Chapter10
รอฟังคำนั้น
(ตะวัน)
บอกไปแล้ว
ความรู้สึกตลอดหนึ่งปีกับอีกหกเดือน ผมบอกคนตรงหน้าไปแล้ว
ชลไม่ได้หันกลับมามองผม ผมได้แต่มองแผ่นหลังเล็กนั่นที่ยังคงนิ่งไม่ไหวติง
ทุกอย่างดูเงียบสงบจนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง เสียงหัวใจที่เต้นถี่รัวเหมือนจะหลุดออกมานอกอกให้ได้
ไม่รู้ว่าชลจะทำหน้าแบบไหน ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกยังไงแต่ที่ผมรู้ตอนนี้คือข้อมือที่ผมเคยจับหลุดออกจากการเกาะกุมในเวลาต่อมาพร้อมกับที่เขาค่อยๆเดินห่างผมออกไป
เหมือนโลกนี้มันแตกสลายลงไปต่อหน้าต่อตา
“บ้าเอ๊ย!! ไอ้ตะวัน”
ได้แต่สบถกับตัวเองหลังจากแผ่นหลังเล็กหายไปจากกรอบสายตา เหม่อมองไปยังตึกที่อีกคนเดินขึ้นไปแล้วก็พาลจะทำให้น้ำตาลูกผู้ชายไหล
ทำไมเขาถึงเงียบ
ทำไมถึงไม่หันมาถาม
ทำไม
ทำไม
และทำไม
ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด ถ้าหากนี่คือการปฏิเสธ มันคงเป็นกรปฏิเสธที่ทำให้ผมเจ็บเจียนตายยิ่งกว่าที่รู้ว่าเขามีแฟน
กลับไปกินแห้วเหมือนเดิมอีกแล้วสินะ
ไม่มีแรงจะปั่นจักรยานที่ตั้งใจซื้อมาให้เขาซ้อนกลับคณะของตัวเอง ได้แต่ทรุดตัวลงช้าๆเสมือนพระเอกเอ็มวีนั่งลงบนฟุตบาทหน้าคณะของเขา
ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา รู้สึกเจ็บและจุกจนไม่สามารถพูดบอกอะไรกับใครได้ แม้แต่ยิ้มให้คนอื่นที่เดินผ่านไปมาอย่างที่ชอบทำยังทำไม่ได้เลย
เป็นเอามากแล้วไอ้ตะวัน
นั่งไปสักพักก็ลุกขึ้นตั้งหลักใหม่ ในเมื่อเขายังไม่พูดหรือปฏิเสธตรงๆ ผมก็ยังพอมีหวัง หวังที่อาจจะมีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นก็ยังคงเป็นความหวัง หวังว่าหนึ่งเปอร์เซ็นนั่นจะทำให้ผมเจ็บน้อยลงกว่าที่เป็นอยู่ล่ะนะ
กว่าจะปั่นจักรายานมาถึงคณะตัวเองก็แทบหมดเรี่ยวหมดแรง ถ้าให้ปั่นจักรยานแข่งกับหอยทากเดิน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหอยทากคงจะชนะแน่นอน
ถ้าไอ้เพื่อนสองตัวมันเห็นผมปั่นจักรยานแบบนี้ มันคงบอกให้ผมลงเดินแล้วจูงจักรยานคงจะเร็วกว่า
จอดจักรยานไว้ที่มุมหนึ่งของตึกก่อนจะเดินเหมือนคนไร้วิญญาณเข้าไปหาเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังแย่งลูกชิ้นไม้สุดท้ายกันอยู่
“ไอ้ตะวันมาพอดีเลย งั้นให้มันเถอะ”
ลูกชิ้นหมูราดน้ำจิ้มสูตรเด็ดถูกยื่นมาตรงหน้า แต่นายตะวันที่กำลังเฮิร์ตอยู่นั้นกลับมองเมินเหมือนของไร้ค่าก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆเติ้ลที่มองตามการกระทำผมอย่างงงๆ
“เป็นไรวะมึง?”
ใหญ่ทำเนียนกินลูกชิ้นที่แย่งกันกับเติ้ลเข้าไปอย่างรวดเร็ว ไอ้เติ้ลก็ไม่ได้สนใจอะไรมันนอกจากหันมามองแล้วถามอาการของผม
“อกหัก”
“เฮ้ย!!”
เสียงอุทานของเพื่อนทั้งสองดังก้องไปทั่วตึกคณะนิติศาสตร์ คนที่นั่งหรือเดินผ่านไปมาหันมามองที่ที่พวกเรานั่งอยู่ ไอ้เติ้ลกับไอ้ใหญ่ค้อมหัวขอโทษแล้วยิ้มแหยๆส่งให้ก่อนสายตาหลายคู่นั้นจะหันกลับไปไม่สนใจพวกเราอีก
“อะไรยังไงวะมึง”
ใหญ่ถามต่อด้วยวามอยากรู้ ทิ้งไม้ลูกชิ้นที่กินหมดแล้วไว้ในถุงขยะก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาดื่มอย่างสบายอารมณ์
นี่ที่มึงถามเพราะเป็นห่วงหรือแค่มารยาทไอ้ใหญ่
“กูบอกชอบเขาแล้ว”
เพื่อนทั้งสองนิ่งค้างพร้อมกับก้มหน้าสงบนิ่มไว้อาลัยให้ผมที่ตอนนี้เหมือนคนตายทั้งเป็น
โว๊ะ! ไม่ขนาดนั้นไม่ล่ะไอ้เพื่อนเลว
“แล้วเขาก็ปฏิเสธมึงงี้หรอวะ?”
เติ้ลถามแล้วหยิบขนมปังในถุงเซเว่นขึ้นมาแกะกิน ป้อนไอ้ใหญ่คำกินเองคำ
ผมเห็นแล้วก็อยากจะบอกว่าพวกมึงไปกินให้อิ่มกันก่อนไหมแล้วค่อยมาคุยกับกู
แต่ก็ได้เพียงแค่คิดเพราะกำลังสำเหนียกตัวเองอยู่ว่ากูกำลังเฮิร์ตและเศร้าหนักมาก จะมาเล่นมุกโวยวายอะไรแบบนี้ไม่ได้ ขอคีพลุคสักสิบยี่สิบนาทีก่อน
“ไม่รู้ว่ะ เขาไม่ได้พูดอะไร เดินขึ้นตึกไปเรียนเฉยเลย”
คิดถึงภาพนั้นแล้วอยากจะดิ้นทุรนทุรายลงกับพื้น
“นกแน่ๆ” เสียงจากเติ้ลเพื่อนชั่ว
“แดกแห้วอีกแล้วมึง” เสียงจากใหญ่เพื่อนเลว
“พ่อง!!” เสียงจากตะวันคนที่อกหักมาหมาดๆ
ฮือออ พูดแล้วมันsad จะcryตอนนี้ก็ดูไม่คูล
“มึงอย่าพึ่งคิดเองเออเองดีกว่าว่ะตะวัน ชลอาจจะรีบขึ้นไปเรียนก็ได้เลยไม่ได้พูดกับมึง”
ตอนแรกผมก็คิดเหมือนไอ้ใหญ่มันนั่นแหละครับ แต่ถึงรีบยังไงมันก็ต้องหันมายิ้มหันมามองหน้ากันบ้างสักนิดป่าววะ
“เออกูเห็นด้วยกับไอ้ใหญ่ มึงรอตอนเที่ยงดีไหมยังไงก็ต้องไปกินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว”
“อือ”
ตอบรับในลำคอพร้อมกับไหลตัวไปกับโต๊ะอย่างหมดเรี่ยวแรง
เวลาที่ผมรอคอยมาถึงอย่างเชื่องช้าและมันก็มาถึงในที่สุด โรงอาหารกลางที่มีขนาดใหญ่กว่าโรงอาหารคณะผมมีเสียงพูดคุยดังเจื้อยแจ้วเป็นปกติ
เสียงป้าขายข้าวแกงตะโกนถามนักศึกษาที่ยืนต่อแถวอยู่ เสียงนักศึกษาที่ตะโกนตอบกลับไปดังไม่แพ้กัน ถ้าปกติคงจะนั่งมองภาพนั้นด้วยความเพลิดเพลินแต่วันนี้อารมณ์มันดิ่งลงเหว
แค่ได้ยินเสียงแมลงวันบินผ่านก็แทบเอามือไปตะปบมันแล้วขยี้แรงๆให้ตายคาฝ่ามือ
จากคนที่แสนดีและยิ้มเก่งกลายเป็นคนบาปหนาไปชั่วพริบตาเดียว
ผมและเพื่อนอีกสองคนมาถึงโรงอาหารก็แยกกันไปซื้อข้าว มีผมคนเดียวที่นั่งเฝ้าโต๊ะไว้และให้ไอ้ใหญ่เป็นคนซื้อข้าวมาให้
นั่งรอจนเพื่อนมาก็ยังไม่เห็นวี่แววว่ากลุ่มของชลจะมาสักที หรือเขามีเรียนตอนนี้นะ เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะดิ ตารางเรียนของชลผมไม่เคยรู้ไม่เคยเสาะหาหรอก ทุกครั้งที่เขามีเรียน เนมก็จะส่งข้อความมาบอกตลอดแต่วันนี้กลับมีแต่ความเงียบ...
เงียบทั้งกลุ่มเลยให้ตาย
“กินข้าวก่อนเหอะมึง เขาอาจจะเรียนอยู่ก็ได้”
เติ้ลบอกเมื่อเห็นผมเอาแต่ชะโงกหน้าไปที่ทางเข้าโรงอาหาร ข้าวราดแกงที่เพื่อนซื้อมาก็เริ่มจะเย็นชืดลงไปทุกที
“เขาต้องเกลียดกูแน่ๆเลยว่ะ”
ว่าแล้วก็เขี่ยข้าวเล่นเหมือนเด็กที่แม่บังคับให้กินข้าว เพื่อนทั้งสองหันมามองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงก่อนไอ้ใหญ่ที่เคี้ยวข้าวคำสุดท้ายเสร็จจะเอ่ยขึ้น
“เขาบอกแล้วเหรอว่าเกลียดมึง?”
ไม่รู้อ่ะ รู้แค่ไม่อยากให้เกลียด ถ้าไม่ชอบเดี๋ยวจะทำให้ชอบเอง แต่ถ้าเกลียดแล้วจะกลับมาชอบได้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
“ไม่ เขายังไม่ได้พูดอะไรกับกูเลย”
“ก็นั่นไง แล้วมึงจะไปคิดแทนเขาทำไมวะ?”
“ก็กู--”
“เอาเหอะๆ กูเข้าใจว่ามึงชอบเขามากแต่ถ้ามึงยังทำร้ายตัวเองด้วยการไม่แดกข้าวแบบนี้มึงจะเป็นโรคกระเพาะตายห่าไปก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรกับมึงนะครับสัด”
โรคกระเพาะตายห่าได้ด้วยเหรอครับ?
แต่เพื่อนผมมันพูดผิดไปอย่างนะจากที่ฟังมา
“กูไม่ได้ชอบเขา”
“...”
“กูรักเขาต่างหาก”
เท่านั้นแหละครับ เพื่อนรักทั้งสองก็ลุกออกจากโต๊ะโดยไม่ได้นัดหมาย ทิ้งผมไว้เคว้งคว้างอยู่คนเดียว
รู้ล่ะน่าว่าพวกมันไปซื้อน้ำอ่ะ
โถ่ะ!!
รอจนหมดเวลาพักของผมก็ไม่เห็นว่าคนที่ต้องการเจอจะมาสักที สุดท้าก็เดินคอตกกลับคณะไปด้วยความเศร้าใจ
พอเรียนเสร็จผมก็ไปดักรอเขาหน้าคณะ รอจนถึงหกโมงก็ไม่เห็นชลและเพื่อนของเขาสักที ทุ่มหนึ่งก็แล้วผมก็ยังนั่งตบยุงรอเขาอยู่อย่างนั้น บอกแล้วไงว่าผมไม่รู้ตารางเรียนของเขา ผมจึงได้เอาแต่นั่งรอเหมือนคนโง่ที่รู้ทั้งรู้ว่าเขากลับไปนานแล้ว
สุดท้ายก็กลับห้องตัวเองด้วยจิตใจห่อเหี่ยว
วันที่สองผมตื่นแต่เช้าเพื่อมาดักเจอเขาหน้าคอนโด ผมว่าเจ็ดโมงมันเช้ามากแล้วนะและคิดว่าวันนี้คงได้เจอเขาแน่ๆแต่คงมั่นใจมากเกินไปเพราะเก้าโมงแล้วก็ยังคงไม่เห็นเขาเดินออกมาจากคอนโด ผมมีเรียนเก้าโมงครึ่งด้วยสิ ชั่งใจสักพักจึงตัดสินใจขึ้นรถตัวเองเพื่อไปเข้าเรียนให้ทันเวลา
เรียนเสร็จค่อยไปดักรอหนาคณะเขาเหมือนเดิมก็แล้วกัน
ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างสักเท่าไหร่ เมื่อน้องรหัสที่ร้อยวันพันปีไม่เคยมาหากลับบอกผมว่าให้ไปติววิชาที่ต้องสอบพรุ่งนี้ให้หน่อย
ด้วยความที่เป็นคนดีศรีมหาลัยผมจึงรับปากและนั่นทำให้ผมไม่เจอกับชลเลยตลอดทั้งวัน
แต่ด้วยความหวังที่มีพียงนิดเดียว ตอนแรกมีหนึ่งเปอร์เซ็นต์ตอนนี้เริ่มลดลงเหลือศูนย์จุดห้าเปอร์เซ็นต์และมันจะลดลงเรื่อยๆถ้าผมกับชลยังไม่ได้คุยกันสักที
ผมมารอเขาที่คณะอีกครั้งในเวลาห้าโมงเย็น คณะของเขายังคงมีคนเดินพลุ่กพล่านแต่น้อยกว่าปกติเพราะเวลานี้คงเลิกเรียนไปเกือบหมดแล้ว
มองซ้ายมองขวาและสะดุดกับคนคุ้นตาที่กำลังทำตัวมีพิรุธหลบอยู่ตรงหลังเสาที่เขาคงคิดว่ามันใหญ่มากพอที่จะบังตัวเองมิด แต่ไม่เลย ผมเห็นเขาเต็มสองตา เห็นแม้กระทั่งตอนที่เขาสะดุ้งตกใจตอนสบตากับผม
“ชล”มันน่าน้อยใจจริงๆนะที่พอมารู้ว่าเขาตั้งใจหลบหน้าเราแบบนี้
โถ่ เพนกวินเมืองไทยใจร้ายชะมัด
“อ่า...อ้าวตะวัน หวัดดี” ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเขา ใกล้จนเห็นเหงื่อที่ผุดซึมตรงใบหน้าของเขา หน้าแบบนี้ที่ผมเอาแต่คิดถึง แค่วันเดียวเองก็คิดถึงจนแทบบ้า “เราขอตัวก่อนนะ พอดีมีธุระอ่ะ บายยยย”
พูดเองเสร็จสรรพก็ทำท่าจะเดินหนีผมอีกครั้ง เดินหนีอีกนี่จะจับมากอดไม่ให้หนีไปไหนได้เลยดิคอยดู
“ถ้าชลเดินหนีเราอีกจะจับมากอดจริงๆแล้วนะ”
โอ๊ะ เพนกวินเปลี่ยนสี นี่เพนกวินหรือกิ้งก่า ทำไมเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดงขนาดนี้
เปลี่ยนสีเพราะเขินหรือร้อนนะ
จะคิดเอาเองว่าเขินแล้วกัน คิดแบบนี้สบายใจและดีต่อใจมากกว่า
“ก...กอดบ้าอะไรเล่า เดี๋ยวก็ชกเอาหรอก”
ยกมือขึ้นมาตั้งการ์ด มือนุ่มขนาดนั้นไม่รู้จะเจ็บก่อนหรือจะฟินก่อนดี
“ชกดิ ชกเสร็จจะได้จูบ”
ว่าเสร็จก็ยื่นหน้าให้อย่างเสนอตัว present faceอย่างแท้จริง
“ฮึ่ย! มีไรอ่ะ รู้ไว้เลยนะไม่อยากคุยด้วย”
ได้ยินแล้วมันเจ็บกระดองใจ
“ทำไมอ่ะ หรือโกรธที่บอกชอบ”
“...”
“ถ้าโกรธเรื่องนั้นตะวันขอโทษแต่ชลก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้อ่ะ”
“....”
“ไม่ได้ขอให้ชอบกลับ แค่อยากบอกว่าชอบจริงๆ ชอบจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”
“..บ้า..”
“ใช่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ คนๆหนึ่งจะชอบใครอีกคนมากขนาดนี้ได้เลยหรอ ตะวันเคยถามตัวเองแต่ก็ไม่มีคำตอบ รู้อย่างเดียวแค่ชอบ ชอบจนเปลี่ยนเป็นรัก รักและอย่างดูแล”
“....”
“ไม่ได้ขอให้มาชอบตอนนี้ จะพยายามทำให้ชอบกลับเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะสำเร็จไหม แต่จะลองพยายามดู”
“พูดจบยังอ่ะ?”
“ถ้าไม่อยากฟังจะจบให้ก็ได้ครับ”
พูดด้วยเสียงหงอยๆ เหมือนหมาโดนเจ้าของดุ
“ไม่เคยพูดว่าไม่อยากฟังนี่น่า”
“ก็—“
“ถ้าชอบก็จีบสิ ไม่เห็นจะมีใครห้ามเลย”
“แต่—“
“ก็ที่หลบหน้าเพราะเขินอยู่ไงเล่า ขอเขินสักวันสองวันไม่ได้หรือไง”
“โถ่ ถ้าเขินนานกว่านี้เราขาดใจตายขึ้นมาทำไง แค่นี้ก็คิดถึงจะแย่”
“เหรอ”
“ทำไม?”
“เปล่า ก็คงเหมือนกัน”
“อะไรอ่ะ?”
“คิดถึงเหมือนกัน”ตู้ม
ระเบิดตัวกลายเป็นโกโก้ครั้นซ์
ต่างคนต่างเบือนหน้าหนีกันคนละทาง เขินจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลยสักคำ ริมฝีปากก็แทบจะฉีกถึงท้ายทอย
บ้าจริงนี่ผมหุบยิ้มไม่ได้เลย
ความหวังที่มีอยู่ศูนย์จุดห้าเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถ้าจะให้บอกว่าตอนนี้มีกี่เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้สิ ตัวเลขทั้งจักรวาลยังกำหนดไม่ได้เลย
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เอาให้เขินตายกันไปข้าง โถๆๆ
