Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6  (อ่าน 78198 ครั้ง)

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เลวววววววววววววววววววววว  :z6: :z6: :z6:  เอาคืนมันเลยเพลง!!

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
คนอย่างกรณ์ต้องให้ประสบการณ์สอนเท่านั้น
ลูกเจี๊ยบลูก ถ้ามีหนทางตลบหลังเอาคืนหนูรีบทำเลยนะครับ

ปล. ประโยคนี้ 'ต้องเป็นของฉัน และห้ามเข้าใกล้ไอ้โมเป็นอันขาด'
ไอ้โมคือใคร? ฮาาาา

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
งือออ สนุกมากกก
พี่กรณ์ทำแบบนี้จะยิ่งผูกปมไว้ให้แน่นกว่าเดิม แล้วอย่ามาเสียใจที่หลังนะจ้ะพี่
เพลงสู้ๆนะลูกก

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ถ้ากรณ์จำได้แล้วเป็นแบบนี้ ก็น่าจะจำไม่ได้ดีกว่า  :katai1: :katai1:
รอดูศึกชิงนาย น่าจะฟาดฟันกันสนุกน่าดู อิตากรณ์ก็เริ่มหลงน้อง หลังๆน่าจะอาการหนัก
รอตอนต่อไปค่า

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
เอาให้หลงหัวปักหัวปำไปเลย

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สนุกมากค่ะ. แต่รำคาญความอ่อนแอของเพลง. แล้วกรณ์เลวขนาดนี้ยังจะรักอีกเหรอ. ต่อให้รักมาก. แต่ไม่มีสาเหตุที่ทำให้รักต่อ. ที่โดนกระทำก็เหมือนข่มขืน. แถมกรณ์พยายามแบล็คเมล์ให้มีไรกันต่อประมาณที่ระบายความใคร่.  มีไรกันแค่ครั้งเดียวไม่มีคลิปด้วย ถ้ายอมก็โง่มากค่ะ

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
รำคาญดนตร์ รู้ว่าเขาเป็นยังไงยังรักอยู่ได้อ่านแล้วหงุดหงิด

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 7 Smell

    นายเป็นของฉันแล้วเพลง

ประโยคนี้มันเลวร้ายยิ่งกว่าคำสาปใดๆ ในโลกเสียอีก ราวกับจะบอกว่าทุกสัดส่วน ทุกอวัยวะ หรือแม้แต่ลมหายใจที่เคยเป็นของเขา บัดนี้มันได้กลายเป็นของกรณ์ไปแล้ว 

อันที่จริงเขาสามารถทำเป็นดื้อเพ่ง ไม่สนใจคำขู่นั่นเสียก็ได้ แต่เขาไม่อยากให้คนที่รักต้องมารับรู้เรื่องบัดซบอย่างนี้ ทั้งพ่อแม่และพี่สาว รวมไปถึงเจ้าหลานชายตัวน้อย เขาเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน เป็นคนที่พ่อแม่ภูมิใจและเป็นน้าชายที่หลานเคารพ ถึงแม้สังคมจะยอมรับเรื่องเพศที่สามมากขึ้น แต่เขายังต้องการใช้ชีวิตอย่างคนหนุ่มทั่วไป เรียนจบทำงานมีครอบครัว โดยจะเก็บเรื่องรสนิยมไว้ให้ลึกที่สุด ทว่าตอนนี้มันไม่ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว...เพียงแค่คืนเดียวทุกอย่างก็ผิดพลาดไปหมด

ดนตร์หอบสังขารที่โรยรากว่าเมื่อวานมาเข้าเรียนได้สำเร็จ ต้องขอบคุณเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ทำให้เขาพอจะมีแรงมาเรียนได้ เมธัสตาวาวทันทีที่ได้เห็นหน้าเขา ไม่ต่างกันกับลลิตา เขารู้ว่าสองคนนี้อยากรู้เรื่องการเดทเล็กๆ ระหว่างเขากับธาวิน เพราะเมื่อวานมีคนอัพรูปพวกเขาลงในเฟซบุ๊ค แถมมีคนติดแฮซแท็กมาหาเขาอีกด้วย...เวรจริงๆ

“ไง เมื่อวานหวานไหม” เมธัสโอบหัวไหล่ทั้งลากทั้งดึงพาเขาเข้าไปในห้องเรียน

“อะไรหวาน” เขาแสร้งทำเป็นยียวน เจ้าเพื่อนตัวดีเลยขมวดคิ้วมุ่น

“อย่ามาเฉไฉ เขารู้กันทั้งมหา’ลัย แล้วว่าแกกับพี่ธามไปเดทกัน ไหนๆ ดูสิ มีอะไรเสียหายไปหรือเปล่า” เมธัสทำทีเป็นจับตัวเขาหมุนไปมาเพื่อหาร่องรอยความเสียหาย

“ไอ้บ้า ไม่มีอะไร ก็แค่ไปกินข้าวแล้วก็ซื้ออุปกรณ์ทำโมเดลหน่อย” เขาตอบและมันก็เป็นความจริง เมื่อวานหลังจากหลุดจากหมาบ้าที่ชื่อกรณ์ ก็รีบกลับไปหาธาวินทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ธาวินแค่ถามเรื่องที่เขาไปเข้าห้องน้ำนาน เขาแต่งเรื่องว่าหลงทาง ยิ่งนับวันเขายิ่งเหมือนเด็กเลี้ยงแกะเข้าไปทุกที

เมธัสยิ้มเจ้าเล่ห์ใช้ข้อศอกกระทุ้งสีข้างเป็นเชิงสรรพยอก

“ฉันว่าพี่ธามก็ดีนะ เท่ห์ดี คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น จริงใจดีด้วย พี่รันก็อีกคน บ๊ะ! เพิ่งรู้ว่ายอดชายนายแว่นเพลงจะเสน่ห์โคตรแรง”

“จริงด้วย สาวๆ นะเมาท์กันใหญ่เลยว่านายน่ะน่ารักขึ้น” ลลิตายิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยหูตาแพรวพราว

“บ้าเหรอลิน” ดนตร์ทำหน้ามุ่ย “ฉันเป็นผู้ชายนะ จะน่ารักได้ยังไง ต้องหล่อสิถึงจะถูก”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” สาวสวยหัวเราะ “ส่องกระจกดูบ้างนะ นายน่ะไม่หล่อสักนิด มีแต่ความน่ารัก”

คนโดนชมขมวดคิ้ว “ฉันไม่คุยด้วยแล้ว ยิ่งคุยยิ่งไม่รู้เรื่อง”

ดนตร์ตัดบท แต่ผิวแก้มยังร้อนผ่าวจากคำชม...มันจะเป็นไปได้อย่างไร คนหน้าตาน่าเบื่ออย่างเขาน่ะหรือที่จะน่ารักขึ้น..



กว่าจะเลิกเรียนก็เกินเวลามื้อเที่ยงมาร่วม 10 นาที ท้องของดนตร์ร้องขออาหารตั้งแต่ตอนสิบโมงแล้ว ลลิตาและเมธัสโดนรุ่นพี่ดึงตัวไปเตรียมตัวซ้อมเชียร์ในเย็นนี้ และทิ้งดนตร์ไว้ตามลำพังอีกเช่นเคย ธาวินส่งข้อความมาชวนกินข้าวด้วยกัน แต่เขาปฏิเสธ เพราะไม่อยากละเมิดสัญญาบ้าบอของกรณ์ ธาวินตัดพ้ออยู่ร่วมห้านาทีเล่นเอาเขาเสียสมาธิในการเรียนไปไม่น้อย ธาวินไม่ใช่พวกงี่เง่าคุยไม่รู้เรื่องก็จริง เป็นคนประเภทไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มากกว่า จากนั้นไม่กี่นาที อริญชย์ก็ส่งข้อความนัดพบเขาตอนเย็น แต่เขาก็ปฏิเสธไปอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่าต้องไปซ้อมเชียร์ในเย็นนี้ เขาไม่แน่ใจนักว่าอริญชย์จะเลิกล้มความตั้งใจหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายตอบกลับมาว่า ‘แล้วพี่จะรอ’

โรงอาหารคนเยอะจนน่าหงุดหงิด ดนตร์เลยเลือกที่จะฝากท้องในร้านสะดวกซื้อแทน เขาซื้อขนมปังกับนมเป็นมื้อกลางวัน โดยใช้สวนหลังคณะเป็นที่พักพิง

ที่สวนนี้ไม่ค่อยมีคนมาใช้บริการนัก เพราะมันค่อนข้างเงียบและมืดกว่าบริเวณอื่น คงเป็นเพราะความหนาแน่นของกิ่งก้านสาขาของต้นไม้หลากพันธุ์ที่แผ่ขยายติดกัน ทว่าสำหรับเขาแล้ว มันกลับเป็นสถานที่พักผ่อนชั้นเยี่ยม เขาค้นพบมันโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้เพราะได้กลิ่นดอกจำปีที่เพิ่งออกดอก ดนตร์เลือกนั่งที่ใต้ต้นจำปี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันช่วยผ่อนคลายได้ไม่น้อย เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง ก่อนจะบรรจงกินมื้อกลางวันง่ายๆ ภายใต้ความเงียบเชียบและร่มเย็น

อากาศบริเวณนี้หนาวเย็นกว่าปกติเพราะแสงแดดผ่านมาได้น้อย มือเรียวกระชับเสื้อแจ็คเก็ตให้แน่นกว่าเดิม ปากสีสดเคี้ยวขนมปังช้าๆ ซึมซับเอาความหวานหอม พอเริ่มฝืดคอก็ใช้นมสดช่วย เขามีเวลาพักอีกเกือบชั่วโมง ตั้งใจว่าจะแอบงีบหลับเสียหน่อยเพราะหมู่นี้เขานอนหลับไม่สนิทนัก ดนตร์มองใบไม้หล่นไปตามแรงพัดผ่านของลม กลิ่นเบาบางของจำปีช่วยขับกล่อมให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทราได้ไม่ยากนัก ไม่นานเปลือกตาก็ปิดลง

หัวคิ้วสวยขมวดน้อยๆ ใบหน้าขาวจัดหันหนีจากบางอย่างที่รบกวนการหลับใหล สัมผัสแผ่วเบาคล้ายขนนกแตะไล่ไปทั่วใบหน้า ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนมันก็ตามราวีไม่เลิกรา คนหลับถอนหายใจอย่างหงุดหงิด มือเรียวยกขึ้นโบกในอากาศอย่างไร้ทิศทาง ทั้งที่ยังหลับตาอยู่อย่างนั้น พอโดนรุกรานหนักเข้าก็พึมพำแต่จับใจความไม่ได้

“ง่วงเหรอ”

“อืม....” ดนตร์ครางรับ ฟังดูคล้ายกับละเมอมากกว่า

“ไม่หนาวหรือไง”

“อืม...”

“เด็กดื้อ”

เสียงตอบรับหายไป และถูกทดแทนด้วยเสียงลมหายใจที่ยาวเป็นจังหวะสม่ำเสมออีกครั้ง

ริมฝีปากหนาหยักกดยิ้มลึกจนเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม ดวงตาคมทอดมองคนหลับที่ยังคงไม่รู้ตัวว่าบัดนี้ไม่ได้อยู่ตามลำพังอีกแล้ว แว่นกรอบพลาสติกสีดำไหลลงมาอยู่ที่ปลายจมูก เปลือกตาบางทาบปิดสนิท กลีบปากอิ่มสีแดงสดเผยอน้อยๆ พวงแก้มใสระเรื่อด้วยลมหนาวที่พัดมาเป็นระยะๆ แถมในสวนนี้ยังเย็นกว่าปกติ เสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียวจะไปพอให้ไออุ่นได้อย่างไร

ศีรษะทุยสวยเอียงไปด้านข้างอย่างน่าเป็นห่วงว่าจะปวดเคล็ด แต่ก็เปิดลำคอขาวให้เห็นชัดกว่าเดิม รอยแดงจ้ำเจือจางไปบ้างแต่ก็ยังมีให้เห็น หัวใจของเขาพองโต ความรู้สึกของการเป็นเจ้าของอวดลำพองในอก นิ้วยาวกรีดไล้แผ่วเบาไปตามกรอบหน้าได้รูป ดนตร์เป็นคนผิวขาวจัด แต่ไม่ได้ซีดเผือด มันเนียนลออ อมชมพู ผุดผ่อง บางใส แค่เผลอลงน้ำหนักมือมากไปหน่อยก็จะเป็นรอยแดง ชายหนุ่มมองปลายนิ้วตัวเองที่เกลี่ยอยู่บนผิวนุ่ม เลือดในกายร้อนขึ้น ภาพในความคิดย้อนกลับไปเมื่อหลายวันที่แล้ว...วันที่เขาได้ครอบครองร่างนี้

กรณ์รู้สึกเหมือนกำลังเสพสิ่งเสพติดอยู่ ดนตร์ทำให้เขาคล้ายคนเมายา ยิ่งนานวันความทรงจำในคืนนั้นก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น เขาจำเหตุการณ์ได้ทั้งหมดกระทั่งตอนที่เผลอหลุดเรียกชื่อโยษิตาออกไป แต่ที่จำได้แม่นยำที่สุดคือผิวกายขาวผ่องและความหอมที่ไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ เขารู้ดีว่าตัวเองเลวแค่ไหนที่ยื่นข้อเสนอระยำนั่นไป แต่เพราะความหวง และความอยากเอาชนะมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใด เขาหวงดนตร์และต้องการครอบครองเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และก็รู้ดีว่าเรื่องมันจะยุ่งยากกว่าเดิมเพราเขามีโยษิตาอยู่แล้ว...แต่เขาต้องการดนตร์จริงๆ

เขาไม่รู้ตัวว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ทว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ความคิดของเขามักวนเวียนอยู่แต่กับเจ้าเด็กสี่ตาจอมอวดดี คนที่ทำให้เขาโดนเจ้าอ้วนชนวีร์ด่า คนที่ทำให้เพื่อนของเขาเพ้อถึง และเป็นคนที่ทำให้เขาหงุดหงิด...ทว่าในความหงุดหงิดกลับมีบางอย่างซ่อนอยู่

...เขาสนใจเด็กคนนี้...

ยิ่งได้ครอบครองแล้วความต้องการยิ่งเด่นชัด เขาไม่ใช่เกย์ ไม่เคยพิศวาสในเพศเดียวกัน แต่กับดนตร์คือกรณีพิเศษ...ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาร้อนรุ่มแค่ไหนตอนที่เห็นดนตร์ให้ความสนิทสนมกับธาวิน ไม่ใช่แค่ธาวินแต่ยังมีอริญชย์อีกคน สองคนนี้เปิดเผยความสนใจในตัวดนตร์ ขณะที่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้เพราะเขายังมีโยษิตาและเธอไม่ได้ทำอะไรผิด

กรณ์หยุดนิ้วหัวแม่มือที่กลีบปากล่าง มันแดงสดยิ่งกว่าผลเชอร์รี่ และเขาก็รู้ดีว่ามันหวานฉ่ำแค่ไหน ลมหายใจของเขากระชั้นถี่ หัวใจเต้นเร็วกว่าเดิม ความปรารถนาไหลเวียนอยู่ในกาย ส่งผลไปถึงส่วนหน้าที่เริ่มปวดร้าว

“เพลง” เขาเรียกเด็กหนุ่มเบาๆ ยื่นใบหน้าเข้าใกล้กว่าเดิม จ้องมองใบหน้าน่ารัก...ดนตร์น่ารักจริงๆ

“ฮื้อ..”

ดนตร์ถอยหายใจสั้นๆ คล้ายกับจะหงุดหงิดเพราะโดนรบกวนเวลาพักผ่อน กรณ์อมยิ้มน้อยๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่ารังแกคนหลับจะสนุกขนาดนี้

“เพลง...นายน่ารักจัง”

“อื้อ..อย่ายุ่ง” ดนตร์ยกมือปัดสะเปะสะปะ แต่ไม่โดนเป้าหมาย กรณ์เผลอยิ้มกว้าง จรดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่ม “ฮื้อ...อย่า”

กลิ่นหอมคล้ายนมสดเสมือนกรรไกรตัดเส้นความอดทนของเขาให้ขาดผึง ชายหนุ่มวางหัวเข่าบนพื้นหญ้านุ่ม ก้านนิ้วยาวดึงเอาแว่นตาเกะกะออก ก่อนจะประคองใบหน้าน่ารักเอาไว้ คนหลับดูเหมือนจะได้สติขึ้นมาบ้างหลังจากถูกก่อกวนหนักมากขึ้น เปลือกตาบางหรี่ปรือแล้วก็เปิดเต็มที่เมื่อจมูกของเขาไต่จนถึงหน้าผากสวย

“พี่กรณ์!”

“ไง..คิดถึงฉันจนละเมอถึงเลยรึ”

ตากลมเบิกกว้าง ดนตร์ยกมือยันแผ่นอก แต่เขาก็เข้าประชิดร่างโปร่งเสียแล้ว แผ่นหลังบางเบียดไปกับลำต้นจำปี กลิ่นน้ำนมหอมละมุนปนมากับลมหายใจ เขาเห็นขวดนมและถุงขนมปังที่กินหมดแล้วอยู่แถวนั้น หมอนี่เพิ่งกินมื้อกลางวันไปได้ไม่นาน ถึงมันจะได้สารอาหารไม่ครบนักแต่นมก็เหมาะกับดนตร์จริงๆ

“พี่กรณ์...ผม..หายใจไม่ออก” มือเรียวผลักไสด้วยกำลังของคนเพิ่งตื่น

“มันมีวิธีหายใจนะ เดี๋ยวฉันช่วยสอน”

“ผม...อื้อ”

ถ้อยคำปฏิเสธหยุดเพียงแค่นั้น เขาประกบปากทับลงไปบนกลีบปากแดงฉ่ำ บีบนิ้วที่แก้มนุ่มบังคับให้อีกฝ่ายเผยอปากขึ้น กรณ์สอดลิ้นผ่านลอดเข้าไป ลิ้นเล็กยังเจือด้วยรสของนม กลิ่นหอมที่เขาหลงใหลคลุ้งอยู่ในโพรงปาก ดนตร์พยายามจะเม้มปากหนี ร่างโปร่งดิ้นรนเท่าที่กำลังจะอำนวยแต่ก็น้อยเหลือ มันจึงไม่ต่างจากลูกแมวตัวน้อยแสนเอาแต่ใจ 

กรณ์ละมือจากแก้มนุ่มแล้วสอดรัดเอวเล็ก ก่อนจะดึงร่างของเด็กหนุ่มมาไว้ในอ้อมแขน เขาใช้ความแข็งแรงที่มีมากกว่าพลิกร่างลงไปอยู่ด้านล่าง แล้วยกดนตร์ขึ้นมาไว้บนตักของตัวเอง โดยที่ริมฝีปากยังไม่ผละจากกันแม้แต่วินาทีเดียว ดนตร์ยังคงขัดขืน เขาเลื่อนฝ่ามือผ่านตัวเสื้อเข้าไปสัมผัสกับผิวกายเนียนนุ่ม ปลายนิ้วลากผ่านแนวสันหลังลงต่ำจนถึงร่องลึก ร่างบนตักสั่นสะท้าน อาการต่อต้านลดลงอย่างชัดเจน กรณ์เพิ่มน้ำหนักมือ กดแผ่นหลังเล็กให้ต่ำลงเพื่อจะได้จูบถนัดยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่เลิกผลักไสแต่ดนตร์ยังตอบโต้จูบกับเขาได้อย่างถึงใจอีกด้วย ลิ้นน้อยเกี่ยวกระหวัดกลับมา ดูดกลืนลิ้นของเขา ไม่ต่างจากที่เขาเพิ่งปฏิบัติไป กรณ์เกือบลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน อายุ 19 ปี คงผ่านการมีคนรักมาบ้าง...แต่ยังไม่ชำนาญเท่าเขา กรณ์ออกแรงดันฝ่ามือที่แผ่นหลังเนียนพร้อมกับยกสะโพกขึ้น จงใจเสียดสีส่วนที่ร้อนผ่าวกับต้นขาด้านใน เปิดเผยความต้องการให้คนบนตักได้รับรู้ ร่างโปร่งผ่อนปรนลงเอนกายพิงกับแผ่นอกของเขา มือบางวางบนหัวไหล่บีบเบาๆ ตามแรงอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้า

“เพลง...นาย อืม” ชายหนุ่มพึมพำอยู่กับกลีบปากนุ่มหยุ่น ที่ไม่ว่าจะจูบสักกี่ครั้งก็ไม่เคยพอ เขาตักตวงความหอมหวานจากโพรงปากครั้งแล้วครั้งเล่า ดูดกลืนรสของนมสดกลับมาบ้าง แผ่นอกบางสะท้านเร็วถี่ส่งสัญญาณบอกว่าเจ้าตัวกำลังหายใจไม่ทัน “ช้าๆ ชู่วๆ ไม่ต้องรีบ”

คนมากประสบการณ์บอก เขาผละจากปากสวย ให้เด็กหนุ่มได้โกยเอาอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด ก่อนจะค่อยๆ บรรจงมอบจูบใหม่ให้อีกครั้งและคราวนี้เขาตั้งใจลดระดับความหนักหน่วงลงและเพิ่มความอ่อนโยนลงไป ทั้งคู่แบ่งปันรสหวานกำซ่านจากปลายลิ้นให้กันและกัน ด้วยความหัวไวทำให้ดนตร์เรียนรู้วีธีการผ่อนลมหายใจจากการจูบได้

หน้าขาของกรณ์ปวดตุบ ความต้องการทำงานอย่างรวดเร็ว ดนตร์ไม่ต่างจากยาปลุกเซ็กซ์แค่สัมผัสเพียงเล็กน้อย ไฟแห่งราคะของเขาก็ลุกฮือ แม้จะผ่านศึกรักบนเตียงมานักต่อนักแต่ไม่เคยมีใครที่จะปลุกเร้าเขาได้มากเท่ากับเด็กคนนี้ กรณ์ดึงแจ็คเก็ตสีดำออก ตามด้วยเสื้อยืดแขนยาวสีขาว เปิดเปลือยผิวขาวจัดให้ได้เห็นถนัดตา ยอดอกสีสดชูชันด้วยอากาศที่ค่อนข้างเย็น ร่างเล็กสั่นสะท้าน ผวากอดคอเขาแน่นไม่ต่างจากลูกลิง กรณ์อมยิ้มทั้งที่ริมฝีปากยังแนบชิดกัน...ดนตร์ตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นนี่เด็ดดีจริงๆ

ชายหนุ่มปล่อยกลีบปากที่เริ่มจะเห่อบวมให้เป็นอิสระ พลางพรมจูบไปบนผิวนุ่ม กดย้ำเพิ่มรอยช้ำในจุดที่ใกล้กับป้านฐานสีชา ขนอ่อนในกายลุกชันจนเขามองเห็นได้ ดนตร์หยัดกายขึ้นเล็กน้อยเปิดทางให้เขาได้ลิ้มรสหวานจากติ่งเนื้อได้ถนัดถนี่ กรณ์อ้าปากครอบครองมันเอาไว้ทั้งหมด ลิ้นกวาดตวัดรัวๆ กับจุดอ่อนไหว ดนตร์ครางกระเส่า บดเบียดสะโพกทับแก่นกายแข็งกร้าว

“ฮะ...อา พี่ครับ...ดีจัง”

แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเจ้าลูกแมวตัวน้อยนี่มีสติเต็มที่หรือยัง แต่มันเป็นผลดีสำหรับเขา ดนตร์ไม่ปฏิเสธ ผลักไส หรือหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าน่ารักเป็นสีชมพูระเรื่อด้วยเลือดที่สูบฉีด กรณ์เลื่อนมือไปที่หัวเข็มขัดแล้วจัดการรูดมันออกอย่างรวดเร็ว ตะขอกางเกงเปิดอ้า บางอย่างที่อยู่ด้านในขยับขยายไม่ต่างกันกับเขา ดนตร์ถูไถร่องสะโพกกับหน้าตักของเขาอย่างเร่าร้อน มือสอดผ่านเส้นผมดึงทึ้งเบาๆ ระบายความอึดอัดที่ก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ

กลิ่นดอกจำปีในยามบ่ายของฤดูหนาว เงามืดครึ้มของร่มไม้ที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เปรียบเสมือนยากล่อมประสาทชั้นดี สำนึกผิดชอบเตลิดไปไกลจนเกินกู่กลับ นานวันกรณ์ยิ่งเสพติดความหอมหวานจากเรือนร่างนี้ เขารู้ว่าการได้เป็นเจ้าของดนตร์เพียงครั้งเดียวมันไม่เคยพอ ความต้องการของเขาไม่มีที่สิ้นสุดและไม่สนใจศีลธรรมข้อใดๆ ทั้งสิ้น เขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่คนรักของตัวเอง
ชายหนุ่มผลักร่างเล็กกว่าลงไปนอนบนพื้นหญ้านุ่ม ดวงตากลมหรี่ปรืออยู่ในภวังค์ กึ่งหลับกึ่งตื่น เขาเชื่อว่าดนตร์คงถูกพิษของดอกจำปีเล่นงานถึงยังไม่รู้ว่ากำลังจะถูกเขาเอาเปรียบอยู่ แน่นอนว่าเขามีสติครบถ้วนดี รู้สึกตัว แต่ไม่อาจควบคุมความต้องการของตัวเองได้ หน้าขาปวดหนึบมากขึ้นเรื่อยๆ จวนเจียนจะทนไม่ไหวอยู่รอมร่อ เขาทอดมองร่างโปร่งบางที่นอนอยู่บนผืนหญ้าสีเขียว ผิวขาวจัดตัดกับสีของหญ้าได้อย่างน่ามอง ขาเรียวตั้งชัน โดยที่กางเกงติดร่นอยู่แค่สะโพกมน เขาดึงมันออกอย่างไม่เร่งรีบนัก ไม่นานทั้งร่างก็เปล่าเปลือย

กรณ์รู้สึกว่าการมองเห็นของเขาบกพร่องลง ภาพที่เห็นพร่าเลือนด้วยไอร้อนที่เกิดขึ้นจากความต้องการ มือสากลากไปบนท่อนขาขาว ผิวกายใต้ฝ่ามือสั่นระริก ชายหนุ่มชะโงกตัวเหนือร่างโปร่งเปล่าเปลือย ก่อนจะพรมจูบไปบนแผ่นอกขาวใส สร้างรอยแดงช้ำอย่างที่ชอบทำ ดนตร์สั่นสะท้าน บิดร่างพลิ้วราวกับจะยั่วยวนกัน มือเรียวกลับมายึดที่หัวไหล่ไว้อีกครั้ง กรณ์เพิ่งรู้ตัวว่าเขายังสวมอาภรณ์ครบทุกชิ้น มิน่าส่วนกลางลำตัวถึงได้อึดอัดนัก เขายืดกายขึ้นสูงรีบดึงเข็มขัดและปลดตะขอกางเกงด้วยอาการร้อนรน ใบหน้าน่ารักของดนตร์ช่วยเพิ่มความกำหนัดได้ดีเหลือเกิน

ร่างสูงกลับลงมาอีกครั้ง กดริมฝีปากกับหัวเข่านุ่มไล่ต่ำไปจนถึงต้นขาด้านใน ขณะที่ฝ่ามือเข้ากอบกุมสัดส่วนด้านหน้าของคนตัวเล็กกว่า เขารูดเร้าเนิบนาบและเพิ่มความเร็วจนหยดน้ำใสไหลปริ่ม เสียงใสครางแผ่วเบา ดนตร์เกลือกศีรษะกับพื้นหญ้า ริมฝีปากเผยออ้าด้วยความเสียวที่ก่อตัวสูง ไม่นานสายธารอุ่นร้อนก็ไหลล้นจากการปรนเปรอของผู้มากประสบการณ์ จากนั้นทั้งร่างก็ถูกพลิกคว่ำด้วยมือแข็งแรง

ดนตร์วางหัวเข่าไปบนผืนหญ้า ใบหน้าแนบไปกับเสื้อของตัวเองที่ถูกปลดทิ้งมาพักใหญ่ สะโพกยกสูงลอยเด่นอวดความขาวกลมกลึง ช่องทางเล็กสีสดปิดสนิท คนอยู่ด้านหลังหายใจแรงเร็ว ใช้นิ้วมือที่ชุ่มด้วยหยาดน้ำรักกดไปบนรอยจีบเพื่อให้มันคลายตัวลง ก้านนิ้วแข็งแรงสอดเข้าไปด้านในทีละน้อย ความคับแน่นโอบรัดสิ่งแปลกปลอม กรณ์จูบไปบนเนื้อนวลกลมไล่ไปถึงแนวสันหลัง

“ผ่อนคลายหน่อย”

คนอ่อนประสบการณ์พยายามทำตามคำบอก แต่มันยากเย็นเหลือเกิน เด็กหนุ่มบิดสะโพกไปมาความจุกเสียดมีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันอีกความรู้สึกแทรกปะปนขึ้นมา กรณ์เพิ่มนิ้วและหมุนควานเปิดทางคับแคบให้กว้างพอสำหรับความใหญ่โตของตัวเอง

กระทั่งรู้สึกว่ามันเพียงพอแล้วจึงถอนนิ้วกลับ ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงดึงเอาบางอย่างที่พกติดตัวเอาไว้ออกมา เขาเกลียดความตื่นเต้นและความต้องการที่มีมากเกินไปของตัวเอง มันทำให้มือไม้สั่นไปหมด เขาต้องใช้ฟันช่วยในการฉีกซอง ก่อนจะครอบมันลงไปในสัดส่วนร้อนจัดไม่ต่างจากเหล็กกล้าของตัวเอง แล้วจึงจับมันจดจ่อกับทางเล็กๆ สีสด เขาขบกรามแน่นเพราะถึงจะเบิกทางแล้วแต่มันยังคับแคบมากอยู่ดี ดนตร์ร้องประท้วงในความพองใหญ่ของเขา และหลังจากกัดฟันทนอยู่นานร่วมนาทีสุดท้ายเขาก็เข้าไปได้จนหมด ไออุ่นจากด้านในโอบล้อมเขาไว้ทุกทิศทุกทาง ชายหนุ่มครางในคอด้วยความพึงพอใจ

มือกร้านจับเอวเล็กเพื่อยึดเป็นหลัก พลางขยับกายเคลื่อนไหวเข้าออก มันเชื่องช้าในช่วงแรกแต่เมื่อความฝืดแน่นลดน้อยลง ทุกอย่างเลยไหลลื่นมากขึ้น กรณ์เงยหน้าขึ้น แต่ดวงตาปิดลง ปล่อยความซ่านกระสันวิ่งปราดไปทั่วร่าง พลาสติกเนื้อบางกลิ่นหอมช่วยทำให้การขยับกายง่ายขึ้น เขาพาตัวเองออกมาจนสุดและกลับเข้าไปใหม่ กดเน้นย้ำและหมุนหาจุดที่ซ่อนอยู่ ชั่วจังหวะหนึ่งที่เขาเสยสอด ดนตร์สะดุ้ง สูดปากครวญครางเสียงสูง ชายหนุ่มกระหยิ่มยิ้ม เขาแกล้งเน้นย้ำที่จุดนั้นซ้ำๆ พลางก้มหน้าติดกับแผ่นหลังเปลือย ลากลิ้นลิ้มชมผิวกายเย็นหอมกลิ่นนมเจือจาง

“อา...แน่นดีจริง” กรณ์กล่าวชม ละมือจากเอวคอดลูบเลยไปถึงแผ่นอก ปลายนิ้วสะกิดปุ่มเล็กๆ กระตุ้นให้อีกฝ่ายร้อนร่านยิ่งกว่าเดิม

“อื้อ..อ๊ะ”

เสียงใสครางเป็นระยะๆ มือเรียวกำเศษหญ้าแน่น ใบหน้าแดงระเรื่อแนบไปกับเสื้อของตัวเอง สองขาสั่นระริกเจียนจะล้มลงไปเสียหลายรอบ ดีที่เขาช่วยจับประคองเอาไว้

กรณ์เร่งการเข้าหา ดวงตาพร่าพรายด้วยความร้อนที่แผ่ขยายไปทั่ว เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังแทรกกับเสียงคราง เขารัวสะโพกเมื่อความอดทนใกล้สิ้นสุดเต็มที เช่นเดียวกับดนตร์ที่ตอดรัดเขาเร็วถี่ ความต้องการวิ่งมารวมที่จุดเดียว หน้าท้องของเขาเกร็งเขม็งแน่น เส้นเลือดครูดไปกับผนังเนื้อร้อน ส่วนปลายที่มีพลาสติกเนื้อบางห่อหุ้มชนกับจุดหฤหรรษ์ลึกลับ ดนตร์หวีดร้องก่อนจะปลดปล่อยเอาหยาดน้ำขุ่นหล่นลงสู่เบื้องล่าง กรณ์เร่งตัวเองจนสุดท้ายทุกอย่างก็ขาดผึง

มือกร้านดึงเอาความแข็งกร้าวของตัวเองออกมา เขารีบดึงเอาพลาสติกออกปลดปล่อยลาวาร้อนที่พุ่งทะลักกับก้อนเนื้อกลม กรณ์หลับตาแน่น นานร่วมนาทีหยาดหยดแห่งอารมณ์ถึงได้หมดลง ชายหนุ่มรั้งร่างน้อยขึ้นมากอดแนบอก ดนตร์ตัวอ่อนเปลี้ยเอนกายซบเขาอย่างไร้การขัดขืน เขากดริมฝีปากกับขมับหอมหนักๆ ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะหลับไปโดยที่แทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง...

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ชายหนุ่มวางร่างของคนหลับลงบนเตียงนุ่ม เขาพาดนตร์กลับมาที่คอนโดส่วนตัวของตัวเอง
เขาเดินตามดนตร์ตั้งแต่เลิกเรียน นึกแปลกใจที่ดนตร์ไม่ได้ไปรับประทานมื้อกลางวันร่วมกันคนอื่นๆ แต่กลับเลือกมานั่งอยู่คนเดียวในสวนหลังคณะนิเทศน์ ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่มันเป็นสถานที่เดียวกับที่เขาชอบมานั่งปลดปล่อยความคิดและจินตนาการ เขาเฝ้ามองริมฝีปากแดงสดเคี้ยวอาหาร มองหยดน้ำนมสีขาวที่ไหลผ่านกลีบปากนุ่มด้วยความอดทนที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ กระทั่งอีกฝ่ายหลับไปเขาถึงได้ปรากฏตัว...คิดแล้วก็ขำ เขาเหมือนพวกโรคจิตเข้าไปทุกที

ดนตร์หลับไปทันทีที่เสร็จภารกิจรัก ใบหน้าน่ารักดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมเสียอีก เปลือกตาบางใสยังปิดสนิท ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผิวขาวมีอาภรณ์ที่เขาสวมทับให้ก่อนจะช้อนตัวอุ้มมาที่นี่ ถึงดนตร์จะไม่ได้ตัวบางเบาเหมือนปุยนุ่นแต่เขาก็แข็งแรงพอที่จะอุ้มมาได้ โดยใช้เส้นทางลัดจากสวนหลังคณะนิเทศน์นี้มาที่จอดรถได้ในระยะทางไม่กี่ร้อยเมตร

เขาปล่อยคนหลับให้หลับไปอย่างนั้น แล้วพาตัวเองหายเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูสะอาดเปียกน้ำพอหมาด กรณ์ดึงกางเกงจากท่อนขาเรียวอย่างเบามือ แล้วลงมือทำความสะอาดด้วยความตั้งใจ เขารู้ดีว่าบทรักครั้งแรกระหว่างตัวเองกับดนตร์ไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก แถมครั้งนี้เขายังใช้ความง่วงงุนหลอกล่อให้อีกฝ่ายเคลิ้มตามอีก มันยากจะคาดเดานักถ้าหากดนตร์ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าถูกเขาเอาเปรียบไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ตาคมมองรอยสีกุหลาบที่ประทับอยู่บนหน้าอกขาวใส ในอกพองฟูด้วยความรู้สึกแห่งความเป็นเจ้าของ เขาดึงกางเกงกลับที่เดิมเมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มกดริมฝีปากบนหน้าผากเนียน

“ไอ้กรณ์! นี่แก”

ใบหน้าเรียวสะบัดไปตามเสียงร้องเรียก ชนวีร์ยืนจังก้าอยู่หน้าห้อง ใบหน้าอิ่มอูมแดงจัดด้วยความโกรธ ร่างใหญ่หนาโถมใส่เขาแต่เพราะรูปร่างที่ได้เปรียบทำให้เขาเบี่ยงตัวหลบได้ทันท่วงที ชนวีร์เสียหลักแต่ไม่ยอมแพ้ เขาเองก็เช่นกัน กรณ์คว้าคอเสื้ออีกฝ่ายไว้ได้ ยึดมันเต็มแรงเพื่อหยุดอาการบ้าคลั่ง

“ฟังก่อน!”

“ไม่ฟัง! มึงมันเลวไอ้กรณ์ กูไม่น่าเกิดมาเป็นญาติกับคนอย่างมึงเลย” ชนวีร์บริภาษรุนแรง น้อยครั้งนักที่หนุ่มตัวอ้วนอารมณ์ดีจะโกรธได้ขนาดนี้

“หุบปากแล้วฟังกู!” กรณ์ตะโกนกลับ

ดวงตาทั้งสองประสานกัน นานจนพายุอารมณ์ของชนวีร์สงบลง กรณ์ปล่อยมือจากคอเสื้อของลูกพี่ลูกน้อง แล้วเดินเลี่ยงออกจากห้องส่งสัญญาณให้ชนวีร์เดินตามออกมา

เจ้าของห้องพักนั่งลงบนโซฟาสีดำตัวใหญ่ ความเงียบอันน่าอึดอัดก่อตัวภายใต้บรรยากาศกดดัน ไม่เคยมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนระหว่างความเป็นพี่น้องของคนทั้งคู่

“มึงจะเอายังไง กูบอกให้มึงรับผิดชอบเพลง แล้วนี่เหรอคือสิ่งที่มึงเรียกว่ารับผิดชอบ” ชนวีร์ตวาด ความโกรธยังไม่ได้หายไปไหนแค่ทุเลาลงไปเท่านั้น

“ก็กำลังทำอยู่นี่ไงล่ะ” กรณ์ตอบ มือเรียวยกขึ้นเสยผม นึกหงุดหงิดกับปัญหาที่คาราคาซังหาจุดจบไม่ได้

“ทำอะไร มึงมีแต่ทำให้มันยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม” ชนวีร์บอก ร่างอวบหนานั่งลงบนพื้นที่ว่างของโซฟา “กูรักเด็กคนนี้มาก มันเป็นเด็กดี สิ่งเดียวที่มันทำผิดคือ...แอบรักคนอย่างมึง”

‘แอบรัก’

กรณ์ผินหน้ามองคนพูด ดวงตาคมกวาดไปทั่วใบหน้าอิ่มอูม คิ้วหนายกสูง...เขาคงหูฝาดไป

“มึงไม่ต้องทำหน้าเป็นหมาสงสัย กูรู้ว่ามึงก็รู้ว่าเพลงคิดกับมึงยังไง”

รู้เหรอ...ไม่รู้สิ เขาไม่แน่ใจ เขาไม่ใช่พวกที่คิดเข้าข้างตัวเอง มิหนำซ้ำที่ผ่านมาดนตร์ยังทำท่าเหมือนเกลียดเขาอีกด้วย...แต่บางครั้งก็แอบเห็นดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขา หัวใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล บางอย่างคล้ายลูกโป่งพองโตขึ้นในหน้าอก

“กูไม่ใช่เกย์” เขาบอก

“แต่มึงก็เอาน้องกู” ชนวีร์สวนกลับ “กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงจะทำอย่างนั้นกับเพลงเพราะความเมา”

จริงอย่างที่ชนวีร์พูด...ไม่ใช่แค่เหล้าหรอกที่ทำให้เขาขาดสติ แต่ยังมีบางอย่างที่แทรกซึมอยู่ด้วย หรือว่าลึกๆ แล้วเขาเองก็พึงพอใจในตัวของดนตร์เหมือนกัน

กรณ์ปรายตาไปที่ห้องนอน ประตูเปิดแง้มเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าคนที่อยู่ด้านในตื่นหรือยัง นึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ เท่าที่สังเกต ดนตร์ไม่ใช่เด็กที่สุขภาพดีเท่าไรนัก แล้วก่อนออกมาเขาห่มผ้าให้ดีหรือยัง ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วง

“มึงชอบเพลงใช่ไหม”

“หืม?...” เขาหันหน้ากลับมาที่คู่สนทนา

“มึงชอบเพลงใช่ไหม” ชนวีร์กัดฟันถาม แก้มแดงด้วยอารมณ์ที่ทำท่าจะปะทุขึ้นอีกครา

“กูเป็นผู้ชาย”

“กูถามเรื่องความชอบไม่ใช่เพศ มึงตอบมา ถ้าไม่ใช่กูจะเอาน้องกูกลับ” 

คนถูกถามนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาเป็นผู้ชาย เป็นเพศที่ถูกสร้างมาให้คู่กับผู้หญิง แล้วเขาก็มีคนรักเป็นหญิงสาวที่น่ารักเพียบพร้อม อาจจะเอาแต่ใจไปบ้างแต่ก็เหมาะสมกับเขาดี จริงอยู่ที่เขาไม่ได้ปิดกั้นตัวเองเรื่องรสนิยมทางเพศและไม่ได้รังเกียจในเพศที่สามเพราะไอ้อ้วนญาติของเขาก็เป็นเช่นนั้น ชนวีร์กับอัคคีกำลังคบหากันในฐานะคนรัก เขาไม่ได้ต่อต้านหรือรู้สึกว่ามันน่าขยะแขยง เพียงแต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าความรู้สึกแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

...แล้วเขาคิดอย่างไรกับดนตร์...

รัก ชอบ หรือรังเกียจ...ก่อนหน้านี้เขามั่นใจว่าตัวเองแค่หมั่นไส้ในท่าทางของดนตร์ เขาไม่พอใจที่อีกฝ่ายชอบทำเป็นเมินเฉยใส่เขา แต่บางครั้งก็เห็นสายตาคล้ายกับจะตัดพ้อมองมา หงุดหงิดที่ใครๆ ก็เอาแต่พูดถึง และสุดท้ายเขาก็เก็บเอาเรื่องของดนตร์มาคิดอยู่เสมอ กรณ์ถอยหายใจเฮือกใหญ่ ปมเชือกที่ผูกไว้แน่นขึ้นทุกที มิหนำซ้ำเขายังไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นแก้ที่ไหนก่อน หรือแค่ความรู้สึกของตัวเองเขายังตัดสินใจให้แน่ชัดไม่ได้เลย

“ว่ายังไง มึงคิดยังไงกับน้องกู” ชนวีร์ถามซ้ำ ดวงตากลมไม่มีแววล้อเล่นเหมือนที่ผ่านมา

“กู...ไม่รู้ว่ะ”

ปึง!

เสียงกระแทกประตูหยุดการสนทนาของพี่น้อง ทั้งคู่หันไปมองที่มาของเสียง ร่างโปร่งยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าขาวจัดซีดเผือดแต่ดวงตาแข็งกร้าว มือเรียวกำเข้าหากัน

“เพ...ลง”

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มโน้มกายลง

“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน”

เป็นชนวีร์ที่ได้สติก่อน ร่างใหญ่หนาลุกจากโซฟาคว้าหัวไหล่เล็กไว้ได้ทันก่อนที่เจ้าตัวจะเดินผ่านไป ร่างเล็กสั่นเทาคล้ายกับกำลังระงับความรู้สึกบางอย่างเอาไว้

“นายจะไปไหน”

“ผมจะกลับไปมหา’ลัย” ดนตร์ตอบ

“มันจะสี่โมงแล้ว ฉันว่านายไปกับฉันดีกว่า” ชนวีร์เสนอ แต่เด็กหนุ่มสั่นหน้า “ผมมีซ้อมเชียร์ ไม่อยากขาดกิจกรรม”

“ฉันสั่งใครมันจะกล้ามีปัญหา”

ตากลมแดงช้ำช้อนมอง “ให้ผมไปเถอะครับ”

ชนวีร์แทบจะหยุดหายใจในตอนนั้น ดนตร์ดูน่าสงสารจับใจทั้งที่ไม่ได้ร้องไห้หรือร้องขอความเห็นใจจากใคร ดวงตากลมสะท้อนหลายสิ่งหลายอย่างจนเขาทนมองไม่ได้ มืออูมคว้าข้อมือเล็กมากุมไว้ บีบเบาๆ เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าถ้าหากอยู่กับเขาดนตร์จะปลอดภัย

“กลับกับฉัน”

“ไม่ได้!” กรณ์ลุกขึ้นจากโซฟา ยืนขวางทางทั้งคู่เอาไว้ ตาคมกวาดมองดวงหน้าของคนที่อุ้มมากับมือ ดนตร์ไม่ได้มองมาที่เขาแต่เสตามองลงพื้นแทน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเห็นร่องรอยแห่งความเสียใจแกมเกลียดชัง ชายหนุ่มเบนสายตามาที่ลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วน “มึงกลับไปก่อน เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“ไม่ กูจะเอาน้องกลับไปกับกู”

“บอกให้กลับไปก่อนไง!” กรณ์ขึ้นเสียง แผงอกหนาสะท้อนขึ้นลงหนักๆ ใบหน้าเคร่งเครียดขึงขัง

หนุ่มตัวอ้วนชั่งใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะยอมคลายมือจากดนตร์ ชนวีร์จ้องตาลูกผู้พี่เขม็ง “อย่าทำให้น้องกูเสียใจ ไม่อย่างนั้นมึงกับกูขาดกัน” ร่างสูงเซไปเล็กน้อยเมื่อถูกร่างใหญ่หนากระแทกใส่

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ดนตร์ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีถ้อยคำตัดพ้อหรือต่อว่า เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดและหงุดหงิดในคราเดียว กรณ์ยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก มืออีกข้างยกขึ้นเท้ากับเอวสอบ เขาถอยหายใจแรงๆ ส่งเสียงฮึดฮัดในคอ ท่าทางของดนตร์ทำให้เขารู้สึกผิด ยิ่งไม่พูด ยิ่งไม่เรียกร้อง มันยิ่งกดดัน

“ผมขอตัวนะครับ”

ในที่สุดดนตร์ก็พูดขึ้น แต่เป็นคำพูดที่เขาไม่อยากได้ยินสักนิด ร่างโปร่งที่มองดูก็รู้ว่าพยายามจะทรงตัวให้คงที่ ขยับเท้าก้าวไปด้านหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำนมกับ...กลิ่นดอกจำปีกระมัง โชยจากเรือนร่างน่าปรารถนา เส้นผมสีเข้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เสื้อยืดที่เขาสวมให้กับมือยับย่น กางเกงยังไม่ได้ติดตะขอ เขาเห็นขอบชั้นในสีขาวเกาะรอบสะโพก กรณ์ลอบกลืนน้ำลาย ดนตร์น่าปรารถนาไปทั้งเนื้อทั้งตัวจริงๆ ถึงตอนนี้เขากล้าพูดได้ว่า เขาไม่ได้รังเกียจแต่ยังพูดเต็มปากได้ว่าชอบหรือ...รัก

ร่างสูงเคลื่อนตัวเข้าขวางหน้า ตากลมยกช้อนมอง เพียงชั่วประเดี๋ยวก็หลุบต่ำ กรณ์ใช้นิ้วมือดันคางมนขึ้น บังคับให้อีกฝ่ายมองหน้ากัน “จะไปไหน”

“ผมมีซ้อมเชียร์กีฬา” ดนตร์ตอบคำถามแบบเดิม ริมฝีปากแดงฉ่ำยังบวมเห่อน้อยๆ จากแรงขยี้เมื่อครู่ใหญ่ๆ ของเขา

“เดี๋ยวไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ” ศีรษะทุยสั่นปฏิเสธ กรณ์ขมวดคิ้ว ตั้งแต่เจอหน้ากันดนตร์ไม่เคยยอมรับอะไรจากเขาง่ายๆ เลยสักครั้ง...เด็กดื้อ!

“ทำไม กลัวไอ้ธามกับไอ้รันรู้หรือไงว่านายมีผัวแล้ว”

“พี่ไม่ใช่ผัวผม!” ดนตร์ตวาด มือเล็กกำแน่นอยู่ข้างลำตัว

“จะต้องให้เตือนความจำกันอีกรอบหรือไง ว่าฉันกับนายเราเป็นอะไรกัน อยู่ที่นายต่างหากว่าจะรับอีกรอบไหวหรือเปล่า” ตาคมเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ฝาผนัง “ผ่านมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ลุกขึ้นเดินได้แบบนี้แสดงว่าพร้อมจะให้ฉันพิสูจน์สินะ”

“ไอ้!”

กำปั้นน้อยลอยหวือมาใกล้ใบหน้า กรณ์ใช้ความไวหลบได้ทันแล้วรีบคว้ามือเล็กเอาไว้ ก่อนจะดึงแขนรวบเอาร่างของเด็กดื้อไว้ในอ้อมกอด ดนตร์ดิ้นอึกอักแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของเขาได้

“เราตกลงกันแล้วนะเพลง ห้ามนายเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

*****************************


เรื่องนี้เลิฟซีนเยอะนิดนึงนะคะ เพราะคนแต่ง want เอง ก๊ากกกกกกก


ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
พระเอกไทยในตำนานจริงๆ หล่ออย่างเดียวไม่ได้ต้องโง่ด้วย

ลูกเจี๊ยบต้องหัดเข้มแข็งบ้างนะ
ความอ่อนโยนมีก็ดี แต่ถ้ามากไปก็จะถูกเอาเปรียบแบบนี้เสมอ
โดยเฉพาะคนเห็นแก่ได้แบบกรณ์

ขอให้จู๋แกเล็กอิพี่กรณ์!!!!!!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
พระเอก จำเป็นต้องเลวมั้ย ตอบบบบบบบบบบบบบ  :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
iร้ายกาจ

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เพลงทำไมต้องไปยอมมันด้วยลูกก
พี่กรณ์ก็หลายใจ ปล่อยเพลงไปเถอะ
 :pig4:

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
หึหึ ทำไมไม่ปล่อยน้องไป ทั้งๆ ตัวเองก็บอกเองว่าไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกับน้อง

เพลงคงได้ยินแหละ เจ็บเนอะ

ออฟไลน์ a_tapha

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4981
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +397/-1
อิกรณ์เห็นแก่ตัว :katai1:

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
กรณ์เห็นแก่ตัวมาก ตัวเองก็ยังคิดว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงแล้วยังจะยุ่งกับเพลงอีกทำไมอะ มีแฟนแล้วก็ไปอยู่กับแฟนนู่นนน ไม่ให้เพลงเข้าใกล้เพื่อนตัวเองอีก หวงก้างเพื่อ???

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
พระเอกละครไทยไง

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
หืมมม พระเอกละครไทยมากๆข่าาา. ขุ่นขา ไอตอนทำผิดแล้วจะง้ออ่ะ จะสมน้ำหน้านะคะ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เลววววว เกลียดแกจริงๆ กรณ์ ขอให้แกเจ็บเจียดตายไปเลยไอ้บ้า

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เรื่องนี้ไม่ใช่พระเอกหรอกที่โง่ นายเอกมากกว่า คือรุู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่รัก ทั้งคำพูดทั้งการกระทำที่กรณ์แสดงออก ก็ยังจะโง่รักอยู่อีก ไม่เข้าใจว่าจะยอมมีไรด้วยทำไม เพราะรัก หรือเพราะกลัว ถ้าเพราะรักก็โคตรโง่ กรณ์มีแฟนแล้ว ไม่คิดเลิกด้วย เพลงมีไรกะกรณ์ก็ชู้ดี ๆ นี่เอง ใครรู้คนเสียหายก็เพลงนั่นแหละ ยอมเป็นที่ระบายความใคร่เพื่อ... ถ้าเพราะกลัว ก็โคตรจะโง่อีก จะกลัวอะไร หลักฐานไม่มีซักอย่าง แถมคนปกป้องเยอะแยะ ทั้งธาม ชนวีร์

ตัดใจ จากคนเล๊วเลว ได้แล้ว จะโง่ไปจนจบไหมเนี่ยนายเอกฉัน โง่ อ่อนแอ เมื่อไหร่จะแกร่งเสียที ลุ้นจนเหนื่อย คนชอบเยอะแยะ จะแคร์ทำไม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 8 ศึกชิงชาย...นายดนตร์



    ดนตร์มาถึงสนามกีฬาตอนเกือบห้าโมงเย็น บนแสตนเชียร์มีคนนั่งอยู่เกือบเต็มแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มซ้อมเชียร์อย่างเป็นทางการ เสียงพูดคุยเซ็งแซ่สลับกับเสียงหัวเราะ เขาเห็นรุ่นพี่กำลังเตรียมพู่และกระดาษสำหรับใช้ร้องเพลงเชียร์ ด้านหลังแสตนมีกลุ่มเชียร์หลีดเดอร์ที่กำลังซ้อมท่าทางกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีลลิตาด้วย เธอหันมาเห็นเขาพอดี ริมฝีปากเล็กยิ้มกว้างแต่ก็ต้องหุบฉับลง ดวงตากลมโตฉายแววประหลาดใจ

    ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ลลิตาจะแสดงท่าทางอย่างนั้น เพราะเขาไม่ได้มาเพียงลำพัง ทว่าข้างกายมีผู้ชายตัวสูงใหญ่ และเป็นรุ่นพี่ต่างคณะอยู่ด้วย กรณ์ทำตามอย่างที่ว่าจริงๆ ผู้ชายร้ายกาจคนนั้นตามมาส่งเขาถึงสนามกีฬา แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะไปไหนทั้งที่เขามายืนอยู่หน้าแสตนเชียร์แล้ว

   การปรากฏตัวของหนุ่มที่ฮอตที่สุดในมหาวิทยาลัยสร้างความฮือฮาให้ไม่น้อย กรณ์ทำท่าไม่สบอารมณ์นักที่โดนจับจ้อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถอยห่างไปจากเขาอยู่ดี ดนตร์ถอนหายใจเบาๆ บางทีกรณ์อาจจะยังไม่รู้ว่าเขาถึงที่หมายแล้ว

    “ผมจะไปซ้อมแล้ว ขอบคุณพี่กรณ์มากที่มาส่ง”

    กรณ์เลิกคิ้ว “แล้วไง”

    ดนตร์พรูลมหายใจ ขยับตัวออกห่างจากร่างสูง ไม่ใช่กรณ์เท่านั้นที่อันตราย แต่ยังมีบรรดาแฟนคลับและแฟนจริงๆ ของเจ้าตัวเองอีกด้วย

   “ขอบคุณมากนะครับ” เขารีบโน้มกายลง ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ที่จริงเขาไม่อยากอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้อีกแม้แต่นาทีเดียว
 
    “เดี๋ยวก่อน” ต้นแขนเรียวถูกคว้าเอาไว แค่กระตุกทีเดียวดนตร์ก็เอนวูบชิดกับแผงอก ลมหายใจร้อนเป่ารดที่เรือนผมอ่อนนุ่ม “อย่าลืมที่ฉันบอก นี่ไม่ใช่แค่คำขู่”

     ดนตร์ไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับ เขารอให้กรณ์ปล่อยมือเองแล้วค่อยเดินห่างออกมา แผ่นหลังคล้ายกับจะรับรู้ได้ถึงสายตาของอีกคนที่ยังคงมองไม่เลิกรา พอๆ กับคนในสนามกีฬาที่มองมาด้วยความสนใจใคร่รู้

    สองขาที่พยายามบังคับให้มันเดินตรงทาง ก้าวไปด้านหน้าเรื่อยๆ เขาทำทีเป็นไม่สนใจสายตากระหายอยากรู้พวกนั้น แล้วเพ่งมองหาร่างของเพื่อนรักที่น่าจะแทรกปะปนอยู่กับเหล่านักศึกษานับร้อยคนบนแสตนเชียร์ กระทั่งเห็นมือที่ยกขึ้นโบกหยอยๆ ในอากาศ เมธัสนั่งอยู่เกือบชั้นบนสุด ดนตร์กัดฟันระงับความเจ็บขัดที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ก้าวขาเดิน เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่มันช้าเกินไป เขารู้ตัวหลังจากที่มันจบลงแล้ว

    เขาเกลียดกรณ์! หมอนั่นล่วงเกินเขาตอนที่เขาไม่ได้สติ กลับกันกับครั้งก่อน กรณ์ข่มขืนเขาเพราะขาดสติ แต่ครั้งนี้เขาถูกล่วงล้ำเพราะไร้สติ

    ดนตร์แทบจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจเมื่อมาถึงจุดที่เมธัสนั่งอยู่ เพื่อนรักตัวเล็กรีบกระถดกายเข้าไปชิดกับคนอื่นเพื่อเว้นที่ว่างให้เขา เด็กหนุ่มย่อกายลงปรับท่านั่งให้กระทบกระเทือนกับส่วนที่บาดเจ็บให้น้อยที่สุด ดีหน่อยที่ครั้งนี้กรณ์ไม่ได้ทำรุนแรงเหมือนครั้งแรก ด้านหลังของเขาเลยไม่มีแผลฉีกขาดแต่ก็ทำให้เดินติดขัดและระบมอยู่บ้าง

    “ทำไมถึงมากับพี่กรณ์ได้ล่ะ” เมธัสกระซิบถาม พลางส่งกระดาษเนื้อเพลงที่ใช้สำหรับเชียร์ให้กับเขา ดนตร์รับมาก่อนจะสั่นหน้าปฏิเสธ

   “ไม่มีอะไร แค่บังเอิญน่ะ”

    “โกหก” หนุ่มตาโตยู่ปาก “ท่าทางพี่กรณ์ไม่เหมือนบังเอิญ แต่มันเหมือนตั้งใจมากกว่า”

   “พูดมากน่า” ดนตร์ตัดบท แสร้งตีหน้ายุ่ง

   “เออๆ ไม่พูดถึงพี่กรณ์ก็ได้...แล้วพี่รันล่ะ”

    คิ้วสวยได้รูปยกสูง “ใครนะ?”

    “พี่รัน” เมธัสบอกอีกครั้ง “พี่เขามาหานายตั้งแต่ก่อนสี่โมงอีก แต่ไม่มีใครหานายเจอ เขาก็เลยมารอนายที่นี่”

   “ที่นี่? ตรงไหน?” ตากลมกวาดมองหาร่างของคนที่เมธัสกล่าวถึง

    “น่าจะอยู่หลังแสตนนะ นั่นไงๆ”

    ดนตร์หันมองตามนิ้วมือเรียวที่ชี้ต่ำลงไปเบื้องล่าง อริญชย์อยู่ตรงนั้นจริงๆ น่าแปลกใจที่เขากลับมองไม่เห็นในครั้งแรก คงเป็นเพราะมัวแต่กังวลเรื่องกรณ์เลยลืมที่จะสังเกตมองใคร

   ร่างสูงตระหง่านอุดมด้วยมัดกล้ามอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำ ยืนกอดอกและเงยหน้ามองมาที่เขาพอดี ดวงตาคมเรียวฉายแววบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่ก็ทำให้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ได้ ดนตร์ฝืนยิ้มทักทายให้ก่อน แล้วก็ต้องเสียหน้าเมื่ออีกฝ่ายไม่มีอาการตอบรับ ทำแค่เพียงมองเขานิ่งๆ เช่นเดิมเท่านั้น ดนตร์กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ปัญหาใหญ่อีกปมก่อตัวขึ้นอีกแล้ว

    กว่าจะซ้อมเชียร์เสร็จก็เล่นเอาคอแหบคอแห้ง ดนตร์ เมธัสและคนอื่นๆ ต้องตะโกนร้องเพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เพื่อให้เกิดความพร้อมเพรียงและหนักแน่น ลลิตาเป็นหนึ่งในเชียร์หลีดเดอร์ แม้จะยังไม่ได้แต่งหน้าทำผม แต่ความน่ารักของเธอก็ยังโดดเด่น แขนเล็กๆ ขยับไปตามท่วงท่าที่ซ้อมมา ดวงตากลมโตมีประกายมุ่งมั่ง เขาเชื่อเหลือเกินว่าในวันจริงลลิตาจะต้องเปล่งประกายเจิดจรัสมากกว่าใคร

   “พรุ่งนี้มาซ้อมใหม่ ก่อนหกโมงนะ เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้”

   เสียงรุ่นพี่ตะโกนบอกผ่านโทรโข่งตัวใหญ่ ดนตร์กับเมธัสแทบจะกระโดดกอดกัน ดนตร์ทั้งอ่อนล้า ทั้งเพลีย จนแทบจะหลับกลางอากาศไปหลายหน ดังนั้นเสียงประกาศจากรุ่นพี่มันเพราะยิ่งกว่าเสียงระฆังจากสวรรค์เสียอีก

   “ไปหาอะไรกินกันไหม ฉันหิว” ดนตร์ถามเพื่อนรักแต่อีกฝ่ายส่ายหน้าหวือพร้อมยิ้มแหยๆ ขอโทษ

   “โทษทีนะ พอดีฉันมีนัดแล้วอ่ะ”

   “งั้นเหรอ..ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปกับลินก็ได้”

    เมธัสขอโทษเขาอีกสองสามครั้งก่อนจะปลีกตัวออกไปเป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ของเจ้าตัวดังขึ้นพอดี ดนตร์ถอนหายใจ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายกับจะมีไข้ คงเป็นเพราะช่วงกลางวันเขาเผลอหลับไปในสวนต้นท้อ มิหนำซ้ำยังถูกคนบ้ากามลวนลามอีกด้วย ถ้าหากไม่กินยาไม่พักผ่อนเขาคงได้ป่วยอีกรอบแน่ ร่างโปร่งลุกจากที่นั่งเมื่อคนเริ่มน้อยลง เขาไม่อยากเดินปะปนไปกับกลุ่มฝูงชนเพราะเสี่ยงที่จะถูกชนจนด้านหลังได้รับการกระทบกระเทือนได้ เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินด้วยความระมัดระวังที่สุด และตั้งใจว่าถ้าหาอะไรลงท้องได้จะรีบไปหาซื้อยากินต่อทันที

    “ลินๆ ไปกินข้าวกัน ฉันหิวแล้ว”

   ริมฝีปากสวยยิ้มตอบรับ “เอาสิ ฉันก็หิวเหมือนกัน ไปกินร้านหน้ามหา’ลัย ก็แล้วกันนะ ใกล้ดี”

   “อืม” ดนตร์พยักหน้า

   แต่ความตั้งใจก็ถูกขัดอีกจนได้ แค่ขยับเท้าจะก้าวจากแสตนเชียร์ร่างสูงของอริญชย์ก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาดุดันยังคงแสดงอารมณ์ที่จับไม่ได้อีกเช่นเคย ทว่าดวงตากลับเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม ดนตร์ลอบกลืนน้ำลาย รู้สึกถึงความไม่พอใจที่ก่อตัวในอากาศ

   “พี่รัน...”

   ริมฝีปากหยักยกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าชื่นใจเท่าไรนัก “ยังจำกันไดนี่...นึกว่าจะจำได้แค่ไอ้กรณ์เสียอีก”

   ดนตร์ถอนหายใจ เขาไม่แปลกใจเลยทำไมคนพวกนี้ถึงคบกันได้ นิสัยใจคอแทบไม่ต่างกันเลย

    “เอ่อ...เรานึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระ เราไปก่อนนะ”

   ลลิตารีบพูดแล้วจากไปทันทีโดยไม่เหลือเวลาให้คัดค้านได้ ดนตร์อ้าปากค้าง ได้แต่มองแผ่นหลังบางที่ห่างออกไปทุกที เขาค่อยๆ หันกลับมายังผู้ชายตัวสูงอีกครั้ง ใบหน้าของอริญชย์ยังคงราบเรียบจนถึงบึ้งตึง เด็กหนุ่มยิ้มแหยๆ กลับไป เขาคงหมดหนทางหนีแล้วจริงๆ

   “พี่รัน..มีอะไรหรือเปล่าครับ”

   “พี่บอกว่าจะรอเราไง” อริญชย์ตอบกลับ ก่อนจะฉวยข้อมือเขาไว้แล้วบีบแน่น

   “พะ..พี่ครับ! เดี๋ยวก่อน” ดนตร์แกะมือแข็งเท่าคีมเหล็กออก แต่มันไม่ได้ผล นึกเกลียดพันธุกรรมของตัวเองนัก เพราะเกิดมาตัวเล็กเลยไม่อาจต่อกรกับพวกตัวใหญ่แรงเยอะได้เลย ทั้งกรณ์ ธาวิน แล้วตอนนี้ก็มีอริญชย์อีกคน

   นอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานแล้ว อริญชย์ยังออกแรงรั้งให้เขาเดินตามไปอีกด้วย มีเสียงซุบซิบตามหลังมา เขาไม่ได้หันไปมองหรอกเพราะอีกไม่นานภาพที่อริญชย์จูงเขาในสนามกีฬาคงได้แพร่กระจายในเฟซบุ๊คแน่

    อริญชย์พาเขาออกจากสนามกีฬาไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก รถออดี้สีขาวถูกดัดแปลงจนดูคล้ายกับรถที่ใช้ในสนามแข่ง เขาเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าแก๊งของกรณ์ชอบแข่งรถ แถมรถแต่ละคันยังแพงหูฉี่ชนิดที่ซื้อบ้านได้เป็นหลังๆ อริญชย์ผลักเขาเข้าไปในรถและปิดประตูลงทันที ที่ด้านหลังเจ็บแปลบลามไปตามแนวสันหลัง เด็กหนุ่มเผลอสูดปาก หางตามีหยาดน้ำตาที่ฟ้องถึงอาการเจ็บปวด ยังไม่ทันได้ขยับท่านั่งให้ดี รถยนต์ก็เคลื่อนออกตัวด้วยความเร็วสูงเสียแล้ว ดนตร์รีบยกมือยันไว้กับแผงคอนโซลหน้าก่อนที่หัวจะคะมำจากการขับระดับนักแข่ง

    “พี่ครับ! ผมกลัว ช้าๆ หน่อยได้ไหม”

    ดนตร์ร้องบอกแต่ความเร็วของรถยังไม่ลดลงแม้แต่นิดเดียว รถออดี้แทรกไปกับรถคันอื่นในท้องถนน มันฉวัดเฉวียนไปมาอย่างน่าหวาดเสียว เด็กหนุ่มหลับตาแน่น ความกลัววิ่งจับขั้วหัวใจ มือที่ค้ำยันที่แผงคอนโซลรีบละลงมาควานหาสายเข็มขัดนิรภัยแล้วคาดทับร่างตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้หรอกว่าอริญชย์กำลังจะพาตนไปที่ไหน ได้แต่ภาวนาให้ที่หมายอยู่ใกล้ๆ เขายังไม่อยากหัวใจวายตายทั้งที่เพิ่งจะอายุ 19 ปี

   ปึก!

   หัวของดนตร์กระแทกกับกระจกข้างเต็มแรงเมื่อรถออดี้หมุนขวาโดยไม่มีการบอกกล่าว ก่อนที่มันจะหยุดลง เปลือกตาบางเปิดขึ้นพลางยกมือขึ้นคลำหัวป้อยๆ

   “ลงมา”

   น้ำเสียงสั้นและห้วนจัดบอก ดนตร์ทำเป็นดื้อไม่ยอมทำตามคำสั่งในคราแรก แต่เมื่อเห็นสายตาดุดันจากรุ่นพี่ตัวใหญ่เลยจำใจต้องปลดสายเข็มขัดออก สองขาสั่นเทาก้าวลงจากรถ ลมหนาวพัดใส่ร่างจนต้องยกมือขึ้นโอบตัวเอง แต่แล้วไออุ่นจากบางอย่างก็ตกตุบใส่ศีรษะ กลิ่นหอมคล้ายผลไม้สุกอวลจากสิ่งนั้น ดนตร์ดึงเสื้อโค้ทตัวหนาลงมาคลุมกาย ส่วนเจ้าของเดินนำหน้าห่างออกไปแล้ว

    ตากลมหลังเลนส์กวาดมองไปรอบๆ บริเวณ เขามองไม่ออกว่าเป็นที่ใดในกรุงเทพฯ คงเพราะเขาเพิ่งมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นานนักเลยไม่ค่อยรู้จักสถานที่มากนัก แต่ที่อริญชย์พามามันดูคล้ายกับสวน...ไม่ใช่สิ เหมือนสนามหน้าบ้านมากกว่า ดนตร์เอี้ยวมองกลับไปด้านหลังก็เห็นประตูรั้วที่อยู่ห่างออกไปร่วมร้อยเมตร ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนมีน้ำพุรูปเทพเจ้ากรีกโบราณ ไอเย็นมีมากกว่าปกติจากละอองน้ำ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ตากลมเบิกกว้างเมื่อพบกับอาคารทรงยุโรปสีขาวขุ่นตั้งทะมึนอยู่เบื้องหน้า

   “มาสิ หรืออยากให้ฝูงร็อตไวเลอร์ออกมาต้อนรับ”

   ดนตร์ตาโตรีบวิ่งตามร่างสูงไปติดๆ ถึงจะชอบเล่นกับหมา แต่ถ้าเป็นหมาพันธุ์ร็อตไวเลอร์เขาขออยู่ให้ห่างที่สุดจะดีกว่า

   อริญชย์เดินนำเข้ามาในตัวบ้าน ดนตร์ได้กลิ่นความเงียบเหงามากจนถึงวังเวงจากบ้านหลังใหญ่ มันดูเหมือนพิพิธภัณฑ์ของเก่ามากกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ด้วยเครื่องประดับและเฟอร์นิเจอร์ที่แม้แต่คนที่ไม่นิยมสะสมของเก่ายังดูออกว่าอายุของพวกมันไม่ต่ำกว่า 20 ปี แน่นอน เด็กหนุ่มหยุดมองแจกันทรงสูงลายดอกเหมย มันเหมือนกับที่อยู่ในหนังกำลังภายในที่เคยดูไม่มีผิด พอจะยกมือขึ้นจับเสียงห้าวก็ดังขึ้น

    “ชิ้นนั้นเป็นของเก่าแก่สมัยราชวงศ์ชิง พ่อฉันได้มาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ถ้านายทำมันแตกหรือแค่เป็นรอย พ่อฉันฆ่านายตายแน่”

   มือขาวจัดชักกลับ แล้วซ่อนมันลงในกระเป๋ากางเกงทันที อริญชย์หัวเราะในคอ มองดูร่างโปร่งที่เดินเบี่ยงตัวหนีสมบัติเก่าแก่ แล้วไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่ที่มุมห้อง

    “เตรียมอาหารเย็นด้วย วันนี้ผมมีแขก”

   เจ้าของบ้านร้องบอกกับใครสักคน แล้วก็มีชายชรา ผมสีดอกเลา สวมชุดสูทสีดำปรากฏตัวขึ้น ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร ทำแค่น้อมตัวลงเล็กน้อยและปรายตามองร่างของ ‘แขก’ ที่อริญชย์กล่าวถึง

    “นี่บ้านพี่เหรอ” อาคันตุกะหนุ่มถาม ยังยืนอยู่ที่เดิมเพราะกลัวจะทำข้าวของในบ้านพังและโดนฆ่าตาย

   อริญชย์กลั้นยิ้ม ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปใกล้ ดนตร์ในเสื้อคลุมตัวใหญ่ดูเหมือนเด็กจอมซนที่เอาเสื้อคนโตมาใส่ไม่ผิด ดวงหน้าขาวจัด แต่ปลายจมูกแดงเรื่อด้วยอากาศหนาว พวงแก้มใสตึงน่าดึงเล่นไม่หยอก ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดปลั่งเผยอขึ้นน้อยๆ ตอนที่กวาดตามองไปรอบๆ บ้านของเขา มือใหญ่ยื่นไปรั้งหัวไหล่เล็กเอาไว้ กลิ่นกายหอมประหลาดแทรกมากับกลิ่นน้ำหอมที่ติดในเสื้อคลุมของเขา อริญชย์เผลอสูดหายใจลึก....กลิ่นเหมือนนม

   “ใช่ ทำไม คิดไม่ถึงเหรอว่าคนอย่างฉันจะมีบ้านแบบนี้”

   “เปล่าครับ” ดนตร์สั่นศีรษะ “แค่คิดไม่ถึง”

   ชายหนุ่มกดยิ้มที่มุมปาก “บ้านของพ่อน่ะ แต่เจ้าของบ้านไม่ค่อยกลับบ้านเท่าไร วันๆ เอาแต่ทำงาน กินนอนที่บริษัท”

   “พี่ไม่เหงาเหรอครับ” ดนตร์ถามด้วยดวงตาใส...และซื่อ

   “ไม่หรอก...ชินแล้ว”

   เด็กหนุ่มไม่ได้ถามอะไรต่อ ขืนตัวออกจากมือเขา แล้วปลดเสื้อโค้ทคืนให้ “แล้วพี่พาผมมาที่นี่ทำไม”

   “กินข้าว ฉันไม่ชอบกินข้าวนอกบ้าน ฝีมือแม่บ้านที่นี่อร่อยกว่าในภัตตาคารเสียอีก”

   ดนตร์ยกยิ้มแหยๆ สีหน้าคล้ายไม่เชื่อในคำพูดของเขาเท่าไร “ถ้ากินอิ่มแล้ว พี่ช่วยไปส่งผมที่มหา’ลัย ด้วยนะครับ พรุ่งนี้ผมมีเรียนแต่เช้า”

   “ไม่รับปาก”

    “ห๊า!”

    อริญชย์อมยิ้ม มองใบหน้าเหรอหราของหนุ่มรุ่นน้อง คิ้วหนาแต่สวยได้รูปขมวดมุ่น ดวงตาคู่ใสฉายแววกังวล ดนตร์ไม่รู้ตัวหรอกว่าท่าทางแบบนี้มันน่ารักแค่ไหน เขาแอบมองพฤติกรรมของดนตร์มาพักใหญ่แล้ว อากัปกิริยาที่เป็นไปตามธรรมชาติ สีหน้าและแววตาแสดงออกตามความรู้สึกมันซื่อตรง มันดึงดูดสายตาของเขาได้อย่างน่าประหลาด ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ถูกเสน่ห์ของดนตร์เล่นงาน แต่ยังมีธาวินและศัตรูอีกคนที่ซ่อนกายอยู่ในความมืด ทว่าวันนี้เขาได้เห็นมันปรากฏตัวอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก...กรณ์

    ที่ผ่านมาเขาพอจะรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่ากรณ์สนใจดนตร์ ทว่าเจ้าตัวมีคนรักแล้ว แถมยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย ถึงจะคบหากันมาพักใหญ่แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ากรณ์ต้องการอะไร

    อริญชย์มองดูเส้นผมยุ่งๆ ของเด็กตัวเล็ก ในความจริงดนตร์ไม่ได้ตัวเล็กถึงขนาดจะพาอุ้มไปไหนต่อไหนได้ แต่ถ้าเทียบกับคนที่สูงเกินหกฟุตอย่างเขาแล้วก็นับว่าตัวเล็กอยู่ดี ดวงหน้าเรียว มีแก้มกลมๆ ให้พอน่าดึง ริมฝีปากสดระเรื่อ ผิวขาวผ่องยิ่งกว่าผู้หญิง เขาเป็นพวกไม่สนใจเรื่องเพศ ขอแค่ถูกใจก็พอแล้ว และดนตร์ก็ถูกใจเขา ดนตร์มองมาที่เขา สีหน้าดูไม่แช่มชื่นเท่าไร

   “ทำไม ไม่อยากอยู่กับฉันเหรอ”

   “เปล่า” ศีรษะกลมสั่นไวๆ “ผมแค่ห่วงงาน ตอนบ่ายผมไม่ได้เข้าเรียนด้วย”

   “ไม่ได้เข้าเรียน” อริญชย์ยกคิ้วสูง สาวเท้าเข้าใกล้คนตัวเล็ก ทิ้งระยะห่างแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น เขาได้กลิ่นน้ำนมอ่อนๆ ปนมากลับกลิ่นคล้ายกับลูกท้อ “ไปกับกรณ์?”

    “ไม่ใช่ครับ” เด็กหนุ่มปฏิเสธทันที “ผมมีธุระอย่างอื่นน่ะ”

   ตากลมใสหลุบต่ำ ไม่สบประสานสายตา อริญชย์ยกยิ้ม ใช้จังหวะนั้นโอบแขนรอบหัวไหล่เล็ก ก่อนจะตวัดร่างโปร่งมาไว้ในอ้อมแขน ดนตร์ตกใจตาโต ยกมือดันอกเขาทันที

   “พี่จะทำอะไร! อื้อ!”

    จมูกโด่งประทับไปบนแก้มนุ่มเต็มที่ สูดเอากลิ่นหอมของผิวกายไว้ในปอด ขณะที่มืออีกข้างยกโทรศัพท์ขึ้นสูงกดถ่ายรูปช๊อทเด็ดเอาไว้ ดนตร์ดิ้นรนจนหลุดจากอ้อมกอดของเขาได้ มือเรียวยกขึ้นถูแก้มตัวเองแรงๆ จนผิวขาวขึ้นรอยแดง

    “ทำบ้าอะไร!” ดนตร์ตวาดลั่น ใบหน้าน่ารักง้ำงอ

    อริญชย์ไม่ตอบโต้ แค่ยักคิ้วตอบกลับไปเท่านั้น ชายหนุ่มจัดการอัพรูปที่ได้มาในเฟซบุ๊คทันทีพร้อมกับแคปชั่นสั้นๆ ว่า ‘แก้มนุ่มและหอมมาก’

    “พวกพี่แม่งโรคจิตเหมือนกันหมด” คนตัวเล็กกว่าว่า คิ้วขมวดมุ่น หน้ายุ่งแต่กลับน่ารักในสายตาของคนเห็น เขาไม่แน่ใจ...หรืออาจจะคิดไปเอง ดนตร์น่ารักขึ้น ไม่ใช่น่ารักในระดับธรรมดา แต่มีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น...มันคือเสน่ห์เย้ายวนที่เขาไม่อาจหาที่มาหรือคำอธิบายได้

    “ไม่งั้นจะคบกันได้เหรอ” อริญชย์สวนกลับ ฉวยข้อมือเล็กแล้วจูงกึ่งลากมาที่โต๊ะอาหารกลางห้องโถง

    แม่ครัวประจำบ้านทำงานได้รวดเร็วทันใจ ใช้เวลาต่อปากต่อคำกับดนตร์ไม่นานอาหารก็วางเต็มโต๊ะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของโปรดของเขาทั้งสิ้น ดนตร์ทำหน้างุนงงระหว่างที่เขาพาไปนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5

        โต๊ะอาหารตัวยาววันนี้ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนเช่นทุกวัน เพราะเขามีเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นเด็กน้อยหน้ามุ่ย แต่ไม่นานคิ้วสวยก็คลายลง ตากลมเป็นประกายเมื่อเห็นอาหาร ดนตร์ลงมือกินทันทีโดยที่เขายังไม่ได้เอ่ยปากชวนด้วยซ้ำ

   อริญชย์มองดูอาคันตุกะพิเศษที่เพลิดเพลินอยู่กับอาหารตรงหน้าโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาสนทนากับเขาสักคำ ส่วนเขากินไปแค่ไม่กี่คำเท่านั้น ยอมรับว่าการที่ได้นั่งมองดนตร์กินมีความสุขกว่าเยอะ

    “อ่า...อิ่ม”

    มือเรียวยกขึ้นตบหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของตัวเองเบาๆ อาหารพร่องไปหลายอย่าง แต่ที่หมดเยอะที่สุดคือข้าวเปล่า ดนตร์กินข้าวเยอะมากจนเขายังแปลกใจ

    “อิ่มแล้วเหรอ เอาขนมหวานไหม”

   ศีรษะทุยสวยสั่นน้อยๆ “ผมไม่ชอบกินขนมหวาน แต่ถ้าเป็นนมจะดีมาก”

    อริญชย์หัวเราะเบาๆ ร้องสั่งนมวนิลาอุ่นๆ มาให้ตามที่ร้องขอ และไวน์แดงสำหรับตัวเอง ใช้เวลาไม่กี่นาทีดนตร์ก็จัดการนมสีขาวขุ่นในแก้วทรงสูงจนหมด ลิ้นสีชมพูตวัดเลียรอบริมฝีปากเป็นการปิดท้าย อริญชย์รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นผิดปกติ เขาคงบ้าไปแล้วที่คิดว่ากิริยาท่าทางแบบนั้นคือการ ยั่ว

    “พี่ครับ ผมอยากกลับหอแล้ว”

    “กินอิ่มก็จะกลับเลยเหรอ” เจ้าของบ้านถาม พลางหมุนแก้วในมือเล่น แอลกอฮอล์ดีกรีอ่อนไหลผ่านในกายช่วยทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีนัก “ให้เกียรติเจ้าบ้านด้วยการนั่งคุยกันสักพักสิ”

    “แต่...”

   “แค่สิบนาที...ได้ไหม”

   ดนตร์พรูหายใจ แต่ก็ยอมพยักหน้าตอบรับ “ก็ได้ครับ”

    แม้จะบอกว่าเป็นการพูดคุย แต่เขากลับไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ เพียงแต่ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่และดึงยื้อเวลาต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น ดนตร์ขยับตัวคล้ายกับจะอึดอัด หลายครั้งที่ริมฝีปากสวยนั่นอ้าหาว เจ้าตัวขยี้หน้าแรงๆ จนน่ากลัวว่าผิวขาวจะช้ำ...คงง่วงมากจริงๆ

   อริญชย์วางแก้วไวน์ลง แล้วลุกขึ้นไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณที่บิดาได้มาจากอังกฤษ ถึงอายุของมันจะมากกว่าอายุของเขาหลายสิบปี แต่ประสิทธิภาพของมันยังยอดเยี่ยม เขาใช้มันเปิดเพลงจากแผ่นเสียงเก่าๆ มาตั้งแต่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น มีไม่กี่คนหรอกที่จะรู้ว่าหู่อริญชย์คนนี้จะชอบฟังเพลงยุค 60-70 เขาเลือกเพลงของ John lennon วางลงบนเครื่องเล่น ไม่นานเสียงเพลงเก่าแต่เต็มไปด้วยมนต์ขลังก็กังวาน ความเงียบถูกทำลายด้วยท่วงทำนองเพลงที่ไพเราะ เขาชอบเครื่องดนตรีเล่นสดไม่ใช่ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อย่างในสมัยนี้
   
    ร่างสูงเดินไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม เลือกแก้วทรงกรองด์ครูซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เขาถืออยู่มาใบหนึ่ง จัดการเทไวน์แดงลงไปเกือบครึ่งแก้วแล้วหมุนตัวกลับไปหาคู่สนทนาที่นั่งตาปรือปรอยอยู่ที่เดิม

   ชายหนุ่มยื่นแก้วให้เด็กหนุ่มตัวเล็ก อีกฝ่ายทำหน้างงๆ “เอาสิ นี่ไวน์แดงจากชิลี พ่อฉันได้มาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ขวดนี้ราคาร่วมแสนเลยนะ”

   ดนตร์ตาโต ส่ายหน้าหวือ “ไม่เอาหรอกครับ ผมไม่กล้ากิน เดี๋ยวพ่อพี่ฆ่าผมตาย”

    อริญชย์หัวเราะ “ไวน์มีไว้กิน เรื่องไวน์พ่อฉันไม่หวงหรอก มีเป็นพันๆ ขวด”

   “เป็นพันเลยเหรอ”

   “ใช่ พ่อฉันชอบสะสมไวน์ แล้วก็พวกของเก่า” เขาบอกคร่าวๆ อันที่จริงตาแก่จอมงกนั่นยังชอบสะสมเงินอีกด้วย ชอบเสียจนละเลยลูกเมีย อริญชย์หลับตาลงปัดเรื่องรกสมองทิ้ง “ลองชิมดูสิ ฉันว่ารสชาติมันก็ไม่เลวนัก”

   ดนตร์มองแก้วไวน์ในมือ แค่วิธีการจับแก้วก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวเล็กนี่ไม่เคยกินไวน์มาก่อน น่าจะถนัดไปทางเหล้าหรือเบียร์มากกว่า ไม่นานหลังจากการชักชวน มือขาวก็ยกแก้วจรดริมฝีปาก แล้วกระดกรวดเดียวหมด ไม่ได้ละเมียดชิมรสหวานกำซ่านอย่างนักดื่มไวน์ทำกัน เด็กจอมตะกละไอโขลกหลังจากที่ไวน์ปริมาณไม่น้อยไหลลงคอ อริญชย์หัวเราะเบาๆ ด้วยนึกขำในความซื่อจนบื้อของดนตร์

    “ค่อยๆ จิบสิ ฉันไม่แย่งนายกินหรอกน่า” อริญชย์ดึงแก้วในมือขาวออก แล้วจ่อแก้วของตัวเองที่ริมฝีปากสวย “อ้าปากสิ เดี๋ยวจะสอนวิธีการดื่มไวน์ให้”

    ตาคู่ใสช้อนมอง แต่ก็เผยอกลีบปากกับขอบแก้ว “ค่อยๆ จิบ ปล่อยให้ลิ้นสัมผัสรสหวานของมันก่อน แล้วค่อยกลืน”

    ก้านนิ้วยาวกระดกแก้วสูงขึ้นเพื่อให้น้ำสีแดงเข้มไหลผ่านริมฝีปากของเด็กหนุ่ม ดนตร์ทำตามอย่างว่าง่าย เขาเห็นแก้มกลมขยับน้อยๆ เจ้าตัวคงใช้วิธีการกลั้วแทนการละเมียดชิมรส อริญชย์ดึงแก้วออก มองกลีบปากที่ขึ้นสีกว่าเดิมด้วยไวน์แดง...น่าจูบ

     “หวานไหม”

   “อืม...หวานแล้วก็ฝาดด้วย”

   “นั่นแหล่ะ รสของไวน์ คนถึงได้เมาไม่รู้ตัว”

   ดนตร์พยักหน้ารับรู้ ลิ้นสีสดแตะรอบกลีบปากโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่า กิริยานั่นเป็นการยั่วยวนชวนให้ตบะแตกนัก

    อริญชย์มอมเมาเด็กคอทองแดงด้วยไวน์แดงรสเลิศอีกหลายแก้ว แก้มใสสุกปลั่งด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ดนตร์ในยามที่สติไม่สมประดีกลายเป็นเด็กช่างพูด เขาฟังเสียงอ้อแอ้บอกเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ด้วยความเพลิดเพลิน บางเรื่องก็วกวนจนเกินกว่าจะจับใจความได้แต่ที่ทำให้เขาสนใจคือเจ้าตัวเล่าถึงครอบครัว ที่มีทั้งพ่อ แม่ พี่สาว พี่เขยและหลานชายตัวน้อย ซึ่งแม้จะเมาแต่ดนตร์ก็แสดงออกถึงความรักในตัวหลานชายออกมาให้เห็น

   “แม่บอกว่า หลานหน้าเหมือนผมเปี๊ยบเลย” ดนตร์พูดยิ้มๆ ดวงตากลมหรี่ปรือจวนเจียนจะปิดเต็มที

    ชายหนุ่มระบายยิ้มอ่อนโยน ซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็น มือใหญ่ยกขึ้นขยี้เส้นผมอ่อนนุ่มเบาๆ พอลูบซ้ำอีกสองสามทีคนเมาก็คอพับหลับมันเสียดื้อๆ


   “หลับแล้วเหรอ”
    ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เสียงลมหายใจเข้าออกในจังหวะสม่ำเสมอเท่านั้น ริมฝีปากหยักลึกเหยียดยิ้ม วางแก้วไวน์ที่ยังไม่หมดแก้วนับตั้งแต่เริ่มกินลง ก่อนจะช้อนร่างเล็กอ่อนปวกเปียกไว้ในอ้อมแขน...



    เสื้อยืดแขนยาวถูกเลิกขึ้นสูง ผ่านช่วงเอวคอดบาง จนถึงแผ่นตึง ผิวขาวใสเช่นเดียวกับทารกกระตุ้นให้เลือดในกายร้อนผ่าว ความต้องการอัดแน่นอยู่ที่ท้องน้อยและไหลลงไปสู่เบื้องล่าง กางเกงคับแน่นจากบางส่วนที่ขยับขยาย ปลายนิ้วสั่นเทากรีดลากไปบนเนื้อนุ่ม น่าแปลกที่เป็นผู้ชายแต่กลับมีผิวกายเนียนนุ่มยิ่งกว่าสตรี ดวงตาเขาพร่าเลือนตอนที่จ้องมองความขาวสะอาด แล้วนิ้วก็หยุดกึก เมื่อมองเห็นรอยบางอย่างที่ประทับบนผิวขาวเนียน...รอยจูบ

   ถึงเขาจะไม่ใช่พวกเจนจัดเรื่องบนเตียง แต่รอยพวกนี้เขาก็รู้จักมันเป็นอย่างดี มันไม่ใช่รอยจากเขี้ยวของแมลงที่ไหน หากแต่เป็นรอยที่เกิดจากฝีมือ ไม่สิ ต้องเรียกฝีปากจากมนุษย์มากกว่า ชายหนุ่มดึงนิ้วกลับ ความปรารถนาที่ลุกลามเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความโกรธขึงอย่างรวดเร็ว ไอ้สารเลวหน้าไหนที่บังอาจตีตราจองบนเรือนร่างนี้!

    มือหนากำเข้าหากันแน่น สันกรามขบสันเป็นนูน ศัตรูหัวใจของเขาประกาศศักดาด้วยการสร้างรอยแห่งความเป็นเจ้าของไว้แล้ว ไม่ใช่แค่ที่หน้าอก แต่เมื่อสังเกตดีๆ รอยแดงช้ำพวกนี้มันกระจายไปทั่วเรือนกาย ผิวของดนตร์ขาวจัดยิ่งทำให้รอยพวกนั้นเห็นชัดกว่าเดิม เขาพยายามเดาหาเจ้าของรอยพวกนี้ ที่จริงมันไม่ได้ยากเกินไปกว่าความสามารถเพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่ามันจะกล้าทำถึงเพียงนี้...กรณ์

    บางรอยที่เพิ่งเกิดใหม่บอกได้ดีว่าผู้กระทำคือคนที่อยู่กับดนตร์เป็นคนสุดท้าย แล้วก็เป็นกรณ์ เขามั่นใจว่าไม่ใช่ธาวิน เพราะไอ้หมอนั่นมันอยู่กับเขาจนเกือบสี่โมงเย็นก่อนจะแยกย้ายกันไป ขณะที่กรณ์หายตัวไปตั้งแต่ช่วงเที่ยง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ศัตรูในเงามืดน่ากลัวจริงๆ มันรุกหน้าแต่ทำเรื่องระยำ ถ้าหากว่ามันเป็นคนโสดเหมือนเขากับธาวินความเลวของมันจะไม่หนักหนาเท่านี้ แต่เพราะมันมีคนรักอยู่แล้ว หนำซ้ำยังทำท่าเหมือนเกลียดดนตร์

   คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ความวาบหวามหายไปสิ้น สำนักผิดชอบชั่วดีหวนกลับคืน มือแกร่งเลื่อนเสื้อยืดลงกลับที่เดิมก่อนจะตลบผ้าห่มคลุมร่างโปร่งไว้ ร่างสูงถอยห่างจากเตียงกว้าง ก้าวยาวๆ ออกมาที่ระเบียง พร้อมกับบุหรี่

    เขาสูดเอาควันสีขาวลงไปในปอดจนลึกที่สุดแล้วค่อยปล่อยบางส่วนออกทางลมหายใจและริมฝีปาก ความคิดดำดิ่งอยู่ที่ร่างของคนบนเตียงกับเพื่อนรักอีกสองคน นี่มันบ้าชะมัด นี่เขา ธาวิน และกรณ์กำลังจะแตกคอกันเพียงเพราะต้องการดนตร์มาเป็นของตัวเอง อริญชย์ปรายตามองไปยังร่างเล็กที่ยังหลับสนิทบนเตียง หรือบางทีเขาควรจะรักษามิตรภาพของเพื่อนไว้โดยการถอนตัวออกมา

    นิ้วเรียวดีดเศษบุหรี่ทิ้งบนอากาศปล่อยให้มันถูกสายลมพัดไป เรียวปากหยักกดยิ้มลึก แต่บางทีเกมการแย่งบชิงก็สนุกดีเหมือนกัน โลกสีเทาของเขาจะได้มีสีสันขึ้นมาบ้าง...




    ดนตร์ยกมือขึ้นกุมหัวใจที่เต้นเร็วจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมานอกอก เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายตามไรผม ริมฝีปากเผยออ้าเพื่อช่วยหายใจ สองขายังสั่นเทาจากกาออกแรงมากเกินไป เปลือกตาบางปิดลง นานจนกระทั่งจังหวะหัวใจค่อยๆ ลดระดับลงจึงเปิดตาขึ้น เฉียดฉิวจริงๆ ทุกอย่างเร่งรีบไปหมดไม่มีเวลาแม้แต่จะอาบน้ำหรือแม้แต่จะเปลี่ยนชุด...เขามาเรียนด้วยเสื้อผ้าชุดเมื่อวาน

   เขาเข้ามาในห้องเรียนก่อนหน้าอาจารย์เกลือเพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้น รู้กันว่าใครที่เข้าหลังอาจารย์สุดเฮี้ยบจะไม่ได้รับการเช็คชื่อแม้จะเข้าเรียนทั้งคาบก็ตาม มือเรียวดึงเอาชีทออกมาระหว่างที่อาจารย์กำลังเตรียมตัวสอน

   “นี่ๆ”

    ที่หัวไหล่ถูกสะกิดจากคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เมธัสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระยะประชิดจนเขาต้องดึงหน้าหนี ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยคำถามแกมอยากรู้อยากเห็น ดนตร์ขมวดคิ้ว นี่เขาต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ทุกวันเลยหรือไงกัน

    “อะไรอีก” เขากระซิบถามลอดไรฟัน พอจะรู้อยู่หรอกว่าเจ้าจอมยุ่งนี่อยากรู้อะไร ตากลมเหลือบไปมองผู้หญิงที่นั่งถัดจากเมธัส... ลลิตาก็มีอาการไม่ต่างจากเมธัส เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เริ่มหันมามองทางเขาด้วยความสนใจใคร่รู้

    “เมื่อวานเรื่องของนาย พี่กรณ์ แล้วก็พี่รันดังไปทั่วมหา’ลัยเลย นี่ได้เข้าไปเฟซบุ๊คบ้างหรือยัง”

    “ยัง” ดนตร์สั่นหัว แต่เรื่องของเขา กรณ์และอริญชย์มันไม่ได้อยู่เหนือจากที่คาดการณ์ไว้นัก แค่ไม่อยากจะเก็บมาใส่ใจ แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว

    “นายนี่แม่งโคตรเสน่ห์แรง อยากรู้จริงว่าเด็กเนิร์ดนี่เด็ดตรงไหน” ตาโตๆ ของเมธัสเป็นประกายจนน่าขนลุก ดนตร์เบี่ยงตัวหนี แต่ช้าเกินไป นิ้วเรียวเกี่ยวคอเสื้อให้เปิดกว้าง เมธัสชะโงกหน้ามาใกล้ลำคอ

    เขารีบยกมือกระชากคอเสื้อกลับ เอ็ดเพื่อนรักเสียงดุ “ทำบ้าอะไร!”

   เมธัสชักหน้ากลับ รอยยิ้มทะเล้นจางไปจากใบหน้า ริมฝีปากกำลังจะอ้าถามแต่เสียงของอาจารย์เกลือดังขึ้นเสียก่อน เป็นการยุติข้อสงสัยได้ทันท่วงที

    ดนตร์สั่งให้ตัวเองจดจ่อไปกับการสอนของอาจารย์ แต่หลายครั้งที่ความตั้งใจมันมักจะหลุดเข้าไปสู่ห้วงความคิดที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็สลัดไม่หลุดเสียที

    เมื่อเช้านี้เขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าสถานที่ที่กำลังนอนอยู่ไม่ใช่เตียงในหอพักของตัวเอง ทว่ามันกลายเป็นเตียงกว้างสีเทาสะอาดและอบอุ่น เขาเด้งตัวขึ้นราวกับติดสปริงไว้ที่หลัง พอตั้งสติได้ก็ระลึกถึงความทรงจำสุดท้าย และเขาก็ได้แค่รสหวานแกมฝาดของไวน์เท่านั้น ดนตร์ยกมือทึ้งผมตัวเอง เขาคงหลับไปเพราะตะกละกินไวน์ราคาแพงไปหลายแก้ว หลังจากด่าตัวไปร้อยรอบเขาก็มองหาเจ้าของห้อง แต่นอกจากเตียงกว้างๆ กับเฟอร์นิเจอร์หรูหราแล้วเขาก็ไม่พบใครอีก ตอนนั้นเขาอุปมาอุปไมยคิดไปเองว่า อริญชย์อาจจะตื่นไปเรียนแล้ว แต่เขาคิดผิด เพราะเมื่อก้าวลงบันไดจนถึงขั้นสุดท้ายเขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ในห้องโถง สีหน้าสดชื่นอยู่ในชุดที่พร้อมจะออกไปข้างนอก อริญชย์เลิกคิ้วน้อยๆ ตอนที่เห็นเขา พร้อมกับส่งรอยยิ้มทักทาย

    “เป็นยังไง หลับสบายไหม”

    “เอ่อ....สบายดีครับ ผมกลับก่อนนะครับ”

   เขารีบตัดบทสนทนา ทว่าเจ้าของบ้านไม่ยอม เพียงแต่ก้าวผ่านร่างหนา ท่อนแขนก็ถูกคว้าไว้ ทั้งร่างปลิวไปปะทะกับลำกายแกร่งอย่างง่ายดาย นาทีนี้เขาตกใจจนลืมขัดขืนได้แต่อ้าปากหวอมองหน้าอีกฝ่ายเท่านั้น

    “เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

    “ผมปะ..ไปเองได้” สติเพิ่งฟื้นคืน เขาขืนตัวให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแรง โชคดีที่อริญชย์ไม่ได้เป็นงูเหลือมเลยคลายมือออกพอให้เขาดิ้นหลุดได้

   “จะไปยังไง นี่แปดโมงกว่าแล้วนะ มีเรียนตอน 9 โมงไม่ใช่เหรอ”

    เขายกนาฬิกาที่ได้รับจากพี่สาวในวันเกิดเมื่อปีที่แล้วขึ้นดู เหลืออีก 20 นาทีจะ 9 โมง ถ้าหากขึ้นรถเมล์หรือรถไฟคงเข้าเรียนไม่ทันแน่ เขาชั่งใจอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็ยอมตอบตกลง ดังนั้นเมื่อเช้านี้เขาเลยมีราชรถเป็นออดี้สีขาวมาส่งถึงหน้าคณะ

    “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ แล้วอย่าลืมคาบหน้าเอางานที่สั่งมาส่งด้วย ใครส่งช้าตัด 20 คะแนน”

   เสียงอาจารย์เกลือดังขึ้น หยุดความคิดที่หลุดไปในอดีตได้พอดี ดนตร์กะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าในช่วงที่เขาเข้าสู่ภวังค์ความคิดท่านอาจารย์จะมอบงานให้มาแล้ว มือเรียวทึ้งผมตัวเองอีกรอบ หงุดหงิดในความงี่เง่าของตัวเอง แต่คงเพราะความมึนงงแกมสับสนที่ปรากฏชัดบนใบหน้ามากเกินไป เมธัสที่แสนดีเลยช่วยบอกสิ่งที่เขาพลาดไปให้

    “อาจารย์เกลือให้ไปเก็บข้อมูลทดลองเขียนเป็นบทภาพยนตร์เกี่ยวกับงานศิลปะ ส่งคาบหน้า ส่งไม่ทันถูกตัด 20 คะแนน”

    “ศิลปะ? แล้วจะไปเอาจากที่ไหนล่ะ ห้องสมุดเหรอ”

   “ไอ้โง่!” เมธัสทำหน้าเหม็นเบื่อ “แกมีรุ่นพี่คณะสถาปัตย์ที่มะรุมมะตุ้มอยู่ตั้งสามคน จะไปหาในห้องสมุดให้เหนื่อยทำไมวะ”

    ดนตร์ย่นจมูกใส่เพื่อนรัก ถ้าต้องไปขอความช่วยเหลือจากสามคนนั่น เขายอมไปนั่งเปิดหนังสือจนหมดห้องสมุดจะยังดีเสียกว่า

    ...แต่สวรรค์มักไม่เข้าข้างคนอับโชค...




    หลังจากที่ปฏิเสธจนคอเป็นเอ็นสุดท้ายเขาก็แพ้ให้กับความดื้อดึงของเมธัสและลลิตา ทั้งคู่ลากเขามาถึงคณะสถาปัตย์จนได้ บรรยากาศค่อนข้างต่างจากคณะที่เขาเรียนอยู่พอสมควร มันค่อนข้างเงียบเมื่อเทียบกับคณะอื่นๆ แถมยังมีพวกแต่งตัวแปลกๆ เดินเต็มไปหมด บางคนไว้ผมยาว หอบหิ้วอุปกรณ์สำหรับงานตัวเอง บางคนก็แต่งตัวเหมือนหลุดมาจากนิตยสาร หลายคนส่งสายตามาที่พวกเขาแปลกๆ แต่อีกหลายๆ คนที่ทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน ดนตร์ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ภาวนาให้สิ่งที่เมธัสและลลิตาต้องการไม่เป็นผล หรืออย่างน้อยก็ขอให้ทั้งสามคนนั้นไม่อยู่ เพราะตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้น

    “ฉันว่าฉันไม่ไปดีกว่า พวกนายไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดเอง”

   “ไม่ได้” แฝดสยองตอบพร้อมกัน ก่อนพากันฉุดกระชากลากแขนของเขาให้ไปตามในทิศทางที่ตัวเองต้องการ

    เมธัสใช้ความสามารถในการสืบเสาะหาแหล่งกบดานของกรณ์และคนอื่นๆ ไม่นานข้อความจากบุคคลปริศนาก็ตอบกลับมาในโทรศัพท์มือถือ ริมฝีปากบางยกยิ้มแล้วพยักพเยิดให้ไปข้างหน้าอีกหน่อย

   พวกเขามาหยุดที่หน้าห้องๆ หนึ่ง ที่อยู่ท้ายสุดของทางเดิน บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบกว่าที่อื่น แต่ก็มีเสียงกุกกักลอดมาจากด้านในให้ได้ยิน เมธัสเขย่งปลายเท้าสอดส่องสายตาผ่านกระจกสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ ที่ติดอยู่บนประตู ก่อนจะกดโทรศัพท์มือถือหาใครสักคน จากนั้นไม่นานประตูบานใหญ่ก็เปิดออก กลิ่นสีและสารพัดกลิ่นโชยเข้าจมูกจนต้องเบ้หน้า

    “เข้ามาสิ” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยชวน เขาเพิ่งเห็นว่าผู้ที่มาเปิดประตูให้คือ นักรบ

    เพียงเสี้ยวนาทีที่เขาเห็นรุ่นพี่ตาดุหันมายิ้มให้เมธัสแล้วอีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับ พอจะอ้าปากถามแขนก็ถูกรั้งลากเข้าไปในห้องเสียแล้ว

    ภายในห้องค่อนข้างกว้าง และโล่ง มีเพียงโต๊ะยาวๆ ไม่กี่ตัวที่ตั้งระเกะระกะอยู่ เก้าอี้พลาสติกวางไม่เป็นที่ แต่ที่น่าสนใจคือผลงานหลายชิ้นที่วางอยู่รอบห้องมากกว่า แต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของผู้รังสรรค์ มีนักศึกษาหลายคนกำลังสร้างผลงานของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครหันมาสนใจการมาเยือนจากพวกเขา แต่ละคนเหมือนดำดิ่งอยู่ในโลกของตัวเองเท่านั้น

    ดนตร์หยุดมองภาพวาดสีน้ำมันด้วยความสนใจ มันเป็นภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็ก ที่ถูกรายล้อมด้วยลายเส้นและสีที่มองแล้วชวนหงอยเหงา

    “ภาพเด็กชายผู้โดดเดี่ยวน่ะ ได้รับรางวัลเมื่อปีที่แล้วนะ” นักรบบอกเรียบๆ

   ดนตร์ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่ออ่านชื่อของเจ้าของผลงานชิ้นดี ตากลมเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นลายมือหวัดๆ เขียนว่า ‘กรณ์’
    ที่จริงการที่ผลงานของกรณ์จะได้รับรางวัลไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเท่าไรนัก เพราะนอกจากรูปร่าง หน้าตา ที่โดดเด่นแล้ว ความสามารถของกรณ์ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เขาเคยได้ยินพวกสาวๆ พูดกันว่า กรณ์ได้รับใบตอบรับจากมหาวิทยาลัยดังๆ มากมายจากฝีมือทางด้านศิลปะ

    “อ้าว! เพลง ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่เนี่ย”

    เสียงร้องทักหยุดความสนใจจากภาพเด็กชายผู้โดดเดี่ยวเอาไว้ได้ ตากลมหันมองตามเสียงที่ได้ยิน ร่างสูงใหญ่คุ้นตายืนกอดอกยิ้มๆ มองมา ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาประชิดร่าง

    “พี่ธาม สวัสดีค่ะ”

    ลลิตาเอ่ยทักทายก่อน ธาวินยิ้มกลับอย่างอารมณ์ดีขณะที่มือหนาอยู่บนหัวไหล่ของเขาเรียบร้อยแล้ว “มาทำอะไรกัน อย่าบอกนะว่าคิดถึงพี่น่ะ”

    คำสรรพยอกจากธาวินยิ่งสร้างความกระอักกระอวนใจให้ดนตร์ แรงกระชับที่หัวไหล่มันแน่นกว่าปกติ เขาเหลือบตามองร่างสูง เสี้ยวนาทีที่ประสานสายตากันเขาเห็นแววขุ่นเคืองแทรกเข้ามา แต่แค่กะพริบตาทุกอย่างก็กลายเป็นปกติ ธาวินยังคงยิ้มสดใสเช่นเคย

   เมธัสอธิบายถึงจุดประสงค์ที่ต้องมาถึงที่นี่ รุ่นพี่ตัวสูงสองคนพยักหน้าหงึกหงัก “แล้วพวกนายอยากได้ข้อมูลด้านไหนล่ะ ปั้น วาด หรือออกแบบ”

    “ขอดูก่อนได้ไหมครับ” เมธัสบอก ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย

    นักรบกับธาวินเดินนำหน้าพารุ่นน้องทั้งสามเข้าไปด้านใน จากแสงสีเหลืองสว่างจ้ากลายเป็นแสงสีส้มนวลตา กลิ่นสีเหม็นฉุนขึ้นด้วยเช่นกัน ลลิตาทำหน้าเหมือนกำลังสูดเอาสารพิษเข้าปอด แต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่น กระทั่งถึงท้ายสุดของห้องพวกเขาก็ได้พบกับอริญชย์ กรณ์และผู้หญิงอีกคน...โยษิตา

    อริญชย์ยกยิ้มเมื่อเห็นรุ่นน้องทั้งสามและทิ้งสายตากับร่างโปร่งของเด็กหนุ่มสวมแว่น ผิวขาว ร่างสูงผุดลุกจากเก้าอี้พลาสติก วางดินสอในมือลง ก่อนจะก้าวเข้ามาทักทาย โดยทิ้งระยะไม่ถึงหนึ่งช่วงแขนด้วยซ้ำ

    “ว่าไงตัวเล็ก คิดถึงพี่เหรอ แต่ก็เพิ่งแยกกันเมื่อเช้านี้เองนี่นา...หรือว่าคิดถึงพี่จนทนไม่ไหว”

    ดนตร์ทำหน้าปั้นยาก แสงสีส้มจากดวงไฟคล้ายกับจะกลายเป็นสีเทาลงในพริบตา เขารู้สึกถึงไอเย็นประหลาดที่ลากผ่านแนวกระดูกสันหลัง ที่หัวไหล่รับรู้ถึงแรงบีบที่มากกว่าเดิม ขณะเดียวกันสายตาจากอีกคนก็คล้ายกับจะเผาเขาให้มอดไหม้เสียตรงนี้

    “ฉันว่าแกคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยว่ะ” ธาวินตอบแทนคนถูกถาม

    อริญชย์ยกยิ้ม ยกมือขึ้นแตะบนผิวแก้มอ่อนใสแผ่วเบา ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไล้บนผิวนุ่ม “รูปนั้นยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอวะ หรือจะต้องให้บอกว่าเมื่อคืนฉันกับน้องเพลงเรา...”

   ตึง!

    เก้าอี้พลาสติกล้มลงกระแทกพื้น ทุกคนหันไปมองต้นตอด้วยความตกใจ กรณ์ลุกขึ้นยืน ดวงตาคมขุ่นจัด ภาพร่างที่ยังไม่เสร็จถูกละทิ้ง เมื่อเจ้าของทิ้งดินสอลง หมดอารมณ์ที่จะทำต่อ มือหนาสอดลงกระเป๋ากางเกง ดวงตาดุดันจ้องมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนรักทั้งสอง

    ...คิดจะลองดีสินะ...

    “ยาหยี เมื่อกี้คุณบ่นว่าอยากได้คอเล็คชั่นใหม่ของจีวองชี่ใช่ไหม ผมว่างแล้วเราจะไปกันเลยไหม”

   “ว่างแล้วเหรอคะ ไหนว่าต้องรีบ...”

   “สำหรับคุณผมมีเวลาให้ตลอด รีบๆ หน่อยก็ดีผมได้กลิ่นคาว เหม็นจะอ้วก”

    โยษิตาทำหน้างงๆ เพราะไม่ได้กลิ่นคาวอย่างที่กรณ์พูด แต่ก็เพราะอารามดีใจเลยเลือกที่จะไม่ใส่ใจ ร่างบางโถมเข้าใส่คนรัก เอียงใบหน้าซบกับท่อนแขนกำยำ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มสากเป็นการขอบคุณในความรู้ใจ

    กรณ์อมยิ้ม ทว่าดวงตาไม่ได้ละจากดวงหน้าขาว ดวงตากลมช้อนขึ้นมาประสานสายตา เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนที่มันจะเสมองไปทางอื่น ชายหนุ่มสอดมือรั้งเอวคอดเล็กของคนรักเอาไว้ ก่อนจะกดริมฝีปากบนกลุ่มผมสีน้ำตาลทองของเธอเบาๆ ทุกพฤติกรรมเขาจงใจทำให้มันเชื่องช้าอ้อยอิ่งเพราะต้องการให้คนตรงหน้าเห็นชัดๆ ริมฝีปากหยักหนากำลังจะคลี่ยิ้มเหยียดด้วยคิดว่าตัวเองกำลังจะมีชัย แต่แล้วรอยยิ้มก็จางหายลงอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง

    ดนตร์ยกมือขึ้นสอดรอบเอวสอบของคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะแนบใบหน้าลงไปบนอกแกร่ง กลิ่นเมนทอลเจือด้วยกลิ่นคล้ายผลไม้สุกโอบล้อมรอบตัว ดวงตากลมช้อนมองเจ้าของแผงอกกว้าง ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอ่ยคำน่ารักชวนให้คนฟังใจเต้นสั่นไหว

     “พี่รันฮะ บ้านพี่สวยจังเลย ไว้คืนนี้พี่พาผมไปอีกนะฮะ”


**************************************

อีพี่กรณ์นี่พระเอกนิยายไทยจริงๆ ค่ะ เอิ๊กกกกกก
ส่วนหนูเพลง พย๊ายามพยายามจะเข็นให้แมนกว่านี้ แต่มันทำย๊ากยาก เพราะส่วนตัวชอบเสพนิยายโบาณ ตัวละครเลยออกมาโบราณเหมือนละครหลังข่าวไปหน่อย

เอาไว้แก้ตัวเรื่องหน้าเนาะ :laugh:

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ลูกเจี๊ยบบบบบบ
ร้ายไม่ใช่เล่นนะเรา
เอาอีกลูก เอาอีกกกก
แหกอกอิพี่กรณ์ไปเลยลูก
อนุญาตให้นายเอกเรื่องนี้แรดได้ค่ะ

เชียร์พี่รันได้ไหม ดูแบดแบบผู้ดีอ่ะ 55555

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ทำดีมากน้องเพลง ชอบที่นายเอกสเน่ห์แรงเอาให้พระเอกหายโง่ไปเลย
เพลงก็อย่าไปยอมเค้ามากนะลูกก มาต่อไวๆน้าาา ขอบคุณมากค่า

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ตอนนี้เชียร์ทุกคนยกเว้นกรณ์ คนอื่นยังมีความเป็นพระเอกมากกว่า อิตากรณ์คือทำอะไรสวนความคิดหมด ทำร้ายจิตใจเพลงตลอด แล้วที่แย่ที่สุดคือขืนใจ(?)เพลงด้วย เอาจริงมันไม่แฟร์กับเพลงแล้วก็ ธาม รันที่ตั้งใจจีบเพลงจริงๆ เพราะเป็นพระเอกเลยจะทำไงก็ได้หรอ  :z6: :katai1: เอ หรือกรณ์ไม่พระเอก
เลยเชียร์ 3Pไปเลย ธามรันเพลง
เพลงก็มีคนมาชอบตั้งเยอะ ลองเปิดใจให้สักคน ไม่ก็เลือกทั้งหมด(เอาจริงๆใน3คนนี้ก็มีมุมร้ายๆกันทั้งนั้น สงสารเพลงต้องมาอยู่ในสนามอารมณ์)
แต่อย่างว่าแหละมันพูดง่ายแต่ทำยากละนะ
แต่ถ้าสุดท้ายพลิกล็อคมา4Pนะ  :hao7: :z1:
รอตอนต่อไปค่า  :กอด1:

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
 ฉันจะรอดูนังกรรรรณ์   จะรอดูวันที่แกเจ็บปวดดด

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
พี่กรณ์เงิบละสิ เจอน้องตอกกลับแบบนี้
รู้สึกหึงไหมละ 555+

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 9 เดิมพัน


    “พี่รันฮะ บ้านพี่สวยจังเลย ไว้คืนนี้พี่พาผมไปอีกนะฮะ”
    กรณ์ขบกรามเข้าหากัน เขาบดฟันจนรู้สึกถึงความปวดที่แล่นแนวขากรรไกร มือแกร่งกำแน่นจนเส้นเลือดหลังมือปูดโปน ดวงตาคมดุแข็งกร้าว แก้วตาสีดำราวกับจะมีเปลวไฟเล็กๆ ปะทุในนั้น เสียงลมหวีดหวิวในช่องหู ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธจัด...ดนตร์กำลังเติมเชื้อเพลิงให้โหมลุกยิ่งกว่าเดิม!

    ก่อนหน้าที่ดนตร์จะเข้ามาในห้องนี้ไม่กี่ชั่วโมง ทั้งเขา อริญชย์และธาวิน สาดสงครามเย็นใส่กัน เพราะทุกคนต้องการครอบครองดนตร์เหมือนกัน แต่ว่าที่จริงแล้วพวกเขาเริ่มทำสงครามมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วต่างหาก เมื่ออริญชย์โพสต์ภาพที่ตัวเองกำลังหอมแก้มดนตร์ลงในเฟซบุ๊ค ทั้งเขากับธาวินต่างก็รู้ดีว่า อริญชย์กำลังท้าทายพวกเขาอยู่ ตอนนั้นเขาไม่แน่ใจนักหรอกว่าดนตร์เต็มใจหรือโดนฉวยโอกาสกันแน่ ทว่าตอนนี้เขามั่นใจว่า ดนตร์เองก็ ‘ร่าน’ เหมือนกัน

   คำพูดและท่าทางที่แสดงให้เห็นบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ดี อริญชย์ส่งยิ้มพึงพอใจให้กับร่างโปร่งในอ้อมแขน และส่งสายตาดูแคลนไปที่ธาวินรวมถึงเขาด้วย อริญชย์โอบรอบเอวคอดเล็ก ขณะที่ร่างกายของทั้งสองห่างไม่ถึงคืบดีด้วยซ้ำ กรณ์เหลือบมองศัตรูอีกคน ธาวินเองก็มีทีท่าไม่ต่างกันกับเขา

    ทั้งสามกำลังห้ำหั่นกันผ่านสายตา

    “อ้าว! แล้วอย่างนี้เพื่อนพี่อีกคนไม่น้อยใจแย่เหรอน้องเพลง”

    นักรบเอ่ยแซว ริมฝีปากบางระบายยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย ท่าทางอารมณ์ดีผิดกับคนอื่นๆ ส่วนเมธัสที่อยู่ข้างๆ กันกลับทำตาโตลุ้นระทึกราวกับกำลังดูละครชิงรักหักสวาท

   คนที่ถูกกล่าวถึงไม่ปล่อยโอกาสให้อริญชย์ได้ใจนานนัก มือใหญ่ดึงหัวไหล่เล็กก่อนจะกระชากร่างของดนตร์เข้ามาในอ้อมแขนของตัวเองบ้าง กดน้ำหนักมือเพื่อบังคับให้เด็กหนุ่มอยู่กับตัวเอง

    “อย่าเล่นแบบนี้สิลูกเจี๊ยบ เราตกลงคบกันแล้วนี่นา”

    “เท่าที่จำได้ เพลงยังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะคบกับนายน่ะ” อริญชย์แย้ง ใบหน้าหล่อดุดันยกสูง ปรายตามองคนคิดเข้าข้างตัวเอง
    ธาวินยิ้มเหยียด “แกอย่าคิดว่าการที่ลูกเจี๊ยบไปค้างบ้านแกแล้วจะได้เครดิตดีกว่าคนอื่น คงใช้แผนโง่ๆ เหมือนเดิมสินะ ไว้วันไหนมีโอกาสเหมาะๆ ฉันจะไปเผาห้องเก็บไวน์พ่อนาย จะได้ไม่มีไวน์ไว้มอมใครอีก”

    ดนตร์ตาโต มองหน้าอริญชย์สลับธาวิน คิ้วสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ “นี่พี่...มอม..”

   “เปล่า...นายคิดว่าพี่จะมีนิสัยเลวๆ อย่างนั้นเหรอ” อริญชย์บอก ดวงตากลมดุหันมองใครบางคน

    “โอ๊ย! คุยอะไรกันไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย จะเปิดศึกชิงเกย์ก็ตามสบายเลยนะ ฉันกับกรณ์ขอตัวก่อน”

    โยษิตาแทรกขึ้น มือเรียวออกแรงดึงท่อนแขนกำยำของคนรักก่อนจะเดินนวยนาดออกไป โดยไม่ลืมทิ้งสายตาหมั่นไส้ไว้ที่ร่างของเด็กหนุ่มที่ใครๆ ก็พากันสนใจ

    ลลิตาเหลือบมองเพื่อนรัก ดนตร์มีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ผิวที่ขาวจัดอยู่แล้วเผือดลงกว่าเดิม ดวงตากลมหลังกรอบแว่นทอดมองตามร่างสูงของผู้ชายที่เพิ่งออกไปกับคนรัก ถึงเธอจะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแน่ชัด แต่ก็พอจะมองออกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างดนตร์กับกรณ์ ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แต่เชื่อว่าคนอื่นๆ ก็รู้สึกเหมือนกัน คงมีแค่โยษิตากระมังที่ไม่สนใจสิ่งใดนอกจากตัวเอง

    “เข้าเรื่องกันซะที น้องๆ มันอยากได้ข้อมูลเอาไปเขียนบทหนัง พวกนายช่วยให้รายละเอียดหน่อยก็แล้วกัน” นักรบตัดบท เป็นคนเดียวที่ยังไม่ลืมเรื่องที่รุ่นน้องทั้งสามคนมาหา มือหนาใช้โอกาสที่ทุกคนกำลังสนใจดนตร์สอดเข้าโอบเอวบางของเด็กหนุ่มตาโตข้างกาย เจ้าเด็กตัวแสบตวัดขึ้นมอง ริมฝีปากบางยู่น้อยๆ แต่ไม่ได้บิดตัวหนี

   คนที่เหลือไม่ได้สนใจคนที่จากไป อริญชย์ ธาวินและนักรบทำหน้าที่รุ่นพี่ที่ดีอธิบายและให้ข้อมูลที่น้องๆ ต้องการ แม้ว่าบางจังหวะสถานการณ์อาจจะอึดอัดไปบ้าง แต่สุดท้าย ดนตร์ เมธัสและลลิตาก็ได้ข้อมูลพอที่จะทำงานส่งอาจารย์เกลือได้...



    เจ็บใจ!
     ในอกของกรณ์เจ็บจี๊ดราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงไปบนเนื้อหัวใจ มือกำเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า หลายครั้งที่เผลอกัดริมฝีปากเพื่อระบายความรู้สึกห่วยๆ นี่ ทว่ากลับไม่มีอะไรช่วยให้มันบรรเทาเจือจางได้เลย

    ...ดนตร์กำลังลองดีกับเขา!...

    ไม่เพียงแต่ไม่สนใจคำขู่ แต่ดนตร์ยังท้าทายเขาอีกด้วย เสื้อผ้าชุดเดิม ผมยุ่งๆ นั่น บอกได้ดีว่าเมื่อคืนดนตร์ไปนอนค้างที่บ้านของอริญชย์มาจริงๆ ชายหนุ่มขบฟันแน่น รอบขมับปวดตุบด้วยความเครียดที่ก่อตัวขึ้นกะทันหัน จินตนาการของเขามันกำลังสร้างภาพเด็กหนุ่มตัวขาว ดิ้นเร่าใต้ร่างหนาใหญ่ของอริญชย์

   ระยำ! เขาจะไม่มีวันให้มันเป็นจริง!

    “กรณ์คะ เดี๋ยวฉันมานะคะ ฉันปวดท้อง”

   ตาคมช้อนจากแก้วกาแฟที่เย็นไปแล้วพักใหญ่โดยที่เขาเพิ่งจิบมันได้แค่นิดเดียว ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ เขารอจนกลิ่นน้ำหอมของคนรักผ่านร่างไปแล้วปล่อยให้ตัวเองจมจ่ออยู่กับความคิดบ้าๆ นั่นอีกครั้ง ไม่ใช่สิ! อันที่จริงเขาไม่เคยหยุดคิดถึงดนตร์ได้เลย...อย่างที่มีคนเคยกล่าวไว้ ความคิดมันห้ามกันไม่ได้จริงๆ

    โยษิตาคงจะไปห้องน้ำอย่างที่เธอว่าจริงๆ เพราะกระเป๋าใบใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อให้ยังวางอยู่บนเก้าอี้ตัวที่เธอเพิ่งลุกไป หลังจากได้กระเป๋าสมใจเธอก็ชวนเขามานั่งดื่มกาแฟ กลิ่นเมล็ดกาแฟคั่วช่วยให้เขาผ่อนคลายอารมณ์ได้ในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาทีเขาก็ถูกความเครียดเข้าครอบงำอีกครั้ง โดยมีชนวนเหตุมาจากเด็กหนุ่มที่ชื่อดนตร์ น่าแปลกใจเหลือเกินที่เจ้าเด็กแว่นนี่สามารถทำให้เขาหงุดหงิดได้ตลอดเวลา แต่วันนี้มันร้ายแรงกว่าที่ผ่านมา เพราะท่าทางยั่วยวนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ใครจะไปคิดล่ะว่าเด็กแว่นสุดเชยนั่นจะกล้าทำแบบนั้น ในอกของเขาร้อนไปหมดเหมือนมีไฟสุมอยู่ในนั้น พยายามคิดหาทางเอาคืน แต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะเขามีคนรักอยู่แล้ว และไม่อาจทิ้งเธอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังรักเธออยู่...ใช่ยังรัก

    เขากับโยษิตาคบกันตั้งแต่เข้าเรียนในชั้นปีที่ 1 เธอเป็นผู้หญิงน่ารักและช่างเอาใจ แม้หลังๆ จะงี่เง่าเอาแต่ใจตัวเองบ้าง แต่มันคือนิสัยของผู้หญิง และไม่เคยทำให้เขาลำบากใจเวลาที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ของเขา

    กรณ์ถอนหายใจหนักๆ จนถึงตอนนี้เขายังแก้ไม่ตก รู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องมันจะยุ่งเหยิงไปกันใหญ่แต่เขาก็ยังดึงดันที่จะทำ เพียงเพราะคำว่า ‘พอใจ’ คำเดียวเท่านั้น

    เขาพอใจที่จะทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ พอใจที่จะเก็บโยษิตาไว้ที่เดิม และดึงเอาดนตร์มาไว้อีกคน เขามันเลว แต่เขาก็ไม่เคยบอกกับใครว่าเป็นคนดี

    โยษิตากลับมาหลังจากนั้นราวๆ 30 นาที ซึ่งมันนานจนเขาเกือบลืมไปแล้วว่ากำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟ สีหน้าเธอราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติทั้งที่หายไปนานจนผิดปกติ เขาเลือกที่จะไม่ถามเซ้าซี้ บางทีผู้หญิงก็อยากมีช่วงเวลาส่วนตัวบ้าง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยทำอย่างนั้นเลยก็ตาม

   “อิ่มหรือยังคะ”

   กรณ์พยักหน้า ที่จริงเขาไม่ได้อยากเข้ามานั่งกินกาแฟรสชาติแย่ยิ่งกว่าน้ำล้างจานแต่ราคาแพงบรมนี่สักเท่าไรนัก แต่ไม่อยากขัดใจเธอ โยษิตาเรียกบริกรมาคิดเงิน โดยเธอได้เค้กติดมือกลับไปอีกกล่อง

   “คุณจะกลับเลยไหม เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ให้ พอดีผมจะไปคุยธุระกับไอ้วินต่อ”

   โยษิตาไม่ได้งี่เง่างอแงเหมือนที่ผ่านมา โดยปกติแล้วเธอมักจะไม่พอใจถ้าหากเขาให้เธอกลับเองหรือจะไปที่อื่นต่อกับเพื่อน แต่วันนี้กลับปล่อยให้เขาไปหาชนวีร์โดยไร้คำถาม ทำแค่เพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น

    กรณ์ส่งคนรักขึ้นแท็กซี่ เขารอจนรถยนต์แล่นหายไปจากสายตาแล้วถึงล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า กดเบอร์โทรศัพท์หาลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วน

   “ไอ้อ้วน นัดไอ้รัน กับไอ้ธามให้หน่อย คืนนี้ฉันจะท้าพวกมันแข่งรถ...อ้อ พาน้องชายสุดที่รักของแกมาด้วยล่ะ”



    ดนตร์เกาหัวแกรกเมื่อจู่ๆ ก็ถูกชนวีร์เรียกตัวมากะทันหัน แต่มาถึงชมรมได้ไม่นานก็ถูกลากขึ้นรถสีดำไป โดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน รุ่นพี่ตัวอ้วนไม่พูดอะไรสักคำทั้งที่ดึงเขามาจากการซ้อมเชียร์กีฬา ไม่มีใครคัดค้านตอนที่ชื่อของเขาถูกประกาศกลางแสตนเชียร์ เพราะนั่นคือชนวีร์บุคคลที่น่าเกรงขามอีกคนในคณะนิเทศน์ รถยนต์สมรรถนะดีแล่นไปด้วยความเร็วในระดับปกติ แต่ความเงียบของผู้ขับทำให้เขาไม่สบายใจเท่าไรนัก

    ที่จริงแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคราวก่อน เขากับชนวีร์ยังไม่มีโอกาสได้สนทนากันอย่างจริงจังนัก และเป็นฝ่ายเขาเองที่หลบหน้าหลบตา เขายังไม่พร้อมที่จะสู้หน้ากับอีกฝ่ายและไม่พร้อมจะตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น ดนตร์ลอบถอนหายใจ พลางเหลือบมองเสี้ยวหน้าของรุ่นพี่ตัวอ้วน ใบหน้าของชนวีร์เรียบเฉยเสียจนน่าหวั่นใจ ทิวทัศน์สองข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และไม่คุ้นตา แม้จะไม่หายสงสัยแต่ความง่วงก็ไม่เคยเลือกช่วงเวลา เปลือกตาหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วความเงียบกับความอ่อนเพลียพ่วงด้วยความสงสัยก็ขับกล่อมให้ดนตร์เข้าสู่ความฝันได้อย่างไม่ยากเย็น

   กระทั่งการหยุดตัวของรถยนต์อย่างไม่นุ่มนวลเท่าไรนักก็ปลุกให้คนหลับปรือตาขึ้น ความมืดมิดเป็นสิ่งแรกที่ได้เห็น ดนตร์ขยี้ตาซ้ำเพราะยังไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นดีแล้วหรือยัง นานร่วมนาทีสายตาถึงปรับสภาพได้ เขามองเห็นแสงไฟที่อยู่ห่างไม่เกิน 100 เมตร และเริ่มเห็นโครงสร้างของสถาปัตย์บางอย่างที่มองดูคล้ายกับสนามกีฬา เมื่อไม่มีเสียงจากพาหนะที่นั่งมา เขาจึงได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไกลๆ แต่ถ้าหากตั้งใจฟังดีๆ เสียงเครื่องยนต์พวกนั้นมันครางกระหึ่มและดังก้องเลยทีเดียว

    ที่นี่คือ...สนามแข่งรถ

    “พี่วินที่นี่...”

    “อย่าเพิ่งถามอะไร” ชนวีร์ตัดบท ก่อนจะพยักพเยิดให้เขาเดินตามเข้าไป

    ยิ่งระยะทางสั้นลง เสียงเครื่องยนต์ก็ยิ่งดังขึ้น เสียงของมันกระตุ้นจังหวะหัวใจได้อย่างประหลาด แสงไฟสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นแสงจ้า เขาเพิ่งรู้ว่าแสงที่เห็นนั่นคือดวงไฟขนาดใหญ่จากสปอร์ตไลท์ที่มีรอบตัวสนาม ภายในสว่างไม่ต่างจากตอนกลางวัน ดนตร์แหงนคอมองแสตนที่นั่ง มันว่างเปล่าไร้ผู้คนแต่มีรถยนต์จอดเรียงกันอยู่ 4 คัน แต่ละคันกำลังประลองสมรรถนะกันด้วยการเร่งเครื่องยนต์ เขาไม่เห็นผู้ที่อยู่ด้านในเพราะทุกคันติดฟิล์มสีดำ แต่รถออดี้สีขาวที่อยู่ด้านในสุดนั่นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ด้านในคือใคร

    ไอเสียจากท่อรถยนต์ลอยในอากาศ ความง่วงงุนหายไปตั้งแต่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ดนตร์หันมองรอบตัว เขาเคยเห็นสนามแข่งรถแค่ในทีวีเท่านั้นแต่ไม่เคยมาเยือนด้วยตัวเอง แม้จะไม่มีการแข่งขันที่มีผู้คนเต็มสนามแต่การที่ได้เห็นรถยนต์ที่จอดเรียงกันก็ทำให้อดตื่นเต้นไม่ได้

    เขาเงยหน้ามองพี่วินที่วางมือบนหัวไหล่ รุ่นพี่ตัวอ้วนยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เช่นเดียวกับที่ยังไม่ได้บอกเขาถึงจุดประสงค์ที่พาเขามาที่นี่ ดนตร์ขมวดคิ้วน้อยๆ อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่า เจ้ารถยนต์ราคาแพงพวกนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ชนวีร์พาเขามาที่นี่แน่นอน

    ระหว่างที่กำลังมึนงงอยู่ ประตูรถสีเขียวนำเข้าจากญี่ปุ่นก็เปิดออก ร่างสูงใหญ่ของพี่ชายอีกคนเดินเข้ามาหาช้าๆ ส่งรอยยิ้มอบอุ่นและเป็นมิตรมาให้

   “ไงมาถึงแล้วเหรอ ตื่นเต้นหน่อยนะวันนี้ แต่ฉันคงไม่เข้าร่วมด้วยหรอก แค่อยากเอารถมาลองเครื่องเฉยๆ”

   “เข้าร่วม? อะไรเหรอครับ” ดนตร์ถาม เขารู้สึกตัวเองเป็นคนโง่ในห้องสอบ หัวสมองไร้คำตอบแต่กลับเต็มไปด้วยคำถาม

    รุ่นพี่ใจดียังไม่หยุดยิ้ม ดวงตาสีสนิมมองมาทางเขานิดหน่อยก่อนจะเบนไปยังร่างอวบจนอ้วนของรุ่นพี่อีกคน “นี่นายยังไม่ได้บอกลูกเจี๊ยบเหรอ”

   “ก็กำลังจะบอกอยู่นี่ไงล่ะ” ชนวีร์บอก หนุ่มตัวอ้วนถอนหายใจเสียงดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ “คืนนี้จะมีการแข่งรอบพิเศษ โดยมีนายเป็นของเดิมพัน”

   “ห๊ะ!!”

    อัคคีส่ายหน้าเบาๆ แต่ยังอารมณ์ดีเช่นเดิม ราวกับการแข่งขันครั้งนี้เป็นแค่เกมเพลย์สเตชั่นของเด็กวัยประถม “ไม่ต้องตกใจไป ไอ้พวกนี้มันก็ชอบตัดสินด้วยวิธีนี้แหละ ใครแพ้ก็ชวดของเดิมพันไป แค่เกมสนุกๆ น่า”

   “แต่ผมไม่ใช่สิ่งของ!” ดนตร์สวนกลับ “ผมไม่สนุกไปกับพวกพี่ด้วยหรอกนะ!”

    “นายไม่ใช่สิ่งของ” ชนวีร์บีบหัวไหล่แน่น “ฉันจะไม่มีวันให้นายเป็นแค่นั้นหรอก แต่นี่คือการตัดสินที่ดีที่สุด นายอาจจะยังไม่รู้ตัว แต่ไอ้สามคนนั่นมันชอบนาย”

    “สามคน” คิ้วหนาสวยยกสูง “ใคร?”

    “ก็คนที่อยู่ในรถไง” อัคคีชิงตอบคำถามแทน “รอลุ้นกันดีกว่าว่ารถสีอะไรจะเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง...วินนี่รีบบอกลูกเจี๊ยบสิ”

    เจ้าของชื่อถอนหายใจเหยียดยาว สีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด มืออูมยังคงโอบรอบหัวไหล่รุ่นน้องตัวเล็กเอาไว้ แต่ชั่วอึดใจก็เลื่อนมากุมที่ฝ่ามือเรียวก่อนจะออกแรงรั้งร่างโปร่งให้เดินไปตามพื้นสนามยางมะตอยสีเทาเข้ม
 
    ดนตร์เอี้ยวตัวกลับไปด้านหลัง เขาเห็นผู้ชายสวมหมวกกันน็อคสีดำนั่งอยู่ในรถ เขามั่นใจว่าผู้ที่อยู่ในรถออดี้สีขาวคืออริญชย์แม้จะสวมเครื่องป้องกันและชุดสำหรับนักแข่งโดยเฉพาะก็ตาม อีกคันที่จอดอยู่ข้างกันเป็นรถปอร์เช่สีแดง ถึงจะไม่เก่งเรื่องการดูชื่อรุ่นแต่เชื่อเหลือเกินว่ามันเป็นรถยนต์ที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมและความเร็วที่มากพอๆ กับเสือดาว ตากลมเหลือบมองไปที่รถยนต์คันสุดท้าย มันคือเฟอร์รารี่สีดำเงาปลาบตลอดคัน แม้แต่ตัวกระจกก็ยังติดฟิล์มมืด คงเหลือแค่พื้นที่เล็กน้อยสำหรับให้ผู้ขับใช้มอง และถึงแม้จะมีช่องว่างที่เห็นเพียงแค่สายตาเท่านั้น แต่เขาก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณและความคุ้นเคย คนๆ นั้นคือ...กรณ์

    ดวงตาคมยังคงดุดันเสมอแม้จะมีกระจกกั้นถึงสองชั้นก็ตาม ไอเย็นไร้ที่มาไล่วาบไปตลอดแนวสันหลัง ดนตร์รีบหันหน้าหนี ขาสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ก้าวตามชนวีร์ไป

    รุ่นพี่ตัวอ้วนพาเขามาหยุดตรงจุดกึ่งกลางของสนาม มันดูเวิ้งว้างทั้งที่ไม่ได้เป็นที่โล่งกว้างมากนัก ดนตร์หันมองผู้สูงวัยกว่าอย่างต้องการคำตอบ

   “นายยืนตรงนี้ ถือผ้านี่ไว้ด้วย” ผ้าสีแดงขนาดเท่ากับธงถูกจับยัดใส่มือทั้งสองข้าง “กางมันออกแล้วสะบัดผ้าลงในทุกครั้งที่มีรถวิ่งผ่าน พวกนั้นจะขับวนสามรอบ แต่นายไม่ต้องกลัว จะไม่มีรถคันไหนชนนาย พี่สัญญาว่านายจะปลอดภัยทุกส่วนแม้แต่เส้นผม”

    “นี่มันอะไร ผม...”

   “เชื่อพี่เถอะ หลังจากคืนนี้ไป จะไม่มีเรื่องบ้าๆ แบบนี้อีก”

   แม้จะไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม แต่แววตาชนวีร์บอกให้เขาเชื่อมั่นในคำพูดนั้น ดนตร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่จนไม่แน่ใจว่ายังเหลืออากาศในปอดอีกหรือเปล่า ขาสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลัวว่าจะทรุดลงไปเสียก่อนที่รถคันใดคนหนึ่งจะแล่นผ่าน และถึงแม้จะไม่เคยเห็นการแข่งรถแบบชิดติดขอบสนาม แต่แค่ผ่านหน้าจอทีวีมันก็ทั้งตื่นเต้นและน่ากลัว รวมไปถึงความปลอดภัยที่มีน้อยจนน่าใจหาย ดนตร์เรียกกำลังใจให้ตัวเอง พร้อมกับพยายามตั้งสติ เขาไม่มีเวลาตัดสินใจอะไรทั้งนั้น เพราะเพียงแค่ชนวีร์เดินหลุดจากสนามไป เสียงปังก็ดังขึ้น จากนั้นเสียงเครื่องยนต์ก็กรีดร้องดังก้องไปทั่วบริเวณ แก้วหูของเขาปวดหนึบ สูญเสียการได้ยินไปชั่วคราว แต่ดวงตายังทำงานได้ดีเยี่ยม เขามองรถยนต์ทั้งสามคันแล่นด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ดนตร์เบิกตาโพลง มือกำผ้าสีแดงแน่นจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไร

    ดนตร์หลับตาแน่นเมื่อเห็นว่ารถยนต์สีแดงวิ่งเข้ามาใกล้ในระยะห่างไม่เกิน 50 เมตร หัวสมองเขาว่างเปล่า โลกใต้เปลือกตามีแต่สีดำ หัวใจเต้นรัวจนหน้าอกปวดร้าวไปหมด หูได้ยินแค่เสียงเครื่องยนต์ที่คำรามก้องกัมปนาท เสียงลมที่กรีดไปกับตัวรถหวีดสูงมันน่ากลัวไม่ต่างจากคมมีดที่ลู่ไปบนผิวหนัง ลมเย็นวาบผ่านร่างไปในชั่ววินาที เขาขืนร่างเอาไว้ไม่ให้เสียการทรงตัวจากแรงเหวี่ยงของอากาศจำนวนมหาศาล

    ลมก้อนใหญ่สามครั้งผ่านร่างของเขาไปอย่างรวดเร็ว ห่างกันเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ดนตร์เปิดตาขึ้นทันทีแล้วรีบเอี้ยวตัวมองตามรถทั้งสามคันนั่นไป มือเปียกชุ่มยังกำผ้าสีแดงเอาไว้ โดยที่มันไม่ได้สะบัดตามที่ได้รับคำสั่งมาสักครั้ง

    “ยกผ้าด้วย!”

    ชนวีร์ตะโกนบอก เขาหมุนตัวกลับมาที่เดิม เฝ้ามองรถยนต์ที่แข่งความเร็วเบียดเสียดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ดูด้วยสายตาเขาไม่อาจเดาได้ว่าจะเป็นรถสีอะไรที่มาหาเขาก่อน แค่ชั่วอึดใจรถทั้งสามคันก็เบียดกันเข้ามาใกล้เขาอีกครั้ง ดนตร์สูดเอาอากาศที่เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งเข้าปอด เก็บมันให้ลึกที่สุด กางแขนทั้งสองข้างออก เฝ้ารอช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดด้วยใจระทึก และเป็นอีกครั้งที่รถสีแดงผ่านร่างของเขาไปก่อน ดนตร์สะบัดผ้าในมือ ประกาศชัยชนะในรอบแรก จากนั้นในรอบที่สองก็เป็นรถออดี้สีขาว และในรอบที่สาม...

    รถเฟอร์รารี่สีดำเร่งความเร็วมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด มันแซงหน้าคันอื่นในทุกโค้งอย่างน่ากลัว ล้อรถเสียดไปกับพื้นถนนจนเกิดประกายไฟ เสียงเบรกและเสียงเครื่องยนต์ดังก้องจนปวดแก้วหู แต่เขาก็ค้นพบว่าในความหวาดกลัวมันมีความตื่นเต้นท้าทายซ่อนอยู่ด้วย

    ไม่รู้อะไรดลใจทำให้เขาเชียร์รถเฟอร์รารี่สีดำ คงเป็นเพราะในสองรอบแรกนั้นมันเป็นคันที่อยู่รั้งท้ายตลอด แต่ในรอบนี้มันกลับแซงคันอื่นขึ้นมาได้อย่างน่าลุ้นระทึก เขาเผลอจับจ้องการเคลื่อนที่รวดเร็วยิ่งกว่าลมพัด ลมหายใจของเขาแทบจะหยุดลง เมื่อคิดว่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้ารถคันนั้นจะพุ่งตรงมาที่เขาและอาจจะเป็นคันที่คว้าชัยในรอบนี้ รถเฟอร์รารี่สีดำทิ้งระยะห่างจากคันอื่นเกินช่วงโค้งแล้ว...แต่ทว่า

   ปัง!!

    เอี๊ยด!!

    เสียงเบรคของล้อรถยนต์ครูดไปกับพื้นถนน ประกายไฟดวงใหญ่สว่างวาบ ก่อนจะถึงตัวเขาเพียงแค่อีก 100 เมตรเท่านั้น ตัวรถเสียหลัก หมุนลอยกลางอากาศก่อนจะพลิกกลิ้งหมุนวนหลายตลบ และไปหยุดที่ราวกัน ฝุ่นสีส้มขุ่นลอยฟุ้งในอากาศแทบไม่เห็นสิ่งใด กระทั่งเม็ดฝุ่นเจือจางลงเขาถึงได้เห็นสภาพของรถยนต์ราคาแพง

    “กรณ์!!”

    อัคคีรีบวิ่งเข้าไปในวงล้อมของฝุ่นทันที โดยมีชนวีร์ตามไปติดๆ ขณะที่ดนตร์ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คงมีแค่สายตาเท่านั้นที่เก็บเอาภาพเหตุการณ์ทุกอย่างเอาไว้ แต่สมองกลับไม่สามารถทำงานตามปกติได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเหนือความคาดหมาย ดังนั้นเขาจึงไม่เหลือสติพอที่จะรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้าได้

   อัคคีกับชนวีร์ช่วยกันดึงร่างคนเจ็บออกจากตัวรถ สภาพของเฟอร์รารี่สีดำเสียหายไม่น้อย แต่ด้วยราคาที่มาพร้อมกับคุณภาพทำให้มันไม่ได้กลายเป็นแค่เศษเหล็กในทันที แอร์แบ็คทำงานได้ดีเยี่ยม จากภายนอกกรณ์ไม่มีบาดแผลตรงไหนให้ตกใจยิ่งกว่าเดิม แต่เมื่อถอดหมวกกันน็อกออก ถึงได้เห็นหยดเลือดที่ไหลซึมจากเส้นผมที่เริ่มเปียกและจับเป็นก้อนจากปริมาณของเลือดที่มากขึ้นเรื่อยๆ

    ร่างของกรณ์ถูกวางลงบนพื้นหญ้าแห้งๆ ดวงตาคมปิดสนิท แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงแต่ช้าเนิบนาบ อัคคีช่วยปลดชุดให้ เพื่อคลายความอึดอัด ก่อนจะตะโกนสั่งให้ชนวีร์โทรตามรถพยาบาล รถทั้งสองคันจอดลง อริญชย์และธาวินวิ่งตามลงมาสมทบ ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกไม่ต่างกัน

    ...คงมีแต่ดนตร์เท่านั้นที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ด้วยใบหน้าไร้สีเลือด...

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
        ประตูห้องฉุกเฉินปิดลงทันทีที่เตียงผู้ได้รับบาดเจ็บหายเข็นหายเข้าไปด้านใน ทั้ง 4 คนยืนอออยู่หน้าประตู โดยมีเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยที่สุดยืนรั้งท้าย แก้วตาใสกลายเป็นสีดำราวกับมีหลุมลึกอยู่ในนั้น ร่างกายคล้ายกับถูกสาปให้หยุดนิ่งตั้งแต่วินาทีที่เห็นรถพลิกตลบตรงหน้า จนถึงตอนนี้ประสาทสั่งการยังไม่ทำงานตามปกติ คงมีแค่สายตากับหัวใจเท่านั้นที่ยังทำงานได้

   “แอร์แบ็คทำงานนะ คิดว่าช่วงหน้าอกไม่น่าจะกระแทกแรงมาก” อัคคีออกความเห็น ก่อนจะพยักพเยิดให้คนอื่นๆ หาที่นั่ง

    “แล้วทำไมจู่ๆ รถมันถึงคว่ำได้”

   ทั้งสามหันมองหนุ่มตัวอ้วน ใบหน้าเครียดจัด ชนวีร์เพิ่งแจ้งเรื่องอุบัติเหตุให้กับบิดาของกรณ์ทราบ แต่คงจะเป็นพรุ่งนี้กว่าท่านจะเดินทางมาถึงเพราะอยู่ต่างจังหวัดและไม่สามารถหาตั๋วได้ทันในคืนนี้

    “รถมันยางแตก คงเพราะมันเร่งความเร็วมากเกินไป” ธาวินตอบ ตามที่เห็นเพราะเขาขับตามหลังกรณ์ ถึงจะทิ้งระยะห่างอยู่พอสมควรแต่ก็เห็นในจังหวะที่ยางเส้นหลังด้านขวาระเบิดพอดี ดีที่เขาหักรถหลบทันไม่อย่างนั้นคงได้ชนปะทะแน่

    “บ้าเอ๊ย! ไอ้กรณ์มันบ้าดีเดือด” ชนวีร์สบถเสียงดัง มืออูมเสยเส้นผมระบายความเครียดแต่มันช่วยไม่ได้เท่าไรนัก

    “เอาน่า เชื่อสิ กรณ์ไม่เป็นอะไรหรอก” อัคคีวางมือบนหัวไหล่หนาพลางบีบเบาๆ ปลอบใจคนรัก เขารู้ดีว่าเจ้าอ้วนกับกรณ์สนิทกันแค่ไหน ถึงจะชอบทะเลาะกันแต่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่รักกันไม่แพ้พี่น้องคลานตามกันมา

    ชนวีร์มองหน้ารุ่นพี่และคนรักของตัวเองนานร่วมครึ่งนาทีก่อนจะพยักหน้ายอมรับในคำปลอบประโลม ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ความบ้าดีเดือดของกรณ์จะนำเอาความเดือดร้อนมาให้ แต่ครั้งนี้มันอันตรายที่สุดเพราะมันมีชีวิตของกรณ์เป็นเดิมพัน

    อริญชย์ผละจากคนอื่นๆ เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงเลย คงเป็นเพราะทุกคนวุ่นวายอยู่กับกรณ์และเป็นห่วงอาการบาดเจ็บจนลืมว่าดนตร์ก็อยู่ด้วย

    เมื่อตอนเย็นเขาได้รับโทรศัพท์จากชนวีร์ ปลายสายไม่พูดอะไรมากไปกว่ากรณ์ต้องการแข่งรถโดยมีดนตร์เป็นเดิมพัน ธาวินเองก็ได้รับข้อความแบบเดียวกัน ดังนั้นตอนหนึ่งทุ่มตรงเขาจึงได้พาเจ้าออดี้สีขาวมาอยู่ที่สนามแข่ง ที่จริงแล้วเขา ธาวินและกรณ์มักจะประลองความเร็วด้วยการแข่งรถอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีเดิมพันเป็นคน อย่างมากที่สุดก็เงินก้อนโต โดยส่วนใหญ่กรณ์จะเป็นผู้คว้ารางวัลไปครอง ทว่าคราวนี้เขายอมไม่ได้เพราะสิ่งเดิมพันคือเด็กผู้ชายที่มาเปิดหัวใจด้านชาของเขาให้กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

    ในครั้งแรกที่ได้ยินเขาอยากจะด่ากรณ์ให้ในความบ้าบิ่นของมันที่คิดเอาดนตร์มาเป็นของเดิมพัน แต่พอมาชั่งใจบวกกับความรักการแข่งขันทำให้เขายินดีตอบรับคำท้าทาย แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เขามองเด็กหนุ่มร่างเล็ก ดนตร์ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทางเดินพอดี ใบหน้าขาวจัดซีดเผือดไม่ต่างจากหน้ากระดาษ ดวงตากลมเลื่อนลอยจนน่าเป็นห่วง อริญชย์สาวเท้าเข้าไปใกล้ แต่จุดโฟกัสในดวงตาของดนตร์ก็ยังไม่ได้เคลื่อนมาทางเขา

    “เพลง...โอเคไหม?”

    “............”

    “เพลง นายโอเคหรือเปล่า” อริญชย์ถามซ้ำทว่าดนตร์ยังนิ่งงันเช่นเดิม เขายกมือขึ้นแล้วโบกตรงหน้าแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดนตร์ไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ

    มือหนาจับที่หัวไหล่มนแล้วออกแรงเขย่า จนศีรษะทุยสั่นคลอน “เพลง ได้ยินพี่หรือเปล่า? เพลง! ลูกเจี๊ยบ!”

    นานจนรู้สึกว่าใจคอไม่ค่อยดี ดนตร์จึงมีปฏิกิริยา เปลือกตาบางกะพริบเร็วๆ นัยน์ตาสีดำด้านเริ่มมีประกายและเกิดเป็นแววในดวงตา ริมฝีปากซีดเซียวค่อยๆ ขยับเป็นคำ

    “พะ...พี่กรณ์”

   “เพลง”

    อริญชย์กระชากร่างเล็กมาไว้ในอ้อมแขน เขากอดดนตร์แน่นเพราะอยากสัมผัสถึงหัวใจที่ยังเต้นอยู่ของอีกฝ่าย ร่างโปร่งยังอุ่นซ่านบ่งบอกถึงการมีชีวิต มือหนากดศีรษะลงกับหน้าอก สูดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ จากแชมพูไว้ในปอด เขาอาจจะเป็นห่วงและกังวลมากเกินไป แต่อาการของดนตร์ดูน่าเป็นห่วง อาจจะแย่กว่ากรณ์ด้วยซ้ำ

    “ลูกเจี๊ยบเป็นอะไร”

    “น่าจะช็อค” อริญชย์บอก ยังไม่ปล่อยร่างของดนตร์ออกจากอ้อมกอด จังหวะหัวใจที่เต้นชิดกับสีข้างช่วยให้อุ่นใจขึ้นเล็กน้อย

    ชนวีร์กระชากลมหายใจด้วยความหัวเสีย เพราะมัวแต่ห่วงกรณ์จนลืมดนตร์ไปเสียสนิท ร่างโปร่งอยู่ในอ้อมแขนของอริญชย์ดูบอบบางและอ่อนแอ ดนตร์ต้องได้รับบาดเจ็บทางอารมณ์แน่นอน น้อยคนนักจะรับมือกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้ แม้แต่เขาหรืออัคคีเองที่พบเจอกับเรื่องพวกนี้อยู่บ่อยครั้งเพราะกิจกรรมยามว่างของคนรักคือการแข่งรถ หากแต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับกรณ์เลยทำให้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปเหมือนกัน

   “ส่งดนตร์มา เดี๋ยวฉันดูแลเอง”

    อริญชย์เหลือบตามองเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยร่างของดนตร์ ก่อนจะผละไปนั่งสมทบกับธาวินที่มองมาพอดี ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรแต่ต่างฝ่ายต่างก็ภาวนาให้เพื่อนรักปลอดภัย ถึงจะเป็นคู่แข่งกันเรื่องหัวใจแต่มิตรภาพยังคงแน่นแฟ้นเช่นเดิม

    ดนตร์ถูกพามานั่งบนเก้าอี้พลาสติกสีน้ำตาลหน้าห้องโดยมีร่างอวบหนาของชนวีร์ดูแลไม่ห่าง อัคคีเองก็ดูห่วงรุ่นน้องตัวเล็กไม่น้อย คงต้องบำบัดสภาพจิตใจของดนตร์ไปพร้อมกับคุณหมอที่กำลังรักษาอาการของกรณ์ ร่างสูงใหญ่คุกเข่าลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม พลางจับมือเล็กมากุมไว้ ถ่ายทอดไออุ่นให้โดยไม่เจตนาจะลวนลาม

   “กรณ์ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันว่านายน่าเป็นห่วงกว่าอีก”

   ตากลมช้อนมอง หยาดน้ำใสคลอเคล้าที่หน่วยตาอย่างน่าสงสาร ริมฝีปากสั่นระริกจนต้องขบเม้มเอาไว้ แล้วหยดน้ำก็ไหลผ่านสองแก้ม

    “พี่กรณ์จะตายไหมครับ”

   อัคคียิ้มอ่อนโยน “ไม่ตายหรอกครับ อย่างมากสุดก็แค่ซี่โครงหัก เชื่อพี่สิ เรื่องแบบนี้พี่ผ่านมาแล้ว”

   “ผ่านมาแล้ว..?”

   “ใช่” คนโตกว่ายิ้มอีกครั้ง “พี่ชอบแข่งรถ ชอบกว่ากรณ์ด้วยซ้ำ รถคว่ำเกือบตายมาตั้งหลายหนไม่เชื่อถามเจ้าอ้วนดูสิ กรณีของกรณ์ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับพี่นะ”

    อัคคีใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาบนแก้มใส “ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก พี่ว่านายดูน่าเป็นห่วงกว่าอีก ดูซิ หน้าซีดเป็นกระดาษแล้ว”

    “อะแฮ่ม” ชนวีร์กระแอม ส่งสายตามปรามไปยังคนรักที่ทำหน้าที่ล้ำเส้นไปหน่อย “ช่วยจองโรงแรมให้ลุงกริชด้วยนะไฟ”

    อัคคียักไหล่พลางผุดลุกขึ้น ร่างสูงใหญ่ถอยห่างออกไปเพื่อจัดการตามที่ชนวีร์บอก

    ดนตร์ไม่ได้ถามอะไรอีก สีหน้าดีขึ้นกว่าเดิมบ้างแต่ยังไม่สู้ดีนัก ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงบานประตูก็เปิดออก เตียงคนไข้ถูกเข็นออกมา ทุกคนที่รอคอยลุกพรวดพราดเข้าไปหา กรณ์ยังหลับสนิท รอบศีรษะมีผ้าพันแผลพันไว้ ใบหน้าซีดเซียวมีหน้ากากออกซิเจนช่วยระบบหายใจ แผ่นอกกว้างเขียวช้ำจากการกระแทก แต่ก็สะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กลิ่นแอลกอฮอล์รวมถึงกลิ่นยาโชยคลุ้งจนต้องเบ้หน้า  ดนตร์เม้มปากแน่น ดวงตาไหวระริก สงสารคนบนเตียงจับใจ

    “คนไข้ไม่เป็นอะไรมากแล้วนะครับ แค่หัวแตกแล้วก็หน้าอกกระแทก ไม่มีกระดูกส่วนไหนหัก แต่ต้องรอจนกว่าคนไข้จะฟื้นเพื่อรอดูว่ามีการเวียนหัวหรืออาเจียนหรือเปล่า แต่ถ้าญาติไม่สบายใจไว้คนไข้ฟื้นแล้วค่อยเอ็กซ์เรย์ก็ได้ครับ ยังไงคืนนี้ขอให้คนไข้ได้พักก่อนนะครับ พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมอีกที” คุณหมอผู้ทำการรักษาอธิบายคร่าวๆ “ผมขอตัวก่อนนะครับ” ก่อนจะพยักหน้าให้บุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีกรณ์อยู่บนนั้นไปพักยังห้องพักพิเศษ

    ดนตร์มองเตียงผู้ป่วยที่ถูกเข็นห่างออกไปเรื่อยๆ จนมันลับสายตา ภาพของรถยนต์ที่หมุนกลางอากาศและร่างของกรณ์ที่สลบไม่ได้สติยังติดอยู่ใต้เปลือกตา มันน่ากลัวเกินกว่าจะรับมือได้ทัน ถ้าหากอัคคีและคนอื่นไม่ได้อยู่ตรงนั้นเขาคงปล่อยให้กรณ์อยู่กับความเจ็บปวดโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย เขามันทั้งโง่และไร้ประโยชน์

    “ไม่ต้องร้องไห้ ไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมกันอีกที” ชนวีร์ปลอบประโลม แต่มันไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย...



    ดนตร์ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ตลอดทั้งคืน เขาเป็นห่วงคนเจ็บจับใจ กังวลไปสารพัดและทันทีที่พระอาทิตย์จับขอบฟ้าเขาก็รีบอาบน้ำแต่งตัวและออกจากหอพักไปทันที เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเมธัสและลลิตา แต่คิดว่านักรบคงบอกกับเมธัสแล้ว

   เขาตั้งใจจะไปเยี่ยมกรณ์เพราะเป็นห่วง โดยไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายจะประทับใจ ดนตร์แวะซื้อของเยี่ยม เขาเลือกซื้อดอกลิลลี่สีชมพูจากร้านขายดอกไม้เล็กๆ ข้างทาง แม้จะไม่ได้จัดเป็นช่อสวยงามและมีเพียงแค่ดอกเดียวแต่เขาตั้งใจจะใช้มันเป็นตัวแทน บอกความรู้สึกผ่านดอกไม้ และถึงแม้กรณ์จะไม่เห็นหรือถูกสิ่งอื่นบดบังเขาก็ยินดี ดนตร์เสียบดอกลิลลี่ลงในกระเป๋าเป้แล้ววิ่งไปยังสถานีรถไฟ

    ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็ถึงโรงพยาบาล พวกพี่วินคงยังมาไม่ถึงเพราะเพิ่งจะ 7 โมงนิดๆ เท่านั้นเอง ถ้ากรณ์ยังไม่ตื่นเขาก็จะรอที่หน้าห้องจนกว่าตาดุๆ นั่นจะลืมขึ้น ร่างโปร่งกระชับเสื้อแจ็คเก็ตเข้าหาตัว เขาไม่ค่อยถูกกับฤดูหนาวเท่าไรนัก ถึงแม้ฤดูหนาวที่กรุงเทพฯ จะไม่หนาวเท่ากับที่เชียงใหม่ก็ตาม แต่อาการป่วยมันมักจะมาพร้อมกับลมหนาว ดนตร์สูดเอาอากาศที่ยังบริสุทธิ์อยู่ไว้ในปอด ก่อนที่ออกซิเจนสะอาดจะถูกแทนที่ด้วยควันเสียของท่อรถยนต์ เช้าๆ อย่างนี้รถยังไม่เยอะเท่าไร

    สองขาก้าวเข้าสู่ด้านหลังของตัวอาคาร เขาเลือกใช้ลิฟต์ตัวที่อยู่ในลานจอดรถเพราะไม่ชอบกลิ่นยาในโรงพยาบาลเท่าไรนัก อันที่จริงรวมไปถึงตัวโรงพยาบาลด้วย ถึงจะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการรักษาคนป่วย แต่อีกด้านหนึ่งมันคือศูนย์รวมของคนเจ็บป่วย เป็นสถานที่ที่ไม่น่ามาเยือน หากไม่จำเป็น เขาหยุดรอลิฟต์ตัวที่สอง ตัวเลขค่อยๆ ไล่ระดับลงมาเรื่อยๆ จากชั้นที่ 39 ดนตร์รอคอยอย่างใจเย็น มือบางเคลื่อนไปจับดอกไม้ที่ยังอยู่ดีในกระเป๋าเล็กๆ ที่อยู่กับตัวเป้สีดำใบโปรด

    “ฉันบอกว่าไม่ต้องมาไง ทำไมถึงงี่เง่าแบบนี้ แล้วถ้ามีคนเห็นจะทำยังไง”

   เสียงผู้หญิงคุ้นหูดังขึ้นไม่ไกลนัก เขาเหลียวมองโดยอัตโนมัติ ดนตร์เห็นหญิงสาวร่างบางอรชร เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนค่อนข้างโดดเด่นเมื่อถูกแสงแดดยามเช้าจับจ้อง ใบหน้าด้านข้างดูน่ารักน่ามองแม้จะเห็นจากในระยะร่วมสิบเมตร คิ้วหนาแต่เรียงสวยขมวดน้อยๆ เพราะไม่ใช่แค่น้ำเสียงแต่ยังรวมไปถึงอีกหลายๆ อย่างทำให้เขารู้สึกคุ้นตาอย่างน่าประหลาด

    “ไหนบอกว่าจะเลิกแล้วไง จะให้ผมรอไปถึงเมื่อไร คุณไม่รู้หรือไงว่าผมเจ็บแค่ไหนที่เห็นคุณยังอยู่กับมัน”

   “ฉันก็พยายามอยู่นี่ยังไงล่ะ” ผู้หญิงคนนั้นแผดเสียง

    ดนตร์หันกลับมามองตัวเลขสีแดงที่เลื่อนมาถึง 20 เขาไม่อยากเป็นคนเสียมารยาท และไม่อยากให้ชายหญิงคู่นั้นรู้ว่ามีเขาร่วมอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ด้วย แต่ไม่มีอะไรง่ายดายสำหรับดนตร์

    เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นซีเมนต์ดังเข้ามาใกล้ ดนตร์ขยับเข้าใกล้กับประตูลิฟต์โดยอัตโนมัติ หากเป็นไปได้เขาจะแทรกกายเข้าไปในเนื้อโลหะนั่นเสียให้ได้

   “ผมไม่ให้คุณไปเยี่ยมมัน! แค่รถคว่ำ ยังไม่ได้ตายสักหน่อย”

   “เลิกบ้าได้แล้วซัน! กรณ์เจ็บอยู่นะ แล้วฉันก็ยังเป็นแฟนเขาอยู่”

   กรณ์...แฟน?

    หัวใจของเขากระตุกวาบ...นึกอยากจะหันไปมองเสียให้เต็มสองตาว่าผู้หญิงคนนั้นใช่คนที่เขากำลังคิดอยู่หรือเปล่า แต่เขาขี้ขลาดเกินไป ได้แต่ใช้ผนังปูนที่ยื่นออกมาเป็นที่กำบังกาย

   “ก็ได้! แต่ผมให้เวลาคุณอีกแค่สองอาทิตย์ คุณจะต้องบอกเลิกมัน ไม่อย่างนั้นผมจะเป็นคนไปบอกกับมันเอง”

   “อย่านะ! ฉันจะพูดกับกรณ์เอง” เสียงรองเท้าส้นสูงดังอีกครั้ง แต่จังหวะมันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่ใช้พูดในประโยคถัดมา “รออีกนิดนะคะ แหวนของคุณไม่มีทางเป็นหมันแน่นอน”

   แล้วสรรพเสียงก็เงียบหายไป ดนตร์กลั้นใจชะโงกหน้าออกมาจากผนังเย็น ตากลมเบิกกว้างจนเกือบเท่าไข่ห่าน จ้องมองภาพชายหญิงที่มอบจุมพิตให้กันอย่างดูดดื่ม ไม่เพียงแค่นั้น มือของฝ่ายชายยังเลื่อนหายเข้าไปในชายเสื้อตัวสั้นของโยษิตา...ใช่ ผู้หญิงคนนั้นคือโยษิตา คนรักของกรณ์

    ดนตร์รีบชักหน้ากลับ เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟต์ส่งเสียงร้องเตือนพอดี เขารีบวิ่งเข้าไปด้านในแล้วกระหน่ำกดปิดอย่างยอมเสียมารยาท ใจเต้นระห่ำหวาดหวั่นว่าใครคนใดคนหนึ่งจะรู้ว่าเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด...โยษิตานอกใจกรณ์ ที่ร้ายกว่านั้นเขากำลังเจ็บทางกาย แล้วถ้าหากต้องเจ็บทางใจด้วยกรณ์จะรับมือไหวหรือเปล่า…


    ตากลมจับจ้องอยู่ที่เนื้อประตูสีขาว เขาอ่านประวัติคร่าวๆ ของผู้ป่วยบนกระดาษที่สอดใส่พลาสติกเล็กๆ แปะที่หน้าประตูมาเป็นสิบรอบแล้ว สลับกับคนป่วยที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ชุดคนไข้สีเขียวอ่อนไม่เข้ากับกรณ์เลยสักนิด เขามองริมฝีปากซีดขาวอ้าออกน้อยๆ ขณะที่รับข้าวจากปลายช้อน สีหน้าไม่ได้แย่อย่างที่หวั่นใจแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นจนวางใจได้ ที่ศีรษะยังมีผ้าพันแผลอันเดิมพันอยู่ เขาเห็นรอยแดงจางๆ ซึมออกมาให้เห็น รอยฟกช้ำที่หน้าอกคงจะเห็นชัดกว่าเดิมแต่เพราะเจ้าตัวสวมเสื้อทับไว้เขาเลยไม่รู้ว่ามันช้ำมากน้อยแค่ไหน

    ดนตร์ถอนหายใจทิ้งไปเฮือกใหญ่ กรณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว อย่างน้อยก็ตื่นฟื้นได้สติ แถมยังมีคนปรนนิบัติพัดวีดีอีกด้วย เขายกยิ้มเย้ยหยันในความเพ้อเจ้อของตัวเอง หลงคิดไปว่าความห่วงของตัวเองจะส่งไปถึงอีกคนได้ เขาลืมไปได้อย่างไรว่ากรณ์มีคนรักแล้ว แม้ว่าเธอกำลังคิดนอกใจอยู่ก็ตาม

    เด็กหนุ่มเดินห่างจากบานประตูแล้วทรุดกายลงบนที่นั่งเย็นๆ แถวนั้น ดอกลิลลี่ยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ถูกนำไปให้อย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะความขลาดทำให้เขาไม่กล้าผลักบานประตูเข้าไป ได้แต่ยืนเป็นคนโง่อยู่ตรงนั้น กระทั่งได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงคู่เดิม เขาก็เลือกใช้วิธีเดิมคือซ่อนกายและให้เจ้าของรองเท้าเข้าไปด้านใน จากนั้นก็เฝ้ามองการดูแลของคู่รักผ่านช่องกระจกใสเล็กๆ หน้าห้อง

    โยษิตาน่ารัก เธอนำโจ๊ก ผลไม้ นม และสารพัดสิ่งที่เหมาะแก่ผู้ป่วยมาเยี่ยมกรณ์ ขณะที่เขามีแค่ดอกลิลลี่เพียงแค่ดอกเดียวเท่านั้น ดนตร์ยกขาขึ้นวางบนที่นั่ง ก่อนจะยกมือขึ้นกอดรอบหัวเข่าพลางซบหน้าลงไป ทำไมเขาถึงได้รู้สึกหนาวนัก ราวกับไอเย็นมันไหลซึมเข้าสู่เนื้อหัวใจ ไม่มีน้ำตา ไม่มีคำปลอบโยน มีแต่คำสมน้ำหน้าในความโง่เง่าของตัวเองเท่านั้น...


    “เพลง มาทำอะไรตรงนี้ ไม่หนาวหรือไง”

    เสียงร้องทักดังขึ้นเหนือศีรษะ ดวงตากลมหรี่มอง ภาพใบหน้าของคนคุ้นเคยชัดขึ้น ริมฝีปากสีสดยกยิ้มก่อนจะเอ่ยทักทายกลับ

   “พี่ธาม มาเยี่ยมพี่กรณ์หรือครับ”

    “อืม กำลังจะเข้าไป แล้วเราล่ะ มาเยี่ยมมันเหมือนกันเหรอ” ตาคมทอดมอง ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กัน ไออุ่นจากเรือนกายกำยำแผ่ซึมมาถึง ช่วยทำให้ความหนาวเย็นเบาบางลงได้เล็กน้อย

    ศีรษะเล็กสั่นเบาๆ แล้วก็ผงกขึ้นลง จากนั้นก็สั่นเหมือนเดิมอีก เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนโตกว่า มือใหญ่วางบนเส้นผมนุ่ม “ไม่กล้าเข้าไปล่ะสิ ไปพร้อมพี่ก็ได้นะ หรือจะรอให้คนอื่นๆ มาแล้วค่อยเข้าไปพร้อมกัน”

   “พี่เข้าไปเลยครับ ผมจะกลับแล้ว”

    คิ้วหนาเลิกสูง “ทำไมล่ะ เป็นห่วงมันไม่ใช่หรือไง”

    ดนตร์ยิ้ม “เขามีคนดูแลแล้ว ผมกลับก่อนนะครับ”

    ร่างโปร่งกระโดดลงจากที่นั่งเย็นเยียบเหมือนช่องแช่แข็งแต่ยังอุ่นกว่าในหัวใจ มือเล็กกระชับกระเป๋าเป้ แล้วละมันไว้ข้างลำตัว เด็กหนุ่มโค้งกายต่ำเป็นการอำลา ดนตร์หมุนตัวแล้วเดินไปตามทางยาวที่ทอดไปสู่ทางออก โดยที่ยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมคนป่วย ทิ้งไว้แค่กลิ่นหอมเหมือนน้ำนมสดและดอกลิลลี่ที่เผลอปัดทำตกไว้...

********************************

ขออภัยในความลังเลโลเลของพระเอก ก๊ากกกกกกก

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
กรณ์เห็นแก่ตัวยังไงก็ยังเป็นแบบนั้น ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นแบบนี้ต่อไปจะยุ่งยากก็ยังจับปลาสองมือ แล้วยังไงล่ะ โดนสวมเขาไม่รู้ตัว สมน้ำหน้า
ถึงกรณ์จะเจ็บตัวอยู่เราก็ไม่เห็นใจหรอกนะ  :m16:
ทำไมอยู่ๆก็มีความรู้สึกเชียร์รันล่ะ ตอนที่กอดเพลงหน้าห้องฉุกเฉิน รู้สึกอบอุ่นมากๆเลย   :o8: :-[

เพลงสงสารกรณ์ได้นะ แต่ควรรักตัวเองให้มากๆด้วย ตัดใจไปเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด