► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END  (อ่าน 62599 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ย้ายเลย ย้ายห้องด่วนๆๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กวนเค้าเพราะจีบไม่เป็น น่ารักไปนะหมอก 5555
ผู้ช๊าย ผู้ชายจิมๆ
น่ารักกกกก

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ หนูนก รัชนก

  • นก อยู่ข้างทุกคนนะคะแม้ว่าทุกคนจะทำผิดก็ตาม
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[16]





คุณเคยรู้สึกอยากแกล้งใครบ้างไหมครับ?

คำถามอาจจะฟังดูโรคจิตไปสักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าบนโลกนี้มีคนที่พอเห็นแล้วมันกระตุ้นต่อมความอยากแกล้งอยู่จริงๆ หากใครได้มาเจอสถานการณ์แบบที่ผมกำลังเป็นอยู่ก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก
 




"อยากบอกคนดีว่าพี่ปีสอง รักน้องปีหนึ่งจังเลย~"

เสียงรัวกลองเสียงร้องเพลงโหวกเหวกโวยวายจนจับทำนองไม่ได้เป็นเอกลักษณ์ของกิจกรรมรับน้องที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น ก็น่าสนใจดีอยู่หรอก แต่การต้องมาทำกิจกรรมทั้งที่เหนื่อยมาหนักหนาสาหัสทั้งเดือนแล้วไม่ใช่เรื่องที่ผมปรารถนาเท่าไหร่ ดังนั้น แทนที่จะไปร่วมสนุกเฮฮากับเพื่อนๆ ร่วมคณะ ผมเลยเลือกที่จะชิ่งหนีไปหาที่นอนตรงศาลาหลังแปลงต้นไม้ดีกว่า

ลมเย็นๆ พัดพาชวนเคลิ้ม ความสนุกสนานที่แว่วมาก็ไม่ดังจนเกินไปพอเหมาะที่จะเป็นเพลงกล่อมนอนได้ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้แล้วหลับตา หมายใจวาจะตื่นมาอีกทีตอนใกล้ๆ งานเลิก

"ดีขึ้นเยอะแล้วนะ แสดงว่าปุ๋ยใหม่ใช้ได้ไม่เลว"

ยังไม่ทันได้เคลิ้มก็มีใครไม่รู้มาพูดอยู่ใกล้ๆ ลืมมามองก็เจอแผ่นหลังของผู้ชายตัวเล็กกำลังนั่งยองๆ คุยกับต้นไม้อยู่ ไม่ต้องเดาให้ยาก หมอนั่นต้องเป็นเด็กคณะเกษตรแน่นอน ผมเคยเจอเด็กคณะนี้ตรงแปลงปลูกบ่อยๆ เพราะบ่อเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดของคณะตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่

แต่ไม่เคยเจอใครนั่งคุยกับต้นไม้แบบคนนี้นะ

"ไอ้ต้นนั้นมันจะตายป่ะ?"

หลุดปากไปไม่ทันรู้ตัว คนที่กำลังจดจ้องอยู่กับต้นไม้หันควับมามองทันที

"ไม่ตายหรอก เราเปลี่ยนดินแล้ว มันได้ผลด้วยนะ"

อา... แค่พูดอย่างเดียวไม่ต้องยิ้มให้ก็ได้มั้ง ยิ้มมันทั้งตาทั้งปาก ท่าทางมีความสุขเหมือนเด็กเพิ่งได้อมยิ้มแท่งโตเชียว

"เหรอ แต่เราว่าเดี๋ยวมันก็ตาย เหี่ยวซะขนาดนั้น"

"มันไม่ตายหรอก"

"พนันป่ะล่ะ?"

"เราไม่เล่นพนัน"

"แสดงว่ากลัวต้นไม้ตายแล้วจะแพ้"

สับสนในตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจะต่อล้อต่อเถียงไปทำไม แต่พอเห็นวงหน้าอมยิ้มค้างเริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทีละน้อยก็สนุกดีเหมือนกันจนไม่รู้จะยอมหยุดก่อนทำไม

จากที่ตั้งใจจะนอนให้หมดเวลากิจกรรม ขากลับก้าวลงจากศาลาไปยืนข้างๆ เจ้าของต้นไม้ที่กำลังทำปากยื่น มองสลับไปมาระหว่างต้นไม้ที่ตัวเองก็ไม่รู้ชื่อกับคนตรงหน้า แล้วความคิดสร้างสรรค์ก็วาบขึ้นมาในหัว

"โอ้โห ตัวเท่ากันเลยว่ะ ถ้าต้นไม้โดอีกนิดคงทำเป็นบ้านเหมือนในฮอบบิทได้เลยมั้งเนี่ย"

ต้องโทษคนตัวเล็กที่ทำหน้าแดงหูแดงให้เห็นวันนั้นผมเลยอดใจไม่ได้ต้องแกล้งเขาทุกครั้งที่เจอกัน


 

                ทำไมถึงเลือกเรียนคณะประมง?

                คำถามเบสิกที่ได้ยินตั้งแต่ตกลงใจกรอกคณะที่อยากเรียนลงไปในแบบสอบถาม คำตอบมันก็ไม่ได้ยากและซับซ้อนอะไร แค่รู้สึกว่าประเทศบ้านเกิดที่มีทรัพยากรสมบูรณ์พร้อมยังต้องได้รับการพัฒนาในเรื่องธุรกิจทางน้ำอยู่ เชื่อไหมว่าแค่ระดับเปลี่ยนแปลง หรืออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นก็เป็นเหตุให้สัตว์น้ำที่แสนละเอียดอ่อนม่องเท่งยกฟาร์มได้ ไหนจะวิธีการดูแลอนุบาลสัตว์ที่ได้ผลมากกว่าที่เป็นอยู่อีก เรื่องพวกนั้นทำให้ผมสนใจอยากจะศึกษาต่อ

                แถมดูท่าว่าข้อดีของการเรียนคณะประมงจะเพิ่มขึ้นอีกช้อแล้ว

"ตัวเล็ก รีบจ้ำไปไหนอ่ะ?"

"....."

"ทางไปบ่อปลาน้ำจืดไปฝั่งนี้นะ ถ้าจะเดินไปฝั่งนั้นก็ระวังโดนไอ้เข้ลากไปกินในน้ำละกัน"

เกือบหลุดขำตอนเห็นคนที่ก้มหน้าก้มตาจ้ำเท้าหนีเหยียบเบรกตัวโก่ง แค่แกล้งนิดหน่อยก็เท่านั้น มหาวิทยาลัยที่ไหนเขาจะเอาจระเข้มาเลี้ยงในตึกคณะประมงกัน

ส่วนคำถามว่าทำไมถึงมีเด็กคณะเกษตรมาเดินดุ่มๆ อยู่แถวนี้ก็ต้องเอ่ยขอบคุณอาจารย์ประจำภาคของอีกฝ่ายไว้ตอนนี้เลยที่ให้โจทย์งานเอื้ออำนวยให้ผมได้นำทางคนต่างถิ่นทัวร์ตึกคณะ เห็นว่าที่ขอเข้ามาชมการทำงานจำลองของห้องปฏิบัติการเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดก็เพื่อนำไปสานต่อโครงงานอะไรสักอย่างที่ต้องแลกกันหาข้อมูลของคณะอื่น และแจ๊กพ็อตก็มาลงที่คนตัวเล็กเพราะเจ้าตัวจับฉลากได้ภาควิชาน้ำจืดผมนั่นเอง

"ส่วนหน้าทั้งหมดเป็นบ่ออนุบาลปลา ถัดไปนั่นเป็นบ่อสำหรับปลาที่โตเต็มที่แล้ว เพราะเราต้องควบคุมทุกอย่างทั้งน้ำ อาหาร อากาศ เลยต้องแยกบ่อกัน"

"แล้วถ้าเราไม่เอาลูกปลามาลงบ่อแยกล่ะ?"

"เราเลี้ยงระบบธรรมชาติ ปลาก็อยู่ตามสัญชาตญาณ มันอาจจะกินกันเองได้ เราไม่อยากเสี่ยงให้เกิดเรื่องแบบนั้น กลไกทั่วไปที่คนทำฟาร์มต้องรู้น่ะ"

หัวกลมๆ ผงกขึ้นลงตามจังหวะ มือก็จดข้อมูลยิกๆ ไปด้วย ผมว่าเขาต้องเป็นพวกเด็กเรียน ชอบจดอะไรที่ตัวเองสนใจแน่ๆ ตอนว่างๆ เห็นไม่ทำอะไรก็เดินดูต้นไม้ คุยคนเดียวแล้วก็จะ เนิร์ดโคตรแต่ก็เหมาะกับภาพลักษณ์ดี

"ที่ภาคเลี้ยงแต่ปลาน้ำจืดอย่างเดียวเหรอ?"

"เปล่า น้ำเค็มก็มีแต่อยู่อีกฝั่งนึง"

"อ้าว ไหนบอกอีกฝั่งมีจระเข้ไง"

"อ้าว โดนหลอกแล้วไม่รู้ตัวไง"

สงสัยจะไม่รู้ตัวว่าโดนหลอกจริงๆ ถึงได้ทำหน้าเหวอขนาดนั้น จะว่ายังไงดีล่ะ ซื่อเกินไปเพราะสูดออกซิเจนจากต้นไม้มาเยอะหรือเอ๋อเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้วดี

"...เราไม่ดูแล้ว"

ปิดสมุดในมือลงแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ขาสั้นๆ ของเขาจะไวกว่าแขนยาวๆ ของผมได้ยังไง รีบคว้าข้อมือเล็กของเขาไว้ทันที

"ไม่งอนหน่า เดี๋ยวเราพาไป"

"ไม่ได้งอน"

"มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่างอน ไปป่ะ เดี๋ยวพาทัวร์ให้รอบเลย"

"เดี๋ยว... นาย! เราเดินเองได้"

เจ้าของเสียงร้องแง้วๆ ทำท่าเหมือนจะไม่ยอมเดินตามแล้วขืนตัวไว้ทันที แต่ลองคิดดูนะว่าคนตัวสูงแค่ไหล่ แถมขายังสั้นแค่สองในสามของผมจะทำอะไรได้ กระตุกข้อมือเบาๆ เข้าหน่อยก็จะปลิวแล้ว  สุดท้ายชัยชนะครั้งนี้ก็ตกเป็นของนายหมอก เด็กประมงหน้าตาดีที่กำลังขอบคุณตัวเองสมัยมัธยมปลายว่าเลือกอันดับคณะที่อยากเข้าได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน




 

เพราะเชื่อเหลือเกินว่าความเสมอต้นเสมอปลายเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นการปฏิบัติตัวกับคนตัวเล็กของผมก็ยังคงเป็นปกติเจอกันก็แซวก็หยอด แต่มีการพัฒนาอยู่เล็กน้อย เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางได้มานั่งดูคนตรงข้ามกินข้าวแล้วลูบหัวกลมเล่นได้ง่ายๆ แบบนี้หรอก

"กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ"

...แต่ก็ไม่น่าโตไปมากกว่านี้แล้วล่ะนะ

หลังเลิกคลาสก็อาศัยความใจกล้าหน้าด้านเล็กน้อยลากเขามาร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัยด้วยกัน เห็นว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่ได้แวะเข้ามา ก็แน่ล่ะ ตอนเช้าก็ดิ่งจากหอไปห้องแลป ตอนเย็นก็แล่นจากห้องแลปกลับหอ ไม่มีเวลาใส่ใจอาหารการกินเหมือนคนอื่นเขาเท่าไหร่

"...นายก็กินเข้าไปด้วยสิ มองเรากินอย่างเดียวคงอิ่มหรอก"

"ก็อิ่มได้ที่อยู่"

"จะบอกว่าอิ่มทิพย์?"

"อิ่มอกอิ่มใจได้มองใครบางคนกินแบบมีความสุขต่างหาก"

"เราว่าเราอิ่มแล้ว"

ผมหัวเราะเมื่อโดนยอกย้อนกลับมาแบบนั้น เห็นเขาทำท่าเหมือนจะรวบช้อนเลยรีบห้าม

"กินไม่หมดไม่ต้องกลับ"

"นายก็กินไปสิ นายเป็นคนสั่งนะ"

"ก็สั่งมาเพราะจะเลี้ยง"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ขอ"

ไม่ว่าเปล่ายังตีหน้ายุ่งตามแบบฉบับของเขาใส่ผมอีกด้วย เอาจริงก็ยังไม่อิ่มอะไรเท่าไหร่ เพราะเล่นสั่งมาเสียเยอะชนิดที่หากกินไม่หมดคุณป้าเจ้าของร้านคงเสียใจแย่

และแล้วเสียงสวรรค์ก็แทรกเข้ามาในความคิด ยกยิ้มอย่างภูมิใจในตัวเองแล้วยื่นช้อนส้อมส่งไปให้คนที่รับด้วยสีหน้างงงวย เวลาเรียนก็ดูจะฉลาดดีหรอก แต่พอเป็นเรื่องอะไรแบบนี้เขากลับดูไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย สมกับเป็นเด็กเนิร์ดที่ใช้เวลาอยู่กับดินกับต้นไม้จริงๆ

"ป้อนหน่อย"

"เพื่อ?"

"ก็ถ้าอยากให้กินก็ป้อน เร็วๆ"

"...ถามจริง นายจีบเราอยู่เหรอ?"

ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งปรามาสเอาไว้ในใจว่าอีกฝ่ายไม่มีไหวพริบกับเรื่องแบบนี้ ตอนนี้คงต้องขอเอาคืนเสียแล้ว สายตาสงสัยระคนอยากจับผิดของเขายิงตรงมาจนผมเกือบทำอะไรไม่ถูก ชะงักเสียเสียมาดยอดชายนายหมอกไปครู่หนึ่ง ผมหลบสายตาที่ส่งมาให้นั้นก่อนจะเอื้อมมือเกาหลังคอ มันเป็นท่าทางที่ผมชอบทำเวลาประหม่าและต้องการใช้ความคิด

จะว่ายังไงดี... จะบอกว่าแค่อยากแกล้งไปเสียก็ได้ แต่นั่นก็เท่ากับผมหลอกตัวเองและกำลังจะหลอกเขาไปด้วย จะบอกว่าจีบไปตรงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะโดนปฏิเสธมาตรงๆ ให้ใจบางเล่นหรือเปล่า เห็นแบบนี้ก็ยังมีหลายๆ เรื่องที่คนแบบผมไม่กล้าเดินหน้าต่ออยู่เหมือนกัน

"ฉันชื่ออะไร"

คิดอะไรไม่ออกก็ชิงมองตาเขากลับไปอีกรอบแล้วถามคำถามโง่ๆ ออกมา เชื่อไหมว่าเราต่างไม่เคยเรียกชื่อของกันและกันเลยสักครั้ง นั่นอาจจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ตัวเองไม่กล้าตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเขาไปก็ได้

"ห๊ะ"

"ตอบมาก่อนว่าฉันชื่ออะไร"

"ก็ชื่อหมอกไง"

"รู้แล้วก็ไม่ยอมเรียก เรียกแต่นายๆ อยู่ได้"

"แล้วชื่อนายสำคัญกับบทสนทนาของเรายังไง"

"ก็อยากให้จำชื่อแฟนในอนาคตไว้"

ช้อนที่กำลังเขี่ยข้าวหยุดชะงัก คนตรงหน้าเลือกจะทำหน้าดุที่ดูยังไงก็โคตรจะไม่น่ากลัวใส่มาอีกรอบ ส่วนผมก็ยักคิ้วตอบกลับพร้อมกับส่งมือไปหยิกแก้มนิ่มๆ นั่นด้วยเลยโดนฮึดฮัดใส่กลับมา

"รู้ตัวสักทีเหอะว่าทำหน้าแบบนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย มีแต่ยิ่งทำให้อยากแกล้ง"

                ยิ่งพูดยิ่งเหมือนเติมเชื้อไฟ เลยโดนกระแทกช้อนเข้าปากเน้นๆ อยากจะนับว่าเป็นโมเม้นแรกระหว่างจีบกันของผมกับเขาอยู่หรอก แต่ไม่ดีกว่า เพราะเชื้อสุดในว่าถึงเวลาคบกันจริงๆ มันจะต้องเป็นโมเม้นที่หวานมากกว่านี้แน่นอน ต่อให้เขาไม่อยากทำก็ต้องเป็นผมนี่แหละที่จะทำ แปลกใจตัวเองที่คิดเรื่องชวนจักกะจี้หัวใจแบบนี้ได้จนเผลออมยิ้ม ส่วนเขาน่ะเหรอ หึ... ต่อให้ไฟในร้านไม่สว่างมากนักแต่ผมก็ตาดีมากพอจะเห็นริ้วแดงพาดขึ้นแก้มใสนั่น


 



"นายยังไม่ตอบคำถามเราเลย"

"บอกให้เรียกว่ายังไงล่ะ"

"...หมอกยังไม่ตอบคำถามเราเลย"

"แล้วชินว่าใช่ไหมล่ะ"

ถามมาถามกลับไม่โกง แต่สงสัยอีกเดี๋ยวจะโดนด่าถ้ากวนไปมากๆ ดูได้จากปากที่ขมุบขมิบเหมือนพยายามกลั้นความอยากตอกกลับเอาไว้เต็มที่แล้ว

"ไม่ตอบก็ไม่ต้องตอบ กลับหอไปเลย"

"ก็กำลังกลับอยู่เนี่ย หอเดียวกันทำเป็นลืม"

ความบังเอิญคงจะมีบนโลกนี้จริงๆ หรือไม่ก็เป็นเพราะบุพเพอาละวาดให้เราสองคนมาเจอกัน สาบานได้ว่าไม่ใช่ความตั้งใจที่ตัวเองได้อยู่หอนอกที่เดียวกับเขา และแน่นอนว่าผมไม่รู้หรอกว่าเขาพักห้องไหน ไม่ใช่โรคจิตขนาดตามดู ตามสืบทุกเรื่องขนาดนั้น

"อย่างอนดิ ก็อยากเล่นด้วย"

"เราไม่ใช่เพื่อนเล่น"

"แฟนก็เล่นได้ ไม่ต้องเพื่อนหรอก"

"ฮึ้ย!"

หัวเราะกับเสียงขัดใจที่กว่าจะปล่อยมันออกมาก็โดนกวนประสาทไปหลายดอก เอาจริงๆ มันไม่ได้ช่วยให้น่ากลัวมากกว่าเดิมแต่มันทำให้หมั่นเขี้ยวหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก จนต้องบอกกับเขาไปตรงๆ

"ไม่เคยได้ยินเหรอว่าผู้ชายชอบแกล้งคนที่ชอบ"

"เราว่าผู้ชายแบบนั้นเรียกโรคจิต"

หลุดขำอีกรอบก่อนจะช่วยจัดทรงผมที่เริ่มยุ่งจากแรงลมให้เข้าที่แล้วเปลี่ยนเป็นจูงแขนคนข้างๆ ให้ออกเดินไปพร้อมกัน คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น และคนตัวเล็กก็คงจะรู้สึกถึงสภาพอากาศไม่แพ้กันถึงได้ยอมให้พาเดินเรื่อยๆ โดยที่ไม่โวยวายและไม่สะบัดออกเหมือนที่เป็นยามปกติ

"เออน่ะ คนมันจีบใครไม่เป็นนี่หว่า กวนตีนเป็นอย่างเดียว"

"รู้ตัวก็ดีแล้ว"

"รู้เพราะชินทำหน้าอยากถีบใส่ทุกครั้งที่คุยนั่นแหละ"

ไม่ค่อยชินกับชื่อชินที่ออกมาจากปากตัวเองเท่าไหร่เลยอดเคอะเขินกันไปเล็กน้อย

"สรุปว่าให้จีบแล้วใช่ป่ะ?"

จะเหมาเอาเองก็ได้อยู่หรอก แต่แม่เคยสอนว่าต้องทำอะไรให้ชัดเจน ตอนแกล้งว่าชัดเจนแล้วกว่าจะรู้ตัวก็ตั้งนานนม มาเวลานี้ได้คุยเปิดใจกันไปบ้างแล้วก็สมควรแก่การชัดเจนไปอีกขั้น

ลอบมองใบหน้าของคนเดินข้างๆ ไปด้วย คิ้วนี่แทบจะชนกันได้แล้วมั้ง แล้วยังทำปากกลมๆ ของเจ้าตัวให้กลมหนักเข้าไปอีกทำไมกัน

"ขนาดนี้แล้วยังต้องถามอีกป่ะ?"

"กวนใช่ย่อยนะชิน"

"เราเปล่า ขึ้นห้องไปได้แล้วล่ะ เราก็จะขึ้นเหมือนกัน"

"ย้ายไปอยู่ห้องด้วยดิ จะได้ทำคะแนนถนัดหน่อย"

"...ไม่เอา"

"ใจร้ายว่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวแอบปีนไปปล้ำเอา"

โดนทุบเข้าดังอั่กเพราะปล่อยลูกในปากออกมาไม่รู้เวร่ำเวลา แต่แรงแค่นั้นหาความเจ็บไม่ได้เอาซะเลย สงสัยหลังจากนี้จะต้องพาไปว่ายน้ำเสริมสร้างกล้ามเนื้อเวลาที่ผมซ้อมด้วยกันแล้วล่ะมั้ง ถือว่าเป็นการใช้เวลาร่วมกันให้เกิดประโยชน์ในฐานะคนกำลังดูๆ กันอยู่

คิดแล้วจักจี้หัวใจจังเลยเว้ย!``





"ชิน"

"หือ"

"ชิน"

"อะไรล่ะหมอก"

"ไม่มีอะไร"

สิ้นประโยคคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดบันทึกการเติบโตและค่าต่างๆ ของตัวดินก็หันมาทำหน้ายักษ์ตามแบบฉบับของเด็กเกษตรใส่ผม

"ไปเรียนเลยไป วันนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ"

"ไม่อยากไปได้มั้ยล่ะ?"

เกือบจะโดนกระดานพลาสติกฟาดเอา ดีที่เอี้ยวหัวลบทันเสียก่อน แต่การหลบไม่ใช่การยอมอ่อนข้อทำตามที่ชินบอกหรอกนะ ในเมื่อผมอุตส่าห์บึ่งจากหอมาแต่เช้าเพื่อมาหาคนที่กล้าผิดคำพูดว่าจะมาด้วยกันถึงห้องแลปของเขาแล้วทั้งที

"คนเราก็นะ เมื่อคืนก็สัญญาไว้ดิบดีว่าจะมาด้วยกัน แต่เล่นหนีมาค้างนี่พอมาหาก็ไล่กันอีก แฟนกันเขาทำกันแบบนี้เหรอวะ"

"ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย..."

"ก็แค่ตอนนี้ป่ะล่ะ"

ยักคิ้วตามสไตล์ให้เขา แล้วดูนะ จะโกรธหรือจะเขินก็เลือกไม่ถูกชินเลยได้แค่กำแฟ้มทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจแต่ผิวแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแล้ว

ยื่นมือไปจับปลายกระดานของเด็กเกษตรคนเก่งแล้วกระตุกเบาๆ เจ้าตัวก็กำแน่นไม่ยอมปล่อยท่าเดียวแถมไม่ยอมขยับมาอย่างที่ใจต้องการด้วย เลยต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เหวี่ยงขาตัวเองล็อกขาของอีกคนแล้วกระตุกให้เข้ามาหาตัวเสียเลย

"หมอก! เล่นบ้าอะไรเนี่ย!?"

เน้นๆ เลย ฝ่ามือเน้นๆ ที่ฟาดเข้ากลางหลัง เดี๋ยวนี้เขินแล้วชอบลงไม้ลงมือ แต่แค่นี้ไม่ก่อให้เกิดร่องรอยบนผิวหนังของผมหรอก และในเมื่อรางวัลจากความพยายามเล่นบ้าๆ เป็นคนตัวนิ่มในอ้อมกอดที่กำลังหน้าแดงหูแดงอยู่นี่ นับว่าลงทุนคุ้มค่าสุดๆ

"สัญญาก่อนว่าคราวหลังจะมาพร้อมกัน"

"อะไรล่ะ ไม่ได้เรียนตรงกันทุกวันสักหน่อย เราต้องมาแล็ปทุกเช้าด้วย"

"เออหน่า จะมานั่งเฝ้า"

เลิกคิ้วมองหน้าคนในอ้อมกอดเพื่อกระตุ้นให้ตอบคำถาม อดใจไม่ไหวดึงจมูกรั้นของคนดื้อดึงไปด้วยหนึ่งที

"ว่าไง?"

"ไม่สัญญาได้มั้ย?"

"จะมาเรียนพร้อมกันหรือจะโดนจูบตอนนี้ เลือกเอา"

ชินทำหน้าที่ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่ากำลังโดนด่าอยู่ในใจ เห็นเงียบๆ เรียบร้อยแบบนี้บทจะส่งคำด่าทีขนาดพ่อของลูกทั้งฟาร์มแบบผมก็ตั้งรับไม่ทัน ที่รู้เพราะเคยมีประสบการณ์ด้วยตัวเองมาแล้วทั้งนั้น

"...สัญญาว่าจะมาด้วยก็ได้"

"เด็กดี"

ถึงจะยังทำหน้ามุ่ยใส่กันอยู่บ้าง แต่การที่เขายอมให้ขนาดนี้ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วล่ะมั้ง





อ่า... แกล้งเนียนใส่(ว่าที่)แฟนได้นี่มันมีความสุขจริงๆ

คุณเห็นด้วยกับผมไหมล่ะ? :)





-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ กลับมากับคู่หมอกชินอีกครั้ง คู่นี้แต่งสนุกมากเพราะเน้นการโต้เถียงเยอะหน่อย คนนึงก็กวน คนนึงก็ดูนิ่งๆ แต่ความจริงเกรียนเบาๆ ไปแพ้กัน เป็นอีกคาร์ที่เราชอบมากเลยค่ะ

ตอนนี้ก็จบไปอีกคู่แล้ว เหลืออีกแค่สองคู่เท่านั้นนิยายเรื่องนี้ก็จะจบแล้วะค่ะ ใจหายอยู่เหมือนกันนะเนี่ย...

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ แล้วเรามาเคาท์ดาวน์ไปด้วยกันนะคะ

ปล. ตอนหน้าใครเคยขอคาร์อะไรไว้เราจะเข็นมาเสิร์ฟให้ในแบบฉบับของเราค่ะ

แล้วเจอกัน :)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ TaemyG

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ zabzebra

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1043
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-1
เยยยย้ ดีใจมากๆค่า ที่กลับมาต่อแล้ววว ฮืมมมม

ออฟไลน์ Pittabird

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
น่ารักจัง หมอกมือไม้ไวจริงๆ ชินน่ารัก

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ความเนียนของหมอก

รักใครก็แกล้งเค้าเนี่ยนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
หมอก จีบ เข้าหาชินรวดเร็วมาก
ชิน ก็รู้ตัวว่าหมอกเนียนเข้าหาแบบไม่เนียน
แต่ชิน ก็หวั่นไหวแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ เมียงู

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบคู่นี้ หมอกชิน  :katai2-1:

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[17]






คุณเชื่อเรื่องความบังเอิญไหมครับ?

หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง เราอาจเจอเหตุการณ์ที่ต่างกันไปกับวันก่อนๆ เป็นสิบเรื่อง หนึ่งในสิบเรื่องนั้นอาจจะมีความบังเอิญสอดแทรกเข้ามาให้ได้ประทับใจเล่นจนบางคนเรียกมันว่าความโชคดี

ช่วงนี้ผมเจอเรื่องบังเอิญแบบนั้นอยู่บ่อยครั้งจนน่าประหลาดใจ

 





"แซน ส่งรูปติดบัตรนักศึกษาเทอมนี้ยัง?"

คำถามจากปากเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของกำหนดการเปลี่ยนบัตรนิสิตในรอบปีแล้ว และมันจะไม่น่าตื่นเต้นเลยหากผมยื่นเรื่องกับกองกิจการนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ยังไม่เริ่มทำอะไรเลยแบบนี้

"...ยังไม่ทำแม้แต่ถ่ายรูปเลย"

เพื่อนคนดีส่งสายตาประมาณ กูว่าแล้วว่าต้องตอบแบบนี้ มาให้ ไม่แปลกหรอกที่จะเห็นสีหน้าแบบนี้ใส่ในเมื่อโดนมาหลายครั้งหลายคราจนไม่รู้ว่าจะต้องตื่นเต้นตกใจกับเหตุการณ์เช่นนี้ทำไม

"...วันนี้เขามีซุ้มถ่ายรูปเปิดที่คณะข้างๆ ให้ไวเลย ไม่งั้นโดนปรับเราไม่ช่วยนะ"

"เขาจะถ่ายให้เด็กคณะอื่นด้วยเหรอ"

"ไม่ลองก็ไม่รู้ ไปอ้อนๆ เขาหน่อยก็คงได้ ไปเร็ว!"

เพราะโดนเพื่อนรักดันหลังอย่างแรงจนคิดว่ามันคงจะใส่ความหมั่นไส้และเหนื่อยใจมาให้เต็มๆ ผมจึงต้องยอมละมือจากผืนผ้าใบตรงหน้า ทิ้งพู่กันสีน้ำมันไว้แล้วเดินออกจากห้องกิจกรรมด้วยความไม่สมัครใจเท่าไหร่ ตึกศิลป์ที่เป็นแหล่งกลบดานประจำถูกทิ้งไว้ข้างหลังเมื่อผมสาวเท้าเดินไปตามฟุตปาทที่ถูกทาสีขาวแดงกันไม่ให้นักศึกษามาจอดรถฟรีกันเพื่อตรงไปยังตึกคณะข้างๆ ที่ไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เดินเข้าไปด้วยไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ลานกว้างหน้าตึกคณะเพื่อนบ้านเป็นสถานที่แรกที่ผมมองหาซุ้มถ่ายภาพที่ได้รับการบอกกล่าวมา ในหัวคิดถึงแต่ว่าควรจะหาข้ออ้างยังไงให้มีเหตุผลพอสำหรับการบุกมาเช่นนี้ ทว่าแม้จะมองหาแค่ไหนก็ไม่เจอสักส่วนที่ใกล้เคียงคำว่าซุ้มถ่ายรูปที่ว่ามา เลยได้แต่ยืนด้อมๆ มองๆ ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี

“ตามหาใครอยู่หรือเปล่า?”

เสียงทุ้มห้าวทักจากทางด้านหลังเล่นเอาเกือบสะดุ้ง ผมหันกลับไปสบตากับเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดหมีที่กำลังแบกอุปกรณ์อะไรสักอย่างเอาไว้ในมือด้วย

“เรา... เรามาหาซุ้มถ่ายรูปติดบัตรนักศึกษา”

“คณะประมงนะ”

“ครับ?”

“วันนี้เขาให้ถ่ายรูปเฉพาะคณะประมง ตามประกาศของมหาวิทยาลัยไง”

เจอคำพูดจังๆ เข้าไปแบบนี้ก็ไม่รู้จะสานต่อยังไงดี คำพูดที่คิดเอาไว้ในหัวมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง ทำได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆ มองคนที่ทำหน้านิ่งตอบกลับมาเช่นกัน คล้ายบรรยากาศรอบข้างเงียบกริบลงฉับพลันในช่วงเวลานั้น

“...ตามมาแล้วกัน”

“...?”

“อยากถ่ายรูปก็ตามมา เดี๋ยวจัดการให้”

ไม่ว่าเปล่า คนตัวสูงหมุนตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามแล้วออกตัวอย่างรวดเร็วจนต้องรีบก้าวเท้าตามไปด้วย ไม่รู้หรอกว่าที่จะจัดการให้นั้นหมายถึงอะไร แต่ในเมื่อมีโอกาสจะได้ทำเรื่องที่ตั้งใจไว้ให้เสร็จๆ ไปแล้วไม่คว้าเอาไว้เห็นทีผมอาจจะถูกเพื่อนด่าว่าโง่เอาถ้ากลับไปเล่าให้ฟัง

จากที่คิดไว้ว่าซุ้มถ่ายรูปจะต้องใหญ่อลังการเห็นชัดแถมต้องตั้งอยู่กลางลาน ผมก็ได้รู้ว่าซุ้มถ่ายรูปที่เพื่อนหมายถึงคงจะเป็นการเข้าใจผิด แทนที่จะเรียกว่าซุ้ม ควรจะเรียกว่าห้องห้องหนึ่งมากกว่า แถมยังไม่ทันได้เข้าไปก็รู้ว่าภายในน่าจะมีคนอยู่เยอะเชียว

“ไบร์ททำอะไรอยู่วะ? คนเขารอเอ็งอยู่คนเดียวเนี่ย” ทันทีที่เปิดประตูผู้ชายตัวสูงอีกคนก็พุ่งเข้ามาหา ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าผมติดสอยห้อยตามเพื่อนตัวเองมาด้วย “ แล้วนี่?”

“เพื่อน วันนั้นเขาไม่มาตอนที่คณะมีถ่าย เดี๋ยวจัดการเอง”

แม้คนฟังจะยังมีสีหน้าสงสัยอยู่บ้างแต่เขาก็ยอมพยักหน้าและหลบทางให้ผมเดินตามคนชื่อไบร์ทเข้าไปด้วย

คำถามว่าใครจะเป็นตากล้องในครั้งนี้ถูกปัดตกไป เมื่อคนที่เสนอตัวช่วยเริ่มลงมือประกอบอุปกรณ์ที่ตนหอบมากับกล้องที่ถูกเตรียมเอาไว้แล้ว อยากจะเข้าไปช่วยแต่ตัวเองก็ไม่มีความรู้เลยได้แต่ยืนมองอยู่ข้างๆ จนอีกคนเงยหน้ามามองแล้วกวักมือเรียกนั่นแหละถึงได้เริ่มขยับตัวทำอะไรกับเขาบ้าง

“จะถ่ายเด็กในคณะให้หมดก่อน แล้วเราเป็นคนสุดท้าย ระหว่างนี้ช่วยเช็คชื่อคนที่ถ่ายรูปไปแล้วกัน”

เพราะเชื่อว่าได้รับการช่วยเหลือแล้วก็ต้องตอบแทน พอเขาไหว้วานให้ทำอะไรก็รีบตอบรับทันที ในมือผมจึงมีกระดาษรายชื่อกับปากกาที่ได้รับมาพร้อมทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่เมื่อเขาเริ่มเรียกคนในคณะเรียงตามชั้นปี

รวมเวลากว่าชั่วโมงที่ผมทำหน้าที่เช็คชื่อให้เด็กคณะเพื่อนบ้านแทนที่จะถือพู่กันวาดภาพอย่างที่ควรจะเป็น จนกระทั่งในที่สุดก็เหลือแค่ชื่อคนสุดท้ายที่ไม่เดินเข้ามาตามที่ประกาศเรียกชื่อไว้

“เราว่ามีคนนึงไม่มา”

“หือ? เขียนไว้ว่าชื่ออะไร”

“ปฐพี ชั้นปีสี่”

“อ๋อ เดี๋ยวถ่ายให้หน่อยแล้วกัน”

 คนตัวสูงผละจากหลังขาตั้งกล้อง เริ่มถอดชุดหมีของตัวเองออกจนเผยให้เห็นชุดนักศึกษาเหมือนที่ผมใส่เด๊ะๆ อยู่ข้างใน ยอมรับว่าตกใจอยู่บ้างที่เขาเองก็เองก็เรียนคณะนี้ เพราะเข้าใจมาตลอดว่าอาจจะเป็นเด็กคณะนิเทศที่รับหน้าที่ถ่ายรูปให้มหาวิทยาลัยอะไรทำนองนั้น เพราะท่าทางคล่องแคล่วในการใช้กล้องดูเชี่ยวชาญไม่ใช่น้อย

  ผมกดถ่ายภาพตามที่เขาบอกแล้วจึงสลับตำแหน่งไปยืนให้ตัวเองโดนถ่ายรูปบ้าง เผลอเกร็งตัวอยู่เหมือนกันเพราะปกติเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว ต้องขอบคุณเขาที่ช่วยให้มันง่ายขึ้นด้วยการถ่ายแบบรอบเดียวเสร็จไปเลย เวลากว่าชั่วโมงที่รอจึงจบลงภายในเวลาไม่ถึงห้านาที

“อย่าลืมเขียนชื่อไว้ เดี๋ยวกองกิจการจะเอาไปให้ไม่ถูก”

“ครับ ขอบคุณมากนะ ไม่งั้นเราต้องลำบากแน่เลย”

“คราวหลังอย่าลืมเช็คตารางดีๆ”

มือใหญ่วางลงมาที่หัวแล้วโยกไปมาเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เขาคงจะเข้าใจผิดว่าผมอายุน้อยกว่าแทนที่จะอยู่ระดับชั้นปีเดียวกัน หากว่ากันจริงๆ เขาน่าจะดูเป็นพี่ของทุกคนเมื่อเทียบร่างกายสูงใหญ่กับคนวัยเดียวกัน

ผมเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะขอตัวกลับคณะของตัวเองด้วยความสบายใจที่ทำภารกิจเสร็จสิ้น อดเสียดายอยู่ลึกๆ ที่หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสได้เจอคนใจดีของคณะเพื่อนบ้านแล้ว  หากก็มาดหมายใจไว้ว่าจะซาบซึ้งบุญคุณของเขาไปตลอดแน่นอน

ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้นเหตุบังเอิญก็เกิดขึ้นกับผมจนได้








"สีหมด"

"หืม?"

"หืมอะไรล่ะแซน สีหมดไง สีเราหมด~"

เพื่อนตัวดีเริ่มส่งเสียงงอแงพร้อมยื่นหลอดสีน้ำที่เจ้าตัวกำลังถืออยู่ให้ดู มันก็สมควรจะหมดได้แล้วล่ะในเมื่อถูกบีบเสียจนหลอดแห้งแบนขนาดนั้น ใช่ว่าผมจะไม่เคยใช้จนแห้งขนาดนี้ แต่คนเราหากรู้ว่ามันจะหมดก็ควรซื้อเตรียมเอาไว้ก่อนไม่ใช่งอแงใส่เพื่อนเวลามันหมดหรอกหรือ?

"ก็ไปซื้อสิบีม จะมางอแงใส่เราทำไม"

"ก็เราขี้เกียจอ่า... ไปซื้อให้เราหน่อยสิ"

ไม่ใช่ว่าเดาไม่ถูกนะว่าประโยคต่อมาคืออะไร ถ้านับว่านี่เป็นสลากกินแบ่งงวดต้นเดือนล่ะก็ผมต้องถูกรางวัลไม่ต่ำกว่าสิบแปดล้านแน่นอน

หันมองงานตัวเองที่ปาดสีไปได้กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์กับงานของเพื่อนที่ยังหยุดอยู่ที่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นแล้วได้แต่พยักหน้าแกรนๆ กลับไป ไม่ลืมย้ำให้ทำงานต่อไปในระหว่างที่ไม่อยู่ด้วย บีมเป็นคนชอบอู้ ทำงานช้ากว่าเพื่อนๆ ร่วมคณะคนอื่น แถมผลงานที่เจ้าตัวทำยังเน้นสีสันสดใสเหมือนสิสัยของเจ้าตัวด้วยเลยทำให้ผมค่อนข้างเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยว่ารอบนี้ก็ต้องหามรุ่งหามค่ำลงสีแถมเป่าแห้งก่อนเดดไลน์ที่อาจารย์ให้ไว้คืนนึงเช่นปกติ

รายชื่อสีที่เจ้าตัวต้องใช้ถูกจดลงบนเศษกระดาษปอนด์มาพร้อมแบงค์สีเทา อดไม่ไหวต้องย้ำเสียงเข้มใส่อีกครั้งก่อนเดินออกมาจากห้องเมื่อเห็นบีมทำท่าเหมือนจะลงไปนอนกับพื้นแทนที่จะทำงานต่อ







 

จุดหมายปลายทางของเด็กจิตรกรรมที่กำลังหาซื้อสีอย่างไรเสียก็ต้องไปหยุดที่ร้านเครื่องเขียนหลังมหาวิทยาลัยที่ไม่รู้ว่าใครริเริ่มมาเปิดสาขาไว้เป็นคนแรก แต่เรื่องที่แน่นอนคือหากไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างน้ำท่วม ไต้ฝุ่นเข้า ร้านก็จะไม่มีวันปิด แถมของยังพร้อมขายให้นักศึกษาด้วยราคาที่ไม่รู้ว่ากำไรจะมีหรือเปล่า

"รบกวนจัดของตามรายการให้ด้วยนะครับ"

ฝากฝังไว้เรียบร้อยก็เดินเล่นรอในร้านเครื่องเขียนเล็กๆ นั้น ผมชอบเดินเลือกอุปกรณ์จากร้านเครื่องเขียนเช่นนี้มากกว่าเดินตามห้างร้านมากนัก เพราะสามารถเลือกของได้สะดวก แถมยังเพลินเสียจนไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดังเมื่อมีคนเข้ามา

"พู่กันออกใหม่น่าใช้แหะ..."

งึมงำกับตัวเองขณะมองพู่กันหัวทู่ในมือ อยากจะได้อันใหม่นะ แต่ที่มีอยู่ล้างให้สะอาดก็ยังใช้ได้อยู่เลย...

"อ้าว ตัวเล็ก"

แต่ถ้าซื้อไปก็จะมีสำรองตอนจำเป็นนะ จะได้ไม่ต้องหยุดงานกลางคันด้วย แบบนั้นเสียสมาธิแย่เลย งานแคนวาสตัวใหม่ก็คิดได้แล้วด้วย...

"ตัวเล็ก... แซน"

"หืม?"

เพราะได้ยินชื่อตัวเองเลยยอมเงยหน้าจากพู่กันในมือไปมองคนเรียก ก่อนจะยิ้มให้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายตัวโตในชุดหมีที่เคยช่วยผมเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน

"มาทำอะไร?"

"เรามาซื้อสี อืม... ไบร์ทล่ะ?"

"มาซื้ออุปกรณ์ไปทำบ่อปลา"

ได้ยินแบบนั้นผมก็สนใจไม่น้อย เลยแอบชะเง้อชะแง้มองของที่อยู่ในตระกร้าอีกฝ่าย ไม่เคยรู้เลยว่าเด็กคณะประมงเขาเรียนอะไรทำอะไรกันบ้าง แต่พอถึงงานประจำปีจะเห็นพวกเขาตั้งซุ้มอาหารทะเลกับเปิดให้ความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเสมอ

"จริงสิ นี่ เพิ่งได้มาเมื่อเช้า"

ไบร์ทว่าพร้อมส่งซองซิปที่หยิบจากกระเป๋าบริเวณอกเสื้อให้ผม พอพลิกดูถึงได้รู้ว่าเป็นรูปที่ไปเนียนถ่ายที่คณะของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน

"ขอบคุณครับ นึกว่ากองการจะเอามาให้เองซะอีก"

"...บังเอิญผ่านไปแถวนั้นเขาเลยฝากมา ดีนะที่เจอพอดี ไม่งั้นคงต้องเอาไปให้ที่คณะ"

"คณะเราหาไม่ยากนะ อยู่ข้างๆ คณะประมง เพื่อนบ้านกัน"

"รู้แล้วล่ะ แล้วนี่จะกลับเลยมั้ย?"

"อือ"

จังหวะที่ตอบรับไปนั้นพนักงานที่ฝากฝังให้จัดของให้ก็เอ่ยเรียกคิวของผมพอดีจึงได้เดินไปชำระเงินพร้อมกับคนตัวสูงข้างๆ กัน

"รออยู่นี่ เดี๋ยวไปส่ง"

"เราเกรงใจ..."

"รอนี่"

เพราะคำยืนยันจากคนตัวสูงที่มองมาด้วยสายตานิ่งเรียบผมจึงทำได้แค่พยักหน้าพร้อมรับถุงในมือของเขามาถือเอาไว้รวมกับของๆ ตัวเอง รับหน้าที่เป็นคนถือของในขณะที่เจ้าของเวสป้าช่วยขับมาส่งให้ถึงหน้าตึก

"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"

"ไม่เป็นไร บังเอิญเจอทั้งที"

บรรยากาศรอบข้างเงียบลงอีกครั้ง คล้ายกับวันที่ได้เจอกับเขาครั้งแรก ไบร์ทมองหน้าผม ผมสบตาเขาแล้วนิ่งไม่พูดอะไรทั้งคู่อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนคนตัวโตกว่าจะหยิบหมวกกันน็อกที่ได้รับคืนไปขึ้นสวมให้เข้าที่

“งั้นก็... ไว้เจอกัน”

“ครับ ไว้เจอกัน”

คนตัวโตขับรถออกไปแล้ว ผมมองส่งเขาจนแน่ใจแล้วว่ารถเวสป้าที่โดยสารมาหายไปทางตึกคณะถึงเดินฮัมเพลงกลับเข้าตึกตัวเองบ้าง ท่าทางคงดูมีความสุขจนเพื่อนต้องถามว่าไปเจออะไรมาบ้าง แต่ผมก็ไม่เล่าอะไรนอกเหนือไปกว่าบังเอิญเจอเพื่อนแล้วเขาอุตส่าห์มาส่งให้เท่านั้น









 

"สวัสดี"

"อ้าว สวัสดีไบรท์"

พยายามโบกมือทักทายขณะที่อุ้มผืนผ้าใบเข้าห้องประชุมด้วย แต่ก็หวิดจะทำตกจนคนทักต้องเดินเข้ามาช่วยถือ

"งานลงนิทรรศการนี้ด้วย?"

"ครับ คณะประมงก็มีงานเหรอ?"

"เปล่า อาจารย์ที่รู้จักเขาวานให้มาช่วยเฉยๆ"

ก็ว่าอยู่เพราะปกตินิทรรศการช่วงกลางปีแบบนี้จะไม่แทรกงานของคณะอื่นมาโชว์ด้วย

เนื่องจากนักศึกษาชั้นปีสี่ของคณะจิตรกรรมและภาพพิมพ์ที่ผมศึกษาอยู่จะต้องออกนิทรรศการร่วมกันทุกปี แน่นอนว่านักศึกษาชั้นปีสี่แบบผมและบีมต้องเข้าร่วมด้วย ทุกคนต่างขุดฝีไม้ลายมือมาลงในงานของตัวเองเต็มที่ เพราะผลงานที่นำมาจัดนี้อาจจะเป็นตัวปูทางไปสู่อาชีพในอนาคตได้

สุดท้ายแล้วช่วงเช้าทั้งหมดของผมก็ถูกใช้ไปกับการช่วยทุกคนจัดของ แม้จะมีบีมมาก่อกวนถามเรื่องเพื่อนต่างคณะให้ต้องส่งสายตาเรียบเฉยใส่อยู่เป็นระยะ แต่นับว่างานที่ออกมาก็สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่มันควรจะเป็นแล้ว

"ไม่รู้เรื่องศิลปะหรอกนะ แต่รูปนี้เท่ดี ดูแล้วเหมือนมีพลังงานพุ่งออกมา"

คำชมจากเจ้าของร่างสูงข้างตัวทำให้ผมต้องลอบยิ้มออกมา ทุกคนคงจะเข้าใจความรู้สึกเวลาที่เราพยายามทำอะไรสักอย่างออกมาให้มันดีที่สุดแล้วมีคนเห็นความพยายามนั้น แม้จะแค่เล็กน้อย แต่สิ่งเล็กน้อยนั่นแหละที่ผมมักจะมองหาและใช้มันเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไป ยิ่งกับคนที่ออกตัวแล้วว่าไม่มีความรู้เชิงลึกในเรื่องภาพวาด แต่กลับรู้ถึงสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อออกมาได้มันยิ่งทำให้มีกำลังใจมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวจนต้องพูดขอบคุณเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่มักจะได้ไบร์ทช่วยอยู่เสมอ

“เสร็จนี่แล้วว่างไหม?”

“?”

“บังเอิญได้นี่มาจากเพื่อน สองใบพอดี” ตั๋วภาพยนต์สองใบถูกยื่นให้ รอบดีแถมหนังยังเป็นเรื่องที่กระแสตอบรับดีจนมีแต่คนเชิญชวนให้ไปชมเสียอีก “ถ้าว่างไปกัน”

“...อือ เราว่าง”

“งั้นสามโมงเจอกันหน้าหอศิลป์”

พยักหน้าตอบรับก่อนจะโบกมือให้เมื่ออีกฝ่ายถูกอาจาร์ยประจำภาคผมเรียกไปยกของต่อ ก้มมองตั๋วภาพยนต์ในมืออีกครั้งก่อนมุมปากจะยกขึ้นอัตโนมัติ ครึ่งบ่ายนั้นผมคงจะแสดงออกมากไปหน่อยเลยถูกบีมกวนประสาทด้วยการมาวอแวใกล้ๆ แล้วถามหาสาเหตุของรอยยิ้มและเสียงฮัมเพลงของผมตลอดจนกระทั่งจบงาน

 









“หนังสนุกดี”

“อือ เราชอบนักแสดงนำอยู่แล้วด้วย ลองไปหาเรื่องเก่าๆ ของเขาดูนะ แล้วจะติดใจ”

“ชอบหนังแนวแอคชั่นสิงั้น?”

“ความจริงชอบแอคชั่น-แฟนตาซี เหมือนดูสองแนวในเรื่องเดียว”

บางคนมักจะจับหนังแฟนตาซีกับหนังแอคชั่นแยกออกจากกัน แต่ในความคิดของผม ความแฟนตาซีกับความแอคชั่นมีส่วนคล้ายกันอยู่หลายอย่าง และหากเราจับจุดได้ดี การจะจับหนังสองหมวดมารวมกันในเรื่องเดียวให้สนุกได้นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ดูอย่างค่ายหนังยักษ์ใหญ่ที่มีผลงานต่อเนื่องออกมาหลากหลายภาคและจั่วหัวว่าเป็นแอคชั่น-แฟนตาซีพวกนั้นสิ เขาทำได้ดีจนผมต้องสมัครตัวขอเป็นแฟนคลับแบบลับๆ ด้วย

“คราวหลังจะพาไปดูการ์ตูน”

“...เราว่ามันไกลจากที่พูดไปโขเลยนะ”

เราสบตากันเมื่อจบประโยค ก่อนที่จะหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาพร้อมกัน เส้นขำขันของเราทั้งคู่อาจจะลึกกว่าชาวบ้าน แต่พอเวลาจูนกันติดแล้วความสนุกก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมเรียนรู้ในระยะหลังมานี้

“จะกลับหอเลยหรือว่าจะกลับไปงานนิทรรศการก่อน?”

“เรากลับหอเลย”

“ถ้างั้นกลับด้วยกัน ต้องไปแถวนั้นพอดี”

“บังเอิญมีธุระแถวหอเราเหรอ?”

“...อืม”

ช่วงหลังมานี้ผมกับเขามักจะบังเอิญเจอกันบ่อยๆ ตามโรงอาหารในมหาวิทยาลัย ร้านขายเครื่องเขียน บางครั้งก็ไปโผล่ที่สาธารณะแถวหอที่ผมชอบไปนั่งจับเจ่าดูอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำงาน พอได้เจอบ่อยเข้าก็ได้ทักทายกันมากขึ้น ไบร์ทเป็นคนนิ่งที่มีเสน่ห์ตามแบบฉบับของตัวเองจนผมอยากจะขอสเก็ตรูปเขาอยู่หากเจ้าตัวไม่รังเกียจ และแม้หน้าตาเขาจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์เท่าไหร่ หากคำพูดแต่ละคำนั้นชัดเจนและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาจนผมรู้สึกสนิทใจกับคนจากต่างคณะคนนี้อยู่มากทีเดียว

แต่บางครั้งผมก็คิดว่าการเจอกันในแต่ละครั้งของเรามันค่อนข้างจะ บังเอิญ มากไปหน่อย

“แล้วบังเอิญว่าเพื่อนที่ให้ตั๋วมาชื่อเดียวกับไบร์ทด้วยหรือเปล่า?”

“.....”

“พอดีเราเห็นว่าคนซื้อชื่อปฐพีเหมือนกัน ตั๋วฮันนีมูนเชียวนะ...”

ไบรท์หยิบตั๋วที่เก็บเข้ากระเป๋ากางเกงไปแล้วขึ้นมาดู ก่อนจะถอนหายใจแล้วบ่นเบาๆ กับตัวเอง ดูท่าทางว่าเขาคงจะไม่ได้ตรวจบัตรให้ละเอียดก่อนที่จะเอามาให้ผม ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะหาวิธีลบชื่อคนซื้อทิ้งไปก่อนและผมอาจจะยังไม่ทันเอะใจจนจับว่าเขาโป๊ะแตกได้

อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผมช้าไป หรืออาจจะเป็นเพราะเชื่อคนง่ายไปถึงได้ไม่เอะใจมาก่อนหน้านี้

“ก็บังเอิญอยู่...”

“บังเอิญว่าเพื่อนชื่อเหมือนกัน?”

“บังเอิญว่าชอบไปแล้ว ขอจีบได้ไหม?”

อย่างที่บอกไปว่าเพื่อนต่างคณะคนนี้เป็นคนที่แสดงออกทางคำพูดได้ตรงไปตรงมา แต่บางครั้งการตรงไปตรงมาของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกเดือดร้อนอยู่เหมือนกัน

...ร้อนไปหมดแล้วหน้าเน่อ ยังดีหน่อยที่เก็บอาการอยู่ ไม่อย่างนั้นต้องทำตัวไม่ถูกไปมากกว่านี้แน่เลย

“...อือ”

“อือคือ?”

“ก็... บังเอิญว่ารู้สึกดีด้วยไปแล้ว เราจะให้จีบก็แล้วกัน”



ในเมื่อบังเอิญมาบังเอิญไปแล้วมันส่งผลให้เกิดอะไรดีๆ จะยอมให้เกิดเรื่องบังเอิญต่อไปอีกหน่อยก็น่าจะเข้าทีอยู่เหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ?     





-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ! เรากลับมาแล้ว มาพร้อมคู่ใหม่สำหรับตอนนี้ เป็นคู่ที่... จะว่ายังไงดี นิ่งๆ อึนๆ เนียนกว่าคู่ก่อนอีกมั้ง ช่วงนี้เริ่มคิดว่าตัวเองชอบคนไทป์ไหนกันนะ ทำไมมันกถึงได้ดูล่องลอยขนาดนี้ 555555555555555555

ตอนนี้กำลังตั้งใจว่าจะเคลียร์นิยายให้จบภายในเดือนนี้ค่ะ เนื่องจากเหลืออีกไม่กี่ตอนเท่านั้น เราอยากให้เขาออกมาสมบูรณ์ในช่วงที่เรายังมีเวลาว่างพอสมควร เพราะหลังจากนี้คือการทำงานสิ้นปีอันแสนหฤโหดค่ะ... :z3: :z3: :z3:

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณทุกคอนเม้นและกำลังใจดีๆ รวมไปถึงข้อติเตียนที่ทำให้เรามีแรงฮึ้ดในการปรับปรุงตัวเองค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ เลิฟ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ชอบความบังเอิญญญญญญ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ m.starlight

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ความบังเอิญนี้ทำเอาเขินเลย  :-[

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
บังเอิญจริงๆ น๊า ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wichiwiwie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบทุกคู่เลยย รอตอนต่อไปน้าาา :)

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[18]






คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมครับ?

เคยได้ยินหลายคนพูดถึงคำจำกัดความของคำๆ นี้ในรูปแบบต่างๆ กันไป บ้างก็ว่าเป็นความมหัศจรรย์ของการพบเจอ ความพอดีกันของคนสองคน บ้างก็ว่าการพบเจอกันครั้งแรกเรียกความบังเอิญ แต่เมื่อความยังเอิญเริ่มแสดงความถี่มากขึ้นก็จะเรียกว่าพรหมลิขิต

ถ้าอย่างนั้นผมของความพยายามคงนับรวมเป็นสับเซ็ตของคำว่าพรหมลิขิตได้เหมือนกัน

 



ความบังเอิญแรกที่เกิดขึ้นจริงแล้วทำให้เจอกับเขาคือตอนที่อาสาเป็นช่างภาพจำเป็นให้กับทางคณะ ด้วยชอบถ่ายรูปเป็นงานอดิเรก และนักศึกษาชั้นปีสี่ที่เก็บหน่วยกิจครบตั้งแต่สามปีครึ่งก็ไม่มีอะไรให้ทำมากกว่าเตรียมตัวส่งผลงานวิจัยที่เลือกไว้เพื่อต่อยอดให้หน้าที่การงานในอนาคตเท่านั้น

เพราะต้องใช้ห้องเรียนใหญ่ที่อยู่ไกลจากอาคารจอดรถเล็กน้อย จึงต้องแบกขากล้องและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ลงจากเวสป้าคันเก่งแล้วเดินลัดสนามประจำตึกคณะด้วยตัวเอง ตอนนั้นแหละที่ได้เจอคนตัวเล็กกำลังยืนด้อมๆ มองๆ เหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างอยู่ เพราะท่าทางเหมือนต้องการความช่วยเหลือนั้นสะกิดใจ คนไม่ค่อยยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างผมจึงต้องส่งเสียงทักออกไปเพื่อเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ

"ตามหาใครอยู่หรือเปล่า?"

คนถูกถามหันใบหน้านิ่งเรียบกลับมาหา ตากลมโตรับกับสันจมูกยาวนั้นเบิกกว้างพอให้รู้ว่าเจ้าของกำลังตกใจ ก่อนเขาจะเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มตอบกลับมา

"เรา... เรามาหาซุ้มถ่ายรูปติดบัตรนักศึกษา"

ซุ้มงั้นเหรอ? แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นคนของคณะอื่นที่ตั้งใจจะมาเนียนถ่ายรูปในวันของคณะประมงเป็นแน่

"คณะประมงนะ"

"ครับ?"

"วันนี้เขาให้ถ่ายเฉพาะคณะประมง ตามประกาศของมหาวิทยาลัยไง"

ได้ความเงียบตอบกลับมาก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เขาสบตาผมโดยไม่พูดอะไร กระพริบตาปริบๆ อยู่สองสามที จนในที่สุดก็เป็นตัวเองนี่แหละที่ยอมใจอ่อน

"...ตามมาแล้วกัน"

"...?"

"อยากถ่ายรูปก็ตามมา เดี๋ยวจัดการให้"

หันตัวกลับไปยังทางที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกแล้วเอ่ยเรียกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ให้ตามมา ได้ยินเสียงก้าวเท้าเร็วๆ ตามมาด้วยแต่ไม่คิดจะลดฝีเท้าลงแต่อย่างใด คิดภาพคนตัวเล็กเดินสาวเท้าตามผู้ชายที่สูงกว่าระดับคนทั่วไปแล้วก็เผลออมยิ้ม คงจะเหมือนลูกเป็ดเดินตามแม่แบบที่เห็นในคลิปวีดีโอล่ะมั้ง

ใช้ความเนียนและนิ่งของตัวเองช่วยเขาไปเล็กน้อยเพราะเพื่อนร่วมคณะทำท่าสงสัย แต่สุดท้ายเป้าหมายที่เขามาก็เสร็จสมบูรณ์ดี ไม่ลืมเตือนให้เขาเขียนชื่อลงบนกระดาษเพิ่มเติมเพราะแน่นอนว่าไม่มีทางที่คนของคณะอื่นจะมามีรายชื่ออยู่บนกระดานของคณะประมงแน่

"ขอบคุณมากนะ ไม่งั้นเราต้องลำบากแน่เลย"

"คราวหลังอย่าลืมเช็คตารางดีๆ"

เผลอตัววางมือบนหัวกลมแล้วโยกไปมาเหมือนที่ทำกับพวกรุ่นน้องในคณะ แต่คนแปลกหน้าก็ดูไม่ถือสาอะไร ก่อนจะเอ่ยขอบคุณกันอีกรอบแล้วเดินตัวปลิวกลับคณะเพื่อนบ้านไป ปล่อยให้ผมทำหน้าที่ของตัวเองจนกระทั่งส่งงานให้กองกิจการนักศึกษา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าหลังจากนั้นตัวผมจะเริ่มติดใจในความบังเอิญที่มักจะเกิดขึ้นทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม






"รูปเสร็จแล้วนะ เอาไปแจกตามชั้นปีได้เลย"

"ขอบคุณครับ"

รับซองเอกสารที่มีรูปนักศึกษาใส่เอาไว้มาจากคนดูแลพร้อมเอ่ยขอบคุณไปตามมารยาทที่พึงมี เหลืออย่างสุดท้ายที่ต้องทำสำหรับงานนี้ และไม่ใช่งานยากเท่าไหร่ แค่หาเฮดของแต่ละห้องแล้วส่งต่อก็แค่นั้น งานที่เสนอตัวมาก็จะเสร็จสิ้นเสียที

"มีของคณะอื่นอีกคนนึง น่าจะเสร็จแล้วเหมือนกัน..."

"อ้อ พี่ใส่รวมไปกับของคณะเขาแล้ว หรือเราจะเอาไปให้เอง?"

ทั้งที่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเสนอตัวให้ตัวเองเดือดร้อนเลยก็ได้ แต่พอรู้ตัวอีกทีผมก็พลิกรูปเพื่อนต่างคณะคนนั้นไปมา ดูสลับกันไประหว่างรูปกับชื่อที่แปะอยู่บนหน้าซองซิปนั้น

ไอลวิน (แซน) ปี 4 คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์

ชื่อแปลกแต่ก็เพราะเหมาะกับเจ้าตัวอยู่ เก็บรูปของใครอีกคนใส่ในกระเป๋าแยกเอาไว้ กะไว้ว่าหลังจากที่เคลียร์ของคณะตัวเองเสร็จแล้วจะไปเยี่ยมเยียนคณะเพื่อนบ้านเสียหน่อย ไหนๆ ก็มีเวลาว่างอยู่แล้ว

แต่ใครจะไปรู้ว่าจะได้เจออีกฝ่ายก่อนถึงกำหนดเวลา






ร้านเครื่องเขียนหลังมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกที่สำหรับนักศึกษาไม่ว่าจะสาขาวิชาใดก็ตาม เพราะนอกจากจะมีเครื่องเขียนทั่วไปขายแล้ว ที่นี่ยังรับสินค้าสำหรับทำการเกษตรมาลงขายอีกด้วย น่าแปลกใจไหมล่ะว่าไปรับมาจากไหน ขนาดตาข่ายคลุมบ่อปลาที่ผมตามหาก็ยังมี สะดวกสบายยิ่งกว่ามาร์ทหน้ามหาวิทยาลัยเสียอีก

"อ้าว ตัวเล็ก"

เผลอเอ่ยเรียกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูพู่กันในมือบริเวณโซนขายอุปกรณ์วาดภาพด้วยท่าทางเคร่งเครียดเหมือนต้องตัดสินใจอะไรที่คอขาดบาดตายเอามากๆ แปลกใจกับจังหวะและความพอดีที่มาเจอเขาเอาในเวลานี้จนใช้คำสรรพนามที่เคยคิดเอาไว้ในใจแทนชื่อเขา

"ตัวเล็ก... แซน"

"หืม?"

คงเพราะได้ยินชื่อตัวเองถึงได้ยอมเงยหน้าจากพู่กันในมือหันมาหา ยังเป็นคนที่ทำหน้านิ่งๆ มึนๆ ได้ตลอดเลยจริงๆ แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเพราะเมื่อเห็นว่าคนที่เรียกเป็นใครเขาก็ส่งรอยยิ้มบางกลับมาให้

อ่า... รู้สึกเหมือนอะไรในอกมันกระตุกถึงจะไม่ออกหน้าให้เขารู้ก็เถอะ

"มาทำอะไร?"

"เรามาซื้อสี อืม... ไบร์ทล่ะ?"

"มาซื้ออุปกรณ์ไปทำบ่อปลา"

เห็นเขาชะเง้อคอมองตะกร้าในมือก็อยากเลยยื่นให้ดูเสียเลย พลันนึกขึ้นมาได้ว่ามีของที่ต้องคืนให้เจ้าของตัวจริงด้วย

"จริงสิ นี่ เพิ่งได้มาเมื่อเช้า"

ซองซิปในกระเป๋าเสื้อถูกยื่นคืนให้เขา แซนรับไปแล้วพลิกซ้ายพลิกขวาดูพร้อมพยักหน้าหงึกหงักให้ รู้สึกเหมือนเห็นตุ๊กตาหน้ารถที่ส่ายหัวไปมายังไงยังงั้น

"ขอบคุณครับ นึกว่ากองการจะเอามาให้เองซะอีก"

"...บังเอิญผ่านไปแถวนั้นเขาเลยฝากมา ดีนะที่เจอพอดี ไม่งั้นคงต้องเอาไปให้ที่คณะ"

"คณะเราหาไม่ยากนะ อยู่ข้างๆ คณะประมง เพื่อนบ้านกัน"

"รู้แล้วล่ะ แล้วนี่จะกลับเลยมั้ย?"

"อือ"

เสียงเรียกคิวของพนักงานดังขึ้นพร้อมๆ กันกับเสียงตอบของเขา เราเดินไปชำระเงินสิ่งของในมือด้วยกัน และเมื่อของทั้งหมดต่างอยู่ในมือเรียบร้อยแล้วก็คิดมาได้ว่าไหนๆ ก็ไปทางเดียวกัน ไม่ควรจะปล่อยให้เขาเสียเวลาเดินกลับเอง

"รออยู่นี่ เดี๋ยวไปส่ง"

"เราเกรงใจ..."

"รอนี่"

ส่งถุงในมือให้อีกฝ่ายถือไว้แล้วรีบไปเอาเวสป้าสุดที่รักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันเป็นเวลาหลายปี ค่อนข้างจะเป็นการขับขี่ที่ทุลักทุเลไปหน่อยเพราะไม่รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังจะร่วงลงไปเมื่อไหร่ เล่นนั่งเสียห่างขนาดนั้นเพื่อจะเอาของวางไว้ตรงกลางระหว่างพวกเราทั้งคู่ กว่าจะมาถึงก็กินเวลาอยู่ไม่น้อย

"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"

"ไม่เป็นไร บังเอิญเจอทั้งที"

ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง หมวกกันน็อกที่ได้คืนมาถูกหมุนอยู่สองสามครั้งในขณะที่เราสบตากัน ก่อนจะสวมมันคืนเข้าที่เดิมแล้วเอ่ยบอกลาอีกฝ่ายด้วยถึงเวลาที่ควรจะกลับคณะตัวเองเสียที

 “งั้นก็... ไว้เจอกัน”

“ครับ ไว้เจอกัน”

แม้จะขับออกมาห่างจากหน้าอาคารคณะจิตรกรรมแล้ว แต่สายตาก็ไม่วายเหลือบมองกระจกข้าง ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นภายในอกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนจากคณะเพื่อนบ้านยังยืนมองส่งจนกระทั่งผมขับเลี้ยวมาอีกทาง

รู้สึกอยากให้เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นบ่อยๆ หรือไม่อย่างนั้นก็จะทำให้มันเกิดขึ้นด้วยตัวเอง





“ตรงนี้มีคนนั่งไหมครับ?”

“ไม่มีครับ... อ้าว”

ผมส่งยิ้มให้คนที่ทำหน้ามึนขณะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หินฝั่งตรงข้ามพร้อมจานข้าวสองจานในมือ วันนี้เกิดอาการอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากโรงอาหารประจำคณะตัวเองเป็นคณะเพื่อนบ้านบ้าง ตอนฝ่าดงเด็กศิลป์เข้ามาก็หวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าจะเจอหรือเปล่า แต่พอมาด้อมๆ มองๆ แถวโต๊ะหินอ่อนด้านข้างตึกก็เจอแซนกำลังขะมักเขม้นกับงานของตัวเองอยู่

“ทำไมมาอยู่นี่ได้ล่ะ?”

จะให้บอกว่าแวะมาหาทั้งที่ไม่สนิทกันขนาดนั้นก็ดูจะแปลกไปเสียหน่อย เลยเลือกจะใช้ข้ออ้างอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วมาตอบแทน

“บังเอิญอาจารย์ให้มาช่วยยกของน่ะ เสร็จแล้วเลยหาอะไรกินเลย”

“ไบรท์กินคนเดียวสองจานเลยเหรอ? กินเยอะจัง”

เจอคำถามแบบนี้ก็ได้แต่เงียบ ตอนแรกตั้งใจจะซื้อมากินคนเดียว แต่ลอบมองคนที่นั่งทำงานแล้วเห็นว่าคนที่กำลังเขียนอะไรยุกยิกๆ อยู่ไม่มีจานข้าววางไว้เลยซื้อมาเผื่อด้วย

“...ของเพื่อนอีกคน มันบอกว่าจะตามมา”

“อ๋อ...”

“แล้วนี่กินอะไรไปหรือยัง?”

“ยังเลย เราติดทำงานด่วนอยู่ เราลืมทำแล้วดันต้องส่งวันนี้”

“คณิต? เด็กจิตรกรรมต้องเรียนด้วย?”

“อื้อ ตัวสุดท้ายน่ะ เราเพิ่งมาลงปีนี้ คิดผิดมากเลย...”

แม้ไม่แสดงอออกทางสีหน้าแต่น้ำเสียงอึนๆ มึนๆ ก็แสดงถึงความเบื่อหน่ายได้อยู่ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กฝั่งศิลป์จะไม่ถนัดเรื่องของตัวเอง ลองให้มาสลับกัน เอาคนฝั่งวิทย์ไปเรียนศิลป์ดูบ้างก็ต้องปูพื้นฐานกันระนาว

“ช่วยดูให้ได้นะ เคยเรียนแล้ว”

เพียงถามแต่ไม่คะยั้นคะยอหรือเสนอตัวมากไปกว่านี้เพื่อให้อีกคนได้ตัดสินใจเอง คนตัวเล็กกว่ามองหน้าผมนิ่งๆ คงกำลังประมวลผลอยู่ในใจล่ะมั้ง

“...ขอบคุณครับ”

“งั้นกินข้าวไปก่อน”

เลื่อนจานข้าวที่วางอยู่ข้างกันไปให้แลกกับสมุดงานที่เขายื่นมา แต่แทนที่เขาจะรับไป กลับมองตอบผมแล้วเอ่ยทักเสียงเรียบในเรื่องที่เกือบจะลืมไปแล้วว่าใช้เป็นข้ออ้างไว้

“ของเพื่อนไบรท์ไม่ใช่เหรอ?”

“...มันไม่มาแล้ว ไลน์มาบอกว่าบังเอิญเจอแฟนเลยจะไปหาอะไรกินกัน”

แม้จะไม่แสดงออกอะไรแต่แน่นอนล่ะว่าแซนต้องสงสัยในเมื่อผมยังไม่ได้จับโทรศัพท์เลยสักครั้งตั้งแต่นั่งคุยกับเขา แต่พอกระตุ้นด้วยการเลื่อนจานข้าวไปใกล้อีกพร้อมก้มหน้าก้มตามองสมุดที่อยู่ตรงหน้าแทน คำถามทั้งหมดก็เงียบลง เหลือบมองโดยพยายามไม่เงยหน้าก็เห็นว่าคนฝั่งตรงข้ามยอมตักข้าวที่ซื้อมาให้เข้าปากแล้ว

ลอบยิ้มจางๆ ให้กับตัวเองเมื่อความบังเอิญครั้งนี้ก็ประสบผลสำเร็จด้วยดี





                หลังจากนั้นก็มักจะมีเรื่อง บังเอิญ  ที่เกิดจากความจงใจเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

                เพราะเรียนที่เดียวกัน หอที่พักก็ไม่ไกลจากกันเท่าไหร่ จึงช่วยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปตามที่มาดหมายไว้ราบรื่นอยู่ไม่น้อย ช่วงแรกแซนก็ดูจะตกใจกับเหตุบังเอิญ แต่พอหลายครั้งเข้าคนหน้ามึนก็เลือกจะปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น เราพูดคุยกันเยอะขึ้น แม้จะไม่เยอะในระดับรู้ทุกเรื่องแต่จากการกระทำของเขาก็พอจะดูออกว่าสนิทใจกันพอสมควร

“ชอบมานั่งวาดรูปที่นี้เหรอ?”

            “อื้อ ไบรท์ก็ชอบมาเดินเล่นที่นี่เหรอ?”

            “ใช่... หอกลับทางนี้ได้น่ะ”

               ช่วงนั้นเลยได้ไปเดินเล่นแถวสนามหญ้าริมน้ำบ่อยขึ้นทั้งที่ไม่เคยคิดจะจอดเวสป้าสุดที่รักใกล้ๆ สวนเลยแม้แต่น้อย

            “เจอกันอีกแล้ว ไบรท์มาทำอะไรน่ะ?”

            “ซื้อของเข้าหอ... กลับยัง ไปด้วยกันก็ได้”

            “...อื้อ ขอบคุณครับ”

            เพราะวันพุธเป็นวันลด แลก แจก แถม กระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ เลยได้บัตรสะสมแต้มร้านสะดวกซื้อมาแน่นกระเป๋า มากพอจะแบ่งให้เด็กหออีกคนที่บังเอิญเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้ด้วย

แต่แม้จะพยายามมากแค่ไหน ความบังเอิญที่ถูกวางแผนไว้ย่อมต้องมีข้อบกพร่อง

                งานนิทรรศการโชว์ผลงานของคณะจิตรกรรมเป็นงานเล่นใหญ่ที่เลื่องชื่อไปทั้งมหาวิทยาลัย เพราะนอกจากจะเป็นงานที่มีประจำทุกปีแล้ว ยังได้รับเกียรติให้ไปจัดถึงหอประชุมใหญ่ในกลางเมืองอีกด้วย ได้ยินมาจากอาจารย์ที่ผมอาสาไปช่วยงานเล่าว่านี่จะเป็นใบเบิกทางให้เด็กมีฝีมือของแต่ละคณะโชว์ผลงานได้เต็มที่ เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่เส้นทางอาชีพในอนาคต ก็เป็นเหตุเป็นผลดี ดูมีอะไรที่อวดได้มากกว่ารวมเล่มงานวิจัยและบ่อปลาน้ำจืดที่ทำกันมาตลอดปีของคณะประมงเสียอีก

แน่ล่ะว่าไปช่วยงานเขาย่อมต้องอยากได้ผลแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า การชวนเด็กปีสี่ไปดูหนังถือเป็นผลลัพธ์ที่อยากได้ในความบังเอิญครั้งนี้ แต่มันดันล่มไม่เป็นท่าเมื่อตัวผมเองเผอเรอไม่ตรวจเช็คความเรียบร้อยของตัวตั๋วที่ซื้อมา ใครมันจะไปสนใจว่าใช้บัตรลดแล้วจะมีชื่อตัวเองโผล่อยู่บนนั้นด้วย อยากจะขอเจอเจ้าของความคิดที่ให้บรรจุชื่อสมาชิกลงไปในบัตรเสียหน่อย

สุดท้ายก็ตกม้าตายเอาตอนจบ

“บังเอิญว่าชอบไปแล้ว ขอจีบได้ไหม?”

เสี่ยวไม่มีใครเกิน เสี่ยวจนไม่รู้ว่ากินอะไรเป็นอาหาร และเสี่ยวจนอย่าให้เพื่อนมาได้ยินเชียว ไม่อย่างนั้นคงล้อยันได้เด็กจิตรกรรมเป็นแฟนไปสิบรอบ

เชื่อเถอะว่าตอนบอกเขาไปแบบนั้นแทบอยากจะเอาหน้ามุดเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติให้ดูดตัวเองเข้าไปเสียเลย แต่ก็ทำได้แค่มองเขาด้วยความพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ตัวเองดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คราวนี้ต้องขอบคุณคนหน้ามึนที่ไม่ทำให้การพูดความจริงต้องได้ผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง แถมยังทำตัวน่าหมั่นเขี้ยวจนอดใจเอาไว้ไม่อยู่ ต้องแกล้งขับเวสป้าแบบกระตุกๆ ให้ไหลมาซบกันตลอดทางกลับหอ เลยได้หมัดเล็กๆ มากระแทกไหล่เล่นให้พอคันๆ อยู่บ้าง




 



“ตัวเล็ก เอาไป”

“อะไรเหรอ?”

“ของฝาก”

ถึงจะเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนบ้านต่างคณะเป็นคนที่กำลังคุยๆ กันอยู่ หากการแสดงออกของเราสองคนไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก จะมีบ้างที่ได้หยอด ได้เนียนทำอะไรในแบบที่มีสิทธิ์มากพอให้พึงกระทำ อย่างการลูบหัวกลมๆ ของเขาทุกครั้งที่ได้เจอกันก็เป็นหนึ่งในนั้น

"บังเอิญเจอแล้วจำได้ว่าเราหาอยู่"

พู่กันสำหรับสีน้ำมันยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้แต่ที่รู้ๆ ราคาสูงจนไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเกิดคำว่าจิตกรไส้แห้งขึ้นมาได้ แต่แม้จะแอบบ่นแต่พอได้เห็นคนตัวเล็กตากลมเอาแต่ลูบซองหนังห่อพู่กันด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

“เดี๋ยวเราคืนเงินให้นะ ตอนถึงหอ”

“ไม่เอา บอกแล้วไงว่าของฝาก”

“แต่มันแพง! เรารับไว้ไม่ได้หรอก”

ซองหนังถูกยื่นกลับมาให้คืนมา แต่มีหรือที่ผมจะรับ ดันมันกลับไปหาคนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ แล้วเลือกจะยื่นข้อเสนออื่นมาแลกปลี่ยนแทน

“งั้นเอามาแค่ค่าน้ำมัน”

“เท่าไหร่เหรอ?”

“...เท่าคนชื่อไอลวินหนึ่งคน”

                ตั้งแต่รู้จักกันมาก็รู้แล้วว่าเราสองคนนิสัยคล้ายกัน การแสดงออกก็ใกล้กัน แต่ไม่เคยเห็นเวลาที่เขาทำตาโตขนาดนี้มาก่อน ดูท่าคำพูดที่เอ่ยออกไปด้วยความอยากจะแกล้งคงมีผลกับเขามากทีเดียวแซนถึงได้ทำทีเป็นไม่ได้ยินอะไรพวกนั้นแล้วก้มลงไปวาดรูปใส่สมุดวาดภาพของตัวเองต่อ โดยไม่ลืมเก็บซองพู่กันเข้ากระเป๋าเป้ให้เรียบร้อยเสียด้วย

“เรา... จ่ายด้วยสมุดเล่มนี้แทนได้มั้ย?”             

อยู่ในความสงบปล่อยให้ลมพัดใบไม้ร่วงลงมาบนโต๊ะที่เราทั้งสองคนนั่งอยู่ได้สักพัก สมุดวาดรูปของคนฝั่งตรงข้ามก็เลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมประโยคข้างต้น พอเงยหน้ามองก็เห็นเจ้าของทำหน้าพยักเพยิกเหมือนอยากให้เปิดดู ผมเอ่ยขออนุญาตก่อนอีกครั้งแล้วเริ่มเปิดสิ่งของส่วนตัวที่มักจะเห็นเขาถือไปไหนมาไหนด้วยเสมอออกดู

                แค่เปิดมาหน้าแรกก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวเป็นพวกเก็บสะสมความประทับใจด้วยการวาดภาพ สมกับเป็นเด็กอาร์ตของจริง ไม่ว่าจะเป็นรูปท้องฟ้า ทะเล สวนที่อยู่ไม่ไกลจากหอ รูปของผู้คนหลากหลายกันไป สิ่งที่แซนเห็นและประทับใจถูกวาดลงในนี้ มีบ้างที่น่าจะเป็นรูปวาดยามอารมณ์ไม่ปกติเพราะออกมาเป็นแนวแอบสแตรกที่ดูยังไงก็ไม่เข้าใจ บางภาพมีลงสีน้ำและบางภาพใช้เพียงสีขาวดำ รูปวาดพวกนั้นสวยมากสำหรับคนที่ไม่มีหัวด้านศิลปะอย่างผม แต่ที่ทำให้ประทับใจมากคือส่วนที่เริ่มจากหน้ากลางของสมุดไปต่างหาก

                รูปสเก็ตใบหน้าของคนที่คุ้นตาเพราะเห็นทุกวันผ่านกระจกเต็มพื้นที่ว่างบนกระดาษไปหมด ทั้งหน้าตรง มุมข้าง มีรูปเหมือนทั้งตัวอยู่ด้วยซ้ำ และไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรูปผมในมุมที่ตัวเองก็จำไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่ทำกิจกรรมเหล่านั้นเขาไปเห็นมาจากที่ไหน ทั้งตอนเตะบอล ตอนถือกระชอนอยู่ข้างบ่อเพาะพันธุ์ เขาวาดมันออกมาได้เหมือนมากเกินไปจนไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นการจินตนาการขึ้นมา แต่เป็นเพราะเขานั่งมองแล้ววาดเก็บรายละเอียดลงไปมากกว่า

                “...เนียนนะเราน่ะ”

“บังเอิญเห็นแล้วละสายตาไม่ได้ เลยวาดเก็บไว้”

 “จ่ายต้นด้วยเล่มนี้ก็ได้ แต่ภาษีขอเป็นคนวาดนะ”

“...แต่นั่นเราบวกภาษีไปแล้วนะ”

ยิ้มให้กับคำพูดตัดพ้อจากคนที่หูเริ่มแดงไปหมดแล้วก่อนจะทนไม่ไหวต้องลูบเรือนผมนิ่มนั่นไปอีกที





เรื่องของเราอาจจะเริ่มด้วยความบังเอิญของกาลเวลา แต่ผมเลือกแล้วว่าจะสานต่อด้วยความตั้งใจ

และมั่นใจว่าจะทำมันได้ดีเสียด้วย





-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีกับตอนใหม่ค่ะ

มันก็จะมีความเขินอยู่หน่อยๆ สำหรับคู่มึนๆ อึนๆ นิ่งๆ คู่นี้ (บิดตัวม้วนสามตลบ) แต่แล้วชอบอ่ะ อยากแต่งอีก จะเอาอีก แต่ต้องเก็บมุกไว้เล่นเรื่องอื่น 5555555555555555555555555

นับถอยหลังอีกสองตอนแล้ว ตื่นเต้นและใจหายไปพร้อมกัน ตั้งใจจะเอามาลงต่อทีเดียวสองตอนเลย แต่ก็... ไม่เอาดีกว่า ทยอยมาอาทิตย์ละตอนเหมือนเดิมแล้วกันโน๊ะ  :hao3:

แล้วเจอกันกับคู่หน้า คู่สุดท้ายนะคะ

ขอบคุณกำลังใจที่มีให้กันมาตลอดเลย ลัฟๆ

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
คู่นี้ก็น่ารักค่า เอร๊ยยยยย
 :impress2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ TaemyG

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบเพราะบังเอิญ ไบรท์ เจอแซน
แต่แซน ตั้งใจเจอใช่ปะ

หลังจากนั้นไบรท์ตั้งใจ เจอแซนแน่ ๆ
ไบรท์ แซน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
น่ารักนะคู่นี้  :mew1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ความจงใจบังเอิญของไบร์ท 5555
เนียนเลยนะ
คู่นี้น่ารัก

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด