Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]  (อ่าน 77443 ครั้ง)

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำไมรู้สึกว่าตอนนี้สั้น ฮา

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
มีเรื่องให้ลุ้นตลอด แอบกลัวใจออสตินจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า แต่ก็รู้ว่าออสตินคงคิดเยอะอยู่แล้ว อยากรู้ความสัมพันธ์ของออสตินกับไซม่อน และอยากรู้ตอนต่อไป สุ้ๆนะคะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
น่ากลัว น่ากลัว ตอนนี้น่ากลัวมากก คริสน่าขยะแขยงมาก

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 23



ไซม่อนเม้มริมฝีปากแน่นขณะหยิบแฟ้มเอกสารที่อยู่ในกล่องรวมกับแฟ้มคดีอีกมากมาย กล่องนี้เป็นคดีที่ปิดแล้ว เขาพลิกเปิดมันขึ้นมาก่อนจะมองกล่องแผ่นซีดีที่อยู่ด้านใน เขาหยิบออกมาแต่ตัวแผ่น ก้าวเท้ากลับไปที่ห้องนั่งเล่น ออสตินจัดแจงเปิดทีวีและเครื่องเล่นให้แล้วเรียบร้อย

ร่างสูงเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น รู้สึกถึงมือที่ชื้นเหงื่อ นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาตวัดกลับไปมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ เขาสังเกตเห็นว่าออสตินเองก็ดูอึดอัดกับสถานการณ์ตอนนี้เช่นกัน แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวของเขาเองที่ทำให้เรื่องทั้งหมดวุ่นวายแบบนี้

“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เล่นเกมกับผมแล้ว” คนผมเทาว่า ไซม่อนเบือนหน้ากลับไปมองเขา “ไม่เอาซีดีที่ไหนรู้มาเปิดให้ผมดู ไม่หลอกผมด้วยวิธีโง่ๆ แบบนั้น”

“ท่าทีของผมมันเหมือนคนกำลังเล่นเกมกับคุณเหรอ ออสติน” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่ภายในใจรู้สึกอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก “แต่ผมขอเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน เขาคือผู้ชายที่ลากคุณไปขังไว้ในบ้านร้างสองอาทิตย์ ขืนใจคุณไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คุณหวังจะได้เห็นอะไรในวิดีโอที่เขาทิ้งไว้ให้ล่ะ”

“ไม่รู้สิ วิดีโอตอนที่เขาขืนใจผมเหรอ?” น้ำเสียงนั้นแฝงแววท้าทาย แต่ดูตื่นกลัวด้วยเช่นกัน

ไซม่อนไม่ตอบ เขาหลบตาออสตินไปอีกทาง

“จะอะไรก็ได้แล้วครับตอนนี้ รีบๆ เปิดได้แล้ว”

ชายหนุ่มทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างว่าง่าย เขาแทบไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำขณะที่ใส่แผ่นลงเครื่องและภาพบนหน้าจอเริ่มปรากฎ

ตาของไซม่อนมองตามวิดีโอในนั้น แต่ในหัวของเขาตอนนี้ไม่ได้โฟกัสอยู่ที่หน้าจอนั่นเลยแม้แต่น้อย

เขายังจำได้ดี วันที่พี่ชายของเขาถูกยิง

“ไซม่อน ทะ… ทำยังไงดี มีตำรวจ… ทะ… โทรมาบอกว่า แบรดตายแล้ว”

นั่นเป็นสายจากแองเจลีน พี่สะใภ้ของเขา ครั้งแรกที่ได้ยินถ้อยคำบอกเล่านั้นผ่านทางสายโทรศัพท์ ชายหนุ่มยังแทบไม่อยากเชื่อหูเลยว่าตัวเองได้ยินถูกต้องชัดเจน

เขาผละออกจากแฟ้มคดีตรงหน้าทั้งหมดของตัวเอง วิ่งออกจากที่ทำงานแล้วตรงดิ่งไปที่รถ ขับมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่หญิงสาวปลายสายบอก ศพของพี่ชายเขาถูกเคลื่อนย้ายไปที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้วตอนเขาไปถึง จำได้ว่าแองเจลีนพุ่งเข้ามากอดเขาพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร หล่อนปล่อยแดนที่เข้านอนไปเรียบร้อยแล้วอยู่ที่บ้าน

เขาขอดูศพของแบรดในฐานะน้องชาย ไม่ใช่ในฐานะเจ้าหน้าที่เอฟบีไออย่างที่ผ่านมา เขาไม่จำเป็นต้องยกตราให้ใครดู เขาพิจารณาร่างที่ไร้ลมหายใจนั้นด้วยความรู้สึกคับแค้นในอก

รอยกระสุนสองนัดที่แผ่นอก กับเงินไม่กี่ดอลลาห์ที่คนร้ายขโมยไป… เงินแค่นั้น กับชีวิตของพี่ชายเขาเนี่ยนะ

“ไม่ต้องห่วงนะ แองจี้” เขาให้สัญญากับหญิงสาวที่ยกมือปิดหน้า คู้ตัวลงอย่างน่าสงสาร “ผมจะหาตัวคนที่ทำแบบนี้กับแบรดมาแน่ๆ ผมสัญญา”

ไซม่อนทำตามที่เขาพูดไว้จริงๆ เริ่มต้นด้วยการเข้าไปคุยกับตำรวจท้องที่ที่รับผิดชอบคดีของพี่ชายเขา โชคดีที่คนที่รับผิดชอบคดีนี้เป็นคนที่เขารู้จัก

“สวัสดีครับ ลูซี่” เขาว่าหลังจากที่เดินมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานของอดีตเพื่อนร่วมงาน พวกเขาเคยทำคดีด้วยกันมาก่อน อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองเขาก่อนจะส่งยิ้มให้ ผายมือไปที่เก้าอี้

“นั่งก่อนสิคะ ไซม่อน ไม่ได้เจอกันนานเลย วันนี้ทางเอฟบีไอมีอะไรให้รับใช้คะ”

“เอ่อ ก็… ไม่เชิงครับ ผมไม่ได้มาในฐานะของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอเสียทีเดียวหรอก”

คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวเลิกคิ้ว แต่มันดูเสแสร้งสำหรับไซม่อน เขามีความรู้สึกว่าเจ้าหล่อนรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเขาจะโผล่หน้ามา

“ผมมาพบคุณด้วยเรื่องคดีของแบรด แมคแนร์”

“ผู้ชายที่ถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าตู้เอทีเอ็มสินะคะ เขาเป็นญาติคุณเหรอ”

“พี่ชายครับ”

หล่อนพยักหน้ารับ จ้องตาคู่สนทนานิ่ง

“ผมอยากร่วมมือกับคุณสืบคดีนี้ ลูซ” เขาว่า หญิงสาวทำหน้าราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าไซม่อนจะพูดแบบนี้

เพรซตอนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะเริ่มวางท่าเป็นการเป็นงานขึ้นมามากขึ้น ท่าทีแบบนั้นทำให้ไซม่อนเริ่มมองเห็นคำตอบที่จะได้จากอีกฝ่ายลางๆ

“คือ… ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจความรู้สึกของคุณนะคะ ไซม่อน”

“อะไร” ชายหนุ่มห้ามอารมณ์ผิดหวังของตัวเองไม่อยู่ เขายอมรับว่าหวังพึ่งความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันระหว่างตัวเองกับเพรซตอน นึกกับตัวเองไปว่าอีกฝ่ายคงเห็นแก่ที่ทำงานด้วยกันมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เตรียมใจมาฟังคำบอกปัด “นี่คุณกำลังจะปฏิเสธผมเหรอครับ รวดเร็วแบบนี้เลยเหรอ”

“ไซม่อนคะ” เพรซตอนว่าอย่างใจเย็น “คดีนี้เป็นคดีที่ตำร้องท้องถิ่นได้รับมอบหมายให้ทำ และเราไม่ได้ติดต่อทางเอฟบีไอเพื่อขอให้ช่วย สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ถือเป็นการก้าวก่ายงานนะคะ”

ชายหนุ่มมองหน้าคู่สนทนาเหมือนไม่อยากเชื่อ เขาเคยทำงานร่วมกับเพรซตอนมา รู้ว่าหญิงสาวไม่ใช่คนที่ทระนงตัวสูงขนาดที่กลัวว่าหน่วยงานอื่นจะเข้ามาแทรกแซงงานและได้หน้าไปแทนที่ตน หล่อนอุทิศตัวให้กับงานอย่างจริงจัง หวังที่จะจับคนร้ายและช่วยให้บ้านเมืองสงบมากกว่าจะทำเพราะอยากเอาหน้า แล้วไซม่อนก็พอจะเดาอะไรได้

“คุณโดนสั่งห้ามจากเบื้องบนมาก่อนแล้วใช่ไหม”

หญิงสาวยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งของตัวเองได้ แต่ชายหนุ่มคิดว่าเขาเดาไม่ผิด

“คุณเป็นญาติของผู้ตาย ไซม่อน” น้ำเสียงของหล่อนแฝงร่องรอยความเห็นใจมาด้วย “คุณก็รู้ว่างานของเราไม่ควรมีอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยว”

“แต่เขาเป็นพี่ชายผม” ชายหนุ่มพูดออกไปอย่างเผลอตัวและรู้สึกว่าตัวเองพลาด เพราะสายตาของหญิงสาวตรงหน้ามองมาราวกับจะตอกย้ำเรื่องที่ตัวเองเพิ่งพูดออกไป ไซม่อนกำมือแน่นขึ้น พยายามอีกครั้ง “ลูซี่ ฟังนะ ผมจำเป็นต้องจับตัวคนที่ฆ่าแบรดให้ได้จริงๆ พี่สะใภ้ผมต้องเลี้ยงลูกคนเดียวตอนนี้ คุณคิดว่าผมรู้สึกยังไงที่ต้องเห็นครอบครัวพี่ชายตัวเองเป็นแบบนี้”

“มันเป็นเรื่องน่าเศร้าค่ะ ฉันเข้าใจดี” หล่อนว่า หากน้ำเสียงหนักแน่นขณะพูด “แต่นี่เป็นงานของทางฉัน เป็นคดีปล้นชิงทรัพย์ที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องให้เอฟบีไอเข้ามาเกี่ยว เอาแบบนี้แล้วกันค่ะ ถ้าทางเราเจออะไรที่มีน้ำหนักมากพอที่จะขอความร่วมมือจากเอฟบีไอได้ ฉันจะแจ้งให้คุณทราบเรื่องนี้เป็นคนแรกเลย ดีรึเปล่าคะ”

ไซม่อนมีสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน เขาขอตัวจากหญิงสาวตรงหน้าแล้วลุกออกจากเก้าอี้ เพรซตอนพูดกับเขาก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวออกจากที่ทำงานของหล่อนไป

“คุณเป็นเหยื่อนะคะ ไซม่อน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ในคดีนี้”

คนผมน้ำตาลบลอนด์ไม่พูดอะไรตอบ เขาก้าวเท้าออกจากที่นั่นอย่างเงียบงัน




ไซม่อนตัดสินใจว่าเขาไม่อาจอยู่เฉยๆ แล้วรอให้อีกฝ่ายตามจับตัวคนร้ายที่ฆ่าพี่ชายเขาได้

ชายหนุ่มลงมือสืบหาเบาะแสไปเรื่อยๆ ตามขั้นตอนอย่างที่เขาทำคดีแบบที่ผ่านๆ มา และแน่นอนว่าทุกอย่างเป็นความลับ เขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ ไม่หยิบตราของเอฟบีไอขึ้นมาใช้หากไม่จำเป็นจริงๆ

ไซม่อนมองหาคดีที่คล้ายกันซึ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ จำกัดเขตพื้นที่ สอบถามคนท้องถิ่นและสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์

คดีที่ใกล้เคียงกันซึ่งเป็นการชิงทรัพย์ในช่วงระยะเวลานั้นมีอีกสองคดี คดีของซาร่า คาร์ลกับเจมส์ คามิลตัล ชายหนุ่มกางแผนที่รัฐพร้อมกับเริ่มวงจุดเกิดเหตุเพื่อพิจารณาเชิงภูมิศาสตร์ คดีของซาร่า คาร์ลนั้นเป็นคดีการปล้นที่เกิดในร้านขายของชำ ส่วนของเจมส์นั้นเป็นการจี้ชิงทรัพย์ตอนที่ชายหนุ่มเดินกลับบ้านในตรอกร้างผู้คน ทุกคดีล้วนเกิดขึ้นตอนกลางคืนและเป็นสถานที่ที่แทบไม่มีผู้คน ทำให้การหาพยายากมากขึ้น

“แองจี้ครับ” ไซม่อนเอ่ยถามหลังจากที่เอนหลังลงพิงกับพนักโซฟา รอให้อีกฝ่ายจัดแจงชงชามาให้ตามที่เจ้าหล่อนออกตัว ในมือของเขามีสมุดโน้ตที่มีข้อมูลต่างๆ ที่เขาสืบหามาด้วยตัวเอง “คุณได้ของของแบรดคืนมาหมดแล้วใช่ไหมครับ ของมีค่าของเขามีอะไรหายไปบ้างรึเปล่า”

“อืม ของที่หายไปเหรอ ขอฉันนึกก่อนนะคะ” หญิงสาวว่าขณะประคองถาดที่มีกาน้ำชาและถ้วยเปล่าอีกสองใบวางลงบนโต๊ะ สีหน้าของหล่อนยังดูอิดโรยและอ่อนล้า ความเสียใจและความกดดันที่เสียสามีไปคงเป็นสาเหตุของอาการพวกนั้น “นอกจากเงินแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ… ฉันคิดว่านะคะ”

“จริงเหรอครับ” เขาเคาะลงหน้ากระดาษที่เขียนข้อมูลเรื่องสิ่งของที่หายไปจากตัวผู้ตายที่เขาไปสืบมา “คุณแน่ใจเรื่องนั้นจริงๆ เหรอ? อะไรก็ได้ครับที่คุณพอจะนึกออก แหวน นาฬิกา สร้อย อะไรที่มีความสำคัญกับเขา ไม่จำเป็นต้องมีราคานักก็ได้”

“อันที่จริง…” หญิงสาวพึมพำ “ก็… รูปถ่ายค่ะ”

“รูปถ่ายเหรอครับ?”

“ค่ะ เป็นรูปครอบครัวของพวกเรา เขามักจะพกไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอด แต่ตอนที่ฉันเปิดดูมันหายไปแล้ว บางทีอาจจะไปตกหล่นที่ไหนก็ได้”

ไซม่อนไม่คิดแบบนั้น เขารีบจดข้อมูลที่เพิ่งได้มาลงในสมุดทันที “ขอบคุณครับ แองจี้”

แองเจลีนนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว รินชาใส่ถ้วยก่อนจะมองน้องสามีอย่างฉงน “ทำไมเหรอคะ ไซม่อน คุณคิดว่าเรื่องนี้สำคัญเหรอคะ? มันก็แค่รูปถ่ายเก่าๆ ใบเดียว”

“แต่มันมีความหมายกับแบรด”

“ก็… ค่ะ” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง “แล้วยังไงคะ”

“ก็มีความเป็นไปได้หลายอย่างครับ แต่ที่แน่ๆ อย่างน้อยก็ตัดเรื่องที่ว่าคนร้ายสุ่มเลือกเหยื่อออกไปได้หนึ่ง แล้วก็… เป้าหมายของมันไม่ใช่เรื่องเงิน”

“แล้วะเป็นอะไรไปได้คะ แบรดไม่เคยมีศัตรูที่ไหน แล้วเขาก็ไม่เคยทำอะไรอันตรายสักหน่อย”

“ผมยังต้องตามสืบต่อครับ” เขาตัดบทไว้เพียงเท่านั้น

.
.
.
.
.
(50%)





---------------------------------------------
Talk: ครึ่งบทมาแล้วค่าาา~ กระดึ๊บๆ มามากกับเรื่องหมอ 55555 อีกครึ่งบทจะรีบมานะคะ XD

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]



ไซม่อนขับรถไปยังย่านชานเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าไปในร้านที่เขาแวะเวียนไปบ้างบางคราว ทันทีที่ดับเครื่องยนตร์ ชายหนุ่มก็ทิ้งน้ำหนักตัวแรงๆ ลงกับเบาะ รู้ดีว่าเขาควรจะโฟกัสกับการสืบสวนของตัวเองมากกว่านี้ เพราะสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้คือทำงานหลักที่ทางเอฟบีไอป้อนมาให้ พร้อมๆ กับพยายามสืบเรื่องของคนที่ฆ่าแบรดด้วยตัวเอง การทำสองอย่างนี้รวมกันเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลา และเขาไม่ควรมามัวหาความสุขด้วยการมาที่บาร์ในเวลาแบบนี้

เคาะนิ้วลงกับพวงมาลัยสองสามทีก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมา บอกกับตัวเองสั้นๆ ว่าช่างเถอะ เขาต้องการการพักผ่อนบ้าง ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารู้สึกเหมือนเชือกตึงจนใกล้จะขาดเต็มทน ถ้าเขายังฝืนตัวเองต่อไปอาจจะกลายเป็นบ้าได้

ขาเรียวก้าวเข้ามาในร้าน เสียงพูดคุยจากลูกค้าแต่ละโต๊ะผสมปนเปไปกับเสียงดนตรีที่เปิดคลอ เสียงหัวเราะจากโต๊ะใหญ่ที่มีแขกกว่าสิบกว่าคนดูเหมือนจะดังหนวกหูที่สุด ไซม่อนทรุดตัวนั่งลงหน้าเคาน์เตอร์ สั่งเบียร์กับกับแกล้มเบาๆ อย่างคุ้นเคยกับเมนูของร้าน กวาดตาสำรวจไปรอบๆ อันเป็นนิสัยที่เขาติดมาตั้งแต่เริ่มเป็นตำรวจ

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทามองคู่รักคู่หนึ่งที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มที่มุมหนึ่งของร้าน ทั้งสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติในบาร์เกย์อยู่แล้ว แก้วเบียร์ขนาดใหญ่ถูกวางลงตรงหน้า เขายกมันขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ควักโทรศัพท์ขึ้นมาไถหน้าจอเรื่อยเปื่อย แก้วน้ำใบหนึ่งวางลงตรงหน้า มีผลไม้สีแดงลูกเล็กๆ ถูกเฉือนแล้วประดับอยู่ที่ขอบแก้ว เขาเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วให้บาร์เทนเดอร์เป็นเชิงถาม อีกฝ่ายผายมือไปอีกทาง

“สุภาพบุรุษท่านนั้นเป็นคนฝากมาให้ครับ”

เขาหันไปมองตาม อีกฝ่ายเป็นชายผมบลอนด์ทองแต่งกายสุภาพ น่าจะอายุน้อยกว่าสักสองถึงสามปี รูปร่างค่อนข้างบางและคงเตี้ยกว่าเขาไปพอสมควร เจ้าตัวส่งยิ้มบางๆ มาให้พร้อมกับโค้งศีรษะให้นิดหนึ่ง ไซม่อนเอ่ยปากขอบคุณแล้วโค้งให้เจ้าตัวกลับ ยกแก้วขึ้นจรดปาก กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนแตะจมูกทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนจีบที่นี่ และมุกแบบนี้ก็คลาสสิกดี

บางทีเขาอาจจะยอมตามเกมของอีกฝ่ายสักหน่อย เปิดโอกาสให้ตัวเองบ้าง เขาเองก็ไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนมานานแล้วเพราะเอาแต่ยุ่งเรื่องงาน บางทีคราวนี้อาจจะเป็นโอกาสดี

“รบกวนช่วยเอาแบบเดียวกันนี่ให้เขาด้วยได้ไหมครับ” เขาหันไปพูดกับบาร์เทนเดอร์ อีกฝ่ายพยักหน้า

“รับทราบครับ”

กับแกล้มของเขาถูกเสิร์ฟลงตรงหน้าพอดี ไซม่อนใช้ส้อมจิ้มไก่ทอดในจานเข้าปาก หันมองไปตามทิศทางของชายผมบลอนด์คนนั้น หากยังไม่ทันได้มองหน้าอีกฝ่าย สายตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นใครอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะสำหรับสองคน

คนที่ทำให้ไซม่อนสะดุดตาคือชายผู้เป็นเจ้าของเรือนผมที่เทา ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั่นทำให้ชายหนุ่มใจเต้นสะดุดไปอย่างรวดเร็ว เขารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใครแม้เพียงได้เห็นแค่ใบหน้าด้านข้าง

ออสติน การ์ดเนอร์

เขาเป็นหมอที่เคยทำแผลให้เขาช่วงที่ไซม่อนเพิ่งเข้าบรรจุใหม่ๆ ยังไม่ได้เป็นเอฟบีไอ แล้วก็เป็นแผลที่โดนยิงเป็นครั้งแรก อาการไม่ได้สาหัสอะไร แต่เขากลับฝังใจกับชายหนุ่มคนที่ทำแผลครั้งนั้นให้เขาเหลือเกิน

เขาลอบมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับออสตินแล้วรู้สึกเหมือนความหวังเล็กๆ ที่ประกายขึ้นมาในใจดับวูบลง เห็นท่าทีที่สนิทสนมกันของทั้งสองคนแล้วไซม่อนก็พอจะดูออกว่าทั้งคู่คงไม่ใช่เพื่อนธรรมดา ยิ่งมาอยู่ในสถานที่แบบนี้… ถ้าไม่ใช่แฟนก็คงเป็นคู่ขากัน

ชายหนุ่มจิ้มของที่อยู่ในจานเข้าปากอีกชิ้นหนึ่งอย่างเหม่อลอย ยกแก้วเบียร์ที่พร่องลงไม่ถึงครึ่งตาม รู้สึกได้เลยว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้า เหล้าที่เขากินไปแก้วเมื่อกี้แรงไม่น้อย และตอนนี้เขาก็ยังเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างกายต่ออีก

ใครคนหนึ่งทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ไซม่อนชะงักไปนิด ชายผมบลอนด์ที่ส่งเหล้าให้เขาเมื่อครู่นั่นเอง ในมือของอีกฝ่ายมีแก้วเหล้าอีกใบที่เขาสั่งให้ไปเมื่อครู่ รอยยิ้มออกหวานบนมุมปากอีกฝ่ายดูน่ามองไม่น้อยทีเดียว

“สวัสดีครับ” อีกฝ่ายว่า ขยับขึ้นไขว่ห้างอย่างมีชั้นเชิง อากัปกริยาทั้งหมดดูดีไม่น้อยทีเดียว “ขอบคุณสำหรับแก้วนี้นะครับ ผมเมสัน ริออส”

“ไซม่อน แมคแนร์ครับ”

ริออสพยักหน้าเนิบๆ ขณะยกแก้วขึ้นจิบ “คุณมาที่นี่บ่อยเหรอครับ คุณแมคแนร์”

“ก็เป็นครั้งคราวครับ ผมมีอีกร้านสองร้านที่ไปประจำเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบแล้วก็คงมาที่นี่บ่อยสุดมั้ง”

“อย่างนี้นี่เอง” เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงัก ไซม่อนรู้ดีว่าเป็นการเสียมารยาทกับคนข้างตัว แต่เขาก็เผลอลอบมองชาหนุ่มผมทองที่นั่งอยู่บนโต๊ะด้านหลังถัดจากริออสไปอยู่ดี “แล้ว… คุณทำงานอะไรเหรอครับ ผมถามได้รึเปล่า”

ไซม่อนนิ่งคิดนิดหนึ่ง คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเท่าไร แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่เห็นข้อดีของการโกหกเรื่องอาชีพตัวเองเหมือนกัน

“ผมเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอครับ”

ริออสดูชะงักไปทันที ไซม่อนยกแก้วขึ้นจิบอึกหนึ่ง

“เอ่อ โทษทีครับ ผมตกใจไปหน่อย” คนผมบลอนด์ว่า วางแก้วลงบนเคาน์เตอร์ “แต่… คือ… คุณไม่ได้อยู่ในหน้าที่ตอนนี้ใช่ไหม แบบว่า กำลังตามดูคนอยู่”

“อ้อ ไม่ครับ ผมใช้เวลาส่วนตัวอยู่ นอกเวลางานน่ะ” ไซม่อนเผลอเหลือบมองไปทางออสตินอีกแล้วตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสนั่นของเจ้าตัว มันทำให้ใจเขาเต้นรัวขึ้น

ไซม่อนอยากจะหยุดมัน แต่ยิ่งคิดอยากจะหยุด ใจเขาก็ยิ่งลอยไปหาชายหนุ่มคนนั้นที่ไม่ได้ห่างไปจากเขาเท่าไรนักมากขึ้น

“ค่อยยังชั่วหน่อย เฮ้ ฟังนะ ผมไม่ได้เกลียดพวกตำรวจหรอก โอเคไหม แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

“ครับ” เขายิ้มให้กับคนข้างตัว อีกฝ่ายหยักหน้าหงึกหงักก่อนจะพูดต่อ

“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารน่ะ ออฟฟิศห่างไปจากนี้สองบล็อก เพราะงั้นก็เลย นั่นแหละ มาที่นี่บ่อยล่ะมั้งครับ”

“ผมเข้าใจครับ” ไซม่อนพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายลง เขารับรู้ได้ว่าริออสกำลังประหม่า อาจจะเพราะรู้ว่าเขาเป็นตำรวจ หรืออาจจะเพราะอีกฝ่ายพยายามสานความสัมพันธ์กับเขาอย่างจริงจัง หรือไม่ก็อาจจะทั้งสองอย่าง

“เอ่อ” ริออสกำแก้วที่อยู่ในมือแน่นขึ้น และไซม่อนก็สังเกตุเห็น “แล้ว… อืม หลังจากนี้คุณมีธุระอะไรรึเปล่า ไซม่อน เอ่อ ผมเรียกแบบนั้นได้ใช่ไหมครับ”

ไซม่อนเลิกคิ้ว ชั่งใจกับชายหนุ่มตรงหน้าไม่น้อย เขาเองก็เพิ่งบอกตัวเองแท้ๆ ว่านี่เป็นโอกาสที่จะเปิดใจให้ใครสักคน แต่สายตาของเขาเผลอเหลือบมองไปทางออสตินอีกแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นหน้าแดงขึ้นเพราะฤทธิ์เหล้า คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเลื่อนมือไปแตะบ่าออสตินอย่างเป็นห่วง

ภาพที่เห็นทำให้ไซม่อนใจหายวูบ รับรู้ในทันทีว่าเขายังไม่พร้อมจะเปิดใจให้ใคร

เขาเรียกบาร์เทนเดรอ์มาเก็บเงินก่อนจะหันไปยิ้มอย่างสุภาพให้คนข้างตัว

“ขอโทษครับ แต่ผมมีงานต้องทำต่อจากนี้ ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงเครื่องดื่มผม ผมต้องขอตัวก่อน”

“เอ่อ งั้น… อย่างน้อย ผมขอช่องทางการติดต่อของคุณได้ไหม”

คนผมน้ำตาลบลอนด์ยิ้มอย่างสุภสพให้อีกฝ่าย

“เอาไว้คราวหน้าแล้วกันครับ ถ้าเราบังเอิญเจอกันอีก บางทีตอนนั้นผมอาจจะใจอ่อนก็ได้ ไปก่อนนะครับ ริออส”

ไซม่อนก้าวเท้าออกจากร้าน ชะงักฝีเท้าลงนิดหนึ่ง หักห้ามใจไม่ให้เหลือบไปมองทางออสติน มือยึดที่จับตรงประตูแน่น แต่ผลสุดท้ายเขาก็หันกลับไปมองทางโต๊ะของคนผมเทาจนได้

ออสตินฟุบหน้าไปกับโต๊ะเรียบร้อยอย่างหมดสภาพ ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนเรียกพนักงานเก็บเงิน

ไซม่อนก้าวเท้าออกจากร้าน ตรงดิ่งไปที่รถ

เขายังมีอะไรอีกหลายอย่างต้องทำ






ชายหนุ่มได้ไฟล์จากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในร้านสะดวกซื้อที่เขาเข้าไปคุยกับลูกชายเจ้าของร้านด้วยตัวเอง ร้านที่ว่าเป็นที่ก่อเหตุซึ่งคร่าชีวิตของซาร่า คาร์ลและเลียม ริสบี้ซึ่งประจำอยู่หลังเคาน์เตอร์ตอนที่คนร้ายเข้ามาก่อเหตุ อเล็กซ์ ริสบี้เป็นคนเชิญให้เขาเข้ามาด้านหลังร้านเพื่อเปิดวิดีโอจากกล้องวงจรปิดให้ดู ไซม่อนถามว่าเขาจะขอก็อปปี้วิดีโอพวกนี้ได้ไหม ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกับจัดแจงเตรียมเอาวิดีโอดังกล่าวใส่ลงแผ่นให้เขาทันที

“ผมหวังว่าจะจับตัวคนร้ายได้เร็วๆ” น้ำเสียงของเขาแค้นเคืองขณะที่อยู่หน้าคอม สีหน้าอิดโรย “แม่ของผมทำใจรับไม่ได้เลยที่พ่อเสีย แถมยังเป็นในร้านของตัวเอง ที่นี่ แล้วพอแม่ป่วยแบบนี้ก็มีแค่ผมคนเดียวที่ต้องประจำหลังเคาน์เตอร์นั่น ภาวนาในใจตลอดเวลาว่าจะไม่มีไอ้บ้าที่ไหนเข้ามายิงใส่กันอีก”

“ทำไมถึงยังทำร้านอยู่ล่ะครับ”

ริสบี้ยักไหล่ เขาใส่ไฟล์วิดีโอที่ว่าลงแผ่น รอเวลาอัปโหลด “ใช่ว่าคนเราจะมีทางเลือกนักนี่คุณตำรวจ ไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน แล้วเราก็มีร้านของเรามาตั้งนานแล้ว”

ไซม่อนกดดูวิดีโออีกรอบระหว่างที่รออเล็กซ์เดินไปหากล่องมาใส่แผ่นซีดีที่อัดเสร็จแล้วมาให้ มุมกล้องทำให้เห็นพื้นที่ด้านนอกตัวร้านส่วนหนึ่ง มีรถจอดอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะจดป้ายทะเบียน สีและรุ่นยี่ห้อรถลงบนโน้ตของตัวเอง เขาเห็นคนร้ายวิ่งพุ่งออกไปจากร้าน นั่นคือสิ่งที่กล้องวงจรปิดให้เขาได้ทั้งหมด

“น่าเสียดายนะที่กล้องถ่ายหน้าเขาไว้ไม่ได้” ไซม่อนเอ่ยขณะที่อเล็กซ์ตีหน้าบูดบึ้ง ยื่นกล่องที่ใส่แผ่นซีดีนั่นให้เขา

“ใช่สิ เสียเงินไปกับไอ้กล้องเวรนี่ไม่รู้ตั้งเท่าไร ถึงเวลาจริงๆ ดันไม่ได้เรื่องอะไรเลย น่าโมโหเป็นบ้า”

ไซม่อนหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งให้อีกฝ่าย “ค่าแผ่นครับ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”

เขาขอร้องให้เพื่อนที่ไหว้วานได้สืบหาเจ้าของรถตามเลขทะเบียนที่ได้มา และเมื่อได้ทั้งชื่อ ที่อยู่ และช่องทางในการติดต่อเจ้าของรถคนที่ว่า ไซม่อนเสี่ยงถามไปว่าในรถคั้นนั้นมีกล้องวงจรปิดอยู่ไหม สมัยนี้รถส่วนมากก็มีกล้องวงจรปิดกันเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคัน

“อ้อ มีครับ” ทันทีที่อีกฝ่ายตอบมาผ่านสายโทรศัพท์ ชายหนุ่มรู้สึกได้เลยว่าเลือดสูบฉีดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “เมื่อสองเดือนก่อนรถผมเพิ่งถูกงัดไป ผมก็เลยไปติดกล้องมา แล้วก็เปิดไว้ตลอดด้วย ถ้ายังไง ผมจะเตรียมไว้ให้แล้วกันครับ ติดต่อผมมาได้ตลอดเลย”

และในที่สุดไซม่อนก็ได้วิดีโอจากในรถที่จอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อมาได้สมใจ คุณภาพในวิดีโอที่ได้มาอาจจะไม่ชัดเจนมากนัก แต่เขาสามารถจัดการเรื่องนั้นได้ ไซม่อนจัดการไหว้วานคนที่เขาเคยติดต่องานด้วยให้ช่วยซูมภาพในวิดีโอดังกล่าว

ชายหนุ่มร่างผังเวลาช่วงที่เกิดเหตุอย่างละเอียด หาช่องโหว่ หารอยต่อของเวลา เชื่อมเข้ากับคำให้การของพยานที่โทรมาแจ้ง 911 หลังจากเกิดเหตุ

และแล้วไซม่อนก็ค้นพบอะไรบางอย่างในช่องโหว่ของเวลาเหล่านั้น เขาเคาะปากกาลงบนโต๊ะที่กางเอกสารมากมายอยู่ สายตาเหลือบมองหน้าจอที่เปิดวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ในร้านสะดวกซื้อที่คร่าหญิงสาวที่ชื่อว่าซาร่า คาร์ลลง รูปแบบการลงมือของคนร้ายรายนี้คือจ่อปลายกระบอกปืนเข้าที่หว่างตาแล้วลั่นไก พี่ชายของเขาเองก็โดนยิงที่ตำแหน่งเดียวกันนี้เอง

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น สายมาจากคนที่เขาขอร้องให้ช่วยเรื่องซูมรูปจากวิดีโอนั่นเอง ไซม่อนกดรับสาย อีกฝ่ายบอกมาสั้นๆ ว่าส่งอีเมล์ให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวจึงละมือออกจากเอกสารตรงหน้าแล้วเปิดโน้ตบุ๊คขึ้นมาเปิดอีเมล์

ทันทีที่คลิกดูรูปที่ได้รับการปรับแต่งมาเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่หนุ่มถึงกับต้องผิวปากออกมาเบาๆ

ชายที่อยู่ในรูปนั่นไม่ใช่ใครอื่น คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนนั่นเอง คนที่ทางตำรวจตามหาตัวอยู่เป็นปี แต่ตอนนี้เขามาอยู่ตรงนี้แล้ว

ไซม่อนหมุนปากกา อันที่จริงสิ่งที่เห็นในรูปนี้ไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้แปลกในเสียทีเดียว เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาตั้งแต่ตอนเห็นในวิดีโอแล้ว แต่มันไม่ชัดเจนขนาดนี้ก็เท่านั้น

ชายหนุ่มขยับมือเลื่อนไปหยิบกระดาษที่ระบุหมู่เลือดของเหยื่อซึ่งเหมือนกันหมดทุกคนจากบนโต๊ะ ถัดจากกระดาษแผ่นนั้นไปเป็นรายชื่อของผู้ที่ลงทะเบียนบริจาคเลือดและอวัยวะของหน่วยงานโอดีอาร์ ไซม่อนไฮไลท์ลงบนชื่อของเหยื่อทั้งสามคนไว้หมดแล้ว และทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ลงชื่อยินยอมบริจาคร่างกายทั้งสิ้น

“บิงโก” เขาพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนคือคนที่ลงมือก่อเหตุทั้งหมดนี่ แถมเจ้าตัวยังอุกอาจไม่เบาที่สวมบทเป็นพยานเสียเอง แถมยังใจดีโทรมาบอกล่วงหน้าก่อนจะลงมือก่อเหตุด้วยนะ ดูจากช่วงเวลาที่คลาดเคลื่อนนี่แล้ว… เรียกได้ว่าท้าทายตำรวจไม่เบา ถึงหมอนั่นจะเคยเป็นตำรวจเองมาก่อนด้วยก็เถอะ

ส่วนเรื่องแรงจูงใจของเจ้าตัวก็ชัดเจน… หมอนี่รู้เรื่องที่ออสตินต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ไม่ว่ามันจะรู้ด้วยวิธีอะไรก็แล้วแต่ และคนที่คลั่งไคล้แฟนเก่าของตัวเองขนาดจับเขาไปขังแล้วก็ข่มขืนตั้งสองอาทิตย์อย่างหมอนี่คงทนไม่ได้ถ้าออสตินจะตายจากไปจริงๆ แน่

ก็สมเหตุสมผลดี

ไซม่อนเอื้อมมือไปหยิบที่อยู่ของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ที่ลงชื่อเอาไว้ มองที่อยู่ในนั้นอย่างชั่งใจ รู้ดีว่ามันอาจเป็นของปลอม เป็นกับดัก หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไซม่อนรู้ดีว่าเขาสามารถสืบหาต่อได้จากตรงนั้น

เอาล่ะ ได้เวลาลงมือตามล่าฆาตกรต่อแล้ว





-------------------------------------------
Talk: จบไปอีกบท~ วู้ววว มีแต่เรื่องวุ่ยวายเนอะคู่นี้ 555555

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ตื่นเต้น ๆ เหมือนดูหนังเลยอะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไซม่อน ฝังอกฝังใจกับออสติน
ที่เคยทำแผลให้
แต่รูปคดีที่เจอก็ทำให้พบคนที่ข่มขืนออสติน
เอ่อ......สองเรื่องพัวพันกัน
จะแยกจากกันมันก็ทำไม่ได้
ออสตินจะเข้าใจมั้ยนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 24




ใครบางคนมายืนอยู่หน้าบ้านผม จะใช่ไอ้คนที่วิ่งไล่ผมเมื่อคราวก่อนรึเปล่าก็ไม่รู้

ระหว่างที่ผมกำลังลังเลว่าควรจะเอ่ยเรียกหรือออกตัววิ่งหนีเลยดี อีกฝ่ายก็รู้ตัวเสียก่อนว่าผมอยู่ด้านหลังเขา ชายคนนั้นเอื้อมมือลงไปที่เอว ซึ่งคงกำลังจะหยิบปืนขึ้นมาแน่ ผมตัวแข็งไปทันที

“อ้าว ออสติน” ชายคนนั้นเอ่ยเรียกอย่างงงๆ “มาซะเงียบเชียว ทำไมไม่ให้สุ้มให้เสียง”

“ไคล์!” ผมร้องด้วยความโล่งใจทันที ก่อนจะเริ่มโวยวายใส่ “นายต่างหาก มายืนหน้าบ้านคนอื่นเขาแบบนี้ทำไมกัน ฉันนี่ใจหายวาบเลย นึกว่าไอ้บ้าที่ไหนพยายามจะเอาตัวฉันไปอีก”

อีกฝ่ายจ้องผมเขม็งกับคำพูดนั้น ผมยักไหล่อย่างเสียไม่ได้

“เอาเป็นว่า เข้ามาก่อนสิ แล้วนี่นายมานานหรือยัง ทำไมไม่โทรมา”

“บังเอิญผ่านทางเลยแวะมาน่ะ เอาพวกเบเกอรี่มาฝากด้วย ตอนแรกก็ว่าจะกลับแล้วเพราะเห็นนายไม่อยู่บ้าน”

ไคล์นั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขกอย่างคุ้นเคย ผมรินชาให้เขา เปิดถุงมองทาร์ตไข่ที่เจ้าตัวซื้อมาฝากพร้อมกับสโคน กลิ่นหอมของมันลอยมาแตะจมูก แต่ผมไม่มีความอยากเลย

“หน้านายดูโทรมมากเลยนะ ออสติน”

“ขอบใจ อรุณสวัสดิ์เหมือนกัน ไคล์ นายหาคำอื่นเปิดบทสนทนาดีกว่านี้ไม่ได้แล้วใช่ไหม”

เจ้าหน้าที่หนุ่มยิ้มออกมานิดหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปมีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

ผมมองมือของตัวเองที่กำลังถือถ้วยชาอยู่ มันสั่นไปหมด อีกฝ่ายมองตามหน้านิ่ง

“ฉันรู้อะไรที่ไม่ควรรู้มาน่ะ”

“อะไรเหรอ”

“ก็… หลายอย่าง” ผมตอบกำกวม ยกชาขึ้นมาจิบ เฝื่อนคอชะมัด “นายคิดว่าตอนนี้คริสเป็นยังไง”

“คริสเตียนเหรอ” ไคล์ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ผมลอบสังเกตปฏิกิริยาของเขา แล้วก็คิดลงความเห็นว่ามันเป็นของจริง “ทำไมอยู่ๆ พูดถึงหมอนี่ขึ้นมา หรือว่าคนที่ทำคดีนี้ได้ความคืบหน้าอะไร”

“อืม จะว่างั้นก็ได้มั้ง”

“เขาว่าไงล่ะ”

ผมมองตาเขาอย่างค้นคว้า ไคล์ทำสีหน้างุนงงมาให้ผม

“อะไร ออสติน ทำไมมองฉันแบบนั้น”

“แค่อยากรู้ว่านายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่รึเปล่า”

ไคล์ทำหน้าฉงน “ฉันจะปิดบังอะไรนายทำไม เดี๋ยวก่อน นี่เรื่องของคริสเตียนใช่ไหม นายรู้อะไรมา ออสติน”

“คริสตายแล้ว ไคล์”

อีกฝ่ายเบิกตากว้างขึ้นอย่างอึ้งๆ หมอนี่ตกใจจริงๆ ไม่ได้โกหก ผมคบกันมันมานานจนรู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาเป็นยังไงถ้าโกหกหรือปิดบังบางอย่าง เสียดายที่ผมไม่ได้รู้จักไซม่อนนานพอที่จะจับสังเกตได้แบบนี้

“งั้นเหรอ พวกเขาเจอศพคริสเตียนแล้วเหรอ”

ผมนิ่งเงียบไป อันที่จริงก็ไม่ได้เห็นศพเต็มๆ ในวิดีโอนั่นหรอก แค่เลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่วเท่านั้นเอง

แต่… หัวใจนี่ ถ้ามันเป็นของคริสจริงๆ ก็แปลว่าหมอนั่นต้องตายไปแล้วแน่ล่ะ

“นายไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเหมือนกันใช่ไหม ไคล์”

“ไม่ ฉันไม่รู้เลย เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าคริสตายมานานแล้ว”

“อืม” คำนวนจากช่วงเวลาหลายเดือนที่ผมได้หัวใจนี่มา ก็นานแล้วนะ “เดี๋ยววันนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาล”

“อะไร” น้ำเสียงชายหนุ่มงุนงงเมื่อเห็นผมซดชาหมดรวดเดียวแล้วเดินเอาไปเก็บในครัว “นายยังจะไปทำงานอีกเหรอ ก็ไม่ใช่ว่าแค่ชั่วคราวรึไง”

“ชั่วคราวแหละ แต่ฉันต้องไปคุยกับเพื่อนฉันเรื่องหัวใจบ้าบอนี่”

“คนที่เป็นเจ้าของไข้นายน่ะเหรอ”

“ใช่”

“แล้วมันมีปัญหาอะไร”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ตามปกติแล้วไม่ค่อยมีความลับอะไรกับเพื่อนคนนี้ แต่ตอนนี้ผมเองยังไม่แน่ใจในข้อมูลที่เพิ่งได้มา ครั้งก่อนผมก็โดนไซม่อนหลอกไปแล้วว่าหัวใจที่ได้มาเป็นของพี่ชายเจ้าตัว มาคราวนี้เขาก็เป็นฝ่ายที่เอาวิดีโอนั่นให้ดู

ผมหมายถึง… ผมเองแหละที่เป็นคนคาดคั้นเขาเรื่องนั้น แต่ผมไม่มีทางรู้นี่ว่าหัวใจที่ได้มาเป็นของคริสจริงๆ ใช่ไหม?

แต่… อะแมนด้าต้องรู้ และส่วนลึกในตัวผมก็รู้ แต่ผมจะต้องยืนยันเรื่องนี้ ให้มันเด็ดขาดกันไปข้าง

“ฉันจะบอกนาย หลังจากแน่ใจแล้วก็แล้วกัน” ผมตัดบท เดินขึ้นบ้านไปเพื่อจัดการตัวเอง ผมเสียเวลาคร่ำครวญสติแตกมาเยอะแล้วเมื่อคืน ถึงเวลาต้องยอมรับความจริงเสียที





“คุณยังจะมาหาฉันด้วยเรื่องนี้อีกเหรอคะ ออสติน” นั่นคือสิ่งแรกที่อะแมนดาพูดหลังจากที่ผมเริ่มต้นสนทนาได้เพียงไม่กี่ประโยค

ผมเหลือบตาไปมองที่ประตูห้อง เช็คให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาช่วงเวลานี้ หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานถอนหายใจ ยอมลุกขึ้นไปล็อกประตูออฟฟิศของตัวเองแล้วจึงกลับมานั่งที่เดิม

“ฉันบอกให้คุณไปหาคนที่พอจะพูดด้วยได้บ้างแล้วนี่”

“ขอทีเถอะ อะแมนด้า คุณก็รู้ว่าเราเป็นเพื่อนกัน ผมเคารพคุณมาตลอด ให้เกียรติคุณ ไว้ใจคุณ คุณไม่ควรทำแบบนี้กับผม”

ท่าทีของเจ้าหล่อนดูอึดอัดขึ้นทันทีอย่างคนมีชนักติดหลัง ผมรีบรุกต่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดช่องให้หล่อนหยุดคิดนาน

“คุณรู้ว่าคริสเตียนตายแล้วใช่ไหมครับ”

ใบหน้าของเจ้าหล่อนซีดเผือดลงอย่างน่าใจหาย นั่นประไร ถ้าเกิดว่าจี้ให้ถูกจุดล่ะก็ ต่อให้อีกฝ่ายอยากจะปกปิดหรือโกหกแค่ไหนก็ได้ได้ไม่เนียนหรอก

ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับหัวใจโดนกดทับ ผมเอ่ยปากถามต่อเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว ผมจี้มาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้

“แล้วตอนนี้หัวใจของหมอนั่นก็อยู่ในตัวผมใช่ไหม”

หญิงสาวครางออกมาอย่างห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ ราวกับความอดกลั้นทั้งหมดได้พังทลายลงต่อหน้าต่อตา เห็นอีกฝ่ายฟุบหน้าลงไปบนฝ่ามืออย่างอ่อนล้าแล้วผมรู้สึกอยากจะครางดังๆ บ้าง

ไม่มีการพลิกผันใดๆ ในเรื่องนี้ หัวใจที่ผมได้มาเป็นของคริสเตียนจริงๆ ลึกๆ ลงไปแล้วผมก็รู้ดีอยู่แล้วล่ะ แต่ก็ยังหวังว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าไร้สาระแล้วก็ย้ำให้ผมแน่ใจ หาหลักฐานอย่างอื่นมาให้ผมว่าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกนี่เคยเป็นของคนอื่นมาก่อน ใครก็ได้ที่ไม่ใช่คริส

“ทำไม” ผมพูดเหมือนคราง “คุณทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ทำไมไม่บอกผมสักคำ”

“คุณไม่ควรจะรู้เรื่องนี้” หล่อนส่ายหน้า ปาดน้ำตาด้วยหลังมือ ผมเลื่อนกล่องทิชชู่ไปให้ “มันควรจะเป็นความลับ มันควรจะเป็นความลับไปตลอดกาลด้วยซ้ำ”

“แต่ผมไม่มีทางรู้ว่าคริสเตียนตายแล้ว และผมไม่ยอมแค่ลืมเรื่องของหมอนั่นไปง่ายๆ แน่”

“ถ้าแค่ทางเจ้าหน้าที่งี่เง่าพวกนั้นบอกคุณว่าคริสเตียนตายแล้ว เรื่องก็ควรจะจบแล้วแท้ๆ” แพทย์หญิงพูดอย่างอัดอั้นระคนโกรธเคือง “ทุกอย่างนี่มันวุ่นวายไปหมดเพราะพวกเขาทำให้มันเป็นเรื่องยากทั้งนั้น ถ้าแค่บอกคุณว่าคริสเตียนตายไปแล้ว เรื่องก็จบ คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องหัวใจนี่เลย ยังไงมันก็เป็นความลับทางการแพทย์อยู่แล้ว ทำไมมันถึงได้---”

“พอแล้วครับ” ผมตัดบท รู้สึกช่องท้องปั่นป่วนขึ้นมา แต่ผมก็ทำเพียงแค่ลุกออกจากเก้าอี้ “ผมจะไปหาเจ้าหน้าที่เพรซตอนแล้ว ขอบคุณมากครับที่บอกความจริงกับผม”

“คุณจะไปหาลูซี่เหรอคะ” หล่อนถามอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ ทั้งหมดที่ฉันพูดนี่ยังไม่พออีกเหรอ”

“งั้นคุณบอกผมมา อะแมนดา” ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อระคนแค้นเคือง เรื่องนี้ทำให้ผมเป็นต่อเจ้าหล่อนอยู่นิดหน่อย “คุณรู้จักเจ้าหน้าที่เพรซตอน รู้เรื่องหัวใจของผม เพราะเพรซตอนเป็นเจ้าหน้าที่ที่พบศพของคริสเตียนใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

“คุณได้ดูวิดีโอนั่นรึเปล่า”

หล่อนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น ไม่ตอบ ผมพยักหน้ารับแกนๆ ก่อนจะตรงดิ่งไปที่ประตู ปลดล็อกมัน หากยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกไป เสียงเบาหวิวจากคนด้านหลังก็รั้งเขาไว้

“คุณไม่ควรดูมันเลย ออสติน ไม่ควรเลย”

ผมเห็นด้วยกับคำพูดเจ้าหล่อนสุดหัวใจเลยล่ะ







ไซม่อนโทรเข้ามือถือผมเป็นครั้งที่สิบของวัน ผมปรายตามองชื่อของเขาอย่างเย็นชาก่อนจะปล่อยมันเงียบไปเองเหมือนที่ทำเมื่อเก้าครั้งก่อน

ก้าวเท้าเข้าไปในสำนักงานที่เพรซตอนอยู่ พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่เคยพาผมไปถึงโต๊ะทำงานของเพรซตอนจำผมได้ และไม่กี่อึดใจต่อมาผมก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องสองต่อสองกับเจ้าหน้าที่คนนี้

หล่อนยกมือประสานขึ้นไว้บนโต๊ะ ท่าทางเหมือนพวกเจ้าหน้าที่ทั่วไปที่กำลังจะสอบปากคำผู้ต้องสงสัย ผมไม่ถือเรื่องนั้นหรอก มันอาจกลายเป็นบุคลิกที่ติดเป็นนิสัยไปแล้วของพวกตำรวจก็ได้ แต่ผมแค่สงสัยวารอบนี้ ใครจะสอบปากใครกันแน่

“ฉันอยากจะขอโทษคุณเรื่องคราวก่อนที่ขอให้คุณกลับไป ขอโทษที่ผิดสัญญากับคุณนะคะ คุณหมอการ์ดเนอร์”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” ผมว่าเสียงเรียบ ลอบมองปฏิกิริยาของคู่สนทนา “ผมรู้ว่าคุณคงขัดคำขอของไซม่อนไม่ได้ เขาขอไม่ให้คุณพูดถึงเรื่องคดีของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนกับผมใช่ไหม”

หล่อนหายใจแรงขึ้นนิดหนึ่ง ผมอาจจะไม่ใช่คนที่จับพิรุธเก่งนะ แต่ถ้าลองมานั่งในห้องเงียบๆ สองต่อสองแบบนี้ ยิ่งอีกฝ่ายมีความรู้สึกผิดต่อผม ความอึดอัดมันจะปรากฎออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นพอๆ กับความจริงที่เพรซตอนปิดไว้

“และการที่อะแมนดาแนะนำให้ผมมาหาคุณเพื่อถามเรื่องหัวใจ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า--”

“เรื่องหัวใจนั่น มันควรจะเป็นความลับนะคะ คุณการ์ดเนอร์”

ผมยกยิ้มเหยียด “ใช่ นั่นสินะครับ คุณพูดถูก แต่เรื่องคริสเตียนเองแหละ ผมแจ้งความเรื่องหมอนั่นไปเป็นชาติ ตำรวจเองก็ตามตัวหมอนั่นเป็นปี แต่ผมกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้ตัวอีกทีก็คือได้หัวใจของไอ้โรคจิตนั่นมาอยู่ในตัว คุณรู้ไหมว่าผมรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ ความจริงก็คือหมอนั่นยังไม่ตายหรอก มันอยู่ในตัวผมนี่แหละ เต้นตุบอยู่ในอกข้างซ้ายนี่ คุณรู้ไหมว่ามันให้ความรู้สึกยังไง”

“คงจะรู้สึกเหมือนอยากควักหัวใจนั่นออกมาเลยมั้ง” เสียงของใครอีกคนดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายที่ผมไม่รู้จักก้าวเข้ามา ชายหนุ่มคนนั้นมีรอยยิ้มกว้างขวางบนใบหน้า เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของเขาชี้ไปมาไม่เป็นทรง แต่งกายสุภาพและดูไม่มีท่าทีเคร่งขรึมหรือระวังตัวแจเหมือนตำรวจทั่วไป

“คัลเลน!” เพรซตอนหันไปแหวใส่ผู้มาใหม่ สีหน้าตกใจ “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามาโดยพลการน่ะ แล้วนี่มาทำอะไร---”

“โว้วๆๆ ใจเย็นๆ สิครับ คุณเจ้าหน้าที่เพรซตอน ไม่เห็นต้องดุกันเลย”

“คุณเป็นใครครับ” ผมถามงงๆ หงุดหงิดไม่น้อยที่โดนขัดจังหวะ กำลังจะลากเข้าเรื่องสำคัญกับเจ้าหน้าที่สาวตรงหน้าแท้ๆ ชายหนุ่มคนนั้นส่งยิ้มมาให้ผมเหมือนรู้ทัน ก่อนจะเริ่มแนะนำตัวอย่างไม่รู้ไม่ชี้

“ผมเฟรดเดอริค คัลเลนครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ออสติน การ์ดเนอร์ครับ” แนะนำตัว เอื้อมมือไปจับมือเขาอย่างเสียไม่ได้ คัลเลนทำสีหน้าอย่างหนึ่งตอนได้ยินชื่อผม เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองรัวๆ

“คุณนั่นเองที่ไซม่อน---”

“คัลเลน” เพรซตอนพูดเสียงเฉียบขาด นั่นทำให้ผมหันหน้าขวับไปมองเจ้าหล่อนทันที ความสงสัยพรั่งพรูออกมา

“คุณรู้จักไซม่อนด้วยเหรอครับ แล้ว… ทำไมครับ เขาพูดอะไรถึงผม”

“อ้อ ก็… หลายอย่างครับ” คัลเลนยกนิ้วเคาะริมฝีปากอย่างยียวน ดูจากภายนอกแล้วเขาน่าจะอยู่ในช่วงกลางถึงปลายสามสิบแล้วแท้ๆ แต่ไอ้ความยียวนที่แสดงออกมานี่ยังกับเด็กวัยรุ่น “เฮ้ เพรซตอน คุณได้บอกเขาเรื่องที่เขาได้อวัยวะของคนที่ข่มขืนตัวเองไปรึเปล่า?”

“คัลเลน!”

ผมหน้าชา นึกอยากถีบผู้มาใหม่คนนี้ไปให้ไกลสุดเท้าเลย เพรซตอนพยายามดันไหล่อีกฝ่ายออกจากห้อง หากชายหนุ่มคนนั้นก้มลงไปกระซิบอะไรบางอย่างกับหญิงสาว และในที่สุดก็ออกไปด้วยกันทั้งคู่

อะไรของมันวะ…

ผมทิ้งน้ำหนักหลังลงบนพนักพิงของเก้าอี้ ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อน โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่นอย่างบ้าคลั่ง ผมควักออกมา ไซม่อนโทรหาผมเป็นครั้งที่สิบเอ็ด

ผมเหวี่ยงเจ้าเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะอย่างหงุดหงิด เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูเปิดออกอีกรอบ แต่คนที่ก้าวเข้ามาไม่ใช่เพรซตอน หากเป็นเฟรดเดอริค คัลเลนที่ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าตั้งแต่ความประทับใจแรก ผมถามอีกฝ่ายทันทีอย่างอดทน

“แล้วเจ้าหน้าที่เพรซตอนล่ะครับ”

"ติดงานนิดหน่อยน่ะ พวกงานเอกสารก็วุ่นวายแบบนี้แหละ ชอบบ่นให้ฟังตลอด"

ผมหรี่ตาลงมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ ยิ่งเห็นรอยยิ้มทะเล้นๆ ของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกได้เลยว่านั่นต้องเป็นคำโกหก ผมลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ หวังจะไปตามเพรซตอนกลับมาเหมือนเดิม หากคัลเลนคว้าข้อมือผมไว้อย่างรวดเร็ว ผมสะดุ้งเฮือก ดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุมนั้นด้วยสีหน้าที่ซีดลง

"โอ้ เอ่อ โทษที" คนผมน้ำตาลอ่อนว่า ยกนิ้วชี้ขึ้นก่อนจะพูดอย่างนึกขึ้นได้ "กลัวการสัมผัสสินะครับ?"

"เพรซตอนไม่มีทางกลับไปทำงานเอกสารได้หรอก" ผมพูดอย่างเหลืออด "คราวก่อนหล่อนก็ผิดสัญญากับผมด้วยข้ออ้างนี้ ผมเชื่อว่าหล่อนจะไม่ทำแบบเดิม"

คัลเลนส่งยิ้มอย่างไม่อนาทรร้อนใจมาให้ เห็นแล้วแทบอยากจะกระโดดถีบกลางหน้า เผื่อรอยยิ้มกวนประสาทนั่นจะหายไปสักที

"ก็ได้ คุณการ์ดเนอร์ ผมยอมรับแล้ว ผมเป็นขอให้หล่อนไปเอง เพื่อที่ว่าตัวเองจะได้มีเวลาคุยกับคุณตามลำพัง"

"ผมไม่ได้ต้องการคุยกับคุณ ผมมีธุระกับเจ้าหน้าที่เพรซตอนคนเดียว"

คัลเลนส่งยิ้มบางๆ ให้ผมเช่นเคยก่อนจะส่ายหน้า "คุณไม่เข้าใจ คุณหมอ เพรซตอนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเต็มตัว หล่อนไม่สามารถตอบคำถามทั้งหมดของคุณได้โดยที่ไม่ทำผิดจรรยาบรรณ นั่นในกรณีที่หล่อนรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นนะ ซึ่งผมบอกได้เลยว่าไม่"

ท่าทีบางอย่างของเขาทำให้ผมคล้อยตามอย่างไม่น่าเชื่อ น้ำเสียงเนิบๆ ที่ดูใจเย็นนั่น ท่าทีที่ดูมีลับลมคมในแต่ก็พร้อมจะเปิดใจนั่นดูขัดแย้งกันเองพิกล

"คุณเป็นใครกันแน่" ผมขมวดคิ้ว "คุณบอกว่าถ้าเจ้าหน้าที่เพรซตอนเป็นคนพูดจะผิดจรรยาบรรณ แต่ถ้าคุณพูด จะไม่ผิดงั้นเหรอครับ?"

"อ้อ ใช่ อันดับแรกเลย ผมไม่ใช่ตำรวจ ผมเป็นผู้ช่วยเท่านั้น เป็น อืม... นักจิตวิทยาล่ะมั้ง คอยวิเคราะห์ที่เกิดเหตุ วิเคราะห์ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั่น ใช่ ผมไม่ใช่ตำรวจ และใช่ ผมรู้จักไซม่อน แมคแนร์ เคยทำคดีร่วมกับเขา สนิทกับเขามากกว่าที่เพรซตอนสนิทด้วย หลังๆ มานี่ผมไม่ค่อยได้ร่วมงานกับเขาเพราะมาประจำอยู่กับหน่วยของเพรซตอนแทน แต่ก็ยังนัดเจอกับไซม่อนบ่อยๆ นะ ถ้าคุณอยากรู้ และเชื่อได้เลย ผมรู้เรื่องเกี่ยวกับเขามากกว่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนๆ จะรู้แน่

“ส่วนเหตุผลที่ผมอยากจะคุยกับคุณเรื่องเขา หนึ่งก็คือไซม่อนเคยเล่าเรื่องคุณให้ผมฟัง ผมเองก็อยากลองคุยดูว่าคุณเป็นคนยังไง สอง เพราะเรื่องคดีที่คุณมาหาเพรซตอนเกี่ยวข้องกับคุณค่อนข้างมาก แต่เพรซตอนจะตอบคำถามคุณได้ไม่หมด โดยเฉพาะกับเรื่องไซม่อนด้วยแล้ว ไม่ใช่ว่าหล่อนอยากจะปิดบังอะไรแต่หล่อนเองก็รู้ไม่หมดเหมือนกัน เอาล่ะ คุณมีคำถามอะไรอีก"

"หา?" ไอ้หมอนี่มันพูดบ้าอะไรออกมาบ้างวะเนี่ย

"เอางี้ ขอผมถามคุณดีกว่า" อีกฝ่ายยกมือขึ้นประสานตรงหน้า นัยน์ตาสีฟ้าของเขาราวกับจะอ่านทะลุไปถึงสิ่งที่อยู่ในหัวผมได้ "คุณมาที่นี่ด้วยเรื่องของไซม่อน เฮฟเฟอร์แมน หรือว่าเรื่องหัวใจที่คุณได้ไป?"

"ผมก็มาด้วยเรื่องทั้งหมดนั่นแหละ" ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หากอีกฝ่ายยกมือดีดนิ้วอย่างพึงพอใจ ทำท่าราวกับจะบอกผมว่า 'นั่นแหละ!' เพี้ยนชะมัด

"หมายความว่าคุณเจอความเชื่อมโยงในนั้นใช่ไหม ระหว่างสองคนนั่นกับหัวใจของคุณ คราวนี้ก็มาที่ตัวคุณ"

"คุณจะพูดอะไรกันแน่"

"คุณรู้จักการสะกดจิตรึเปล่า คุณการ์ดเนอร์"

คัลเลนย้อนคำถามกลับมา ผมขมวดคิ้วมุ่นนิดหนึ่งแต่ก็ยอมตามน้ำ "ก็เคยได้ยินมาบ้างครับ แต่ถ้าใช้วิธีนั้นในการสืบคดีล่ะก็ มันผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ"

"แล้วแต่กรณีครับ คุณหมอ ถ้าเราใช้วิธีสะกดจิตพยานที่เห็นเหตุการณ์ล่ะก็ ทางศาลจะไม่อนุญาตให้พยานคนดังกล่าวขึ้นให้การได้ แต่การที่เราจะลงมือเสี่ยงสะกดจิตพยานสักคน เราต้องมั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า การสะกดจิตเป็นภาวะหนึ่งของจิตไร้สำนึก สิ่งที่ต้องทำในขั้นตอนพวกนี้ก็คือ ทำให้คนที่เราสะกดจิตเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายไปตามลำดับ จนกระทั่งถึงจุดที่คนคนนั้นสามารถเข้าถึงทุกส่วนของจิตใจได้และดึงเอาข้อมูลที่อยู่ในนั้นออกมา ผมเคยรับอาสาสะกดจิตผู้หญิงที่ถูกข่มขืนหนึ่ง เธอสามารถบรรยายรายละเอียดของรอยสักที่อยู่บนตัวผู้ร้ายได้ละเอียดยิบเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเธอนึกอะไรไม่ออกเลยเกี่ยวกับต่อคนก่อเหตุ”

“แล้วคุณจะบอกอะไรผมกันแน่”

“ผมเคยสะกดจิตไซม่อนมาก่อน คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าอะไรอยู่ข้างในจิตใต้สำนึกของเขา”

“ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเกี่ยวอะไรกับผม” แน่ล่ะ ถ้าไซม่อนจะโดนสะกดจิตเพื่อระลึกเอาสิ่งที่เขาเห็นในที่เกิดเหตุหรืออะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรนี่

“มันเป็นเรื่องคดีของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน”

“คริสเตียนฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอครับ” ผมถามกลับอย่างสับสน รอยยิ้มขี้เล่นของคนตรงหน้าหายไปแล้ว “ทำไมคุณถึงใช้คำว่าคดีล่ะ”

“ก่อนที่ผมจะพูด ผมต้องบอกก่อนว่าตัวผมเองรับสะกดจิตเพื่อบำบัดให้คนที่มีอาการย่ำแย่ทางด้านจิตใจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นมา ถ้าเป็นเรื่องของคนไข้ ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นเพราะเรามีข้อตกลงที่ต้องดูแลความลับของคนไข้ แต่ไซม่อนไม่ใช่คนไข้ของผม เขาเป็นเพื่อนผม เขายอมปล่อยให้ผมลงไปเดินเล่นในจิตใต้สำนึกของเขา ยอมบอกความลับของเขาให้ผมฟังเพื่อที่มันจะได้ช่วยเหลือตัวเขาเอง ผมแค่ดึงเขาออกมาจากเหวอันดำมืดในจิตใจของตัวเอง คุณเข้าใจไหม และผมไม่เคยบอกสิ่งที่อยู่ในนั้นให้ใครรู้ แต่ผมจะบอกคุณ ผมคิดว่าคุณมีสิทธิ์ที่ควรได้รู้เรื่องนี้”

“ผมไม่เข้าใจ” ในหัวผมมันสับสนไปหมดแล้วจริงๆ

เฟรดเดอริค คัลเลนโน้มหน้าเข้ามาใกล้ขณะพูดเสียงเรียบ

“ไซม่อนเป็นคนส่งปืนให้คริสเตียนฆ่าตัวตาย”





--------------------------------
Talk: อ้าว เดี๋ยวๆๆ ยังจะมีอะไรพลิกได้อีกเหรอ 555555

ออฟไลน์ มาม่าหมูสับ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ยิ่งอ่านยิ่งพลิก กลัวใจคนเขียนแล้วจ้า :katai1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
โอ๊ยยยย......อะไรกันนี่  ค้างงงงงง :ling1: :ling1: :ling1:

สุดๆไปเลย ออสติน ชีวิตน่ะล้มคว่ำคะมำหงายจริงๆ
มีอะไรไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเกิดกับออสตินจริงๆ

คัลเลน ฟังออสตินดีๆ อย่าไปขัดล่ะ
เขา อุตส่าห์เอาความลับของไซม่อนมาปูดให้รู้
มีแต่คนเขาปิดเงียบกัน
เพิ่งมีรายนี้เปิดให้ฟังทั้งที่ไม่ถาม เจ๋งมากๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ่านแล้วรู้สึกอยากลงไม้ลงมือ แต่ไม่รู้จะทำกับใคร... คนเขียนดีมะ หึหึ (ทำหน้าโรคจิต)

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 25




ไซม่อนค่อยๆ เปิดประตูห้องของอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ที่เขาตามสืบมาได้ นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองไปรอบๆ อย่างสุขุม มือทั้งสองข้างกุมด้ามปืนไว้แน่นขณะที่สอดส่ายหาใครก็ตามที่อาจอยู่ในนั้น

แต่ไม่มี นอกจากเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่จำเป็นในการดำรงชีพแล้ว ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้น

เตียง โต๊ะเขียนหนังสือ โทรทัศน์ ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของที่แทบไม่มีอะไรวางอยู่

เขาปิดประตูลงกลอน จากนั้นจึงเริ่มสำรวจข้าวของภายในห้องอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าเจ้าของห้องนี้มีของน้อยชิ้นเหลือเกิน เขาจึงแทบไม่ต้องเสียเวลามากเลยในการตรวจสอบสิ่งของทั้งหมด แต่น่าแปลกที่เขายังไม่เจออะไรที่ตามหา

“ฮืม” ชายหนุ่มครางในลำคอแผ่วเบา หรือว่าเขามาผิดงั้นเหรอ? หรือว่าคริสเตียนเอาของไปซ่อนที่อื่น? ไม่น่าเป็นไปได้ หรือว่าเขามองข้ามอะไรบางอย่างไป?

ไซม่อนเปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้าที่สำรวจไปแล้วรอบหนึ่งอีกครั้ง ควานหาบริเวณด้านบนตรงส่วนที่เป็นแผ่นไม้ และในที่สุดเขาก็ค้นพบว่ามีซองอะไรบางอย่างถูกแปะติดไว้บนนั้น เขาดึงออกมาเทสิ่งที่อยู่ในซองออก และเขาก็ได้เจอกับของที่กำลังตามหาเสียที

“บิงโก” ชายหนุ่มพึมพำ ดูเหมือนเขาจะติดคำนี้ไปเสียแล้ว เวลาเจอเบาะแสในคดีทีไรชอบหลุดปากทุกที เพื่อนร่วมทีมที่ทำงานกับเขาบ่อยๆ จะแซวเรื่องนี้ตลอด

ในซองที่เขาเพิ่งเทออกมามีนาฬิกาข้อมือ สร้อยคอที่มีจี้รูปดอกไม้ รูปถ่ายอีกใบ แค่นี้ทุกอย่างก็เป็นหลักฐานแน่นหนาพอที่จะเอาผิดเจ้าของห้องนี้ได้แล้ว แต่เขาจะไม่ปล่อยให้กฎหมายเล่นงานผู้ชายคนนี้หรอก บางครั้งกฎหมายก็ทำงานช้า แล้วก็ไม่เที่ยงตรงอย่างที่พวกคนใหญ่คนโตเขาโม้กัน

ใช่ และตัวเขาที่คลุกคลีอยู่ในวงในมาตลอดย่อมรู้ดี

คนผมน้ำตาลบลอนด์ผิวปากเบาๆ ขณะดึงเก้าอี้ออกมา เตรียมตัวรับมือเพื่อรอเจ้าของห้องกลับมา

ไซม่อนพลิกข้อมือดูนาฬิกา ตอนนี้ทำได้แค่ใจเย็นแล้วรอเวลาเท่านั้น





เสียงไขกุญแจห้องดังขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงลั่นของประตูดังเอี๊ยดแผ่วเบา คนที่เพิ่งไขกุญแจก้าวเท้าเข้ามาหันไปปิดประตูลงกลอน เสียงฮัมเพลงเบาๆ ดังขึ้นในความมืด และเมื่อเจ้าของห้องเลื่อนมือไปกดสวิทช์ไฟ ร่างของชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับยกปืนมาทางเขาก็ปรากฎขึ้นมาให้เห็น

ชายหนุ่มผมทองชะงักไปทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจก่อนจะค่อยๆ ยกมือทั้งสองขึ้นเหนือหัวอย่างรู้หน้าที่

“สายันห์สวัสดิ์ครับ คุณเฮฟเฟอร์แมน” ไซม่อนยกยิ้มประดับริมฝีปาก พยักเพยิดไปทางโซฟาที่อยู่อีกมุมของห้องเป็นเชิงให้เจ้าตัวค่อยๆ เดินไปทางนั้น “โอ๊ะโอ รบกวนหยิบปืนที่คาดอยู่บนเอวคุณออกด้วยครับ อย่าคิดว่าผมไม่ทันเห็นนะ  นั่นแหละ ทีนี้ค่อยๆ วางมันลงกับพื้นแล้วขยับตัวไปทางนั้น ขอบคุณครับ”

เขาหยิบปืนของคริสขึ้นเหน็บไว้ที่เอวอย่างคล่องแคล่ว ขยับปืนให้อีกฝ่ายเดินไปนั่งลงบนโซฟา ส่วนตัวเองหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม ขยับมันให้หันหน้าเข้าหาคู่กรณี

คริสเตียนนิ่งไปอึดใจหนึ่ง เหลือบมองตราตำรวจที่เหน็บอยู่ที่เอวของอีกฝ่ายก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ผมต้องการทนาย”

ไซม่อนเปิดปากหัวเราะ คริสเตียนส่งสายตาพิศวงมาให้เขา และเมื่อคนผมทองทำท่าจะขยับตัว ไซม่อนก็กระชับปืนในมือแล้วจ่อเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น

“คุณขยับตัวอีกทีเดียว ลูกตะกั่วได้เข้าไปอยู่ในหัวแน่ๆ ช่วยตระหนักไว้หน่อยนะคุณฆ่าพี่ชายผมไป ต่อให้ผมเป็นตำรวจที่ดีเลิศแค่ไหนผมก็คงไม่ยกโทษให้คุณง่ายๆ แน่”

“นาย…” คริสเตียนเอนหลังลงไปพิงกับพนักโซฟาตามเดิม ไซม่อนสังเกตเห็นความหวาดกลัวที่อยู่ในแววตาอีกฝ่ายได้ แต่คนผมทองก็กลบเกลื่อนมันได้ไม่เลว คริสยกมือขึ้นกุมหัวนิดหนึ่ง ทำท่าเหมือนคิดหนัก ก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วชี้ไปที่หน้าของไซม่อน “แมคแนร์จากเอฟบีไอสินะ”

ไซม่อนหรี่ตาลงนิดหนึ่งอย่างระมัดระวัง จำเลยของเขามีท่าทีผ่อนคลายลง มันเป็นสัญญาณง่ายๆ ของคนร้ายที่อยากให้คู่กรณีตายใจ แต่เขาไม่หลงกลหรอก

“น้องชายของแบรด แมคแนร์” คริสเตียนพยักหน้าเนิบๆ ราวกับกำลังทำความเข้าใจ รอยยิ้มเสแสร้งบนมุมปากทำให้ไวม่อนกระชับปืนในมือมากขึ้น “ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมรู้สึกคุ้นๆ แต่เอ… ตอนที่ผมตามสะกดรอยเขาไม่ยักกะเห็นวี่แววของคุณเลยนี่นา ไม่ค่อยถูกกันเหรอ”

“ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

คริสเตียนหันมายิ้มกว้างให้เจ้าหน้าที่หนุ่ม “ทะเลาะกันมาล่ะสิ”

“คุณเห็นปืนในมือผมรึเปล่า?”

“ขอที คุณเจ้าหน้าที่แมคแนร์ ถ้าคุณคิดจะยิงล่ะก็ คุณยิงตั้งแต่วินาทีที่ผมก้าวเข้ามาในห้องแล้ว”

“อย่ามั่นใจนัก คริส ผมไม่ใจดีแบบนั้นหรอก”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็นผม”

ไซม่อนโยนแผ่นซีดีซึ่งอยู่ในกล่องลงบนโต๊ะ คริสเตียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงน ไซม่อนส่งสัญญาณมาให้ คริสเตียนจึงลุกขึ้นไปใส่มันลงในเครื่องเล่นที่ต่อกับทีวีโดยมีปากกระบอกปืนเคลื่อนตามอยู่ด้านหลัง

คริสเตียนมองสิ่งที่อยู่ในนั้น เป็นวิดีโอที่อยู่ในรถคันหนึ่ง รออยู่ไม่กี่วินาทีภาพตอนที่เขาถลาออกมาจากร้านหลังจากที่ยิงซาร่า คาร์ลก็ปรากฎขึ้นมาบนหน้าจอ ไซม่อนลอบมองปฏิกิริยาเฉยเมยของคริสเตียน อีกฝ่ายหันกลับมามองเขาอย่างสนเท่ห์ก่อนจะว่า

“นี่เหรอดีสุดที่คุณทำได้ ภาพมันแตกเป็นพิกเซลจนมองอะไรไม่ออกเลยด้วยซ้ำ”

ไซม่อนโยนแผ่นกระดาษที่เป็นใบหน้าของชายในวิดีโอซูมขึ้นมาจนเห็นได้ชัดเจน และนั่นก็เป็นหน้าของคริสไม่ผิดแน่ คนผมทองหน้าซีดลงทันที

“โอ๊ะโอ”

“และถ้าคุณยังไม่รู้นะ คริส ผมจะส่งวิดีโอนี้ให้ออสติน การ์ดเนอร์”

เป็นครั้งแรกที่คริสเตียนมีปฏิกิริยารุนแรงขึ้นมา เขาดูเกรี้ยวกราดและหวาดกลัวพร้อมๆ กันขณะถามกลับอย่างเสแสร้ง

“ออสตินมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ไม่ทราบ”

“ขอที เลิกเล่นละครได้แล้ว ผมสืบมาหมดแล้วว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร… ออสติน การ์ดเนอร์ใช่ไหม คุณต้องการหาหัวใจไปให้เขา”

“นั่นคุณพูดเอง”

“เหยื่อสามคนของคุณมีหมู่เลือดเดียวกัน เป็นผู้ลงชื่อบริจาคอวัยวะเหมือนกัน และทั้งหมดอยู่ในโครงการโอดีอาร์ซึ่งโรงพยาบาลที่รับไข้ออสตินใช้บริการอยู่ด้วย”

“ผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ จริงๆ นะ ทำไมคุณไม่จับผมไปโรงพักแล้วเรียกทนายมาให้ผมล่ะ”

ไซม่อนนิ่งไป และเหมือนคริสเตียนจะเดาได้ว่าเจ้าหน้าที่หนุ่มตรงหน้าคิดอะไรอยู่

“อยากฆ่าผมมากกว่าเหรอ” คนตรงหน้าเหยียดยิ้มให้ “งั้นก็เอาเลย แมคแนร์ แต่จำไว้นะว่าเมื่อคุณลั่นไกเมื่อไหร่ อาชีพของคุณก็จบลงเท่านั้น”

หมอนี่คิดว่าเขาสนเรื่องพรรค์นั้นเหรอ

“คุณเป็นคนที่ลักพาตัวออสตินไปเมื่อปีก่อน”

“แล้วไงครับ” เลิกคิ้วให้อย่างท้าทาย

“คุณขืนใจเขา คริสเตียน”

อีกฝ่ายจ้องลงบนปากกระบอกปืนที่ชี้มาที่ตัวเอง “งั้นแปลว่าคุณก็แค้นผมเพราะเรื่องนั้น”

ไซม่อนไม่ตอบ

“คุณชอบเขางั้นสิ?”

“ผมว่าเรามาทำให้เรื่องนี้จบกันดีกว่า” ไซม่อนว่า ขยับปืนไปทางขมับของอีกฝ่าย คริสยกมือขึ้นห้าม สีหน้าของเจ้าตัวเริ่มซีดเผือดลง

ไซม่อนรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามถ่วงเวลา แต่เขาก็ยอมให้คริสทำแบบนั้น บางที… เขาเองก็อาจจะอยากถ่วงเวลาด้วยเหมือนกัน

“คุณจะฆ่าผมแบบนี้ไม่ได้นะ”

“ผมไม่คิดแบบนั้นแฮะ”

“คุณเป็นตำรวจ… และถ้าคุณฆ่าผม คุณก็จะกลายเป็นฆาตกรไม่ต่างจากผม”

ไซม่อนยิ้มเหยียด "ผมไม่อยากให้คนที่ลงมือข่มขืนแฟนเก่าของตัวเองแล้วก็ฆ่าคนไปสามคนมาพูดจาแบบนั้นใส่หรอก"

“คุณต้องการอะไร… บอกผมสิ”

"งั้นคุณไปสารภาพกับออสตินเลยเป็นไงครับ? บอกเขาตรงๆ ว่าคุณทำอะไรลงไปบ้าง"

คริสเตียนหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่เขา ก่อนจะพูดเสียงเย็น “ไม่… ออสตินจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้ ผมตั้งใจหาหัวใจให้เขา แต่เขาไม่จำเป็นต้องรู้”

“คุณฆ่าคนเพื่อเขา” ไซม่อนแก้ “เขาคงดีใจน้ำตาไหลแน่ แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นนะ คริส ผมจะส่งของพวกนี้ไปให้เขา อีกไม่นานออสตินจะต้องรู้แน่ว่าคุณทำอะไรลงไปบ้าง”

คริสเตียนหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นสิ่งของสามอย่างที่เขาเก็บเอาไว้อยู่ในซองพลาสติกใส เจ้าตัวกัดฟันกรอด

"เอาของพวกนั้นคืนมาให้ผม"

"ผมไม่เห็นเข้าใจเลย คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน ของที่คุณเอามาจากผู้ตายไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมาย และเท่าที่เห็น คุณก็ไม่ได้ฆ่าคุณเพราะเงิน แต่คุณก็ยังเก็บของพวกนี้มา และมันก็กำลังผูกมัดตัวคุณเอง"

คริสเตียนนิ่งไป เขาเก็บของมีค่าทุกทางจิตใจของผู้ตายมาไม่ใช่เพราะมันเป็นของที่มีราคาอะไร มันแค่เป็นจุดเล็กๆ อะไรบางอย่างที่อยู่ในใจเขา จุดสีดำที่เปื้อนมาตั้งแต่เยาว์วัย เขาที่เคยถูกพรากของมีค่าหลายอย่างในชีวิต อย่างสุนัขที่เขาเคยเลี้ยงเอาไว้อย่างดี วันหนึ่งพ่อของเขากลับยกมันให้กับใครบางคนเพื่อแลกเศษเงินเพียงน้อยนิด ของเล่นชิ้นโปรดที่พี่ชายซึ่งเป็นลูกคนละแม่ช่วงชิงไป และต่อให้เขาจะพยายามบอกพ่อกับแม่และเรียกร้องมันกลับคืนก็ไม่เคยมีใครสน

หรือแม้แต่ความรักของออสตินที่เขาควรจะได้… ของสำคัญที่ถูกพรากไปโดยที่เขาไม่เต็มใจพวกนั้น

แค่เพราะจุดเล็กๆ นั่นกลับทำให้เขารู้สึกต้องการช่วงชิงของมีค่าของใครคนอื่นบ้างแบบไม่ทันรู้ตัวเลย

หากยามที่เขาตอบ คริสเตียนกลับยกยิ้มที่มุมปากแล้วพูดเฉไฉไป

"ก็แค่ของที่ระลึกน่ะ คุณเจ้าหน้าที่ ระหว่างเหยื่อกับฆาตกรน่ะ มันเป็นความผูกพันธ์รูปแบบหนึ่ง เหมือนมีสายสัมพันธ์บางๆ ที่มองไม่เห็นอยู่ อืม... ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนเก่าล่ะมั้ง แต่พูดไปคุณคงไม่เข้าใจ"

"งั้นคุณคงอยากไปหาเพื่อนเก่าแล้วสิ"

"อย่างเช่นพี่ชายคุณใช่ไหม"

"คุณคิดว่าผมไม่กล้ายิงจริงๆ สินะ"

คริสเตียนสูดลมหายใจแรงๆ ทีหนึ่ง "แมคแนร์… ฟังนะ"

“ไม่ คุณต่างหากที่ต้องฟัง หันหลังไป สองมือไพร่หลัง”

คริสเตียนถอนหายใจออกมาเสียงเบาขณะทำตามคำสั่ง เขารอให้อีกฝ่ายสับกุญแจมือลงบนข้อมือเขา ในหัวพยายามนึกหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงนี้ หากยังไม่ทันได้คิดอะไรน้ำหนักของวัตถุบางอย่างก็กระแทกลงที่ท้าทอยเขา ไซม่อนมองร่างของอีกฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า

เขาไม่คิดจะจับกุมคริสเตียนแต่แรกอยู่แล้ว

.
.
.
.
.
(50%)





-------------------------------
Talk: ทำไมพระเอกหนูดาร์คจังคะ ใครก็ได้บอกที - -;;;;

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]




คริสเตียนไม่รู้ว่าเขาอยู่ในสถานที่ปิดตายแห่งนี้มานานแค่ไหนแล้ว พื้นคอนกรีตเย็นเฉียบทำให้เขาห่อไหล่ลงยกแขนขึ้นกอดอกเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย แม้แต่ผนังที่เขาพิงอยู่ด้านหลังก็เย็นยะเยือกพอๆ กัน เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากภายนอกเรียกให้ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นมามองด้วยสายตาว่างเปล่า เขารู้ดีว่าคนที่อยู่ข้างนอกเป็นใคร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

“นี่ แมคแนร์” คริสตะโกนขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆ หย่อนถุงอาหารที่เอามาให้เขาประทังชีวิตผ่านช่องที่อยู่บนประตูโลหะ มาลองคิดดูตอนนี้แล้ว อยู่แบบนี้ก็ไม่ต่างจากอยู่ในคุกเลยแฮะ แต่เขาแค่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เอาเขาเข้าคุกไปอย่างเป็นทางการให้เสียรู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องลำบากมาคอยส่งน้ำส่งข้าวแบบนี้ “นายจะขังฉันไว้แบบนี้อีกนานแค่ไหนวะ ทำแบบนี้มันช่วยให้นายสะใจมากขึ้นเหรอ”

คนที่อยู่หลังประตูหัวเราะในลำคอ “คุณรู้ไหมว่าส่วนที่ง่ายที่สุดของเรื่องนี้คืออะไร”

คริสเตียนเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ตอบ

“มันง่ายตรงที่ว่าคุณคือผู้ร้ายที่พยายามหลบหนีจากตำรวจมาตลอด เพราะงั้นการที่คุณหายตัวไปแบบนี้ย่อมไม่มีใครนึกสงสัยอยู่แล้วยังไงล่ะ”

“ทำไมนายไม่ฆ่าฉัน” เขาถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ “นายตั้งใจจะทำแบบนั้นแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ”

แล้วก็อย่างที่ไซม่อนพูด ถึงยังไงเสียเขาก็เป็นคนที่คอยหลบหนีมาตลอดอยู่แล้ว และการที่อีกฝ่ายจับเขามาในที่รกร้างซึ่งปราศจากผู้คนแบบนี้ได้ แค่ฆ่าเขาแล้วปล่อยศพเอาไว้แบบนั้นก็สิ้นเรื่อง อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่คริสคิดจะทำถ้าเขาอยู่ในฐานะของไซม่อนล่ะนะ

เสียงหัวเราะหยันๆ ดังมาให้ได้ยินอีกระลอก “คงเพราะเลือดคุณมันสกปรกเกินกว่าที่ผมจะยอมให้เปื้อนมือได้มั้งครับ”

“โห ซึ้งใจจังว่ะ” พูดพลางถีบประตูแรงๆ รอบหนึ่งอย่างหัวเสีย อย่าให้เขาหาทางออกไปได้นะ… “แล้วนี่ยังไง จะกักขังหน่วงเหนี่ยวกันไว้แบบนี้อีกนานแค่ไหน หา? นี่คือการแก้แค้นของนายงั้นเหรอ”

“ผมจะไม่ฆ่าคุณหรอก คริสเตียน วางใจเถอะ” น้ำเสียงนั้นสงบเยือกเย็นจนคนฟังนึกหวั่นใจ

“หมายความว่ายังไง”

“ผมส่งของสามอย่างนั่นไปให้ออสตินแล้วนะ”

“บัดซบเอ๊ย!” พูดพลางถีบประตูแรงๆ อีกรอบอย่างอัดอั้น ดวงหน้าขาวแดงก่ำไปหมดอย่างแค้นเคืองคนที่จับเขามาขังไว้ที่นี่ “แกบ้าไปแล้วเหรอไงวะ! ถ้าออสตินรู้ว่า--”

“อ้อ เขาต้องรู้แน่ล่ะ สักวัน อีกไม่นานหรอก และคุณก็ต้องเป็นคนบอกเขา”

“ฉันไม่บอก”

เสียงจากคนข้างนอกเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“ออสตินกำลังจะตาย”

คนผมทองชะงักกึกไปทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง แค่ได้ยินว่าชายหนุ่มผมเทาคนนั้นกำลังจะตาย ร่างกายของเขาก็สะท้านไปหมดด้วยความหวาดหวั่นแล้ว

คริสเตียนยกมือขึ้นมากอดแขนโดยไม่รู้ตัวขณะทรุดนั่งลงไปกับพื้นอีกครั้งอย่างหมดแรง

“ไม่จริง…” เขาพึมพำ ก้อนเนื้อบนอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

เขาพยายามมาตลอดเพื่อหาหัวใจให้กับชายคนนั้น ชายผู้เป็นที่รักของเขา แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาติดแหงกอยู่นี่ขณะที่ออสตินกำลังจะตาย

เขาต้องออกไปจากที่นี่… เขาต้องออกไปแล้วหาทางเอาหัวใจของใครก็ตามมาให้ออสติน

“ปล่อยฉันออกไป!”

“ปล่อยให้คุณไปฆ่าคนบริสุทธิ์อีกงั้นเหรอ ผมว่าไม่ล่ะ นี่ คุณอยากช่วยออสตินหรือเปล่า คริส คุณอยากให้เขาตายหรือเปล่า”

“ไม่!”

“ผมมีวิธีดีๆ มานำเสนอล่ะ แต่จริงๆ ผมว่าคุณอาจจะเคยแอบคิดถึงมันอยู่บ้างก็ได้”

คนผมทองขมวดคิ้วขึ้นอย่างฉงน ก่อนจะไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อมีถุงผ้าหล่นตุ้บลงมาทับลงบนถุงอาหารที่ไซม่อนหย่อนลงมาก่อน เขาลุกขึ้นไปหยิบมันมาเปิดดู มีกล้องวิดีโออยู่ด้านในพร้อมกับอุปกรณ์ที่พ่วงมากับมัน เรียกได้ว่าพร้อมใช้งานเสร็จสรรพ

“คุณตั้งใจจะทำอะไรเนี่ย?”

“ผมเหรอ? ผมไม่ทำอะไรทั้งนั้นแหละ คริสเตียน คุณต่างหากต้องเป็นคนลงมือทำ ก่อนอื่นนะครับ ขอให้ผมยืนยันอะไรกับคุณก่อน คุณรู้รึเปล่าว่าตัวเองกรุ๊ปเลือดอะไร คุณเฮฟเฟอร์แมน”

คนผมทองชะงักไปทันที ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัว แต่การที่โดนอีกฝ่ายพูดออกมาแบบนั้น มันเริ่มทำให้หัวของเขาปั่นป่วน

“ไม่…” คริสเตียนสำลักคำพูดนั้นออกมาอย่างยากเย็น หากคนที่อยู่หลังประตูกลับหัวเราะในลำคอราวกับเยาะเย้ยเขา

“ให้ผมเดานะ”

“หยุดนะ”

“คุณกรุ๊ปเลือดเดียวกับออสติน”

“ผมไม่เล่นเกมบ้าๆ นี่ของคุณหรอก”

“คุณคิดว่านี่คือเกมเหรอ”

“ปล่อยผมออกไป!”

“ฟังให้ดีๆ นะ เฮฟเฟอร์แมน” น้ำเสียงนั้นเฉียบขาดและเย็นเยียบอย่างน่าขนลุก “ผมไม่ปล่อยคุณไปฆ่าใครเพื่อหาหัวใจให้ออสตินหรอก แต่ผมก็รู้ว่าคุณไม่อยากปล่อยให้ออสตินตาย ถูกไหม”

“ผมไม่เข้าใจ” น้ำเสียงเขาอึกอัก ไซม่อนเชื่อว่าอีกฝ่ายเข้าใจดีเชียวล่ะว่าเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่

“หลังจากนี้ผมจะส่งปืนให้คุณ คริสเตียน ในนั้นมีกระสุนแค่นัดเดียว แค่นัดเดียวเท่านั้น คุณอาจจะพยายามใช้มันในการออกมาจากห้องนั้นก็ได้ แต่คนฉลาดอย่างคุณน่าจะรู้ดีว่าผมจะไม่ปล่อยให้คุณหนีไปง่ายๆ แบบนั้นแน่ ส่วนเรื่องกล้องนั่น… อืม ผมรู้ดีว่าคุณไม่เคยลงทะเบียนบริจาคอวัยวะร่างกายมาก่อน เพราะงั้นถ้าคุณอยากทำให้มันง่ายขึ้น บางทีคุณอาจจะข้อความบอกไว้ในวิดีโอนั้นได้”

“คุณคิดว่าผมจะยอมทำตามแผนโง่ๆ นี่ของคุณจริงๆ งั้นเหรอ”

“ผมไม่ใช่คนตัดสินเรื่องนั้นหรอก คริสเตียน” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ “คุณต่างหากที่จะเป็นคนตัดสินทุกอย่าง คิดดูให้ดีแล้วกัน คุณอยากให้ออสตินตายจริงๆ หรือเปล่า คุณพยายามมาถึงขั้นนี้แล้วแท้ๆ อยากให้มันจบลงแค่นี้จริงๆ เหรอ?”

คริสเตียนไม่ตอบ เขาเงียบอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ไม่กี่อึดใจต่อมาปืนกระบอกหนึ่งก็ถูกหย่อนลงมาจากช่องบนประตูนั้น มันกระแทกลงบนถุงที่ใส่กับข้าวของเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาถือในมือ ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่อยู่ด้านนอกเดินจากไป

ไอ้ระยำเอ๊ย… จะบ้าหรือไงวะ มาบอกให้เขาฆ่าตัวตายเพื่อเอาหัวใจให้ออสตินงั้นเหรอ ถึงเขาจะรักชายคนนั้นมากขนาดไหน แต่เขาก็ไม่คิดจะสละชีวิตตัวเองให้หรอกนะ

แต่… ออสตินกำลังจะตายงั้นเหรอ นั่นสินะ ตั้งแต่ที่อาการหัวใจวายเฉียบพลันของเขากำเริบขึ้นก็ผ่านมานานมากแล้ว และถ้าเจ้าตัวไม่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเร็วๆ นี้ล่ะก็… ออสตินต้องตายจริงๆ แน่

ไม่นะ… แบบนั้น

ไม่ยุติธรรมเลย เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยออสตินแท้ๆ เขากำลังจะทำได้สำเร็จอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะโดนไอ้โรคจิตนั่นจับมาขังแบบนี้ล่ะก็…

“แฮ่ก…” คริสเตียนได้ยินเสียงหายใจของตัวเองดังขึ้น มันขาดเป็นห้วงๆ ด้วยความสับสนและร้อนรุ่ม มือที่จับด้ามปืนอยู่เริ่มลื่นเพราะชื้นไปด้วยเหงื่อ

เอาจริงเหรอ… เขาจำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?

เขาอยากจะอยู่กับชายหนุ่มคนนั้น อยากจะช่วยหาออสตินหาหัวใจดวงใหม่เพื่อให้เจ้าตัวอยู่กับเขาไปนานๆ แท้ๆ แต่หมอนั่นกลับบอกให้เขาเอาหัวใจให้ออสตินเนี่ยนะ…

ไม่ เขาจำเป็นต้องทำแบบนั้นเสียหน่อย เขาแค่ต้องหาหัวใจของใครสักคนไปให้ชายผมเทาคนนั้นก็เท่านั้นเอง เขาเกือบจะทำได้แล้ว ไม่จำเป็นต้อง…

นัยน์ตาสีน้ำตาลตวัดกลับไปมองกระเป๋าที่ใส่กล้องเอาไว้อีกครั้ง เดินไปหยิบมันขึ้นมาโดยที่ในหัวไม่ได้ประมวลผลอะไร

เขาเปิดมันขึ้นมาเพื่อดูว่ายังใช้งานได้หรือไม่ จากนั้นก็หันไปที่กระบอกปืนซึ่งวางอยู่บนพื้นที่เขาวางไว้เมื่อกี้

คริสเตียนปล่อยให้ความเงียบครอบงำเขา ได้ยินเสียงตีกันในหัววุ่นวายไปหมด เขาโดนปั่นประสาทเต็มรูปแบบแล้ว ชายหนุ่มตระหนักถึงเรื่องนั้นได้ แต่เขาก็ไม่สามารถลบมันไปจากหัวได้

ออสตินกำลังจะตาย

เป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวเขาตอนนั้น

ไม่… เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นตายหรอก ไม่ใช่แบบนี้ ถึงยังไงซะต่อให้เขาไม่ทำแบบนี้ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็คงจะหาวิธีฆ่าเขาอยู่แล้ว หรือไม่ก็อาจปล่อยให้เขาตายอยู่ในนี้ก็ได้

แต่ตอนนี้เขามีโอกาส… มีโอกาสที่จะได้สื่อสารกับออสตินอีกครั้ง และจริงๆ แล้ว… เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสียอย่างเดียวด้วย

เขามีชีวิตต่อไปได้… มีชีวิตอยู่ในร่างของออสติน การ์ดเนอร์

“อ่า” เจ้าตัวครางออกมาเสียงเบา ในหัวนึกถึงสิ่งที่เขาอยากจะพูดกับชายคนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นคริสเตียนก็ยกมุมปากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว

เขาหยิบกระบอกปืนขึ้นมาถืออีกครั้งหลังจากที่คิดว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว





-------------------------------
Talk: ออสสติน โสดไหมลูก ดูเป็นทางเลือกที่ดีสุดล่ะ ถถถถถถถ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มันช่างยากยิ่งสำหรับคริส ที่จะตัดสินใจ
เพราะเป็นทางเลือกที่มีชีวิตตัวเองไปเกี่ยวด้วย
ใจน่ะอยากให้ออสตินมีชีวิตต่อไป
เลยพยายามหาหัวใจใหม่ให้

แต่ตัวเองมาถูกไซม่อนจับขังซะอีก
ทางเลือกอีกทางที่ไซม่อนชี้แนะ ก็ไม่ออกไปจากสมองซะด้วย
แล้วที่สุดคริสก็เลือกให้ออสตินมีชีวิตต่อ

ไซม่อนสุดยอด ยิงนกทีเดียวได้สองตัว
คริสที่ข่มขืนออสตินตาย
แล้วออสตินได้หัวใจ
แต่เมื่อออสตินรู้มันคงไม่ง่ายดายแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ชักจะเห็นด้วยกับทอล์คของคนเขียนละค่ะ

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ไซม่อนกับด้านมืดของเขา.. :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ krit24

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
อ่านแล้วลุ้นตลอดอ่ะ ดูแล้วไซม่อนก็จิตๆเหมือนกันนะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 26




ผมนั่งเหม่อมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ราวกับว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ตัวหนังสือผุดขึ้นมาบนหน้าจอได้

หลายวันที่ผ่านมานี้ผมพยายามหลบหน้าไซม่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย ชายหนุ่มคนนั้นส่งข้อความมาหาบ้าง โทรศัพท์มา หรือแม้แต่บุกมาถึงที่บ้านเลยก็มี แต่ผมไม่ได้เปิดรับเขาแล้วแกล้งทำเป็นไม่อยู่บ้านแทน

แต่สองวันที่ผ่านมานี่ไซม่อนไม่ติดต่ออะไรมาเลย อาจจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคอยตามตื๊อผมแบบนั้น ผมเกลียดพวกชอบตื๊อ และสิ่งที่เขาทำช่วงที่ผ่านมาทำให้ผมนึกถึงคริสเตียนขึ้นมา และนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย

มือของผมเลื่อนไปจับเสื้อที่บริเวณอกด้านซ้ายอย่างเหม่อลอย ใจไม่อยู่กับงานตรงหน้าแล้ว จมดิ่งเข้าไปในห้วงความคิดของตัวเองอย่างที่เป็นช่วงนี้บ่อยๆ นึกถึงสิ่งที่เฟรดเดอริค คัลเลนเล่าให้ฟังเกี่ยวกับไซม่อน แต่แล้วผมก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงกดออดที่หน้าประตู

ผมชะเง้อมองไปทางหน้าต่างเพื่อดูว่ารถของไซม่อนจอดอยู่ที่หน้าบ้านหรือเปล่า แต่รถที่อยู่หน้าบ้านตอนนี้ไม่ใช่ของหมอนั่น

ผมเดินไปเปิดประตู เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นแดนกับแองเจลีนยืนอยู่ที่หน้าประตู เด็กชายที่สูงประมาณเอวผมเท่านั้นฉีกยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเริงร่าแบบเด็กๆ

“สวัสดีครับ คุณน้าออสติน ไม่เจอกันตั้งนาน”

“ขอโทษที่มารบกวนกะทันหันนะคะ คุณการ์ดเนอร์” หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้น ความสูงของหล่อนทำให้ผมตะลึงไปครู่หนึ่ง ผมเคยเห็นหล่อนจากในกล้องและในรูปภาพก็จริง แต่ไม่เคยได้มาเจอตัวเป็นๆ แบบนี้ แองเจลีนสูงกว่าผมไปพอสมควรเลย “แต่พอดีว่าแดนงอแงอยากจะมาเจอคุณให้ได้ แล้วฉันก็เห็นว่าไซม่อนกับแดนเคยมารบกวนไว้หลายครั้งแล้วเลยซื้อขนมมาฝาก”

“ไม่น่าลำบากเลย แต่ก็ขอบคุณมากครับ” ผมว่า ขยับตัวเข้าด้านในแล้วเปิดประตูออกกว้างขึ้น “เชิญเข้ามาก่อนเลยครับ”

ผมเข้าไปในครัว ตั้งเตาเพื่อต้มน้ำ เตรียมชาใส่กาก่อนจะยกออกไปเสิร์ฟบนโต๊ะ ขนมที่แองเจลียเอามาให้ถูกนำออกมาวางเรียงอยู่แล้ว

แองเจลีนบอกให้แดนไปนั่งเล่นแถวๆ โซฟาหน้าทีวีก่อน จากนั้นเจ้าหล่อนจึงเริ่มประสานมือเข้าไว้ด้วยกัน บรรยากาศที่บอกว่าอยากจะคุยเรื่องจริงจังฉายชัดทันที

“คือ… ขอบคุณก่อนหน้านี้มากนะคะที่ช่วยดูแลแดน คุณการ์ดเนอร์”

“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องทางการนักก็ได้ แล้วก็เรียกผมว่าออสตินเถอะ”

“ตกลงค่ะ แล้วช่วงนี้คุณกับไซม่อนเป็นยังไงบ้างคะ”

ผมชะงักมือที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นจรดปากไปนิดหนึ่ง จากนั้นจึงยักไหล่

“ก็… ไม่ค่อยดีมั้งครับ”

“พวกคุณสองคนทะเลาะกันอยู่จริงๆ ด้วยสินะคะ”

ทะเลาะเหรอ ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้คำว่าทะเลาะได้ไหม ดูเหมือนมันเกินคำนั้นไปมากแล้วนะ

“แต่พวกคุณยังไม่ได้เลิกกันใช่ไหมคะ ฉันหมายถึง… มันเป็นเรื่องปกติที่คู่รักจะทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาต้องเลิกกันนี่”

“แค่ก” ผมสำลักออกมานิดหนึ่งด้วยความคาดไม่ถึง แองเจลีนมีสีหน้าตกใจ กระวีกระวาดส่งทิชชู่แผ่นหนึ่งให้ ผมรับมาซับมุมปากเบาๆ ก่อนจะถามกลับตะกุกตะกัก

“ไซม่อนบอกคุณเหรอครับ?”

“เอ่อ ค่ะ ขอโทษนะคะ เป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรรู้หรือเปล่า?”

“ไม่ๆๆ ผมแค่…” ผมโบกมือกลางอากาศ “แบบ… ผมไม่ค่อยมีใครให้บอกเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองเท่าไรน่ะครับ เลยลืมนึกไปว่ามันก็ปกติอยู่แล้วที่จะเล่าให้ใครต่อใครฟัง”

“ครอบครัวของคุณไม่ยอมรับเรื่องนี้เหรอคะ”

“อ้อ เปล่าครับ เพียงแต่ตอนนี้ผมมีครอบครัวแค่คนเดียว แถมอยู่ต่างประเทศด้วย เพื่อนก็ไม่ได้มีเยอะอะไร”

แองเจลีนพยักหน้ารับทีหนึ่ง “แล้ว… ตกลงพวกคุณยังไม่ได้เลิกกันใช่ไหมคะ?”

“เอ่อ” จะว่ายังไงดีล่ะ ก็ถ้าให้พูดกันอย่างเป็นทางการก็ยังไม่ได้บอกเลิกกันหรอก แต่เจอเรื่องขนาดนี้เข้าไปแล้วจะยังถือว่าคบกันได้อยู่อีกเหรอ? “ก็… ยังมั้งครับ แต่ก็คงอีกไม่นานหรอก”

“อ้าว” หล่อนอุทานออกมาอย่างตกใจระคนผิดหวัง “ทำไมล่ะคะ คุณไม่รักเขาแล้วเหรอ”

อืม… ทำไมไปๆ มาๆ กลายเป็นเรื่องนี้ไปได้ล่ะเนี่ย

“ไซม่อนขอให้คุณมาช่วยโน้มน้าวผมเหรอครับ? ให้ผมยกโทษให้เขา?”

“อุ๊ย ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ไซม่อนไม่ได้บอกอะไรฉันเลยเรื่องที่เขาทะเลาะกับคุณ”

ผมมองหล่อนเป็นเชิงถาม แองเจลีนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ยกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะว่า

“ฉันสังเกตจากท่าทีเขาตอนมาหาแดนที่บ้าน่ะค่ะ ดูไม่ค่อยร่าเริงเลย ฉันถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็บอกฉันว่าไม่มีอะไร ฉันก็เลยเดาไปเองว่าคงเป็นเรื่องความรัก เพราะถ้าเป็นเรื่องงานละก็ เขาบอกฉันประจำแหละค่ะ”

“คุณสนิทกับเขาพอสมควรสินะครับ”

“ค่ะ ฉัน แบรด แล้วก็ไซม่อน พวกเราสนิทกันมาก”

คำพูดนั้นทำให้ผมปวดหนึบในใจขึ้นมา ถ้าหล่อนรู้ว่าสาเหตุการตายของสามีหล่อนมาจากไหนล่ะก็…

“ไซม่อนเล่าให้ฉันฟังทุกเรื่องแหละค่ะ” นัยน์ตาคู่สวยของเจ้าหล่อนเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง จากตรงนี้เราสามารถมองเห็นทะเลได้ เป็นมุมที่ผมชอบเสมอล่ะ “เรื่องที่ทำงาน เรื่องคดี… เอ่อ เขาไม่ได้ลงรายละเอียดที่บอกคนนอกไม่ได้หรอกนะคะ แต่เขาเป็นเพื่อนคุยที่ดีมาก เข้าอกเข้าใจคนอื่นเสมอ ยิ่งหลังจากที่แบรดตายแล้ว… เขาก็ยิ่งดูแลทั้งฉันและแดนดีขึ้น”

ผมพยักหน้ารับเรียบๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรจะคิดยังไงกับเรื่องความสัมพันธ์ของไซม่อนกับแองเจลีนดี แต่ที่แน่ๆ ผมสงสัยเรื่องตัวไซม่อนเองมากกว่า

“คุณคิดว่าเขาเป็นคนแบบนั้นเหรอครับ”

“อะไรนะคะ”

“ไซม่อนน่ะ คุณคิดว่าเขาเป็นคนดี เข้าอกเข้าใจคนอื่น แล้วก็คอยดูแลเอาใจใส่ทุกคนอย่างนั้นเหรอ”

แองเจลีนชะงักไปนิด หล่อนวางถ้วยชาลงบนจานรองก่อนจะรีบพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น

“ออสตินคะ ฉันรู้ว่าคุณอาจจะยังโกรธไซม่อนอยู่ แต่ทั้งฉันและคุณต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี”

ผมยิ้มเหยียด และนั่นคงชัดเจนไปหน่อยเพราะสาวเจ้าผงะไปทันที

“คุณไม่คิดแบบนั้นเหรอคะ?”

“ผมคิดว่าคนเรามีหลายด้านครับ คนบางคนก็เก่งที่จะซ่อนด้านที่แย่ที่สุดของตัวเองไว้”

แองเจลีนขยับตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น สีหน้าเจ้าหล่อนเคร่งเครียดจริงจังทีเดียว

“ฟังนะ ออสติน ฉันไม่รู้ว่าคุณเจออะไรมา แต่บางทีคุณอาจเข้าใจผิด--”

“หรืออาจจะถูกครับ ไม่รู้สิ ผมไม่รู้หรอกว่าควรจะเชื่อเขาดีหรือเปล่า เขาโกหกผมมาหลายเรื่องมาก แองเจลีน และเขาอาจจะโกหกคุณอยู่ก็ได้”

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกยาวทีหนึ่ง ผมขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมคุณต้องปกป้องเขาขนาดนั้นด้วยครับ”

“ฉันแค่อยากให้พวกคุณสองคนคืนดีกัน”

ผมนิ่งไป ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมหล่อนต้องอยากรักษาความสัมพันธ์ของผมกับไซม่อนไว้ด้วย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหล่อนเสียหน่อย

“ฟังนะคะ ออสติน ตอนที่ไซม่อนรู้แบรดถูกฆ่า สภาพของเขาย่ำแย่… แย่มาก เขาแทบไม่ยิ้มให้เห็นด้วยซ้ำ ท่าทางเหมือนเชือกตึงที่พร้อมจะขาดได้ตลอด หรือแม้แต่ตอนที่เขาจับคนร้ายได้แล้ว เขาก็ยังมีท่าทางแบบนั้นอยู่”

แปลว่าหมอนั่นโกหกแองเจลีนว่าจับคนร้ายได้เหมือนที่โกหกผมงั้นเหรอ

“แต่พอเขาได้เจอคุณ พอเขาได้อยู่กับคุณ… เขาเปลี่ยนไปเหมือนคนละคน ไม่สิ ต้องบอกว่า เขากลับไปเป็นเขาคนเก่ามากกว่า”

“ผมขอโทษนะครับ แองเจลีน” ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ “แต่ผมไม่อยากคุยเรื่องไซม่อนจริงๆ ไม่ใช่ตอนนี้ และพูดตามตรง ยิ่งคุณพยายามแก้ต่างให้เขาแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกแย่”

“ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ คุณหมอ” เจ้าหล่อนตัดบท สีหน้าสำนึกผิด “ไม่ทันได้คิดถึงความรู้สึกของคุณเลย เอาเป็นว่าฉันขอโทษแล้วกันนะคะ”

“ไม่ครับ ผมต่างหาก ผมแค่… ไม่อยากคิดถึงมันตอนนี้” ผมตัดบท ยกมือขึ้นกุมหัวเล็กน้อยเพราะรู้สึกล้าขึ้นมา “ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์แวะมาเยี่ยม ถ้าแดนอยากมาล่ะก็ จะพามาเมื่อไหร่ก็ได้ครับ ผมต้อนรับเสมอ”

ผมใช้เวลาครู่หนึ่งกับทั้งสองคน หลังจากที่ตัดบทการสนทนาเรื่องไซม่อนไป แองเจลีนก็ไม่หยิบยกขึ้นมาพูดอีก

หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาหลังจากที่ปล่อยให้ลูกชายคุยเล่นสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยกับผมก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วบอกกับเจ้าตัวว่าถึงเวลาที่ต้องกลับเสียที ผมไปส่งคนทั้งคู่ที่หน้าประตู โบกมือให้แดนที่หันมาส่งยิ้มให้ก่อนจะปีนขึ้นรถไป แองเจลีนหันกลับมาหาผมพร้อมกับบอกลา

“ขอบคุณมากนะคะ ออสติน ขอโทษที่รบกวนเวลาคุณ”

“ด้วยความยินดีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ รักษาตัวด้วยค่ะ”

หญิงสาวหันหลังกลับไปจะขึ้นรถ และอยู่ๆ ผมก็รุ็สึกว่าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้

“เดี๋ยวครับ”

แองเจลีนชะงักกึก หันกลับมามองผมอย่างงุนงงทันที “มีอะไรเหรอคะ”

“คือ… เรื่องของไซม่อนน่ะครับ”

“ค่ะ?”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าตอนที่อยู่กับคุณเขาเป็นยังไง เขาอาจจะเป็นคนดีมากๆ ตอนที่อยู่กับคุณก็ได้”

“เขาทำตัวแย่กับคุขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“เอ่อ” ผมอึกอัก มันก็ไม่ใช่ว่าไซม่อนทำตัวแย่กับผมหรอกนะ แต่ทุกอย่างที่เจ้าตัวทำมาก็ไม่น่าจะเรียกได้ว่าคนดีได้หรอก “คุณเคยคุยกับคนที่ชื่อเฟดเดอริค คัลเลนไหมครับ?”

แองเจลีนทำสีหน้าครุ่นคิด คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะส่ายหน้าดิก “ฉันไม่รู้จักเขาค่ะ เขาเป็นใครเหรอคะ”

“เพื่อนของไซม่อนน่ะครับ เป็นนักจิตวิทยาที่ทำงานกับทางกรมตำรวจ”

“เขาทำไมเหรอครับ”

“บางที… ถ้าคุณนึกอยากรู้จักเขามากกว่านี้… รู้จักอีกด้านหนึ่งของเขา คนน่าจะลองไปคุยกับคุณคัลเลนดู”

แองเจลีนมองผมอย่างพิศวง สายตานั่นราวกับจะกล่าวหาว่าผมมองไซม่อนในแง่ร้ายเกินไปแล้ว ก็อยากเจ้าหล่อนรู้ในสิ่งที่ผมได้รู้มาเหมือนกัน ถึงตอนนั้นแองเจลีนคงเข้าใจผมแน่

“ฉันอยากให้คุณลองปรับความเข้าใจกับเขาจริงๆ นะคะ”

“ไว้ผมจะลองคิดดูนะครับ”

“ค่ะ เอาเป็นว่าฉันก็จะลองคิดดูเรื่องที่คุณบอกมาเหมือนกัน”

สงสัยคงไม่ไปเจอคัลเลนแหง

ผมคิดแบบนั้นระหว่างที่มองรถของแองเจลีนออกห่างจากตัวบ้านไป



.
.
.
.
.
(50%)





--------------------------------------
Talk: ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วค่ะ! เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน TvT เดี๋ยวนิยายเรื่องนี้ก็จะจบแล้ว ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ฝากตามต่อให้จบด้วยล่ะ! XD

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]





ผมพลิกนามบัตรที่อยู่ในมือไปมาอย่างเหม่อลอยระหว่างที่ย่ำเท้าลงบนหาดทราย ในนั้นเขียนชื่อและช่องทางการติดต่อของเฟดเดอริค คัลเลนเอาไว้

ผมคิดจะโทรหาผู้ชายคนนั้นหลายรอบแล้ว แต่ยังนึกถึงเหตุผลหรือหัวข้อสนทนาที่จะคุยกับเขาไม่ได้อยู่ดี

ในหัวคิดวนเวียนถึงเรื่องไซม่อนไม่ขาดสาย ยอมรับว่าถึงเวลาที่ต้องทำให้ทุกอย่างกระจ่างและก้าวต่อไปข้างหน้าเสียที

ไซม่อนไม่ได้ติดต่อมาหาผม ผมเองก็ไม่ติดต่อเขามาเกือบเดือนแล้ว พอลองให้เวลาตัวเองไตร่ตรองถึงสิ่งที่ไซม่อนทำลงไป บางทีผมอาจจะเข้าใจเขามากกว่าที่ตัวเองคิดก็ได้

คริสเตียนฆ่าพี่ชายของไซม่อน และไซม่อนก็อยากจะแก้แค้นให้แบรด มันก็สมเหตุสมผลดี ถ้าลองคิดดูในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง บางทีถ้าผมอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขา ผมอาจจะทำแบบนั้นก็ได้ ไม่สิ ผมอาจจะเป็นคนฆ่าคริสเตียนด้วยตัวเองเลยก็ได้ ไม่ปล่อยให้เจ้าตัวตัดสินใจจบชีวิตตัวเองแบบนั้นหรอก

‘แต่เขาไม่ได้คิดจะแก้แค้นคริสเตียนด้วยเรื่องของแบรดเพียงอย่างเดียวหรอก’ สิ่งที่คัลเลนเคยบอกผมไว้ลอยอยู่ในหัว ‘เขาตั้งใจจะแก้แค้นให้คุณด้วย นั่นคือเหตุผลที่ผมคิดว่าควรบอกให้คุณรู้เรื่องนี้ยังไงล่ะ’

ผมจำได้ว่าตัวเองมองเขากลับด้วยสายตาว่างเปล่า พูดตอบกลับไปโดยที่ในหัวไม่ได้ประมวลผลอะไรเลยด้วยซ้ำ

‘คุณอยากให้ผมนึกขอบคุณเขาเรื่องนั้นงั้นเหรอ คุณคัลเลน? เขาส่งปืนให้ผู้ชายคนหนึ่งฆ่าตัวตาย’

อีกฝ่ายเหยียดยิ้มตอบกลับให้ผม มันเป็นยิ้มยียวนแบบเดียวกับที่เขาส่งให้ผมครั้งแรกที่โผล่หน้าเข้ามาในห้อง แต่ตอนนั้นผมไม่รู้สึกอะไรเลย

‘ผู้ชายที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ ผู้ชายที่ฆ่าพี่ชายเขา ผู้ชายที่ข่มขืนคุณ’ เฟรดเดอริคจิ้มนิ้วลงบนอกผมทีหนึ่งขณะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ‘แล้วก็เพื่อช่วยชีวิตคุณ’

ได้ยินเสียงตัวเองถอนหายใจเฮือกขณะเก็บนามบัตรของชายคนนั้นเข้ากระเป๋ากางเกง ก้มลงไปปัดทรายออกจากเท้าลวกๆ แล้วสวมรองเท้าแตะที่ถืออยู่ในมือเพื่อเดินกลับบ้าน ในหัวนึกถึงหนังสือที่กำลังจะปิดต้นฉบับและงานของทางโรงพยาบาลที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงเดือนหน้า ร่างกายผมเริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว หมดเวลาจมอยู่กับตัวเองแล้วเอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นสักที อย่างน้อยต่อให้ผมต้องเลิกกับไซม่อนจริงๆ แต่ถ้าผมยังมีอะไรให้ทำให้ตัวเองยุ่งบ้าง ผมคงพอทำใจลืมเขาได้

นึกถึงตรงนี้แล้วก็อดยิ้มหยันออกมาไม่ได้ นี่มันเหมือนกับตอนคริสเตียนไม่มีผิด ตอนที่ผมเลิกกับเขาผมก็มุงานหนักขึ้น หรือแม้แต่ตอนที่เขาจับผมไปขังแล้วข่มขืนเกือบสองสัปดาห์นั่น… พอผมรอดกลับมาผมก็กลับไปทำงานทันทีที่ฟื้นฟูสภาพจิตใจได้ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่างานของผมก็ยาที่ใช้ฟื้นฟูสภาพจิตใจต่างหาก

แต่ก็อีกนั่นแหละ… เพราะไอ้การมุงานหนักนั่นทำให้หัวใจผมล้มเหลวเฉียบพลันจนกลายมาเป็นแบบนี้ แล้วตอนนี้ยังไงล่ะ ได้หัวใจของคนที่ตัวเองเกลียดที่สุดมา แล้วยังไงต่ออีก? ทำได้แค่ต้องมีชีวิตต่อไปแบบนี้ใช่ไหม

“อ่า…” ผมครางออกมาอย่างอ่อนล้าเมื่อเห็นรถของไซม่อนจอดอยู่หน้าบ้าน ร่างของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมน้ำตาลบลอนด์ยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาหันกลับมามองผมที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมหันหลังเตรียมเดินหนี ได้ยินเสียงเขาตะโกนไล่หลังมาอย่างคนหมดความอดทน

“ออสติน การ์ดเนอร์” ไซม่อนตะโกน น้ำเสียงของเขาแหบกว่าที่เคยจำได้ “คุณจะหนีไปถึงเมื่อไหร่กัน เราจะคุยกันดีๆ สักครั้งไม่ได้เลยเหรอ”

ผมหันกลับไปมองเขาด้วยแววตาขุ่นมัว เขากล้าดียังไงมาพูดเหมือนเป็นความผิดของผมที่ไม่ให้โอกาสเขา ผมให้นะ ให้มามากแล้ว แต่ทุกอย่างมันมีขีดจำกัดทั้งนั้น

“ผมรู้ว่าผมผิด ออสติน” ชายหนุ่มคราง แต่ผมจะไม่ใจอ่อนกับน้ำเสียงอ้อนวอนและนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยของเขาอีกแล้ว “แต่ผมต้องคุยกับคุณ ผมปล่อยให้เรื่องของเราจบลงทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้ ผมรับไม่ได้จริงๆ”

ผมไม่พูดตอบอะไรเขา แค่เดินกลับมาที่บ้านของตัวเอง เปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปข้างใน เตรียมจะปิดมันลงหากชายหนุ่มเอื้อมมือมาคว้าขอบได้อย่างรวดเร็ว ร่างสูงก้าวพรวดเข้ามาในตัวบ้าน ท่าทีคุกคามของเขาทำให้ผมถอยกรูด ไม่เคยเห็นไซม่อนเป็นแบบนี้มาก่อน

“ออกไปจากบ้านผม”

“คุณไปเจอคัลเลนมาอย่างนั้นเหรอ”

“ทำไมคุณไม่ไปถามเขาเองล่ะ เขาเป็นเพื่อนคุณไม่ใช่หรือไง”

“คุณคุยอะไรกับเขา”

ผมยกยิ้มเหยียด กางแขนออกสองข้าง

“ขอพูดคำเดิมแล้วกัน ทำไมคุณไม่ไปถามเขาเองล่ะครับ?” พูดจบแล้วผมก็เดินหนีไปอีกทาง ไซม่อนเอื้อมมือมาคว้าบ่าผมหมับ ให้ความรู้สึกเหมือนกับโดนไฟฟ้าช็อตไม่มีผิด ผมพยายามสะบัดมือเขาออก แต่มือแกร่งกลับบีบลงมาแรงขึ้น และมันก็เริ่มทำให้ผมกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“คุณทำแบบนี้ทำไม ออสติน คุณจะตามสืบเรื่องผมทำไม มีอะไรอยากรู้ทำไมไม่มาถามผม”

“อย่างกับว่าถามคุณแล้วผมจะได้ความจริงอย่างนั้นแหละ!” ผมแกะแขนเขาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี มือเขาเคลื่อนออกจากบ่าผม “อย่ามาทำเหมือนผมไม่เคยให้โอกาคุณเลย ไซม่อน ผมให้โอกาสคุณเยอะมากแล้ว ให้เยอะกว่าตอนที่ให้คริสเตียนเสียอีก”

“ทำไมคุณต้องพูดถึงเขาขึ้นมาด้วย แล้วคุณกล้าเอาผมไปเทียบกับหมอนั่นได้ยังไง หมอนั่นมันปล้ำคุณนะ ออสติน หรือว่าคุณชอบแบบนั้นมากกว่า?”

“หา?” ผมพ่นลมหายใจออกมาทางจมูก หัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “แล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนดีมากเลยงั้นสิ เอาตัวผู้ชายคนหนึ่งไปขัง ทำให้เขารู้สึกหมดหวังแล้วก็ส่งปืนให้เขาฆ่าตัวตายเนี่ย”

ใบหน้าของไซม่อนแดงขึ้นด้วยความโกรธ หากวินาทีต่อมาเขาก็ตะปบมือลงบนบ่าผมทั้งสองข้างพร้อมกับแรงบีบมากขึ้น ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งสติได้อีกฝ่ายก็กระชากผมขึ้นไปพาดบ่าเขา ทำไมคนพวกนี้ชอบเห็นผมเป็นตุ๊กตาอยู่เรื่อยเลยนะ น้ำหนักผมก็ไม่ใช่น้อยๆ แท้ๆ

“ไซม่อน! ปล่อยผมลงนะ! ผมไม่เอา--- ไม่นะ ไซม่อน ปล่อยผม ปล่อยผม!”

เพิ่งรู้สึกว่าตัวสั่นอย่างแรงขณะที่ทุบมือลงบนหลังเขา ดิ้นตัวด้วยแรงทั้งหมดที่มี ความกลัวแล่นไปทั่วทั้งร่างกาย ภาพของวันที่คริสลากผมขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองฉายซ้ำเข้ามาในหัว และตอนนี้ไซม่อนก็กำลังทำแบบเดียวกันเปี๊ยบ

ชายหนุ่มโยนตัวผมลงบนเตียงอย่างแรง โถมน้ำหนักตัวลงมากดผมไว้ไม่ให้หนีไปไหน ใบหน้าคมซุกลงมาบนซอกคออย่างคุกคาม ผมตัวชาไปหมด ไม่รับรู้อะไรนอกจากความกลัวของตัวเอง

ไซม่อนกระชากแขนข้างซ้ายของผมขึ้นไปเหนือหัว หยิบกุญแจมือจากเอวขึ้นมาสับลงบนข้อมือจากนั้นก็คล้องเข้ากับหัวเตียงที่เป็นซี่กรง

ผมอยากจะกรีดร้องให้สุดเสียง อยากถีบคนที่อยู่ด้านบนให้กระเด็นไปติดเพดาน แต่ผมทำอะไรไม่ได้เพราะเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเหมือนถูกสูบไปหมด

ได้ยินแค่เสียงสะอื้นของตัวเองที่หลุดออกมาจากริมฝีปาก จากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง ทุกส่วนของร่างกายเกร็งไปหมดด้วยความหวาดกลัวว่าจะโดนทำอะไรที่ไม่ต้องการ ผมส่ายหน้าระรัวขณะที่ป่ายมือข้างที่ยังเป็นอิสระอยู่ไปดันอกเขาออก แต่ไม่มีแรงเหลือแล้วจริงๆ ที่ทำอยู่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากการเอาไม้จิ้มฟันไปงัดท่อนซุง

“คุณทำแบบนี้ทำไม ออสติน คุณจะตามสืบเรื่องผมทำไม”

“ไม่ ไซม่อน ปล่อย...”

“ตอบคำถามผม!”

“ไซม่อน ได้โปรด…”

“ทำไมคุณต้องทำเหมือนผมทำผิดนักหนาด้วย” เหมือนอีกฝ่ายเองก็สติขาดพอกัน เขาเขย่าตัวผมแรงขึ้น “คุณทำเหมือนกับว่าผมเลวพอๆ กับเฮฟเฟอร์แมนอย่างนั้นแหละ ผมรู้นะว่าตัวเองทำผิดกับคุณหลายอย่าง แต่ผมทำไปก็เพื่อคุณ ผมโกหกก็เพื่อคุณ ผมปิดบังทุกอย่างก็เพื่อคุณ แต่คุณกลับบอกว่าผมเลวพอๆ กับคนที่ข่มขืนคุณงั้นเหรอ?”

“ไซ---”

“เลิกตามสืบเรื่องผมได้แล้ว!”

“ไซม่อน ผมกลัว” ผมร้องไห้ออกมาพร้อมกับยกแขนข้างขวาพาดปิดตา เท้าจิกลงบนเตียงแน่น “อย่าทำแบบนี้ ฮึก ได้โปรด ผมขอโทษ ผมขอโทษ”

เหมือนท่าทางนั้นจะเรียกสติของเขากลับมาได้ ชายหนุ่มหน้าซีดเผือดลงทันที คลายมือที่บีบบ่าผมไว้แน่นก่อนจะเปลี่ยนมาแตะใบหน้าแผ่วเบา

“ออสติน” คนด้านบนครางออกมาเสียงแหบพร่า ผมทำได้แค่งอตัวลง พยายามทำตัวให้เล็กที่สุดเพื่อที่จะหนีจากสัมผัสของเขา กระดุมเสื้อเม็ดบนของผมถูกกระชากออกไปแล้ว เพราะงั้นแผ่นอกส่วนหนึ่งของผมจึงเผยออกมาให้เห็น

“พอแล้ว ไซม่อน… ฮึก อย่าทำแบบนี้ ผมขอโทษ”

“ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“ปล่อยผม” พูดพลางขยับแขนข้างซ้ายที่ถูกล่ามติดกับหัวเตียง เสียงโลหะกระทบกันเบาๆ จากแรงนั้น “ปล่อยผมไปเถอะ”

เขาไม่ตอบอะไรผม ไม่ทำตามที่ผมขอ ผมได้ยินเสียงตัวเองร้องไห้หนักขึ้น มือหนาแตะลงมาบนแก้มผม ไล้ลงบนลำคอ ผมเกร็งตัวแน่น หวาดกลัวสัมผัสของเขาจนตัวสั่นไปหมด แต่ไซม่อนก็ยังไม่ยอมละมือออกเสียที

“ออสติน” เขาครางอย่างสิ้นหวัง โอบกอดร่างของผมเอาไว้อย่างนุ่มนวล

อย่างกับผมจะสนเรื่องนั้น

“ปล่อย… ผม ไซม่อน ปล่อย” ผมได้แต่พูดซ้ำไปมาอยู่แบบนั้น และไซม่อนก็เอาแต่กอดผมอยู่แบบนั้นไม่ยอมปล่อย

ฝ่ามืออุ่นลูบลงบนเส้นผมสีเทาของผมอย่างปลอบประโลมไม่ขาดสาย ผมปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ความหวาดกลัวกินพลังงานเฮือกสุดท้ายของผมไปแล้ว

ผมได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อผมอย่างอ่อนโยนขณะที่สติเฮือกสุดท้ายค่อยๆ หลุดลอยไป

นี่ตกลงว่าพวกเราเพี้ยนกันไปหมดแล้วใช่ไหม?





------------------------------------------------------
Talk: กรี๊ดดดดด หนูกลัว! ไต้ฝุ่นเข้าค่ะ //ฮะ? อะไรนะ ไม่เกี่ยวกับนิยายเหรอ โทดๆๆ// แต่แบ นี่มันระทึกมากนะ เขียนนิยายเนื้อเรื่องก็ระทึกพอล่ะ ยังต้องมาระทึกกับเสียงลมเสียงฝนเสียงสัญญาณเตือนภัยจากโทรศัพท์อีก เขาส่งสัญญาณเตือนมาแบบ ให้อพยพ... แล้วหนูจะอพยพยังไงคะ หนูมีแค่จักรยาน ฮือๆๆๆ

ออฟไลน์ มาม่าหมูสับ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไซม่อน...  :z6:  :z6: สงสารออสตินมาก  ถ้าเป็นแบบนี้อยู่คนเดียวคงดีกว่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ยังไม่กล้าอ่าน มาจิ้มเป็ดไว้ก่อนค่า

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไซม่อน ออสติน เมื่อไหร่จะเขาใจกันซักที  :mew2: :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
ลุ้นไม่หยุดเลยย รออ่านตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โหยยย ค้างมากเลยค่ะ ลุ้นมาก ประเด็นคือยังหาฆาตกรตัวเลขไม่เจอเนี่ยสิ ประเด็นเพื่อนออสตินอีก ดูมีความลับ เขียนดีมากกกกก เราอยากจะกรี๊ดแรงๆ ดีใจที่ได้อ่านงานเขียนดีๆแบบนี้ ช่วงแรกๆนี่ดูเนิบๆสบายๆระแวงไซเบาๆ ครึ่งหลังแทบไม่ได้หยุดหายใจ สนุกมากเลยค่ะ ทั้งปมทั้งอะไรวางแผนมาดีมาก เหมือนดูซีรี่ส์สืบสวนฝรั่งแบบ Criminal minds เลย ทั้งเรื่องออสตินเป็นหมอ เขียนดีมากตอนตรวจศพ เรานี่แบบหูยยย สำนวนภาษาก็ดีมาก รออ่านตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 27





“ออสติน… ออสตินครับ”

เสียงเรียกที่เหมือนดังมาจากที่ไกลๆ ทำให้ผมขยับตัวนิดหนึ่ง รู้สึกว่าหัวหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินทับอยู่บนนั้น  ผมพยายามขยับเปลือกตาให้เปิดขึ้น ภาพพร่าเลือนของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาให้เห็น

ผมกระพริบตาด้วยความงุนงง พยายามขยับตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็พบว่าข้อมือข้างซ้ายถูกผูกติดกับหัวเตียงด้านบนด้วยกุญแจมือ

แล้วอยู่ๆ ภาพความทรงจำทั้งหมดก่อนที่ผมจะสลบไปก็ไหลเข้ามาในหัว ผมยกแขนข้างขวาที่เป็นอิสระขึ้นมาถูหน้าแรงๆ ก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น ข้อมือซ้ายที่ถูกพันธนาการติดกับเตียงอยู่นี่ทำให้ขยับตัวลำบากชะมัด แล้วไอ้คนที่จับผมล่ามไว้แบบนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น ไอ้คนที่นั่งอยู่บนเตียงเดียวกับผมนี่ไง

“ออสติน ไหวรึเปล่าครับ คอแห้งไหม ให้ผมเอาน้ำมาให้รึเปล่า”

“ไซม่อน…” ผมเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า อีกฝ่ายขยับตัวเข้ามา ทำท่าเหมือนจะช่วยผมพยุง ผมใช้จังหวะนั้นกระชากคอเสื้อเขาลงมา ความโกรธภายในพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที ผมพูดเสียงต่ำ “คุณคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไร”

“เดี๋ยวก่อน… ฟังก่อนครับ ออสติน” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน… ไม่สิ เหมือนกำลังขอร้องอยู่มากกว่า “ผมแค่อยากจะ---”

“ปลดกุญแจมือให้ผมเดี๋ยวนี้”

“ฟังผมก่อนครับ”

“ปล่อยผม ไซม่อน” ผมดึงคอเสื้อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น นั่นทำให้ผมเห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยสลดลงอย่างชัดเจน “ปล่อยผม แล้วออกไปจากบ้านผมซะ"

"ผมแค่อยากจะคุยกับคุณ" เขาพูดเสียงแผ่วเบา สายตาที่มองมาอ้อนวอนจนน่าสงสาร แต่ผมจะไม่มีวันหลงกลเขาอีกแล้ว

"ผมไม่อยากคุย"

"แค่ฟังผมหน่อยได้ไหม"

"ผมฟังมามากแล้ว! คุณแม่งไม่รู้ตัวเลยเหรอวะ!" ผมตะโกนอย่างหัวเสีย กำคอเสื้ออีกฝ่ายแน่นขึ้นก่อนจะผลักไปด้านหลังเต็มแรง รู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นสูงเรื่อยๆ

"ออสติน ผมรู้ว่าคุณโกรธ"

"มันเลยคำนั้นมานานแล้ว ปล่อยผมเดี๋ยวนี้"

"คุณใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม"

"นี่คุณประสาทกลับไปแล้วรึไง!?" ผมพูดเสียงดังพร้อมกับกระชากแขนข้างซ้ายเข้าหาตัว แต่แน่ล่ะว่ามันแทบไม่ขยับออกจากหัวเตียง "ใครแม่งจะไปใจเย็นกับสถานการณ์แบบนี้ได้วะ! ปล่อยผมได้แล้ว ไอ้โรคจิต!"

"ผมว่าเราคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ตอนนี้" ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากเตียง ยกมือจัดปกเสื้อที่ยับยู่ยี่เล็กน้อย ท่าทางนั้นทำให้ผมโกรธจี๊ดขึ้นมาอีกรอบ

สายตาผมเหลือบไปเห็นโคมไฟที่ตั้งอยู่บนชั้นข้างหัวเตียง ผมคว้ามันขึ้นมาอย่างแรงจนปลั๊กถูกกระชากออกจากนั้นก็เขวี้ยงใส่ผู้ชายตรงหน้าก่อนจะรู้ตัวเสียอีก ไซม่อนอุทานด้วยความตกใจพร้อมกับกระโดดหลบไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของเขาซีดเผือดลงขณะก้มมองดคมไฟที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ บนพื้น ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

"ออสติน... คุณ..."

"ปล่อย ผม เดี๋ยว นี้"ผมเน้นย้ำทีละคำขณะที่หอบหายใจถี่ๆ ออกมา รู้สึกโกรธจนเหมือนจะฆ่าคนได้อยู่แล้ว และไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำฝห้ผมคลั่งได้ขนาดนี้ก็ทำได้แค่หน้าสลด

"ผมแค่อยากจะคุยกับคุณ"

"เราไม่มีอะไรต้องคุยกันทั้งนั้น!" ผมย้ำคำเดิม หันหน้ากลับไปมองหาข้าวของอย่างอื่นที่สามารถปาใส่เขาได้ ไซม่อนถอยไปด้านหลังอย่างรู้ทัน

"ออสติน ผมว่าเราค่อยๆ --"

"ไม่คุย! ผมไม่คุยอะไรกับคุณทั้งนั้น ผมฟังเรื่องโกหกของคุณมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่คุณต้องปล่อยผมไปสักที!"

ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะกระแทกใจเขาอย่างแรง ไซม่อนมองผมด้วยสายตาตัดพ้อ และนั่นยิ่งทำให้ผมแทบคลั่งด้วยความโมโหขึ้นมาอีกรอบ เขากล้าดียังไงมาทำหน้าแบบนั้นกับผม เขาไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความเห็นใจอะไรจากผมทั้งนั้น!

"ไว้ผมจะมาหาคุณใหม่" เขาพูดตัดบทพร้อมกับหมุนตัวเตรียมก้าวออกไปนอกห้อง

ผมอ้าปากค้าง กระชากข้อมือข้างซ้ายอย่างแรงซ้ำไปมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงโลหะที่ดังกระทบกันทำให้ผมใจแกว่งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ผมเรียกชื่อเขาอย่างหงุดหงิด

"ไซม่อน แมคแนร์! นี่คุณบ้าไปแล้วรึไง! ปล่อมผมออกไปนะ คุณไม่มีสิทธิ์ล่ามผมไว้แบบนี้ คุณไม่มีสิทธิ์!"

หากร่างสูงก้าวเท้าออกจากห้องไปแล้ว ผมหอบหายใจจนตัวโยนขณะทรุดลงบนเตียงอีกรอบอย่างเหนื่อยอ่อน ผมก้มลงมองมือตัวเอง ลากสายตามองไปยังข้อมือข้างซ้ายที่มีกุญแจมือผูกติดอยู่ รอบข้อมือเริ่มเป็นรอยแดงช้ำเพราะโลหะที่เบียดเข้าไปในผิวเนื้อ นี่มันเหมือนตอนที่คริสเตียนจับผมไปไม่มีผิด จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหม

"โธ่เว้ย" ผมสบถกับตัวเอง หันไปง่วนกับกุญแจมือที่อยู่บนหัวเตียงแทน กระชากมันไปมาราวกับจะมีทางดึงโลหะพวกนี้ให้หลุดออกจากกันได้

ทุกครั้งที่โลหะนั้นกินผิวเนื้อขึ้นมาจนเจ็บไปหมด ในหัวผมนึกโทษแต่ใครอีกคนที่จับผมล่ามกับเตียงตัวเองนี่

ที่ผมเจ็บอยู่แบบนี้ก็เพราะไซม่อนแท้ๆ ที่ผมต้องมาทรมานอยู่แบบนี้ก็เพราะหมอนั่น ทั้งหมดเป็นความผิดของมันคนเดียว!

"ไอ้บ้าไซม่อน!"  ผมตะโกนลั่น และเชื่อว่าถ้าหมอนั่นยังอยู่ในบ้านหลังนี้ มันจะต้องได้ยินแน่ "ไปตายซะเถอะวะ ไอ้สารเลว ผมเกลียดคุณ! ได้ยินไหมว่าผมเกลียดคุณ!"

แขนข้างซ้ายของผมสั่นไปหมดเพราะออกแรงมากเกินไป ผมถอนหายใจเฮือกก่อนจะยกมือขวาขึ้นปิดหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ความโกรธภายในกินพลังงานผมไปจนหมด

ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าไซม่อนกล้าทำแบบนี้กับผมได้ยังไง

ผมมอบความไว้ใจให้เขา แล้วดูสิ่งที่เขาตอบแทนให้ผม

"ไปตายซะเหอะวะ ไซม่อน" ผมพึมพำกับตัวเองอย่างคับแค้นใจ มือข้างที่เป็นอิสระทุบลงบนหมอนที่วางอยู่บนเตียง

ใช่... ผมมีคำพูดประโยคเดียวที่จะมอบให้เขาถ้าเขายืนยันอยากจะคุยกับผมนัก

ไปตายซะเหอะวะ






ไซม่อนกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ผมกำลังนอนแผ่อยู่บนเตียงอย่างคนหมดอาลัยตายอยากตอนที่ประตูเปิดเข้ามา ผมไม่หันไปมองหน้าเขาด้วยซ้ำตอนที่อีกฝ่ายเปิดปากพูด

"สงบลงบ้างหรือยังครับ ออสติน"

ผมไม่ตอบคำถามเขา สายตายังมองเพดานห้องด้านบนอยู่อย่างนั้น พื้นที่เตียงว่างๆ ที่อยู่ถัดจากผมไปยวบลงตามแรงน้ำหนักของชายหนุ่มที่นั่งลงมา

กลิ่นหอมของอาหารบางอย่างลอยมาแตะจมูกทำให้ผมต้องปรายหางตาไปมองอย่างเสียไม่ได้ ในมือเขามีจานข้าวสองจานอย่างละข้าง เจ้าตัววางจานหนึ่งลงบนชั้นวางที่ใกล้ฝั่งของตัวเอง อีกจานยื่นมาตรงหน้าผม มันคือสปาเกตตี้ราดซอสเห็ดที่ผมชอบ แต่ผมกลับรู้สึกแขยงอาหารจานนี้ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

"ทานไหมครับ"

ผมพยุงตัวลุกขึ้นนั่งโดยใช้มือข้างขวาดันร่างขึ้นมา เบี่ยงตัวหลบมือหนาที่ทำท่าจะเอื้อมมาช่วยประคอง รับจานนั้นมาถือไว้ในมือก่อนะเขวี้ยงมันลงบนพื้นอย่างไม่ใยดีโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง ผมสังเกตเห็นว่าไซม่อนสะดุ้งนิดหนึ่งตอนที่จานกระทบลงพื้นแล้วแตกดังเพล้ง เศษจานพวกนั้นไปรวมกับเศษแก้วจากโคมไฟก่อนหน้านี้แล้วเรียบร้อย

"ออสติน" ไซม่อนเรียกชื่อผมเหมือนคราง ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างท้าทาย

"ผมไม่หิว"

"ไม่เห็นต้องขว้างทิ้งแบบนั้นก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ" น้ำเสียงเขาน้อยอกน้อยใจ "ผมตั้งใจทำเพื่อคุณมากเลยนะ"

ผมหันไปมองหน้าเขาตาขวาง

"คุณคิดว่าผมจะยอมยกโทษให้ถ้าคุณทำตัวดีๆ กับผมงั้นเหรอ"

 "ผมแค่--"

"คุณรู้อะไรไหม คุณแม่งเป็นคนที่ทุเรศที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย โกหกผมแม่งทุกเรื่องยังไม่พอ ยังจะมาจับล่ามกันไว้แบบนี้อีก คุณคิดว่าตัวเองเป็นอะไร ยิ่งใหญ่มาจากไหนถึงได้ทำอะไรตามใจชอบโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้"

"ผมขอโทษ"

"เหอะ" ผมแค่นเสียงหยันๆ ให้กับคำพูดนั้น อย่างกับว่ามันมีความหมายนักล่ะ

"ผมพูดจริงๆ นะครับ ออสติน ผมไม่เคยคิดอยากทำร้ายคุณเลย"

"เก็บคำแก้ตัวของคุณไปหลอกเด็กอมมือเถอะ แล้วนี่คุณต้องการอะไรถึงได้จับผมขังไว้ในห้องตัวเองแบบนี้ อยากจะปล้ำผมเหรอ? แค่นี้มันยังไม่สาแก่ใจคุณใช่ไหม ต้องย่ำยีผมให้แหลกกันไปข้างเลยใช่ไหมคุณถึงจะพอใจ"

"ไม่" ไซม่อนพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ สีหน้าของเขาดูสับสน "ไม่ๆๆ ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น ผมแค่อยากอยู่กับคุณ"

"อ้อ เหรอ ผมเองก็อยากนอนกับแบรด พิทท์เหมือนกัน น่าเสียดายนะที่คนเราไม่สามารถได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ"

"แต่คุณก็อยู่กับผมตรงนี้นี่" ไซม่อนพูดอย่างดื้อดึง และนั่นเกือบทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมา

"ก็คุณล่ามผมไว้ไม่ใช่เรอะ"

"ผมขอเวลาสามวัน" คำพูดทื่อๆ นั่นทำให้ผมต้องหันขวับกลับไปมองคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ

"นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอ ไซม่อน"

"ขอแค่ให้ผมได้อยู่กับคุณ" ชายหนุ่มหันกลับมาสบตาผมตรงๆ และนั่นทำให้ใจผมวูบไป รู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องไปหมด "แค่สามวันเท่านั้น ถ้ายังไงเสียคุณก็จะไม่มีวันยกโทษให้ผมตลอดชีวิตล่ะก็"

"คุณพูดถูก" ผมไม่หลบตาเขา "ผมจะไม่มีวันยกโทษให้คุณตลอดชีวิต เพราะงั้นสามวันที่คุณขอ มันไม่มีค่าอะไรเลย"

"มันมีค่าสำหรับผม ถ้าผมได้อยู่กับคุณ"

"มันมีค่าจริงๆ เหรอ ไซม่อน" ผมถามเขากลับด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด "คุณล่ามผมไว้แบบนี้ คุณก็ได้แค่ตัวผมเท่านั้น แต่คุณไม่มีทางได้ใจผมอีกแล้ว"

ไซม่อนมองผมตอบด้วยแววตาร้าวลึก สายตานั่นทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะเจ็บปวดพอๆ กับที่ผมเจ็บก็ได้ แต่มันมีทางเป็นแบบนั้นหรอก ผมคือผู้เคราะห์ร้ายในเหตุการณ์นี้นะ เขาไม่มีทางเจ็บไปมากกว่าหรือพอๆ กับผมได้หรอก

"แล้วผมเคยได้มันมาก่อนไหม" น้ำเสียงเขาไม่แน่ใจเอาเสียเลย "หัวใจของคุณน่ะ"

"คุณเคยได้ ไซม่อน" ผมยอมรับ "ผมเคยรักคุณมาก"

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นอย่างอัดอั้น

"แต่คุณทำลายมันไปแล้ว"

ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั่นแทบทำให้ผมอยากร้องไห้ออกมาอีกรอบ






ไซม่อนทำอาหารมาให้ผมอีกรอบในเช้าวันถัดมา หากรอบนี้เขาฉลาดพอที่จะวางไว้บนชั้นวางข้างๆ หัวเตียงแทนที่โคมไฟซึ่งกลายเป็นเศษซากไปแล้วเมื่อวาน ตอนนี้บนพื้นอันเป็นที่เกินเหตุสะอาดเพราะไซม่อนจัดการเก็บกวาดไปแล้วเรียบร้อย

ผมไม่ได้เขวี้ยงจานอาหารเช้าอันประกอบด้วยไข่ดาว ไส้กรอก เบคอน กับผักประดับจานทิ้ง แต่ก็ไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมากินเหมือนกัน ถึงแม้ตอนนี้ท้องผมจะเริ่มร้องครวญครางเพราะไม่มีอะไรตกไปถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ตาม

ไซม่อนเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมแก้วน้ำส้มและขวดซอสมะเขือเทศ ชายหนุ่มหันมาถามผมยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ดูเป็นปกติ

“เติมซอสหน่อยไหมครับ ออสติน”

“ไม่เอา”

“งั้นดื่มน้ำส้มนี่หน่อยนะครับ ผมวางไว้ให้ตรงนี้นะ” พูดพลางวางของทั้งสองอย่างลงบนชั้นข้างๆ จานอาหารซึ่งเป็นระยะที่ผมเอื้อมถึง ผมหันไปมองอาหารและเครื่องดื่มด้วยสายตาราบเรียบ ท่าทีนิ่งเฉยของผมทำให้ไซม่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“ออสติน คุณไม่ยอมกินอะไรเลยนะครับ อย่างน้อยก็ดื่มอะไรสักหน่อยเถอะ”

ผมยิ้มเหยียด “แล้วถ้าผมบอกว่าไม่คุณจะทำไม บังคับผมเหรอ”

“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก”

“นั่นไม่ได้ช่วยทำให้คุณเป็นคนดีขึ้นหรอก ไซม่อน อย่าพยายามเลย”

ชายหนุ่มหน้าแดงขึ้นด้วยความอาย ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ผมคิดว่าตัวเองน่าจะสะใจนะที่เห็นเขามีสีหน้าเจ็บปวดแบบนั้น แต่มันเหมือนสะใจไม่เต็มที่ยังไงไม่รู้

ไซม่อนยกแก้วน้ำขึ้นมาถือในมือ “คุณพูดถูก” จากนั้นก็ยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ วางแก้วลงที่เดิม และก่อนที่ผมจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายก็เบียดริมฝีปากเข้ามา มือข้างหนึ่งเลื่อนมาบีบแก้มผมให้เผยอเปิดออก

 “อย่า—“ เสียงผมขลุกขลัก มือพยายามผลักไหล่ออกอย่างเต็มที่ แต่ก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหวอยู่ดี

ของเหลวพวกนั้นไหลเข้ามาในลำคอ ความหวานอมเปรี้ยวแผ่ซ่านในริมฝีปาก ลิ้นของอีกฝ่ายล้วงเข้ามาในโพรงปาก ลากลงบนฟันอย่างรวดเร็ว ผละออกก่อนที่ผมจะขบฟันลงบนนั้นอย่างรู้ทัน

ผมมองเขาตาขวางทันทีที่ไซม่อนผละจูบนั้นออกไป มองสายตาคู่สวยที่มองมาอย่างอ้อนวอนระคนตัดพ้อแล้วโกรธจี๊ดขึ้นมาอีกรอบ มือข้างที่เป็นอิสระฟาดลงบนใบหน้าเขาก่อนที่จะทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

ใบหน้าคมหันไปตามแรง เขาเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเล็กน้อยหากไม่พูดอะไร ไม่หันกลับมามองผมด้วยสายตาแบบเมื่อครู่หากก้มหน้าลงต่ำราวกับรู้สึกผิด

ผมเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอก็ตอนนี้ “ไหนบอกจะไม่ทำอะไรไง”

เขาเงียบ

“คุณแม่งไม่เคยทำอะไรตามที่พูดได้เลย”

“ผมขอโทษ”

“ผมไม่รับคำขอโทษคุณ และถ้าคุณไม่คิดจะปล่อยผมตอนนี้ล่ะก็ ไสหัวไปจากสายตาผม ถือว่าผมขอร้องก็ได้”

เขาผุดลุกขึ้น เดินไปที่ประตูอย่างว่าง่าย ผมมองตามแผ่นหลังเขาไปด้วยสายตาโกรธจัด แต่ที่มากกว่านั้นคือความเสียใจที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก เหมือนความเจ็บมันอัดอยู่ในอกแต่หาทางระบายออกมาไม่ได้

ไซม่อนหันกลับมานิดหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “อย่างน้อยก็กินอะไรสักหน่อยนะครับ ถ้าคุณเป็นอะไรไป---”

“ไส หัว ไป”

ผมจะเป็นอะไรที่สุดก็เพราะมีไอ้บ้านี่อยู่ด้วยนี่แหละ

ชายหนุ่มทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย เสียงปิดประตูดังขึ้น ผมสูดลมหายใจแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะซบหน้าลงกับมือข้างขวาอย่างเหนื่อยอ่อน รสจูบหอมหวานนั่นยังคละเคล้าอยู่ในปาก ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย

ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของผมที่เต้นตึกตักรัวๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดค่อยๆ ทุเลาลงหลังจากที่ไซม่อนออกไปจากห้อง ผมพยายามสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อเรียกความเยือกเย็นของตัวเองกลับมา มันช่วยได้ไม่มากเท่าไร ใจผมร้อนรุ่มไปหมดด้วยความกังวลและหวาดกลัว

เหงื่อเม็ดเล็กซึมขึ้นมาทั่วร่าง ผมยกแขนขวาของตัวเองขึ้นก่ายหน้าผาก เหม่อมองขึ้นไปบนเพดานสีซีดที่คุ้นตา รู้สึกเหมือนภาพทุกอย่างบิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะอาการปวดหัวของตัวเอง

ผมไม่รู้ว่าเวลาเดินผ่านมานานแค่ไหนแล้วตั้งแต่ไซม่อนออกจากห้องไป อาจจะเกือบชั่วโมง แต่รู้สึกเหมือนผ่านมาชาติหนึ่ง เวลาที่ความกดดันมันทับลงมาจนแทบทำให้หายใจไม่ออกนี่มันช่างทรมานจริงๆ และความทรมานที่ว่าที่ว่าก็ทำให้เวลาเดินช้าลง

เลื่อนแขนข้างที่ก่ายหน้าผากอยู่ออกแล้วตะแคงไปทางซ้ายเพื่อคลายความตึงจากกุญแจมือที่พันธนาการข้อมือผมไว้ ความเยือกเย็นของผมค่อยๆ กลับมา แต่ผมรู้ดีว่าภายใต้ความสงบนั้นมีความคุกรุ่นที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อถ้าหากมีเชื้อเพลิงมาเติมสักนิด ผมแค่กดความคุกรุ่นนั่นลงไป แต่มันก็ยังอยู่ตรงนั้น ไม่หายไปไหน

ความเงียบเริ่มทำให้ผมฟุ้งซ่านอีกครั้ง การอยู่คนเดียวทำให้ผมนึกทบทวนเรื่องต่างๆ ที่ประสบในช่วงหลังมานี้ คิดถึงเรื่องของตัวเองกับไซม่อน คิดถึงเรื่องที่เคยเกือบจะเป็นไปได้ของเรา นึกถึงเรื่องพวกนั้นแล้วหัวใจก็ปวดหนึบขึ้นมาอีกรอบ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วไง ทั้งๆ ที่ผมเคยคิดว่ามันวิเศษขนาดนั้นแท้ๆ

ไอ้บ้าไซม่อน…

ผมกัดริมฝีปากเบาๆ ขณะปิดเปลือกตาลงอีกรอบ ที่ทุกอย่างต้องกลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะไอ้บ้านั่นคนเดียว

...เจ็บชะมัดเลย



.
.
.
.
.
(50%)





-----------------------------------------
Talk: ตกลงคู่นี้เขาจะได้รักกันไหมคะ ใครก็ได้บอกนู๋ที ถถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ทุกคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้เราเสมอน้าาา >3<

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เอาอีกๆ ให้ไซม่อนเสียใจคืนเยอะๆเลย มีโอกาสตั้งหลายรอบไม่ยอมใช้ โดนให้สะใจไปเลยค่าาา  :katai2-1:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
เอาอีกๆ ให้ไซม่อนเสียใจคืนเยอะๆเลย มีโอกาสตั้งหลายรอบไม่ยอมใช้ โดนให้สะใจไปเลยค่าาา  :katai2-1:

ดูแค้นไซม่อนมากเลยนะคะ 5555555

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
รู้สึกอึดอัดและหน่วงกับช่วงนี้มาก อยากให้ผ่านช่วงนี้ไปแล้ว เข้าใจแล้วก็สงสารทั้งสองคนเลย  :mew2:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]



ลืมตาขึ้นมาอีกทีท่ามกลางความเงียบงัน ผมเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดสนิทจนแทบมองอะไรไม่เห็น หากความเงียบทำให้ผมได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มันช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหนึ่ง

ตวัดสายตากลับเข้ามาในตัวห้อง หางตาผมมองเห็นจานข้าวที่ใครอีกคนเอามาวางไว้ให้เพื่อเป็นมื้อกลางวัน แต่แน่นอนล่ะว่าผมไม่แม้แต่จะแตะขอบจาน แล้วตอนนี้ท้องผมก็เริ่มร้องประท้วงแล้ว

ผมเขยิบตัวขึ้นไปติดกับหัวเตียงเพื่อจะเปลี่ยนจากนอนเป็นนั่ง เปลี่ยนได้ไปมาแค่สองท่านี่แหละ แต่อย่างน้อยก็ช่วยพอให้หายเมื่อยได้บ้าง

ท้องของผมส่งสัญญาณประท้วงอีกครั้งเพราะประสาทสัมผัสรับรู้ว่ามีอาหารตั้งอยู่ตรงหน้า และมันก็กำลังขอร้องให้ผมหาอะไรลงไปให้มันเสียที

ผมคู้ตัวลงในท่านั่ง ราวกับว่านั่นจะช่วยหยุดเสียงท้องร้องของตัวเองได้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นแผ่วเบาพร้อมๆ กันแทบจะทำให้ผมสะดุ้ง ตวัดสายตากลับไปมอง ร่างสูงของไซม่อนก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนที่มาตามสายลม

“ออสตินครับ”

ผมเกร็งตัวขึ้น ริมฝีปากเม้มแน่นขณะสายตาก้มลงไปเห็นกุหลาบช่อโตที่อยู่ในอ้อมแขนเขา ผมมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า ริมฝีปากยกยิ้มหยันขึ้นอย่างนึกขัน

นี่เขาคิดว่าผมเป็นสาวน้อยเพิ่งริรักงั้นเหรอ? คิดว่ากุหลาบสวยๆ สักช่อจะทำให้ผมใจอ่อนได้หรือไง?

ชายหนุ่มมันวางลงบนปลายเตียง ทิ้งน้ำหนักตัวลงนั่งข้างๆ มือหนาเลื่อนลงมาทำท่าจะแตะแก้มผม ผมเบือนหน้าหนีเขาพร้อมกับพูดเสียงดังด้วยความรังเกียจ

“อย่ามาแตะต้องตัวผม!”

น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและจริงจังพอจะทำให้อีกฝ่ายชะงักไปได้อึดใจหนึ่ง แต่ไซม่อนก็คือไซม่อน เขาไม่ยอมแพ้ ขยับมือมาจับหน้าผมให้หันกลับไปมองจนได้ ผมสะดุ้งตัวด้วยความตกใจราวกับบริเวณตรงนั้นโดนไฟฟ้าช็อต มองหน้าเขาอย่างผิดหวังเพราะไม่คิดว่าเจ้าตัวจะกล้าก้าวก่าย หากเมื่อได้สบตากับเขาตรงๆ… นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่ฉายแววเว้าวอนนั่นก็ทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก

สัมผัสของเขาไม่ได้รุนแรง มันแผ่วเบาแต่ก็ดื้อดึง และเมื่อไม่เหลือที่ให้หนีแล้ว ผมก็ได้แต่ต้องปล่อยให้อีกฝ่ายลูบแก้มของผมอยู่แบบนั้นอย่างไม่มีทางเลือก

ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากมือเขาทำให้ผมใจแกว่ง ยิ่งเขาทำดีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งจำเป็นต้องเกลียดเขามากขึ้นเท่านั้น ทั้งหมดนั่นก็เพื่อป้องกันตัวเองจากเขา แต่เหมือนยิ่งพยายามปิดกั้นเขาเท่าไร การมีตัวตนของเขากลับยิ่งซึมเข้ามาในใจเรื่อยๆ

ผมปล่อยให้ชายหนุ่มไล้หัวแม่มือวนอยู่ที่ข้างแก้ม เลื่อนต่ำลงมาเกลี่ยริมฝีปาก เคลื่อนมาอยู่ถึงปลายคางแล้วก็วนขึ้นไปใหม่ หัวใจของผมไม่ได้เต้นรัวจนเหมือนจะระเบิดออกมาเหมือนครั้งที่ผ่านมา หากเต้นสม่ำเสมอและอุ่นซ่านไปทั่วทั้งใจ

นั่นไงล่ะ เอาอีกแล้ว ผมเผลอใจอ่อนกับเขาอีกแล้ว แค่เขาทำดีด้วยหน่อย ใจผมก็ละลายเสียแล้ว ช่างเป็นคนที่หนักแน่นอะไรขนาดนี้นะ ออสติน

“ออสติน” เหมือนรับรู้เสียงที่อยู่ในใจผม ไซม่อนก้มหน้าต่ำลงมากดริมฝีปากลงบนข้างขมับผมอย่างรักใคร่ หน้าผมร้อนวูบ มือข้างขวาที่ยังว่างอยู่พยายามปัดเขาออก ไซม่อนเอื้อมมือมายึดข้อมือผมไว้ไม่ให้ทำตามใจชอบ ผมครางเบาๆ อย่่างหมดแรงในขณะที่คนตรงหน้าครางเรียกชื่อผมอย่างเจ็บปวด

เขาไล้สันจมูกลงบนแก้ม ผมหลับตาแน่น รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นจากเขา

“แค่นิดเดียว” เสียงกระซิบอ้อนวอนนั่นอยู่ข้างหู ผมกำลังจะหันไปบอกอยู่แล้วว่านิดเดียวก็ไม่ได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงทาบริมฝีปากลงมาปิดปากผมสนิท จูบแผ่วเบาของเขาผละออกแล้วประทับลงมาใหม่อย่างไม่มั่นใจราวกับคนที่จูบไม่เป็น

น่าแปลกที่จูบครึ่งๆ กลางๆ นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกใจหวิวยิ่งกว่าจูบร้อนแรงเมื่อช่วงเช้าของวันเสียอีก อีกฝ่ายเม้มริมฝีปากลงบนริมฝีปากล่างของผมเพื่อให้โพรงปากเผยอออก ลิ้นอุ่นแทรกเข้ามาอย่างเชื่องช้าและอ่อนหวาน แตะลงกับปลายลิ้นด้านใน

ผมสะดุ้งเบาๆ ด้วยความตกใจ รู้สึกได้ว่าร่างเริ่มสั่น หากไซม่อนไม่รุกเข้ามามากกว่านั้น ชายหนุ่มเพียงแค่ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่งราวกับเสียดาย มือหนาเลื่อนไปหยิบช่อดอกกุหลาบที่วางหมิ่นเหม่ไว้ที่ปลายเตียงจากนั้นก็ยื่นให้ผม ผมเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ หากเจ้าตัวยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับที่ริมฝีปากจางๆ

“ผมซื้อมาให้คุณครับ ออสติน”

“ไซม่อน...” ผมเรียกชื่อเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสับสน โกรธเคือง และตื้นตัน แปลกดีที่คนเราสามารถรู้สึกได้หลายอย่างขนาดนี้ในเวลาเดียวกัน

เขาประคองช่อดอกไม้นั้นลงในมือผมช้าๆ ก้มลงจรดริมฝีปากลงบนแก้มผมอีกรอบ

“ผมรักคุณ”

คำพูดนั้นทำให้ผมกำช่อดอกไม้ในมือแน่นขึ้น อารมณ์ที่ผสมปนเปกันจนชวนให้สับสนเมื่อครู่ ตอนนี้มีเพียงแค่ความโกรธที่วิ่งพุ่งขึ้นมานำความรู้สึกอื่นๆ

เขากล้าพูดคำนั้นออกมาได้ยังไง ในเมื่อเขาเองคือคนที่ทำลายความรักของผมจนยับเยิน

ผมเงื้อกุหลาบช่อนั้นขึ้นกลางอากาศ และก่อนที่จะทันได้คิดอะไรต่อมือของผมก็จับดอกไม้ช่อนั้นฟาดลงบนหน้าของไซม่อน

ใบหน้าคมหันไปตามแรง กลีบกุหลาบจำนวนหนึ่งหลุดกระจายออกมา ไซม่อนมีเลือดซิบออกมาที่ข้างแก้มเพราะหนามแหลมที่อยู่บนก้านไปเกี่ยวเข้า

ใจผมกระตุกวูบหนึ่งทันทีที่เห็นแผลนั่น หากผมกลบเกลื่อนมันด้วยคำพูดและน้ำเสียงที่ห้วนสั้นที่สุด

“แต่ผมเกลียดคุณ”

ไซม่อนไม่พูดอะไรตอบ เขายกมือขึ้นลูบแก้มของตัวเอง แตะบริเวณที่เลือดซึมออกมาจากนั้นก็หันมายิ้มอ่อนโยนให้ผมอีกครั้งราวกับม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมผงะถอยจากเขาทันทีที่ร่างสูงก้มหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้งจนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกันได้

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร”

“ถอยไปนะคุณ” ผมพยายามผลักไหล่เขาออก เคลื่อนตัวหนี แต่กุญแจมือนั่นยังคงตรึงข้อมือผมไว้กับหัวเตียงไม่ให้หนีไปไหน

ไม่มีที่ให้หนี และแรงของไซม่อนก็ไม่เคยน้อยกว่าแรงของผม เขาเชยคางผมไปรับสัมผัสจูบอ่อนหวานของเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมไม่เคลิ้มง่ายๆ ผมพยายามผินหน้าหนีจูบของเขา แต่มันเป็นความพยายามที่ไร้ค่าเหลือเกิน

ลิ้นร้อนสอดเข้ามาอีกครั้งจนได้ ครั้งนี้มือหนาเอื้อมไปยึดหลังศีรษะของผมไม่ให้หันหน้าหนีไปไหน มือข้างที่เป็นอิสระของผมถูกไซม่อนยึดไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว และเมื่อไม่มีทางต่อต้าน ผมก็ต้องจูบกับเขาอีกจนได้

“ออสติน” เสียงอ้อนวอนของเขาฟังดูอ่อนระโหยจนน่าสงสาร ผมเม้มปากแน่นทันทีที่เขาเคลื่อนจูบออก ไล้ริมฝีปากลงบนหน้าผาก เลื่อนต่ำมาบนจมูกแล้วจบลงที่ริมฝีปากอีกรอบ จากนั้นจึงไล้ไปบนแก้ม นัวเนียอยู่ข้างหู กระซิบแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงเหมือนจะขาดใจ “ผมขอโทษ”

“อึก” ผมก้มหน้าลงต่ำ ไซม่อนคลายมือที่ยึดข้อมือผมลง ผมใช้จังหวะนั้นกระชากมันขึ้นมาแล้วตบหน้าเขาอย่างแรงด้วยความอัดอั้น

เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบชวนอึดอัดภายในห้อง ใบหน้าคมหันไปตามแรงตบ ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเพื่อข่มความเจ็บปวด แต่ผมเชื่อว่ามันเทียบไม่ได้กับบาดแผลในใจของผม

“คุณมันทุเรศ ไซม่อน คุณมันบัดซบสิ้นดี”

สิ้นคำพูดผมก็รู้สึกเหมือนเส้นความอดทนมันขาดผึง น้ำตาที่กลั้นไว้ทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก ผมซบหน้าลงกับมือที่เหลือข้างเดียว ไหล่ทั้งสองข้างสั่นไปหมดด้วยความรู้สึกอึดอัดที่ไหลวนอยู่ภายใน

อยากจะหนีไปจากคนข้างตัว แต่มือหนาก็เอื้อมมาแตะลงบนบ่าผม ออกแรงบีบแน่นขึ้นแล้วไซร้หน้าลงมาที่ซอกคอ ผมพยายามดิ้นตัวหนี แต่ทำยังไงก็ไปไม่พ้นจากสัมผัสพวกนี้อยู่ดี

ไซม่อนจูบผมอีกรอบ กระซิบถ้อยคำมากมายที่ข้างหูซ้ำไปมาราวกับแผ่นเสียงตกร่อง หากน้ำเสียงของเขาไม่ช่วยอะไรนอกจากทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น

ผมลืมตาขึ้นไปมองหน้าเขา เสี้ยววินาทีหนึ่งที่เราสบตากัน ผมรู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างได้พังทลายลงมาหมดแล้ว

ทั้งเขาและผม ถ้าเราจะต้องพังพินาศกันไปทั้งสองข้างแบบนี้… ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าทั้งหมดนี่มันเพื่ออะไรกัน

“ผมเสียใจจริงๆ ที่ต้องทำให้คุณเจ็บปวดแบบนี้” น้ำเสียงของเขาทำให้ผมขอบตาร้อนขึ้นมาอีกจนได้ และทั้งๆ ที่ตัวเองเจ็บเจียนตายขนาดนี้ ผมยังสามารถนึกสงสารคนที่ทำให้ผมเจ็บได้ขนาดนี้อีก ไซม่อนก้มลงจูบขมับของผมอีกรอบ และครั้งนี้ผมสังเกตเห็นว่าหางตาของเขาเริ่มแดง “ผมขอโทษนะ”

ผมไม่ตอบอะไรเขา แต่อาการขัดขืนเริ่มหายไปแล้ว

ไซม่อนจูบผมอีกครั้งอย่างหวงแหนและอาวรณ์ เขารู้ดีว่าเวลาตรงนี้เหลือน้อยเต็มทน ผมก็รู้เหมือนกัน แต่ผมอยากให้ทุกอย่างจบลงเร็วๆ ในขณะที่อีกฝ่ายอยากให้มันอยู่ไปชั่วนิรันดร์

แต่มันต้องจบ… ก็นั่นคือความต้องการของผมนี่ และไซม่อนก็สัญญาแล้วว่าจะรั้งผมไว้แค่สามวัน

ชายหนุ่มวางหน้าลงมาบนบ่าของผมอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากที่จูบจนพอใจแล้ว ผมยอมให้เขาทำแบบนั้นโดยไม่ขัดขืน ไม่มีแรงแล้ว รู้สึกอึดอัดในอกไปหมดจนเหมือนหายใจไม่ออกด้วยซ้ำ มือขวาผมเลื่อนไปขยำเสื้อที่ไหล่ของเขา ทำท่าเหมือนจะดึงมันให้พ้นไปจากตัวในตอนแรก แต่ผมกลับแค่จับเสื้อเขาไว้แบบนั้น

แรงรัดที่โอบรอบตัวผมอยู่เพิ่มมากขึ้น วินาทีหนึ่งผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นของเขา แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วจนผมอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะแค่คิดไปเอง

ไซม่อนผงกหน้าขึ้นมามองหน้าผมอีกรอบ กรอบตาของเขาแดงเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ หรือไม่ก็ร้องไปแล้ว แต่ใครสนกันล่ะ

ริมฝีปากคู่สวยทับลงมาบนเปลือกตาที่ยังชื้นน้ำตาของผม ไล้ปลายจมูกอ้อยอิ่งลงบนซอกคอ มืออีกข้างลูบเส้นผมของผมแผ่วเบาเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ แต่ผมเผลอลดการ์ดของตัวเองลงอย่างไมรู้ตัวเลยจนกระทั่งไซม่อนเริ่มขยับตัว ผละอ้อมกอดออกจากตัวผมนั่นแหละ ผมหันไปมองตาม ไซม่อนหยิบกล่องเล็กๆ ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ หยิบแหวนออกมาแล้วสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายผมอย่างเงียบเชียบ

ผมเบิกตากว้างมองเขาอย่างตกตะลึง กำมือซ้ายที่ถูกพันธนาการติดไว้กับเตียงแน่น แต่มันสายเกินไปแล้ว แหวนวงที่ผมไม่ได้ปรารถนามาอยู่บนนิ้วแล้วเรียบร้อย มือขวาผมเลื่อนไปเตรียมจะเอามันออก หากไซม่อนคว้าข้อมือผม ออกแรงบีบเล็กน้อยราวกับจะอ้อนวอน หากยอมคลายลงในวินาทีต่อมา

“ผมเข้าใจว่าคุณไม่ต้องการมัน ออสติน”

“คุณทำแบบนี้ทำไม”

“เพื่อบอกให้คุณรู้ว่าผมรักคุณจริงๆ… ผมกำลังขอคุณแต่งงานไง”

“เลือกเวลาได้ดีนะ” น้ำเสียงประชดประชัน แขนขวาออกแรงขัดขืนเพื่อจะกระชากแหวนนั่นออก ไซม่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“ถ้าคุณอยากจะโยนมันทิ้ง… ก็ช่วยทำตอนที่ผมไม่อยู่ได้ไหม”

“ทำไมผมต้องฟังคำพูดคุณด้วย”

นัยน์ตาสีฟ้าฉายแวววิงวอนจนผมใจอ่อนยวบ “ได้โปรด”

ผมนิ่งเงียบ แต่ก็ยอมปล่อยให้แหวนวงนั้นอยู่ในนิ้วต่อไปแบบนั้น

“อีกเดี๋ยวคุณก็จะไม่เห็นหน้าผมแล้ว”

“ผมเฝ้ารอเวลานั้นใจแทบขาด”

“ไม่ต้องย้ำนักก็ได้ครับ”

“ผมเกลียดคุณ”

“แต่ผมรักคุณจริงๆ”

“ขอที… ผมไม่อะไรในท้องให้เอาออกมานะ”

“เราจะคุยกันดีๆ สักห้านาทีเลยไม่ได้หรือไงครับ”

ผมขยับข้อมือซ้ายเพื่อให้กุญแจมือกระทบกับราวบนหัวเตียง “คุณล่ามผมไว้แบบนี้แล้วยังจะอุตส่าห์หวังอีกเหรอ”

“ใช่ ผมหวัง”

“ผมไม่ต้องการแหวนของคุณ”

“ถ้าอย่างนั้นก็โยนมันทิ้งไปครับ ออสติน ถ้าความรู้สึกที่อยากจะขอโทษ… ความรู้สึกผิดของผม ความรักของผมมันไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับคุณก็โยนมันทิ้งไป มันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง”

ผมเม้มปากแน่น ผินหน้าหนีอีกฝ่ายที่พยายามเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนริมฝีปากแทบจะชนกัน ไซม่อนผละออกไปเล็กน้ออย่างรู้หน้าที่ เขาไม่ได้บังคับให้ผมจูบเขาในครั้งนี้ หากฝ่ามือไล้วนอยู่บนใบหน้าผมไม่หยุด

“ผมเสียใจจริงๆ ที่ทุกอย่างกลายมาเป็นแบบนี้”

ผมเองก็เหมือนกันนั่นแหละ

“ขอผมกอดคุณได้ไหม แค่กอดเท่านั้น ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้”

“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ”

“งั้นผมก็จะไม่ทำ แต่ผมอยากขอร้องคุณ ได้โปรดเถอะนะ”

น้ำเสียงของเขาอ้อนวอนจนผมเริ่มใจอ่อน หางตาเหลือบมองแหวนวงเกลี้ยงที่อยู่บนชั้นวาง อ้อนแขนของเขาโอบกอดลงมา ไซม่อนซบหน้าลงบนบ่าผมอย่างคนเริ่มหมดหวัง

“ได้โปรด ออสติน เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว… ผมเหลือเวลาอยู่กับคุณอีกไม่มากแล้ว”

ผมไม่ได้ตอบรับคำขอนั้น แต่ก็ยอมให้ไซม่อนกอดผมอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขัดขืนเขา แต่ก็ไม่ได้กอดเขาตอบ

หาก… ลึกลงในใจผม ผมเองก็หวังให้ช่วงเวลาทุกอย่างหยุดลงตรงนี้เหมือนกัน

ถ้าเกิดว่าเราสามารถลบเรื่องราวในอดีตทุกอย่างออกไปได้ ลบวันพรุ่งนี้ทิ้งไปได้ เหลือแค่ช่วงเวลาตอนนี้ บางทีนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด







แต่เวลาไม่เคยหยุดเดิน ทันทีที่ผมลืมตาตื่นขึ้นในเช้าอีกวัน ผมก็เห็นแผ่นหลังของไซม่อนอยู่ที่ปลายหัวเตียง กำลังติดกระดุมแขนเสื้อเชิ้ต เส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ถูกจัดแต่งอย่างดี กุญแจมือที่ข้อมือข้างซ้ายผมหายไปแล้ว ผมใช้มืออีกข้างลูบข้อมือของตัวเองด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อีกฝ่ายยังคงจัดแต่งเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดถามออกมาไม่ได้

“แล้วหลังจากนี้คุณจะทำยังไง” ผมถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ “ถ้าผมไปแจ้งความ คุณคงต้องเข้าไปอยู่ในคุกแหง หรือว่าจะสู้คดี? หาทนายเก่งๆ มาแก้ต่างให้”

ไซม่อนหันกลับมาก่อนจะยิ้มเศร้าๆ มาให้ผม “ไม่หรอก ถ้าคุณอยากให้ผมเข้าไปอยู่ในคุกจริงๆ ผมก็จะไป”

“งั้นก็เริ่มเตรียมตัวได้แล้วมั้งครับ”

“ผมยอมแล้ว ออสติน” เขาโน้มหน้าลงมาทาบจูบอ่อนหวาน มือเริ่มไล้ผิวกายของผมอีกครั้ง ผมสะดุ้งเบาๆ ตามสัมผัสวาบหวามนั่น “ผมคิดจะใช้เวลาสามวันนี้ง้อคุณ ทำให้คุณใจอ่อน และเราคงได้กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้ามันไม่ได้ผล ผมก็ยอมรับผลที่จะตามมาทั้งหมด”

“ความเสี่ยงสูงนะคุณ”

“ผมยอม”

“งั้นก็ขอให้โชคดี”

“โชคดีของผมขึ้นอยู่กับคุณ”

ผมไม่ตอบอะไรเขากลับรอบนี้ ก้มหน้าลงมองข้อมือข้างซ้ายที่เป็นรอยให้เห็น

“ขอผมจูบคุณได้ไหม”

ผมไม่ตอบเขาอีกเช่นกัน และเหมือนนั่นเป็นคำอนุญาต

ไซม่อนก้มลงมาจูบผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลิ้นร้อนกวาดเข้ามาจ้วงความหวานอย่างโหยหา นัวเนียลงมาบนซอกคอ พ่นลมหายใจร้อนให้ผมวูบวาบไปทั้งตัว ทั้งที่ผมสาบานไว้กับตัวเองแล้วแท้ๆ ว่าจะไม่ยอมให้ไซม่อนทำอะไรอีก

แต่ผมก็ห้ามตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้มันเหมือนกินดาร์กช็อกโกแล็ตที่ให้รสชาติหวานและติดขมที่ปลายลิ้น ความขมตรงนั้นจะช่วยเน้นรสชาติหวานที่ว่าให้ลุ่มลึกยิ่งขึ้น

ชายหนุ่มผละจูบออกจากผมได้ในที่สุด เขาหยิบข้าวของของตัวเองก่อนจะหันกลับยิ้มบางๆ ให้ผม นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่ฉายแววร้าวลึกนั่นทำให้ผมลืมหายใจไปชั่วครู่ ผมทำได้แค่หลบตาเขาไปอีกทาง

“ผมไปก่อนนะ ออสติน”

ผมไม่พูดอะไรตอบ แล้วเขาหวังจะได้อะไรจากผมล่ะ คำอวยพรเหรอ?

“ผมรักคุณ”

แบบนั้นมันขี้โกงนี่

ผมไม่พูดอะไรตอบ เพียงแค่นั่งนิ่งๆ เงียบๆ บนเตียงระหว่างที่มองดูเขาปิดประตูไล่หลังไป มีความรู้สึกแปลกๆ แล่นเข้ามาในอกวูบหนึ่ง เหมือนหัวใจส่วนหนึ่งถูกกระชากออกไป

แล้วหลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีก





----------------------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแล้ววว รู้สึกเหมือนสองคนนี้จะรักกันยากจริงๆ TvT รักกันเถอะนะคะะะ ดีกันเถอะ //หลังจากทรมานทรกรรมกันมาขนาดนี้? นี่ชาติที่แล้วทำเวรทำกรรมอะไรกันมาไว้คะเนี่ยยย ถถถถถ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด