Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (ตอนพิเศษ) P.7 [16/12/2017]  (อ่าน 77316 ครั้ง)

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 13)(50%) P.2 [16/06/2017]
«ตอบ #60 เมื่อ16-06-2017 19:13:19 »

เดามั่วๆนะ
คริสเป็นคนฆ่าพี่ชายไซม่อน เพื่อเอาหัวใจมาให้ออสติน
หรืออะไร โอ๊ยยยยยยย
มั่วมาก
ที่จริงคริสอาจจะตายแล้วงี้เปล่า แล้วไซม่อนก็สืบประวัติคนที่ฆ่าพี่
จนรู้ว่าเอาหัวใจมาให้ออสติน แล้วก็สืบประวัติออสติน เลยมาหา
มั่วมากจริง โปรดข้ามเม้นนี้ไป 555555555555555555555555555555555
ไปเรื่อยจริงๆเราเนี่ย

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 13)(50%) P.2 [16/06/2017]
«ตอบ #61 เมื่อ18-06-2017 18:14:50 »

[ต่อ]




ผมนัดเจอกับไคล์ในสุดสัปดาห์ต่อมาซึ่งเป็นเวลาที่เราว่างตรงกันพอดี สถานที่นัดหมายของพวกเราในครั้งนี้คือบาร์ไรท์แทรคที่ตั้งใจอยู่ในย่านชานเมือง มันเป็นบาร์เกย์ที่เต็มไปด้วยผู้ชายหลากหลายวัยตั้งแต่ยี่สิบต้นๆ จนไปถึงห้าสิบตอนปลายได้ ผมเดาว่าในความเป็นจริงแล้วอาจมีคนที่อายุน้อยกว่านั้นและมากกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่เรื่องพวกนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาคู่ ไคล์เองก็เหมือนกัน… บางทีนะ หรือถ้าเขามาหาคู่นอนด้วยที่นี่ ผมก็ไม่เคยรู้ เพราะทุกครั้งที่เรานัดเจอกัน เราจะหาอะไรกินกัน ดื่มเล็กน้อยพอเป็นพิธีจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ

เจ้าหน้าที่สืบสวนหนุ่มในชุดไปรเวทก้าวเข้ามาที่โต๊ะซึ่งผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว เจ้าตัวส่งยิ้มบางๆ มาให้ หากเมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของผม ไคล์ ไทเลอร์ก็หุบยิ้มฉับลงอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ออสติน”

“ดื่มก่อนสิ” ผมพูดเนือยๆ ยกขวดเบียร์เทใส่แก้วที่ว่างเปล่าตรงหน้า “ค่อยๆ คุยกันก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน เรามีเวลากันทั้งคืน”

“เราเหรอ ไม่ถามอะไรผมสักคำเลยเหรอครับ คุณหมอ” เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางยียวน คงหวังว่านั่นจะช่วยทำให้ผมยิ้มออกมาได้บ้าง ผมเองก็อยากจะยิ้มออกนะ แต่เหมือนมีอะไรมากดปากไว้ไม่ให้ขยับรอยยิ้มขึ้นเลย

สีหน้าของไคล์เคร่งเครียดขึ้นอีกรอบ “ฉันว่าหน้าดูเซียวไปหน่อยนะ”

“ดื่มก่อนเถอะ” ผมผลักแก้วไปตรงหน้าเขา ยกแก้วของตัวเองขึ้นมาเตรียมจะชนกับของอีกฝ่าย “ฉันอยากเมาก่อนสักหน่อยแล้วค่อยพูดเรื่องนี้”

เขาทำหน้าราวกับจะบอกว่า ‘ปกตินายไม่เป็นแบบนี้นี่?’ แต่ก็ยอมยกแก้วชนด้วยจนได้

ผมยกแก้วขึ้นดื่มของเหลวสีอำพันรวดเดียวจนหมด ปล่อยให้มันไหลผ่านลงคอไป ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้น พอสติส่วนหนึ่งถูกบั่นหายไปแล้ว เหมือนความกล้าที่จะคุยเรื่องนี้กับไคล์จะเพิ่มมากขึ้น

ผมกระแทกแก้วเปล่าลงบนพื้นโต๊ะก่อนจะประกาศ “ฉันจะเลิกกับคริสเตียน”

ไคล์งันไปทันที สีหน้าของเขาดูประหลาดใจ “ทำไมนายถึงคิดจะเลิกกับหมอนั่นล่ะ”

ผมยักไหล่ อยากจะพูดโพล่งออกไปตรงๆ เลยว่าเพราะโดนหมอนั่นใช้กำลังมา แต่อะไรบางอย่างกดลิ้นผมไว้

“ไปกันไม่ได้น่ะ”

ข้ออ้างสุดคลาสสิก ว้าว นี่ดีที่สุดเท่าที่คิดออกแล้วสินะ

“หลังจากคบกันมาเกือบปีเนี่ยนะ?”

“ทำไม? ทีคู่สามีภรรยาแต่งงานกันมาเป็นสิบๆ ปียังเลิกกันได้เพราะข้ออ้างนี้เลย”

ไคล์ยกยิ้มทันที “แปลว่ามันเป็นข้ออ้างสินะ”

ผมสะอึก เบือนหน้าหลบสายตารู้ทันของเขาแล้วเริ่มหันไปสั่งเบียร์ขวดใหม่จากพนักงานที่อยู่ใกล้ที่สุด ไคล์ส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนกับจะบอกว่าที่ผมกำลังทำอยู่มันไม่เข้าท่าเลย

“นายมีปัญหาอะไรกับคริสเตียน”

“ก็… ทะเลากันนิดหน่อยน่ะ” ผมยักไหล่ “เรื่องเดิมๆ”

“จริงๆ แล้วน่าจะเคลียร์กันได้นะ”

“ไม่ รอบนี้ไม่ได้” ผมส่ายหน้าอย่างจนปัญญา อันที่จริง ถ้าเขาไม่ถึงกับใช้กำลังลากผมขึ้นเตียงแบบนั้น ผมอาจจะนึกอยากปรับความเข้าใจกับเขาก็ได้ แต่พอเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ผมรู้ดีว่าผมจะไม่สามารถวางใจเขา… ไม่สามารถเชื่อใจเขาได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

คนเราเมื่อลงมือทำเรื่องชั่วๆ ครั้งแรกได้ ครั้งต่อๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว

“ฉันจะเลิกกับเขาจริงๆ”

“แค่เพราะทะเลาะกันเนี่ยนะ”

“หมอนั่นใช้กำลังกับฉัน”

จำได้แม่น นันย์ตาสีน้ำตาลที่กำลังฉายแววโกรธขึ้งขึ้นมา ทำให้ผมอกสั่น ผมเคยเห็นเขาทำสายตาแบบนั้นกับพวกคนร้ายมาก่อน มันไม่ใช่อารมณ์ที่ไคล์แสดงออกมาให้เห็นบ่อยๆ แต่แล้วเขากลับเผยด้านนั้นออกมาให้ผมเห็น บอกเลยว่ามันน่ากลัวมาก

“หมอนั่นทำอะไร ออสติน”

“ไม่… ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ผมพูดปัด สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่บอกความจริงกับเพื่อนสนิทซึ่งเป็นตำรวจไป บางที… อาจเพราะเยื่อใยบางเบาที่ผมยังเหลือให้ผู้ชายคนนั้น ความทรงจำที่ได้ใช้ร่วมกับเขามันมีค่าสำหรับผมนะ แต่มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว “ก็แค่ทะเลาะ… แล้วก็ลงไม้ลงมือบ้าง แต่ฉันไม่เป็นไร”

“ถ้านายอยากจะแจ้งความ…”

ผมส่ายหน้าทันที “ไม่หรอก ไม่ได้หนักหนาขนาดนั้น อีกอย่าง… ก็แค่แฟนทะเลาะตบตีกัน พวกตำรวจจะมาสนใจอะไรมากมายล่ะ จริงไหม?”

ไคล์ถอนหายใจกับสีหน้าเหมือนรู้ทันของผม แหงล่ะ ก็เขาเป็นตำรวจนี่ ไอ้เรื่องงี่เง่าแบบนี้ใครที่ไหนจะเอามาใส่ใจจริงๆ

“อย่างน้อยก็ป้องกันตัวเอง--”

“อ้อ ฉันป้องกันตัวเองแน่” ผมยื่นแก้วให้พนักงานสาวที่ถือขวดเบียร์มา ตอนนี้โต๊ะรอบๆ เริ่มเต็มไปด้วยผู้คนต่างจากตอนที่ผมเข้ามาจองโต๊ะแรกๆ บรรยากาศภายในเริ่มครึกครื้นและเต็มไปด้วยเสียงเฮฮา มันเหมือนดังมาจากอีกซีกโลกมากกว่าสำหรับผม

ผมรับแก้วมาจากพนักงานคนเดิมที่เดินจากไปแล้วหลังจากรินให้ไคล์ ยกมันขึ้นดื่มอึกหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้ยมาสบตาคนตรงหน้า “ด้วยการเลิกกับเขานี่ไงล่ะ ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่ใช่คนที่ชอบความรุนแรงนะ ไคล์ และถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่คริสทำแบบนั้น แต่ฉันจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ กับเรื่องนั้นแน่”

ไคล์พยักหน้ารับในที่สุด “งั้นก็ดีแล้ว”

ผมถอนหายใจ พยักหน้ารับแกนๆ ยกแก้วขึ้นมาดื่มต่อ “ชีวิตแม่งโหดร้ายเนอะ นายว่างั้นไหม”

“เรื่องที่นายต้องเลิกกับคริสเพราะเขาใช้กำลังกับนายน่ะเหรอ”

“เรื่องที่ว่า การที่เราพบใครสักคนแล้วคิดว่าเขาใช่ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่คนคนนั้นสำหรับเราต่างหากล่ะ” ผมเริ่มเพ้อเพราะฤทธิ์เหล้า หันไปสบตาไคล์ตรงๆ “นายไม่คิดงั้นเหรอ?”

“คิดสิ” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จ้องตาผมตอบอย่างตรงไปตรงมา “ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”



 


คริสเตียนยังพยายามมาตามตื๊อ วนๆ เวียนๆ อยู่รอบตัวผมหลังจากที่ผมบอกเลิกเขาไปได้แล้วสองอาทิตย์

“ออสติน!” เขาวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาผมหน้าตาตื่นทันทีที่เห็นผมแสกนบัตรประจำตัวเลิกงาน ผมแทบจะถอนหายใจยาวเมื่อได้เห็นหน้าเขา “ออสติน ออสตินครับ เรามาคุยกันก่อนได้ไหม อย่าทำกับผมแบบนี้”

“เราคุยกันมาหลายรอบแล้วครับ คริสเตียน” ผมว่าพลางหายใจแรงๆ อย่างเหนื่อยอ่อน ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเขาเลื่อนมือมาบีบแขนผมแน่น สายตาของคนอื่นๆ ที่เดินสวนไปมาเริ่มหันมามองอย่างสนใจ หนึ่งในนั้นมีเพื่อนร่วมงานของผม หล่อนรู้ว่าผมคบกับคริส แต่พอมาเห็นแบบนี้คงพอจะเดาได้แล้วว่ามีปัญหากัน ผมไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวมากระจายในที่ทำงานเลย ทำไมไอ้หมอนี่มันถึงได้ไม่รู้จักกาลเทศะอยู่เรื่อย

“ผมอยากขอโอกาสจากคุณ” น้ำเสียงเขาเศร้าสร้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยหมองตามคำพูดลงเช่นกัน ผมรู้สึกใจอ่อนยวบ อยากบอกให้เขารู้ว่าผมเองก็เจ็บปวดไม่ต่างจากเขาหรอก

“ไม่ คริส ได้โปรด เลิกมายุ่งกับผมเถอะ” ผมตัดใจดึงมือเขาออก ก้าวเท้าพรวดๆ ออกมาจากประตูด้านหลังของโรงพยาบาล คริสเตียนเดินตามอย่างไม่ลดละ แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ “ผมตัดสินใจแล้ว เราไปกันไม่รอดหรอก เราควรจะจบมันมาตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้มันเรื้อรังมาจนถึงตอนนี้ ตัดใจจากผมเถอะนะ คุณจะได้ไปเจอคนที่ดีกว่า”

“ไม่ ออสติน ผมรู้ว่าคุณโกรธเรื่องวันนั้น” ขายาวเรียวของเขาก้าวตามมา เดินหลบหลีกจากเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ได้อย่างคล่องแคล่วในขณะที่ผมเผลอไปชนไหล่กับพยาบาลสาวคนหนึ่ง ผมหันกลับไปขอโทษหล่อนทันที “ได้โปรด ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะนะครับ ผมสัญญา มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก คริส” ผมพูดอย่างอัดอั้น ใจหนึ่งก็นึกอยากกระโดดถีบหน้าหมอนี่สักรอบแล้วก็ตะโกนบอกว่า ‘จะบ้าเหรอวะ! โดนทำไปขนาดนั้นใครจะกลับไปคบกับแก!?’ แต่อีกใจหนึ่งก็เจ็บปวดเพราะความผูกพันธ์ที่มีให้เขายังคงอยู่

ผมสารภาพตามตรงก็ได้ว่าผมเองก็ยังรักเขาอยู่ ผมอยากหยุดฝีเท้าไว้ตรงนี้แล้วหันกลับไปกอดเขา อยากจูบ อยากบอกกับเขาว่าผมยอมยกโทษให้ทุกอย่าง ขอแค่ให้เขาสัญญามาว่าจะไม่ใช้กำลังกับผมอีก แต่ความเป็นจริงแล้วทุกอย่างมันไม่ง่ายดายอย่างนั้น

ผมใช้ชีวิตมาหลายสิบปี และยิ่งด้วยสายงานที่ทำอยู่ยิ่งทำให้เห็นหลากหลายเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรุนแรง สะอิดสะเอียน และชวนให้หดหู่ใจ ผมเคยชันสูตรศพผู้หญิงคนหนึ่งที่ตายเพราะสามีเมาหนัก อาละวาดจนถึงขั้นหยิบมีดขึ้นมาใช้เป็นอาวุธ และจากที่สืบประวัติของสามีภรรยาคู่นั้นแล้ว ดูเหมือนว่าฝ่ายชายจะทำร้ายร่างกายผู้หญิงคนที่ว่ามานับครั้งไม่ถ้วน

ผมไม่ใช่ผู้หญิง ผมอาจจะปกป้องตัวเองได้ แต่ทำไมผมจะต้องอดทนหรือเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่สุ่มเสี่ยงกับการเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นด้วย? นี่ยังไม่นับเรื่องที่คริสเตียนเป็นคนหัวร้อนแล้วก็มีปืนเหน็บอยู่ที่เอวของเขาอีกนะ เกิดวันไหนเขาสติขาดขึ้นมาอีก ลูกตะกั่วจะไม่เข้าไปฝังอยู่ในหัวผมเหรอ

ผมรู้ดีว่าตัวเองอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อยในเมื่อความผิดที่เขาทำก็แค่ครั้งแรก แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่ายังไงก็จะไม่กลับไปหาเขา

ชายหนุ่มด้านหลังยังคงขอร้องอ้อนวอนซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด เขาคิดว่าเขาเจ็บอยู่คนเดียวหรือไง ที่ผมต้องฝืนทำอยู่นี่มันก็หนักหนาสำหรับผมเหมือนกันนะ

“คริส พอสักที” ผมหันกลับไปมองหน้าเขาตรงๆ พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ตอนนี้เราอยู่ด้านนอกอาคาร กำลังลัดเลาะออกไปทางสวน ท้องฟ้ารอบตัวมืดสนิทจนแทบจะย้อมทุกอย่างเป็นสีดำ ไฟนีออนจากเสากระพริบเล็กน้อยทำให้ตาพร่าเลือน “เราจบกันดีๆ เถอะนะ ถือว่าผมขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย ผมกลับไปคบกับคุณไม่ได้แล้ว ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อที่คุณบอกว่าคุณจะไม่ทำอีกอะไรนั่นหรอกนะ มันก็แค่… แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว คุณเข้าใจไหม”

“ไม่ ผมไม่เข้าใจ” เขาพูดอย่างดื้อดึง ทำท่าจะเดินเข้ามาจับมือผมอีกรอบ ผมจึงรีบถอยกรูดหนี “ทำไมล่ะ ออสติน ผมทำผิดแค่ครั้งเดียว คุณจะไม่ยกโทษให้ผมเลยเหรอ ผมเสียใจจริงๆ ที่ทำแบบนั้นกับคุณ คุณให้ผมทำอะไรผมก็ยอม ขอแค่คุณกลับมา--”

“ไม่ พอเถอะ พอได้แล้ว” ผมตัดบท มองหน้าเขาตรงๆ ขณะพูด “ผมจะไม่กลับไปคบกับคุณอีกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้บนโลกนี้เหลือแค่คุณกับผม ผมก็จะไม่กลับไปคบกับคุณ มันก็ง่ายๆ แค่นั้น ทำไมคุณถึงต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากด้วยนะ”

ชายหนุ่มมีสีหน้าอึ้งกับน้ำเสียงเด็ดขาดนั้น ผมถอนหายใจ รู้สึกปวดหัวขึ้นมา กลับถึงห้องเมื่อไหร่ผมจะล้มฟุบกับเตียงทันที โชคดีนะที่หอของผมไม่ได้ไกลจากที่ทำงานนัก และดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้ผมคงต้องหวังพึ่งมันมากทีเดียว

“ผมเสียใจ คริส แต่เราจบกันแล้วจริงๆ” ผมพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวเดินต่อ

ผมไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่านัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นวาววับหรือเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ถ้าตอนนั้นผมเลือกย้อนกลับไปได้ ผมจะมองเขาให้มากกว่านี้ ว่าภาพใบหน้าของคริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน

ใต้แสงไฟนีออนที่ส่องลงมาเป็นแบบไหน แต่น่าเสียดายที่ผมหันหลังให้เขา จึงไม่อาจมองเห็นสัญญาณเตือนภัยนั่นและระวังตัวเองได้

ถ้าผมรู้ตัวสักนิดในตอนนั้นก็คงดี






-------------------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแล้วค่าาา >3< ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ <3
#ไซออส #sweetsanc
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2017 04:57:16 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Sweet Sanctuary (บทที่ 13)(100%) P.3 [18/06/2017]
«ตอบ #62 เมื่อ18-06-2017 18:44:54 »

ที่เล่ามามันยังไม่ถึงจุดที่ทำให้ออสตินมีแผลเป็น (ในใจ) อย่างทุกวันนี้สินะ ของจริงกำลังจะ (ถูกเล่า) มาหรือเปล่า

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
กลัวเด้อออออออ
เอาจริงถ้าต้องมีฉากถูกทำร้าย เราจะทนไหวมั้ย  :ling3: :ling3:
กลัวบีบคั้นจิตใจ
แผลในใจออสตินใหญ่มาก แสดงว่าสิ่งที่คริสเตียนทำต้องรุนแรงมาก
ฮือ ไม่อยากจะคิดเลย
 นังคริสเตียน :fire: :fire: :fire:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
ที่เล่ามามันยังไม่ถึงจุดที่ทำให้ออสตินมีแผลเป็น (ในใจ) อย่างทุกวันนี้สินะ ของจริงกำลังจะ (ถูกเล่า) มาหรือเปล่า

น่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ หึๆๆๆ (?)


กลัวเด้อออออออ
เอาจริงถ้าต้องมีฉากถูกทำร้าย เราจะทนไหวมั้ย  :ling3: :ling3:
กลัวบีบคั้นจิตใจ
แผลในใจออสตินใหญ่มาก แสดงว่าสิ่งที่คริสเตียนทำต้องรุนแรงมาก
ฮือ ไม่อยากจะคิดเลย
 นังคริสเตียน :fire: :fire: :fire:

โอ๋ๆๆ ใจเย็นๆน้าาา ออสตินไม่เป็นไรหรอก นางเข้มแข็ง แถมตอนนี้มีไซม่อนแล้วด้วย 55555
ต้องไม่เป็นไรสิ! //แต่ตอนนั้นคงไม่ไม่เป็นไรสินะ - -;;;

ออฟไลน์ neverland

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เศร้าจังค่ะ แต่ออสตินเข้มแข็งมากๆเลย

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

บทที่ 14


 
ไซม่อนส่งข้อความมาหาผมในตอนเช้า ถามไถ่ว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง ผมยังรู้สึกสะลึมสะลืออยู่ ตายังเปิดไม่เต็มที่ด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะพยายามเบิกมันกว้างขึ้นเพื่อจะได้มองหน้าจอแล้วพิมพ์ตอบเขาไป
 

Simon McNair: อาการเป็นยังไงบ้าง ออสติน

 
ข้อความที่ว่านั่นส่งมาเมื่อสามชั่วโมงก่อน ก็ประมาณตีห้าสินะ

 
Austin Gardner: ดีขึ้นมากแล้วครับ

 
ผมพิมพ์ตอบไปพร้อมกับวางมือถือลงกลับที่เดิมแล้วลุกจากเตียงไปอาบน้ำ หากยังไม่ทันจะได้ผละมือออก เสียงตอบจากหน้าแชทนั่นก็ดังขึ้นมาทำเอาผมสะดุ้งอย่างตกใจ มือคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว ไซม่อนตอบกลับข้อความนั้นมาเรียบร้อยแล้ว

 
Simon McNair: ค่อยยังชั่วหน่อย ผมกำลังนึกเป็นห่วงเลย

 
เฮ้ย! ตอบกลับมาเร็วขนาดนี้… นี่หมอนี่ไม่ต้องนอนหรือพักผ่อนบ้างหรือไง

 
Austin Gardner: นี่คุณได้นอนหรือยังครับเนี่ย

 
ผมพิมพ์ถามกลับอย่างเป็นห่วง ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงนิดๆ แล้ว แล้วตอนที่เขาทิ้งผมไปทำงานก็เที่ยงคืนกว่า ยังไม่นับวันที่แสนยาวนานที่ต้องเดินไปต่อแถวขึ้นเครื่องเล่นทั้งวันเมื่อวานอีกนะ เดี๋ยวร่างกายก็ช็อดกันพอดี

ไซม่อนไม่ได้ตอบกลับข้อความกลับมา เขาเปลี่ยนเป็นโทรหาผมด้วยโปรแกรมแชทที่ว่านี้แทน ผมร้องเหวอออกมานิดหนึ่งด้วยความตกใจ นี่ผมจะขวัญอ่อนอะไรขนาดนี้วะเนี่ย อีกหน่อยมีแมลงวันบินตัดหน้าไปสักตัวผมคงเป็นลมสลบเหมืดแหง

เขาโทรมาหาโดยที่ขอให้ผมเปิดกล้องด้วย ผมรีรอนิดหนึ่งแต่ก็ตัดสินใจกดปุ่มสีเขียวเพื่อตอบรับอีกฝ่าย

ใบหน้าของไซม่อนปรากฎขึ้นมาให้เห็นบนหน้าจอ เขาวางโทรศัพท์ไว้บนที่วางซึ่งติดอยู่กับคอนโซลรถอีกที หูเสียบสายหูฟังแบบบลูทูธเอาไว้ เขาส่งยิ้มให้ผมนิดหนึ่งก่อนจะเบือนสายตากลับไปมองถนน

“อรุณสวัสดิ์ครับ ออสติน”

สีหน้าของเขาอิดโรยตามประสาคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน น้ำเสียงของเขาก็เช่นกัน ผมที่ตอนนี้หายไข้ดีจนเกือบจะเป็นปกติแล้วเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาจับใจ

“ทำไมคุณยังไม่กลับไปพักผ่อนอีกครับ หน้าคุณดูโทรมมากเลยนะ ถ้าป่วยขึ้นมาจะทำยังไง”

น้ำเสียงเอะอะของผมเรียกรอยยิ้มให้คุณในหน้าจอได้เล็กน้อย

“ถ้าผมป่วยจริงก็ดีสิครับ คุณหมอออสตินจะได้คอยพยาบาลให้ผมไง นี่ๆ ถ้าผมขอให้คุณใส่ชุดนางพยาบาลด้วยจะได้ไหมครับ”

“มะเหงกเถอะคุณ” ผมถลึงตาใส่กล้องแม้ว่าตอนนี้สายตาไซม่อนจะจับจ้องอยู่บนท้องถนน ไม่ใช่ที่หน้าผมก็ตาม “ผมชันสูตรศพแน่ะ อยากให้ผมลองผ่าข้างในคุณดูไหมล่ะ”

“โอ๊ย อย่านะครับคุณหมอ ผมกลัวมีดผ่าตัด” เขาแกล้งห่อตัวลง ทำเสียงตื่นๆ อย่างล้อเลียน ผมหัวเราะออกมากับบทสนทนาที่หาใจความสาระไม่ได้ของพวกเรา ยกมือขึ้นปัดผมเป็ดให้กลับลงไปนิดหนึ่ง สภาพเพิ่งตอนนอนนี่ดูไม่ได้เลย

“อ้าว คุณ อย่าปัดมันลงสิ ปล่อยไว้แบบนั้นก็น่ารักดีออก” ไซม่อนว่า ผมชะงักมือไปนิดหนึ่ง หน้าร้อนขึ้นกับคำพูดที่บอกว่า ‘น่ารัก’ ง่ายๆ ของเขา

“นี่! มองอะไรน่ะ ไซม่อน แมคแนร์ ขับรถอยู่ก็มองถนนสิคุณ ใครสั่งใครสอนให้มาเปิดกล้องคุยกันตอนขับรถเนี่ย เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง”

ไซม่อนหัวเราะตอบ นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ว่า “ผมไปบ้านคุณได้ไหม ออสติน”

“หา?”

“จากทางนี้ ผมไปถึงบ้านคุณเร็วกว่าน่ะ” เขาว่าพร้อมกับส่งยิ้มอ้อนๆ มาให้ ยัง ยังจะหันมาทางนี้อีก เดี๋ยวเกิดขับรถไปชนเสาไฟฟ้านะ ผมจะหัวเราะซ้ำ---

อือ… ไม่เอาดีกว่า อย่าให้เกิดอะไรขึ้นไม่ดีกับเขาเลย ผมว่าผมคงรับไม่ไหวหรอก

“ออสติน?” เขาเรียกผมแต่สายตายังจับจ้องไปที่เบื้องหน้า มือสาวพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยอย่างคล่องแคล่ว “ทำไมเงียบไปล่ะคุณ ตกลงผมไปไม่ได้เหรอ”

“มาสิ” ผมว่า “แต่เลิกเปิดกล้องคุยตอนขับรถได้แล้ว ตกลงไหมครับ มันอันตราย”

“ตกลงครับ” เขาว่ายิ้มๆ อย่างเอาใจ “งั้นอีกยี่สิบนาทีเจอกัน ผมวางก่อนนะ”

“แล้วคุณกินอะไรหรือยัง”

แต่อีกฝ่ายกดตัดสายไปก่อนแล้ว

ผมลุกขึ้นจากเตียง จัดการธุระยามเช้าของตัวเองแล้วลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้ทั้งตัวเองและคนที่กำลังจะมาถึง แต่ยังไม่ทันจะได้หยิบจับอะไรเสียงรถของไซม่อนก็ตรงมาจอดที่หน้าบ้านแล้ว มาเร็วกว่าที่คิดอีกแฮะ นึกว่าจะอีกสักพัก

“ไซม่อน” ผมเรียกเขาหลังจากเปิดประตูให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามา เจ้าหน้าที่หนุ่มดูอ่อนล้ากว่าที่เห็นในกล้องเมื่อครู่เสียอีก เขาเลื่อนมือมากอดคอผมจากด้านหลังขณะที่ผมปิดประตูบ้าน ผมไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจเมื่อไซม่อนเริ่มไซร้คางลงมาบนลำคอ มันจั๊กจี้เล็กน้อยจากเคราที่ขึ้นแซมมา โอ๊ย แต่พอมันถูมาแรงๆ แบบนี้ก็ชักจะเจ็บแล้วนะ

“คิดถึงคุณจัง ออสติน” เขาว่าเหมือนคราง ผมพยายามผลักตัวเขาที่ทิ้งน้ำหนักลงมาออก แต่ไอ้บ้านี่ตัวหนักชะมัด

“คิดถึงอะไรล่ะคุณ เพิ่งจะแยกกันไม่ถึงชั่วโมง”

“โอย… ผมไม่ไหวแล้ว” ในที่สุดเจ้าตัวก็พูดเฮือกสุดท้าย ใช้แขนปวกเปียกของตัวเองดึงแขนผมให้ตามเขาขึ้นไปบนชั้นสอง “ออสติน ผมง่วงนอน พาผมเข้านอนหน่อย ผมจะสลบอยู่แล้ว”

ผมหน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง เวลาหมอนี่อ้อนแบบนี้นี่น่ารักชะมัด คือมันไม่ใช่เรื่องที่น่า… เอ่อ จะเป็นไปได้เท่าไรเลยนะที่จะเห็นผู้ชายตัวใหญ่อย่างกับหมีทำตัวน่ารักได้ หรือต่อให้คนคนนั้นพยายามจะทำ ภาพที่ออกมาคงไม่น่ารักเท่าที่ควร แต่ยกไอ้หมอนี่ให้เป็นกรณีพิเศษก็ได้

“ที่เอฟบีไอเขามีเจ้าหน้าที่กันไม่พอรึไง” ผมบ่นลอยๆ ยอมให้ไซม่อนวางมือพาดบ่า ทำเหมือนผมกำลังออกแรงลากเขาไปที่ห้องนอน แต่จริงๆ แล้วเจ้าตัวก็ก้าวขาขึ้นมาเองนั่นแหละ ผมลากไอ้หมีนี่ไม่ไหวหรอก “แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ คนดันโดดงานพาหลานไปเที่ยวเอง เอ้า คุณ ถึงเตียงแล้ว แล้วนี่ให้คนป่วยมาช่วยส่งนอนแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

“จริงสิ คุณไม่สบายอยู่นี่นา” เขาพูดเหมือนนึกขึ้นได้ แต่น้ำเสียงดูเสแสร้งมาก

ผมเหวี่ยงร่างของไซม่อนให้ล้มลงบนเตียง เจ้าตัวเริ่มคลานไปมาเพื่อหาตำแหน่งที่นอนสบาย เห็นแบบนี้แล้วอดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนหมอนี่เหนื่อยจนถึงขีดสุดจะเป็นแบบนี้เองสินะ เห็นแล้วอยากแกล้งชะมัด

“คุณหายดีรึยังครับ ออสติน” เขาว่าพลางพยายามเบิกตามองผม แต่เห็นได้ชัดว่าฝืนมาก คงอยากนอนเต็มแก่จริงๆ

“อือ ยังไงก็สภาพดีกว่าที่คุณเป็นแน่ล่ะ”

“หือ อะไรกัน สภาพผมก็ไม่แย่ขนาดนั้นสักหน่อย แค่เหนื่อยไปนิดเท่านั้นเอง”

อือ… เท่าที่เห็นตอนนี้นี่ก็ไม่ค่อยนิดเท่าไร

“แล้วไม่หิวเหรอคุณ” ผมถาม เลื่อนมือไปลูบเส้นผมสีำน้ำตาลบลอนด์ของเจ้าตัวอย่างเอ็นดู ตลกตรงที่เมื่อคืนเขายังเป็นฝ่ายลูบหัวผมอยู่เลย มาเช้านี้สลับตำแหน่งกันเสียแล้ว

“ผมกินแซนด์วิชมาแล้วครับ ผมต้องนอนจริงๆ” ถึงตรงนี้เขาก็ปิดเปลือกตาลงเต็มที่ เห็นแล้วสงสารจัง ผมนอนเสียจนเต็มอิ่มแล้ว ให้เขาพักบ้างดีกว่า

“ราตรีสวัสดิ์ ไซม่อน” ผมทาบริมฝีปากลงบนเปลือกตาเขา มุมปากของเจ้าตัวยกขึ้นนิดหนึ่ง

“อรุณสวัสดิ์ครับ ออสติน”

“ผมจะทำข้าวเช้าให้ตอนคุณตื่น

“ตอนนั้นคงต้องเป็นมื้อกลางวันแล้วมั้งครับ”

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”

“ขอโทษนะที่พรุ่งนี้ผมไปส่งคุณที่โรงพยาบาลไม่ได้”

คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ผมเคยส่งตารางการตรวจร่างกายของตัวเองให้เขา แน่นอนว่าไซม่อนจะคอยทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถรับส่งผมตลอดไม่ได้หรอก เขาเองก็มีการมีงานต้องทำ และผมเองก็ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาอะไร

ไซม่อนบอกผมล่วงหน้าอยู่แล้วว่าเขาคอยขับรถไปส่งผมได้ไม่ได้วันไหนบ้าง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกไม่ดีที่ต้องปล่อยให้ผมไปเองคนเดียวอยู่ดี

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ เรื่องแค่นี้เอง” ผมถอนหายใจออกมายิ้มๆ เลื่อนมือไปลูบหน้าเขาก่อนจะผละออกเพราะเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ “งั้น… ฝันดีนะครับ ผมจะไปทำงานสักหน่อย นอนเยอะๆ ล่ะคุณ”

ไซม่อนพยักหน้า ไม่พูดอะไรตอบ แต่มุมปากยกยิ้มขัน ซึ่งนั่นทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้

ก็ทำไมจะไม่ล่ะ ในเมื่อเมื่อคืนเขายังเป็นฝ่ายพูดอะไรทำนองนี้กับผมอยู่เลย ตอนนี้สถานะเปลี่ยนเสียแล้ว จะไม่ให้แอบขำได้ไง


 


ผมเดินทางมาที่โรงพยาบาลอันเป็นสถานที่ทำงานเก่าของผม ส่วนที่ผมเคยทำจะอยู่คนละตึกกับอาคารที่ผมต้องมาตรวจร่างกายในวันนี้ โรงพยาบาลเซนต์วิลล์เต็มไปด้วยผู้คนเหมือนเดิม ผู้ป่วยจำนวนมากนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ซึ่งเรียงรายเป็นแถว เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลเดินสวนกันขวักไขว่ คุณหมอในชุดกาวน์คนหนึ่งกำลังก้าวเท้าเร็วๆ ตามนางพยาบาลอีกคนหนึ่งที่นำทางไป แค่เห็นบรรยากาศวุ่นวายนี่ก็ปวดหัวเต็มที่แล้ว ไม่ต้องนึกถึงตอนทำงาน ยินดีต้อนรับสู่่บ้านเก่านะ ออสติน

“คุณหมอการ์ดเนอร์” พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ส่งยิ้มให้ผม รับบัตรผมไปคีย์ข้อมูล “มาตามนัดขอคุณหมอกอร์แมนสินะคะ ร่างกายเป็นยังไงบ้างคะ”

“ก็ปกติดีครับ ไม่มีอะไรน่ากังวลเป็นพิเศษ”

“มีไข้หรืออาการท้องเสียในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาไหมคะ”

“ท้องเสียไม่มีครับ แต่มีไข้บ้าง”

หล่อนมองผมด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจทันที เป็นอันรู้กันอยู่ว่าถ้าถ้ามีอาการดังกล่าวอาจหมายถึงอวัยวะที่เพิ่งเปลี่ยนถ่ายมาไม่เข้ากับร่างกายของตัวเอง แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น

“คือผมไปตากฝนมานิดหน่อยน่ะ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าร่างกายมันไม่รับหัวใจนี่หรอก” อีกอย่าง ผมก็ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่ว่านี่มาหลายเดือนแล้วนะ แล้วที่ผ่านๆ มาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

“ระวังตัวหน่อยสิคะ คุณหมอ เดี๋ยวคุณหมอก็ว่าเอาหรอก เอ่อ ฉันหมายถึงคุณหมอกอร์แมนน่ะค่ะ”

“ลำบากแย่เลยนะ มีคนไข้เป็นหมอด้วยเนี่ย” ผมล้อเลียนหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะตรงดิ่งไปนั่งที่รอสำหรับคนไข้

ผมแค่อยากนั่งรอแล้วก็เดินเข้าห้องตรวจไปเหมือนคนไข้รายอื่นๆ แต่สักพักหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่เข็นเตียงมาให้ผมโดดขึ้นไปนอนบนนั้นจนได้ ผมแทบอยากจะกลอกตากับความเกินเหตุของอะแมนดาให้รู้แล้วรู้รอด ก็รู้หรอกนะว่ายัยนี่เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบกับสิ่งที่แพทย์ควรปฏิบัติ แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยนะ ผมบอกไปตั้งหลายรอบแล้วว่าให้เลิกเอาเตียงมารับผมสักที คนไข้คนอื่นๆ ที่เขารอคิวอยู่มองมากันใหญ่แล้วเนี่ย

“ทำไมฉันต้องขึ้นไปนอนเตียงนี่ด้วยนะ” ผมบ่นงึมงำ เจ้าหน้าที่หนุ่มอีกคนเพียงแค่ยักไหล่ เขาสวมผ้าปิดปากอยู่ ผมเลยไม่แน่ใจว่าเขากำลังยิ้มรึเปล่า

“ถ้าไม่อยากให้ผมอุ้มคุณขึ้นเตียงก็ปีนมาดีๆ เถอะครับ อีกอย่าง คุณหมอกำลังรอคุณอยู่”

เยี่ยมเลย เพื่อนร่วมงานแสนประเสริฐ บางทีก็อดสงสัยไม่ได้นะว่านี่เป็นการแกล้งกันรึเปล่า ถ้าใช่ล่ะก็ ยัยอะแมนดานี่เป็นหัวโจกแน่ๆ

ผมปล่อยให้อดีตเพื่อร่วมงานที่ตอนนี้กลายมาเป็นคุณหมอผู้ดูแลผมจัดการหย่อนกล้องเข้าไปในรูบนหน้าอกของตัวเอง ผมนอนมองเพดานนิ่งๆ ปล่อยให้อะแมนดาหันไปคุยกับผู้ช่วยหมออีกสองคน ดูเหมือนเจ้าหล่อนกำลังสอนงานอยู่ด้วย ก็ดีที่อาการป่วยของผมสามารถเป็นกรณีศึกษาให้แพทย์ฝึกหัดได้

อะแมนดาซักถามอาการเบื้องต้นของผมอย่างที่ทำมาเสมอหลังจากส่องกล้องดูอวัยวะภายในเรียบร้อยแล้ว ผมเกลียดเวลาที่เขากระตุกเอากล้องนั้นออกมาจริงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกระตุกเบ็ดกลับเข้ามางั้นแหละ สงสัยจังว่าปลาที่ตกมาหลายร้อยหลายพันตัวทั้งชีวิตจะมีความรู้สึกแบบนั้นไหม แต่มันคงแย่กว่าที่ผมรู้สึกอยู่หรอกมั้ง

“มีไข้สูงงั้นเหรอ” เจ้าหล่อนว่าขณะที่เคาะปากกาลงบนแฟ้มคนไข้อย่างครุ่นคิด “หนักมากไหมคะ”

“ไม่มากครับ กินยา นอนพักคืนเดียวก็หาย” ผมว่า เสริมต่อด้วยว่าจริงๆ เพิ่งจะเป็นเมื่อวานซืนนี้เอง

“ซอร์ร่าบอกฉันว่าคุณไปตากฝนมา” ซอร์ร่าคือหญิงสาวที่ประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ

“ครับ ใช่”

“นี่คุณคิดว่าตัวเองร่างกายแข็งแรงมากสินะ”

“ผมก็ไม่ได้อาการแย่อะไรขนาดนั้นสักหน่อย คราวก่อนคุณเองก็บอกนี่ว่าร่างกายรับอวัยวะใหม่ของผมดี คุณบอกด้วยซ้ำว่าหลังตรวจคราวหน้า ถ้าไม่มีอะไรผิดปกผมก็เริ่มกินแอลกอฮอล์ได้แล้ว”

“มันสำคัญที่ตรงนี้ใช่ไหมคะ” แพทย์สาวส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “พวกผู้ชายนี่นะ”

“ก็แค่จิบๆ น่ะ” ผมอ้าง จริงๆ ก็แค่อยากกินไวน์หรือแชมเปญดีๆ กับไซม่อนตามลำพังสักครั้ง ตั้งแต่ตอนนั้นที่ผมเปิดแชมเปญของตัวเองให้เขา ผมก็ไม่เคยเห็นเขาแตะเครื่องดื่มพวกนั้นให้เห็นอีกเลย คงกลัวว่าผมจะรู้สึกไม่ดี ซึ่งการที่เขาทำแบบนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากกลับมาดื่มได้เร็วๆ จะได้ดื่มกับเขา

“ขอห้ามไว้ก่อนแล้วกันค่ะ คุณเพิ่งมีไข้มา”

“ได้ไง” ผมตีหน้าบึ้งเหมือนเด็กๆ แต่ก็แค่แกล้งทำนั่นแหละ “คุณสัญญาแล้วนะครับ คุณหมอ แล้วผมก็เป็นไข้ที่ดีมาตลอด”

“ด้วยการเอาตัวไปตากฝนแล้วก็ไข้ขึ้นสูงน่ะเหรอคะ” หล่อนว่าพร้อมกับหัวเราะระร่วนอย่างอารมณ์ดี ผมส่งยิ้มให้เจ้าหล่อนนิดหนึ่ง ปล่อยให้อะแมนดาขีดเขียนลงในแฟ้มต่อ “ทำไมคุณไม่เล่าให้ฉันฟังล่ะคะว่านึกยังไงถึงไปตากฝนมา”

“ผมไปสวนสนุกน่ะ แล้วฝนมันตกพรำๆ ตอนยืนต่อแถว” ผมว่า “แล้วคุณก็น่าจะเดาออก ยืนต่อแถวกันมาเป็นชั่วโมงๆ คงไม่มีใครอยากสละสิทธิ์หรอก อีกอย่างหนึ่ง มันก็แค่นิดเดียว ผมแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำตอนมันเป็นละอองลงมา”

“อ้อ ใช่ๆ ฉันนึกออก พวกเครื่องเล่นพวกนี้ไม่รู้เขาจัดระบบกันยังไง ทำไมถึงทำให้รอน้อยกว่านั้นไม่ได้” อะแมนดาว่าก่อนจะชะงักมือไป หันหน้ากลับมามองผมด้วยสายตาอึ้งๆ ปนยินดี “เดี๋ยวนะ…. คุณเนี่ยนะ ไปสวนสนุก ออสติน?”

“ใช่แล้ว” ผมว่า “ผมไปเดทมา”

คราวนี้เจ้าหล่อนเลื่อนเก้าอี้ติดล้อเข้ามาใกล้ผมทันที สีหน้ายิ้มๆ นั่นทำให้ผมแอบเขินนิดหนึ่ง พวกผูหยิงนี่ชอบเรื่องแบบนี้กันซะจริง

“ไม่เห็นคุณเคยเล่าให้ฉันฟังว่าคบกับใครอยู่”

“ก็กำลังเล่านี่ไงคุณ”

“เขาทำงานอะไรน่ะคุณ แล้วไปเจอกันที่ไหน”

ผมเดาได้อยู่แล้วว่าเจ้าหล่อนต้องถาม ผมกับอะแมนดาถือว่าสนิทกันในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็สนิทกันพอที่ผมจะเล่าเรื่องที่ตัวเองเคยโดนคริสเตียนโดนข่มขืนให้หล่อนฟังได้ จริงอยู่ที่ว่าคนในโรงพยาบาลนี้รู้เรื่องนี้กันไม่น้อย แต่คนที่รู้มาจากข่าวลือกับคนที่รู้มาจากปากผมน่ะ มันแตกต่างกันนะ

“เขาเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอน่ะ ชื่อไซม่อน แมคแนร์”

รอยยิ้มของเจ้าหล่อนดูจะเลือนไปนิดเมื่อได้ยินอาชีพของแฟนผม

“พวกถือปืนอีกแล้วเหรอ” หล่อนว่าเสียงเครียด แสร้งทำเป็นหันไปให้ความสนใจกับแฟ้มผมต่อ “คุณนี่ไม่เข็ดจริงๆ ใช่ไหมคะ คุณหมอ”

“ใช่ว่าตำรวจต้องเลวไปหมดทุกคนเสียหน่อย”

“ใช่ค่ะ ฉันก็รู้ เพียงแต่…” ถอนหายใจเฮือก ส่ายหน้าอีกนิดหนึ่งแล้วจดมือลงไปในกระดาษขยุกขยิก หวังว่าหล่อนคงไม่ได้กำลังสั่งยาระงับประสาทหรืออะไรทำนองนั้นให้ผมอยู่นะ “คุณเจออะไรที่แย่มากๆ มา คุณก็รู้ว่าฉันพูดถึงอะไร”

“คุณรู้จักคนที่ชื่อแบรด แมคแนร์ไหม” ผมหย่อนคำถาม เหลือบมองปฏิกิริยานั้นของแพทย์สาว หากเจ้าหล่อนเพียงแค่ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่ง ผมพยายามประเมินว่าหล่อนแกล้งทำรึเปล่า แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้เหมือนกัน

“แบรด แมคแนร์? เขาเป็นคนในครอบครัวของแฟนคนใหม่ของคุณเหรอคะ? ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จัก”

หืม ไม่มีอาการออกเลยเหรอ หรือว่าอะแมนดาเตรียมรับมือไว้แล้วตอนที่ผมพูดชื่อไซม่อนออกไปครั้งแรกนะ

ผมปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพวกเราทั้งคู่อยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินหมากต่อ

“ทำไมคุณถึงไม่บอกผมล่ะว่าเจ้าของหัวใจที่ผมได้มาถูกฆ่าตาย ไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ”

ได้ผล อะแมนดาชะงักมือลงทันที เจ้าหล่อนเบิกตากว้างขึ้นก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วสาวเท้ามาหาผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

“คุณเอาอะไรของคุณมาพูดน่ะ ออสติน คิดจะหลอกถามอะไรจากฉันเหรอ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเรื่องนี้เป็นความลับ”

“ผมรู้ มันสมควรจะเป็นความลับ” ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาหล่อนตอบ อะแมนดาดูโกรธและสับสนมากทีเดียว แปลว่าหล่อนรู้ว่าใครเป็นคนบริจาคหัวใจให้ผมอยู่แล้วสินะ ผมน่าจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเชียว “แต่ตอนนี้มันก็ไม่ลับสำหรับผมแล้ว ก็ผู้ชายที่ผมกำลังเดทอยู่ด้วยนี่แหละเป็นคนมาบอกผมเองว่าผมได้หัวใจของพี่ชายเขามา อันที่จริงนะ เขาเข้าหาผมด้วยเหตุผลนั้นด้วยซ้ำ”

“เขาไม่ควรจะรู้เรื่องนั้นสิ”

“อ้อ ใช่ แต่บังเอิญเขาเป็นเอฟบีไอไง คุณจำได้ไหม และไม่ต้องมองหน้าผมแบบนั้น ผมไม่บังเอิญโง่ขนาดมีใครมาพูดอะไรก็เชื่อไปหมดหรอก เขามีจดหมายขอบคุณที่ผมเขียนด้วยลายมือตัวเอง มันเป็นจดหมายที่คุณขอให้ผมเขียนไง จำได้รึเปล่า”

“เขา… ไซม่อน แมคแนร์ใช่ไหมที่คุณพูดเมื่อกี้” อะแมนดาว่าพร้อมกับเคาะปากกาลงแฟ้มในมือเร็วขึ้นเรื่อยๆ อย่างสับสนและหงุดหงิด หล่อนขมวดคิ้วชนกันจนแทบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว เดาว่ากำลังหัวเสียกับการทำอะไรตามอำเภอใจของไซม่อน ไม่ค่อยแปลกใจหรอก ตอนแรกที่ไซม่อนมาที่บ้านผม ผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน “ฉันจะต้องไปคุยกับเขา คุณมีช่องทางติดต่อหรืออะไร--”

“ไม่ ไม่ๆๆ ผมไม่ได้อยากให้คุณไปว่าอะไรเขา ผมแค่รู้สึก… เสียใจนิดหน่อยที่คุณไม่ได้บอกผมเรื่องเจ้าของหัวใจคนก่อน คุณทำเหมือนกับว่าผมได้หัวใจมาเพราะผู้บริจาคร่างกายเจออุบัติเหตุจนเสียชีวิต ผมรู้ว่าคุณอยากให้ผมสบายใจเรื่องนั้น แต่ถึงยังไง เราก็เป็นเพื่อนกัน---”

“เดี๋ยวๆๆๆ ออสตินคะ เดี๋ยวก่อนนะ” แพทย์สาวยกมือขึ้นห้ามผม หล่อนหลับตาลง สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งเพื่อรวบรวมสติ และเมื่อลืมตาขึ้นมาใหม่ หล่อนก็จ้องตาผมเขม็ง “คุณบอกฉันว่าเจ้าหน้าที่ไซม่อน แมคแนร์บอกคุณว่า… หัวใจที่คุณได้มาเป็นของแบรด แมคแนร์… ซึ่งเป็นคนในครอบครัวของเขางั้นเหรอ?”

“เป็นพี่ชายน่ะ” ผมว่า “แบรดเป็นพี่ชายของไซม่อน แล้วก็ใช่ เขาบอกผมแบบนั้น”

อะแมนดามีท่าทีสับสน ดูหล่อนเป็นกังวลมากๆ ที่ผมดันมารู้ในสิ่งที่ไม่ควรจะรู้ ยิ่งกับคนที่เคร่งธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเจ้าหล่อนด้วยแล้ว… แต่ผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย ผมไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ด้วยนี่

“นี่มันบ้ากันไปใหญ่… บ้ากันไปใหญ่แล้ว” หล่อนพึมพำอย่างร้อนรน และนั่นทำให้ผมเป็นกังวลขึ้นมาจริงๆ ผมรู้ดีว่าหล่อนมีความลับที่ต้องระวังไม่ให้คนไข้รู้ มันหนักหนาพอๆ กับความลับระหว่างหมอกับคนไข้นั่นแหละ แต่… อะไรบางอย่างกำลังบอกผมว่าเรื่องนี้มันแตกต่างไปจากนั้น แค่ผมรู้ว่าตัวเองได้หัวใจของใครมา ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่สาหัสสากรรจ์อะไร

“อะแมนดา…”

“คุณต้องเลิกติดต่อกับเจ้าหน้าที่คนนั้น” หล่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเสียจนผมยังต้องอึ้งไป นึกภาพตามคำที่หล่อนพูดแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอย่างไรชอบกล “เลิกกับเขาซะ ออสติน ฉันว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล คุณเพิ่งคบกับเขาใช่ไหม ตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอกนะ เลิกยุ่งกับเขาเถอะ คุณควรจะใช้ชีวิตอย่างสงบแล้วก็พักอยู่ในบ้านของตัวเอง”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเจือแวหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง อยู่ๆ ความรู้สึกที่ว่าคนรอบตัวมีเรื่องปิดบังผม… ทั้งไซม่อนก็ดี อะแมนดาก็ดี… ความคิดนั่นทำให้ผมหัวเสียขึ้นมาทันที ทำไมต้องทำตัวมีลับลมคมในกันด้วย “คุณกำลังบอกให้ผมเลิกกับแฟนที่เพิ่งคบกันหมาดๆ เนี่ยนะ? ตลกแล้ว อะแมนดา ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก นี่มันไร้เหตุผลชะมัด”

“เขามันตัวอันตราย ออสติน” หล่อนพูดด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คราวนี้ถึงทีที่ผมต้องชะงักลงไปบ้างแล้ว ผมถามต่ออย่างสับสนไม่ต่างจากแพทย์สาวตรงหน้าทันที

“ผมนึกว่าคุณไม่รู้จักไซม่อน แมคแนร์เสียอีก”

“อ้อ ไม่หรอก ฉันไม่รู้จักเขาหรอกค่ะ”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นตัวอันตราย”

หล่อนมองหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ผมเพิ่งถาม กลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งก่อนจะตอบกลับมากระท่อนกระแท่น

“ก็ดูสิ่งที่เขาทำกับคุณสิ แค่ฟังคุณพูด ฉันก็ประเมินได้แล้ว”

“ยังไงครับ? ที่เขามาบอกผมว่าผมได้หัวใจของพี่ชายเขามาน่ะเหรอ? ผมรู้ว่าเขาก็ทำผิด แต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรถึงขนาด---”

“นี่คุณเชื่อในสิ่งที่เขาพูดจริงๆ เหรอ ออสติน การ์ดเนอร์” หล่อนหันขวับกลับมา น้ำเสียงเหลืออด “ที่เขาบอกว่าหัวใจที่คุณได้ไปเป็นของพี่ชายเขาน่ะ แค่เพราะเขาเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอไม่ได้หมายความว่าเขาจะโกหกคุณไม่ได้นะคะ แล้วคุณนี่ยังไง หูเบาอะไรขนาดนี้ เป็นถึงหมอนิติเวชแท้ๆ คุณน่าจะรู้ว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นความลับขนาดไหน”

“แต่ไซม่อน--” ผมอ้าปากจะพูดตอบโต้ แต่เหมือนหญิงสาวตรงหน้าสติขาดผึงไปแล้วขณะร่ายยาวต่อด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น

“แล้วยังไง คุณจะบอกอะไรฉันอีก ถ้าเกิดมีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอคนอื่นมามาบอกว่าคุณมีหัวใจของพ่อผม แฟนผม หรือน้องผม คุณก็จะเชื่อเหมือนกันหรือเปล่า หรือยังไง หรือเพราะคนนี้พิเศษ คุณก็เลยยอมเชื่อในสิ่งที่เขาบอกโดยที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นๆ เลย”

“แต่… แต่เขามีจดหมาย” ผมอึกอัก ตกใจไม่น้อยที่เห็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของตัวเองเป็นแบบนี้

อะแมนดาหันหน้าขวับกลับมามองผมด้วยสายตาที่อัดแน่นไปด้วยความขุ่นเคือง แต่หล่อนกำลังโกรธใครล่ะ โกรธผมเหรอ?

แพทย์สาวถอนหายใจเสียงดังเฮือก กระแทกปึกเอกสารกับขอบโต๊ะเพื่อทุกแผ่นอยู่ในระดับเรียบเสมอกัน หล่อนสบตาผมตรงๆ ขณะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“จะหาว่าชั้นยุแยงหรือหาเรื่องให้พวกคุณแตกคอกันก็ได้นะคะ ออสติน แต่ที่ฉันพยายามพูดอยู่นี่ก็เพราะฉันหวังดีกับคุณ คุณเป็นเพื่อนฉัน คุณเป็นคนดี แล้วคุณก็เคยเจอเรื่องแย่ๆ กับพวกเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบมาแล้ว ฉันไม่สนใจจดหมายห่าเหวอะไรนั่นหรอกค่ะ ออสติน ฉันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง มันจะเป็นของจริงรึเปล่าฉันก็ไม่อาจทราบได้ แต่ที่ฉันรู้คือ… แทบไม่มีใครรู้เรื่องหัวใจของคุณ มีคนจำนวนน้อยมากจริงๆ ที่รู้เรื่องนี้ ต่อให้แฟนใหม่คุณเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอก็ใช่ว่าจะรู้เรื่องนี้” 

“แต่… งั้น… เขาจะโกหกผมทำไมล่ะ” ผมพึมพำอย่างสับสน มองเห็นความเห็นใจจากแววตาหญิงสาวตรงหน้าวูบหนึ่ง หากวินาทีต่อมามันก็กลับไปแข็งกร้าวตามเดิม

“ฉันไม่รู้เรื่องนั้นหรอกค่ะ ออสติน แต่ถ้าคุณไม่ได้หลงพ่อเอฟบีไอคนนั้นจนโงหัวไม่ขึ้นล่ะก็… ฟังที่ฉันพูดไว้หน่อยก็แล้วกัน”

“ฟังที่คุณพูดเหรอ…” ผมว่าต่อเสียงแผ่ว สับสนไปหมดแล้วกับสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญอยู่ในตอนนี้

อะแมนดากำลังเตือนผมเรื่องไซม่อนอยู่อย่างนั้นเหรอ แปลว่าหมอนั่นโกหกผมเรื่องหัวใจนี่จริงๆ ใช่ไหม

แล้ว… แล้วเขาจะโกหกผมเรื่องนั้นไปทำไมกันล่ะ?




---------------------------------------------
Talk: ขอแจ้งเรื่องการอัพนิยายนะคะ ต่อไปนี้เราคงอัพสัปดาห์ละครั้งแต่เป็น100%ทุกครั้งแล้ว ส่วนเรื่องวันที่จะมาอัพยังไม่กำหนดแน่นอน แต่กำลังคิดไว้ว่าเป็นช่วง ศ. ส. อา. ค่ะ ถ้ากำหนดชัดเจนแล้วจะแจ้งทุกคนอีกเนอะ นอกเหนือจากวันที่เราจะมาบอกทุกคน เราอาจจะมีการรีอัพนิยายบ้างในวันอื่นๆ ยังไงก็อย่าเพิ่งรำคาญกันก่อนน้า >_< ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากๆ นะคะ!
#ไซออส #sweetsanc

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เอ้า ยังไงกันล่ะทีนี้

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ว่าแล้วว่าเรื่องนี้มันต้องไม่ง่าย
เริ่มรักก็จะให้เลิกรักมันยาก แต่หลายอย่างน่าสงสัยจริงๆแหละ
ขนาดเราเอะใจไว้แล้ว พอมาอ่านจริงๆก็แอบตกใจ
ตอนนี้อยากให้ออสตินใจเย็นๆ แล้วไปคุยกันให้รู้เรื่องก่อน
อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเด้อ กังวลจริงๆ  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ VitamiN

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เราไม่ไว้ใจไซม่อนมาแต่แรกแล้วววว โอ้ยยยยยยย คุณหมอหญิง ช่วยเคาะสติออสตินทีค่าาา :serius2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 15


ถ้าเกิดว่าไซม่อนโกหกผมเรื่องหัวใจของแบรด งั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะกำลังปกปิดความเชื่อมโยงระหว่างแบรดกับคริสเตียนสิ?

ผมนั่งคิดพิจารณาเรื่องนี้ เป็นสิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวผมตั้งแต่เมื่อวานหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล หมุนปากกาในมือ เลื่อนสายตามองหน้าจอที่เขียนงานค้างเอาไว้อย่างเหม่อลอย

งานของผมไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยสักนิดทั้งที่ผ่านมาเกือบสองชั่วโมง ลมเย็นๆ ที่มีกลิ่นของทะเลพัดโชยเข้ามาจากทางหน้าต่างชวนให้รู้สึกสดชื่นขึ้นนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรผมมากเท่าไรหรอก

ผมตัดสินใจปิดไฟล์งาน ปิดคอมพิวเตอร์ลงอย่างยอมแพ้ ต่อให้นั่งจ้องมันไปอีกครึ่งวันก็ไม่มีอะไรโผล่มาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันหรอก ในเมื่อรู้ตัวตั้งแต่ตอนนี้ก็หยุดทำเสียเลยดีกว่า

ผมเดินไปหยิบกล่องที่ครั้งหนึ่งเคยขยาดจนไม่อยากแม้แต่จะแตะต้องขึ้นมาวางบนโต๊ะกินข้าวใกล้ๆ กับห้องครัว เปิดฝาออกแล้วหยิบข้าวของทุกอย่างออกมาวางเรียง

สร้อยทองคำขาวที่มีจี้ห้อยคอเป็นรูปดอกไม้ประดับเพชร นาฬิกาเรือนแพง รูปถ่ายของแบรดและครอบครัวที่คงถ่ายมานานหลายปีแล้ว พยายามนึกถึงความเชื่อมโยงของของสามชิ้นนี้แต่ก็ยังนึกไม่ออก

อย่าว่าแต่ผมเลย ขนาดพวกตำรวจยังไม่ได้อะไรจากไอ้ของพวกนี้ ไม่มีลายนิ้วมือ ไม่มีอะไรที่จะสืบสาวต่อไปได้จากตรงนี้ เหมือนเผชิญหน้ากับทางตัน

“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจขณะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใส่กระเป๋ากางเกง ข้างๆ โน้ตบุ๊คที่ถูกปิดพับครึ่งเรียบร้อยมีรูปถ่ายใส่กรอบอย่างดีซึ่งวางอยู่ เป็นรูปของผมกับไซม่อนแล้วก็แดนตอนที่ไปสวนสนุกด้วยกัน พ่ออาคนดีอัดให้หลานเก็บไว้แล้วก็เผื่อแผ่มาถึงผมด้วย ช่างน่ารักอะไรอย่างนี้ ถ้าไม่ติดตรงที่เจ้าหมอนี่มีเรื่องอะไรกำลังปิดบังผมอยู่ล่ะก็ ความน่ารักอาจจะฉายชัดกว่านี้ก็ได้

“นายกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่เหรอ ไซม่อน” ผมงึมงำ “แล้วนายจะทำแบบนั้นทำไมกัน มีเหตุผลยิ่งใหญ่อะไรนักหนา ฮะ?”

แต่ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์ในรูปก็ไม่ตอบ ตามปกติรูปภาพก็ไม่พูดตอบใครอยู่แล้ว

ไร้สาระชะมัด

ผมตัดสินใจเดินขึ้นบ้านไปอีกรอบเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากระเป๋าสตางค์กับกุญแจบ้านแล้วจึงเริ่มกดเบอร์ไปยังศูนย์ให้บริการรถแท็กซี่ ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจทำงานอยู่แล้ว ออกไปหาอะไอย่างอื่นทำดีกว่า

ผมขอให้คนขับพาไปที่สถานีตำรวจซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง จากบ้านผมกว่าจะไปถึงนั่นก็ใช้เวลาเกือบสี่สิบนาที ระยะทางก็เรื่องหนึ่ง สภาพการจราจรที่ค่อนข้างแน่นขนัดก็อีกเรื่องหนึ่ง

ผมปล่อยให้ความคิดของตัวเองลอยวนเวียนตลอดทางที่อยู่บนรถ กำลังขบคิดความเป็นไปได้หลายๆ อย่างของปริศนาที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้

ถ้าสมมติว่า… ถ้าเกิดไซม่อนโกหกผมเรื่องหัวใจจริงๆ ถ้าเกิดหัวใจที่ผมได้มานี่ไม่ใช่ของแบรด งั้นก็แปลว่าความเกี่ยวโยงระหว่างแบรดกับคริสเตียนก็จะหายไปงั้นเหรอ?

ก็ไม่… ไม่ใช่อีกอยู่ดี ทุกอย่างมันเหมาะเจาะเกินไป ลงตัวเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ

ผมรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเมื่อคิดว่าไซม่อนกำลังปิดบังอะไร… หรือถึงขั้นโกหกเรื่องใหญ่โตอย่างเรื่องหัวใจเอาไว้

“ถึงแล้วครับ คุณผู้โดยสาร” ผมไหวตัวนิดหนึ่งอย่างตกใจ ก่อนจะจ่ายเงินให้คนขับ ให้ทิปตามธรรมเนียมแล้วจึงลงจากรถ

อาคารที่ผมมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าใหญ่โตหลายสิบชั้น ตัวอาคารใหม่เอี่ยมทั้งภายในและายนอกเพราะเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว พื้นหินอ่อนและการตกแต่งภายในที่เน้นสไตล์เรียบหรูดูเหมาะกับยุคใหม่ อาคารนี้ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่สถานีตำรวจเก่าที่อยู่ถัดจากตึกนี้ไปสองซอย ตอนนี้อาคารนั้นถูกปิดใช้งานไปแล้วหลังจากถูกใช้งานมากว่าสามสิบปี

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ” หญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างท้วมหลังเคาน์เตอร์เอ่ยปากถาม ผมยื่นใบขับขี่ให้หล่อนทันทีอย่างรู้ขั้นตอน

“ผมมาหาเจ้าหน้าที่ฮันนาห์ แลนดี้ครับ”

“มีธุระอะไรกับเจ้าหน้าที่แลนดี้คะ?”

“ผมมาถามความคืบหน้าของคดีตามหาคน คริสเตียน เฮฟเฟอร์แมน”

“สักครู่นะคะ” หล่อนว่าพร้อมกับผลุบหายไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อติดต่อหมายเลขภายใน

ผมกวาดตามองรอบๆ ผู้คนเดินขวักไขว่สวนกันไปมาในสถานที่แห่งนี้ ทั้งคนในเครื่องแบบ ประชาชนที่มาร้องเรียน เจ้าหน้าที่จากแผนกต่างๆ ผมเห็นตำรวจหิ้วกล่องโดนัทเดินลิ่วๆ ตรงไปที่ลิฟต์ด้วย อดยิ้มไม่ได้เลยแฮะ ต่อให้เวลาจะเปลี่ยน สถานที่ทำงานจะเปลี่ยน แต่ตำรวจนี่ต้องคู่กับโดนัทจริงๆ

“ขอโทษที่ให้รอค่ะ” หล่อนว่า เรียกความสนใจของผมกลับไป “ขออภัยด้วยนะคะ คุณการ์ดเนอร์ แต่วันนี้เจ้าหน้าที่แลนดี้จับเครื่องบินไปนิวยอร์กตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่ะ คงจะกลับมาอีกทีวันศุกร์”

“อ้าว” มาเสียเที่ยวเลยแฮะ

“มีอะไรจะฝากไว้ไหมคะ”

“คือ… ถ้ายังไงฝากบอกให้ติดต่อมาหาผมหน่อยได้ไหมครับ หรือยังไงขอเบอร์---”

“เกรงว่าทางเราจะให้เบอร์ของเจ้าหน้าที่ไม่ได้นะคะ”

ก็เดาไว้งั้นแหละ อันที่จริงผมเคยมีเบอร์เธอนะ แต่มันหายไปตอนไวรัสกินเจ้าโทรศัพท์ซังกะบ๊วยเมื่อไม่กี่เดือนก่อน นั่นเป็นเบอร์ที่หล่อนเต็มใจให้ผมเอง แต่ผมไม่คิดจะเซ้าซี้หรอก ยังไงระเบียบก็ต้องเป็นระเบียบ

“ถ้าอย่างนั้น รบกวนให้เธอติดต่อมาหน่อยแล้วกันครับ”

“รบกวนกรอกรายละเอียดตามนี้ด้วยค่ะ”

ผมเขียนชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร อันเป็นธรรมเนียมแสนจะน่าเบื่อแต่จำเป็นลงในกระดาษใบนั้น หญิงสาวตรงหน้าทำหน้าราวกับจะบอกว่า ‘ไม่รู้หรอกนะว่าทางนี้จะติดต่อไปหาคุณไหม แต่ยังไงก็ลองดูแล้วกัน’ บางทีก็นึกอยากให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์พยายามเก็บความรู้สึกที่หน้ากันบ้าง ไม่ว่าจะประชาสัมพันธ์ที่ไหนก็เถอะ

“ขอบคุณครับ ฝากบอกเธอด้วยว่านี่เป็นเรื่องด่วนจริงๆ”

“แล้วทางเราจะบอกให้ค่ะ”

ดูจากสีหน้าและน้ำเสียงก็รู้ว่านั่นเป็นคำโกหก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

ผมเดินกลับออกมาด้วยความรู้สึกเซ็งสุดขีด โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสั่น ผมหยิบมันขึ้นมามองหน้าจอแล้วต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ นี่เป็นเบอร์ของที่ทำงานเก่าผม อย่างน้อยที่ทำงานเก่าซึ่งสั่งพักงานคุณก็คงไม่โทรมาพูดสวัสดี สบายดีไหมกับคุณทุกวันแน่ล่ะ

“ฮัลโหลครับ” ผมกรอกเสียงลงไป

“เฮ้ ออสติน” เสียงหัวหน้าที่แสนจะคุ้นเคยดังผ่านลำโพงมา “เป็นยังไงบ้าง นี่ผมโทรมารบกวนอะไรคุณรึเปล่าเนี่ย”

“อ้อ ไม่ครับ ผมไม่ได้ทำอะไรพิเศษ” ไม่ได้ทำตั้งแต่โดนสั่งพักงานนั่นแหละ

“เหรอ แต่ผมได้ยินเสียงเหมือนคุณอยู่ข้างนอก”

“อ้อ ครับ พอดีมาทำธุระในเมืองนิดหน่อย แต่เสร็จแล้วล่ะครับ หัวหน้ามีอะไรรึเปล่า”

“เอ้อ ร่างกายคุณเป็นยังไงบ้าง คุณสบายดีไหม”

ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความแปลกใจอีกครั้ง นี่ตกลงโทรมาเซย์เฮลโหลแล้วก็ถามไถ่สุขภาพกันจริงสิ?

“ก็… สบายดีครับ ดีขึ้นมากถ้าเทียบกับตอนที่เพิ่งผ่าตัดใหม่ๆ พักฟื้นมาก็นานแล้ว น่าจะกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติเร็วๆ นี้”

“อ้อ งั้นเหรอๆ เยี่ยมไปเลย นั่นถือเป็นข่าวดีนะ”

“ขอบคุณครับ” ผมพูดแล้วทิ้งช่วงเงียบเพื่อรอการตอบรับจากปลายสาย รู้ดีว่าการเกริ่นหัวข้อสนทนายุติลงตรงนี้

“เอ้อ ผมกำลังคิดอยู่ว่าคุณจะพอมาช่วยงานที่โรงพยาบาลเราได้ไหม”

ถ้าผมเลิกคิ้วได้สูงกว่าที่ทำไปตอนแรก ผมคงทำไปแล้ว แต่ผมก็ทำได้แค่เลิกคิ้วในระดับเดิมด้วยความประหลาดใจ ก็ตอนนี้ผมถูกสั่งพักงานอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วอยู่ๆ จะโทรมาให้ผมกลับไปทำงานเนี่ยนะ?

“คือ… ผมก็รู้ว่าสภาพร่างกายคุณมันไม่เหมือนเดิม แล้วคุณก็ถูกสั่งพักงานอยู่ตอนนี้” ปลายสายว่าราวกับเข้าใจความเงียบที่เกิดขึ้นจากผม “แต่เรากำลังคิดจะจ่ายให้คุณเป็นรายชั่วโมงน่ะ แล้วก็แค่งานนี้ สั้นๆ เท่านั้นเอง งานมันค่อนข้างด่วนน่ะ แล้วคนของเราก็งานล้นมือ”

ผมพอจะเดาสาเหตุนั้นได้ มีอดีตเพื่อนร่วมงานผมคนหนึ่งเพิ่งลาออกไปเพราะจะย้ายไปอยู่ที่รัฐอื่น นั่นอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผมโดนตามตัวอยู่นี่

“คุณคิดว่าพอจะมีเวลามาช่วยเราได้ไหม แล้วร่างกายคุณจะไหวรึเปล่า”

“ผมไปได้ครับ เดฟ” ผมว่า ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “จะให้ผมไปตั้งแต่ตอนนี้เลยไหม อาจจะต้องใช้เวลาเดินทางสักชั่วโมง รถติดมากเลยให้ตาย”

“ได้ๆ ถ้าคุณสะดวกล่ะก็มาเลย เดี๋ยวเรามาคุยเรื่องสัญญาระยะสั้นนี่กัน ส่วนพวกเครื่องแบบ… อืม เรามีทุกอย่างอยู่ในล็อกเกอร์คุณอยู่แล้วนี่ ใช่ไหม หรือถ้าขาดเหลืออะไรเดี๋ยวผมจะช่วยดูให้”

“ขอบคุณครับ งั้นอีกสักชั่วโมงเจอกัน” ผมว่าก่อนจะกดตัดสาย

เดินเข้าร้านซับเวย์เพื่อหาข้าวกลางวันติดมือก่อนจะตรงดิ่งไปเรียกแท็กซี่ ออกมาจากบ้านไม่ทันไรก็มีงานเข้าเลย แต่ผมไม่รังเกียจหรอก อันที่จริง ผมอยากจะกลับไปทำงานของตัวเองให้ได้ใจจะขาด





 


กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลลอยเข้ามาแตะจมูก มันเหมือนกลิ่นยาผสมกับแอลกอฮอล์อ่อนๆ ให้ความรู้สึกอนามัยพอๆ กับที่ชวนให้รู้สึกสยองหรือสลดหดหู่ตามมาด้วย ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะประสบพบเจอเหตุการณ์แบบไหนในโรงพยาบาลมา และเหตุการณ์ไหนจะฝังลึกอยู่ในใจคุณที่สุด

พื้นที่ทำงานของผมถูกแยกออกมาจาตึกหลักที่เอาไว้รักษาพวกคนไข้ อันที่จริงการทำงานของเรามันก้ำกึ่งระหว่างโรงพยาบาลกับสำนักงานชันสูตรศพ คือเหมือนว่าที่จริงแล้วเนื้องานจะมาจากทางฝั่งของสำนักงานชันสูตรศพมากกว่า แต่สำหรับคนที่ทำงานจะเซ็นสัญญาว่าจ้างผ่านทางโรงพยาบาล ก็แค่ความยุ่งยากซ้ำซ้อนของระบบเท่านั้นล่ะนะ

“เฮ้ ออสติน” เดวิด รอยล์ผู้เป็นคนโทรตามเขาเข้ามาทักทาย สีหน้าเขาดูโทรมเล็กน้อยเหมือนคนอดนอน “ดีจังที่คุณมาได้ กำลังต้องการกำลังเสริมเลย”

“หลายคดีเหรอครับ ช่วงนี้” ผมถามกลับ ก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าโต๊ะโล้นๆ สีขาวที่มาคู่กับเก้าอี้สองตัว โซฟายาวโทรมๆ ที่อยู่ถัดไปและตู้เย็นอีกบานสำหรับตุนข้าวของยามดึก

ช่างเป็นบรรยากาศที่น่าคิดถึงเสียจริง

ผมกับรอยล์ใช้เวลาครู่หนึ่งในการเซ็นสัญญาที่จะให้เงินเป็นรายชั่วโมงที่ว่า งานของผมมารอท่าอยู่แล้ว และมันก็นอนแอ้งแม้งให้ผมไปจัดการผ่า ชันสูตร พิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยปฏิกิริยาทางเคมีหรือจะเรียกไงก็แล้วแต่

ผมเดินสวนกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง แม็กซ์ ชู เขาชายหนุ่มชาวอเมริกาเชื้อสายเอเชียที่ค่อนข้างช่างพูด เจ้าตัวเลื่อนมือมาตบบ่าผมก่อนจะพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ

“เฮ้ ว่าไง ออสติน เดฟเป็นคนตามนายให้มาดูศพล่าสุดล่ะสิ ดีแล้ว ฉันกำลังคิดอยู่ว่าอาจจะต้องอยู่โยงทั้งคืนถ้าไม่ได้ใครมือดีๆ มาช่วย ว่าแต่ร่างกายนายโอเคแล้วเหรอ หายดีหรือยัง แล้วชีวิตช่วงนี้เป็นไงบ้าง หัวใจที่เพิ่งผ่าตัดไปใช้การดีไหม”

“เฮ้ รู้อะไรไหม” ผมพูดแทรกด้วยน้ำเสียงยียวน “ผมเคยมีแฟนนะ แล้วแฟนผมก็ชอบทีละหลายๆ คำถามแบบนี้ ไม่เคยถามทีละอย่างสักที”

“โอเค ขอโทษด้วยแล้วกันที่อยากรู้อะไรหลายอย่างพร้อมๆ กันทีเดียว”

“ศพนี้เป็นไง”

“โดนข่มขืนแล้วฆ่าน่ะ”

ผมหันขวับกลับไปมองคนพูดทันที ชูทำหน้าอึกอักนิดหนึ่ง เขารู้เรื่องที่ผมเคยโดนข่มขืนมา แล้วก็รู้ด้วยว่าผมไม่นึกอยากทำงานที่มาจากคดีแบบนี้เท่าไรนัก หากชายหนุ่มเชื้อสายเอเชียก็ยักไหล่ในที่สุด

“ช่วยไม่ได้นี่หว่า งานของพวกเรามันเลือกไม่ได้นี่ ถูกไหม”

อืม ก็จริงของเขาแหละนะ

“เฮ้ คิดในแง่ดีสิ อย่างน้อยนายก็ไม่เจอแจ็คพอตอย่างฉัน” ชูพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “อาทิตย์ก่อนนะ มีคนไปเจอศพผู้ชายคนหนึ่งระหว่างที่กำลังพยายามโบกรถอยู่กลางพื้นที่โล่งที่ไม่มีบ้านหรือสักอย่างแถวนั้น มาระบุได้ทีหลังว่าเป็นคนเดียวกับที่หายตัวไปเมื่อฤดูร้อนปีก่อน แต่ตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรให้พิสูจน์แล้วนอกจากกระดูก ก็แน่ล่ะ ลองโดนฆ่าแล้วเอาศพไปวางที่โล่งแจ้งแบบนั้นดูสิ พวกสัตว์อะไรแถวนั้นคงจะปล่อยเอาไว้หรอก แล้วนายนึกภาพดิ สัตว์พวกนั้นมันจะเข้าไปทางตูดเพราะเป็นทางเข้าที่นุ่มที่สุด เสร็จแล้วพวกมันก็--”

“ฉันรู้น่า แม็กซ์” ผมพูดอย่างเหลืออด ดีใจขึ้นมาเลยที่กินข้าวกลางวันอิ่มไปพักใหญ่แล้ว หมอนี่จะเอารายละเอียดน่าขนลุกของงานตัวเองมาบอกผมทำไมเนี่ย ต้องแบ่งปันความขนหัวลุกให้ชาวบ้านรับรู้ด้วยใช่ไหม “เอาของรายฉันดีกว่า เป็นยังไงมายังไง”

“ของนาย… จากที่ดูแล้วก็ฟังมา เบื้องต้นน่าจะตายมาได้สักสองวันก่อนแล้ว”

ผมพยักหน้า เดินตามเพื่อนร่วมงานไปยังสถานที่ที่ศพถูกจัดวางอยู่ กลิ่นของมันยังไม่แย่มากถ้าเทียบกับศพที่ตายมานานกว่านี้แบบที่เคยเจอมา ใบหน้าของหล่อนคล้ำ ร่างเปลือยเปล่าที่ถูกผ้าคลุมไว้ซีดขาว บริเวณหน้าท้องโดนแทงทะลุไปอีกฝั่ง

ผมเคยมองดูศพได้ด้วยสายตาว่างเปล่า ราวกับตัวเองเป็นเพียงกล้องถ่ายรูปตัวหนึ่งที่ไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกร่วมใดๆ ในการวิเคราะห์และการทำงานของผม ผมใช้เวลาหลายปีนะกว่าจะทำตัวไร้อารมณ์แบบนั้นได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว

“สงสัยหล่อนคงโดนฉุดระหว่างเดินทางกลับบ้าน มันมืดแล้ว แล้วผู้หญิงตัวคนเดียวเดินบนถนนเปลี่ยวๆ ตอนกลางคืนน่ะ ปลอดภัยซะที่ไหน” ชูที่เดินตามมาด้วยตั้งข้อสันนิษฐาน ผมรู้สึกว่ามือไม้ของตัวเองเย็นเยียบขึ้นมาทันที ขอเปลี่ยนศพของหล่อนเป็นกระดูกที่ชูชันสูตรไปเมื่ออาทิตย์ก่อนแทนได้ไหม?

ผมไล่ชูกลับไปทำงานของตัวเองก่อนจะเริ่มลงมือตรวจศพขั้นพื้นฐาน มองปราดเดียวก็ดูออกว่าน่าจะเสียชีวิตมาสักสองวันแล้ว แผลที่หน้าท้องเหวอะหวะน่าสะอิดสะเอียน บ่งบอกให้รู้ว่าฆาตกรไม่ได้ลงมือแทงแค่ครั้งเดียว แต่คงกระหน่ำแทงซ้ำไปมาอย่างแค้นเคือง หรือไม่งั้นมันก็แค่โรคจิตเฉยๆ เรื่องนั้นไม่ใช่หน้าที่ผมที่ต้องหาคำตอบ เป็นหน้าที่ของหน่วยสืบสวนต่างหาก

“อึก…” ผมได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายลงคอเสียงดัง พยายามสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อควบคุมอาการหวาดหวั่นที่ค่อยๆ ปะทุขึ้นมา


ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]



ผมแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังอะไรอยู่ ผมตรวจดูสภาพศพโดยรวมและเริ่มลงมือขีดเขียนลงในแฟ้มที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว ทุกอย่างรอบตัวเงียบสงบราวกับมีผมอยู่เพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ ราวกับว่าศพของหญิงสาวคนนี้ไม่มีใครเหลืออีกนอกจากตัวผม

“เอาล่ะ” ผมพูดกับตัวเองเสียงเบาเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ กัดริมฝีปากล่างนิดหนึ่งตอนตัวเองเริ่มลงมือทำเรปคิต ตรวจดูช่องคลอดและทวารหนัก มันทำให้ผมหดหู่ใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ค้นพบว่าด้านในนั้นยับเยินขนาดไหน

ไม่เพียงแค่นั้น ตรงบริเวณหน้าอกที่อยู่เหนือบาดแผลจากการโดนแทงมีรอยช้ำขนาดใหญ่ปรากฎให้เห็น ผมบังคับให้ตัวเองจ้องมองรอยช้ำนั้นเพื่อที่จะได้เรียกความสนใจของตัวเองให้ไปอยู่ที่อื่นแทน ได้ยินเสียงหัวใจในอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้น มือเริ่มเย็นเฉียบ ทันใดนั้นเองสายตาผมก็ไปสะดุดกับอะไรเข้า เหมือนรอยแผลเล็กๆ ที่อยู่บริเวณข้อพับแขน เหมือนรอยตกสะเก็ด เมื่อกี้ผมไม่ทันดูตรงนี้ให้ละเอียดเหรอ?

ผมขยับแขนของร่างที่ไร้วิญญาณขึ้นมา มองตรงบริเวณใต้รักแร้และก็ได้เห็นกับบาดแผลที่ว่านั่นทันที บริเวณต้นแขนของหญิงสาวผมบลอนด์ที่นอนตัวแข็งเป็นหินคนนี้ถูกสลักตัวเลขห้าหลักด้วยของมีคมประเภทมีด

ผมสะดุ้งเฮือกสุดตัว อวัยวะทุกส่วนของร่างชาวาบ ยังไม่ทันที่สมองจะได้ประมวลผลอะไรไฟที่อยู่บนเพดานทั้งหมดก็ดับวูบลงราวกับรอช่วงเวลานี้อยู่ ได้ยินเสียงของชูโวยวายมาจากที่ใกล้ๆ แต่ช่างห่างไกลเหลือเกินในความรู้สึก เหลือบมองโคมไฟที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ มันดับลงด้วยเช่นกัน มือของผมยังไม่ปล่อยแขนของเอ็มม่า เดนนิสออกราวกับใช้มันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว

อะไร เกิดอะไรขึ้น? ไฟดับงั้นเหรอ? แล้วไอ้ที่ผมเห็นเมื่อกี้นี้มันอะไรกัน ตัวเลขห้าหลักนั่น

แบบนี้มันก็เหมือนกับ…

“ออสติน” เสียงเรียกของชูดังมาให้ผมได้ยิน ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นไฟทั้งหมดก็กลับมาสว่างไสวเหมือนเดิม ผมหันกลับไปมองเพื่อนร่วมงานที่เดินมาหาผม ผมรีบปล่อยแขนของศพตรงหน้าทันที “ตกใจหมดเลย เห็นนายเงียบไป เป็นอะไรรึเปล่า”

“เป็นอะไรล่ะ ก็แค่ไฟดับเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ” ผมว่า ควบคุมไม่ให้เสียงสั่น กำลังชั่งใจว่าจะบอกชูเรื่องตัวเลขที่เพิ่งเห็นตอนนี้เลยดีไหม แต่ยังไม่ทันได้เปิดปาก เจ้าคนพูดมากก็ตัดบทเสียแล้ว

“ไม่มีปัญหาอะไรก็ดีล่ะ ไฟมาแล้วด้วย แต่ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ฉันเห็นนะว่าที่ตึกกลางไฟยังสว่างโร่อยู่เลย โคตรจะสองมาตรฐานเลยว่ะ ทางนั้นมีไฟสำรอง มีเครื่องปั่นไฟพร้อม แล้วนี่เห็นทางนี้เป็นอะไร ติ่งที่ไม่มีความสำคัญเท่าฝั่งโน้นเรอะ น่าโมโหชะมัด”

ผมไม่อยากจะค้านว่ามันก็ถูกต้องแล้วที่ต้องให้ความสำคัญกับฝั่งอาคารกลางก่อน เพราะทางนั้นมีคนไข้เยอะกว่า แต่ก็รู้ดีนิสัยเพื่อนดีว่าเจ้าตัวชอบบ่นไปเรื่อยเปื่อยเลยไม่ได้เปิดปากพูดอะไร ที่สำคัญก็คือ… ไอ้ที่ผมเห็นก่อนหน้านี้

ผมขยับแขนของเอ็มม่า เดนนิสอีกครั้ง พลิกมันขึ้นดูรอยกรีดที่อยู่ใต้นั้น ตัวเลขห้าตัวที่ถูกเขียนด้วยเลือดออกสีซีดเพราะระยะเวลาที่ศพถูกทิ้งเอาไว้

01785

ผมสงสัยว่ามันหมายความว่าอะไร หรือมันอาจจะไม่มีความหมายใดๆ เลยก็ได้ เหมือนเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนที่ฆาตกรตัวเลขอาละวาด มันทิ้งตัวเลขไว้บนตัวศพ แต่ไม่เคยมีใครเข้าใจความหมายของเลขพวกนั้นจริงๆ และเมื่อฆาตกรคนที่ว่าตายไปแล้วก็คงไม่มีใครจะได้รู้

ถ้ามันตายไปแล้วจริงๆ น่ะนะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์ของไคล์ทันที เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังอยู่ในหูผมสี่ครั้งจากนั้นจึงมีเสียงกดรับ น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่หนุ่มดูแปลกใจไม่น้อยทีเดียวที่ผมติดต่อไป

“ฮัลโหล ว่าไง ออสติน มีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า”

ผมกลั้นใจไม่โพล่งถามเขาออกไปว่า ‘นายแน่ใจนะว่าเมื่อสามปีก่อน นายฆ่าฆาตกรตัวเลขถูกคน’ เขายังต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเรื่องนี้อยู่เลย และสิ่งที่ผมกำลังจะบอกเขาต้องทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงแน่

“ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล” ผมเริ่มเล่าแต่แรก หากอีกฝ่ายดูตกใจ

“เกิดอะไรขึ้น---”

“เดี๋ยว ไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่โดนตามตัวมาช่วยงานชั่วคราวน่ะ ฉันกำลังดูศพสาวผมบลอนด์คนหนึ่ง หล่อนชื่อเอ็มม่า เดนนิส อายุ 27 เพื่อนร่วมห้องหล่อนไปหาตำรวจแล้วบอกว่าหล่อนไม่ได้กลับบ้านมาตั้งแต่สองวันที่แล้ว”

ปลายสายเงียบ คงกำลังซึมซับข้อมูล แต่ผมเดาว่าน้ำเสียงตื่นๆ ของผมคงพอทำให้ไคล์เดาสิ่งที่ผมจะพูดต่อจากนี้ได้

“ฉันเจอตัวเลขห้าหลักบนร่างกายหล่อน”

“....ชิบหายเอ๊ย”

ใช่ แน่นอนสิ ฉิบหายกันหมดแน่

“นายตรวจดูศพ---” น้ำเสียงเขาคอนข้างระมัดระวัง “ที่โดนข่มขืนมา”

“อืม ใช่”

ผมรู้สึกได้เลยว่าเสียงเขาอ่อนลง มีร่องรอยความเห็นอกเห็นใจอยู่ในนั้น “นายไม่เป็นไรนะ ออสติน?”

“ไม่เป็นไรหรอก” ผมว่า ได้ยินเสียงตัวเองสูดหายใจดังเฮือกแล้วนึกขัน ตรงไหนที่ไม่เป็นไรกัน มือผมชื้นไปด้วยเหงื่อจนโทรศัพท์เปียกไปหมดแล้ว “นายจะมาดูไหม ไคล์”

“ฉันจะไป อาจจะใช้เวลาสักชั่วโมงกว่าจะถึง มีใครรู้เรื่องนี้รึยัง”

“ยัง ฉันโทรบอกนายก่อน คิดว่านายคงอยากดูด้วยตาตัวเอง… แต่เดี๋ยวฉันต้องบอกแม็กซ์กับเดฟนะ นายก็รู้ว่านี่มันหมายความว่าอะไร”

“ฉันจะรีบไป” เขาว่า จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ผมเองก็เช่นกัน รู้สึกเหมือนน้ำลายเหนียวคอขึ้นมาอย่างประหลาด มองร่างที่ไร้วิญญาณของหญิงสาวตรงหน้า รู้สึกถึงความผิดพลาดที่เราทั้งคู่ทำเหมือนกัน “นายโอเคจริงๆ ใช่ไหม ออสติน?”

“อืม” ผมว่า ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ “นายรีบๆ มาเถอะ ฉันเป็นห่วงนายมากกว่าอีกตอนนี้ หลังจากนี้ต้องมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกเป็นพรวนแน่”

“เราจะคุยกันเรื่องนั้นตอนฉันไปถึง”

ฟุบ

“อื๊อ?” ผมเผลออุทานออกมาเมื่อบรรยากาศรอบตัวมืดสนิทลงอีกครั้ง ดูหมือนไฟจะดับอีกแล้ว ดับได้ดับดีจริงๆ สิน่า

“เกิดอะไรขึ้น ออสติน”

“ไฟดับน่ะ เมื่อกี้ก็ดับไปแล้วหนหนึ่ง” ผมพูดเป็นเชิงบ่น ก้าวเท้าไปที่ชั้นวางแบบติดล้อเลื่อนเพื่อดันของเข้าไปด้านในไม่ให้เผลอไปโดนอะไรให้บาดมือเข้า

รอบนี้ไม่มีเสียงโวยวายของชู มีแต่เสียงลมหายใจของผมสลับกับเสียงฝีเท้าของตัวเองสลับกัน

“แล้วไฟสำรองล่ะ?” ปลายสายถามขึ้น แสงจากหน้าจอโทรศัพท์พอจะช่วยให้เห็นภาพตรงหน้าเลือนรางบ้าง อยู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ความเงียบที่เข้ามาโอบล้อมทำให้รู้สึกหวาดหวั่นแปลกๆ ผมก้มลงมองพื้นเพื่ระวังไม่ให้ตัวเองไปเหยียบหรือสะดุดอะไรที่ไม่ควรเข้า

“แป๊บหนึ่งนะ” ผมพูดกับคนปลายสาย ละมือถือออกจากหู

ชูอยู่ที่ห้องข้างๆ นี่ ผมควรจะไปหาเขา แต่ปกติหมอนั่นน่าจะโวยวายให้ได้ยินแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงยังเงียบอยู่อีกนะ

“แม็กซ์ นายอยู่---” ผมพูดออกมาได้แค่นั้น มือหนาของใครบางคนปะกบลงบนจมูกกับปากของผมอย่างรุนแรง ผมสะดุ้งสุดตัว พยายามจะส่งเสียงร้องพร้อมๆ กับผลักคนที่อยู่ด้านหลังออก แต่วินาทีถัดมาร่างกายของผมก็อ่อนเปลี้ยด้วยกระแสไฟฟ้าที่กระแทกเข้ามาผ่านร่าง

ความกลัวแล่นวาบเข้ามาทันที ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง ตัวชาไปหมดขณะที่ร่างกายค่อยๆ สูญเสียการควบคุม เซไปตามแรงที่คนด้านหลังผลักให้ลงไปอยู่ในอ้อมแขนเขา

ผมจำความรู้สึกนี้ได้ ความรู้สึกยามที่กระแสไฟฟ้าแล่นปราดเข้ามาในร่าง สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ตอนที่ร่างกายกระตุกอย่างทรมาน แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่โดนผู้ชายคนนั้นเอาตัวไปต่างหาก

ตุบ

ร่างของผมร่วงไปอยู่อ้อมแขนของคนคนนั้นอย่างง่ายดาย ยังพอมีสติรู้สึกตัวตอนที่เขาช้อนร่างของผมอุ้นขึ้นพาดบ่า แต่มันเลือนรางเต็มที ทุกอย่างพร่ามัวไปหมดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว

วินาทีนั้น ผมนึกอะไรไม่ออก สิ่งที่รับรู้เพียงอย่างเดียวคือความกลัวของตัวเอง

ไม่เอานะ… ผมอยากกรีดร้อง อยากอ้อนวอน อยากดิ้นหนี แต่ร่างกายเป็นไปในทิศทางตรงข้าม เรี่ยวแรงทั้งหมดค่อยๆ หายไป แค่กระดิกนิ้วตอนนี้ผมยังไม่มีปัญญาทำด้วยซ้ำ

ไม่เอาแบบนั้นแล้วนะ

แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบลงราวกับโทรทัศน์ที่โดนกระชากปลั๊กออกกะทันหัน



 


เสียงพูดคุยของใครบางคนดังแว่วมาให้ได้ยินราวกับมาจากที่ไกลๆ เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่คุ้นเคยดังผ่านโสตประสาทเข้ามา ผมพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของตัวเองขึ้นเพื่อมองหาคนคนนั้น ฝ้าสีขาวของโรงพยาบาลเป็นอย่างแรกที่ผมได้เห็น สัมผัสของเตียงคนไข้ที่รองรับตัวผมไว้บอกยากว่ามันนุ่มหรือแข็งจริงๆ กันแน่ แสงไฟสาดส่องเข้ามาทำให้ตาพร่าไปหมด อยากจะปิดตากลับลงไปอีกรอบแต่ผมก็ฝืนลืมตาขึ้นมาจนได้

ใบหน้าเคร่งเครียดของไซม่อนปรากฎขึ้นมาให้เห็นแทบจะในทันที เจ้าตัวถลาเข้ามาจนหน้าแทบจะติดกับหน้าผมอยู่แล้ว

“ออสติน” น้ำเสียงร้อนรนทีเดียว “อาการเป็นยังไงบ้างครับ ปวดหัวไหม ให้ผมไปตามหมอ...”

“นี่ คุณ อย่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้คนป่วยขนาดนั้นสิ” รอบนี้เป็นเสียงของไคล์ ผมค่อยๆ หันกลับไปมองเขาอย่างแปลกใจ ก่อนจะต้องแปลกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แบบพับได้ของโรงพยาบาล

วินเซนต์ เลสเตอร์ที่เป็นทนายฝ่ายตรงข้ามของไคล์นี่นา… เจ้าตัวกำลังกดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตัวเองด้วยสีหน้าราบเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาเกินเหตุของเขาดูไม่เหมาะกับเก้าอี้นั่นจริงๆ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ผมถามอย่างงุนงง เห็นไคล์กับไซม่อนหันไปมองหน้ากันอย่างลำบากใจ ไซม่อนเป็นฝ่ายหันกลับมาตอบเสียงเครียด

“คุณโดนใครสักคนจับตัวไป”

“อะไรนะ” ผมถามย้อนอย่างสับสน หากความทรงจำที่โดนชายปริศนาช็อตไฟฟ้าใส่ทะลักเข้ามาในหัวทันทีที่พูดออกไป

ผมตัวชาวาบ หน้าซีดลงอย่างรวดเร็ว รู้สึกเหมือนอุณหภูมิภายในห้องลดต่ำลงอย่างเฉียบพลัน

“อึก” ผมยกมือขึ้นกอดอก ห่อตัวลงเพราะความหนาวที่น่าจะมาภายในมากกว่าภายนอก ไซม่อนขยับเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมสันแสดงออกว่าเป็นห่วงผมชัดเจน

“คุณไหวรึเปล่า ออสติน เรียกหมอมาดีกว่าไหมครับ”

ผมส่ายหน้าเบาๆ เรียกหมอมาก็เท่ากับว่าผมต้องยุติการสนทนาทั้งหมดนี่ลง ผมหันไปมองไคล์ที่มองมาทางผมด้วยสีหน้าเป็นห่วงไม่แพ้กัน มองวินเซนต์ เลสเตอร์ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ผมอยากจะเห็นหน้าในช่วงเวลาแบบนี้ ไคล์มาอยู่ที่นี่ก็พอจะเข้าใจได้หรอก แต่ไอ้ทนายเลือดเย็นที่กำลังนั่งเล่นมือถือเหมือนไม่สนใจอะไรใครอยู่นี่มาได้ยังไงวะ

“พวกคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“ถ้าจะให้ตอบตรงที่สุด คงต้องบอกว่าขับรถมา” เขาว่าโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยซ้ำ ผมอ้าปากค้าง นี่ถ้าไม่ใช่ว่าร่างกายยังล้าๆ อยู่คงโดดลงไปถีบหน้าสวยๆ นั่นสักรอบ

“วิน” ไคล์หันไปเอ็ดทนายหนุ่มด้วยน้ำเสียงตำหนิ ผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาตอนที่เห็นวินเซนต์เบ้ริมฝีปากนิดหนึ่งเหมือนเด็กที่ไม่ชอบใจที่โดนผู้ใหญ่ดุ นี่ตกลงสองคนนี้ใช่คนเดียวกับที่ไปเชือดเฉือนกันที่ศาลจริงๆ เหรอ

ผมหันกลับไปมองไคล์อีกครั้ง นึกขึ้นได้ว่าเขามาทำไมที่นี่ จริงสิ… เรื่องรอยกรีดที่อยู่ใต้แขนของเอ็มม่า เดนนิส ผมต้องให้เขาดูศพ

“แล้ว… ศพ…” ผมพูดอย่างนึกขึ้นได้ถึงสาเหตุที่ไคล์มาอยู่ที่นี่ หากเจ้าตัวรีบส่ายหน้าทันทีพร้อมกับส่งสัญญาณ พยักเพยิดไปทางวินเซนต์เป็นเชิงบอกว่า ‘อย่าเพิ่งพูดตอนนี้ หมอนี่อยู่ที่นี่ด้วย’ อ่า นั่นสินะ ถ้าเกิดอีกฝ่ายรู้เรื่องศพที่อาจเป็นฝีมือของฆาตกรตัวเลขเข้าล่ะก็ ไคล์ต้องลำบากกว่าเดิมในศาลแน่ๆ แค่นี้ที่ต้องประมือกับวินก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว

ผมบลอนด์ทองปรายตามองมาทางพวกเราอย่างเคลือบแคลงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไซม่อนเริ่มเลื่อนมือมาลูบใบหน้าผมพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ออสติน ตัวคุณ--”

“!!!” ผมผงะถอยหนีสัมผัสนั้นทันทีด้วยความตกใจ อีกฝ่ายที่ยื่นมือมาก็ดูตกใจไม่น้อยไปกว่าผมเช่นกัน อ่า… ให้ตายสิ กลับมาอีกแล้ว อาการบ้าๆ นี่ มันยังไม่หายขาดจริงๆ สินะ

“โทษทีครับ” กลับเป็นไซม่อนเสียเองที่เป็นฝ่ายขอโทษ เขาชักมือกลับอย่างรู้หน้าที่ “คุณคงกำลังตกใจ”

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้อง--” ผมขยับตัวนิดหนึ่ง จังหวะนั้นเองที่ผิวตรงขาไปสัมผัสกับเนื้อผ้าของกางเกงโรงพยาบพอดี ความรู้สึกเจ็บเหมือนมีอะไรบาดแล่นแปลบขึ้นมา

“อูย” ผมร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ ล้วงมือไปเลิกกางเกงยางยางยืดขึ้นเพื่อหาสาเหตุของความเจ็บเมื่อครู่ ไซม่อนเลื่อนมือลงมาจับมือข้อมือผมไว้เป็นเชิงห้าม ร่างผมกระตุกนิดหนึ่งเพราะสัมผัสกะทันหันนั่นของเขา แต่ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยรอบนี้

ผมหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ จากหางตา เห็นวินเซนต์เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ตรงมาทางนี้แทนแล้ว ดูเหมือนจะอยากเข้าร่วมวงสนทนาประหลาดๆ นี่ด้วย

“ทำอะไรน่ะ ไซม่อน ปล่อยผมนะ”

“ผมว่าคุณอย่าเพิ่ง… อย่าเพิ่งรู้ตอนนี้เลย”

“นี่คุณพูดเรื่องอะ---”

“มีอะไรเหรอครับ” วินเซนต์ที่ก้าวเข้ามาประชิดขอบเตียงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจบ้าง ท่าทางกระตือรือร้นของเขาทำให้ผมรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก

“คุณมีแผลที่ต้นขา” ไซม่อนบอกเรียบๆ ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือผม “มันไม่ใช่อะไรร้ายแรงหรอกครับ แต่อย่าเพิ่งไปแตะต้องมันดีกว่า”

ใจผมกระตุกวูบทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่านั้น ผมมีเซ็กส์กับไซม่อนมาหลายครั้งก็จริง บางทีเขาอาจจะสังเกตเห็นแผลที่อยู่บนต้นขาผมมานานแล้วก็ได้ แต่เขาก็ไม่เคยพูดถึงมันและนั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจไม่น้อยทีเดียว

แต่ตอนนี้… มันชัดเจนแล้วว่าเขาเห็นแผลที่อยู่ตรงต้นขานั่นของผม แล้วไอ้ความเจ็บแปลบๆ ตรงนั้นมันอะไรกัน มันเป็นแผลเป็นที่แห้งสนิทไปนานแล้ว ไม่มีทางที่มันจะกลับมาเจ็บซ้ำ---

นอกจากว่า… มันจะเป็นแผลใหม่

ผมใช้จังหวะที่ไซม่อนผ่อนแรงที่ยึดข้อมือผมไว้อยู่กระชากผ้าออก เลิกกางเกงขึ้นดูแผลเก่าที่อยู่บริเวณต้นขาข้างซ้าย ไม่สนว่าวินเซนต์จะยังยืนอยู่ตรงนั้น ผมไม่อายเรื่องจะโดนผู้ชายด้วยกันเห็นอยู่แล้ว หากเมื่อเห็นแผลที่ถูกของมีคมกรีดทับอยู่บนแผลเก่าที่ผมมี ผมก็ต้องชะงักไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกอยากจะกรีดร้องตะโกนออกมาให้สุดเสียงอย่างอัดอั้น แต่ทุกอย่างมันจุกอยู่แค่ในลำคอ

วินเซนต์ที่ยืนอยู่ข้างๆ และเห็นแผลใหม่ของผมชะงักไปอย่างตกใจ เขาเดินตรงดิ่งไปที่ไคล์ก่อนจะพูดกับเจ้าหน้าที่หนุ่มด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

“ไหนคุณมั่นใจนักหนาไงว่าคนที่คุณฆ่าไปเป็นฆาตกรตัวเลขน่ะ หือ?”

ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง มองต้นขาของตัวเองด้วยสีหน้าที่เริ่มเย็นวาบ

มีแผลใหม่ที่ต้นขา ซึ่งเป็นรอยจากการถูกของมีคมกรีดทับรอยแผลเก่าที่แห้งสนิทไปแล้วเป็นตัวหนังสือ

150819

มันสลักเอาไว้แบบนั้น ผมรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเมื่อจ้องต้นขาของตัวเองนานๆ เพราะในหัวรับรู้แล้วว่ามีแผลใหม่ปรากฎขึ้นอยู่บนนั้น

ว่าแต่… ตัวเลขพวกนี้มันอะไรกัน ทำไมมันถึงรู้สึกคุ้นๆ อย่างบอกไม่ถูก เหมือนมันติดอยู่แค่นิดเดียว… แต่ก็คิดไม่ออก

“อะ…” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแห้งผาก ความทรงจำที่มีต่อแผลเป็นรอยเดิมทะลักเข้ามาในหัวแทน

ผมฟุบหน้าลงบนเข่าที่ชันขึ้นมาอย่างหมดแรง ราวกับว่าความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เจอมาเพิ่งมาออกฤทธิ์เอาตอนนี้

“ออสติน” ไซม่อนเอ่ยเรียกผมอย่างเป็นห่วง มือแตะลงบนบ่าผมอย่างปลอบประโลม “ออสตินครับ”

ผมไม่ได้ตอบรับคำเรียก หากมือเย็นเฉียบของตัวเองเลื่อนไปบีบมือของไซม่อนแน่นราวกับต้องการกำลังใจ

สติของผมค่อยๆ พร่าเลือนลงไปอีกครั้ง อาการปวดหัวจี๊ดที่แล่นเข้ามาทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก รับรู้ได้เพียงสัมผัสแผ่วเบาจากมือหนาที่ขยับร่างผมให้ล้มลงไปนอนบนหมอน

“ไซม่อน” ผมเรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว ไม่สนว่าจะยังมีคนนอกอีกสองคนอยู่ในห้อง ร่างของผมกำลังสั่น “ผมกลัว”

ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ แล้วน้ำตามันก็เหมือนจะล้นลงมา





-----------------------------------------------
Talk: โอยยย ยาวมากเลยตอนนี้//คลาน// ดูเรื่องนี้แบบ ซับซ้อนเนอะ อะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะมากมาย ถถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านมากนะคะ! แล้วเจอกันตอนต่อไปน้าาาา >3<
#ไซออส #sweetsanc

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ชักจะไม่ sweet เข้าไปทุกทีละนะ อ่านไประแวงไปตลอด ๆ

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
ว่าแล้วว่าเรื่องนี้มันต้องไม่ง่าย
เริ่มรักก็จะให้เลิกรักมันยาก แต่หลายอย่างน่าสงสัยจริงๆแหละ
ขนาดเราเอะใจไว้แล้ว พอมาอ่านจริงๆก็แอบตกใจ
ตอนนี้อยากให้ออสตินใจเย็นๆ แล้วไปคุยกันให้รู้เรื่องก่อน
อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเด้อ กังวลจริงๆ  :ling1: :ling1:

น่านนนสิ มีแต่เรื่องน่าสงสัยเนอะะะ ไป ออสติน มีคนแนะนำให้ไปคุยกับไซม่อนให้รู้เรื่อง อย่าเพิ่งโวยวายนะคุณหมอ ถถถถถถถ

เราไม่ไว้ใจไซม่อนมาแต่แรกแล้วววว โอ้ยยยยยยย คุณหมอหญิง ช่วยเคาะสติออสตินทีค่าาา :serius2:

โธ่ อย่าพูดแบบนั้นสิค้าาา ไซม่อนเป็นพระเอกนะ! 5555555

ชักจะไม่ sweet เข้าไปทุกทีละนะ อ่านไประแวงไปตลอด ๆ

เหมือนจะไม่สวีทมานานแล้วนะคะ จริงๆ ก็... 55555555555

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เอาละสิ ไหนว่าไซม่อน ยิงฆาตกรตายไปแล้ว  o22

ทำไมยังมีศพถูกข่มขืน พร้อมหมายเลขสลักไว้ที่ศพอีก   :katai1:

แล้วทำไมฆาตกร ต้องมาจับตัวออสติน และสลักเลขที่ขาออสตินด้วย  :fire:
ออสติน ต้องมีอะไรเกี่ยวเนื่อง มาจากการพิสูจน์หลักฐานศพหรือเปล่า   o13

มันน่าสงสัยที่คริสเตียน คนรักเก่าทำไมต้องข่มขืนออสติน  :katai1:
แล้วไซ่ม่อน มาพูดเรื่องเจ้าของหัวใจที่ออสตินได้มา เรื่องจริงหรือเปล่า  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 19:23:01 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ปริศนาธรรมวันนี้ .........
งงเด้อ ยิ่งอ่านยิ่งน่าสงสัย
ทุกคนดูน่าระแวงไปหมด
ตอนนี้สงสัยทุกคนที่อยู่ใกล้ๆออสติน
จำไว้ เรากลุ่มพิทักษ์ออสติน  :z6:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กลัว :ling3:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
เอาละสิ ไหนว่าไซม่อน ยิงฆาตกรตายไปแล้ว  o22

ทำไมยังมีศพถูกข่มขืน พร้อมหมายเลขสลักไว้ที่ศพอีก   :katai1:

แล้วทำไมฆาตกร ต้องมาจับตัวออสติน และสลักเลขที่ขาออสตินด้วย  :fire:
ออสติน ต้องมีอะไรเกี่ยวเนื่อง มาจากการพิสูจน์หลักฐานศพหรือเปล่า   o13

มันน่าสงสัยที่คริสเตียน คนรักเก่าทำไมต้องข่มขืนออสติน  :katai1:
แล้วไซ่ม่อน มาพูดเรื่องเจ้าของหัวใจที่ออสตินได้มา เรื่องจริงหรือเปล่า  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ดูมีปริศนามากมายเหลือเกินนะคะ 55555555 มา มารอดูกันต่อไป~

ปริศนาธรรมวันนี้ .........
งงเด้อ ยิ่งอ่านยิ่งน่าสงสัย
ทุกคนดูน่าระแวงไปหมด
ตอนนี้สงสัยทุกคนที่อยู่ใกล้ๆออสติน
จำไว้ เรากลุ่มพิทักษ์ออสติน  :z6:

กลุ่มพิทักษ์ออสตินเหรอคะ ขอเราเข้าร่วมด้วย!

กลัว :ling3:

กลัวอะไรคะะะ ไม่มีอะไรน่ากลัวเยยย XD

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 16



   
ในวันนั้นเมื่อสองปีที่แล้ว...

ภาพแรกที่ปรากฏหลังจากที่สติสัมปชัญญะกลับมาคือความดำมืด ผมพยายามลืมตาเพื่อมองไปรอบๆ ตัว แต่ก็ค้นพบว่ามีผ้าผูกปิดตาไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้

เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงหัวใจในอกข้างซ้ายของตัวเองที่เต้นรัวขึ้นด้วยความหวาดหวั่น สัญชาตญาณทำให้พยายามขยับร่างกายส่วนต่างๆ เพื่อหาทางหนีทีไล่ แต่แล้วแขนทั้งสองข้างกลับไม่สามารถขยับได้ตามใจนึก ราวกับถูกผูกติดกับอะไรบางอย่างเหนือหัวของตัวเอง

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? แล้วผมอยู่ที่ไหน?

สิ้นความคิดผมก็เริ่มขยับขาทั้งสองข้างของตัวเองบ้าง โชคดีที่มันไม่ได้ถูกพันธนาการให้ติดกันไว้เหมือนข้อมือ ผมเริ่มป่ายขาไปมาอย่างร้อนรนจนกระทั่งไปชนกับขอบอะไรบางอย่าง นั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในหลุมหรือบ่ออะไรสักอย่าง

“อ่า” ครางออกมาเบาๆ อย่างคนเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ ปากผมไม่ได้ถูกปิดเอาไว้อย่างที่นึกกลัว แต่สถานการณ์ตอนนี้เริ่มไม่น่าไว้ใจอย่างเห็นได้ชัด ชั่ววูบความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา ถ้าผมตะโกนโวยวายดังๆ จะมีใครได้ยินแล้วมาช่วยไหมนะ ทว่าก็ไม่มีอะไรค่ำประกันว่ามันจะกลายเป็นเรียกไอ้คนที่จับผมมาให้ฆ่าผมเร็วขึ้นแทนหรือเปล่า?

เอี๊ยด

เสียงนั่นทำเอาผมขนลุกชัน มันคล้ายกับเสียงเปิดประตูเก่าๆ ไม่มีน้ำมันหล่อลื่น ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยความหวาดหวั่น ปากก็สั่นอย่างห้ามไม่ได้ เวลานี้มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ใครกัน?

สัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม สัญชาตญาณพาให้ผมใช้ส้นเท้าขยับร่างหนีไปยังทิศทางตรงข้ามกับเสียงฝีเท้าที่ไม่น่าไว้ใจนั่น ทว่ากลายเป็นร่างผมไปติดกับขอบที่ว่าอีกฝั่งหนึ่งแทน

“หยุดนะ! คุณเป็นใคร!?” เค้นเสียงถามออกไปจนได้ แต่ก็มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมาเท่านั้น “แกต้องการอะไร”

คำตอบกลายเป็นเสียงแค่นหัวเราะสั้นๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว

กระทั่งอยู่ๆ แรงสะเทือนบางอย่างเกิดขึ้นบนพื้นระยะประชิด ผมเกร็งตัวแน่น สัมผัสร้อนตะปบลงมาบนหลังคออย่างรวดเร็วทำเอาผมสะดุ้งเฮือก ขณะที่เส้นผมของผมถูกกระชากจากด้านหลังท้ายทอยทำให้ต้องแหงนหน้าขึ้นบน แล้วหลังจากนั้น...

“อื้อ…” สัมผัสอุ่นนุ่มบางอย่างเบียดลงมาบนริมฝีปาก มันรุนแรงและรวดเร็วเสียจนผมตั้งตัวไม่ทัน

อะไรน่ะ ไอ้ชาติชั่วนี่กำลังจูบผม บ้าจริง!

ผมพยายามเบือนหน้าหนี หากแรงกระชากจากด้านหลังไม่ปล่อยผมไปง่ายๆ

ได้ยินเสียงโลหะที่ตรวนข้อมือผมไว้กระทบกันจากข้างบนหัว ลิ้นน่ารังเกียจที่สอดเข้ามาอย่างจาบจ้วงทำให้ผมร้อนวูบ เหงื่อผุดขึ้นมาทั่วทั้งตัวด้วยความหวาดกลัว เสียงของเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่ขาดออกจากกันดังแคว่ก จากนั้นสัมผัสอุ่นของอุณหภูมิร่างกายมนุษย์ก็แตะลงบนแผ่นอก แรงที่กระทำเคล้นคลึงผิวกายของผมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมตัวชาวาบ ขนลุกชัน เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายจับตัวผมมาทำไม เพราะมันไม่ได้ต้องการเรียกค่าไถ่หรือต่อรองอะไรทั้งนั้น!

มันต้องการร่างกายผม!

“อย่า!…” ผมร้องออกมาเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ ขณะที่กลีบปากอุ่นร้อนของอีกฝ่ายนาบลงบนซอกคอของผมแทน แล้วตามมาด้วยความเจ็บปวดจากฟันที่ฝังลงบนต้นคอ ผมกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง พยายามดิ้นสะบัดอย่างแรง ใต้สะโพกสัมผัสได้ถึงมือหยายโลนที่กำลังเคล้นคลึงอย่างหื่นกระหาย

กึก! “หยุดนะ!”

รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายพยายามกระชากกางเกงของผมออก เลยพยายามขืนตัวไว้สุดแรงแต่ก็หยุดเขาไว้ไม่ได้

ฟรืบ! กางเกงถูกดึงออกไปแล้ว ตามด้วยเสียงผ้าตกกระทบลงบนพื้นสะท้อนกับผนังห้อง ผมเดาว่าไอ้โรคจิตนี่คงเหวี่ยงกางเกงผมทิ้งไปอย่างไม่แยแส

สันหลังหนาวสะท้านขึ้นมา รู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งเกาะพรมไปทั่วใบหน้า ไม่อยากคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นถัดไป แต่พระเจ้าไม่ให้เวลาผมทำใจนัก เมื่อไอ้ชั่วนั่นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนผ่าว มือหยาบกร้านเริ่มเคลื่อนแทรกเข้ามาที่ด้านหลังสะโพกที่ไร้การปกปิด

กรอบตาผมร้อนผ่าว ไม่ช้าก็สัมผัสได้ถึงน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างอ่อนแอ

ไม่นะ… หยุดนะ!

ใครก็ได้ช่วยผมด้วย


 


“ฮะ… ฮึก!” สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา แต่เสียงสะอื้นของตัวเองที่ผมเกลียดแสนเกลียดดังสะท้อนอยู่ในหู

ไซม่อนเป็นคนแรกที่รุกตัวเข้ามาประชิดตัวผมที่ข้างเตียง ชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้ามากอดผมไว้ในอ้อมแขน ลูบหัวผมเบาๆ อย่างปลอบประโลม

จังหวะนั้นเองผมถึงได้ยินเสียงอื่น เป็นเสียงเปิดประตูห้องคนไข้ ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินออกไป คงเป็น ไคล์และวินเซนต์ ผมภาวนาให้พวกเขาทั้งคู่ออกไปจากห้อง เพราะผมไม่อยากให้ใครเห็นสภาพที่น่าสมเพชของตัวเองนอกจากไซม่อน

“ไม่เป็นไรนะครับ ออสติน” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา ทาบริมฝีปากอุ่นลงบนขมับ “คุณแค่ฝันร้าย ผมอยู่นี่แล้ว ผมจะไม่ให้ใครมาทำอะไรคุณได้อีก ผมสัญญา”

“ทะ… ที่ขาผม” ผมสำลักคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด “หมอนั่น… กรีดวันที่ที่จับตัวผมไป”

ไซม่อนขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่ง เหมือนตามคำพูดผมไม่ทัน

“วันที่เหรอครับ?”

“ชะ… ใช่” เสียงของผมสั่นไม่ต่างจากส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

“วันที่อะไรครับ”

“วันที่คริสจับผมไปไง!” ตะเบ็งเสียงดังอย่างอัดอั้น ไซม่อนออกแรงที่กอดผมไว้มากขึ้นราวกับกลัวว่าผมจะกลายเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ

“ออสติน คุณใจเย็นๆ ก่อน” เสียงทุ้มต่ำกระซิบที่ข้างหู “หมอนั่นมันก็แค่สุ่มตัวเลขไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คุณ--”

“คุณไม่เข้าใจใช่ไหมว่านี่มันหมายความว่ายังไง!” ตะโกนอย่างควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ผมผลักอกของอีกฝ่ายออกอย่างแรงจนไซม่อนเซออกจากเตียงไปเล็กน้อย “หมอนั่นมันกลับมาเล่นงานผม! แค่ตัวเลขที่อยู่บนขาผมนี่มันก็เห็นกันอยู่ชัดเจนอยู่แล้ว! คุณยังไม่เข้าใจอะไรอีก!”

นัยน์ตาสีฟ้าของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจที่เห็นผมโวยวายแบบนั้น หากวินาทีต่อมาร่างสูงก็ขยับเข้ามาประชิดตัวผมอีกรอบ มือเลื่อนมาแตะบนใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา หากเมื่อจับได้เขาก็ยึดไว้แน่น ประคองให้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขา

“ออสติน ได้โปรด ฟังผมก่อน”

ผมหุบปากของตัวเองลงฉับ อารมณ์พลุ่งพล่านจนเหมือนจะระเบิดในอกค่อยๆ ทุเลาลง ผมสบตาเขา มันมองมาที่ผมอย่างแน่วแน่ ไซม่อนค่อยๆ ขยับฝ่ามือมาไล้บนแก้มผม เลื่อนไปอยู่ที่ด้านหลังศีรษะแล้วประคองเอาไว้อย่างอ่อนโยน

“ผมสัญญาว่าคุณจะไม่เป็นไร อย่างน้อยแค่ในตอนนี้ก็ได้ เชื่อผมเถอะ ผมจะอยู่ข้างๆ คุณเอง ขอแค่คุณเชื่อใจผม จะไม่มีใครหน้าไหนมาทำอันตรายคุณได้ทั้งนั้น”

ผมจ้องตาเขานิ่ง ไซม่อนมองตอบกลับมาอย่างมั่นคง เมื่อเห็นว่าผมสงบลงเขาก็ค่อยๆ โน้มหน้าลงมา วางหน้าผากของตัวเองแนบลงบนหน้าผากของผม ไออุ่นจากผิวกายเขาให้ความรู้สึกบางเบาชวนให้ผ่อนคลาย

ร่างสูงทาบริมฝีปากอุ่นลงมาจูบบนริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา จูบง่ายๆ แค่นั้นแต่กลับทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

ไซม่อนละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ผมปล่อยให้เขาเลื่อนมือมาลูบหัวผมอยู่อย่างนั้น ความเงียบปกคลุมพวกเราทั้งคู่ แต่ผมไม่ได้รู้สึกทรมานหรืออัดอั้นแบบเมื่อครู่แล้ว

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมหันไปมองตามต้นเสียงทันที ร่างของนายแพทย์หนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามาภายในพร้อมกับนางพยาบาลอีกคน พอกวาดตามองดูรอบห้องอีกทีก็พบว่าทั้งไคล์และวินเซนต์ไม่อยู่ในห้องนี้แล้วจริงๆ คงจะออกไปตอนที่ผมได้ยินเสียงเปิดประตูครั้งแรกอย่างที่ผมภาวนา

หมอคนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องคงเป็นคนใหม่เพราะผมไม่คุ้นหน้า เขาหันไปบอกไซม่อนว่าจะขอประเมินอาการผมสักหน่อย ร่างสูงยอมผละออกไปอีกมุม

ผมก้มหน้าลงต่ำนิดหนึ่งขณะตอบคำถามพื้นฐานเพื่อประเมินคนไข้ของเขา ผมว่าร่างกายผมตอนนี้มันก็ปกติดีนั่นแหละ มีปัญหาแค่ด้านจิตใจเท่านั้นเอง

“คุณคือคนไข้ของคุณหมออะแมนดา กอร์แมนสินะครับ”

“ใช่ครับ”

“เสียดาย หล่อนไม่ได้เข้าเวรวันนี้ ไม่อย่างนั้นคงต้องบึ่งมาหาคุณแล้ว”

“ไม่ต้องบอกเรื่องนี้ให้หล่อนรู้นะครับ” ผมว่า “เดี๋ยวจะเป็นห่วงกันไปหมด”

“เรื่องใหญ่แบบนี้ไม่บอกไม่ได้หรอกครับ หรือต่อให้ผมไม่บอก ยังไงคุณหมอกอร์แมนก็ต้องได้ยินจากคนอื่นอีกอยู่ดี”

ผมยักไหล่ให้เขาอย่างจนปัญญา มองดูนายแพทย์หนุ่มเลื่อนมือขึ้นไปดันแว่นของตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้น… คุณอยากจะนอนค้างที่นี่สักคืนรึเปล่าครับ หรือว่าอยากจะกลับบ้านเลย เพราะเท่าที่ผมดูอาการก็ค่อนข้างทรงตัวแล้ว มีแค่แผลที่ขาที่อาจจะต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ กับยาแก้ปวด แต่ถ้ายังรู้สึกล้า--”

“ผมจะกลับครับ” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด “ผมคิดว่าตัวเองไหวแล้ว คงไม่ต้องนอนค้างที่นี่หรอก”

“ตกลงครับ” อีกฝ่ายยอมรับอย่างว่าง่าย หันไปบอกกับนางพยาบาลให้เตรียมเอาสายน้ำเกลือออกพร้อมกับติดต่อแผนกการเงินเพื่อออกใบเสร็จค่ารักษา “งั้นรอสักครู่นะครับคุณการ์ดเนอร์ น่าจะใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงคุณก็น่าจะกลับบ้านได้แล้ว”

“ขอบคุณครับ”

ผมมองแผ่นหลังของหมอคนใหม่ที่เดินออกจากห้องไปก่อนจะเบือนหน้าไปยังไซม่อนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมห้อง ป้องปากไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียงรบกวน แต่น่าแปลกที่ผมกลับได้ยินชัด

“เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนร้ายต้องการอะไร” เขากรอกเสียงลงในโทรศัพท์ เดาว่ามันอาจจะเป็นเรื่องของตัวผมเอง งั้นแปลว่าคนที่อยู่ปลายสายอาจจะเป็นไคล์ก็ได้ “แบบนั้น… มันอันตราย”

ผมนั่งรออยู่บนเตียงเงียบๆ อย่างอดทน รอจนกระทั่งไซม่อนกดวางสายแล้วสาวเท้าเข้ามาหาผม คิ้วเรียวของเจ้าตัวขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ชายหนุ่มทิ้งน้ำหนักตัวลงมานั่งข้างๆ นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมของผมแผ่วเบา

“ผมอยากให้คุณไปนอนค้างบ้านผมครับ ออสติน”

“ทำไมล่ะครับ”

“อยู่ที่โรงพยาบาล… ก็เห็นแล้วว่าคนร้ายก็บุกเข้ามาเอาตัวคุณไปได้จนได้ บ้านคุณก็มีคุณอยู่แค่คนเดียว แถมแถวนั้นก็ไม่ค่อยมีคนอยู่ด้วย ไปบ้านผมดีกว่า อย่างน้อยผมก็คอยปกป้องคุณได้”

ประโยคที่ตรงไปตรงมาทำให้ผมรู้สึกอุ่นซ่านขึ้น ผมพยักหน้ารับ พิงหัวลงบนบ่าเขาอย่างหาที่พึ่ง ชอบสัมผัสจากฝ่ามือที่ไม่ลูบหลังผมเบาๆ มันทำให้ผมผ่อนคลายลงจริงๆ

“ไม่เป็นไร ออสติน” เสียงนั้นกระซิบที่ข้างหู “ผมจะอยู่ข้างๆ คุณเอง ไม่ต้องกังวลหรอก”

คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาไม่น้อยเหมือนกัน



.
.
.
.
.
(50%)





------------------------------
Talk: ขอมาหยอดครึ่งตอนแรกไว้ก่อนะคะ จะรีบเอาอีกครึ่งมาลงนะ งุงิ
#ไซออส #sweetsanc
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2017 13:21:02 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอที่เหลือค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3

[ต่อ]




ไซม่อนไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านแบบที่บ้านเป็นจริงๆ เหมือนของผม เขาอยู่ในคอนโดแห่งหนึ่งแถบชานเมือง ตัวอาคารคอนโดของเขาอยู่ในสภาพกลางเก่ากลางใหม่ แต่ภายในห้องของเจ้าตัวก็ดูกว้างขวางแล้วก็สะอาดใช้ได้

“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะครับ” ไซม่อนว่าขณะถอดเสื้อตัวนอกออก แขวนไว้บนไม้แขวนเสื้อ ทำมือให้ผมส่งของตัวเองไปให้เขาแขวนบ้าง “เดี๋ยวจะได้นอนพัก วันนี้เจออะไรหนักๆ มาเยอะแล้ว ไหนจะศพ ไหนจะตัวคุณเองที่ตอนนี้สภาพไม่ต่างกับศพ… อาบน้ำนอนกันเถอะครับ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาคิดกันต่อว่าจะทำยังไง”

ผมพยักหน้าอย่างเลื่อนลอยไปให้เขา ทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่ายโดยแทบไม่รู้สึกตัวอะไรเลย

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเห็นตัวเองนั่งยืดขาอยู่บนเตียงของไซม่อนเรียบร้อยแล้ว ผมเริ่มกวาดตามองสภาพห้องที่ดูเป็นระเบียบเกินกว่าจะเป็นห้องของชายหนุ่มที่อาศัยอยู่คนเดียว ตู้เสื้อผ้าแบบบิวด์อินถูกเปิดค้างเอาไว้ตอนที่ไซม่อนหยิบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวให้ผม โทรทัศน์ที่ตั้งไว้อีกมุมของห้อง ตู้หนังสือที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาวิชาการ โต๊ะทำงานที่รกที่สุดมีเอกสารและแฟ้มต่างๆ กองเอาไว้

ผมก้มลงมองขาที่อยู่ในกางเกงนอนที่ไซม่อนให้ยืมมา เลื่อนมือไปสัมผัสที่ต้นขาข้างซ้ายอย่างแผ่วเบา แผลใหม่นั่นยังคงเจ็บแปลบอยู่ แค่คิดถึงมันผมก็รู้สึกอยากอาเจียน โคตรรู้สึกแย่เลย

เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น ไซม่อนก้าวเท้าออกมา เส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์ยังหมาดๆ อยู่ ผ้าขนหนูสีขาวถูกพาดไว้บนบ่า เขาอยู่ในชุดนอนง่ายๆ มือเลื่อนไปเช็ดผมเรื่อยๆ เพื่อให้มันแห้งสนิทขณะสาวเท้ามา

เขาหยุดฝีเท้าลงที่ขอบเตียง จ้องหน้าผมนิ่ง ยืนอยู่แบบนั้นราวกับกำลังรอคำอนุญาต ซึ่งคิดๆ ไปแล้วก็ตลกดีเพราะนี่มันบ้านเขา เตียงเขาเองแท้ๆ ยังจะต้องมารอผมอนุญาตทำไมเนี่ย

ผมขยับตัวไปอีกทาง ตบตรงที่ว่างข้างๆ ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้แฟนหนุ่ม

“นั่งตรงนี้สิคุณ นั่งข้างๆ ผม”

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ จากนั้นจึงยิ้มตอบกลับมาให้แล้วล้มตัวลงนั่งอย่างว่าง่าย ผมเลื่อนมือไปดึงหน้าเขาให้หันกลับมาสบตาผม นัยน์ตาที่ดูล้ำลึกจนเหมือนจะดูดกลืนทุกอย่างเข้าไปได้ ผมหลงใหลดวงตาของเขา

ไซม่อนเลื่อนหน้าลงมาจูบปากผมเร็วๆ ทีหนึ่งอย่างเอ็นดู พอเขาผละริมฝีปากออกผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ มือหนาดึงตัวผมเข้าไปกอดอย่างมันเขี้ยว จากนั้นก็ดันตัวผมให้ลงไปนอนราบบนต้นขาเขา โน้มหน้าลงมาจูบปากผมอีกรอบ

“ให้ตายสิ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ตามองเพดานด้านบนอย่างเหม่อลอย “150819 งั้นเหรอ หมอนี่นี่มันรู้วิธีเขย่าประสาทผมได้ตลอดจริงๆ”

“คุณพูดถึงอะไรครับ”

“ก็คริสเตียนไง” ผมว่า เสียงที่หลุดออกจากริมฝีปากเย็นชาอย่างชิงชังคนที่เพิ่งเอ่ยชื่อไป “แผลที่ขาผมนี่… ต้องเป็นฝีมือหมอนั่นไม่ผิดแน่ ไอ้สารเลว อย่าให้ตำรวจลากตัวมันออกมาได้นะ ผมจะไปจัดการมันก่อนคนแรกเลย”

ไซม่อนหัวเราะหึๆ ในลำคอเพราะรู้ดีว่าผมพูดไปตามแรงอารมณ์เท่านั้น เขาลูบเส้นผมสีเทาของผม เลื่อนปลายนิ้วมาไล้บนแก้ม ก่อนจะออกแรงหยิกเบาๆ อย่างมันเขี้ยว ในขณะที่ผมจ้องใบหน้าคมสันจากมุมต่ำแบบนี้ตาไม่กระพริบ เพิ่งได้เห็นไซม่อนจากมุมนี้เป็นครั้งแรก

“แล้วคุณแน่ใจได้ไงว่าแผลใหม่ของคุณนี่เป็นฝีมือเขา”

“จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ” ผมว่าเสียงเย้ยหยัน ไซม่อนยักไหล่

“ไม่รู้สิ ฆาตกรตัวเลขมั้ง เราเพิ่งเจอศพที่คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของฆาตกรตัวเลขมาไม่ใช่เหรอครับ”

“เออ ใช่ ศพ…”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าคุณ มีเจ้าหน้าที่คนอื่นพาคุณไทเลอร์ไปดูศพของเอ็มม่า เดนนิสแทนคุณแล้ว ขึ้นศาลครั้งต่อไปเขาคงเจอศึกหนักทีเดียว”

“คุณเคยเห็นแผลที่ต้นขา… ผมหมายถึงแผลเก่าของผมน่ะ คุณเห็นมันมาก่อนแล้วใช่ไหม ไซม่อน”

คนผมน้ำตาลบลอนด์ชะงักไปนิดหนึ่ง นัยน์ตาคู่สวยช้อนขึ้นมองตรง เลี่ยงไม่สบตาผม

“ผมเคยเห็นมาก่อนแล้ว” ผมเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเล็กน้อย อีกฝ่ายรีบแก้ตัวเป็นพัลวันทันทีเมื่อเห็นท่าทีเหมือนไม่ชอบใจของผม “ผมหมายถึง… เราเองก็มีเซ็กส์ด้วยกันมาตั้งหลายรอบ แถมรอยกรีดที่ต้นขาคุณ… มันก็ชัดออกขนาดนั้น”

“ผมเข้าใจครับ” มันยากที่จะมองผ่านแน่ล่ะ ผมรู้ดี

“คุณโกรธผมรึเปล่าเนี่ย”

“เปล่า ผมแค่…” ผมถอนหายใจอีกเฮือก มือเลื่อนไปโอบหลังคอของคนด้านบน บังคับให้เขาก้มหน้าลงมาจูบกับผมทีหนึ่ง “อืม… มันน่าเกลียดมากใช่ไหม ไซม่อน แผลนั่นน่ะ”

แวบหนึ่ง ผมเห็นนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาเป็นประกายวูบขึ้นมาด้วยความโกรธ ผมรู้ว่าเขาโกรธคนที่ทำ นั่นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เหมือนมีใครมาช่วยแบ่งเบาความหนักอึ้งที่ตัวเองแบกรับไว้อยู่นี่ไปบ้าง

เขาก้มหน้าลงมาจูบผมอีกรอบ คราวนี้ออกแรงกดลงมามากขึ้น ยาวนานและวาบหวามมากขึ้น ผมเคลิ้มตาม ใบหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เสียงทุ้มต่ำกระซิบอยู่ที่ข้างหู “ผมไม่สนใจแผลนั่นหรอก ออสติน”

“จริงเหรอครับ”

“จริงสิครับ มันก็จริงอยู่ที่ผมโกรธคนที่ทำแบบนั้นกับคุณมาก แต่มันไม่ได้ทำให้คุณน่าเกลียดหรอกนะ”

“แต่ตอนนี้มันทุเรศกว่าเก่าอีก” ผมเบ้ริมฝีปากอย่างขมขื่น “คริสเตียน… หมอนั่นกรีดแผลใหม่ลงบนตำแหน่งเดิม วันที่นั่น… หมอนั่นมัน--”

“ชู่” คนข้างตัวโน้มหน้าลงมาจูบปิดปากผมในรอบนี้ ความอ่อนหวานที่แผ่ซ่านเข้ามาช่วยทำให้ผมสงบลง ไม่สิ จริงๆ มันทำให้ผมเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอีกรอบแล้วล่ะ แต่เป็นในความหมายอื่น “เราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นกันตอนนี้ดีกว่าไหม ออสติน คุณอยู่กับผมบนเตียงแบบนี้… ผมไม่อยากได้ยินชื่อผู้ชายคนอื่นจากปากคุณเลย”

“พูดดีนี่คุณ” ผมหัวเราะ ไซม่อนประกบจูบลงมาอีกครั้งพร้อมกับเริ่มกวาดมือลงบนเรือนร่างของผม

ขอโยนเรื่องชวนปวดหัวทั้งหมดทิ้งไปก่อนแล้วกันนะตอนนี้
 



 


ผมหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะที่มีกล่องจากผู้ส่งปริศนาเปิดอ้าเอาไว้อยู่ กวาดตามองดูสิ่งของที่เคยอยู่ในกล่องนั้นซึ่งตอนนี้ถูกนำออกมาวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบข้างๆ

ผมหยิบสร้อยที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาพิจารณาก่อน ประกายเพชรของมันวาววับจับตา แต่นั่นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับสิ่งที่ผมพยายามตามหาอยู่ วางมันลงที่เดิม คราวนี้หยิบนาฬิกาข้อมือเรือนใหญ่ที่หนักอึ้งขึ้นมาพลิกดู นึกสงสัยเหมือนกันว่าคนที่ใส่นาฬิกาหนักขนาดนี้เขาไม่ปวดข้อมือกันบ้างหรือไง ถึงดีไซน์การออกแบบของมันจะดูเฉี่ยวแล้วก็ล้ำสมัยดีก็เถอะ

ของชิ้นต่อไปคือปัญหา

เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของผมในตอนนี้

ผมหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดู มันราคาถูกที่สุดหากเทียบกับสิ่งของชิ้นอื่นๆ ในกล่องนี้ รูปของแบรด แมคแนร์ซึ่งกำลังยิ้มอย่างเริงร่าให้กล้องขัดใจผม โครงหน้าที่เหมือนลอกกันมากับของไซม่อนไม่มีผิดเพี้ยนนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

ผมวางมันลงเรียงกับของชิ้นอื่นๆ ทันใดนั้นเองที่ผมนึกได้ขึ้นมา เป็นความคิดที่ประกายวูบเล็กๆ เท่านั้น แต่บางทีมันอาจมากพอจะติดเชื้อเพลิงได้

กล่องที่วางต่อจากสิ่งของทั้งหมดที่ผมเพิ่งหยิบขึ้นมาพิจารณาต่างหากล่ะที่เป็นปัญหาใหญ่ ไม่มีชื่อของผู้ส่งระบุอยู่บนนั้น แม้แต่ชื่อผู้รับก็ยังถูกพิมพ์ออกมาทำให้ไม่สามารถแกะลายมือเพื่อสืบต่อได้

เจ้ากล่องที่ไม่มีชื่อผู้ส่งมานี่ต่างหากล่ะที่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ข้าวของที่อยู่ด้านใน

“นี่” เสียงของใครบางคนดังขึ้นมา ผมหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วก่อนจะต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจหมอนี่มัน… คริสเตียน

“นาย…!”

“ชู่ ไม่ต้องตะโกนเสียงดังขนาดนั้นก็ได้” เขายกนิ้วชี้แตะริมฝีปากพร้อมกับส่งยิ้มยียวนมาให้ ผมแทบอยากจะพุ่งไปชกหน้าเขา “ว้า… มองกันแบบนั้น เย็นชาจังเลยนะคุณ”

“ทำไมแกถึง--”

“นี่ ออสติน คุณรู้อะไรไหม” คำพูดที่แทรกขึ้นมาทำให้ผมชะงักไปนิดหนึ่ง รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองซีดเผือดลง “ผมว่าคุณกำลังระแวงผิดคนอยู่นะ”

“หา?” ผมขมวดคิ้วมุ่น “หมายความว่ายยังไง?”

“ก็… นั่น” เขาชี้นิ้วไปที่ด้านหลังของผม ผมลังเล ไม่กล้าหันหลังกลับไปดูเพราะกลัวว่าเขาจะใช้จังหวะนั้นทำร้ายตัวเอง

หากอึดใจถัดมา คมมีดจากมือของใครบางคนก็เสียดแทงเข้ามาในอกด้านซ้าย มันทะลุมาจากด้านหลัง เลือดสีแดงสดสาดกระเด็นไปทั่วบริเวณนั้นราวกับน้ำพุ

“อั่ก…” ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น มองเห็นคริสเตียนส่งยิ้มยียวนมาให้เหมือนเดิม หากภาพของเขาค่อยๆ จางลง

“ผมไม่ใช่คนที่คุณควรจะระแวงหรอก ที่รัก” น้ำเสียงนั้นกลั้วหัวเราะอย่างนึกขัน “คุณก็รู้ดีอยู่แล้วว่าใครคือคนที่ควรระวัง”

ผมค่อยๆ หันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านหลังอย่างเชื่องช้า ตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณถือมีดที่อาบไปด้วยเลือดอยู่นั่นคือใคร

ไซม่อน แมคแนร์…

แฟนของผมเอง

นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาของเขาก้มลงมองผมอย่างเย็นชา มองปากแผลที่เปิดออกของผมอย่างพิจารณา

“ซะ… ไซม่อ--”

ผมไม่ทันได้เรียกชื่อเขาด้วยซ้ำตอนที่ชายหนุ่มแทงปลายมีดลงมาบนอกข้างซ้ายของผมอีกรอบ ผมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าโดนไปขนาดนั้นแล้วทำไมยังมีสติอยู่ได้

“คุณ… ทำอะ--” ผมละล่ำละลักถาม เห็นนัยน์ตาว่างเปล่าคู่นั้นแล้วอยากจะร้องไห้

"ผมขอหัวใจพี่ชายผมคืน"

"อย่า… อย่าเอามันไป ได้โปรด" ผมอ้อนวอน แต่เหมือนคนฟังจะไม่สนใจ

"คุณฆ่าพี่ชายผม"

“ผะ… ผม… ไม่…” ผมไม่ได้เป็นคนทำ

"คุณฆ่าพี่ชายผม” เสียงราบเรียบนั้นว่า “และผมจะฆ่าคุณ”

ผมไม่ได้เป็นคนทำ!

แต่คำพูดนั้นมันไปไม่ถึงเขา


 


เฮือก!

ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา ตัวชาไปทั่วทั้งร่างราวกับโดนอะไรสักอย่างฟาดลงมาหลังหัวอย่างแรง เหงื่อมากมายเกาะพราวไปทั่วทั้งหน้า ผมเลื่อนมือไปแตะหน้าของตัวเอง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นตุบตับแรงและถี่ขึ้นอย่างน่ากลัว ผมเอื้อมมือไปกุมเหนือหัวใจ มันยังอยู่ดีในนั้น แต่อาการปวดแปลบนี่มันไม่ดีเลยจริงๆ

"ฮะ... แฮ่ก" ผมหอบหายใจแรง รู้สึกถึงหางตาที่ร้อนขึ้น

"ออสติน" เสียงเรียกจากชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างตัวผมดังขึ้นอย่างเป็นห่วง ไซม่อนขยับตัวเข้ามาโอบผมไว้ในอ้อมแขน หน้าตายังดูงัวเงียอยู่ "เป็นอะไรครับ ฝันร้ายเหรอคุณ?"

"อ่า..." ผมครางเบาแล้วหลับตา เลือดที่ไหลเวียนตรงหัวใจยังสูบฉีดอย่างแรงราวกับเพิ่งวิ่งมาหลายกิโลเมตร ทั้งหมดนั่นมันก็แค่ฝัน แค่ฝันเท่านั้น

บอกตัวเองเสร็จผมก็เหลือบไปมองนาฬิกาดิจิตอลที่อยู่บนชั้นวางข้างหัวเตียง ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว อาจจะถือว่าตื่นเร็วไปหน่อย แต่ก็ไม่เร็วเกินขนาดที่ควรจะข่มตาลงนอนต่อ

"ดูหน้าคุณซีดๆ นะ แย่มากเลยเหรอคราวนี้" พูดพลางเอื้อมมือมาปาดเหงื่อบนหน้าผากผมออก ตามด้วยจุมพิตแผ่วเบาที่ริมฝีปาก

"ไม่ค่อยดีครับ" ผมยอมรับ ปิดเปลือกตาลงอีกรอบแล้วเคลื่อนตัวไปกอดคนข้างตัว ไออุ่นจากร่างเขาช่วยทำให้ผมสบายใจขึ้น ผมยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวอยู่เลย

"อ่า... ไม่เป็นไรแล้วนะครับ ผมอยู่นี่แล้ว ไม่มีใครทำอะไรคุณได้หรอก"

ผมปรือตาขึ้น มองท่อนบนเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายที่ตอนนี้แนบกับผิวเนื้อของผม นึกถึงเซ็กส์เมื่อคืน จากนั้นก็สิ่งที่เห็นในความฝัน ไซม่อนขยับตัวกระชับผมไว้ในอ้อมแขนมากขึ้น ก้มลงมาจูบหัวผมทีหนึ่งอย่างแผ่วเบา อยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าเหงื่อซึมขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่มีเหตุผล

"แล้วนี่คุณหิวรึเปล่า ออสติน" พูดพลางเลื่อนปลายนิ้วลงเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากผมแผ่วเบา "เมื่อคืนก็ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วย"

"ก็... นิดหน่อยครับ" พอเขาทักแล้วก็ชักรู้สึกท้องโล่งๆ ขึ้นมา แต่เอาจริงก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากกินอะไรอยู่ดี

"งั้นคุณรอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวผมไปทำอะไรมาให้ทาน" ไซม่อนทาบริมฝีปากลงบนแก้มผมทีหนึ่งก่อนจะลุกออกจากเตียง "คุณนอนเล่นไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมยกมาเสิร์ฟให้ที่เตียง หรือถ้ายังเพลีย จะนอนต่ออีกหน่อยก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมปลุก"

"ตกลงครับ" ผมว่า มองอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน

ผมพลิกตัวกลับมา ทอดสายตาขึ้นมองเพดานอย่างเหม่อลอย ความคิดมากมายประเดประดังเข้ามาในหัว และสิ่งที่เหมือนติดอยู่ในนั้นมากที่สุดก็คือฝันที่เพิ่งได้เห็นก่อนจะลืมตาตื่น

"อ่า... ให้ตายสิวะ" ผมสบถกับตัวเอง แต่เสียงที่ออกมาเหมือนครางมากกว่า

ผมนอนนิ่งอยู่บนเตียงอีกครู่หนึ่ง คิดถึงเรื่องรอยแผลใหม่ที่ขา ร่องรอยที่สีข้างจากการโดนไฟฟ้าช็อต นึกถึงคำพูดของอะแมนดาที่เคยพูดเป็นนัยเรื่องหัวใจของผม จากนั้นก็วนกลับมาที่ไซม่อน ทั้งความฝันเมื่อคืนและวันแรกที่เราเจอกัน นึกถึงจุดประสงค์ที่เขาเข้ามาหาผม...

ปวดหัว... ไม่อยากคิดต่อแล้ว

ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียง ตรงไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ หยิบเสื้อที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมแล้วเดินออกจากห้อง

คอนโดของไซม่อนมีห้องอยู่สองห้อง ผมไม่แน่ใจว่าอีกห้องเขาใช้ทำอะไร อาจจะไว้ทำงานหรือเก็บของ เดินออกมาถึงบริเวณห้องโถงที่มีส่วนครัวแยกออกไปอย่างเป็นสัดส่วน ผมมองใบหน้าด้านข้างของเขาที่กำลังง่วนอยู่กับของบนเคาน์เตอร์

‘คุณฆ่าพี่ชายผม’

อยู่ๆ สิ่งที่ไซม่อนพูดกับผมในความฝันก็สะท้อนขึ้นมาในหู ผมชะงักฝีเท้าของตัวเอง ลิ้นที่กำลัจะเคลื่อนไปเรียกเขาพานแข็งขึ้นมาดื้อๆ

นั่นสินะ... ผมไม่เคยคิดถึงมุมนี้มาก่อน เรื่องที่ว่าผมเป็นคนได้หัวใจพี่ของเขามา และบางทีเขาอาจจะนึกแค้นผมเพราะเรื่องนั้นก็ได้ เพราะต่อให้ผมจะไม่ได้เป็นคนฆ่าแบรดจริงๆ แต่ผมก็มีชีวิตอยู่ต่อได้เพราะหัวใจของเขาอยู่ดี

‘และผมจะฆ่าคุณ’

 รู้สึกราวกับว่าเสียงนั้นกระซิบอยู่ที่ข้างหู ผมแข็งทื่อ ไซม่อนที่รู้ตัวแล้วว่าผมเดินออกมาจากห้องหันกลับมามอง มีดที่อยู่ในมือเขาเป็นอย่างแรกที่ผมสังเกตเห็น และเมื่อช้อนสายตาขึ้นมองเขา ผมรู้สึกเหมือนกับกำลังจ้องมองเหวลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด

"ออกมาทำไมล่ะครับ ออสติน" ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง "ผมอุตส่าห์บอกให้รออยู่บนเตียงแท้ๆ"

เขาบอกว่าเขาจะปกป้องผมจากใครก็ตาม… แต่มันคงไม่มีประโยชน์ ถ้าหากคนที่ลงมือทำเรื่องทั้งหมดคือตัวเขาเอง





-------------------------------
Talk: ครึ่งตอนหลังมาแล้วนะคะ! สรุปเรืองนี้มีพระเอกไหม ถามจริง 55555
#ไซออส #sweetsanc

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ใช่มะ จริงๆเราก็คิดแบบนั้น
ว่าไซม่อนคงไม่ได้มาดี
แต่นี่พระเอกนะเว้ยยยยยยยยยยย ต้องดีสิ
ในหัวตอนนี้ไม่รู้ว่าระหว่างออสตินกับเรา ใครคิดหนักกว่ากัน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
หลอนมาก... คนเขียนทำเราระแวงไปเสียหมด

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ถึงแม้ออสติน ฝันแบบว่าคริสเตียนมาบอกว่าไม่ใช่เขานะ
แล้วไซม่อนแทงที่หัวใจออสติน

แต่มองไซม่อน แบบรักพี่ชายเกินพี่น้องธรรมดา
แล้วเลยตามมาหาคนที่ได้หัวใจพี่ชายไป

ถ้าไซม่อน ทำเพื่อแก้แค้นให้พี่ชาย มันก็ เหี้- มากเลย
เพราะดูแล้วการสร้างสัมพันธ์กับออสติน
เขาทำแบบนุ่มนวล อ่อนโยนกันออสติน

หรือฆาตกร ที่สลักเลขเป็นคริสเตียน
คริสเตียนตามประกบแพทย์ที่ชันสูตรศพ
เพื่อจะได้รู้ว่าคดีคืบหน้าทาถงตัวเองหรือเปล่า
เห็นว่าออสตินเข้าใกล้ตัว เลยมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
บทที่ 17



“ออสติน?” ไซม่อนเรียกชื่อผมอย่างแปลกใจ สาวเท้าเข้ามาหานิดหนึ่ง "เป็นอะไรไปน่ะ คุณ ยังรู้สึกไม่ดีอีกเหรอ ให้ผมพากลับเข้าไปนอนดีกว่าไหม"

"มะ... ไม่" ผมอึกอัก ถดตัวถอยเขาไปเล็กน้อย ไซม่อนชะงักไปทันที เขาทำท่าเหมือนจะถอนหายใจแต่ก็หยุดมันไว้ได้ เจ้าตัวเปลี่ยนเป็นพยักเพยิดไปทางเก้าอี้แทน

"ถ้าอย่างนั้นไปนั่งรอผมก่อน อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะคุณ"

ผมเลื่อนเก้าอี้แล้วหย่อนตัวนั่งลงอย่างว่าง่าย หากสายตาไม่ละจากร่างของอีกฝ่ายแม้แต่วินาทีเดียว ผมกำหมัดในมือแน่นขึ้น รู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

ไซม่อนยกจานที่มีไส้กรอก เบค่อนและไข่ดาวมาวางตรงหน้า มีถ้วยที่ใส่สลัดซึ่งเขาแยกไว้ให้ ผมมองมะเขือเทศที่ถูกหั่นเสี้ยวอย่างสวยงามในถ้วยที่ว่า มีดของเขาต้องคมมากแน่ เพราะรอยหั่นที่เห็นเฉียบมาก

"น้ำสลัดงาได้ไหมครับ ซีซาร์ผมหมดแล้ว" เขาว่า ยื่นขวดใส่น้ำสลัดมาให้ ผมรับมาถือ

"อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละครับ"

เราลงมือรับประทานอาหารกันเงียบๆ ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือว่าบรรยากาศระหว่างผมกับไซม่อนมันหนักอึ้งลงมาจริงๆ กันแน่

ผมเหลือบตาขึ้นมองเขา ชายหนุ่มกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือพร้อมกับยกส้อมที่จิ้มเบค่อนค้างเอาไว้เข้าปาก รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศตอนนี้จนเหมือนจะหายใจขัด สารภาพเลยว่าวินาทีที่ผมเห็นเขาถือมีดตอนอยู่ในครัวเมื่อครู่ ผมนึกว่าเขาจะพุ่งเข้ามาลงคมมีดบนหน้าอกข้างซ้ายของผมแล้ว

“คุณเงียบๆ ไปนะ ออสติน” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมว่า ตายังไม่ละขึ้นจากหน้าจอมือถือ “ยังไม่หายตกใจจากเรื่องเมื่อวานเหรอครับ”

“เปล่า… ไม่เชิงครับ” ผมงึมงำ

“แล้วคุณเป็นอะไร”

“ผมมีเรื่องอื่นที่กำลังคิดหนักอยู่”

“เช่นเรื่องอะไรครับ”

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนจะตอบตรงๆ

“ผมเคยได้รูปถ่ายของแบรดมาจากคริสเตียน”

คำพูดที่ทะลุขึ้นมาทำให้ไซม่อนชะงักไปอย่างรวดเร็ว ผมอาศัยจังหวะนั้นสังเกตปฏิกิริยาของเขา นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาเบิกกว้างขึ้น มีร่องรอยประหลาดใจฉายชัดขึ้นมาหากวินาทีถัดไปก็ดับวูบ ผมดูเขาไม่ออก ไม่รู้ว่าที่เขามีแววตาแบบนั้นเป็นการแสร้งทำรึเปล่า

ไซม่อนวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม "คุณพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ ออสติน"

“เมื่อหลายเดือนก่อนผมได้กล่องใบหนึ่งมาจากใครบางคน กล่องนั้นไม่มีชื่อที่อยู่ผู้ส่ง แม้แต่ที่อยู่ผู้รับยังเป็นตัวตัวหนังสือพิมพ์เลย”

ไซม่อนนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างคนที่ตามอะไรได้เร็ว “คุณก็เลยคิดว่าคริสเตียนเป็นคนส่งกล่องใบนั้นมาให้คุณ?”

“ใช่ครับ”

“แล้วคุณได้เอาให้ตำรวจ--”

“เรียบร้อยแล้วครับ แต่ก็แกะรอยต่อไม่ได้”

“แล้วประเด็นของเรื่องนี้คืออะ--” เขาหยุดพูด มองหน้าผมอย่างรู้ทัน “มีรูปของพี่ชายผมอยู่ในนั้นงั้นเหรอ”

“ใช่” ผมสังเกตเห็นว่านัยน์ตาสีฟ้าอมเทาของเจ้าตัวเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง “แต่ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขาคือพี่ชายคุณ ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามันหมายความว่ายังไง นอกจากรูปแล้วก็ของอีกสองชิ้น แต่ผมก็ยังหาความเชื่อมโยงของมันไม่ได้อยู่ดี”

“แล้วคุณจะพูดอะไรครับ”

ผมรู้สึกเดือดปุดขึ้นมากับท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของอีกฝ่าย ลืมความกลัวที่มีเมื่อครู่ไปจนหมด ผมลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ จ้องหน้าเขา หากน้ำเสียงที่ผ่านริมฝีปากออกมาเรียบสงบติดจะเย็นเยียบ

“ผมจะพูดอะไรงั้นเหรอ? ผมไม่มีอะไรจะพูดหรอก ไซม่อน คุณต่างหากที่มีอะไรจะพูด ผมรู้ว่าคุณมีเรื่องปิดบังผม ทำไมคุณถึงไม่เริ่มจากเรื่องรูปของแบรดที่ผมได้จากคริสก่อนล่ะ”

“ออสติน คุณ...” เจ้าตัวดูเหวอไปนิดหนึ่ง หากยังรักษาท่าทีเยือกเย็นไว้ได้ “ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่าไหมครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้เรื่องของคริสกับ---”

“คุณจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันเป็นเรื่องบังเอิญเหรอ” ผมกัดฟันกรอด มองคนตรงหน้าที่นิ่งไปเล็กน้อย สีหน้าเจ้าตัวครุ่นคิด หากลักษณะเหมือนยอมรับนั่นทำให้ผมทั้งรู้สึกมีชัยและผิดหวังไปพร้อมๆ กัน “ทำไมต้องทำตัวมีลับลมคมในด้วย ไซม่อน คุณรู้อะไรทำไมถึงไม่บอกมาตรงๆ”

“มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนี่”

เหมือนเส้นความอดทนในหัวขาดผึง ผมกำมือแน่น จ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง หมุนตัวจ้ำเท้ากลับไปยังห้องนอน พอกันทีกับบทสนทนาที่ไม่คืบหน้าไปไหน ผมจะไม่ทนอยู่กับคนที่มีเรื่องปิดบังผมอย่างหมอนี่หรอก

“เดี๋ยวก่อน ออสติน” เสียงของเขาไล่หลังมา มือหนาพยายามเอื้อมมาคว้าแขนผม แต่ผมเบี่ยงหลบ

“ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัวของคุณ”

“ฟังก่อน ผมอธิบายได้ มันก็จริงอยู่ที่ผมมีเรื่องปิดบังคุณ”

ผมตรงไปหยิบชุดลำลองของตัวเองที่พับวางเอาไว้บนเก้าอี้ ถอดชุดนอนที่ไซม่อนให้ยืมออกแล้วหยิบของตัวเองขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นก็ทำหูทวนลมกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วย

“แต่ผมบอกคุณไม่ได้เพราะเรื่องพวกนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยจริงๆ มันเกี่ยวกับแบรด… และมันอาจจะเกี่ยวกับคริสเตียนด้วยก็ได้ แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

“คุณจะบอกว่าเรื่องของคริสเตียนไม่เกี่ยวอะไรกับผมเหรอ?” ผมหันกลับไปถามเขาอย่างเอาเรื่อง ดวงตาวาววับขนาดที่ตัวเองยังรู้สึกได้ “คุณก็รู้ว่าผมเกลียดเขาแล้วก็อยากให้ตำรวจจับเขาได้มากแค่ไหน แต่พอคุณรู้อะไรที่อาจจะเชื่อมโยงไปถึงหมอนั่นได้ คุณกลับไม่บอกผมอย่างนั้นเหรอ?”

“ฟังก่อน ออสติน มันไม่---”

“ผมว่าวันนี้พอแค่นี้เถอะ” ผมยกมือห้ามเขา หยิบข้าวของทุกอย่างของตัวเองขึ้นมา ตรงไปหยิบเสื้อนอกที่ไซม่อนบรรจงแขวนให้เมื่อคืนตอนผมมาที่นี่ “ยังไงคุณก็จะไม่เล่าให้ผมฟัง และยังไงผมก็จะไม่ฟังคำแก้ตัวของคุณ ถ้างั้นก็เชิญคุณอยู่กับความจริงที่คุณปิดบังผมไว้คนเดียวเลย อ้อ ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังนะ ผมจะหาทางเอง คุณคงคิดว่ามีแต่พวกตำรวจหรือนักสืบเท่านั้นสินะที่จะหาความจริงได้ ผมไม่ใช่คนโง่นะไซม่อน ต่อให้คุณจะคิดแบบนั้นอยู่ก็เถอะ”

“ไม่ ออสติน ผมไม่ได้คิด-- ออสติน เดี๋ยวครับ คุณไม่ควรอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้นะ เมื่อวานคุณเพิ่งจะ--”

แต่ผมไม่ฟังเขา เดินกระแทกเท้าออกจากห้องพักของเขาจากนั้นจึงตบท้ายด้วยการกระแทกประตูอีกที

ไม่อยากบอกความจริงให้ผมรู้งั้นเหรอ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ผมจะตามหามันด้วยตัวเอง แล้วก็ไม่ได้ตามจากเขาด้วย!





“นี่นายยังจะมาทำงานอีกเหรอ” เสียงของเพื่อนร่วมงานฟังดูตื่นตะลึง เขามองหน้าผมที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องราวกับเห็นเอเลี่ยนจากดาวอังคารบุกมา “เพิ่งเจอเรื่องไปหมาดๆ ยังจะกล้ามาอีก นี่สปิริตหรือว่าบ้าเนี่ย? ออสติน”

“หนวกหูน่า แม็กซ์ แล้วตอนที่คนร้ายมันบุกเข้ามาเอาตัวฉันไปน่ะ นายไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ” ผมถามกลับอย่างหงุดหงิดขณะกระชับเครื่องแบบของตัวเองขึ้นสวม

“ตอนนั้นฉันไปตึกกลางพอดี… เฮ้ย แล้วนี่เดฟยอมให้นายมาทำงานเรอะ ถ้าหมอกอร์แมนรู้เรื่องนี้เข้ามีหวังโดนด่าแหลกแน่”

ผมเดินลิ่วๆ ไปที่เคสของตัวเอง ไม่สนใจคำพูดโวยวายของชู ผมจะใช้โอกาสที่ตัวเองได้บัตรพนักงานกลับมาใช้ตามหาความจริงด้วยตัวเอง จริงๆ แล้วผมเองก็เป็นหมอคนหนึ่ง… การที่จะเข้าถึงข้อมูลภายในไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย แต่ผมดันลืมนึกถึงข้อนี้ไปเสียได้

“เฮ้ แม็กซ์” ผมโผล่หน้าเข้าไปหาเพื่อนที่กำลังตรวจสอบร่างไร้วิญญาณอีกร่างหลังจากที่ทำงานของตัวเองต่อไปได้อีกครู่ “ฉันว่าจะไปทำรายงานสรุปคืนนี้สักหน่อย ที่ออฟฟิศคอมฉันยังว่างอยู่ไหม”

“ว่าง” เขาตอบกลับโดยไม่หันหน้ามามองผม “ของริสก็ว่าง แต่ของนายเองน่าจะคุ้นกว่าล่ะมั้ง?”

“อื้อ” ผมตอบกลับก่อนจะขอตัวผละไปทำงานต่อ

หลังจากที่คิดว่ารวบรวมข้อมูลได้มากพอแล้วสำหรับวันนี้ ผมก็ตรงไปที่อาคารฝั่งตะวันตกที่อยู่เยื้องจากตึกที่ผมทำงานภาคปฏิบัติไป อันที่จริงมันก็ออกจะยุ่งยากไม่ใช่น้อยที่ต้องเดินจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งแบบนี้ แต่ตรงที่ทำงานจริงก็ไม่มีพื้นที่มากพอที่จะทำสำนักงาน ดังนั้นสำนักงานของเราจึงต้องมาอยู่ที่ตึกอีกตึกซึ่งเปิดเช่าให้องค์กรต่างๆ มาเช่าพื้นที่ แน่นอนว่าคนที่ใช้ไม่ได้มีแค่คนจากโรงพยาบาลของผมเท่านั้น

ผมนั่งลงทำรายงานสรุปไปได้ครู่ใหญ่ เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างอีกทีท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำมืดแล้ว

“เฮ้ ออสติน” เสียงของแม็กซ์ดังขึ้น ผมขานรับในลำคอ ตายังไม่ละออกจากหน้าจอ “ฉันทำงานส่วนของฉันเสร็จแล้ว จะกลับบ้านล่ะนะ”

“อื้อ”

“เดฟเองก็กลับไปตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้ว”

“รู้แล้ว”

เขาเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือก

“นายแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียว”

“ไม่นานหรอก แม็กซ์ เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว” ผมว่า วางแผนในหัวเสร็จสรรพว่าพออีกฝ่ายไปจะจัดการหาข้อมูลที่ต้องการ

“นายเพิ่งโดนคนร้ายลากตัวไปเมื่อวานเองนะ” เขาพูดเสียงเป็นห่วง นั่นทำให้ผมนึกขึ้นได้ จะว่าไปไอ้ที่ผมกำลังทำอยู่นี่ถือว่าบ้าบิ่นมากๆ ยิ่งจะเหลือตัวคนเดียวอยู่ในอาคารที่แทบจะร้างผู้คนแล้วแบบนี้…

บางทีผมควรจะกลับตามที่ชูแนะนำ แต่ผมต้องหาข้อมูลนั่นจริงๆ

“แค่แป๊บเดียวจริงๆ”

ผมได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ จากนั้นเจ้าตัวก็เปิดลิ้นชักที่โต๊ะทำงานของผมแล้วหย่อนอะไรบางอย่างลงไปในนั้น ผมมองตามก่อนจะต้องเบิกตากว้าง มันคือปืนพกสีดำขลับ สภาพดูค่อนข้างใหม่ ผมไม่รู้เรื่องยี่ห้อหรือรุ่นหรือขนาดอะไรพวกนั้นหรอกนะ รู้แต่ว่ามันคือปืนแน่แหละ

“อะไรเนี่ย” ผมถามทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่ามันคือปืน

“เผื่อนายต้องใช้… เอาเป็นว่าวันนี้ฉันลืมปืนเอาไว้ในสำนักงานก็แล้วกัน ถ้าใครถามน่ะนะ”

“แต่… นี่มัน” ผมอึกอัก จากที่ไม่กลัวอยู่จนถึงเมื่อครู่ ตอนนี้เริ่มหวาดหวั่นขึ้นมาจริงจัง “ไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

“กันไว้ยังไงก็ดีกว่าแก้” เจ้าตัวว่าพร้อมกับยักไหล่ ผมหยิบปืนกระบอกนั้นขึ้นมาพิจารณา ว่าแต่ไอ้หมอนี่มีของแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย ไม่ยักรู้ “รู้วิธีใช้รึเปล่า นายต้องขึ้นนกตรงนี้ก่อน แล้วค่อยลั่นไก ทำเป็นใช่ไหม ลั่นไกน่ะ”

“รู้แล้วล่ะน่า” ผมชักสีหน้ากับน้ำเสียงล้อเลียนของอีกฝ่าย ยัดมันใส่กลับลิ้นชักที่เดิมก่อนจะบ่นอุบ “ยังไงก็ขออย่าให้ต้องได้ใช้เลย”

“นั่นสิ แล้วนี่นายแน่ใจนะว่าจะอยู่คนเดียวได้”

“เถอะน่า ทิ้งปืนไว้ให้ฉันแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมว่า หันกลับไปให้ความสนใจกับหน้าจอตัวเองต่อ

“ตามใจ ยังไงก็อย่าประมาทแล้วกัน เจอกันนะ ออสติน”

ผมโบกมือลาเพื่อนร่วมงาน นั่งจมอยู่กับสิ่งที่ตัวเองทำค้างต่ออยู่อีกครู่หนึ่ง

เหลือบตามองดูนาฬิกาอีกทีก็ผ่านมาเกือบชั่วโมงหนึ่งแล้ว ผมเอาหนังสือที่ตัวเองเขียนค้างไว้อยู่มาทำต่อด้วย มันเลยเพลินกว่าที่ตั้งใจไว้ไปนิด

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ สำนักงานที่แสนคุ้นตา ไม่มีใครอยู่ที่นี่อีกแล้ว ผมเองก็รู้เรื่องนั้นดีแต่ยังอดระแวงไม่ได้

ผมเปิดโปรแกรมที่เชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ทางการแพทย์ สิ่งที่ผมจะทำตอนนี้ก็คือหาผู้บริจาคอวัยวะและร่างกาย เดินไปหยิบโน้ตกระดาษซึ่งเป็นรหัสการเชื่อมต่อกับโอดีอาร์ มันคือชื่อย่อของศูนย์รับบริจาคโลหะและอวัยวะ รหัสตัวนี้เข้าถึงได้ง่ายกว่าที่ใครหลายคนคิดมาก เพราะถึงแม้ว่าทางเบื้องบนจะกำหนดให้มีการเปลี่ยนรหัสทุกเดือน แต่เพราะเจ้าหน้าที่พยาบาลที่หมุนเวียนกันไปทำให้มีการเขียนรหัสผ่านแปะไว้ในโน้ตที่ว่า ถ้าให้พูดกันตามตรงก็คือมันเป็นความหละหลวมซึ่งถือเป็นความล้มเหลวของระบบ

แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ผมกำลังใช้ประโยชน์จากมัน เพราะงั้นมันก็ถือเป็นข้อดีสำหรับผมล่ะนะ

ผมเริ่มคีย์รหัสที่ได้มาลงในคอมพิวเตอร์หน้าจอของตัวเอง รู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองเต้นดังและรัวขึ้นระหว่างที่มองลูกศรเปลี่ยนเป็นรูปวงกลมแล้วหมุนติ้วๆ อันเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่ากำลังดาวน์โหลดข้อมูลอยู่


.
.
.
.
(50%)





---------------------------------------
Talk: เอาครึ่งตอนแรกมาฝากค่า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ >3<
#ไซออส #sweetsanc
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2017 17:56:40 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ Airiณ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
[ต่อ]



ผมเริ่มคลิกเข้าไปในตัวโปรแกรมของโอดีอาร์ ไม่ค่อยได้เข้ามาใช้บริการเท่าไหร่หรอก แต่ตัวโปรแกรมก็ออกแบบมาได้เข้าใจง่ายดี

ภายในตัวโปรแกรมดังกล่าวขึ้นชื่อของผู้บริจาคยาวออกมาเป็นพรืด ผมเริ่มจากคีย์ข้อมูลให้จำกัดวงแคบลงมาโดยเหลือแต่ผู้บริจาคที่มีหมู่เลือดเอบี สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือมองหาชื่อของแบรด แมคแนร์

เวลายังคงเดินไปอย่างปกติ แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้มันจบ ความกดดันดังกล่าวจึงกดทับบ่าลงมา

ผมยกลิ้นขึ้นเลียริมฝีปาก กวาดตามองรายชื่อทั้งหมดอย่างร้อนรน จนกระทั่งสายตาไปสะดุดอยู่บนชื่อของแบรดเข้า เกือบจะอุทานออกมาด้วยความยินดีอยู่แล้วแต่ก็กลั้นไว้ได้ ผมตวัดสายตามองที่หลังชื่อเขาอย่างรวดเร็ว มีเครื่องหมายดอกจันและตัวอักษรดีอยู่ท้ายชื่อของเขา

ผมรู้ความหมายของตัวอักษรดีนี่ มันเป็นตัวย่อ หมายถึงผู้บริจาคอวัยวะ คนพวกนี้จะลงชื่อเอาไว้เผื่อเวลาที่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ทางโรงพยาบาลจะมองเห็นสัญลักษณ์นี่บนใบขับขี่หรืออะไรก็ตามเพื่อที่จะได้เอาอวัยวะไปได้อย่างทันท่วงที

แต่ดอกจันสามดอกนี่… ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหมายความว่าอะไร

“อืม…” ผมเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด ไล่หารายชื่ออื่นๆ ดู บางชื่อก็มีทั้งสัญลักษณ์ตัวดีและดอกจัน บางชื่อก็มีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง

ผมกดเข้าไปดูในส่วนอื่นๆ ของทางเว็บ ในที่สุดก็ค้นพบว่าเครื่องหมายดอกจันนี่หมายถึงซีเอ็มวีเนกาทีฟ จะว่ายังไงดี… คนส่วนใหญ่แล้วจะมีไวรัสในกระแสเลือดซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตที่เรียกว่าซีเอ็มวี แต่การที่มีเครื่องหมายดอกจันนี่แปลว่าคนคนนั้นไม่มีซีเอ็มวีที่ว่า นี่เป็นข้อมูลที่สำคัญเวลาใช้จับคู่ระหว่างผู้บริจาคกับผู้รับบริจาคอวัยวะ แปลว่าเราสามารถหาข้อมูลตัวนี้ผ่านทางโอดีอาร์ได้ด้วยสินะ

ผมยกลิ้นเลียริมฝีปาก กดปุ่มปรินท์รายชื่อของผู้บริจาคกรุ๊บเลือดเอบีออกมาทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะได้ใช้ประโยชน์อะไรไหม แต่ก็อยากจะเก็บเผื่อเอาไว้หน่อย

ผมพยายามดูว่าตัวเองจะเข้าไปถึงลข้อมูลเชิงลึกกว่านี้ได้ไหม ผมกดปุ่มที่เป็นเครื่องหมายไอค่อนรูปหัวใจบนหน้าจอ มันขึ้นมาให้ใส่รหัสผ่าน ผมพิมพ์รหัสเดิมที่อยู่บนกระดาษเข้าไป แต่ไม่ได้ผล มันไม่ใช่รหัสเดียวกัน

“ฮืม...” ผมพ่นลมหายใจออกมาเพื่อผ่อนคลายตัวเอง ตัดสินใจลุกไปป้วนเปี้ยนที่คอมของเดวิดอันเป็นที่ที่ผมได้รหัสตัวแรกมา ควานหาโน้ตหรืออะไรก็ตามที่พอจะเป็นรหัสได้ ผมเจอมาสองสามใบเหมือนกัน ดีที่ผมเริ่มลงมือทำตามแผนในเวลาที่ไม่มีใครอยู่แบบนี้ ไอ้เรื่องที่อาจโดนใครจับได้อาจไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเกิดว่าผมโดนจับได้ขึ้นมาจริงๆ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ ที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าละเมิดกฎไปนานแล้ว แต่มาถึงขั้นนี้…

ผมคีย์รหัสใหม่ที่ได้มาเข้าไปอีกครั้ง เข้าไปยังฐานข้อมูลที่ต้องการด้วยรหัสอันที่สองจากที่หยิบมา เกือบจะร้องตะโกนด้วยความยินดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าผมมีเรื่องสำคัญอย่างอื่นให้ทำก่อนล่ะก็นะ

“เอาล่ะ แบรด แมคแนร์… แบรด แมคแนร์” ผมไล่สายตาหาชื่อเจ้าของหัวใจคนก่อนของผม เจอไฟล์ข้อมูลของเขาแล้ว

ผมคลิกเข้าไปดูแล้วไล่สายตาอ่านอย่างรวดเร็ว รู้สึกเหมือนอะดรีนารีนสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง ก่อนความลิงโลดจากการค้นพบนั้นจะค่อยๆ มอดลงเมื่อผมอ่านเนื้อหาสั้นๆ ที่ระบุอยู่ด้านใน



เสียชีวิตระหว่างถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล อวัยวะภายในไม่สามารถใช้การได้



ผมตัวชาวาบ รู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ทาบลงมาบนตัว

คำอธิบายที่อยู่ในไฟล์นั้นสั้น กระชับและได้ใจความ

ผมพยายามหาปุ่มเพื่อเพื่อกดคลิกดูรายละเอียดอย่างอื่นเกี่ยวกับแบรด แต่ไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่าสิ่งที่ระบุอยู่ในหน้าแรกอีกแล้ว

แบรดตายก่อนที่จะถึงโรงพยาบาล อันที่จริงต่อให้คุณตายไปแล้วแต่ถ้าอวัยวะด้านในยังใช้งานได้อยู่ มันก็มีสิทธิ์ที่จะโอนถ่ายไปให้คนอื่นได้ เอ่อ เวลาที่เกิดการโอนถ่ายระหว่างผู้บริจาคกับผู้รับบริจาคก็เป็นแบบนั้นแหละ เราไม่สามารถโอนถ่ายอวัยวะภายในของคนที่ยังไม่ตายมาให้อีกคนได้อยู่แล้ว

แต่จากรายงานที่เห็นนี่… สรุปได้ใจความสั้นๆ ง่ายๆ เลยว่าอวัยวะภายในของเขาไม่ได้เกิดการโอนถ่ายใดๆ มันหยุดทำงานลงไปก่อนแล้วตั้งแต่ตอนที่ร่างของเขาอยู่ระหว่างการเดินทางมาโรงพยาบาล

ผมได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายลงในคออย่างอึดอัด รู้สึกเหมือนโดนความจริงตบลงมาจนหน้าชาไปทั้งแถบ

ไซม่อนโกหกผม…

เรื่องนี้ชัดเจนมากพอแล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าควรรู้สึกกับเรื่องนี้ยังไงดี หรือว่าควรจะพูดกับเขายังไงหลังจากนี้ รู้อยู่อย่างเดียวคือโกหกผม และมันก็ทำให้ผมโกรธมาก ในหัวตื้อไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก

ไอ้สารเลวไซม่อน ทำกันได้นะ

ผมกดออกโปรแกรม ปิดหน้าจอ ปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้วนำโน้ตรหัสไปวางที่เดิม ในใจโกรธกรุ่นไปหมด นึกสาปแช่งเจ้าหน้าที่หนุ่มจอมโกหกคนนั้นจนคิดเรื่องอื่นไม่ออก

ผมโยนกระดาษรายชื่อที่เพิ่งปรินท์ออกมาเข้ากระเป๋าส่วนตัว รวบของทั้งหมดยัดลงไป ปิดไฟและล็อกห้องทำงาน มุ่งหน้าไปตามโถงทางเดินด้วยอารมณ์ที่ปะทุอยู่ด้านใน กระแทกประตูกระจกของตัวอาคารอย่างหัวเสีย ก้าวเท้าฉับๆ เข้ามาในลานจอดรถซึ่งจะเชื่อมไปยังพื้นที่ด้านนอก ผมยังไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถไปไหนมาไหนได้เอง แท็กซี่จึงเป็นทางเลือกเดียวของผม

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินตัดผ่านลานจอดไปยังถนนภายนอกได้ ผมก็สังเกตเห็นชายคนหนึ่งเดินออกจากมุมมืดของลานจอดรถ

เขาอยู่ห่างออกไปจากผมราวสี่สิบเมตรได้ รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ สวมหมวกปีกกว้างที่ปิดต่ำลงมาทำให้เห็นหน้าได้ไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก เขาสวมเสื้อคอปกอยู่ด้านในเสื้อแจ๊คเก็ตหนังสีดำ จังหวะการก้าวเดินของเขามีรังสีคุกคามบางอย่างแผ่ออกมา ไม่ว่าจะด้วยสัญชาติญาณหรืออะไรก็ตาม สายตาผมเหลือบไปเห็นสิ่งที่เหมือนปลายด้ามมีดสั้นอยู่ใต้เสื้อแจ๊คเก็ตที่เปิดออกในจังหวะที่เขาย่างก้าว

ผมหยุดฝีเท้าของตัวเองลงทันที ตัวแข็งเป็นหิน ยิ่งเห็นอีกฝ่ายตรงมาที่ตัวเองยิ่งทำให้ความกลัวทาบเข้ามาในอก วินาทีนั้นราวกับว่ามีแค่ผมกับชายคนนั้น ผมมีทางเลือกอยู่แค่สองทางในหัวตอนนี้ จะสู้หรือจะหนี ความกดดันนั้นกระตุ้นให้ผมเลือกอย่างรวดเร็ว สมองผมประมวลผลออกมาฉับพลัน มันบอกผมว่าชายคนนี้คือคนที่ลากตัวผมไปกรีดแผลที่ขาเมื่อวาน และเขามีอาวุธ

และตอนนี้สมองก็กำลังสั่งให้ผมวิ่ง!

ผมหมุนตัวและออกวิ่งกลับไปยังตัวอาคารที่เพิ่งออกมา

“อึก!” ผมหลุดเสียงออกมาสั้นๆ ความหวาดกลัวที่ล้นปรี่ขึ้นมาทำให้สมองคิดหาทางหนีทางไล่อย่างรวดเร็ว และผมก็นึกถึงปืนที่ชูทิ้งไว้ให้ในลิ้นชักออกทันที

ปืน… ต้องไปเอาปืน!

ผมต้องเป็นฝ่ายฆ่าไม่งั้นก็โดนฆ่า ซึ่งผมไม่ขอเป็นอย่างหลังแน่ล่ะ

เนื่องจากนี่เป็นเวลาหลังเลิกงาน ประตูอาคารจึงล็อกอัตโนมัติหลังจากที่ผมเดินออกมา ผมรีบวิ่งกลับไปทางเดิม ล้วงกระเป๋า กระชากคีย์การ์ดขึ้นมาไว้ในมือ เศษเหรียญจากในนั้นหล่นลงกระทบกับพื้น เสียงฝีเท้าของชายคนนั้นยังดังไล่หลังมา ผมหอบหายใจถี่ขึ้นด้วยความกลัว อะดรีนาลีนสูบฉีดไปทั่วร่างจนร้อนผ่าวไปหมด

ผมแตะคีย์การ์ดลงบนเครื่องแสกนที่อยู่บนผนังข้างประตู ผลักประตูเข้าไปอย่างแรงเมื่อได้ยินเสียงติ๊ดสั้นๆ ซึ่งบ่งบอกว่าล็อกถูกเปิดออกแล้ว ผมถลาเข้าไปข้างในตามโถงทางเดิน วิ่งตรงไปยังห้องทำงานของตัวเอง จากหางตา ผมเห็นชายคนนั้นคว้าประตูที่กำลังจะงับปิดลงได้ทัน ผมสบถออกมาอย่างร้อนรน

หมอนั่นยังตามมาอยู่… ถ้าไม่รีบไปเอาปืนล่ะก็…

คีย์การ์ดยังอยู่ในมือ ผมรีบทาบมันลงเครื่องแสกนของห้องทำงาน สัญญาณไฟสีแดงกระพริบขึ้นมาบ่งบอกว่าไม่สามารถเปิดประตูออกได้ ผมอ้าปากค้างอย่างตกใจ พยายามขยับตัวบัตรลงบนเครื่องแสกนอีกรอบ ก็เมื่อตอนช่วงเย็นผมยังใช้มันเปิดประตูได้อยู่เลย

เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายยังไล่ตามมาด้านหลัง ผมพลิกบัตรพนักงานของตัวเองไปอีกฝั่ง สัญญาณไฟสีเขียวกระพริบขึ้นมา ประตูเปิดออกในที่สุด ผมดันตัวเข้าไปในห้องทำงาน รีบหันกลับไปกระแทกประตูปิดลงก่อนจะลงล็อก ถลาไปเปิดสวิทช์ไฟ เดินผ่านโต๊ะที่เป็นเหมือนแผนกต้อนรับ ผ่านโต๊ะตัวอื่นที่เรียงรายกันจนไปถึงโต๊ะของตัวเอง กระชากลิ้นชักเปิดออก หยิบปืนออกมาจากซองด้วยมือที่สั่นเทา ได้ยินเสียงกุกกักที่อยู่ข้างนอกนั่น

ผมเล็งปืนไปที่บริเวณเสียงนั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหลับตาแน่น ยกปืนขึ้นเหนือหัวแล้วยิงนัดแรกขึ้นเพดาน แรงดีดกลับทำให้ไหล่ชาไปทั้งแถบ มือก็หนักอึ้งไปหมด เสียงสะท้อนดังลั่นอยู่ในพื้นที่ปิดที่คับแคบ

เอาซี่… ถ้าอยากจะเข้ามาล่ะก็…

เข้ามาเลย!

ผมยังได้ยินเสียงของคนด้านนอก ผมตัดสินใจยิงปืนขึ้นบนเพดานอีกนัดหนึ่ง ดูเหมือนคราวนี้เสียงฝีเท้าที่ผมกลัวนักหนาจะเริ่มห่างออกไป บางทีมันอาจจะถอยตั้งแต่ได้ยินเสียงปืนนัดแรกแล้วก็ได้ แต่ผมไม่ทันจับสังเกตเท่านั้นเอง

“แฮ่ก… แฮ่ก” ผมทิ้งน้ำหนักลงบนขาทั้งสองข้าง มันโงนเงนเหมือนจะล้ม รู้สึกเข่าอ่อนขึ้นมาดื้อๆ ผมเอื้อมมือไปควักโทรศัพท์ขึ้นมา กดหาไซม่อนอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด วินาทีนั้นความโกรธที่มีต่อเขาไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว

โชคดีที่อีกฝ่ายรีบสายเร็วทันใจ เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาหลังจากกริ่งที่สอง

“ฮัลโหล ว่าไงครับ ออสติน นี่คุณได้อ่านข้อความที่ผม---”

“คนร้ายคนนั้นกลับมาหาผม!”

ปลายสายนิ่งไปทันที “คุณว่าไงนะ”

“ก็ไอ้คนที่จับตัวผมไปเมื่อวานไง!” ผมพูดเสียงดังและค่อนข้างรัวด้วยอารามตกใจ ตอนนี้ร่างผมทรุดลงไปนั่งกับพื้นเรียบร้อยแล้ว “มัน… มันวิ่งตามผมเข้ามาในสำนักงานเมื่อกี้!”

“ออสติน ใจเย็นๆ ก่อน ตั้งสติหน่อย ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนแล้วคนร้ายที่ว่าอยู่ที่ไหน”

ผมหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความอับอาย เสียงที่ผมกรีดลงไปในโทรศัพท์เมื่อกี้ดูเหมือนคนจนตรอกมาก ความเครียดในช่วงเวลานี้มันบีบอัดเข้ามาจนจะทำให้ผมเป็นบ้า

ผมพยายามเรียกความเยือกเย็นของตัวเองกลับคืนด้วยการสูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง เมื่อสติเริ่มกลับคืนมาผมจึงกรอกเสียงลงไปอีกครั้ง

“ผมอยู่ที่สำนักงานของหน่วยผมน่ะ ไม่ใช่ในโรงพยาบาลนะ แต่เป็นตึกข้างๆ ผมเจอมันที่ลานจอดรถ ก็เลยวิ่งกลับเข้ามาในตึก มันตามผมเข้าด้วย แต่ตอนนี้ไอ้คนร้ายมันไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมยิงปืนไปสองนัดแล้วมันก็--”

“นี่คุณมีปืนด้วยเหรอ” น้ำเสียงของเขาดูตกใจ

“ใช่ ก็มีน่ะสิ! แต่มันไม่สำคัญหรอก” ผมตะโกนกลับด้วยเสียงที่ดังกว่า ปัดโธ่เว้ย คนกลัวจนประสาทจะเสียอยู่แล้วยังจะมาถามอะไรไม่เข้าท่าอีก

“เอาล่ะ ออสติน ฟังผมนะครับ ผมจะไปถึงที่นั่นภายในสิบนาที คุณรออยู่ข้างในสำนักงานนั่นของคุณ ถ้าไม่ใช่ผมล่ะก็ ห้ามเปิดประตูรับใคร เข้าใจไหม”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ไปไหนแน่ แล้วก็จะไม่เปิดประตูรับใครด้วย”

“พอผมไปถึงแล้ว อย่ายิงผมเข้าแล้วกันไม่ว่าจะตั้งใจหรืออุบัติเหตุก็แล้วแต่ ผมยังไม่อยากตาย”

“แต่ถ้าคุณไม่รีบมา ผมอาจจะตายก่อนจริงๆ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นกลัวอย่างน่าสมเพช

“เขาต้องการตัวคุณไปทำไมกัน”

“ผมจะไปรู้ได้ไง”

“คุณเห็นหน้าเขารึเปล่า--”

“นี่ ทำไมคุณถึงไม่เลิกถามคำถามแล้วรีบๆ มาหาผมสักที!” ผมเริ่มพูดด้วยอาการลนลานขึ้นมาอีกรอบ และเพราะใส่อารมณ์มากเกินไปผมถึงได้บีบมือแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เสียงปืนดังลั่นขึ้นนัดหนึ่งอย่างน่ากลัว ลูกกระสุนฝังลงไปในพื้น ผมสะดุ้งสุดตัวราวกับเป็นคนที่โดนยิงเสียเอง

“ออสติน!” ไซม่อนเรียกชื่อผมอย่างเสียขวัญ “เกิดอะไรขึ้น!? คุณโอเครึเปล่า?”

ผมนิ่งเงียบไป ยังตกใจเสียงปืนเมื่อครู่อยู่

“ออสติน!!”

“ผะ… ผมโอเค” ผมอึกอัก หน้าร้อนขึ้นอีกครั้งด้วยความอาย “ผมปลอดภัยดี”

“คุณยิงเขางั้นเหรอ ออสติน คุณยิงโดนเขาเหรอ?”

ผมไม่ตอบ ไม่รู้จะตอบยังไงดีมากกว่า

“เขาตายรึเปล่า”

“รีบๆ มาหาผมเถอะ” ผมคราง “ได้โปรด”

ปลายสายมีสุ้มเสียงอ่อนลงทันที “ผมจะรีบไปครับ รอผมหน่อยนะ”





----------------------------------------------------
Talk: ครึ่งหลังนี่ดูมีอะไรเยอะจนไม่รู้จะจับประเด็นไหนดีเลยค่ะ เอาเรื่องที่ไซม่อนโกหกหรือเรื่องที่คนร้ายวิ่งตามออสตินหรือเรื่องที่นางทำปืนลั่นดี 55555555 //ส่วนตัวแล้วชอบฉากออสตินทำปืนลั่นมาก น่ารัก(?)
#ไซออส #sweetsanc
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2017 13:39:05 โดย Airiณ »

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
ร้องห๊ะดังมาก
แล้วไซม่อนโกหกไปเพื่ออะไร
หรือหัวใจของออสตินตอนนี้จริงๆเป็นของคริสเตียน
แต่ไม่อยากบอกให้ออสตินรู้กลัวจะรังเกียจ
พอคิดงี้แล้วไซม่อนก็แทบไม่เกี่ยวอะไร
งงในงง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ร้องห๊ะดังมาก
แล้วไซม่อนโกหกไปเพื่ออะไร
หรือหัวใจของออสตินตอนนี้จริงๆเป็นของคริสเตียน
แต่ไม่อยากบอกให้ออสตินรู้กลัวจะรังเกียจ
พอคิดงี้แล้วไซม่อนก็แทบไม่เกี่ยวอะไร
งงในงง

งง งงเด้ๆๆ  :really2: :really2: :really2:
ไม่เข้าใจไซม่อน
แทนที่จะรีบมาช่วย มัวแต่ซักถามเห็นหน้าคนร้ายไหม
มันยังไง หรือไซม่อนรู้เห็น การข่มขู่นี่ด้วย
ที่แน่ๆ ไซม่อนโกหกเรื่องหัวใจที่ว่าเป็นของแบร็ดและ เพิ่ออะไร  :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2017 17:25:15 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ตอนนี้ไม่รู้นะว่าไซม่อนเข้ามาเพราะเรื่องอะไร
อาจจะอ้างเรื่องแบรดเพราะคิดว่ายังไงออสตินก็ไม่น่ารู้ว่าคนที่บริจาคเป็นใคร จะไปสืบก็ไม่ได้เพราะถูกพักงานอยู่ เพื่อจะได้เข้ามาอยู่ใกล้ๆค่อยดูแลปกป้องก็ได้

แต่ตอนนี้ระทึกกับคนที่จะลอบมาทำร้ายออสตินมาเลย คือเกร็งทีเดียวอ่ะตอนนี้ ต้องขอบคุณโชจริงๆที่ทิ้งปืนไว้ไม่งั้นแย่แน่ๆเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด