[17]
คุณเชื่อเรื่องความบังเอิญไหมครับ?
หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง เราอาจเจอเหตุการณ์ที่ต่างกันไปกับวันก่อนๆ เป็นสิบเรื่อง หนึ่งในสิบเรื่องนั้นอาจจะมีความบังเอิญสอดแทรกเข้ามาให้ได้ประทับใจเล่นจนบางคนเรียกมันว่าความโชคดี
ช่วงนี้ผมเจอเรื่องบังเอิญแบบนั้นอยู่บ่อยครั้งจนน่าประหลาดใจ
"แซน ส่งรูปติดบัตรนักศึกษาเทอมนี้ยัง?"
คำถามจากปากเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของกำหนดการเปลี่ยนบัตรนิสิตในรอบปีแล้ว และมันจะไม่น่าตื่นเต้นเลยหากผมยื่นเรื่องกับกองกิจการนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ยังไม่เริ่มทำอะไรเลยแบบนี้
"...ยังไม่ทำแม้แต่ถ่ายรูปเลย"
เพื่อนคนดีส่งสายตาประมาณ กูว่าแล้วว่าต้องตอบแบบนี้ มาให้ ไม่แปลกหรอกที่จะเห็นสีหน้าแบบนี้ใส่ในเมื่อโดนมาหลายครั้งหลายคราจนไม่รู้ว่าจะต้องตื่นเต้นตกใจกับเหตุการณ์เช่นนี้ทำไม
"...วันนี้เขามีซุ้มถ่ายรูปเปิดที่คณะข้างๆ ให้ไวเลย ไม่งั้นโดนปรับเราไม่ช่วยนะ"
"เขาจะถ่ายให้เด็กคณะอื่นด้วยเหรอ"
"ไม่ลองก็ไม่รู้ ไปอ้อนๆ เขาหน่อยก็คงได้ ไปเร็ว!"
เพราะโดนเพื่อนรักดันหลังอย่างแรงจนคิดว่ามันคงจะใส่ความหมั่นไส้และเหนื่อยใจมาให้เต็มๆ ผมจึงต้องยอมละมือจากผืนผ้าใบตรงหน้า ทิ้งพู่กันสีน้ำมันไว้แล้วเดินออกจากห้องกิจกรรมด้วยความไม่สมัครใจเท่าไหร่ ตึกศิลป์ที่เป็นแหล่งกลบดานประจำถูกทิ้งไว้ข้างหลังเมื่อผมสาวเท้าเดินไปตามฟุตปาทที่ถูกทาสีขาวแดงกันไม่ให้นักศึกษามาจอดรถฟรีกันเพื่อตรงไปยังตึกคณะข้างๆ ที่ไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เดินเข้าไปด้วยไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยแม้แต่น้อย
ลานกว้างหน้าตึกคณะเพื่อนบ้านเป็นสถานที่แรกที่ผมมองหาซุ้มถ่ายภาพที่ได้รับการบอกกล่าวมา ในหัวคิดถึงแต่ว่าควรจะหาข้ออ้างยังไงให้มีเหตุผลพอสำหรับการบุกมาเช่นนี้ ทว่าแม้จะมองหาแค่ไหนก็ไม่เจอสักส่วนที่ใกล้เคียงคำว่าซุ้มถ่ายรูปที่ว่ามา เลยได้แต่ยืนด้อมๆ มองๆ ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี
“ตามหาใครอยู่หรือเปล่า?”
เสียงทุ้มห้าวทักจากทางด้านหลังเล่นเอาเกือบสะดุ้ง ผมหันกลับไปสบตากับเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดหมีที่กำลังแบกอุปกรณ์อะไรสักอย่างเอาไว้ในมือด้วย
“เรา... เรามาหาซุ้มถ่ายรูปติดบัตรนักศึกษา”
“คณะประมงนะ”
“ครับ?”
“วันนี้เขาให้ถ่ายรูปเฉพาะคณะประมง ตามประกาศของมหาวิทยาลัยไง”
เจอคำพูดจังๆ เข้าไปแบบนี้ก็ไม่รู้จะสานต่อยังไงดี คำพูดที่คิดเอาไว้ในหัวมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง ทำได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆ มองคนที่ทำหน้านิ่งตอบกลับมาเช่นกัน คล้ายบรรยากาศรอบข้างเงียบกริบลงฉับพลันในช่วงเวลานั้น
“...ตามมาแล้วกัน”
“...?”
“อยากถ่ายรูปก็ตามมา เดี๋ยวจัดการให้”
ไม่ว่าเปล่า คนตัวสูงหมุนตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามแล้วออกตัวอย่างรวดเร็วจนต้องรีบก้าวเท้าตามไปด้วย ไม่รู้หรอกว่าที่จะจัดการให้นั้นหมายถึงอะไร แต่ในเมื่อมีโอกาสจะได้ทำเรื่องที่ตั้งใจไว้ให้เสร็จๆ ไปแล้วไม่คว้าเอาไว้เห็นทีผมอาจจะถูกเพื่อนด่าว่าโง่เอาถ้ากลับไปเล่าให้ฟัง
จากที่คิดไว้ว่าซุ้มถ่ายรูปจะต้องใหญ่อลังการเห็นชัดแถมต้องตั้งอยู่กลางลาน ผมก็ได้รู้ว่าซุ้มถ่ายรูปที่เพื่อนหมายถึงคงจะเป็นการเข้าใจผิด แทนที่จะเรียกว่าซุ้ม ควรจะเรียกว่าห้องห้องหนึ่งมากกว่า แถมยังไม่ทันได้เข้าไปก็รู้ว่าภายในน่าจะมีคนอยู่เยอะเชียว
“ไบร์ททำอะไรอยู่วะ? คนเขารอเอ็งอยู่คนเดียวเนี่ย” ทันทีที่เปิดประตูผู้ชายตัวสูงอีกคนก็พุ่งเข้ามาหา ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าผมติดสอยห้อยตามเพื่อนตัวเองมาด้วย “ แล้วนี่?”
“เพื่อน วันนั้นเขาไม่มาตอนที่คณะมีถ่าย เดี๋ยวจัดการเอง”
แม้คนฟังจะยังมีสีหน้าสงสัยอยู่บ้างแต่เขาก็ยอมพยักหน้าและหลบทางให้ผมเดินตามคนชื่อไบร์ทเข้าไปด้วย
คำถามว่าใครจะเป็นตากล้องในครั้งนี้ถูกปัดตกไป เมื่อคนที่เสนอตัวช่วยเริ่มลงมือประกอบอุปกรณ์ที่ตนหอบมากับกล้องที่ถูกเตรียมเอาไว้แล้ว อยากจะเข้าไปช่วยแต่ตัวเองก็ไม่มีความรู้เลยได้แต่ยืนมองอยู่ข้างๆ จนอีกคนเงยหน้ามามองแล้วกวักมือเรียกนั่นแหละถึงได้เริ่มขยับตัวทำอะไรกับเขาบ้าง
“จะถ่ายเด็กในคณะให้หมดก่อน แล้วเราเป็นคนสุดท้าย ระหว่างนี้ช่วยเช็คชื่อคนที่ถ่ายรูปไปแล้วกัน”
เพราะเชื่อว่าได้รับการช่วยเหลือแล้วก็ต้องตอบแทน พอเขาไหว้วานให้ทำอะไรก็รีบตอบรับทันที ในมือผมจึงมีกระดาษรายชื่อกับปากกาที่ได้รับมาพร้อมทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่เมื่อเขาเริ่มเรียกคนในคณะเรียงตามชั้นปี
รวมเวลากว่าชั่วโมงที่ผมทำหน้าที่เช็คชื่อให้เด็กคณะเพื่อนบ้านแทนที่จะถือพู่กันวาดภาพอย่างที่ควรจะเป็น จนกระทั่งในที่สุดก็เหลือแค่ชื่อคนสุดท้ายที่ไม่เดินเข้ามาตามที่ประกาศเรียกชื่อไว้
“เราว่ามีคนนึงไม่มา”
“หือ? เขียนไว้ว่าชื่ออะไร”
“ปฐพี ชั้นปีสี่”
“อ๋อ เดี๋ยวถ่ายให้หน่อยแล้วกัน”
คนตัวสูงผละจากหลังขาตั้งกล้อง เริ่มถอดชุดหมีของตัวเองออกจนเผยให้เห็นชุดนักศึกษาเหมือนที่ผมใส่เด๊ะๆ อยู่ข้างใน ยอมรับว่าตกใจอยู่บ้างที่เขาเองก็เองก็เรียนคณะนี้ เพราะเข้าใจมาตลอดว่าอาจจะเป็นเด็กคณะนิเทศที่รับหน้าที่ถ่ายรูปให้มหาวิทยาลัยอะไรทำนองนั้น เพราะท่าทางคล่องแคล่วในการใช้กล้องดูเชี่ยวชาญไม่ใช่น้อย
ผมกดถ่ายภาพตามที่เขาบอกแล้วจึงสลับตำแหน่งไปยืนให้ตัวเองโดนถ่ายรูปบ้าง เผลอเกร็งตัวอยู่เหมือนกันเพราะปกติเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว ต้องขอบคุณเขาที่ช่วยให้มันง่ายขึ้นด้วยการถ่ายแบบรอบเดียวเสร็จไปเลย เวลากว่าชั่วโมงที่รอจึงจบลงภายในเวลาไม่ถึงห้านาที
“อย่าลืมเขียนชื่อไว้ เดี๋ยวกองกิจการจะเอาไปให้ไม่ถูก”
“ครับ ขอบคุณมากนะ ไม่งั้นเราต้องลำบากแน่เลย”
“คราวหลังอย่าลืมเช็คตารางดีๆ”
มือใหญ่วางลงมาที่หัวแล้วโยกไปมาเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เขาคงจะเข้าใจผิดว่าผมอายุน้อยกว่าแทนที่จะอยู่ระดับชั้นปีเดียวกัน หากว่ากันจริงๆ เขาน่าจะดูเป็นพี่ของทุกคนเมื่อเทียบร่างกายสูงใหญ่กับคนวัยเดียวกัน
ผมเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะขอตัวกลับคณะของตัวเองด้วยความสบายใจที่ทำภารกิจเสร็จสิ้น อดเสียดายอยู่ลึกๆ ที่หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสได้เจอคนใจดีของคณะเพื่อนบ้านแล้ว หากก็มาดหมายใจไว้ว่าจะซาบซึ้งบุญคุณของเขาไปตลอดแน่นอน
ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้นเหตุบังเอิญก็เกิดขึ้นกับผมจนได้
"สีหมด"
"หืม?"
"หืมอะไรล่ะแซน สีหมดไง สีเราหมด~"
เพื่อนตัวดีเริ่มส่งเสียงงอแงพร้อมยื่นหลอดสีน้ำที่เจ้าตัวกำลังถืออยู่ให้ดู มันก็สมควรจะหมดได้แล้วล่ะในเมื่อถูกบีบเสียจนหลอดแห้งแบนขนาดนั้น ใช่ว่าผมจะไม่เคยใช้จนแห้งขนาดนี้ แต่คนเราหากรู้ว่ามันจะหมดก็ควรซื้อเตรียมเอาไว้ก่อนไม่ใช่งอแงใส่เพื่อนเวลามันหมดหรอกหรือ?
"ก็ไปซื้อสิบีม จะมางอแงใส่เราทำไม"
"ก็เราขี้เกียจอ่า... ไปซื้อให้เราหน่อยสิ"
ไม่ใช่ว่าเดาไม่ถูกนะว่าประโยคต่อมาคืออะไร ถ้านับว่านี่เป็นสลากกินแบ่งงวดต้นเดือนล่ะก็ผมต้องถูกรางวัลไม่ต่ำกว่าสิบแปดล้านแน่นอน
หันมองงานตัวเองที่ปาดสีไปได้กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์กับงานของเพื่อนที่ยังหยุดอยู่ที่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นแล้วได้แต่พยักหน้าแกรนๆ กลับไป ไม่ลืมย้ำให้ทำงานต่อไปในระหว่างที่ไม่อยู่ด้วย บีมเป็นคนชอบอู้ ทำงานช้ากว่าเพื่อนๆ ร่วมคณะคนอื่น แถมผลงานที่เจ้าตัวทำยังเน้นสีสันสดใสเหมือนสิสัยของเจ้าตัวด้วยเลยทำให้ผมค่อนข้างเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยว่ารอบนี้ก็ต้องหามรุ่งหามค่ำลงสีแถมเป่าแห้งก่อนเดดไลน์ที่อาจารย์ให้ไว้คืนนึงเช่นปกติ
รายชื่อสีที่เจ้าตัวต้องใช้ถูกจดลงบนเศษกระดาษปอนด์มาพร้อมแบงค์สีเทา อดไม่ไหวต้องย้ำเสียงเข้มใส่อีกครั้งก่อนเดินออกมาจากห้องเมื่อเห็นบีมทำท่าเหมือนจะลงไปนอนกับพื้นแทนที่จะทำงานต่อ
จุดหมายปลายทางของเด็กจิตรกรรมที่กำลังหาซื้อสีอย่างไรเสียก็ต้องไปหยุดที่ร้านเครื่องเขียนหลังมหาวิทยาลัยที่ไม่รู้ว่าใครริเริ่มมาเปิดสาขาไว้เป็นคนแรก แต่เรื่องที่แน่นอนคือหากไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างน้ำท่วม ไต้ฝุ่นเข้า ร้านก็จะไม่มีวันปิด แถมของยังพร้อมขายให้นักศึกษาด้วยราคาที่ไม่รู้ว่ากำไรจะมีหรือเปล่า
"รบกวนจัดของตามรายการให้ด้วยนะครับ"
ฝากฝังไว้เรียบร้อยก็เดินเล่นรอในร้านเครื่องเขียนเล็กๆ นั้น ผมชอบเดินเลือกอุปกรณ์จากร้านเครื่องเขียนเช่นนี้มากกว่าเดินตามห้างร้านมากนัก เพราะสามารถเลือกของได้สะดวก แถมยังเพลินเสียจนไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดังเมื่อมีคนเข้ามา
"พู่กันออกใหม่น่าใช้แหะ..."
งึมงำกับตัวเองขณะมองพู่กันหัวทู่ในมือ อยากจะได้อันใหม่นะ แต่ที่มีอยู่ล้างให้สะอาดก็ยังใช้ได้อยู่เลย...
"อ้าว ตัวเล็ก"
แต่ถ้าซื้อไปก็จะมีสำรองตอนจำเป็นนะ จะได้ไม่ต้องหยุดงานกลางคันด้วย แบบนั้นเสียสมาธิแย่เลย งานแคนวาสตัวใหม่ก็คิดได้แล้วด้วย...
"ตัวเล็ก... แซน"
"หืม?"
เพราะได้ยินชื่อตัวเองเลยยอมเงยหน้าจากพู่กันในมือไปมองคนเรียก ก่อนจะยิ้มให้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายตัวโตในชุดหมีที่เคยช่วยผมเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน
"มาทำอะไร?"
"เรามาซื้อสี อืม... ไบร์ทล่ะ?"
"มาซื้ออุปกรณ์ไปทำบ่อปลา"
ได้ยินแบบนั้นผมก็สนใจไม่น้อย เลยแอบชะเง้อชะแง้มองของที่อยู่ในตระกร้าอีกฝ่าย ไม่เคยรู้เลยว่าเด็กคณะประมงเขาเรียนอะไรทำอะไรกันบ้าง แต่พอถึงงานประจำปีจะเห็นพวกเขาตั้งซุ้มอาหารทะเลกับเปิดให้ความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเสมอ
"จริงสิ นี่ เพิ่งได้มาเมื่อเช้า"
ไบร์ทว่าพร้อมส่งซองซิปที่หยิบจากกระเป๋าบริเวณอกเสื้อให้ผม พอพลิกดูถึงได้รู้ว่าเป็นรูปที่ไปเนียนถ่ายที่คณะของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน
"ขอบคุณครับ นึกว่ากองการจะเอามาให้เองซะอีก"
"...บังเอิญผ่านไปแถวนั้นเขาเลยฝากมา ดีนะที่เจอพอดี ไม่งั้นคงต้องเอาไปให้ที่คณะ"
"คณะเราหาไม่ยากนะ อยู่ข้างๆ คณะประมง เพื่อนบ้านกัน"
"รู้แล้วล่ะ แล้วนี่จะกลับเลยมั้ย?"
"อือ"
จังหวะที่ตอบรับไปนั้นพนักงานที่ฝากฝังให้จัดของให้ก็เอ่ยเรียกคิวของผมพอดีจึงได้เดินไปชำระเงินพร้อมกับคนตัวสูงข้างๆ กัน
"รออยู่นี่ เดี๋ยวไปส่ง"
"เราเกรงใจ..."
"รอนี่"
เพราะคำยืนยันจากคนตัวสูงที่มองมาด้วยสายตานิ่งเรียบผมจึงทำได้แค่พยักหน้าพร้อมรับถุงในมือของเขามาถือเอาไว้รวมกับของๆ ตัวเอง รับหน้าที่เป็นคนถือของในขณะที่เจ้าของเวสป้าช่วยขับมาส่งให้ถึงหน้าตึก
"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"
"ไม่เป็นไร บังเอิญเจอทั้งที"
บรรยากาศรอบข้างเงียบลงอีกครั้ง คล้ายกับวันที่ได้เจอกับเขาครั้งแรก ไบร์ทมองหน้าผม ผมสบตาเขาแล้วนิ่งไม่พูดอะไรทั้งคู่อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนคนตัวโตกว่าจะหยิบหมวกกันน็อกที่ได้รับคืนไปขึ้นสวมให้เข้าที่
“งั้นก็... ไว้เจอกัน”
“ครับ ไว้เจอกัน”
คนตัวโตขับรถออกไปแล้ว ผมมองส่งเขาจนแน่ใจแล้วว่ารถเวสป้าที่โดยสารมาหายไปทางตึกคณะถึงเดินฮัมเพลงกลับเข้าตึกตัวเองบ้าง ท่าทางคงดูมีความสุขจนเพื่อนต้องถามว่าไปเจออะไรมาบ้าง แต่ผมก็ไม่เล่าอะไรนอกเหนือไปกว่าบังเอิญเจอเพื่อนแล้วเขาอุตส่าห์มาส่งให้เท่านั้น
"สวัสดี"
"อ้าว สวัสดีไบรท์"
พยายามโบกมือทักทายขณะที่อุ้มผืนผ้าใบเข้าห้องประชุมด้วย แต่ก็หวิดจะทำตกจนคนทักต้องเดินเข้ามาช่วยถือ
"งานลงนิทรรศการนี้ด้วย?"
"ครับ คณะประมงก็มีงานเหรอ?"
"เปล่า อาจารย์ที่รู้จักเขาวานให้มาช่วยเฉยๆ"
ก็ว่าอยู่เพราะปกตินิทรรศการช่วงกลางปีแบบนี้จะไม่แทรกงานของคณะอื่นมาโชว์ด้วย
เนื่องจากนักศึกษาชั้นปีสี่ของคณะจิตรกรรมและภาพพิมพ์ที่ผมศึกษาอยู่จะต้องออกนิทรรศการร่วมกันทุกปี แน่นอนว่านักศึกษาชั้นปีสี่แบบผมและบีมต้องเข้าร่วมด้วย ทุกคนต่างขุดฝีไม้ลายมือมาลงในงานของตัวเองเต็มที่ เพราะผลงานที่นำมาจัดนี้อาจจะเป็นตัวปูทางไปสู่อาชีพในอนาคตได้
สุดท้ายแล้วช่วงเช้าทั้งหมดของผมก็ถูกใช้ไปกับการช่วยทุกคนจัดของ แม้จะมีบีมมาก่อกวนถามเรื่องเพื่อนต่างคณะให้ต้องส่งสายตาเรียบเฉยใส่อยู่เป็นระยะ แต่นับว่างานที่ออกมาก็สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่มันควรจะเป็นแล้ว
"ไม่รู้เรื่องศิลปะหรอกนะ แต่รูปนี้เท่ดี ดูแล้วเหมือนมีพลังงานพุ่งออกมา"
คำชมจากเจ้าของร่างสูงข้างตัวทำให้ผมต้องลอบยิ้มออกมา ทุกคนคงจะเข้าใจความรู้สึกเวลาที่เราพยายามทำอะไรสักอย่างออกมาให้มันดีที่สุดแล้วมีคนเห็นความพยายามนั้น แม้จะแค่เล็กน้อย แต่สิ่งเล็กน้อยนั่นแหละที่ผมมักจะมองหาและใช้มันเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไป ยิ่งกับคนที่ออกตัวแล้วว่าไม่มีความรู้เชิงลึกในเรื่องภาพวาด แต่กลับรู้ถึงสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อออกมาได้มันยิ่งทำให้มีกำลังใจมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวจนต้องพูดขอบคุณเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่มักจะได้ไบร์ทช่วยอยู่เสมอ
“เสร็จนี่แล้วว่างไหม?”
“?”
“บังเอิญได้นี่มาจากเพื่อน สองใบพอดี” ตั๋วภาพยนต์สองใบถูกยื่นให้ รอบดีแถมหนังยังเป็นเรื่องที่กระแสตอบรับดีจนมีแต่คนเชิญชวนให้ไปชมเสียอีก “ถ้าว่างไปกัน”
“...อือ เราว่าง”
“งั้นสามโมงเจอกันหน้าหอศิลป์”
พยักหน้าตอบรับก่อนจะโบกมือให้เมื่ออีกฝ่ายถูกอาจาร์ยประจำภาคผมเรียกไปยกของต่อ ก้มมองตั๋วภาพยนต์ในมืออีกครั้งก่อนมุมปากจะยกขึ้นอัตโนมัติ ครึ่งบ่ายนั้นผมคงจะแสดงออกมากไปหน่อยเลยถูกบีมกวนประสาทด้วยการมาวอแวใกล้ๆ แล้วถามหาสาเหตุของรอยยิ้มและเสียงฮัมเพลงของผมตลอดจนกระทั่งจบงาน
“หนังสนุกดี”
“อือ เราชอบนักแสดงนำอยู่แล้วด้วย ลองไปหาเรื่องเก่าๆ ของเขาดูนะ แล้วจะติดใจ”
“ชอบหนังแนวแอคชั่นสิงั้น?”
“ความจริงชอบแอคชั่น-แฟนตาซี เหมือนดูสองแนวในเรื่องเดียว”
บางคนมักจะจับหนังแฟนตาซีกับหนังแอคชั่นแยกออกจากกัน แต่ในความคิดของผม ความแฟนตาซีกับความแอคชั่นมีส่วนคล้ายกันอยู่หลายอย่าง และหากเราจับจุดได้ดี การจะจับหนังสองหมวดมารวมกันในเรื่องเดียวให้สนุกได้นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ดูอย่างค่ายหนังยักษ์ใหญ่ที่มีผลงานต่อเนื่องออกมาหลากหลายภาคและจั่วหัวว่าเป็นแอคชั่น-แฟนตาซีพวกนั้นสิ เขาทำได้ดีจนผมต้องสมัครตัวขอเป็นแฟนคลับแบบลับๆ ด้วย
“คราวหลังจะพาไปดูการ์ตูน”
“...เราว่ามันไกลจากที่พูดไปโขเลยนะ”
เราสบตากันเมื่อจบประโยค ก่อนที่จะหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาพร้อมกัน เส้นขำขันของเราทั้งคู่อาจจะลึกกว่าชาวบ้าน แต่พอเวลาจูนกันติดแล้วความสนุกก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมเรียนรู้ในระยะหลังมานี้
“จะกลับหอเลยหรือว่าจะกลับไปงานนิทรรศการก่อน?”
“เรากลับหอเลย”
“ถ้างั้นกลับด้วยกัน ต้องไปแถวนั้นพอดี”
“บังเอิญมีธุระแถวหอเราเหรอ?”
“...อืม”
ช่วงหลังมานี้ผมกับเขามักจะบังเอิญเจอกันบ่อยๆ ตามโรงอาหารในมหาวิทยาลัย ร้านขายเครื่องเขียน บางครั้งก็ไปโผล่ที่สาธารณะแถวหอที่ผมชอบไปนั่งจับเจ่าดูอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำงาน พอได้เจอบ่อยเข้าก็ได้ทักทายกันมากขึ้น ไบร์ทเป็นคนนิ่งที่มีเสน่ห์ตามแบบฉบับของตัวเองจนผมอยากจะขอสเก็ตรูปเขาอยู่หากเจ้าตัวไม่รังเกียจ และแม้หน้าตาเขาจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์เท่าไหร่ หากคำพูดแต่ละคำนั้นชัดเจนและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาจนผมรู้สึกสนิทใจกับคนจากต่างคณะคนนี้อยู่มากทีเดียว
แต่บางครั้งผมก็คิดว่าการเจอกันในแต่ละครั้งของเรามันค่อนข้างจะ บังเอิญ มากไปหน่อย
“แล้วบังเอิญว่าเพื่อนที่ให้ตั๋วมาชื่อเดียวกับไบร์ทด้วยหรือเปล่า?”
“.....”
“พอดีเราเห็นว่าคนซื้อชื่อปฐพีเหมือนกัน ตั๋วฮันนีมูนเชียวนะ...”
ไบรท์หยิบตั๋วที่เก็บเข้ากระเป๋ากางเกงไปแล้วขึ้นมาดู ก่อนจะถอนหายใจแล้วบ่นเบาๆ กับตัวเอง ดูท่าทางว่าเขาคงจะไม่ได้ตรวจบัตรให้ละเอียดก่อนที่จะเอามาให้ผม ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะหาวิธีลบชื่อคนซื้อทิ้งไปก่อนและผมอาจจะยังไม่ทันเอะใจจนจับว่าเขาโป๊ะแตกได้
อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผมช้าไป หรืออาจจะเป็นเพราะเชื่อคนง่ายไปถึงได้ไม่เอะใจมาก่อนหน้านี้
“ก็บังเอิญอยู่...”
“บังเอิญว่าเพื่อนชื่อเหมือนกัน?”
“บังเอิญว่าชอบไปแล้ว ขอจีบได้ไหม?”
อย่างที่บอกไปว่าเพื่อนต่างคณะคนนี้เป็นคนที่แสดงออกทางคำพูดได้ตรงไปตรงมา แต่บางครั้งการตรงไปตรงมาของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกเดือดร้อนอยู่เหมือนกัน
...ร้อนไปหมดแล้วหน้าเน่อ ยังดีหน่อยที่เก็บอาการอยู่ ไม่อย่างนั้นต้องทำตัวไม่ถูกไปมากกว่านี้แน่เลย
“...อือ”
“อือคือ?”
“ก็... บังเอิญว่ารู้สึกดีด้วยไปแล้ว เราจะให้จีบก็แล้วกัน”
ในเมื่อบังเอิญมาบังเอิญไปแล้วมันส่งผลให้เกิดอะไรดีๆ จะยอมให้เกิดเรื่องบังเอิญต่อไปอีกหน่อยก็น่าจะเข้าทีอยู่เหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ?
-----------------------------------------------------------
TALK: สวัสดีค่ะ! เรากลับมาแล้ว มาพร้อมคู่ใหม่สำหรับตอนนี้ เป็นคู่ที่... จะว่ายังไงดี นิ่งๆ อึนๆ เนียนกว่าคู่ก่อนอีกมั้ง ช่วงนี้เริ่มคิดว่าตัวเองชอบคนไทป์ไหนกันนะ ทำไมมันกถึงได้ดูล่องลอยขนาดนี้ 555555555555555555
ตอนนี้กำลังตั้งใจว่าจะเคลียร์นิยายให้จบภายในเดือนนี้ค่ะ เนื่องจากเหลืออีกไม่กี่ตอนเท่านั้น เราอยากให้เขาออกมาสมบูรณ์ในช่วงที่เรายังมีเวลาว่างพอสมควร เพราะหลังจากนี้คือการทำงานสิ้นปีอันแสนหฤโหดค่ะ...

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณทุกคอนเม้นและกำลังใจดีๆ รวมไปถึงข้อติเตียนที่ทำให้เรามีแรงฮึ้ดในการปรับปรุงตัวเองค่ะ
แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ เลิฟ