Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]  (อ่าน 77309 ครั้ง)

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 7) P.1 [23/05/2017]
«ตอบ #30 เมื่อ25-05-2017 19:17:05 »

บทที่ 8




คนข้างตัวผมเริ่มขยับตัวขยุกขยิกท่ามกลางความมืด

ความกลัวแล่นเข้ามาเกาะกุมในหัวใจผมเป็นอย่างแรก สัมผัสแผ่วเบาที่แตะลงมาบนท่อนแขนทำเอาผมแทบสะดุ้ง เนื้อตัวเกร็งขึ้นด้วยความตกใจและหวาดกลัว หากเมื่อเพ่งมองในความมืด รับรู้ว่าคนที่อยู่ข้างกายเป็นใคร ความกลัวเหล่านั้นก็ค่อย ๆ จางลง อาจจะยังไม่หายไปทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมกลัวจนหัวใจแทบวายอีกแล้ว

“ออสติน” ไซม่อนเรียกชื่อผม ท่ามกลางความมืดที่มีแสงสลัว ๆ จากโคมไฟที่เจ้าตัวเอื้อมมือไปเปิด ผมเห็นเขาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ “อรุณสวัสดิ์ครับ ขอโทษทีที่ทำให้คุณตื่น”

“อือ… ไซม่อน?” ผมพูดอย่างไม่แน่ใจ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เลื่อนมือไปแกะมือของเขาออกจากแขน คือ… เราสองคนเพิ่งจะนอนด้วยกันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เองนะ แค่จับแขนแค่นี้นายจะกลัวอะไรนักหนาวะ ออสติน “ทำไมรีบตื่นจัง นี่เพิ่ง… ตีห้าเอง?”

“เดี๋ยวผมต้องรีบไปทำงานไงคุณ” เขาพูดยิ้ม ๆ เขยิบตัวขึ้นคร่อมผม ลงถ้าเขาล็อคไว้แบบนี้ แล้วผมจะหนีไปไหนได้ล่ะ “แต่ก่อนไป…. ผมอยากกอดคุณก่อน”

“คุณ….” ผมหรี่ตาลง มองคนด้านบนเหมือนเอือม ๆ แต่ก็รู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าแดงขึ้นมาแล้ว “จริง ๆ เลยนะ แล้วไม่คิดจะถามผมสักคำเลยรึไงว่าอยากรึเปล่าน่ะ?”

“ก็ตั้งใจจะถามตอนนี้แหละครับ” ไซม่อนว่าพร้อมกับโน้มหน้าลงมาหอมแก้มผมฟอด ผมเผลอเกร็งตัวนิดหนึ่งก่อนที่สัมผัสนั้นจะแตะลงมา ถึงไอ้อาการกลัวการถูกเนื้อต้องตัวของผมจะดีขึ้นจากเซ็กส์เมื่อคืน แต่มันก็ไม่ได้หายไปอย่างหมดจดจริง ๆ สินะ

ไซม่อนดูเสียใจนิดหน่อยกับอาการหวาดกลัวนั้นของผม “อ่า…”

“คือ… ผมไม่ได้ตั้งใจนะ” ผมอึกอัก รู้สึกไม่ดีเลยเวลาเห็นเขาทำหน้าแบบนั้น ผมพยายามพิสูจน์คำพูดตัวเองด้วยการเลื่อนมือไปประคองใบหน้าของเขา สัมผัสที่ปลายนิ้วโดนที่แก้มทำให้ผมรู้สึกแปลบ ๆ ขึ้นนิดหน่อย แต่พอทิ้งไว้แบบนั้น ครู่เดียวมันก็หายไป ผมไม่ได้กลัวการสัมผัสอีกแล้ว อย่างน้อยก็ไม่มากเท่าเดิม ผมหมายถึง… ผมคงไม่กลัวไปตลอดชีวิตหรอก ถูกไหม? “ผมแค่ยังไม่ชินเท่านั้น แต่ผมไม่ได้รังเกียจคุณนะครับ”

ไซม่อนยกยิ้มให้กับความพยายามนั้นของผม เขาก้มลงแตะริมฝีปากที่แก้มผมอีกรอบ คราวนี้ผมไม่เกร็ง แค่หลับตาลงเบา ๆ ปล่อยให้เขาคลอเคลียอยู่ที่ใบหน้าและบริเวณซอกคอ เขาเลื่อนหน้าขึ้นมาจูบผมอย่างอ่อนหวาน ผมจูบเขาตอบ พร้อมกันนั้นก็เลื่อนแขนไปโอบรอบคอเขาราวกับต้องการพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าผมทำได้ ผมไม่ได้กลัวหรือรังเกียจเขา

ใช่ และตอนนี้ผมก็ไม่ได้กำลังฝืนตัวเองอยู่ด้วย

“อื้อ…” ผมครางในลำคอนิดหนึ่งเมื่อไซม่อนเริ่มกวาดลิ้นเข้ามาควานหาความหวานภายใน ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวขึ้น เหมือนมันจะหลุดออกมาจากอกเลย

มือแกร่งเลื่อนลงมาเลิกเสื้อผมขึ้นเล็กน้อยพอให้เห็นหน้าท้อง ดึงกางเกงท่อนล่างลงพอประมาณ นั่นทำให้ผมตกใจนิดหน่อยเพราะมันรวดเร็วและรวบรัดกว่าเมื่อคืนมาก ๆ แต่ก็พอจะเดาได้ล่ะนะว่าเขาต้องรีบไปทำงานต่อ

...แล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วยใช่ไหม ไอ้หมอนี่ ให้ตายสิ….

“อ๊ะ… อือ” ผมครางออกมาเบา ๆ ขณะที่คนด้านบนขยับสะโพกเอื่อย ๆ

สัมผัสอ่อนโยนจากปลายนิ้วลากลงมาบนยอดอก ผมบิดตัวน้อย ๆ พร้อมกับหอบหายใจระรัว ครั้งนี้มันไม่ได้รุนแรงเท่ากับครั้งแรก… ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ บางทีอาจเป็นเพราะครั้งนี้ผมไม่กลัวลนลานจนคิดอะไรไม่ออกแบบเมื่อคืนก็ได้

“ออสติน” ไซม่อนพึมพำเรียกผมขณะขยับเสื้อยืดที่ใส่อยู่ขึ้นไปกัดไว้ในปาก กล้ามเนื้อท้องเป็นมัด ๆ ของเขาที่เผยออกมาทำให้ผมหน้าร้อนวูบขึ้น เมื่อคืนมัวแต่สติแตกเลยไม่ได้สังเกตร่างกายของคนตรงหน้าเท่าไรเลย แต่หมอนี่หุ่นดีจริง ๆ สมแล้วที่ทำงานด้านนี้

“ฮะ… แฮ่ก” ผมหอบหายใจถี่ขึ้นเมื่อคนด้านบนเร่งจังหวะ ทุกส่วนของร่างกายที่ถูกเขาสัมผัสร้อนวูบวาบไปหมด มันยังทำให้ผมกลัวอยู่ แต่ก็ทำให้รู้สึกดีไปพร้อม ๆ กันด้วย แปลกดีที่คนเราสามารถกลัวอะไรบางอย่างที่อยากได้มากเหลือเกินไปพร้อม ๆ กันได้ด้วย แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ

“อึก” ผมครางออกมาเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่ไซม่อนโน้มตัวลงมาปิดปากผมด้วยริมฝีปากของเขาอีกรอบ

ผมเลื่อนแขนไปโอบรอบคอเขาอย่างรักใคร่ รู้สึกถึงไออุ่นจากแผ่นอกที่เสียดสีลงมาบนร่าง เขาเลื่อนมือมาลูบศีรษะผมอย่างอ่อนโยน ให้ตายเถอะ รู้สึกดีจนอยากจะร้องไห้ ความอบอุ่นจากร่างกายของมนุษย์เนี่ย ให้ความรู้สึกดีขนาดนี้เลยเหรอ หรือว่าเพราะว่าเป็นเขา มันถึงได้ให้ความรู้สึกชวนให้สบายใจแบบนี้

“ขอบคุณครับ ออสติน” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูทำให้ผมเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ผมจูบปากเขาเบา ๆ อีกรอบก่อนจะถามกลับ “เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ทุกอย่างเลย” คนผมน้ำตาลบลอนด์ยิ้ม เป็นยิ้มที่เห็นแล้วทำให้ผมใจแกว่งในอก เขาก้มลงมาคลอเคลียแถวแก้มผมอีกรอบก่อนจะพูดต่อ “ทั้งเรื่องของแดน เรื่องที่ยอมให้ผมสัมผัส เรื่องที่ยอมเปิดใจให้ผม… ผมไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไงดี คุณนึกไม่ออกหรอกว่าตอนนี้ผมมีความสุขขนาดไหน”

ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตามคำพูดของเขา ผมเลยอิงหน้าลงไปซบกับบ่าของเจ้าตัวเพื่อไม่ให้เขาสังเกตเห็น ได้ยินเสียงไซม่อนหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะเลื่อนมือมาลูบหัวผม จูบลงบนหน้าผากทีหนึ่ง สัมผัสของเขามันอ่อนหวานไปหมด พอเป็นแบบนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่ามากที่กลัวไปใหญ่โตก่อนหน้านี้

ผมไล่ให้ไซม่อนไปอาบน้ำส่วนตัวเองแค่ล้างหน้าแปรงฟัน ลงมาจัดการอาหารเช้าง่าย ๆ ให้เขา เช้ามากขนาดนี้แดนคงยังไม่ตื่น ส่วนอาของเขาก็ต้องไปทำงาน ผมจัดการชงกาแฟ ปิ้งขนมปัง ทอดไข่ดาวและเบคอน

“โห… ทำซะอลังการเลย” เขาว่าขณะที่ขยับมือผูกเนคไทบนคอ เดินเข้ามาหอมแก้มผมอีกรอบ และเนื่องจากว่าเราอยู่ไม่ได้อยู่บนเตียงกันคราวนี้ผมจึงสะดุ้งเฮือกพร้อมกับถอยหนีจากเขาไปอย่างรวดเร็ว หน้าร้อนไปหมด แถมไอ้หมอนี่ยังจะมาหัวเราะร่วนอีก

ผมยกมือขึ้นแตะแก้มของตัวเองนิดหน่อย มันร้อนจริง ๆ นะ แบบถ้าตอกไข่ลงไปคงสุกได้เลย

“ดูเหมือนคุณจะยังไม่ชินกับการถูกเนื้อต้องตัวอยู่ดีสินะครับ”

“อยู่ ๆ ใครจะไปชินง่าย ๆ แบบนั้นล่ะคุณ” ผมโวย

“ขนาดนอนด้วยกันไปแล้วเนี่ยนะ?”

“คงงั้นมั้ง”

“สงสัยผมต้องฝึกให้คุณบ่อย ๆ แล้วมั้งครับ” พูดพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ผมเลยถองศอกใส่สีข้างเขาไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ ไซม่อนแกล้งเป็นโอดโอยจากนั้นเริ่มเข้ามานัวเนีย เอานิ้วชี้จิ้มแก้มผมเหมือนต้องการจะง้อ

ถามจริง… นี่เราเป็นเด็กมัธยมจีบกันอยู่รึไง ทำตัวปัญญาอ่อนชะมัด

“เออ คุณ” ผมว่าขณะยื่นแยมสตอเบอร์รี่ให้เขา เจ้าตัวเอาไปปาดใส่หน้าขนมปัง “ก่อนหน้านี้ที่ผมบอกต้องไปศาลน่ะ”

“อ้อ ใช่” ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมามองขณะกัดขนมปัง “อาทิตย์หน้าสินะครับ”

“คุณสะดวกหรือเปล่า”

“แน่นอน ออสติน ผมล็อกวันไว้ให้คุณแล้ว”

ผมพยักหน้ารับ ดีใจกับคำพูดนั้นไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้น… ผมฝากแดนไว้กับคุณหน่อยนะครับ เดี๋ยวเย็น ๆ ผมจะมารับแกตามสัญญา”

“ได้ครับ” ผมยิ้ม นึกถึงเด็กชายแสนเรียบร้อยคนนั้นแล้วก็อยากพาแกไปเล่นน้ำที่ชายหาดตามที่เจ้าตัวต้องการ บางทีเราอาจไปตกปลากันอีกสักรอบ “ตั้งใจทำงานนะ ไซม่อน”

“ครับผม” เขาว่า ผมเดินไปส่งเขาที่รถ เราจูบกันเบา ๆ อีกรอบก่อนที่เขาจะขึ้นรถแล้วขับออกไป

ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า มันเปิดโล่ง สว่างสดใส ต่างกับเมื่อคืนที่ฝนตกหนักจนเหมือนพายุเข้า

วันนี้แดนคงได้เล่นทะเลสมใจอยากแล้ว

ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง เข้าห้องน้ำอาบน้ำ ทำภารกิจในยามเช้าของตัวเองเป็นเรื่องเป็นราวบ้าง อีกสักพักแดนก็คงตื่น ผมจะหาอาหารเช้าดีๆ ให้แกกิน พาแกไปเดินเล่นริมทะเล…

คิดถึงตรงนี้ผมก็อดนึกขันตัวเองไม่ได้ นี่ขนาดผมเป็นคนพูดเองนะว่าไม่ชอบให้ใครต่อใครเข้ามายุ่มย่าม ไม่ได้ชอบเด็กแล้วก็ไม่ชอบดูแลคนอื่น แต่ดูเหมือนผมจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองแล้วในครั้งนี้ แดนเป็นเด็กดี และคนที่พาเขาเข้ามาหาผมก็ไม่เลวร้ายขนาดนั้นเหมือนกัน

น้ำจากฝักบัวที่ตกลงมากระทบใบหน้าให้ความรู้สึกสดชื่น ผมปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงกับความคิดของตัวเองที่มีต่อผู้ชายคนนั้น คนที่ผมเพิ่งยอมให้เขาพาขึ้นเตียง… คนที่ผมเปิดใจให้แล้วยอมมีอะไรด้วยครั้งแรกในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานานแสนนาน…

ผมเคลื่อนมือไปลูบหน้าของตัวเอง พิจารณาสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างไซม่อนกับผม… ผมบอกว่าผมรักเขาตอนที่อยู่บนเตียง ผมหมายความตามนั้นจริงๆ หรือว่าพูดไปตามสถานการณ์เท่านั้นกันนะ

‘ออสติน’

เสียงทุ้มต่ำที่เรียกชื่อผมอย่างโหยหานั่น… นัยน์ตาคู่คมที่ดูลึกล้ำอย่างยากที่จะหยั่งถึง แต่ตอนที่อยู่บนเตียง มันสะท้อนออกมาให้เห็นแต่ภาพผมเท่านั้น

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า รู้สึกเลยว่ามันร้อนขึ้นวูบไปทั้งแถบ

“รัก… เหรอ” ผมพึมพำ ยังรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนอยู่ หยดน้ำยังคงเกาะอยู่ทั่วใบหน้า ผมพิงศีรษะลงกับผนัง ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลลงมาเป็นสาย

นั่นสินะ บางทีมันอาจจะเร็วเกินกว่าจะเรียกว่าความรักได้ บางที… ถ้าผมจะหาคำจำกัดความมาให้ความสัมพันธ์นี้สักคำ ผมคงใช้คำว่าสบายใจมากกว่าล่ะมั้ง

“หึ” ผมยกยิ้ม เลื่อนมือไปปิดฝักบัว ยกมือขึ้นปาดน้ำออกจากหน้าลวกๆ ทีหนึ่ง

เอาเถอะ… ยังไงผมก็ตอบตกลงคบกับเขาไปแล้ว

ค่อยๆ ดูกันต่อไปก็ได้

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-06-2017 19:15:12 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 7) P.1 [23/05/2017]
«ตอบ #31 เมื่อ25-05-2017 19:17:41 »

[ต่อ]




ผมกับไซม่อนมาถึงโรงแรมในย่านตัวเมืองลอสแองเจลิสก่อนวันที่ผมต้องขึ้นศาลจริง ๆ หนึ่งวัน เขาบอกว่าไม่อยากให้พวกเรารีบร้อนออกจากบ้านแต่เช้าตรู่และทำอะไรที่เร่งรัดจนเกินไป เหมือนเขาจะกังวลเรื่องสุขภาพของผมจริง ๆ มากกว่าที่ผมรู้สึกเองเสียอีก แต่ผมไม่ได้ไม่แคร์อะไรเรื่องสภาพร่างกายของตัวเองอย่างที่เขาคิดจริง ๆ หรอกนะ

ผมปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด กินยาทั้งเช้าและก่อนนอนมากกว่าสิบเม็ดต่อครั้ง ตรวจอุณหภูมิร่างกายเป็นระยะ ๆ เอาเป็นว่าผมเป็นคนไข้ที่ทำหน้าที่ดีจะตายไป บางทีไซม่อนก็ชอบทำให้ทุกอย่างดูเกินเหตุ

เราเปิดห้องโรงแรมใจกลางเมืองห้องหนึ่ง เป็นห้องที่มีเตียงเดี่ยวสองเตียง ผมตั้งใจมาทำงาน ขึ้นให้ปากคำกับไคล์ ไทเลอร์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม ไม่ได้ตั้งใจมาฮันนีมูน ผมหยิบแฟ้มเกี่ยวกับคดีฆาตกรตัวเลขขึ้นมาอ่านทวน พลิกดูเกี่ยวกับผลการชันสูตรศพที่ตัวเองเคยเขียนบันทึกเอาไว้ แน่นอนว่าผมยังจำได้เกือบทุกอย่าง แต่การจะขึ้นให้ปากคำแบบนี้ ผมจำเป็นต้องเป๊ะทุกเรื่อง ได้ยินไคล์บอกมาว่าทนายฝ่ายโจทก์ค่อนข้างอันตรายทีเดียว และผมไม่อยากพลาดท่าให้ตัวเองหน้าหงายในศาล เพราะการที่ผมซึ่งอยู่ฝ่ายจำเลยหน้าหงาย นั่นหมายความว่าไคล์เองก็จะหน้าหงายตามไปด้วย

ผมไม่อยากให้เพื่อนตัวเองอยู่ในสถานการณ์ตกที่นั่งลำบากมากกว่านี้ แค่ทุกวันนี้เท่าที่ฟังข่าวผ่านหูมาก็เหมือนเขาจะโดนโจมตีจากหลายทางอยู่แล้ว

“ออสตินครับ” ไซม่อนที่ลงไปซื้อน้ำกับของกินจิปาถะขึ้นมาบนห้องเอ่ยเรียก ผมกำลังจมอยู่กับบทความ หน้าข่าว เอกสารและหนังสือพิมพ์ทั้งหลายที่หยิบติดมือมา เสียงที่เขาเรียกจึงทำเอาผมอดสะดุ้งหน่อย ๆ ไม่ได้ เขาเดินมาประชิดตัวผม โน้มตัวลงมาแตะปลายจมูกบนผมแผ่วเบา ผมหลับตาแน่นอย่างทำตัวไม่ถูก คือใจเต้นน่ะ เต้นแน่ แต่ไม่รู้ว่าเต้นเพราะกลัวหรือเพราะตื่นเต้น ผมว่ามันคงเป็นทั้งสองอย่างรวมกัน ผมยังไม่ชินกับการโดนตัวจริง ๆ นั่นแหละ “ผมเอาน้ำส้มกับแซนด์วิชมาฝาก”

“ขอบคุณครับ” ผมว่า พลางเบี่ยงตัวออกจากเขาอย่างสุภาพ จากนั้นจึงรีบก้มลงอ่านเอกสารในมือต่อ

“โธ่ คุณนี่” เจ้าตัวเริ่มบ่น หยิบของที่ว่ามาออกจากถุงแล้วเอามาวางข้างผม “ไม่ยอมทำตัวหวานกับผมหน่อยเลยเหรอ ทีคราวก่อนที่เจอกันยังยอมให้ผมฟัดอยู่เลย”

“ผมมาทำงานนะคุณ” ผมว่า จริง ๆ แล้วการขึ้นปากคำก็ไม่ได้นับว่าเป็นงานจริง ๆ หรอก แต่ถึงยังไงผมก็อยากเต็มที่กับมัน ผมเป็นห่วงไคล์จริง ๆ เขาเป็นตำรวจที่ดี เขาทุ่มให้กับคดีที่เขาทำเต็มที่ทุกคดี เขาไม่สมควรโดนสังคมตราหน้าว่าเป็นฆาตกรเสียเอง

“งานคุณน่ะ พรุ่งนี้ต่างหาก” ไซม่อนว่า มีเสียงถอนใจปนมากับคำพูดนั้นเหมือนงอน ๆ เขาหยิบกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นมาเปิดแล้วเริ่มดื่ม ผมหันไปส่งยิ้มให้เขาอย่างเอาใจ รู้ดีว่าเขายอมไม่ดื่มเบียร์หรือแอลกอฮอล์เพราะผม น่ารักชะมัด “แต่นี่เวลาส่วนตัวของเรานะครับ คุณน่าจะวางมือจากเอกสารพวกนั้นบ้าง อีกอย่าง ยังไงซะคุณก็ตอบคำถามได้อยู่แล้ว”

“ผมแค่อยากจะรื้อฟื้นเท่านั้นแหละครับ ขอเวลาผมอีกนิดนะ” ผมต่อรอง ได้ยินไซม่อนแกล้งทำเสียงเหมือนครุ่นคิด ไม่พอใจ และนั่นทำให้ผมหัวเราะออกมา

“ห้านาทีพอไหม”

“ให้เยอะจังคุณ ขอมากกว่านั้นอีกนิดเถอะ”

“สิบนาที”

“ชั่วโมงหนึ่ง คุณถอดเสื้อผ้ารอไว้ได้เลย”

ไซม่อนระเบิดหัวเราะออกมาเลยคราวนี้ ผมเองก็อดไม่ได้ต้องหัวเราะเสียงดังตามเขาเหมือนกัน เขาเดินมาประชิดตัวผม ก้มลงจูบอีกรอบก่อนจะยอมผละไปในที่สุด

“มัดจำไว้ก่อนครับ”

“เหนียวตลอดเลย คุณเนี่ย”


 


 ผมถูกเบิกตัวขึ้นให้การหลังจากที่ศาลและคณะลูกขุนพักทานอาหารกลางวัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นให้ปากคำในศาล แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมห่างหายกับมันไปนาน และมันทำให้มือผมชื้นเหงื่อขึ้นมาด้วยความกังวลนิดหน่อย

ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบคณะลูกขุนทั้งหมด มองเลยไปยังฝ่ายโจทก์ที่มีทนายหนุ่มผมบลอนด์ทองอย่างสำรวจ หน้าตาของเขาหล่อเหลาเกินกว่าที่จะมาเป็นทนาย ข้าง ๆ ชายหนุ่มมีอดีตภรรยาของฆาตกรตัวเลข… หล่อนนี่เองที่เป็นคนรื้อฟื้นเรื่องทุกอย่างขึ้นมา

ผมหันกลับมาที่ฝ่ายอัยการหนุ่มที่มีรูปร่างค่อนข้างเจ้าเนื้อ ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างเขาคือจำเลยในคดีนี้ ไคล์ ไทเลอร์ ชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเข้มกับนัยน์ตาสีเดียวกันพยักหน้าให้ผมนิดหนึ่ง ส่วนไซม่อนที่มากับผมด้วยนั่งอยู่ที่นั่งด้านหลังสำหรับบุคคลทั่วไป มีคนมาดูการพิจารณาคดีในครั้งนี้พอสมควรถ้าเทียบกับครั้งอื่น ๆ ที่ผมเคยแวะเวียนมายังศาล มันทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทุกอย่างควบคุมได้ อย่างน้อยผมก็เชื่อแบบนั้นล่ะนะ

ผมเริ่มให้ปากคำอย่างละเอียดเกี่ยวกับศพของหญิงสาวคนหนึ่งที่เคยชันสูตร ผมรู้ว่าการเรียกผมขึ้นมาให้ปากคำเป็นแค่ของแถมเท่านั้นเพราะคนที่ถือข้อมูลเกี่ยวกับการชันสูตรเหยื่อทั้ง 6 ศพเป็นอีกคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะอธิบายทุกอย่างที่รู้อย่างละเอียดและใช้คำที่คนทั่วไปจะฟังเข้าใจง่ายที่สุด เวลาอยู่ในศาลมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ต่อให้ผมพูดศัพท์เชิงเทคนิคไป พวกทนายหรืออัยการจะชอบถามซอกแซกให้อธิบายศัพท์พวกนั้นให้เป็นคำที่ฟังดูเข้าใจง่ายอีกครั้ง เพราะงั้นผมถึงพยายามจะเลือกใช้คำให้มันง่ายแต่แรกเลย ยกเว้นบางคำที่ยังไงก็ไม่ได้จริง ๆ

ฝ่ายอัยการคือเด็กซ์เตอร์ เดล เขาถามคำถามที่ได้ซักซ้อมมาบ้างแล้วกับผม และผมก็ตอบไปตามนั้น จนกระทั่งถึงตอนที่ทนายฝั่งโจทก์จะขึ้นมาที่แท่นบ้างแล้ว นี่แหละคือช่วงเวลาที่เกมที่แท้จริงจะเริ่มขึ้น

วินเซนต์ ดี. เลสเตอร์… หรือที่เขาชอบให้ใครต่อใครเรียกว่าวินมากกว่าก้าวขึ้นมาด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจ นัยน์ตาสีฟ้าของเขาดูเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ท้าทาย สายตาคมกริบ รอยยิ้มเล็ก ๆ บนมุมปากของเขาดูเจ้าเล่ห์มากเกินกว่าจะเรียกว่าพยายามผูกมิตร แต่ก็อย่างที่ใคร ๆ รู้กัน จะมีคำอะไรใช้เรียกทนายได้เหมาะสมไปกว่าคำว่าเจ้าเล่ห์อีกล่ะ

เขาเปิดสมุดโน้ตแบบฉีกของเขา ก้มลงมองนิดหนึ่งก่อนจะเริ่มเอ่ยปากถาม

“ผมขอรบกวนให้คุณช่วยบอกคณะลูกขุนหน่อยได้ไหมครับ เรื่องรายละเอียดการเชื่อมโยงระหว่างเหยื่อทั้งหกรายเข้าด้วยกัน อะไรคือสิ่งที่บอกว่าพวกเขาเหล่านั้นถูกฆ่าโดยฆาตกรคนเดียวกัน”

“ตัวเลขตามร่างกายของพวกเขาครับ” ผมตอบคำถามนั้นอย่างระมัดระวัง แม้จะเชื่อว่าตัวเองได้พูดเรื่องนี้ไปก่อนหน้านี้แล้วตอนที่เดลเป็นฝ่ายขึ้นมาซักถามผมในรอบแรก แต่ผมไม่มีปัญหากับการพูดอะไรซ้ำซากอยู่แล้ว “ฆาตกรจะใช้มีดกรีดตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายของเหยื่อให้มันเป็นตัวเลข และเหยื่อทุกรายก็มีเลขห้าหลักปรากฎขึ้นอยู่ทุกราย เหมือนเป็นรหัส แต่ทางเราก็ไม่ได้มีหน้าที่ไขรหัสพวกนั้นจึงไม่สามารบอกได้ว่ามันคือรหัสอะไร นั่นเป็นงานของเจ้าหน้าที่สืบสวน”

“แล้วจนถึงทุกวันนี้ ทางตำรวจพบไหมครับว่าตัวเลขเหล่านั้นมีความหมายว่าอะไร”

ผมยักไหล่ มองท่าทีการขยับตัวของทนายหนุ่มตรงหน้า เขาเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่ามอง สำเนียงอังกฤษแบบผู้ดีของเขาทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูดียิ่งขึ้น นี่ยังไม่นับรวมเรื่องใบหน้าที่ดูราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นสักเล่มนั่นอีก ถ้าคณะลูกขุนทั้งหมดเป็นผู้หญิง บางทีไคล์อาจจแพ้คดีนี้ก็ได้

“ไม่ทราบสิครับ” ผมยักไหล่ “ผมไม่ได้อยู่ในส่วนที่จะรับรู้เรื่องนั้นจริง ๆ”

“คุณกำลังจะบอกว่า… ศพทั้งหกถูกเชื่อมโยงเข้ากับฆาตกรเพราะตัวเลขที่อยู่บนร่างกายของพวกเขาเท่านั้นใช่ไหมครับ?”

“ใช่ครับ สำหรับผมแล้วก็คงได้ข้อสรุปแบบนั้น”

วินเซนต์พยักหน้าราวกับเข้าอกเข้าใจอย่างถ่องแท้ ผมล่ะกลัวเวลาที่พวกทนายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคุณทำแบบนี้ที่สุดเลย

“มีการตรวจสอบดีเอ็นเอและซีรั่มไหมครับ”

“ไม่มีการตรวจสอบพวกนั้นหรอกครับ เพราะมัน...”

“ตอบแค่คำถามอย่างเดียวพอครับ คุณการ์ดเนอร์”

ผมอ้าปากค้างไว้อย่างนั้น นี่ผมเพิ่งโดนไอ้หมอนี่สั่งให้หยุดงั้นเหรอ พวกทนายนี่นะ...

เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสนเท่ห์ “แปลว่าทางทีมสืบสวนระบุทันที ทั้งที่ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าฮิว ฮูเปอร์เป็นฆาตกรจริงหรือเปล่า อย่างนั้นเหรอครับ?”

“เรื่องนั้น…” ผมอ้าปากจะพูด หากคนผมบลอนด์ทองส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ นัยน์ตาสีฟ้าของเขาอ่านยาก แต่รอยยิ้มนั้นติดจะเยาะ ๆ อยู่ในที

“ผมรู้ครับว่าทางทีมสืบสวนตัดสินเรื่องนี้ว่ายังไง เขาตัดสินมันด้วยกระสุนปืน โดยที่คุณฮูเปอร์ไม่มีโอกาสได้แก้ต่างให้ตัวเอง” 

“ค้านครับ” เดลพูดแทรกขึ้นมา สีหน้าของเขาดูเหลืออด “ศาลที่เคารพครับ คุณเลสเตอร์ไม่มีสิทธิ์--”

“ยื่นตามคำค้าน” ผู้พิพากษาโอเว่นพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เขาเป็นชายผิวดำที่น่าจะอยู่ในวัยสี่สิบปลาย ๆ เขาปรายตามองวินเซนต์ผ่านเลนส์แว่นของเขาเป็นเชิงเตือน “ขอร้องล่ะครับ คุณเลสเตอร์ ไม่มีลูกเล่นหรืออคติใด ๆ ทั้งนั้นในศาล คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม”

“ขออภัยครับ ศาลที่เคารพ” เขาว่า นั่นอาจทำให้ดูเหมือนเขาลดแต้มตัวเอง แต่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้น… ผมแอบคิดว่านั่นเป็นวิธีการที่เขาใช้เพื่อเพิ่มคะแนนให้ตัวเองต่อสายตาคณะลูกขุน ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองตกเป็นเบี้ยล่างเพราะแม้แต่ผู้พิพากษายังไม่เข้าข้าง หรือบางทีผมก็อาจคิดมากไปเองก็ได้

วินเซนต์เริ่มก้มลงมองสมุดในมือเขาก่อนจะถามต่อ “คุณการ์ดเนอร์ครับ ปกติแล้วเวลาคุณชันสูตรศพพวกนี้ คุณจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาถูกข่มขืนหรือสมยอม”

“ถ้าดูจากศพที่ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมกับทีมชันสูตรด้วย ศพนั้นแสดงให้เห็นถึงช่องคลอดที่ช้ำถลอกกว่าปกติ ต่อให้เป็นการร่วมเพศแบบสมยอมก็เถอะ” ผมพูด รู้สึกกระอักกระอ่วนในท้องขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่ผมนั่งไล่อ่านทวนเอกสารเมื่อวาน แล้วก็ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้… ผมคิดว่าตัวเองจะรับมือกับมันได้นะ ผมเคยทำได้นี่ “สำหรับศพรายอื่นผมไม่แน่ใจ แต่สำหรับรายนี้ หล่อนถึงกับมีรอยฉีกขาดในผนังช่องคลอด จากการประเมินของผม ใช่ หล่อนถูกทารุณกรรมระหว่างร่วมเพศแน่นอน แต่ผมไม่รู้แน่ชัดในส่วนของรายอื่น ๆ”

วินเซนต์ก้มลงขีดฆ่าสิ่งที่อยู่ในสมุดของเขา สีหน้าของเขาราบเรียบอ่านไม่ออกเหมือนเดิมขณะถามคำถามต่อมา

“แต่ผู้หญิงคนนี้น่ะ ดูจากอาชีพของหล่อนแล้ว… ลักษณะการมีเพศสัมพันธ์ของพวกหล่อนน่าจะเรียกได้ว่าค่อนข้างโลดโผนและรุนแรงทีเดียว” เขาว่า และเรื่องที่เหยื่อคนนั้นเป็นโสเภณีก็เป็นเรื่องที่ผมรู้ดี “คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอถูกขืนใจในการร่วมเพศนั้น”

“รอยช้ำถลอกพวกนั้นบอกได้ชัดเจนครับว่ามันจะเป็นขั้นที่เจ็บปวดมาก” ผมพูด ห่อไหล่ทั้งสองข้างลงโดยไม่รู้ตัว มือทั้งสองข้างกอดเข้ามากันหลวม ๆ รู้สึกเหมือนเหงื่อเริ่มไหลลงมาบนหน้า “ยิ่งช่องคลอดเป็นแผลฉีกขาดแบบนั้น…. ยังไงหล่อนก็โดนกระทำชำเรามาแน่ การตกเลือดก็ดูแล้วว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่หล่อนตาย ยังไงหล่อนก็โดนข่มขืนมาไม่ผิดแน่”

ทนายหนุ่มพยักหน้า ขีดเส้นลงในสมุดของเขาอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าเขาสังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดลงไปของผมรึเปล่า ขอให้เขาไม่สังเกตเห็นมันก็แล้วกัน

“ขอผมเปลี่ยนเรื่องสักหน่อยนะครับ คุณหมอการ์ดเนอร์”

“ครับ” ผมแทบจะขอบคุณเขาอยู่ในใจอยู่แล้ว การพูดเรื่องนี้ทำให้ผมหวนนึกถึงเรื่องเดิม ๆ ผมสาบานเลยว่าตอนที่ผมชันสูตรศพจริง ๆ ผมไม่ได้ทำตัวน่าสมเพชแบบนี้ แต่พอนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาแบบนี้แล้ว… มันเป็นอะไรที่ชวนให้ปั่นป่วนในท้องจริง ๆ

“ผมได้ยินมาว่าคุณค่อนข้างสนิทกับคุณไทเลอร์ เห็นว่าเป็นเพื่อนสมัยเรียน ถูกต้องไหมครับ”

“ครับ ใช่ครับ”

“ไม่ทราบว่าคุณรู้รึเปล่าครับว่าสายสืบไทเลอร์เสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก แม่ของเขาเองก็เป็นผู้หญิงแบบที่ถูกเรียกว่าโสเภณีอย่างที่ศพที่คุณได้ชันสูตรถูกเรียก---”

“ค้านครับ!” เดลพูดขัดขึ้นมา นั่นทำให้ผมหันหน้ากลับไปมองเพื่อนสนิทของตัวเอง หน้าของเขาร้อนวูบขึ้นมาอย่างอับอายก่อนเจ้าตัวจะเบือนหน้าหนีผม ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน และผมก็ไม่แปลกใจหรอกถ้าเขาจะไม่อยากให้รู้ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับกับการพิจารณาคดีนี้”

“ท่านครับ ผมพยายามชี้ให้เห็นว่าการกระทำของสายสืบไทเลอร์นั้นมีที่มาที่ไป” เขาว่า และเมื่อผู้พิพากษาพยักหน้าให้เขาก็พยายามเรียบเรียงใหม่อีกครั้งขณะเบือนหน้ากลับมาหาผม “แม่ของเขาถูกฆ่าตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็ก… และแม่ของเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้หญิงจำพวกนั้น”

ผมเห็นไคล์กำมือแน่นขึ้นในที่นั่งจำเลยของเขา ผมเองก็รู้สึกได้ว่าเหงื่อชุ่มมือไปหมดเหมือนกัน รู้แล้วว่าทนายตรงหน้านี้กำลังเดินหมากไปในทิศทางไหน

เขากำลังจะบอกว่า…. สาเหตุที่ไคล์ยิงฮูเปอร์ที่เป็นฆาตกรตัวเลขนั้น เป็นเพราะความแค้นและปมส่วนตัวของเขาที่มีต่อฆาตกรที่ฆ่าผู้หญิงโสเภณี…. แล้วผมจะแก้หมากตานี้ให้ไคล์ยังไงล่ะ ผมไม่เคยรู้เรื่องที่ว่านี่มาก่อนด้วยซ้ำ

“คุณไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อนเลยสินะครับ”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ก่อนจะต้องยอมรับ “ไม่ครับ ผมไม่ทราบ”

“แต่คุณก็เชื่อว่าการกระทำอุกอาจของเขา… ที่ไปเผชิญหน้ากับผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียวโดยไม่รอกำลังเสริม เป็นเหตุให้ถึงขั้นต้องยิงคุณฮูเปอร์น่ะ เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว อย่างนั้นใช่ไหมครับ?”

“นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เจ้าหน้าที่ไทเลอร์จะทำได้ในสถานการณ์นั้น อย่างน้อย… นั่นก็คือสิ่งที่ผมเชื่อ”

วินเซนต์พยักหน้าอีกรอบ จากนั้นเขาก็ยื่นกระดาษปึกหนึ่งมาไว้ตรงหน้าผม

“คุณช่วยบอกเราหน่อยได้ไหมครับว่านี่คืออะไร”

สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั่นทำให้ผมหน้าซีดเผือดลงกว่าเดิม มันคือสำเนาของใบเสร็จที่ทางมูลนิธินางฟ้าที่ผมส่งเงินบริจาคให้อยู่เกือบทุกเดือน แน่นอนล่ะว่าผมลดจำนวนเงินที่บริจาคให้มูลินิธนี้ลง แต่ผมก็ยังส่งให้ไม่ขาด

ถ้าคุณสงสัยล่ะก็… มูลนิธินี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อในการข่มขืนมาก่อน ผมรู้สึกว่ามือไม้ของตัวเองเย็นเยียบขึ้นมาทีเดียว

วินเซนต์เริ่มรุกถามคำถามผมมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมไม่รู้ตัวแล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังพูดอะไรตอบออกไปบ้าง ทิศทางการเดินหมากของเขามันชัดเจน เขาต้องการจะผลักไคล์ลงไปในหลุมที่เขาเพียรขุดขึ้นมา และการจะผลักเพื่อนผมลงไปได้เต็ม ๆ เขาต้องเริ่มจากฝังผมซึ่งเข้าข้างไคล์อย่างชัดเจนลงไปก่อน

“คุณมีความรู้สึกกับศพที่คุณชันสูตรไหม คุณหมอ”

“คุณเห็นอกเห็นใจพวกเขามากเกินกว่าที่ควรจะเป็นบ้างรึเปล่า”

“ก่อนหน้านี้มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง… เป็นโรงพยาบาลที่คุณเคยทำ มีชื่อตัวย่อของเหยื่อในข่าวนั้น”

“คุณเคยโดนข่มขืนมาก่อนเหรอ คุณหมอ” เสียงนั้นดังแว่ว ๆ อยู่ในหูผมราวกับมันมาจากที่ไกล ๆ “นั่นคือสาเหตุที่ทำให้คุณเข้าข้างเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ใช่ไหม”

“ขอค้านครับ!” เสียงนั้นแทรกผ่านเสียงหวีดหวิวที่อยู่ในหูผมทั้งหมดเข้ามา นั่นคือเสียงของเดล จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงท่านผู้พิพากษาโอเว่นที่เอ็ดอึงวินเซนต์เป็นการใหญ่

ผมคิดอะไรไม่ออก ได้แต่เงยมองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกอยากเอาหัวฟุบลงบนโต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยของทนายหนุ่มไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ ตามเคย แต่รอยยิ้มบนมุมปากของเขาเผยให้เห็นถึงชัยชนะอย่างชัดเจน

“หมดคำถามครับ”

จากนั้นวินเซน์ ดี. เลสเตอร์ก็เดินลงจากแท่นซักถามพยานไป






--------------------------------------------------
Talk: พาทนายมารู้จักทุกคนค่ะ 5555555 แล้วก็แวะมาแจ้งด้วยว่าต่อจากนี้เราอาจจะมาลงได้แค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง แล้วก้อาจจะครั้งละครึ่งตอน TvT แต่จะพยายามมาบ่อย ๆ นะคะ ถ้าลงตัวแล้วจะมาบอกนะว่าจะอัพทุกวันไหนบ้าง ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ!
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 8) P.2 [25/05/2017]
«ตอบ #32 เมื่อ25-05-2017 19:43:21 »

อาชีพทนายนี่ทำเราทั้งชื่นชมทั้งเกลียดได้เลยนะนี่ (อาจจะไม่ใช่สองความรู้สึกกับคนเดียวกัน)
คือยังไงดี มันเหมือนพวกอาศัยวาทศิลป์ประกอบกับการใช้จิตวิทยาหากินในคราบผู้ใช้กฎหมาย (ซึ่งบางครั้งมันก็ดูเป็นการละเมิดเรื่องส่วนตัวฝ่ายตรงข้ามเกินไป) นอกจากนี้ยังดูเป็นคนปลิ้นปล้อน (คำนี้อาจจะแรงไป) ชอบพลิกลิ้น เจ้าเล่ห์อีกด้วย
เรียกได้ว่าถ้าเป็นคนซื่อคนทื่อนี่เป็นทนายไม่ได้อ่ะ

ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 8) P.2 [25/05/2017]
«ตอบ #33 เมื่อ27-05-2017 23:48:56 »

รู้สึกถึงความเกลียดขี้้หน้า ทำไมทนายโหดเบอร์นี้ อ่าส์ สรุปที่ออสตินกลัวสัมผัส คือมาจากเรื่องนี้ ไซม่อนนางรู้อยู่แล้ชัวร์ เพราะนางด้าน

นี่ยังคาใจกับหัวใจออสติน มันแปลก ๆ ตรงที่กลัวสัมผัส แต่ดันยอมนอนกับไซม่อน แล้วไซม่อนดูเร้ารือกับหัวใจมาก นางรักแบรดมากกว่าน้องชายพี่ชายใช่ไหมดีดดิ้น


แต่ถ้าเจอทนายขุดคำถามแบบนี้ มันละลาบละล้วงมาก เกลียดขี้หน้าทนาย ก็ชั่งสรรหา แต่อยากรู้ไปอีก ทนายนางจะโดนพ่อตำรวจเล่นไหม ฉีกหน้ากันหนักมาก

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 8) P.2 [25/05/2017]
«ตอบ #34 เมื่อ28-05-2017 18:03:52 »


บทที่ 9



เดลกลับขึ้นมาอีกครั้งเพื่อกอบกู้สถานการณ์ที่เพิ่งเสียหายยับเยินไป ผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมต้องตั้งสติ เรียกความเยือกเย็นของตัวเองกลับมา แต่ตอนนี้มือมันชื้นไปหมด รู้สึกได้เลยว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเอง ทั้งคณะลูกขุนและบุคคลทั่วไปที่นั่งอยู่ในศาล บางทีพวกเขาอาจสลับกันมองผมกับไคล์ก็ได้ เพราะหมอนั่นเองก็เพิ่งโดนเปิดโปงเรื่องส่วนตัวที่เขาคงเก็บมันไว้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขนาดผมที่ถือว่าสนิทกับเจ้าตัวมากที่สุดยังไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนด้วยซ้ำ เพราะงั้น… การที่เขาจะหน้าซีดเผือดเป็นกระดาษแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ผมว่าผมเองก็หน้าซีดพอๆ กับเจ้าตัวนั่นแหละ

อัยการร่างท้วมตรงหน้ายกแขนขึ้นปาดเหงื่อเล็กน้อย เขาเองก็คงรู้สึกกดดันไม่ต่างจากผมหรือไคล์เท่าไรนัก จากนั้นเจ้าตัวจึงเริ่มตั้งคำถาม “คุณการ์ดเนอร์ครับ ตอนที่ทนายฝ่ายโจทก์ถามเรื่องดีเอ็นเอกับซีรั่ม คุณบอกว่าไม่มีการตรวจสอบเรื่องนั้น เพราะอะไรครับ”

“เพราะไม่มีอะไรจะให้ทดสอบครับ” ผมว่า สูดลมหายใจเข้าปอดทีหนึ่งเพื่อผ่อนคลายตัวเอง “ฆาตกรใช้ถุงยางทุกครั้งที่ลงมือ ทำให้ไม่มีตัวอย่างน้ำอสุจิจากร่างกายของเหยื่อ ซึ่งสาเหตุนี้เราเลยไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามันตรงกันกับดีเอ็นเอของคุณฮูเปอร์”

เดลพยักหน้า ก้มลงมองสมุดในมือ “ก่อนหน้านี้คุณได้อธิบายเราไปแล้วเรื่องที่ว่าจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ตายสมยอมหรือถูกขืนใจในการร่วมเพศ แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าฆาตกรใช้ถุงยางล่ะครับ บางทีเขาอาจใช้วัตถุแปลกปลอมหรืออะไรอย่างอื่นก็ได้ไม่ใช่หรือครับ และถ้าเป็นแบบนั้นก็จะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่มีน้ำอสุจิอยู่”

ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหน่อยกับคำถามนี้ แต่ผมก็เดาได้อยู่แล้วว่ามันต้องมา “ก็อาจเป็นได้ครับ แต่ในกรณีของศพที่ผมร่วมชันสูตรด้วย ผู้ตายถูกข่มขืนโดยที่คนร้ายสวมถุงยางไว้แน่นอน เพราะว่าเราได้ทำเรปคิต-- ผมหมายถึง การทดสอบตัวอย่างที่เก็บมาจากร่างกายของคนที่อาจเป็นเหยื่อจากการข่มขืนน่ะครับ ในกรณีที่เป็นผู้หญิง เราจะกวาดเข้าไปในช่องคลอดและทวารหนัก แล้วก็กวาดบริเวณขนหัวหน่าวเพื่อหาขนหรือสิ่งแปลกปลอมที่อาจเป็นหลักฐานในการไขคดีได้ ซึ่งสาเหตุที่ผมบอกว่าคนร้ายใช้ถุงยาง นั่นก็เพราะเจอสารอย่างหนึ่งจากการทำเรปคิตที่ว่านี่”

“สารที่ว่านั่นคืออะไรเหรอครับ”

“สารที่เราเจอในเหยื่อรายนี้เป็นสารหล่อลื่นกับถุงยางครับ ซึ่งจากการนำไปเทียบกับเหยื่อรายอื่นๆ ปรากฎว่ามีสารแบบเดียวกันตกค้างอยู่ด้วยเช่นกัน”

เดลพยักหน้าพร้อมกับเริ่มขีดฆ่าคำถามในสมุดของเขา “ผมได้ยินมาว่าคุณมีโอกาสได้ชันสูตรศพของคุณฮูเปอร์ด้วย ใช่หรือเปล่าครับ”

“ครับ” ผมว่า เกือบจะหลุดคำว่า ‘แค่นิดเดียว’ ออกไปแล้วแต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทัน อะไรที่ไม่ได้ช่วยให้ฝ่ายจำเลยดีขึ้น ผมต้องไม่พูด บางทีผมก็ลืมเรื่องนี้อยู่เรื่อย

“นอกจากที่คุณบอกพวกเรามาแล้ว มีอะไรอย่างอื่นที่คุณได้ตรวจสอบในคดีนี้อีกไหมครับ คุณหมอ”

ผมพยักหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ “ครับ ทางเจ้าหน้าที่เอากล่องถุงยางอนามัยแบบมีสารหล่อลื่น… แบบเดียวกับที่เราตรวจพบในตัวผู้ตาย”

“หมดคำถามครับ” เดลว่า ปิดสมุดฉีกของตัวเองลง ก้าวเท้ากลับไปที่โต๊ะด้วยท่าทีมั่นใจมากขึ้นราวกับว่าเขาปิดฉากลงได้แล้วอย่างสวยงาม หากวินพูดแทรกขึ้นมาแทบจะในทันที

“เดี๋ยวก่อนครับท่าน”

“คุณเลสเตอร์ มีอะไรครับ” ผู้พิพากษาโอเว่นดูอ่อนใจ

ผมเริ่มเกร็งตัวขึ้นมาอีกรอบด้วยความรู้สึกมวนๆ ไอ้หมอนี่ขึ้นแท่นมาทีไรไม่ใช่เรื่องดีทุกที ก็ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามผม

“สั้นๆ เท่านั้นครับ ศาลที่เคารพ” เขาว่าพร้อมกับลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งแล้วตรงมาทางผม  “คุณการ์ดเนอร์ครับ คุณได้บอกว่าตอนที่ทำการตรวจสอบ ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการหวีกวาดขนหัวหน่าวแปลกปลอม ถูกต้องไหมครับ”

นี่เราวกกลับมาประเด็นนี้อีกแล้วเหรอ “ใช่ครับ”

“ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นครับ”

“เพราะบางทีเราอาจเจอหลักฐานมัดตัวคนลงมือได้ครับ หลายครั้งที่เราสามารถเก็บเอาขนที่หลุดอยู่ติดมาได้ และบ่อยครั้งที่ขนที่ว่านี่เป็นของผู้ลงมือ หรือคนที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ตาย”

“แล้วมันไปติดอยู่ตรงนั้นได้ยังไงครับ”

ผมชะงักกึกไป หน้าร้อนวูบอย่างรู้สึกได้ มองหน้าคนถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ วินยังคงทำลอยหน้าลอยตาราวกับสิ่งที่เขาถามออกมานั้นแสนจะธรรมดา สีหน้าราบเรียบหากคาดคั้นจะเอาคำตอบ ทำไมเพื่อนผมต้องมาเจอทนายแบบไอ้หมอนี่ด้วยเนี่ย

“ก็… เอ่อ ผมเชื่อว่าในระหว่างร่วมเพศน่ะ แบบว่า… ร่างกายก็มีการเสียดสีกัน ถูกต้องไหมครับ”

“ผมเป็นคนถามคำถามนะครับ คุณการ์ดเนอร์ และคุณก็ต้องเป็นคนตอบคำถามนั้น”

มีเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างสุภาพลอยมาจากที่นั่งของบุคคลทั่วไป ผมรู้เลยว่าตอนนี้หน้าผมต้องแดงไปถึงหูแน่ ไม่กล้าหันไปมองไคล์หรือคนอื่นๆ เลย นี่ไอ้หมอนี่ต้องเก็บให้ได้ทุกเม็ดเลยใช่ไหม

"เอ่อ ก็ เวลาที่มีเพศสัมพันธ์ เป็นไปได้ว่าอาจมีการถ่ายโอนระหว่างกัน ทำให้ขนของอีกฝ่ายมาอยู่ติดอยู่กับอีกฝ่าย อะไรแบบนั้นแหละครับ"

อย่าถามต่อนะ เพราะถ้าเขายังถามต่อ คราวนี้ผมจะบอกให้เขาถกกางเกงแล้วสาธิตให้ดูแล้ว

"แล้วได้มีการตรวจสอบหาความสอดคล้องระหว่างขนหัวหน่าวแปลกปลอมที่ติดอยู่บนร่างของผู้ตายว่าตรงกับของคุณฮูเปอร์หรือเปล่าครับ"

เขากำลังก้าวมาในทิศทางนี้แล้ว มันเป็นทิศทางที่ผมอยากให้เขาหลุดเข้ามาตลอด แต่ก็เกรงกลัวอยู่ไม่น้อยเหมือนกันว่านี่เป็นกับดักของเขาอีกหรือเปล่า

"ไม่มีครับ ไม่มีการตรวจสอบหาความสอดคล้องดังกล่าว" ผมตอบ ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้นอย่างตื่นเต้น อยากจะรู้นักว่าคราวนี้หมากของใครจะถูกกิน

วินเซนต์เลิกคิ้วขึ้นทันที นัยน์ตาสีฟ้าของเขามีประกายแห่งชัยชนะวูบขึ้นมา

"เดี๋ยวก่อนนะครับ" เขายกมือขึ้นข้างหนึ่ง พูดอย่างมีชั้นเชิง แสร้งทำสีหน้าประหลาดใจกับคำตอบนั้น "คุณบอกว่า... ไม่มีการตรวจสอบเทียบเพื่อพิสูจน์ในเรื่องนี้งั้นหรือ"

เขาพลาดแล้ว ถึงตรงนี้ ผมถึงกับยกยิ้มเล็กๆ บนมุมปากทันที แม้ว่าจะยังรู้สึกถึงเหงื่อที่ชื้นบนอุ้งมือก็ตาม "ใช่ครับ เพราะไม่มีขนแปลกปลอมอยู่บนร่างของผู้ตาย ผมพูดถึงทั้งเหยื่อและตัวคุณฮูเปอร์เองด้วยนะ เขาโกนขนตรงนั้นของตัวเองออกทั้งหมดตอนที่พวกเราชันสูตรศพเขา"

นัยน์ตาของวินฉายแววแปลกใจขึ้นมาวูบ จากนั้นมันก็เปลี่ยนไปเป็นว่างเปล่า เขาเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น เกือบจะถอนหายใจออกมาอยู่แล้วแต่ก็กลั้นไว้ได้ เขาปิดสมุดในมือของตัวเองลงฉับ

"หมดคำถามครับ" จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ของตัวเอง ผมยังคงมียิ้มเล็กๆ ประดับอยู่บนริมฝีปากแบบนั้น

ใช่แล้ว ฮิว ฮูเปอร์โกนขนตรงส่วนนั้นออกไปจนหมด ก็เพราะเขาวางแผนไว้แล้ว... เตรียมการไว้แล้วยังไงล่ะ ว่าขนพวกนั้นมันจะต้องไม่ไปติดอยู่บนตัวเหยื่อให้กลายมาเป็นหลักฐานย้อนกลับมาเล่นงานตัวเขาเอง

เขานั่นแหละคือฆาตกรตัวจริง

ดูเหมือนว่าผมจะกู้แต้มให้ไคล์ได้บ้างแล้ว



.
.
.
.
.
.
(50%)






---------------------------------
Talk: หลังจากเอาทนายมาออกโรง รู้สึกจะโดนเกลียดขี้หน้าไปเต็มที่เลย 555555 //โถ วิน ไม่ร้องนะคะ ลูก// ในที่สุดฉากเชือดเฉือนบนศาลก็จบ ใช้เวลาเขียนนานมากค่ะ บอกเลย ถ้าทุกคนสนุกไปกับฉากนี้บ้างก็คงดีน้าาา >w<
วันนี้เอา 50% มาให้ก่อนนะคะ ขอโทษด้วยน้าที่ไม่ได้มาเต็มตอนเหมือนเดิม >_<;;; แต่จะรีบเอาอีกครึ่งตอนที่เหลือมาลงนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ!
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(50%) P.2 [28/05/2017]
«ตอบ #35 เมื่อ28-05-2017 18:41:02 »

เกลียดทนายแบบนี้มากกกก ไล่ต้อนๆ  จนดูเหมือนไม่มีมารยาท 5555 อินๆ

ออฟไลน์ sembia

  • Me as me.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(50%) P.2 [28/05/2017]
«ตอบ #36 เมื่อ28-05-2017 20:40:31 »

สนุกมากเลยค่ะ  ไม่ได้อ่านนิยายสนุก มีปมแบบนี้นานแล้ว  เป็นกำลังใจให้นักเขียนค่ะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(50%) P.2 [28/05/2017]
«ตอบ #37 เมื่อ29-05-2017 17:52:32 »

เกลียดทนายแบบนี้มากกกก ไล่ต้อนๆ  จนดูเหมือนไม่มีมารยาท 5555 อินๆ

โอ๊ย ทนายโดนเกลียด 5555555 แต่ยังไงก็ดีใจที่อินนะคะ ฮาาาาา


สนุกมากเลยค่ะ  ไม่ได้อ่านนิยายสนุก มีปมแบบนี้นานแล้ว  เป็นกำลังใจให้นักเขียนค่ะ

แง้ ขอบคุณมากเลยค่าาาา แค่มีคนชอบเราก็ดีใจแล้วววว TvT ยังไงก็ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ!

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(50%) P.2 [28/05/2017]
«ตอบ #38 เมื่อ30-05-2017 19:09:45 »


[ต่อ]




“ไคล์”

“ออสติน”

ผมตรงเข้าไปหาเจ้าหน้าที่สืบสวนผู้เป็นเพื่อนสนิทของผมทันทีที่ศาลเลิก เขาอ้าแขนออกเล็กน้อย ผมสวมกอดเขาหลวมๆ ทีหนึ่งจากนั้นก็ผละออก ตั้งแต่ที่ผมมีอาการไม่ถูกกับการสัมผัสโดนตัวคน ไคล์เป็นคนเดียวที่ผมสามารถแตะเนื้อต้องตัวได้โดยไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของไซม่อนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาต้องกำลังมองมาด้วยความแปลกใจแน่ๆ

"ขอบคุณที่มานะ" เขาพูดยิ้มๆ แม้ว่าสีหน้าจะบ่งบอกว่าอิดโรยราวกับไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็ตาม ผมไม่ค่อยแปลกใจหรอก บางทีคดีที่เขาสืบอยู่ตอนนี้คงค่อนข้างตึงมือ แล้วยังต้องมาขึ้นโรงขึ้นศาลแบบนี้อีก "นายช่วยฉันไว้ได้เยอะจริงๆ"

"แต่ก็โดนถล่มไปหลายยกเหมือนกัน" ผมว่าพร้อมกับเบ้ปาก ถ้านี่คือสงคราม ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงต้องเรียกได้ว่าบอบช้ำไปพอๆ กัน แม้ว่าฝ่ายจำเลยอย่างไคล์จะดีกว่าหน่อยตรงที่ปิดท้ายสวย แต่ฝั่งทนายโจทก์ก็ทำแต้มไปไม่น้อยเหมือนกัน

"นายโอเคไหม" คนตรงหน้าถามผมด้วยสีหน้ากังวลขึ้น ผมนิ่งไปเล็กน้อย รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร

"ฉันโอเค" ผมว่าพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง "แต่ยอมรับว่าตกใจมาก... ไม่คิดว่าหมอนั่นจะเล่นงานฉันหนักขนาดนี้ ไม่สิ ไม่คิดว่าหมอนั่นจะรู้”

"ใช่" ไคล์พยักหน้า "ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน"

ผมและไคล์ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเงียบไปพักหนึ่ง เขารู้เรื่องของผม แต่ผมไม่เคยรู้เรื่องของเขา นั่นทำให้เรากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เรื่องเกี่ยวกับเขาที่ผมเพิ่งรู้มาค่อนข้างหนัก และผมคิดว่าเราเจออะไรหนักๆ มามากพอแล้วสำหรับวันนี้

"เอ่อ ไคล์ นี่ไซม่อน แมคแนร์ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง เขาเป็นคนที่ขับรถพาฉันมานี่ ที่ฉันเล่าให้นายฟังไง"

"สวัสดีครับ" ชายหนุ่มทั้งสองคนจับมือทักทายกัน ไซม่อนเป็นคนส่งยิ้มแสดงความเป็นมิตรก่อน "เหนื่อยหน่อยนะครับในศาลวันนี้ แถมเรื่องที่โดนฟ้องนี่ก็หนักพอสมควรเลย ยังไงก็พยายามเข้านะครับ"

"ขอบคุณครับ" ไคล์ว่าพร้อมกับมองที่ไซม่อน จากนั้นก็เบือนสายตามาทางผม "แล้วนี่พวกคุณสองคนไปรู้จักกันได้ยังไง ผมนึกว่าออสตินโดนสั่งพักงานอยู่เสียอีก"

"อ้อ ใช่ ฉันโดนสั่งพักงานอยู่แน่ล่ะ" ผมว่า รู้สึกว่าหน้าตัวเองเริ่มร้อนขึ้น "คือว่า... ฉันกับไซม่อนน่ะ เราเดทกันอยู่"

ผมไม่กล้ามองหน้าไคล์เต็มๆ กับไซม่อนยิ่งแล้วใหญ่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่ไคล์ดูชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดยิ้มๆ

"อย่างนี้นี่เอง"

“อื้อ”

ถ้าเป็นคนอื่น บางทีคนคนนั้นอาจจะเริ่มถามต่อแล้วว่าไปเจอกันที่ไหนหรืออะไรแบบนั้น แต่นี่คือไคล์ เขาเป็นคนไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของเขาก็ตาม ซึ่งผมชอบในจุดนั้นของเขานะ ผมเองก็ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเจ้าตัวเหมือนกัน ไคล์พยักหน้ารับเรียบๆ จากนั้นจึงเลื่อนมือมาตบบ่าผม

"ยินดีด้วยนะ"

"ขอบใจ" ผมตอบ จากนั้นก็หันไปส่งยิ้มให้ไซม่อนนิดหนึ่ง ใจแกว่งขึ้นมาเมื่อชายหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนตอบให้ผม

บทสนทนาของพวกเราชะงักไปเล็กน้อยเมื่อวินเซนต์เดินสวนผ่านมา นัยน์ตาสีฟ้าคมกริบของเขาเหลือบมองมาทางพวกเราอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมเผลอสบตากับเขาเสี้ยววินาทีหนึ่ง แต่พวกเราก็เบือนมันออกจากกันอย่างรวดเร็ว หรือไม่ก็อาจแค่ผมคนเดียว... ผมหมายถึง ก็เราเพิ่งปะทะกันมาในศาลนี่ ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไงกับเขา

"แต่วินเซนต์ เลสเตอร์นี่ ร้ายมากนะ" ผมพูดออกมาอย่างอดไม่อยู่ อย่างน้อยก็แน่ใจแล้วว่าเจ้าตัวไม่ได้อยู่แถวนี้แน่แล้ว "ขนาดฉันเป็นแค่คนที่จะขึ้นให้การ ไม่ใช่จำเลยแท้ๆ หมอนั่นยังไปขุดมาซะลึก สืบมาจนได้ นี่เขามีแหล่งข่าวที่ไหนกันแน่เนี่ย"

ไคล์ไม่ตอบ อาจเป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้คำตอบนั้นเหมือนกัน หากนัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาฉายแววครุ่นคิด และถ้าผมดูไม่ผิด... มันมีประกายโกรธกรุ่นคนที่พวกเรากำลังพูดถึงกันอยู่หน่อยๆ ด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหรอกที่เขาจะโกรธ ก็เพิ่งโดนฉีกหน้าไปกลางศาลแบบนั้น เพียงแต่ผมไม่ค่อยเห็นหมอนี่โมโหใครเท่าไรนัก ผมจึงรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย

ผมกับไซม่อนขอตัวแยกออกมา ไคล์เองก็บอกว่าเขาต้องรีบไปทำงานต่อเหมือนกัน ทันทีที่พวกเราประจำที่บนรถ ผมดึงเข็มขัดนิรภัยลงมาคาด คิดถึงเรื่องทีเกิดขึ้นในศาลและท่าทีที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความตกใจของคนข้างตัว ผมพูดออกมาเสียงเรียบ

"คุณรู้อยู่แล้ว" คนข้างตัวผมนิ่งเงียบ มือวางอยู่บนพวงมาลัยโดยที่ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่อง นิ้วเรียวเคาะลงกับมันเล็กน้อยด้วยความประหม่า "คุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ไซม่อน"

ยังคงเงียบ

"คุณรู้ว่าผมเคยโดนข่มขืนมาก่อน"

ถึงตรงนี้ชายหนุ่มข้างตัวผมก็เสมองไปนอกหน้าต่างฝั่งคนขับ ผมได้ยินเขาสูดลมหายใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง

"ตอนที่เรานอนด้วยกันครั้งแรก คุณบอกผมว่าไม่ต้องกลัว คุณไม่ใช่คนที่ผมกลัว... คุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว คุณรู้อยู่แล้วว่าผมเคยโดนข่มขืน"

ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกถึงอารมณ์ที่รุนแรงมากขึ้นของตัวเอง มือของผมเริ่มสั่นขณะที่ผมกำมันไว้แน่น ความปั่นป่วนภายในทำให้หัวของผมตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าโมโหคนข้างตัวจนแทบอยากจะถีบให้ตกจากรถ

"ทำไมคุณถึงได้เก็บเงียบเรื่องนี้ล่ะ คุณเจ้าหน้าที่ รู้สึกสังเวชผมงั้นเหรอ?"

"ไม่ใช่"  ใบหน้าของเขาเริ่มแดงด้วยความละอาย แต่หน้าผมก็แดงด้วยความโกรธอยู่เหมือนกัน ไซม่อนตวัดนัยน์ตาฟ้าอมเทาคู่สวยของเขากลับมามองหน้าผม มีร่องรอยตัดพ้อระคนสำนึกผิดอยู่ในนั้น "แต่คุณจะให้ผมพูดยังไงล่ะ ผมเพิ่งจะได้คุยกับคุณเป็นครั้งแรก ผมควรจะบอกว่า ‘เฮ้ หวัดดี คุณคือคนที่ได้หัวใจของพี่ชายผมไป แล้วผมก็รู้เรื่องที่คุณเคยโดนข่มขืนด้วย’ แบบนั้นเหรอ ออสติน คุณอยากให้ผมพูดแบบนั้นเหรอ"

ถึงคราวที่ผมต้องสูดลมหายใจแรงๆ เข้าปอดบ้าง ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง สิ่งที่เขาพูดมามีเหตุผลจนยากที่จะปฏิเสธ แต่ผมก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี รู้สึกเหมือนโดนเขาหลอก เหมือนเขามีเรื่องที่ปิดบัง แต่มันก็จริงของเขาอีกนั่นแหละที่อยู่ๆ จะให้เขามาพูดเรื่องแบบนี้ ยิ่งตัวผมเองอยากจะลืมมันไปอยู่แล้ว ที่เขาตัดสินใจไม่พูดถึงก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไร

“ออสตินครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง เขาเลื่อนมือมาจะแตะใบหน้าผมแต่ผมปัดมือนั้นออก นัยน์ตาคู่คมไหววูบทันที มันดูรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ และผมสัมผัสได้ถึงความกลัวของเขา สายตาแบบนั้นทำให้ผมใจอ่อนยวบทีเดียว “ผมขอโทษ ออสติน ผมไม่ได้คิดจะปิดบังคุณเรื่องที่ผมรู้ แต่… ผมก็แค่คิดว่าบางทีคุณคงอยากจะลืมมันและคงไม่อยากพูดถึงมันอีกก็เท่านั้น อีกอย่าง แค่เรื่องของพี่ผมก็หนักหนาสำหรับคุณเกินพอแล้ว อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้น”

คำอธิบายของเขาในครั้งนี้ทำให้ความโกรธของผมหายไป อันที่จริง… ผมไม่เชิงว่าโกรธเขาหรอก มันเหมือนสับสนมากกว่า จะพูดยังไงดีล่ะ ผมเพิ่งเปิดใจให้เขาได้ไม่นาน ยอมนอนกับเขาทั้งที่หลายเดือนที่ผ่านมาผมไม่ยอมแตะต้องตัวใคร การที่เขารู้เรื่องที่ผมเคยโดนขืนใจมา… มันไม่ใช่อะไรที่น่ายินดีเลย

ผมรู้สึกว่าหางตาร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ผมไม่ได้เสียใจที่เขารู้เรื่องนี้ ไม่ได้เสียใจที่เขาปิดบัง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังเสียใจเรื่องอะไร มันน่าจะเรียกว่าอัดอั้น อึดอัดมากกว่าเสียใจ เรื่องนั้นมันผ่านมานานแล้วสำหรับผม ผมบอกกับตัวเองว่าผมต้องก้าวต่อไปข้างหน้า แต่จนแล้วจนรอดคนเราก็ไม่สามารถลบอดีตของตัวเองไปได้ใช่ไหม

ตอนที่อยู่ในศาล… ตอนที่ผมกำลังโดนเปิดโปงความลับของตัวเองต่อหน้าคนทั้งหมด รู้สึกราวกับโดนทนายหนุ่มคนนั้นเอาขวานจามลงมาบนเปลือกที่ผมสร้างเอาไว้รอบตัวเพื่อปกป้องตัวเองให้มันทลายลง ผมรู้สึกถึงความเปราะบางของตัวเอง ยิ่งคิดว่าไซ่ม่อนเองก็นั่งอยู่สถานที่แห่งนั้นแล้วตัวของผมยิ่งสั่น

ผมเคยคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง คิดว่าตัวเองคงจะลืมเรื่องนั้นแล้วก้าวต่อไปได้ แต่จริงๆ แล้วไม่เลย สิ่งที่แสดงออกมาชัดเจนที่สุดคือเรื่องที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ยอมโดนตัวใครนี่ไง เหตุการณ์ในตอนนั้นมันฝังใจผม หยั่งรากลึกลงไปถึงส่วนลึกของจิตใจ

ผมกลัวที่จะต้องยอมรับความจริงเรื่องที่ผมไม่เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับเหตุการณ์ตอนนั้น ผมกลัว ผมก็เลยเลือกที่จะสร้างเกราะป้องกันให้ตัวเอง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่เหรอ มันก็แค่กลไกตามธรรมชาติของมนุษย์เราที่ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดแบบที่เคยเจอมาซ้ำอีกครั้ง แต่หลายครั้งที่เราลืมไปว่าความเข้มแข็งที่เราคิดว่ามี ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่เกราะบางๆ ฉาบไว้เท่านั้น หากมันถูกทำลายลงก็เหลือเพียงความเปราะบางที่เหมือนจะแตกหักได้ทุกเมื่อเท่านั้น

และตอนนี้… ผมก็กำลังกลัวว่าตัวเองจะแตกหัก

ผมยกมือขึ้นมากอดแขนหลวมๆ รู้สึกเหมือนรอบตัวเย็นขึ้นมาทั้งๆ ที่รถยังไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ

เขารู้เรื่องที่ผมเคยโดนข่มขืน…. ใช่สิ เขาก็ต้องรู้อยู่แล้ว ในเมื่อเขาสืบประวัติผมมาก่อนที่จะมาเจอ ผมโง่เองที่ลืมคิดเรื่องนี้ไป แล้วไอ้ที่เขาจะไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดมันก็เรื่องปกติอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นความผิดพลาดของผมเองด้วยซ้ำที่ไม่ทันนึกให้ดีๆ เขาอาจจะคิดว่าผมต้องเดาได้อยู่แล้วก็ได้

โอย…. ปวดหัวกับตัวเองชะมัด

“ออสตินครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลคงเพราะเห็นว่าผมเงียบไป มือหนาเลื่อนมาประคองใบหน้าผมให้หันกลับไปมอง และคราวนี้ผมยอมหันไปแต่โดยดี “คนดี ยกโทษให้ผมได้ไหม?”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น ไม่บอกเขาว่าผมไม่ได้โกรธ แค่อึดอัด สับสน… ผมหลับตาลงช้าๆ ขณะที่ไซม่อนเลื่อนหน้าลงมาประทับจูบแผ่วเบา สัมผัสนุ่มๆ นั่นทำให้ผมคลายความกังวลลง ชวนให้ผ่อนคลายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

ไซม่อนค่อยๆ ผละหน้าออกพร้อมกับลืมตาขึ้น ผมมองตาเขา นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่สวยคู่นั้น ตาที่ทำให้ผมตกลงไปในเหวของเขา มันมีร่องรอยกังวลใจรวมไปถึงไม่มั่นใจเล็กน้อยปนอยู่ในนั้น

“ออสติน” เขาเรียกผม เลื่อนมือมาเกลี่ยปอยผมที่แก้มเล็กน้อย สายตาของเขาเว้าวอนแกมร้องขอ “อย่าโกรธผมเลยนะ”

“อืม” ผมยอมพูดออกมาจนได้ และได้เห็นรอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากเขาสมใจ
ใช่แล้ว… สีหน้าแบบนี้ของหมอนี่ต่างหากที่ผมชอบ เขาเคลื่อนตัวมากอดผม ทาบริมฝีปากลงบนหน้าผากอย่างง้องอน ผมว่านี่ชักจะเยอะเกินไปล่ะ คิดว่าตัวเองเป็นเด็กมัธยมปลายเรอะ

“พอๆๆๆ” ผมว่า ไม่สนหน้าที่ร้อนขึ้นของตัวเอง “สตาร์ทรถได้แล้ว คุณ เดี๋ยววันนี้ก็ไม่ถึงบ้านหรอก ค่ำๆ รถยิ่งติดอยู่”

ไซม่อนหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาดูสดใสและร่าเริงเกินเหตุสำหรับคนที่เพิ่งจะสลด ทำเอาผมอยากจะถองสีข้างเขาสักที แต่มันขับรถให้ผมนั่งอยู่ไงครับ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาผมก็ตายด้วย ไม่คุ้มอย่างแรง

เสียงเพลงจากเครื่องเล่นดังคลอเบาๆ ผมได้ยินไซม่อนฮัมเพลงตามเนิบๆ แล้วอดอมยิ้มไม่ได้ เสมองออกไปมองนอกหน้าต่าง ในเมืองใหญ่นี่มันตึกเยอะจริงๆ ถึงยังไงผมก็ชอบใช้ชีวิตอยู่ติดทะเลมากกว่านั่นแหละ ถึงตอนที่ยังทำงานจะไปๆ มาๆ กับอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ใกล้ที่ทำงานกว่าก็เถอะ

“แล้ว” ไซม่อนพูดขึ้นระหว่างที่รถติดไฟแดง ผมหันกลับไปมองเขา “ที่คุณบอกเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ว่ากำลังเดทกับผม…”

ผมหน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง ตอนนั้นมันมีหลายเรื่องเกินเหตุเลยนึกว่าเขาจะลืมมันไปแล้วเสียอีก ผมยกมือกระแอมทีหนึ่งก่อนจะยักไหล่ หันมองเขาพร้อมกับเลิกคิ้วให้

“ทำไมครับ? มีอะไรผิดพลาดตรงไหนกับสิ่งที่ผมบอกไคล์ไปเหรอ?”

ไซม่อนหัวเราะร่วน เขายื่นหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ และนั่นยิ่งทำให้หน้าผมแดงขึ้นไปอีก ให้ตายสิ ไอ้หมอนี่… กระจกรถก็ไม่ได้ติดฟิล์มดำ คนข้างนอกเขาก็มองเห็น ไม่ได้อายสายตาใครเลย

“ไม่มีครับ คุณหมอ ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

ไซม่อนขับรถไปเรื่อยๆ อีกครู่หนึ่ง ความเงียบที่แผ่เข้ามาชวนให้รู้สึกแปลกๆ แม้ว่าจะยังมีเสียงดนตรีคลออยู่ก็เถอะ ในที่สุดคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับก็เอ่ยปากถามผมขณะสาวพวงมาลัย

“เขาเอาตัวคุณไปนานเท่าไรครับ ออสติน”

ผมกลืนน้ำลายอีกใหญ่ลงคอ เขากำลังถามเรื่องที่ผมเคยโดนข่มขืน จากรูปคำถามแล้ว นั่นหมายความว่าเขารู้ว่าผมโดนจับตัวไป แต่ไม่รู้ระยะเวลางั้นเหรอ?

หรือบางทีเขาอาจอยากแค่ชวนผมคุย… ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ยังไงผมก็เปิดปากบอกเขาอยู่ดี ผมรู้ว่ามันทำใจยอมรับยาก แต่ตอนนี้ผมยกให้เขาเป็นคนที่ยืนอยู่เคียงข้างผมแล้ว ผมมีความรู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกเขา… ต่อให้มันจะบีบคั้นจิตใจมากแค่ไหนก็เถอะ

“สองอาทิตย์…” ผมงึมงำ แทบไม่ได้ยินเสียงตัวเองที่พูดออกไปด้วยซ้ำ รู้สึกว่ามือเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่ในรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ผมก้มหน้าลงต่ำ มองเห็นไซม่อนพยักหน้ารับจากหางตา

“ผมเสียใจด้วยครับ”

“อืม” ไม่รู้จะตอบยังไงดี มันเป็นอะไรที่น่ากระอักกระอ่วนจริงๆ นะ

“ถ้าคุณไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ต่อล่ะก็---”

“เขาชื่อคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน” ผมว่า สูดลมหายใจแรงๆ เข้าปอดทีหนึ่ง ปิดเปลือกตาลงแล้วเอนศีรษะไปพิงกับเบาะด้านหลัง รู้สึกอ่อนล้าจนอยากจะหลับๆ ลงไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ผมก็ยังพล่ามต่อไปอยู่ดี “เขาเป็นแฟนเก่าของผมเอง”

ผมไม่ได้เห็นไซม่อนพยักหน้าในครั้งนี้เพราะว่าหลับตาอยู่ แต่ผมเดาว่าเขาคงรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว ก็ถ้าเขาสืบเรื่องของผมมาหมดแลวล่ะก็… ไม่มีทางที่เขาจะพลาดแน่

ใช่…

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน

ผู้ชายที่ผมสัญญากับตัวเองว่าจะเคียดแค้นเขาไปตลอดชีวิต

ผมสัญญาว่าจะเอาความรู้สึกเกลียดชังเหล่านั้นลงโลงไปพร้อมกับผมด้วย






--------------------------------------
Talk: 100%!!! (เฮ~~) อ้าว ไซม่อน ทำไมนายปิดคุณหมอแบบนั้นล่ะคะะะ เดี๋ยวออสตินก็โกรธนายเอาหรอก - 3 -
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ! อย่าลืมคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันด้วยน้า >3< จะพยายามแวะมาตอบคอมเม้นท์ให้มากขึ้นค่ะ เพราะงั้น... ฝากด้วยๆ! XD
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(100%) P.2 [30/05/2017]
«ตอบ #39 เมื่อ30-05-2017 19:28:06 »

สงสารออสติน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(100%) P.2 [30/05/2017]
« ตอบ #39 เมื่อ: 30-05-2017 19:28:06 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Tennyo_Y

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(100%) P.2 [30/05/2017]
«ตอบ #40 เมื่อ30-05-2017 22:10:04 »

ทนายก็ยังคงเป็นทนาย แต่ทนายหล่อสินะ

นี่เราติดใจไซม่อนมากนะ รู้สึกนางไม่ธรรมดา ยิ่งสืบเรื่องออสตินมาก่อนหน้า คืออะไรกันแน่

ออสตินนี่ต้องรักไซม่อนมากแน่นอนอะ แบบให้อภัยง่ายมาก มันเกี่ยวกับหัวใจแบรดด้วยใช่ไหม คือแบรดกับไซม่อนเขาไม่ได้รักกันแบบพี่น้องใช่หรือเปล่าเนี่ย คือถึงจะบอกว่า สมองเป็นส่วนสั่งการความรู้สึก แต่หัวใจมันมีผลไหมอะ นี่สงสัยมากจริง ๆ นะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(100%) P.2 [30/05/2017]
«ตอบ #41 เมื่อ31-05-2017 05:30:27 »

สงสารออสติน แต่พี่ไซขยันเต๊าะขนาดนี้ใครจะโกรธนานได้

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 9)(100%) P.2 [30/05/2017]
«ตอบ #42 เมื่อ01-06-2017 18:26:33 »


***เนื้อหาตอนนี้มีการพูดถึงการใช้ความรุนแรง และการละเมิดทางเพศ เตือนไว้ก่อนเนอะ***


บทที่ 10


 

ช่วงนั้นเมื่อหลายปีก่อนเป็นช่วงที่ทางกรมตำรวจและหน่วยงานวุ่นวายมากที่สุดเท่าที่ผมจำได้

มีการจราจลก่อเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นในทุกๆ หนแห่งราวกับว่าเมืองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์อันเป็นผลมาจากการก่อเหตุความไม่สงบของเหล่าคนผิวสีในย่านนี้ พวกแก๊งต่างๆ ที่คอยทำงานและใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืดมาตลอดรวมตัวขึ้นมาเพื่อประท้วงพวกตำรวจ

ทั่วทั้งเมืองเปรียบเสมือนพื้นที่ทำสงคราม มีเหตุเพลิงไหม้มากมาย มีการเกณฑ์คนมาปล้นสะดมร้านค้า ก่อความวุ่นวายในสถานที่ต่างๆ รวมทั้งการฆาตกรรมหลายคดีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการประท้วงพวกนั้น พวกฆาตกรแค่อาศัยจังหวะความวุ่นวายของพวกตำรวจที่รุดหน้าไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อยับยั้งเหตุการณ์เลวร้ายอย่างอื่น

ผมเองไม่ได้เป็นตำรวจก็จริง แต่ก็โดนเรียกตัวให้มาช่วยงานพวกหน่วยพยาบาลภาคสนาม อีกทั้งยังต้องคอยดูศพที่ถูกลำเลียงมาแบบสดๆ และด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิดและน้อยนิดจนน่าใจหาย ส่วนมากแล้วการดำเนินคดีพวกนี้จะแทบไม่คืบหน้าเอาเสียเลย

แต่ถึงหน้าที่ชันสูตรศพจะสำคัญอย่างไร สิ่งที่สำคัญกว่าในตอนนั้นคือการช่วยเหลือคนเป็น และตัวผมในตอนนั้นที่ยังไม่เป็นโรคถูกตัวคนไม่ได้อย่างในตอนนี้ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่

“โจชัว” ผมเรียกเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่กำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งอย่างรีบร้อน แต่เพราะพยาบาลในเครื่องแบบอีกคนวิ่งตัดหน้าไปทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าลงนิดหนึ่ง ก็เข้าใจล่ะว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตอนนี้มันทำเอาทุกคนหัวปั่นไปหมด “จอร์ช! หัวหน้าเรียกนายไปถามงานแน่ะ นายเข้าไปหาเขาหน่อย”

“อะไรกันนักหนาวะเนี่ย” เพื่อนผมสถบพลางละมือจากการรักษาคนเจ็บเบื้องหน้า วันนี้พวกเราไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาลอย่างทุกที แต่เปลี่ยนสถานที่เป็นโรงยิมใจกลางเมืองที่มีขนาดกว้างมากพอที่จะรองรับ และง่ายต่อการเข้าถึงตัวคนเจ็บได้อย่างรวดเร็ว “นี่ก็กำลังทำงานอยู่นะ เห็นรึเปล่า หมอนั่นมันงี่เง่าชิบเป๋ง”

“ไปเถอะ เห็นว่ามันเกี่ยวกับรูปคดีด้วย เผื่อว่านายจะช่วยอะไรได้ เดี๋ยวฉันรักษาต่อเอง”

“เออๆ ฝากด้วย ขอบใจนะออสติน”

ผมล้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สำรวจบาดแผลที่อยู่บริเวณบ่า ดูจากชุดเครื่องแบบของเขาแล้วไม่สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้เลย เขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่โดนลูกหลงมาจากความวุ่นวายในตัวเมืองตอนนี้ เขาบอกผมว่ากระสุนถากเขาไปเล็กน้อย ไม่ได้หนักหนาอะไร ที่เขาพูดแบบนี้ได้เพราะรอบตัวคงมีแต่การนองเลือดที่รุนแรงกว่านี้หลายเท่า

ผมลงมือทำแผลให้เขาอย่างประณีตแต่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะว่ายังมีคนเจ็บคนอื่นๆ รออยู่อีกเพียบ เขาพูดขอบคุณสั้นๆ ขณะที่ผมขอตัวไปดูแลคนเจ็บรายอื่นต่อ

หลังจากปฐมพยาบาลให้คนเจ็บได้อีกสองคน ผมก็ถูกตามไปช่วยดูแลคนเจ็บอีกคนที่ถูกกระสุนยิงฝังใน สีหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงซีดเผือด และบรรยากาศรอบๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายคงไม่ได้ทำให้เขาดีขึ้น ทุกอย่างในตอนนี้มันสับสนวุ่นวายไปหมดจนผมนึกอะไรไม่ออก แค่ต้องทำอะไรก็ตามที่ทำได้เท่านั้น

“ออสติน”

เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคยทำให้ผมชะงักมือจากคนเจ็บไปเล็กน้อย ลังเลว่าควรจะหันกลับไปทักทายกลับก่อนไหม แต่จนแล้วจนรอดผมก็ตัดสินใจทำแผลให้คนตรงหน้าจนเสร็จก่อนแล้วจึงหันไปหาเขา

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนยืนอยู่ด้านหลังผม ใบหน้าของเขามีเลือดออกซิบๆ ลักษณะเหมือนมีดกรีด มีแผลถลอกและรอยฟกช้ำตามจุดต่างๆ เขาดูปกติและสุขสบายดีมากถ้าเทียบกับคนไข้คนอื่นๆ ที่ผมรักษามาทั้งหมดในวันนี้ นี่ยังไม่นับรวมรอยยิ้มที่ฉีกไปเกือบถึงหูของเขาด้วยนะ นั่นยิ่งทำให้เขาดูสบายดีมากขึ้นไปอีก แต่พอเห็นสภาพเขาแล้วผมถึงกับลุกพรวดออกมาจากที่นั่งเดิม ตรงเข้าไปสำรวจแผลเขาด้วยความเป็นห่วง

“คริส” ผมว่า เลื่อนมือไปขยับหน้าเขาให้หันแก้มมาเพื่อให้เห็นถนัดตา ค่อยยังชั่วหน่อย แผลไม่ได้ลึกอะไรมาก แต่ไอ้หมอนี่ไม่คิดจะทำแผลดีๆ เลยหรือไง ทำเอาคนอื่นตกใจหมด “นายไปโดนอะไรมาเนี่ย แล้วทำไมไม่ทำแผล มานี่มา นั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผม--”

แต่คริสเตียนไม่รอให้ผมพูดจบประโยค เขาดึงแขนผมให้หลบฉากออกมาจากความวุ่นวายเหล่านั้น ดันตัวผมเข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์ทางการกีฬาของโรงยิม มีตระกร้ารถเข็นขนาดใหญ่บรรจุลูกบาสเกตบอลและวอลเล่ย์บอลอยู่ที่มุมห้อง ผนังฝั่งตรงข้ามมีชั้นวางอุปกรณ์กีฬาต่างๆ และชุดเครื่องแบบของกีฬาเทควันโดเก่าๆ อยู่บนชั้นที่ว่า ตรงพื้นพบกล่องปฐมพยาบาลที่ทางหน่วยงานคงเอามาวางสุมๆ เอาไว้ มีกลิ่นอับชื้นตามแบบที่ยิมทั่วไปควรจะมี

คริสเตียนดันผมเข้าไปชิดผนังด้านหลังจากนั้นจึงทาบจูบร้อนลงมา ผมชะงักไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ ใจจริงแล้วไม่ค่อยชอบใจเท่าไรที่เขาทำแบบนี้เพราะผมยังอยู่ในช่วงเวลางาน และข้างนอกนั่นก็มีคนเจ็บอีกมากที่รอให้ผมไปดูแล หากลิ้นร้อนที่ตวัดจ้วงลงมาอย่างกระหายนั่นทำให้ผมต้องโอนอ่อนตามเขาไปจนได้

ผมเลื่อนมือไปโอบหลังรอบคอเขา ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบอยู่ครู่ใหญ่ และเมื่อจูบจนพอใจแล้วคริสก็ผละใบหน้าออกจากผม ในห้องเก็บของนี่ค่อนข้างมืดก็จริงแต่ผมก็ยังพอมองเห็นเขาจากแสงที่ลอดผ่านบานหน้าต่างอยู่บ้าง ผมมองเส้นผมสีบลอนด์ทองเป็นธรรชาติของเขาอย่างหลงใหล นัยน์ตาสีน้ำตาลดูยากที่หยั่งถึงคู่นั้นกำลังมองตอบผมด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน

ผมรู้จักแล้วก็คบหาดูใจกับคริสมาเกือบปีแล้วตอนนี้ เขามาพร้อมกับความวุ่นวายตอนที่ผมทำงานในโรงพยาบาล และด้วยความที่เขาเป็นตำรวจ… เป็นเจ้าหน้าที่สืบสวน เราถึงได้มีโอกาสคุยงานกันหลายต่อหลายครั้ง เขาไม่เหมือนพวกตำรวจน่าเบื่อคนอื่นๆ ที่คอยจะเอาแต่เร่งงานฝั่งนิติเวช และหลังจากที่ได้คุยงานกันไม่กี่ครั้งเขาก็เริ่มรุกจีบผมอย่างจริงจัง นั่นแหละเราถึงได้คบกัน และด้วยอาชีพการงานของเราแล้ว เหมือนอะไรๆ ก็ดูจะยุ่งวุ่นวายตลอดเวลาเลย ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงจราจลแบบนี้

“ให้ตายเถอะ ออสติน” เขาพูดพร้อมกับดึงผมเข้าไปกอดแนบแน่น ซบหน้าลงบนบ่าผม มือหนาเลื่อนมาลูบหัวผมจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน นั่นทำให้ผมใจเต้นรัวขึ้นมานิดหนึ่ง ส่วนมากแล้วเขาจะชอบทำอะไรรุนแรงมากกว่าจะอ่อนโยน ไม่ว่าจะเป็นการจูบ กอด หรือว่าบนเตียง เพราะงั้นการที่เขาจะทำอ่อนโยนกับผมสักครั้งจึงเป็นอะไรที่ชวนให้วาบหวิวมากๆ “ผมคิดถึงคุณจัง ช่วงนี้มันวุ่นวายไปหมด แล้วตอนที่ปะทะกับพวกข้างนอกเมื่อกี้ ผมนึกว่าจะไม่มีโอกาสกลับมาเจอคุณเสียแล้ว”

“คุณก็พูดเกินไป คริส” ผมตอบยิ้มๆ หอมแก้มเขาทีหนึ่งอย่างเอาใจ “เจ็บน้อยกว่าคนอื่นตั้งเยอะ แต่เดี๋ยวผมทำแผลให้นะ ไหนๆ ดูซิ คุณเจ้าหน้าที่เฮฟเฟอร์แมนช้ำตรงไหนบ้าง ให้คุณหมอช่วยรักษาให้นะครับ”

“ฮะๆ” คริสหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยีหัวผม เขาก้มลงมาจูบผมอีกรอบ ดันผมไปติดกับด้านหลัง แต่ครั้งนี้ผมปล่อยให้เขาทำแบบนั้นเพียงครู่เดียว ผมต้องรีบกลับไปทำงานต่อแล้ว

“คริส…” ผมว่าขณะที่ค่อยๆ ผินหน้าออกอย่างสุภาพ “ผมต้องกลับไปทำงานต่อแล้วครับ คุณเองก็ควรไปทำแผล”

“อีกนิดไม่ได้เหรอ” เขาอ้อน ไล้สันจมูกลงบนแก้มผมแล้วประกบริมฝีปากลงมาอีกจนได้ “ผมคิดถึงคุณนี่นา”

“เราเพิ่งเจอกันเมื่ออาทิตย์ก่อนเองนะ” ผมเลิกคิ้ว “วันก่อนก็เจอในที่ทำงาน”

“มันไม่เหมือนกันสักหน่อย” เขาพูดยิ้มๆ เลื่อนหน้าลงมากระซิบเสียงต่ำข้างหู “ผมอยากจะจัดการคุณให้หนำใจต่างหากล่ะ ออสติน คืนนี้มาบ้านผมนะ ผมอยากกอดุณ”

“คืนนี้ไม่ได้ครับ” ผมตอบ แน่นอนล่ะว่าผมไม่ได้อยากปฏิเสธเขาหรอก แต่งานรัดตัวจริงๆ “แล้วคุณเองก็ไม่น่าจะว่างไม่ใช่เหรอ คุณเจ้าหน้าที่ ยิ่งในสถานการณ์ที่เมืองลุกท่วมเป็นไฟแบบนี้”

“ก็จริงอยู่หรอกครับ” เขาถอนหายใจเฮือก สีหน้าผิดหวังแสดงออกชัดเจนอย่างไม่ปิดบัง คริสเตียนเริ่มไซร้ศีรษะลงบนซอกคอผมอย่างออดอ้อน “แต่ผมก็อยากมีเวลากับคุณบ้างนี่นา ทำงานเหนื่อยก็อยากจะชาร์ตพลังบ้าง”

“อย่างอแงนักเลยคุณ” ผมพูด เลื่อนมือไปลูบหัวเขาอย่างปลอบโยน “ช่วงนี้สถานการณ์มันแย่เกินกว่าเราจะทำอะไรแบบนั้นได้ ไปเถอะครับ ผมต้องไปทำงานแล้วจริงๆ และผมรู้นะว่าคุณเองก็ไม่ได้ว่าง อย่าอู้งานนักเลยน่า เรายังมีอะไรให้ทำอีกเพียบ”

ผมเดินตรงไปที่ประตู เปิดมันออก มันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อยเพราะสนิมที่เกาะอยู่ มองเห็นสีหน้าไม่พอใจของชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังจากหางตา

“ทำไมไม่รู้นะ” เสียงของเขาไม่สบอารมณ์เลย “ผมรู้สึกว่าหมู่นี้คุณพยายามถอยห่างจากผม”

ผมแทบจะถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างอัดอั้น แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ได้ก่อน ผมไม่ชอบเวลาเขาเป็นแบบนี้เลย รู้ดีว่างานตอนนี้มันเครียด สถานการณ์มันบีบคั้น แต่หน้าที่ของเราคือการทำเพื่อประชาชนแล้วก็คนบริสุทธิ์ไม่ใช่เหรอ? เขาเองก็ทำงานสายนี้ตั้งหลายปีแล้วก็น่าจะเข้าใจ

และเอาตรงๆ นะ ตอนที่พวกเราคบกันใหม่ๆ เขาก็ไม่ได้งี่เง่าแบบนี้ อันที่จริง เหตุผลที่ผมชอบเขาก็เพราะความทุ่มเทในการสืบคดีต่างๆ ของเขานี่แหละ แต่ระยะหลังๆ มานี่ดูเหมือนความกระตือรือร้นในการทำงานของเขาจะลดลง แล้วก็มาเพิ่มที่ตัวผมแทน คือผมก็รู้สึกขอบคุณนะ แต่ผมเชื่อว่ายังมีคนเดือดร้อนอีกมากมายต้องการความช่วยเหลือและความกระตือรือร้นของเขามากกว่าตัวผมแน่

“คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น คริส”

คริสเตียนทำหน้างอลงเล็กน้อยเหมือนเด็กๆ “ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะรู้ล่ะ คุณหมอ ผมไม่รู้หรอก”

“นี่ ถ้าเราจะมายืนเถียงอะไรงี่เง่ากันแบบนี้ล่ะก็ ผมขอตัวกลับไปดูคนป่วยต่อดีกว่า นี่มันไม่ใช่สถานการณ์ปกตินะ ทุกคนกำลังหัวปั่นข้างนอกนั่น” ผมเริ่มใส่อารมณ์บ้างแล้ว หงุดหงิดกับความเอาแต่ใจของชายตรงหน้าขึ้นมาจริงๆ ผมเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นวาววับขึ้นมาด้วยความโกรธ หากวินาทีต่อมา คริสเตียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขามองผมด้วยสีหน้าสำนึกผิด

“โอเค ออสติน ผมขอโทษ ผมรู้ว่าเรามีงานล้นมือ ผมแค่เครียดมากไปหน่อย”

คำขอโทษง่ายๆ นั่นทำให้ผมใจอ่อนลง ปกติผมไม่ใช่คนที่โกรธใครได้นานอยู่แล้ว ยิ่งถ้าอีกฝ่ายสำนึกผิดด้วยแล้ว ผมเดินไปแตะแขนเขาแผ่วเบาอย่างปลอบโยน ช่วงเวลาที่ทุกอย่างบีบคั้นอย่างนี้เราควรจะให้กำลังใจซึ่งกันและกันมากกว่าจะมาตีกันเอง

เขาจูบขมับผมแผ่วเบา ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ผมยิ้มตอบให้เขาก่อนจะผละออกจากห้องเก็บของแห่งนั้น

เอาล่ะ ได้เวลาที่ต้องทำงานต่อสักที ดูเหมือนจะมีคนเจ็บถูกหามเข้ามาอีกแล้ว


.
.
.
(50%)
 





---------------------------------------
Talk: สวัสดีค่าาาา เอาครึ่งตอนแรกมาให้ทุกคนแล้วน้าาา >3<
เราจะลงทุกวัน อา. อ. พฤ. ครั้งละครึ่งตอนนะคะ เพราะงั้นฝากติดตามด้วยน้า <3
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(50%) P.2 [1/06/2017]
«ตอบ #43 เมื่อ01-06-2017 18:53:56 »

 :katai5: แปะไว้ก่อน เดี๋ยวครบตอนค่อยมาอ่าน

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(50%) P.2 [1/06/2017]
«ตอบ #44 เมื่อ04-06-2017 19:15:42 »

***เนื้อหาตอนนี้มีการพูดถึงการใช้ความรุนแรง และการละเมิดทางเพศนะคะ เตือนไว้ก่อนเนอะ***


[ต่อ]






เสียงแก้วน้ำพลาสติกที่ตั้งอยู่บนโต๊ะล้มลงดังขึ้น ของเหลวที่อยู่ด้านในไหลออกมาเจิ่งนองไปทั่วทั้งบริเวณนั้น

ผมถลาตัวไปคว้าเอกสารหลายแผ่นที่อยู่บนโต๊ะแทบไม่ทัน บางแผ่นเปียกซึมไปครึ่งหน้าจนตัวหนังสือเลือนไปหมด ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ปัดแก้วใบนั้นลงอย่างหัวเสีย

“นี่คุณทำอะไรของคุณเนี่ย? รู้ไหมว่าผมใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะสรุปรายงานพวกนี้ได้”

“แล้วถ้าผมไม่ทำแบบนี้คุณจะเงยหน้าขึ้นมาสนใจผมบ้างไหม”

ผมขมวดคิ้วมุ่น มองหน้าคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ ผมนั่งทำงานอยู่ตรงนี้มาเป็นชั่วโมงๆ ใช้หัวคิดกับเนื้อหาด้านในจนแทบจะระเบิด ผมรู้ดีว่าเขาพยายามถามนู่นถามนี่ ชวนคุยเรื่อยๆ มาตลอดระยะเวลาที่ผมนั่งจมกับเอกสารของตัวเอง แต่ผมก็บอกเขาไปแล้วว่าผมต้องใช้สมาธิในการทำงาน แล้วทำไมเขาถึงต้องมากวนผมอยู่แบบนี้ด้วยนะ

“คุณไม่เห็นหรือไงว่าผมกำลังใช้สมาธิอยู่น่ะ” ผมว่า สะบัดหน้ากระดาษในมือลวกๆ บางแผ่นยังพอเห็นเนื้อหาที่อยู่ด้านใน แต่แผ่นที่เปียกมากๆ ตัวหนังสือเลือนหายไปจนอ่านอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้ว ปัดโธ่เว้ย นี่ผมจะทำงานอย่างสงบๆ บ้างไม่ได้เลยใช่ไหม

“คุณเป็นคนบอกผมเองนะว่าจะมาหาก็ได้วันนี้น่ะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่แพ้กัน “แต่พอผมมาจริงๆ คุณก็เอาแต่ทำงานอยู่นั่นแหละ ถ้าคุณจะชวนผมมาแล้วเมินกันแบบนี้ก็ไม่ต้องให้มาแต่แรกดีกว่าไหม”

คำพูดที่เหมือนจะโทษว่าเป็นความผิดของผมนั่นทำให้ผมเงยหน้าพรวดขึ้นมามองเขาอย่างหงุดหงิด อารมณ์ข้างในพลุ่งพล่านมากขึ้นจากที่โมโหเพราะโดนกวนเวลาทำงานอยู่แล้ว เขาเองก็เคยทำงานที่ต้องใช้สมาธิจดจ่อมากๆ มาแล้ว ทำไมถึงไม่เข้าใจผมบ้างเลยนะ

“ผมบอกคุณแล้วไงว่าจะมาก็ได้ แต่ผมมีงานค้างที่ต้องทำต่อให้เสร็จ” ผมพูด พยายามข่มอารมณ์พลุ่งพล่านให้กลับไปอยู่ข้างใน แต่มันอดไม่ไหวจริงๆ และความหงุดหงิดนั้นของผมก็ออกมาจากน้ำเสียงอย่างชัดเจน “แล้วนี่ผมก็บอกคุณแล้วว่าเวลาสักสองชั่วโมง ทำไมคุณไม่ไปดูทีวีรอผมหรือหาหนังสืออ่านเล่นสักเล่มล่ะ คริส ผมใช้เวลาไม่นานก็จะเสร็จอยู่แล้ว แต่นี่คุณมาทำงานผมพังเนี่ย ผมก็ต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิมไหมกว่าจะเรียบเรียงใหม่อีก”

“คุณยังไม่บอกผมเลยว่าลอว์รี่ ฮันต์ที่คุณคุยด้วยเมื่อคืนนี่เป็นใคร” น้ำเสียงของเขาหัวเสียและจับผิดอย่างชัดเจน แต่เดี๋ยวนะ แล้วนี่เขารู้ได้ยังไงว่าผมคุยกับใครเมื่อคืน

“นี่คุณเช็คโทรศัพท์ผมอีกแล้วเหรอ” ผมถามเสียงดังขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ มองเห็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตัวเองที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขาจากนั้นก็ตวัดสายตากลับไปมองคริสเตียนอย่างโกรธขึ้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามายุ่มย่ามกับของส่วนตัว เรื่องส่วนตัวของผม แต่ผมเคยขอร้องเขาแล้วว่าอย่าทำแบบนั้น เขาเองก็เคยรับปากแท้ๆ แต่เขาก็ยังมายุ่งกับโทรศัพท์ของผมอีกจนได้

ผมรู้ดีว่ามันมีคนประเภท…ไม่สิ  คู่รักประเภทที่ต้องคอยเช็กมือถือกันตลอดเวลา ถึงบางคนอาจจะบอกว่าถ้าไม่ได้มีใครอื่นหรือทำอะไรผิดก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหรือปิดบังอะไรเลยนี่ แต่สำหรับผม ผมถือคติว่าถ้ารักกันก็ต้องเชื่อใจกันและเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งการที่มีแฟนมาคอยเช็คความเคลื่อนไหวของตัวเองทุกอย่าง ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ก้าวก่ายและเป็นการดูถูกกันอย่างร้ายแรงแบบหนึ่งเลยทีเดียว

ผมหมายถึง… ทำไมวะ? เราคบกันน่ะ เราไม่มีความเคารพให้กันเลยเหรอ ไม่เชื่อใจกันเลยใช่ไหมว่าผมจะไม่นอกใจเขาน่ะ ผมถือเรื่องนี้มากนะ เราเองก็คบกันมาตั้งนาน เขาก็ควรจะรู้

“ผมก็แค่อยากรู้ว่าเมื่อคืนคุณทำอะไรอยู่ทำไมถึงได้ตอบแชทผมช้านัก” คริสเตียนแก้ตัวน้ำขุ่นๆ น้ำเสียงหงุดหงิดของเขายิ่งทำให้ผมรู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก เหมือนเขาพยายามจะข่มว่าผมไม่มีสิทธิ์เถียงอะไรเขาเพราะผมมีความผิดติดตัวอยู่อย่างนั้นแหละ “และผมก็เห็นนะว่าคุณตอบแชทของไอ้หมอนี่ก่อนที่จะตอบผม ไม่สิ คุณคุยกับเขาเป็นชั่วโมงๆ แล้วก็ปล่อยผมรอตั้งนานกว่าจะพิมพ์อะไรตอบมา”

“แล้วคุณไม่ได้ดูเนื้อหาที่อยู่ข้างในนั้นรึไง ไม่มีตาดูเหรอว่าผมคุยกับลอว์รี่เรื่องงาน” ผมรู้สึกได้ถึงอารมณ์โกรธของตัวเองที่พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ เขากล้าดียังไงมาทำเหมือนกล่าวหาว่าผมนอกใจแบบนี้ ผมไม่เคยทำตัวทุเรศแบบนั้น “แล้วผมบอกคุณกี่ล้านรอบแล้วว่าอย่ามายุ่งกับโทรศัพท์หรือของส่วนตัวของผม ผมไม่เคยคุยอะไรเกินเลยกับใครทั้งนั้นแหละ คริสเตียน เราเองก็คบกันมานาน คุณควรจะรู้เรื่องนั้นได้แล้ว”

“ถ้าคุณไม่มีอะไรจะปิดผมจริงๆ แล้วทำไมคุณต้องไม่อยากให้ผมดูด้วย”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหมดความอดทน กลับมาอีกแล้วไงกับบทสนทนาเดิมๆ แบบนี้ ผมพูดเรื่องนี้กับเขามาเป็นล้านรอบ และเขาก็พูดคำเดิมๆ แบบนี้เป็นล้านรอบแล้วเหมือนกัน ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทำไมคนเรารักกันแล้วถึงเชื่อใจกันไม่ได้ ไว้ใจกันไม่ได้ เคารพกันไม่ได้ แบบนี้แล้วความสัมพันธ์จะไปรอดได้ยังไง

“ฟังนะ คริสเตียน” ผมพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองแม้จริงๆ แล้วจะโกรธจนอยากถีบเขาสักรอบ เผื่อจะเข้าใจความคิดของผมขึ้นมาบ้าง “ผมไม่ได้นอกใจคุณ ไม่เคยทำและไม่เคยคิด ผมไม่มีความลับอะไรปิดบังคุณเหมือนกัน แต่ผมต้องการรักษาพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองบ้าง ผมเองก็ไม่เคยไปก้าวก่ายคุณหรือเช็คโทรศัพท์ของคุณเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงทำให้ผมบ้างไม่ได้ล่ะ”

“ผมไม่เคยว่าเลยนะถ้าคุณอยากจะเช็คมือถือผม” เขายกมือกอดอกอย่างหงุดหงิด “คุณเอาไปดูได้เลย ออสติน ผมไม่เคยให้ความสำคัญกับใครมากไปกว่าคุณเลย ผมบริสุทธิ์ใจมากด้วยถ้าคุณอยากจะดู”

“ผมไม่ได้อยากดู” ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนอีกฝ่ายดูถูกอย่างร้ายแรง แค่เพราะผมไม่อยากให้ใครมายุ่งกับมือถือของผมก็กลายเป็นว่าผมกำลังนอกใจเขาแล้วเหรอ เขาเอาตรรกะแบบไหนคิดวะ ไม่เชื่อใจกันเลยใช่ไหม ผมมันไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ? “แล้วขอทีเถอะ การที่ผมไม่อยากให้คุณดูโทรศัพท์ของผมไม่ได้หมายความว่าผมมีเรื่องปิดบังคุณนะ แค่ผมเองก็มีสังคมของตัวเองเหมือนกันก็เท่านั้น แล้วบางอย่างเป็นเรื่องงาน มีข้อมูลของงาน หลายๆ อย่างก็เป็นความลับที่ผมไม่ควรให้คนนอกรู้”

“คนนอกเหรอ” เสียงของเขาห้วนขึ้น “เผื่อว่าคุณจะลืมนะ ออสติน ผมเองก็เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐคนหนึ่งเหมือนกัน”

“อย่าตีรวนได้ไหม คริส คุณก็รู้ว่าผมหมายความว่าอะไร” ผมพูดอย่างหงุดหงิด เรียงกระดาษลงบนเคาน์เตอร์ที่อยู่หน้าห้องครัว ครัวของผมมีผนังที่เจาะเป็นสี่เหลี่ยมตรงกลางเอาไว้แล้วมีเคาน์เตอร์ยื่นออกมา ผมหวังว่ากระดาษพวกนี้จะแห้งและยังพออ่านออกอยู่บ้าง แต่แผ่นที่เปียกไปเต็มๆ นี่คงต้องตัดใจแล้วทำใหม่ “ต่อให้มันเป็นเรื่องคดีก็เถอะ แต่ถ้ามันไม่ใช่คดีของคุณ คุณก็ไม่ควรจะได้รู้ คุณเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกกรมตำรวจเล่มเกมกันยังไง ผมเองก็ไม่อยากมีปัญหากับพวกเขาเหมือนกัน”

คริสเตียนเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังผม ประชิดตัวอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบเสียจนผมสะดุ้งด้วยความตกใจ ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรต่อเขาก็คว้าไหล่ผม กระชากตัวผมให้หันไปทางเขาอย่างแรงจากนั้นก็บดริมฝีปากลงมา จูบนั่นทำให้ผมตกใจมากจริงๆ และเมื่อความตกใจเลือนไปความกลัวก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ผมพยายามผลักอกของคนตรงหน้าออก แต่นั่นยิ่งทำให้เขาออกแรงเบียดลงมาบนร่างของผมมากขึ้น และเรื่องที่ต้องใช้แรงและพละกำลังแบบนี้ผมไม่เคยเอาชนะเขาได้อยู่แล้ว และดูเหมือนว่ายิ่งผมไปขัดขืนเขา เขาจะยิ่งโกรธเสียด้วย

“ฮะ… แฮ่ก…” ผมหอบหายใจออกมาเมื่อคนตรงหน้าผละริมฝีปากออกไป กลิ่นคาวเลือดลอยมาแตะจมูก เลือดไหลซิบออกมาจากริมฝีปากของผมเอง ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกตะลึง ไม่นึกว่าคริสเตียนจะทำรุนแรงกับผมขนาดนี้ และมันทำให้ผมโกรธมากจริงๆ “นะ… นี่คุณทำอะไรของคุณน่ะ คริส! ประสาทกลับไปแล้วเหรอ!”

“นั่นมันคำพูดของทางนี้ต่างหากล่ะ!” เขาขึ้นเสียง มือเลื่อนมาบีบบ่าผมแน่นจนเจ็บแปลบไปหมด “คุณไม่พยายามทำความเข้าใจบ้างเลยว่าผมรู้สึกยังไง ว่าผมกระวนกระวายแค่ไหน ทุกครั้งที่ผมเห็นคุณคุยกับผู้ชายคนอื่น ทุกครั้งที่คุณตอบข้อความของคนอื่นก่อนผม ผมไม่ได้สำคัญที่สุดสำหรับคุณเหรอ ออสติน? กับไคล์ ไทเลอร์ที่คุณบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทของคุณก็คนหนึ่งล่ะ แล้วนี่ยังมาลอว์รี่ ฮันต์อีก แล้วต่อไปคุณจะคุยกับใคร คุณอยากจะปั่นหัวผมเล่นใช่ไหม”

“บ้าไปใหญ่แล้ว! คริสเตียน!” ผมตะโกนอย่างหัวเสีย รู้สึกราวกับโดนมือที่มองไม่เห็นตบหน้า “ผมไม่เคยนอกใจคุณ! ได้ยินไหม คุณที่ผมคุยด้วยก็แค่เพื่อนเท่านั้น หรือไม่ก็เพื่อนร่วมงาน ส่วนมากผมก็คุยเรื่องงานทั้งนั้นแหละ ผมไม่เคยนอกใจคุณ หรือไปคุยกับใครคนอื่นอย่างที่คุณกล่าวหามาเลยสักครั้ง”

“แต่คุณชอบทำตัวมีลับลมคมในกับผม!”

“มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ! ผมแค่ไม่ชอบให้ใครมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผมก็เท่านั้น คุณต่างหากล่ะ แค่เชื่อใจผมแค่นี้มันจะยากเย็นอะไรนักหนาวะ!?”

“แล้วทำไมคุณถึงต้องไม่อยากให้ผมก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณด้วย!?” เขาออกแรงบีบบ่าผมแรงขึ้น คราวนี้มันจิกลงมาเลยด้วยซ้ำ ผมครางออกมาเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด แต่คริสเตียนก็ไม่ยอมปล่อยมือสักที “ผมเป็นแฟนของคุณนะ ออสติน ผมเองก็เป็นหนึ่งในเรื่องส่วนตัวของคุณไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงต้องมีเรื่องปิดบังผมด้วยล่ะ ถ้ามันไม่ได้มีอะไรแล้วทำไมผมถึงรู้ไม่ได้?”

“ปล่อยผมนะ คริส!” ผมปัดมือของเขาออกด้วยแรงทั้งหมดที่มีจากนั้นก็หอบหายใจจนตัวโยน ความรู้สึกโกรธ ผิดหวัง อ่อนล้ามันประเดประดังเข้ามาจนมึนหัวไปหมด ผมว่าตอนนี้ต่อให้ใช้เหตุผลยังไง เราสองคนก็คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว “หลบไปซะ ผมจะไปสงบสติอารมณ์ข้างบน ส่วนคุณ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับไปซะ เดี๋ยวนี้เลย ผมไม่อยากคุยกับคุณ”

ผมกระแทกบ่าเขาแล้วตรงไปที่บันไดบ้าน หากมือแกร่งเลื่อนมาคว้าข้อมือผมหมับ บีบมันแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนผมนึกกลัวว่าข้อมืออาจจะหัก

“โอ๊ย…” ผมครางเบาๆ ขณะหันมาเผชิญหน้ากับเขา สะดุ้งสุดตัวมื่ออีกฝ่ายใช้มือข้างที่ว่างกระชากคอเสื้อผมขึ้นไปแล้วกดจูบลงมา ไหล่ทั้งสองข้างของผมเริ่มสั่น ผมกับคริสเตียนเคยทะเลาะกันมาหลายครั้งนะตั้งแต่คบกันมา แต่ไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่าครั้งนี้ แล้วสาเหตุในการทะเลาะ… ก็ไม่เคยพ้นไปจากเรื่องเดิมๆ พวกนี้เลย

“คุณบอกว่าไม่อยากคุยกับผมงั้นเหรอ” คริสเตียนก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูผมอย่างข่มขู่ มันทำให้ผมใจหายวาบทีเดียว “แล้วคุณอยากจะคุยกับใครแทนล่ะ เพื่อนร่วมงานของคุณที่ชื่อฮันต์หรือว่าเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ เพื่อนสนิทของคุณดี”

“ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ คริสเตียน” ผมกัดฟันกรอด ทำไมเขาถึงได้ดูถูกผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้นะ ทำไมเขาไม่ฟังที่ผมพูดบ้าง เอาแต่ยึดความคิดของตัวเองคนเดียว “ผมไม่เคยมีอะไรเกินเลยกับใครทั้งนั้นแหละ แล้วถ้าคุณยังปรักปรำผมแบบนี้อยู่อีกล่ะก็… ผมก็จะไม่ทนอยู่กับคุณ”

สีหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นด้วยความโกรธ นัยน์ตาสีน้ำตาลวาววับอย่างน่ากลัว แต่ผมเองก็กำลังโกรธจนหน้ามืดเหมือนกันจึงไม่ทันนึกหวาดหวั่น

“นี่คุณกำลังจะบอกเลิกผมเหรอ”

“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เวลาที่อารมณ์ร้อน ผมจะไม่พูดว่าขอเลิกออกมาพล่อยๆ แน่ “แต่ผมไม่ชอบเวลาคุณทำเหมือนดูถูกผมแบบนี้ ให้เกียรติผมบ้าง”

“แล้วคุณล่ะ ออสติน ที่คุณกำลังทำอยู่นี่ให้เกียรติผมมากเลยใช่ไหม”

“คริส คุณต้องปล่อยผมเดี๋ยวนี้” ผมพูดพร้อมกับออกแรงบิดข้อมือให้หลุดออกจากการเกาะกุมของเขา แต่ก็ไม่เป็นผล บริเวณที่ถูกเขาบีบรัดชาไปหมด “เราเถียงกันแบบนี้ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะ ผมก็ใช้เวลาอยู่กับตัวเองสัก--- เดี๋ยว! คริสเตียน! คุณทำอะไรน่ะ!?”

ผมโวยวายด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้าก็ช้อนตัวผมขึ้นไปพาดบ่าด้วยแรงมหาศาล ผมอ้าปากค้างด้วยความมึนงงในวินาทีแรกจากนั้นจึงเริ่มออกแรงดิ้นอย่างหนักเพื่อให้หลุดออกจากตัวเขา นี่หมอนี่ประสาทกลับไปแล้วเหรอ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ ต้องถึงขั้นนี้เลยใช่ไหม

“คริสเตียน! ปล่อยผมนะ นี่มันไม่ตลกเลยสักนิด!”

“แล้วอะไรทำให้คุณคิดว่าผมล้อเล่นอยู่ล่ะ?”

เขากระชากประตูห้องนอน เหวี่ยงผมลงไปบนเตียงอย่างรุนแรงจากนั้นก็ถลาขึ้นมาคร่อม บนริมฝีปากลงมา กดย้ำตรงบริเวณที่เลือดเพิ่งไหลซิบๆ ออกมาเมื่อครู่ ผมพยายามออกแรงผลักเขา พยายามเอาศอกถองหน้าท้องอีกฝ่ายแต่เจ้าตัวหลบได้อย่างรวดเร็วอย่างคนที่เก่งศิลปะป้องกันตัว

“อยู่เฉยๆ เถอะคุณ”

“อึก!”

เขาจับผมให้นอนคว่ำลงกับเตียง กดหัวผมจนหมอนยวบลงไป ผมดิ้นไม่หยุดขณะที่เขาพยายามหาอะไรมาพันธนาการมือทั้งสองข้างของผม ทันทีที่ผิวหนังสัมผัสกับโลหะเย็นเฉียบนั่น ผมก็รู้เลยว่าคริสเตียนใช้กุญแจมือที่เขายังมีอยู่ในกระเป๋าซึ่งเหน็บอยู่บนเข็มขัด ผมใจหายวาบด้วยความกลัว เพิ่งเริ่มเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ มือของเขาเลื่อนมาปลดเข็มขัดแล้วดึงกางเกงของผมออกอย่างรวดเร็ว ผมไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะขัดขืนเขาได้เลยในตอนนี้

“คริส… อย่า…” ผมครางอย่างสิ้นหวัง สะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเริ่มไล้ฝ่ามือลงบนบริเวณนั้น นี่เขาทำแบบนี้กับผมได้ยังไง แบบนี้มันขืนใจกันชัดๆ “คริส! ผมไม่--- อึก….! คริสเตียน! หยุดนะ!! คุณจะบ้าหรือไง!? ผมฟ้องคุณเรื่องนี้ได้เลยนะ! อ๊ะ… คริส!!! มันเจ็บนะ ได้โปรด…. อย่าทำแบบนี้”

แต่เขาไม่ฟังที่ผมพูด ไม่สนใจคำขอร้องของผม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเขาถูกความโกรธครอบงำอยู่หรือว่านี่คือสิ่งที่เขานึกอยากจะทำมานานแสนนานอยู่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ช่าง…

เขามันสารเลวที่สุด
 






-------------------------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแย้ววว นี่ คริสเตียน นายเป็นเด็กมีปัญหามาก่อนใช่ไหม ทำไมทำตัวแบบนี้ ถถถถถถถ
ช่วงนี้งานเรายุ่งมากเลยค่ะ ทุกคน เวลาเขียนนิยายแทบไม่มี จะลงแดงตายมาก ไม่ได้เขียนนิยายเนี่ย 5555555 ยังไงก็ฝากคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ >w<
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(100%) P.2 [4/06/2017]
«ตอบ #45 เมื่อ04-06-2017 20:35:38 »

ง่า สงสารออสติน
แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่ออะ มีการแจ้งความหรืออะไรไหม แล้วคริสเป็นยังไงต่อ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(100%) P.2 [4/06/2017]
«ตอบ #46 เมื่อ06-06-2017 18:50:03 »

ง่า สงสารออสติน
แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่ออะ มีการแจ้งความหรืออะไรไหม แล้วคริสเป็นยังไงต่อ

มาค่ะะ เรามารอดูกันน >w<

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 10)(100%) P.2 [4/06/2017]
«ตอบ #47 เมื่อ06-06-2017 18:52:39 »


บทที่ 11




“คุณโกรธเขามากไหม ออสติน”

เสียงทุ้มต่ำที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ดังมาจากคนข้างตัว ทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ของตัวเอง ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเล่าอะไรให้เขาฟังไปบ้าง แต่ถ้าเขาฟังที่ผมเล่าแล้ว เขายังมีหน้าจะมาถามแบบนั้นอีกเหรอ

“ผมเหรอ” ผมเหยียดยิ้มเยาะ “อย่าใช้คำว่าโกรธเลยดีกว่าคุณ มันเลยจุดนั้นไปมากโขเลยทีเดียว ผมขอใช้คำว่าอาฆาตแค้นเลยจะดีกว่า ผมรู้ดีว่าความรู้สึกนี้ที่มีต่อเขาจะไม่มีวันหายไปจนกว่าเขาจะได้รับโทษที่สาสม”

ไซม่อนพยักหน้า นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยฉายแววครุ่นคิดดูอ่านยากเหมือนเคย ผมปล่อยให้เขานิ่งไปแบบนั้น ส่วนหนึ่งในตัวนึกดีใจที่เขาไม่ได้แสดงท่าทีสงสารหรือว่าสมเพชผมอย่างที่คนทั่วไปมักจะทำกัน คนอื่นๆ มักจะมองคนที่เคยเป็นเหยื่อการคุกคามทางเพศด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจจนเกินเหตุ ยิ่งกับกรณีของผมที่ค่อนข้างหนักหนาด้วยแล้ว… ผมไม่โทษพวกเขาเหล่านั้นหรอก แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ไม่อยากให้ใครมาสังเวชผมหรอก และการที่ไซม่อนไม่ได้แสดงท่าทีแบบนั้นออกมานับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว

“คุณแค้นเขาขนาดไหน ออสติน” ไซม่อนถามต่อ ตอนนี้เราอยู่กันบนฟรีเวย์ที่รถค่อนข้างแน่น ผมทอดสายตายาวออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกเลยผ่านรถคันอื่นๆ ออกไปอย่างไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด “แบบที่อยากให้กฎหมายลงโทษเขาอย่างสาสม… อยากให้เขาเข้าไปอยู่ในคุกอย่างอาชญากรคนอื่นๆ อะไรแบบนั้นงั้นเหรอ”

“หึ” ผมแค่นหัวเราะในลำคอ ยกมือกอดอกหลวมๆ รู้สึกถึงด้านมืดในจิตใจของตัวเองที่ค่อยๆ คืบคลานออกมา การยกเรื่องของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนมาคุยมักจะปลุกความดำมืดที่อยู่ในตัวผมออกมาได้เสมอ ที่น่ากลัวก็คือผมไม่รังเกียจจุดนี้ของตัวเอง “พูดตามตรงนะ คุณเจ้าหน้าที่ ต่อให้ทางตำรวจจับเขาได้ ต่อให้เขายอมมอบตัว สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือเขาจะหาทนายดีๆ มาแก้ต่างให้ อาจถึงขั้นมีการยัดเงินใต้โต๊ะหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาเป็นตำรวจที่เก่ง ไซม่อน และเพราะว่าเขาเป็นคนเก่ง เมื่อเขาเลือกเส้นทางสายอาชญากรรมแล้วเขาก็จะเป็นอาชญกรที่เก่ง

“เขารู้กฎหมาย รู้ระเบียบขั้นตอนการทำงานของทางกรมตำรวจเพราะว่าเขาเคยเป็นหนึ่งในนั้นมาก่อน เขาจะหาทางดิ้นจนหลุดได้แน่ เขาจะได้รับการลดโทษ เผลอๆ อาจจะไม่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกเลยด้วยซ้ำก็ได้ เพราะงั้นถ้าคุณถามผม ผมไม่ได้อยากเห็นเขาถูกตำรวจจับจริงๆ หรอก เพราะพอคิดว่าเขาอาจจะหลุดรอดจากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เคยยุติธรรมจริงๆ ไปได้ มันก็ยิ่งทำให้ผมร้อนรุ่มจนแค้นใจไปหมดแล้ว ถ้าคุณถามผมนะ ผมอยากจะสำเร็จโทษเขา อยากให้พระเจ้าลงโทษเขา ไม่ต้องเป็นผมก็ได้ แต่ผมอยากให้เขาได้รับผลจากการกระทำที่สาสม และการที่เขาถูกยัดใส่ตารางดูไม่ใช่สิ่งที่สาสมแบบที่ผมพูดมาเลย”

“ถ้าเขามาอยู่ตรงหน้าคุณ คุณจะฆ่าเขาไหม”

จากในกระจกข้างตัวรถที่ผมมองอยู่ ผมเห็นนัยน์ตาสีเทาของตัวเองเป็นประกายวาบขึ้นมา “ฆ่า”

ไซม่อนเหยียดยิ้ม “ไม่ลังเลเลยนะ”

“ผมไม่สนหรอกว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไง” ผมพูด สิ่งที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจกำลังพรั่งพรูออกมา มันเป็นสิ่งที่ผมพยายามกดลงไปในหลุมดำมืด กลบฝังมันให้หลับใหลอยู่ในนั้น แต่มันไม่เคยหายไปไหนเลย มันอยู่กับผมตลอดเวลาแล้วก็จะอยู่ต่อไปด้วย “ผมไม่สนหรอกว่าตัวเองจะโดนตราหน้าเป็นฆาตกร ไม่สนถ้าต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุกหรือต้องโทษประหาร แต่ผมจะฆ่าเขาแน่ ขอแค่โอกาสให้ผมสักครั้งเถอะ”

“คุณไม่ทำแบบนั้นหรอก”

ผมหันหน้าขวับไปมองคนพูดด้วยสายตาวาวโรจน์ “คุณจะบอกว่าผมเป็นคนขี้ขลาดเกินกว่าจะทำแบบนั้นงั้นสิ?”

“เปล่าเลย ออสติน” ไซม่อนว่า สายตาไม่ละจากถนนเบื้องหน้า “แต่คุณเป็นคนดีกว่านั้น คุณจะไม่ฆ่าคนหรอก ต่อให้คุณจะแค้นคนคนนั้นมากแค่หนก็ตาม”

“หึ” ผมแค่นเสียง มุมปากยกขึ้นอย่างเหยียดหยัน ผมเบือนหน้าออกจากกระจกเพราะทนดูตัวเองไม่ได้ บางทีเรื่องที่ว่าผมเป็นคนขี้ขลาดอาจจะเป็นความจริงก็ได้ แต่ไอ้เรื่องที่ว่าผมเป็นคนดีอะไรนี่… “ไม่มีใครเป็นคนดีหรอก ไซม่อน แมคแนร์ ทุกคนล้วนมีหลุมดำมืดอยู่ในจิตใจทั้งนั้นแหละ จะเล็กหรือจะใหญ่ จะเห็นได้ชัดหรือแทบมองไม่เห็นเลย แต่ยังไงก็มีอยู่กันทุกคนแน่ ผมเองก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ ถูกเขาทำถึงขนาดนั้น ไม่มีทางที่ผมจะให้อภัยเขาได้แน่นอนล่ะ”

จากหางตา ผมเห็นไซม่อนยกยิ้มที่บ่งบอกความหมายบางอย่าง ราวกับว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดประโยคนั้นของผม แน่นอนล่ะ เขาเองย่อมต้องมีหลุมมืดอยู่ในใจของเขาอยู่แล้ว ผมไม่แปลกใจเรื่องนั้นหรอก

“คุณอยากจะฆ่าคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนจริงๆ เหรอครับ”

“อยาก”

“แล้วคุณได้ฆ่าเขาไหม”

ผมหันหน้าขวับกลับไปมองคนถามอีกรอบอย่างฉงนทันที “เปล่า”

“อือฮึ”

“ทำไมคุณถึงถามแบบนั้น?”

“เพราะว่าจนถึงตอนนี้ตำรวจก็ยังตามหาเขาไม่พบ ทั้งที่มันผ่านมาเป็นปีแล้ว” ไซม่อนว่า ยกมือขึ้นลูบคางเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด “แล้วคุณก็เพิ่งพูดให้ผมฟังว่าคุณอยากจะฆ่าเขา”

“อ้อ แน่ล่ะ ผมอยากจะฆ่าเขาแน่” ผมว่า “แต่ต่อให้ผมฆ่าเขาจริงผมก็คงไม่บอกคุณหรอก นี่คุณไม่ได้คิดถึงตรงจุดนี้บ้างเลยหรือไง”

ไซม่อนกระตุกยิ้ม “ก็เผื่อคุณหลุดปากพูดไงครับ เผื่อผมจะรู้อะไรดีๆ”

“เสียใจด้วยนะครับที่ไม่มีข้อมูลอะไรพอจะเพิ่มในแฟ้มผลงานของคุณได้” น้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อยนั่นทำให้เขาหัวเราะ มือแกร่งเลื่อนมาลูบหัวผมทีหนึ่งอย่างเอ็นดู มันทำเอาผมชะงักนิดหน่อยด้วยความตกใจ แต่นอกจากนั้นแล้วมันก็รู้สึกอบอุ่นดี ผมชอบสัมผัสแบบนี้ของเขา และคิดว่าเขาคงพอเดาได้

“ผมแค่ล้อเล่นเอง ออสติน”

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ”

“งั้นคืนนี้ผมขอค้างที่บ้านคุณได้ไหมครับ”

“แล้วพรุ่งนี้ไม่มีการมีงานทำรึไงคุณ”

“เดี๋ยวผมตื่นเช้าๆ ไง แล้วให้คุณทำข้าวเช้าให้ผมกิน ดีไหม?”

“คนเรานี่นะ” ผมแกล้งบ่นงึมงำ เบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะหน้าเริ่มร้อนขึ้น “ได้คืบจะเอาศอกตลอด แย่จริงๆเลย”

ไซม่อนหัวเราะร่วนเป็นคำตอบ และนั่นทำให้ผมเผลอแอบยิ้มตามไปด้วย



 


ผมขอเวลาเขาสองชั่วโมงในการทำงานหน้าคอมตามที่วางแผนเอาไว้วันนี้ ไซม่อนไม่ขัดอะไรเลย เขาเอาเวลาตรงนั้นไปอาบน้ำ ดูทีวี และก็คงหยิบงานของตัวเองออกมาทำต่อเหมือนกัน คราวนี้ผมสัญญากับตัวเองเลยว่าจะไม่เดินเฉียดเข้าไปใกล้ตอนเขาทำงานอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจได้เห็นภาพชวนให้สลดหดหู่ใจอีกอย่างคราวก่อน

มันก็จริงอยู่หรอกนะที่ผมทำงานกับศพมานาน ควรจะชินกับอะไรพวกนั้นได้แล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะผมห่างหายจากงานประจำของตัวเองมานานพอสมควร ประกอบกับสิ่งที่อยู่ด้านในรูปภาพ… บางครั้งสิ่งที่เห็นในนั้นมันชวนให้รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเห็นศพจริงๆ เสียอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นี่ยังไม่นับว่าเหยื่อในคดีที่เขาทำอยู่เป็นแค่เด็กด้วยนะ ผมบอกเลย ไม่ว่าใครจะเป็นฆาตกรในคดี คนคนนั้นมันปีศาจในคราบมนุษย์ชัดๆ

เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้นมาเรียกให้ผมเหลือบไปมอง ไซม่อนก้าวเท้าออกมาในสภาพนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ท่อนบนเปลือยเปล่าของเขามีหยดน้ำเล็กๆ เกาะพราวอยู่บนกล้ามเนื้อตั้งแต่หน้าท้องจนถึงแผ่นอก หน้าของผมร้อนฉ่า ผมรีบหันกลับมาให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองแทบไม่ทัน หวังว่าไซม่อนจะไม่ทันเห็นหน้าผมเมื่อกี้นะ เพราะมันต้องน่าอายมากแน่ๆ

ผมพยายามเพ่งสมาธิทั้งหมดลงไปที่งาน แต่เสียงฝีเท้าของใครอีกคนในห้องที่เดินไปมาทำให้ผมไม่มีสมาธิเลย ไซม่อนไม่ได้ลงน้ำหนักเท้าเสียงดังจนน่าหนวกหูอะไร… แต่แค่ได้รู้ว่ามีเขาอยู่ในห้องเดียวกับผม… ห้องนอนของผมในตอนนี้ก็ทำเอาใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว

ผมหยิบปากกาบนโต๊ะขึ้นมาควงเล่นในมืออย่างใจลอย ได้ยินเสียงเขาเปิดตู้เสื้อผ้าที่ทำจากไม้ มันลั่นเอี๊ยดเบาๆ ให้ได้ยิน เขาคงหยิบเสื้อผ้าผมไปใส่แบบทุกครั้งเวลาที่มาค้าง เขาตัวใหญ่กว่าผมค่อนข้างมากก็จริงแต่ผมก็พอมีเสื้อกับกางเกงที่ตัวหลวมๆ พอที่ไซม่อนจะใส่ได้อยู่บ้าง

ตอนนี้เสียงฝีเท้าของเขาเริ่มไปอยู่ที่บริเวณเตียงแทนแล้ว ผมจินตนาการว่าเขาอาจจะหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาอ่าน หยิบแฟ้มงานของตัวเองขึ้นมาพิจารณา หรืออาจจะกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างที่ใครต่อใครในยุคนี้ทำกัน

แล้ว… แล้วผมจะมานั่งเดาว่าเขากำลังทำอะไรอยู่แบบนี้ทำไมเนี่ย!? ทำงานสิ ออสติน ทำงาน! นายเป็นคนขอเวลาเขามาทำงานของตัวเองไม่ใช่เรอะ! ตั้งสติหน่อย

ผมพิมพ์เนื้อหาลงไปอีกสองสามย่อหน้า อ่านทวนมันอยู่ครู่หนึ่ง หมุนปากกาในมืออีกรอบ ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษมาจากใครอีกคนที่อยู่ในห้อง ผมเหลือบไปมองเขาอย่างอดไม่อยู่จนได้ ไซม่อนใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่เพิ่งแห้งหมาดๆ พร้อมกับอ่านหนังสือเล่มหนึ่งไปด้วย เขาใส่กางเกงสีกากีที่ดูพอดีตัวอย่างน่าประหลาด ท่อนบนยังเปลือยเปล่าเหมือนเดิม มีเสื้อยืดสีขาววางอยู่บนท่อนขาของเขา เป็นนัยว่าถ้าผมแห้งสนิทเมื่อไหร่เขาค่อยหยิบมันขึ้นสวม

ผมได้ยินหัวใจของตัวเองเต้นดังและรัวขึ้นขณะที่ค่อยๆ เบือนสายตากลับมาอยู่บนหน้าจอ มือเลื่อนปลายปากกามาแตะบนริมฝีปากอย่างเผลอไผล ผมกดปากกาด้ามนั้นลงมาด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นมากขึ้นๆ รู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นทั้งๆ ที่ในห้องไม่ได้ร้อนอะไรเลย

ก็ได้ ยอมแพ้แล้ว งานส่วนของวันนี้คงได้แค่นี้แหละ

ผมวางปากกาลงบนโต๊ะ กดเซฟงานและปิดโปรแกรมต่างๆ ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คแล้วตรงไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่า ไซม่อนเงยหน้าขึ้นจากหนังสือนิดหนึ่ง

“ทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ คุณหมอ”

“อือ” จะไม่ให้เสร็จได้ยังไงล่ะ ไม่มีสมาธิทำแล้วโว้ย! เรื่องนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องโทษใคร “ขอผมอาบน้ำแป๊บนะ”

“ไม่ต้องรีบมากก็ได้ครับ ผมไม่หนีไปไหนหรอก” คนผมน้ำตาลยิ้มยียวนส่งมาให้ ผมหน้าร้อนขึ้น แทบอยากจะถลาไปศอกใส่คางคนพูดด้วยความหมั่นไส้ เกลียดรอยยิ้มของหมอนี่ที่ทำให้ผมใจเต้นได้ทุกทีจริงๆ

ผมกลับออกมาด้วยชุดนอนสีพื้นของตัวเอง ไซม่อนกำลังตอบแชทใครสักคนในโทรศัพท์ตอนที่ผมเดินออกมา เขากดปุ่มพักหน้าจอ วางมันลงบนชั้นวางของข้างหัวเตียงทันที ก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้ อ้าแขนออกทั้งสองข้างให้ผมเข้าไปหา ปัญหามันอยู่ที่ผมเองก็เดินเข้าไปหาเขาอย่างว่าง่ายด้วยนี่สิ

ผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดกลัวตอนที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงไป วางเข่าไว้บนเตียงแล้วขึ้นนั่งบนร่างของเขา มือแกร่งเลื่อนมือโอบรอบเอวผม สีหน้ายิ้มๆ นั่นทำให้ผมเผลอตัวก้มลงไปทาบจูบบนริมฝีปากของเขาอย่างเสียไม่ได้

ไซม่อนเลื่อนมือข้างหนึ่งมาไล้ลงบนแก้มของผม จากนั้นก็เลยไปถึงเส้นผมที่ด้านหลัง เขาค่อยๆ ประคองใบหน้าของผมไว้ด้วยมือข้างนั้น ออกแรงเล็กน้อยให้ผมเอียงคอตามเพื่อรับสัมผัสบนริมฝีปากอย่างเต็มที่

“อือ…” ผมครางเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายเริ่มรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากผมมากขึ้นเรื่อยๆ ไซม่อนล้วงมือเข้ามาใต้เสื้อของผม ไล้ปลายนิ้วลงบนกระดูกสันหลังอย่างหยอกเย้า

ผมออกแรงกดริมฝีปากมากขึ้นเพื่อจูบเขาตอบ อะดรีนาลีนในร่างกายเริ่มพลุ่งพล่าน แขนทั้งสงอข้างของผมขยำเส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ของเขาด้วยแรงอารมณ์ อยู่ๆ ผมก็นึกอยากเอาคืนเขา… เขาที่คอยเริ่มก่อนทุกครั้งสำหรับกิจกรรมบนเตียง และผมก็เป็นฝ่ายที่ต้องลงไปนอนหลอมละลายอยู่ในอ้อมแขนเขาราวกับเยลลี่ที่โดนช้อนบดทุกครั้งไป ผมอยากให้เขาละลายแบบนั้นด้วยฝีมือของผมบ้าง

“อ่า…” ไซม่อนครางออกมาเล็กน้อย ขณะที่เราถอนจูบออกจากกัน ผมมองนัยน์ตาคมเข้มของเขาด้วยแววตาฉ่ำเยิ้มของตัวเอง ผมกำลังอ่อนยวบไปกับสัมผัสของเขาอีกแล้ว แต่เขาเองก็ต้องเป็นเหมือนกันนั่นแหละน่า

ผมใช้จังหวะตอนที่เราทั้งคู่หอบหายใจเบาๆ เลื่อนมือไปดึงกางเกงบนตัวเขาลง ไซม่อนยกยิ้มบนมุมปาก หอมแก้มผมฟอดหนึ่งอย่างเอ็นดู เหมือนผู้ใหญ่ให้รางวัลเด็กที่พยายามทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง… นี่หมอนี่คิดจะล้อผมเล่นรึไง เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่


.
.
.
.
(50%)






--------------------------------------------------
Talk: ความตัดฉับนี้มันอะไรกัน 555555 ช่วงนี้เรายุ่งมากเลยล่ะค่ะทุกคน แบบว่า... งานล้นมือมากมาย แทบไม่มีเวลาแตะนิยายเลย ฮือออ เสียใจ แต่ยังไงก็สัญญากับทุกคนไว้แล้ว >__< จะพยายามมาอัพให้ได้ตลอดตามที่บอกนะคะ!
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(50%) P.2 [6/06/2017]
«ตอบ #48 เมื่อ06-06-2017 20:27:25 »

โธ่ ตัดฉับเลย

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(50%) P.2 [6/06/2017]
«ตอบ #49 เมื่อ06-06-2017 20:53:18 »

ง้าวววววว ตัดดด อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(50%) P.2 [6/06/2017]
« ตอบ #49 เมื่อ: 06-06-2017 20:53:18 »





ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(50%) P.2 [6/06/2017]
«ตอบ #50 เมื่อ08-06-2017 18:35:30 »

[ต่อ]



“ออสติน”

“อะไรครับ” ผมว่า สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่อฝ่ามืออีกฝ่ายขยับมาลูบไล้บนแผ่นอกอย่างหยอกเย้า ผมเม้มริมฝีปากขึ้นนิดหนึ่งเพื่อไม่ให้เสียงครางน่าอายหลุดออกมา ไม่ได้หรอก กระดานนี้ผมต้องเป็นฝ่ายทำให้เขาครางเพราะผมสิ จะให้ผมเป็นเบี้ยล่างให้เขาทุกยกเลยรึไง ไม่มีทางเสียล่ะ

“คุณกับเจ้าหน้าที่ไทเลอร์เนี่ย…” เขาลากเสียงยาว เว้นจังหวะนิดหนึ่งอย่างมีชั้นเชิง “มีความสัมพันธ์กันแบบไหนเหรอครับ”

“ก็เพื่อน… อ๊ะ” ผมหลุดอุทานออกมาจนได้เมื่อกางเกงท่อนล่างถูกกระชากออกไปกองบนพื้น ผมมองท่อนล่างเปลือยเปล่าของตัวเองและของเขา หน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ผมค่อยๆ ลดตัวลงไปซุกใบหน้าลงบนแผ่นอกของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในทีแรก แต่ผ่านไปเพียงครู่เดียวผมก็รู้สึกผ่อนคลายในอ้อมแขนของเขา ได้ยินเสียงหัวใจบนอกข้างซ้ายดังมาให้ได้ยินด้วย รู้สึกดีจัง “ผมกับไคล์เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนเรียน… คุณไม่ได้ฟังที่คุณทนายนั่นซักตอนผมอยู่บนคอกพยานนั่นรึไง”

ไซม่อนหัวเราะออกมากับน้ำเสียงเป็นอริอย่างเต็มที่ของผม แหงสิ แค่นึกถึงวินเซนต์ เลสเตอร์ก็รู้สึกอยากจะกระโดดเข้าไปถีบหน้าสวยๆ ของหมอนั่น โจมตีกันรุนแรงเป็นบ้า นี่ยังดีนะที่ผมเอาคืนตอนช่วงท้ายๆ ได้บ้าง ไม่งั้นคงแค้นหนักกว่านี้แล้ว

“ผมก็พอรู้ว่าคุณเป็นเพื่อนของเจ้าหน้าที่ไทเลอร์คนนั้น”

“แล้วยังจะถามทำไมอีกครับ”

“คุณยอมให้เขาโดนตัวนี่”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองตาเขาเพื่อดูว่าเขากำลังงอน ประชดหรืออะไรทำนองนั้นอยู่รึเปล่า แต่ไซม่อนก็ยังมีรอยยิ้มกวนๆ บนมุมปากเหมือนเดิม นี่มันจะมาไม้ไหน…

“ก็เขาเป็นเพื่อนผม”

“แต่ผมเชื่อว่ากับเพื่อนคนอื่น คุณคงไม่ยอมให้ใครถูกตัวง่ายๆ แน่ ไม่ใช่เหรอครับ?”

ผมถอนหายใจออกมานิดหนึ่ง ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมานั่งถามคำถามกันตอนเรากำลังจะมีเซ็กส์กันแบบนี้

“ใช่ คุณพูดถูก แต่เขาเป็นเพื่อนสนิทผม พอใจรึยัง”
“สนิทระดับไหนล่ะครับ” เขายังคงยิ้ม แต่คราวนี้ผมสังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีฟ้าหม่นของไซม่อนวิบวับขึ้นมา หมอนี่กำลังหึง… นี่ผมคิดไปเองหรือว่าเขากำลังหึงจริงๆ?

ผมอึกอักนิดหน่อย เดาได้เลยว่าหน้าคงแดงขึ้นมาอีกแล้ว ปกติผมไม่ชอบให้แฟนหรือคนรักของตัวเองมาหึงไร้สาระนะ แต่… แต่กับหมอนี่ มันให้ความรู้ดีอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้ทำตัวไร้สาระอย่างคนก่อนๆ ที่ผมเคยเจอมาก็ได้

ผมถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ปิดบังหมอนี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ “ผมเคยมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับเขา”

“คุณสองคนคบกันเหรอ?”

“เปล่า ไม่ได้คบ”

“แต่นอนด้วยกัน?”

“เปล่า” ผมรีบพูด “แค่… เอ่อ แค่เกือบน่ะ”

“อือฮึ” ไซม่อนพยักหน้า ทำท่าเหมือนเข้าอกเข้าใจอย่างเสแสร้ง “แล้วทำไมถึงหยุดอยู่แค่เกือบล่ะครับ?”

แม่เจ้าโว้ยย จะถามอะไรนักหนาเนี่ย

แต่ผมไตร่ตรองคำตอบของคำถามนั้นอย่างระมัดระวัง และหลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งผมก็เปิดปาก “คุณเคยได้ยินที่เขาว่ากันว่า… เวลาเรารักใครสักคน เราจะมีรังสีบางอย่างออกมาไหม เหมือนแบบ… ถ้าเรารักคนคนนั้นก็มีโอกาสเป็นไปได้มากว่าคนคนนั้นจะรู้ตัวว่าเรารักเขา อะไรแบบนั้น”

“อ่าฮะ ก็เคยได้ยินครับ”

“อืม” ผมพยักหน้าหงึก มือเริ่มไล้ไปทั่วบริเวณแผ่นอกของคนตรงหน้าอย่างเย้ายวน “ก็… ผมคิดว่าเขารักผมนะ ไคล์น่ะ อาจจะฟังดูเหมือนผมหลงตัวเอง และผมก็อาจจะแค่เข้าใจผิดไปเองด้วยซ้ำ แต่ผมรู้สึกแบบนั้น เพราะงั้น… ผมก็เลยขอหยุดความสัมพันธ์ระหว่างเราไว้แค่นั้น”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ” เขาเอียงคออย่างแปลใจ มือเริ่มเลื่อนมาไล้บนร่างกายของผมบ้างแล้ว ไอ้หมอนี่นี่… ไม่ยอมเลยจริงๆ “ถ้าเกิดว่าเขารักคุณ แล้วมันมีปัญหาตรง---” ไซม่อนเงียบเสียงลง ทำสีหน้าอย่างคนที่เพิ่งเข้าใจ “คุณไม่ได้รักเขา”

“ไม่ใช่ในรูปแบบนั้น” ผมยอมรับ

ใช่แล้ว… บางทีมันอาจจะเป็นแค่สิ่งที่ผมทึกทักไปเอง แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่าเขารักผม… และมันเป็นความรักในแบบที่ผมให้กลับไม่ได้ พอมาลองย้อนนึกดู… ตัวผมในตอนนั้นช่างอ่อนแอจริงๆ อ่อนแอขนาดที่เกือบจะปล่อยให้ความเป็นเพื่อนของเราเกินเลยไป อ่อนแอขนาดที่เกือบจะนอนกับเขา

บางที ถ้าไม่ใช่ว่าผมรู้สึกตัวในตอนนั้น รู้ว่าเขารักผม… บางทีผมอาจจะยอมนอนกับเขาก็ได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จะเป็นแค่ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน วินวินทั้งสองฝ่าย แต่ถ้ามันมีอารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเกี่ยว มันก็ไม่ได้แล้ว ผมไม่สามารถเอาเปรียบเพื่อนสนิทของตัวเองได้ถึงขนาดนั้น แม้ว่าคนที่เริ่มล้ำเส้นก่อนจะเป็นตัวผมที่แสนอ่อนแอในตอนนั้นก็เถอะ

แต่ผมทำไม่ได้ ผมทำร้ายไคล์ขนาดนั้นไม่ได้ ต่อให้ผมจะรู้สึกสิ้นหวังจนแทบอยากจะหายไปจากโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอดก็ตาม แต่ผมเอาความอ่อนแอของตัวเองทำร้ายใครไม่ได้ มันเห็นแก่ตัวเกินไป ผมจะไม่เกาะใครเพื่อใช้คนคนนั้นเป็นเครื่องช่วงพยุง… เป็นสิ่งที่ช่วยดึงผมหลุดออกมาจากเหวมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุดนั่นหรอก ผมไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งก็จริง แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนแอถึงขนาดทำตัวน่าสมเพชแบบนั้น

“เขาเป็นเพื่อนคนสำคัญของผม” ผมว่า สบตาของอีกฝ่ายตรงๆ “แต่มันสุดหนทางที่ตรงนั้น”

ไซม่อนพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มไซร้ลงมาบนซอกคอผมอย่างอ่อนโยน ผมครางเบาๆ ขณะที่เริ่มเลื่อนหน้าไปขบริมฝีปากบนไหล่ของเขาบ้าง สังเกตเห็นแผลบางๆ ที่อยู่บนบ่านั้น ไม่แปลกใจเลย ด้วยอาชีพแล้ว เขาคงต้องผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เลือดตกยางออกไม่น้อยเหมือนกัน

“ดีจังที่ทางของผมไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น”

“จะบ้าเหรอคุณ” ผมหัวเราะออกมาจริงๆ คราวนี้ “เรานอนด้วยกันมากี่รอบแล้วเนี่ย ยังจะกล้าพูดแบบนั้นอีกนะ แล้วขอทีเถอะ เลิกพูดเรื่องคนอื่นสักที นี่มันเวลาของเราสองคนนะ ไซม่อน”

เขาช้อนตาขึ้นมามองผมยิ้มๆ เป็นยิ้มที่ทำให้ผมสะดุดไปได้เหมือนเคย มือหนาเลื่อนมานัวเนียอยู่แถวๆ บั้นท้ายของผม หน้าผมร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากสัมผัสของเขา ผมก้มลงไปจูบเขาอย่างเร่าร้อน นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมทำเหมือนรุกเขาอยู่แบบนี้

ผมสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปาก กวาดเข้าไปรอบๆ ตวัดเกี่ยวกับลิ้นร้อนของเขา ชอบใจกับเสียงครางเบาๆ ในลำคอนั่น ผมเลื่อนมือไปเกลี่ยบนยอดอกเขาครู่หนึ่งก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายแตะลงบนปากทางเข้าด้านหลัง ผมหน้าร้อนไปทั้งแถบเลยทีเดียว

“ก็ผมรักคุณนี่นา ออสติน” เขาพูดเสียงออดอ้อน ดึงศีรษะผมลงไปเล็กน้อยเพื่อให้หน้าผากเราชนกัน ให้ตาย…. ตาเขาสวยเป็นบ้าเลย ผมชอบเวลาที่เขามองผมอย่างหลงใหลแบบนี้ “อยากรู้ทุกเรื่องของคุณ อยากรู้จัก อยากเห็นทุกซอกทุกมุมของคุณ อยากเป็นของคุณ…”

ผมอมยิ้มกับคำพูดสุดท้ายของเขา ผมคงไม่มีความสุขขนาดนี้แน่ถ้าเขาพูดว่าอยากให้ผมเป็นของเขา

ไซม่อนค่อยๆ สอดลิ้นเรียวของตัวเองเข้ามาในโพรงปากผม ผมตวัดลิ้นรับ เม้มมันแน่นอย่างยั่วยวน ได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเองปนเปไปกับเสียงหอบหายใจของเขา ผมขยับสะโพกของตัวเองขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เขาสอดนิ้วเข้ามาอย่างเชื่องช้า

“อ๊ะ…” ผมครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน เลื่อนหน้าไปจูบปิดปากเขาขณะที่ไซม่อนดันนิ้วที่สองเข้ามาในร่างผมจนสุด ผมขยับสะโพกอย่างเชื่องช้าเพราะยังปรับตัวไม่ทัน บิดตัวเล็กน้อยเมื่อใบหน้าคมเลื่อนต่ำลงมาหยอกเย้าที่ยอดอก “อื้อ… ไซม่อน แฮ่ก อ๊ะ”

เขาค่อยๆ ถอนนิ้วออกไปอย่างเชื่องช้า ผมขยับเอวของตัวเองลงต่ำอย่างรู้หน้าที่ ครางออกมาในลำคอเบาๆ ขณะที่ใช้นิ้วเลื่อนเปิดปากทางให้ขยายกว้างขึ้น ไซม่อนเลื่อนมือเข้ามาช่วย มืออีกข้างประคองอยู่ที่หลังผม ให้ตายเถอะ ดูเหมือนจะทะนุถนอมผมไปหมดซะทุกอย่าง แล้วผมก็ดันดีใจกับเรื่องนั้นด้วยนะ

“อ๊ะ… แฮ่ก” ผมครางออกมาเป็นระลอกขณะที่ขยับสะโพกขึ้นลงด้วยจังหวะเนิบๆ ผมมองตาคนตรงหน้านิ่ง นัยน์ตาคู่คมหลุบต่ำลงมองร่างของผมที่เขื่อมต่อกันกับกายของเขา

อะ… ไอ้บ้าเอ๊ย! เห็นสายตาแบบนั้นของแล้วมัน… นะ… น่าอายชะมัด!

“อ๊ะ… อ๊ะ!” ผมร้องออกมาอย่างตกใจกับความรู้สึกเสียวซ่านที่ท่วมท้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ใบหน้าของเขาสีแดงเรื่อๆ เล็กน้อย เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นทั่วทั้งหน้า ผมเร่งจังหวะในการขยับเอวของตัวเองมากขึ้นตามแรงอารมณ์และได้ยินเสียงครางต่ำของเขาสมใจ

ผมเลื่อนมือไปกอดคอเขา ดึงเขาเข้ามาจูบอีกรอบขณะกระแทกร่างลงไปเป็นระลอกสุดท้าย

ได้ยินเสียงครางอย่างสุขสมเบาๆ จากเขาขณะที่ผมละริมฝีปากออก ผมถอนร่างของตัวเองออกจากร่างของเขาจากนั้นจึงถลาเข้าไปกอดเขาอย่างออดอ้อน ไม่มีอาการหวาดกลัวหรือแปลบปลาบอะไรในการสัมผัสโดนตัวเขาอีกแล้ว ผมจูบปากเขา ไล้ต่ำลงมาจนถึงแก้มและเลยลงมาถึงซอกคอ

“อือ… ออสติน” เขาคราง เสียงนั้นทำให้ผมหลงใหลราวกับต้องมนตร์ ให้ตายเถอะ เขามันเซ็กซี่เป็นบ้า ผมชักอยากให้เขาเป็นของผมขึ้นมาจริงๆ แล้วสิ “ออสติน ผมรักคุณ”

ผมปล่อยให้เขาดึงตัวเข้าไปกอดแนบอก น้ำเสียงที่เหมือนพร่ำเพ้อนั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ เลื่อนหน้าขึ้นไปหอมแก้มเขาทีหนึ่งจากนั้นก็กระซิบข้างหู

“ผมก็รักคุณ ไซม่อน”

ผมเห็นเขาคลี่ยิ้มบางๆ ออกมาอย่างมีความสุข และนั่นทำให้ผมดีใจมากเลย ให้ตายสิ



 


ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในยามเช้าด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอะไรบางอย่าง ราวกับมันทิ่มแทงลงไปถึงขั้วหัวใจและมันเป็นสิ่งที่ปลุกผมจากค่ำคืนอันแสนหวานและการนอนหลับที่แสนสุข ผมหันขวับไปมองคนข้างตัว แต่พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า ไซม่อนคงลุกก่อนผมไปนานแล้ว ดูจากแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาจากภายนอกนี่คงเป็นเวลาที่สายพอสมควร ผมนึกว่าเขาจะปลุกให้ผมไปทำอาหารเช้าให้เสียอีก แต่เปล่า เขาปล่อยให้ผมนอนต่อแล้วตัวเองไปทำงานตามปกติ เขาทิ้งโน้ตไว้ให้ผมแผ่นหนึ่งที่ชั้นวางข้างหัวเตียง บอกสั้นๆ แค่ว่าเขาขอตัวไปทำงานก่อนแล้วจะล็อกประตูบ้านให้ด้วยกุญแจสำรองที่ผมเคยให้เขาไป

ผมรู้สึกว่าใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ มีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจผมอย่างหนัก อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับสิ่งที่ผมเจอในศาล

ผมรู้ดีว่าสิ่งที่วินเซนต์ เลสเตอร์เอามาเปิดโปงเรื่องผมเป็นอะไรที่ค่อนข้างหนัก ความร้ายแรงของมันไม่ได้ปรากฎออกมาชัดเจนตอนที่ไซม่อนอยู่ข้างๆ ผม แต่ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวแล้ว และผมรู้สึกเหมือนผมกำลังมองข้ามเรื่องสำคัญอะไรบางอย่างไป

ผมลุกออกจากเตียง เดินวนไปมาเป็นวงกลมราวกับหนูติดจั่น เวลาที่พยายามนึกอะไรแต่นึกไม่ออกนี่ช่างเป็นสิ่งที่ทรมานจริงๆ

แต่ทันใดนั้นเองผมก็ตัวชาวาบไปทั้งตัว ผมรู้ดีว่าในหัวผมกำลังวนเวียนคิดถึงเรื่องอะไรหลังจากที่ออกมาจากศาลนั่น เรื่องของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนยังไงล่ะ ไอ้สารเลวนั่น… อยู่ๆ ผมก็นึกถึงพัสดุกล่องหนึ่งที่เคยได้รับมาเมื่อหลายเดือนก่อน มันมีแค่ที่อยู่ของผู้รับซึ่งถูกพิมพ์ออกมาจากเครื่องปริ้นเตอร์ ไม่มีทั้งชื่อและที่อยู่ของผู้ส่ง ผมเคยเดาไว้ว่ามันมาจากคริสเตียน… นอกจากไอ้สารเลวโรคจิตนั่นแล้วจะเป็นใครไปได้อีก ผมเคยส่งมันให้ทางตำรวจเอาไปตรวจหารอยนิ้วมือ พิสูจน์หลักฐานหรืออะไรก็แล้วแต่ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไร ทุกวันนี้กล่องเจ้าปัญหาที่ว่าก็ยังอยู่ในส่วนลึกของห้องเก็บของบ้านผม

ผมสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ห้องนั้น เดินผ่านตู้เก็บเอกสารเก่าๆ ที่ถูกคลุมไปด้วยฝุ่น ของประดับบ้านชิ้นใหญ่ที่อยู่ในสภาพโทรมเต็มที่ เลยผ่านถุงกอล์ฟขาดๆ ที่เคยเป็นของพ่อ แล้วผมก็ได้กล่องที่ผมแสนจะแสลงใจมาอยู่ในมือจนได้ ผมเปิดมันออก ดูของที่อยู่ด้านใน

มีสร้อยคอเส้นหนึ่งที่มีจี้เป็นรูปดอกไม้ประดับเพชร มีนาฬิกาที่ดูมียี่ห้ออีกเรือนในนั้น นอกจากเจ้าสองอย่างนี้ยังมีรูปถ่ายเก่าๆ อีกหนึ่งใบอยู่ด้านใต้ ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าคริสเตียนจะส่งของพวกนี้มาทำไม เขาต้องการอะไรจากผม หรือแค่ต้องการจะทำให้ผมเป็นบ้าจากอาการประสาทหลอนเท่านั้น? ก็อาจเป็นไปได้ เขามันโรคจิตอยู่แล้ว

ผมคว้าเอารูปถ่ายเพียงใบเดียวขึ้นมาจากนั้นก็ถลากลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง หยิบรูปถ่ายครอบครัวของแบรด แมคแนร์ที่ไซม่อนเคยเอามาให้ จากนั้นก็เทียบทั้งสองรูปเข้าด้วยกัน

ใช่เลย… ชัดเจน

รูปถ่ายเก่าๆ ใบนั้นเป็นรูปของแบรดตอนที่ยังหนุ่ม ในนั้นมีเด็กทารกและภรรยาของเขา

ผมจ้องมองรูปถ่ายทั้งสองใบด้วยความฉงน

นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?







-------------------------------------------
Talk: หย่อนระเบิดหนึ่งลูก //ตุ้บ//
วันนี้ลางานค่ะ ปวดท้องมากเลย... วันนั้นของเดือน ปวดจนคิดว่าจะตาย ปวดจนคิดว่าขอตายเลยดีกว่า//ฮืออออ เกิดเป็นผู้หญิงนี่ช่างลำบากเหลือเกิน//บ่นๆๆๆ
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2017 07:16:31 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(100%) P.2 [8/06/2017]
«ตอบ #51 เมื่อ08-06-2017 20:07:54 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(100%) P.2 [8/06/2017]
«ตอบ #52 เมื่อ08-06-2017 23:18:47 »

ยังไงกันหนอ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 11)(100%) P.2 [8/06/2017]
«ตอบ #53 เมื่อ11-06-2017 17:03:44 »


บทที่ 12


 
ผมเก็บความสงสัยเกี่ยวกับรูปถ่ายของแบรดและตัวของแบรดเองเอาไว้ในใจ พยายามคิดถึงความเกี่ยวโยงระหว่างชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของหัวใจคนก่อนที่ผมกำลังใช้อยู่กับคริสเตียน เอ่อ นั่นก็เป็นเจ้าของหัวใจคนก่อนอีกคน แต่คนละความหมายกัน อย่าเพิ่งงงกับผมนะตอนนี้ เพราะตอนนี้ผมสับสนมากพออยู่แล้ว นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าสองคนนี้ไปเชื่องโยงกันที่ตรงไหน

ไซม่อนส่งข้อความมาบอกผมว่าจะพาแดนมาหาวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือก็คือวันนี้ ผมอยากจะเจอเด็กชายผู้แสนเรียบร้อยคนนั้นนะ แต่ความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในอกนี่ทำให้ความอยากที่ว่าลดลงไปไม่น้อยเหมือนกัน อันที่จริงผมอยากให้เขามาคนเดียว ถ้าได้อยู่ด้วยกันแค่สองคน มันอาจช่วยให้ผมกล้าที่จะถามเขา ถึงแม้ว่าบางทีไซม่อนเองอาจจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของคริสเตียนกับแบรดก็ตาม

แต่ว่า… ทำไมคริสเตียนต้องส่งรูปถ่ายของแบรดมาให้ผมด้วย? ไหนจะยังนาฬิกาข้อมือกับสร้อยคอนั่นอีก มันมีความหมายอะไรกันแน่?

หรือว่าของพวกนั้นจะไม่ได้มาจากคริสแต่แรก? แต่ถ้าไม่ใช่ไอ้โรคจิตนั่นแล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ ส่งของแปลกๆ แบบนั้นมาให้แถมยังไม่ลงชื่อ ไม่บอกที่อยู่ผู้ส่ง… นอกจากไอ้บ้านั่นแล้ว ผมก็ไม่เคยมีศัตรูอะไรกับใครที่ไหนเลยนะ ยังไงผมก็เชื่อว่ากล่องที่ครั้งหนึ่งทำให้ผมประสาทหลอนมาแล้วนั่นมาจากคริส เพียงแต่ผมยังไม่รู้เท่านั้นเองว่าทำไมเจ้าตัวถึงต้องส่งมันมาให้

เสียงออดดังขึ้นจากหน้าบ้านทำให้ผมสะดุ้งตัวอย่างแรงทันที เหมือนใจจะหล่นตุ้บไปอยู่ที่ตาตุ่ม ให้ตายเถอะ ดันมากดได้ถูกจังหวะอะไรแบบนี้ คนกำลังคิดเรื่องเครียดๆ

“ออสติน” เสียงเรียกจากแขกที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านดังขึ้นเพราะผมไม่โผล่ไปเสียที “ออสตินครับ คุณอยู่บ้านรึเปล่า”

“ม่ายอยู่” ผมตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มอุ้มหลานชายตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน สีหน้าคมเข้มนั่นติดจะลำบากใจกับแดนที่กำลังสะอึกสะอื้น ซุกหน้าอยู่บนบ่าของผู้เป็นอา แก้มของแกแดงก่ำอย่างน่าสงสารไปหมด และผมที่เอ็นดูแดนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วใจอ่อนยวบ แทบจะหลอมละลายไปกองกับพื้นอยู่แล้วด้วยความสงสาร “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นน่ะ คุณ นี่คุณทำอะไรหลาน--”

“เอ่อ คือ… ผมเปล่านะ” เขาทำหน้าแหยงๆ ขณะที่เริ่มกอดคอเขาแน่นขึ้น สะอื้นออกมาเป็นช่วงๆ ไซม่อนหันไปดุคนในอ้อมแขน “แดนครับ พอได้แล้ว เลิกงอแงได้แล้วนะ ไม่น่ารักเลย เดี๋ยวน้าออสตินก็ลำบากใจเอาหรอก”

“กะ… ก็ผมอยากไปสวนสนุกนี่นา” เจ้าตัวว่าเสียงขาดเป็นห้วงๆ “มะ… แม่สัญญาแล้วว่าจะพาผมไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ฮึก ฮือ…”

“อ้าว” ผมก้าวเท้าเข้าไปประชิดทั้งอาทั้งหลาน เลื่อนมือไปลูบเส้นผมของแดนอย่างปลอบโยนทันที “แล้วทำไมถึงไม่ได้ไปล่ะครับ คุณแม่ติดธุระเหรอ?”

“แม่ทำงาน….” แดนว่าพร้อมกับร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ ซุกหน้าลงบนแผ่นอกของร่างสูง ผมถอยไปด้านหลังนิดหนึ่งด้วยความตกใจ ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมายิ้มเป็นเชิงขอโทษทันที “ละ… แล้วคุณอาไซม่อนก็ต้องมาหาน้าออสติน”

อ้าว ชิบหาย เวรกรรม นี่มันกลายเป็นความผิดผมไปแล้วรึเปล่าเนี่ย

“ไม่เอาสิครับ แดน เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่หนุ่มเริ่มดุขึ้นเรื่อยๆ “อาบอกแล้วใช่ไหมว่าเสาร์นี้จะพามาหาน้าออสตินน่ะ แล้วหนูก็ตอบตกลงแล้วถูกไหม ไม่งอแงสิครับ เป็นลูกผู้ชายร้องไห้แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

แดนเริ่มลดเสียงสะอื้นลงอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ แต่ร่างเล็กก็ยังหอบหายใจขึ้นลงอยู่ มือหนาเลื่อนไปตบหลังเจ้าตัวไปด้วยอย่างปลอบประโลม ผมรู้สึกแย่มากเลยตอนนี้ จริงๆ ไซม่อนน่าจะพาหลานไปเที่ยวที่แกอยากไปมากกว่า

“คุณพาหลานไปเที่ยวดีกว่าไหมครับ” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิด “แกคงไม่ได้ไปสวนสนุกมานานมากแล้ว แม่แกก็คงยุ่ง คุณที่พอหาเวลาได้บ้างก็น่าจะพาแกไปเที่ยว”

“น้าออสตินไปด้วย…”

เสียงนั้นทำให้ผมชะงักไปทันทีอย่างคาดไม่ถึง แดนเริ่มเงยหน้าขึ้นมามองผม หางตาแดงก่ำ ใบหน้าเลอะไปด้วยคราบน้ำมูกและน้ำตามอมแมมไปหมด ผมอยากเข้าไปหยิบทิชชู่มาเช็ดให้จัง

“นะครับ น้าออสตินมาด้วยกันนะ ผมอยากไปเที่ยว แต่ไม่อยากไปให้น้าออสตินอยู่บ้านคนเดียว”

เอ่อ เดี๋ยวนะ ไหงมันกลายเป็นแบบนั้น

“ไม่ได้นะครับ แดน อย่าพูดจาเอาแต่ใจสิ” ไซม่อนเอ็ด ตบๆ กระเป๋ากางเกงเพื่อหาทิชชู่หรืออะไรมาเช็ดหน้าหลาน แต่ไม่เจออะไรเหมือนกัน

“เข้ามาในบ้านก่อนเถอะครับ” ผมรีบว่า เปิดประตูให้ทั้งสองเข้ามาอย่างรวดเร็ว “แล้วจะยังไงก็ค่อยๆ ตกลงกัน นะครับ แดน เป็นเด็กดีนะ เดี๋ยวน้าพาไปล้างหน้าก่อน”

หลังจากจัดการเช็ดน้ำหูน้ำตาให้เด็กชายตัวจ้อยเรียบร้อย เจ้าตัวก็เริ่มนั่งซึมเงียบๆ บนโซฟา สงสารจัง จริงๆ ก็แค่ไปสวนสนุกเท่านั้นเองนะ ผมว่าเราไปกันตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่แย่--

“แดน ไม่ใช่ว่าอาไม่อยากพาหนูไปนะครับ” ไซม่อนที่เห็นว่าเด็กเริ่มนิ่งแล้วให้เหตุผล “แต่หนูก็รู้ใช่ไหมว่าน้าออสตินร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าน้าเขาไปที่แบบนั้น เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

ผมอ้าปากค้างกับเหตุผลที่แสนไร้สาระนั่นของคนเป็นอา จะบ้าเรอะ นี่หมอนี่เห็นว่าผมเป็นตัวอะไร เป็นเชื้อแบคทีเรียอ่อนไหวที่เจอฝุ่นนิดเดียวก็ตายแล้วอะไรแบบนี้รึไง ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะโว้ย!

“น้าอยากไปสวนสนุกกับแดนจังเลยครับ” ผมพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เด็กชายตรงหน้า ไซม่อนเบิกกกตากว้างขึ้นนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ แต่ผมไม่สนหรอก หมอนี่จะมาตัดสินอะไรเองคนเดียวแบบนี้ได้ไง อีกอย่างนี่มันร่างกายผม ผมย่อมรู้ตัวเองดี นี่ยังไม่นับเรื่องที่ผมเป็นหมออีกนะ (ถึงจะเป็นหมอชันสูตรศพก็เถอะ) ยังไงผมก็ต้องรู้ดีกว่าเขาอยู่แล้ว

เด็กชายช้อนสายตาขึ้นมามองผมตาใสทันที น้ำตาที่คลออยู่บนเบ้าหายวับไปราวกับสั่งได้ ผมชอบเด็กก็ตรงที่พวกแกใสซื่อแล้วก็บริสุทธิ์แบบนี้นี่แหละ น่าเอ็นดูชะมัด

“คุณน้าออสตินพูดจริงเหรอครับ?”

“จริงสิครับ น้าเองก็ไม่ได้ไปสวนสนุกมานานแล้วเหมือนกัน” ผมพูดยิ้มๆ และนั่นก็ไม่ใช่คำโกหกด้วย ครั้งล่าสุดที่ผมไปพวกธีมปาร์คคงผ่านมาเป็นสิบปีได้แล้วมั้ง ผมเห็นนัยน์ตาสีฟ้าใสของเด็กชายระยิบระยับขึ้นมาอย่างลิงโลดทันที แต่ผมพูดดักคอก่อน “แต่… ต้องถามอาไซม่อนก่อนนะว่าจะยอมให้หนูแล้วก็น้าไปหรือเปล่า เพราะเมื่อกี้เขาดุเสียน่าดู สงสัยคุณอาคงไม่อยากให้อาไปด้วยเท่าไรหรอกมั้ง”

“เอ่อ เดี๋ยวนะครับ ออสติน” คนที่โดนหางเลขไปด้วยเหงื่อตก สะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อแดนถลาเข้ามาเขย่าขาอย่างอ้อนวอน

“นะครับ คุณอาไซม่อน ให้น้าออสตินไปกับเราด้วยนะ คุณน้าเองก็อยากไปเหมือนกัน อาไม่สงสารคุณน้าเหรอครับ เพราะมีแต่คนบอกว่าไม่แข็งแรงเลยไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเลย นะครับ อาไซม่อน ผมก็อยากไปสวนสนุก น้าออสตินก็อยากไปสวนสนุก เราไปกันเถอะนะครับ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด ไม่มีเรียนอยู่แล้ว นะครับ นะ”

นัยน์ตาสีฟ้าหม่นคู่คมของไซม่อนหันขวับมามองผมอย่างคาดโทษทันที ผมยักคิ้วส่งให้เจ้าหน้าที่หนุ่มทีหนึ่งอย่างสะใจก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อไซม่อนเริ่มกระตุกยิ้มเหมือนคนที่รับคำท้า แต่ผมไม่ได้กำลังท้าทายอะไรเขาอยู่สักหน่อยนี่ ก็แค่สงสารหลานเท่านั้นเอง ตัวก็เล็กแค่นี้ ยังจะโดนอาใจร้ายใจดำห้ามไม่ให้ไปเที่ยวอีก

ห้ามไม่พอ… ยังจะเอาผมมาอ้าง งั้นก็เจอผมยุส่งไปเลย! ดีเหมือนกัน ผมก็อยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง


 


ก็… คิดเอาไว้แบบนั้น…

“ออสตินครับ” ชายหนุ่มข้างตัวเอ่ยเรียกผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมมองตามแดนที่อุทานออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นคนในชุดมาคอตใหญ่เทอะทะที่คงเป็นคาร์แรกเตอร์มาจากตัวการ์ตูนสักเรื่อง ผมเดาว่านั่นคงเป็นตัวกระรอกสีน้ำตาลมีฟันเหยินยื่นออกมาสองซี่ ผมไม่ค่อยคลุกคลีกับการ์ตูนพวกนี้เท่าไรเลยไม่รู้จัก แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไอ้กระรอกนี่มันน่ารักตรงไหน แต่เหมือนเด็กอายุไล่เลี่ยกับแดนหลายคนจะชอบเหลือเกิน เข้าไปรุมล้อมกันใหญ่ แล้วไอ้สวนสนุกนี่มันอะไรกัน… ทำไมคนถึงได้เยอะขนาดนี้ “ออสอติน นี่คุณ ไหวรึเปล่าเนี่ย หน้าซีดลงรึเปล่า ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ เผื่อจะสดชื่นขึ้น”

ผมรับขวดน้ำที่ไซม่อนเปิดฝาดื่มไปเรียบร้อยแล้วขึ้นมากระดก เพิ่งรู้สึกตัวตอนที่จรดริมฝีปากลงไปว่ามันคือการจูบทางอ้อม…

อ่า สวัสดีนะตัวผมในเวอร์ชั่นสาวน้อยมัธยมปลาย ตั้งแต่คบกับไซม่อนนี่ดูเหมือนจะโผล่ออกมาให้เห็นบ่อยเหลือเกิน

“อ้าว คราวนี้ทำหน้าพิลึกเลย” เจ้าตัวว่าเสียงกลั้วหัวเราะ มือเลื่อนมาลูบหัวผมเบาๆ อย่างเอ็นดู แต่เพราะไม่ทันได้ตั้งตัวผมเลยสะดุ้งนิดหนึ่ง สัมผัสจากฝ่ามือเขาแปลบขึ้นมาเล็กน้อย และมันก็ทำให้ใจเต้นรัวขึ้น… ให้ตาย ผมนี่ขี้ตื่นชะมัด จะทำยังไงถึงจะรักษาโรคนี้ได้ล่ะเนี่ย “ผมก็นึกอยู่แล้วว่าคุณมานี่คุณต้องเกร็ง เพราะคนมันเยอะไปหมด เอ้า เขยิบมาอีกนิดสิคุณจะได้ไม่ขวางคนอื่นเขา”

ไซม่อนว่าพร้อมกับเลื่อนแขนมาโอบเอว ออกแรงเล็กน้อยเพื่อขยับให้ผมชิดตัวเขามากขึ้นและหลบให้คนอื่นเดินผ่านไปสะดวก ผมรู้สึกได้เลยว่าหน้าร้อนวูบขึ้นมา จากที่ต้องคอยระแวงว่าใครจะมาเดินชนแขน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมขยับเข้ามาแนบชิดกับร่างสูงเต็มที่เสียอย่างนั้น

ผมเบือนหน้าหนีมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้ไซม่อนสังเกตเห็นหน้าแดงเถือกของตัวเอง และสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในสวนสนุกแห่งนี้ก็ดูจะเป็นใจเหลือเกิน ร้านค้าที่เรียงรายกันตลอดถนนสายนี้เต็มไปด้วยผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาดสาย แต่ละร้านมีธีมของมันชัดเจน เช่นร้านที่ออกไปทางโทนสีชมพูหน่อยก็จะมีตุ๊กตารูปตัวการ์ตูนน่ารักๆ สำหรับเด็กผู้หญิงเรียงรายอยู่เต็มไปหมด มีของขายเป็นรูปตัวละครนั้นๆ ตั้งแต่ฝากระปุกลูกอมไปจนถึงเสื้อยืดที่สีฉูดฉาดเกินไป ถัดไปอีกร้านเป็นธีมสัตว์ประหลาดตัวเขียวหน้าตาพิลึก ตรงหน้าร้านมีรถขายป็อบคอร์นซึ่งมีกล่องพลาสติกเป็นรูปตัวการ์ตูนที่ว่า

ผมเหลือบมองราคา… คงจะจริงสินะว่าไอ้ที่พวกนี้มันที่ขายฝัน และฝันแต่ละอย่างนี่ดูจะแพงๆ กันทั้งนั้น

“หืม” คนข้างตัวผมว่าพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนหายใจรดแก้ม ว้ากกก ไอ้บ้านี่! ตกใจหมด คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ! “กำลังดูอะไรอยู่เหรอครับ ออสติน อยากกินป๊อบคอร์นเหรอ?”

“เปล่าครับ” ผมว่า ก้มลงมองที่เอวของตัวเอง ไอ้มือปลาหมึกนี่ยังไม่ยอมปล่อยผมอีก นี่เราไม่ได้มาเดทกันนะโว้ย “นี่ ไซม่อน ปล่อยได้แล้วครับ ไปดูแดนได้แล้ว เดี๋ยวแกหายไปขึ้นมาจะทำยังไง”

“แกไม่ไปไหนหรอกครับ” เขาว่ายิ้มๆ ตามองที่หลานชายตัวจ้อยซึ่งกำลังต่อคิวรอลูกโป่งจากเจ้าตัวกระรอกที่ว่าอย่างรักใคร่ “แกเป็นเด็กดีจะตาย ถึงเช้านี้จะงอแงไปหน่อยก็เถอะ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ลากคุณมาที่นี่ได้ด้วยจนได้ ไม่นึกว่าคุณจะยอมมาด้วยจริงๆ นะครับเนี่ย”

ผมสะดุ้ง หันขวับไปมองคนพูดพร้อมกับถลึงตาใส่ทันที “นี่อย่าบอกนะว่าคุณวางแผนไว้หมดแล้ว!?”

“เฮ้ย เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ” ไซม่อนว่าจากนั้นก็หัวเราะออกมาดังๆ ผมนี่แทบอยากจะยกขาถีบมันให้ปลิวไปติดตัวอาคารซึ่งถูกตกแต่งด้วยสไตล์ยุโรปให้รู้แล้วรู้รอด “ผมไม่ได้วางแผนอะไรทั้งนั้นแหละคุณ แต่ก็ไม่นึกว่าคุณจะยอมมาด้วยจริงๆ ทีแรกตั้งใจจะปลอบแดนให้สงบแล้วชวนคุณไปเช่าเรือสักลำ ไปแล่นเรือในทะเลสักรอบ เผื่อว่าแกจะยอมสงบลงบ้าง”

“แบบนั้นก็ฟังดูดีนะครับ” ผมว่า ชอบใช้ชีวิตอยู่กับทะเลอยู่แล้ว

“ไว้คราวหน้านะครับ” ไซม่อนยิ้ม เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนปากแทบจะชนกันอยู่แล้ว พอๆๆๆ พอเลย แดนเองก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เดี๋ยวหลานก็ช็อกตาตั้งกันก่อนพอดี

“คุณนี่มัน… จริงๆ เลย” ผมบ่นอุบขณะใช้มือดันอกของเขาด้วยแรงที่ไม่มากนัก แต่ไซ่อนก็ยอมผละออกไปแต่โดยดีด้วยสีหน้ายิ้มๆ เหมือนเคย เขารู้ว่าตอนไหนควรรุก ตอนไหนควรถอย นั่นเป็นอีกจุดที่ผมชอบเกี่ยวกับเขา… บางทีผมอาจจะเคยบอกเรื่องนี้ไปแล้ว

หลังจากที่แดนได้ลูกโป่งสมใจแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางไปเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ผมต้องคอยเดินหลบคนที่เดินสวนมาจากทุกสารทิศ มีบ้างเหมือนกันที่หลบไม่พ้นแล้วทำให้ต้องไปโดนตัวอีกฝั่งบ้าง มันทำให้ผมรู้สึกแปลบขึ้นมานิดหนึ่ง แม้จะไม่ได้มากมายแบบเมื่อก่อนแล้วแต่ก็ยังรู้สึกอยู่ดี หรือแม้แต่สัมผัสของไซม่อนเอง ถ้าผมไม่ทันได้ตั้งตัวล่ะก็ สัมผัสของเขาก็ทำเอาเผลอสะดุ้งได้ไม่น้อยทีเดียวเหมือนกัน

แต่ไซม่อนเองก็ดูเมือนจะพัฒนาฝีมือขึ้นมาแล้ว เขาไม่ทำหน้าสลด เจ็บปวดหรือประหลาดใจให้ผมเห็นอีกต่อไป ชายหนุ่มเพีงแค่ยกยิ้มกวนๆ ส่งมาให้ตามเคยก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงยั่วยวน

“สงสัยผมคงต้องฝึกคุณให้หนักกว่านี้แล้วสินะครับ คุณหมอที่รัก”

นั่นทำเอาผมหน้าร้อนจนแทบจะระเบิดออกมาให้รู้แล้วรู้รอดเลยทีเดียว…

อ๊าก! ไอ้บ้านี่! หลานก็เดินอยู่ข้างหน้านี่ ไม่เห็นรึไง!?



.
.
.
.
(50%)






------------------------------------------
Talk: อิจฉาสองคนนี้จังเลย ได้ไปเที่ยวด้วย ฮือออออ //งอแง// ช่วงนี้เรางานยุ่งมากเลยค่ะ หัวหมุนไปหมด อยากจิร้องไห้
ยังไงก็ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ! ยังไงก็ช่วยคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันหน่อยน้า~ ^^
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(50%) P.2 [11/06/2017]
«ตอบ #54 เมื่อ11-06-2017 18:32:22 »

เหมือนไปเดท

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(50%) P.2 [11/06/2017]
«ตอบ #55 เมื่อ13-06-2017 06:11:21 »

ไปเดทแค่เอาหลานมาบังหน้าสินะ 5

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(50%) P.2 [11/06/2017]
«ตอบ #56 เมื่อ13-06-2017 19:14:37 »


[ต่อ]



ผมเดินจูงมือแดนสลับกับไซม่อนระหว่างที่เราเดินไปต่อแถวเครื่องเล่นต่างๆ แถวแต่ละแถวช่างยาวเหยียดจนทำให้ต้องปิดปากหาวอย่างอดไม่อยู่ เหลือบมองป้ายที่บอกเวลาที่ต้องรอในแถว ยังอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เล่นเจ้าเรือน้ำนี่ ผมหันกลับไปมองไซม่อนที่ดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่หลานเอาไปเล่นจากนั้นก็หัวเราะคิกคักกันสองคน

ผมยกยิ้มอย่างเผลอตัว ไซม่อนดูเหมือนพ่อของแดนจริงๆ น่ารักจัง ถ้าหมอนี่จะมีลูกสักคนก็คงมีแบบแดนนี่แหละ นึกภาพออกได้ไม่ยากเลย

“ออสตินครับ” ไซม่อนว่าหลังจากหยิบแท็บเล็ตเครื่องเล็กให้หลานชายเล่น เขาเปิดกล้องหน้าของสมาร์ทโฟนแล้วเริ่มยืดแขนออกเพื่อให้มีเราสองคนอยู่ในรูปนั่น “ถ่ายรูปกัน เราไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเลย”

เออ แต่ผมจำได้นะว่าเราเคยกันสามคนกับแดนด้วย

ผมขยับตัวเข้าไปในกล้อง ยิ้มน้อยๆ บนมุมปาก รูปที่ออกมาดูเกร็งเล็กน้อย ก็ผมเป็นคนไม่ชินกับการถ่ายรูปนี่นา พอโดนบอกให้ยิ้มให้กล้องทีไรแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ทุกที ไม่เห็นจะเข้าใจที่ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติให้กล้องถ่ายรูปได้เลย ผมหมายถึง… มันไม่มีชีวิตด้วยซ้ำ

“ยิ้มดูดีขึ้นนะครับ” ถึงอย่างนั้นคนข้างตัวก็ชม ริมฝีปากประดับรอยยิ้มบางๆ “ถ้าเทียบกับรูปที่เราเคยถ่ายกันสามคน”

“คนเราก็ต้องมีพัฒนาการบ้าง”

“แต่ก็ยังดูยิ้มฝืนๆ อยู่ดี”

ผมยักไหล่ “ก็ต้องค่อยๆ ไต่เต้าไปสิคุณ จะให้มาเก่งปุบปับเลยได้ไง”

ไซม่อนหัวเราะร่วนกับคำพูดนั้น

จะว่าไป… พอพูดถึงเรื่องถ่ายรูปแล้ว ผมก็นึกถึงรูปแบรดที่ไซม่อนเอามาให้ทันที จากนั้นก็รูปที่บุคคลปริศนาส่งมาให้… เหอะ แต่ยังไงผมก็เชื่อว่านั่นคือคริสเตียนอยู่วันยันค่ำ แต่… ทำไมล่ะ? แค่เรื่องนี้แหละที่ทำให้ผมสับสน อยากจะเข้าใจว่าคริสเตียนและพี่ชายของไซม่อนมีจุดเชื่อมโยงกันยังไง

ผมลังเลนิดหนึ่ง บางทีถ้าผมเริ่มต้นด้วยการเปิดประเด็นเรื่องแบรดขึ้นมาก่อน บางทีมันอาจ--

“คุณอาไซม่อนฮะ” แดนพูดแทรกความคิดผมขึ้นมาทำให้ผมต้องหยุดปากของตัวเองลง เด็กชายส่งไอแพดคืนให้อาหนุ่มแล้วเริ่มกางมือออกเป็นเชิงขอให้อุ้ม

“อะไรครับ คนเก่ง” ไซม่อนพูดยิ้มๆ ยกตัวหลานชายลอยขึ้นจากพื้นอย่างง่ายดายจากนั้นจึงปล่อยให้แกซบลงบนแผ่นอกอย่างที่ชอบทำ สีหน้าของเด็กชายดูเศร้าหมองขึ้นมากะทันหัน มันไม่ใช่เศร้าแบบเด็กเอาแต่ใจอย่างเมื่อเช้า มันเป็นอะไรที่ลึกล้ำกว่านั้น เป็นแววตาแบบที่ผมเคยเห็นมาก่อน แววตาของคนที่สูญเสียคนรักไปอย่างฉุกละหุกและรวดเร็ว

มันทำให้ผมนึกสะท้อนใจ เด็กตัวแค่นี้ก็มีแววตาแบบนั้นได้เหมือนกันสินะ ไม่สิ เพราะว่าเป็นเด็กนี่แหละ มันถึงได้แจ่มชัดและลึกล้ำยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก

“ผมคิดถึงพ่อจังเลยฮะ”

“อารู้ครับ” ไซม่อนว่า ทาบริมฝีปากลงบนขมับของแดนแผ่วเบา “อาก็คิดถึงเหมือนกัน แล้วอาก็เชื่อว่าคุณพ่อเองก็ต้องคิดถึงแดนแน่”

“ทำไมคุณพ่อต้องตายด้วยครับ” เจ้าตัวว่าขณะซุกหน้าลงไปบนแผ่นอก นัยน์ตากลมโตเริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง “พ่อไม่ได้ทำอะไรผิด”

“บางทีพระเจ้าอาจจะอยากเจอคุณพ่อเร็วๆ ก็ได้นะ” ร่างสูงเริ่มปลอบ เขาขยับตัวไปมาราวกับต้องการจะกล่อมเด็กชายในอ้อมแขน ผมเบือนหน้าหนี อะไรบางอย่างทำให้ไม่กล้าสู้หน้าทั้งแดนและไซม่อน

ก็ผมเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนได้หัวใจของแบรดมา ผมมีชีวิตอยู่ก็เพราะการตายของเขา

โลกมันไม่ยุติธรรม และพระเจ้าก็ไม่เคยมีจริง



 
ผมเริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาตอนที่เราสามคนลากขากลับไปที่รถ แดนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของไซม่อนหลังจากที่เราเล่นเครื่องเล่นที่ต่อคิวยาวที่สุดเสร็จเป็นอย่างสุดท้าย การขึ้นไปนั่งบนเรือน้ำที่หมุนไปมาจนชวนให้อยากเอาอาหารมื้อสุดท้ายที่กินเข้าไปออกมาจากกระเพาะช่วยทำให้แดนร่าเริงขึ้นบ้าง และเมื่อเล่นจนเหนื่อยเจ้าตัวก็หลับไปในอ้อมแขนของคนเป็นอาอย่างง่ายดาย

ผมช่วยพยุงร่างของแดนเพื่อวางตัวแกนอนราบไปบนเบาะหลัง ส่วนตัวเองเดินกลับไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ เราสองคนแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยหลังจากแดนหลับไปเพราะกลัวว่าแกจะตื่น

ไซม่อนสตาร์ทเครื่องยนตร์ ผมหันไปมองนอกหน้าต่างเพื่อดูวิวของสวนสนุกแห่งนี้อีกครั้ง มันเป็นสถานที่ที่สวยงามและเต็มไปด้วยความฝันจริงๆ ผมหวังว่าแดนและไซม่อนจะสนุกไปกับมันอย่างที่คนอื่นๆ เป็นนะ มันคงช่วยทดแทนกับการที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลยไปบ้าง แล้วตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวไปหมด คิดว่าไข้คงขึ้น ตอนที่ต่อคิวเครื่องเล่นเครื่องหนึ่งมีฝนตกลงมาพรำๆ ด้วย อาจจะเพราะตอนนั้นก็ได้

“คุณโอเครึเปล่าครับ ออสติน” คนข้างตัวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขณะที่เริ่มปลดเกียร์ว่าง “ดูคุณเงียบๆ ไปนะช่วงหลังนี้ เหนื่อยเหรอครับ”

“ผมว่าผมไม่ค่อยสบาย” ผมตอบ ไซม่อนเลื่อนหลังมือมาแตะหน้าผากผม ไออุ่นจากร่างกายเขาให้ความรู้สึกดีจัง

“อือ ตัวรุมๆ เหมือนกัน” เขาว่า “งั้นเดี๋ยวผมพาแดนไปส่งที่บ้านแองจี้ก่อน แล้วค่อยพาคุณกลับไปพักที่บ้าน ดีไหมครับ”

“ครับ” ผมว่าปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า พอรู้ตัวว่าไข้ขึ้นก็เหมือนอาการจะออกมาเต็มที่เลย เบื่อจริงๆ ร่างกายที่ไม่ได้ดั่งใจของตัวเองนี่

“ขอโทษนะครับที่พาคุณมาลำบากแบบนี้”

ผมยิ้มขัน ส่ายหน้าเบาๆ เลื่อนมือไปแตะเข่าเขาเป็นการยืนยัน “ลำบากอะไรกันคุณ ไม่ได้มาออกสงครามนะ แล้วผมเองก็สนุกมากด้วย มาเสียท่าหน่อยตรงที่ไข้ขึ้นเอาตอนจบนี่แหละ ตกม้าตายทุกที”

“เดี๋ยวผมพยาบาลให้เองครับ คุณหมอ จะได้ปิดท้ายแบบสวยๆ ได้ไง”

ผมหัวเราะกับคำพูดนั้น หางตาเห็นรอยยิ้มสดใสของเจ้าตัว รอยยิ้มที่ทำให้ผมใจเต้น แต่แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นได้ เกี่ยวกับรูปถ่ายพวกนั้น

“คุณรู้จักคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมนใช่ไหม ไซม่อน”

คำถามง่ายๆ นั่นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าเขาเลือนหายไป นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาดูไร้อารมณ์ขึ้นมาทันที “ครับ ก็รู้จากที่คุณเคยเล่าให้ฟัง”

“แล้วคุณคิดว่าแบรด พี่ชายคุณจะรู้จักเขาไหม”

มีร่องรอยที่แสดงถึงความตกใจระคนแปลกใจแว้บขึ้นมาในดวงตาคู่นั้น แค่เสี้ยววินาที… จากนั้นมันก็กลับไปเรียบเฉยเหมือนเดิม

“ผมไม่รู้เรื่องนั้นหรอกคุณ แต่ผมคิดว่าไม่นะ”

“งั้นเหรอ”

“ทำไมคุณถึงถามแบบนั้นล่ะครับ”

“เปล่าครับ ก็แค่…” ผมยกมือขึ้นโบกในอากาศ หันหน้าหนีออกไปทางนอกหน้าต่าง รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร “อืม… แค่ลองถามดู ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“คุณคิดว่าแบรดอาจจะรู้เหรอว่าคริสเตียนอยู่ที่ไหน”

นั่นเป็นแง่มุมที่ผมไม่ทันได้คิดมาก่อน มัวแต่คิดว่าสองคนนี้เชื่อมโยงกันยังไง แต่พอฟังที่เขาถาม… มันก็ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาเหมือนกัน

“ก็… อาจจะเป็นไปได้นี่ครับ ถ้าพวกเขารู้จักกัน” ผมว่า ห่อไหล่ของตัวเองเล็กน้อยขณะยกมือขึ้นกอดอก “แต่แบรดตายไปแล้ว และเราก็ยังหาคริสเตียนไม่พบเหมือนเดิม”

ไม่รู้ว่าความว้าวุ่นใจนี่มันหมายความว่ายังไง แต่อะไรบางอย่างในตัวกำลังบอกผม

ไซม่อนมีเรื่องที่ปิดบังผม และผมก็ยังไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร

เรื่องแบรดเหรอ?

เรื่องคริสเตียนเหรอ?

หรือว่าเรื่องจุดเชื่อมโยงระหว่างสองคนนั่น

หมอนี่ก้าวเข้ามาในชีวิตผม นำเรื่องหัวใจของแบรดมาบอกให้ผมรู้

แบรดถูกฆ่าตาย รูปถ่ายจากคนที่ผมและทางตำรวจพยายามความหาในความมืด

ทั้งหมดนี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญงั้นเหรอ?

ไม่หรอก ผมไม่เชื่อแบบนั้น






-------------------------------------------------
Talk: ช่วงนี้งานยุ่งมากค่ะ งานที่ทำงาน งานรอง งานๆๆๆ ทำงานทั้งวันทั้งคืน ยุ่งจนโมโหอะ ไม่ได้เหนื่อยนะ แต่โมโห 555555 อยากจะเขียนนิยายยาวๆ แบบจุใจก็ติดงาน ชีวิตจริงนี่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(100%) P.2 [13/06/2017]
«ตอบ #57 เมื่อ14-06-2017 22:54:51 »

สนุกมากๆค่ะ น่าติดตามมากๆ :katai2-1: :katai2-1:
ชอบไซม่อนเว่อร์ รุกแรง แล้วเร็วได้ใจเจ๊มาก
ออสตินก็น่ารัก
แอบจุกที่โดนซักตอนอยู่ในศาล
ก้เข้าใจว่าอาชีพทนาย แต่นี่ก็เกินไป๊  :z6:
หวังว่าเรื่องรูปคงไม่มีอะไรหรอกนะ
ไซม่อนไม่ได้เข้ามาหวังอะไรใช่มั้ย ไม่อยากให้ออสตินต้องเจ็บเลย
ออสตินตอนนี้แตกง่ายกว่าแก้วอีก  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(100%) P.2 [13/06/2017]
«ตอบ #58 เมื่อ14-06-2017 23:05:57 »

ยังไงหนอ

ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 12)(100%) P.2 [13/06/2017]
«ตอบ #59 เมื่อ16-06-2017 17:56:54 »


บทที่ 13




ดูเหมือนว่าคราวนี้ไข้ของผมจะหนักหนาสาหัสกว่าคราวที่แล้ว

ไซม่อนขับพาแดนไปส่งที่บ้านแล้วจึงขับมาที่บ้านของผม ผมไม่มีโอกาสได้ลงไปทักทายแองเจลีน่าครั้งนี้เพราะรู้สึกปวดหัวจนคอแทบจะพับอยู่แล้ว และไซม่อนก็กำชับนักหนาให้ผมนอนอยู่เฉย ๆ จนกว่าจะถึงบ้าน ซึ่งต่อให้หมอนี่ไม่พูดแบบนั้นผมก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว แค่หายใจแรงขึ้นมานิดหนึ่งก็สะเทือนจนมึนหัวแล้วเนี่ย

“ออสติน” เสียงคนข้างตัวเอ่ยเรียกหลังจากที่รถจอดสนิท ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างไม่ชอบใจ การที่รถจอดแล้วก็หมายความว่าเราถึงบ้าน และถ้าเราถึงบ้านแล้ว ผมก็ต้องอดทนกัดฟันลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้านน่ะสิ

ไม่อยากลุกเลย… ปวดหัวเป็นบ้า ขอนอนในรถเลยได้ไหมเนี่ย

“ออสตินครับ คนดี” เสียงทุ้มต่ำว่าพร้อมกับเลื่อนมือลงมาแตะหน้าผมเบา ๆ สัมผัสอบอุ่นนั่นชวนให้รู้สึกดี แต่ตอนนี้ผมปวดหัว อยากจะอยู่เงียบ ๆ คนเดียวมากกว่า “ลงจากรถกันเถอะครับ เดี๋ยวผมพาคุณไปนอนแล้วก็เช็ดตัวให้นะ แล้วคุณก็ต้องกินอะไรสักหน่อยจะได้กินยา”

“อืม” ผมครางรับงึมงำ นี่ผมเป็นหมอนะเว้ย ไม่สิ เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ไม่ต้องเป็นหมอก็รู้ “ไซม่อน ผมปวดหัว”

“ผมรู้แล้วครับ ตัวคุณร้อนจี๋เลย คุณรอตรงนั้นแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวผมอุ้มคุณเอง”

อื๊อ? อะไรนะ เมื่อกี้ไอ้หมอนี่บอกจะอุ้มผมงั้นเหรอ?

เออ แต่มันก็เคยแบกผมขึ้นหลังมันขี่คอมาก่อนนี่หว่า เพราะงั้นจะปล่อยให้ไซม่อนอุ้มอีกสักรอบก็คงไม่ต่างอะไรกันมากเท่าไรหรอกมั้ง

ไซม่อนเปิดประตูฝั่งที่นั่งคนขับ ผมอาศัยฟังจากเสียงเอาเพราะตาทั้งสองข้างยังปิดสนิทอย่างอ่อนล้า มือหนาเลื่อนมาประคองร่างผมอย่างระมัดระวัง ผมรู้สึกได้ถึงความพยายามของเขาที่จะไม่ทำให้ร่างกายผมสะเทือนมากเท่าที่จะทำได้

ผมชอบที่เขาทำแบบนั้นจัง มันรู้สึกเหมือนเขาใส่ใจผมทุกอย่างจริง ๆ นั่นยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าเขามีเรื่องอะไรปิดบังผมไว้และเพราะอะไร

“อดทนหน่อยนะครับ ออสติน เดี๋ยวผมพาคุณขึ้นไปด้านบน อาจจะกระเทือนตอนขึ้นบันไดหน่อย”

ผมพยักหน้ารับแผ่วเบา รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ จนครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ทรมานจัง อยากกินยาแล้วนอนพักให้หายเร็ว ๆ แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดต่อว่าจะถามไซม่อนยังไงดีเกี่ยวกับเรื่องของแบรด

ร่างของผมค่อย ๆ ถูกวางลงที่เตียง ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของชายหนุ่มอีกคนเดินห่างออกไป จากนั้นทุกอย่างก็ไม่ค่อยปะติดปะต่อกันเท่าไร เหมือนได้ยินเสียงน้ำไหลออกมาจากก๊อก เสียงเปิดประตูสลับกับเสียงฝีเท้า สัมผัสของผ้าอุ่นที่แตะลงมาบนตัว เสียงโทรศัพท์มือถือ

นั่นไม่ใช่ริงโทนที่ผมตั้งค่าเอาไว้ ดังนั้นผมจึงแน่ใจว่ามันเป็นของไซม่อน ได้ยินเสียงเขากรอกคำพูดลงในนั้น มันฟังดูจริงจังและเคร่งเครียดไม่น้อย คงจะเป็นเรื่องงาน ผมอาจจะไม่ได้ยินทุกอย่างที่เขากำลังคุยกับคนปลายสาย แต่ก็พอจะจับใจความได้

เขากำลังลังเลใจว่าควรจะไปสมทบกับคู่หูของเขาในภารกิจยามค่ำคืนรึเปล่า เขารู้ว่าเขาโดดมาทั้งวันเพื่อพาหลานเที่ยวแล้ววันนี้ เพราะงั้นเขาควรจะไปตามที่อีกฝ่ายขอ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นอะไรที่งี่เง่ามาก ผมไม่ใช่เด็กห้าขวบที่ต้องมีผู้ใหญ่มาคอยดูแลตอนป่วยนะ แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น… ผมจับน้ำเสียงร้อนรนของเขาได้ว่าเขาอยากไปทำงาน

“ไปเถอะ ไซม่อน” ผมเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างยากลำบาก รู้สึกขมคอไปหมด

ไซม่อนหันมามองผมด้วยสีหน้าลำบากใจทันที จากนั้นจึงกรอกเสียงลงในโทรศัพท์เพื่อบอกปลายสายว่าจะโทรกลับไปใหม่ในอีกสิบนาที ขาเรียวก้าวเข้ามาประชิดข้างเตียง

“แต่คุณ--”

“ผมไม่เป็นไรหรอก” ผมส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขา ปล่อยให้อีกฝ่ายไล้ฝ่ามือลงมาบนแก้มอย่างอ่อนโยน ผมเลื่อนมือไปกุมมือเขาตอบ ใจจริงแล้วไม่อยากให้เขาไปเลย แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่ได้รุนแรงมากเท่ากับที่อยากให้เขาไป “คุณไปทำงานเถอะ ไซม่อน วันนี้เล่นมาทั้งวันแล้ว”

“พูดอย่างกับผมเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นแล้วก็ไม่ยอมเรียนหนังสือหรือทำการบ้านไปได้” ชายหนุ่มแสร้งตีหน้ามุ่ยเหมือนงอน นั่นทำให้ผมหัวเราะออกมานิดหนึ่ง

“ก็จริงไหมล่ะ คุณ ถ้าไม่ตั้งใจโฟกัสกับคดีคุณก็จับคนร้ายได้ยากนะ”

“ผมรู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้วน่า คุณหมอ” น้ำเสียงเขาออดอ้อนเล็กน้อย ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ กระตุกเสื้อให้อีกฝ่ายโน้มหน้าลงมานิดหนึ่งจากนั้นจึงหอมแก้มเขาแผ่วเบา

ไซม่อนยกยิ้มอย่างพึงพอใจทีเดียว “แค่แก้มเองเหรอครับ?”

“นี่คุณ ผมไม่สบายอยู่นะ แค่นี้ก็พอแล้ว” ผมว่า เห้นสายตาวับ ๆ ล้อเลียนของหมอนี่แล้วชักอยากถีบมันออกจากห้องตอนนี้เลย “ไปทำงาน… แค่ก ได้แล้วคุณ ยิ่งมีคุณมากวนผมยิ่งไม่หายแหง”

“กล่าวหากันแบบนี้ใจร้ายจัง” น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ยี่หระ เอื้อมมือไปรินน้ำจากเหยือกใส่แก้วแล้วเลื่อนมาบริเวณริมฝีปากผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะขยับตัวเพื่อลุกขึ้นไปดื่มน้ำแก้วนั้น ไซม่อนก็หยุดมือลงเสียก่อน ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ นี่มันรู้ใช่ไหมเนี่ยว่าผมตัวร้อนไข้ขึ้นอยู่ “ผมว่าคุณคงลุกมาดื่มน้ำไม่ไหวใช่ไหม”

“ไม่ ผมลุกไหว” ผมว่าพลางใช้แขนดันตัวเองขึ้น แต่ไซม่อนดันร่างผมกลับลงไปบนเตียง ส่งยิ้มบางให้ก่อนจะกระดกน้ำในแก้วขึ้นดื่ม เลื่อนหน้าลงมาทาบริมฝีปากแน่น

ผมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ หลับตาแน่นขึ้น ของเหลวอุ่นถูกส่งผ่านเข้ามาในโพรงปาก ผมกลืนมันลงคอดังอึก และแทนที่จัดการงานของตัวเองเสร็จแล้วจะถอยออกไป ไซม่อนกลับกวาดลิ้นเข้ามาอย่างอ่อนหวาน มันลากบนเพดานปากไปมาทำเอาผมตัวสั่น มือเลื่อนไปพยายามดันอีกฝ่ายออก ไซม่อนตบท้ายจูบนั้นด้วยการลากลิ้นลงบนฟันล่าง จากนั้นจึงเลื่อนใบหน้าออกแล้วส่งยิ้มยียวนมาให้

“อะ… อือ” ผมครางออกมาเบา ๆ พร้อมกับเลื่อนมือผลักเขาออกด้วยความเขิน “ไปทำงานได้แล้วคุณ ให้คู่หูรอนานแย่แล้ว ผมเองก็ต้องพักนะ”

“คุณแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียวได้”

“ผมอยู่ได้น่า”

“ถ้าคุณอยากให้ผมหาใครมา--”

ผมโบกมือขึ้นกลางอากาศ ปฏิเสธข้อเสนอนั้น

“ผมแค่ต้องการนอนเงียบๆ น่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หายแล้ว คุณไม่เคยเป็นไข้หรือไง ไม่รู้เหรอว่ามันมีวิธีรักษายังไง”

ไซม่อนยกยิ้มบาง จูบลงบนหน้าผากของผมอีกรอบอย่างแผ่วเบา

“ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ ออสติน ฝันดีครับ”

“อื้ม” ผมบีบมือเขาแน่นเป็นครั้งสุดท้าย สงสัยจะเพ้อจนเริ่มคิดอะไรไม่ออก “ระวังตัวด้วยนะ ไซม่อน”

เขารับปากยิ้มๆ หากเมื่อหันหน้ากลับไป ควักโทรศัพท์ขึ้นมารอยยิ้มอ่อนโยนพวกนั้นก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศรอบตัวเขาตอนอยู่กับผมกับตอนทำงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมสังเกตตั้งแต่ตอนที่เห็นเขานั่งอ่านแฟ้มคดีของตัวเองเงียบๆ ครั้งแรกแล้ว เหมือนมีบรรยากาศหนักอึ้งบางอย่างโอบรอบตัวเขาไว้เวลาที่เป็นเรื่องของคดี

ความเอาจริงเอาจังนั่น แววตาสีฟ้าอมเทาที่ฉายแววเย็นชา ผมเดาว่านั่นคงเป็นสายตาที่เขามีให้คนที่ตัวเองกำลังตามล่าอยู่ มันต่างกับสายตาที่เขามองผมอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่รู้สินะ ผมชอบทั้งสองแบบเลย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมว่ามันเหมาะกับไซม่อนทั้งคู่

ผมปรือตาลงเพราะยาที่กินลงไปเริ่มออกฤทธิ์ ความเงียบสงบทำให้ความกลัวในเบื้องลึกของจิตใจผมค่อย ๆ คืบคลานออกมา

ผมล้วงมือลงไปใต้หมอน ควานหาเครื่องช็อตไฟฟ้าที่มักวางไว้ตำแหน่งนั้นเสมอ พอมือสัมผัสกับตัวเครื่องนั่นความกังวลใจของผมก็หายไปเปราะหนึ่ง บางทีเจ้าเครื่องนี้อาจจะมีประโยชน์ตรงนี้ก็ได้ ช่วยทำให้ผมหลับสบาย ก็เหมือนกับการที่คนเราเอาไม้กางเขนมาอยู่ใกล้ตัวเพราะเชื่อว่ามันจะขับไล่ปีศาจให้เราได้นั่นแหละ ถึงเราจะไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันจะได้ผลรึเปล่า แต่อย่างน้อยการได้มีติดตัวเอาไว้ก็ทำให้อุ่นใจ เครื่องช็อตไฟฟ้าของผมก็เป็นอะไรคล้ายๆ แบบนั้น

 พอความเงียบเริ่มเข้าปกคลุม และผมอยู่ตัวคนเดียว ความคิดทั้งหมดทั้งปวงก็เริ่มโผล่ขึ้นมาตีกันในหัว

 ตอนแรกก็เริ่มจากสัมผัสอ่อนโยนจากฝ่ามือของคนที่เพิ่งเดินจากไป ผมยังรู้สึกอุ่นซ่านบนแก้มตรงบริเวณที่เขาสัมผัสอยู่เลย การคิดถึงสัมผัสนั่นทำให้ผมอบอุ่นใจ ช่วยให้ผมผ่อนคลายตัวเองลงอย่างเต็มที่ หากความคิดที่ผ่านเข้ามาต่อจากนั้นก็ทำลายมันลง ความคิดที่ว่าบางทีไซม่อนอาจมีอะไรที่ปิดบังผมอยู่ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับผม ผมก็คงไม่สนใจมากนักหรอก แต่จากสิ่งที่ผมพบเจอมามันมากเกินกว่าที่ทุกอย่างนี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ

เขาจะปิดบังผมเรื่องแบรดกับคริสเตียนไปทำไม… ไซม่อนเคยปิดบังผมเรื่องที่เขารู้ว่าผมเคยโดนข่มขืนมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง นั่นทำลายความเชื่อใจของผมที่มีต่อเขาลงหน่อย แต่ผมก็แก้ตัวให้เขาไปว่ามันคงเป็นเรื่องที่หยิบยกมาพูดถึงลำบาก งั้นเรื่องนี้ก็เป็นอันตกไป ถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลย แต่เรื่องที่ผมกำลังขบคิดอยู่นี่สิ มันดูไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ

ตกลงว่าคริสส่งของพวกนั้นมาทำไม?

เขาส่งรูปครอบครัวของแบรดมาให้ผมทำไม?

อะไรคือจุดเชื่อมโยงของของทุกอย่างนั่น?

บางทีผมอาจต้องแวะไปที่สถานีตำรวจแล้วคุยกับฮันนาห์ แลนดี้ เจ้าหน้าที่สืบสวนที่จัดการกับคดีคริสเตียนเสียหน่อยแล้ว เผื่อว่าหล่อนจะมีทฤษฎีดีๆ ที่เชื่อมโยงของทั้งหมดนั่นด้วยกันกับคริสเตียน แล้วก็เผื่อมีความคืบหน้าอะไรใหม่ๆ ด้วย

“อา…” ผมครางออกมาเบาๆ เพราะรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอีกระลอก พลิกตัวให้หันตะแคงไปอีกทาง แต่ไม่ว่าขยับตัวยังไงผมก็หาตำแหน่งที่นอนสบายๆ ไม่ได้เสียที

คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน

ผมหยุดคิดเรื่องของเขาไม่ได้เลยตั้งแต่หลังกลับมาจากศาลนั่น และผมไม่ได้หมายถึงว่าผมกำลังคิดถึงเขาเพราะอาลัยอาวรณ์อะไรแบบนั้น ผมคิดถึงเขาเพราะนึกอยากฆ่าเขาให้ตายต่างหาก

“อึก” เสียงครวญครางดังออกมาอีกรอบเหมือนเด็กเล็ก ๆ นึกอยากให้คนที่เพิ่งจากไปอยู่กับผมตรงนี้ ความกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นโถมเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง และคราวนี้ผมหยุดมันไม่อยู่ รู้สึกได้เลยว่าร่างกายสั่นง่ก

ผมหนาวเพราะว่าเป็นไข้ และบางทีก็อาจจะเพราะอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นความดำมืดที่อยู่ในจิตใจของผมเอง หรือไม่ก็ภาพความทรงจำที่ย้อนกลับมาหลอกหลอนอยู่ซ้ำๆ

ผมข่มตาลง พยายามบังคับให้ตัวเองหลับๆ ไปซะจะได้ไม่ต้องนึกถึงเรื่องพวกนั้น แต่แน่นอนล่ะว่านั่นทำได้ไม่ง่ายเลย

ผมไม่สามารถลบภาพในอดีตได้ และตอนนี้มันก็กำลังกลับมาเล่นงานผมอีกครั้ง
 





เช้าวันนั้น หลังจากที่คริสเตียนเหวี่ยงผมลงเตียงไปเมื่อคืน

ผมตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนล้า รู้สึกร่างกายปวดไปหมดทุกส่วนจนไม่อยากขยับไปไหน นัยน์ตากวาดมองรอบๆ ห้องนอนของตัวเองอย่างสำรวจ ทุกอย่างในนี้ยังคงปกติดี มีตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ที่มุมห้อง โต๊ะสำหรับอ่านหนังสือแล้วก็ทำงานอยู่ข้างๆ ตู้หนังสือที่ทำจากไม้ซึ่งใช้งานมาหลายสิบปีแล้ว ทันใดนั้นเองผมก็สะดุ้งตัววาบด้วยความตกใจเมื่อนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่ตัวเองจะลืมตาตื่นขึ้นมาแบบนี้

คริสเตียนเพิ่งจับผมกดลงกับเตียง ไอ้ระยำนั่น คิดว่าเป็นแฟนกันแล้วจะมาขืนใจกันแบบนี้ก็ได้เหรอ นี่ยังไม่นับรวมที่เขาเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนของทางรัฐบาลด้วยนะ ไม่เลวไปหน่อยเหรอ ไม่กลัวเลยรึไงว่าผมจะเอาไปบอกที่ทำงานเขาแล้วมันจะกระทบถึงหน้าที่การงาน

“อือ…” ผมครางออกมาเบาๆ พร้อมกับใช้มือยันตัวลุกขึ้นนั่งบนฟูกเตียง ผมก้มลงมองข้อมือของตัวเอง ตอนนี้มันเป็นอิสระออกจากกันแล้ว ขอบคุณมากเลยที่เอากุญแจมืองี่เง่านั่นออก หมอนั่นมันรู้ระเบียบของงานที่ตัวเองทำอยู่บ้างไหมวะ ที่เขาทำลงไปเมื่อคืนนั่นถือว่าอุกอาจมากเลยนะ แล้วเซ็กส์เมื่อคืนนั่น… ให้ตายสิ คือปกติเวลาที่เราทำกันมันก็ค่อนข้างรุนแรงนั่นแหละ เพราะงั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ถ้าให้เทียบกับที่ผ่านมาแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเดิมมากเท่าไรหรอก ทางด้านกายภาพน่ะนะ แต่ถ้าพูดกันทางด้านจิตใจแล้ว… ผมบอกได้เลยว่าป่นปี้

เขาทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ผมไม่เข้าใจจริงๆ ก็เขาเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่ารักผม บอกว่าจะคอยดูแลผม แล้วไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันอะไรกัน มันสวนกับสิ่งที่เขาพูดออกมาชัดๆ คนรักกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอก ถูกไหม

“อุบ…” ผมยกมือขึ้นปิดปาก เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็ทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนจนอยากจะสำรอกออกมา แต่ผมก็รู้ดีว่าต่อให้โก่งคอยังไงก็คงไม่มีอะไรออกมาหรอก ผมไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ปวดท้องชะมัด แล้วก็รู้สึกปั่นป่วนไปหมด

ผมเดินเซไปเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์ที่หดหู่ถึงขีดสุด ผมต้องไปทำงาน… ตอนนี้งานของหน่วยล้นมือจนแทบจะต้องเกณฑ์คนจากเขตอื่นมาช่วย ผมไม่อยากขาดงานเพราะเหตุผลส่วนตัว โดยเฉพาะกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วยแล้ว

ผมโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหลังจากที่อาบน้ำ เตรียมอาหารเช้าวางอยู่ตรงหน้าเรียบร้อย ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับดูสิ่งที่อยู่ในนั้น มีข้อความจากคริสเตียนส่งมาถึงผม ข้อความที่ว่านั่นยาวเหยียดราวกับรายงานปลายภาคการศึกษาของเด็กมหาลัย ผมกวาดตาอ่านข้อความที่ว่านั้นด้วยอารมณ์เฉยชา สรุปสั้นๆ ออกมาให้ได้ใจความก็คือ… เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปกับผมเมื่อคืน อยากจะขอโทษ อยากให้ผมให้อภัยเขา ทุกอย่างเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ

ไอ้ระยำเอ๊ย…

ผมสูดหายใจเฮือกเพื่อระงับอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง กดปุ่มพักหน้าจอโทรศัพท์แล้ววางมันบนโต๊ะด้วยแรงที่มากกว่าปกติเล็กน้อย ยกถ้วยกาแฟขึ้นมากรอกปากอีกรอบอย่างหัวเสีย กลิ่นหอมกรุ่นที่ลอยมาแตะจมูกไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีอะไรขึ้นมาเท่าไหร่นัก ผมต้องหาใครสักคนคุยด้วยเรื่องนี้ ผมต้องหาที่ระบาย มันอึดอัดจนเหมือนข้างในจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเนี่ย

“เฮ้อ…” อดไม่อยู่ ต้องถอนหายใจยาวออกมาจนได้ จนถึงตอนนี้ ผมมีแค่คำถามเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวเท่านั้น

เขาทำกับผมได้ยังไง? นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่เราทะเลาะกันมาทั้งหมดเลยนะ ก็ไหนเขาบอกว่ารักผมไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าเราสองคนรักกันหรอกเหรอ? แล้วทำไมมันถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ไปได้วะ?

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าอย่างอ่อนล้า รู้สึกถึงแรงกดดันที่กดทับลงมาบนบ่า มันหนักอึ้งจนแทบจะรับเอาไว้ไม่ไหว

ผมทำแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ




.
.
.
(50%)






-----------------------------------------------
Talk: เมื่อวาน.... ลืมอัพนิยาย 5555555 //แงงงง เค้าขอโทษ
มานึกขึ้นได้ตอนทำงานวันนี้ เหลือบไปมองปฏิทินแล้วกระหยิ่มยิ้มย่อง วันนี้วันศุกร์ ทำงานวันสุดท้าย
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า.... เมื่อวานวันพฤ... แต่ลืมอัพ
ถถถถถถถ ไม่มีใครทวงเลย!!!
#ไซออส #sweetsanctuary

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด