ตอนที่ 5 เจ้ากรรมนายเวร 2
“พัตเตอร์ นายเห็นนะโมด้วยหรอ”
“ก็ถ้านะโมที่พี่ชลพูดถึงคือผู้ชายเสื้อแดงที่ยืนตรงประตู ใช่ผมเห็น” พัตเตอร์ตอบผมมาอย่างไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไร ทั้งๆที่สิ่งที่เด็กนั่นกำลังมองเห็นอยู่นั่นคือวิญญาณนะ
“แล้วนายรู้ใช่ไหมว่านะโมเป็น.....” ผมพูดเสียงก็อ่อยและเบาลงเรื่อยๆเพราะไม่มีความมั่นใจมากพอที่จะพูดสิ่งที่มะโนเป็นออกมา เพราะผมไม่รู้ว่าตอนนี้พัตเตอร์กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือบางทีเด็กนั่นอาจจะแค่นึกว่าผมกำลังเสียสติจนพูดคนเดียวเป็นตุเป็นตะเลยเล่นตามน้ำไปกับผมแล้วบังเอิญเดาสีเสื้อนายนะโมถูกเท่านั้นก็เป็นได้
ผมเหลือบตามองไปทางนายนะโมหมายจะขอความเห็น แต่ดูท่าแล้วนายนั่นคงจะให้ความเห็นอะไรผมไม่ได้มากสักเท่าไหร่ ผมเห็นเขายืนกอดอกมองตรงไปที่พัตเตอร์ราวกับว่าพร้อมจะมีเรื่อง ไม่รู้ว่าทำไมนายนั่นถึงได้ไม่ชอบพัตเตอร์ขนาดนั้น
“รู้สิ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าที่พี่ช็อคจนหมดสติไป เป็นเพราะพวกเด็กที่มากับพี่ฟางใช่ไหม” ผมถึงกับสะอึกเมื่อสิ่งที่พัตเตอร์พูดออกมามันตรงกับสิ่งที่ผมได้เห็นจริงๆ ก็คงพอจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าพัตเตอร์ก็สิ่งเหล่านั้นเหมือนกับผม
“แล้วทำไมนายถึง....”
“พี่อย่าเพิ่งถามเรื่องผมเลย แต่ตอนนี้ผมขอเตือนพี่เลยนะว่าอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องนั้นไม่อย่างนั้นพี่เองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน ผมห่วงพี่มากนะพี่ชล”
“แล้วถ้าชลเข้าไปยุ่ง แล้วชลช่วยเขาไม่ได้ชลก็จะเป็นทุกข์เปล่าๆ รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงชลมากกว่าใคร” สามพยางค์หลังนายนะโมเน้นเสียงชัดถ้อยชัดคำว่าปกติ
ท่าทางและสายตาที่นายนะโมมองพัตเตอร์ และท่าทีของผมเด็กนั่นมองกลับมา ผมพอจะเดาว่าหนึ่งคนกับหนึ่งวิญญาณนั้นคงไม่ค่อยจะถูกชะตากันสักเท่าไหร่ ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ แล้วจะมีเรื่องอะไรให้บาดหมางกัน แต่เรื่องนั้นช่างก่อนเพราะตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะมาเคลียร์ปัญหาให้กับพวกนั้น เพราะตอนนี้ผมมีที่เรื่องสำคัญกว่าให้เครียดมากพอแล้ว
“ทำไมพวกนายเย็นชากันแบบนี้ นั่นชีวิตคนทั้งคนนะ ยังไงฉันก็จะช่วยฟาง ใครก็ห้ามฉันไม่ได้” ผมพูดเสียงดังด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจอย่างมาก ย้ำชัดเจตนาเดิมที่จะต้องช่วยน้องฟางให้ได้ ผมมองพวกเขาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ทำไมพวกนั้นถึงได้เย็นชาขนาดที่จะนิ่งเฉยกับความเป็นความตายของคนคนหนึ่งได้
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
ผมขับรถพุ่งตรงที่หาน้องฟางที่ห้องพักหลังจากได้ที่อยู่จากเจ๊วาว่า เพราะผมพยายามติดต่อเธอทางโทรศัพท์เท่าไหร่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เลย นายนะโมและพัตเตอร์สองคนนั้นถึงแม้จะค้านผมชนิดที่หัวชนฝาแต่ยังติดตามผมมาด้วย
“เข้าไม่ได้!” หญิงชราในชุดนุ่งขาวห่มขาวปรากฏกายขวางทางพวกเราไว้ตรงประตูทางเข้าแมนชั่น หญิงชราท่านนั้นปรากฏกายมาพร้อมกับแสงสีขาวที่แผ่รัศมีปกคุมไปทั่วบริเวณ แสงนั้นอาจไม่ได้ส่งผลประกบอะไรกับผมและพัตเตอร์ แต่กับนายนะโมร่างของนายนั่นกระเด็นออกไปไกลตามรัศมีของแสงนั้น ดูท่านายนั่นคงจะเจ็บไม่น้อยเขาพยุงตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆด้วยหน้าตาที่ดูไม่เข้าค่อยสู้ดีนัก
“นายนะโม นายเป็นยังไงบ้าง”
“ร้อน ผมทั้งแสบทั้งร้อนไปทั้งตัวเลยชล” เขาตอบผมเสียงสั่นเครือ นายนะโมกอดตัวเองราวกับต้องการจะประทังความเจ็บปวดของร่างกายอย่างน่าเวทนา
“ท่านครับ ให้เขาเข้าไปเถอะนะครับ เขามากับพวกผม เขาไม่ทำร้ายใครหรอกครับ”
“ยังไงก็ไม่ได้ เอ็งไม่ใช่เจ้าของที่นี่ เอ็งไม่มีสิทธิอนุญาตให้วิญญาณที่ไหนเข้าไปทั้งนั้น” หญิงชราท่านนั้นประกาศเสียงกร้าว หน้าตาท่านดูดุดันและดูเข้มงวดมาก
“ถ้าอย่านั้นพี่ก็รออยู่ด้านนอกนี่แหละ เดี๋ยวผมจะขึ้นไปกับพี่ชลเอง แล้วผมจะดูแลพี่ชลเป็นอย่างดี” พัตเตอร์พูดกับนายนะโมพร้อมกับยกแขนอ้อมมาโอบบ่าผม นายนะโมที่ยังตัวสั่นจากความเจ็บปวดมองกลับมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“ผมไม่ให้เขาเข้าไปก็ได้ แต่ท่านช่วยทำให้เขาหายทรมานได้ไหมครับ ผมขอร้อง” ผมขอร้องหญิงชราท่านนั้น
“ได้ ถ้ามันไม่เข้ามาใกล้พื้นที่ของข้าอีก มันก็จะดีขึ้นเอง”
ถึงไม่อยากทิ้งนายนะโมไว้ตรงนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เพราะตอนนี้มีเรื่องของน้องฟางที่สำคัญกว่าที่ผมต้องจัดการ ผมหันกลับไปมองนายนะโมอย่างอดห่วงไม่ได้ นายนั่นมองตามผมกับพัตเตอร์ตาละห้อย อย่างน้อยตอนนี้ภาษากายของนายนั่นที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดเมื่อครู่ก็เริ่มดูดีขึ้นแล้วผมก็ยังพอเบาใจไปได้บ้าง
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
“ผมมาหาฟางครับ ห้อง510” ผมบอกกล่าวกับพนักงานที่เคาท์เตอร์ พร้อมบอกชื่อผมและชื่อร้าน เธอยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงห้องน้องฟาง พูดคุยกันครู่หนึ่ง เธอจึงอนุญาตให้ผมกับพัตเตอร์ขึ้นไปได้
ผมกับพัตเตอร์ขึ้นลิฟท์ที่ดูจากสภาพแล้วคงมีระยะการใช้งานมาแล้วเนิ่นนาน ไม่รู้เพราะสภาพลิฟท์ที่ดูเก่าแก่หรือเปล่ามันเลยทำให้ผมจินตนาไปเองว่าบรรยากาศด้านในนี้มันช่างวิเวกวังเวงชอบกล เพียงแค่ประตูลิฟท์ปิดลงผมก็ขนลุกเกรียวไปทั้งร่างขึ้นมาทันใด
ในขณะที่ลิฟท์ขึ้นไปอย่างช้าๆผมได้แต่ภาวนาว่าอย่าลิฟท์ตัวนี้สิ้นสุดสภาพการใช้งานในขณะที่ผมกำลังใช้งานอยู่มันเลย
แต่ดูเหมือนการภาวนาของผมมันจะไม่ค่อยส่งผลอะไรเท่าไหร่ เมื่อลิฟท์ตัวนั้นจู่ๆมันก็หยุดแน่นิ่งลงในระหว่างทาง ไฟในลิฟท์เริ่มติดๆดับๆ บรรยากาศด้านในที่จากเดิมมีแอร์ก็เหมือนไม่มีกลับเย็นยะเยือกขึ้นมาเสียดื้อๆ ผมจับแขนพัตเตอร์ไว้แน่น ครั้นจะบอกไม่กลัวในเวลานี้ก็คงโกหก ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งเร้นลับแต่ยังมีเรื่องอันตรายหากลิฟท์นี้เกิดอุบัติเหตุให้ผมต้องกังวลอีก แม้พัตเตอร์จะคอยพูดกับผมตลอดว่าไม่ต้องกลัว มันก็ไม่ได้ทำให้ผมเบาใจขึ้นเลย
“กลับไปซะ วันนี้เป็นที่แม่ดวงตกที่สุด ยังไงแม่ก็ต้องตาย พี่ช่วยแม่ไม่ได้หรอก” เสียงพูดแกมตะคอกจากเด็กน้อยปริศนาลอยมาอย่างไร้ทิศทาง
ผมกวาดตามองไปรอบๆพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบๆในนี้มีเพียงแค่กับพัตเตอร์แล้วก็ไม่พบสิ่งอื่นใดอีกเลย จากที่อยู่ชิดกันมากอยู่แล้วผมยิ่งขยับให้เข้าไปชิดพัตเตอร์มากขึ้นไปอีกถึงมันจะไม่ค่อยได้ช่วยให้อุ่นใจขึ้นสักเท่าไหร่ก็ตาม
“น้องปล่อยเขาไปเถอะนะ สงสารเขาเถอะ ถือว่าให้อภัยเขาสักครั้ง” ผมกลั้นใจพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก
“ทำไมกูต้องสงสารมัน ตอนมันฆ่ากูกับน้องๆ มันไม่เห็นสงสารพวกกู” เสียงของเด็กคนนั่นตะคอกกลับมาชนิดที่แค่ฟังน้ำเสียงก็สัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่มีมากเกินจะบรรยายได้
ร่างของเด็กทารกผู้ชายตัวบวมเขียวปรากฎขึ้นตรงหน้าผมกับพัตเตอร์ ร่างอันแบเบาะขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนร่างของเด็กคนนั้นสูงใหญ่เกินผมกับพัตเตอร์เสียอีก พัตเตอร์ใช้แขนตัวเองยกขึ้นขวางกั้นตัวผมจากคนนั้น จากแววตาที่เขามองมาที่ผมกับพัตเตอร์ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขาไม่พอใจพวกผมเป็นอย่างมาก
“มึงรู้ไหม พวกกูต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน บุญกุศลสักนิดมันยังไม่เคยอุทิศให้พวกกูปล่อย มึงยังจะให้พวกกูอภัยมันอีกเหรอ พวกกูเฝ้ารอให้ถึงวันนี้มานานวันที่มันดวงตกที่สุดในชีวิตเพื่อรอชำระแค้น” ในขณะที่เด็กคนนั้นพูดไปดวงตาของเขาก็โปนใหญ่ขึ้นจนเกือบเท่าไข่ไก่ เส้นเลือดในตาขาวของเขาขึ้นลายเด่นชัดและกลายเป็นสีแดงฉ่ำ ในแววตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตของเขามันน่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวจนผมไม่กล้าแม้แต่ที่จะเหลือบมอง
“พี่ขอร้องนะ ให้โอกาสเขาเถอะ ถือเสียว่าให้เขามีโอกาสได้สำนึกผิดกับสิ่งที่ทำ ถ้าน้องต้องการบุญพี่จะบอกให้บวชเพื่ออุทิศบุญกุศลให้พวกน้อง” ผมตัดสินใจต่อรองขอชีวิตน้องฟางกับเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นดูมีท่าที่สนใจกับข้อเสนอของผมอยู่บ้าง
“มึงคิดว่าคนอย่างมันจะสำนึกได้จริงเหรอ ถ้ามันสำนึกได้มันคงไม่ทำกับพวกกูซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
สิ้นเสียงบอกเล่าของเด็กคนนั้น ตัวของผมเหมือนถูกดูดดึงไปที่ไหนสักแห่ง
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
บรรยากาศรอบตัวผมตอนนี้ไม่ใช่พื้นที่สี่เหลี่ยมแคบๆในลิฟท์แบบเมื่อครู่ ไม่มีพัตเตอร์ ไม่มีเด็กคนนั้น ผมเห็นแค่เพียงเด็กสาวคนนั้น เด็กสาวในวัยมัธยมต้น เธอดูรักสนุกกับใช้ร่างกายสร้างความสุขและปรนเปรอชายที่สนใจ จนในที่สุดเธอตั้งท้อง และเธอก็เลือกที่จะไม่เก็บเด็กในท้องนั้นไว้ การทำลายหนึ่งชีวิตในตัวเธอมันช่างดูง่ายดาย จนเธอไร้ซึ่งความเข็ดหลาบกับความผิดพลาดครั้ง เธอยังปล่อยให้เหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้นซ้ำๆอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม คนแบบไหนกันที่จะปล่อยให้ตัวเองท้องโดยไร้การป้องกันตั้งหลายครั้งและทำลายทุกชีวิตได้อย่างเลือดเย็นขนาดนั้น ในเวลาไม่ถึงสิบปีเธอทำลายไปถึงหกชีวิต ผมเห็นทุกช่วงเวลาที่เธอทำลายชีวิตพวกเขาโดยเจตนาอย่างง่ายดาย และเธอคนนั้นคือน้องฟางไม่วันนี้…
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
“เห็นหรือยังล่ะ คนแบบนี้น่ะเหรอที่มันจะมีสำนึก” ผมกลับมาในพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบๆในสภาพเหนื่อยหอบ ผมหอบหายใจรัวไม่เป็นจังหวะอย่างโหยหาอากาศหายใจเป็นที่สุด เด็กคนนั้นยกยิ้มเหยียดหลังจากที่เขาทำให้ผมได้เห็นภาพเหล่านั้น
“พี่ชลเป็นอะไรหรือเปล่า” พัตเตอร์โอบประคองร่างผมไว้ ผมยกมือให้เป็นเชิงว่าผมยังไหว
“แต่ถ้ามึงคิดว่ามึงจะทำให้มันสำนึกได้ กูจะโอกาสมึงแค่ครั้งเดียว ถ้ามึงทำให้มันสำนึกและยอมบวชให้พวกกูได้ กูจะไว้ชีวิตมัน แต่ถึงมันจะไม่ตายพวกกูก็จะตามจองเวรมันไปตลอดชีวิต ให้ชีวิตมันไม่มีวันพบกับความสุข แต่ถ้ามึงโดนมันไล่ออกมากูจะถือว่ามึงทำไม่สำเร็จทันที” หลังจากพูดจบร่างของเด็กคนนั้นก็จางหายไปต่อหน้าต่อตาผม ก่อนที่ลิฟท์จะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
“พัตเตอร์ ทำไมนายนะโมเข้ามาไม่ได้ แต่เด็กพวกนั้นถึงเข้ามาได้ล่ะ” ผมถามสิ่งที่ยังข้องใจกับพัตเตอร์
“ก็เพราะว่าเด็กพวกนั้นคือเวรกรรมของพี่ฟางไง ขึ้นชื่อว่าเวรกรรม ไม่ว่าอะไรก็ขวางไม่ได้ทั้งนั้นแหละพี่ชล” เวรกรรมที่มันช่างน่ากลัวจริงๆ ทางที่ดีเราอย่าทำบาปกันเลยจะดีที่สุด
ถึงเด็กคนนั้นบอกว่าไม่ว่ายังไงก็จะตามจองเวรน้องฟาง แต่อย่างน้อยถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีชดใช้ความผิด สักวันเด็กพวกนั้นอาจจะให้อภัยเธอก็ได้ น้องฟางเปิดประตูต้อนรับผมกับพัตเตอร์ ใบหน้าของเธอในยามที่ไร้เครื่องสำอางปกปิดแสดงความหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ผมแทบอยากจะกลับออกไปทันทีที่ก้าวเท้าไปในห้องของน้องฟาง ก็เมื่อมองไปรอบห้องของผมก็เห็นแต่เด็กตัวบวมเขียวเกาะอยู่ตามผนังทั่วทุกห้องทุกสายตาอาฆาตแค้นจับจ้องมาที่น้องฟางอย่างชวนให้ขนหัวลุก
“ฟาง พี่จะพูดแบบไม่อ้อมค้อมนะ ฟางเคยทำแท้งมาใช่ไหม” ผมยิงตรงเข้าประเด็น เพราะโอกาสของผมในการช่วยชีวิตน้องฟางมีไม่มากนัก น้องฟางเธอชะงักไปช่วยขณะทันทีหลังจากสิ้นคำถามของผม
“พี่ชลพูดเรื่องอะไรอ่ะคะ ฟางจะไปเคยทำแท้งได้ยังไง” ถึงแม้เธอจะปฏิเสธ แต่ผมสัมผัสได้ถึงสายตาที่ล่อกแล่กและน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักในการตอบคำถามของเธอ
“พี่ไม่รู้ว่าฟางจะเชื่อสิ่งที่พี่พูดหรือเปล่านะ แต่พี่เห็นวิญญาณเด็กที่เขาตามอาฆาตฟาง เขาอยากให้ฟางสำนึกผิดแล้วบวชให้เขาเพื่อแลกกับชีวิตของตัวฟางเอง”
“เอ่อ ฟางว่าพี่ชลอาจจะทำงานหนักไปจนฝันเป็นตุเป็นตะไปแล้วมั๊งคะ พักผ่อนบ้างนะคะพี่ชล” แม้สีหน้าและน้ำเสียงของผมจะดูจริงจังแค่ไหน แต่น้องฟางเธอตอบกลับผมพลางหัวเราะ และมองมาที่ผมราวกับว่าผมเป็นตัวตลกอย่างไรอย่างนั้น
“ครั้งแรกตอนม.3 ครั้งที่สองตอนม.5 ครั้งที่สามตอนม.6 ครั้งที่สี่ตอนปีสอง ครั้งที่ห้าเมื่อปีที่แล้ว ครั้งล่าสุดเมื่อสามเดือนที่แล้ว” พูดผมทุกอย่างที่เด็กคนนั้นทำให้ผมเห็นและให้ผมรับรู้ หมายว่าจะให้น้องฟางเธอยอมเชื่อสิ่งที่ผมพูดและยอมสำนึกผิดได้
หลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่าของผมน้องเธอถึงกับสะอึกและหน้าซีดเผือกไปทันที เธอนิ่งไปครู่ใหญ่
“ฟางไม่รู้หรอกนะคะว่าพี่ชลไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน แต่ฟางว่ามันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฟางนะคะ อย่าหาว่าฟางไล่เลยนะคะ แต่พี่ชลกับพัตเตอร์กลับไปเถอะค่ะ พวกคุณก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฟางมากเกินไปแล้ว”
น้องฟางเธอดูไม่ค่อยพอใจนัก
หลังจากพูดจบน้องฟางเธอเดินตรงเข้าดึงกระชากแขนผมหมายจะลากตัวผมออกไปจากห้องของเธอ ผมพยายามจะยื้อเพราะถ้าผมออกจากห้องนี้ไปเมื่อไหร่นั่นหมายความผมช่วยชีวิตน้องฟางไม่สำเร็จ พัตเตอร์เข้ามาแย่งตัวผมจากน้องฟาง และทำเหมือนมองตรวจสภาพแขนผมตรงที่ถูกน้องฟางทั้งบีบและกระชากเมื่อครู่
“กลับกันเถอะครับพี่ชล ในเมื่อพี่ฟางเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ปล่อยเขาไป”
“ดีค่ะ กลับไปเลย แล้วฟางก็หวังว่าพี่ชลเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวของฟางออกนะคะ”
ผมมองหน้าพัตเตอร์อย่างขอความเห็นใจ แต่พัตเตอร์ตอนนี้ดูจะเป็นเวอร์ชั่นที่ใจแข็งกว่าทุกครั้ง เด็กนั่นอาศัยความตัวโตและแรงเยอะกว่าผมพาตัวผมออกไปกับเขาจนได้ ผมมองน้องฟางอย่างอาลัยอาวรณ์ ผมพยายามเรียกร้องให้เธอฟังผมอีกครั้งแต่ดูเธอไม่ได้ใยดีนัก ประตูค่อยๆปิดลงพร้อมกับขาผมที่อ่อนแรงจนทรุดลงไปนั่งพื้นอย่างสิ้นหวัง
“มันไม่ใช่ความผิดของพี่ชลนะ โชคชะตากำหนดไว้แล้ว ใครก็ฝืนไม่ได้หรอก” พัตเตอร์จับบ่าของผมทั้งสองข้างจากด้านหลัง ผมเข้าใจสิ่งที่พัตเตอร์พูด แต่นั่นชีวิตคนทั้งคนนะผมอยากช่วยเธอให้ได้มากกว่านี้ น้ำตาของผมหลั่งรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้จะเรียกเท่าไหร่น้องฟางเธอก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ผมอีกเลย
“มึงทำไม่สำเร็จ” เด็กคนนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มและใบหน้าแห่งความสะใจ ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเสียงดังกึกก้อง เสียงนั้นมันช่างน่ากลัวจับใจ หลังจากสิ้นเสียงนั้นผมมีความรู้สึกว่าร่างกายของผมถูกดูดดึงไปอีกครั้ง
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
ที่นี่ไหนที่กันเมื่อครู่นี้ผมยังอยู่หน้าห้องน้องฟางอยู่เลย ผมกวาดสายตามองรอบตัวถึงได้พบว่าตอนนี้ผมกลับมาอยู่ตรงหน้าแมนชั่น ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง….
“ชล” ผมหันไปตามเสียงเรียกที่ดังมาจากนอกเขตรั้ว
“นะโม” นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือพบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงตรง แต่เท่าที่จำได้ครั้งสุดท้ายที่ผมมองนาฬิกาตอนที่อยู่ในห้องน้องฟางมันหกโมงยี่สิบนาทีแล้วนี่
ผมงงไปหมดแล้ว สรุปมันเกิดอะไร เวลามันย้อนกลับอย่างนั้นเหรอ
แต่ถ้าหากตอนนี้เวลามันย้อนกลับจริงผมอาจจะยังขึ้นไปช่วยน้องฟางทันก็ได้
“พอเถอะพี่ชลมันจบแล้ว” พัตเตอร์ฉุดรั้งร่างของผมที่กำลังจะวิ่งกลับเข้าไปในแมนชั่นอีกครั้ง
เพล้ง
“กรี๊ด!!!!!”
เสียงกระจกแตกดังขึ้นก่อนจะตามติดมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวเสียงดังสนั่นจากด้านบน ผมเงยหน้ามองขึ้นไปตามเสียงนั้นทันที ผู้หญิงคนนั้นร่างของเธอกำลังร่วงหล่นลงมาจากชั้นห้า
ตุบ
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก เพียงชั่วพริบตาร่างของเธอผู้นั้นก็ตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรง น้องฟาง… ผมแทบช็อคกับภาพที่เห็นต่อหน้าต่อตา เลือดสีแดงสดของเธอเจิ่งนอกไปทั่วทั้งบริเวณ สองแขนสองขาดิ้นทุรนทุรายตะเกียกตะกายอย่างทรมาน เธอกระอักเลือดออกมาอย่างไม่ขาดสายทั้งปากและจมูก ดวงตาของเธอเหลือกและเบิกโพลง ก่อนที่ร่างของเธอจะกะตุกอยู่สามถึงสี่ครั้งและค่อยๆแน่นิ่งไปอย่างช้าๆ ผมสติแตกจนทำอะไรไม่ถูกเลยในขณะนั้นผมไม่สามารถแม้แต่จะส่งเสียงร้องหรือเคลื่อนไหวส่วนใดร่างกายได้เลย แม้แต่เปลือกตาผมยังไม่สามารถใช้มันปิดบังไม่ให้มองเห็นภาพอันน่าสยดสยองนั้นได้เลย
“พอแล้วพี่ชลอย่ามอง” การมองเห็นทุกอย่างของผมมืดสนิทลงด้วยมือของพัตเตอร์ที่ปิดกั้นไว้ ก่อนที่เด็กนั่นจะพาผมออกไปจากตรงนั้น
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
กว่าจะกลับถึงบ้านฟ้าก็มืดลงแล้วเพราะผมต้องไปตอบคำถามกับตำรวจมากมายในฐานะผู้พบศพคนแรกผมกับพัตเตอร์ตอบเฉพาะช่วงที่เห็นน้องฟางตกลงมา เพราะสิ่งที่น่าพิศวงก็คือกล้องวงจรปิดในแมนชั่นไม่ปรากฏว่าผมกับพัตเตอร์เคยเข้าไปในนั้น แต่เราสองคนมั่นใจว่าได้เข้าไปด้านในมาแล้วจริงๆเพราะจากภาพข่าวทุกอย่างในแมนชั่นแม้กระทั่งในห้องของน้องฟางเหมือนกับที่ผมและพัตเตอร์ได้เข้าไปเห็นทุกอย่าง
พัตเตอร์ดูจะมีสติกับการพบเจอสิ่งเหล่านั้นมากกว่าผม เด็กนั่นบอกผมว่าเขาสัมผัสเรื่องพวกนี้ได้มาตั้งแต่เด็ก เลยมีภูมิกันกับเรื่องพวกนี้มากกว่าผมที่เพิ่งมาเป็นแบบนี้ ผมไปส่งพัตเตอร์ที่บ้านเด็กนั่นยังรบเร้าจะขอตามมาถึงบ้านผมเพราะไม่อยากให้ขับรถคนเดียวในเวลานี้ เข้าใจนะว่าเป็นห่วงแต่ถ้าพัตเตอร์อยู่เป็นเพื่อนผมจนถึงบ้าน เด็กนั่นก็ต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง ลำบากเปล่าๆ อย่างน้อยก็ยังมีนายนะโมอยู่ด้วยน่า
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
ผมปิดประตูห้องนอนแล้วถอนใจเฮือกใจก่อนจะหลับตาลงและพยายามตั้งสติข่มจิตข่มใจกับทุกเรื่องเกิดขึ้น ถึงแม้ทุกคนจะพยายามบอกผมแล้วว่าผมไม่สามารถฝืนชะตากรรมของใครได้ แต่ผมยังดันทุรังที่จะทำ และเมื่อทำไม่สำเร็จทุกความรู้สึกที่มันแย่ๆก็ถาโถมประดังเข้าในหัวสมองและหัวใจของผม ถึงแม้พยายามจะทำความเข้าใจแต่มันก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน ผมหลับตาอยู่อย่างนั้นไปพักใหญ่ๆ
ผมลืมตาขึ้นมาพบกับนายนะโมที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผมรับรู้ได้ถึงแววตาแห่งความห่วงใยที่เขามองส่งมาที่ผม นาทีนั้นผมคงจะลืมไปว่าร่างกายของนายนะโมเป็นเหมือนอากาศที่ผมไม่สามารถจับต้องได้ ผมถึงได้โผเข้าไปกอดนายนั่น และในชั่วโมงนั้นผมคงไม่มีสติมากพอที่จะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าผมกำลังสัมผัสร่างกายและกอดนายนั่นได้อยู่ ผมกอดเขาได้จริงๆนะ ผมรู้สึกได้ว่าผมกำลังกอดสิ่งที่มีตัวตนไม่ใช่เป็นเพียงแค่อากาศ
“ฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยนะโม” ทุกความรู้สึกที่อัดอั้นมันถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา ผมซบหน้าลงบนบ่าของนะโม ก่อนจะปลดปล่อยตัวเองให้ร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างไม่อาย อย่างน้อยก็ให้ความรู้สึกแย่ๆทุกอย่างที่มันถาโถมได้มีการระบายออกไปบ้างก็คงดี
“อย่าโทษตัวเองเลยนะครับคนดีของผม ผมรู้ว่าชลทำดีที่สุดแล้ว” น้ำเสียงที่อ่อนโยนที่กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูผมนั้นมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก นายนะโมโอบกอดตอบผมแล้วกระชับให้แน่นขึ้น ผมเองก็ไม่รู้ทำไมครั้งนี้เราถึงสัมผัสตัวกันได้นานกว่าครั้งก่อนๆ สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ได้ในตอนนั้นคือ ผมรู้แค่เพียงผมรู้สึกดีมากในตอนที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดนั้น
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
“พักผ่อนนะครับ วันนี้ชลเหนื่อยมามากแล้ว” นายนะโนใช้ข้อศอกยันกับที่นอนยกตัวให้สูงขึ้น อยู่ข้างกายผมที่ซุกตัวอยู่ผ้านวมพื้นหนา ผมชอบแววตาของเขาที่มองมาที่ผมตอนนี้จัง มันทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนจนแทบไม่เหลือภาพนายนะโมสมองเด็กห้าขวบที่ผมเคยเห็นอยู่เป็นประจำ
ผมพยายามที่จะสัมผัสตัวของนะโมอีกครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ผมสัมผัสตัวเขาไม่ได้แล้ว
“ทำไมเมื่อกี้เราถึง….”
“เพราะผมเป็นของชลไง” …..ผมควรจะต้องรู้สึกยังไงกับคำตอบนั้นดี น้ำเสียงนุ่มๆกับคำตอบที่ชวนให้คิดไปไกล ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมควรจะต้องรู้สึกแบบไหน รู้แต่เพียงว่าคำตอบนั้นมันทำให้ผมถึงกับต้องหลบสายตานายนั่น ไม่กล้าเลยที่จะมองแววตาและรอยยิ้มแบบนั้น
“หน้าแดงอีกแล้วนะอย่าทำตัวน่ารักไปกว่านี้จะได้ไหม” ปัดโธ่เอ๊ย คนยิ่งทำตัวไม่ถูกอยู่ อย่ามาจี้จุดซ้ำตรงที่เดิมได้ไหมเล่า ผมพลิกตัวหนีและดึงหน้าห่มขึ้นมาคลุมหัวแล้วทำเป็นหลับไปเสีย ก่อนที่นายนั่นจะเล่นมุขพูดอะไรเลี่ยนๆออกมาอีก ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอดูมีความสุขเหลือเกินนะที่แกล้งผมได้ คนบ้าอะไรมาหยอดคำหวานกับผู้ชายได้อย่างหน้าตาเฉย
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
“พี่ชล...”
“พี่ชล… ฮึกฮึก”
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะเสียงเรียกพลางเสียงร้องไห้จากผู้หญิงปริศนาคนนั้น น้ำเสียงของเธอช่างเย็นยะเยือกพูดยานคางลากชื่อผมลากเสียงยาวชนิดที่ชวนให้ขนหัวลุกและหลอนจับขั้วหัวใจไปพร้อมกัน เสียงนั้นค่อนข้างคุ้นหูแต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใครแต่ที่แน่ๆไม่ใช่เสียงคุณนายนกยูงแน่นอน แต่ทั้งบ้านนี้ก็มีผู้หญิงอยู่คนเดียวนี่นา ถ้าไม่ใช่คุณนายนกยูงจะเป็นใคร ยัยพี่นีไม่เข้ามาวุ่นวายในตัวบ้านอยู่แล้ว
ผมรอให้ตาชินกับความมืดก่อนจะเริ่มมองกวาดไปรอบๆห้อง จนในที่สุดผมถึงกับต้องสะดุ้งเฮือก และดันตัวเองลุกขึ้นเขยิบหนีไปชิดหัวเตียงโดยอัตโนมัติ เมื่อสายตาของผมไปสะดุดเข้าไปกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้า หญิงสาวที่กำลังนั่งซุกหน้ากับหัวเข่าตัวเอง
ร่างกายของเธอซีดเผือกไปทั้งตัวตามเนื้อตัวเธอมีร่องรอยการกัดและข่วนอย่างแรงอยู่เต็มไปหมด ผมขยี้ตาแล้วมองตรงไปที่เธออีกครั้งเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าผมไม่ได้ตาฝาด
น้องฟาง….
“พี่ชลช่วยฟางด้วย มันทรมานเหลือเกิน” เธอพูดยานคางเสียงสั่นเครือและร้องไห้ไปด้วย ผมแทบขนหัวลุกเมื่อเธอหันหน้าเหลือบตามองมาทางผม
เพราะแทนที่จะเป็นน้ำตาที่ไหลรินที่ตาของเธอกลับกลายเป็นเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาแทนน้ำตาไหลอาบไปทั่วทั้งใบหน้า
เมื่อครู่ที่ผมบอกว่าเธอกำลังนั่งซุกหน้ากับหัวเข่า แต่แท้ที่จริงแล้วผมเพิ่งจะรู้ว่ากระดูกตรงส่วนคอและส่วนหัวของเธอไม่ได้เชื่อมต่อกัน ไม่ว่าเธอจะพยายามเงยหน้าขึ้นมาสักกี่ครั้งตรงส่วนคอขอเธอก็จะหักงอจนส่วนหัวห้อยไปด้านข้างทุกครั้ง จนเกิดเป็นภาพที่ชวนสยดสยองอย่างที่ผมได้เห็นอยู่ตอนนี้
“กรี๊ด!!!” ยังไม่ทันที่ผมจะได้สื่อสารอะไรกับเธอ มือเล็กที่ยื่นมาจากความมืดออกมาขยุ้มกำที่เส้นของเธอแล้วกระชากร่างของเธออย่างรุนแรง จนตัวเธอหายเข้าไปในความมืดเพียงชั่วพริบตา
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในสภาวะที่หัวใจเต้นแรงเพราะภาพนั้นยังติดตา ไฟในห้องนอนยังเปิดอยู่เพราะเท่าที่จำได้ก่อนจำหลับไปผมก็ไม่ได้ปิดไฟ เหลือบตามองไปด้านซ้ายมือ นายนะโมยังข้างผมในท่าเดิมแม้เวลาจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว เหงื่อของแตกพลั่กเปียกโซกไปทั้งตัวเลอะทั้งหมอนและที่นอน นี่ผมฝันไปเหรอเนี่ย แต่มันช่างเป็นฝันที่น่ากลัวและเหมือนจริงเหลือเกิน
สองสัปดาห์ผ่านไปแล้วหลังจากเกิดเรื่องน้องฟาง สภาพจิตใจของผมโอเคขึ้น แพทย์ตรวจพบสารเสพติดในร่างกายเธอ คุณตำรวจเลยสันนิษฐานว่าเธออาจจะเห็นภาพหลอนจนเป็นเหตุให้พลัดตกลงมา ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าวันนั้นน้องฟางได้เห็นหรือได้พบเจอกับอะไรบ้าง หรือไม่มันก็อาจจะเป็นเพียงอุบัติเหตุก็ได้ แต่อย่างน้อยเรื่องของน้องฟางก็ทำให้ผมได้ตระหนักและเกรงกลัวที่จะทำบาป เพราะผมรู้แล้วเวรกรรมมันน่ากลัวขนาดไหน เมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้ากรรมนายเวรพร้อมที่จะสนองกรรมนั้นให้เราอย่างสาสม ทุกวันนี้ผมทำได้เพียงทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้เธอและเด็กพวกนั้นในบางครั้งคราวที่มีโอกาส ได้แต่หวังว่าในสักวันหนึ่งวิญญาณของเธอจะได้หลุดพ้นบ่วงกรรม
TBC