Chapter7
หนึ่งคำที่ล้นใจ
ฤดูฝนผ่านไปแล้ว วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งและสดใสกว่าทุกๆวัน สายลมพัดผ่านกระทบใบหน้าและผิวกายที่โผล่พ้นออกจากเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดตา เสียงใบไม้และใบหญ้าตกกระทบกันจนพาให้คนฟังเคลิบเคลิ้มเหมือนดังเสียงเพียงที่คอยขับกล่อม
ไม่มีเสียงผู้คนดังวุ่นวายและรบกวนโสตประสาท มีเพียงเสียงนกและเสียงลมพัด มันสงบจนไม่อยากออกไปจากที่แห่งนี้ ที่ที่ผมใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจในเวลาที่ไม่สบายใจ
จำไม่ได้ว่าค้นพบที่แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือตอนไหน รู้แค่ว่าที่แห่งนี้มันทำให้ผมมีความสุขและสงบสุขที่สุดเท่าที่เคยพบมานอกจากบ้านที่เชียงใหม่
มีต้นไม้ใหญ่คอยเป็นร่มเงาให้ผมไม่ต้องเผชิญกับแสงแดดที่สาดส่องลงมาจากดวงตะวัน มีพื้นหญ้าสีเขียวอ่อนๆเป็นที่รองรับน้ำหนักให้ผมได้พักพิง
“ไม่สบายใจอะไรอีกล่ะ?”
เสียงทุ้มหูดังขึ้นพร้อมกับคนพูดนั่งลงข้างๆผม เราสองคนไม่ได้มองหน้ากัน ทำเพียงแค่ทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลโดยไม่มีจุดหมายที่แน่นอน
“เรื่องงานน่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“งานไม่ดีเท่าที่ควรทั้งที่ตั้งใจกับมันมากแต่ก็ไม่ดีสักที”
“เอาน่า อย่าคิดมาก ค่อยๆคิด ค่อยๆแก้เดี๋ยวงานมันก็ดีอย่างที่ตั้งใจนั่นแหละ”
“เฮ้อ เราน่าจะเลือกเรียนคณะเกษตรตั้งแต่แรก ปลูกผักก็น่าสนุกดี”
“โหย มันไม่สนุกหรอกเอาจริง ดูอย่างกูสิออกแดดแค่ปีเดียวก็ตัวดำเป็นเมี่ยงแล้ว กลับบ้านไปคนที่บ้านก็แทบไล่ออกจากบ้าน”
ผมหัวเราะกับคนพูด ถึงจะฟังดูหยาบคายแต่เขาก็เป็นคนดีและคนตลกคนหนึ่ง แทนไทเพื่อนคณะเกษตรที่ผมรู้จักและได้พูดคุยเสมอในยามที่แวะมานั่งใต้ต้นไม้แห่งนี้ มองดูแปลกผักและนักศึกษาคณะเกษตรช่วยกันปลูกผักก็เพลินตาไปอีกแบบ
“ได้ข่าวว่าดำตั้งแต่เกิดไม่ใช่เหรอ?”
“รู้ได้ยังไงว่ากูดำตั้งแต่เกิด กูขาวออร่าจนพ่อต้องใส่แว่นตากันแดดเวลาคุยกับกูเลยล่ะ”
“ขี้โม้”
“เออ”
ผมยิ้มขำกับมุกตลกของคนข้างๆ มีเขานี่แหละที่พูดคำหยาบกับผมเป็นคนแรก ตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบแต่เจอกันบ่อยๆก็เข้าใจวิถีคนห่ามอย่างเขา
แทนไทเป็นลูกเจ้าของสวนยางพาราทางใต้แต่เจ้าตัวดันชอบปลูกผักมากกว่า เห็นบอกว่าถ้าเรียนจบจะไปขยายสวนที่บ้านเกิดให้มีสวนผักอีกสักสิบไร่
“แล้วแครอทที่ปลูกขึ้นหรือยัง?”
“อีกสักสองวันคงเก็บได้”
“อืม”
“เดี๋ยวเอาไปให้ที่คณะแล้วกันหรือจะมาเอาที่นี่?”
“มาที่นี่ดีกว่า เราอยากเก็บแครอทเองบ้าง เห็นแทนเก็บแล้วดูสนุกดี”
“มึงนี่เห็นอะไรก็เป็นเรื่องสนุกหมดหรือไงวะ เหนื่อยนะโว้ยบอกไว้ก่อน”
“อยู่ที่เชียงใหม่เราก็ไปช่วยพ่อเก็บสตรอว์เบอรีในสวนออกบ่อยๆ ไม่เหนื่อยหรอก”
ว่าเสร็จก็ฉีกยิ้มให้อีกคนที่เบ้หน้าใส่กับรอยยิ้มของผม ยังคงคอนเซ็ปคนห่ามไว้ได้ดี
“ยิ้มอย่างกับหมาได้กระดูก ตามใจมึงละกันแล้วอย่ามาบ่นทีหลัง กูไม่เห็นใจมึงหรอกนะ”
“ช่างสิ”
“กูสงสัยมานานละ มึงบอกว่าไม่ชอบกินผัก แล้วทำไมชอบมาขโมยแครอทจากกูจังวะ”
“ถึงเราไม่ได้ชอบผักแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ชอบแครอทสักหน่อย”
“กูล่ะปวดหัวกับคำพูดมึงจริงๆ”
“เราก็ปวดหัวกับคำพูดห่ามๆของแทนเหมือนกันนั่นแหละ”
ผมโดนผลักหัวแรงๆหนึ่งทีจนหน้าเกือบลงไปจูบกับผืนหญ้าสีเขียวอ่อน ยังดีที่ทรงตัวได้ทันไม่งั้นไอ้คนที่ทำผมนี่แหละจะไม่ได้ตายดี
“กลับไปหาเพื่อนมึงได้ละ รำคาญไอ้ตัวเล็กนั่นจะมาบ่นกูอีก”
นึกถึงเนมเพื่อนตัวเล็กที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับแทนไทก็นึกตลก เนมไม่ค่อยชอบให้ใครมาพูดคำหยาบด้วย พอเจอกับแทนไทที่แทบพ่นสัตว์ทั้งโลกออกมาก็แทบจะจับกินหัว ไอ้คนพูดพอเห็นอย่างนั้นก็สนุกเขาล่ะ เจอกันทีก็ด่ากันไฟแลบจนพวกผมหยุดขำกันไม่ได้
อีกคนพูดหยาบ ส่วนอีกคนก็พูดจาไพเราะเสนาะหูซะเหลือเกิน
“คิดๆดูแทนกับเนมก็ดูเหมาะกันดีน้า”
“มึงอย่ามาพูดอะไรที่ทำให้กูหดหู่แบบนี้ แค่ได้ยินชื่อหน้าเพื่อนมึงก็ลอยมาหลอกหลอนกูแล้ว”
“ฮ่าๆๆ เนมเป็นคนนะไม่ใช่ผี”
“ถ้าให้กูเลือกระหว่างผีกับเพื่อนมึง กูขอเลือกผีดีกว่า คนห่าอะไรด่ากูได้ตลอด ถ้าแดกหัวกูได้คงแดกไปแล้วมั้งนั่น”
“แทนก็ไม่ต่างกันหรอก”
“เออ กูเห็นหน้ามันแล้วอดไม่ได้ ตัวก็เตี้ยเท่าหมากระเป๋า เห่าก็เก่งที่หนึ่งเลยเพื่อนมึงน่ะ”
“นี่! เดี๋ยวก็ไปฟ้องเนมซะหรอก”
“เหอะ คิดว่ากูกลัวซะเมื่อไหร่ ก็แค่หมากระเป๋าตัวเล็กๆ”
“ปากนะปาก ไม่พูดคำหยาบสักวันผักมันจะไม่โตหรือไง?”
“เออ กูก็เป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว มีแต่พวกมึงนั่นแหละพูดเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ อย่างกับพวกคุณหนูหลุดออกมาจากวัง”
“จริงเลยๆ ไปดีกว่าเดี๋ยวอีกสองวันจะมาเก็บแครอท”
“เออ ไสหัวไปสักที”
ขนาดคำบอกลาสักคำยังไม่มี มีแต่คำพูดห่ามๆกับการโบกมือไล่ที่ผมเห็นจนชินตา ถ้าวันไหนแทนไทพูดดีๆด้วย วันนั้นคงเป็นวันสิ้นโลกแล้วจริงๆ
กลับมาถึงคณะก็เจอเนมเพื่อนรักนั่งรออยู่ใต้คณะคนเดียว มองหาเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มก็ไม่เจอ สงสัยไปซื้อของกินหรือไม่ก็ไปเข้าห้องน้ำล่ะมั้ง
“ไปหาคนปลูกผักอีกแล้วเหรอ?”
“อือ แทนไทฝากความคิดถึงมาให้เนมด้วยนะ”
“พูดอะไรน่าขนลุก” ไม่ว่าเปล่า ลูบแขนและเบ้หน้าประกอบจนผมอดไม่ได้ที่จะขำกับท่าทางของเพื่อนตัวเอง
“ฮ่าๆๆ ล่อเล่น”
“เดี๋ยวเถอะ ทีหลังอย่าพูดอะไรแบบนี้อีกนะ นึกหน้าคนปลูกผักแล้วพาลจะนอนไม่หลับ หลอนประสาทชะมัด”
“แล้วนี่วาไปไหน?”
“ขึ้นไปรอบนห้องแล้วน่ะ เห็นบอกว่ามีเรื่องคุยกับจีจี้”
“อือ”
“ขึ้นห้องเถอะ อีกห้านาทีก็จะเรียนแล้ว”
หลังจากเรียนเสร็จ ผมมีนัดกับตะวันที่โรงยิมเพราะผมบอกเขาให้สอนเล่นบาสเก็ตบอล กีฬาที่ตะวันอวดนักอวดหนาว่าเก่งที่สุดในมหาวิทยาลัย
ตอนฟังก็ได้แต่เบ้หน้า นินทาในใจเงียบๆคนเดียว คนบ้าอะไรหลงตัวเองชะมัด
“วันนี้ชลไม่ได้กลับด้วยนะ เดี๋ยวชลต้องไปหาตะวันก่อน”
“หืม? ไปหาตะวันทำไมอ่ะ?”
“ไปเล่นบาส”
“ชลเนี่ยนะเล่นบาส!?” เพื่อนทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันจนผมมต้องเลิกคิ้วมอง
“ใช่น่ะสิ ตกใจอะไรกันเล่า”
“ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นสนใจ แล้วนี่คิดยังไงจะไปเล่นบาส?” เนมเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“ก็...ไม่รู้อ่ะ อยากเล่นก็คืออยากเล่น คิดอะไรมากเล่า”
“จริงดิ อยากเล่นบาสจริงๆเหรอชล ไม่ใช่ว่าอยากไปเล่นตะวันหรอกนะ”
“เดี๋ยวๆ อะไรคือเล่นตะวัน พูดจาเลอะเทอะ”
เพื่อทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะตอบออกมาพร้อมๆกัน
“ก็ไม่รู้สินะ”
ผมได้แต่เบ้หน้าก่อนจะเดินนำเพื่อนไปที่รถของเนมที่จอดอยู่
“ไปกันได้แล้ว ไปส่งชลที่โรงยิมด้วย”
“ครับๆ คุณชลธี”
ภายในโรงยิมมีผู้คนไม่มากมายนัก นักศึกษาบางกลุ่มนั่งอยู่บน อัฒจันทร์เพื่อมาดูนักบาสในสนามที่กำลังส่งลูกบาสกันไปมาอย่างสนุกสนาน หนึ่งในนั้นก็มีคนที่นัดผมมาด้วย นั่นก็คือตะวัน
ผมก้าวขึ้นไปนั่งบนเก้าตรงอัฒจันทร์ก่อนจะเห็นตะวันโบกไม้โบกมือทักทาย พร้อมยิ้มแฉ่งโชว์ลักยิ้มที่ข้างแก้มซ้าย พาให้สาวๆที่มองอยู่ต้องส่งเสียงกรี๊ดให้นักบาสหนุ่มสุดหล่อ
ตะวันทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะยกมือขึ้นเกาจมูกตัวเองอย่างเขินอาย ผมส่งยิ้มให้เขาและโบกมือทักทายกลับก่อนที่ตะวันจะกลับไปแย่งลูกในสนามต่อ
ท่าทางคล่องแคล่วในสนามนั้นทำให้ผมอดที่จะชื่นชมเขาในใจไม่ได้ คำที่เขาคุยโวโออวดกับผมก็คงไม่ต่างจากสิ่งที่ผมเห็นเท่าไหร่ ไหนจะท่าชู้ตบาสจนตัวลอยหรือการหลบหลีกผู้ต่อสู้ฝั่งตรงข้ามก็ทำให้ผมดูการแข่งขันอย่างเพลิดเพลินจนไม่กล้าละสายตาแม้แต่วินาทีเดียวด้วยซ้ำ
ดูได้ไม่นานเกมในสนามก็จบลง มองจากตรงนี้ก็เห็นเหงื่อของทุกคนเปียกโชกไปทั่วแผ่นหลัง ส่วนตะวันรายนั้นแข่งจบก็โบกมือให้ผมก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนๆในทีมบาส ไม่นานเสียงโห่แซวกลางสนามก็ดังขึ้นพร้อมกับทุกสายตาหันมามองทางผมเป็นตาเดียว
ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันแต่เห็นตะวันเดินเกาจมูกเข้ามาหาผมพร้อมหน้าแดงระเรื่อ คงเพราะพึ่งเล่นกีฬาเสร็จ
“อ่ะน้ำ”
“ขอบคุณครับ”
ตะวันรับน้ำที่ผมยื่นให้ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างๆกัน
“เหนื่อยเปล่า จะสอนเราไหวไหมเนี่ย?”
“ไหวดิ แค่นี้สบายมาก”
“ขี้โม้”
“จริงๆ ไม่เชื่อเดี๋ยวจะวิ่งรอบสนามให้ดูสักสิบรอบเป็นไง”
“เอาดิ”
“เฮ้ยๆ นี่จะไม่ห้ามกันหน่อยหรือไง คนอะไรใจร้ายใจดำ”
“ทำงอนเป็นเด็กไปได้ แล้วเมื่อกี้พวกในสนามเขาแซวตะวันเรื่องอะไรอ่ะ เห็นมองมาที่เรากันหมดเลย”
“ไม่มีอะไรหรอก พวกมันไร้พูดไร้สาระปกตินั่นแหละ อย่าสนใจเลย”
“โกหกเราเปล่าเนี่ย”
“พูดจริงดิครับ นายตะวันไม่เคยโกหกใครอยู่แล้ว โดยเฉพาะหัวใจตัวเอง”
จู่ๆไม่รู้ทำไมหน้ามันร้อนวูบวาบขึ้นมา ไม่รู้เพราะคำพูดหรือสายตาของตะวันกันแน่ที่ทำให้ผมอยากจะเบือนหน้าหนีสายตาที่มันวาววับทั้งเจ้าเล่ห์ในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่คิดกับสิ่งที่ทำอยู่กลับต่างกัน ในเมื่อผมเอาแต่นั่งมองเข้าไปในตาของตะวัน อยากค้นให้ลึกไปถึงความรู้สึกและความหมายที่เขาต้องการจะสื่อสารกับผม
“น้ำเย็นเนอะ สดชื่นจัง”
และตะวันก็ทำให้ผมละสายตาจากเขามามองขวดน้ำที่เหลือเพียงก้นขวด
“อื้อ พึ่งออกจากตู้แช่เย็นก็ต้องเย็นอยู่แล้วดิ”
“วันหลังเอามาให้อีกบ่อยๆได้หรือเปล่า?”
“ถึงเราไม่เอามาให้ก็คงจะมีแฟนคลับตะวันเอามาให้อยู่แล้ว”
“แต่มันไม่สดชื่นเหมือนน้ำที่ชลเอามาให้นี่นา”
“น้ำที่ไหนมันก็เหมือนๆกันหมดนั่นแหละ”
“น้ำเหมือนกันก็จริงแต่คนให้มันไม่เหมือนกันนะครับ”
“ยังไง?”
“ก็คนให้เป็นชลแค่นั้นแหละ”
“อะไรของตะวันเนี่ย?”
“ก็...ไม่มีอะไรหรอกแค่นึกถึง”
“นึกถึง?”
“นึกถึงชลตลอดเวลาเลย” ไม่รอให้ผมงงนานไปกว่านี้ตะวันก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆก่อนจะชวนลงสนามเพื่อสอนบาสเก็ตบอลให้ผมต่อ “ไปเถอะเดี๋ยวจะมืดค่ำไปกว่านี้ ส่วนที่บอกว่านึกถึงน่ะ นึกถึงจริงๆนะ”
เขาว่าย้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินนำหน้าผมเพื่อลงไปในสนาม ผมก็ได้แต่เดินตามและมองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความไม่เข้าใจ...
####################
อะไรคือนึกถึง? จงถอดรหัส ฮ่าๆๆ
มีคนเพิ่มมาอีกแล้วซึ่งจะเป็นคนที่หยาบคายที่สุดในเรื่องเพราะมันห่ามยิ่งกว่ามะละกอซะอีก
ขอบคุณที่ติดตามนะค้า
