กริชนั่งอยู่กลางร้านกาแฟในตอนหนึ่งทุ่มตรง มันน่าแปลกไม่น้อยที่เวลาหัวค่ำแบบนี้แต่กลับมานั่งจิบกาแฟ พร้อมกับเค้กหน้าตาน่ารักจนไม่กล้ากิน แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือคนที่ชวนเขามาคือกรณ์ลูกชายผู้ที่ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นพ่อ
หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบต้นๆ นั่งกอดอกมองคู่สนทนา แม้จะเรียกว่าคู่สนทนา แต่ตลอด 20 นาทีที่ผ่านมายังไม่มีบทสนทนาเลยแม้แต่คำเดียว มีแต่เสียงขีดเขียนของดินสอบนหน้ากระดาษ อย่าว่าแต่คำพูดเลย แม้แต่ใบหน้าของบุตรชายเขาก็ยังเห็นไม่ชัด กรณ์เอาแต่ก้มหน้าก้มตาวาดรูป บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมาดูดกาแฟเย็นที่สั่งไป แต่เพิกเฉยกับเค้ก ถึงจะไม่สนิทกันแต่ก็รู้ว่ากรณ์ไม่พิสมัยของหวานเท่าไรนัก แต่ที่ไม่เข้าใจว่าไม่ชอบกินจะสั่งมาวางให้เกะกะทำไม
กริชถอนลมหายใจเบาๆ ยกแก้วชาร้อนกลิ่นหอมอ่อนขึ้นจิบ ถึงเหตุการณ์จะแปลกประหลาดไปเสียหน่อยแต่นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกรณ์อยู่กับสิ่งที่รัก อันที่จริงเขาก็รู้อยู่แล้วว่ากรณ์มีความสามารถด้านศิลปะ และช่วยขับกล่อมให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนกลายเป็นหนุ่มรักอิสระ รางวัลที่มาจากการรังสรรค์ผลงานบางส่วนอยู่ในตู้โชว์ที่บ้าน สำหรับคนเป็นพ่อแล้วมันน่าภูมิใจไม่น้อย แต่เขากลับไม่เคยกล่าวชื่นชมให้กรณ์ดีใจ นี่เป็นหนึ่งในข้อเสียของเขา
...ปากหนัก...
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมาเป็นลูกค้าในร้านกาแฟคือพนักงานที่ชื่อดนตร์ เด็กหนุ่มใส่แว่น ผิวขาว และเป็นคนที่กรณ์ประกาศชัดเจนว่าเป็นคนรักทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นี่ ดนตร์ขยันขันแข็งใช้ได้เลยทีเดียว รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากใบหน้า ดวงตากลมจะหยีลงยามที่ต้อนรับลูกค้า แถมยังแคล่วคล่องว่องไว ด้วยวัยที่เกินห้าสิบปีแล้ว เขาพอจะมองออกว่าดนตร์มีเสน่ห์ไม่น้อย เพราะลูกค้าสาวๆ มักจะส่งสายตาอ้อยอิ่งไปให้ บางส่วนก็ส่งเผื่อมาถึงลูกชายของเขาด้วย นั่นไม่นับรวมลูกค้าผู้ชายบางคน
กริชยกมือบีบขมับเบาๆ โลกมันเปลี่ยนไปจนเขาตามไม่ทัน หนุ่มใหญ่ลองตักเค้กหน้าตาน่ารักขึ้นมากิน พอใจกับรสหวานน้อยๆ แต่หอมนุ่มละมุนลิ้น ยิ่งกินคู่กับกาแฟความอร่อยยิ่งทบทวี เขาปลดปล่อยความคิดหนักหัวออกไป แล้วตั้งใจละเมียดชิมรสอร่อยๆ ของขนมแทน นานเหลือเกินที่ไม่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้ คงตั้งแต่เข้าเรียนมัธยมปลายกระมัง
กรณ์เงยหน้าขึ้นหลังจากผ่านไปอีกสิบนาที งานที่ก้มหน้าก้มตาทำมาพักใหญ่คืบหน้าไปมากทีเดียว มองเห็นเป็นเค้าโครงของสถาปัตยกรรมบางอย่างที่มีส่วนผสมทั้งของไทยและยุโรป ผู้สูงวัยผ่อนลมหายใจเบาๆ อีกครา เขาจัดการเค้กหมดไปตั้งแต่ห้านาทีก่อนแล้ว กาแฟก็หมดจนไม่เหลือสักหยด ยอมรับว่าขนมและกาแฟร้านนี้รสชาติดีพอๆ กับร้านหรูเลยทีเดียว
“มีเรื่องอะไร” กริชเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
“ก็...ไม่มีอะไร” กรณ์ตอบพลางยกกาแฟเย็นที่มีหยดน้ำเกาะพราวรอบแก้วขึ้นดูด “ขนมอร่อยไหม”
กริชขมวดคิ้วน้อยๆ “ทำไม”
“ก็พ่อกินหมด ปกติพ่อไม่กินของพวกนี้นี่”
คิ้วหนาคลายตัวออกเปลี่ยนเป็นเลิกสูงแทน กรณ์สร้างความแปลกใจให้เขาเป็นครั้งที่สามของวัน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากรณ์จะรู้ว่าเขาชอบกินหรือไม่ชอบกินอะไร ใช่...เขาไม่ค่อยชอบพวกเบเกอรี่เท่าไรนัก แต่ถ้าเป็นพวกขนมโบราณจะโปรดปรานเป็นพิเศษ กริชกระแอมแก้เก้อ เค้กร้านนี้อร่อยจริงๆ นั่นแหละ หลักฐานคือจานที่ว่างเปล่า
“จะเข้าเรื่องได้หรือยัง”
“โอเค” กรณ์ยกมือทำท่ายอมแพ้ แล้วปิดหน้าสมุดที่วาดภาพค้างไว้ “พ่อรู้จักครอบครัวของยาหยีใช่ไหม”
“ใช่...ทำไม”
“ระหว่างเพลงกับยาหยี พ่อชอบใครมากกว่ากัน”
“ยาหยี”
กรณ์ขมวดคิ้วฉับ ใบหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที “ดูให้ดีอีกทีครับ ตัดเรื่องเพศทิ้งไป พ่อคิดว่าระหว่างคนที่มีครอบครัวร่ำรวยไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ไปตลอดชาติ กับคนที่มีฐานะปานกลาง พ่อแม่ทำงานบริษัท ดิ้นรนมาเรียนที่นี่ อยู่ตัวคนเดียว แถมยังต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อช่วยลดภาระครอบครัว พ่อว่าคนประเภทไหนที่น่ายกย่องกว่ากัน”
“สำหรับนักธุรกิจอย่างฉัน ถ้าเพื่อผลประโยชน์ต้องเลือกคนที่มีเงินทองอยู่แล้ว” กริชตอบตามความจริง “แต่ในฐานะของคนทำงาน ฉันชื่นชมคนขยัน”
“แล้วสรุปพ่อชอบแบบไหน” กรณ์ถามต่อ
“ถ้าจะให้เลือกคนที่จะมาเป็นสะใภ้ ฉันก็ยังยืนยันว่าเป็นหนูยาหยี”
กรณ์กระตุกยิ้มเหยียด “พ่อนี่ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ เงินมาก่อนหัวใจเสมอ”
“แกต้องการอะไรกันแน่” กริชผ่อนลมหายใจหนักๆ นึกอยากจะได้กาแฟอีกสักแก้ว หางตาเหลือบเห็นเด็กหนุ่มผิวขาวกำลังสนทนาอยู่กับลูกค้าสาวสวย และไม่ใช่แค่เขาที่เห็น ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอตรงหน้าด้วยเช่นกัน กรณ์มองภาพนั้นตาไม่กะพริบ ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ จนอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะลุกขึ้นไปทำเรื่องบ้าๆ เพราะความหึงหวง
ลูกชายคนเดียวของเขาพรูลมหายใจเบาๆ และไม่ได้ลุกขึ้นไปแสดงความหึงหวงอย่างที่คิดไว้ กรณ์แค่ทำหน้าเหมือนจะฆ่าใครเท่านั้นเอง
“ผมเลิกกับยาหยีแล้ว ส่วนสาเหตุก็เพราะเพลง” ตาคมที่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมไปจากเขาปรายไปยังร่างโปร่งที่สาละวนอยู่กับการเสิร์ฟกาแฟ “เด็กนั่นไม่ได้มายั่วผม แต่ผมขืนใจเขา”
ทันทีที่ได้ฟังคำสารภาพหัวของเขาก็ชาวาบ ถึงจะรู้ประวัติของดนตร์มาแบบละเอียดถี่ถ้วนแต่เรื่องที่กรณ์ขืนใจดนตร์เขาไม่เคยรู้มาก่อน กริชนิ่งงันไปร่วมนาทีก่อนจะปรับตั้งสติใหม่ รอฟังคำจากบุตรชายต่อ
“ตอนแรกผมทำไปเพราะผมเมา แต่หลังจากนั้นมันไม่ใช่ ผมยอมรับว่าผมติดใจในร่างกายของเพลงแต่ผมไม่ได้เป็นเกย์ เพราะผมไม่เคยพิศวาสผู้ชายคนไหนอีก แต่หลังจากนั้นผมก็ชอบเพลง มันมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีผมก็เลิกมองเพลงไม่ได้แล้ว”
“ทั้งที่ตอนนั้นแกยังคบกับยาหยีอยู่?”
“ใช่ครับ” กรณ์ยอมรับ ใบหน้าขึงขังจริงจัง “ส่วนยาหยี ผมก็รู้สึกดีกับเธอนะครับ แต่ไม่รู้เรียกว่ารักได้เต็มปากหรือเปล่า เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความรักหน้าตาเป็นยังไง ตั้งแต่เกิดมาผมแทบจะสัมผัสกับมันไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“แกต้องการอะไรกันแน่”
“ผมจะยอมทำงานให้พ่อ ผมขออย่างเดียว...” กรณ์หนาวเว้นวรรค “...ขอให้พ่อยอมรับเพลง”
กริชนิ่งเงียบไป เขาไม่เคยได้ยินคำขอร้องของกรณ์มาก่อน ตั้งแต่ยังเยาว์วัยกรณ์ไม่เคยร้องขอหรืออ้อนเอาอะไรจากเขาเลยแม้แต่ความรัก
“แล้วฉันจะเชื่อใจแกได้ยังไง”
“เทอมหน้าผมต้องฝึกงานแล้ว ผมจะไปฝึกงานที่บริษัทพ่อ”
ผู้สูงวัยไม่ได้กล่าวอะไร หากแต่ไตร่ตรองนึกย้อนถึงคำพูดที่สร้างความแปลกใจให้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พบว่าสิ่งที่ทำให้กรณ์เปลี่ยนไป จากคนก้าวร้าว ต่อต้าน เฉยเมินกับทุกสิ่งแม้แต่คนเป็นพ่ออย่างเขาคือดนตร์ ด้วยประสบการณ์ชีวิต เขาเชื่อเหลือเกินกว่าอีกไม่นานบุตรชายคงจะได้รู้จักกับว่า ‘รัก’ กริชลอบผ่อนลมหายใจ ก่อนจะปรายตามองไปยังร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดของกรณ์ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กคนนั้นจะมีอิทธิพลกับกรณ์ได้มากถึงเพียงนี้ แม้แต่เขาเองที่เป็นพ่อแท้ๆ ยังทำไม่ได้...แต่ก็ไม่อาจโทษใครได้ในเมื่อทุกอย่างมันเริ่มที่ตัวเขาเองทั้งสิ้น
ดนตร์ยังง่วนอยู่กับการทำหน้าที่ของตัวเอง ใบหน้าขาวมีรอยยิ้มประดับตลอดเวลา ดนตร์ทำให้เขาหวนคิดไปเมื่อตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นเขาช่วยบิดาทำงานทุกอย่างเพื่อประคับประคองกิจการที่บรรพบุรุษสร้างเอาไว้ เขาเลยกลายเป็นคนเย็นชา เพิกเฉยกับสิ่งรอบข้าง แม้แต่สตรีที่มาเป็นคู่ชีวิต เขาก็ไม่ได้เป็นคนเลือก พวกผู้ใหญ่เลือกให้และคิดว่าแม่ของกรณ์คือคนที่เหมาะสมที่สุด เขาเองก็เห็นด้วย เธอสวย เพียบพร้อม ขาดแต่อย่างเดียวคือเขายังไม่ได้รักเธอ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปความใกล้ชิดก็ผลักดันให้คนแปลกหน้ายอมหันหน้าเข้าหากัน จนในที่สุดเขาก็มีกรณ์เป็นทายาทและตอนนั้นเองที่เขารู้จักคำว่าความรัก แต่เพราะเพิ่งรู้จักเลยไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร อีกทั้งยังแสดงออกไม่เป็น ภาวินีเลยไม่รู้ว่าเขารักเธอ ตอนที่เธอทำเรื่องขอหย่าและย้ายไปอยู่ที่อเมริกา การจากลาทั้งที่ยังรักมันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่ด้วยทิฐิและศักดิ์ศรีทำให้เขาต้องสูญเสียคนที่รักไปหนึ่งคน โชคยังดีที่เขายังเหลือกรณ์อยู่
...มันคงถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่พ่อจริงๆ เสียที...
“ถ้าแกต้องการอย่างนั้นฉันก็ยินดี แต่ฉันจะไม่ให้แกไปฝึกงานในบริษัทของฉันหรอกนะ แกต้องไปฝึกงานที่บริษัทอื่นในตำแหน่งของพนักงาน ไม่อย่างนั้นเรื่องที่คุยกันวันนี้ถือว่าเป็นโมฆะ”
กรณ์ยักไหล่ “ก็แล้วแต่พ่อ”
ป้าย open เปลี่ยนเป็น closed หลังจากสี่ทุ่ม พนักงานทุกคนในร้านต่างถอนหายใจเสียงดังเมื่อหน้าที่อันหนักหน่วงหมดไปอีกวัน ช่วงนี้ลูกค้าเยอะเป็นพิเศษเพราะหลายคนหลบอากาศเย็นด้วยการมานั่งจิบชา กาแฟ อุ่นๆ ในร้าน ดนตร์นั่งเหยียดขาตามความยาวเพื่อคลายความเหนื่อยล้า วันนี้เขาเดินรับออร์เดอร์ไม่หยุด ไหนจะเมื่อยแก้มเพราะลูกค้าชอบให้เขายิ้ม สามวันมานี่พี่พายใช้งานเขาคุ้มกับที่ลางานไปหลายวัน
แล้วจู่ๆ แผ่นหลังก็เกิดร้อนผ่าวขึ้นมา เขารู้สาเหตุดีว่าเป็นเพราะอะไร เพราะตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้วที่มีอาการร้อนวูบวาบแถวแผ่นหลัง คงเพราะสายตาของใครบางคนที่มักจะมองมาอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง
การที่ได้เห็นกรณ์กับบิดามันเป็นเรื่อมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเห็นหมีแพนด้าบินได้เสียอีก นี่เป็นคำกล่าวของชนวีร์หลังจากที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทางโทรศัพท์ทันทีที่เห็นสองพ่อลูกเข้ามาในร้าน
‘เป็นบุญของแกแล้ว รู้ไหมสองพ่อลูกคู่นี้ไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันเลย เห็นหมีแพนด้าบินได้ยังไม่น่าตื่นเต้นเท่านี้’
ดนตร์ค่อยๆ เบือนหน้าหันมองเจ้าของสายตาที่แผดเผาแผ่นหลัง พอเห็นแก้วตาสีนิลก็รีบหันหน้ากลับ กรณ์ยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น ถ้าจำไม่ผิดก็ร่วมยี่สิบนาทีแล้ว
...จะจ้องให้ท้องเลยหรือไง!...
“พวกเราจะไปกินเหล้ากันต่อ นายสนใจไหม”
พี่กายถาม ทางนั้นเปลี่ยนชุดแล้วเรียบร้อยขณะที่เขายังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่เลย ดนตร์อยากจะพยักหน้าตอบรับเพราะห่างหายไปจากวงเหล้าเสียนานชักจะเปรี้ยวปากขึ้นมาเหมือนกัน ทว่าเจ้าของดวงตาสีดำคู่นั้นคงฆ่าเขาตายแน่ถ้าหากทำตามใจตัวเอง
“พวกพี่ไปกันเถอะครับ ผมกลับไปนอนดีกว่า”
พี่กายยิ้มเผล่อย่างรู้ทัน “ไอ้หนุ่มรูปหล่อนั่นมาเฝ้าน่ะสิถึงไม่กล้าไป เอาเถอะๆ ไว้วันไหนผัวเผลอแล้วค่อยเจอกันก็ได้”
แก้มเขาร้อนวูบกับคำแซวของรุ่นพี่ตัวสูง ให้ตายเถอะ! เขาไม่ได้มีทีท่าเหมือนพวกมี ‘สามี’ เสียหน่อย ทำไมคนพวกนี้ถึงคิดว่าเขาเป็น ‘เมีย’ กันหมด!
“จะไปไหนก็ไปเลย ผมไม่อยากคุยกับพี่แล้ว” ดนตร์ย่นจมูกใส่ ก่อนจะลุกหนีหายเข้าไปด้านหลังร้าน
พนักงานคนอื่นๆ ทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว เหลือแค่เขากับพี่พาย ที่ยังเคลียร์บัญชีอยู่หน้าร้าน ดนตร์เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพักพนักงาน ภายในมีตู้ล็อคเกอร์เล็กๆ ตั้งเรียงติดกันเกือบสิบตู้ อีกฟากของห้องมีกระจกบานยาวขนาด 1 x 1.20 เมตรไว้ให้เสริมหล่อเสริมสวย ดนตร์ดึงสายคาดเอวออก แล้วยกผ้ากันเปื้อนแบบเต็มตัวออกทางศีรษะ สะบัด สองสามทีแล้วพับเก็บเข้าตู้ มือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตนักศึกษาด้วยความเหนื่อยล้า พอหลุดครบทุกเม็ดก็จับมันใส่กระเป๋าเป้ เพราะต้องเอาไปซัก ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ไอเย็นเล่นเอาขนลุกชัน เขารีบคว้าเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลขึ้นมาสวมแทน เสื้อตัวนี้เป็นของกรณ์ที่เขาแอบขโมยมา แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้คืนสักที เขาค่อนข้างชอบเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่มของมัน รวมถึงขนาดที่ใหญ่เกินตัวเพราะมันทำให้สบายไม่อึดอัด แต่แค่ศีรษะผ่านลอดเข้าไปในตัวเสื้อ อะไรบางอย่างก็รวบเข้าที่เอว
“เฮ้ย! อะไรวะ!”
ดนตร์ร้องโวยวาย เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ยังไม่กลับแล้วเล่นพิเรนทร์หากแต่เมื่อดึงเสื้อลงจากศีรษะได้สำเร็จเขาถึงได้รู้ว่าคนนั้นๆ ไม่ใช่เพื่อน
“พี่กรณ์!”
เจ้าของชื่อเลิกคิ้วสูง ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างไปแค่คืบเดียวเท่านั้น ท่อนแขนแข็งแรงรวบรัดอยู่ที่รอบเอวเปลือยเปล่า ดวงตาสีนิลมีแววไม่พอใจเล็กๆ เจืออยู่ด้วย
“ทำไมต้องตกใจ” น้ำเสียงเกือบห้วนถามขึ้น
“ก็นี่มันห้องพักพนักงานจะไม่ให้ผมตกใจได้ยังไง” ดนตร์บอก “แล้วนี่พี่เข้ามาได้ยังไง”
“ก็เดินเข้ามา” กรณ์ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ดวงตาดุดันคู่นั้นอ่อนแสงลงเล็กน้อย แต่ใบหน้าได้รูปกลับยื่นเข้ามาใกล้กว่าเดิม ดนตร์หันหน้าหนีโดยอัตโนมัติ ปลายจมูกโด่งเฉียดผิวแก้มไปแค่นิดเดียวเท่านั้น เขาขืนตัวไว้เต็มกำลัง ถึงจะเคยเห็นอะไรต่อมิอะไรมาหมดแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ชินกับความสนิทสนมแบบนี้สักที ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดลำคอจนขนอ่อนลุกฮือ ดนตร์เกือบจะเผลอครางสะท้านกับปฏิกิริยาตอบกลับของตัวเอง แล้วเสียงทุ้มๆ ต่ำๆ นั่นก็ดังขึ้นใกล้ใบหู
“คิดถึง”
คำพูดเดียวที่ทำให้เขาละลายกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ดนตร์ผินหน้ากลับมาหาคนตัวสูง ทำใจกล้ามองตาสีดำ มันอยู่ใกล้เสียจนมองเห็นภาพสะท้อนในเงาตาของอีกฝ่าย สามวันแล้วที่เขาไม่ได้เจอกับกรณ์ ลึกๆ แล้วเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่เขาไม่อาจแสดงออกหรือบอกได้ สถานะของพวกเขาไม่ชัดเจน ไม่ใช่คู่รักแต่ก็เกินพี่น้อง
เขากลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เรียน ทำกิจกรรมและทำงานพิเศษ คุยกับพี่สาว พ่อแม่และหลานชายตัวอ้วน โดยซ่อนอีกความรู้สึกเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด แต่วันนี้กำแพงที่เคยตั้งไว้มันทลายลงเพราะเขาเองก็ ‘คิดถึง’ กรณ์เหมือนกัน
อุ้งมือร้อนประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยรอบขอบริมฝีปาก กดคลึงเบาๆ ราวกับจะทดสอบความนุ่ม ดวงตาดุบัดนี้อ่อนเชื่อมจนคนมองใจหวามหวิว ดนตร์มองส่วนประกอบบนใบหน้า ทั้งคิ้วหนาดำที่เข้ากับดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหนา เส้นผมสีดำถูกหวีเสยไปด้านหลัง ด้านข้างไถเรียบ จอนไล่ยาวเป็นระเบียบจนเกือบถึงแนวขากรรไกรแข็งแรง กลิ่นกายหอมเย็นคล้ายมินต์ ไม่แปลกใจเลยที่กรณ์จะเป็นหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัย มิหนำซ้ำยังทำท่าจะได้เข้าไปในวงการบันเทิงอีกด้วย พี่วินบอกว่ามีโมเดลลิ่งติดต่อให้กรณ์ไปร่วมงานหลายแห่ง หลังจากที่หนังสั้นถูกปล่อยทางออนไลน์เพียงไม่กี่วัน เช่นเดียวกับลลิตา รายนั้นก็มีคนติดต่อให้ไปถ่ายแบบลงนิตยสารแล้วด้วย
กรณ์กดประทับริมฝีปากลงมา กลีบปากถูกบดคลึงอย่างเอาใจ ไม่ได้จาบจ้วงหรือรุนแรง ดนตร์เผยอปากขึ้นเล็กน้อยต้อนรับลิ้นอุ่นที่สอดเข้ามาคลอเคลีย แบ่งปันจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึง เรียวลิ้นเกี่ยวพัน บางจังหวะถอยหนีให้เขารุกไล่ แต่พอได้จังหวะก็ดูดกลืนจนเสียการทรงตัว หน้าท้องของเขาเสียววูบความคิดถึงผสมตีเคล้ากับความต้องการที่ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว จากจูบที่หวานล้ำเปลี่ยนเป็นกำซ่านร้อนแรง
คนตัวสูงก้าวตามประกบติด ทุกส่วนของอวัยวะด้านหน้าแนบชิดแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศได้ลอดผ่านไปได้ มือใหญ่เลื่อนจากเอวเล็กลงไปที่เนินสะโพกกลม กดมือพลางดันหน้าขาของตัวเองให้เสียดสี สัดส่วนกลางลำตัวร้อนผ่าว แม้จะมีผ้ากางกั้นอยู่หลายชั้นก็ยังรู้สึกได้ แข้งขาพาลอ่อนแรง ขาเริ่มสั่นจนต้องยกมือโอบรอบลำคอหนาเพื่อพยุงกายเอาไว้
พวกเขาจูบกันอยู่นาน กรณ์กอดกระชับร่างเล็กกว่าแน่นพลางก้าวขาพาให้อีกคนต้องก้าวตามไปด้วย ก่อนจะมาหยุดที่หน้ากระจกบานยาว เขาเหลือบตามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก หน้าแดงขึ้นจากเลือดที่สูบฉีด ชายหนุ่มหลุบตามองอีกคน แก้มใสระเรื่อเหมือนลูกมะเขือเทศ ตากลมหรี่ปรืออยู่หลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยม กรณ์ดึงแว่นน่าเกะกะนั่นอก แล้ววกสายตากลับมาที่กลีบปากอิ่มแดงจัดอีกครั้ง ตอนนี้มันบวมเห่อน้อยๆ จากการถูกจูบซ้ำๆ ดนตร์หายใจไม่เป็นจังหวะ มือเกาะเกี่ยวเขาเอาไว้ ผิวกายใต้เนื้อผ้าร้อนผ่าวไม่ต่างกับเขา ราวกับรู้ว่ากำลังถูกจับจ้อง เปลือกตาบางเปิดขึ้น ตาใสมองเขาทั้งสงสัยและเว้าวอน ใบหน้าที่กึ่งไร้เดียงกึ่งเรียกร้องมันกระตุ้นเขายิ่งกว่ายาปลุกเซ็กซ์เสียอีก
ความคิดดีๆ ผุดขึ้น เขาอยากให้ดนตร์เห็นหน้าตัวเองชัดๆ เหลือเกิน จะได้รู้ว่าทำไมเขาถึงได้หลงใหลนัก กรณ์จับร่างโปร่งพลิกกลับ แผ่นหลังชิดกับอกของเขา โดยที่ส่วนหน้าปรากฏอยู่ในกระจกทรงยาว ดนตร์หน้าแดงกว่าเดิม พยายามจะหันตัวหนีแต่เขาไม่ยอม เขายึดคางมนเอาไว้ ยื่นใบหน้าเข้าไปแนบชิด กดจมูกลงที่ข้างแก้มเนียนสูดเอากลิ่นน้ำนมไว้ในปอด ขณะที่มืออีกข้างสอดเข้าไปในชายเสื้อแขนยาวที่จำได้ว่าเป็นของตัวเองลูบไล้สีข้างแล้วลากเลยขึ้นมาแถวหน้าอก จงใจใช้ปลายนิ้วปัดผ่านปลายถันจนมันแข็งชัน
ดนตร์ครางเบาๆ ผินหน้าหนีจากภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ปากพึมพำปรามคนตัวสูง “เดี๋ยวพี่พายเข้ามา”
“แค่ห้านาที”
กรณ์บอก ตอนนี้เขาทั้งคิดถึงทั้งต้องการ ถ้าหากไม่ทำอะไรคงต้องตายแน่ ส่วนหน้าร้อนและแข็งกร้าวจนปวดหนึบไปหมด มันดันตัวเสียดสีกับก้นกลม แม้จะรู้ว่าสถานที่ไม่อำนวยนักและเสี่ยงต่อการถูกเห็น แต่ความอดทนมันมีขีดจำกัด! เขาไม่รอให้ดนตร์ทักท้วงอีก มือทั้งสองเลื่อนลงสู่ขอบกางเกง จัดการรูดเข็มขัดปลดตะขออย่างรีบร้อน ใช้เวลาแค่อึดใจเดียวท่อนล่างก็เปล่าเปลือย ฝ่ามือกร้านขยำก้อนเนื้อกลม ใช้เข่าแทรกลงไปตรงกลางระหว่างเรียวขาขาว ดนตร์ย่อตัวลงอย่างรู้หน้าที่ เขามองก้นกลมขาวโพลน พลางกรีดนิ้วลากผ่านรอยแยก ก่อนจะกดนิ้วลงไปในช่องทางคับแคบ ผนังร้อนดูดรัดสิ่งแปลกปลอมทันที กรณ์กัดฟันกรอดเขาต้องคอยห้ามไม่ให้พาตัวเองแทรกเข้าไปแทนนิ้ว
ดนตร์สูดปากคราง แต่พอนึกได้ว่าที่นี่คือห้องพักของพนักงานก็รีบยกมือขึ้นปิดปาก พอเหลือบไปเห็นหน้าของตัวเองในกระจก ก็ต้องหันหนี เพราะไม่อาจทนมองสีหน้าและอารมณ์ของตัวเองได้ กรณ์กดแผ่นหลังบางให้ต่ำลงอีกนิด จนระดับสะโพกพอดีกับตำแหน่ง ชายหนุ่มรีบร้อนรูดซิปลง ดึงเอาท่อนเนื้อร้อนออกมาแล้วประคองมันจดจ่อกับทางรักสีสด เขาค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะไม่มีทั้งเจลหล่อลื่นทั้งถุงยาง หากบุ่มบ่ามเอาแต่ใจดนตร์จะเจ็บหนัก ดนตร์คับแน่นเหลือเกินแค่ส่วนปลายยังผ่านเข้าไม่ได้ เขาต้องดึงตัวเองออกมาแล้วใช้นิ้วช่วยขยายทางอีกครั้ง
“อื้อ พี่ครับ เร็วหน่อยเดี๋ยวมีคนเห็น”
ดนตร์เร่งเร้า เขาจับกายร้อนผ่านทางรักสีสดอีกรอบ คราวนี้มันสามารถผ่านเข้าไปได้ กรณ์กลั้นใจตลอดเวลาที่ผ่านผนังร้อน จนมิดเม้น เขาแช่กายอยู่อย่างนั้น ผ่อนลมหายใจให้ช้าลง รอจนกระทั่งสามารถควบคุมตัวเองได้แล้วจึงค่อยๆ ถอยกายออกมาเกือบหมดและกลับเข้าไป จังหวะช้าเนิบนาบแต่หนักแน่น ระหว่างนั้นก็มองใบหน้าของอีกฝ่ายผ่านบานกระจกไปด้วย
คนตัวเล็กกว่ายังยกมือปิดปากระงับเสียงคราง ซึ่งมันขัดใจเขาไม่น้อย เขาชอบฟังเสียงร้องครวญครางที่ทั้งสุขสมและทรมานของดนตร์มากที่สุด ใบหน้าขาวแดงระเรื่อมาจนถึงลำคอ ร่างกายท่อนบนยังมีเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำตาลปกปิดอยู่ เขาเลยเลิกเสื้อขึ้นจากด้านหลังเปิดเผยผิวผ่อง แล้วก้มลงพรมจูบลงไป ดนตร์ตัวสั่น ทำท่าจะทรุดลงไปกองหลายรอบ กรณ์เร่งสะโพกเร็วขึ้นเมื่อการเข้าออกคลายความคับแน่น เขามองท่อนเนื้อตัวเองผลุบหายเข้าไปในก้อนขาวด้วยหัวใจที่เต้นระทึก มือเลื่อนจากเอวเล็กเลยไปที่แผ่นอกบาง เคล้าคลึงยอดอกจนมันแข็งเป็นไต ที่สุดเมื่อไม่อาจทนต่อความกระสันซ่านที่เล่นงานอย่างหนัก ดนตร์ก็ต้องยอมละมือจากปากแล้วยันกำแพงเอาไว้ ใบหน้าน่ารักแหงนเงย ดวงตาหรี่ปรือและมองไปเบื้องหน้า
ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาส แสดงความเย้ายวนออกมาเต็มที่ ริมฝีปากอิ่มเห่อบวมน้อยๆ เผยอเพื่อช่วยหายใจ บางครั้งก็แตะลิ้นที่กลีบปากราวกับจะยั่วกันให้ตบะแตก เส้นผมสีดำไหวน้อยๆ ตามแรงกระแทกจากด้านหลัง ดนตร์เอี้ยวตัวกลับมามอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจะแตะที่หน้าท้อง คล้ายกับจะปรามให้ช้าลง กรณ์คว้าข้อมือเล็กเอาไว้ใช้มันเป็นที่เหนี่ยวแล้วโหมสะโพกเต็มแรง
ร่างเล็กกว่าสั่นคลอน เสียงร้องลมหายใจหนักๆ ปนกับเสียงเนื้อกระทบกัน ดังก้องทั่วห้อง อย่างไม่มีใครสนใจว่าจะมีใครเข้ามาเห็นฉากสำคัญหรือเปล่า กรณ์กระแทกกายหนักๆ ยกสะโพกเสยขึ้นหรือหมุนควานเป็นวงกลม จนส่วนปลายเสียดสีกับจุดด้านใน ดนตร์หลุดครางเสียงสูงเลยยิ่งแกล้ง เน้นย้ำในจุดนั้นอยู่ไม่นาน ด้านในก็ตอดรัดเขาถี่ยิบ ซ้ำยังดูดแน่น ดนตร์หวีดร้อง ก่อนจะปล่อยหยาดน้ำสีขาวออกมา มันพุ่งเปื้อนไปติดหน้ากระจก กรณ์เร่งสะโพกให้เร็วกว่าเดิมทั้งที่เนื้ออ่อนยังตอดรัดไม่หยุด ไม่นานทุกอย่างก็แตกพร่า หัวเขาขาวไปหมด ร่างกายเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการที่มองไม่เห็น สายธารร้อนขาวขุ่นหลั่งรินภายใน เขาเอนกายกอดดนตร์แน่น จูบไปบนท้ายทอยหอมหนักๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญและขอบคุณไปพร้อมกัน
ถึงจะแค่ห้านาที แต่ก็ช่วยทำให้คลายความคิดถึงลงไปบ้าง...
กรณ์มาส่งดนตร์ที่หน้าหอพักตอนเกือบตีหนึ่ง เพราะต้องไปส่งบิดาขึ้นเครื่องบินกลับภูเก็ตก่อน แล้วบิดาที่เคารพจองเที่ยวบินไว้ตอนเที่ยงคืน เขาหิ้วปีกดนตร์ติดมาด้วยเพราะอีกฝ่ายทำท่าจะล้มพับไปหลังจากที่ระบายความคิดถึงไปห้านาที
ก่อนหน้าที่เขาจะตามดนตร์เข้าไปถึงห้องพักพนักงาน เขาขอให้บิดารอก่อนซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่หลังจากที่พากันออกมาท่านก็ใช้สายตาตำหนิคงจะรู้ว่าที่หายไปมากกว่าห้านาที บวกกับหน้าซีดๆ ของดนตร์ พวกเขาไปทำอะไรกันมา ดีตรงที่ท่านไม่กล่าวว่าให้ดนตร์ต้องอับอายกว่าเดิม ได้แต่บอกให้เขารีบหน่อยเดี๋ยวจะขึ้นเครื่องไม่ทัน
ตลอดทางไม่มีการสนทนาใดๆ ดนตร์เองก็ฟุบหลับอยู่ที่เบาะหลัง จนถึงสนามบินเขาถึงได้ปลุกขึ้นมา เจ้าตัวตื่นมาหัวยุ่ง งัวเงียเล็กน้อยแต่พอรู้ว่าถึงแล้วก็กระวีกระวาดช่วยยกกระเป๋าให้ แต่คงจะลืมไปว่าก่อนหน้านี้เพิ่งรับศึกใหญ่มาเลยสูดปากร้องซี๊ด คุณท่านกริชหันมาทำตาขวางใส่เขา แต่ก็นั่นแหล่ะแค่มองมันทำอะไรเขาไม่ได้หรอก
ก่อนขึ้นเครื่องบิดาเรียกดนตร์ไปคุยส่วนตัว นานเกือบสิบนาที เขาไม่รู้หรอกว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่สีหน้าของดนตร์ไม่ผิดปกติอะไร นอกจากความอ่อนเพลียเขาก็เลยเลิกสงสัย ถึงตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าบิดายอมรับดนตร์ได้แล้ว ถึงจะไม่มีหลักฐานอะไรก็ตาม คงด้วยสัญชาตญาณกระมังที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น
ดนตร์ขอบคุณเขาเบาๆ เมื่อรถจอดนิ่ง เขาคว้าคออีกฝ่ายเอาไว้แล้วกดจูบหนักๆ ไปที่หน้าผากนูน ดนตร์ทำหน้าเหวอจนน่าขำ พอตั้งหลักได้ก็รีบเปิดประตูแล้ววิ่งหนีหายเข้าไปในตัวตึก กรณ์อมยิ้มกับตัวเองรอจนเห็นไฟที่ห้อง 502 สว่างขึ้นแล้วค่อยเคลื่อนรถออกไป...
**********************************
อัพไวกว่าเดิมนิดส์นึงงงงงง