยิ่งอ่านตอนนี้ยิ่งรู้สึก เขาใช้กำลังกันก่อนหน้า แปลว่า ไซม่อนกับแบรดนี่ ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ เลย
จิงจัง ไซม่อน ทำไม นายหาเรื่องเข้าใกล้ออสติน สรุปคือตั้งใจมาทวงหัวใจพี่ชายตัวเองให้กลับมาเป็นของตัวเองแบบนี้มะ ???

เป๊ะเลย คิดเหมือน
ไซม่อน จริงจังมากกับการเข้าหาออสตินมากกกกก
แล้วออสติน ก็เปิดใจกับไซม่อน เอาชนะความกลัว การสัมผัส
แล้วทุกอย่างก็ไปได้สวย เหมือนธรรมชาติเป็นใจ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ไซม่อน อ่อนโยน ใจเย็น เอ่อ....ที่ควรใจร้อน ก็ร้อน  สุดยอดดดด  :m25: :pighaun: :haun4:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2017 22:18:30 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 7) P.1 [23/05/2017]
«ตอบ #28 เมื่อ23-05-2017 22:42:36 »

เหมือนจะก้าวหน้าไปอีกขั้น

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 7) P.1 [23/05/2017]
«ตอบ #29 เมื่อ24-05-2017 06:35:43 »

ไซม่อนรุกเร็วมาก...

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด