ตอนที่ 11
วันนี้มีเรียนเช้า ผมกลับมาตื่นเวลาปกติไม่ต้องรีบตื่นเหมือนหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้เพราะผมไม่ได้เป็นขี้ข้าพี่โชมันแล้ว ผมตื่นก็อาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเรียน เมื่อถึงคณะผมก็เห็นกายกับน้ำตาลนั่งกันอยู่ที่โต๊ะใต้คณะผมรีบเดินจ้ำเข้าไปหา
“มึงสองคนกินไรกันยังวะ” ผมโพร่งถามกายและน้ำตาล
“กูกินแล้วมีแต่ไอ้ตาลนี่ไม่ยอมกินห่าอะไรเลย” กายบุ้ยปากไปที่น้ำตาล
“มึงเป็นไรวะตาล” ผมถามออกไป
"นั่นสิกูถามก็ไม่ยอมบอก เอาแต่นั่งกล้มหน้ากล้มตาเล่นโทรศัพท์" กายว่าเสริม
“เปล่ากูไม่ได้เป็นไรสักหน่อย” น้ำตาลรีบปฏิเสธ
“เอองั้นเย็นนี้มึงไปดูกูซ้อมบอลนะ..นะๆๆๆ” ผมกอดแขนอ้อนน้ำตาล
น้ำตาลขยับแขนออกจากมือผมแล้วหันมาพูด “กูไปไม่ได้กูรับปากฟ้าไปแล้วว่าจะไปช่วยชมรมเรี่ยไรเงินออกค่าย”
“ของชมรมอะไรวะ” ผมถามออกไป
“ค่ายอาสา” น้ำตาลตอบแค่นั้น
“แล้วอย่างนี้ถ้าเขาไปออกค่ายมึงต้องไปด้วยหรือเปล่า” ผมถามอย่างสงสัย
“กูกำลังคิดอยู่ว่าจะไปดีไหม เพราะเขาจะไปตลอดปิดเทอมนี้ 1 เดือนเต็มๆ”
“ไม่เอามึงไม่ต้องไปอยู่กับกูนี่แหละ กูไม่ให้มึงไป” ผมพูดราวกัเป็นคำสั่งห้ามน้ำตาล
“มึงเป็นผัวมันหรอ?” ไอ้กายถามผมด้วยสีหน้ากวนตีน
“ผัวพ่องดิไอ้กาย มันเป็นแม่กูต่างหาก” พูดจบผมก็ยักคิ้วให้กาย
ผมด่าและเถียงกับไอ้กายอยู่พักใหญ่ก่อนที่น้ำตาลจะเตือนว่าถึงเวลาเรียนแล้ว พวกเราก็กุลีกุจอกันวิ่งขึ้นตึกเพื่อไปเรียน
หลังจากวันนี้ไปเป็นเวลาเกือบสองเดือนหลังเลิกเรียนผมต้องรีบเข้าไปยังชมรมซ้อมฟุตบอลอย่างจริงจังเพื่อแข่งกีฬาสามยู
เลิกเรียนผมก็รีบมาชมรม เพื่อจะได้มีเวลาอู้ก่อนซ้อม ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมานั่งกินขนมเพื่อรอให้สมาชิกในชมรมมาครบ
พี่คิวเดินเข้ามาก็ทักผม “แดกอย่างเดียวเลยนะมึง”
“ก็ผมหิวนี่หว่า”
“เออแดกไวๆ ได้รีบไปวอร์ม” พี่คิวสั่งผม
“คร้าบบบบ”
ผมนั่งกินขนมของผมต่อไปก็เห็นพี่โชเดินเข้ามาในห้องชมรม พี่โชมีสีหน้าเนือยๆ หน้าซีดๆ
“เป็นไรเปล่าพี่” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย
พี่โชส่ายหน้าเป็นคำตอบ แล้วทำท่าจะเดินเข้าไปเปลี่ยนชุด
“เฮ้ยพี่แต่พี่หน้าซีดมากเลยนะ” ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมมือจับแขนพี่โชไว้ไม่ให้เดินหนี
“กูไม่ได้เป็นไร” พี่โชตอบปัดรำคาญ
“ไม่เป็นก็ไม่เป็น” ผมปล่อยมือพี่โชแล้วเดินออกไปวอร์มเตรียมซ้อมข้างนอก
ผมกำลังวอร์มอยู่ก็เห็นพี่คิวกับพี่โชเดินมาพร้อมกันทั้งสองคนก็เริ่มวอร์มแต่เมื่อวอร์มไปได้สักพักพี่โชก็ล้มฟุบไปกับพื้น
“เฮ้ยไอ้โช” เสียงพี่คิวตะโกนลั่น ทำให้สมาชิกทั้งหมดหยุดการกระทำแล้ววิ่งกรูกันเข้าไปหาพี่โช
“โชเป็นไรวะ” สมาชิกในชนรมพากันรุมถาม
“ไม่รู้เหมือนกันวะเมื่อกี้เห็นมันบอกว่ามึนๆ กูบอกให้มันลาสักวันก็ไม่ยอม”
“ฝืนตัวเอง เดี๋ยวก็ตายห่า” พี่ปันที่มาทีหลังบ่น
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ พี่โชแล้วพูด “พี่ปันงั้นวันนี้ผมลาได้ไหมพี่ เดี๋ยวผมพาพี่โชไปหาหมอแล้วไปส่งที่หอเอง” ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องเป็นคนอาสาที่จะดูแลพี่โช แต่รู้แค่ว่าไม่อยากให้พี่โชอยู่ไกลจากสายตาผมในเวลาที่พี่โชอาการแย่แบบนี้
พี่ปันเลิกคิ้ว “ทำไมไม่ให้ไอ้คิวพาไป มันเป็นเพื่อนกัน”
“ให้พี่คิวซ้อมเถอะพี่ยิ่งเล่นไม่ค่อยดีอยู่”
"อ่าวไอ้นี่" พี่คิวหันมามองด้วยสายตาคาดโทษผม
“เอองั้นก็ได้ แล้วได้เรื่องยังไงมึงโทรมาบอกกูด้วยแล้วกัน” พี่ปันพยักหน้าเห็นด้วยแล้วฝากฝังผม
ผมพยักหน้ารับก่อนหันไปบอกพี่คิวให้ช่วยกันแบกพี่โชไปที่รถ แล้วก็หันไปบอกสมาชิกในชมรถคนนึงให้ไปหยิบของ ของพี่โชที่อยู่ในล็อกเกอร์ออกมาให้
เมื่อจับพี่โชนั่งที่เบาะเรียบร้อยผมก็ปรับเบาะให้นอนลงจากนั้นก็เดินมายังฝั่งคนขับ พี่คิวตามมาพูดกับผม
“กูฝากด้วยนะไอ้อาร์ท ได้เรื่องยังไงอย่าลืมโทรมานะมึง”
“ครับพี่ตังใจซ้อมนะ” ผมยังทำท่าทะเล้นใส่พี่คิว
"เออมึงรีบไปเลย กูเห็นว่ามึงอาสาช่วยดูแลเพื่อนกูนะ ไม่งั้นมึงโดนบาทากูแน่" พี่คิวทำท่ายกขาเป็นการขู่
ผมรีบขึ้นรถมานั่งตรงฝั่งคนขับ จากนั้นก็สตาร์ทรถ ผมยังไม่หายตื่นเต้นเลยครับนี่ก็เพิ่งจะเป็นครั้งที่สองที่ผมจะต้องขับรถออกถนนใหญ่ แล้วพี่โชก็ยังจะมาหลับอีก ใครจะช่วยให้ผมสงบได้ล่ะทีนี้
“ไม่ต้องตื่นเต้นกูอยู่กับมึงตรงนี้” มีเสียงเบาๆ หลุดออกมาจากคนที่นอนอยู่บนเบาะ เมื่อผมหันไปมองก็เห็นพี่โชปรือตามองผมพร้อมกับยิ้มมุมปากให้ผม
ผมยิ้มตอบพี่โช แล้วรู้สึกว่าอุ่นใจจริงๆ ที่พี่มันอยู่ด้วย จึงตอบกลับไป “ครับ พี่นอนเถอะเดี๋ยวถึงโรงพยาลแล้วเดี๋ยวผมปลุก”
พี่โชแค่พยักหน้า แล้วก็ปิดเปลือกตาลง
จากนั้นผมก็เคลื่อนรถออกตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเมื่อถึงโรงพยาบาลผมพยายามปลุกพี่โชแต่เหมือนพี่โชจะหลับลึกไป ผมจึงเรียกให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมาพาพี่โชไปที่เปลรับผู้ป่วย
“ผู้ป่วยเป็นอะไรมาครับ” เจ้าหน้าที่ถามผม
“คือเขากำลังซ้อมฟุตบอลอยู่แล้วก็วูบไปหน่ะครับ”
“ครับเดี๋ยวญาติเอารถไปจอดด้านนู้น แล้วขึ้นมากรอกประวัติให้ผู้ป่วยแล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมพาผู้ป่วยไปห้องฉุกเฉินก่อน” เจ้าหน้าที่อธิบายให้ผมฟัง
จอดรถเสร็จผมก็รับจ้ำมายังเค้าเตอร์เพื่อกรอกประวัติให้พี่โช โชคดีที่ผมหยิบกระเป๋าของพี่โชมาด้วยในนั้นจึงมีข้อมูลพี่โชครบทุกอย่าง
ผมนั่งรอหมอที่ตรวจอาการพี่โชอย่างใจจดใจจ่ออยู่หน้าห้องฉุกเฉิก
“ญาติคุณโชกุนค่ะ” พยาบาลเดินออกมาเรียกจากห้องฉุกเฉิน
“ครับ” ผมรีบเดินเข้าไปหาพยาบาล
“เข้าไปพบคุณหมอข้างในเลยค่ะ”
ผมเดินตามพยาบาลเข้าในห้องฉุกเฉิน ก็พบพี่โชนอนหลับอยู่แล้วมีคุณหมอยืนอยู่ข้างๆ
“คนไข้เป็นไข้หวัดธรรมดาครับ แต่อาจจะเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอจึงทำให้วูบไปได้” หมอหันมาพูดกับผม
เมื่อหมอพูดแบบนั้นผมก็โล่งใจที่พี่โชไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง จึงถามหมอกลับไป “แล้วแบบนี้เขาต้องนอนโรงพยาบาลไหมครับ”
“ไม่ต้องนอนก็ได้ครับ เดี๋ยวอีกสักพักคนไข้ก็น่าจะตื่นเดี๋ยวหมอสั่งยาแล้วกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้เลย แต่ต้องคอยวัดไข้เช็ดตัวเป็นระยะนะครับ”
“ครับ”
“งั้นญาติไปรอรับยาและชำระเงินด้านนอกได้เลยค่ะ” พยาบาลบอกผม
ผมเดินออกมานั่งรอด้านนอกเพื่อรอรับยา และทำการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อย ระหว่างเดินกลับมาหาพี่โชที่หน้าห้องฉุกเฉินผมก็โทรรายงานอาการพี่โชให้คนในชมรมทราบเรียบร้อย พอเดินมาถึงเห็นพี่โชนั่งรออยู่แล้ว
“เดินไหวไหมพี่”
พี่โชได้แต่พยักหน้า แล้วผมก็เข้าไปประครองให้เดิน พอถึงรถผมก็เปิดประตูให้พี่โชเข้าไปนั่งที่เบาะ แล้วปรับเบาะให้ตั้งขึ้นนิดนึง ผมจึงปิดประตู้แล้วอ้อมมาขึ้นด้านคนขับ
“ไหนตอนอยู่ห้องชมรมพี่บอกผมว่าไม่เป็นไรไง” ผมพูดเสียงแข็ง
“ก็กูไม่ได้เป็นไรนี่หว่า” พี่โชพูดเสียงพร่า
“นี่นะไม่ได้เป็นไร ดีไม่หัวฟาดฟื้นตาย พี่แม่งบ้า” ผมว่าอย่างหัวเสีย
“เป็นห่วงกูหรอ”
ยังมีหน้ามาถามอีกนะถ้าไม่ห่วงจะมานั่งอยู่ตรงนี้หรอวะ
“ห่วงสิวะ” ผมพึมพำไม่ตั้งใจให้อีกคนได้ยิน
“แค่นี้กูก็หายแล้ว” พี่โชพูดขึ้นลอยๆ ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
“ว่าไงนะ?” ผมหันไปถาม
พี่โชส่ายหน้า แล้วพูด “กูอยากกลับห้องแล้ว อยากนอน”
ผมพยักหน้ารับแล้วรีบออกรถทันที ระหว่างทางโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ผมล้วงออกมาจากกระเป๋าก็เห็นชื่อขึ้นที่หน้าจอ
Rrrr
‘เชี่ยกาย’
“มากูถือให้” พี่โชพูดพร้อมกับแบมือรับโทรศัพท์จากผม
พี่โชกดรับแล้วเอามาแนบหูผมไว้
“เออว่าไง”
(มึงซ้อมบอลเสร็จยังวะไปแดกหมูกระทะกัน)
“มึงไปกันเลยกูบายวะ”
(เห้ยได้ไงวะ นี่ไอ้ตาลอุตส่าห์ชวนฟ้าไปด้วยได้นะมึง)
“เออกูบายวะกูมีธุระ”
(เออๆ ตามใจมึงแล้วกัน ถ้าเปลี่ยนใจจะตามพวกกูอยู่กันร้านหลังมอนะโว้ย)
“เออ”
กายวางสายไป แต่ผมก็คิดว่าทำไมคนที่โทรมาชวนผมถึงไม่เป็นน้ำตาล ทำไมผมรู้สึกว่าพักหลังมามันตั้งใจจะหลบหน้าผมหรือผมคิดไปเอง เออจริงๆ ใครชวนก็เหมือนกันนั่นแหละพวกมันก็อยู่ด้วยกันนี่หว่าคงคิดมากไปเอง ผมคิดเพลินจนลืมไปว่ามีคนอยู่ข้างๆ
“เฮ้ยเหม่ออะไรวะ รถจะลงข้างทางอยู่แล้ว” พี่โชพูดขึ้นทำให้สติผมกลับมา
“อ่อเปล่าพี่ พวกไอ้กายชวนไปกินหมูกระทะเฉยๆ”
“งั้นเดี๋ยวมึงส่งกูเสร็จมึงเอารถกูไปก็ได้”
“ได้ไงอ่า พี่ต้องวัดไข้เช็ดตัวทั้งคืนนะ”
“เดี๋ยวกูทำเองก็ได้”
“ไม่...ผมจะอยู่”
พี่โชยกยิ้มมุมปากก่อนจะตอบ “งั้นก็ตามใจมึง”
รถจอกสนิทที่ลานจอดรถหอพัก ผมลงจากรถเพื่ออ้อมไปเปิดประตูประคองร่างพี่โชออกจากรถพร้อมกับหยิบกระเป๋าและถุงยาของพี่มันมาด้วยเมื่อถึงหน้าห้องผมก็ไขกุญแจเข้าไป
ผมพาพี่โชตรงไปที่ห้องนอนแล้ววางร่างพี่โชให้นั่งลงบนเตียง
“พี่นอนไปก่อนเดี๋ยวผมไปหาอะไรในครัวให้พี่กินจะได้กินยา” ผมออกคำสั่ง
พี่โชได้แต่มองผมแล้วล้มตัวลงนอนช้าๆ ผมจึงเดินออกมาเปิดตู้ในครัวดูว่าพอจะมีอะไรทำให้พี่โชกินได้บ้าง แล้วผมก็เจอโจ๊กเป็นซองๆ วางอยู่เต็มตู้ ผมเพิ่งรู้ว่าพี่โชชอบกินโจ๊กขนาดนี้
ผมจัดการเสียบกาน้ำร้อนและเทโจ๊กใส่ถ้วย เมื่อน้ำเดือดก็จัดการกดน้ำใส่ในถ้วย จึงหยิบถ้วยเดินเข้ามาในห้องนอนพี่โช
“พี่โชลุกขึ้นมากินโจ๊กก่อน”
“อื้อ” พี่โชตอบรับแบบรำคาญ แต่ก็ไม่ยอมลุขึ้นมาอยู่ดี
ผมวางถ้วยลงที่โต๊ะแล้วจัดการไปดึงพี่โชให้นั่งพิงกับหัวเตียง
“อ่ะ กินซะจะได้กินยา” ผมยื่นถ้วยโจ๊กให้
“ป้อน” พี่โชพูดแค่นั้น แล้วสบตาผม
“ฮ่ะ?”
“ป้อนหน่อย” พี่โชพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ
“มือพี่ก็ไม่ได้เป็นอะไรหนิ” ผมขมวดคิ้ว
“ไม่มีแรงป้อนหน่อยนะ” น้ำเสียงของพี่โชเปลี่ยนไป ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าพี่โชกำลังอ้อนผม
“นี่พี่อ้อนผมเหรอ” ผมเลิกคิ้วและยกยิ้มมุมปาก
“ไม่ป้อนก็ไม่เป็นไร วางไว้ตรงนั้นแหละเดี๋ยวมีแรงกินไหวค่อยกินก็ได้” พี่โชพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“โอเคๆ ป้อนก็ป้อน” พูดกลั้วหัวเราะ
หลังจากผมรับคำผมก็ตักโจ๊กไปจ่อที่ปากพี่โช พี่โชอ้าปากรับโดยดีจนหมดถ้วย ผมก็จัดแจงเอายาให้พี่โชกินเรียบร้อย ไม่นานนักพี่โชก็หลับสนิทโดยที่ยังไม่ได้เช็ดตัว
ผมเก็บข้าวของไปไว้ในครัวและกลับมายังห้องนอนเพื่อเฝ้าวัดไข้ให้พี่โช ผมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหาผ้ามาชุบน้ำไว้สำหรับเช็ดตัวพี่โช
โทรศัพท์สั่นขึ้นผมควานหาโทรศัพท์ของตัวเองเมื่อหยิบขึ้นมาก็พบว่าไม่ใช่ ปรากฏว่ามันเป็นของพี่โช ผมจึงหยายหน้าจอขึ้นมาดู
Rrrrr
‘ป๊า’
เมื่อผมเห็นเช่นนั้นก็ปล่อยให้โทรศัพท์สั่นไปเพราะผมไม่กล้ารับ แต่แล้วผมก็ต้องทำใจกล้ารับโทรศัพท์เพราะว่าป๊าพี่โชโทรมาไม่ยอมหยุด อาจจะมีธุระสำคัญก็ได้
“สวัสดีครับ” ผมรับด้วยน้ำเสียงเกร็ง
(โชอยู่ไหนลูก)
“เอ่อ...โชไม่สบายครับ ตอนนี้นอนหลับอยู่”
(แล้วนั่นใครเจ้าณัฐเหรอ)
“ไม่ใช่ครับเพื่อนโชที่มหา’ลัย”
(อ่อโชเป็นอะไรมากหรือเปล่าแล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง)
“พะ..เอ้ย โชดีขึ้นแล้วครับ หมอบอกให้กลับมาพักผ่อนเดี๋ยวก็จะหายครับ”
(ฮะ ถึงจั้นต้องไปหาหมอเลยเหรอ งั้นถ้าโชตื่นแล้วให้โทรกลับหาป๊าด้วยนะ)
“ครับถ้าโชตื่นเดี๋ยวผมบอกให้โชรีบโทรกลับครับ สวัสดีครับ” ผมรับคำแล้วก็กดวางโทรศัพท์
เวลาผ่านไปสามชั่วโมงแล้วที่พี่โชนอนหลับผมจึงเข้าไปวัดไข้และน้ำผ้าชุบน้ำไปเตรียมเช็ดตัวให้
“พี่โชเช็ดตัวก่อนนะ” ผมเรียกพี่โชพร้อมเอามือไปเขย่าไหล่
“อื้อ” พี่โชสะบัดมือผมออก
ช่วยไม่ได้งั้นผมจับพี่ถอดเสื้อถอดกางเกงเองเลยแล้วกัน ตอนนี้ร่างกายพี่โชเหลือเพียงบ็อกเซอร์ จากนั้นผมก็นำผ้าชุบน้ำมาเช็ดจากหน้าลงมาที่คอและเรื่อยๆ ลงมายังลำตัว
“หนาว” พี่โชมันไม่พูดเปล่าพี่มันเอาแขนมาเกี่ยวตัวผมลงไปกอด จนหน้าผมแนบกับอกพี่มัน
“พี่โชปล่อย หนาวเดี๋ยวผมห่มผ้าให้” ผมโวยวาย พยามขืนตัวออกจากอ้อมกอดพี่มัน แต่เหมือนจะไม่เป็นผม เพราะพี่มันยิ่งรัดผมแน่นกว่าเดิม
ผมทำใจอยู่นานกว่าจะยอมอยู่นิงๆ เพราะยิ่งดิ้นก็มีแต่เหนื่อย ผมปล่อยตัวเองให้อยู่ในอ้อมกอดของพี่โชแบบนั้นจนผมเองเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าตัวเองกำลังใช้แขนทั้งสองข้างกอดเอวพี่โชไว้ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้สติจึงค่อยๆ ดึงมือออกมาจากเอวพี่โชแล้วลุกขึ้นมานั่งหันหลังให้คนที่ผมคิดว่ายังนอนหลับอยู่ ตอนนี้ใจผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะและใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
“ตื่นแล้วหรอ” ฮ่ะเสียงพี่โชถามผม แสดงว่าพี่มันตื่นก่อนผมแบบนี้พี่มันก็ต้องรู้ว่าผมกอดพี่มันกลมหน่ะสิ
‘โอ๊ยยย ไอ้อาร์ทมึงทำอะไรลงไปวะเนี่ย’ ผมคิดในใจ ทั้งที่ตอนนี้หน้าแดงจนไม่กล้าหันหน้าไปมองพี่โช
“ตะ..ตื่นแล้วเหรอ พะ..พี่...ตื่นนานแล้วหรอ” ผมถามอย่างตะกุกตะกักทั้งที่ยังหันหลังให้พี่โชอยู่อย่างนั้น
“อื้ม”
“งั้น....” ผมพูดแค่นั้นก็เงียบไป
“อุ่นดี” พี่โชพูดเสียงเรียบ
ผมหันขวับไปมองหน้าพี่มันแบบอาฆาตอย่างลืมตัว หน้าผมร้อนจนจะระเบิดออกมา
“กูดีขึ้นเพราะมึงนอนกอดกูสินะ” พี่โชยกยิ้มมุมปากและยักคิ้วให้ผม
“เฮ้ย พี่พูดไรวะ พี่นั่นแหละลากผมไปกอด” ผมว่าอย่างหัวเสีย
“หึหึ” พี่โชขำแค่นั้น ก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยผมให้นั่งบ่นงึมงำอยู่บนเตียงอย่างนั้น
หลังจากนั้นไม่นานพี่โชก็เดินออกจากห้องน้ำมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พี่มันมีความสุขอะไรนักหนา แต่ต่างจากผมที่ตอนนี้ทั้งกายและใจอยู่ไม่เป็นสุขเลยสักนิด
ผมนึกขึ้นได้ว่าป๊าพี่โชโทรมา จึงเอ่ยออกไป “เออพี่โชตอนที่พี่หลับป๊าพี่โทรมาหลายสาย ผมเลยถือวิสาสะรับไปกลัวว่าจะมีเรื่องด่วน”
พี่โชพยักหน้ารับแล้วหยิบโทรศัพท์เดินออกไปข้างนอกห้องนอน คงจะไปโทรหาป๊าพี่มันนั่นแหละ สักพักพี่โชก็เดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก คงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่เดาว่าอย่างนั้น ผมได้แต่มองอย่างสงสัยแต่ไม่กล้าถามออกไปจึงหันไปสนใจโทรศัพท์ในมือผมแทน
==============
TBC.
Talk.อ่านแล้วรู้สึงยังไงกันบ้าง ... จริงๆ เราก็เขียนไปล่วงหน้าเรื่อยๆ นั่นแหละ แต่ทยอยลง เพราะเราอยากฟังความเห็นคนอ่าน ถ้าไม่ถูกใจตรงไหน หรืออยากได้แบบไหนอยากให้มาคุยกัน ถ้าปรับได้เรายินดีที่จะปรับให้
จริงๆ เราคุยกันได้น๊าาา อย่าทิ้งกันไว้ลำพัง

)) รักคนอ่าน <3