[END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]ສະບາຍດີຈອມດື້-สะบายดี ครั้งสุดท้าย[19/8/60]  (อ่าน 35228 ครั้ง)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะค่ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค่ะ
สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


*************************************************************************

-Intro-
         
คุณเคยผิดหวังจากการจีบใครแล้วไม่สำเร็จไหม

          ผมเป็นหนึ่งคนที่ประสบกับเหตุการณ์นั้น ถึงจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ตัดใจให้ขาดไม่ได้สักที เพราะเหตุนี้ ความติสท์เลยบังเกิด ฝากกิจการลานนมให้พี่กับน้องชายดูแล ส่วนตัวเองก็แพ็กกระเป๋า นั่งรถมุ่งหน้าสู่ประเทศลาว หลบไปเลียแผลใจระยะหนึ่ง

          หากแต่การมาใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมันไม่ง่ายเลย ถึงจะภาษาใกล้เคียงกันแต่ก็ใช่ว่าผมจะคุ้นชินถนนหนทางกับสังคมของที่นี่ ดังนั้นงานจ้างไกด์นำเที่ยวตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่จึงต้องมา

       ไกด์ของผมชื่อ ‘ปั้นรัก’

          ชื่อน่ารักอย่างนี้ ตัวจริงต้องน่ารักแน่ๆ

          แต่พอเห็นสภาพแล้ว... นี่มันกุ๊ยชัดๆ!

            เคยตัดผม โกนหนวดโกนเคราบ้างไหม แล้วกางเกงขาเดฟกับเสื้อลายสก็อตนี่มันอะไร จะมานำเที่ยวหรือพาไปตัดอ้อย?

          “เบิ่งหยัง บ่เคยพ้อคนหล่อบ่? แล้วจ่างไกด์ผู้ชายนิคิดหยังอยู่ เป็นเกย์บ่นิ ถ้าเป็นนิบอกก่อนเด้อว่าบ่ฮับงานนอก นอนนำได้อยู่ แต่อย่ายุ่งกับดากเด้อ”

          มารดามึงเถอะ! สภาพน่ายุ่งกับดากมาก เดี๋ยวก็ยอกหน้าแหกหรอก

          มั่นหน้าจริงๆ ไอ้นี่...

*************************************************************************

-Talk-
         
เรื่องนี้เป็นเรื่องแยกของจอมดื้อ ค่ะ โผล่มาเป็นตัวประกอบใน #ช่างใจรัก เป็นคนที่เคยจีบแสงเหนือ นายเอกเรื่องโน้นนน ไม่ต้องไปอ่านช่างใจรักก็อ่านเรื่องนี้ได้เพราะเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเซ็ท #พี่น้องสามจอม ประกอบไปด้วย
- คุณพ่อจอมแสบ
- สะบายดีจอมดื้อ
- เจ้าจอมแก่น
ฝากติดตามด้วยนะคะ

*************************************************************************

สารบัญ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2017 19:06:48 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สะบายดีจอมดื้อ: หนูแดงตัวน้อย

บทนำ

มีใครเคยบอกว่า ‘ถ้าอกหักก็ต้องไปพักใจ’

เพราะวลีนี้ ผมเลยมาโผล่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย ชายแดนระหว่างประเทศไทย-ลาวในช่วงบ่ายของวันใหม่หลังจากที่ใช้เวลาอยู่บนรถบัสจากทางภาคเหนือมายังภาคอีสานตลอดทั้งคืน การกระทำของผมค่อนข้างจะวู่วามและดูงี่เง่าไปสักหน่อย เพราะจู่ๆ ผมก็ออกจากบ้านมาแบบไม่บอกกล่าวใคร ไม่บอกทั้งไอ้จอมแสบ ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายอายุมากกว่ากันสามปี และไอ้จอมแก่น น้องชายอายุน้อยกว่ากันเจ็ดปี ซ้ำยังทิ้งร้านนมซึ่งเป็นธุรกิจส่วนตัวของตัวเองในจังหวัดพิษณุโลกมาโดยไม่สนใจอะไรอีกด้วย

ความสิ้นคิดของผมในการกระทำนี้มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น...

ผมอกหัก...อกหักจากผู้ชายคนนึงที่ผมเคยตามจีบอยู่

ใช่ครับ... ผู้ชาย ยืดอกยอมรับแมนๆ เลยว่าผมเป็นเกย์ และคนที่ผมจีบก็เป็นเกย์เช่นกัน แต่บังเอิญว่าการเป็นเกย์กันทั้งคู่ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะจีบเขาติด ในเมื่อเขาคบหาอยู่กับคนอื่น ผมก็ไม่อยากจะเป็นพวกขี้แพ้ชวนตี เขาไม่รักก็ตื๊อไม่เลิกอะไรเทือกนั้นเลยต้องกลับมาดูแลตัวเอง

ช่วงแรกๆ ที่ผมพยายามตัดใจ ผมก็คิดนะว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องยากเพราะผมเพิ่งจะรู้จักเขาไม่นานเท่าไหร่ ทว่าเอาเข้าจริง ความรู้สึกของผมที่มีให้เขาคนนั้นมันมากเกินกว่าการจีบเล่นๆ กว่าจะรู้ตัวว่าผมชอบเขาจริงๆ ก็เจ็บปวดรวดร้าวจนทนเห็นหน้ากันไม่ไหวแล้ว

ก็นะ เวลาเห็นคนที่ผมชอบอยู่กับคนที่เขารักมันปวดใจนี่ ถึงเราจะยังมีมิตรภาพดีๆ ให้แก่กัน แต่มันก็ทนดูไม่ได้ มาอยู่ห่างๆ น่ะดีแล้ว ห่างกันให้มากที่สุด...

ห่างแค่ในจังหวัดคงไม่พอ เลยต้องห่างกันข้ามประเทศ ทว่าจะให้ไปไหนไกลๆ ผมก็ไม่มีอารมณ์เท่าไหร่นัก สุดท้ายเลยมาจบที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เดินทางง่าย ค่าเงินไม่ต่างกันมาก แถมภาษาก็ใกล้เคียง มาคนเดียว ยังไงคนไม่เก่งภาษาอังกฤษอย่างผมก็เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว

ผมลงจากรถทัวร์ที่มาส่งยังท่ารถซึ่งจะต้องขึ้นต่อเพื่อข้ามไปยังลาวในตอนบ่าย จัดการซื้อตั๋วอะไรเสร็จก็เปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ปิดเอาไว้ตั้งแต่ออกจากบ้านขึ้นมาเช็กว่ามีใครติดต่อมาไหม พอหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นเท่านั้น ข้อความแจ้งเตือนมิสคอลมากมายก็ปรากฏให้เห็น คนที่โทรเข้ามาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้แสบกับไอ้แก่น พี่กับน้องของผมนั่นเอง โทรมากันเป็นร้อยๆ สาย มีสายของพ่อกับแม่ที่ทำสวนผลไม้อยู่ที่เชียงใหม่โทรเข้ามาด้วย ดูท่าพวกมันคงจะโทรบอกพ่อกับแม่ว่าผมหายตัวออกจากบ้านโดยไม่รู้สาเหตุเป็นที่เรียบร้อย ผมเลยโทรกลับหาพวกมันด้วยกลัวว่ามันจะเป็นห่วงจนถึงขั้นไปแจ้งความคนหาย

ผมเลือกที่จะโทรหาไอ้แสบ เพราะถ้าโทรหาไอ้แก่น รับรองเลยว่าไอ้เด็กนั่นมันจะต้องโวยวายที่ผมหายหัวไปแน่ ก็ผมทิ้งงานไว้ให้มันขนาดนั้นน่ะ ไอ้แสบมันมีร้านเหล้าที่ต้องดูแล มันอาจจะไม่ได้มาดูแลประจำสักเท่าไหร่โดยเฉพาะช่วงกลางคืน ดังนั้นหน้าที่ที่เหลือจึงตกเป็นของไอ้แก่นแทน

รอสายได้ไม่นานก็มีเสียงตอบรับ ก่อนผมต้องรีบดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูเมื่ออีกฝ่ายแผดเสียงใส่ลั่น

[อยู่ไหนของมึงเนี่ยไอ้ดื้อ! กูกับไอ้แก่นโทรหามึงจนมือจะหงิกแล้ว มึงหายหัวไปอยู่ไหนมา!]

ดูเหมือนจะคิดผิดเหมือนกันที่โทรหาไอ้แสบเพราะคิดว่ามันจะไม่โวยวาย ความจริงแล้วมันก็โวยวายไม่แพ้กับไอ้แก่นเลย
“มึงใจเย็นๆ กูก็แค่ออกมาเที่ยว”

ผมรีบบอกพี่ชาย ทว่าไอ้แสบไม่ได้คิดว่า ‘ก็แค่’ เหมือนกับผมแม้แต่น้อย พอมันได้ยินเหตุผลของผม มันก็สบถหยาบคายออกมาทันที

[ก็แค่เที่ยวบ้านมึงเถอะ กูนึกว่ามึงโดนใครดักทุบหัวไปฆ่าหมกพงหญ้าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไอ้เวรเอ๊ย ไปไหนมาไหนทำไมไม่บอกก่อน]

คำบ่นด่าของมันทำเอาผมหัวเราะออก ก่อนมันจะถามขึ้นมาใหม่

[แล้วนี่ตกลงมึงอยู่ไหน]
“กูอยู่หนองคาย” ผมว่า

ไอ้แสบร้องดังหืมขึ้นมาให้ได้ยินนิดนึงประหนึ่งสงสัย
[ไปหนองคายทำไมวะ]

“กูกำลังจะข้ามฝั่งไปลาว”

[อะไรนะ นี่มึงผีบ้าอะไรเข้าสิงเนี่ย ไปลาวทำบ้าอะไร!]

โวยวายมาอีกแล้ว คราวนี้ไม่ใช่แค่ไอ้แสบด้วยที่โวยวาย เหมือนจะได้ยินเสียงไอ้แก่นดังมาให้ได้ยินแว่วๆ ว่าถามไอ้แสบว่า ‘นั่นพี่ดื้อเหรอ’ ก่อนจะตามมาด้วยการโวยวายด้วยอีกคนเมื่อได้ยินไอ้แสบบอกว่าผมกำลังจะข้ามฝั่งไปลาว ผมเลยต้องรีบตอบคำถามพี่ชายก่อน ไม่งั้นล่ะก็ไอ้แก่นต้องเข้ามาแย่งโทรศัพท์แล้วเป็นตัวแทนแม่ บ่นผมยาวแน่

น้องชายคนเล็กของผมน่ะมันบ่นเก่งจะตาย ปกติเห็นมันเงียบๆ ไม่ค่อยหือค่อยอือกับใคร แต่เวลามันเอ่ยปากอะไรขึ้นมาทีนี่ บอกเลยว่าหูชา ไม่ใช่ว่าผมกลัวมันหรอกนะ แต่รำคาญมากกว่า เป็นน้องเล็กสุดแต่ดันขี้บ่นกว่าใครเพื่อนเพราะดันมีหน้าที่จัดการงานบ้านงานช่องให้พวกพี่ชายที่เป็นหนุ่มโสดทั้งคู่ พอเห็นมันเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่ค่อยอยากคุยกับมันเท่าไหร่ด้วยไม่ต้องการมีแม่คนที่สอง

และเพราะได้ยินพวกมันโวยวายโหวกเหวกมาอย่างนั้น ผมเลยรีบว่าเร็วๆ
“กูก็จะไปเที่ยวน่ะสิ อกหัก ขอไปพักใจหน่อย”

ไอ้แสบที่โวยวายค้างอยู่ก็หันไปบอกไอ้แก่นให้เงียบก่อน จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง ดูท่าจะปลีกตัวมาคุยกับผมอีกที่ พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงมันดังขึ้นมา

[เอาจริงดิ มึงช้ำใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ]
“อืม”
[มึงนี่น้า แล้วจะไปกี่วัน]
“น่าจะสักเดือนนึง” ผมว่า

ไอ้แสบบ่นนิดหน่อยที่เห็นว่าผมไปนานกว่าที่มันคาดคิด แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก ด้วยมันรู้ดีว่าผมต้องการเวลาส่วนตัวในเวลาที่เจอความผิดหวัง

ก็ทุกครั้งที่ผมอกหักหรือเลิกกับแฟน ผมก็ทำแบบนี้ทุกที หนีไปที่อื่นโดยไม่บอกใครอะไรแบบนี้ พอเริ่มรู้สึกดีขึ้นก็กลับไปใช้ชีวิตปกติตามเดิม เพียงแต่ครั้งนี้มาไกลกว่าเดิมหน่อยก็เท่านั้น

[เออ พักใจก็พักใจ ไว้สบายใจก่อนแล้วค่อยกลับ ว่าแต่ร้านนมมึงนี่เอาไง ให้ปิดไปก่อนไหม]
“ปิดแล้วกูจะเอาที่ไหนกินวะ ฝากดูหน่อย”
[ภาระกูอีกละ กลับมาแล้วแบ่งกำไรให้กูด้วย]

ทำเป็นว่าผมไปอย่างนั้นแหละ แต่ก็รับปากว่าจะดูแลให้เพราะครั้งก่อนๆ มันก็เป็นแบบนี้
ผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะบอก
“เออ ไม่ต้องห่วง ไว้กูกลับไปจะแบ่งกำไรให้”
[ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน อย่าไปโดนหนุ่มลาวหลอกแล้วช้ำใจกลับมาไทยล่ะ]

ไอ้แสบทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ที่เหลือก็เป็นคราวผมที่กำชับพี่ชายให้บอกพ่อกับแม่ว่าผมปลอดภัยดีและกำลังจะไปที่ไหน เหตุผลที่ผมไม่โทรบอกเองเป็นเพราะกลัวว่าจะโดนบ่นยาวโทษฐานทำให้เป็นห่วงน่ะ

พูดคุยตกลงกันเสร็จ ผมก็ตัดสายทิ้ง เตรียมตัวไปขึ้นรถข้ามฝั่งไปลาวเพราะใกล้เวลาที่รถจะออกแล้ว ทว่าในจังหวะที่ผมยกกระเป๋าเป้ใบเขื่องขึ้นสะพายหลัง จู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินมาด้านหลังผมพอดี ทำให้กระเป๋าเป้ที่ผมเหวี่ยงขึ้นสะพายไปฟาดโดนคนคนนั้นอย่างจังจนเซถลา ผมไม่เห็นแต่รู้สึกได้เลยรีบวางเป้ลง หันไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าใครคนนั้นกระเด็นไปชนกับเก้าอี้ที่ตั้งไว้สำหรับนั่งรอรถบัสเข้าอย่างจัง

“ขอโทษครับ”

ผมรีบร้องบอกไปโดยเร็ว แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่มีความสูงในระดับสายตาผม ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากไม่เห็นว่าไอ้หมอนี่ใส่แจ็คเก็ตหนังตัวหนาทับเสื้อยืด กางเกงยีนส์ขาดๆ มีสายโซ่ห้อยระโยงระยาง อารมณ์เหมือนชาวร็อกอะไรเทือกนั้น ใบหน้าก็สวมแว่นตาดำ ซ้ำยังมีหมวกแก๊ปสวมที่หัว แต่พอดูผมเผ้าที่ยาวปรกบ่าและหนวดเคราเฟิ้มบนใบหน้าแล้ว ผมว่าไม่น่าจะใช่ร็อก คล้ายพวกเพื่อชีวิตมากกว่า ทว่ามีสิ่งที่ไม่เข้าพวกปรากฏให้เห็นอยู่อย่างนึง นั่นก็คือกระเป๋าที่หมอนี่ถือ...

กระเป๋าพลาสติกสายรุ้ง...

หรือที่เรียกว่าถุงกระสอบนั่นแหละ หิ้วมาด้วยซะใบเบ้อเริ่ม ดูท่าจะเอาใส่เสื้อผ้ามา

ผมเผลอย่นคิ้วใส่อย่างเสียมารยาทด้วยไม่เข้าใจกับการแต่งตัวของอีกฝ่าย

ไม่ร้อนหรือไงวะ แล้วกระเป๋าที่หาความแมตช์กับเสื้อผ้าที่ใส่ไม่เจอมันคืออะไร

อีกฝ่ายเองก็ย่นคิ้วใส่ผม บอกให้รู้ชัดเจนว่าไม่พอใจที่ผมเหวี่ยงกระเป๋าไปโดนเข้า ผมได้สติก็เลยขอโทษไปอีกทีด้วยไม่อยากมีปัญหา

“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมไม่ทันเห็นเลยไม่ทันระวัง”

อีกฝ่ายไม่พูดอะไร ยังทำหน้าไม่พอใจอยู่ ยืนจังก้าจ้องผมอยู่นั่นแหละ ผมเลยคิดเอาเองว่าอาจจะไม่ใช่คนไทย แล้วคงไม่ใช่คนลาวด้วย ก็แถวนี้นอกจากคนไทยกับคนลาวแล้ว ยังมีคนต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อยู่อีกเพียบ ผมเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงไทยออกไปแทน

“แอมโซซอรี่ (ขอโทษครับ)”
คราวนี้เหมือนฝั่งนั้นจะเข้าใจ พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงครั้งหนึ่ง ก่อนจะพึมพำ
“Asshole (ไอ้งี่เง่า)”

แล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมมองอย่างงุนงงด้วยฟังไม่ทันว่าคนเมื่อครู่พูดว่าอะไร

ก็ผมเก่งภาษาอังกฤษเสียที่ไหน แล้วดูมันพูดอย่างไว ฟังได้คร่าวๆ ว่าอะไรโฮลๆ สักอย่าง
ยืนคิดทบทวนไปครู่ ก่อนจะค่อยๆ แปลคำศัพท์เมื่อกี้ทีละคำ

แอส... แปลว่าก้น

โฮล... แปลว่ารู

รวมกันเป็นรู...

เดี๋ยว! แม่งด่ากูนี่หว่า!

จากที่ไม่อยากมีปัญหา ตอนนี้มองหาไอ้เวรนั่นโดยไว จะเข้าไปถามมันสักหน่อยว่ามาด่าเรื่องอะไร ทั้งที่ผมก็ขอโทษไปแล้ว ทว่าก็ไม่เห็นมันแม้แต่เงา เดินหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมเลยได้แต่สบถหัวเสียอยู่คนเดียว ก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นอีกครั้ง แล้วตรงไปขึ้นรถด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่

หงุดหงิดชะมัด ทำไมต้องมาเจอคนบ้าด่าเอาฤกษ์เอายามตั้งแต่ยังไม่ข้ามฝั่งไปลาวด้วยวะ
----------------------------------
ในที่สุดก็ถึงคิวเขียนแล้ว ดองไปซะจะเป็นปี 555
ไปแก้เนื้อหามานิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวดึกๆ คืนนี้จะอัปตอนแรกให้ มาเกาะรอกันไว้ก่อนเน้อ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ตามมาอ่านพี่ดื้อค่ะ ^^

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ว้าวววว พี่ดื้อ
#ชอบมากจ้า ติดตามๆๆๆๆ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สะบายดี ครั้งที่ 1: ไกด์ผี

การข้ามชายแดนจากไทยมาประเทศลาวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผมสักเท่าไหร่นัก แค่มีพาสปอร์ตก็ผ่านเข้ามาได้ฉลุยแล้ว ไม่นานนัก รถบัสที่ผมนั่งข้ามผ่านมายังลาวก็พาไปส่งที่ตลาดเช้าซึ่งเป็นท่ารถในนครหลวงเวียงจันทน์ ลงจากรถได้เท่านั้น ผมก็ถูกบรรดาสามล้อรับจ้างรุมทึ้งทันที พร้อมกับเรียกค่าจ้างเป็นเงินไทยประมาณห้าสิบบาทเพื่อไปส่งยังโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ดีที่ผมหาข้อมูลมาก่อนเลยปฏิเสธสามล้อพวกนั้นไปหมดและตั้งใจว่าจะเดินไปยังเกสต์เฮ้าส์ตามแผนที่ GPS ในโทรศัพท์
ทว่าพอผมเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ สายตาก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาอย่างประหลาด

ใช่...ผู้ชายคนนั้นคือคนเดียวกับที่ผมเหวี่ยงกระเป๋าไปโดนก่อนหน้านี้

อุตส่าห์แยกกันไปแล้วยังจะวกกลับมาเจอกันอีก!

รู้เลยว่าโลกใบนี้โคตรจะกลม ผมมองไอ้บ้านั่นก้าวเดินฉับๆ อยู่ตรงหน้า มือข้างหนึ่งถือกระเป๋ากระสอบสายรุ้งสะพายบ่า มองจากทางด้านหลังแล้ว ผมก็สงสัยนะว่ามันกล้าแต่งตัวอย่างนี้เดินตามท้องถนนได้ยังไง เรื่องอากาศร้อนอะไรมันไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องแต่งตัวไม่เข้ากับบรรยากาศบ้านเมืองนี่มันทำให้มันดูเหมือนคนบ้า

ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องของผม ชะลอฝีเท้า ทิ้งระยะห่างสักหน่อยก่อนเดินตามไปเงียบๆ

ต้องใช้คำว่าเดินตามจริงๆ เพราะตอนแรกที่ผมเห็นมันเดินนำหน้าก็แค่คิดว่าคงจะไปทางเดียวกันแล้วไปแยกย้ายกันอีกทีตามตรอกซอกซอย หากแต่ไม่ใช่เลย ผมเดินตามหลังมันต้อยๆ ตามมายันเกสต์เฮ้าส์ที่ผมจองเอาไว้

เดี๋ยวนะ...มึงก็พักที่นี่เหรอ!?

พักที่นี่อย่างแน่นอน มันมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าเกสต์เฮ้าส์ที่ชื่อว่า ‘สะบายดีเวียงจันทน์’ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองป้ายเกสต์เฮ้าส์ราวกับว่าไม่แน่ใจนักว่ามันคือที่หมายที่มันต้องการมาไหม อะไรไม่ว่า มายืนขวางทางเข้าอยู่นานสองนาน ทำเอาผมที่แบกกระเป๋าเป้ใบบักเอ้กชักทนไม่ไหว ต้องเดินมาบอกมันอย่างไม่มีทางเลือกแม้ว่าจะไม่อยากเสวนาด้วยเลยก็ตาม

“ขอโทษนะครับ ขอผมเข้าไปหน่อย” ผมพูดออกมาเป็นภาษาไทย
ผู้ชายคนนั้นหันมามองผม สีหน้าดูงุนงง ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าอาจจะไม่ใช่คนลาวเพราะก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะด่าผมเป็นภาษาอังกฤษ ผมเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงไท้ไทยใส่ไป
“เอ็กซ์คิ้วมี แคนยูพลีส...” หลบหน่อย... แม่งพูดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไงวะ ใช้ภาษามือเลยแล้วกัน

โบกมือปัดหย็อยๆ เป็นสัญญาณบอกว่าให้มันหลีกทางให้ อีกฝ่ายมองผมแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะในลำคอดังหึขึ้นมา จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างใน ปล่อยให้ผมยืนมองอย่างงุนงง

ไอ้ที่หัวเราะหึเมื่อกี้มันคืออะไร ทำไมรู้สึกเหมือนโดนดูถูกเรื่องพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เลยวะ

ขุ่นใจขึ้นมาอีกระลอกทั้งที่ไม่อยากจะอารมณ์เสียเลย แต่พอมองตามหลังผู้ชายคนนั้นที่ไปติดต่อยังล็อบบี้และหายขึ้นไปยังชั้นบน ผมก็ถอนหายใจออกมา

ช่างมันเถอะ คนต่างชาติ ต่างภาษาก็ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว ไม่แปลกถ้าเขาจะมารยาทไม่ดี

เพราะปลงเรื่องนี้ได้ ผมเลยไปติดต่อพนักงานที่ล็อบบี้เพื่อขอกุญแจเข้าห้องพักบ้าง โชคดีที่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับผู้ชายคนนั้นเพราะผมอยู่เกสต์เฮ้าส์แบบแชร์ห้อง เพื่อนร่วมห้องผมเป็นเด็กนักศึกษาจากไทยอีกสามคนที่มาเที่ยวกันวันสุดท้ายก่อนจะกลับไทยพรุ่งนี้ วันนี้ผมก็เลยมีเด็กๆ พวกนั้นช่วยนำเที่ยวในเวียงจันทน์

ไปกับเด็กพวกนั้น ทุกอย่างมันก็ดูง่ายไปหมดเพราะเด็กๆ วางแผนเที่ยวกันมาดี ข้อมูลแน่น แถมยังอยู่ที่นี่มาเป็นอาทิตย์แล้วด้วย ผมที่แทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลยได้พึ่งใบบุญตะลอนทัวร์ไปด้วยแต่ก็เป็นแค่การเที่ยวในละแวกเกสต์เฮ้าส์เท่านั้น

เด็กๆ บอกว่าเที่ยวเวียงจันทน์ไม่ยากหรอก ไปตามแผนที่ GPS ในโทรศัพท์แค่นั้นเอง มันก็ไม่ยากสักเท่าไหร่หรอก วันใหม่มาถึง ผมก็ไปตะลอนเที่ยวตามสถานที่สำคัญต่างๆ ตามลำพัง

ไอ้ไปเที่ยวตามที่พวกนั้นน่ะไม่ยากเลย ที่ยากก็คือทำยังไงให้ไม่ถูกพวกมิจฉาชีพในคราบพ่อค้าแม่ค้าโกงเงินต่างหาก!

กลับมาถึงเกสต์เฮ้าส์ได้ ผมก็ออกอาการหัวเสียเมื่อคิดทบทวนว่าวันนี้ถูกหลอกเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์และโดนโก่งราคาค่ารถ ค่าอาหารไปมากแค่ไหน ยิ่งมาอ่านพวกรีวิวบนเว็บไซต์เรื่องกลโกงของคนพวกนี้ ผมยิ่งแค้นใจเข้าไปใหญ่

เสียไปไม่ใช่น้อยเลยนะวันนี้ อย่างน้อยก็แบงก์เทาใบนึงล่ะวะ

เป็นการเสียเงินที่ไม่ควรจะเสียเลยแม้แต่น้อย เอาเงินนั่นไปจ้างไกด์นำเที่ยวยังจะดีกว่าเสียไปเปล่าๆ ให้พวกขี้โกงนั่นอีก แค่ในเวียงจันทน์ยังขนาดนี้ แล้วออกไปจังหวัดอื่น ผมจะต้องถูกโกงเพราะตามไม่ทันคนพวกนี้อีกขนาดไหน

คิดแล้วก็น่ากังวลนัก ผมเลยตัดสินใจลงไปติดต่อกับพนักงานที่ล็อบบี้ว่าจะขอให้เขาช่วยหาไกด์ให้สักคนเพราะอีกไม่กี่วัน ผมก็จะเดินทางไปเที่ยวยังหลวงพระบางและต่อด้วยวังเวียง หากแต่ก็ต้องผิดหวังด้วยพนักงานล็อบบี้แจ้งว่าไกด์ผู้ชายติดงานกันหมด จะเหลือก็แต่ไกด์ผู้หญิง

ความจริงจะจ้างไกด์ผู้หญิงมันก็ไม่มีปัญหาแหละ เคยดูหนังเรื่องสบายดีหลวงพระบางที่ อนันดา เอเวอร์ริงแฮม แสดงนำ เรื่องนั้นก็ยังจ้างไกด์ที่เป็นผู้หญิงเลย แต่พอมานึกๆ ดูแล้ว ไกด์ผู้หญิงคงจะนำเที่ยวแบบสมบุกสมบันไม่ได้ ผมเป็นพวกง่ายๆ อยากเที่ยวสไตล์ลุยๆ มากกว่าเลยตัดสินใจพูดออกไป

“แล้วพอจะหาไกด์ที่เป็นผู้ชายที่ไม่ใช่คนของเกสต์เฮ้าต์ให้ได้บ้างไหมครับ”
คำตอบคือไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่รับงานกันข้ามเกสต์เฮ้าส์หรือโรงแรม แต่เป็นเพราะไม่มีคนจริงๆ ผมก็เกือบจะตัดใจอยู่แล้วถ้าเกิดว่าไม่มีผู้หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาถามผมขณะที่ผมยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
ภาษาไทยสำเนียงเหน่อนิดๆ ดังออกมาจากปากของผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้ผม

มองปราดเดียวผมก็จำเธอได้ว่าคือคุณแอน เจ้าของเกสต์เฮ้าส์ที่นี่ เมื่อวานเจอไปทีนึงแล้วแต่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก แค่ทักทายกันนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น และผมก็ไม่แปลกใจด้วยว่าทำไมเธอถึงพูดไทยได้คล่องปร๋อขนาดนี้แม้ว่าสำเนียงจะแปร่งๆ ไปบ้างก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะคนลาวดูรายการโทรทัศน์จากไทยและต้องทำเข้าสินค้าจากไทยเกือบทั้งหมด ทำให้คนลาวกว่าแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์สามารถพูดและอ่านภาษาไทยได้

ส่วนผม พอเห็นเจ้าของกิจการมา ผมก็เลยรีบบอกความต้องการของตัวเองออกไป
“อ๋อ ผมอยากจะได้ไกด์น่ะครับ ก็เลยมาถาม”
“ไกด์เหรอ ตอนนี้เหมือนจะเหลือแค่ผู้หญิงนะคะ”
“นั่นแหละครับปัญหา” ผมยิ้มให้กับคุณแอนเล็กน้อย
ไม่ต้องพูด คุณแอนก็พอจะเข้าใจว่าผมต้องการอะไรเลยพูดขึ้นมาอีก
“คุณเป็นผู้ชายนี่เนอะ จะให้ไปค้างอ้างแรมกับไกด์ผู้หญิงก็ไม่เหมาะเท่าไหร่ เอ เอาไงดี” จากนั้นก็ทำท่าครุ่นคิดไป

ผมเกือบจะบอกคุณแอนไปอยู่แล้วว่าไม่เป็นไร ในเมื่อไม่มี ผมก็ไปตายเอาดาบหน้าก็ได้ ทว่าเธอก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
“จริงๆ แล้วก็พอจะมีคนอยู่นะคะ แต่เขาเพิ่งจะมาทำงานวันนี้เป็นวันแรกเอง ถ้าคุณดื้อไม่ถือสาอะไรก็ให้เขาพานำเที่ยวก็ได้ค่ะ”
“เขาเป็นคนลาวหรือเปล่าครับ”
“จะว่างั้นก็ไม่เชิง ลูกครึ่งไทย-ลาวน่ะค่ะ” คุณแอนยิ้ม
“เชี่ยวชาญเส้นทางในลาวหรือเปล่าครับ”
“อาจจะต้องให้เขาปรับตัวนิดนึง พอดีเขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกาน่ะค่ะ ไม่ได้อยู่ลาวซะหลายปี”

พอได้ยินอย่างนี้ ผมเลยพยักหน้ารับเร็วๆ

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ แค่ขอให้เขารู้ทันกลโกงนักท่องเที่ยว ไม่ทำผมถูกโก่งราคา เท่านี้ก็พอแล้ว”
ตกปากรับคำไปเสียอย่างนั้น ในใจคิดว่าแค่ขอให้เป็นไกด์ผู้ชาย แล้วก็ทำให้ผมไม่ต้องถูกโกงอีก แค่นี้ก็พอแล้ว คุณแอนก็เลยบอกผมมาสั้นๆ

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นๆ จะติดต่อไปอีกทีแล้วกันนะคะ ขอเวลาให้ได้บรีฟงานเขาสักหน่อย”

ผมพยักหน้ารับ ดูท่าแล้วน่าจะเสียเวลาเที่ยวไปวันนึง แต่ยังไงแพลนเที่ยวของผมก็เปลี่ยนได้ตลอด นอนพักผ่อนเล่นๆ อยู่ที่ห้องสักวันก็คงจะไม่เป็นไร




 
ระหว่างที่ผมรอให้คุณแอนไปคุยกับไกด์ให้เรียบร้อยแล้วค่อยเริ่มวางแพลนเที่ยวอย่างจริงจัง ผมก็ใช้เวลาทั้งวันในการนอนเล่นอยู่ในห้องอย่างที่ตั้งใจไว้เมื่อวาน ตกเย็นถึงได้ลงมานั่งเล่น กินดื่มที่บริเวณบาร์หน้าเกสต์เฮ้าส์ แขกเหรื่อที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเองก็มานั่งผ่อนคลายที่นี่เช่นกัน บ้างก็รู้จักกันมาก่อน บ้างก็เพิ่งมารู้จักกัน

เห็นเขาพูดคุยกันสนุกสนาน ผมก็อยากจะไปร่วมวงนะ แต่ดันพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง...

อย่าเรียกว่าไม่คล่องเลย แทบจะไม่ได้เลยจะดีกว่า แบบงูๆ ปลาๆ มากๆ เรียนจบมาพักนึงแล้วด้วย แทบจำไม่ได้แล้วว่าต้องเรียงประโยคยังไง ผมเลยได้แต่นั่งจิบเบียร์แกร่วอยู่คนเดียว

ฉับพลันก็คิดว่าดีแล้วล่ะที่ตัดสินใจนั่งแกร่วอยู่คนเดียว เพราะไม่ทันไร กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติพวกนั้นก็มีเพื่อนใหม่มาแนะนำตัวทำความรู้จักและร่วมวงดื่มกินหน้าตาเฉย

เพื่อนใหม่คนนั้น...ไอ้บ้ากระเป๋ากระสอบสายรุ้งเมื่อวานนี้

ผมเลี่ยงที่จะไม่มองหน้ามันเลย ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดเหม็นขี้หน้ามันขึ้นมาแปลกๆ ยิ่งเห็นมันพูดคุยกับพวกนักท่องเที่ยวหัวทองอย่างออกรส ผมก็เกิดหมั่นไส้มันขึ้นมา

พูดอังกฤษปร๋อเลยนะมึง พูดมั่วใช่ไหม กูรู้หรอก สารรูปมึงไม่น่ามีการศึกษา...

อคติสุดๆ ทั้งที่ผมไม่เคยที่จะดูถูกคนไม่รู้จักอย่างนี้มาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต ก่อนที่นิสัยเสียของผมจะถูกระงับเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคุณแอนเดินเข้ามาหา

“คุยกับไกด์ให้แล้วนะคะคุณดื้อ”
“อ้อ ครับ” ผมรีบปรับท่าทางให้สุภาพขณะตอบรับ
คุณแอนยิ้มให้ผม ก่อนที่จะยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขียนเบอร์โทรกับอีเมลของใครบางคนมาให้ ผมมองแล้วก็ย่นคิ้วเล็กๆ
“อะไรเหรอครับ”
“เบอร์ติดต่อกับเมลของไกด์ค่ะ ฉันให้เบอร์ติดต่อของคุณกับไกด์ไปแล้ว เดี๋ยวเขาคงจะโทรไปหา”

ผมร้องอ๋อตอบรับก่อนจะยื่นมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาดู ถึงจะเขียนเป็นภาษาลาว แต่ผมก็พอจะอ่านออก

ปั้นรัก...

ไกด์ของผมชื่อปั้นรัก

ชื่อน่ารักอย่างนี้ ตัวจริงต้องน่ารักแน่ๆ

คิดถึงหนุ่มน้อยท่าทางสำอางหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ถ้าได้ไกด์แบบนั้น ทริปของผมก็คงจะมีบรรยากาศดีไม่ใช่น้อยเลย

ทว่าความคิดมโนของผมก็ต้องมลายหายไปเมื่อจู่ๆ คุณแอนก็พูดขึ้น
“เอ้า ปั้นรักอยู่ที่นี่พอดีเลย เดี๋ยวฉันให้เขามาคุยกับคุณดื้อเลยก็แล้วกันค่ะ”

พูดมาอย่างนั้น ผมก็มองตามทางที่คุณแอนมองไปทันที ก่อนจะต้องชะงักกึกเมื่อเห็นว่าคุณแอนมองไปยังโต๊ะคนต่างชาติพวกนั้น ทำเอาผมเอะใจขึ้นมา

“เดี๋ยวนะครับ ไกด์ที่บอกว่าเป็นลูกครึ่งไทย-ลาว เพิ่งกลับมาจากอเมริกา หมายถึงฝรั่งเหรอ”
เดาไปโน่นเพราะเห็นฝรั่งนั่งกันเต็มโต๊ะ แต่คุณแอนส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ
“ต้องเป็นคนเอเชียสิคะ คนนั้นต่างหากล่ะ หัวดำที่นั่งอยู่ตรงนั้น”

ชี้นิ้วไปแล้วด้วย ผมมองแล้วก็นิ่งอึ้งไปมากกว่าเดิม

นั่นมัน...ไอ้เวรกระเป๋าสีรุ้ง!

“อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนั้นคือ...ปั้นรัก?”

ถามออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา คุณแอนพยักหน้าหงึกหงัก

“ใช่ค่ะ คนนั้นแหละ”

อ้าปากค้างตามมาด้วยได้ ผมก็จะทำแล้ว

พีคกว่านั้นคือพอคุณแอนบอกผมว่าไกด์ของผมคือคนไหน เธอก็ตะโกนบอกไอ้บ้านั่นแล้ว

“ปั้น! คุณดื้อคือคนนี้นะ เดี๋ยวมาแนะนำตัวด้วย”

พีคไปอีกตรงที่ไอ้เวรนั่นลุกขึ้นยืนมาชะโงกมองผม ตอนนี้เองที่ผมได้เห็นสภาพมันชัดๆ

โอ้โห สภาพมึงนี่มันกุ๊ยชัดๆ เลย เคยตัดผม โกนหนวดโกนเคราบ้างไหม แล้วกางเกงขาเดฟกับเสื้อลายสก๊อตมึงนี่มันอะไร จะมานำเที่ยวหรือพาไปตัดอ้อย!?

ความอคติกลับมาอีกแล้ว อคติหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นมันเบ้ปากใส่ผมเล็กน้อยทันทีที่เห็นหน้าผมชัดๆ เช่นกัน

หมดกันไกด์หนุ่มหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม กลายเป็นไอ้บ้าผมเผ้าฟู หนวดเหนิดไม่โกน แถมแต่งตัวไม่มีความแมทช์กันอย่างนี้เสียงั้นอะ อะไรไม่ว่า มันไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผมด้วย แค่มองตามที่คุณแอนบอกเท่านั้น มันก็นั่งลงไป พูดคุยกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ต่อโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ตอนนี้นี่เองที่ผมรู้สึกว่ามันไม่โอเคเลยรีบร้องบอกคุณแอนที่ตั้งท่าจะขอตัวไปทำธุระอื่นอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวครับคุณแอน อย่าเพิ่งไป ผมมีเรื่องอยากจะคุยหน่อย”
“ว่าไงคะ” คุณแอนเลิกคิ้วใส่ทันที

ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีหรือไม่ว่าอยากเปลี่ยนไกด์ มันจะทำให้ผมดูเป็นลูกค้าเรื่องมากไปเลยนะ แต่ไม่ถูกชะตากับไอ้หมอนั่นจริงๆ ถ้าต้องไปใช้ชีวิตด้วยกันหลายๆ วัน ผมว่าทริปพักใจของผมคงได้กลายเป็นทริปหนักใจและลำบากใจอย่างแน่นอน ผมเลยตัดสินใจที่จะพูดออกไป

“ผมขอเปลี่ยนไกด์ได้ไหมครับ”
พอพูดไปอย่างนั้น สีหน้าของคุณแอนก็ดูลำบากใจไปทันที ผมก็เข้าใจแหละว่าการขอเปลี่ยนไกด์แบบกะทันหันมันไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งผมรีเควสว่าขอไกด์ผู้ชายด้วยแล้ว ยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่ ก่อนผมจะต้องพูดเสริมเมื่อเห็นว่าคุณแอนไม่พูดอะไรสักที
“คือผมมีปัญหากับเขานิดหน่อย”
หลุดปากออกไปแล้ว สีหน้าคุณแอนดูลำบากใจมากกว่าเดิมอีก
“มีปัญหาอะไรเหรอคะ”

ผมชำเลืองมองไปยังผู้ชายคนนั้นเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าควรจะลงรายละเอียดดีไหมว่าที่ไม่อยากจะไปกับมัน นอกจากรูปร่างหน้าตาจะไม่เจริญหูเจริญตาแล้ว เมื่อวันก่อนมันยังด่าผมว่าไอ้รูก้น แต่พอคุณแอนถามออกมาอีกครั้ง

“ว่าไงคะคุณดื้อ มีปัญหาอะไรเอ่ย”
ผมก็ว่าออกมาตามตรงด้วยน้ำเสียงอันเบาด้วยเกรงว่ามันจะได้ยิน
“คือเมื่อวันก่อนน่ะครับ ผมถูกเขาต่อว่านิดหน่อย”

สีหน้าลำบากใจของคุณแอนแปรเปลี่ยนไปเป็นสงสัยทันควัน
“ต่อว่าอะไรคะ”
“แบบว่า... เขาด่าผมน่ะครับ ผมบังเอิญเหวี่ยงกระเป๋าไปโดนเขาตอนอยู่ที่ท่ารถน่ะ” พูดไปตามตรงอีกครั้ง

ทว่าแทนที่คุณแอนจะพยักหน้ารับแล้วจัดการตามที่ผมขอให้ ดันถามเจาะลึกลงกว่าเดิม
“ด่าว่าอะไรคะ” ถามไป คิ้วก็ย่นยู่ไป

ถึงจะไม่อยากบอกเพราะกลัวว่าผมจะทำให้ไกด์คนนั้นลำบาก แต่ก็เพื่อตัดความรำคาญแล้วจะได้เปลี่ยนไกด์  ผมเลยต้องให้เหตุผล สุดท้ายเลยโพล่งไป

“ด่าเป็นภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่า...รู...เอ่อ...รูก้นน่ะครับ”

ไม่อยากจะพูดภาษาอังกฤษสักเท่าไหร่ด้วยเกรงใจคุณแอนเพราะมันเป็นคำหยาบ แต่การพูดภาษาไทยซึ่งเป็นคำแปลอย่างนั้นก็ทำให้คุณแอนเข้าใจได้

เท่านั้น สีหน้าใจดีของคุณแอนก็พลันเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะร้องเรียกไอ้บ้านั่นเสียงดังลั่น
“ปั้น! มานี่!”

คนถูกเรียกสะดุ้ง หยุดปากที่กำลังเม้าท์มอยหอยสังข์ทันที ดูขัดใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมลุกออกจากโต๊ะนั้นมาหาคุณแอน
“What?” ถามด้วยภาษาอังกฤษด้วยเอาซี่

คุณแอนเลยตีเข้าที่ไหล่ไม่แรงนักไปทีนึง
“ยังจะมาถามอีกว่าอะไร วันก่อนแกไปว่าอะไรแขก”

ปั้นรักทำหน้างุนงง มองหน้าผมสลับกับหน้าคุณแอนแล้วก็ว่าเสียงสูง
“I don’t know! (ผมไม่รู้!)”

มึงจะมาด็อนท์โนวอะไร กูได้ยินชัดๆ เต็มๆ สองหูว่าด่ากูว่ารูอะไรนั่นน่ะ!

คุณแอนสูดหายใจเข้าเต็มปอดกับท่าทางไม่ยี่หระของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดออกมา
“ไปด่าเขาว่ารูอะไรนะ”
ปั้นรักยังทำหน้างงอยู่ คุณแอนก็เลยหันมาถามผมแทน
“พูดมาเลยค่ะคุณดื้อ เขาว่าคุณว่าอะไรนะคะ”
“รูก้นครับ” ผมว่างุบงิบ รู้สึกอุบาทว์ตัวเองมากที่ต้องพูดคำว่ารูนี่ซ้ำไปซ้ำมา

แต่มันก็ทำให้ปั้นรักนึกขึ้นมาได้ พลันมันก็ร้องอ๋อออกมาพร้อมกับรัวภาษาลาวใส่อย่างรวดเร็ว
“เว้าว่า Asshole แปลว่างี่เง่า บ่แม่นฮูดากฮูขี่ (พูดว่า Asshole แปลว่างี่เง่า ไม่ใช่รูก้น)”

คุณแอนชักสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายยอมรับ แต่ไอ้ปั้นรักมันไม่ได้สำนึกเลยแม้แต่น้อยว่ากำลังทำเจ้านายตัวเองลำบาก ว่าออกมาหน้าตาเฉยใส่ผมอีก

“ฮูดากฮูขี่หยัง ไผสิพ้าแปลตรงๆ แบบนั้น โง่แท้โง่หลาย (รูก้นอะไร ใครเค้าแปลกันตรงๆ แบบนั้น โง่จริงโง่จัง)”

อะ...ไอ้…!

กำมือแน่นมาก ระงับใจสุดชีวิตให้ไปพุ่งไปต่อยมันขณะที่ในใจนี่ร้อนระอุขึ้นมาแล้ว

แม่งเอ๊ย กูจะรู้ไหมว่ามันแปลว่างี่เง่าอะไรของมึงน่ะ ภาษาอังกฤษกูแข็งแรงซะที่ไหน รู้ศัพท์ก็ดีแล้ว ass แปลว่าก้น hole แปลว่ารู เอามารวมกันเป็นรูก้น แปลผิดตรงไหนล่ะวะ!

ที่สำคัญ...กู-เป็น-แขก และกำลังจะว่าจ้างมึงมาเป็นไกด์ด้วย มาพูดอย่างนี้ได้ยังไง!

เออ โมโห ยอมรับเลย แต่ผมมีวุฒิภาวะมากพอที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา จะมีก็แต่คุณแอนนี่แหละที่ร้องเรียกมันเสียงดัง

“บักปั้น!”
ตามมาด้วยดึงปลายหูอีกฝ่ายทันควันพร้อมกับพ่นภาษาลาวออกมา
“เว้าจังซี่กับแขกได้ไง (พูดอย่างนี้กับแขกได้ไง)”

ปั้นรักร้องโอดโอยทันควัน ผมมองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ครู่เดียวคุณแอนก็รู้สึกตัว รีบหันมาบอกผมด้วยภาษาไทย
“ขอโทษนะคะที่ลูกชายฉันทำมารยาทไม่ดีใส่คุณดื้อ”

เอ้า นี่เป็นแม่ลูกกันเหรอ

ผมมองทั้งคู่อย่างตกใจ ขณะที่คุณแอนพูดขึ้นมาอีก มือก็ดึงหูปั้นรักให้มันร้องครวญครางไปเรื่อยๆ
“แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนไกด์ตอนนี้มันไม่มีแล้วจริงๆ ค่ะ ถ้าคุณดื้อไม่ถือสาอะไรกับปากมัน เด็กนี่ก็พร้อมจะดูแลคุณนะคะ”
ดูจากสภาพมันแล้ว มันไม่น่าจะพร้อมดูแลผมสักนิดเลยนะครับคุณแอน ขนาดสารรูปมัน มันยังไม่ดูแลเลยเนี่ย

ผมก็อยากจะปฏิเสธอยู่หรอก ทว่าพอเห็นผมจะพูด คุณแอนก็สวนมา
“ถ้าคุณไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจะให้คุณอยู่ฟรีอาทิตย์นึงเลยค่ะ ถือว่าเป็นการชดเชยที่คนของเกสต์เฮ้าส์ทำมารยาทไม่ดีใส่ด้วย เงินที่จ่ายมาแล้ว เดี๋ยวคืนให้นะคะ แล้วเรื่องไกด์จะให้นำเที่ยวให้ฟรีๆ ด้วยค่ะ”

ต่อรองมาอย่างนี้ ผมก็เลยนิ่งไปครู่

อยู่ฟรีอาทิตย์นึงกับได้ไกด์ฟรีเหรอ... น่าสนใจแฮะ

ถึงไอ้ปั้นรักอะไรนั่นจะดูไม่ค่อยสมประกอบสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความโลภ ผมเลยตัดสินใจตกปากรับคำไป
“ก็ได้ครับ”

เท่านั้นคุณแอนก็ยิ้มออกมา
“งั้นรบกวนอีกเรื่องนึงค่ะ คุณปั้นอย่าไปรีวิวในเว็บว่าเกสต์เฮ้าส์ของฉันในทางลบนะคะ ช่วงนี้พวกที่พักแย่งนักท่องเที่ยวกันน่ะค่ะ คะแนนรีวิวในเว็บค่อนข้างจะมีผลพอสมควรเลย”

อ๋อ เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงจะให้ผมอยู่ฟรีๆ ที่แท้ก็เป็นเพราะอย่างนี้น่ะเอง

ผมก็ได้แค่รับปากไปพลางยิ้มฝืนๆ ให้ สายตาปราดมองไปยังปั้นรักที่โดนแม่ดึงหูจนต้องแหกปากออกมาด้วยทนไม่ได้
“Ouch! Mom! Let me go! (โอ๊ย! แม่! ปล่อยได้แล้ว!)”

เท่านั้นคุณแอนก็ปล่อยมือ แต่ก็ไม่วายตีเข้าไปที่ไหล่อีกฝ่ายอีกทีพร้อมส่งเสียงดุ
“ยังไม่ไหว้ขอโทษแขกอีก!” ประโยคนี้ตั้งใจพูดภาษาไทย คงเพราะต้องการให้ผมเข้าใจด้วย

ปั้นรักทำท่าขัดใจ ไม่ยอมยกมือไหว้ผมแต่โดยดีเลยถูกคุณแอนยกมือขู่จะตีอีกครั้ง มันถึงรีบยกมือไหว้
“ขอโทษ”

คำว่าขอโทษในภาษาไทยกับภาษาลาวพูดเหมือนกัน แต่การขอโทษของมันนี่เป็นการขอโทษแบบขอไปทีมาก ผมก็ไม่ได้อยากจะถือสาหาความอะไรมากนักหรอกเลยพยักหน้ารับไป

“ทีหลังอย่าให้มีอีก ดูแลคุณดื้อดีๆ ด้วย” คุณแอนดุตบท้ายด้วยภาษาบ้านเกิดผม
จากนั้นก็ขอตัวไปทำธุระต่อ พอหันหลังเดินจากไป เหลือเพียงปั้นรักกับผม มันก็ทำปากขมุบขมิบเหมือนจะบ่นแม่ ก่อนจะหันมาทางผมที่จ้องหน้ามันนิ่ง

“เบิ่งหยัง บ่เคยพ้อคนหล่อบ่ (มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง)”

จู่ๆ รัวภาษาลาวมา ผมก็ตั้งรับไม่ทันเลยทำหน้างงใส่มัน

“ฮะ?”

หากแต่มันไม่คิดจะแปลอะไรใดๆ ให้ผมเลย นอกจากปรายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดออกมาอีก

“แล้วจ่างไกด์ผู้ชายนี่คิดหยังอยู่ เป็นเกย์บ่นิ ถ้าเป็นนิบอกก่อนเด้อว่าบ่ฮับงานนอก นอนนำได้อยู่ แต่อย่ายุ่งกับดากเด้อ (แล้วจ้างไกด์ผู้ชายนี่คิดอะไรอยู่ เป็นเกย์ปะเนี่ย ถ้าเป็นนี่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่รับงานนอก นอนด้วยได้อยู่ แต่อย่ายุ่งกับก้นนะ)”

พ่นมาอย่างเร็ว ผมต้องใช้เวลาในการประมวลผลสักครู่เลย พักนึงถึงจะเข้าใจว่ามันพูดว่าอะไร

มารดามึงเถอะ! สภาพน่ายุ่งกับดากมาก เดี๋ยวก็ยอกหน้าแหก

มั่นหน้าจริงๆ ไอ้นี่...

ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร มันก็ถูกนักท่องเที่ยวโต๊ะอื่นโบกไม้โบกมือเรียกไปดื่มด้วยแล้ว มันเลยไม่รอช้า ปล่อยให้ผมนั่งอยู่ที่เดิมคนเดียว เดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ผมมองมันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

ได้ไกด์ผีมาแท้ๆ เลยกู... ไกด์ผีบ้า
----------------------------
อัปเต็มตอนแล้วค่ะ กว่าจะมา นิยายที่ดองข้ามปี 555
เรื่องนี้ช่วงแรกๆ จะมาช้านิดนึงนะคะเพราะต้องเสียเวลาแปลภาษาลาวหน่อย หนูแดงไม่ค่อยรู้ว่าประโยคไหน ภาษาลาวแบบทับศัพท์พูดว่ายังไงเลยต้องขอให้นักอ่านช่วยแปล รอกันหน่อยเน้อ
ฝากกำลังใจไว้ด้วยนะคะ เดี๋ยวมาอัปตัวอย่างตอนหน้าให้พรุ่งนี้ค่ะ ^^

ออฟไลน์ jarqqq

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรานึกว่าคนเขียนหยุดเขียนพี่ดื้อซะแล้ว555
คิดถึงมากๆ
มาต่อเร็วๆนะคะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่าา  :กอด1:

ออฟไลน์ Fasai25448

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เป็นเรื่องที่น่าฮักอีหลีม่วนหลายถูกใจข่อยคัก
รอตอนต่อไป
คนเขียนสู้ๆเด้อออ :mew1:


ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ยินดีต้อนรับผีบ้าตัวใหม่ 5555

ออฟไลน์ mildmildss

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกดีค่ะ แปลกดี ชอบ  :mew1:

ออฟไลน์ utamon

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-2
มีผีบ้ามากอีกแล้ว :m20:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สะบายดี ครั้งที่ 2: น่ารัก...น่ากระทืบ[1]

ยังทำใจเรื่องได้ไกด์ไม่สมประกอบมาไม่ได้ วันนี้ผมก็เลยตัดสินใจยังไม่ไปเที่ยว แต่คุณแอนก็ดันคะยั้นคะยอให้ผมไปเที่ยวกับลูกชายตัวเองอยู่นั่น

ใช่ครับ พูดไม่ผิด เขาคะยั้นคะยอผมแกมขอร้องให้ไปเที่ยวกับปั้นรักเพราะเธอไม่อยากให้มันมานั่งๆ นอนๆ เดินหัวฟูเคราเฟิ้มร่อนไปร่อนมาอยู่ในเกสต์เฮ้าส์ให้เป็นที่รำคาญสายตาของแขก

อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะ คุณแอนเป็นคนพูดเองเลยเถอะ ตอนผมลงมากินข้าวเช้าก็พอเข้าใจว่าเพราะอะไร เธอถึงไม่อยากให้มันอยู่ ก็ดูสภาพมันสิ โอ้โห หัวฟู เคราเฟิ้มไม่พอ นี่แม่งใส่เสื้อกล้าม นุ่งผ้าขาวม้าเดินโทงๆ ไปมาในเกสต์เฮ้าส์แม่ตัวเองชนิดไม่เกรงใจแขก เห็นสภาพมันอย่างนั้น ผมก็ว่าสะอิดสะเอียนแล้วนะ น้ำท่าก็ไม่อาบ ฟันฟางแปรงหรือยังก็ไม่รู้ เที่ยวทักแขกไปทั่ว อะไรไม่ว่า แม่งมานั่งตรงโต๊ะถัดไปจากผม หันหน้าเข้าหา จิบกาแฟกับอาหารเช้าแบบอเมริกันเบรกฟาสต์ อ่านอะไรไม่รู้ในโทรศัพท์ไปด้วย ถ้ามันนั่งอ่านดีๆ ผมจะไม่ว่าเลย จู่ๆ ยกขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ข้างนึง จังหวะเดียวกับที่ผมเหลือบตาไปมองทันที

ไข่แล่บ!

โอ้โหไอ้ปั้นรัก! กูจะอ้วก มึงให้เกียรติไข่ดาวในจานกูหน่อยเถอะ!

โยนช้อนส้อมทิ้งทันที ไม่กงไม่กินต่อมันละ ความจริงมันก็ไม่ได้เห็นอะไรอย่างที่ผมอุทานหรอก มันใส่กางเกงบ็อกเซอร์ไว้ข้างใน แต่คือเข้าใจไหม คนกำลังกินข้าวอะ แล้วมาเห็นอะไรแบบนี้ตอนกำลังจะตักไข่ดาวเข้าปาก คิดว่าผมจะกินต่อลงเหรอ
รีบขึ้นห้องมาล้างหน้าล้างตาเพื่อลบภาพอุบาทว์ของมันแทบไม่ทัน

ทำไมต้องมาเห็นอะไรแบบนี้แต่เช้าด้วยวะ ถึงจะเป็นเกย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะโอเคกับการได้เห็นอะไรแบบนี้นะเว้ย ผมก็เลือกดูเหมือนกัน

ปวดหัวหนึบกว่าเดิมด้วยหลังจากที่ผมตัดใจทิ้งอาหารเช้าของเกสต์เฮ้าส์ คุณแอนก็ขึ้นมาคุย แล้วเนื้อหาก็เป็นอย่างที่ผมบอกในตอนแรก

แล้วทำไมกูต้องไปกับมันวะ คนตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไปคือลูกค้าไม่ใช่เหรอ?

“นะคะคุณดื้อ ฉันไม่อยากให้ปั้นนั่งว่างๆ เฉยๆ น่ะค่ะ”
“ผมก็เห็นเขาต้อนรับแขกดีนี่” ผมพยายามจะบอกปัด
คุณแอนยู่หน้า “แต่ต้อนรับในสภาพแบบนั้น ฉันว่ามันไม่โอเคน่ะค่ะ”

ไม่โอเคก็ไปบอกลูกตัวเองโน่น มาบอกผมทำไมก็ไม่รู้ ผมก็อยากจะปฏิเสธอยู่หรอก แต่พอคุณแอนเล่นบทดาวพระศุกร์ มีความดราม่าในชีวิตปุ๊บ...

“คุณเป็นคนแรกและคนเดียวเลยนะคะที่ลูกชายฉันจะได้ลองงานด้วย ถ้าไม่ได้คุณดื้อก็คงไม่มีแขกคนอื่นอยากได้ไปเป็นไกด์แล้วล่ะค่ะ เจ้าปั้นมันก็ดื้อขนาดนี้ ส่งไปอยู่เมืองนอกกับพ่อ เรียนจบแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กลับมาก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีก ฉันล่ะกลุ้มใจ เป็นลูกคนเดียวแท้ๆ”

เนี่ย... ผมก็เลยรู้สึกผิดทันที เหมือนเป็นคนบาปที่ทำให้ชีวิตเด็กจบใหม่พังพินาศยังไงก็ไม่รู้

“ได้ครับ ผมไปก็ได้” สุดท้ายแล้วผมก็ต้องตกปากรับคำไป

คุณแอนมีสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที “งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกปั้นให้เตรียมพร้อมนะคะ อยากไปที่ไหนก็บอกปั้นนะ”
จากนั้นก็ทำท่าจะลงไปชั้นล่าง ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ก็เลยรีบร้องเรียกไว้ก่อน
“เอ้อ คุณแอนครับ ผมอยากจะขออะไรเรื่องนึง”
“คะ?”
“บอกมัน...ผมหมายถึงปั้นรักน่ะครับ บอกให้โกนหนวดโกนเคราที ผมไม่ค่อยชอบน่ะ มันดู...”
“สกปรก” อันนี้คุณแอนเสริมให้อย่างรู้ทัน

ผมไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยพยักหน้าไป

“งั้นเดี๋ยวจะบอกให้ตัดผมด้วยแล้วกันนะคะ”

ออกปากเองอย่างนี้ ผมก็พยักหน้ารับไปสิ พอผมพยักหน้าปุ๊บ คุณแอนก็บ่นพึมพำ
“"บักลูกคนนี่ บอกให้ตัดผมตัดเผ้ากะบ่ฮู้ตัด เบิ่งดู เครากะไว้จนฮกไปเบิ่ด ให้ลูกค้าเพิ่นมาจ่ม" (ไอ้ลูกคนนี้ บอกให้ตัดผมตัดเผ้าก็ไม่ยอมตัด ดูซิ เคราก็ไว้ซะรกไปหมด ต้องให้ลูกค้ามาบ่น)”

ผมก็ฟังไม่ทันหรอกว่าเธอบ่นอะไร แต่พอจะจับใจความได้ว่าเป็นเรื่องที่ผมบอกเมื่อกี้ ปั้นรักคงจะหงุดหงิดไม่น้อยทีเดียวถ้ารู้ว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันต้องโดนแม่ตัวเองบ่น แต่ช่างเถอะ ผมไม่อยากจะไปเที่ยวกับไกด์ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรจากคนป่าหรอกนะ

และพอผมรีเควสไปอย่างนั้น อีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง คุณแอนก็ให้เด็กมาตามผมที่ห้องเพื่อไปรอปั้นรัก ผมเลยเตรียมตัวลงไปที่ล็อบบี้ ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่นั้น จู่ๆ สายตาก็สะดุดเข้าให้กับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาข้างในด้วยสีหน้าเรียบเฉย ประเมินจากสายตาแล้วน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่สายตาผมจับจ้องไปยังใบหน้าของผู้ชายคนนั้นไม่หยุด

โคตร...น่ารัก

เออ ไม่ได้น่ารักแบบหน่อมแน้มตัวเล็กอะไรแบบนั้น พูดตรงๆ ก็คือเขาหล่อ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสองสีเรียบเนียน แต่งตัวทันสมัยเหมือนหลุดมาจากนิตยสาร ยิ่งเอาแว่นตาดำมาคาดผมหน้าให้เสยขึ้นอย่างนั้นนะ โคตรมีเสน่ห์เลย เล่นเอาผมมองไม่วางตาเลยล่ะ

มองสักพักก็เหมือนผู้ชายคนนั้นจะรู้ตัว มองผมกลับบ้าง ผมเลยส่งยิ้มให้ แต่เขาไม่ยิ้มตอบ เดินเข้ามาหาแทน เดินมาอย่างเดียวไม่พอ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ทำเอาผมถึงกับชะงัก

อย่าบอกนะว่าที่ส่งสายตาให้เมื่อกี้นี้จะทำให้รู้ตัวแล้วว่าผมเป็นเกย์?

หรือว่าเขาก็เป็นเกย์เหมือนกัน?

ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่าเรดาห์ดีมากเลยนะ ผมไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมาให้เห็นเลยสักนิด

หากแต่ผมคิดผิดเมื่อพอผมหันไปมอง ตั้งท่าจะทักเฮลโหลสักคำ เผื่อว่าจะเป็นคนชาติอื่นที่ไม่ใช่ไทยหรือลาว อีกฝ่ายก็พูดออกมาก่อน

“แนมอีหยัง (มองอะไร)”
เอ๊ะ ภาษาลาว

“แนมจั๋งซี่คึดหยังอยู่ สายตาหื่นคัก (มองอย่างนี้คิดอะไรอยู่ สายตานี่หื่นซะ)”
ต่ออีกประโยค...

สำนวนอย่างนี้มันคุ้นๆ แฮะ

“เอ้าๆ ยังสิแนมอยู่อีก เดี๋ยวกะจิ๋มตาบอด สิไปหลิ้นบ่องได๋กะพ่าวบอกมา รำรี้รำไรเป็นตาซัง (เอ้าๆ ยังจะมองอยู่อีก เดี๋ยวจิ้มตาบอด จะไปเที่ยวไหนก็รีบบอกมา พิรี้พิไรน่ารำคาญ)”

ไอ้นี่มัน...ปั้นรักนี่หว่า!

ไม่ต้องแนะนำตัว ไม่ต้องเอ่ยชื่อ ไม่ต้องให้ใครบอก ผมก็รู้ได้เองเลยจากสำนวนการพูดของมันเนี่ย

มึงนี่มันเงาะถอดรูปชัดๆ เลย!

ผมเผลออ้าปากมองมันตาค้าง มันดูหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน ก่อนจะเอานิ้วมาแหย่ปากผมหน้าตาเฉย
“แมงหวี่บินเข้าชะแว้บ”
“เฮ้ย ทำไรเนี่ย” รู้สึกตัวปุ๊บ ผมก็ปัดมือมันทิ้ง

ปั้นรักเอามือที่แหย่ปากผมเมื่อกี้ขึ้นมาดู น่าจะมีน้ำลายผมติดอยู่นิดหน่อย มันก็เลยเอามาเช็ดกับกางเกง...ผม

มึงนี่มัน...

เห็นแล้วเส้นเลือดที่ขมับก็เต้นตุ้บๆ เลย ขณะที่มันเช็ดเสร็จก็พูดหน้าตาเฉย
“เห็นอ้าปากหวอ ซัง เลยลองจกเบิ่งจักเทือ (เห็นอ้าปากหวอ หมั่นไส้เลยจกสักที)”

แต่มึงจะมาเอานิ้วจกเข้าปากลูกค้าไม่ได้นะเว้ย!

ผมไม่อยากจะอะไรนักหรอก เห็นคุณแอนบอกว่ามันไปอยู่เมืองนอกมา การวางตัวในสังคมตะวันตกคงจะแตกต่างจากสังคมในประเทศละแวกนี้ ผมเลยไม่ได้ใส่ใจนัก ว่าออกมานิ่งๆ

“โกนหนวดโกนเคราออกแล้วดูดีขึ้นนะ ทรงผมก็ด้วย” ชมมันไปหน่อย หวังจะผูกสัมพันธ์อันดีงาม

หากแต่ปั้นรักไม่ได้ขอบคุณหรือยิ้มรับเลยแม้แต่น้อย ผมชมเสร็จปุ๊บ มันก็จ้องหน้าผมแล้วเบ้ปาก

“เทือจะของไว้หนวดไว้เคราได๋ ซามคนอื่นละหาว่าสกปรก คึดว่าจะของเป็นอนันดาบ้อ (ทีตัวเองไว้หนวดเคราได้ ทีคนอื่นล่ะหาว่าสกปรก คิดว่าตัวเองเป็นอนันดาหรือไง)” มันค่อนแคะ “อนันดาบ้าบอกคอแตกอีหยัง เล็บขบอนันดากะว่าไปอย่าง (อนันดาบ้าบอคอแตกอะไร เล็บขบอนันดาก็ว่าไปอย่าง)”

มันพูดเร็วเป็นไฟเลย แต่ผมว่าผมฟังมันออกนะ

ฟังออกชัดเจนด้วยว่ามึงว่ากูเป็นเล็บขบอนันดาเนี่ย! ต่อยปากสักทีดีไหม!

คิดภาพ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม พระเอกที่ผมโตมากับหนังของเขาขึ้นมาทันที ก่อนจะตัดภาพไปที่เล็บขบหัวแม่โป้งเท้า
ทำไมมันถึงได้เปรียบเทียบอะไรได้อุบาทว์ขนาดนี้

ผมถึงกับยกมือขึ้นลูบเคราอ่อนๆ ที่ปลายคางตัวเอง ก่อนที่ปั้นรักซึ่งมองผมด้วยสายตาเหยียดหยามจะเปิดปากพูดอีกครั้ง
“แล้วนี่ อยากไปหลิ้นไส (แล้วนี่อยากไปเที่ยวไหน)”

ผมนิ่งคิดไปแป๊บ

“ที่ไหนก็ได้”

กะตามใจมันไง บอกตรงๆ ว่าไม่อยากทะเลาะกับคนบ้าอย่างมันเลย หากแต่ปั้นรักไม่พอใจ ผมตอบไปอย่างนั้นมันก็พึมพำ
“โอ้ย แล้วสิไปฮู้ได๋จั๋งได๋ว่าอยากไปไส (โอ๊ย แล้วจะไปรู้ไหมว่าจะไปไหน)”

มึงเป็นไกด์ มึงยังไม่รู้เลยว่าจะพาลูกค้าไปเที่ยวไหน แล้วกูจะไปรู้ไหม แถวนี้กูก็ไปมาหมดแล้วเนี่ย!

“แม่น้อแม่ จักให้มาเฮ็ดเวียกหยัง (แม่นะแม่ ให้มารับงานอะไรวะเนี่ย)” มันยังคงบ่นอยู่ ตอนนี้บ่นลามไปยังคุณแอนแล้วด้วย
ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ นับหนึ่งถึงสิบเพื่อให้ใจเย็น ก่อนจะว่าออกมา

“เอางี้ ถ้าไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไป ผมขึ้นไปนอนบนห้องก็ได้”
พูดจบก็ทำท่าจะลุก กะตัดปัญหาไปเลยให้สิ้นเรื่อง ไม่ไปมันละ จะไม่จ้างมันด้วย

ทว่าพอลุกปุ๊บ ปั้นรักก็คว้าข้อมือผมปั๊บ
“ถ้าบ่ไป แม่กะบ่ให้เงินเฮาใช้ติ (ถ้าไม่ไป แม่ก็ไม่ให้เงินผมน่ะสิ)”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ” ผมย้อนถาม

ปั้นรักชักสีหน้า “เว้าแปลกๆ เจ้านายกะต้องให้เงินลูกจ้างตอนเฮ็ดเวียกติ เจ้าบ่ไป แล้วเฮาสิได้ค่าจ้างได้จั๋งได๋ (พูดแปลกๆ นายจ้างก็ต้องให้เงินลูกจ้างตอนที่ทำงานสิ คุณไม่ไป แล้วผมจะได้ค่าจ้างยังไง)”

ผมนิ่งไปครู่เพื่อแปลภาษา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้ง

โอเค เข้าใจแล้ว ที่มันยอมมาทำหน้าที่ไกด์ให้ผมวันนี้ก็เพราะว่ามันอยากได้เงินจากแม่มันล่ะสินะ เห็นแก่ความลงทุนของมันที่อุตส่าห์ไปตัดผม โกนหนวดเคราะตามคำขอของผม ผมจะยอมเออออไปกับมันก็ได้

“"ตกลงอยากสิไปหลิ้นบ่องได๋ (ตกลงอยากไปเที่ยวไหน)” มันถามมาอีกแล้ว
“แถวในเวียงจันทน์ก็แล้วกันครับ เอาพวกแลนด์มาร์กก็ได้ ผมยังไปไม่ทั่วเลย”

บอกไปอย่างนั้น ปั้นรักก็พยักหน้ารับ รีบบอกผมอย่างรวดเร็ว
“โอเค จั่งซั่งไปเมียนข้าวของก่อนจักคราว (โอเค งั้นเดี๋ยวไปเตรียมข้าวของแป๊บ)”
พูดจบ มันก็ลุกจากที่นั่งไป ปล่อยให้ผมยืนรออยู่อย่างนั้น ก่อนที่มันจะกลับมาพร้อมกับ...กระเป๋ากระสอบสายรุ้ง

มึงจะเอาถุงกระสอบใส่เสื้อผ้ามาทำบ้าอะไร!

ใบบักเอ้กเหมือนวันที่ผมเจอมันครั้งแรกเลย แล้วมันก็ไม่สนสายตาผมที่มองมันอยู่ด้วยนะ เดินผ่านหน้าผมไป พอเห็นผมไม่เดินตามก็หยุดเดิน หันมาพยักหน้าใส่หน้าตาเฉย

“เอ้า แนมอยู่ได๋ ย่างตามมาติละ (เอ้า มองอะไรอยู่ได้ เดินตามมาดิ)”

ก็อยากจะไปอยู่หรอก แต่ว่านะ... กูจะให้มึงไปแต่งตัวดีๆ มาทำไมในเมื่อมึงยังจะหอบกระเป๋าพะรุงพะรังเป็นคนบ้าอยู่อย่างนี้เนี่ย!
แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มันแบกถุงกระสอบสายรุ้งไปอย่างแน่นอน ชี้นิ้วไปที่กระเป๋ามันเป็นพัลวัน พอเห็นมันเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมเลยเอ่ยปาก

“นั่นน่ะ จะแบกไปจริงๆ เหรอ”
ใช้คำว่าแบกเลย ใบใหญ่มากจริงๆ

ปั้นรักพยักหน้ารับ “อือ ทำไม”

ยังจะมีหน้ามาถามอีก มึงจะเอาไปทำไม พากูนำเที่ยวนะเว้ย ไม่ได้ย้ายบ้าน!

“ผมว่าคุณเอาเฉพาะของที่จำเป็นไปดีไหม หอบไปเยอะเป็นกระสอบอย่างนี้ ผมว่ามันล่อตาล่อใจพวกวิ่งราวนะ”
ทำเป็นพูดเหมือนเป็นห่วงมันไปงั้นแหละ ถุงกระสอบสำเพ็งอย่างนั้น ใครมันจะไปวิ่งราววะ

หากแต่พอผมพูดไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ทำสีหน้าไม่พอใจใส่ผมทันที ก่อนจะโวยวายลั่น
“กระสอบบ้าหยัง นี่มันกระเป๋า BALENCIAGA รุ่น BARZAR SHOPPER ไซส์ M ราคาหนึ่งพันห้าร้อยซาวดอลลาร์ต่างหาก ฮู้จักบ่นิ”

พูดภาษาลาวปกอังกฤษออกมารัวๆ ยอมรับว่าผมฟังไม่ทันเลย จับใจความได้เพียงประโยคท้ายเลยส่ายหน้าไป มันเลยกระแทกเสียงออกมา
“โว้ย บ้านนาคัก (โว้ย บ้านนอกแท้)”

การที่กูไม่รู้จักกระเป๋าแบรนด์เนมที่มึงบอกมันผิดหรือไง แล้วมันดูเป็นของแบรนด์เนมตรงไหนไม่ทราบ มองยังไงก็ถุงกระสอบสำเพ็ง!

แต่ผมไม่เถียงกับมันหรอก มันก็คงไม่อยากจะเถียงกับผมด้วย พอพูดจบ มันก็หยุดกระฟัดกระเฟียด ร้องเรียกผมให้เดินไปยังหน้าเกสต์เฮ้าส์

“คาแต่พาเว้าหยังไร้สาระอยู่ได๋ มาได้แล้ว เดี๋ยวก็ค่ำก่อนดอก (มัวมาชวนคุยอะไรไร้สาระอยู่ได้ มาได้แล้ว เดี๋ยวก็เย็นก่อนหรอก)”
ผมไม่ตอบโต้ใดๆ เดินตามไปยังข้างหน้าเกสต์เฮ้าส์ ก่อนที่จะต้องขมวดคิ้วอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้เมื่อเห็นว่ามันเดินตรงไปยังลานจอดรถ

ใช่ ลานจอดรถ...แต่เป็นรถมอเตอร์ไซค์

แต่งตัวเหมือนนายแบบ สะพายกระเป๋ากระสอบสายรุ้งแล้วเดินไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ Yamaha Mate

ความไม่สัมพันธ์กันแม้แต่อย่างเดียวนี่มันคืออะไรวะ...

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลย ปั้นรักก็สตาร์ตรถมอร์เตอร์ไซค์ก่อนที่มันจะดังปุเรงๆ บอกอายุการใช้งานให้ผมได้รู้สึกไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่ามันจะไม่ไปดับกลางทาง จากนั้นก็หันมาเรียกผมอีก

“แนมหยังอยู่ได๋ พาวมา (มองอะไรอยู่ได้ มาเร็ว)”
ก็อยากจะไปอยู่หรอก แต่มึงแน่ใจเหรอว่ากูจะไม่ต้องเข็นกลับ?

ต่อให้มันบอกมั่นใจ ผมก็ไม่อยากจะเสี่ยง แทนที่จะได้เดินเที่ยวแบบสบายๆ กลายเป็นว่าต้องมาเข็นรถมันด้วย แบบนี้ผมไม่เอาหรอกนะ

แต่พอผมไม่ขึ้น มันก็ร้องเร่งมาอีก

“เอ้า พาวๆแหน่ติ (เอ้า เร็วสิ)”
“ไปรถสามล้อได้ไหม เดี๋ยวผมจ่ายค่ารถเอง” ผมเสนอ ไม่อยากจะเสี่ยงจริงๆ
พอผมบอกไปอย่างนั้น มันก็บ่น
“เรื่องหลายแท้วะ (เรื่องมากจังวะ)”

ก็มึงทำตัวให้กูควรเรื่องมากไหมล่ะ มึงน่ะตัวปัญหาเยอะเลย!

ถ้าผมเป็นคนใจร้อนกว่านี้สักหน่อย ผมคงจะไม่รอช้า เดินไปตะบันหน้ามันให้หงายไปแล้วกับการแสดงออกที่ไม่ค่อยให้เกียรติลูกค้าอย่างผมเนี่ย แต่ผมกลับเลือกที่จะนิ่งแล้วย้ำขึ้นมาอีกครั้ง

“ไปสามล้อ ผมออกค่ารถเอง”
“มันเปลือง รถกะมีสิไปสามล้อเฮ้ดหยัง เอ้าขึ้น อย่าเรื่องหลาย (มันเปลือง รถก็มีจะไปสามล้อทำไม เอ้าขึ้น อย่าเรื่องมาก)” ปั้นรักว่ามาอีกแล้ว

ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนว่ามันไม่ได้เป็นไกด์ให้ผมแล้วล่ะ เหมือนมันเป็นเพื่อนผมแล้วจะพาผมเที่ยวมากกว่า ผมก็อยากจะยืนกรานคำเดิมอยู่หรอกนะว่าไปรถสามล้อ ทว่าพอพูดจบ ปั้นรักก็บิดคันเร่งเข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ แล้วว่าเสียงดุ

“ขึ้นเลย ขึ้นๆ”
ผมก็แบบว่า...นะ ขึ้นก็ขึ้นวะ
พอขึ้นปุ๊บ ก็ต้องร้องบอกมัน
“มาให้ผมสะพายกระเป๋าให้เถอะครับ”

ไม่สะพายให้มัน กระเป๋าแม่งก็ดันหน้าผมอยู่เนี่ย

ปั้นรักหันมามอง ยอมส่งกระเป๋าให้ผมสะพายแต่โดยดี
“ดีมาก รู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์”

กูเป็นลูกค้าไหมล่ะ!

แต่มันจะไปสนใจอะไร ผมนั่งเรียบร้อยดี มันตั้งท่าได้ก็บิดออกไปแล้ว ทำท่าเหมือนจะซิ่งด้วยนะ แต่ด้วยความที่รถเก่าไง มันเลยไปแบบปุเรงๆ เสียงท่อดังเหมือนจะบอกว่า ‘พวกมึง กูไม่ไหวแล้ว...ไม่ไหวแล้ว...’ ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ ผมก็นั่งเกร็งไปตลอดทางเลย กลัวว่ามันจะดับกลางทาง นอกเหนือจากนั้นแล้วก็กลัวว่าจะมาตายในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองด้วย
ก็ไอ้ปั้นรักมันเล่นขี่ปาดซ้ายปาดขวาชวนให้ถูกด่าพ่อล่อแม่ไปตลอดทางเลยน่ะสิ

กูยังอยากกลับไทยอยู่นะไอ้ปั้น!

แต่ก็กลัวว่าถ้าร้องบอกมันไป เดี๋ยวมันจะพาไปคว่ำตายโค้งหน้าเลยนิ่งๆ ไว้ นี่ถ้าไม่เกรงใจจะขอไปขี่เองด้วย หมวกกันน็อกแม่งก็ไม่มีให้ใส่ มึงนี่ไม่ได้เคารพกฎจราจรบ้านเมืองเลย!


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สะบายดี ครั้งที่ 2: น่ารัก...น่ากระทืบ[2]

 
ก็ยังดีที่มันพาผมไปถึงยังที่หมายได้ เริ่มที่วัดพระธาตุหลวง จากนั้นก็ประตูชัย วันนี้ไปได้แค่สองที่เพราะกว่าจะออกมาจากเกสต์เฮ้าส์ก็บ่ายแล้ว ผมเลยไม่มีเวลาเที่ยวมากนัก ปั้นรักบอกว่าถ้าอยากมาอีกก็ให้มาวันอื่นแต่ออกให้เช้าหน่อย แต่ถึงมันจะพูดอย่างนั้น ผมก็ไม่มีอารมณ์จะเดินดูอะไรสักเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่ว่าสถานที่ท่องเที่ยวไม่น่าสนใจนะ น่าสนใจมากเลย แต่หมดอารมณ์จะดูเพราะไอ้ปั้นรักนี่แหละ

โน่น ตอนนี้มันไปทะเลาะกับแม่ค้าขายน้ำโน่น ด้วยข้อหาที่มันกล่าวอ้างว่าแม่ค้าโก่งค่าน้ำมันเพราะมันเป็นคนไทย
มันเป็นคนไทย...

เดี๋ยวนะ แม่มันเป็นคนลาวไม่ใช่เหรอ?

โอเค ถึงตอนนี้แล้วผมงงมาก ทำเป็นไม่รู้จักมันแล้วรอจนกว่ามันจะทะเลาะกับแม่ค้าเสร็จและเดินกลับมา ผมถึงสบโอกาสถามตอนมันบ่น

“คนพวกนี่ แม่งเฮ็ดให้การท่องเที่ยวเสื่อมเสีย ให้เงินกีบก็สิเอาเงินบาท อย่ามาโกงกันนะเว้ย (คนพวกนี้แม่งทำให้การท่องเที่ยวเสื่อมเสียหมด ให้เงินกีบก็จะเอาเงินไทย อย่ามาโกงกันนะเว้ย)”

“ปั้นรักเป็นลาวไม่ใช่เหรอ”
ถามไปอย่างนี้ ปั้นรักก็หยุดบ่นกระปอดกระแปด หันมามองหน้าผมทันควัน

“เคยบอกเบาะว่าเป็นคนลาว (เคยบอกเหรอว่าเป็นคนลาว)”

เอ้า ก็เห็นมึงพูดลาวจ้อขนาดนี้ จะให้กูคิดว่าเป็นคนประเทศอื่นหรือไง

“แต่คุณแอนเป็นคนลาว...” ผมบอกไปอย่างนั้น
ปั้นรักมองหน้าผมอย่างรำคาญก่อนกระดกน้ำขึ้นดื่ม แล้วถึงพูดออกมา
“แม่เป็นคนลาว แต่พ่อเป็นคนไทย เกิดอยู่ไทย ได้สัญชาติไทย เก็ตปะ”

จับใจความได้ โอเค อันนี้เก็ต

“แล้วพ่อกับแม่กะเลิกกัน พ่อย้ายไปเฮ็ดเวียกอยู่อเมริกา แต่งงานกับใหม่กับแหม่ม เฮาถืกส่งไปเฮียนอยู่บ็องฮั่นตั้งแต่ประถม พอปิดเทอมกะแวะมาหาแม่อยู่ลาวบ่อยๆ จบมหา'ลัยแล้วก็เลยกลับมาอีกที มีหยังสงสัยอีกบ่ (แล้วพ่อกับแม่ก็เลิกกัน พ่อย้ายไปทำงานอยู่อเมริกา แต่งงานใหม่กับแหม่ม ผมถูกส่งตัวไปเรียนที่นั่นตั้งแต่ประถม แวะมาเที่ยวหาแม่ที่ลาวบ่อยๆ ตอนปิดเทอม จบมหา’ลัยแล้วก็เลยกลับมาอีกที มีอะไรสงสัยอีกไหม)”

อันนี้ผมไม่ได้ถามแต่มันเล่าเอง ผมก็พยักหน้าเออๆ ออๆ ไป ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของมันเลยสักนิด ขัดใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้น...
เป็นแค่ลูกครึ่ง แต่สัญชาติไทย แถมอยู่กับคนไทยมากกว่าลาวอีก แล้วทำไมถึงไม่พูดไทยวะ ลูกค้าก็คนไทยเหอะ ให้กูแปลรัวๆ อยู่นั่น!

เอาเป็นว่าผมรู้แล้วกันว่าผมถูกคุณแอนย้อมแมวเข้าให้แล้ว

ผมบอกว่าอยากได้ไกด์คนลาวไม่ใช่เหรอ แล้วเอาไอ้กุ๊ยสัญชาติเดียวกับผมมาทำไม!

คุณแอนคงคิดว่าอะลุ่มอล่วยได้เพราะปั้นรักรู้จักถนนหนทางในลาวล่ะมั้ง แต่ผมเริ่มไม่โอเคละ เพราะผมรู้สึกว่าการให้บริการลูกค้าจะต้องมีความจริงใจแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม กะว่าวันนี้กลับไปแล้วจะไปโวยสักหน่อย ทว่าพอจะหันไปบอกปั้นรักให้กลับกันได้แล้ว มันก็ตรงไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้อย่างรู้งาน ก่อนที่จะ...

แท่ก...แท่ก...

บรื้นๆๆ...บรื้...

รถดับไปต่อหน้าต่อตา ปั้นรักสตาร์ตอีกที...อีกที...แล้วก็อีกที...

...ไม่ติด

งานงอกแล้วกู!

งอกจริงๆ เพราะปั้นรักที่รู้ชาตะและมรณะของรถตัวเองร้องเรียกผมเป็นที่เรียบร้อยตะโกนบอกผม

“ย่างกลับเอา รถสตาร์ตบ่ติดแล้ว (เดินกลับนะ รถสตาร์ตไม่ติดแล้ว)”

ใครจะเดินกลับกับมึง กูจะขึ้นสามล้อ!

แทบอยากจะทิ้งมันในตอนนี้เลย แต่ก็สงสาร ปนสมเพชและเวทนาไม่ได้ตอนเห็นมันเข็นรถเก่าๆ แถมสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมอะไรก้าๆ ของมัน

ทุเรศทุรังฉิบ...

เอาจริงๆ นะ ถ้าไม่ติดว่ามันโกนหนวด ตัดผมแล้วหน้าตาดี ผมจะไม่มีความเมตตากับมันเลยแม้แต่น้อย แต่พอเห็นเด็กนอกต้องมาตกระกำลำบากแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะตรงเข้าไปหา แล้วแย่งรถมาเข็นเอง
“ผมเข็นให้”
“โอ๊ย บ่ต้อง” มันปัดมือผมออก
ผมแย่งมาอีก “เข็นให้ คุณสะพายกระเป๋าคุณแล้วเดินตามก็พอ”

พอผมบอกไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ยอมหยุดต้านได้ พร้อมกับจุปากไล่หลังผมขณะที่ผมกำลังเข็นรถ
“สุภาพบุรุษแท้ เจนเทิลแมนล้ายหลาย”

มึงก็ยังจะมีหน้ามาเล่นอีก ไม่ตลกเลยนะเว้ย แล้วกูก็ไม่ได้มาทำให้มึงเพราะอยากจะเป็นสุภาพบุรุษอะไรด้วย แต่เห็นแล้วรำคาญสายตา

ทำไมผมซึ่งเป็นลูกค้าจะต้องมาเดือดร้อนทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ...



 
กว่าจะกลับมาถึงเกสต์เฮ้าส์ก็เล่นเอาผมเหงื่อท่วมตัว ดีนะที่ขากลับ ปั้นรักไปเจอคนใจดี ยอมถีบรถโดยการถีบที่พักเท้าคนซ้อนแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ดันกลับมาให้ถึงที่ ส่วนผมก็ซ้อนท้ายคนใจดีคนนั้นแทน กลับมาถึงที่หมาย ผมก็เลยให้เงินเขาไปนิดหน่อย ปั้นรักบ่นว่าผมจะไปให้ทำไม พูดขอบคุณก็พอ บลาๆๆ

เออ ผมปวดหัวมาก ได้ยินเสียงมันแล้วปวดหัว แค่ได้ยินชื่อมันก็ยังปวดหัวเลย ความหล่อ ความหน้าตาดีของมันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกได้รับการเยียวยาเลยแม้แต่น้อย อยากจะกลับขึ้นห้องไปนอนท่าเดียว

ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงของผมทำเอาคุณแอนที่ตั้งท่าจะถามว่าวันนี้ไปเที่ยวมาเป็นยังไงบ้างถึงกับชะงัก ไม่กล้าถาม ยอมปล่อยให้ผมเดินสวนขึ้นไปพักบนห้องโดยไม่รั้งไว้แต่อย่างใด

ผมก็หวังว่าจะได้พักโดยสงบแหละ แต่พอนั่งพักจนหายเหนื่อย เตรียมตัวจะไปอาบน้ำแล้ว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับปั้นรักที่ยืนทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หน้าประตู ดูท่าทางแล้วมันก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน สภาพดูเหมือนกับว่าถ้าหัวถึงหมอนปุ๊บ มันคงชัตดาวน์ตัวเองปั๊บ ผมถึงกับทำสีหน้าแบบเดียวกับมันส่งกลับคืนทันที

“มีอะไรเหรอครับ”
“แม่ให้มาถามว่าตอนแลงสิกินหยัง (แม่ให้มาถามว่าเย็นนี้จะกินอะไร)”

มื้อเย็น... แต่มื้อเย็นที่นี่ไม่ฟรีนี่

พอเห็นผมทำหน้างงๆ ปั้นรักก็พ่นลมหายใจแล้วอธิบายออกมา
“แม่อยากจะชดใช้ให้คุณที่ผมพาคุณไปรถเสียระหว่างทาง”

อ๋อ เรื่องนี้...

“ฝากบอกคุณแอนทีว่าผมไม่กิน ผมจะนอน”
ผมตัดบท ไม่อยากกิน อยากจะนอนจริงๆ จำเป็นต้องเสียมารยาทแล้วล่ะด้วยร่างกายไม่ไหวจะเยียวยา

แล้วแทนที่ปั้นรักจะหยุดแค่นั้น ดันชักสีหน้าใส่แล้วว่าเร็วๆ
“ถามกะพ้าวตอบมาเถาะ เจ้านี่เรื่องหลายอีหลี ถ้าบ่กิน เดี๋ยวแม่กะหาว่าเฮาล้อตั๋วอีก สั่งๆ มาเถาะ แล้วสิไม่กินหรือบ่กินกะค่อยว่ากันอีกเทือ แม่เพิ่นอยากชดใช้ให้ สิเอามาวางทิ้งตากแอร์ให้แมลงสาบเกาะกะตามใจ สั่งมาเถาะ (ถามก็ตอบๆ มาเถอะนะ คุณนี่เรื่องมากชะมัดเลย ถ้าไม่กิน เดี๋ยวแม่ก็หาว่าผมโกหกอีก สั่งๆ มาเถอะ แล้วจะไม่กินก็ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ แม่เขาอยากจะชดใช้ให้ เอามาวางทิ้งตากแอร์ให้แมลงสาบเกาะก็ตามใจ สั่งมาเถอะ)”

ว่าเร็วมาก เร็วชนิดฟังไม่ทัน อารมณ์รำคาญมาเต็มที่สุดๆ ผมที่อยู่ในสภาพร่างกายเหน็ดเหนื่อยก็นึกรำคาญขึ้นมาเหมือนกัน
มันใช่เรื่องที่กูต้องมาแปลทุกคำที่มึงพูดไหมเนี่ย!
“ลูกค้าเป็นคนไทยเนี่ย พูดไทยสิ”

บ่นซะเลย รำคาญ นึกว่ากูฟังรู้เรื่องหรือไงวะ ถึงภาษาจะเป็นตระกูลเดียวกัน คล้ายกัน แต่มาพ่นรัวๆ ไม่หยุด แถมเร็วไป Fast & Furious ก็ฟังไม่ทันเหมือนกันว่ามึงพูดอะไร

ทว่าการที่ผมพูดไปอย่างนั้น แทนที่ปั้นรักจะตอบอะไรกลับมา กลับมีเพียงสายตาหงุดหงิดเท่านั้นที่ส่งให้ผม ผมเลยกลอกตา พูดกับมันไปอีกครั้ง

“เว้าไทยได้บ่ ภาษาไทยเนี่ย เฮาฟังลาวบ่ค่อยฮู้เรื่อง ฟังไม่ทัน” พูดไทยๆ ลาวๆ ปนกันไป ประชดมันแม่ง
ปั้นรักชำเลืองมองผม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเต็มแรง
“โง่แท้ โง่ล้ายหลาย”

มึงนี่มันกวนตีน อันนี้กูฟังออกทุกคำเลยนะเว้ย!

ผมสงบจิตสงบใจไม่ให้พุ่งไปต่อยมันอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะถามมันออกไปอีกครั้ง
“ถ้าไม่อยากพูดไทย งั้นก็พูดภาษาอังกฤษแล้วกัน โอเคไหม”
“...”

ยัง มันยังเงียบอยู่ เหลือบมองผมด้วยสายตาเหยียดๆ อีกต่างหาก ก็คงจะรู้แหละว่าภาษาอังกฤษผมไม่ค่อยแข็งแรง ผมไม่ค่อยได้ใช้นี่หว่า เรียนจบมาแล้วก็ไม่ได้แตะเลยเถอะ พอพูดได้ก็บุญแล้ว

แต่ถึงจะไม่สันทัด ผมก็ยังพูด ดีกว่าให้มันมาพูดลาวใส่แหละวะ ไม่ใช่เพราะว่าฟังภาษาลาวตอนมันพูดเร็วๆ ไม่ทันนะ แต่หมั่นไส้มันมากกว่า อารมณ์แบบว่าอยากเอาชนะน่ะ ก็ผมเป็นคนจ้างมัน แล้วดูมันทำตัวสิ อย่างกับผมง้อมันให้มันมาเป็นไกด์ให้นักแหละ
“แคนยูสปีคอิงลิช? อีฟยูแคนสปีคอิงลิช พลีสเล็ทสปีค (พูดภาษาอังกฤษได้ไหม ถ้าพูดได้ก็พูด)”

เท่านั้น ผมก็พ่นภาษาอังกฤษสำเนียงไท้ไทยออกมาเลย ตะกุกตะกักนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะดูจากท่าทางแล้ว ไอ้ปั้นรักมันก็ไม่น่าจะพูดได้ดีไปกว่าผมสักเท่าไหร่ ไอ้ที่พูดกับฝรั่งไปตอนนั้นที่ผมเห็นก็คงจะมั่วไปงั้น

ก็ดูสภาพมัน หน้าตาดีก็จริง แต่ดูเหมือนไม่มีการศึกษา แว้นขนาดนี้ คงได้งูๆ ปลาๆ แหละ

ทว่าผมคิดผิดอย่างแรงเมื่อมันยกยิ้มใส่ผม ก่อนจะพ่นภาษาอังกฤษออกมาเป็นประโยคยาวเหยียด

“What would you like to eat for dinner? Just tell me, I’ll tell a receptionist to prepare for you.(มื้อเย็นจะกินอะไร บอกมา จะได้บอกให้พนักงานให้เตรียมให้)”

ไม่ใช่ภาษาอังกฤษธรรมดา แต่เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันชัดเป๊ะประหนึ่งเจ้าของภาษามาพูดเอง

ผมอ้าปากค้างไปเลย แล้วถามว่าฟังออกไหม... ไม่

มึงพูดเร็วขนาดนี้ ใครจะไปฟังมึงออกวะ แล้วทำไมมึงไม่เคยบอกว่าพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนฝรั่งขนาดนี้!
เห็นหน้าอึ้งๆ ของผมแล้ว ปั้นรักก็แสยะยิ้มเย้ยขึ้นมา ก่อนพึมพำ

“You idiot (ไอ้โง่)”

ส่วนอันนี้กูฟังออกเว้ย!

กระทืบแม่งสักทีดีมั้งไอ้เวรนี่...

หงุดหงิดขั้นสุด มาหงุดหงิดตัวเองด้วยที่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามันก็บอกไปแล้วว่าไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ประถม พูดได้คล่องปรื๋ออย่างนี้ก็ไม่แปลก

โง่อย่างที่ถูกมันตราหน้าไว้จริงๆ ด้วย...

ต้องเงียบเพื่อยอมมันแล้ว แต่พอเห็นผมเงียบหน่อย มันก็ได้ใจ แสยะยิ้มขึ้นมา
“ตกลงคุณจะกินอะไร ผมจะได้ไปบอกพนักงานให้”

เนี่ย พูดไทยก็ได้ ชัดแจ๋วเลยเถอะ แกล้งทำเป็นไม่พูดไปงั้นเองอะ

“อะไรก็ได้ครับ เลือกให้ผมที คุณกินอะไร ผมก็กินอันนั้นแหละ” สุดท้ายแล้วผมก็ต้องยอมมันไปอีกครั้ง

ปั้นรักพยักหน้า ทำหน้าระอาใส่ผมก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมมองตามหลังมันอย่างเหนื่อยอ่อน

ถ้าเจอมันทุกวันแล้วต้องมาปวดหัวแบบนี้ ผมว่าผมย้ายที่พักจะดีไหมนะ...

หล่อ แถมน่ารักทั้งชื่อทั้งหน้าตา แต่นิสัยนี่น่ากระทืบ อยู่ด้วยกันนานๆ มีหวังประสาทกินแน่ๆ
-------------------------------------
สิ่งที่ทำให้อัปนิยายช้าก็คือ การแปลภาษาจากไทยเป็นลาวค่ะ 555
บอกไว้ก่อนว่าหนูแดงให้รุ่นพี่ที่พอจะรู้ภาษาลาวช่วยแปลให้นะคะ ดังนั้นอันที่เอาลงให้อ่านอาจจะมีทั้งไทยทั้งลาวปนๆ กัน เดี๋ยวไว้ตอนส่งต้นฉบับไปจัดรูปเล่มจะให้เจ้าของภาษามาตรวจเช็กให้อีกทีค่ะ อันนี้ก็อ่านๆ ไปก่อน
ฝากกำลังใจเอาไว้ด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอัปตัวอย่างให้นะ ^^

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
แหม่ คุยกันภาษากายล่ะรู้เรื่อง
ชอบอะ ตีกันสนุกดีแต่อย่าเพิ่งกระทืบเลย

ออฟไลน์ PoppyPrince

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
โอยยยย ปวดหัวแทนจอมดื้อ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สะบายดี ครั้งที่ 3: เมาหลับ

ผมกะว่าวันนี้จะพักสักวันเพราะเมื่อวานรู้สึกว่าใช้พลังงานไปเยอะพอสมควรเลยทีเดียว แต่พอลงมากินมื้อเช้าที่ทางเกสต์เฮ้าส์จัดไว้ให้ ผมก็ต้องพบเจอกับสิ่งที่ไม่อยากจะเจออีก

มันคือปั้นรัก...

เออ วันนี้มันไม่ได้ดูรกหูรกตาหรอก ไปตัดผม โกนหนวดเคราแล้วเหมือนเงาะถอดรูป หล่อเหลาน่ารัก แต่จะดีมากถ้าผมไม่ขัดใจกับแฟชันชุดนอนของมัน

เสื้อกล้ามกับผ้าขาวม้า...

เหมือนเดิมแบบเมื่อวานเป๊ะๆ อะไรไม่ว่า แม่งนั่งกินข้าวไป ยกขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ โชว์ไข่อยู่ตรงหน้าให้ผมกระเดือกของกินไม่ลงอีกละ เหมือนมันตั้งใจโชว์อะ พอเห็นผมนั่งตรงไหน มันก็ต้องมานั่งลงที่โต๊ะตัวหน้าแล้วก็โชว์อะไรต่อมิอะไรให้ผมเห็น ถ้าไม่ติดว่ามันกวนโอ๊ย แถมมีความประทับใจแรกพบไม่ค่อยดี ผมคงแอบคิดว่ามันอ่อยผมเป็นนัยๆ ไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่...มันจงใจกวนชัดๆ

คราวนี้มันเหมือนรู้ด้วยนะว่าผมมองมันอยู่ มันผละสายตาจากแท็บเล็ตในมือมามองหน้าผม ก่อนจะพึมพำให้พอจับใจความได้ว่า ‘แนมอีหยัง แนมไข่เฮาแม่นบ่?’ แล้วแทนที่มันรู้ตัวแล้วก็น่าจะรีบเอาขาลงไปไว้บนพื้นดีๆ ดันแหกแข้งแหกขาให้ผมเห็นชัดมากกว่าเดิม ถึงจะมีบ็อกซ์เซอร์ แต่บอกเลย... แม่งไม่ได้เจริญหูเจริญตาสักนิด!

ยอมรับว่าผมค่อนข้างจะอคติกับมัน ต่อให้มันหล่อน่าปล้ำขึ้นมาจากเดิมเป็นล้านเท่า แต่ผมก็ไม่พิศวาสมันเลยแม้แต่น้อย อดสงสัยคุณแอนไม่ได้ด้วยว่าทำไมถึงได้ให้มันมาเป็นไกด์ให้ผม จะอ้างว่าเพราะอยากเห็นลูกชายทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ไม่น่าจะใช้เหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอละ ปั้นรักดูไม่ได้ให้ความร่วมมือเลยสักนิด

หรือว่าจะเป็นเพราะเห็นผมเป็นคนคุยง่าย?

แต่จะอะไรก็เอาเถอะ ผมไม่ถือสาอยู่แล้ว นิสัยผมก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ค่อยอยากมีปัญหาอะไรกับใครถ้าหากว่าไม่ใช่เรื่องจวนตัวจริงๆ ไม่แปลกเลยถ้าพี่ชายและน้องชายผมจะพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่าผมเป็นพวกไม่หือไม่อือกับใคร

ความจริงไม่ใช่หรอก ผมก็หือก็อือนะ โดยเฉพาะเรื่องที่ผมไปจีบ ‘คนคนนั้น’ แล้วอกหักมา ไปตื๊อไปตามอยู่ตั้งหลายรอบ พอเขาแสดงออกว่าไม่เล่นด้วยชัดเจน ผมถึงได้มาเลียแผลใจอย่างที่เห็นนี่ไง

กลับมาเข้าเรื่องปั้นรักอีกที พอผมเห็นมันทำอย่างนั้น ผมก็รู้เลยว่ามันจงใจกวนประสาท อันที่จริงผมควรลุกขึ้นไปต่อยหรือไปฟ้องคุณแอน แต่สิ่งที่ผมเลือกจะทำก็คือลุกออกจากโต๊ะนั่นแล้วขึ้นไปเอากระเป๋าเป้ที่ห้องพัก ก่อนจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกแทน
ว่ากันว่ามาเที่ยวเวียงจันทน์ต้องไปหาของกินท้องถิ่นที่ตลาดเช้า ผมเลยเดินมาตรงแถวๆ ขนส่งเพื่อหาอะไรยาไส้ ร้านขายขนมปังที่มีคนรุมล้อมอยู่สองสามร้านเตะตาผมเป็นอันดับแรก มันเป็นร้านขายขนมปังบาแกตต์หรือขนมปังฝรั่งเศสที่เอามาผ่ากลางตามแนวยาว แล้วก็ใส่พวกผักชี แตงกวา แฮม หมูยอ หรืออะไรก็แล้วแต่ตามที่แต่ละร้านจะรังสรรค์ ขนมปังแบบนี้คนลาวเรียกกันว่าข้าวจี่ ผมเลยตัดสินใจเข้าไปซื้อ สนนราคาอันละยี่สิบบาทซึ่งถือว่าไม่แพง จากนั้นผมก็เดินไปหาร้านกาแฟนั่ง

แน่นอนว่าคนลุยๆ อย่างผมไม่ไปนั่งร้านกาแฟติดแอร์อะไรแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะร้านกาแฟที่ผมต้องการไปเยือนคือร้านกาแฟอารมณ์เหมือนร้านอาแปะขายปาท่องโก๋แถวบ้าน นั่งลงบนเก้าอี้ไม้แบบกลมได้ก็สั่งกาแฟลาวมาลองชิมแก้วนึง ผมไม่ใช่คอกาแฟเลยไม่รู้หรอกว่ามันอร่อยหรือเปล่า แต่การได้มานั่งชมบรรยากาศและวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่มันทำให้ผมผ่อนคลายอารมณ์ขุ่นมัวได้เป็นอย่างมาก นับว่ามื้อเช้าวันนี้เป็นมื้อที่ทำให้ผมสดชื่นมากเลยทีเดียวจนเผลอคิดไปว่าความจริงแล้วผมไม่จำเป็นต้องมีไกด์ทัวร์ก็ได้นะ ไปเที่ยวเองก็ไม่น่าจะมีปัญหา แค่อาจจะลำบากนิดหน่อยตรงที่ต้องระวังเรื่องถูกโกงหรือโก่งราคา
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธคุณแอนยังไงดี ไม่ใช่ว่าผมไม่กล้าปฏิเสธคน แต่พอถูกคนอาวุโสกว่าขอร้อง ผมก็ดันใจอ่อนน่ะ

ถ้าพื้นฐานไม่ได้เป็นคนใจดีและใจเย็น ป่านนี้ผมย้ายเกสต์เฮ้าส์ แถมด้วยต่อยหน้าปั้นรักให้หายหมั่นไส้ไปแล้ว

พยายามไม่คิดถึงเรื่องไอ้ไกด์ผีนั่น ดื่มด่ำกับบรรยากาศสบายๆ นี้ไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะต้องเบนความสนใจมายังโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเมื่อจู่ๆ พวกกลุ่มเพื่อนของน้องชายก็ส่งข้อความมา

ใช่ กลุ่มเพื่อนของน้องชายซึ่งผมหมายถึงจอมแก่นนั่นแหละ ประกอบไปด้วยจอมเจ้าชู้อย่างไอ้โรม เด็กเกเรอย่างไอ้ธาร แล้วก็สาวน้อยวัยแรกแย้มแต่ตัวเท่าหมีควายอย่างไอ้ไม้ที่มักชอบเรียกตัวเองว่าน้องมายด์ ผมสนิทกับเด็กๆ กลุ่มนี้เพราะว่าจอมแก่นกับโรมและธารโตมาด้วยกันเนื่องจากแม่ผมกับแม่ของโรมเคยทำงานที่บ้านของธาร ผมเลยเห็นพวกมันมาตั้งแต่เด็กๆ ซ้ำสมัยนั้นยังเป็นหัวหน้าแก๊งของพวกมันด้วย ส่วนไอ้ไม้นี่เพิ่งจะมารู้จักตอนที่จอมแก่นเข้าเรียนในโรงเรียนช่างที่จังหวัดบ้านเกิดผม ปกติแล้วเวลามีอะไร พวกมันก็ชอบคุยกันในนี้ ผมเองก็ร่วมจอยด้วยอย่างสนุกสนาน เว้นเสียแต่ครั้งนี้ที่ผมไม่สนุกด้วยเลยเมื่อจู่ๆ ไอ้ไม้ก็ส่งรูปคู่ของใครบางคนเข้ามา

มันเป็นรูปของธารใจ เพื่อนน้องชายผมเอง กับรูปของคนที่ผม...รัก

แสงเหนือ...

เป็นรูปที่ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันทำท่าเหมือนจะจูบ พร้อมกับคำค่อนแคะของไอ้ไม้ที่หมั่นไส้เพื่อนจนต้องเอามานินทาเพื่อหาแนวร่วมหมั่นไส้ แต่ไม่มีใครเข้าข้างมันนอกจากหาว่ามันยุ่งไม่เข้าเรื่อง ผมควรจะตลกกับคำพูดของพวกน้องๆ แต่ผมกลับยิ้มไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว ในใจปวดแปลบขึ้นมาเมื่อจับจ้องไปยังรูปนั้น

ผมก็รู้แหละว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน และผมก็ยินดีที่ได้เห็นคนที่ผมรักทั้งสองคนมีความสุขกันดี แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงทนดูรูปนั้นไม่ได้ พอเห็นแล้วผมก็ตัดสินใจจะออกจากห้องแชทนั้น ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำตามที่ตั้งใจ หูก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของใครบางคนดังขึ้นมาจากหน้าร้าน

“เอ้า มาอยู่ที่นี่เอง ก็นึกว่าหายไปไหน หาตั้งนาน”
หันไปก็เห็นว่าเป็นปั้นรัก คราวนี้พูดภาษาไทยละ

จากที่เจ็บปวดรวดร้าวเมื่อกี้นี้ ตอนนี้ปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ ไอ้ปั้นรักมันเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษมาก แค่ได้ยินชื่อมัน ผมก็ปวดหัวได้แล้ว

“แล้วนี่นั่งทำอะไรน่ะ”
“กินข้าวเช้า” ผมว่าเสียงเรียบ
“ทำไมไม่กินที่เกสต์เฮ้าส์” มันถามอีก

ผมก็อยากจะบอกมันอยู่หรอกว่า ‘กูจะไปกินลงได้ยังไง มึงนั่งโชว์ไข่ให้เห็นจะๆ อย่างนั้นน่ะ’ แต่ไม่ทันจะได้พูดเลย ปั้นรักที่ถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับผมโดยไม่ขออนุญาตก่อนก็ชะโงกหน้ามามองหน้าจอโทรศัพท์ที่อยู่ในมือผม

“แล้วนี่ทำอะไร ดู porn?”

ผมย่นคิ้ว บอกตามตรง...แปลไม่ได้

“คือ?”
“ง่อว์ เกย์ porn บ่?” มันถามมาอีก

ผมยังคงอยู่ แต่เข้าใจว่ามันกำลังเข้าใจผิด

“ไม่ใช่ นี่มัน...” กำลังจะอธิบายว่ารูปที่มันเห็นเป็นรูปของเพื่อนน้องชายกับแฟน แต่ปั้นรักก็ทำสูดปาก เอามือลูบก้นตัวเองป้อยๆ
“เสียวดากเด้”

มึงคิดอะไรของมึงอยู่เนี่ย!

“หยุดคิดไร้สาระเลย” ผมว่าขัดออกมา
ปั้นรักเลยหยุดการกระทำนั้นได้
“แล้วนั่นรูปใครอะ ไม่ใช่ Adult movie actor?”

มันถามมา พูดไทย พูดลาว พูดอังกฤษปนกันมั่วไปหมดจนผมปวดหัวไปหมด แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะว่ามันคิดอะไรจากคำว่า Adult movie

“ใช่ที่ไหนล่ะคุณ นั่นมันรูปน้องผมกับแฟนมัน”
“อ๋อ กลุ่มเพื่อนเกย์”

มันน่าจะขนมปังบาร์แก็ตต์ฟาดหน้านัก!

“ตกลงยูเป็นเกย์จริงๆ ใช่ปะ” แถมตอนนี้ก็ไม่เรียกแทนผมว่า ‘คุณ’ อย่างเมื่อวานแล้วด้วย

ผมไม่อยากจะถามหาเหตุผลมันหรอกว่ามาทำตัวสนิทสนมกับผมทำไม แค่อยากให้มันหุบปากมากกว่า

เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมาทำกูปวดกบาลนะเว้ย!

“ผมเป็นเกย์แล้วมันมีปัญหาอะไร” ผมกระชากเสียงหน่อยๆ บอกให้มันรู้เลยว่าผมรำคาญและไม่พอใจด้วยที่มันมาวุ่นวายเรื่องส่วนตัวอย่างนี้

แต่ปั้นรักยังไม่หยุด ร้องออกมา “นั่นไง ผิดไปจากที่คิดซะที่ไหน”

ผมกลอกตาทันควัน

“แล้วนั่นคงไม่ใช่รูปน้องล่ะมั้ง รูปแฟนเก่ากับชู้รักอะดิถึงได้ทำหน้าบูดเป็นตูดเป็ดตอนดูรูปนั่น”

แม่งพูดแทงใจดำจึ้กเลย ถึงจะไม่ใช่อย่างที่มันพูด แต่ก็ทำให้ผมหัวเสียได้

มึงสะกดคำว่ามารยาทเป็นบ้างไหมเนี่ย!

“ผมกลับละ”

อันที่จริงน่าจะด่ามันสักที แต่ไม่เอาดีกว่า แค่นี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว ผมอยากกลับไปนอนคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวมากกว่า หากแต่พอผมลุกขึ้นไปจ่ายเงินค่ากาแฟและเดินออกมานอกร้าน ปั้นรักก็รีบเดินตามมาอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวกลับพร้อมไอ” เรียกแทนตัวเองว่า ‘ไอ’ ด้วย ตีสนิทสุดๆ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเดินกลับเอง” ผมว่า
“เอาน่า ไปด้วยกัน ปล่อยคนอกหักไปไหนมาไหนคนเดียวได้ไง เดี๋ยวไปโดดแม่น้ำโขงตายก็ลำบากชาวบ้านกันพอดี”

มึงเห็นกูเป็นคนยังไงกันเนี่ย...

แต่ผมก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร เอาวะ กลับด้วยก็กลับ ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดแล้ว

ทว่าการที่ผมตัดสินใจกลับมาที่เกสต์เฮ้าส์พร้อมกับมันเหมือนเป็นการตัดสินใจที่โคตรจะผิดเลย เพราะตอนขามา มันดันไหว้วานเด็กที่เกสต์เฮ้าส์ให้ถีบมอเตอร์ไซค์เก่าเก็บของมันมาที่ร้านซ่อมในตลาด พอซ่อมเสร็จ ขากลับก็เลยขี่ไอ้แก่คันนั้นกลับ เครื่องไม่มีปัญหา มามีปัญหาตรงที่...ยางแตก!

มึงขายๆ ทิ้งร้านรับซื้อของเก่าไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเลยไป!

เหนื่อยใจก็เหนื่อย ยังจะต้องมาหัวเสียเรื่องไอ้บ้าปั้นรักอีก ดีนะที่กลับมาถึงที่หมายได้โดยสวัสดิภาพ พอถึงห้องได้ ผมก็ตัดการติดต่อทุกอย่าง ขังตัวเองอยู่ในห้องเพื่อตั้งสติให้ไม่คิดถึงผู้ชายคนที่ทำให้ผมเจ็บหัวใจอย่างนี้ ทว่าต่อให้พยายามแค่ไหน ผมก็อดนึกถึงภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ทำไมนะ... ทำไมคนที่เขาเลือกถึงไม่ใช่ผม?

นอนนิ่งๆ มองเพดานห้อง น้ำตาก็ไหลออกจากหางตาโดยไม่รู้ตัว ผมเกือบจะปล่อยให้ความรู้สึกตัวเองจมดิ่งอยู่แล้วถ้าหากว่าหูไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น

ไม่ต้องบอกผมก็เดาได้ว่าเป็นฝีมือของปั้นรัก

“เฮ้ยู! นอนอยู่บ่?”
นั่นไง เสียงมันจริงๆ ด้วย

ผมลุกขึ้นนั่ง ปาดหยาดน้ำตาที่เปรอะหน้าออกอย่างลวกๆ แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
“มีอะไรเหรอครับ” เปิดออกมาเจอหน้าไอ้กวนประสาทนั่นได้ ผมก็ร้องถาม
“จะมาถามว่าเย็นนี้จะกินอะไร ไอจะได้ไปบอกให้พนักงานเตรียมให้”

ผมรู้สึกตัวในตอนนี้ว่าขังตัวเองอยู่ในห้องนานเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรเท่ากับการย่นคิ้วถามปั้นรัก
“เมื่อวานนี้ก็ชดเชยให้ไปแล้วนี่”

ผมหมายถึงที่คุณแอนเลี้ยงข้าวเย็นผมเพราะปั้นรักไปทำผมลำบาก แต่วันนี้ก็จะมาเลี้ยงข้าวผมอีก

เพื่ออะไร?

“วันนี้ไม่ได้ชดเชย”
“หืม?”
“แต่ไอจะเลี้ยงยู ปลอบใจที่ยูอกหัก”

อ๋อ...

ผมควรจะดีใจไหมที่มันพูดอย่างนี้ ดูเหมือนมันจะพยายามเอาใจผม เห็นอกเห็นใจ หรือจะสมเพชอะไรก็แล้วแต่ แน่นอนว่าผมไม่อยากไปกับมัน
“ไม่เป็นไร ผมไม่หิว”
“เอาน่า ไปเถอะ เดี๋ยวไอเลี้ยง”

ไม่พูดอย่างเดียว พยายามจะลากผมออกจากห้องด้วยการถลาเข้ามากอดคอด้วย

ไอ้นี่... ลามปามละ

ผมควรจะรู้สึกดีอยู่หรอกที่ผู้ชายหน้าตาตรงสเปกอย่างมันโผล่มาถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้ แต่เพราะมันเป็นปั้นรักไง ผมเลยไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่

“ไม่ไป...”
“ไปนั่งบาร์ก็ได้ อกหักก็ต้องไปดื่ม เดี๋ยวไอไปดื่มเป็นเพื่อน”
กำลังจะปฏิเสธ มันก็พูดออกมาอีก หันไปมองก็เห็นมันส่งยิ้มมาให้ ผมเลยถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้
“ก็ได้ๆ แต่อย่าดึกนะครับ ผมไม่อยากนอนดึก”
ปั้นรักทำหน้าทำตาทะเล้นใส่
“ฮ่วย อนามัยแท้”

อันที่จริงที่จะกลับมาไวๆ ก็เพราะกูไม่อยากจะใช้เวลาอยู่กับมึงต่างหาก!

แต่ปั้นรักไม่ฟังอะไรแล้วล่ะ แค่ผมตอบตกลง มันก็ลากผมออกจากห้องทันที
“ไปๆ เล็ตสะโกโลด”

ชูไม้ชูมือเป็นสัญญาณว่าให้รีบไป ผมเหลือบมองมันแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

เอาเถอะ ไปกับไอ้บ้านี่ก็ยังดีกว่าขังตัวเองอยู่ในห้อง ครุ่นคิดเรื่องที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดไม่หยุดก็แล้วกัน



 
บาร์แถวๆ เกสต์เฮ้าส์เป็นจุดหมายของพวกเรา... ไม่สิ ไม่ใช่พวกเรา เป็นของปั้นรักมากกว่า ผมไม่สนใจหรอกว่ามันจะพาผมไปดื่มที่ไหน ให้สิทธิ์มันเลือกเต็มที่ มันเลยเลือกร้านที่มีฝรั่งเยอะยั้วเยี้ยไปหมดโดยมันให้เหตุผลว่า...

“ไอคุ้นชินกับพวกฝรั่งมากกว่า อยู่ด้วยแล้วไม่เกร็งดี”
ผมก็เข้าใจมันน่ะนะ ก็มันโตมากับสังคมที่มีฝรั่งรายล้อมนี่

ถ้าเป็นเวลาปกติ บอกเลยว่าผมก็คงจะเกร็งๆ แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรแล้วนอกจากกระดกเบียร์ลาวเข้าปากรัวๆ จากขวดเดียวก็เพิ่มเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามก็เริ่มขวดที่สี่ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงดี ทำเอาปั้นรักที่มัวแต่ไปทักทายกับฝรั่งนักท่องเที่ยวโต๊ะอื่นและเพิ่งกลับมาที่โต๊ะถึงกับร้องออกมา

“โอ้ย ดื่มเยอะขนาดนี้ เอายาดองปะ ดื่มปานอาบแท้”
ผมเหลือบมองมันเล็กน้อย “ช่างผมเถอะ”
ปั้นรักทรุดตัวลงนั่ง วางขวดเบียร์ที่ดื่มไปเพียงครึ่งขวดตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ววางบนโต๊ะแล้วว่าเสียงระรื่น
“อะไรมันจะอกหักปานนั้น”

ผมมองนิ่งๆ มันก็พูดออกมาอีก

“หน้าอย่างเถื่อนแต่อ่อนไหวเหลือเกิน”
“คนเรามันก็มีจุดที่อ่อนแอเหมือนกัน จะหน้าเถื่อน หน้าดี มันก็ต้องมีมุมนี้ทั้งนั้น” ผมหงุดหงิด ไม่รู้ทำไมปั้นรักถึงจะต้องมาแซะ มาแกะเกาอะไรผมด้วย
“บ๊ะ มีอารมณ์เสีย”
“มันก็สมควรไหมล่ะ ผีเจาะปากคุณมาพูดขนาดนี้” ผมว่าตอกหน้าไปตรงๆ

คราวนี้ปั้นรักเหมือนจะฟัง แต่ก็ไม่วายปากมาก
“ใครว่าผีเจาะปาก อย่างไอนี่เรียกว่าคุยเก่ง”

คุยเก่งบ้านมันเถอะ...

ถอนหายใจออกมาอีกแล้ว ปั้นรักถอนหายใจเลียนแบบผมบ้าง พอผมชำเลืองมอง มันก็ออกปาก
“อะ อยากระบายอะไรก็เล่ามา ไอจะยอมเป็นกระโถนให้ยูเอง”

กูไม่ได้ขอเลยสักนิด

ผมไม่อยากจะเล่าหรอก แต่พอเห็นมันเลิกคิ้วสูง ผายมือเป็นเชิงให้พูด ผมก็หลุดปากออกมาจนได้
“ก็ไม่มีอะไร แค่ไปจีบผู้ชายคนนึงเพราะเห็นว่าน่ารักดี แล้วทีนี้เขาไม่ได้เลือกผม ไปคบกับเพื่อนน้องชายที่ผมรู้จักมาตั้งแต่เด็กก็เท่านั้นน่ะ”
“เสร็จแล้วยูก็ทำใจไม่ได้ หนีมาเที่ยวลาวคนเดียวอะไรงี้?” มันพูดอย่างรู้ทัน

ผมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธที่มันเดาถูกเลยพนักหน้า พอพยักหน้าแค่นั้นแหละ มันก็หัวเราะใหญ่
“หัวเราะอะไร”
“ติสต์แตกแท้น้อ” มันว่า
“คุณไม่ได้อกหัก อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ”
ผมเลิกสนใจมันละ กำลังจะสั่งเบียร์ขวดใหม่มาเพิ่ม มันก็ดักคอทันควัน
“เดี๋ยวก็เมาหรอก”
“ช่างผมเถอะน่า”
“ช่างได้ไง คนแบกยูกลับก็ไอปะ” มันท้วง

ถ้ากลัวจะต้องแบกกูกลับแล้วจะชวนกูมาทำมะเขืออะไร

“ผมไม่เมาง่ายๆ หรอก รู้ลิมิตตัวเองดี” ผมตอบสั้นๆ ก่อนหันไปสั่งเบียร์กับพนักงานโดยไม่สนใจว่ามันจะมองผมยังไง
ปั้นรักไม่ห้ามผมแล้ว เอาแต่บ่นพึมพำ

“คนอกหักมันสติไม่ดีขนาดนี้เลยเรอะ”

ใครกันแน่ที่สติไม่ดี... ผมอยากจะพูดไปอย่างนั้น

“ก็ได้วะ มา! ไอดื่มเป็นเพื่อน ไม่เมาไม่เลิก ยูไม่ลืมผู้ชายคนนั้นก็ไม่เลิกเหมือนกัน ดื่มเพื่อลืมเธอ!”
จู่ๆ มันก็เสียงดังขึ้นมา หันไปสั่งเบียร์มาอีกต่างหาก ไม่ใช่แค่เบียร์อย่างเดียวด้วย มีพวกเครื่องดื่มมึนเมาอื่นๆ มาอีก ผมไม่ได้ใส่ใจนักว่ามันสั่งอะไร รู้อย่างเดียวว่าผมดื่มทุกอย่างที่ขวางหน้า

ผ่านไปได้สักชั่วโมง จากที่รู้สึกแย่ๆ ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น รู้สึกดีมากกว่าเดิมด้วยเมื่อเห็นว่าปั้นรักเริ่มพูดอะไรไร้สาระออกมาโดยเนื้อหาทั้งหมดก็เป็นการปลอบใจผมนั่นแหละ

“ยูไม่ต้องห่วงนะ ผู้ชายมากมายหลายแสน เดี๋ยวนี้ชอบกันเองเกลื่อนไปหมด หล่อๆ อย่างยูปานเล็บขบอนันดา ไปยืนในที่เปลี่ยวๆ ก็โดนดักฉุดแล้ว ไม่ต้องห่วงๆ”

สาบานว่ามันเป็นคำปลอบใจ เออ มันก็ไม่ใช่การปลอบใจที่ดีนักหรอก แต่ก็ตลกดี ทำเอาผมหัวเราะออกมาได้บ้าง เสียอย่างเดียว
ตรงที่ตอนที่มันเริ่มพูดพร่ำเพ้ออะไรแบบนี้ มันบ่งบอกให้ผมรู้เลยว่า...มันเมา

พูดพล่ามไปเรื่อยไม่พอ ลุกขึ้นไปเต้น น้วยนัวเนียไปกับฝรั่งโต๊ะอื่น แม่งมีเต้นทำท่าบีบอยแบบจะเอาหัวหมุนพื้นแต่ยกตัวไม่ขึ้นด้วย ต้องลำบากให้ฝรั่งพากันพยุงมันขึ้นมาส่งกลับโต๊ะ

เห็นท่าทางอย่างนั้น ผมว่าชักไม่เวิร์กละ ต่อให้ผมอยากดื่มอีก แต่ถ้าปล่อยให้ปั้นรักมันเมาตุปัดตุเป๋อย่างนั้น ผมว่าเดี๋ยวต้องมีเรื่องชวนให้ปวดหัวตามมาแน่

“กลับเถอะ” พอฝรั่งพามันมาส่งที่โต๊ะ ผมก็ร้องบอกมัน เอาจริงๆ ผมเองก็เริ่มกรึ่มๆ จะเมาแล้วเหมือนกัน
“หืม? ไปไหน โนว์ ไม่ไปๆ ไอยัง Enjoy and happy with my life อยู่” มันผงกหัวขึ้นมาปฏิเสธเป็นการใหญ่ พูดภาษาอังกฤษออกมาด้วย

“คุณเมาแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับเถอะ ผมอยากนอน” ผมว่า
ปั้นรักทำหน้าเมาๆ ใส่ผม
“ใครว่าไอเมา...ไม่เมา! Don’t worry. I’m so damn ok!”

ก็ยังปฏิเสธอยู่ว่าตัวเองโอเค แต่ผมไม่สนใจ พยุงมันขึ้นมายืนขณะที่มันโวยวาย พอมันยืนตัวตรงได้ ผมก็ร้องบอก

“แต่ผมบอกแล้วว่าจะไม่อยู่ดึก ไปเถอะ กลับกันได้แล้ว”
ว่าไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ร้องอ๋อพร้อมกับบอกโอเคๆ คล้ายกับว่าจำได้ว่าผมเคยพูดไว้ว่าอะไร ผมก็โล่งใจนิดๆ ที่เห็นมันยอมฟังแต่โดยดี ดูท่าทางคงไม่ได้เมามากถึงได้ยังมีสติอยู่

อย่างน้อยก็น่าจะเดินกลับไปที่เกสต์เฮ้าส์เองได้โดยที่ผมไม่ต้องแบก...
ทว่าผมคิดผิด เพราะพอจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มเสร็จ กำลังจะเดินออกจากร้าน จู่ๆ มันก็ตะโกนร้องเรียกใครไม่รู้ดังลั่น
“Hey you! Hey!”

ตอนแรกผมก็นึกว่าร้องเรียกเพื่อนมัน แต่พอมองไปแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มฝรั่งที่เดินผ่านหน้าบาร์ ผมก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่
แม่งทำไปเพราะความเมาล้วนๆ

“ปั้นรัก” ผมเดินตรงไป พยายามเรียกสติมัน
“Hey, you!” แต่มันไม่ฟังเลยสักนิด พยายามจะเรียกฝรั่งหัวทองคนนั้นให้หันมามองให้ได้
“ปั้น...”
ผมเลยเรียกมันไปอีกที กะว่าจะตรงเข้าไปดึงมันไว้ด้วยเพราะมันเดินเซไปหาฝรั่งกลุ่มนั้นแล้ว แถมดันตะโกนอ้อแอ้ขึ้นมาด้วย
“Hey, Tom!”
ฝรั่งหนึ่งในกลุ่มนั้นหันมามองปั้นรักทันใด พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตัวเอง
“Me?”

เห็นท่าทางแบบนี้ ผมเลยหยุดความคิดก่อนหน้านั้น

เอ...หรือว่าจะรู้จักกัน?

“Did you call me? (เรียกผมเหรอ)” ฝรั่งคนนั้นถามปั้นรักกลับด้วยสีหน้างงงวยสุดๆ

ถึงภาษาอังกฤษจะง่อย แต่ประโยคสั้นๆ บางครั้งผมก็ฟังออกว่าเขาพูดอะไร

ปั้นรักพยักหน้ารับ เผลอแวบเดียวก็เดินเซตุปัดตุเป๋เข้าไปหา แล้วก็ตรงไปตบบ่าฝรั่งคนนั้นปุๆ หลายๆ ที

“ทอม ทอม แวร์ยูโกลาสต์ไนท์” ถามออกมาอีกแล้ว เป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม

ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าสำเนียงภาษาที่มันพูดฟังดูแปลกๆ ไป มันฟังดูสำเนียงไท้ไทย ผมฟังและแปลได้ด้วย แล้วก็ประจักษ์ได้ว่ามันไม่ได้พูดหรอก เพราะประโยคต่อมาที่หลุดออกจากปากมันดันเป็นทำนองเสียอย่างนั้น

“ไอเลิฟเมืองไทย ไอไลก์พัฒพงศ์ น้องนางคงทำให้ทอมลุ่มหลง ไอเลิฟพัฒพงศ์ ไอเลิฟเมืองไทย!”
ร้องอย่างเดียวไม่พอ แม่งร้องเสียงดัง ฝรั่งเหวอกินไปเลยเถอะ

โว้ย! กูก็นึกว่ารู้จักกัน

ไม่รู้จักแล้วมึงจะไปทักเขาทำไมเนี่ย! แล้วนี่ไม่ใช่เมืองไทยไหม มันประเทศลาว!

ผมถึงกับยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะรีบเดินไปดึงมันออกมาจากฝรั่งคนนั้นเมื่อเห็นว่ามันเริ่มเมาเลอะเทอะไปหมด พร้อมกับพูดซอร์รี่ๆ รัวๆ ฝรั่งคนนั้นบ่นอะไรก็ไม่รู้ออกมา แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่ากับปั้นรักที่ตะโกนร้องเพลง ทำท่าจะเดินตามไปถามฝรั่งคนเดิมอยู่นั่น

“ทอม ทอม แวร์ยูโกลาส์ไนท์...”

มึงไม่ต้องไปถามเขาแล้ว มึงนั่นแหละจะไปไหน!

“ปั้นรัก พอได้แล้ว” ผมเสียงดังนิดหน่อย อยากจะเอาหัวมันจุ่มน้ำเพื่อเรียกสตินัก
มันก็ยังดิ้นดุ๊กดิ๊กไม่หยุด ผมเลยใช้สองแขนดึงมันเข้ามารวบกอดเอาไว้ พร้อมกับว่าเสียงเข้ม
“บอกให้พอ กลับกันได้แล้ว”

เป็นการกอดที่... หันหน้าเข้าหากัน

เออ ผมไม่ได้ตั้งใจแหละนะ แค่จะให้มันตั้งสติได้เฉยๆ พอรู้ตัวก็จะปล่อยมือออกจากมัน อันที่จริงแล้วก็ไม่มีใครมาสนใจหรอก มันไม่ใช่การกอดแบบชู้สาวนี่ แต่ปั้นรักมันดันพูดโพล่งขึ้นมาก่อน

“ฮั่นแน่ What will you do with me? (จะทำอะไรน่ะ)”

ผมว่าผมแปลไม่ผิดนะ ผมเลยรีบบอกเร็วๆ

“ไม่ได้จะทำอะไร แค่จะให้ตั้งสติได้เฉยๆ”
ปั้นรักช้อนตาเยิ้มๆ เพราะความเมามอง
“บ่เชื่อ”

ไม่เชื่อก็เรื่องของมึงเถอะ

ผมคิดว่าอธิบายกับมันไปก็เท่านั้นแหละ เพราะมันไม่มีสติสัมปชัญญะมากพอที่จะมาเข้าใจอะไรแล้ว ผมเลยตัดบท
“กลับกันเถอะ”

หากแต่ปั้นรักไม่ยอมไป ขนาดผมปล่อยมันออกจากอ้อมกอดแล้วนะ มันดันขยับเข้ามาหาผม พร้อมกับคว้าเอวผมไว้มั่น

“I know what do you want (ไอรู้นะว่ายูต้องการอะไร)”

ผมขมวดคิ้วเพราะจู่ๆ มันก็พูดมาอย่างเร็ว

ยังไม่ทันจะได้แปล ปั้นรักก็ทำเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นมาด้วยการดึงผมเข้าไปใกล้แล้วเอาปากมางับหัวนมผม

ใช่...หัวนม งับมันผ่านเสื้อนี่แหละ

มึงทำบ้าอะไรเนี่ย!

“Yummy (อร่อย)”

มันพึมพำออกมาทั้งที่ปากยังคาหัวนมผมอยู่เลย ผมก็ตกใจสิ และด้วยอารามตกใจก็รีบผลักมันออก พร้อมกับเหวี่ยงมือไปตบกะโหลกมันดังเพียะ

“ทำอะไรของคุณน่ะ!” ร้องโวยวายด้วย

แต่ไม่ได้คำตอบแล้ว เพราะทันทีที่ปั้นรักโดนผมตบผัวะ มันก็ล้มฟุบไปกับพื้นแล้วนิ่งไปเลย ผมได้สติก็มองอย่างตกใจขณะที่คนอื่นๆ ก็ตกใจเหมือนกันเพราะคิดว่ามีเรื่องกัน

ซะ...ซวยแล้ว

หาเรื่องให้กูแล้วไหมล่ะ เมาหลับของแท้เลยไอ้ปั้น!
-----------------------------
หายไปหลายวัน กลับมาแล้วค่ะ
ปั้นรักคนเดิม เพิ่มเติมคือโดนพี่ดื้อตบสลบ 555 โอ๊ย พี่ดื้อถนอมเมียหน่อย เลี้ยงเมียด้วยลำแข้งของแท้ 555
ย้ำกันอีกทีว่าเรื่องภาษาลาวยังไม่ต้องไปใส่ใจมันมากนะคะ เพราะที่อัปให้เนี่ยคือต้นฉบับดิบ ยังไม่ได้แก้ค่ะ ต้นฉบับจริงที่เป็นไฟล์พิมพ์หนังสือมีเจ้าของภาษาดูให้อีกที บอกหนูแดงตอนนี้ หนูแดงก็ไม่รู้เด้อ วานคนอื่นเขาแปลมาอีกทีเหมือนกัน 555
1 คอมเมนต์ 1 กำลังใจ ฝากไว้ด้วยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้ ^^

ออฟไลน์ sembia

  • Me as me.
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เรื่องนี้น่ารักดีค่ะ  มาต่ออีกนะคะ  :กอด1: :impress2:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
โถๆๆ ชีวิตพี่ดืัอ

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
ปั้นรักสมชื่อจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
ชอบขนาดขอติดตามเลย

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สะบายดี ครั้งที่ 4: ริซซี่...ดวง

กลายเป็นว่าผมต้องอธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจว่าไม่ได้มีเรื่องกัน แน่นอนว่าไม่ได้อธิบายอย่างเป็นทางการ แค่แกล้งพูดเสียงดังอย่างสนิทสนมว่า ‘อ้าวปั้น ไหงเมาหลับงี้ล่ะ พี่ต้องแบกกลับเลยเห็นไหม’ แล้วก็หัวเราะแห้งๆ ใส่คนที่ยืนมองอยู่ประหนึ่งว่าไม่ได้ตบมันจนหลับไปนะ มันเมาหลับไปเองอะไรงี้ ก่อนจะเอามันขึ้นหลังกลับมาเกสต์เฮ้าส์ บอกเลยว่าถ้ามีคนส่งผมเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาตลบตะแลงตอแหลล่ะก็ รับรองเลยว่าผมได้อย่างแน่นอน แต่มันไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาคิดอะไรไร้สาระ ผมต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าผมไปทำร้ายร่างกายมัน...ใช่ ทำร้ายร่างกาย เพราะถ้าคนอื่นรู้ หรือปั้นรักตื่นมาเอาเรื่อง มีหวังผมได้ลองกินข้าวแดงคุกประเทศลาวอย่างแน่นอน

ดังนั้นสิ่งที่ผมควรทำก็คือ...อำพรางความผิด

พามันเข้ามาในเกสต์เฮ้าส์ได้ บรรดาพนักงานที่เข้ากะตอนดึกก็พากันมองผมที่แบกปั้นรักเข้ามาอย่างประหลาดใจ พร้อมกับเสนอตัวมาให้ช่วย ผมเลยต้องสวมวิญญาณนักท่องเที่ยวผู้แสนดีบอกกับพวกเขาว่าปั้นรักกับผมไปดื่มกัน แต่ปั้นรักดื่มหนักไปหน่อยเลยเมาแอ๋ ผมเป็นคนชวนไปดื่มเลยจะขอรับผิดชอบด้วยการดูแลมันคืนนี้เอง ไม่อยากรบกวนพวกเขาที่กำลังทำงานกันอยู่อะไรแบบนั้น

ฟังดูเป็นคนดีโคตรๆ เลยใช่ไหมล่ะ แต่ไม่...ไม่ใช่เลย ผมแค่ไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นความผิดปกติบนตัวมันต่างหาก เผื่อว่าที่ผมตบกบาลมันดังป้าบก่อนหน้านี้จะไปโดนหน้ามันแดงเถือกอะไรแบบนั้น

สุดท้ายก็เลยแบกมันขึ้นมาบนห้อง จับมันลงนอนบนเตียงได้ก็ยืนหายใจหอบเพราะความเหนื่อยอยู่พักใหญ่

ไอ้ปั้นรักไม่ใช่ตัวเล็กๆ เลยนะ ตัวพอๆ กับผมเลยเถอะ แค่เตี้ยกว่ากันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ที่เพิ่งจะมาเหนื่อยเอาในตอนนี้ก็คงเพราะก่อนหน้ามัวแต่กังวลจนลืมเหนื่อย อารมณ์เหมือนผู้ร้ายหนีความผิดมากๆ

แต่จะอะไรก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเริ่มจะหายเหนื่อยละ เดินไปเช็กซีกหน้าของปั้นรักทั้งสองข้าง ไม่ปรากฏรอยแดงหรือบาดแผลใดๆ ทิ้งไว้เป็นหลักฐาน ผมก็พอจะเบาใจลงไปได้บ้าง จากนี้ก็คงต้องรอจนกว่ามันจะสร่างเมาและรู้สึกตัวถึงเช็กอีกทีว่าสมองมันได้รับการกระทบกระเทือนอะไรแต่อย่างใดไหม

ส่วนระหว่างรอ... เปลี่ยนเสื้อก่อน รอยน้ำลายไอ้ไกด์เถื่อนนั่นยังคาอยู่บนหัวนมผมอยู่เลยเถอะ

เปลี่ยนเสื้อมาได้ก็มานั่งรอมันตื่นจนเผลอหลับไปข้างๆ มันบ้าง รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนเช้ามืดเพราะไอ้ปั้นรักดันดิ้นไปมาปลุกผมเสียอย่างนั้น ผมเลยต้องจำใจลุกเนื่องจากว่ากลัวมันจะอ้วกใส่ พอไปล้างหน้าล้างตากลับมา ก็เห็นปั้นรักย่นคิ้วยู่ทั้งที่หลับอยู่พลางส่งเสียงอือออในลำคอ

“ปวดหัว...”
ผมจับใจความได้ว่าอย่างนี้ก็เลยถอนหายใจออกมาเต็มแรง

เมาแอ๋ขนาดนั้นไม่ปวดก็ไม่รู้จะว่ายังไงละ

“อือ...ปวดหัว...” มันยังคงบ่นออกมาอีก
ผมเม้มริมฝีปากแน่น

มันปวดหัวเพราะเมาค้างหรือเพราะโดนผมตบไปเต็มรักกันวะนั่น?

เป็นห่วงมันเหมือนกันนะ จะไม่เป็นห่วงก็ไม่ได้เพราะถ้าเกิดมันเป็นอะไรขึ้นมา คนที่จะซวยก็คือผมนั่นเอง ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ๆ มันก่อนจะร้องถาม

“ปวดมากไหม”
ปั้นรักไม่ตอบแต่ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมามอง
“ถามว่าปวดมากไหม ได้ยินหรือเปล่า”
ปั้นรักพยักหน้าช้าๆ ไม่รู้ว่าพยักหน้าเพราะตอบรับว่าปวดหัวมากหรือได้ยินที่ผมถาม แต่ผมก็ถือว่ามันตอบทั้งสองคำถามในคราวเดียวก็แล้วกัน

“แล้วปวดตรงไหน” ถามหน่อย เผื่อมีเลือดคั่งในสมองจะได้รู้ว่ามันใช่จุดเดียวกับที่โดนผมตบไปหรือเปล่า
“อือ...ปวดทั้งหัว”

โอเค ผมเดาเอาว่าไม่น่าจะปวดหัวเพราะโดนผมตบละ น่าจะเป็นจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์มากกว่า ตอนนี้ก็โล่งใจไปได้อีกหนึ่งเปลาะ

“งั้นก็นอนต่ออีกหน่อย จะได้หายปวดหัว” ผมว่าเสียงเรียบ
ปั้นรักพยักหน้า ปิดเปลือกตาลงแล้วทำท่าจะหลับอีกรอบ ผมก็กะว่าจะนอนต่ออีกงีบเหมือนกัน ทว่าปั้นรักก็ดันพึมพำขึ้นมาอีก
“ผะ...ผ้า...”
“ผ้าเหรอ ผ้าอะไร” ผมถามเมื่อได้ยินเสียง

ปั้นรักปรือตาขึ้นมามองอีกครั้ง ก่อนจะต้องหลับตาลงไปอีกพร้อมกับทำหน้าเจ็บปวด ยกมือคลึงขมับตัวเองไปมา
“ขอผ้า...”
“ผ้าอะไรล่ะ” ผมย่นคิ้วบ้างแล้วเพราะมันไม่พูดสักที

ปั้นรักเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง
“ผ้าอนามัย...ขอผ้าอนามัย”
“ฮะ?” คราวนี้ย่นคิ้วหนักกว่าเดิมอีก

ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองฟังผิด แต่พอมันพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ผ้าอนามัย...”
ไม่ได้ฟังผิดเลย ชัดเด๊ะๆ

มึงจะขอผ้าอนามัยไปทำอะไร!

ในหัวครุ่นคิดเป็นพัลวันทันที ไม่เข้าใจด้วยว่ามันจะเอาของแบบนั้นไปทำอะไร จะบอกว่าเอาไปช่วยบรรเทาอาการเมาของมันก็ไม่น่าจะใช่เพราะดูแล้วมันไม่น่าจะเอาไปใช้งานอะไรได้สักอย่าง ขณะที่ปั้นรักก็ยังพึมพำงึมงำคำพูดเดิมจนผมต้องยืนคิดสักพัก
ผ้าอนามัย... มันสำหรับผู้หญิงใช้ตอนมีวันนั้นของเดือน แต่ปั้นรักเป็นผู้ชาย มันถามหาของแบบนี้ก็แสดงว่า...

มึงเป็นริซซี่ดวงเหรอไอ้ปั้น!?

ผมทำหน้าตกใจใส่มันทันที ทำไมเป็นอะไรถึงไม่บอกก่อน! ตายล่ะกู ปล่อยมันนอนบนเตียงอย่างนี้จะเป็นไรไหมเนี่ย

ไม่ได้รังเกียจมันหรอกนะ แต่ผมแค่ไม่อยากจะจ่ายค่าทำความสะอาดเตียงถ้าเกิดว่ามันทำเลอะเทอะขึ้นมา เท่านั้นผมเลยยืนเลิ่กลั่กอยู่พักนึง ก่อนจะตัดสินใจคว้ากระเป๋าสตางค์แล้วพุ่งออกไปนอกเกสต์เฮ้าส์ ไปโผล่กลางร้านสะดวกซื้อพร้อมกับยืนกอดอกอยู่หน้าชั้นวางผ้าอนามัย

กลิ่นซากุระ กลิ่นชาเขียว สารพัดกลิ่น แถมมีปีก ไม่มีปีก กลางวัน กลางคืน แผ่นบ๊างบาง แผ่นหนาเตอะ

อะไรนักหนาวะเนี่ย กูจะรู้ไหมว่าควรซื้อแบบไหน

อะไรไม่ว่า การที่ผมมายืนจดๆ จ้องๆ อยู่หน้าชั้นสินค้าที่ไม่เคยซื้อมาก่อนตั้งแต่เกิดมามันทำให้คนอื่นในร้านมองผมแปลกๆ ด้วย
เอาวะ หลับตาหยิบๆ มาแม่งเลย!

ตอนมาจ่ายเงินก็ถูกพนักงานมองด้วยสายตาแปลกๆ ผมก็เก็บอาการสุดฤทธิ์ นิ่งสุดๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป พอพนักงานทอนเงินกับส่งของให้ก็แทบจะรีบมุดแผ่นดินลาวกลับเกสต์เฮ้าส์

ทำไมกูจะต้องมาดูแลไกด์เวรนี่ด้วยวะ ลูกค้าจะต้องได้รับการดูแลไม่ใช่เหรอ!?

สถานการณ์โคตรจะย้อนแย้งกับสถานะ แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือปฐมพยาบาลมัน

ใช้คำว่าปฐมพยาบาล แต่เอาจริงๆ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนเป็นริดสีดวงจะต้องได้รับการดูแลยังไง ถึงอย่างนั้นผมก็หยิบเอาของที่ซื้อมาออกจากถุงพลาสติกมาดูเป็นที่เรียบร้อย

เป็นผ้าอนามัยนำเข้าจากประเทศไทย... เคยอ่านตามเว็บบอร์ดรีวิวท่องเที่ยวเหมือนกันว่าสินค้าในลาวส่วนใหญ่จะนำเข้าจากประเทศบ้านเกิดผม แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับตัวหนังสือภาษาไทยที่แปะหราอยู่บนฉลากสินค้า

…คูลลิ่งเฟรช สูตรเย็น มีปีก ยาวสามสิบหน้าเซนติเมตร

ยาวขนาดนี้นี่ผ้าอนามัยผ้าเช็ดตัววะเนี่ย

แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรนักนอกจากกลัวว่าทุกอย่างจะไม่ทันการ

เอาวะ จับใส่ให้มันเลยก็แล้วกัน

แกะห่อผ้าอนามัยออกมา หยิบมาชิ้นนึงแล้วลอกพลาสติกออก พินิจพิจารณาว่ามันใส่ยังไงด้วยการเปิดอินเทอร์เน็ตหาวิธีการใส่
ลอกสติ๊กเกอร์ตรงนี้ออก แล้วเอาแถบกาวแปะลงไปบนเป้ากางเกงใน

อืมๆ...

อ่านจนเข้าใจ คิดว่าทำได้วางผ้าอนามัยลงบนเตียง ก่อนจะตรงเข้าไปปลดเข็มขัดกางเกงปั้นรักออก ปั้นรักดูรำคาญนิดหน่อยแต่ท่าทางจะยังไม่ได้สติดี ผมเลยจัดการปลดตะขอกางเกงมันและดึงลง เหลือแต่บ็อกเซอร์ข้างใน พอมันเหลือสภาพแค่นั้น ผมก็ไม่ลังเลที่จะถอดปราการชิ้นสุดท้ายออก ตอนนี้ปั้นรักก็เลยอยู่ในสภาพเปลือยท่อนล่างเป็นที่เรียบร้อย

บอกตรงๆ ว่าถ้ามันไม่ใช่คนบ้าๆ บอๆ แถมยังกวนฝ่าเท้าจนผมอยากจะประเคนให้หลายต่อหลายครั้ง ผมคงจะใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ กับการกระทำของตัวเองและภาพที่เห็นข้างหน้าแล้วเพราะมันโคตรจะชวนให้คิดลึกเตลิดเปิดเปิงเลย แต่เพราะปั้นรักมันเป็นคนนิสัยอย่างนี้ไง ผมเลยไม่รู้สึกอะไรกับมันสักนิด ยิ่งในหัวมีคำพูดผุดพรายขึ้นมาว่า ‘มันเป็นริดสีดวงๆๆ’ ผมก็หมดอารมณ์ที่จะคิดอกุศลทันใด

รีบๆ จัดการให้เสร็จจะดีกว่า...

คว้าผ้าอนามัยขึ้นมา แกะกาวออกและแปะลงไปบนเป้ากางเกงบ็อกเซอร์ ถึงมันจะโคลงเคลงไปมาเพราะไม่ใช่กางเกงใน แต่ผมก็มันใจว่ามันไม่เคลื่อนไหวง่ายๆ อย่างแน่นอน ยาวประหนึ่งผ้าเช็ดตัวอย่างนี้ ต่อให้ไหลซึมไปยันง่ามก้มก็ยังรองรับและซึมซับได้ดี...เห็นบนฉลากเขียนไว้ว่างี้อะ ไม่ซึมเปื้อนตลอดคืนอะไรประมาณนั้น

พอจัดการแปะแถบกาวเสร็จก็ดึงกางเกงขึ้น ตามด้วยสวมกางเกงยีนให้มันเหมือนเดิม ใส่เข็มขัด จัดทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางราวกับว่าไม่ได้ไปยุ่มย่ามกับเสื้อผ้ามันเลยแม้แต่น้อย

เออ ความจริงไอ้ผ้าอนามัยอะไรนี่ก็ใช้ไม่ยากนะ

ผมคิดเองเออเองหลังจากปฏิบัติภารกิจเสร็จ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง คว้าห่อผ้าอนามัยมาอ่านอีกที อ่านแบบไม่ได้คิดอะไรอะ แค่อ่านเฉยๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุดที่ตัวหนังสือบนฉลากด้านหน้า

...คูลลิ่งเฟรช

เอะใจขึ้นมาแปลกๆ

ไอ้คำว่าคูลลิ่งเฟรชนี่อย่าบอกนะว่า...

ในหัวรีบแปลศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็ว

คูลลิ่ง แปลว่า เย็น
เฟรช แปลว่า สดชื่น
คูลลิ่งเฟรช ...สดชื้นสดชื่น

เวรละ ไข่มึงถูกแช่แข็งแน่ไอ้ปั้น!

จะจับมันถอดออกก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่หันไปมองมัน ก่อนจะพบว่าปั้นรักเริ่มมีสีหน้าเหยเกขึ้นมา ก่อนจะตามมาด้วยบิดตัวซ้ายทีขวาที

จากอยู่ลาวดีๆ ก็ได้ไปเยือนขั้วโลกเหนือแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผมเห็นแล้วก็สงสาร แต่จะให้ไปถอดกางเกงมันอีกรอบก็ใช่เรื่อง ยิ่งมันส่งเสียง...

“อือ...อ๊า...ฮ้า...”
ผมก็ต้องยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเป็นพัลวัน

เสียงแบบนี้มันใช่เสียงที่ควรจะครางออกมาตอนเย็นไข่เหรอวะ!

ยิ่งเห็นมันเอามือพยายามล้วงเข้าไปในกางเกงในสภาพทุรนทุรายพร้อมกับส่งเสียงออกมาไม่หยุด ผมก็เริ่มชักจะได้กลิ่นไม่ดี

ไม่ใช่ว่ามันอ่อยผมนะ แต่ผมนี่แหละที่จะตบะแตกไปปล้ำคนเมาเอา!

โอเค ผมควรจะสงบสติอารมณ์ ลงไปนั่งรอที่ล็อบบี้ก่อน ไว้ฟ้าสว่างแล้วค่อยกลับขึ้นมาดูมันใหม่

คิดได้เท่านั้น ผมก็คว้าโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ รวมถึงของที่จำเป็นใส่ในกระเป๋าคาดอกใบเล็ก จากนั้นก็ออกจากห้องมานั่งเล่นที่ล็อบบี้ นั่งไปนั่งมาก็ผล็อยหลับไปเสียอย่างนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนพนักงานเรียกให้ไปกินมื้อเช้า

ผมลุกไปหาอะไรยาไส้เสร็จก็กลับขึ้นมาชั้นบนอีกครั้ง หากแต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประตูห้อง ผมก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายอันแสนจะคุ้นหูดังออกมาจากห้องพักของตัวเอง

“What the hell is this!? (นี่มันเวรอะไรวะเนี่ย!)”

เป็นภาษาอังกฤษ แปลไม่ค่อยถูกหรอก แต่เดาได้ว่าเป็นคำหยาบ และเดาได้เช่นกันว่านั่นเป็นเสียงของปั้นรัก

มันคงจะตื่นแล้วสินะ...

ผมเดินไปเคาะประตู เคาะเรียกอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียวก็ไร้วี่แววว่ามันจะมาเปิด ผมเลยต้องร้องเรียกด้วย
“ปั้นรัก นี่ผมเอง เปิดประตูให้หน่อย”

เสียงโวยวายของปั้นรักเงียบไป ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงกระชากประตูเปิดเข้ามาแทนที่ และทันทีที่มันเห็นหน้าผม มันก็เสียงดังใส่ทันควัน

“นี่ฝีมือยูใช่ไหม!”
ถามเรื่องอะไรไม่ต้องเดาให้เสียเวลา ผมมองสีหน้าโกรธๆ ของมันแล้วก็เหลือบไปมองยังส่วนร่างของร่างกายคนตรงหน้า พลันความรู้สึกสมเพชปนเวทนาก็พร่างพรายในหัวผมทันที

ไอ้ปั้นรักมันเดินมาหาในสภาพขาตั้งเป็นมุมฉากเก้าสิบองศาในสภาพที่สวมกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ส่วนกางเกงยีนก็หล่นไปกองอยู่ที่ข้อเท้า

เย็นไข่ล่ะสินะ…

ไม่ต้องถามก็คิดถูกเพราะหลังจากนั้นมันก็บ่นออกมา
“Are you fu*king kidding me? What the hell are you doing?! (ล้อกันเล่นใช่ไหม ยูทำอะไรของยูเนี่ย!)”
ผมว่าผมแปลออกและเข้าใจว่ามันถามอะไรนะ ดูมันโกรธมากด้วย ผมเลยรีบเข้ามาในห้องก่อน พอปิดประตูเรียบร้อยแล้วถึงได้พูดขึ้น
“ก็ช่วยปฐมพยาบาลไง”
“What!?” ปั้นรักหันมาถามผมด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด 
ผมเลยพูดไปอีกที “ที่ผมใส่ไอ้นั่นให้คุณก็เพราะช่วยปฐมพยาบาลน่ะ”
“ปฐมพยาบาลประเทศไหนของยูวะ” มันว่าเสียงดังอีกแล้ว

ผมลอบพ่นลมหายใจเล็กน้อย “ก็คุณเป็นริดสีดวงไม่ใช่เหรอ มันเลยต้องปฐมพยาบาลกันแบบนี้”

“What the hell are you talking about!? (พูดเรื่องบ้าอะไรของยูอยู่เนี่ย!?)” คราวนี้ถามกลับทั้งเสียงดัง ทั้งหยาบคายเลย
ผมก็ไม่รู้ว่าผมแปลถูกไหมนะ แต่ที่รู้ๆ คือประโยคหลังจากนั้นที่พรั่งพรูออกจากปากมัน ผมแปลต่อไม่ได้แล้ว และก่อนที่มันจะทำหูผมชาไปมากกว่านี้ ผมเลยรีบโพล่งขัดออกไปให้มันรู้ว่าผมทำอย่างนี้ทำไม

“ก็เมื่อคืนคุณเมา แล้วพอเริ่มรู้สึกตัว คุณก็บอกให้ผมไปเอาผ้าอนามัยมาให้ ผมก็เลยไปหาซื้อมาให้ จากนั้นคุณก็อยู่ในสภาพนี้”
ผมผายมือไปทางมันเล็กน้อยเพื่อให้มันเข้าใจชัดเจนว่าสภาพไหน ปั้นรักนิ่งคิดไปครู่ ก่อนจะทำท่าเหมือนจะจำได้ว่าเมื่อเช้ามืดพูดอะไร พลันยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเป็นพัลวัน

“ผ้าอนามัย...โว้ย โง่หลาย! ภาษาลาวมันหมายถึงทิชชูเว้ย เมื่อเช้ารู้สึกเหมือนจะอ้วกเลยขอทิชชู”

เอ้า แล้วกูจะรู้ไหมล่ะว่ามันแปลว่าทิชชูน่ะ บอกว่าจะเอาผ้าอนามัย กูก็เลยจัดให้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ สดชื่นไปทุกอณูรูขุมขนแบบนี้
“ก็ผมไม่รู้นี่ พูดกับผมก็ใช้ศัพท์ไทยสิ”
ปั้นรักทำท่าเหมือนจะด่าอะไรผมสักอย่างแต่ก็ไม่ด่า ยืนบิดไปบิดมาเพราะเย็นวูบวาบที่หว่างขาแทน
“แสบดากแสบไข่คัก” มันบ่นพึมพำ

ผมได้ยินแล้วก็เม้มปาก ไม่ใช่สำนึกผิดนะ

...กลั้นหัวเราะ

ไม่ให้กลั้นหัวเราะได้ไงล่ะ ท่าทางมันโคตรตรงเลย เดินขาถ่างๆ เขย่งไปที่ห้องน้ำ พึมพำเป็นภาษาลาว ภาษาไทยแล้วก็อังกฤษปนกันออกมาไม่หยุด ทำเอาผมที่มองท่าทางทุลักทุเลของมันอยู่ต้องตั้งสติสุดพลังเพื่อที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมา ทว่าพอเห็นปั้นรักเอามือล้วงไปในกางเกงบ็อกซ์เซอร์ พร้อมกับอุทาน...

“Ouch! F*ck!”

ตามมาด้วยเสียงดัง...

แค...ว่...ก...

กาวที่ผ้าอนามัยค่อยๆ ลอกออกจากเป้ากางเกงบ็อกซ์เซอร์

ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะค่อยๆ ดึงทำไม กระทั่งเห็นว่ามันใช้สองมือทำอะไรขยุกขยิกอยู่ใต้กางเกง ก่อนที่สีหน้าเหยเกบ่งบอกให้รับรู้ชัดเจนว่ากำลังเจ็บปวด ตามมาด้วยเสียงร้อง...

“อูย...ซี้ด...”

ผมก็พอจะเดาได้

กาวกินหมี่มังกรล่ะสิ...

ผมยกมือขึ้นปิดปาก หันหน้าหนีทันควัน ไม่ใช่ว่าทนเห็นภาพอุบาทว์ตรงหน้าไม่ไหว แต่เป็นเพราะกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหวต่างหาก แล้วก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาจนได้เมื่อมันจัดการดึงทุกอย่างออกจากกาวผ้าอนามัยได้สำเร็จ

“โว้ย! อย่างกับทำบราซิลเลียนแว็กซ์”

ได้ยินมันบ่นพร้อมกับถือซากผ้าอนามัยในมือ ผมก็หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล ปั้นรักที่ดึงกางเกงยีนขึ้นสวมหันมาแหวใส่ผมทันควัน

“หัวเราะอะไรของยู”                                     
ผมรีบกระแอม ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เปล่าครับ”

“เปล่าอะไร ก็เห็นหัวเราะอยู่”
“เปล๊า” ผมแกล้งปฏิเสธเสียงสูง

ปั้นรักย่นหน้า ส่งสายตาไม่พอใจสุดๆ มาให้

“ขำมากใช่ไหม เอาไปเชยชมเลยไป!”
ก่อนที่ผมจะได้ตั้งหลัก ปั้นรักก็ปาผ้าอนามัยอันนั้นใส่ผมแล้ว ผมที่ไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็ถูกผ้าอนามัยกระแทกเข้าเต็มๆ

ไอ้เจ็บน่ะมันไม่เจ็บหรอก แต่กูขยะแขยง!

มันหล่นลงพื้นปุ๊บ ผมก็เตะมันกลับคืนไปให้ไอ้ปั้นรักอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ยคุณ มันสกปรกนะเนี่ย!”
ไม่เตะอย่างเดียว โวยวายด้วย

ปั้นรักทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ “ไอก็แค่จะเอาของคืนยู”

ของแบบนี้ไม่ต้องมาคืนหรอกเว้ย!

พอเห็นผมไม่ตอบโต้ มันก็เอามือล้วงเข้าไปในกางเกงตัวเอง

“อูย...แสบเลยเนี่ย เล่นอะไรของยูวะ จะ Bullying กันเหรอ”

ผมแปลศัพท์คำนี้ไม่ได้ เดาๆ เอาว่าน่าจะแปลว่าแกล้ง

“ไม่ได้แกล้ง...เฮ้ย!”

กำลังจะปฏิเสธเลยว่าไม่ได้แกล้ง แต่ปั้นรักก็ถลาเข้ามาพร้อมกับเอามือที่จกเป้ากางเกงตัวเองมาให้ผมดม
“กลิ่นเมนทอลหอมชื่นใจ”

เมนทอลบ้านมึงเถอะ ต้องให้กูพูดไหมว่ากลิ่นอะไรกันแน่!

“ทะลึ่งละคุณ เล่นมากไปปะ ชักจะปีนเกลียวใหญ่แล้ว ผมเป็นลูกค้านะ”

พอเห็นว่ามันชักจะลามปาม ผมก็ทำเสียงเข้มดุออกไป

ปั้นรักหยุดความพยายามที่จะเอากลิ่นเมนทอลผสมกลิ่นอย่างอื่นมาให้ผมดมทันควัน

“ใครกันแน่ที่เล่นมาก นี่ถ้าไอเป็นผู้หญิง ตอนยูถอดกางเกงไอ ไอคงโดนปล้ำไปแล้ว ดีนะไอเป็นผู้ชาย” แล้วมันก็บ่นๆ
ผมกลอกตา พูดเร็วๆ “ผมไม่ทำอย่างนั้นหรอกน่า”

“ใช่สิ ยูไม่ทำอย่างนั้นหรอก ไอก็เพิ่งมานึกได้ ยูเป็นเกย์นี่หว่า” พูดจบ ปั้นรักทำตาโต “เดี๋ยวนะ... ยูทำอะไรกับไอปะเนี่ย!”
แล้วมันก็เอามือป่ายปัดสำรวจร่างกายตัวเองเป็นการใหญ่

อย่างที่บอก ถึงมันจะหน้าตาดี ตรงสเปกผม แม้ว่าจะเป็นคนละสไตล์กับแสงเหนือที่ดูบอบบางกว่า แต่ปั้นรักก็หล่อใช้ได้ทีเดียว เสียอย่างเดียวตรงที่ผมทำอะไรมันไม่ลงเพราะมันเป็นบ้านี่แหละ

“ผมบอกแล้วไงว่าไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก” คราวนี้ผมว่าเสียงดังขึ้นมาหน่อย
ปั้นรักก็ยังทำหน้าเหมือนไม่เชื่ออยู่ดี แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้สนใจอะไรแล้วนอกจากจะยืนกรานเสียงแข็ง
“ไอไม่ได้เป็นริซซี่ดวง”

อันนั้นกูรู้แล้ว เออ ขอโทษ

แต่ผมไม่ได้พูดออกไป ทำเพียงถามสั้นๆ
“แล้ว?”

“แล้วผ้าอนามัยที่ไอหมายถึงน่ะมันคือผ้าเย็น”

“ภาษาลาวเหรอ”

“เปล่า ไอนึกไม่ทันว่า refreshing towel มันเรียกในภาษาไทยว่าอะไร”

“ก็บอกว่าผ้าอนามัย ใครจะไปรู้ล่ะนั่น บอกว่าผ้าเย็นตั้งแต่แรก ผมก็ไปขอจากล็อบบี้มาให้แล้ว บอกว่าผ้าอนามัย ใครๆ ก็คิดว่าเป็นผ้าอนามัยที่ผมซื้อมาให้คุณทั้งนั้นแหละ”

“ฮ่วย!”
มันส่งเสียงใส่ผมก่อนเดินอาดๆ เข้ามาหยุดที่ปลายเตียง คว้าห่อผ้าอนามัยที่เหลือขึ้นมาถือ

“ส่วนในห่อที่เหลือ ไอขอ”
ผมเลิกคิ้วสูงทันควัน “เอาไปทำไม”

“เย็นดี เอาไว้แปะที่หลังตอนพายูไปเที่ยว ซับเหงื่อก็ได้ รู้สึกเหมือนมีตู้เย็นพกพา”

มึงซื้อแป้งเย็นพกติดตัวไปจะดีกว่าไหม จะพกผ้าอนามัยแบบนี้มันก็เกิ๊นนน!

แต่จะไปห้ามอะไรมันได้ล่ะ มันจัดการยึดเป็นของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็ไม่อยากจะท้วงมันหรอกเพราะผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเก็บเอาไว้เพื่ออะไร ได้แต่มองปั้นรักที่คว้าข้าวของของคัวเองเดินไปที่ประตู พลันพูดเร็วๆ

“อีกชั่วโมงเจอกันข้างล่าง ไอไปอาบน้ำก่อน อยากไปไหนค่อยว่ากันอีกที”

พูดจบก็หายหัวออกไปเลย ปล่อยให้ผมได้แต่ถอนหายใจรัวๆ

ดีแล้วที่มันไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่ผมคิด แต่ไอ้ที่ผมทำเมื่อเช้ามืดนี่มันทุเรศโคตร แล้วก็ดันหยุดหัวเราะการกระทำของตัวเองกับสภาพของปั้นรักไม่ได้เลย นี่มันโคตรจะบ้าเลยเนี่ย

ถือว่าพาลูกๆ ไปเที่ยวเมืองหิมะก็แล้วกันไอ้ปั้น...
----------------------------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ ห้ามว่าพี่ดื้อโง่ พี่ดื้อของเราเป็นคนซื่อ ปั้นรักพูดไม่เคลียร์เอง 555
พรุ่งนี้คงไม่ได้อัปทั้งเนื้อหา ทั้งตัวอย่างนะคะ มาอีกทีมะรืนเลย พรุ่งนี้ไป ตจว.
ส่วนกำหนดเปิดของเรื่องนี้มาพรุ่งนี้ละเน้อ ติดตามเพจ สนพ.รักคุณ ไว้นะคะ
เสิร์ชในเฟซบุ๊กว่า สำนักพิมพ์รักคุณ เอาเด้อ
ฝากกำลังใจไว้ด้วยงับ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2017 22:50:15 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ windwrite

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ขำอะตลกไอ้ปั้น มาอัพบ่อยๆนะครับ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
5555 จ๋มๆ ไข่เย็นเลยยยย

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สะบายดี ครั้งที่ 5: รักนะ...แจ๊ะๆ[1]

ตามแพลนแล้ว ผมกะว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะเที่ยวในตัวเมืองเวียงจันทน์ ส่วนพรุ่งนี้จะมุ่งหน้าไปยังจังหวัดอื่นของลาว ดังนั้นการเที่ยวในวันนี้จึงเป็นการเที่ยวในสถานที่สำคัญๆ ส่งท้าย ปั้นรักเสนอผมว่าจะขี่รถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของมันพาเที่ยวอีก ซึ่งแน่นอนว่าผมปฏิเสธแทบจะในทันใด ก่อนจะรีบวิ่งปรู๊ดไปเช่าจักรยานจากร้านที่อยู่ไม่ไกล ปั่นไปเที่ยวฉายเดี่ยวคนเดียวโดยไม่บอกปั้นรักสักคำว่าจะไปไหน

ใครจะไปบอกมันล่ะ ขืนให้มันไปด้วย คนอื่นก็ได้คิดว่าผมไปเที่ยวกับคนบ้าพอดี ดูมันแต่งตัวสิ อย่างกับหลุดออกมาจากคอนเสิร์ตชาวร็อก

จะอธิบายยังไงดี คือมันแต่งตัวไม่ดูสภาพอากาศบ้านมันน่ะ แดดตอนบ่ายร้อนเปรี้ยง มันดันใส่เสื้อคลุมหนัง กางเกงยีนรัดเป้าตึงเปรี๊ยะ โดยแผ่นหลังมีผ้าอนามัยสูตรคูลลิ่งเฟรชแปะอยู่เต็มหลังไปหมด ถึงคนอื่นจะไม่เห็นแต่ผมรู้ และบอกได้เลยว่ามันโคตรจะทุเรศสายตา ไม่เข้ากันที่สุดคือกระเป๋าสำเพ็งสายรุ้งสะท้อนแสงของมันนี่แหละ จะหาว่าผมไม่เข้าใจแฟชันก็ได้นะ แต่ผมอยากจะถามมันสักคำ...

ถ้ามึงอยากได้กระเป๋าแบบนี้ ทำไมไม่ได้ซื้อที่สำเพ็ง ราคาที่มึงซื้อไอ้นี่ใบนึง ไปซื้อแบบออริจินอลได้หลายร้อยใบเลยเถอะ

แต่มันไม่ใช่เรื่องของผมไง ผมถือคติว่าถ้าไม่ใช่เรื่องของผม ผมจะไม่ยุ่ง และผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักมันด้วย

จะไปรู้จักมันทำบ้าอะไรล่ะ ตอนที่มันเดินตามผมไปที่ร้านเช่าจักรยาน จู่ๆ ผ้าอนามัยที่มันเอาแปะหลังซับเหงื่อ ให้ความเย็นประหนึ่งแอร์เคลื่อนที่ก็ร่วงตกมาวางแหมะกลางบนท่ามกลางสายตาชาวบ้านอย่างนั้น ผมก็ต้องทำตัวประหนึ่งว่าไม่เคยรู้จักมันมาก่อนแล้ว

จ่ายเงินค่าเช่า คว้าจักรยานมาได้ก็ปั่นหน้าตั้งหนีมันจนน่องแทบโป่ง ดีนะที่ปั้นรักมันวุ่นวายกับสถานการณ์ทุเรศทุรังที่ผมบอกไปก่อนหน้านั้นอยู่ ผมเลยหนีมันมาได้ พ้นมันปุ๊บ จุดมุ่งหมายของผมในการเยือนเป็นที่แรกก็คือหอพะแก้ว ตามด้วยวัดสีสะเกด หอคำ วัดสีเมือง และอีกหลายๆ ที่ที่ในหนังสือคู่มือการท่องเที่ยวลาวซึ่งผมพกมาแนะนำ ทั้งหมดไปเพื่อเก็บรูปบรรยากาศต่างๆ เป็นที่ระลึกเพราะก่อนหน้านี้ที่มาดู ผมแทบไม่ได้ถ่ายรูปเลยด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งก็เพราะมีปั้นรักมาด้วยนั่นแหละถึงได้ไม่มีอารมณ์เที่ยว

เข้าบ่ายคล้อย ผมก็แวะพักที่ร้านขายเครื่องดื่มใกล้ๆ ระหว่างนั้นก็เลือกรูปสวยๆ ที่ถ่ายมาด้วยโทรศัพท์จัดการส่งไปที่ห้องแชตที่มีแต่พี่น้องเป็นการอวดว่าชีวิตผมตอนนี้มันดีแค่ไหน ตามด้วยเซลฟี่ส่งไปอีกนิดหน่อยให้ไอ้แสบกับไอ้แก่นได้ด่ากันด้วยความหมั่นไส้ว่าผมทิ้งงานมาเที่ยวสบายใจเฉิบ

แต่มันก็แค่รูปภาพแหละนะ เพราะความจริงแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่าเดิมสักเท่าไหร่นัก เริ่มรู้สึกว่าจะไม่โอเคแล้วด้วยเมื่อจู่ๆ ก็มีใครบางคนทักแชตส่วนตัวมา พอผมเห็นชื่อใครคนนั้น ผมก็นิ่งค้าง

แสงเหนือ...

ใจหนึ่งบอกว่าอย่าไปคุยเพราะจะทำให้ผมไปคิดถึงเขาอีก แต่อีกใจก็คิดถึง ทำให้มือกดเข้าไปอ่านข้อความที่เขาส่งมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อ่านแล้วก็ยังไม่ตอบ กระทั่งอีกฝ่ายส่งข้อความมาอีกครั้ง

 
แสงเหนือ คอลึกประหนึ่งอุโมงค์: พี่ดื้อยังไม่กลับจากลาวเหรอครับ

 
ผมก็อยากจะตอบไปทันทีแหละว่าใช่ แต่พอเห็นชื่อในแชตแล้วก็ต้องย่นคิ้ว

ชื่อ...อะไรของเขาน่ะ

ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นตั้งชื่อแปลกๆ นะ เดาว่าคงจะตั้งเอาไว้แกล้งไอ้ธารใจเพราะผมคิดว่าผมรู้ว่าไอ้คอลึกประหนึ่งอุโมงค์มันหมายความว่ายังไง

แต่ก็ทำเป็นไม่คิดอะไรมาก พิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆ ว่าอือ ก่อนที่แสงเหนือจะส่งข้อความกลับมาอีก
 
แสงเหนือ คอลึกประหนึ่งอุโมงค์: เห็นจอมแก่นกับพี่จอมแสบบอกว่าไปไม่บอกใคร พี่ดื้อดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าไปไหนคนเดียวตอนกลางคืน มันอันตราย ทุกคนเป็นห่วง

จอมดื้อ: ทุกคนเป็นห่วงที่ว่า หมายถึงเหนือด้วยหรือเปล่า

 
ไม่รู้ทำไมผมถึงพิมพ์ถามไปอย่างนั้น ในใจลุ้นระทึกเลยทีเดียวว่าแสงเหนือจะตอบกลับมายังไง แล้วก็ต้องดีใจขึ้นมาฉับพลันเมื่อเห็นข้อความถัดไปที่ถูกส่งมา
 
แสงเหนือ คอลึกประหนึ่งอุโมงค์: ก็ต้องห่วงสิครับ พี่ดื้อก็เหมือนพี่ชายคนนึงของเหนือ เหนือจะไม่ห่วงได้ไง
 
ประโยคแรกก็ดีใจอยู่หรอก แต่พอประโยคถัดมา...เออ คงเป็นได้แค่นี้สินะ

ความดีใจก่อนหน้ามลายหายไปทันที สำนึกตัวขึ้นมาได้ว่าผมเป็นแค่คนที่ไม่ได้ถูกเลือก

เอาเถอะ อย่างน้อยก็ยังมีสถานะให้ผมได้เป็นอะไรสักอย่างสำหรับเขาบ้างก็แล้วกัน
 
จอมดื้อ: ไม่ต้องห่วง พี่ดูแลตัวเองได้ เดี๋ยวพี่ซื้อของฝากไปให้นะ

แสงเหนือ ที่รักของธารใจ: ไม่ต้องหรอกครับ แค่พี่ดื้อกลับมาอย่างปลอดภัย เหนือก็พอแล้ว

 
ผมควรดีใจกับประโยคนี้ แต่พอเห็นชื่อในแชตที่เปลี่ยนไปก็ยิ้มไม่ออกหนักกว่าเดิม คาดว่าน่าจะเป็นธารใจที่บอกให้เปลี่ยนชื่อเพราะรู้ว่าคุยกับผม ก็ไอ้เด็กนั่นมันขี้หึงขี้หวงอย่างกับอะไรดีนี่นา

ผมจบบทสนทนาด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนไป ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ทิ้งตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยใจ
ถ้าเขาไม่เลือกผมแล้วเหม็นขี้หน้ากันไปเลย ทุกอย่างมันคงจะง่ายกว่านี้ แต่เพราะเขายังมีมิตรภาพดีๆ ให้ผมเหมือนเดิม ถึงจะรู้ว่าผมเป็นได้แค่ไหนสำหรับเขา ทว่ามันไม่ได้ทำให้ตัดใจง่ายเลยแม้แต่น้อย

ผมยังคิดถึงเขา...

ความรู้สึกที่ผมมีให้แสงเหนือยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...
 
การเที่ยวส่งท้ายก่อนอำลาเวียงจันทน์ในวันนี้กร่อยไปทันตา ต่อให้นั่งดูรูปที่ถ่ายสวยมาแค่ไหน ผมก็ไม่มีอารมณ์จะหรรษาใดๆ ทั้งนั้น กลับมาที่เกสต์เฮ้าส์หลังเอาจักรยานไปคืนได้ ผมก็ขึ้นไปทิ้งตัวนอนในห้องสักพัก ก่อนที่ความคิดฟุ้งซ่านจะเข้าเล่นงานผมอย่างหนัก ผมเอาแต่คิดถึงภาพใบหน้าของแสงเหนือขึ้นมาไม่หยุดหย่อน จนสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะออกจากห้องนี้ไปเปิดหูเปิดตา

ขืนอยู่ต่อไป มีหวังผมคงได้ทำตัวไม่ต่างอะไรจากพระเอกมิวสิควิดีโอเพลงอกหัก เข้าไปนั่งในห้องน้ำ เปิดน้ำจากฝักบัวรดหัวไปแล้ว

และเพราะคิดจะไปเปิดหูเปิดตา ยามค่ำคืนอย่างนี้ก็หนีไม่พ้นพวกผับบาร์ที่เปิดทำการในละแวกที่พัก แน่นอนว่าผมไม่ชวนปั้นรักเหมือนเดิม และไม่ได้บอกพนักงานในเกสต์เฮ้าส์ด้วยว่าจะไปไหน เดินออกมาแล้วก็ตระเวนไปรอบๆ เพื่อหาที่หมาย ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าไปในบาร์แบบเปิดที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติดื่มกินค่อนข้างเยอะ ถึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผมก็ไม่สนหรอกเพราะผมไม่ได้อยากจะมาคุยกับใคร แค่อยากจะให้บรรยากาศครึกครื้นนี่พัดพาเอาเรื่องฟุ้งซ่านในหัวผมออกไปก็เท่านั้น
นั่งลงที่โต๊ะได้ก็สั่งเบียร์ลาวมาดื่ม วันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจมาเมา อย่างที่บอกว่ามานั่งเล่นให้ตัวเองไม่คิดฟุ้งซ่านเท่านั้น ดื่มไปก็มองบรรยากาศรอบๆ สังเกตสีหน้ารื่นเริงและการพูดคุยอย่างออกรสของนักท่องเที่ยวหัวทองทั้งหลายเพลินๆ มันก็พอจะทำให้ผมสงบจิตสงบใจได้บ้างแหละ เสียเพียงอย่างเดียว การมานั่งดื่มคนเดียวแบบนี้มัน...เหงาชะมัด

เหงาจริงๆ ผมถึงกับต้องถามตัวเองเลยนะว่าตัวเองมาโผล่หัวทำบ้าอะไรที่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวแบบนี้ ความจริงแค่อกหัก ผมกลับไปหาพ่อแม่ที่บ้านสวนในเชียงใหม่ก็ได้ อย่างน้อยก็มีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ มันไม่ทำให้เหงามากขนาดนี้หรอก

การอกหักทำให้ความสามารถในการตัดสินใจของผมต่ำลงจริงๆ

นึกสมเพชตัวเองขึ้นมาจนเผลอหัวเราะหึในลำคอ ก่อนที่จะรู้ตัวว่าการหัวเราะของผมเมื่อครู่เป็นการทำให้ใครบางคนเข้าใจผิดว่าผมยิ้มให้

ตอนแรกผมก็ว่าผมคงจะตาฝาดที่เห็นผู้ชายซึ่งนั่งอยู่ยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามส่งยิ้มมา ผมเลยทำเฉยๆ ทว่าพอเห็นเขามองผมนิ่ง ผมก็เริ่มเอะใจขึ้นมาละ มาชัดเจนอีกทีก็ตอนที่เห็นเขาลุกจากโต๊ะตัวเองเดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งเสียงถามนั่นแหละถึงมั่นใจว่าเขามองผมมานานแล้ว

“Hi”
เสียงทักทายภาษาอังกฤษถูกส่งมา ผมมองหน้าเขาก็เกร็งขึ้นมาน้อยๆ ถึงจะเป็นคนเอเชียหัวดำเหมือนกัน แต่การมาถูกพูดภาษาอังกฤษใส่โดยไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ ผมก็วางตัวไม่ถูก แต่ก็ยิ้มตอบรับไปนั่นแหละ พลันอีกฝ่ายก็ถามขึ้นอีกครั้ง

“Can I sit here? (ขอผมนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ)” ชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

ผมเข้าใจเพราะเขาพูดชัดถ้อยชัดคำและก็ไม่ได้สำเนียงอเมริกันจ๋าเหมือนปั้นรักด้วยเลยพยักหน้ารับ พออีกฝ่ายนั่ง เขาก็ถามผมขึ้นมาอีก

“Don’t you come here alone? (มาคนเดียวเหรอครับ)”
เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเข้าใจทุกคำพูดที่เขาสื่อสาร ผมเลยตอบรับกลับไปสั้นๆ

“เยส”

สั้นมากจริงๆ ใจก็อยากจะถามต่อแหละ แต่ต้องใช้เวลาเรียบเรียงประโยคสักหน่อย ทว่ายังไม่ทันจะได้ถาม เขาก็สวนขึ้นมาอีกแล้ว

“Where are you come from? (คุณมาจากไหนเหรอครับ)”

มึงนี่แม่งก็ถามกูถี่จัง!

ถ้าไม่ติดว่าเขาก็หน้าตาดี ผมคงลุกหนีไปแล้ว เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้ดูหล่ออะไรมากมายหรอก แต่จากการประเมินทางสายตา โครงหน้าและรูปร่างถือว่าใช้ได้เลยทีเดียวแม้ว่าเขาจะตัวเล็กกว่าผมสักหน่อยก็เถอะ ซ้ำการที่เขาพูดคุยเหมือนจะรู้เรื่อง มันเลยทำให้ผมไม่เอ่ยปากไล่เขาไป ดันตอบกลับเสียอย่างนั้น

“ฟอร์มไทยแลนด์”

สำเนียงไท้ไทย พูดไปก็อายวุฒิความรู้ตัวเองเหลือเกิน เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เป็นเด็กตัวจ้อย โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงก็ไม่ได้มีความพัฒนาขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ทว่าการที่ผมตอบไปอย่างนั้น คนตรงหน้าก็เบิกตาโตก่อนยิ้มกว้างออกมา
“มาจากไทยเหรอครับ ผมก็เป็นคนไทย”

เอ้า มิน่าล่ะทำไมถึงได้ฟังภาษาอังกฤษที่เขาพูดออกทุกคำเลย

“เหรอครับ” ผมยิ้มออกมา รู้สึกโล่งใจเป็นปลิดทิ้งที่ไม่ต้องคุยภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ และต้องใช้ภาษามือเข้าช่วยในกรณีคุยกันไม่รู้เรื่อง
“แล้วนี่มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ”
เขาถามมาอีกแล้ว รู้แหละว่าชวนคุย ผมเลยพยักหน้าให้อีกที

“หมายถึงมาเที่ยวที่บาร์นี่คนเดียว หรือมาคนเดียวเลย?”
“ผมมาคนเดียวครับ ฉายเดี่ยวน่ะ” พูดจาเป็นกันเองขึ้นมากะทันหันประหนึ่งรู้จักกันมานมนานกาเล
อีกฝ่ายหัวเราะเล็กน้อย “เออ เหมือนผมเลยครับ ผมก็มาคนเดียว นี่ก็นั่งมองคุณมาพักนึงละ เห็นหน้าดูเหมือนคนไทยแต่ไม่แน่ใจก็เลยลองมาทักดู”

ให้เหตุผลมาเป็นคุ้งเป็นแคว ผมยิ้มอีก เขาคงจะไม่มั่นใจว่าผมเป็นคนไทยจริงหรือเปล่าอย่างที่ปากว่า แต่อีกมุมหนึ่ง ผมก็รู้ว่าเขาไม่ได้เข้าหาผมเพราะเหตุผลแรกอย่างเดียวหรอก แบบว่า...ผีมันย่อมเห็นผีด้วยกันน่ะ
“อยู่ที่นี่มากี่วันแล้วเหรอครับ”
“เกือบอาทิตย์แล้วครับ”
“ไม่มีใครมาเที่ยวเป็นเพื่อนบ้างเหรอ”

นั่นไง ถามมาอย่างนี้ก็รู้เลย กำลังจะหาคู่ขาล่ะสินะ

ผมสบตาอีกฝ่ายที่ทอดมองผมด้วยสายตาหยาดเยิ้มพลางพินิจ

รูปร่างหน้าตาดูอ้อนแอ้นเจ้าสำอางอย่างนี้ น่าจะเป็นฝ่ายรับ แต่การที่มารุกผมก่อนอย่างนี้มันเหมือนกับแสงเหนือตอนที่ผมเจอกับเขาครั้งแรกที่ร้านเหล้าของไอ้แสบเลยแฮะ ตอนนั้นแสงเหนือก็เป็นคนอ่อยผมอย่างนี้เหมือนกัน

แสงเหนือ...

จู่ๆ ก็ชะงักไปเพราะคิดถึงใบหน้าของผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอีกแล้ว ได้สติอีกทีก็ตอนที่คนตรงหน้าถามย้ำอีกครั้ง

“หืม... เงียบเลย กำลังนั่งนับอยู่เหรอ” กลั้วหัวเราะตามมาด้วย

ผมเลยยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้า “ไม่มีหรอกครับ ผมไม่ชอบอะไรแบบนั้น”

ผมว่าไปตามจริง บอกตามตรงว่าสังคมของคนที่มีรสนิยมทางเพศเดียวกันกับผมมันค่อนข้างจะไปไหนมาไหนด้วยกันง่าย แต่ผมไม่ค่อยชอบอะไรแบบนั้น ผมชอบความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนมากกว่าผ่านมาแค่คืนเดียวหรือไม่กี่คืนแล้วก็ผ่านไป

“เหมือนผมเลย เอ้อ ลืมบอกไป ผมชื่อปาล์มนะครับ” เขาแนะนำตัว
“จอมดื้อครับ เรียกดื้ออย่างเดียวก็ได้” ผมแนะนำบ้าง ไม่อยากจะถามอายุหรอก ถึงเขาจะดูอายุอ่อนกว่าผมแต่ก็ให้เรียกชื่อเฉยๆ ไปอย่างนั้นแหละ ขี้เกียจพิธีรีตอง
“ชื่อแบบนี้ แสดงว่าตอนเด็กต้องดื้อมากแน่ๆ”
“เป็นแบบนั้นเลยครับ” ผมหัวเราะน้อยๆ
“แต่ดูจากท่าทางคุณตอนนี้มันขัดกับชื่อมากเลยนะ เรียบร้อยกว่าชื่อเยอะ หรือว่าที่นิ่งๆ แบบนี้เป็นเพราะอกหักมา?”

จู่ๆ ปาล์มก็พูดแทงใจดำผมอย่างจัง เข้าใจแหละว่าเขาคงจะหาเรื่องคุย แต่ผมไม่ชอบเลยแฮะ
“ผม...” กำลังจะบอกว่าผมก็เป็นของผมแบบนี้ ทว่าเขาก็ขัดมาก่อน
“ล้อเล่นน่ะ หล่อๆ อย่างคุณไม่น่าจะอกหักหรอกมั้ง ถ้าอย่างผมนี่สิไม่แปลก นี่ก็เพิ่งอกหักมาหมาดๆ เลย ถูกแฟนทิ้งน่ะ ผมก็เลยหนีมาทำตัวอินดี้ที่ลาวคนเดียว”

คำพูดของเขาทำเอาผมเลิกคิ้วสูงเลยทีเดียว
“อกหักเหรอ”
“จะเรียกว่าอกหักได้หรือเปล่านะ คือผมถูกแฟนทิ้งน่ะครับ เขานอกใจไปมีคนอื่น”

ตอนแรกก็ว่าเขาเป็นคนพูดมาก แต่ตอนนี้ดันมองเป็นคนหัวอกเดียวกันไปเรียบร้อยแล้ว
“แต่ช่างมันเถอะ ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะคิดถึงคนอย่างนั้นสักหน่อย กลับไปไทยเมื่อไหร่คงจะตัดใจได้” เขาว่ามาอีก
“ขอให้ทำได้นะครับ” ผมขอให้ตัวเองด้วย

ปาล์มหัวเราะออกมาทันที ก่อนที่บทสนทนาของเราจะเริ่มเปลี่ยนหัวข้อไปเป็นเรื่องอื่น ผมพอจะรู้ข้อมูลของปาล์มคร่าวๆ ว่าเป็นเด็กนักศึกษาเพิ่งจบใหม่ แฟนเก่าที่เพิ่งเลิกกันไปเป็นรุ่นพี่ที่แชร์ห้องกันอยู่และคบหากันตั้งแต่สมัยเรียน เพิ่งมาเลิกกันเพราะปาล์มจับได้ว่าแฟนไปมีอะไรกับคนอื่น ปาล์มก็เลยย้ายออกมาจากห้องที่แชร์ร่วมกันและหนีมาเที่ยวลาวเพื่อพักใจเหมือนกันกับผม แต่เรื่องส่วนตัวของเขามันไม่สำคัญเท่ากับการที่ผมรู้ว่าปาล์มเป็นคนคุยเก่ง เขาสามารถคุยได้ทุกเรื่องจริงๆ ลักษณะดูคล้ายๆ กับแสงเหนือด้วย ทำเอาผมเริ่มสนุกกับการได้พูดคุยกับเขา ยิ่งอยู่กันดึกมากเท่าไหร่ การพูดคุยของเราก็ออกรสมากขึ้นตามฤทธิ์แอลกอฮอล์ในกระแสเลือดที่พวกเราดื่มเข้าไป

จากพูดคุยธรรมดาก็เริ่มกลายเป็นการมองหน้ากันไปมาด้วยดวงตาหวานหยาดเยิ้ม...

ต้องบอกก่อนว่าไม่ใช่ผมหรอกที่มองเขาอย่างนั้น เขาต่างหากที่มองผม ผมเห็นแวบเดียวก็รู้เลยว่าถ้าผมเล่นด้วย คืนนี้มันจะต้องจบลงที่ไหน ปกติแล้วผมจะเลี่ยง แต่เหมือนครั้งนี้น่าจะต้องละเว้นไว้ครั้งหนึ่งเพราะเขาดูเหงา ต้องการเพื่อนปลอบใจ ส่วนผมเองก็อยากจะลองดูสักครั้งว่าการไปกอดคนอื่นที่ไม่ใช่แสงเหนือ มันจะทำให้ผมลืมเขาได้หรือเปล่า

มือไม้ของปาล์มเริ่มอยู่ไม่สุข เอื้อมมาคว้าแขนผมไปกอด พลันซบหน้าลงบนต้นแขน พึมพำเสียงเบา
“ผมว่าผมเริ่มเมาแล้วล่ะคุณดื้อ”
แกล้งเมาชัวร์ป้าบ เป็นสัญญาณให้ผมรู้ไงว่าพร้อมจะไปต่อที่อื่นแล้ว
“ถ้าเมาแล้วก็คงถึงเวลากลับไปนอนแล้วล่ะมั้ง ที่พักคุณอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวผมไปส่ง”

ผมเล่นด้วยไปจนได้ รู้สึกประดักประเดิดมากเลยทีเดียว ขณะที่ปาล์มช้อนสายตามองผม

“ไม่ไกลหรอกครับ ความจริงผมกลับเองก็ได้นะ แต่ถ้าคุณไปส่ง ผมก็ไม่ปฏิเสธ” ส่งยิ้มตามมานิดๆ

อ่อยเต็มที่สุดๆ ผมก็ว่าเขาน่ารักดี ไม่ได้รังเกียจหรอก ก่อนที่จะตอบรับ

“งั้นผมเรียกเก็บเงินเลยนะ ผมเลี้ยงเอง”

ปาล์มพยักหน้าหงึกหงัก ส่วนผมก็กำลังจะเรียกพนักงานให้มาคิดเงิน ทว่าปาล์มก็สังเกตเห็นอะไรแปลกๆ บางอย่างเสียก่อน พลันขัดผมขึ้นกะทันหัน

“เอ่อ...คุณดื้อ ผมว่าพวกเราถูกจ้องอยู่ล่ะ”
“ครับ?”
“นั่นไง ผู้ชายคนนั้นน่ะจ้องพวกเราเขม็งเลย”

ปาล์มว่าพึมพำ ส่งสายตาให้ผมมองไปยังสิ่งที่เขาเห็น พอผมมองไปตามทิศที่เขาบอกก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนคุ้นตานั่งจิบเบียร์ทอดสายตามองผมอยู่ยังโต๊ะฝั่งตรงข้ามที่เป็นโต๊ะตัวเดียวกับที่ปาล์มนั่งก่อนหน้า

นั่นมัน...ไอ้ปั้นรัก

กระดกเบียร์อึ้กๆ ทั้งที่ตายังมองผมเขม็ง ผมโคตรมั่นใจเลยว่ามันมองผม ไม่ได้มองปาล์มหรอก ทำเอาผมถึงกับย่นคิ้ว
มันมองบ้าอะไร ที่สำคัญ...มันรู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่

ก็คงจะเดินตามหานั่นแหละ ผับบาร์ที่นี่มีสักกี่ร้านเชียว แต่สิ่งที่สงสัยมากกว่านั้นคือผมอยากรู้ว่ามันตามมาทำบ้าอะไร แต่ไม่ได้คำตอบจากมันแม้แต่น้อย มีเพียงคำถามจากคนข้างๆ ที่ค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกจากแขนผมไปนั่งตัวตรง
“ผมว่าเขาดูท่าทางแปลกๆ นะ”

ผมไม่เถียงเลยว่าปั้นรักมันเป็นคนแปลกๆ ขนาดมันทำท่าทางปกติ มันยังดูเป็นคนแปลกๆ เลย ยิ่งมันมาจ้องผมเขม็ง และตอนนี้ก็ขยิบตาให้เหมือนส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ผมก็ต้องย่นคิ้วยู่มากกว่าเดิม

ไม่ได้ขยิบตาส่งสัญญาณ ดูดีๆ แล้วมันน่าจะกำลังส่งสายตาปิ๊งๆ

มันคิดจะทำอะไรของมัน...


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สะบายดี ครั้งที่ 5: รักนะ...แจ๊ะๆ[2]

สงสัยหนักขึ้นไปอีกเมื่อมันยกมือขึ้นทำเหมือนโทรศัพท์เป็นเชิงบอกว่าจะโทรหา ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาโทรหาผมเรื่องอะไรในเมื่อการกระทำของผมก็บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการใช้เวลาส่วนตัวคนเดียว อารมณ์สนุกสนานก่อนหน้าที่คุยกับปาล์มมลายหายไปทันที เหลือแต่เพียงความหงุดหงิดที่จู่ๆ ก็เห็นมันแลบลิ้นออกมาทำเหมือนจะเลียมือที่ทำเป็นรูปโทรศัพท์

มึงหิว? จะเลียโทรศัพท์? เออ เดาไม่ออกเลยว่ามันจะบอกอะไร

เดาไม่ออกไม่พอ ตอนนี้รู้สึกกวนฝ่าเท้าผมอะ เพราะจากนั้นไม่นานมันก็ทำปากจู๋ๆ เหมือนจะส่งจูบมา ผมเห็นแล้วก็ขนลุกเกรียว

อะไรของมึงเนี่ย!

ไม่ใช่ว่าเพราะหน้าตามันไม่ดีแล้วพอมันทำท่าแบบนั้นมันดูน่าเกลียดนะ แต่เพราะเป็นไอ้ปั้นรักต่างหาก ผมถึงได้ขยะแขยงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

ส่วนคนข้างๆ ผม พอเห็นปั้นรักทำหน้าทำตาอย่างนั้น เขาก็เอ่ยขึ้น
“ผู้ชายคนนั้น...เอ่อ...เป็นอะไรกับคุณหรือเปล่า”
ผมส่ายหน้าพรืดทันที
“ไม่ได้เป็นอะไรกันครับ”
“แล้วทำไมเขาถึงทำแบบนั้น”
“ผมก็ไม่รู้” ผมว่า ตายังจับจ้องปั้นรักอยู่ ขณะเดียวกันมันก็ยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์ ‘I love you’ ส่งมาให้
“เขารู้จักกับคุณเหรอ” อีกฝ่ายถามมาอีก
ผมพยักหน้า “เขาเป็น...”

กำลังจะบอกว่าเป็นไกด์ แต่จู่ๆ ปั้นรักก็พลิกมือข้างที่ทำสัญลักษณ์ I love you หงายขึ้น ก่อนจะพึมพำออกมาให้ผมจับใจความได้ว่า... ‘รักนะ แจ๊ะๆ’

แจ๊ะบ้านมันเถอะ!

หน้าชาวาบเลย ขนหัวลุกขึ้นมาอีกระลอกด้วย ขณะที่ปาล์มขมวดคิ้ว

“คู่ขาของคุณหรือเปล่าเนี่ย”
ผมหันขวับไปมองคนถาม กำลังจะปฏิเสธ ปาล์มก็พูดขึ้นมาอีก
“แล้วคุณ...เป็นรับเหรอ”
สีหน้าผิดหวังฉาบพรายขึ้นมาบนใบหน้าของปาล์มทันที

รับบ้ารับบออะไร ดูเหง้าหน้ากูด้วย!

“ผมไม่...”
กำลังจะปฏิเสธความเข้าใจผิด ปั้นรักก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ตรงเข้ามาหาผมแล้ว ก่อนจะโพล่งขึ้นมาห้วนๆ
“ก็นึกว่าไปไหน โดนจัดหนักไปหน่อยถึงกับหนีพี่มาเลยเหรอจ๊ะน้องดื้อ”
“ฮะ?” ผมถึงกับอุทานออกมา

น้องดื้อแป๊ะอะไร มึงนี่ทะลึ่งบ้องมากเกินไปละ อะไรไม่ว่า มันทำคนข้างๆ ผมเข้าใจผิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“แล้วนี่ใครอะ จะนอกใจพี่เหรอ” พูดไปเรื่อย หันไปมองหน้าปาล์มอีกต่างหาก
ปาล์มที่จู่ๆ ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัดหัวเราะแห้งๆ ก่อนรีบโพล่งออกมา
“ผมว่าผมเมามากแล้วล่ะ ขอตัวกลับไปนอนก่อนนะครับ วันนี้ขอบคุณที่คุยเป็นเพื่อนผมมากครับคุณดื้อ”
จากนั้นก็ลุกพรวดไปทันที

มันไป มันมาง่ายขนาดนี้เลยเหรอวะ!

ผมมองแผ่นหลังคนแปลกหน้าที่ห่างออกไปพลันถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าเพราะเสียดายที่ไม่ได้ไปต่อกับเขานะ แต่เหนื่อยใจที่มาเจอไอ้ปั้นรักมากกว่า

“ง่อว์ เผลอนิดเดียวมีการเต๊าะคู่ขา แล้วนี่เอาไงต่อ จะแจ๊ะกับพี่ไหมจ๊ะ” ปั้นรักว่า
ผมไม่อยากจะคุยกับมันเท่าไหร่เลยตอกกลับไปสั้นๆ “แจ๊ะบ้าบออะไรของคุณ”
“แจ๊ะแบบนี้ไง”
มันทำมือเป็นสัญลักษณ์ไอเลิฟยูแล้วก็หงายมือขึ้น ขยับๆ เล็กน้อยเหมือนก่อนหน้าให้ผมดู ผมมองแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมา คว้ามือมันหมับแล้วสะบัดทิ้ง

“พอได้แล้ว”
“เอ้า เมื่อกี้ยังเห็นยูลั้นลาจะไปกับหนุ่มคนนั้นอยู่เลย ตอนนี้จะพอละ?”
“ผมจะไปกับใคร จะลั้นลาอะไรยังไง แล้วมันเรื่องอะไรของคุณ มาขวางผมแบบนี้มันเสียมารยาทมากเลยนะ”
“เอ้า ไอเป็นไกด์ของยู ไอก็ต้องดูแลแขกให้ดีสิ ปล่อยให้ไปสุ่มสี่สุ่มห้าได้ไง”
“แต่นี่มันเรื่องส่วนตัว”
“แต่ถ้ายูโดนหลอกไปขุด...เอ้ย รูดทอง ไอจะซวยเอาเพราะดูแลยูไม่ดีน่ะสิ ไอไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก”

ผมเข้าใจที่มันพูดนะว่ามันหมายถึงอะไร แต่การแกล้งพูดผิดอย่างนี้มันไม่ตลกเลยเว้ย!

ทว่าผมก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่พ่นลมหายใจใส่แรงๆ แล้วเรียกพนักงานมาคิดเงิน จ่ายเงินเสร็จก็ลุกจากโต๊ะ ตั้งท่าจะเดินกลับไปยังที่พัก ปั้นรักเดินตามมา ปากก็พูดไปเรื่อย

“เมื่อคืนก็มาเมาเพราะอกหัก แต่วันนี้ดันจะหิ้วคู่ขาไปมีซัมธิงกันละ ใจง่ายคัก”
ผมไม่เถียง การกระทำของผมก็ใจง่ายจริงๆ แหละ ทว่ามาหัวเสียตอนมันพูดอีกประโยคออกมา
“แฟนเก่ายูก็คงเปลี่ยนใจจากยูง่ายๆ ไปกับคนอื่นเหมือนกันล่ะสินะ”

มันหมายถึงแสงเหนือ ถึงแสงเหนือจะไม่ได้เป็นแฟนผมและเคยเป็นคนใจง่ายจริง แต่พอได้ยินมันมาพูดอย่างนี้ ผมก็ไม่พอใจ

มันไม่รู้จักตัวตนจริงๆ ของแสงเหนือสักหน่อย ไม่มีสิทธิ์มาตัดสินคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักอย่างนี้!

“นี่คุณ หุบปากไปเลยถ้าไม่อยากโดนผมต่อยปากแตก” ผมหันไปว่าเสียงเขียว
ปั้นรักชะงักกึกทันควัน พอตั้งสติได้ก็เลิกคิ้วสูง
“What did you say? (พูดว่าอะไรนะ)” ส่งเสียงสูงออกมาด้วยพร้อมกับผายมือออกประมาณว่าอะไรเนี่ย

ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง
“แล้วเมื่อกี้คุณพูดอะไรล่ะ” ผมถามกลับ
“ไอก็แค่บอกว่าแฟนเก่าที่ทิ้งยูมาคงไปนอนกับคนอื่นเหมือนกัน” มันว่าซื่อๆ

ความจริงไม่ซื่อหรอก มันกำลังกวนประสาทผม ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจะต้องมาหาเรื่องกันทุกครั้งที่เจอหน้า แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมไม่พอใจมากๆ

“ปั้นรัก บอกตรงๆ นะว่าผมรำคาญคุณมาก ถ้าพูดอะไรสร้างสรรค์ไม่เป็นก็อยู่เงียบๆ เถอะ”
“ยูเคืองที่ไอตอกย้ำความเจ็บปวดของยูเหรอ” มันยังยักคิ้วหลิ่วตาทำเป็นเล่นอีก
“ไม่ตลกครับ” ผมว่าเสียงเรียบ จ้องมันด้วยสายตานิ่งๆ ด้วย “การที่คุณไม่รู้จักคนอื่นแล้วมาพูดอย่างนี้ ผมว่ามันไม่โอเคเลยนะ ตั้งแต่เกิดมา ไม่มีใครสอนเรื่องมารยาทให้คุณบ้างหรือไง ทำตัวอย่างกับเกิดในสลัม”

ปั้นรักนิ่งไปบ้างเมื่อถูกผมสวนกลับ ผมว่าผมไม่ได้ด่านะ แต่คำพูดของผมก็แรงอยู่เหมือนกัน พอมันตั้งสติได้ มันก็ทำหน้าตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าได้ยินอะไรอย่างนี้จากปากผม

“แล้วเมื่อกี้ไอว่าอะไรยูหรือยัง” เถียงมาอีก
ผมตอบเสียงเรียบ “ไม่ได้ว่าผมแต่ก็เหมือนว่า คุณพูดถึงคนที่ผมรักในทางไม่ดี”
ปั้นรักร้องอ๋อ “โอเค งั้นไอพูดถึงยูในทางไม่ดีคนเดียวก็แล้วกัน แล้วนี่ชวดคู่ขาไปก็อย่ามายุ่งกับดากไอเด้อ ไม่เป็นตัวตายตัวแทนนะขอบอก”

ก็ยังจะเล่นอีก ทำไมมันถึงได้เป็นคนที่ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นได้ขนาดนี้นะ

“ผมไม่ตลกนะ การล้อเล่นเรื่องรสนิยมของคนอื่นมันต่ำมาก และผมก็ไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณ เป็นลูกค้า จะพูดจะทำอะไรก็ให้เกียรติกันบ้าง ผมไม่ใช่คนที่คุณจะมาเล่นหัวด้วยได้” ผมว่าออกไปตรงๆ ละหลังจากที่ทนมันมาหลายวัน

ปั้นรักกลอกตา ทำหน้าเบื่อหน่าย ปากขมุบขมิบบ่นอะไรบางอย่าง
“บลาๆๆ”

เออ มันกำลังล้อเลียน ผมเลยก้าวเข้าไปหามันแล้วกระชากคอเสื้อมันไปทีหนึ่ง
“หยุด”

มันดูตกใจ รีบผลักผมออก โวยวายลั่น
“อะไรของยูเนี่ย!”

คงจะกลัวว่าจะถูกผมต่อยจริงๆ ล่ะมั้ง ผมก็อยากต่อยอยู่หรอก แต่ไม่เอา ไม่ได้หัวร้อนอะไรขนาดนั้น แค่อยากให้มันเลิกเล่นสักที

“ผมเข้าใจละว่าทำไมแม่คุณถึงได้บอกว่าคุณไม่เอาอ่าว เพราะคุณมันเป็นแบบนี้ไง มีการศึกษาดีซะเปล่า ทำตัวเหมือนคนไม่มีหัวคิด เลิกทำตัวอย่างนี้สักที มันหมดช่วงที่คุณจะมาทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่แล้ว”

ผมว่าผมน่าจะไปพูดอะไรแทงใจดำมันเหมือนกันนะ เพราะทันทีที่ผมพูดจบ มันก็นิ่วหน้าทันที
“แล้วไอบอกเหรอว่าเรียกร้องความสนใจ ไม่รู้อะไรก็พูดไปเรื่อย”
“ก็เหมือนกับที่ยูตัดสินคนอื่นแค่เพราะเขาเป็นเกย์นั่นแหละ” ผมหมายถึงตอนมันล้อเล่นเรื่องรสนิยมทางเพศของผม พูดถึงแสงเหนือ และเรียกปาล์มว่าเป็นคู่ขาผมอะไรแบบนั้น
“ไอก็พูดในสิ่งที่เห็น”
“ผมก็พูดในสิ่งที่เห็นเหมือนกัน เห็นว่าคุณมันทุเรศ ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าคุณเป็นโสดตลอดชีวิต นิสัยห่วยๆ ปากก็หมาอย่างนี้คงจะมีผู้หญิงที่ไหนอยากเอาเป็นพ่อพันธุ์หรอก”

ผมสวนกลับทันควัน เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเถียงกับคนอื่นทัน อาจเป็นเพราะแสงเหนือเข้าไปเอี่ยวด้วย ผมเลยสู้สุดใจเพราะปกติผมเลือกที่จะเงียบมากกว่า

ปั้นรักยังคงไม่ยอม อึกอักไปเล็กน้อยแต่ก็ยังเถียงกลับมาอีก
“หยุดพูดไปเลย ไม่งั้นไอจะ...”
“จะทำไม” ผมก้าวเข้าไปหา กะว่าถ้ามันคิดจะทำอะไรผมขึ้นมา ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน

ปั้นรักดูพรึงเพริด ก้าวถอยหลังเร็วๆ ก่อนจะทำท่าหันหนี ผมเลยคว้าแขนมันเอาไว้แล้วกระชากมาหลบมุม ปั้นรักเซไปเล็กน้อย พอตั้งหลักได้ก็ถอยหลังไปจนติดกำแพงตึกอีกเมื่อผมต้อนมันไปจนมุม

“พูดมาสิว่าจะทำไม”
ปั้นรักกัดฟันแน่น สายตาจ้องผมเขม็งอย่างดื้อดึงคล้ายไม่ยอม ทว่าพอถูกผมจ้องกลับเขม็งไม่แพ้กัน มันก็เป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน

“ไอจะกลับ” จากนั้นมันก็รีบหนีออกจากตรงนั้น

ผมยอมปล่อยให้มันหนีไปแต่โดยดี กลอกตาตบท้ายอีกครั้งเมื่อเห็นว่ามันหันมามองด้วยสายตาขุ่นเคืองพร้อมกับขยับปากพอให้จับใจความได้

‘You bastard (ไอ้เวร)’

ถึงกับต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

โอเค ผมพอกับมันละ จบกันแค่นี้เลย เลิกจ้าง
-------------------------------
มาต่อแล้วค่ะ ขออภัยที่หายไปนาน ช่วงนี้ก็จะมาช้าๆ หน่อยเพราะยังไม่มีเวลามาแก้เนื้อหาเรื่องนี้เลยค่ะ
ส่วนตอนนี้ พี่ดื้อมีอารมณ์กับบักปั้นแล้วข่า อารมณ์โมโห 555
หลายคนเห็นหน้าปกแล้วสับสนว่าตกลงคนไหนปั้นรัก คนไหนพี่ดื้อ บอกก่อนว่าพี่ดื้อคือคนมีหนวด ปั้นรักคือคนที่สะพายกระเป๋าสายรุ้ง แต่ใส่เสื้อสลับกันเพราะมันมีเหตุผลอยู่ในเนื้อเรื่องนะคะ รออ่านเน้อ
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยนะคะ ^^

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ดีมากค่ะพี่ดื้อ พูดออกมาซะบ้าง คนอ่านอึดอัดแทน
ปั้นรักคะ นี่ถ้าในชีวิตจริงถ้าจะรอดตรีนยากนะคะ 555

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
ปั้นนิสัยโคตรเด็ก

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
นิสัยเด็กมากจิงๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด