► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END  (อ่าน 62520 ครั้ง)

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
น่ารักทุกคู่เลยค่ะ ชอบมาก

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
รักทางไกล
ยิ่งไกลยิ่งผูกพัน
น่ารัก
 :mew1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[12]





คุณเคยกลัวการปล่อยมือใครสักคนไหม?

เริ่มความสัมพันธ์จากการกุมมือกันอย่างแผ่วเบา สอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกันก่อนเปลี่ยนเป็นกอบกุมกันแน่น และบางครั้งก็แน่นขนาดรับรู้ถึงหยาดเหงื่อที่ซึมออกมาจากอีกฝ่าย จนต้องคลายมือออกจากกัน โดยลืมไปว่าระยะห่างจากการคลายมือที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นอาจทำให้เราต้องปล่อยมือกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง







เสียงดินสอดราฟที่ร่วงลงพื้นดึงสติที่ล่องลอยให้กลับเข้าร่าง ผมถอดแว่นตาที่มัวไปแล้วเพราะเพราะทำเป็นรอยตอนกำลังสัปหงกก่อนเช็ดมันเข้ากับเสื้ออย่างลวกๆ คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะเห็นว่าเมื่อห้าชั่วโมงก่อนระหว่างที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาร่างแบบอยู่นั้นมีคนส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นยอดฮิตทิ้งไว้ให้



PEAM

ตื่นแล้วอย่าลืมหาอะไรกินด้วย ถ้ามัวแต่ลงขวดสักวันจะให้กินขวดแทนข้าว

คิดถึงโย่งเท่านี้



ยกยิ้มให้กับประโยคคำสั่งที่แฝงด้วยความเป็นห่วงจากคนที่อยู่อีกด้านของหน้าจอ ยิ่งเลื่อนมาเจอรูปนิ้วโป้งนิ้วชี้ไขว้กันอย่างที่เจ้าตัวออกปากว่าเป็นเทรนด์นิ้วรูปหัวใจจากแดนโสมยิ่งฉุดให้หลุดจากภวังค์ความง่วงมานั่งยิ้มให้กับโทรศัพท์ชนิดถ้าเพื่อนมาเห็นคงเข้าใจผิดว่าทำงานหามรุ่งหามค่ำจนกลายเป็นบ้าไปแล้ว

แฟนใครวะ โคตรน่าหมั่นเขี้ยว



KAWIN

อยากกินเจ้าของรูปแทนข้าว



มองข้อความที่ส่งกลับไปจนแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีคนเปิดอ่านในตอนนี้เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนต่างก็เข้านอนกันแล้ว ยิ่งภีมเพิ่งได้พักหลังส่งโปรเจคไป ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงนอนเอาแรงข้ามวันข้ามคืนให้สมกับที่ไม่ได้นอนเต็มตามานานกว่าสัปดาห์แน่ๆ ผมยิ้มให้กับหน้าจออีกครั้งแล้วกลับไปให้ความสนใจกับแบบร้านกาแฟที่เป็นหัวข้อของงานครั้งนี้

เราเริ่มคบกันตอนเรียนม.ปลาย มันเป็นความสัมพันธ์เรียบง่ายที่สร้างขึ้นจากการเป็นเพื่อนสนิทที่เข้ากันได้ดีมากกว่าคนอื่นๆ จนวันหนึ่งความรู้สึกอันพัฒนาเกินไปกว่านั้นเริ่มผลักดันให้เราทั้งสองคนแสดงความพิเศษให้แก่กัน และในที่สุดก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหว ต้องเอ่ยสิ่งที่คิดให้เขาฟังด้วยรู้ดีว่าหลังจากนี้คงมองใครสำคัญไปมากกว่าภีมไม่ได้อีกแล้ว

ดีใจแทบบ้าตอนได้รับคำตอบว่าอีกฝ่ายก็คิดไม่ต่างกัน

น่าเสียดายที่เราเรียนคนละมหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นคงได้ใช้เวลาในการทำอะไรร่วมกันได้มากกว่านี้ ได้เรียนด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน อยู่หอเดียวกัน ไปซื้อของ หรือใช้เวลาตัดโมในสตูดิโอด้วยกันตามประสาเด็กสถาปัตย์อย่างที่เคยนึกฝันไว้ ทว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้คือเวลาที่สวนทางกัน เขาว่างผมไม่ว่าง พอผมว่างเขาก็มีนัดหรือไม่ก็ต้องทำงานส่งอีกครั้งแล้ว แต่ผมเข้าใจดีและคิดเสียว่าเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเราจะมีเวลาให้ได้คิดถึงกันบ้างเพื่อจะได้เติบโตขึ้นไปในอีกระยะของความสัมพันธ์

ห้าปีกับการเป็นเพื่อนและสี่ปีกับการเป็นคนรัก ผมหวังให้เราอยู่นับจำนวนปีไปด้วยกันนานๆ

โดยที่ตอนนั้นผมไม่ทันคิดเลยว่าเราจะมีเวลาให้กันน้อยลงไปทุกที

 





"กูจะไปซื้อของเพิ่ม ใครจะเอาอะไรบ้าง?"

"กูไปซื้อข้าวด้วย พวกมึงเอาอะไรเดี๋ยวกูไล่จดให้"

"กูเอาชานอ้อยเพิ่มกับข้าวผัดหมูสอง"

"กูเอาโฟมอัดแข็ง ยำมาม่าแซ่บๆ"

"สั่งแล้วเอาเงินมาให้พวกกูด้วย ไอ้ห่า!"

เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นหลังจากที่แต่ละคนเงียบหายไปหลังกองงานของตัวเอง บางคนที่ยังนอนอยู่ก็ถูกปลุกขึ้นมาถาม เป็นแบบนี้เสมอเมื่อมารวมตัวกันทำงานในห้องสตูดิโอของคณะที่สร้างเพื่อให้พวกผมได้ใช้ หากใครคนหนึ่งของหมดและจะออกไปซื้อก็จะไหว้วานกันไปเสมอเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาเฮละโลไปด้วยกัน แลกกับการช่วยคนอาสาไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่จะทำได้ในส่วนของมันเป็นการตอบแทน

"ไม้สามเหลี่ยมกูอยู่ไหนวะ? ใครเอาของกูไป"

ผมโยนไม้สามเหลี่ยมข้างตัวให้คนที่ตะโกนถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากงานตรงหน้า ไม่ใช่ของมันหรอกแต่ตอนนี้ยังไม่ต้องใช้เพราะตัวเองกำลังติดกาวเข้ากับผนังด้านในของร้านกาแฟอยู่

ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งปั่นโปรเจคด้วยสที่ติดพันกันมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อนกันอยู่ ยิ่งเข้าใกล้ช่วงเดดไลน์ไฟยิ่งลนก้น แต่ละคนต้องจรลีมานอนที่ห้องสตูดิโอเพื่อจะได้มีคนช่วยกันปลุกให้ทำงานและสุมหัวช่วยงานของแต่ละคนไปด้วย นี่ก็มาขลุกตั้งแต่หัวค่ำของเมื่อคืนวานจนตอนนี้ก็ปาไปเกือบสิบโมงเช้าของอีกวันแล้ว สภาพไม่ต่างอะไรจากซอมบี้นักแต่หน้าตาดีกว่ามาก

"เฮ้ยกวิน กูยืมโทรศัพท์หน่อยดิ ลืมบอกให้ไอ้ต้อมซื้อสีมาด้วย"

"ในกระเป๋าอ่ะ มึงค้นเอา"

เพราะไม่รู้สึกว่าโทรศัพท์อยู่กับตัวจึงยอมเงยหน้าง่วงๆ จากงานขยับแว่นแล้วพยักเพยิกไปทางกระเป๋าที่กองรวมไว้กับเพื่อนคนอื่นๆ ตรงมุมห้อง ปกติก็ไม่ใช่พวกติดเครื่องมือสื่อสารอยู่แล้ว ยิ่งเวลาทำงานยิ่งไม่ต้องพูดถึง

"ไม่มีว่ะมึง ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูยืมของคนอื่นก็ได้ เฮ้ย! ใครมีโทรศัพท์ติดตัวกูขอยืมหน่อย"

ได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นก็พลันขมวดคิ้ว จะเป็นไปได้ยังไงที่ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย เลยใช้มือตบๆ ไปตามกระเป๋าเสื้อนักศึกษาและกระเป๋ากางเกงอีกครั้งเผื่อจะเข้าใจผิดทว่าความหวังก็ไม่เป็นผล พอย้อนคิดดูก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลยสักครั้ง ดูท่าคงจะลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่หอจริงๆ เสียแล้ว

พอคิดได้แบบนั้นก็ยิ่งอยากทำงานให้เสร็จและกลับหอเสียที ง่วงก็ง่วงแถมป่านนี้คงมีคนเป็นห่วงแย่แล้ว เพราะเคยมีเหตุการณ์ที่ผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่หอแบบนี้นี่แหละ แต่ตอนนั้นลืมเกือบอาทิตย์ ครอบครัวและคนรักติดต่อไม่ได้เลยต้องเดินทางมาหากันด้วยตัวเอง ตอนนั้นเลยที่รู้ว่าแฟนตัวเองดุขนาดไหน ก็เขาเล่นสั่งสอนผมชนิดที่อยากจะยกมือไหว้ด้วยความสำนึกผิดกันเลยทีเดียว

เพราะมีแรงกระตุ้นที่ไม่ใช่เสียงเพลงซึ่งวนกลับมาอีกครั้งแล้ว ผมจึงเร่งทำงานในส่วนที่ตั้งใจให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้อย่างรวดเร็วและบึ่งกลับหอโดยบอกเพื่อนไว้ว่าจะกลับอีกทีในตอนเช้าวันพรุ่งนี้

ผมถึงห้องตอนเกือบห้าโมงด้วยสภาพเบลอๆ ไม่ต้องหานานก็เจอโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียง เพียงหยิบขึ้นมาดูหน้าจอก็ขึ้นข้อความแจ้งเตือนในระหว่างที่ไม่อยู่ในทันที



10 สายที่ไม่ได้รับจาก โย่ง's



โย่ง's คือชื่อที่ใช้สำหรับเมมเบอร์ภีม อีกฝ่ายเป็นคนเลือกชื่อนี้ให้ด้วยตัวเองเพราะเห็นว่ามันตลกดี และผมก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะตอนที่ภีมแล้วยิ้มจนตาหยีไปด้วยมันทำให้ปฏิเสธลงเสียที่ไหน

มองเวลาที่โชว์อยู่บนเครื่องแล้วจึงเลือกจะขอพักผ่อนก่อนแล้วจะโทรกลับหาเขา อันที่จริงอยากโทรหาเลยแต่ตัวเองก็ไม่ชอบคุยตอนที่กำลังง่วงเพราะเสียงของอีกคนจะยิ่งเป็นเหมือนเครื่องดนตรีกล่อมให้หลับหนักเข้าไปอีด แต่ก่อนจะนอนก็ไม่ลืมจะส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นสีเขียวไว้ด้วย



KAWIN

เตี้ยโทรหากูเหรอ?



เบลอไปถามเขาอีกทั้งที่เห็นๆ กันอยู่ หากมาอ่านภีมคงด่าผมแน่ๆ เลยรีบส่งข้อความที่ตั้งใจจะบอกอย่างรวดเร็ว



KAWIN

โทษที กูลืมเอาโทรศัพท์ไป

ไว้โทรหา ขอนอนก่อน ตาลืมไม่ขึ้นแล้ว



ไม่ทันดูว่าภีมตอบกลับหรือเปล่าเพราะพอจบประโยคก็รีบล้มตัวนอน หวังจะพักผ่อนให้เพียงพอแล้วโทรไปคุยกับคนตัวเล็กกว่าให้หายคิดถึงและเติมเต็มกำลังใจในการปั่นงานวันพรุ่งนี้

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าคนอีกฝั่งหนึ่งกำลังรอการตอบกลับของผมด้วยความรู้สึกแบบไหน





 

"เตี้ย เสาร์นี้ไปดูหนังกัน"

ทันทีที่เขารับสายผมก็บอกความต้องการของตัวเองออกไป งานมนมือกำลังจะเสร็จแล้ว และหลังจากส่งโปรเจคที่เร่งทำจนเสร็จสิ้นพวกผมก็จะมีเวลาว่างอย่างน้อยๆ ก็พอให้ได้เที่ยวผ่อนคลย และแน่ล่ะว่าพอมีเวลาเราก็ต้องตักตวงให้เต็มที่

ด้วยรู้แน่ว่าภีมไม่พอใจนักที่ผมปฏิเสธไปเตะบอลกับเขาและพวกไอ้เหยิน เพื่อนสมัยมัธยมปลายเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เพราะพวกเพื่อนๆ ที่คณะดันหลอกพาไปร้านเหล้าตั้งแต่ช่วงเย็นทั้งที่มันบอกว่าจะไปทำงานด่วน ตับแข็งโดยด่วนล่ะสิไม่ว่า แต่ครั้งนั้นแค่จัดไปสองสามแก้วเพราะไม่อยากเสียมารยาทแล้วทำหน้าที่แบกเพื่อนกลับไปส่งหอ พอมาคราวนี้หาเวลาว่างได้เลยรีบชวนไว้ก่อน อยากให้เวลากับคนรักบ้างนี่ ไม่ได้เจอหน้ากันนานๆ ดูแต่รูปที่อยู่ในเครื่องกับที่อีกคนส่งให้ยังไงก็ไม่เท่ากับการได้เจอหน้าและพูดคุยกันอยู่แล้ว

"เสาร์นี้เหรอ?"

"ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนะ"

เพราะน้ำเสียงของภีมเหมือนไม่แน่ใจผมเลยรีบดักทางเขาเอาไว้ก่อน เอาแต่ใจนิดหน่อยให้รู้ว่าผมอยากไปด้วยจริงๆ

ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเล็กน้อยและก็ได้ยินเรื่องของคุณกับคนที่ชื่อรักษ์อีกครั้ง ภีมสนิทกับคุณมากเพราะนิสัยหลายๆ อย่างคล้ายกันแม้จะไม่เคยเจอหน้าแค่ได้คุยด้วยบางครั้งระหว่างที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์ให้ภีม ฟังจากการพูดจาและความสนิทสนมแล้วก็พอจะไว้วางใจได้ว่าระหว่างนี้คนรักของตนจะไม่ออกนอกลู่นอกทางแน่

"ไว้วันไหนมาด้วยกันดิ อยากแนะนำให้รู้จัก"

"ช่วงพาแฟนพบประชาชน?"

"พูดจาแบบนี้สงสัยจะอยากโดนเรียกไปปรับทัศนคติ"

หัวเราะกับคำขู่ของคนปลายสายไปอีกรอบ แต่ก่อนภัมจะเขินหน้าแดงไปถึงหูตอนที่ผมย้ำถึงสถานะของเราทั้งสองคน แต่พอเริ่มเข้าสู่ปีที่สามของการคบกัน เขาก็ปีกกล้าขาแข็ง ตอกกลับคำพูดของผมได้แล้วแถมตอนนี้ยังขู่กลับอีก นับว่ามีการพัฒนาจริงๆ

"คิดถึงนะเตี้ย มากๆ"

"ก็ไม่ต่างกันหรอก"

"จะไม่บอกคิดถึงกันหน่อยเหรอ?"

"เอ๊ะ ก็ที่พูดอยู่นี่ไม่ใช่หรือไงล่ะ?"

น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูขัดใจและนั่นทำให้ผมหัวเราะ รับมือกับคำว่าแฟนได้แต่รับมือกับคำว่าคิดถึงไม่ได้สมกับเป็นเขาล่ะ

"เอาหน่าบอกหน่อย เดี๋ยวจะไปทำงานต่อแล้วนะ"

เย้าไปด้วยรู้ว่าถ้าเป็นตัวอักษรล่ะก็ภีมไม่มีทางเกี่ยง แต่หากอยากให้พูดล่ะก็ต้องใช้วิธีหลอกล่อ หรือไม่ก็อ้อนเอาตรงๆ จะเร็วกว่าให้อีกฝ่ายพูดเอง

"เออ... คิดถึง"

แม้จะเป็นเสียงที่แผ่วเบาขนาดไหนแต่คนหูดีแถมยังเอามือถือแนบติดกับหูอย่างผมก็ยังได้ยินอยู่ดี อมยิ้มกับตัวเองก่อนจะขอตัววางสายเพื่อจัดการงานตรงหน้าต่อเสียที พลางคิดไปถึงสิ่งที่อยากทำกับเขาในวันที่เราเจอหน้ากันด้วย





 

“เอ้า ชน!”

สุดสัปดาห์ที่ผมรอคอยมาถึง แต่แทนที่จะได้พักผ่อนและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางข้ามฝั่งไปหาใครอีกคนตามนัดกลับต้องมานั่งแกร่วอยู่ในวงเหล้าพร้อมยกแก้วชนกับเพื่อนและรุ่นพี่เจ้าของเงินที่เลี้ยงพวกผมในวันนี้ ไม่อยากมานักแต่ก็เกรงใจเพราะเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของพี่เขา

“แล้วว่าไง โปรเจคใหม่ของอ.อนุภาพ สำแดงฤทธิ์เกรียงไกรมั้ยล่ะพวกมึง”

พวกผมโอดครวญเมื่อรุ่นพี่คนสนิทพูดชื่อของคนที่สั่งงานให้โหดที่สุด แถมยังให้คะแนนยากสุดๆ อีก เห็นปฏิกิริยาแบบนั้นจากรุ่นน้องแกก็ดูจะพอใจ หัวเราะเสียงดังแถมยังรินเหล้าให้พวกผมเองอีก มีคนบริการมันดีแบบนี้

“แกสั่งโปรเจคให้นักศึกษาเหมือนง่ายนะพี่ แต่จริงๆ งานหินโคตรๆ”

“เออ แกก็แบบนี้แหละ แต่มึงจำไว้ ได้คำปรึกษาจากแกยิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งได้ดีนะเว้ย”

พี่เขาพูดไม่ผิดหรอกครับ ในเมื่ออาจาร์ยสุดโหดท่านนี้คือหนึ่งในผู้ที่เคยได้รับรางวัลสาขาออกแบบอาคารติดกันสามปี แถมยังโชว์ฝีไม้ลายมือในการออกแบบตึกดังๆ อีกหลายที่ ได้คำแนะนำมากเท่าไหร่ยิ่งดีกับตัวเองในอนาคต

“อาจารย์ก็เขี้ยวเกินว่ะพี่ ทำงานจนผมไม่มีเวลาหาแฟนแล้วเนี่ย”

“มึงก็ว่าแบบนี้ทุกทีไอ้โอ๊ต ต่อให้ไม่มีงานมึงก็หาไม่ได้หรอก!”

ทั้งกลุ่มเฮละโรชนแก้วกันอีกหนึ่งยกก่อนที่ไอ้โอ๊ตจะรินเหล้าให้ชนิดเรียงตัว

ผมยกแก้วขึ้นแนบริมฝีปากอีกครั้งเพื่อบังรอยยิ้มจากอาการหยามใจของตัวเอง พลันนึกไปถึงข้อความจากคนไกลที่มีนัดกันในวันพรุ่งนี้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ตอบตั้งแต่เช้าเพราะตื่นสายกว่าจะไปเรียนก็ไม่สามารถตอบได้แล้ว แถมเรียนเสร็จก็โดนล็อกตัวมาที่ร้านนี้เลย

“แล้วมึงล่ะกวิน ช่วงนี้ดูมีความสุขเหลือเกิน"

เป้าความสนใจก็ถูกส่งมาที่ผม ขยับแว่นให้เข้าที่เล็กน้อยจนโดนเพื่อนถ่องศอกใส่แล้วแซวว่าทำไมต้องทำมาดเข้ม เข้มห่าอะไรครับ แว่นมันร่วงเดี๋ยวกูมองไม่เห็น

“พรุ่งนี้มีนัดกับแฟนน่ะพี่"

“โว๊ะ! หมั่นไส้เว้ย ชนแก้วต่อเลย ชนๆ!"

แก้วต่อแก้วที่ถูกชนและส่งเข้าปากค่อยๆ เพิ่มระดับแอลกอฮอลในเส้นเลือดมากขึ้นจนหัวหมุนไปหมด แม้จะเอ่ยขอหยุดเพราะสำนึกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเดินทางไปอีกฟากฝั่งของจังหวัดเพื่อพบคนที่คิดถึง หากเมื่อโดนน้ำเมากรอกปากอยู่ตลอดก็ได้แต่คิดว่าต้องโทรบอกภีมว่าผมเมาและอาจจะไปสาย ให้โทรมาปลุกด้วย

แต่ผมก็ไม่ได้โทร และมันนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้ายเกินจะบรรยาย





 

ปวดหัว...

คืออาการแรกที่พุ่งเข้าหาเมื่อลืมตาตื่นมาเจอเพดานห้องของตัวเองจนต้องนอนหลับตาด้วยความอึดอัดอยู่บนเตียงครู่ใหญ่ก่อนจะสามารถขยับตัวขึ้นมานั่งพิงดีๆ ได้

โดนรินเหล้าแก้วต่อแก้วชนิดที่ไม่สามารถขอแยกตัวกลับออกมาก่อนได้ กลิ่นเหล้ายังคลุ้งเต็มกายจนขนาดตัวเองยังต้องย่นจมูกหนี จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ากลับมาได้เพราะมีคนเรียกแท๊กซี่ให้มาส่งและพอมาถึงก็ตั้งใจจะนอนสักสิบนาทีก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะได้ออกเดินทางไปหาภีมเสียที

ใช่ ต้องไปหาภีม

แต่ยังไม่ทันลุกจากเตียงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นตามมาด้วยร่างของเพื่อนร่วมห้องที่เดินเข้ามาพร้อมกับขวดยาแก้แฮงค์ในมือ

"อ้าว ไอ้กวิน ตื่นแล้วเหรอ กูกำลังจะมาปลุกมึงอีกรอบเลย"

"อืม... กี่โมงแล้ววะ? กูมีนัด..."

"แปดโมงแล้ว"

"โอ้ย... ยังทันนัด"

ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะกว่าจะออกมาจากร้านเหล้าได้ก็ปาไปตีสี่กว่าแล้ว มาถึงนี่ต้องไม่ต่ำกว่าตีห้าครึ่ง ได้นอนไปนิดหน่อยก็ยังดีกว่าไปทั้งที่ยังงัวเงีย

"แปดโมงของวันอาทิตย์นะมึง"

"...หา?"

"แปดโมงของวันอาทิตย์ วันที่มึงมีนัดคือเมื่อวาน" เมื่อเห็นผมนิ่งไปด้วยความสับสนมันก็พูดต่อ "เมื่อวานคนชื่อโย่งโทรมาตั้งหลายสายแต่มึงไม่รับกูเลยถือวิสาสะรับแทน พอถามว่าจะให้ปลุกมั้ยเขาบอกแค่ปล่อยให้มึงนอนต่อไป กูเลยไม่ปลุก"

คนชื่อโย่ง... โย่ง's มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ

ชิบหาย ชิบหายมากๆ

นอกจากจะหายไปทั้งวันไม่บอกกล่าวยังเมาหนักขนาดนอนหลับข้ามวันจนไม่ได้ไปตามนัดแบบนี้ หากไม่เรียกว่าหายนะก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี

เอ่ยขอบคุณเพื่อนแล้วผมก็รีบต่อสายหาคนที่ผมผิดนัดอย่างรวดเร็ว เห็นจำสวนสายโทรเข้าแล้วยิ่งปวดในอก นับสิบสายที่โทรมา และข้อความอีกมากที่ไหลมาแจ้งว่าเขากำลังออกจากหอ ถึงสถานที่นัดแล้ว และกำลังรอผมอยู่แม้จะเลยเวลานัดไปแล้วยิ่งทำให้รู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก

"ขอโทษจริงๆ กูโดนรุ่นพี่ลากไป"

ไม่มีแม้แต่ข้อแก้ตัวที่ดีกว่านั้น ทันทีที่ภีมรับสายผมก็รีบเอ่ยขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง ทว่าปลายสายกลับนิ่งและตอบรับเพียงคำสั้นๆ และนั่นมากพอจะทำให้รู้ว่าผมทำผิดพลาดไปมากแค่ไหน

"โกรธมากใช่มั้ย?"

ถามไปโง่ๆ เพราะไม่รู้ควรจะเริ่มด้วยอะไรดี ทั้งที่ตั้งใจจะทำให้มันเป็นวันที่ดีของเขาหลังจากที่ไม่มีเวลาตรงกันมานาน แต่กลับผิดพลาดไปหมด

"เป็นมึงจะโกรธหรือเปล่าล่ะ? ผิดนัด ติดต่อไม่ได้ มีคนอื่นรับสายแทน แล้วมารู้ว่าที่ผิดนัดเพราะแฮงค์ เออ เรื่องไปกินเหล้ารอบนี้กูก็ไม่รู้นะเพราะไม่ได้คุยกันเลยวันนั้น"

ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร รู้ตัวว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะตัวเองล้วนๆ

"วันนี้พวกคุณนัดไปหาร้านกินตอนเย็น ไปมั้ย?"

"ถ้าวันนี้คงไม่ได้ เมื่อวันศุกร์อาจารญ์ให้งานใหม่มาแล้ว..."

"หึ ก็คิดเอาไว้แล้วล่ะ"

ยิ่งรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีกกับเสียงพ่นลมหายใจของเขา แต่ผมไม่สามารถไปได้ด้วยแพลนไว้แล้วว่าจะไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำสำหรับงานใหม่ที่ท่านได้ให้มา แถมอาจารย์อนุภาพแกดักทางไว้ด้วยว่ามีแค่วันนี้ที่จะว่างหลังสอนคลาสปริญญาโทเสร็จ

เราคุยกัน... เรียกว่าผมปล่อยให้เขาได้ระบายในสิ่งที่รู้สึกให้ฟังจะดีกว่า ยิ่งฟังยิ่งหน่วงในหัวใจ ไม่เคยรู้เลยว่าภีมเฝ้ารอสายแต่ละสาย ข้อความแต่ละข้อความด้วยความรู้สึกเช่นไร

"เราไม่ได้เจอกันมานานเท่าไหร่แล้ว เคยนับมั้ย? สองเดือนเว้ย สองเดือนแล้ว"

"....."

รู้สิ นับอยู่ตลอดว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกัน แต่ถ้าพูดไปตอนนี้ยิ่งฟังเหมือนแก้ตัวจึงเลือกที่จะเงียบให้เขาได้ระบายความรู้สึกออกมาทั้งหมด หากยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าการทำสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นเรื่องปกติและเล็กน้อยมากสำหรับตัวผมเองทำให้ภีมรู้สึกน้อยใจและเก็บกักอารมณ์ไว้มากมายขนาดนี้

"มึงมีเวลาให้ทุกอย่างที่ไม่ใช่กู มึงไปกับรุ่นพี่กับเพื่อนในคณะได้แต่ไม่ใช่กู ไปฉลอง ไปลงขวดได้ แต่ไม่ใช่การทำอะไรก็ตามกับกู ความทรงจำใหม่ที่มึงสร้างขึ้นไม่จำเป็นต้องมีกูอยู่ในนั้นเลย..."

ไม่จริงเลยแม้แต่น้อย เพราะผมมั่นใจว่าเมื่อไหร่เขาก็จะยังอยู่เสมอ เรามีเวลาที่จะทำอะไรๆ ด้วยกันได้อีกมากมายในขณะที่ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีเพียงแค่สี่ปีเท่านั้น

เสียงของภีมสั่น ยิ่งพูดก็ยิ่งสั่น ใจผมก็สั่นตามเขาไปด้วย ยิ่งประโยคลงท้ายแปลกๆ เหมือนเขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้วนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีสำหรับผมเลย

"ภีม... กูรู้ว่ากูผิด แต่ช่วยใจเย็นก่อน..."

อยากจะอธิบาย อยากจะปลอบโยนด้วยคำที่ติดอยู่ในลำคอ แต่ประโยคถัดไปจากนั้นมันทำให้ผมได้เพียงชะงักงันรู้สึกราวกับตัวเองหลุดไปยังโลกต่างมิติ

"ถ้าไม่มีเวลาให้กันแบบนี้เลิกกันไปน่าจะดีกว่า"

เพราะเชื่อมาตลอดว่าจะไม่มีวันได้ยินคำนั้นและไม่มีวันพูดมันเด็ดขาด พอได้ยินประโยคบอกเลิกและสายที่ตัดไปแทบจะในทันทีทำให้สมองขาวโพลนไปหมด ใจที่เคยปวดหนึบบัดนี้มันชาก่อนความเจ็บจะเสียดแทงเข้ามาจนตั้งรับเอาไว้ไม่ทัน ได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้ทุกคำพูดไหลผ่านเข้ามาในสมองอย่างช้าๆ

...ภีมเลือกที่จะปล่อยมือกันแล้ว และนั่นเป็นความผิดของผมแต่เพียงผู้เดียว





 

"...โย่ง ...วิน วิน ตื่นได้แล้ว"

เสียงเรียกชื่อตัวเองพร้อมแรงกระทบไม่เบานักที่อกดึงสติของผมให้กลับมาจากภาพที่ฉายชัดอยู่ในสมอง ก่อนที่จะค่อยๆ บิดเบี้ยวและจางลงคล้ายหมอกควันยามต้องลม ผมกระพริบตาช้าๆ รู้สึกเหมือนสมองยังปรับจูนไม่ทันว่าภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่นั้นคือความฝันหรือความจริง

"ทำหน้าเป็นหมางงเลย ยังแฮ้งค์อยู่เหรอโย่ง?"

"...ภีม"

เอ่ยเรียกชื่อเขาคล้ายคนละเมอ เสียงของภีมแจ่มชัดพอๆ กับภาพของเขาที่อยู่ใกล้ ไม่ต้องใส่แว่นก็ยังมองเห็น

"แฮ้งค์อยู่แน่ๆ ปล่อยก่อน จะไปเอายาแก้แฮงค์มาให้"

คนตัวเล็กกว่าตัดสินใจเองเสร็จสรรพแล้วพยายามแงะตัวออกจากอ้อมแขน แต่เป็นผมเองที่รั้งเขาให้อยู่กับที่ด้วยการกระชับอ้อมกอด เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติและต้องการจะทำผสมกัน ภีมชะงักเล็กน้อยแล้วเลิกคิ้วมองผมราวกับสงสัยจัดว่ากำลังทำอะไร

"ยังไม่อยากปล่อย กลัวจะหนีไปอีก"

เมื่อมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน หลังการบอกเลิกสายฟ้าแลบผ่านโทรศัพท์กว่าจะหาทางติดต่ออีกฝ่ายได้ก็ใช้เวลาอยู่ค่อนวัน จากที่ตั้งใจจะไปหาอาจารย์เพื่อขอคำปรึกษาก็ไม่ได้เรื่องอะไรเพราะไม่มีใจจะฟังเอาแต่ขอว่าให้อาจารย์พูดจบไวๆ ตนจะได้บึ่งรถไปปรับความเข้าใจกับคนรักเสียที

แต่พอไปถึงนอกจากจะไม่เจอใครแล้วยังโดนตัดหนทางติดต่อทุกครั้งที่โทรหาอีก สุดท้ายเลยต้องทักแชทเฟสบุ๊คของเพื่อนที่ชื่อคุณไปทั้งที่ไม่เคยแม้แต่จะกดขอแอดเฟรนด์กัน โชคยังดีที่ฝ่ายนั้นไม่ได้ล็อคแชทและได้รู้ว่าภีมอยู่ร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยทั้งที่ปกติไม่ค่อยชอบของมึนเมาพวกนั้นเท่าไหร่

"จะรื้อฟื้นอีกใช่มั้ย?"

เจอถามแบบนั้นจะให้ตอบว่าอยากหรืออย่างไรกัน ผมรีบส่ายหน้าไวๆ แบบที่เขาเห็นแล้วจะหัวเราะบอกว่าทำตีวเหมือนหมางงที่ประจำอยู่ในคณะเขา

"ไม่ครับ ไม่เอาแล้ว ไม่ทะเลาะกันแล้ว"

"ก็ดี"

ภีมยักไหล่อย่างน่าหมั่นเขี้ยว ผมเลยกดจูบเข้าที่หน้าผากบางไปแรงๆ หนึ่งที แต่ยังไม่คิดจะคลายกอดของตัวเองออก ไม่ได้เจอ ไม่ได้แตะตัวตั้งนาน แถมเพิ่งคืนดีกัน ขอหาเศษหาเลยให้ชุ่มปอดหน่อยเถอะ

"ปล่อยได้แล้วมั้ง ชักจะเยอะเกินไปแล้วนะโย่ง"

"ขออีกหน่อยน่ะ นานๆ ที"

"ต้องเตรียมตัวไปเรียน มึงก็รีบๆ กลับหอไป มีเรียนบ่ายไม่ใช่หรือไง?"

จากตอนแรกที่ตั้งใจจะลากตัวอีกคนไปที่ห้องตัวเอง แต่เพราะคุยกันรู้เรื่องแถมรูมเมทของภีมก็ไม่กลับหอพอดี เลยได้มาขลุกอยู่ที่ห้องตั้งแต่เมื่อคืน

พอได้เจอหน้าก็รู้เลยว่าตัวเองคิดถึงอีกคนมากขนาดไหน พอได้กอดก็ไม่อยากปล่อย ได้มองหน้าก็ไม่อยากละสายตา เราสองคนไม่ได้เจอกันนานมากแล้วจริงๆ นานเสียจนหลังจากนี้ผมจะไม่มีวันให้มันเป็นแบบนั้นอีก ผ่ายภีมก็คงรู้สึกเหมือนกันเลยตกลงกันไว้ว่าจะพยายามเจอกันให้ได้อาทิตย์ละครั้ง หรือหากจำเป็นจริงๆ ก็จะเพิ่มจำนวนการห่างได้ แต่เปลี่ยนเป็นการพูดคุยที่มากขึ้น มีอะไรอึดอัดใจก็จะบอกกัน เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะมาสั่นคลอนความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่อีก

ความรักทางไกลไม่ง่ายแต่ไม่ยากหรอกสำหรับคนที่พร้อมจะผ่านมันไปด้วยกัน

"ไม่อยากกลับ... วันนี้จะโดดอยู่กับมึงต่อ"

"ปกติเห็นขยันจะตาย ขยันจนไม่มีเวลา"

"จะรื้อฟื้นอีกใช่มั้ย?"

เลียนแบบคำถามที่คนตัวเล็กพูดไว้เมื่อครู่พร้อมดึงจมูกรั้นเบาๆ ไปหนึ่งที ภีมหัวเราะเสียงใส นี่สิใบหน้าที่ผมชอบมองและเสียงที่ผมชอบได้ยิน ไม่ใช่หน้าตายามเปื้อนน้ำตา เสียงสั่นระริกตอนเอ่ยเล่าความอัดอั้นตันใจของเขา หรือคำพูดจาโหดร้ายอย่างอยากจะเลิกกันอะไรพวกนั้น

ผมจับมือภีมก่อนจะสอดนิ้วทั้งห้าเข้ากับนิ้วของเขาไว้แน่น มองมันสักพักแล้วเอ่ยคำที่มั่นใจว่าจะไม่มีวันผิดสัญญาอีกแล้วให้เขาฟัง

"จะไม่ปล่อยแล้วนะ จะจับเอาไว้ให้แน่นๆ เลย"

มั่นใจว่าเลือกคำพูดได้ดีที่สุดสำหรับเวลานี้แล้ว ทว่าเจ้าของมือที่จับกับผมอยู่กลับคลายมือออก เปลี่ยนเป็นประสานกันไว้ไม่แน่นนัก แต่เป็นแรงระดับกำลังดีมากพอให้รู้สึกถึงแรงเต้นบนฝ่ามือ ก่อนจะยื่นข้อเสนอกลับมา

"เปลี่ยนเป็นไม่ต้องแน่นแต่อย่าให้มันหลวมไปจนหลุดจากกันง่ายๆ ดีกว่านะมึง"

การได้จับมือกับเขาก็เป็นความสุขอันดับต้นๆ ของผมอยู่แล้ว ยังเล่นพูดจาน่ารักขนาดนี้แล้วผมจะไม่ทำตามได้ยังไงกันล่ะ จริงไหม?







-----------------------------------------------------------



TALK: สวัสดีกลางสัปดาห์ค่ะ รอบนี้มาช้าหน่อยเพราะติดงานหลวง ตอนหน้าก็จะมาช้าเหมือนกันเพราะเราต้องเดินทางไปต่างจังหวัดค่ะ แต่จะไม่หายไปนาน ระหว่างนี้ก็จะแต่งสต๊อกเก็บไว้เนอะ จะได้มีมาให้อ่านกันเรื่อยๆ

สำหรับตอนนี้ไม่ได้มาเพื่อโก๊ดดัน(?)นะคะ ไม่ได้เข้าข้างกวินด้วย เจ้าหนุ่มขี้ลืมแถมหัวอ่อนติดเพื่อนแบบนี้โดนโกรธสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร แต่หลังจากนี้เขาจะดีขึ้นค่ะ และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ต้องดีขึ้นด้วย ในเมื่อพวกเขาเข้าใจกันนี่เนอะ

เราเชื่อว่าทุกความสัมพันธ์จะไปไม่รอดหากไม่เข้าใจกันค่ะ แต่เข้าใจกับตามน้ำไปทุกเรื่องมันคนละเรื่องกันเนอะ ต้องมองถึงด้านของเขาเทียบกับด้านของเรา แล้วจะรู้ว่าบางครั้งเราก็มองข้ามอะไรไปและลืมใส่ใจในเรื่องอะไรไปค่ะ

ฝากไว้เพียงเท่านี้ และกำลังนับถอยหลังเบาๆ ค่ะ เหลืออีกไม่กี่คู่แล้วนะ

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2017 18:33:43 โดย ANNEW »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เจอคำผิด
เฮละโร ต้องเป็น เฮละโล หรือ เฮโล

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เกือบไปแล้ววววววว เกือบเลิกกันเพราะไม่มีเวลาให้กัน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ichiichi

  • รักหม่ามี้นะคับ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-5
เคยเป็นแบบนี้ตอนติดเกมใหม่ๆ หวิดเลิกตลอด แต่เราง้อเก่ง อิๆ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[13]





คุณเคยได้ยินคำว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลกไหมครับ?

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ยึดคำนั้นในการดำเนินชีวิต เรียกว่าเป็นคนที่ไม่ชอบทำและไม่ชอบโดนใครตื้อเลยเพราะรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ชวนวุ่นวายและน่ารำคาญใจอยู่

แต่ติดที่ใครอีกคนกลับไม่คิดแบบผมนี่สิ

"หมอฐา วันนี้กลับด้วยกันมั้ย?"

"ไม่ครับ"

"งั้นพรุ่งนี้?"

"ก็ไม่ครับ"

"มะรืนก็ได้"

"จะวันไหนก็ไม่ครับ หลีกทางด้วย ผมรีบ"

ผมเบียดตัวหลบตรงพื้นที่ว่างข้างร่างสูงใหญ่ที่มายืนปิดทางเข้าออกก่อนเดินไปยังแล็ปทดลองที่อยู่อีกด้านของตัวตึก แม้จะรู้ดีว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้ห้ามให้นักศึกษาแต่ละคณะไปมาหาสู่กัน แต่บางครั้งผมก็อยากจะติดป้ายกันไม่ให้ชายคนนี้เข้ามาป้วนเปี้ยนแถวคณะเหลือเกิน แต่ก็อีกนั่นแหละ ต่อให้ไม่ใช่ที่นี่เขาก็ตามหาผมเจอที่อื่นอยู่ดี

"หมอฐาทำตัวเย็นชาอีกแล้ว ต้องให้ผมป่วยก่อนใช่มั้ยหมอถึงสนใจ"

เขาบ่นกระปอดกระแปด คำบ่นเดิมๆ ที่ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน ผมเลยเอี้ยวหน้ากลับไปมองคนที่กำลังทำหน้าหงอยอยู่ด้านหลังด้วยสายตาจริงจัง

"ไม่ใช่เสียหน่อย คุณต้องป่วยและเป็นสัตว์สักประเภทก่อนต่างหากผมถึงจะสนใจ"

"ใจร้ายจริง หมออะไรเนี่ย"

"หมอสัตว์ครับ หรือที่เรียกว่าสัตวแพทย์"

"แน่ะ กวนใช่เล่นนะครับหมอ"

ไหวไหล่ไม่สนใจคำต่อล้อต่อเถียงของอีกคนแล้วเลือกจะก้าวขาให้ไวขึ้นเพื่อจะได้ถึงที่หมายเสียที ตลอดทางเจอเพื่อนร่วมคณะมองมาพร้อมยิ้มน้อยๆ ผมก็ได้แต่ทำเหมือนมองไม่เห็นความหมายที่แท้จริงของรอยยิ้มนั้นแล้วเอ่ยทักพวกเขาไปตามปกติ

ผมยอมให้เขาเดินตามจนกระทั่งถึงห้องเพาะเชื้อ เพราะส่วนนี้เป็นส่วนที่ต้องระวัง เนื่องจากหากมีอะไรผิดพลาดอาจทำให้โรคติดต่อในสัตว์ที่นักศึกษาอย่างพวกผมวิจัยอยู่หลุดรอดออกมาได้ ทางมหาวิทยาลัยจึงสั่งห้ามไม่ให้คนภายนอกซึ่งไม่รู้วิธีรับมือเข้าโดยเด็ดขาด เลยหันไปหาคนด้านหลังอีกครั้ง

"คุณตามเข้าไปไม่ได้แล้ว กลับคณะไปเถอะ"

"ผมรอหมออยู่แถวนี้ได้"

"กลับไปเรียนครับ"

"งั้นเรียกชื่อก่อน เรียกแต่คุณๆ เด็กวิศวะแบบผมไม่ชินหรอก"

"หยาบกร้าน"

"น้อยกว่าส้นเท้าแตกนิดหน่อย"

อดไม่ได้ต้องกรอกตาใส่ไปอย่างไม่สนใจมารยาทที่พึงมี ได้ยินเสียงทุ้มห้าวหัวเราะน้อยๆ ในลำคอพาให้สมุดสังเกตการณ์เชื้อในมือสั่นไปหมด

สั่นเพราะอยากจะเอาไปฟาดหน้าเขานี่แหละ

"กลับคณะไปคราม แล้วไม่ต้องมาอีกจะดีมาก"

คนตัวสูงทำหน้าพอใจ มุมปากยกยิ้มจนใบหน้าหล่อๆ ที่สาวในคณะผมชื่นชอบดูดีมากขึ้นไปอีก ก่อนจะวางมือใหญ่ลงมาที่หัวแล้วขยี้เบาๆ ไม่สนใจอายุที่มากกว่าและสายตาไม่พอใจจากผมเลยแม้แต่น้อย

"เจอกันตอนค่ำๆ ผมจะเอาไอ้เตี้ยไปให้ตรวจ"

ไม่รอให้ปฏิเสธเขาก็หันหลังเดินเสื้อช้อปปลิวไปแล้ว มองตามแผ่นหลังกว้างแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ประกาศกร้าวขนาดนี้ยังไงก็ต้องได้เจอกันแน่นอน และตัวเองก็ไม่ใช่พวกชอบหนีหน้าใครด้วยดังนั้นก็ได้แต่รอเวลาเจอกันเท่านั้น

"ไงฐา มาช้าแบบนี้แสดงว่าน้องครามตามมาอีกแล้ว"

เดินเข้าห้องไปไม่ทันไรก็โดนทัก ผมเงยหน้ามองหญิงสาวที่กำลังถือบีกเกอร์ที่ใส่สารละลายแกว่งไปมาแล้วพยักหน้ารับ วันนี้เป็นหน้าที่ของเราสองคนที่ต้องมาสังเกตการณ์ทั้งในส่วนของเราและของเพื่อนๆ ที่ทำค้างเอาไว้

"กี่เดือนแล้วนะ?"

"สองเดือน"

"น้องครามนี่เสมอต้นเสมอปลายดีแหะ ถ้าเป็นเราคงคบไปแล้วล่ะ"

"อย่าให้หนุ่มแพทย์คนนั้นได้ยินเชียวล่ะหมวย เดี๋ยวมีเรื่องเอา"

หล่อนหัวเราะก่อนจะวางของในมือลงแล้วแบมือรอสมุดบันทึกจากผม ตอนนี้เรากำลังสังเกตการณ์ระยะเวลาการฟักเชื้อในสภาพอากาศต่างๆ ตามที่อาจารย์ได้แจกจ่ายงานให้ เป็นงานที่สนุกสำหรับคนที่ชอบ แต่ก็ค่อนข้างน่าเบื่อที่ต้องมาส่องกล้องเป็นเวลานานๆ ส่วนผมน่ะเหรอ อยู่ในระดับกลางๆ ให้ทำก็ได้ไม่ให้ทำก็ไม่เกี่ยง

"เราว่าเขาก็ไม่ได้แย่อะไรนะ ออกจะ... เหมือนไซบีเรียนตัวใหญ่ๆ เสียด้วยซ้ำ"

ผมเผลอหัวเราะเมื่อได้ยินหมวยว่าอย่างนั้น พลันนึกไปถึงข่าวลือที่ได้ยินเข้าหูมาสักพักแล้ว

ช่วงแรกที่มีครามเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต เพื่อนๆ ต่างกังวลกันว่าผมจะถูกเด็กวิศวะมาหาเรื่องถึงที่ แต่พอรู้จุดประสงค์แท้จริงที่เขามักแวะเวียนมาเสมอๆ แต่ละคนต่างก็พากันหัวเราะ คำแซวที่บอกว่าผมไปเหยียบเท้าเขากลายเป็นแซวว่าผมมีไซบีเรียน ฮัสกี้ตัวเขื่องมาคอยเฝ้าแทน แถมยังทำหน้าที่ได้ดีเสียด้วย

 



ไซบีเรียน ฮัสกี้ตัวนั้นก็มาหาผมตอนเย็นตามที่เจ้าตัวลั่นวาจาไว้ พร้อมอุ้มลูกรักของตัวเองมาด้วย

มหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่มีคลีนิกรักษาสัตว์สำหรับนักศึกษา เพียงแค่ยื่นบัตรประจำตัวก็สามารถรับบริการครบวงจรโดยคิดเพียงหนึ่งในสามของค่ารักษา และมีบริการรับฉีดยาให้ตามที่พึงจะมี ส่วนสัตวแพทย์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นักศึกษาชั้นปีสูงๆ ที่กำลังเตรียมตัวจบและสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพแล้วอย่างพวกผมและอาจารย์ประจำภาควิชานี่แหละที่จะสลับกันมาอยู่เวรให้

"แผลหายดีแล้ว ขาก็ขยับได้เป็นปกติ หลังจากนี้ถ้าไม่มีอาการแปลกๆ ก็ไม่ต้องมาหาหมอแล้วล่ะ"

ผมเกาคางลูกหมาพันธุ์ผสมที่ตอนนี้ตัวโตขึ้นจากครั้งแรกที่เห็นประมาณหนึ่งเท่าพลางบอกกับเจ้าของมันไปด้วย ได้ยินเสียงร้องงี๊ดง๊าดก็ยิ่งชอบใจ อยากจะเกาพุงแถมให้เสียด้วยหากเจ้าหนูนี่จะยอมหงายพุงให้

"ไอ้เตี้ยไม่ต้องมาแล้ว แต่ผมมาได้ใช่มั้ยหมอฐา?"

"...ไม่มีธุระก็ไม่ต้องมา เอาเวลาไปตั้งใจเรียนสิคุณ"

"ปีสองยังไม่ต้องเรียนอะไรมาก มีเวลามาจีบหมอเยอะแยะไป เนอะไอ้เตี้ยลูกพ่อ"

อยากจะเอายาสลบโปะแล้วลากเขาออกนอกคลีนิกเสียเดี๋ยวนี้ พูดจาทำเป็นเรื่องเล่นๆ ได้ตลอด สมัยเป็นนักเรียนปีสองมีอะไรให้ผมทำตั้งเยอะแยะ ไม่มีเวลาว่างอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้หรอก

"วันนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร เสร็จแล้วก็กลับได้เลยครับ"

"เดี๋ยวผมรอหมอข้างนอก กลับด้วยกัน"

"เมื่อเที่ยงก็บอกแล้วว่าไม่..."

"ผมจะรอหมออยู่ข้างนอกเหมือนเดิมนะครับ"

ไอ้เด็กขี้ตื้อ!

จิ๊ปากพอให้เขาได้ยินโดยไม่เอ่ยอะไรต่อ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคราม เขาอุ้มลูกหมาที่ถูกยัดเยียดชื่อว่าเตี้ยออกจากห้องตรวจไป ปล่อยให้คนในห้องอย่างผมได้แต่ถอนหายใจอยู่คนเดียว

วันนี้ก็แพ้อีกแล้ว

สองเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่ครามวิ่งเข้ามาในคลีนิกพร้อมลูกหมาตัวเล็กในอ้อมกอด สภาพตอนนั้นเหมือนพวกเขาไปผ่านสงครามมา ตัวเปียกปอน เปื้อนคราบโคลนและคราบเลือดจนผมยังตกใจ ดูเหมือนเขาจะไปเจอลูกหมาตัวนี้นอนอยู่ข้างถนนระหว่างที่ขับมอเตอร์ไซค์มาเรียน เลยลงไปอุ้มมาส่งที่คลีนิกแม้ฝนจะตกลงมาหนักมากก็ตาม ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ผมอยู่เวรพอดีและได้กลายเป็นเจ้าของไข้ไปโดยปริยาย

หลังจากวันนั้นเขาก็เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตผม แถมไม่มีทีท่าว่าจะออกไปง่ายๆ ด้วย ซึ่งมันทำให้ผมลำบากใจอยู่ไม่น้อย ทั้งรำคาญความช่างตื้อของเขาด้วย และเหนื่อยใจกับความใจอ่อนของตัวเองด้วย ที่แม้ภายนอกจะบอกปฏิเสธไปแต่สุดท้ายก็ยอมอ่อนให้เขาอยู่ดี

 



"พี่ๆ ผมเอาขนมมาฝากครับ เจ้าเด็ดแถวบ้านเลย"

"ขอบคุณนะคะน้องคราม"

"เฮ้ย เจ้านี้นานๆ จะได้ไปซื้อที ขอบคุณมากไอ้น้อง"

"ไม่เป็นไรพี่ แค่เป่าหูให้เพื่อนพี่คนนั้นใจอ่อนรับรักผมสักทีก็พอ"

ผมทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนในกลุ่มพูดคุยกับคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมทั้งที่ไม่มีธุระจำเป็นกับคณะผมอีกครั้ง ได้ยินพวกเขาหัวเราะและพูดคุยกันเรื่องขนมนั่นแหละ ก่อนที่ร่างสูงไม่เข้ากับอายุจะเดินมาทิ้งตัวลงตรงเก้าอี้หน้าผมแล้วยื่นถุงขนมให้

"เสบียงสำหรับหมอฐาโดยเฉพาะ เต้าฮวยนมสด"

"...วางไว้ก่อนครับ งานยังไม่เสร็จ"

ไม่ถามหรอกว่าทำไมถึงรู้ของชอบของผม ก็ถือหางกันเสียขนาดนั้น ไม่คนใดคนนึงในกลุ่มก็ทั้งกลุ่มนั่นแหละที่ถวายพานข้อมูลส่วนตัวผมให้ครามไป

จำไว้นะครับว่าของหวานถือเป็นสินบนที่หาง่ายและได้ผลที่สุดหากคุณมีเพื่อนสายกิน

ถือว่ายังดีที่ครามเป็นพวกพูดรู้เรื่อง นอกจากเรื่องให้เลิกตื้อที่เขาไม่ทำตามแล้ว หากบอกให้อยู่เงียบๆ หรือพูดว่างานยังไม่เสร็จเขาก็จะไม่วุ่นวาย เพียงแค่นั่งมองผมทำงานแล้วชวนคุยบ้าง หรือไม่ก็หายไปอยู่กับเพื่อนผมที่บางครั้งก็ตั้งวงคุยกันในห้องเรียนแทน

"ทำไมหมอฐาถึงอยากเป็นสัตวแพทย์ล่ะ?"

"...ชอบสัตว์ ที่บ้านเลี้ยงเยอะด้วย เป็นหมอเองจะได้ไม่ต้องไปรักษาที่อื่น"

ตอบเขาไปทั้งที่มือก็ยังไม่หยุดจดโน้ตย่อการเรียนวันนี้ เพราะไม่ใช่พวกชอบทวนบทเรียนตอนกลางคืน เลยเลือกจะทำความเข้าใจเสียตั้งแต่ระหว่างรอเข้ากะที่คลินิกเลย มีอะไรก็ไปถามอาจารย์หรือไม่ก็เพื่อนเสียจะได้จบๆ ไป

"ไว้วันไหนผมไปเล่นกับสัตว์เลี้ยงบ้านหมอได้มั้ย?"

"ไม่เนียนครับ ไปเรียนมาใหม่"

ครามหัวเราะกับคำพูดของผม เขาเองก็รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าไม่มีทางที่มุกกากๆ จะเอาชนะผมได้ แต่ก็ชอบที่จะหยอดใส่ทุกครั้งที่มีโอกาส สงสัยจะเป็นพวกมาโซคิสต์ที่ชอบโดนด่า

"เห็นหน้าตึกมีป้ายกิจกรรมของเดือนหน้าติดอยู่ คณะหมอจะไปช่วยสัตว์หาบ้านสินะ?"

"อืม ไปทุกปีอยู่แล้ว"

"งั้นไปด้วย"

ผมละความสนใจจากตัวหนังสือมามองคนที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ สีหน้าเขาดูจริงจัง เป็นประเภทหากตัดสินใจจะทำแล้วก็ต้องทำให้ได้ประมาณนั้น

"อ้ะๆ อย่าทำหน้าแบบนั้น ผมไปเพราะอยากจะช่วย หมอฐาก็น่าจะดูออกว่าผมเป็นประเภทรักสัตว์ ส่วนอีกเหตุผลก็นั่นแหละ..." ครามไหวไหล่ "ตามตื้อคนใจแข็ง"

"เหตุผลแรกโอเคอยู่ แต่อันหลังเก็บไปเลย"

ครามหัวเราะ และเมื่อเห็นว่าผมยอมวางปากกาลงเขาก็รีบคะยั้นคะยอให้ผมลองเต้าฮวยนมสดเจ้าที่เขาซื้อมาให้ทันที ความจริงก็อยากเก็บท้องไปกินมื้อเย็นที่เดียว แต่คนขี้ตื้อคงไม่ยอมแน่

ระหว่างกำลังนั่งกินเต้าฮวยพลางมองครามคุยกับเพื่อนตัวเองไปด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น คนที่กำลังนัดแนะเวลามาช่วยงานแบบเนียนๆ คว้ามาดูแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใหญ่ สงสัยจะเป็นสายสำคัญ แต่ผมไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน การที่เขาจะหายไปคุยโทรศัพท์นานสองนานแล้วกลับมาพร้อมหน้ายับๆ ก็ไม่ทำให้ผมถามถึงสาเหตุหรอก

"ต้องไปก่อนนะหมอฐา เพื่อนให้ไปช่วย"

...เพราะต่อให้ไม่ถามก็รู้เรื่องอยู่ดี

"อืม ขอบใจสำหรับนี่"

ยกถ้วยที่อยู่ในมือให้เขาดู อย่างไรเสียผมก็เป็นคนมีมารยาท หากใครทำอะไรให้ก็ต้องขอบคุณเขาด้วย

"ยินดีครับ ไว้ผมมาช่วยเรื่องกิจกรรม"

"ไปตั้งใจเรียนเถอะคุณ"

"ไว้มาช่วยครับ"

พูดย้ำพร้อมทำหน้ายิ้มๆ ใส่ สีหน้านี้เห็นที่ไรก็ต้องจิ๊ปากทุกที แถมยังเอามือใหญ่ๆ ของตัวเองมาขยี้หัวคนอื่นเขาเสียอีก

"ปีนเกลียว"

"ก็ปีนออกบ่อย หมอฐาน่าจะชินได้แล้ว"

"อุ้ย... ปีนบ่อยว่ะ"

ได้ยินเสียงเพื่อนที่ทำทีเป็นกระซิบแต่จริงๆ อยากให้ได้ยินอยู่แล้วก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วหนักมากขึ้นอีก ครามก็ดูจะรู้เพราะคนตัวสูงยิ้มกว้าง ไม่วายมาดึงแก้มผมอีกหนึ่งคำรบให้พวกที่มองอยู่ทำเสียงโฮ่ฮากันอีกรอบก่อนจะขอตัวออกจากห้องเรียนประจำของพวกผมไป

"...อะไร"

เพราะเห็นสายตาที่เพื่อนส่งมาให้เลยเอ่ยถามออกไป หมวยเป็นคนแรกที่พุ่งตรงเข้ามา เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ผม

"มีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าป่ะ?"

"ไม่มีนี่"

"ช่วงนี้กลับพร้อมน้องครามไม่ใช่หรือไง?"

"ก็เขาตื้อ"

"แหม... คนอื่นตื้อไม่ยักกะยอมนะ"

ผมไหวไหล่ไม่ตอบอะไรอีก หญิงสาวเพียงคนเดียวในตอนนี้ยิ้มก่อนจะกลับไปคุยกับเดอะแก๊งค์ที่ยังนั่งจัดการขนมที่ใครบางคนซื้อมาไม่หยุด จะว่ายังไงดี ตะกละอาจจะไม่เพียงพอที่จะใช้เรียกเพื่อนผมก็ได้

หันกลับมามองถ้วยขนมในมือแล้วย้อนนึกไปถึงคนที่ซื้อมาให้ ไม่รู้จะต้องรับมือกับความช่างตื้อของครามอีกเท่าไหร่ และแม้จะไม่อยากยอมรับแต่คำพูดของหมวยก็วนอยู่ในหัว ผมยอมเขามากกว่าคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ



 

จู่ๆ ครามก็หายไปจากชีวิตผม

หลังจากครั้งสุดท้ายที่เขาแวะมาหาพร้อมขนมมากมายผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ปกติหากมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่เกินครึ่งชั่วโมงผู้ชายในชุดช้อปก็จะเดินยิ้มแป้นแล้นเข้ามาหา พักกลางวันก็จะมีคนมาก่อกวนถึงหน้าห้องแล็ป หรือหากตัวไม่มาก็มีห่อข้าวหรืออะไรฝากมาให้แทน ส่วนตอนเย็นน่ะหรือ นู้น... มาทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งตัวคนขับ พ่วงมาด้วยลูกหมาตัวน้อยที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าคลินิก

แต่ทุกอย่างที่ว่ามาหายไปจากชีวิตผมกว่าสัปดาห์แล้ว ไม่มีแม้แต่ข่าวคราว ราวกับครามไม่เคยมีตัวตนมาก่อน และคนที่รู้สึกแบบเดียวกันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนๆ ในกลุ่มผมที่ถือหางเขานั่นแหละ

"ช่วงนี้น้องมันหายไปเลยเนอะ"

แชมป์ทำทีเป็นเปิดกระดานคนไข้ของเจ้าตัวอ่านตอนพูดกับผม แต่อยากจะบอกมันอีกคนจังว่าไม่เนียน เพราะนั่นมันกระดานของเพื่อนอีกคนที่อยู่เวรก่อนหน้าต่างหาก

"เรียนหนักมั้ง"

"เหรอ..."

เหลือบตามองเพื่อนที่ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแล้วทำท่าส่ายหัว ก่อนจะยอมวางกระดานที่อยู่ในมือลงแล้วถอนหายใจหนักๆ ท่าทางเหมือนมีเรื่องหนักใจนั้นทำให้ผมสงสัยและเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

"มีอะไรหรือเปล่า?"

เอ่ยถามไปเพราะอดทนรอให้เขาเล่าเองไม่ไหว

"คือ... เพื่อนที่เรียนอยู่ใกล้ตึกคณะวิศวะบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนตีกัน บุกเข้ามาในมหาวิทยาลัยเลยแหละ เห็นว่ามีคนเจ็บด้วย"

แม้ชื่อเสียงของคณะวิศวะจะมาพร้อมกับเรื่องเล่าของนักเลงหัวไม้ แต่สำหรับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้มากเท่าที่อื่น พอมาได้ยินแบบนี้จึงตกใจเช่นกัน ยิ่งที่อีกฝ่ายสามารถเข้าถึงภายในที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้แสดงว่าคงมีเรื่องผิดใจกันชนิดที่รอไม่ได้แน่ๆ

บวกกับการเห็นครามรับโทรศัพท์แล้วรีบร้อนออกไปเมื่อวันนั้นมันก็ค่อนข้างจะพอดีกันอยู่ เขาอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่ไปร่วมวงด้วย และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหายไป

"แต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ไม่ต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นหมอฐา"

"...เปล่าเสียหน่อย แค่คิดถึงลูกหมาที่จะเข้ามาตรวจวันนี้ เจ้านั่นชอบกินของเค็มไตเลยไม่ค่อยดี"

มือที่กำลังตบบ่าผมชะงักไปก่อนที่เขาจะยิ้มคล้ายเหนื่อยใจกับคำพูดของผมเหลือเกิน

"ถ้าน้องมันมาได้ยินคงเสียใจแย่"

"ให้มาก่อนเถอะ"

หลุดปากพูดออกไปแบบนั้นแล้วจึงเห็นรอยยิ้มล้อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนตัวเอง รู้สึกพลาดไปแล้วเลยได้แต่ขอตัวเดินออกมาจากห้องพักเพื่อเข้ากะของตัวเองให้เร็วมากขึ้น

แอบรู้สึกว่าไม่น่าไปถามเพื่อนเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องมานั่งชะเง้อคอมองทุกครั้งที่ประตูคลินิกเปิด ว่าคนที่เข้ามาจะใช่คนที่อาจไปมีเรื่องจนหน้าแหกมาหรือเปล่า



 

หอพักที่ผมอยู่เป็นหอพักใน ไม่ไกลจากคณะและจากคลินิก ดังนั้นผมจึงอาสาเป็นคนที่อยู่ดึกเกือบทุกครั้งที่เข้ากะ และเลือกใช้เส้นทางลัดเดินจากด้านหลัง ลัดเลาะตามทางเพื่อหลีกเลี่ยงถนนใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่งชวนให้หงุดหงิดกลิ่นควันรถและต้องหลบมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นมาขับบนเส้นทางคนเดิน

แม้จะปาเข้าไปกว่าสองทุ่มแล้วแต่ผมไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันนี้มีคนนำสัตว์เข้ามาตรวจเยอะจนลืมหิวหรือเป็นเพราะเรื่องของใครบางคนที่เพื่อนเอามาพูดใส่ให้ผมต้องคิดตาม ยิ่งพอคิดก็ยิ่งต้องถอนหายใจ ตัวผมเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เชียว เพียงแค่อะไรๆ รอบตัวมันไม่เหมือนเดิมก็เท่านั้น

"หมอฐา ระวัง!"

เพราะมัวแต่เดินคิดอะไรเพลินๆ กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับเสียงร้องเตือนก็ไม่ทันแล้วเพราะแรงกระแทกจากด้านหลังทำให้เกือบจะล้มหน้าคว่ำเอาเสียก่อน ดีที่พลิกตัวทันทำให้ไม่ใช่หน้าที่กระแทกแต่เป็นก้นกบต่างหาก

"ไอ้ยักษ์! หยุด ห้ามเล่น ไปนั่งเฉยๆ เลย!"

ขณะที่ผมเบี่ยงหน้าหลบลิ้นเปียกชื้นของสุนัขตัวใหญ่ คนตัวสูงเจ้าของเสียงคุ้นเคยก็วิ่งมาคว้าเชือกจูงสุนัขดึงสัตว์ตัวใหญ่ออกจากร่างผม พร้อมดึงแขนให้ลุกขึ้นยืน แม้หน้าตาจะเปลี่ยนไปจากรอยแผลแตกยับแต่ผมมั่นใจว่านี่คือคนคนเดียวกับเด็กขี้ตื้อที่ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปจากชีวิตผมแน่ๆ

"หมอเป็นยังไงบ้าง? เจ็บมากมั้ย ขอโทษนะ ดึงไว้ไม่อยู่จริงๆ ไอ้ยักษ์นี่แรงเยอะเป็นบ้า"

ครามตรงเข้ามาพลิกแขนผมซ้ายขวา แถมยังจับหมุนตัวดูจนเวียนหัวไปหมด ทั้งที่หน้าตัวเองนั่นแหละที่มีแผลเยอะจนดูน่าเป็นห่วงแท้ๆ

"...ไม่เป็นไร"

"เดี๋ยวเดินไปส่งที่หอ"

ไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะเมื่อพูดจบเขาก็คว้าข้อมือผมด้วยมือข้างที่ว่างเป็นฝ่ายเดินนำไปตามทางเงียบสงบแทน ราวกับหากไม่มีเขาแล้วผมจะต้องเดินหลงทางยังไงอย่างนั้น

ระหว่างทางมีเพียงความเงียบและเสียงจิ้งหรีดร้องเบาๆ ตามทาง ไม่มีใครพูดอะไรและน่าแปลกที่ผมไม่เอ่ยปรามการกระทำของเขาด้วย ท่าทางการหายตัวไปร่วมสัปดาห์ของครามจะส่งผลกระทบกับความคิดบางส่วนของผมจริงๆ

"ขอโทษครับที่ช่วงนี้ไม่ได้ไปหาเลย"

เมื่อเห็นปลายทางซึ่งเป็นตึกหอพักอยู่ไม่ไกลนักเขาก็หยุดเดินแล้วเหลือบมามองผม เสียงทุ้มห้าวติดจะสำนึกผิดเอ่ยขึ้นก่อนจะกระตุกแขนให้ผมเดินตามเขาไปนั่งบริเวณรั้วเตี้ยที่ทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษาเอาไว้ใช้จอดรถจักรยาน

"ก็ไม่จำเป็นต้องมาหาทุกวันสักหน่อย"

ครามหัวเราะก่อนจะตบลงไปไม่เบานักที่ข้างลำตัวของสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนตัวใหญ่ที่นั่งลิ้นห้อยอยู่ข้างๆ มันทำท่าเหมือนจะลุกเข้ามาหาผมอีรอบ แต่โดนดุเลยนั่งจ๋องอยู่ที่เดิมเสียก่อน

...เหมือนเจ้าของตอนโดนผมดุชะมัด

"ช่วงนี้พี่ชายเอาไอ้ยักษ์มาฝากไว้ที่บ้านเพราะเขาไปทำงานต่างประเทศ"

"ตัวนี้?"

จำได้ว่าเขาเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังอยู่ บ้านของครามอยู่ในหมู่บ้านราคาแพงไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ หากเดินจากหอผมที่เป็นทางผ่านก็ไม่เกินยี่สิบนาที ส่วนพี่ชายทำงานเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ มีบ้านแยกไปในหมู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ งงใจกับคนรวย จะแยกบ้านกันอยู่ทั้งทียังแยกอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน

"อืม... แต่ไม่มีคนเอามันอยู่เลยเพราะมันซนมาก" เขาเล่าพลางเกาหัวเจ้าตัวโตไปด้วย "พอกลางวันก็ต้องกลับบ้านไปดูรอบนึง กลัวไปกัดไอ้เตี้ยตาย ตอนเย็นก็ต้องพามาเดินเป็นชั่วโมงๆ พลังงานโคตรเยอะ จะแวะไปหาที่คลีนิกมันก็วิ่งหนีไปอีกทาง สงสัยจะได้กลิ่นยา"

ฉลาดแต่เสือกไม่รู้ใจเจ้าของ... ครามด่าหมาไปหนึ่งที แต่เจ้าตัวที่โดนด่าไม่รู้เรื่องหรอก นอนงับเชือกรองเท้าผ้าใบแล้วดึงจนหลุดแล้วนั่น

"ดูหมาจนไม่ได้มาดูหมอเลย โคตรคิดถึงรู้ตัวมั้ยเนี่ย?"

"...เสี่ยว"

ผมเริ่มเกลียดเสียงเวลาเขาหัวเราะในลำคอแล้วจริงๆ นะ แถมยังทำหน้าราวกับไม่รู้ว่าผมไปว่าเขาเรื่องอะไรอีก

"ช่วงที่ผมไม่อยู่มีคนมาจีบป่ะ?"

"คิดว่าจะมีใครเขาว่างเหมือนตัวเองไหมล่ะ?"

ย้อนกลับเขาไป เอาเข้าจริงยังสงสัยว่าครามมาติดใจอะไรในตัวผู้ชายอย่างผมนักทั้งที่หน้าตาอย่างเขาก็ดูไม่น่าจะขาดแคลนคนรู้ใจจนต้องใช้เวลาว่างกับผมขนาดนี้

"ไม่มีแหละดีแล้ว หมอใจแข็ง สงสารเขา"

"สงสารตัวเองอยู่งั้นสิ?"

"ไม่เคยสงสารหรอก กับคนอื่นหมอใจแข็งจริงแต่กับผมหมอทำไปงั้นแหละ สงสัยว่าจะเขิน"

เหมือนโดนแทงใจดำแล้วลูบหลังด้วยรอยยิ้ม ใช้ขาเตะหน้าแข้งไปหนักๆ ให้ร้องโอดโอยแถมไม่อยากมองหน้าเขาให้ต้องจิ๊ปากอีกหนเลยเลือกจะตบหน้าขาเรียกเจ้าหมายักษ์ให้มาใกล้ๆ แล้วนวดหน้าให้มันแทน ดูท่าจะชอบเพราะถึงขนาดนั่งนิ่งทำหน้าเคลิ้มใส่เสียด้วย

"แล้วหน้าไปโดนอะไรมา?"

"คิดว่าผมไปตีกับคนที่ยกพวกมาแน่เลยถ้าถามแบบนี้"

"แล้วใช่ไหมล่ะ?"

"หึ อันนี้มอเตอร์ไซค์ล้มเพราะไอ้ยักษ์นั่นแหละ ขึ้นมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกก็ตื่นเต้นจนอยู่เฉยไม่ได้ ทำล้มหน้าคว่ำทั้งคนทั้งรถ"

ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่ครามจะไปถือไม้หน้าสามไล่ตีกับคนอื่นอยู่แล้ว

เขาเล่าให้ฟังต่ออีกว่าคนที่มีเรื่องกันคือพวกรุ่นพี่ที่โตกว่า เหมือนจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรืออย่างไรนี่แหละ แล้วก็เคลียร์กันไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันนั้น ส่วนเพื่อนเขาที่ว่ามีปัญหาจนต้องโทรมาตามก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่รถดับเลยให้ไปช่วยดูเฉยๆ

ตลกดีที่พอได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นช่วงนี้หายไปจนหมด ราวกับยกภูเขาออกจากอกตัวเองไปโยนทิ้งที่ไหนก็ไม่รู้

"หมอ... ฐาเริ่มใจอ่อนกับผมบ้างยัง?"

มือที่กำลังลูบขนแน่นๆ ของเจ้ายักษ์ชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำถามของเขา น้ำเสียงและใบหน้าของคนที่กำลังมองผมเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองดูตลกไม่น้อย ท่าทางหลุบต่ำแล้วมองแบบนั้นทำให้ต้องเหลือบไปมองไซบีเรียนที่นั่งอยู่ข้างกัน รู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อน... ครามกลายร่างเป็นสุนัขตัวโตที่กำลังหงอ หูลู่หางตกเพราะไม่มั่นใจอย่างหนัก

"...เอาโทรศัพท์มา"

"ครับ?"

"จะเอาหรือไม่เอา เบอร์น่ะ"

ดูเหมือนผมเป็นคนใจร้ายเลยใช่ไหมล่ะ ขนาดเบอร์โทรศัพท์ก็ยังไม่ให้ทั้งที่ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วที่เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อ ตัวเองยังแปลกใจที่ครามไม่เคยตื้อขอเบอร์เลยหลังจากที่ปฏิเสธไป ทว่ากับเรื่องอื่นดันไม่ยอมแพ้ ตื้อจนไม่รู้ว่าผมจะรับมือยังไงนอกจากโอนอ่อนผ่อนตามเท่าที่จะทำได้

คนตัวโตรีบยื่นโทรศัพท์ให้ทั้งที่ยังทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ พอรับโทรศัพท์คืนยังมองซ้ำหลายๆ รอบสลับกับมองหน้าผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ก็ทำไมกันล่ะ...

"แบบนี้... หมายถึงหมอใจอ่อนกับผมแล้วใช่ป่ะ?"

"...จะถามมากเพื่อ"

ก็ได้ ผมยอมรับว่าแพ้คนขี้ตื้อชื่อครามเข้าให้แล้ว พอใจหรือยัง?

 





-----------------------------------------------------------





TALK: กลับมาแล้วค่ะ! กลับมาพร้อมคู่ใหม่หลังจากที่เลทไปหลายวัน มีข้อแก้ตัวนะเออ อาทิตย์นี้งานเยอะมากจริงๆ บวกกับเราต้องไปต่างจังหวัดเพราะเรื่องงานด้วยเลยทำให้ไม่มีเวลามาลงเลยค่ะ กลับมาเล่นแป๊บๆ ก็ต้องนอนแล้ว (เรียกว่าน็อคเองดีกว่า) อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ก็คงจะยุ่งๆ เหมือนเดิม มาช้าไปบ้างอย่าโกรธกันนะ

สำหรับตอนนี้เป็นแนวคนที่เราชอบทั้งสองคนมาเจอกันค่ะ คนขี้ตื้อกับคนใจอ่อน แต่เป็นการตื้อในระดับที่พอดีกับใจ และใจอ่อนในแบบนี้เฮ้ย เรารู้ว่านายแค่เขิน 555555555555 เป็นอะไรที่เราชอบมากๆ เลย และแน่นอนว่าคนแบบนี้จะมาโผล่ในนิยายอีกแน่นอนค่ะ

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงชนิดสามฤดูในวันเดียว อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะคะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจและการตามติดในทุกช่องทาง (ไม่ใช่หนังผีนะ ไม่ใช่) แถมแก้คำผิดให้ด้วย ขอบคุณมากๆ ค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ในวันที่แวะมาได้ค่ะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[14]





คุณรู้จักคนประเภทแข็งนอกอ่อนในไหมครับ?

ดูภายนอกเป็นพวกหัวรั้น ชอบพูดจาตัดรอนราวกับไม่อยากจะเสวนาด้วย แถมยังชอบไล่ให้ไปไกลๆ แต่เพียงแค่ยิ้มอ้อนแล้วทำตัวขี้ตื้อเข้าหน่อยก็ใจอ่อนยวบเหมือนฟองน้ำนุ่มๆ

ผมตกหลุมรักคนประเภทนี้เข้าเต็มเปา

 





"ยังไม่หยุดตกอีกเหรอวะเนี่ย..."

ผมมองสายฝนที่โปรยลงมาไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วอดไม่ได้ต้องระบายความในใจแบบออกเสียง ตอนมาเรียนก็หวุดหวิดจะเปียกไปรอบดีที่เหยียบเท้าเข้าอาคารเรียนได้ทัน แต่ดูท่ารอบเย็นนี่จะไม่แคล้วกลายเป็นลูกหมาตกน้ำกลับบ้านแน่ๆ

ถอนหายใจหนึ่งรอบก่อนตัดสินใจวิ่งออกจากใต้ตึกไปยังลานจอดรถ สตาร์ทเครื่องขับฝ่าสายฝนด้วยความระมัดระวังในแบบของตัวเอง โชคยังดีที่เป็นพวกใส่หมวกกันน็อคเวลาขับมอเตอร์ไซค์เลยช่วยกันกระหม่อมได้บ้างแม้รู้ดีว่าหัวเปียกๆ กับการใส่หมวกจะทำให้รู้สึกเหนอะหนะหนักกว่าเดิมก็ตาม

ทว่าฟ้าฝนก็ช่างไม่เป็นใจ ปล่อยฝนห่าใหญ่ลงมาอีกระลอกจนผมต้องยอมแพ้เลี้ยวรถเข้าปั้มร้างข้างทาง ที่จำได้ว่ามีเพราะชอบขับมาทางลัดตรงนี้บ่อยๆ เวลาอยากกลับให้ถึงบ้านไวๆ แถมที่นี่ยังมีหลังคาผุๆ ของหน้าร้านซึ่งเคยทำเป็นร้านสะดวกซื้อบังฝนยามจำเป็นเช่นตอนนี้ด้วย

"...เหนอะหนะไปหมด เซ็งชะมัด!"

ถอดหมวกกันน็อควางไว้บนลังข้างตัว ไม่รู้ใครเอามาวางไว้แต่ก็พอเหมาะพอเจาะดี เงยหน้ามองท้องฟ้าอีกรอบพลางกร่นด่าฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจเอาเสียเลยก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ สายฟ้าก็ฟาดลงมา ไม่ได้กลัวฟ้าผ่า แต่กลัวสิ่งที่จะตามมามากกว่า

ครืนนน

ต่อให้เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่แต่กับเสียงฟ้าร้องก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ ผมยกมือขึ้นปิดหูสองข้างพร้อมนิ่วหน้าไปด้วย และอีกครั้งที่ย่นคิ้วจนจะมาชนกันเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากในกล่องข้างตัว แถมยังมีแรงกระแทกจนหมวกกันน็อคสั่นไปหมดอีก ไม่เชื่อเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่เสียงฟ้าร้องจากธรรมชาติเมื่อกี้ฉุดขวัญไปเกือบหมดแล้ว แถมไอ้กล่องนี่เดี๋ยวก็ขยับเดี๋ยวก็หยุดยิ่งชวนให้สงสัยหนักกว่าเดิมว่าในนั้นเป็นอะไร ก็ตอนแรกมันยังไม่มีเสียงแบบนี้เลยนี่หว่า

...ผีไม่ออกมาตอนบ่ายหรอกมั้ง ต่อให้เมฆมันจะครึ้มขนาดนี้ก็เหอะ

ให้กำลังใจตัวเองแล้วยื่นมือเข้าไปใกล้ สิ่งที่อยู่ในนั้นชนกล่องจนสั่นอีกรอบเล่นเอาเกือบต้องหดแขนกลับ แต่ก็เลือกจะคว้าหมวกกันน็อคมากอดไว้ มองสำรวจเจ้ากล่องปริศนาอย่างชั่งใจว่าจะเปิดดีหรือไม่ จนกระทั้งเห็นอะไรบางอย่างที่คุ้นตาเหลือเกินพยายามกระแทกฝากล่องออกมาคล้ายพยายามหาอากาศหายใจถึงได้รู้ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนาในกล่องนั้นคืออะไร

"ใครแม่งเอาหมามาใส่กล่องลังปิดไว้แบบนี้วะเนี่ย!?"

สบถเสียงดังลั่นแทบจะขว้างของในมือทิ้งถ้าไม่สำเหนียกได้เสียก่อนว่าราคาต่อชิ้นเกินกว่าจะเก็บเงินซื้อเองไหว วางมันไว้ข้างกายแล้วอุ้มเจ้าลูกหมาที่เริ่มส่งเสียงงี๊ดง้าดอย่างน่าสงสารออกมาจากในลัง ตัวมันเล็กนิดเดียว อายุไม่มีทางเกินแปดเดือนแน่ ดูจากทรงแล้วคงเป็นหมาพันธุ์ผสมที่คนไม่อยากเลี้ยงหรือตัวแม่ไปพลาดเอาตอนหลุดออกมาจากรั้วบ้าน พอลูกออกมาไม่ได้ตามมาตรฐานเลยเอามาทิ้ง

"เฮ้ย! บาดเจ็บหนักเลยนี่หว่า ต้องพาไปหาหมอก่อน หมอๆ"

ตาลีตาเหลือกไล่หาเบอร์โทรศัพท์เพราะที่บ้านใช้บริการโรงพยาบาลสัตว์บ่อย แต่ก็มานึกขึ้นได้ว่าต่อให้โทรไปก็พาตากฝนไปไม่ได้อยู่ดี เพราะที่ไปประจำต้องขับจากบ้านกว่ายี่สิบนาที กว่าจะไปถึงตรงนั้นนอกจากจะเปียกทั้งคนทั่งหมาแล้วอาจจะทำให้แผลที่ขาเจ้าหนูนี่แย่ลงไปอีก

แต่ระหว่างที่ไม่รู้ว่าควรเลือกหนทางไหนความทรงจำรางๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว เมื่อสองวันก่อนมั้งที่เดินผ่านคณะสัตวแพทย์แล้วเห็นเขาติดป้ายคลีนิกสัตวแพทย์อาสาอะไรนี่แหละ ถ้าที่นั่นคงพอมีคนดูอาการให้ได้อยู่ถ้าไม่กลับกันหมดแล้ว หวังว่าไอ้ตัวเล็กนี่พอจะมีโชคอยู่บ้างแล้วกันไหนๆ ก็โคจรมาเจอกันแล้วทั้งที

"ไปกันไอ้เตี้ย หวังว่าแกจะมีโชคมากพอ"

พูดไปก็ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็ต้องซุกหมาที่เก็บมาได้ข้างทางเข้าในตัวเสื้อนักศึกษาแล้วสวมหมวกกันน็อคขับตากฝนออกมาทั้งอย่างนั้น แม่งเอ้ย... หนีฝนให้ตายสุดท้ายก็ต้องมาโดนอยู่ดี ดีจริงๆ ไอ้คราม!





 

"ยังมีหมออยู่มั้ยครับ!? มาดูเจ้านี่หน่อย มันโดนอะไรมาไม่รู้"

พอเข้ามาในตัวคลีนิกได้ผมก็โวยวายลั่นเพราะเห็นเลือดซึมออกมาจากตัวเสื้อเยอะเลยคิดว่าไอ้ตัวใต้เสื้อน่าจะเสียเลือดไปไม่น้อย

"ใจเย็นๆ นะครับคุณ... พาสัตว์เลี้ยงมาด้านนี้เลยครับ"

แต่นอกจากคนที่ดูเหมือนหมอจะดูไม่ตื่นเต้นด้วยแล้วยังเดินนำพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นบริกรเยี่ยมชมโรงแรมอีก อยากจะจับมาเขย่าแล้วบอกว่ามันไม่ใช่เวลามาสบายใจขนาดนี้แต่ก็ถึงห้องตรวจก่อนพอดี แต่แทนที่เขาจะเดินเข้าไป กลับหันมาแล้วแบมือมาตรงหน้าแทนคล้ายกับจะเป็นคนอุ้มเจ้าหนูในมือแทนให้

"เดี๋ยวผมอุ้มมันเข้าไปเอง หมอนำเข้าไปเหอะ"

รีบเอ่ยตัดบทไป ผมพามาผมก็ต้องอยู่ได้ตลอดสิ เป็นคนมีความรับผิดชอบนะครับ ไม่ใช่พามาแล้วทิ้งๆ ขว้างๆ

แม้เขาจะทำหน้าเหมือนไม่เห็นด้วยพร้อมมองสภาพผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนไม่อยากให้เข้าไปในสภาพนี้ แต่พอได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของเจ้าหมาที่เริ่มสั่นอยู่ในอ้อมกอดก็เปิดประตูให้เข้าห้องแต่โดยดี

"คุณเช็ดให้แห้งก่อน"

ผ้าขนหนูหนานุ่มถูกยื่นให้ ผมรับมามองด้วยสายตาไม่เข้าใจ

"ใช่เวลาเช็ดขนมันที่ไหนล่ะหมอ หมอดูแผลมันก่อนเถอะ"

แอบเห็นว่าคิ้วของคนตรงหน้ากระตุกเบาๆ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองผมเหมือนเมื่อครู่ผมพูดอะไรที่แปลกประหลาดมากออกมา

"ผมให้คุณเช็ดผมตัวเองครับไม่ใช่ขนหมา แต่ถ้าจะเรียกว่าขนก็แล้วแต่คุณนะ"

...หมอเล่นกูละไง

จะตอกกลับไปแต่อีกฝ่ายก็ละความสนใจไปเสียแล้ว เขาห่อเจ้าหมาตัวเล็กบนเตียงด้วยผ้าขนหนูอีกผืนที่ดูจะสั้นกว่า ก่อนสวมถุงมือกับผ้าปิดปากแล้วจับขาเล็กๆ ที่เหมือนจะกระตุกหนีด้วยความเบามือก่อนจะพิจารณาแผลบนขาของไอ้เตี้ยพลางบอกอาการไปด้วย

"แผลใหญ่เหมือนกัน น่าจะไปติดรั้วเหล็กที่กั้นขอบทางมา..."

"รักษาได้มั้ยหมอ หรือผมต้องเอาไปโรงพยาบาลใหญ่กว่านี้อ่ะ?"

"...ผมจะห้ามเลือดแล้วเย็บปิดปากแผลให้ คุณไปรออยู่ข้างนอกก็ได้ครับ"

"ไม่เอาอะ ผมนั่งดูในนี้ดีกว่า อุ่นกว่าข้างนอกด้วย"

เขาเหลือบตามองผมแต่ไม่พูดอะไรก่อนจะลงมือจัดการงานของเขาต่อไป เอาจริงๆ นะ ต่อให้บอกว่านั่งดูอยู่ในนี้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการดูหมอเย็บแผลให้หมา

เริ่มครอบอะไรสักอยากให้เจ้าหนูบนเตียง ก่อนจะลงมือฉีดยาชาหรืออะไรนี่แหละให้ ไอ้เตี้ยร้องครางเบาๆ แต่ก็ไม่สู้อะไร แล้วหลังจากนั้นคือพิธีกรรมเย็บสภาพขาให้มันกลับมาติดกัน พอถึงตอนนี้ผมก็เลือกจะมองไปที่อื่นแทนเข็มที่ร้อยด้ายแทน แต่ในนั้นมันมีอะไรน่ามองเสียเมื่อไหร่ แถมไม่อยากเสียฟอร์มที่บอกว่าจะนั่งในนี้ด้วย เลยเลือกที่จะมองสิ่งที่ดูน่ามองที่สุดในห้อง... หน้าหมอนี่แหละ

เคยได้ยินว่าคณะแพทย์มีคนหน้าตาดีเยอะ แต่ไม่คิดว่าแพทย์ที่ว่านั่นรวมถึงสัตวแพทย์ด้วย อย่างหมอคนนี้ถ้าเดินผ่านกันหน้าคณะนิเทศก็คงคิดว่าเป็นเด็กนิเทศไปแล้ว ตาเรียว จมูกโด่ง ปากสีอะไรนะ? น่าจะอมชมพูดูสุภาพดี เป็นประเภทที่สาวเห็นสาวหลง เจริญหูเจริญตาดี

ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีกับการมองหมอเย็บแผลให้หมา เสียดายอยู่หน่อยๆ ตอนที่เขาพูดขึ้นมาว่าเสร็จแล้ว บอกตรงๆ ว่ายังเพลินกับการมองหน้าหมออยู่เลย

"ฝนยังตกอยู่ ผมแนะนำให้ดูอาการอยู่ที่นี่ก่อนจะดีกว่านะครับ"

ปากหมอสีชมพูจริงๆ ด้วยว่ะ...

"ก็ได้นะ เอาที่หมอสะดวก ไว้มันดีขึ้นผมจะมารับมันไปหาบ้านใหม่"

"...ถ้าไม่อยากเลี้ยงแล้วเอามาไว้ที่นี่ตลอดเลยก็ได้ครับ เรามีโครงการหาบ้านให้หมาทุกปี"

เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเหมือนเดิมแต่ฟังแล้วติดจะไม่พอใจ ชิบหาย... หมอจะคิดว่าผมใจไม้ไส้ระกำกับหมาขนาดเอามันไปทิ้งหรือเปล่าเนี่ย

"เปล่าๆ ไม่ใช่หมาผม ยังไงดี ผมไปเจอตอนหลบฝน มันถูกทิ้งไว้ในกล่อง เห็นว่าบาดเจ็บเลยพามาที่นี่เพราะใกล้สุดแล้ว"

สายตาที่มองมาเหมือนมีแววไม่เชื่อ ทำเอาผมต้องอธิบายไปว่าที่บ้านไม่รังเกียจจะรับมันไปดูแลเพราะเลี้ยงไว้อยู่แล้ว เป็นสายพันธุ์แชมป์กับพวกที่ได้มาจากวัดเหมือนกัน ครอบครัวผมเป็นพวกรักสัตว์แถมยังมีที่ทาง เลยเอามาเลี้ยงจนผูกพันกันตั้งแต่ยังเด็ก การจะทิ้งไอ้เตี้ยไว้ที่นี่ไม่มีอยู่ในหัวสมองเลย

"ทำดีแล้วครับ แล้วจะตั้งชื่อมันว่าอะไร ผมจะเขียนติดหน้ากรงไว้ให้"

"ไอ้เตี้ย"

"ครับ?"

"ไอ้เตี้ย ตัวเตี้ยๆ ต้องชื่อนี้แหละ"

เขาดูจะอึ้งๆ ไปก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา และให้ตาย การได้เห็นรอยยิ้มของคนที่ตีมาดนิ่งมาตลอดตั้งแต่ที่ผมเยียบเข้ามาในคลีนิกนี้มันทำให้ในอกเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ ชื่นใจยังไงก็ไม่รู้

รู้ตัวอีกทีก็จำชื่อเขาไว้แล้ว ว่าที่สัตวแพทย์หนุ่มคนนี้คือหมอฐา คนที่ผมมาดหมายว่าจะให้มาเป็นสัตวแพทย์ประจำบ้านในอนาคต





 

"เดี๋ยวนี้เอะอะดูแต่หน้าจอมือถือ เลิกเรียนก็แจ้นไปคณะแพทย์ พ้งเพื่อนนี่ไม่มีสนใจเลยนะไอ้คราม"

ท่อนแขนหนักๆ พาดบนไหล่แบบนี้รู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงจะเป็นใครที่ไหนไปไม่ได้นอกจากทิม เพื่อนร่วมคลาสที่ช่วงหลังตัวไม่ค่อยติดกันเท่าไหร่ สาเหตุก็อย่างที่มันเพิ่งจะปรามาสไปนั่นแหละ

"ของแบบนี้ต้องสม่ำเสมอสิวะ"

ยักคิ้วลิ่วตาใส่มันไปแล้วก็ต้องร้องโอดโอย ลืมไปว่าแผลที่หางคิ้วยังไม่สมานกันดีนัก ทิมมองแล้วส่ายหัวไปมา

"ไอ้ยักษ์ก็ทำซะแสบ เห็นตอนแรกทำตกใจกันไปหมด นึกว่าไปโดนลูกหลงพวกพี่ๆ เขาเข้า"

"อย่าว่าแต่เอ็งเลย หมอฐาก็ตกใจ"

เมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุการณ์ยกพวกตีกันในคณะวิศวะที่ผมประจำอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะอุกอาจขนาดกล้าเข้ามาตีกันในตัวมหาวิทยาลัย เจ็บกันไปก็หลายคนอยู่ และบังเอิญกับที่ตัวเองซึ่งลาหยุดไปรถล้มเข้าพอดี ไม่ใช่เพราะประมาทหรืออะไร แต่ไอ้ยักษ์ หมาตัวยักษ์สมชื่อที่ตื่นเต้นกับการขึ้นมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกพาหน้าแหกกันไปเป็นแถบต่างหาก

พอหน้าแหกก็ไม่กล้าไปเจอหน้าหมอฐา มารู้จากเพื่อนว่าเขาลือกันไปหมดแล้วเรื่องแผลบนหน้า เลยแอบแวะเวียน พาหมาไปเดินเล่นแถวทางที่อีกคนใช้เวลาเดินกลับเป็นบางครั้ง โชคดีไม่น้อยที่เจอกันและได้พูดคุย และโชคดีมากกว่าที่ได้รู้ว่าหมอใจอ่อนให้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

"แค่พูดถึงก็ยิ้มแล้ว เป็นเอามากนะเอ็ง"

ไม่รู้ตัวว่ายิ้มแต่เพราะเพื่อนบอกก็เลยทำทีเป็นยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วก้มลงไปพิมพ์ข้อความหาคนที่น่าจะกำลังเตรียมตัวเข้าเรียนคาบบ่ายอยู่



MR.KRAM

อยู่ไหนครับ?



THA

ที่เดิมครับ

มีอะไรหรือเปล่า?



MR.KRAM

คิดถึงครับ

เดี๋ยวเดินไปหานะ



THA

ไม่ต้องมาก็ได้ ผมทำงานอยู่



MR.KRAM

อีกสิบนาทีเจอกันครับผม



THA

.........

ถ้าถามแล้วไม่เอาคำตอบคราวหลังก็ไม่ต้องถามนะครับ

เสียดายแรงพิมพ์ตอบ



ให้ตาย หมอฐานี่ปากคอเราะร้ายไม่เว้นตัวหนังสือเลย!

 





ผมยื่นถุงพลาสติกใส่กล่องนมส่งให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดอะไรบางอย่างลงสมุดอยู่ หมอฐาเงยหน้ามองพร้อมเลิกคิ้ว คล้ายกำลังถามว่าวันนี้ผมจะมาเล่นลูกไม้อะไรกับเขาอีก

"นมครับหมอฐา"

“เอามาทำไม?"

"เอามาให้เจาะแล้วดูดเข้าไป เรียนหมอเรื่องแค่นี้ไม่รู้ได้ไง"

เกร็งมือจับปากกาแน่นเชียว สงสัยจะกลัวปากกาหลุดมือ

เขามองอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วก้มลงไปจดงานต่อ เป็นอย่างนี้ทุกที เอาอะไรมาให้ก็ไม่ค่อยรับจนต้องเป็นฝ่ายบังคับเสียเอง

หลอดที่ติดกับตัวกล่องถูกแกะออกมาแล้วเสียบเข้าที่พร้อมยื่นส่งให้ หากหมอฐาก็ไม่คิดจะส่งมือมารับ ถือค้างอย่างนั้นอยู่นานจนสุดท้ายต้องเปลี่ยนทิศทางจากมือเขาเป็นกะให้ปลายหลอดไปแตะบริเวณปากอิ่มอมชมพูที่ชอบแอบมองแทน ครั้งแรกไม่สนใจ ครั้งที่สองคิ้วมุ่นชนกัน และครั้งที่สาม... อ่า หมอฐาดูจะอารมณ์เสียแล้วแหะ

"ถ้าหมอไม่ยอมดื่มเท่ากับอยากจูบทางอ้อมนะ"

"...อะไร"

"ก็เนี่ย หลอดแตะปากหมอไปหลายรอบแล้ว ถ้าเอามาดูดเท่ากับปากแตะที่เดียวกับหมอ จูบทางอ้อมชัดๆ"

สงสัยจะตกใจจนลืมประชดประชันเลยได้แต่ทำตาโตมองแบบนั้น ได้ทีผมก็เผยยิ้มพร้อมยื่นกล่องนมไปให้อีกรอบ

"ไม่ได้ใส่อะไรแปลกๆ ลงไปแน่นอน หมอฐาไม่ต้องกลัว"

"คิดว่ากำลังหลอกเด็กอยู่หรือไงครับ?"

แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็ยอมรับกล่องนมไปและให้ความสนใจกับการจดเนื้อหาลงสมุดต่อ หมอฐาเป็นคนขยันเรียนสมกับที่พวกเพื่อนๆ บอกว่าเป็นหัวกะทิของชั้นปี

"กลับคณะไปเรียนสิคุณ มานั่งอยู่นี่จะไปได้ความรู้อะไร"

เอาแล้ว เปิดโหมดเด็กเรียนมาใช้อีกแล้ว ผมหัวเราะแล้วส่ายหน้าไม่วายทิ้งตัวนั่งกระแซะให้คนขี้รำคาญจิ๊ปากเล่นอีกรอบด้วย อ้ะๆ เห็นแบบนี้แต่อย่าเข้าใจผิดว่าผมเป็นพวกไม่เอาอ่าวอยากเด็ดดอกฟ้าเชียว นายครามคนนี้ก็ดีกรีหัวกะทิของภาควิศวะไฟฟ้าเหมือนกัน สมกันเหมือนกิ่งทองใบหยกจะตาย

"วันนี้กลับด้วยกัน"

"ไม่ได้ครับ จะเข้าคลีนิก"

"งั้นไปส่งที่คลีนิก"

“เดินไปเองก็ได้ ห่างกันแค่สองตึกกั้น"

"ไม่เอา เดี๋ยวหมอฐาไปหากิ๊กก็แย่สิ"

วันแรกที่เจอก็คิดว่าเขาเป็นพวกไม่แสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าเท่าไหร่ แต่พอสนิทกันแล้วก็ได้เห็นสีหน้าหลากหลายขึ้น ยิ่งหน้าบึ้งๆ กับเสียงจิ๊ปากนี่อย่างบ่อย โคตรประทับใจ คนห่าอะไรทำหน้าดุได้น่ามองขนาดนี้วะ

"ล้อเล่น จะได้ช่วยหมอเตรียมงานด้วยไง"

เพราะรู้ว่าถ้าเอาเรื่องสัตว์มาอ้าง ร้อยทั้งร้อยว่าที่สัตวแพทย์หนุ่มคนนี้ต้องยอมเป็นแน่เลยงัดเอามุขนี้มาใช้อีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าจะเอามาอ้างลอยๆ ผมตั้งใจจะไปช่วยจริงๆ กับกิจกรรมหาบ้านให้สุนัขครั้งนี้ เพราะตัวเองก็รักสัตว์เป็นทุนเดิม และอยากให้หมาไร้บ้านแต่ละตัวได้เจอกับเจ้าของที่อยากรับเลี้ยงมันจริงๆ

มองหมอฐาที่ทำหน้าเหมือนชั่งใจได้ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจ แน่ล่ะว่าท่าทางแบบนี้คำตอบมีแค่อย่างเดียว เหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา

"...เจอกันใต้ตึกสี่โมง"





 

ไม่คิดเลยว่าคนจะเยอะขนาดนี้

เพราะได้ยินว่าเป็นกิจกรรมของคณะเลยนึกว่าจะกระจายข่าวเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา แต่นี่กลับมีคนมามากจนเกือบเข้าใจผิดว่าเป็นงานที่จัดขึ้นตามฮอลใหญ่ๆ ในห้างแล้ว

"คนเยอะกว่าที่คิดแหะ"

"อืม... ครั้งนี้เยอะกว่าปกติจริงๆ แหละ"

ขนาดหมอฐายังตกใจตามไปด้วย คนตัวเล็กกว่ากระชับสายจูงของไอ้เตี้ยแล้วออกเดินนำ ส่วนผมก็กระตุกไอ้ยักษ์ที่ทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นเหมือนเกิดมาไม่เคยออกนอกบ้านตามเขาไปด้วย

หลังยกมือไหว้เพื่อนๆ ของหมอฐาเสร็จ ผมก็โดนแยกให้มานั่งเขียนรายชื่อผู้ร่วมรับเลี้ยงสุนัขที่ทางโครงการจัดหามา มีผู้ช่วยเป็นเหล่าสุนัขหน้าตาดีที่แม้บางตัวจะเป็นพันธุ์ทางแต่ก็มารยาทดี เข้ากับคนได้มานั่งหน้าสลอนอยู่ อย่างไอ้หางดาบตัวเล็กที่เอาแต่ส่ายหางไม่หยุดเวลาคนเข้ามาเล่นด้วย กับพุดเดิ้ลทอยตัวเล็กนั่นสิ คนรับไปเลี้ยงเป็นตัวแรกๆ ของกลุ่มเลย

"ใครที่พาสุนัขมาตรวจสุขภาพเชิญที่ด้านขวาเลยนะครับ ส่วนใครที่สนใจรับสัตว์เลี้ยงเข้าบ้านเชิญทางซุ้มซ้ายมือได้เลย"

ได้ยินเสียงประกาศก็อดไม่ได้ต้องชะเง้อหน้ามองไปทางโซนรับตรวจสุขภาพ ไม่ต้องหาให้ยากก็เห็นหมอฐากำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ เขาดูมีความสุขทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือสัตว์ที่เข้ามาหา ถึงหน้าตาจะไม่บ่งบอกแบบนั้น แต่ทุกครั้งที่พาไอ้เตี้ยไปหาแล้วอาการมันดีขึ้น รอยยิ้มน้อยๆ จะฉายบนใบหน้า และตาเขาจะเป็นประกายเหมือนเด็กๆ ที่ได้รางวัล

“เจ้าหนูนี่น่ารักจัง มีคนรับไปหรือยังคะ?"

ละสายตาจากคนที่อยู่อีกฝั่งเพื่อมองเจ้าของเสียง หญิงสาวที่เข้ามาถามจูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่กำลังก้มลงไปเล่กับไอ้ยักษ์ซึ่งกำลังนอนหมอบอยู่หน้าซุ้ม

"ขอโทษด้วยนะครับ นี่สุนัขของผมเอง"

"อ้าวเหรอคะ ขอโทษด้วยค่ะก็ว่าทำไมขนสวยเชียว"

เธอว่าพร้อมหัวเราะก่อนจะลูบหัวกลมๆ ของเด็กชายไปด้วย

"แม่คะ หนูอยากได้มะหมา"

"ตัวนั้นของพี่เขาค่ะลูก ลองดูตัวอื่นมั้ย?"

หญิงสาวถามพร้อมชี้ไปที่หมาตัวอื่นซึ่งนอนหมอบอยู่ไม่ไกล เด็กน้อยเหลือบตามองเขาก่อนจะเขยิบเข้าไปซ่อนตัวหลังผู้เป็นแม่แล้วพยักหน้า ท่าทางน่ารักจนคิดไปว่าถ้าเกิดพี่ชายตัวดีแต่งงานมีลูกก็อยากให้ได้น่ารักแบบนี้

"หนูชอบแบบไหนคะ ตัวใหญ่ๆ เหรอ?" เอ่ยถามกับเด็กน้อยไปแล้วก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าอีกที "ตัวเท่าพี่ชาร์ลีใหญ่พอมั้ยคะ? ชาร์ลีมาโชว์ตัวเร็ว"

เห็นแบบนี้ผมเลยเลือกจะแนะนำสุนัขพันธุ์โกลเด้นที่นอนหมอบอยู่อีกฝั่งแทนเสีย ดูท่าว่าเธอจะติดใจเจ้ายักษ์จนเผลอมองข้ามไป เด็กหญิงคนนั้นมองตาสุนัขที่เงยหน้าเมื่อได้ยินชื่อตัวเองด้วยตากลมโต ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปแตะจมูกดำที่ขยับไปมาใต้มือเธอ

อธิบายประวัติตามที่อ่านในแฟ้มให้เธอฟัง ชาร์ลีเพิ่งจะอายุได้สามขวบ มาอยู่ที่นี่ได้เพราะเจ้าของนำมาฝากรักษาไว้แล้วไม่มารับกลับอีกเลยแม้มันจะหายดีแล้ว เรียกว่าขาดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง

"ที่บ้านผมเลี้ยงโกลเด้นไว้เหมือนกัน มันเข้ากับเด็กได้ดีมากเลยครับ"

“นั่นสินะคะ... ยัยหนูก็ดูจะชอบด้วย"

จากที่แอบอยู่หลังผู้เป็นแม่ ตอนนี้เธอยื่นลูบหัวชาร์ลีแถมเรียกชื่อไปด้วย ท่าทางจะถูกใจไม่น้อย และท้ายที่สุดชาร์ลีก็เป็นอีกตัวที่ถูกรับเลี้ยงไป ก่อนจะตามด้วยอีกสามสี่ตัวที่นั่งรอนอนรอเจ้าของใหม่

การได้เห็นชื่อและนามสกุลของผู้เลี้ยงเพิ่มขึ้นมาอีกชื่อ เรียกรอยยิ้มบนหน้าผมได้กว้างขึ้นอีกระดับ คนรักสัตว์น่าจะเข้าใจความรู้สึกของผมว่าการเห็นพวกมันถูกทอดทิ้งอยู่ข้างทาง กลายเป็นภาระให้ผู้คนถกเถียงกันทั้งที่คนเรานี่แหละที่รับพวกมันเข้ามาในชีวิตและผลักไสออกไปเองเป็นเรื่องน่าเศร้า และหากช่วยได้ก็อยากให้พวกมันได้ที่อยู่ที่ดีกว่าที่เคยผ่านมา

ยิ่งไปกว่าเรื่องรายชื่อก็เรื่องที่ได้สบตากับคนที่ชอบแอบมองมาจากอีกซุ้มบ่อยๆ นั่นแหละที่ทำให้ผมอารมณ์ดีจนต้องฮัมเพลงกับเหล้าเจ้าตูบทั้งวัน

 





[มีต่อด้านล่างค่ะ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-07-2017 20:49:38 โดย ANNEW »

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
"ขอบคุณทุกคนมากสำหรับความร่วมมือในวันนี้ เก็บของกลับบ้านได้!"

เสียงเฮดังขึ้นพร้อมเสียงปรบมือของคนที่อยู่ในชุดกราวน์รวมไปถึงเสื้อยืดกางเกงยีนส์อย่างผม กิจกรรมหาบ้านให้สุนัขรวมไปถึงตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงเสร็จสิ้นลงอย่างสวยงาม แม้สุนัขบางตัวจะยังหาบ้านไม่ได้และต้องอยู่ที่คลีนิกต่อไปก็ตาม แต่แค่ได้ช่วยให้ส่วนนึงได้บ้านใหม่ก็นับเป็นเรื่องดีๆ ของวันแล้ว

หลังจบกิจกรรมก็ไม่แคล้วงานกรรมกรแบกหาม เด็กสายวิศวะไฟฟ้าที่เสนอตัวอย่างผมก็ร่วมเป็นหนึ่งในคนใช้แรงงานด้วยเหมือนกัน รีบเสร็จจะได้พาหมอกลับบ้าน

"อ่ะ"

ผมค้างอยู่ในท่ายกเก้าอี้ตอนที่หมอฐายื่นห่อทิชชู่เปียกพร้อมขวดน้ำมาให้  คือห่อมันก็แกะแล้วล่ะ พลาสติกครอบฝาก็ไม่มีแล้ว พร้อมหยิบใช้ได้ทันทีแต่มีหรือที่จะปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดลอยไป ผมพยักเพยิกไปทางมือตัวเองก่อนเอียงหน้าไปทางเขามากขึ้น

“เช็ดให้หน่อยสิหมอ"

"วางเก้าอี้แล้วหยิบสิ"

"มือเลอะไปแล้ว เดี๋ยวสิวขึ้นทำไงล่ะหมอฐา นะ"

"...หน้าบางเหลือเกินพ่อคุณ"

ผมหัวเราะกับคำปรามาสของเขา แม้ปากจะจิกกัดแต่หมอฐาก็ยังเป็นหมอฐาที่ เขาหยิบทิชชู่จากห่อมาซับหน้าให้ กดลงไปไม่เบานักคล้ายจะเอาคืน

"น้ำด้วยสิหมอ"

"ก็บอกให้วางเก้าอี้ลงก่อน"

"ให้หมอป้อนอร่อยกว่า"

"เรื่องมากจริง"

มาแล้วสายตาพิฆาตตามเสต๊ป แต่สุดท้ายก็เปิดฝาขวดจุ่มหลอดแล้วยื่นมาให้ดูด ได้แค่นี้ก็มีแรงยกเก่าอี้เก็บต่อแล้ว

"ครับๆ คู่นั้นอ่ะครับ มัวแต่สวีทกันเมื่อไหร่มันจะเสร็จ"

"อยากจะถ่ายรูปลงเพจเหลือเกินค่ะ แหมๆ"

"หมอฐาไม่มาป้อนน้ำเพื่อนบ้างเหรอครับ~ เพื่อนจะคอแห้งตายแล้ว"

ใครว่าเด็กคณะนี้ไม่กวนผมเถียงสุดใจ ขนาดพี่หมวยที่ว่าเป็นสาวเรียบร้อยประจำกลุ่มยังตะโกนแซวมาแต่ไกลเลย ผมหัวเราะพร้อมโค้งเบาๆ ให้พวกพี่ๆ ที่อยู่ไม่ไกลนัก ส่วนคนที่ตกเป็นเป้าหมายเหมือนผมน่ะเหรอ นู่นครับ เดินลิ่วไปนู่นตั้งแต่เพื่อนเอ่ยแซวแล้ว คาดว่าพวกพี่ๆ จะได้สายตาดุๆ กันไปคนละทีสองทีแน่ๆ หลังจากนี้

ก็เล่นแซวดังซะหมอไปไม่เป็นขนาดนั้น จะไม่โดนได้ยังไงล่ะ จริงไหม?




"ขอบคุณนะหมอที่ให้ผมมาร่วมงานด้วย"

"อืม ขอบคุณเหมือนกันที่มาช่วย"

เรากำลังเดินกลับบ้านกันเหมือนขามา เพียงแต่สลับเป็นหมอจูงไอ้ยักษ์ ส่วนผมจูงไอ้เตี้ย เพราะอยู่ดีๆ พี่เบิ้มก็ไม่อยากเดินกับผมเสียอย่างนั้น เอาแต่ออดอ้อนออเซาะจนหมอฐาต้องเสนอตัวไปเชือกไปถือเอง เรียกร้องความสนใจจริงๆ แถมเขาก็สนใจซะด้วยนะ รู้สึกอิจฉาหมาขึ้นมานิหน่อย...

"แล้วพวกที่ไม่ได้บ้านจะทำยังไงล่ะหมอ?"

ถามในเรื่องที่สงสัยเพราะได้ช่วยพาตัวที่เหลือกลับไปอยู่ในศูนย์พักฟื้นที่คลีนิกเหมือนเดิม

"ก็จะเลี้ยงกันเองเหมือนเดิม มีเคสที่ถ้าใครเรียนจบแล้วแวะมารับตัวที่สนิทกันไปเลี้ยงเหมือนกัน"

"หมอคิดจะรับไปบ้างมั้ย?"

“มีอยู่นะ แต่ต้องดูหมาที่บ้านก่อนว่าพร้อมรับสมาชิกใหม่หรือยัง"

"แสดงว่าขี้หวงมากเลยนะนั่น"

เข้าใจเพราะตอนแรกๆ ก็ศึกษาอยู่ ด้วยกลัวว่าหมาที่บ้านจะไม่โอเคกับการรับสมาชิกใหม่ ดีที่หมาแต่ละตัวของที่บ้านยอมรับว่าเจ้าของเป็นหัวหน้าฝูงแล้วเลยไม่หือไม่อือเท่าไหร่ จะมีทะเลาะกันบ้างก็แค่บางครั้งเท่านั้น

ส่วนหมอฐาพอได้ยินแบบนั้นหัวเราะ หัวข้อเกี่ยวกับสัตว์ทำให้เขามีรอยยิ้มง่ายกว่าปกติร้อยเท่าจริงๆ

"อือ ขี้หวง หวงที่ หวงเจ้าของ"

"พูดแบบนี้อยากช่วยหวงเลย"

“ไม่เบื่อหรือไงคุณ เล่นมุกแบบนี้น่ะ"

"เล่นมุกที่ไหน นี่เรื่องจริงทั้งนั้น"

"ทำไมชอบเถียง... อ้ะ!"

จู่ๆ คนที่กำลังจะดุก็ถลาตัวพุ่งไปข้างหน้าเสียอย่างนั้นจนต้องรีบคว้าแขนแล้วดึงกลับให้มาอย่ที่เดิม แต่แรงคงจะเยอะไปหน่อยเลยดึงเขาเข้ามากระแทกอกตัวเองเฉย หัวกลมๆ ของหมอโหม่งเข้าจมูกเต็มๆ จนต้องร้องโอ้ยดังๆ

"ขะ... ขอโทษ! เป็นอะไรมากมั้ย เลือดไหลหรือเปล่า?"

หมอฐาละล่ำละลักพร้อมหันกลับมาดู คงกลัวจะเลือดไหลเพราะกระแทกแรงจริงๆ

"ไม่เป็นไรหรอกหมอ แค่นี้เอง เลือดไม่ออกแน่นอน"

“ขอโทษจริงๆ ไม่คิดว่ายักษ์จะพุ่งแบบนั้น"

"ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ"

มองตามปลายสายจูงไปเห็นตัวต้นเหตุกำลังขุดดินข้างทางอย่างเมามัน สงสัยจะเจอขุนทรัพย์ ไม่แปลกที่หมอจะถลาเพราะไม่ทันตั้งตัวแถมแรงไอ้นี่ก็เยอะ ขนาดมอเตอร์ไซค์ก็ล้มมาแล้ว

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องหมาที่ต้องสนใจ เพราะคนตรงหน้าน่าสนใจกว่าเยอะ ถึงจะทำหน้าตากังวลก็ยังดูดี รับประกันด้วยอาการมองค้างของตัวเองนี่แหละ

"มีร้านสะดวกซื้อข้างหน้านี้ ผมไปซื้อน้ำแข็งมาให้ประคบดีกว่าก่อนมันจะช้ำ"

เขาว่าแล้วทำท่าจะผละออกไป แต่เป็นผมเองที่คว้าตัวเขาเอาไว้ก่อน คนตรงหน้าทำหน้าสงสัยใส่ ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าไม่อยากปล่อยไปตอนนี้

"เรื่องจริงนะที่บอกว่าอยากหวงหมอด้วย"

"มันใช่เวลามั้ยคุณ..."

"ให้ผมหวงได้มั้ย?"

หมอฐาทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่แล้วก็ไม่พูด แต่เขาเป็นพวกหน้านิ่งที่เก็บสีหน้าไม่เป็นเวลาลืมตัว เลยทำให้ผมเห็นริ้วแดงๆ ที่เริ่มชัดขึ้นทีละนิดบนแก้มของเขา ยิ่งมองก็ยิ่งแดง แบบนี้เขาเรียกว่ามีความหวังใช่ไหมนะ?

"นะหมอ ถ้าตกลงนี่ได้ทั้งคนช่วยเลี้ยงหมา คนไปรับไปส่ง คอยหาข้าวหาน้ำ แถมแฟนดีๆ อีกคนเลยนะ"

"ใครเขาอยากได้กัน..."

"ผมเชื่อว่าหมอคนนึงล่ะ ไม่งั้นคงไม่สบตากันบ่อยๆ หรอก เนอะ?"

โดนถลึงตาใส่ไปหนึ่งทีก็เอารอยยิ้มเข้าสู้ เปิดโหมดจ้องตากันอยู่สักพักก็เป็นหมอแก้มแดงที่ยอมแพ้ก่อน คนตัวเล็กกว่าเสมองด้านข้างสลับกับใบหน้าผมก่อนจะเริ่มต้นพูดเสียงเบา

"ก็...แล้ว...คราม..."

"ครับ? อะไรนะหมอ ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย"

คำพูดขาดๆ เกินๆ ทำให้ประติดประต่อไม่ค่อยได้เลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น และก็ได้รับคำตอบที่เสียงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่กลับเหมือนโดนเปิดลำโพงกระหึ่มใส่สองข้างหู

"...บอกว่าแล้วแต่ครามไง ขี้ตื้อจริง!"

เจอคำตอบแบบนี้จะให้ทำอะไรได้นอกจากหัวเราะแล้วคว้าเขามากอดแน่น ตอนเขินหมอไม่มีแรงทำร้ายร่างกายเท่าไหร่หรอก ได้แต่หน้าแดง หูร้อนอย่างเดียวเท่านั้นแหละ อ๋อ เพิ่มอาการบ่นอุบให้ปล่อยเจ้าตัวไปซื้อน้ำแข็งสักที ไม่ก็ขอให้จมูกโตตาย แต่ใครจะไปตายเพราะเรื่องแค่นี้กันล่ะ

ผมสบตากับไอ้ยักษ์ตัวตนเรื่องที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เห็นมันเปลี่ยนจากการขุดดินเป็นนอนหาวเหมือนไม่สนใจแล้วหันไปเล่นกับไอ้เตี้ยก็ไม่ลืมทดเอาไว้ในใจว่าจะต้องให้รางวัลกับความดีความชอบในครั้งนี้ด้วย ที่ช่วยเปิดโอกาสระหว่างผมกับคนปากหนักตรงหน้านี้

เดี๋ยวพ่อซื้อกระดูกให้แทะเล่นสักสามลังนะไอ้ลูกชาย!




-----------------------------------------------------------





TALK: สวัสดีค่ะ กลับมาแล้วหลังจากหายไปนาน หวังว่าจะยังไม่ลืมกันนะ :mew3:

ช่วงนี้งานยุ่งมากมายมหาศาลเลยทำให้แวะมาต่อได้ไม่บ่อยนักค่ะ แต่ไม่หายไปไหนนานแน่นอน เพราะอีกแค่ไม่กี่ตอนก็จะจบครบทุกคู่ที่ตั้งใจไว้แล้วล่ะค่ะ

หวังว่าตอนนี้ก็จะทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มเช่นเคย

ขอบคุณทุกกำลังใจและการติดตามค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ เมียงู

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[15]





คุณเคยเจอคนกวนประสาทไหมครับ?

คนประเภทที่ชอบเข้ามาหาเรื่อง พูดจาก่อกวนจนทำให้อารมณ์คนฟังไม่คงที่ แถมบางทียังท้าตีท้าต่อยจนเกือบจะทนไม่ไหวถอดรองเท้ามาฟาดปากให้เสียเลือดกันสักรอบสองรอบ

คนประเภทที่ว่ากำลังวนเวียนอยู่รอบตัวผมได้สักพักใหญ่แล้ว

 





"เอ้า คนตัวเท่าหลักกิโลหลบทางหน่อยดิครับ เดี๋ยวคนตัวเท่าเสาไฟฟ้าเดินชนแล้วจะหาว่าไม่เตือนเอา"

พูดถึงก็มา... แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าความวุ่นวายกำลังจะมาเยือน วันนี้ทั้งวันชีวิตคงต้องตกอยู่ในวัฒจักรของความปวดเศียรเวียนเกล้าไปตลอดจนกว่าจะกลับถึงห้องแน่นอน

ตวัดสายตาไปทางเจ้าของเสียงพร้อมเอียงคออีกหน่อยก็พบกับวงหน้าที่สาวๆ ส่วนใหญ่คงจะกรีดร้องอยู่ในใจหากได้พบเห็น แต่หากเป็นผู้ชายตามมาตรฐานทั่วไปคงต้องหักห้ามไม่ให้คว้าอะไรมาทำร้ายหน้าหล่อๆ นั่นให้เสียโฉม เพราะพ่อเจ้าประคุณเล่นยิ้มมุมปากยักคิ้วคมๆ ใส่ด้วยมาดกวนเหลือเชื่อ

"น่ะ มองๆ มองแบบนี้จะหาเรื่องกันหรือไง?"

"ใครกันแน่ที่หาเรื่อง"

"ไปหาเรื่องตอนไหน"

"เมื่อกี้นายว่าเราเป็นเสาหลักกิโล"

"อะไร พูดชื่อหรือไงว่าเป็นใคร? ร้อนตัวว่ะ"

ร้อนตัวกับผีเถอะ!

ก็เห็นอยู่ว่านอกจากผมกับเขาสองคนที่หยุดยืนอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างตึกแล้วก็ไม่มีใครอีกแล้ว สำนึกได้ว่าไม่ใช่เวลามายืนเถียงกันเรื่องไร้สาระเลยหันควับย้ำเท้าไปตามทางเดินที่ตั้งใจไว้ ได้ยินเสียงหัวเราะตามหลังมาแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายก็ลงเรียนคลาสนี้เหมือนกัน ทั้งที่ภาวนาให้ไม่เจอแท้ๆ แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเอาเสียเลย

“ขาสั้นแค่นั้นก้าวยาวไปก็ไม่ทำให้เร็วขึ้นหรอก ป่านนี้คนจองที่นั่งดีๆ ไปหมดแล้ว”

แล้วมันไปสั้นบนหัวนายหรือไงล่ะ...

หน้าบูดบึ้งเข้าไปอีกเมื่อเจอคำกระทบจิตใจเข้าไปเต็มๆ รู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ต้องเป็นแบบที่คนตัวสูงกว่าว่าไว้ เพราะยิ่งเข้าใกล้เวลาเข้าคลาสบ่ายซึ่งต้องเรียนรวมกับคณะอื่นยิ่งต้องรีบ ไม่อย่างนั้นที่นั่งที่หมายตาเอาไว้จะโดนชิงไปเสียก่อน แล้วนี่มันก็เหลืออีกแค่ห้านาทีเท่านั้น ใครต่อใครเขาก็วิ่งไปจองโต๊ะกันหมดแล้ว มีแต่ผมที่พลาดมัวแต่นั่งอยู่ในห้องแล็ปดูการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่ลงดินใหม่ไปเท่านั้นแหละที่ชักช้าไม่ทันการ อ๋อ นับคนกวนประสาทที่คงไปหาเรื่องกวนใครเขามาถึงได้ช้าพอกัน

เลื่อนเปิดประตูห้องเรียนได้ผมก็ไม่รอช้าปรี่ไปนั่งที่แรกสุดที่เห็นว่าว่างอยู่ทันที มั่นใจเต็มที่ว่าจะไม่มีคนมาก่อกวน ก็เล่นนั่งมันเสียหน้าสุดตรงที่ๆ ไม่มีใครเขาอยากจะนั่งกันเพราะมีโอกาสโดนอาจารย์เรียกแถมยังแอบเล่นโทรศัพท์ไม่ได้อีกต่างหาก

ทีนี้ก็จะได้นั่งเงียบๆ สักท...

"นั่งมันซะหน้าเลย นอกจากขาจะสั้นแล้วยังสายตาสั้นอีกเหรอ?"

"......"

เผลอถลึงตามใส่เมื่อคนที่ตั้งใจจะหนีดันทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ว่างข้างกัน ทั้งที่มีตรงอื่นว่างอีกพอประมาณ จะมานั่งตรงนี้ทำไมเนี่ย

แต่ยังไม่ทันได้ต่อล้อต่อเถียงอาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามาพร้อมสั่งให้หยิบชีทที่แจกเมื่ออาทิตย์ก่อนขึ้นมา แน่ล่ะว่าผมเตรียมพร้อมแล้ว เพราะนี่ไม่ใช่วิชาที่ถนัด แถมเวลาสอบก็เป็นข้อเขียนทั้งหมด ถ้าไม่ทำความเข้าใจต้องไปเสียเวลาอ่านทีหลังเองอีก ซึ่งคนขี้เกียจและอยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแบบผมไม่อยากทำแบบนั้นหรอก

"ไม่ได้เอาชีทมา ยืมดูด้วยดิ"

อย่าเรียกว่าขอเพราะพอเขาพูดจบก็กระเถิบมาชิดแถมยังท้าวลงบนโต๊ะกินพื้นที่แขนผมไปอีก รู้สึกถึงแรงสะกิดยิกๆ จากข้อศอกเลยยอมเอาแขนลงแนบกับตัวโต๊ะแทน ให้มันได้อย่างนี้สิ เขาจะมายุ่งอะไรกับผมมากมายนักก็ไม่รู้ แล้วนี่มันเป็นวิชาหลักของคณะเขาแท้ๆ ทำไมถึงลืมได้แม้กระทั่งของสำคัญอย่างชีทเรียนกัน

ถอนหายใจแรงๆ ใส่ ฟึดฟัดอีกสองสามทีให้รู้ว่าไม่พอใจนักแต่ก็ปล่อยให้เขาใช้ชีทเรียนด้วยกัน เพราะว่าผมเป็นคนใจดีมากยังไงล่ะ

เสียงของอาจารย์รั้งความสนใจผมกลับไปเมื่อท่านเริ่มบรรยาย คาบเรียนนี้ความจริงไม่เกี่ยวเนื่องกับภาควิชาที่กำลังศึกษาเท่าไหร่แต่เพราะความสนใจส่วนตัวเลยเลือกที่จะลงเอาไว้ด้วย พอได้เรียนจริงๆ จึงได้รู้ว่าสัตว์น้ำจืดมีหลายสายพันธุ์กว่าที่คิด ทั้งรู้จักและไม่รู้จักปะปนกันไป แต่ก็อย่างว่า คนที่วันๆ เอาหัวไปคิดเรื่องสูตรเคมีสำหรับทำปุ๋ยที่ได้ผลกับการเจริญเติบโตของพืชสวนแบบผมจะไปมีความรู้กว้างขวางในเรื่องสัตว์น้ำได้อย่างไร ถึงสาขาที่เรียนจะดูคล้ายกันในฐานะชั้นเรียนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่พอเจาะลึกจริงๆ ถึงได้รู้ว่าทำไมคณะถึงต้องแยกเอกออกมาหลากหลาย ลองคิดภาพถ้าให้คนที่เรียนเกษตรมาเรียนประมงด้วยคงหัวระเบิดตายเพราะต้องจำทั้งเรื่องบนบกและน้ำไปพร้อมกัน

เหม่อบ้างสลับกับเรียนบ้างก็เหมือนจะราบรื่นดี แต่ทุกย่างพลันต้องหยุดชะงักเพราะลมหายใจแรงๆ ที่กระทบเข้ากับเส้นผมที่อุตส่าห์จัดทรงไว้ พอเหลือบมองก็เห็นว่าคนข้างๆ ขยับเข้ามาใกล้กินพื้นที่มากกว่าเดิมเสียแล้ว แถมยังหายใจแรงจนเผลอคิดว่านั่งกับกระทิงอยู่

ไม่อยากคุยด้วยแต่ก็จำเป็นต้องคุย

"...นายเขยิบไปหน่อยไม่ได้เหรอ"

"หืม?" เขาเลิกคิ้วใส่ผม คิ้วเข้มๆ ที่เห็นแล้วอยากจะถอนนั่นล่ะ "ไม่ได้อะ มองไม่เห็น ชีทมันตัวเล็ก"

"มันก็ขนาดปกติ นายคงสายตาสั้นมากถ้ามองว่ามันเล็ก"

"มั่นใจว่าไม่สั้นจนต้องใส่แว่นเรียนแบบบางคนแน่นอน"

มันน่ากระชากชีทมาไว้อีกฝั่งไม่ให้ดูนัก คนเขามีน้ำใจ (เพราะถูกบังคับกลายๆ) ให้ยืมชีทดูด้วยแล้ว ยังมีหน้ามากวนกันอีก

ผมทำหน้าไม่พอใจใส่เขาไปอีกรอบพร้อมขยับแว่นที่หยิบมาใส่ระหว่างเรียนแล้วหันไปให้ความสนใจกับด้านหน้าตามเดิม อยากให้หมดชั่วโมงเร็วๆ เสียที จะได้หนีไปให้ห่างจากผู้ชายคนนี้ให้เร็วที่สุดเลย





 

"ไปกินข้าวเย็นด้วยกันดิ เดี๋ยวเลี้ยงตอบแทนที่ให้ดูชีท"

คนที่เพิ่งหาวปากกว้างพร้อมบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้าเอ่ยขึ้นเมื่ออาจารย์ประจำวิชาประกาศจบคลาสประจำวันนี้ ผมเหล่มองด้วยความเคยชิน วันนี้ก็ยังเอ่ยชวนเหมือนทุกๆ ครั้งที่เขาทำหากเจอกันในคาบเรียน และแน่นอนว่าคำตอบก็ต้องเป็นแบบเดิมเหมือนกันทุกครั้งเช่นกัน

"ไม่เป็นไร เรารีบ"

"รีบไปนั่งมองต้นไม้เหี่ยวๆ พวกนั้นอ่ะนะ? ไว้ทีหลังเหอะ ไปหาไรกินกันก่อน"

คิ้วกระตุกเลยพออีกฝ่ายบอกว่าต้นไม้เหี่ยวๆ เจ้าพวกที่ผมเฝ้าดูแลอยู่คือมะพร้าวต่างหาก และมันไม่ได้เหี่ยวด้วย มันแค่... ขาดสารอาหารที่เพียงพอและโปรเจคของผมก็คือการคิดหาปุ๋ยที่เข้ากับดินมากพอจะทำให้เจ้าต้นนี้พร้อมนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่ลงชื่อไว้ในโครงการของมหาวิทยาลัยต่างหาก

".....เราไม่หิว"

"แต่เราหิว ไปเหอะน่ะ"

"เฮ้ย! เอาคืนมา"

เอื้อมมือหมายจะคว้ากระเป๋าที่ถูกมือใหญ่ชิงไปแล้วยกไว้เหนือหัวตัวเอง ไอ้บ้าเอ้ย ปกติแค่เขายืนก็สูงกว่าผมหนึ่งช่วงหัวแล้ว แล้วแขนเขาก็ต้องยาวมากกว่านั้นแน่นอน นี่เล่นยกสูงขึ้นขนาดนั้นใครมันจะไปคว้าคืนได้ล่ะ

"เอากระเป๋าเรามา!"

โวยวายใส่ไปพร้อมทำตาโตๆ ให้รู้ว่ากำลังโกรธเต็มที่ แต่แทนที่เขาจะกลัวหรือเกรงใจกันบ้างกลับแคะหูชิลๆ เหมือนไล่เสียงนกเสียงกา ส่วนกระเป๋าผมน่ะเหรอ? หึ มันก็อยู่สูงสุดที่เดิมเหมือนเมื่อกี้นั่นแหละ

"โวยวายจังเว้ย ไปหาอะไรกินกันแล้วเดี๋ยวไปส่งหน่า ไม่พาไปขายหรอกเชื่อดิ"

"หน้าตาน่าเชื่อตายล่ะ"

"ตัวเท่าลูกหมาขายไม่คุ้มเงินหรอก แล้วก็ดีใจไว้ซะว่าเราเลี้ยงข้าว นานๆ จะทำนะ จำเอาไว้ด้วย"

"เราไม่ได้ขอสักหน่อย"

"นี่ก็ไม่ได้ถามไง พูดมากแล้วหิวว่ะ ไปได้แล้ว"

"เราไม่ไป"

"ไม่ไปก็ไม่ได้กระเป๋าคืน คิดเอง"

เขาไหวไหล่ทำท่าเหมือนสิ่งที่กำลังต่อรองเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งที่สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่มาก คนดีๆ ที่ไหนจะมากวนประสาทกันแล้วชวนไปกินข้าว แถมพอไม่ไปยังมาจับของใช้ไว้เป็นตัวประกันอีก ถ้าไม่ติดว่ากำลังยืนอยู่ในมหาวิทยาลัยจะคิดว่ากำลังเล่นกับเด็กเอาแต่ใจตามโรงเรียนอนุบาลหมีน้อย

จ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใครอยู่ครู่ใหญ่ คนที่ยืดกระเป๋าสุดแขนก็เปลี่ยนเป็นกอดเอาไว้แล้วเดินออกนอกห้องไปเฉยๆ ไม่สนใจเสียงโวยวายให้คืนของของผมที่ตามหลังอยู่เลย แล้วจะมีทางไหนให้ผมเลือกอีกล่ะ นอกจากต้องวิ่งตามขายาวๆ ของเขาออกไปเพื่อเอาของของตัวเองคืน

"นาย! เฮ้!"

นอกจากจะไม่ได้คืนยังโดนคว้าคอแล้วล็อคไว้ให้เดินไปพร้อมกันอีก บอกตรงๆ เลยว่าเป็นการเดินที่ทุลักทุเลมากเพราะนอกจากจะต้องพยายามก้าวเท้าให้ทันคนข้างๆ แล้วยังต้องอดใจไม่ให้ส่งมือไปต่อยเข้าที่ท้องเวลาที่เขาหัวเราะเพราะผมสะดุดทำให้จังหวะการเดินขาดช่วง

 





ถามว่าทำไมผมกับผู้ชายคนนั้นมีความสัมพันธ์แปลกประหลาดแบบนี้ได้ยังไงน่ะเหรอ?

เรื่องนั้นคงต้องย้อนกลับไปช่วงเริ่มต้นเทอมใหม่ของปีนี้

 

เสียงรัวกลองดังจากที่ไกลๆ ทำให้รู้ว่าตอนนี้งานรับน้องประจำปีได้เริ่มขึ้นแล้ว เห็นว่าปีนี้ทางมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนแนวทางการทำกิจกรรมใหม่ ไม่ให้มีเรื่องของการใช้กำลังและทำเรื่องไม่เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งตัวผมเองเห็นด้วยและดีใจที่ทางมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ไปร่วมงานกับเขาด้วยก็เถอะ

"ดีขึ้นเยอะแล้วนะ แสดงว่าปุ๋ยใหม่ใช้ได้ไม่เลว"

ไม่ได้พูดกับใครที่ไหนนอกจากต้นทับทิมที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ก่อนหน้านี้มันดูเหี่ยวๆ ไป ทั้งที่เปลี่ยนการให้น้ำและดูแลเรื่องแสงอย่างระมัดระวังแต่ก็ยังไม่ได้ขึ้น กลุ่มของผมจึงตัดสินใจที่จะปรับปรุงดินของมันแทน และดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อย เพราะใบที่เคยแห้งเหี่ยวเริ่มกลับมาดีขึ้นและมีหน่ออ่อนงอกออกมาด้วย คงอีกไม่นานนักที่จะได้เห็นผลของมัน

คิดแล้วก็อดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา ก็ใครจะไม่ประทับใจล่ะครับที่งานของตัวเองใช้การได้

"ไอ้ต้นนั้นมันจะตายป่ะ?"

แต่แล้วคำพูดชวนไม่สบอารมณ์ก็ดังขึ้น ผมมองซ้ายมองขวาหาเจ้าของเสียงพร้อมหัวคิ้วชนกันแต่กลับไม่เจอใครจนกระทั่งมีเสียงผิวปากแว่วๆ มาจากบนหัว พอเงยหน้ามองถึงได้เห็นร่างของใครบางคนกำลังท้าวคางมองจากศาลาที่ตั้งยกสูงขึ้นจากทางเดินเล็กน้อย

"ไม่ตายหรอก เราเปลี่ยนดินแล้ว มันได้ผลด้วยนะ"

ส่งยิ้มให้เขาพร้อมอธิบาย ไม่เคยเจอหน้ามาก่อนแต่ถ้าให้เดาคงเป็นคนที่ไม่อยากไปงานรับน้องเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่มาเดินเตร่อยู่แถวนี้เวลาที่คนอื่นเขากำลังสนุกกันหรอก

"เหรอ แต่เราว่าเดี๋ยวมันก็ตาย เหี่ยวซะขนาดนั้น"

"มันไม่ตายหรอก"

"พนันป่ะล่ะ?"

"เราไม่เล่นพนัน"

"แสดงว่ากลัวต้นไม้ตายแล้วจะแพ้"

เจอคำพูดชวนให้ไม่พอใจเข้าไปอารมณ์ที่เคยดีก็เริ่มครุกรุ่น อีกฝ่ายไม่พูดอะไรเพียงแค่ลุกแล้วกระโดดจากชั้นสองมายืนข้างๆ กัน เขาตัวสูงมากชนิดที่ผมต้องเงยหน้ามอง ส่วนผู้ชายคนนั้นก็มองกลับสลับระหว่างหน้าผมกับต้นทับทิมที่อยู่ข้างๆ กัน แล้วเอามือข้างหนึ่งมาทาบบนหัว ส่วนอีกข้างนึงก็จับยอกต้นไม้เอาไว้

"โอ้โห ตัวเท่ากันเลยว่ะ ถ้าต้นไม้โตอีกนิดคงทำเป็นบ้านเหมือนในฮอบบิทได้เลยมั้งเนี่ย"

นั่นคือการพบกันของผมกับเขาที่น่าประทับใจชนิดที่อยากลืมก็ลืมไม่ลงจนต้องตราหน้าเขาว่าเป็นคนกวนประสาทอันดับหนึ่งในลิสต์ของผม

 

หลังจากนั้นเป็นยังไงน่ะเหรอ?

                ชีวิตอันแสนสงบสุขของผมก็ไม่เหมือนเดินอีกต่อไปน่ะสิ ไม่รู้ทำไมเดินไปไหนก็เจอแต่คนตัวสูงโย่งยืนรอเหมือนรู้ว่าจะมาทางนี้ พอเจอก็โดนแซว โดนพูดจากวนประสาทจนอยากจะถลึงตาให้มันหลุดออกจากเบ้าแล้วปาใส่

แล้วก็มาจบลงอย่างที่เป็นในทุกวันนี้นี่แหละ





 

รู้ตัวดีว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่รักการได้ทานอาหารอร่อยๆ และยอมรับเลยว่ากับข้าวละลานตาแถมกลิ่นหอมๆ ที่ลอยเข้าจมูกทำให้อดใจไม่ได้ต้องลองตักนั่นนิดนี่หน่อยมาเข้าปาก อร่อยจนไม่น่าเชื่อว่าที่ผ่านมาผมจะเดินผ่านร้านนี้กลับหอโดยไม่คิดจะแวะเข้ามาลองทานดูก่อน และที่สำคัญคืองานนี้กินฟรีไม่มียั้ง ถึงตอนแรกจะไม่อยากมาทว่าตอนนี้อะไรๆ ก็ดีไปเสียหมด

"กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ"

.....ถ้าไม่นับคนที่กำลังลูบหัวผมแล้วทำท่าเหมือนกำลังคุยกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ตรงหน้านี่ล่ะนะ

หลังลากผมออกมาจากมหาวิทยาลัยได้เขาก็มาหยุดที่ร้านอาหารพื้นบ้านไม่ไกลนักและลงมือสั่งอาหารชนิดที่เห็นแล้วต้องตกใจจนรีบร้องห้ามไม่ให้สั่งเพิ่มอีก ก่อนจะนั่งท้าวคางมองผมกินอยู่อย่างนั้น

"...นายก็กินเข้าไปด้วยสิ มองเรากินอย่างเดียวคงอิ่มหรอก"

"ก็อิ่มได้ที่อยู่"

"จะบอกว่าอิ่มทิพย์?"

"อิ่มอกอิ่มใจได้มองใครบางคนกินแบบมีความสุขต่างหาก"

"เราว่าเราอิ่มแล้ว"

คนตรงหน้าหัวเราะใหญ่เมื่อได้ยินผมพูดแล้วทำท่าเหมือนจะรวบช้อนแบบนั้นจนต้องส่งมือใหญ่มาห้ามไว้แล้วทำท่าทางว่าให้ผมกินต่อ

"กินไม่หมดไม่ต้องกลับ"

"นายก็กินไปสิ นายเป็นคนสั่งนะ"

"ก็สั่งมาเพราะจะเลี้ยง"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ขอ"

เขาต้องมีปัญหาทางสุขภาพแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดจาอะไรแล้วฟังไม่รู้เรื่องแบบนี้ ผมขมวดคิ้วเข้าหากันอีกหนึ่งทีด้วยตั้งใจให้รู้ว่าครั้งนี้จะไม่ยอมอ่อนข้ออีกต่อไป แต่แทนที่เขาจะกลัวกันบ้างกลับหัวเราะแล้วส่งส้อมของตัวเองมาให้ผมรับเอาไว้แทน

กลายเป็นตัวเองที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ ทำไมเถียงกันอยู่ดีๆ ถึงมาส่งส้อมให้ คือจะให้เอาไว้แทงหรือยังไง? คงเพราะเห็นหน้าตาคับข้องใจคนที่ใจป๋าเอ่ยปากอยากเลี้ยงเลยเฉลยความตั้งใจของเขาให้ได้รู้

"ป้อนหน่อย"

"เพื่อ?"

"ก็ถ้าอยากให้กินก็ป้อน เร็วๆ"

"...ถามจริง นายจีบเราอยู่เหรอ?"

ไม่ใช่พวกความรู้สึกช้าและไม่ใช่เพิ่งมาเอะใจแต่รู้สึกตัวสักระยะแล้ว คนประเภทไหนกันที่จู่ๆ จะเดินเข้ามาหาเรื่องก่อกวนไม่เว้นแต่ละวันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ตอนแรกก็ใช้วิธีพูดจาหาเรื่อง แซวเรื่องส่วนสูงที่น้อยกว่าเจ้าตัวอยู่มาก แซวจนตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแถมผมยังต่อปากต่อคำกลับไปได้ และไหนจะการแสดงออกแบบที่เกือบจะเนียนแต่ก็ชวนให้อดคิดไปไกลไม่ได้ของเขาอีก ยิ่งวันนี้ยิ่งชัดเจนชนิดที่หากใครเจอแล้วไม่รู้ตัวคงต้องถูกตราหน้าว่าโง่ไปตลอดชีวิตแน่ แต่เลือกที่จะถามตอนนี้เพราะสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นชัดเจนในระดับแค่อยากได้คำตอบเพื่อความมั่นใจเท่านั้นเอง

และคำถามตรงๆ ของผมคงทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกอยู่พอควร สงสัยจะไม่ได้คิกว่าถ้าโดนตอกกลับตรงๆ จะตอบออกมายังไง คนตัวโตกว่าเสหลบตาพร้อมเอื้อมมือไปเกาหลังคอก่อนจะไหวไหล่ทำท่าเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วหันกลับมามองผมตามเดิม

"ฉันชื่ออะไร"

"ห๊ะ"

"ตอบมาก่อนว่าฉันชื่ออะไร"

"ก็ชื่อหมอกไง"

"รู้แล้วก็ไม่ยอมเรียก เรียกแต่นายๆ อยู่ได้"

เอ้า... จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องมาเป็นความผิดผมกลายๆ เสียอย่างนั้น แบบนี้ใช่ไหมที่เรียกว่าเปลี่ยนเรื่องกลางอากาศ แถมคำถามก็ตลกจนอยากจะหัวเราะ ใครกันจะไม่รู้จักคนดังพอตัวอย่าง หมอก เด็กประมงควบนักกีฬาว่ายน้ำประจำมหาวิทยาลัย สาวๆ กรี๊ดกร๊าดนักล่ะเวลาที่มีชื่อเขาอยู่บนบอร์ดนักกีฬาประจำปี

"แล้วชื่อนายสำคัญกับบทสนทนาของเรายังไง"

"ก็อยากให้จำชื่อแฟนในอนาคตไว้"

ช้อนที่กำลังเขี่ยข้าวหยุดกะทันหัน ผมเลือกจะตีหน้ายักษ์ใส่หมอกไปอีกครั้ง แน่ล่ะว่าเขาต้องยักคิ้วกวนประสาทกลับมา

"รู้ตัวสักทีเหอะว่าทำหน้าแบบนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย มีแต่ยิ่งทำให้อยากแกล้ง"

ไม่ว่าเปล่ายื่นมือมาหยิกแก้มผมด้วย นี่ไงล่ะที่ผมบอกว่าเขาชอบเนียน ถึงจะเป็นการเนียนที่ไม่เนียนเท่าไหร่ก็เถอะ แต่วันนี้เขารุกผมหนักมากเสียจนไม่รู้ควรจะรับมือยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี เลยได้แต่ปัดมือเขาออกแล้วส่งช้อนกระแทกใส่ปากอีกคนเพื่อให้เขาเงียบเสียที

ทั้งที่การกระทำไม่ได้แสดงออกถึงความพิศวาทอยากป้อนข้าวเขาสักนิด เลยไม่เข้าใจว่าทำไมหมอกถึงได้ทำหน้าเหมือนมีความสุขขนาดนั้น แต่ต้องไม่เกี่ยวกับอาการหน้าเห่อร้อนได้สักระยะแล้วของผมแน่ๆ





 

               "นายยังไม่ตอบคำถามเราเลย"

"บอกให้เรียกว่ายังไงล่ะ"

               "...หมอกยังไม่ตอบคำถามเราเลย"

"แล้วชินว่าใช่ไหมล่ะ"

เจอย้อนคำถามด้วยคำถามทำเอามือไม้สั่นไปหมด สั่นจนต้องส่งหมัดไปกระทบต้นแขนของหมอกจนเจ้าตัวส่งเสียงร้องโอยแล้วลูบแขนตัวเองไปด้วย ได้ยินเขาบ่นพึมพำว่าชอบใช้กำลัง ไม่สนใจหรอก ทนมานานแล้ว ไหนๆ วันนี้ก็มีโอกาส ฟาดสักทีสองทีจะเป็นอะไรไป

"ไม่ตอบก็ไม่ต้องตอบ กลับหอไปเลย"

"ก็กำลังกลับอยู่เนี่ย หอเดียวกันทำเป็นลืม"

โดนต่อปากต่อคำกลับมาให้เอ๋อเล่นเสียอีก ผมจิ๊ปากใส่ไปอีกทีแล้วรีบก้าวเท้าที่แม้จะรู้ดีกว่าต่อให้เปลี่ยนเป็นวิ่งก็คงไม่ทันฝีเท้าเด็กประมงอย่างเขาหรอก แต่คนมันต้องการการระบายออก ดังนั้นต่อให้ทำแล้วเปลืองแรงก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

"อย่างอนดิ ก็อยากเล่นด้วย"

"เราไม่ใช่เพื่อนเล่น"

"แฟนก็เล่นได้ ไม่ต้องเพื่อนหรอก"

"ฮึ้ย!"

หมอกหัวเราะการพ่นลมหายใจของผมก่อนจะคว้าแขนจากด้านหลังแล้วยื้อให้ต้องหยุดเดิน ส่วนตัวเองก็ก้าวสั้นๆ เพียงสองก้าวก็เพียงพอให้ตีคู่เสมอผมได้แล้ว เห็นความแตกต่างด้านความสูงระยะห้าก้าวกับสองก้าวแบบนี้แล้วจะบอกว่าไม่ปวดใจเลยก็เป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เตี้ยกว่าระดับมาตรฐานชายไทยแต่อย่างใดด้วยนะ

"ไม่เคยได้ยินเหรอว่าผู้ชายชอบแกล้งคนที่ชอบ"

"เราว่าผู้ชายแบบนั้นเรียกโรคจิต"

เสียงทุ้มๆ หัวเราะอยู่ในลำคออีกครั้ง เขาช่วยจัดทรงผมที่เริ่มยุ่งจากแรงลมให้เข้าที่แล้วจูงแขนผมออกเดิน ก็ยังคงไม่เนียน แต่กลับเป็นผมเองที่ไม่ยอมสะบัดมือออก ก็อากาศมันเย็นนิดๆ มีอะไรอุ่นๆ มาจับไว้ก็ช่วยได้อยู่บ้างล่ะมั้ง?

"เออน่ะ คนมันจีบใครไม่เป็นนี่หว่า กวนตีนเป็นอย่างเดียว"

"รู้ตัวก็ดีแล้ว"

"รู้เพราะชินทำหน้าอยากถีบใส่ทุกครั้งที่คุยนั่นแหละ"

คราวนี้เป็นผมเองที่หลุดหัวเราะออกมา ก่อนเราทั้งคู่จะเดินเอื่อยๆ ไปตามทาง ปล่อยให้ลมพัดผ่านร่างไปเรื่อย คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสลับกับที่เขากวนประสาทผมอย่างที่ชอบทำให้โดนค้อนใส่เป็นระยะ

แปลกดีที่พอได้ใช้เวลาด้วยกันแบบนี้ถึงรู้ว่าตัวเองสนุกไปกับการโดนเขาก่อกวนเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ อย่างอธิบายไม่ถูก สลับกับการโดนหยอดที่ทำให้หน้าร้อนๆ อยู่หน่อยๆ แต่รวมแล้วก็ไม่ได้รังเกียจอะไร

"สรุปว่าให้จีบแล้วใช่ป่ะ?"

โอ้โห คนเราเนอะ เพิ่งจะถามตอนที่หลอกจับมือคนอื่นมาตลอดทาง ผมเหล่สายตามองมือหมอกที่กุมข้อมือตัวเองอยู่แล้วเงยสบตาเขา เลิกคิ้วด้วยท่าทางที่ลอกเลียนแบบเขามาเต็มที่

"ขนาดนี้แล้วยังต้องถามอีกป่ะ?"

"กวนใช่ย่อยนะชิน"

"เราเปล่า ขึ้นห้องไปได้แล้วล่ะ เราก็จะขึ้นเหมือนกัน"

"ย้ายไปอยู่ห้องด้วยดิ จะได้ทำคะแนนถนัดหน่อย"

"...ไม่เอา"

"ใจร้ายว่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวแอบปีนไปปล้ำเอา"

ชกแขนเขาไปแรงๆ อีกทีแล้วก็ได้รับเสียงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจใครตอบกลับมา แต่คราวนี้เหมือนจะได้ยินเสียงตัวเองหัวเราะคลอไปกับความกวนของเขาด้วย





 

คงไม่แคล้วว่าหลังจากนี้ผมต้องโดนคนกวนประสาทเล่นงานทุกวันแน่ๆ

แต่คิดว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะผมตั้งใจว่าจะไม่ยอมแพ้เขาง่ายๆ เหมือนกัน ใครจะกวนตัวกวนใจมากกว่ากันเดี๋ยวรู้เลย







-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ เรากลับมาแล้วหลังจากไปทำภารกิจพ่วงด้วยความง้าวของตัวเองเพราะทำไฟล์ที่แต่่งไว้หาย...

แต่ตอนนี้เรากลับมาแล้ว! คาดว่าจะมีเวลามากกว่าเดิมแล้วล่ะค่ะ ก็จะพยายามมาต่อเรื่อยๆ เหมือนเคยแล้วกันนะ

สำหรับใครที่แวะมาพูดคุยกันเมอ เราต้องขอบคุณมากจริงๆ นะคะ กำลังใจชั้นดีของเราเลย แล้วก็มีขอแนวที่อยากอ่านไว้ เราจะจัดมาให้เท่าที่เราจะทำได้ค่ะ รอกันหน่อยนะ :)

ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะ!

ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
เพิ่งเข้ามาอ่านจ้า พลาดไปได้ยังไงเนี่ย ชอบมาก ๆ เลยค่ะ  :m1:
เขียนดีจังเลย แต่ละคู่ ก็น่ารักกันไปคนละแบบ เรื่องไม่ยืดเยื้อดีด้วย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนน้า จะติดตามคู่ต่อ ๆ ไปนะคะ
ขอบคุณมากค่า  :กอด1:

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เรื่องน่ารักมากค่ะ

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 658
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
เขียนเรื่องได้อย่างชื่นใจอ่ะ.

อ่านไปยิ้มขำไป  ทุกตอนในนี้

กดLikeแปลว่าชอบ. กดLoveแปลว่ารัก ฮิ้ววววว

มุขเสี่ยวๆสมัยเรียน 555

 :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:

...

.

ออฟไลน์ mmello07

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เด็กประมงกับเด็กเกษตรน่ารักจังเลยยย :-[

ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1258
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
คู่ใหม่
ใส กวน น่ารัก น่าจับกอด
ในจินตนาการ เหมือนเห็นชิวาว่าตามเห่ายีราฟ
555

ออฟไลน์ zeroj

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 565
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
อ่านไปยิ้มไปอ่ะ   อิอิอิ        :-[ :-[ :-[

หมอกชิน   เจ้ชอบคู่นี้     :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด