Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6  (อ่าน 78105 ครั้ง)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 13 Lucky man

                  ดนตร์ตื่นเช้าตามปกติแม้จะอยู่ผิดที่ผิดทางก็ตาม เมื่อคืนนี้เขานอนอยู่ในบ้านประหลาดของกรณ์ บ้านประหลาดที่มีเฟอร์นิเจอร์นับชิ้นได้กับภาพวาดของเจ้าตัว แต่เขากลับชอบในความโล่งของมัน คงเพราะหอพักนักศึกษามันแคบและเต็มไปด้วยข้าวของ เขาเลยชอบบ้านโล่งๆ ที่แทบไม่มีอะไรแบบนี้มากกว่า

                 เมื่อคืนเขาหลับเป็นตาย หลับจนไม่ฝันถึงอะไรเลย แถมหลับไปตอนไหนก็จำไม่ได้ด้วย แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่บนเตียงแล้ว กลิ่นสียังคลุ้งในอากาศแต่ก็เจือด้วยกลิ่นเย็นของเมนทอลที่คุ้นเคย พอหันมองข้างๆ ก็เห็นอีกคนนอนอยู่ จะมีสักกี่คนกันที่ได้เห็นกรณ์ตอนหลับ

                 ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ผิวขาว ที่สันกรามและเหนือริมฝีปากมีรอยเขียวครึ้มของหนวดเครา เส้นผมสีดำปรกหน้าผากยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ความอ่อนเพลียมีให้เห็น แม้แต่ในยามหลับใหล มีเสียงกรนเบาๆ คงเพราะเจ้าตัวเหนื่อยมากเกินไป ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า กรณ์ไม่สวมเสื้อนอน แม้อุณหภูมิจะลดลงมาจนเหลือแค่หลักสิบปลายๆ ผ้าห่มสีขาวคลุมอยู่แถวหน้าอกกว้าง แต่ถึงอย่างนั้นไออุ่นก็ยังแผ่มาถึงตัวเขา

                 ถึงจะหลับลึกแค่ไหนแต่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เพราะตลอดทั้งคืนกรณ์นอนกอดเขาไว้ มือใหญ่โอบรอบเอวจากด้านหลัง ใช้แขนแทนหมอนให้เขาหนุนนอน โชคดีที่เขาตื่นก่อน ไม่อย่างนั้นคงอายจนทำอะไรไม่ถูกแน่

                 เขาอาศัยช่วงที่กรณ์ยังไม่ตื่นหนีออกมาก่อน โดยที่ไม่ได้กล่าวลาเจ้าของบ้าน ไม่มีข้อความ ไม่มีคำพูด แต่กรณ์ก็รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน
 
                อากาศตอนเช้าค่อนข้างเย็น เสื้อยืดแขนยาวสีน้ำตาลที่จิ๊กมาจากตู้ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไรนัก แต่ก็ดีกว่าชุดยูนิฟอร์มร้านกาแฟที่ทั้งบางและไม่มีกระดุม ทว่ามันขาดเพราะถูกคนบ้ากระชากขาดไปแล้ว เขามาถึงหอพักตอนเกือบเจ็ดโมงเช้า มิ่งขวัญยังนอนคลุมโปงอยู่ พอเห็นว่าเขามาก็ลุกขึ้นมาทำหน้าง่วงใส่ แล้วล้มตัวนอนต่อ ดนตร์ส่ายหัวเบาๆ ให้กับความขี้เซาของรูมเมท เขาถอดเสื้อของกรณ์ออก ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง แล้วก็ได้กลิ่นคล้ายนมบูดมาจากที่ไหนสักแห่ง

                 “ขนมของแกมันน่าจะเสียแล้วนะ เอาไปทิ้งสักทีสิ!” มิ่งขวัญบอกเสียงอู้อี้ใต้ผ้าห่มผืนหนา

                 ‘ขนม’ จริงสิ เมื่อหลายวันก่อนมีคนซื้อเค้กให้เขา อคิราห์...ผู้ชายคนใหม่ของโยษิตา เขาลืมมันเสียสนิท

                 ดนตร์ก้มหน้าชิดกับกล่องสวยที่มีเจ้า Banana Chocolate Cake บรรจุอยู่ มันส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์เพราะหมดอายุแล้ว และยังคงอยู่ที่เดิมโดยที่เขายังไม่ได้กินมันสักคำ ตากลมมองเค้กสีเข้ม อดนึกเสียดายไม่ได้

                 เขา ถือติดมือมาตอนที่จะเข้าเรียนเพราะอยากจะทิ้งให้ไกลจากห้องพักสักหน่อย เดิมทีตั้งใจจะทิ้งที่ถังขยะหน้าหอพัก แต่ดันลืมเลยถือมาถึงคณะ

                 “เพลง!”

                 เสียงร้องทักดังลั่นเรียกความสนใจของคนที่อยู่แถวนั้น ทุกคนมองมาที่เขาเป็นตาเดียวก่อนจะหันไปมองคนเรียก

                 ร่างสูงในชุดหล่อล้ำนำแฟชั่นอย่างไม่แค่กฎระเบียบของมหาวิทยาลัยเดินยิ้มแฉ่งเข้ามาหา ดวงตากลมคมหรี่ลงด้วยรอยยิ้มที่กว้างจนเห็นฟันแทบจะครบสามสิบสองซี่ ใช้เวลาไม่ถึงนาที ขายาวๆ ก็ก้าวเข้ามาถึงตัวเสียแล้ว วงแขนยาววาดออกแล้วโอบรอบหัวไหล่เขาไว้อย่างสนิทสนม แถมยังเขย่าเบาๆ อีกด้วย

                 “ไง ไม่เจอกันหลายวัน น้องเพลงของพี่ สวยขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”

                 ดนตร์เลิกลั่ก หน้าเห่อร้อนเพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำชมแบบนี้ เขาเป็นผู้ชายย่อมชอบคำชมว่าหล่อว่าเท่ห์มากกว่าสวยหรืออะไรเทือกๆ นั้น

                 “บ้าหรือพี่ อย่างผมต้องหล่อต้องเท่ห์สิ สวยมันใช้กับผู้หญิง”

                 “แต่พี่ไม่เคยเห็นเราหล่อเลยนะ มีแต่น่ารักกับสวย” คนโตกว่ายังไม่เลิกเย้า

                 “ถ้าพี่ยังล้อผมอีก ผมจะไม่คุยกับพี่แล้วนะ”

                 “โอเคๆ ไม่ล้อแล้วก็ได้” อีกฝ่ายยอมแพ้ แต่ยังไม่คลายมือที่โอบรอบหัวไหล่ ธาวินก็แบบนี้ชอบเอ็นดูเขาแรงๆ “คืนนี้ไปงานไอ้อ้วนปะ”

                 “ไปครับ”

                 “ดีเลยงั้นไปกับพี่” ธาวินตอบรับเองเสร็จสรรพ “วันนี้ไม่มีซ้อมเชียร์กีฬาใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหกโมงเย็นพี่มารับ จะให้มารับที่คณะหรือว่าหอพัก”

                 “เอ่อ...พี่ครับ ผม”

                 ดนตร์อึกอัก เขารู้ว่าธาวินมีน้ำใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รุ่นพี่ต่างคณะคนนี้หยิบยื่นน้ำใจให้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันด้วยซ้ำ เขาได้แผล ก็พาเขามาหาพี่ทิว เขาป่วยก็ขึ้นไปดูแล โดยที่เขาก็รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ทำดีกับเขา ไม่ใช่แค่ธาวินแต่อริญชย์ด้วย รุ่นพี่สองคนแสดงออกชัดเจนว่าจะ ‘จีบ’ เขา

                 หากเป็นอิสตรีคงจะน่าภูมิใจไม่น้อยที่มีผู้ชายรูปหล่อแถมยังเป็นหนุ่มฮอต ของมหาวิทยาลัยมาสนใจ แต่เขาเป็นผู้ชาย ย่อมรู้สึกกระดากมากกว่าจะยินดี เขารู้สึกดีกับรุ่นพี่ทั้งสองแต่อยากเป็นแค่น้องชาย เพราะมิตรภาพแบบนี้มันยั่งยืนกว่า ส่วนกรณ์เป็นเรื่องที่เขายังคิดหนัก ได้แต่ปัดๆ มันไว้ข้างๆ สมอง เอาไว้อีกฝ่ายชัดเจนกว่านี้ค่อยคิดกันยาวๆ อีกที

                 ดนตร์ผ่อนลมหายใจคิดหาคำปฏิเสธที่สุภาพและจะไม่หักหาญน้ำใจ แต่ก็ช้าเกินไป

                 “นี่อะไร น่ากินดีอ่ะ”

                 “เอ่อ... Banana Chocolate Cake ครับ เป็นของร้านที่ผมทำงานอยู่”

                 “น่าอร่อยดี ขอกินคำนึงได้ปะ”

                 ธาวินก้มหน้าจนเกือบชิดกับเค้กในมือ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเจ้าตัวถึงไม่ได้กลิ่นเหม็นบูด แต่จะว่าไปแล้วกลิ่นมันก็ไม่แรงเท่าไรนัก ถ้าไม่ดมแบบระยะใกล้ๆ แทบจะไม่ได้กลิ่นด้วยซ้ำ ดนตร์ทำท่าจะชักมือหนี แต่ไม่ทัน ธาวินยึดข้อมือไว้ ส่งสายตาอ้อนวอน

                 “ขอกินคำนึง แค่คำเดียว”

                 “คือ มัน..เสีย...!!!”

                 ยังไม่ทันได้บอกอะไร Banana Chocolate Cake ก็ไปอยู่ในมือของธาวินเสียแล้ว เจ้าตัวเปิดกล่องแล้วเอาช้อนที่แถมมาตักกินโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เมื่อคำแรกผ่านเข้าปากก็ทำหน้าปุเลี่ยนๆ แต่แทนที่จะหยุด กลับกินไปอีกหลายคำ ดนตร์กระพริบตาปริบๆ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ฝืนยิ้มให้รุ่นพี่ไป ได้แต่ภาวนาให้ภูมิต้านทานของธาวินแข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคในขนม ได้

                 กว่าจะหลุดจากธาวินได้ก็เกือบได้เวลาเข้าเรียนพอดี เมธัสและลลิตายิ้มหน้าแป้นรอรับ เขาต้องทนกับสารพัดคำหยอกล้อ ตั้งแต่เรื่องที่โดนอุ้มในร้านกาแฟ ที่เมธัสให้ข้อมูลเพิ่มว่ามันกลายเป็นท็อปปิกของร้านไปแล้ว ทุกคนพูดถึงหนุ่มหล่อตัวสูง มีแผลที่หน้าผาก แล้วยังเรื่องรายงานอีก ลลิตาชมกรณ์ว่ามีฝีมือด้านวรรณกรรมไม่น้อย เพราะอาจารย์เกลือถึงกับเอ่ยปากว่าผลงานของเขาใช้สำนวนดีกว่าที่ผ่านมา ซึ่งมันไม่ได้ทำให้เขาภูมิใจสักนิด

                 ตลอดทั้งวันเขาไม่ได้รับการติดต่อจากใครเลย ไม่ว่าจะเป็นชนวีร์ อริญชย์ ธาวิน หรือแม้แต่กรณ์ รายหลังนี่เขาแอบคิดว่าจะโผล่เข้ามาหาเรื่องเขากลางห้องเรียนหรือไม่ก็โทร มารบกวน ทว่ากลับไม่มีสายเรียกเข้าหรือแม้แต่ข้อความใดๆ

                 ...เขาคงคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป เขาไม่ได้สำคัญกับกรณ์มากขนาดนั้นเสียหน่อย...

                 จนหกโมงเย็น เขาก็ไม่เห็นเงาของใครสักคน ทั้งธาวินและกรณ์ ดนตร์วางสายจากพี่พาย หลังจากที่โทรไปขอลางานอีกวัน ดีที่พี่พายใจดี ยอมให้เขาหยุดงาน แต่หลังจากนี้ต้องทำงานติดกันสองอาทิตย์เพื่อชดเชยที่หยุดงานไป มือเรียวกระชับแจ็คเก็ตตัวเก่ง คืนนี้อากาศหนาว คืนนี้อากาศเย็นกว่าเมื่อวานเสียอีก ไอเย็นทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้าคงเพราะใกล้จะสิ้นปีแล้วกระมัง อากาศเลยเย็นขึ้นทุกวัน

             ดนตร์ส่งข้อความไปหาชนวีร์เพื่อถามถึงสถานที่จัดเลี้ยงโดยหลีกเลี่ยงที่จะ เปิดอ่านข้อความจากคนไม่รู้จัก เพราะรู้ดีว่ามันเป็นข้อความโจมตีเขา ตั้งแต่มีเรื่องกับโยษิตาเขาก็ได้รับข้อความแบบนี้หรือคอมเมนต์ในทำนองเดียวกัน คือต่อว่า ด่าทอ และหาว่าเขาคือเกย์ แย่งผู้ชาย มันค่อนข้างจะหนักหนาทีเดียว แต่ก็แค่ระยะแรกเท่านั้น ถ้าไม่เปิดอ่านเขาก็ไม่รู้ไม่เห็น และคิดว่าอีกไม่นานกระแสก็ซาไปเอง ทุกอย่างมันมีจุดอิ่มตัวของมัน

                 เขารออยู่เกือบห้านาที รุ่นพี่ตัวอ้วนถึงได้ตอบกลับมาเป็นโลเคชั่นพร้อมกับสถานที่ตั้ง มันเป็นบ้านของชนวีร์เอง เขาตัดสินใจจะไปบ้านของชนวีร์เองหลังจากแน่ใจว่าจะต้องคอยเก้ออย่างแน่นอน ดนตร์เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง เดินฝ่าลมหนาวไปหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อรอใช้บริการรถประจำทาง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเสียงแตรรถก็ดังขึ้น

                 รถยนต์สีดำเงาปลาบจอดแทบจะชิดกับต้นขา กระจกที่ติดฟิล์มกรองแสงจนเป็นสีดำสนิทเลื่อนลง จนเห็นเจ้าของรถ

                 “ว่าไง”

                จันทร์ทิวานั่นเอง...ดนตร์ยิ้มกว้างจนตายิบหยี “สวัสดีครับพี่ทิว ผมกำลังจะไปบ้านพี่วิน แล้วพี่ล่ะครับ จะกลับบ้านเหรอครับ”

                 “ลืมไปแล้วหรือไง ไอ้เจ้าอ้วนมันก็ชวนฉันเหมือนกัน”

                 เป็นอันว่าดนตร์ได้มากับคนที่คิดไม่ถึง เมื่อวันก่อน วันที่ดนตร์ถูกโยษิตาทำร้าย ชนวีร์ออกปากชวนจันทร์ทิวาให้ไปงานเลี้ยงฉลองด้วยกัน ทั้งที่อยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่ดนตร์กลับลืมเสียสนิท คงเป็นเพราะสองสามวันมานี่เขาไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองนัก

                 จันทร์ทิวาเลี้ยวรถผ่านรั้วอัลลอยด์สูงสามเมตร เข้าสู่อาณาเขตบ้านของชนวีร์ บ้านชั้นเดียวขนาดกลาง ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบสองไร่ มีสนามหญ้าและสระว่ายน้ำ ไม่มีสวนสวยหรือน้ำพุ เรียบง่ายแต่ก็น่าอยู่ไม่น้อย ชนวีร์เลือกที่จะจัดงานที่ริมสระว่ายน้ำ สังเกตว่าแถวนั้นค่อนข้างจะสว่างกว่าบริเวณอื่น เสียงเพลงดังกระหึ่มจังหวะเร้าใจขัดกับอากาศเย็น เจ้าของรถพยักหน้าส่งสัญญาณให้เขาเดินไปพร้อมกันเมื่อรถจอดสนิท

                 แขกที่ชนวีร์เชิญไว้ทยอยมากันบ้างแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นคนในชมรมที่ดนตร์รู้จักเป็นอย่างดี แต่ก็มีบ้างที่ไม่รู้จักและท่าทางจะแก่กว่าพวกเขาหลายปีด้วย คงเป็นคนที่ชนวีร์รู้จัก รุ่นพี่ตัวอ้วนของเขากว้างขวางกว่าที่คิดไว้ คนพวกนั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์ราคาแพง ที่แม้แต่คนไม่เก่งด้านแฟชั่นอย่างเขายังดูออก แม้แต่สมาชิกในชมรมก็แต่งกายดีกว่าปกติ กระทั่งจันทร์ทิวาที่เขาเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายสวมชุดกึ่งสูท กางเกงขายาวสีน้ำตาลกระชับท่อนขายาวกับเสื้อสูทเสื้อดีสีอ่อนกว่า ขณะที่เขายังอยู่ในชุดนักศึกษากับเสื้อแจ็คเก็ตสีดำคู่ใจช่วยให้ความอบอุ่นเท่านั้น อย่างนี้มันเหมือนกาในฝูงหงส์ชัดๆพอสำนึกได้ก็อยากจะกลับทันที

                 “เป็นอะไรไป เข้าไปสิ”

                 จันทร์ทิวาใช้มือแตะที่หลังเบาๆ เขาเลยจำใจต้องเดินต่อ

                 “อ้าวเพลง ทิวมาแล้วเหรอ”

                 เจ้าของงานกวักมือเรียกหยอยๆ ทำเอากลุ่มที่ชนวีร์กำลังสนทนาอยู่ด้วยหันมามอง จันทร์ทิวายิ้มให้อย่างสุภาพตามประสาคุณหมอ ร่างสูงโปร่งก้าวเข้าไปสมทบอย่างมั่นใจ แต่ดนตร์กลับหยุดเท้าไว้ตรงนั้น...ไม่กล้าเข้าไป

                 กรณ์อยู่ตรงนั้นด้วย เรือนร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดกึ่งสูทไม่ต่างจากคนอื่นๆ แต่กลับดูดีและโดดเด่นมากกว่าใคร เสื้อสูทสีดำตัดเย็บจากขนสัตว์ราคาแพงสะท้อนกับแสงไฟจนเป็นเงา ผิวขาวตัดกับชุดที่สวมใส่ หนวดเคราไม่มีให้เห็นแล้ว ดวงตาคมเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ริมฝีปากหยักยกยิ้มน้อยๆ ยิ่งเพิ่มความน่ามอง ในมือมีแก้วไวน์สีเข้ม ท่าทางในการจับบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงผ่านงานสังคมมาไม่น้อย ข้างๆ กันคือลลิตา เพื่อนสาวคนสวยของเขา ลลิตาทั้งสวยทั้งน่ารักเหมือนตุ๊กตาด้วยชุดเดรสสีชมพูสั้นแค่หัวเข่าและมีผ้าแพรพันรอบหัวไหล่

                 ในกลุ่มคนแปลกหน้ามีผู้หญิงที่เขารู้สึกว่าคุ้นหน้าอยู่ด้วย ความสวยของเธอเปล่งประกายแม้จะอยู่ในระยะไกล ร่างโปร่งบางอรชร สูงกว่าลลิตาเล็กน้อย เรือนผมสีดำสนิททิ้งตัวจรดบั้นเอว ใบหน้าเรียวเล็กไม่เกินฝ่ามือ ดวงตากลมยาว จมูกโด่ง รับกับริมฝีปากบางสีชมพูหวาน ชุดสีส้มอ่อนยิ่งทำให้เธอน่าทะนุถนอม ท่าทางการสนทนาเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มที่ราวกับเทพธิดาตัวน้อย เมื่อยืนเคียงข้างกับกรณ์ ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันเหมือนเจ้าชายกับเจ้าหญิง

                 จันทร์ทิวาหายเข้าไปในกลุ่มสนทนาแล้ว เหลือแต่เขาเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ดนตร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถอยหลังห่างออกมา

                 ...ที่นี่มันไม่เหมาะกับเขา...

                 ดนตร์เลือกนั่งใกล้ๆ ต้นยี่โถที่กำลังผลิดอกอวดโฉม เขาย่อกายนั่งลงไปบนผืนหญ้าโดยไม่สนใจว่ามันทำให้ตัวเองดูแย่กว่าเดิม ดึงโทรศัพท์ออกมาเล่นอย่างเหงาๆ ส่งข้อความไปหาพี่สาว ถามถึงหลานชายตัวอ้วน พ่อและแม่ ทุกคนสบายดีและอยากให้เขากลับไปบ้านในปีใหม่ ซึ่งเขาก็ตอบตกลง

                 เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับความหนาวเย็นที่เพิ่มมากขึ้นด้วย ท้องเขาร้องขออาหารเพราะตั้งแต่บ่ายเขายังไม่ได้กินอะไรเลย ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะย่องไปหาอะไรกิน น่องไก่ทอดก็ถูกจ่อตรงหน้าเสียแล้ว

                 “หิวล่ะสิ”

                 คนพูดส่งยิ้มให้อย่างรู้ใจ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะย่อกายลงมานั่งข้างกัน ไม่ใช่แค่น่องไก่แต่ยังมีอาหารประเภทค็อกเทลอีกหลายอย่าง ราวกับรู้ว่าเขากำลังหิวหนัก ไม่เพียงแค่นั้นคนใจดียังมีน้ำส้มมาให้อีกด้วย

                 “ขอบคุณครับ” เขาทำท่าจะรับจานจากอีกฝ่ายแต่จานกลับถูกยึดเอาไว้

                 “ฉันเอามากินเอง”

                 “โธ่” ดนตร์ทำหน้าละห้อย

                 “ล้อเล่น เอาไปสิ หิวไม่ใช่เหรอ”

                 คนหิวยิ้มกว้างรับจานไว้ด้วยความยินดีอย่างเหลือล้น

                 อริญชย์มองดูเจ้าเด็กตัวเล็กที่กำลังยัดน่องไก่เข้าปาก ริมฝีปากแดงเป็นมันจนวาว ท่าทางดนตร์คงหิวมากจริงๆ ดีที่เขาสังเกตเห็นเลยมีของกินติดมือมาฝาก

                 เขาเห็นดนตร์ตั้งแต่เดินมากับจันทร์ทิวาแล้ว แต่มีแค่ว่าที่คุณหมอเท่านั้นที่เข้ามาร่วมสนทนา แต่ดนตร์กลับถอยห่างไป แล้วก็มานั่งเป็นหมาหงอยอยู่ที่นี่ เขานั่งมองดนตร์จัดการอาหารในจานไปเงียบๆ มีส่งน้ำส้มแก้ติดคอให้บ้าง ภายในเวลาไม่กี่นาทีทุกอย่างก็หมดเรียบชนิดที่แทบจะเลียจานเลยทีเดียว

                 “นี่หิวหรือตะกละเนี่ย” อริญชย์พูดติดตลก เจ้าเด็กกินเก่งยิ้มแฉ่ง

                 “ทั้งสองอย่างครับ”

                 “แล้วกินยังไง เลอะไปถึงแก้มเนี่ย” คนโตกว่าส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหยิบเอาเศษไก่ที่ติดบนแก้มใสใส่ปากตัวเอง นึกขำที่เห็นดนตร์ทำตาโตเท่าไข่ห่าน “แล้วมานั่งตรงนี้ทำไม ไม่หนาวหรือไง”

                “...มันไม่ค่อยเหมาะกับผมเท่าไร”

                 อริญชย์เลิกคิ้วสูง “ยังไง?”

                “ก็ผมแต่งตัว...ไม่ดี”

                อริญชย์มองคนที่บอกว่าแต่งตัวไม่ดีอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ดนตร์ยังอยู่ในชุดนักศึกษาและเสื้อแจ็คเก็ตสีดำ แต่ไม่เห็นว่าจะดูไม่ดีอย่างที่เจ้าตัวพูด

                “ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน แต่ฉันว่ามันไม่น่าจะอุ่นเท่าไร”

                สำหรับเขาแล้ว เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์มันไม่มีผลอะไรเลย แต่เขาเป็นห่วงเจ้าตัวเล็กนี่มากกว่า อากาศคืนนี้ค่อนข้างเย็น แถมยังมีลมพัดมาเป็นระยะๆ อีกด้วย เสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียวไม่น่าจะอุ่นเท่าไร ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทสีเข้มออกก่อนจะใช้มันคลุมลงบนหัวไหล่ของอีกคน

                “พะ..พี่”

                “เฉยเถอะน่า หนาวไม่ใช่หรือไง”

                “ขะ...ขอบคุณครับ”

                ดนตร์กล่าวขอบคุณพลางดึงเสื้อสูทแสนอุ่นคลุมกายให้มากกว่าเดิม อริญชย์ยิ้มบางๆ นั่งตรงนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่มีใครมาแย่งกันคุยให้ปวดหู เขาเดินหนีออกมาเพราะรำคาญเสียงพูดคุยกับเสียงหัวเราะที่มากเกินไป คงเป็นเพราะแต่ละคนได้เหล้าเข้าไปหลายแก้ว ความสนุกเลยมีมากกว่าปกติ ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ไม่มีทางที่หนุ่มเจ้าสำราญอย่างเขาจะหลุดออกมานอกวง แน่ ทว่าตอนนี้มันอิ่มตัวแล้ว เขาผ่านมาทั้งเหล้ายาปาร์ตี้ ลองมาหมดทั้งดีและเลว เช่นเดียวกับกรณ์ ไอ้หมอนี่ใช้ชีวิตโชกโชนไม่ต่างกับเขา อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ดูจากความกล้าบ้าบิ่นของมัน

                ...คนที่เหมือนกันเลยมักจะชอบอะไรที่เหมือนกัน...

                “แล้วนี่ไม่คิดจะเข้าไปหาไอ้เจ้าอ้วนหน่อยหรือไง ตอนฉันออกมามันโวยวายใหญ่ที่ไม่เห็นนาย”

                “ไม่ดีกว่าครับ ผมว่าจะกลับแล้ว”

                “ทำไมล่ะ”

                “ผมกับพี่วินยังเจอกันอีกนาน เอาไว้แสดงความยินดีวันหลังก็ได้”

                เขาพยักหน้าเข้าใจ สำหรับดนตร์แล้วคิดว่าการแต่งกายแบบนี้ดูแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่สำหรับเขาแล้ว ดนตร์ก็คือดนตร์จะสวมเสื้อผ้าแบบไหนก็ยังเป็นดนตร์คนที่เขาชอบอยู่ดี

                “จะกลับตอนไหนก็บอกนะ เดี๋ยวไปส่ง”


                “ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองดีกว่า พี่เข้าไปสนุกกับคนอื่นๆ เถอะ”

                “ถ้าฉันอยากสนุกฉันจะมาอยู่ตรงนี้กับนายทำไม” เขาบอก “ไอ้ปาร์ตี้พวกนี้มันน่าเบื่อจะตาย เปิดเพลง คุยกันเรื่องด้วยไร้สาระ กินเหล้า แล้วก็มีเซ็กซ์”

                คนฟังตาโต แก้มใสแดงจัด “เซ็กซ์ด้วยเหรอครับ”

                “อืม ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ฉันคงลากสาวสักคนไปแล้วล่ะ”

                “แล้วตอนนี้ล่ะครับ”

                อริญชย์ยักไหล่ “ก็มาหานายไง”   
   
                คนพูดหัวเราะในคอ ขณะที่คนฟังแก้มเป็นสีชมพูจัด

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
                แล้วก็ทั้งคู่ก็เงียบไป ต่างฝ่ายต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง สำหรับอริญชย์แล้ว เขาพอจะเดาเหตุการณ์หลังจากที่รู้รู้ว่าโยษิตามีปัญหากับกรณ์ แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่เคยปริปากบอกกับใครถึงเรื่องนี้ แต่ที่เขาและคนอื่นๆ รู้ เพราะโยษิตาระบายทุกอย่างผ่านเฟซบุ๊ค บอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรวมไปถึงสาเหตุที่ทำให้คู่รักที่น่าอิจฉามีปาก เสียงจนถึงขั้นเลิกกัน และดนตร์คือคนที่โยษิตากล่าวถึง

                เขาไม่ได้ไล่อ่านคอมเมนต์ที่เพื่อนๆ และแฟนคลับของสาวสวยระดับมหาวิทยาลัยที่พากันประณามดนตร์ เพราะมันไร้สาระสิ้นดี ที่สำคัญเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร และยังรู้ด้วยว่าโยษิตาเองก็เล่นไม่ซื่อกับกรณ์เช่นกัน...โยษิตาคงลืมไปว่า ความลับไม่มีในโลก

                เรื่องที่โยษิตามีคนอื่นนอกจากกรณ์เขารู้มาระยะนึงแล้ว เพราะเจ้าเด็กเมธัสมันบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ฮีโร่กลางร้านกาแฟพอดี เจ้าเด็กตาโตบอกเล่าทุกอย่างให้กับนักรบฟัง พร้อมกับแสดงความคิดอย่างออกรสว่า ความสัมพันธ์ระหว่างโยษิตากับผู้ชายที่ชื่ออคิราห์ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาแค่สืบประวัติอคิราห์คร่าวๆ ก็รู้ว่าหมอนี่เป็นใครและสนิทกับใครบ้าง

                ครอบครัวของอคิราห์และโยษิตาสนิทกัน ดังนั้นจึงเดาได้ไม่ยากว่าสองคนนี้จะสานสัมพันธ์กันไปในทางใด บิดาของอคิราห์มีตำแหน่งใหญ่โตในกระทรวงการศึกษา มารดาก็เป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนระดับประเทศ มีหรือที่โยษิตาจะปล่อยให้หลุดมือไป ถ้าหากกรณ์จะถูกทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก ถึงมีเงิน มีฐานะ แต่อำนาจบารมีมันสูงกว่า เขาแน่ใจว่ากรณ์คงเลิกกับโยษิตาเด็ดขาด ไอ้เพื่อนคนนี้ลองได้ตัดสินใจแล้วมันจะไม่มีวันย้อนกลับไปทางเดิมอีก เรื่องของดนตร์ก็เช่นกัน เขารู้ดีว่ามันเดินหน้าเต็มที่เพื่อให้ได้ดนตร์ไปครอบครอง...แต่เขาจะไม่ ยอมแพ้ง่ายๆ

                อริญชย์เหลือบมองเด็กหนุ่มข้างๆ สองสามวันที่ดนตร์หายตัวไป เขาพยายามไม่เก็บเอาไปคิดว่าเจ้าตัวหายไปกับใคร แต่ก็ประจวบเหมาะเหลือเกินเพราะมันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กรณ์ออกจากโรง พยาบาล โดยที่ไม่ได้ติดต่อมาหาเขาหรือเพื่อนๆ คนไหน...อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

                ดนตร์เปิดปากหาว พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนทันใจ อริญชย์ระบายยิ้มยกมือขยี้เส้นผมอ่อนนุ่มเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

                “ง่วงแล้วเหรอเรา จะกลับเลยไหม”

                “ครับ หนาวด้วย”

                เจ้าตัวรับง่ายดาย ดวงตากลมปรือปรอย ปากจิ้มลิ้มอ้ากว้าง “โทรบอกทิวสิว่าฉันจะไปส่ง”   

                ดนตร์พยักหน้า พลางล้วงเอาโทรศัพท์ออกมากดหาจันทร์ทิวา รออยู่นานอีกฝั่งก็ไม่ตอบรับ จนสัญญาณตัดไป เจ้าตัวเล็กขมวดคิ้วยุ่งทั้งที่ตาใกล้ปิด ดนตร์โทรหาจันทร์ทิวาอยู่หลายทีแต่ก็เป็นเหมือนเดิม

                “ส่งข้อความไปในไลน์สิ คงกำลังติดลมอยู่” เขาแนะนำ ดนตร์ไม่ได้คัดค้านอะไร ใช้เวลาไม่กี่อึดใจก็ส่งข้อความให้จันทร์ทิวาสำเร็จ

                อริญชย์เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อน รู้สึกหนาวผิดปกติคงเป็นเพราะน้ำค้างที่มาพร้อมกับไอเย็นมันทำให้เสื้อผ้าชื้นขึ้น พอเหลือบมองอีกคนที่อยู่ข้างๆ กันก็อดสงสารไม่ได้ ถึงจะมีเสื้อสูทเนื้อหนาที่เขายกให้แล้ว แต่จมูกก็ยังแดง ริมฝีปากสั่นน้อยๆ

                “หนาวเหรอ”

                “ครับ”

                “รีบไปเถอะ คืนนี้มันหนาวจริงๆ”

                อริญชย์ฉวยมือเล็กมากุมไว้ มือของดนตร์เย็นเฉียบ เขาบีบมือแน่นแบ่งปันไออุ่นในกายให้อีกฝ่าย ดนตร์ขืนตัวเล็กน้อย แต่ด้วยกำลังที่น้อยกว่าเลยจำต้องยอมให้เขาเดินกุมมือไปทั้งแบบนั้น...



                กรณ์ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด คลาดสายตาแค่แป๊บเดียว ร่างโปร่งในชุดนักศึกษาก็หายไปเสียแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าดนตร์จะเดินมาพร้อมกับจันทร์ทิวา แต่แค่เขาหันไปสนทนากับคุณอลงกต ตัวแทนจากค่ายหนังที่ชนวีร์เชิญมาร่วมงาน เขาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าไอ้เจ้าอ้วนมันกว้างขวางไม่น้อย รู้จักคนใหญ่คนโตในวงการหนัง เขาเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่หนังสั้นของมันได้รางวัล คงเป็นเพราะได้รับคำแนะนำจากคนพวกนี้ด้วย

                แล้วความพยายามในการค้นหาดนตร์ของเขาก็ถูกขัดจังหวะ เมื่อรดาว่าที่นางเอกค่ายหนังของอลงกตผูกมัดการสนทนากับเขาแทบทั้งหมด จะปฏิเสธก็เกรงว่าเสียมารยาท รดาเป็นนางแบบให้กับนิตยสารหลายเล่ม มีโฆษณาออนไลน์และทีวีอยู่หลายชิ้น และเป็นเน็ตไอดอลที่มีชื่อเสียงพอสมควร แต่ทั้งหมดนี้เป็นการแนะนำของอลงกต ส่วนตัวแล้วเขาไม่รู้จักหล่อน แค่คิดว่าหน้าตาน่ารักสมกับเป็นคนมีชื่อเสียงเท่านั้น กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ เขาก็หาดนตร์ไม่เจอเสียแล้ว

                เขาต้องร่วมเปิดแชมเปญฉลองความสำเร็จกับชนวีร์ รับแก้วเหล้าไร้สีจากรดาอย่างเสียไม่ได้ เธอชวนเขาชนแก้ว ชวนคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระ และตบท้ายด้วยเรื่องส่วนตัว

                “เห็นวินว่าคุณเพิ่งเลิกกับแฟน จริงหรือเปล่าคะ” รดาถาม ดวงตาคู่สวยหวานหยดมองมาที่เขาอย่างรอคำตอบ   

                “ครับ เพิ่งเลิกได้ไม่นาน”

                “ผู้หญิงคนนั้นคิดอะไรอยู่ ถึงได้กล้าทิ้งผู้ชายหล่อเพียบพร้อมอย่างคุณ”

                กรณ์หัวเราะในคอ ถ้าหากรดารู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง เธอคงมีก่นด่าเขาเหมือนที่โยษิตาทำ

                “แล้วคุณคิดจะเริ่มใหม่กับใครหรือยังล่ะคะ”

                ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ก่อนจะส่ายหน้า “ยังครับ กับผู้หญิงผมคงเว้นวรรคไปพักใหญ่ๆ”

                “กับผู้หญิง? คำตอบกำกวมจังนะคะ” รดายิ้มหวาน ยื่นแก้วมาชนกับแก้วของเขาอีกครั้ง “คืนนี้คุณจะไปที่ไหนต่อหรือเปล่าคะ”

                “ก็คงจะกลับ...โอ๊ะ!”

                 มือที่ถือแก้วแชมเปญถูกกระแทกจากที่ไหนสักแห่ง น้ำไร้สีกระฉอกไปถึงผู้หญิงที่กำลังสนทนาอยู่กับเขา ชุดสวยเปื้อนเป็นทางยาว ตั้งแต่หน้าอกจนถึงช่วงเอว เขาหันไปหาต้นเหตุแต่ก็ไม่เห็นใคร กรณ์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเบนหน้ากลับมายังสตรีผู้โชคร้าย

                “ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

                “ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ” รดาบอก หัวคิ้วเรียวขมวดน้อยๆ พลางก้มมองชุดตัวสวยของตัวเอง “คงต้องไปล้างออกแล้วล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นคงเป็นคราบน่าเกลียด”

                “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมพาไปเอง”

                แม้จะห่วงที่ยังหาตัวดนตร์ไม่พบ แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้รดาไปจัดการล้างคราบแชมเปญตามลำพังได้ เลยจำใจต้องเลือกอย่างหลัง

                เขาพารดาเดินเลี่ยงกลุ่มคนที่กำลังออกสเต็ปตามจังหวะเพลงที่เร้าใจขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเจ้าภาพของงาน คืนนี้ไอ้เจ้าอ้วนมันสนุกจนลืมน้องชายสุดที่รักของตัวเองไปเสียแล้ว กรณ์พรูลมหายใจเบาๆ ถ้าจัดการเรื่องชุดของรดาเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะรีบชิ่งไปตามหาเจ้าตัวแสบทันที...เด็กบ้าทำให้เขาเป็นห่วงได้ตลอดเวลา จริงๆ

                วันนี้ทั้งวันเขาไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงเด็กดื้อ ไม่ใช่แค่ดื้อแต่ยังอวดดีอีกด้วย ดนตร์หนีออกมาตั้งแต่เช้าโดยขโมยเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำตาลของเขาไปด้วย ทั้งที่ยังไม่หายดี แถมตรงนั้นน่าจะยังอักเสบอยู่แต่ดนตร์ก็ยังไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากเขา ส่วนเขาเองก็วุ่นวายตั้งแต่ลืมตาตื่น ธาวินส่งข้อความมาเตือนว่าเขาต้องส่งงานวันนี้เพราะหยุดเรียนไปหลายวัน ไหนจะงานเลี้ยงฉลองของชนวีร์อีก เขาเองก็เป็นหนึ่งในตัวเอกของงานเพราะเป็นพระเอกของเรื่อง พอหมดปัญหาเรื่องเรียน ไอ้เจ้าอ้วนก็ลากเขากับลลิตาไปหาชุด เนื่องจากวันนี้มีแขกพิเศษจากค่ายหนังมาด้วย ดีไม่ดีเขาหรือคนอื่นๆ อาจจะเตะตาค่ายหนัง มีโอกาสได้ร่วมงานกับโปรดักชั่นระดับประเทศก็เป็นได้

                ถึงไม่คิดจะเอาดีด้านการแสดง แต่ถ้าหากมีโอกาสก็ไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไป

                เพราะ ไอ้เจ้าชนวีร์คนเดียวที่พาเขาไปลองชุดโน้นชุดนี้ จนหาเวลาติดต่อดนตร์ไม่ได้เลย สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ไปรับ ปล่อยให้ดนตร์มากับจันทร์ทิวา ซึ่งเขาก็ยังเดาไม่ออกว่าสองคนนี้ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร เอาไว้วันหลังค่อยไปเค้นความจริงอีกที

                “กรณ์คะ ฉันหนาวจังค่ะ”

                รดาห่อไหล่ ปลายนิ้วขาวสั่นน้อยๆ ตอนที่กระชับผ้าคลุมไหล่ ถ้ารดาจะหนาวก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะชุดที่เธอสวมใส่เขาไม่เห็นว่ามันจะให้ความอบอุ่นได้ตรงไหน เดรสสีส้ม เน้นช่วงเอวให้คอดเล็ก ตรงสะโพกระบายเป็นชั้น ยาวเหนือเข่า สวมคู่กับรองเท้าส้นสูงสีขาว มีแค่ผ้าคลุมไหล่ที่ทำจากขนมิงค์สีขาวให้ความอบอุ่นอีกที แถมยังถูกแชมเปญเพิ่มความเย็นไปอีกแก้ว ถ้าไม่หนาวสิแปลก

                เขาแตะหลังบางดันให้เธอก้าวไปด้านหน้า เขามาบ้านไอ้เจ้าอ้วนนี่หลายครั้ง เลยรู้ว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน แต่ยังไม่ทันผ่านประตูบ้าน รองเท้าส้นสูงของรดาก็ติดกับพรมสีเข้มที่ปูหน้าประตู รดาเสียหลักเกือบจะล้มหน้าคะมำ ดีที่เขารับร่างของเธอไว้ได้ทัน มือบางเกาะท่อนแขนของเขาเอาไว้แน่น ใบหน้าน่ารักซบลงที่อกพอดี รดาส่งเสียงหวีดร้องเบาๆ คงจะตกใจกับอุบัติเหตุเล็กๆ ที่คาดไม่ถึง ชั่วอึดใจเธอก็เปิดตาขึ้น ตากลมโตช้อนมอง เขาเห็นแววตระหนกในแก้วตาสีน้ำตาล

                “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” กรณ์ถามด้วยความเป็นห่วง

                “มะ..ไม่เป็นไรค่ะ แค่...ตกใจนิดหน่อย”

                “ข้อเท้าไม่ได้พลิกใช่ไหม”

                รดาก้มมองเท้าตัวเอง พลางทำท่าขยับไปมา ก่อนจะเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง สีหน้าของเธอดูแย่กว่าเดิมเสียอีก “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่มันขยับไม่ได้”

                กรณ์ถอนหายใจ นอกจากจะยังไม่ได้พาไปล้างคราบแชมเปญ รดายังได้รับบาดเจ็บอีก ให้ตายเถอะ! วันนี้มันไม่ใช่วันของเขากับดนตร์หรืออย่างไรกัน

                “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมพาคุณเข้าไปในบ้านก่อน แล้วจะบอกให้คนที่มากับคุณให้”

                “แต่ฉัน...เดินไม่ไหว”

                กรณ์สบถในคอ แล้วตัดสินใจช้อนร่างของรดาไว้ในอ้อมแขน เธอวาดแขนโอบรอบลำคอของเขาไว้กันตก รดาตัวเบาไม่ได้เป็นปัญหาต่อการช่วยเหลือ เขากระชับแขนอีกรอบและขยับขา แต่เพียงแค่ขยับขา แสงไฟคล้ายแฟลชก็สว่างวาบ จนต้องหยีตา พอลืมตาขึ้นเขาเห็นเด็กในชมรมการแสดงหลายคนกำลังยกโทรศัพท์มาทางเขา

                “ขอโทษครับพี่”

                ไอ้เจ้าเด็กพวกนั้นวิ่งหายไปกับความมืดในเวลารวดเร็ว ก่อนที่เขาจะอ้าปากด้วยซ้ำ กรณ์ส่ายหน้าเบาๆ พรุ่งนี้เขาคงโดนบรรดาเพื่อนๆ ของโยษิตาเล่นงานอีกแน่ เหมือนเมื่อหลายวันที่ผ่านมา เหล่าคนรักโยษิตาต่างก็รุมประณามในความสำส่อนของเขา รวมไปถึงเรื่องที่เขาชอบผู้ชายด้วย แน่นอนว่ามันไม่มีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเขา แต่ก็สร้างความหงุดหงิดให้ไม่น้อย พวกหล่อนส่งข้อความมาเป็นร้อยๆ จนเขาต้องลบมันทิ้งไปโดยไม่ได้เปิดอ่าน กรณ์เลิกสนใจเด็กบ้าพวกนั้น เขาอุ้มรดาไว้ในอ้อมแขนและจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าในตัวบ้าน หางตาก็เห็นใครบางคนที่เขาตามหามาทั้งคืน

                ...ดนตร์...

                “เพลง!”

                เจ้า ของชื่อสะดุ้งน้อยๆ แต่ไม่ได้วิ่งหนีหายไปไหน ไม่เพียงแค่ดนตร์เท่านั้น แต่อริญชย์ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ทั้งคู่ยืนกุมมือกัน ดนตร์ยังอยู่ในชุดเดิมแต่มีสูทสีเข้มสวมทับเพิ่มขึ้นมา และเขาก็จำมันได้ดีว่าเป็นเสื้อของใคร กรณ์เผลอขบกรามเข้าหากัน ความหึงหวงพุ่งพล่านอย่างไร้เหตุผล

                “เป็นอะไรไปเหรอคะ” รดาถาม เธอมองไปตามสายตาของเขา “เพื่อนเหรอคะ”

                “ครับ” กรณ์รับคำสั้นๆ

                เขาทิ้งสายตาไว้ที่คนทั้งคู่อีกครึ่งนาที แล้วจึงอุ้มร่างของรดาเข้าไปในห้องรับแขก อากาศภายในอบอุ่นกว่าด้านนอกเล็กน้อย กรณ์วางร่างบอบบางลงบนโซฟานุ่มด้วยความระมัดระวัง

                “คุณรออยู่ในนี้นะ เดี๋ยวผมจะไปบอกเพื่อนให้”

                “แต่ เอ่อ ฉัน..”

                กรณ์ยิ้มละมุน ย่อกายทรงตัวหลังส้นเท้าตัวเอง ใช้มือจับไปรอบข้อเท้าเล็กอย่างเบามือ แล้วจึงช่วยเธอถอดรองเท้าเจ้าปัญหาให้

                “ข้อเท้าของคุณยังไม่บวม ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ถ้าคุณไม่สบายใจให้ใครพาไปหาหมอก็ได้นะ”

                “ใครที่ว่า...เป็นคุณไม่ได้เหรอคะ” เธอถาม ดวงตาอ่อนเชื่อม

                “บังเอิญว่าตอนนี้ผมไม่ว่างเสียด้วยสิ” เขาปฏิเสธ “ยังไงก็ขอตัวก่อนนะครับ มีธุระสำคัญมากจริงๆ”

                กรณ์ตัดรอนสิ่งที่รดาเสนอให้อย่างไม่คิดเสียดาย เขาไม่ใช่หนุ่มน้อยไร้เดียงสาที่จะมองไม่ออกว่ารดาคิดอย่างไรกับตนเอง สาบานได้เลยถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนี้เขาคงคว้าเธอไปเสวยสุขบนห้องชนวีร์ แล้ว แต่ตอนนี้ความต้องการใต้สะดือมันลดลง ไม่ใช่ว่าเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือว่าเบื่อเรื่องอย่างว่าแล้ว แต่เขากลับไม่โหยหาเรือนร่างของอิสตรีคนไหน เพราะมีใครบางคนที่เร้าใจกว่านั้น...ใครบางคนที่แค่โดนเขาจูบก็สั่นสะท้านไป หมด มือแตะต้องเขาอย่างเงอะงะ ผิวกายขาวผุดผาด ใบหน้าแดงซ่าน ดวงตาหวานฉ่ำด้วยอารมณ์ที่เขาปลุกเร้าให้ ร่างกายตอบสนองเขาอย่างน่ารัก แต่ก็เร่าร้อนอยู่ในที แค่คิดเลือดในกายก็อุ่นซ่านแล้ว เด็กนั่นทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้ เขาจะมีแก่ใจไปสนใจใครได้อีก

                 อาการแบบนี้คงเรียกว่าทั้งรัก...ทั้งหลงกระมัง

                ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ยิ้มให้ว่าที่นางเอกสาว แล้วหมุนตัวเดินห่างออกมา ในอกยังร้อนรุ่มด้วยความหึงหวงไม่หาย ป่านนี้ไอ้อริญชย์ตัวดีคงพาดนตร์ไปไหนต่อไหนแล้ว เขาต่อสายหาอัคคีเพราะรายนั้นดูท่าจะเมาน้อยกว่าไอ้เจ้าอ้วน แล้วก็อย่างที่คิดไม่กี่อึดใจหลังจากถือสายรออัคคีก็รับสาย

                “กิ๊กเก่าของนายอยู่ในบ้านน่ะ เข้าไปดูสิ”

                เขาทิ้งระเบิดไว้ด้วยการโกหกคำโต แต่เขารู้ดีว่าวิธีนี้มันจะได้ผลดีที่สุด ที่เหลือก็แค่ภาวนาไม่ให้รดาเป็นกิ๊กเก่าของอัคคีจริงๆ เท่านั้นเอง กรณ์เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วรีบก้าวยาวๆ ไปที่โรงจอดรถเพราะจำได้ว่าอริญชย์จอดรถไว้ที่นั่น...



                “หนาวเหรอ หน้าซีดเชียว”

                อริญชย์ถามเจ้าของมือเย็น เขากระชับมือให้แน่นกว่าเดิม แต่เขารู้ดีว่าสาเหตุที่แท้จริงมันคืออะไร อากาศเย็นแค่สิบกว่าองศามันคงไม่ทำให้ดนตร์มีอาการเหม่อลอยเช่นนี้หรอก

                ตั้งแต่ มื่อครู่นี้แล้ว ที่พวกเขาบังเอิญเห็นกรณ์อุ้มผู้หญิงที่เขาเพิ่งรู้จักหล่อนได้ไม่นานจาก การแนะนำของชนวีร์ หล่อนชื่อรดา เป็นเน็ตไอดอล มีผลงานทางทีวีและสื่อออนไลน์มาบ้างแล้ว รดาหน้าตาน่ารัก มีเสน่ห์ เรือนร่างโปร่งบางอรชรสมเป็นผู้หญิง ยิ่งไปอยู่ในอ้อมแขนของกรณ์หล่อนยิ่งบอบบางและน่าทะนุถนอม ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดแบบนั้น ดนตร์เองก็คงเห็นไม่ต่างกับเขา เพราะหลังจากนั้นดนตร์ก็เหม่อลอย เขาถามอะไรก็ไม่ตอบ ได้แต่เดินตามเขามาเงียบๆ เท่านั้น

                “เพลง...ไม่สบายหรือเปล่า”

                คำตอบที่ได้รับเป็นความเงียบอีกเช่นเคย อริญชย์ปล่อยมือจากพวงมาลัยรถยนต์ ก่อนจะคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ ดนตร์เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมมีแววงุนงง

                 “คิดมากเรื่องไอ้กรณ์ใช่ไหม”

                “ผม..เปล่า” เด็กปากแข็งปฏิเสธ ก้มหน้างุด

                “นาย นี่โกหกไม่เก่งเอาซะเลย” อริญชย์ดุแต่ไม่จริงจังนัก ก้านนิ้วแกร่งเชยคางมนขึ้นบังคับให้อีกฝ่ายมองหน้ากันอีกครั้ง “ไหนบอกมาซิว่านายกับกรณ์เป็นอะไรกัน”

                “ไม่ได้เป็น...”

                “โกหก แต่ฉันไม่ถือสาหรอกนะ” ชายหนุ่มอมยิ้มหางตาเห็นเงาของใครบางคนอยู่หลังพุ่มไม้ นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไปตามขอบปากสวย “ฉันพร้อมจะลงสนามแข่งกับกรณ์ ถึงนายกับมันจะมีอะไรกันแล้วฉันก็ไม่สนใจ”

                “ทำไม...”

                “เพราะว่าฉันชอบนายยังไงล่ะ”

                อริญชย์ยิ้มบาง ก่อนจะก้มลงประทับจูบลงบนกลีบปากสีสดรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้จูบกับดนตร์ต่อหน้ากรณ์....

**************************

ด่าได้แต่อย่างแรง เดี๋ยวเราเฟล  :hao7:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เรารักพี่รันนนนนนน
พี่รันทำดี
ชอบพี่รัน แบดแบบผู้ดี

ตอนนี้หัวไม่ร้อน
ดีใจ 55555555555

เอาอีกพี่รัน
เอาให้กรณ์อกแตกตายไปเลย
พี่รันมีความเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์สูงมากๆ
ความทะเยอทะยานของพี่รันเราชอบ

#ทีมใครก็ไม่ได้ที่ไม่ใช่ทีมกรณ์

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เอาแล้วไงอีพี่กรณ์หึงอีกแแล้ว เพลงจะโดนอะไรมั้ยเนี่ยย
อยากให้เพลงหวั่นไหวกับพี่รันบ้างอ่า อยากสะใจ  :laugh:
ขอบคุณมากค่า  :pig4:

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เรารักพี่รันนนนนนน
พี่รันทำดี
ชอบพี่รัน แบดแบบผู้ดี

ตอนนี้หัวไม่ร้อน
ดีใจ 55555555555

เอาอีกพี่รัน
เอาให้กรณ์อกแตกตายไปเลย
พี่รันมีความเป็นหมาป่าเจ้าเล่ห์สูงมากๆ
ความทะเยอทะยานของพี่รันเราชอบ

#ทีมใครก็ไม่ได้ที่ไม่ใช่ทีมกรณ์

ทีมพี่รันด้วยคนค่ะ ถึงจะร้ายแต่ไม่ได้ทำร้ายเพลงแบบกรณ์ ไม่รู้อะ ไบแอสไปแล้ว รันทำอะไรก็ดูละมุนไปหมด  :o8:

แอบขัดใจเพลงตอนที่วินกำลังจะกินเค้กมาก แค่บอกว่ามันเสียทำไมต้องอ้ำอึ้งอึกอัก คือเราคิดถึงถ้าเราจะบอกใครสักคนว่ามันเสีย เราจะไม่อ้ำอึ้งไง มันเสียว้อย แดกไม่ล่าย  :katai1: ขออภัยที่หยาบค่ะ
แล้ววินก็หายไปเลย สงสัยท้องเสียแหงๆ  :laugh:

ออฟไลน์ iamtsubame

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พี่กรณ์หาเรื่องโดนด่าได้ทุกตอนจริงๆ :m16:

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 14 ผู้มาเยือนยามวิกาล

    มือกร้านกำรอบพวงมาลัย บีบมันแน่นจนแทบจะแหลกคามือ กรณ์รู้สึกถึงไอร้อนที่ลามเลียขึ้นมาถึงใบหน้า เสียงลมหวีดหวิวกรีดร้องอยู่ในหู ภาพการมองเห็นพร่าเลือนด้วยความร้อนที่รอบกระบอกตา อากาศเย็นไม่สามารถทำให้ความร้อนรุ่มลดลงได้เลย ชายหนุ่มหลุดสบถคำหยาบคายออกมาเพราะไม่อาจระงับเอาไว้ได้

    เมื่อครู่นี้อริญชย์ส่งสาส์นท้ารบมาให้เขา ทั้งภาพ ทั้งเสียง ชัดเจนเต็มสองตา เขามั่นใจว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อคนนี้เห็นว่าเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ แต่ก็ยังกล้าที่จะจูบดนตร์ต่อหน้าเขา ถ้าเขาไม่เคาะกระจกหนักๆ ป่านนี้ไอ้บ้านั่นคงพาดนตร์ขึ้นรถไปแล้ว ต้องขอบคุณสติที่เตือนเขาไมให้เล่นไปตามเกมของอริญชย์ ไอ้เจ้านั่นมันจงใจปั่นหัวให้เขาทำตัวเป็นคนบ้าอาละวาด และนั่นจะทำให้ดนตร์เกลียดเขา

     ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะกระจก ดนตร์ก็ลนลานถอยห่างจากอริญชย์ ใบหน้าซีดเผือด ตากลมมองมาที่เขาอย่างตื่นตระหนก ไม่เพียงแค่นั้นยังใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากจนมันแดงเห่ออีกด้วย

    เขาไม่พูดอะไรอีก ได้แต่ใช้สายตามอง..สายตาที่ทำให้ดนตร์รู้ตัวว่าผิด แล้วหันหลังเดินจากมาเงียบๆ แล้วมานั่งรออยู่ในรถ

   ...แค่นี้ก็ชนะแล้ว..

   เพราะตอนนี้คนที่รู้ตัวว่าผิดกำลังวิ่งมาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

   กรณ์ซ่อนรอยยิ้มพึงพอใจเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย เขานั่งตัวตรงอยู่หลังพวงมาลัย ทำทีเป็นไม่สนใจคนที่กำลังเคาะกระจกรถรัวๆ

   “พี่กรณ์ เปิดประตูให้ผมหน่อย พี่กรณ์ ได้ยินผมไหม”

   ได้ยินสิ ได้ยินชัดเลยล่ะ แต่เขายังคงแกล้งทำเป็นหูทวนลม มิหนำซ้ำยังบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์อีกด้วย ดนตร์หน้าเสียกว่าเดิม

   “พี่ครับ! เปิดประตูหน่อย ผมอธิบายได้”

    กำปั้นเล็กทุบกระจกรถเร็วและหนักกว่าเดิม เขากดปลายเท้าเหยียบคันเร่ง รถเคลื่อนตัวไปด้านหน้า ดนตร์ยิ่งร้อนรน แต่ยังไม่เลิกอ้อนวอนให้เขาเปิดประตูให้

    กรณ์กดยิ้มลึกที่มุมปาก เขาเพิ่มความเร็ว แต่อีกคนก็ไม่ลดละความพยายาม ดนตร์วิ่งตามร้องให้เขาหยุดรถและฟังสิ่งที่อยากจะพูดกับเขา

    รถยนต์หยุดกึก นิ้วมือกดปลดล็อคดังแกร็ก ประตูรถถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วก่อนที่ร่างของคนที่วิ่งตามจะแทรกเข้ามา

   หน้าของดนตร์ขาวซีด หายใจเสียงดัง ร่างโปร่งสะท้านขึ้นลงหนักๆ ควันสีขาวลอยออกมาพร้อมกับลมหายใจ ดวงตากลมมีแววกังวลและขอโทษอยู่ในที นานร่วมนาทีกว่าที่อาการเหนื่อยหอบจะลดลง กรณ์ยังไม่ได้เคลื่อนรถไปไหน มันห่างจากจุดที่เขาจอดแค่สิบเมตรเท่านั้นเอง ชายหนุ่มเหลือบมองคนทำผิด เสี้ยวหน้าด้านข้างยังสะท้อนถึงความเหนื่อยหอบให้เห็น เส้นผมสีเข้มชื้นเหงื่อเล็กน้อย เสื้อสูทสีเข้มไม่อยู่แล้ว เหลือแค่เสื้อแจ็คเก็ตที่เจ้าตัวชอบใส่

    “พี่ครับ...ทำไม...ไม่เปิดประตูให้ผม” เสียงของดนตร์ขาดห้วงเพราะจังหวะการหายใจยังไม่กลับมาเป็นปกติ เขายังคงทำเมินเหมือนไม่ได้ยิน “มือผมเจ็บไปหมดเลย เหนื่อยด้วย”

    เจ็บมือคงไม่เท่ากับที่เขาเจ็บใจหรอก ไม่มีไอ้บ้าที่ไหนทนเห็น ‘เมีย’ ตัวเองถูกคนอื่นจูบได้หรอก บุญแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ชกอริญชย์ให้เลือดกลบปาก

   กรณ์ทำเฉย มือกำพวงมาลัย เครื่องยนต์ยังติดอยู่ เขารอจนเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายเบาลง แล้วจึงค่อยเคลื่อนรถออกจากบ้านของชนวีร์ ทิ้งงานเลี้ยงเฉลิมฉลองไว้ด้านหลัง เขาหงุดหงิดเกินกว่าจะร่วมฉลองกับใครได้อีก มีแต่คนทำผิดนี่แหล่ะที่จะได้ร่วมสังสรรค์กับเขาจนเช้าแน่

   แต่เสี้ยววินาทีที่เขาหันไปมองใบหน้าเรียวได้รูปก็ใจหายวูบ หน้าของดนตร์ขาวซีดเหมือนกระดาษ ริมฝีปากสั่นน้อยๆ ปลายเท้ากดเดินหน้าเครื่องยนต์ พยายามห้ามไม่ให้มือไปดึงร่างน้อยมาให้ไออุ่น ดนตร์ไม่พูดอะไร เขาชำเลืองมองผู้ร่วมโดยสารเรื่อยๆ เจ้าตัวหันหน้าไปด้านข้าง สอดมือเข้าไปในเสื้อแจ็คเก็ต ท่านั่งเกร็งผิดธรรมชาติ กรณ์ตัดสินใจหักรถลงข้างทางและหยุดเครื่องยนต์ ก่อนจะดึงร่างของอีกคนขึ้นมาเกยบนตัก

    “เฮ้ย!” ดนตร์ตกใจตาโต มือขาวซีดดันแผงอกเขาโดยอัตโนมัติ แต่เขารัดรอบเอวเล็กไว้ก่อนแล้ว “พี่ทำบ้าอะไรวะ!”

    “เฉยเถอะน่า”

    เขาสั่ง ดนตร์มองนิ่งด้วยอารามตกใจ เขาใช้จังหวะนั้นให้ไออุ่นโดยการ...จูบ

    ริมฝีปากนุ่มหยุ่นแต่เย็นจัดถูกบดเคล้าอย่างเอาแต่ใจ กรณ์จูบช้อน ดูดกลืนกลีบปากล่างอิ่มตึง มือสอดหายเข้าไปในเสื้อนักศึกษาเนื้อบาง ผิวกายภายในอุ่นกว่าภายนอกเล็กน้อย ทันทีที่แตะโดนยอดอกมันก็ขมวดตัวแข็ง เขาใช้ปลายนิ้วหมุนคลึง ขณะที่อีกมือประคองต้นคอเล็กเอาไว้ ลิ้นสอดกวาดไล่ต้อนอย่างผู้มากประสบการณ์ ดนตร์ตัวสั่นมากกว่าเดิม ลมหายใจกระชั้นถี่ พอมือขาวเริ่มขยับอีกครั้งเขาก็ผละจูบออก มองใบหน้ากลับมามีสีอยู่ชั่ววินาทีแล้วกลับไปใหม่

    พวกเขาจูบกันอยู่อย่างนั้น อาการขัดขืนในตอนแรกไม่เหลือแล้ว ดนตร์ตัวอ่อนระทวยซวนซบอยู่กับหน้าอกของกรณ์ ใบหน้าขาวเงยรับจุมพิตหวานแกมร้อนแรง เลือดในกายอุ่นขึ้นหลายองศา ผิวแก้มระเรื่อขึ้นด้วยเลือดที่สูบฉีด แผ่นอก บั้นเอว รวมไปถึงเนินสะโพกด้านหลังถูกมืออุ่นกระตุ้น ทั้งบีบ ทั้งขยำ หนักเบาสลับกัน ขณะที่กำลังงงงวยอยู่กับรสจูบ ไออุ่นจากบางอย่างก็ตกลงมาคลุมที่หัวไหล่ แต่ริมฝีปากที่ถูกรุกรานซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับลิ้นอุ่นที่หลอกล่อให้คล้อยตาม ทำให้ไม่เหลือสติพอจะเดาว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร

   “อืม...”

   เสียงใครอีกคนร้องครางในคอด้วยความพึงพอใจ กรณ์เคล้นมือกับเนินบั้นท้ายตึงแน่น ความอดทนก็ยิ่งลดน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเจ้าตัวเบียดเนื้อตัวเข้าหา กลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยกระตุ้นอีกทาง จูบทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเส้นความอดทนที่ขึงตึงขาดสะบั้นลง เสื้อคลุมที่คว้ามาจากเบาะหลังหล่นจากหัวไหล่เนียน

    ...บางทีการให้ไออุ่นด้วยร่างกายน่าจะดีกว่า…

    ปลายนิ้วอุ่นหมุนวนยอดอกนุ่ม ผิวกายอุ่นซ่านขึ้นมาทีละน้อย ดนตร์ตอบโต้จูบอย่างไม่ยอมแพ้ ลิ้นเกี่ยวกระหวัดรัดรึง บางครั้งก็ถอยหนี แต่บางทีก็รุกไล่ ร่างเล็กกว่าปีนขึ้นมานั่งคร่อมบนตัวอย่างสมบูรณ์ พื้นที่คับแคบกับสถานที่ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้น แสงไฟจากรถยนต์คันอื่นสาดผ่านมาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยครั้งนัก มือเล็กละจากหัวไหล่เลื่อนลงมาที่หัวเข็มขัด มันเงอะงะงุ่มง่ามน่ารำคาญ จนเขาต้องให้ความช่วยเหลือ ขณะที่ริมฝีปากยังไม่ได้ผละจากกันแม้แต่เสี้ยววินาที ดนตร์เก่งพอที่จะรู้จักวิธีผ่อนลมหายใจบ้างแล้ว แถมยังจะทำให้เขาหายใจติดขัดได้อีกด้วย

   ทันทีที่ซิปกางเกงรูดลง นิ้วเรียวก็กอบกุมรอบลำกายอุ่น ดนตร์ขยับมือช้าๆ มันขยายขนาดอย่างรวดเร็ว กรณ์เผลอส่งเสียงครางในคอด้วยความพอใจ และยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่เมื่อคนบนตักเบียดส่วนนั้นเข้าหา เขาช่วยอีกฝ่ายปลดกางเกงออกบ้าง นึกขอบคุณที่เจ้าตัวเลือกใส่กางเกงตัวใหญ่ อะไรๆ มันก็เลยง่ายขึ้น

    กรณ์ดึงกางเกงออกพร้อมกับชั้นในสีขาว ใช้เวลาไม่กี่อึดใจดนตร์ก็ตัวเปล่า ร่างขาวโพลนเด่นชัดในความมืด ดนตร์ขยับก้นขึ้นลงราวกับจะยั่วให้เขาเป็นบ้า กายร้อนผ่าวเสียดสีแนบชิดกัน ดนตร์รวบทั้งสองไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วรูดมือไปตามแนวยาว ขนาดที่ต่างกันไม่ใช่ปัญหาเพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าอีกสักพักมันก็จะไปอยู่ในที่เหมาะที่ควร กรณ์ส่งเสียงครางอืออาในคอ ความเสียวกระสันพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกรงว่ามันจะได้เข้าไปในที่อุ่นกว่านี้ เขาปัดมือนุ่มออก ก่อนจะจับเอวอีกฝ่ายแล้วยกสูง ดนตร์เองก็รู้หน้าที่เปิดทางเพื่อให้เขาผ่านเข้าไปได้สะดวกมากขึ้น

    พื้นที่จำกัดบนรถไม่ได้เป็นอุปสรรคในการร่วมรักครั้งนี้ ดนตร์รับเขาไว้ในคราวเดียวจนหมด ไออุ่นโอบรัดพร้อมๆ กับการดูดกลืน กรณ์ขบริมฝีปากล่างเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว เขาแช่กายไว้อย่างนั้นนานชั่วนาทีก่อนจะบีบบั้นเอวเล็กกระตุ้นให้คนด้านบนเคลื่อนไหว
 
   ร่างเล็กกว่าโยกเอวไปด้านหน้าแล้วหมุนวนสะโพกเป็นวงกลม บางจังหวะก็ยกก้นขึ้นแล้วกระแทกกลับลงมา กรณ์สวนสะโพกกลับส่งตัวตนเข้าไปล้ำลึก ดนตร์ยกมือเหนี่ยวลำคอแน่น พวกเขาผละจูบออกเมื่อความร้อนในร่างกายทวีสูงจนต้องพึ่งอากาศ กรณ์เลื่อนมือไปทั่วร่างกายเปลือยเปล่า ผิวขาวผ่องโดดเด่นแม้อยู่ในที่มืด เขาพรมจูบไปบนลำคอหอมกรุ่น ไล่ริมฝีปากไปจนถึงลาดไหล่ แล้ววกกลับมาที่เนินอกแน่น ดนตร์แหงนหน้าไปด้านหลังเมื่อเขาครอบครองยอดอกนุ่ม ลากลิ้นกระหวัดเอาเม็ดทับทิมสีสดเอาไว้ มืออีกข้างโอบเอวด้านหลังเพื่อคอยกำกับจังหวะ

    ทักษะของดนตร์ก้าวหน้าไปมากทีเดียว เด็กหนุ่มรู้ดีว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้การร่วมรักสุขสมที่สุด เอวบางหมุนวน บางครั้งก็เสยไปด้านหน้า มีจังหวะหนึ่งที่ดนตร์กดสะโพกลงแล้วเขาสวนสะโพกกลับไป ปลายยอดแตะกับจุดอ่อนไหวด้านใน ดนตร์หวีดร้องเสียงดังผวากอดเขาแน่น ด้านหน้าตั้งชันตีกับหน้าท้องของเจ้าตัว
 
   ลีลารักร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมออมมือ แม้เมื่อคืนพวกเขาจะมอบบทรักให้กันและกันแล้วก็ตาม ทว่ารสรักมันหวานนัก ไม่ว่าจะเมื่อใดก็กินได้ไม่รู้จักอิ่ม ดนตร์ร้องครวญครางเมื่อใกล้จุดสูงสุด ร่างเล็กกว่าโหมสะโพกขย่มเขย่าอย่างลืมเจ็บลืมอาย ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นธารร้อนก็พุ่งทะลักจากส่วนยอด ดนตร์ตัวสั่นเทาผวากอดร่างใหญ่กว่าแน่นราวกับจะฝากฝังเนื้อตัว กรณ์เองก็ทนไม่ไหวเมื่อผนังร้อนบีบรัดตัวรุนแรง ชายหนุ่มคำรามลั่นไม่ต่างจากสัตว์ป่าก่อนจะปลดปล่อยทุกอย่างหลั่งรดในกายอุ่น ปริมาณมากมายจนไหลเปื้อนมาถึงหน้าขา กลิ่นคาวคลุ้งทั่วรถ

   ดนตร์เอนกายซบลงกับอกกว้าง วางศีรษะไว้บนหัวไหล่ ลมหายใจกระชั้นถี่ เนื้อตัวอุ่นซ่านด้วยอารมณ์รัก ส่วนนั้นยังเชื่อมต่อกันอยู่ กรณ์ลองขยับสะโพกเบาๆ ดนตร์ก็สั่นสะท้าน ความต้องการก่อตัวขึ้นอย่างง่ายดาย เขาสวนสะโพกเข้าหาในจังหวะสั้นๆ แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นอีกครั้ง...


    พวกเขามาถึงคอนโดของกรณ์หลังจากอีกเกือบชั่วโมง ดนตร์อ่อนเปลี้ยจนแทบเดินไม่ไหวแต่ก็ปฏิเสธที่จะให้อุ้ม เจ้าตัวฝืนใจเดินเองทั้งที่ขาสั่น เสื้อผ้าถอดทิ้งถูกกลับมาใส่ใหม่แบบลวกๆ ทั้งเสื้อนักศึกษา แจ็คเก็ตสีดำและเสื้อคลุมของเขา ใส่ปะปนกันมั่วไปหมด กรณ์ประคองร่างเล็กกว่าไว้ด้วยความเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ โดนหนักขนาดนั้นแต่ก็ยังทำเป็นเก่ง นิสัยอวดเก่งนี่รักษาไม่หายจริงๆ

   เขารั้งร่างของดนตร์ไว้แนบลำตัวตอนที่ต้องเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับคนอื่นๆ ผู้หญิงสองคนเหลือบมองมาทางพวกเขาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เขาไม่สนใจมิหนำซ้ำยังจับศีรษะทุยของอีกคนซุกกับอกตัวเองอีกด้วย จนกระทั่งถึงห้องดนตร์ก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น

   “ทำเป็นเก่ง ถ้าให้อุ้มมาตั้งแต่แรกก็หมดปัญหาแล้ว”

   “ไม่เอา!” ตากลมตวัดมอง “ผมเป็นผู้ชาย”

   กรณ์อมยิ้ม ย่อกายให้อยู่ในระดับเดียวกัน “และมีผัวแล้วด้วย”

    “อะ..ไอ้!”

   เขายกนิ้วขึ้นชี้ “ถ้าหลุดเรียกฉันไอ้อีกละก็ รับรองนายได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่ ถึงจะรีดน้ำฉันไปหมดแล้ว แต่ไอ้เจ้านี่มันพร้อมรบเสมอนะ”

    พวงแก้มอิ่มระเรื่อขึ้นทันที เจ้าตัวเม้มปากแน่นคงอยากด่าเขาใจจะขาดแต่ก็กลัวว่าจะได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มจริงๆ เลยทำได้แค่ใช้สายตาอาฆาตเท่านั้น

    กรณ์เดินเข้าไปในห้องพัก แล้วกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมอาบน้ำและผ้าขนหนูสะอาดผืนใหญ่ ดนตร์ยังนั่งสงบอยู่ที่เดิม เผลอทำหน้าเบ้ตอนที่พยายามจะยันกายขึ้นจากพื้น กรณ์ส่ายหน้าให้กับความหัวรั้นของเจ้าสี่ตา...พูดถึงสี่ตา ดูเหมือนว่าแว่นทรงเห่ยๆ นั่นจะหายไประหว่างที่พวกเขากำลังขึ้นสวรรค์กัน แล้วก็ไม่มีใครตามหา ตอนนี้ใบหน้าของดนตร์เลยไร้สิ่งบดบัง ความน่ารักทบทวี ดวงตากลม จมูกโด่ง ริมฝีปากอิ่มที่บวมเห่อน้อยๆ จากการบดขยี้ แก้มเป็นพวงเหมือนเด็ก ถ้าไม่รู้ประวัติเขาต้องคิดว่าเด็กนี่ยังอยู่ชั้นมัธยมแน่ๆ

    “ไปอาบน้ำ ทิ้งเอาไว้เดี๋ยวป่วยไม่รู้หรือไง”

   “รู้แล้วน่า!” เจ้าตัวสวนกลับ หน้ามุ่ยเหมือนเด็กโดนขัดใจ กรณ์หัวเราะหึ มองดูความพยายามที่ไม่ยอมหมดเสียทีของดนตร์ คนตัวเล็กกว่ายักแย่ยักยันอย่างทุลักทุเล เขาทนดูได้ไม่นานก็ช้อนร่างของเด็กหัวดื้อไว้ในอ้อมแขน โดยไม่สนใจคำทัดทาน ก้าวยาวๆ ไปในห้องน้ำ วางดนตร์ไว้บนอ่างล้างหน้าแล้วหันไปจัดการเปิดน้ำลงในอ่างอาบน้ำ ปรับระดับน้ำให้อุ่นสบาย พร้อมกับใส่ผงอาบน้ำกลิ่นหอมตีจนฟองสีขาวลอยเหนือผิวน้ำ

   เขาพับแขนเสื้อพันขากางเกงขึ้น ก่อนจะหันกลับไปอุ้มร่างของดนตร์ลงอ่างอาบน้ำ ทั้งที่เจ้าเด็กนี่ไม่ได้เบานักแต่กลับไม่รู้สึกว่าหนัก เนื้อตัวเปล่าเปลือยจมหายไปในน้ำอุ่น ฟองสีขาวห่อหุ้มร่างไว้เหลือแค่ช่วงศีรษะ กรณ์นั่งลงที่ขอบอ่าง จับหัวทุยสวยวางบนต้นขา นิ้วมือแทรกไปในเส้นผมนุ่มนวดคลึงหนังศีรษะเพื่อช่วยผ่อนคลาย ดนตร์หยุดขัดขืนปล่อยให้เขาปรนนิบัติ จะมีบ้างก็ตอนที่เขาสอดนิ้วเข้าไปช่วยทำความสะอาดให้ เจ้าตัวดิ้นน้อยๆ ปิดตาแน่น คิ้วขมวดมุ่น ผิวแก้มสุกปลั่ง สูดปากครวญ ภายในเผลอตอดรัดนิ้วโดยอัตโนมัติ กว่าจะกวาดกวักเอาหยาดน้ำที่เขาหลั่งรินทิ้งไว้หมดก็เล่นเอาคนตัวเล็กกว่าแทบหมดแรง แม้แต่ตอนที่เขาจับเช็ดตัว สวมเสื้อคลุมให้ ดนตร์ก็ยังตัวอ่อนระทวย

   กรณ์จับดนตร์เป่าผม เพราะไม่อยากให้หลับไปทั้งที่ผมยังเปียก เด็กดื้อนั่งคอพับคออ่อนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ ชายหนุ่มฉวยโอกาสหอมแก้มนุ่มไปหลายหนด้วยอดมันเขี้ยวไม่ได้ ผิวขาวหอมกรุ่นด้วยกลิ่นครีมอาบน้ำ น่าแปลกที่เป็นกลิ่นที่เขาใช้อยู่ประจำแต่เมื่อมันมาอยู่บนตัวของดนตร์กลับหอมเย้ายวนกว่าเป็นเท่าตัว

   ดนตร์หลับไปทันทีที่เป่าผมเสร็จ คืนนี้เขาไม่ได้เปิดแอร์เพราะอากาศค่อนข้างเย็น เอื้อมมือไปดึงผ้าห่มผืนใหญ่แสนอุ่นคลุมร่าง กรณ์ทอดสายตามองคนหลับอีกพักใหญ่พร้อมกับปรามไม่ให้ตัวเองฉวยโอกาสกับคนหลับ จนรู้สึกหนาวขึ้นมาหน่อยๆ ถึงได้สำเหนียกได้ว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่มันเปียกชื้น แต่ระหว่างที่กำลังปลดเสื้อผ้าออกจากกายเสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ดังขึ้น คิ้วหนาเลิกสูง อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่มาเยือนในยามวิกาล ปกติแล้วคนที่ไร้มารยาทเช่นนี้มีแค่ไอ้อ้วนชนวีร์เท่านั้น แต่ตอนนี้มันน่าจะระเริงรื่นอยู่ในปาร์ตี้มากกว่า ที่สำคัญมันไม่เคยกดกริ่งเตือนหรอก มันพรวดพราดเข้ามาเลยเพราะถือคีย์การ์ดไว้

    กรณ์ลอดมองผ่านตาแมว ที่เห็นเป็นเพียงแผ่นหลังของผู้ชาย รู้สึกคุ้นตาพิกล เขาตัดสินใจเปิดประตูต้อนรับแขกยามวิกาล ดวงตาคมเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้ว่าเจ้าของแผ่นหลังนั่นคือใคร

    “พ่อ!”

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
       กรณ์ผ่อนลมหายใจหนักๆ เหยียดขาเต็มความยาว สีหน้าเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายอย่างไม่คิดจะปิดบัง แม้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นบิดาของตนก็ตาม ดวงตาสีสนิมที่ผ่านโลกมามากกว่าห้าสิบปีทอดมองมา มันนิ่งเฉยไม่ต่างจากที่ผ่านมา ริ้วรอยแห่งวัยปรากฏชัด จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เจอกัน ที่ข้างแก้มยังไม่มีรอยลึกเยอะเท่านี้ ตอนที่นอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลก็เจอหน้ากันแค่สองครั้ง แถมครั้งหนึ่งไม่เคยเกินสิบนาที ถามไถ่อาการพอรู้ว่าเขาปลอดภัยดีก็ไปทำงานต่อ ไม่มีเวลาให้เขาสำรวจได้เท่ากับตอนนี้

    ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิดาไม่ค่อยจะราบรื่นนัก นับตั้งแต่มารดาขอแยกทางและไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อเมริกา ท่านไม่ได้มีคนรักใหม่แค่อยากหนีให้ห่างจากผู้ชายที่ห่วงงานมากกว่าครอบครัวเท่านั้นเอง พ่อของเขาบ้างานยิ่งกว่าสิ่งใด เชื้อพ่อค้าฝังอยู่ในสายเลือด ทุกอย่างคือเงิน การแต่งงานกับแม่ของเขาก็เพื่อผลพลอยได้ของธุรกิจ พ่อกับแม่แต่งงานกันโดยปราศจากความรัก ทว่าผู้หญิงมักจะใจอ่อนเสมอ หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันไม่นานท่านก็ตกหลุมรักผู้ชายที่ถูกเลือกให้มาเป็นคู่ชีวิต ทว่าบิดาของเขากลับไม่ได้สนใจท่านเลย เอาแต่ทำงานเพื่อดันกิจการให้ยิ่งใหญ่ตามความคาดหวังจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เขาสงสารมารดาจับใจ ท่านทนจนเขาอายุได้สิบปี ก็ขอแยกทาง ไปใช้ชีวิตสาวโสดกับป้าที่อเมริกา โดยเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นั่น ทุกวันนี้ท่านมีความสุขดีไม่เรียกร้องหาความรักจากใครอีก ผิดกับเขาทันทีที่ท่านจากไป ชีวิตเขาก็เหมือนลูกข่าง หมุนคว้างและไร้จุดหมาย

   เดิมทีมารดาจะเอาเขาไปอยู่ด้วยแต่บิดาไม่ยอม ฟ้องร้องกันอยู่ร่วมปีสุดท้ายมารดาก็ต้องยอมปล่อยมือจากเขา ในวันที่ต้องจากกันท่านกอดเขาแน่นร้องไห้จนเสื้อเขาเปียกไปหมด โดยให้สัญญาว่าจะกลับมาหาเขาทุกปี ตอนนั้นเขาไม่ร้องไห้สักแอะ ไม่มีน้ำตาสักหยดเพราะมันไหลย้อนกลับไปด้านในหมดแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขารู้จักคำว่าน้ำตาตกใน เขาไม่พูดกับใครเลยอยู่หลายเดือน จากเด็กร่าเริงกลายเป็นเด็กเก็บตัว เพื่อนไม่กล้าเข้าใกล้ ผลการเรียนต่ำลง โดนบิดาทั้งดุด่าและทุบตี แต่เขาไม่รู้สึกเจ็บสักนิด พี่เลี้ยงโทรไปรายงานให้มารดาทราบว่าเขาถูกบิดาทำร้าย ท่านโทรกลับมาเพื่อจะปลอบประโลมเขาทว่าบิดากลับแย่งไปแล้วด่าทอท่านอย่างรุนแรง ต่อว่าสารพัดแถมยังโยนความผิดทั้งหมดให้ท่าน

   เขาได้ยินเสียงร่ำไห้ของมารดา พยายามจะอ้อนวอนเพื่อที่จะได้คุยกับเขา แต่บิดาไม่ยอมดึงสายโทรศัพท์จนขาด และห้ามไม่ให้ใครติดต่อกับท่านอีก เขาถูกสั่งสอนอย่างเข้มงวด แต่เขาก็ต่อต้านทุกช่องทาง จนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นทุกอย่างเลวร้ายกว่าเดิม เขาก่อเรื่องมากมาย ทั้งเรื่องเรียนที่เกือบจะไม่รอดและทะเลาะต่อยตีกับนักเลง ไม่พอยังก่อตั้งแก๊งอันธพาลหาเรื่องเกะกะระราน ผลาญเงินบิดาไปกับเรื่องเที่ยว กิน ผู้หญิงและยา

    ด้วยช่วงวัยที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทำให้เขาเลือกที่จะต่อต้านทุกคน ทุกคำสอนคือสิ่งน่ารำคาญแม้แต่ความเป็นห่วงและปรารถนาดีจากมารดา เขาไม่ยอมไปพบท่านในวันที่ท่านมาหา และกล่าวโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดของผู้ใหญ่ จนกระทั่งมัธยมปีที่สาม เขาก่อเรื่องหนักถึงกับทำให้อาจารย์สอนวิชาศิลปะต้องแขนหัก เขาถูกบิดาดุด่าอย่างหนักและเกือบจะถูกจับไว้สถานพินิจแล้ว ถ้าหากว่าอาจารย์คนนั้นไม่ขอเอาไว้ ท่านไม่เอาเรื่องเขาแถมยังให้อภัยอีกด้วย โดยมีข้อแม้ว่าระหว่างที่ท่านพักรักษาตัว เขาต้องมาช่วยงานที่ห้องศิลปะทุกวัน

   ด้วยกลัวว่าจะต้องไปอยู่ในสถานพินิจเขาเลยต้องไปอยู่ในห้องศิลปะทุกเย็น และนั่นเองที่ทำให้เขารู้ตัวเองว่ามีความสามารถด้านศิลปะ เขากลายเป็นคนชอบวาดรูปและระบายทุกสิ่งที่อัดอยู่ในอกผ่านรูปวาด มันไม่ได้ดีนักในตอนเริ่มต้นแต่เพราะอาจารย์ดิน ทำให้เขารู้เทคนิคและพัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งผลงานของเขาก็ถูกติดบนบอร์ดโรงเรียน โดยมีข้อความ ‘ชนะเลิศอันดับ 1’ อยู่ด้านล่าง ไม่เพียงแค่รางวัล อีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้มาจากการวาดรูปคือสภาพจิตใจ

   เขากลายเป็นคนใจเย็นขึ้นภายในเวลาไม่นาน เลิกติดต่อกับเพื่อนกลุ่มเดิม และมีเพื่อนสนิทที่ชอบในการวาดรูปเพียงไม่กี่คน เขาเป็นเด็กชายกรณ์ผู้มีความสามารถด้านศิลปะ เป็นคนใหม่ที่ได้รับการยอมรับ ผลการเรียนดีขึ้น เลิกต่อต้านบิดาไปโดยปริยายและเลือกที่จะเพิกเฉยกับสิ่งที่ท่านทำแทน เขาได้เรียนรู้ว่าการปล่อยวางมันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น แต่ก็มีปากเสียงกันอีกครั้งในช่วงที่เขาจะต้องเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เขาค้นพบว่าตัวเองชอบงานศิลปะมากและอยากจะเลือกเดินในเส้นทางนี้ไปจนถึงที่สุดและสาขาที่อยากเรียนก็ท้าทายความสามารถไม่น้อย ทว่าบิดาไม่เห็นด้วยและบังคับให้เขาเรียนบริหาร ตอนนั้นเขากลับไปทำตัวเกกมะเหรกเกเร ผลาญเงินเป็นว่าเล่น เมาทุกวันแถมยังควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า จนในที่สุดท่านก็ยอมให้เขาได้เลือกเรียนในสิ่งที่ฝัน

   แต่ทุกวันนี้เขากับบิดาก็ยังไม่สนิทกันนัก พูดคุยกันบ้างตามโอกาส ยิ่งเขามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ยิ่งทำให้การพบเจอยากกว่าเดิม เขาไม่ค่อยกลับบ้านในช่วงเทศกาลหรือวันหยุด แต่ก็ไม่ได้โหยหาไออุ่นจากบิดาเท่าไร เคยชินกับการอยู่คนเดียวเสียแล้ว ส่วนมารดายังติดต่อกันเรื่อยๆ ด้วยอายุที่มากขึ้นบวกกับสภาวะจิตใจที่ดีขึ้นทำให้เขาเข้าใจมารดามากขึ้น เขามักจะแอบบินไปหาท่านที่อเมริกาอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมารดาดีกว่าบิดาเสียอีก

    แต่ตอนนี้คนที่เขาคิดว่ากลับภูเก็ตไปแล้วกลับมานั่งอยู่ตรงหน้า ทว่าในดวงตาสีสนิมคู่นั้นกลับไม่ได้มองมาที่เขา แต่มันกลับไปจ้องอยู่ที่ใครอีกคนที่อยู่ในครัวแทน

    ดนตร์ตื่นมาได้พักใหญ่แล้ว เจ้าตัวดีดตัวลุกขึ้นตอนเกือบจะหกโมงเช้า เล่นเอาเขาที่นอนอยู่ข้างๆ ต้องพลอยตื่นไปด้วย เขารอจนอีกฝ่ายตั้งสติได้ถึงบอกว่าเมื่อคืนมีแขกคนสำคัญมาเยือน

   เขากับบิดาไม่ได้พูดจากันในทันที ดูเหมือนว่าท่านจะรู้ระแคะระคายเรื่องของเขากับดนตร์ ท่านเงียบเฉยแล้วถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนของเขาเข้าไป ท่านมองดนตร์ที่กำลังหลับสนิทอยู่พักใหญ่ แล้วถอยออกมาโดยบอกแค่ว่าจะคุยเรื่องนี้กันในตอนเช้าพร้อมกันทีเดียวสามคน ก่อนจะหายเข้าไปในอีกห้องที่อยู่ติดกัน

   ดนตร์ตาลีตาลานตั้งท่าจะหนี แต่พอเห็นว่าบิดาของเขาออกมาคอยท่าอยู่ที่โถงกว้างหน้าห้องแล้ว เลยจำใจต้องอยู่ร่วมเผชิญชะตากรรม โชคร้ายที่ดนตร์ไม่มีเสื้อผ้าติดมาเลย จึงจำเป็นต้องสวมชุดของเขาไปก่อน สภาพเลยเหมือนเด็กขโมยเสื้อพ่อมาใส่เล่น เจ้าตัวนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บนพื้นพรม โดยให้บิดาของเขานั่งอยู่บนโซฟาที่เหนือกว่า มองเผินๆ เหมือนคนใช้กับคุณชายไม่มีผิด เขาสั่งให้ลุกขึ้นก็ไม่ยอม เอาแต่นั่งก้มหน้าเหมือนกำลังรอโทษอยู่ก็ไม่ปาน กระทั่งบิดาเอ่ยปากว่าหิวนั่นแหล่ะถึงได้รีบลุกวิ่งหายไปอยู่ในครัว

    บิดาของเขาเลื่อนสายตาจากดนตร์แล้วกลับมาที่เขา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

    “รู้จักกันมานานแค่ไหน”

   “ใคร?...อ๋อ ก็เกือบๆ ปี”

   “เกือบๆ ปี...ก็ไม่นานเท่าไร” ท่านพึมพำแต่พอจะได้ยิน “คิดยังไงเอาผู้ชาย”

   “ก็ไม่คิดยังไง...แค่ชอบ”

    เขาตอบไปตามความจริง สำหรับดนตร์มันไม่มีเหตุผลแต่จะให้ท้าวความก็อาจจะนานสักหน่อย คิดว่าคนที่เห็นเวลากับเงินสำคัญกว่าสิ่งใดคงไม่อยากฟังเท่าไรนัก

    “ชื่ออะไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร แล้ว...เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อนหรือเปล่า”

   กรณ์เกือบจะหลุดหัวเราะเยาะในคำถาม เขาเชื่อว่าที่ท่านถามมาเป็นสิ่งที่ได้คำตอบมาแล้ว คนอย่างกริช วรเกียรติ์สกุลน่ะหรือจะไม่ยอมสืบเสาะหาข้อมูลก่อน

   “ผมว่าพ่อรู้อยู่แล้วนะ”

   “อย่ามายอกย้อน” น้ำเสียงเย็นชาเริ่มห้วนลง “แกไม่คิดบ้างหรือไงว่าการคบกับผู้ชายมันจะทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสียน่ะ”

   “ไม่คิด” เขาตอบกลับทันที “หัวใจของผมใครก็ห้ามไม่ได้”

    “ไอ้กรณ์!”

    เคร้ง!

    เสียงโลหะหล่นกระทบพื้นฉุดความสนใจของสองพ่อลูก ทั้งคู่หันไปมองต้นเสียง เห็นทัพพีวางคว่ำอยู่บนพื้น คนที่ทำมันหล่นรีบเก็บขึ้นแล้วหันหลังให้ทันที กรณ์พรูลมหายใจเบาๆ ท่าทางดนตร์จะกลัวบิดาของเขาอยู่ไม่น้อย ก็แหงล่ะ เล่นทำหน้าเหมือนยักษ์ใครล่ะจะไม่กลัว...นอกจากเขา

    “พ่อครับ ถ้าจะมาที่นี่เพื่อมาห้ามไม่ให้ผมคบกับดนตร์ ผมว่าพ่อกลับไปดีกว่า มันไม่ได้ผลหรอก” เขาเข้าประเด็น พอจะเดาได้ว่าบิดาต้องการอะไร สำหรับกริช วรเกียรติ์สกุลแล้ว ชื่อเสียง เงินทอง มาก่อนความรู้สึกเสมอ

    กรณ์ประสานสายตากับบิดาอย่างไม่กริ่งเกรง เพื่อสิ่งที่ต้องการแล้วเขาพร้อมจะสู้ และเขาก็แน่ใจว่าบิดารู้นิสัยเขาดี แล้วก็เป็นฝ่ายบิดาที่เบือนสายตาก่อน

     “ข้าวเช้ายังไม่เสร็จอีกรึ”

    สิ้นเสียง พ่อครัวจำเป็นก็รีบเดินออกมาพร้อมกับจานสปาเก็ตตี้ผัดซอสมะเขือเทศสองจาน สีสันและหน้าตาน่ากินไม่น้อย ดนตร์วางจานสปาเก็ตตี้ลงตรงหน้าผู้สูงวัยที่สุดก่อนแล้วค่อยวางให้เขา เมื่อหมดหน้าที่ก็ถอยไปยืนประสานมืออยู่ด้านหลัง โดยไม่ได้เข้ามาร่วมกินด้วย

   “ทำไมไม่มากิน หรือว่ารังเกียจ?” ผู้สูงวัยถาม ดนตร์ส่ายหน้าหวือ

   “เปล่าครับ ผมแค่...คิดว่ามันไม่ควร”

   “ไม่ควร? คนอย่างฉันไม่คู่ควรให้เธอนั่งร่วมโต๊ะด้วยอย่างนั้นรึ”

    “ไม่ใช่ครับ” ดนตร์ลนลานปฏิเสธ แล้วรีบกลับไปที่ห้องครัว ไม่ถึงครึ่งนาทีพาตัวมานั่งที่เก้าอี้ข้างกับกรณ์พร้อมกับสปาเก็ตตี้ของตัวเอง แต่ก็ยังก้มหน้างุดไม่กล้าประสานสายตากับบิดาของกรณ์

    ดนตร์รู้ว่าผู้ชายสูงวัยคนนี้คือกริช วรเกียรติ์สกุล เป็นบิดาของกรณ์ แม้จะไม่กล้ามองตรงๆ แต่พอที่จะสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันของสองพ่อลูก รูปร่างสูงใหญ่และสง่างาม ดวงตาคมดุ แววตาเย็นชา และเย่อหยิ่ง ส่วนใบหน้าส่วนอื่นๆ กรณ์น่าจะคล้ายฝ่ายมารดามากกว่า โดยเฉพาะลักยิ้มที่ข้างแก้ม เขาค่อนข้างมั่นใจว่ากริชคงไม่มี หรือเป็นเพราะท่านแทบจะไม่ขยับริมฝีปาก เขาเลยไม่มีโอกาสได้เห็น

    “เธอชื่ออะไร” กริชถาม นั่นทำให้ดนตร์รู้ตัวว่าเสียมารยาทแค่ไหนที่ไม่ได้แนะนำตัวเองต่อหน้าผู้ใหญ่

    “...เพลง เอ่อ ดนตร์ครับ” ดนตร์ยกมือทำความเคารพผู้สูงวัยกว่า คะเนว่าคุณกริชคงมีอายุไล่เลี่ยกับพ่อแม่ของเขา อาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ แต่คงเป็นเพราะอีกฝ่ายยังไม่มีผมขาวสักเส้น เลยทำให้เดาอายุจริงได้ยาก

    “อายุเท่าไร บ้านเกิดอยู่ที่ไหน เรียนคณะอะไร พ่อแม่ทำงานอะไร มีพี่น้องหรือเปล่า”

   ดนตร์กะพริบตาปริบๆ สมองมึนงงกับคำถามที่มาเป็นชุดอยู่พักใหญ่ เขายกมือขึ้นหมายจะดันแว่นตามความคุ้นชิน แต่ก็พบกับความว่างเปล่า เมื่อคืนมันคงตกอยู่ที่ไหนสักที่ มิน่าล่ะเมื่อครู่ตอนที่กำลังหั่นผักมีดถึงได้เฉียดปลายนิ้วเขาไปหน่อยพอได้เลือด เพราะการมองเห็นที่ผิดปกติไปนั่นเอง แต่น่าแปลกที่เขากลับเห็นหน้าบิดาของกรณ์ชัด...ชัดขนาดที่รู้ว่าท่านมีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

    “นี่ของเธอหรือเปล่า”

    “ครับ?”

    แว่นตากรอบสี่เหลี่ยมสีดำเลื่อนมาตรงหน้า ดนตร์ตกใจตาโตเขาคิดไม่ออกเลยว่าคุณกริชเก็บมันได้จากที่ไหน เขารีบคว้ามันขึ้นมาสวม หน้าร้อนวูบวาบไปหมด ภาวนาให้ท่านเก็บมันได้จากแถวนี้

   “ฉันเจอมันอยู่ในรถ หลังเบาะคนขับ”

    เจ้าของแว่นแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี แววตาติติงของกริชยิ่งตอกย้ำถึงความสะเพร่าเผอเรอ...เมื่อคืนพวกเขาร่วมรักกันจนลืมแว่น

    “พ่อเข้าไปในรถผมได้ยังไง” กรณ์เอ่ยแทรก ใบหน้าบึ้งตึง

   “รถแกเหรอ” คนเป็นพ่อหัวเราะในคอ “รถทุกคันที่แกขับ ฉันเป็นคนซื้อ ฉันมีกุญแจสำรองทุกคัน รวมถึงรถที่แกเอาไปขับจนพังด้วย”

    กรณ์สบถในคอ ทิ้งช้อนกับส้อมกระแทกใส่จาน ยกมือขึ้นกอดอกแน่นท่าทางไม่พอใจ

    “จะตอบคำถามได้หรือยัง” คุณกริชไม่สนใจมารยาทแย่ๆ ของบุตรชาย พลางเบือนสายตากลับมาที่เขาอีกครั้ง

    “เอ่อคือ...ผมเรียนนิเทศน์ครับ ครอบครัวของผมอยู่เชียงใหม่ครับ มีพี่สาว...”

   “พอ!” กรณ์ตบโต๊ะเสียงดัง “พ่อรู้อยู่แล้วจะถามทำไมอีก ถ้าคิดจะขัดขวางเรื่องของผมกับเพลงล่ะก็ ผมว่าพ่อกลับไปทำงานที่พ่อรักจะดีกว่า”

   “พี่กรณ์” ดนตร์ปราม ยกมือขึ้นแตะท่อนแขนแข็งแรง ลูบมันเบาๆ เพื่อหวังให้อารมณ์ของอีกฝ่ายลดลง เวลาพ่อกับแม่เถียงกันเขาชอบทำแบบนี้ แล้วมันก็ได้ผลทุกครั้ง เพราะพวกท่านจะระลึกเสมอว่ายังมีเขากับพี่สาวอยู่ด้วย “ผมกับพี่กรณ์เราไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกครับ คุณลุงสบายใจได้”

   “เธอคิดว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง” ท่านถามกลับ แววตาเรียบเฉย แต่คนมองกลับรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขาม

   “เปล่าครับ” ดนตร์ส่ายหน้า “แต่ผมกับพี่กรณ์เราไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ เราก็แค่...”

    “นอนด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน หรือจะเรียกง่ายๆ ก็ผัวเมียกัน” ขณะที่ดนตร์กำลังอ้ำอึ้งกับคำตอบ กรณ์ก็แทรกขึ้นอีก เท่านั้นไม่พอยังยกมือโอบรอบหัวไหล่ กระชากร่างเล็กกว่าเข้ามาชิดแสดงความสนิทสนม “พ่อมาก็ดีเหมือนกัน เรื่องทุกอย่างมันจะได้ชัดเจนขึ้น ผมกับเพลงเรากำลังคบกัน”

   “เฮ้ย!” ดนตร์ตาโต ยกมือผลักอกกว้างออก แต่กลับถูกดึงกลับมาที่เดิม “มะ..ไม่ใช่นะครับ เราไม่ได้..!!”

    คำปฏิเสธกลืนหายลงไปในคอ เมื่อกลีบปากถูกประกบปิด ลิ้นอุ่นสอดเข้ามากวาดต้อน รุกไล่ สมองมึนงงไปหมดเพราะตั้งรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน นานจนรู้สึกถึงอากาศในปอดที่ลดลง แรงกดทับถึงได้ห่างออกไป ดนตร์หายใจจนตัวโยน สติกลับมาในตอนนั้น สำนึกได้ว่าเมื่อครู่นี้กรณ์จูบเขาต่อหน้าบิดา แถมยังเป็นจูบที่ร้อนแรง น้ำลายยังติดที่มุมปากจนต้องใช้หลังมือเช็ด
   “ชัดเจนนะครับ” กรณ์ผู้ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ยักคิ้วเร็วๆ ให้บิดา ดวงตาเย็นชาคล้ายกับจะมีประกายไฟขึ้นมาบ้างแต่ก็เลือนหายไปแค่ชั่วพริบตา แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้รู้ว่าบิดาของเขาเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้ว “เพลงเป็นเมี..!!”

    ผั๊วะ!

    ใบหน้าด้านซ้ายชาวูบ รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าถูกทำร้ายจากหมัดของใครสักคน

    “ทำบ้าอะไรวะ!” ดนตร์ปัดมือบนหัวไหล่ทิ้ง แล้วรีบลุกขึ้นก่อนจะโค้งตัวจนศีรษะแทบจะติดกับหัวเข่า “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ พวกผมไม่มีเจตนาจะทำกิริยาไม่ดีต่อหน้าคุณลุง โปรดยกโทษให้ผมด้วย”

    “ทำอะไรน่ะ ไม่เห็นต้องขอโทษเลย” กรณ์เอ็ด พลางรั้งร่างเล็กกว่าให้กลับมายืนตามปกติ แต่ดนตร์ขืนตัวเองและยังอยู่ในท่าเดิม

    “ได้โปรดยกโทษให้ผมกับพี่กรณ์ด้วยเถอะนะครับ”

    กริชมองเด็กหนุ่มที่โค้งกายต่ำเพื่อขอโทษในการกระทำที่ไม่สมควร ทั้งที่คนทำผิดคือกรณ์บุตรชายเพียงคนเดียวของตน ดวงตาสีสนิมที่ผ่านโลกมาเกือบจะมามากกว่าห้าสิบปี ยังคงจ้องมองของเด็กหนุ่ม แม้ส่วนสูงจะอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่เมื่อเทียบกับกรณ์ ดนตร์ยิ่งดูตัวเล็กไปถนัดตา ดนตร์เป็นเด็กหนุ่มผิวขาวจัด ใบหน้าจิ้มลิ้ม ใส่แว่น มองเผินๆ ก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป ไม่มีอะไรโดดเด่นแทบจะกลืนหายไปกับฝูงชนด้วยซ้ำ ที่น่าสนใจคงจะเป็นพวงแก้มกระมังที่ทำให้เจ้าตัวเหมือนเด็กวัยมัธยมมากกว่านักศึกษามหาวิทยาลัย

   จริงอย่างที่กรณ์พูด ประวัติของดนตร์คนนี้ถูกเขาขุดคุ้ยจนแทบหมดลามไปถึงครอบครัว เขารู้ว่ามันผิดแต่ในฐานะของคนเป็นพ่อ เขาจึงจำเป็นต้องทำ ครอบครัวของดนตร์อยู่ที่เชียงใหม่ มีเพียงแค่ลูกชายคนเดียวของครองครัวที่มาเรียนที่กรุงเทพฯ ดนตร์มีพี่สาวหนึ่งคน พ่อกับแม่เป็นพนักงานบริษัท ฐานะปานกลาง เป็นครอบครัวที่เรียบง่ายและ...รักกันดี

   แม้จะเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตกริชก็รู้ว่าดนตร์เป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดี กิริยามารยาทรวมถึงการวางตัวค่อนข้างเหมาะสมแม้ว่าสถานการณ์ที่ทำให้ต้องพบกันจะไม่น่าประทับใจสักเท่าไรนัก เขาพบแว่นตาทรงสี่เหลี่ยมซึ่งตรงกับที่เคยเห็นในรูปถ่ายของดนตร์ บวกกับกลิ่นคาวแปลกๆ ในรถ ทำให้พอจะเดาได้ว่าสาเหตุที่แว่นอันนั้นตกอยู่ในรถมันคืออะไร
 
   ยอมรับว่าตกใจไม่น้อยเมื่อได้รู้ว่าลูกชายของเขากำลังสานสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน กรณ์เป็นเด็กหัวดื้อ ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนใจใคร ถึงระยะหลังจะดีขึ้นบ้างแต่นิสัยดื้อรั้นก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ แถมยังมีอารมณ์ศิลปินสูง เป็นตัวของตัวเองและมีความคิดที่ผิดแผกไปจากคนอื่น แต่นิสัยทั้งหมดนี่มันได้รับการบ่มเพาะจากคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่ไม่สมบูรณ์

    เขากับ ‘ภาวินี’ มารดาของกรณ์ เลิกรากันไปร่วมสิบปีได้แล้วกระมัง ไม่เคยติดต่อกันอีกเลยนับตั้งแต่วันที่เธอโทรมาอ้อนวอนขอให้ได้คุยกับกรณ์ และเขาปฏิเสธ แต่ก็พอจะรู้ข่าวมาบ้างว่า เธอใช้ชีวิตสุขสบายดีกับพี่สาวที่อเมริกา ส่วนเขาก็อยู่กับงานและลูกชาย กรณ์ไม่เคยเรียกร้องถามหาความรักจากเขา ขณะเดียวกันเขาเองก็ไม่เคยทำหน้าที่พ่อ ทุกวันมานะทำงานเพื่อสานต่อสิ่งที่บิดาสร้างไว้ ไม่อยากให้ทุกอย่างพังเพราะน้ำมือตัวเอง ดังนั้นเขาถึงต้องสละบางสิ่งไป

   กริชปัดเรื่องในอดีตทิ้งไป แล้วกลับมาที่ดนตร์อีกครั้ง ศีรษะทุยยังคงก้มต่ำจนน่าปวดหลังแทน เขาส่งเสียงกระแอมเบาๆ เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพอเห็นว่ากำลังถูกมองก็ก้มลงไปตามเดิม

   “เงยหน้าขึ้นเถอะ ไม่เวียนหัวหรือไง”

   เขาได้ยินเสียงถอนหายใจจากใครสักคน ร่างโปร่งติดบางค่อยๆ ยืดเต็มความสูง หน้าของดนตร์แดงไปหมดจนน่าสงสาร ผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงยิ่งกว่าเดิม แต่ดวงตากลมยังคงเต็มไปด้วยความสำนึกผิด ริมฝีปากสีสดขยับคำเดิม

       “ขอโทษครับ”

    “ทำไมต้องขอโทษ...เธอทำอะไรผิด”

    “ผม...” ดนตร์อึกอัก “...ผมกับพี่กรณ์จูบกันต่อหน้าคุณลุง”

   “หึ...แค่นั้นเองรึ”

   “พ่อ! พอสักทีเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเพลง ผมเป็นคนไปยุ่งกับเขาเอง” กรณ์กางปีกปกป้อง นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ได้เห็นคนอย่างกรณ์เป็นห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเอง

    “พี่กรณ์ พูดดีๆ กับพ่อสิครับ”

    “อยู่เฉยๆ เถอะน่า! เดี๋ยวหมดเรื่องนี้เมื่อไรได้เคลียร์กันยาวแน่”

    รอยช้ำที่เกิดจากหมัดของดนตร์เริ่มเห็นชัดขึ้น ตอนที่เห็นเด็กหนุ่มตัวเล็กชกหน้าบุตรชายก็น่าตกใจไม่น้อย แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือการที่ดนตร์ยังอยู่ดี ไม่ได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล เพราะถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนี้ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายกรณ์มักจะพบจุดจบไม่ดีนัก ช่วงที่กรณ์เข้ามัธยมต้นเขาต้องวิ่งขึ้นโรงพักเป็นว่าเล่นเพื่อเคลียร์คดีทะเลาะวิวาทให้ แต่ในเทอมสุดท้ายของมัธยมปีที่สาม กรณ์ก็ดีขึ้นแม้ว่าจะยังคงหมางเมินใส่ ทว่าไม่ได้ก่อเรื่องให้ปวดหัวอีก แถมยังแสดงความสามารถด้านการวาดรูปออกมาให้เห็นอีกด้วย มันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจไม่น้อย แต่เขาอยากให้กรณ์เป็นนักธุรกิจมากกว่านักออกแบบหรืออะไรก็ตามที่เจ้าตัวอยากจะเป็น

    ดนตร์ไม่สนใจดวงตาอาฆาตมาดร้ายของกรณ์ เด็กหนุ่มผิวขาวใส่แว่นยังคงยืนก้มหน้าราวกับจะรอรับการลงโทษด้วยท่าทางอ่อนน้อม ผิดกับกรณ์ที่แข็งกระด้างเหมือนก้อนหิน เขามองเห็นข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน เด็กที่มาจากครอบครัวฐานะปานกลางแต่กลับได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ขณะที่เด็กอีกคนที่มีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมอยากได้อะไรก็ไม่เคยขัดใจ กลับก้าวร้าวและไร้มารยาท แต่จะโทษใครได้ นอกจากตัวเอง ถ้าหากในตอนนั้นเขาลดทิฐิลงสักนิด กรณ์คงจะน่าเอ็นดูเหมือนดนตร์

    สำหรับในสายตาของผู้ใหญ่แล้ว ดนตร์เป็นเด็กที่น่าเอ็นดูไม่น้อย ทั้งกิริยา มารยาท มีสัมมาคารวะ ถ้าหากไม่คิดว่าเป็นผู้ชาย เขาคงยินดีที่จะรับเด็กคนนี้ไว้เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ ทว่าความจริงเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ นอกเสียจากจะต้องทำใจยอมรับมันหรือไม่ก็ต่อต้านให้สุดกำลัง…ซึ่งวิธีหลังคงไม่ได้ผลนักกับกรณ์

                                                                       
****************************

 :try2: ขออภัยนักอ่านทุกท่าน ช่วงนี้งานราษงานหลวงรัดตัวมากจนลืมอัพนิยาย

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ลูกเจี๊ยบบบบ
ต่อยอีกสักทีสองทีได้มั้ยลูก?

ว้า แย่จัง
แผนพี่รันไม่สำเร็จแฮะ

กรณ์ก็แผนสูงเหมือนกันนะ
ไม่อาละวาด ไม่โวยวาย
แต่เดินหนี
ทีนี้คนที่เดือดเนื้อร้อนใจก็เป็นลูกเจี๊ยบแทน

ถึงเราจะเชียร์ใครให้ลูกเจี๊ยบก็คงไม่สำเร็จ
ใจลูกเจี๊ยบไม่เอา
เขารัก เขาชอบกรณ์ของเขามานานนี่นะ

คุณพ่อกริช จะยังแซ่บอยู่ไหมนะ

ฉากบนรถนี่ทำให้นึกถึงกรงรักจำจองใจจริงๆ

ตอนนี้ไม่หัวร้อน
แต่รำคาญลูกเจี๊ยบแทน
ไปวิ่งตามอิพี่กรณ์ทำไมลู๊กกกกกก

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เพลงก็ยังคงเป็นเพลง หลงกรณ์ตลอด ยอมตลอด
พี่กรณ์ก็คุยกับเพลงให้ชัดเจนไปเลยว่าจะเป็นอะไรกัน
ขอบคุณมากนะคะ มาต่อบ่อยๆน้ารออยู่ค่าา  :pig4:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ ป่ามป๊ามป่ามปาม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เพลงวิ่งตามกรณ์เพื่ออธิบายความจริงที่รันจูบ แล้วยังไงไม่รู้ได้กันเฉยเลย ฉากปี๊บๆก็ดีอะ  :hao6: แต่มันขัดใจมาก รู้ตัวไหมว่าโดนกรณ์หลอก  :katai1:
เพลงบอกกับกริชว่าไม่ได้เป็นอะไรกับกรณ์ แล้วก่อนหน้านี้จะวิ่งตามมาอธิบายทำไมจ๊ะ ยอมเค้าด้วย ร้อนแรงสุดๆ :hao3: :ruready
เชียร์เพลงกับคนอื่นก็ไม่ขึ้น งั้นเพลงเอากรณ์ไป เดี๋ยวเราดูแลรันเอง

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 15 คำขอร้องของกรณ์


    กรณ์สบถผ่านลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย สามวันที่บิดามาอาศัยอยู่ในห้องชุดเดียวกับเขา มันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพ่อลูกทั่วไปแต่ไม่ใช่กับเขา ตั้งแต่มารดาแยกตัวออกไปอยู่ที่อเมริกาความสัมพันธ์ของเขากับบิดาก็ไม่เคยราบรื่นอีกเลย เพิ่งจะช่วงเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละ ที่อะไรๆ มันพอจะเข้าที่ขึ้นมาบ้าง คงเพราะเขาเองก็เหนื่อยที่จะดื้อ และท่านเองก็เหนื่อยที่จะคอยขัดใจเขาแล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังเซ็งถึงขั้นสุด

    เพราะไม่เคยได้มีชีวิตอย่างพ่อลูกคู่อื่นๆ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ เขาไม่เคยถามไถ่อะไร เช่นเดียวกับบิดาก็ไม่เคยหยิบยื่นความห่วงใยให้ อย่างแผลที่หน้าผากที่ถึงแม้ตอนนี้มันจะดีขึ้นมาเหลือแค่รอยแดง แต่ท่านก็ไม่เคยถามว่าใครทำแผลให้ กินยาหรือยัง หรือไปหาหมอบ้างหรือเปล่า แต่ถ้าหากท่านถามขึ้นมาจริงๆ มันคงน่าขนลุกพิลึก แต่คนที่ถามคำถามพวกนี้ เป็นไอ้เจ้าสี่ตา ไม่ใช่แค่ถามแต่ยังเป็นคนทำแผลให้เขาอีกด้วย

   เขาไปส่งดนตร์กลับหอพักนักศึกษาหลังจากต่อยปากเขาไปหนึ่งหมัด ดีที่ไม่แรงมากแต่ก็เล่นเอาต้องเบ้หน้าตอนอ้าปากไปหลายวัน เขาเลยทำโทษเจ้าเด็กอวดดีด้วยการจูบต่อเนื่องนานเกือบสิบนาทีก่อนจะยอมปล่อยให้กลับขึ้นหอไป เขาหัวเราะชอบใจตอนที่ได้เห็นปากอิ่มบวมเห่อเป็นครุฑ เจ้าตัวทำท่าจะด่าเขา แต่แค่ทำท่าจะคว้าคอก็วิ่งแนบหายไปอย่างรวดเร็ว 

    คุณท่านกริชไม่ได้ถามเรื่องของดนตร์อีก เพราะเขาเชื่อว่าข้อมูลทุกอย่างของดนตร์อยู่ในมือท่านเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึงคนอื่นๆ ในบ้านด้วย ผิดกับเขาที่รู้แค่ว่าดนตร์เป็นคนเชียงใหม่ มีพี่สาวหนึ่งคน ก่อนหน้านั้นเขาคิดเสมอว่าการที่จะรักหรือชอบพอกับใครสักคน องค์ประกอบอื่นไม่มีความหมาย ขอแค่คนๆ นั้นถูกใจเขาก็พอแล้ว ทว่าตอนนี้เขากลับเริ่มสนใจดนตร์อย่างจริงจัง อยากจะรู้จักคนในครอบครัว อยากรู้เรื่องราวในอดีต อยากรู้ว่าดนตร์ชอบหรือไม่ชอบอะไร อยากรู้เรื่องในชีวิตประจำวัน อยากรู้ว่าเคยมีแฟนมาแล้วกี่คนและอยากรู้ว่าดนตร์... ชอบเขาจริงหรือเปล่า

    อันที่จริงเขาสงสัยเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้ว แต่เพราะในตอนแรกไม่คิดจะสนใจ แล้วการที่มีเพศเดียวกันมาสนใจมันก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรสำหรับเขา เคยมีเด็กหนุ่มมาสารภาพรักด้วยซ้ำไป ตอนนั้นเขาไล่ตะเพิดไปแบบไม่รักษาน้ำใจด้วยซ้ำ ตอนนั้นเขาขนลุกไปหมดแค่คิดว่าต้องกอดจูบกับผู้ชายตัวสูงใหญ่ มีกล้ามเป็นมัดๆ กลิ่นสาบเหงื่อ เขาเลยปฏิเสธเด็ดขาด แต่ก็ไม่ได้คิดรังเกียจ แค่คิดว่าการมีแฟนเป็นผู้หญิงน่าจะดีกว่า... แต่เขาคิดผิดเมื่อมาเจอกับดนตร์

   ดนตร์เป็นผู้ชาย ไม่ได้มีส่วนเว้าส่วนโค้งยวนตา หรือหน้าอกแบบเต็มไม้เต็มมือ และมีทุกอย่างเหมือนกับเขา แต่น่าแปลกใจเหลือเกินที่เมื่อได้เห็น ได้สัมผัส ความต้องการก็ตื่นตัวอย่างรวดเร็ว ดนตร์ไม่ได้มีกลิ่นสาบเหมือนอย่างที่เคยคิด เขาแทบควบคุมไม่ได้ตอนที่พรมจูบไปบนผิวกายหอมกรุ่นเจือกลิ่นนม ผิวขาวเนียนสะอาด ไม่มีส่วนไหนเลยที่สกปรก หรือแม้แต่เส้นขนให้ระคายตา ใบหน้าที่ไม่ได้จิ้มลิ้มเหมือนผู้หญิง แต่ก็น่ารักและมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเฉพาะกับดนตร์แค่คนเดียว

    กรณ์ดึงความคิดกลับมาปัจจุบันอีกครั้ง ช่วงนี้เขามีงานที่ต้องส่งหลายชิ้น และถ้าหากผลงานได้คะแนนดีมันจะมีผลต่อการฝึกงานในปีหน้าของเขาด้วย ไม่เพียงเท่านั้นเพราะฝีมือที่ฝากไว้ในหนังสั้นทำให้มีโมเดลลิ่งติดต่อเข้ามาเพื่อให้เขาไปแคสเป็นนายแบบ ที่จริงมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่คงต้องรอให้หมดช่วงนี้ไปแล้วค่อยตัดสินใจอีกที ส่วนดนตร์ก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย สามวันที่ห่างกันเขาแทบไม่เห็นหน้าเลย ได้ข่าวว่าเด็กปีหนึ่งต้องขึ้นแสตนเชียร์เตรียมพร้อมสำหรับงานกีฬา งานนี้เขาไม่ได้ลงแข่งกีฬาประเภทไหน แต่อริญชย์ ธาวินและนักรบลงเล่นบาสเก็ตบอล อันที่จริงเขาเองก็โดนจีบให้ลงด้วยเหมือนกันแต่ก็ปฏิเสธไปเพราะเพิ่งประสบอุบัติเหตุมา

   และอีกคนที่ทำเหมือนจะหายไปจากชีวิตของเขาคือโยษิตา หล่อนไม่มาให้เขาเห็นอีกหลังจากเกิดเรื่องที่โรงพยาบาล เขาไม่ได้เข้าไปเช็คข่าวคราวของเธอในเฟซบุ๊ค แต่ธาวินบอกว่าเจ้าหล่อนพิมพ์ข้อความตัดพ้อต่อว่าเขาลงในบล็อคส่วนตัวโดยพาดพิงไปถึงดนตร์ด้วย เขาไม่ได้แก้ตัวอะไรเพราะอยากให้เรื่องนี้จบลงเสียที และรู้นิสัยของอดีตคนรักเก่าดี  ยิ่งตอบโต้หล่อนยิ่งได้ใจ สู้นิ่งเฉยไปเสียดีกว่า แล้วเขาก็ดีใจที่ดนตร์เองก็มีความคิดเช่นเดียวกัน

    กรณ์ถอนหายใจหนักๆ อาจารย์สั่งงานเพิ่มอีกแล้ว งานเก่าเขาเพิ่งเคลียร์ไปเมื่อเช้านี้เอง เวลานอนแทบไม่มีไหนจะต้องมาอึดอัดกับบิดาที่มาอาศัยอยู่ด้วยแบบไร้เหตุผล ที่สำคัญที่สุดเขาไม่ได้เจอหน้าดนตร์เลย

   ...โคตรคิดถึง!...

   ไม่ใช่แค่ขึ้นซ้อมเชียร์ แต่ดนตร์ยังทำงานพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟอีกด้วย นั่นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิด เพราะงานที่ต้องเร่งทำส่ง เลยไม่มีเวลาตามไปเฝ้า แถมแว่วว่าเจ้าสี่ตามันมีเสน่ห์น้อยที่ไหน ลูกค้าสาวๆ ก็ติดหลงใหลในรอยยิ้ม ส่วนลูกค้าผู้ชายก็ติดใจในการบริการ เขาวานให้เมธัสตามไปเฝ้าทำหน้าที่ไม้กันหมาไปในตัวแต่ไอ้เจ้านักรบมันไม่ยอม ตอนแรกก็สงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับเพื่อนรักผิวเข้มตาคมคนนี้ แต่พอมันบอกว่า ‘เด็กคนนี้ของกู’ เลยเป็นอันเข้าใจ

    กรณ์จดรายละเอียดของงานที่อาจารย์สั่งลวกๆ เอาแค่พอเข้าใจ มันไม่ใช่งานยากแต่กำหนดการกระชั้นชิด กาเรียนสถาปัตย์แม้จะไม่ต้องทำรายงานเป็นเล่มๆ เหมือนคณะอื่น แต่การรังสรรค์ผลงานให้เป็นที่ถูกใจรวมไปถึงการพรีเซนต์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนพูดไม่เก่งอย่างเขา

    “เลิกเรียนแล้วไปไหนหรือเปล่าวะ จะชวนไปดูซ้อมบาส”

   ธาวินกระซิบถาม ใบหน้าที่เคยซีดเผือดเมื่อสามวันก่อนดีขึ้นมาก เขาเพิ่งรู้ว่าสาเหตุที่ไม่เห็นหน้ามันในงานเลี้ยงฉลองหนังของไอ้อ้วนชนวีร์เพราะมันอาหารเป็นพิษนั่นเอง

   “ไม่ล่ะ วันนี้จะไปเฝ้าเมีย”

   คิ้วหนาๆ ของธาวินกระตุก ไอ้หมอนี่ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจเรื่องดนตร์เช่นเดียวกับอริญชย์ เขามั่นใจว่าทั้งสองรู้ถึงความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาของเขากับดนตร์ แต่อย่างว่าลองมันชอบไปแล้วก็ยากที่จะถอดใจ โดยเฉพาะกับคนที่มีรสนิยมหรือความชอบที่เหมือนกัน คิดแล้วก็น่าขำ 3 ใน 4 ของกลุ่มแก๊งที่มีอิทธิพลที่สุดในมหาวิทยาลัยดันมาชอบเพศเดียวกันแถมยังเป็นคนเดียวกันอีก

    “เรื่องเพลง ฉันยังไม่ถอดใจหรอกนะ แค่ถอยออกมาตั้งหลัก” ธาวินบอก มันทำหน้าอาฆาตก่อนจะกลับไปจดงานที่อาจารย์สั่งต่อ

    กรณ์เอนกายพิงพนักเก้าอี้ เพ่งสายตาไปยังแผ่นหลังของเพื่อนรักอีกคน อริญชย์ไม่ได้นั่งข้างๆ เขาเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับเลือกที่จะห่างออกไป สองสามที่นั่ง ตั้งแต่วันที่ดนตร์ทิ้งมันแล้ววิ่งตามเขามา มันก็ไม่พูดกับเขาอีกเลย เขายังไม่ลืมหรอกว่ามันบังอาจประทับจูบบนปากสวยๆ ของดนตร์ ทั้งที่รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น อริญชย์จงใจท้าทายเขา แต่เขาไม่ได้ถือสาเพราะคนต้นเรื่องถูกทำโทษเรียบร้อยแล้ว เล่นเอาเดินแบบปกติไม่ได้ไปหลายวันทีเดียวเลยล่ะ

    หลังจากสั่งงานเสร็จอาจารย์ก็เริ่มบรรยายต่อ เขาปล่อยความคิดไหลไปกับการสอนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก่อนจะถูกความเบื่อหน่ายเข้าปกคลุม ที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องดึงโทรศัพท์ออกมานั่งกดเล่น แล้วอะไรบางอย่างก็ดลใจให้เขาเข้าไปในเฟซบุ๊คของดนตร์ นิ้วกดเลื่อนดูการโพสต์ของเจ้าตัว ไล่ตั้งแต่ปัจจุบันย้อนไปในอดีต รูปที่ลงก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นนัก ข้อความก็ธรรมดา แต่บางรูปก็น่ารักจนเขาต้องแอบเซฟลงโทรศัพท์ อย่างเช่นรูปที่เจ้าตัวไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งกับเพื่อน เลื่อนลงมาเรื่อยๆ เขาก็เห็นรูปผู้หญิงผมสั้นแค่คอคนหนึ่ง วูบแรกเขารู้สึกไม่พอใจแต่เมื่อสังเกตดีๆ ถึงได้เห็นถึงบางอย่าง...ทั้งสองหน้าเหมือนกัน แม้จะไม่เหมือนทุกกระเบียดนิ้วแต่ก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน เธอคงเป็นพี่สาวของดนตร์

    กรณ์เผลออมยิ้มไม่รู้ตัว หลายรูปที่ดนตร์กับพี่สาวแสดงความสนิทสนม อย่างรูปที่ใส่ชุดหมีพูห์ด้วยกัน มันน่ารักน่าหยิกไม่หยอก เขาคิดภาพดนตร์ควงกับผู้หญิงไม่ออกเลย แต่ก็มั่นใจว่าก่อนหน้านี้ดนตร์เองก็คงเคยคบหาดูใจกับผู้หญิงมาเหมือนกัน เพราะดูจากลีลาจีบสาวเมื่อคราวก่อนนับว่าเก่งไม่หยอก

    เขาไล่ดูรูปที่ดนตร์ลงไว้เรื่อยๆ จนหมดคาบเรียน นี่เป็นวิชาสุดท้ายของวัน เพราะไม่ต้องไปซ้อมกีฬาหรือซ้อมเชียร์ เขาเลยมีเวลาว่างไปทำงานที่อาจารย์สั่งได้ เด็กคณะสถาปัตย์ไม่ค่อยจะตื่นเต้นกับงานกีฬาสักเท่าไร เพราะแค่งานของตัวเองก็แทบจะไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแล้ว ไม่เหมือนเด็กคณะนิเทศน์ ที่มีงานทีไร คณะนี้มีการแสดงอลังการเรียกเสียงฮือฮาได้ทุกครั้ง กรณ์ตั้งใจว่าจะไปเฝ้าดนตร์ที่ร้านกาแฟ และรอรับไปส่งถึงหอพัก สามวันที่ไม่ได้เจอกันเขาทั้งคิดถึงและเป็นห่วง รวมไปถึงหวงด้วย ยิ่งรู้ว่ามีลูกค้าทั้งชายและหญิงมาขายขนมจีบยิ่งทนไม่ไหว

    ระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากห้องเรียน หัวไหล่ของเขาก็ถูกโอบเอาไว้ นักรบนั่นเอง ไอ้เจ้าตาคมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะถาม

   “ไปเฝ้าเมียเหรอวะ ไปด้วยกันสิ ยีนส์มีซ้อมเชียร์วันนี้”

   “เกี่ยวอะไรกับยีนส์” เขาถามกลับ

   “อ้าว ไอ้โง่! ถ้ายีนส์ขึ้นซ้อมเชียร์ เพลงก็ต้องซ้อมด้วย นี่เพิ่งจะสี่โมง น้องมันทำงานตอนหกโมงเย็น”

   กรณ์พยักหน้ารับรู้ เขาเหลือบมองเพื่อนรักอีกสองคน ที่เดินนำหน้าไปก่อนและคิดว่าจุดหมายมันคงเป็นที่เดียวกับที่นักรบชวนเขาไปแน่ๆ

    สิ่งที่คาดการณ์ไว้เป็นจริงตามที่คิด แต่ไม่ทั้งหมดเพราะเขาเห็นแค่อริญชย์คนเดียวเท่านั้น ส่วนธาวินเขาไม่เห็นมันตั้งแต่ช่วงที่เดินหลุดจากคณะแล้ว นักรบพาเขามานั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจนัก พอเห็นเด็กปีหนึ่งเดินชักแถวขึ้นไปนั่งบนแสตนก็อดสงสารไม่ได้ อากาศเย็นๆ แบบนี้แทนที่จะได้กลับไปนอน กินข้าวกับแฟน กลับต้องมานั่งปรบมือตะโกนร้องเพลงเชียร์

   ดนตร์นั่งติดกับเมธัสในชั้นบนสุด วันนี้เจ้าเด็กดื้อของเขาสวมแจ็คเก็ตสีเทาแบบมีฮู้ดทับชุดนักศึกษา พวงแก้มใสแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยด้วยอากาศที่เย็นลง พอไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ ดนตร์แทบจะไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตาเลย แต่เขากลับละสายตาจากเด็กหนุ่มเสื้อสีเทาไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว จนนักรบต้องเอ่ยแซว

    “น้อยๆ หน่อย ตาแกเหมือนจะกลืนน้องลงท้องเลย”

   กรณ์อมยิ้ม “ก็คนมันชอบ”

    “เพิ่งรู้ว่าแกชอบผู้ชาย” นักรบแซว “แต่ยุคนี้สมัยนี้เรื่องเพศไม่สำคัญ อยู่กับใครแล้วมีความสุขก็พอแล้ว เออแล้วไปชอบน้องเพลงตอนไหนวะ ตอนแรกเห็นทำท่าเหมือนจะขย้ำคอ”

    “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” กรณ์บอก พลางคิดหาที่มาที่ไปของจุดเริ่มต้นความรู้สึก แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไร รู้แค่ว่าความรู้สึกที่มีให้กับดนตร์มันเหมือนการนับเลข เริ่มจากหนึ่งแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเรียกว่ารักได้ไม่เต็มปากแต่มันมากกว่าคำว่าชอบไปแล้ว
 
   “ไอ้ปากแข็ง” นักรบยกหัวไหล่ขึ้น “หน้าแกวอนท์อยากได้น้องเพลงตั้งแต่วันนั้นที่โรงอาหารแล้ว”

   “เวอร์”

   “ไม่เวอร์ ทำเป็นตีขลุม แกแต่มองน้องตลอด ไม่รู้ตัวเลยหรือไง”

   “ไม่รู้” กรณ์ตอบตามความจริง แต่ก็อาจจะเป็นไปอย่างที่นักรบบอกก็ได้ เขามักจะมองหาเจ้าเด็กสี่ตา แรกๆ ก็รำคาญแต่หลังๆ มันกลายเป็นโหวงๆ ถ้าไม่เห็น แล้วจะพัฒนาเป็นหงุดหงิดทันทีที่เห็นว่ามีคนอื่นอยู่กับดนตร์

    “เออๆ ไม่รู้ก็ไม่รู้ แล้วนี่เคลียร์กับยาหยีหรือยัง เดี๋ยวอดีตดาวคณะก็ตามไปแหกอกเพลงอีก”

   “คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง เงียบๆ ไปแล้วนี่”

   “เงียบเหรอ? เคยสนใจคนอื่นบ้างหรือเปล่านอกจากตัวเองน่ะ”

    หัวคิ้วกระตุกกึก กรณ์มองหาคนพูด เพราะน้ำเสียงที่ได้ยินไม่ใช่ของนักรบ แล้วก็หันไปเจอกับร่างสูงใหญ่ของหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิท...อริญชย์ นึกแปลกใจว่ามันมาโผล่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

   “หมายความว่ายังไง”

   อริญชย์ไม่ตอบแต่ยื่นโทรศัพท์ให้

    สิ่งที่เห็นในหน้าจอโทรศัพท์มือถือคือข้อความยาวเหยียดที่อยู่ในเพซบุ๊คของโยษิตา เธอบอกเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งแรกที่ได้พบกับเขาตรงระเบียงทางเดิน และพบกันอีกครั้งที่ห้องแทงบิลเลียด เหมือนเป็นไดอารี่เล่าเรื่องราวของความรัก แต่อ่านแล้วชวนเศร้าเพราะมันจบด้วยการเลิกรา โดยไม่ลืมทิ้งท้ายชวนให้คนอ่านสงสารผู้เขียน

    ‘...ฉันยังคงรอคอยจูบจากเขาอยู่เสมอ’

    “บ้าเอ๊ย!”

    กรณ์สบถในคอ หน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธ โยษิตากำลังเล่นสงครามประสาทกับเขา ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอทำให้เขาตายใจ เพราะโยษิตาไม่เคยส่งข้อความมาตัดพ้อต่อว่า แค่โพสต์ข้อความแรงๆ ไม่กี่ครั้งแล้วก็เงียบหายไป ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อมาด้วย และตอนนี้หล่อนกำลังจะเอาคืนเขา เพราะมั่นใจว่าข้อความน่าสงสารพวกนั้นไม่ใช่เพราะอาลัยรักในตัวเขา แต่ต้องการให้สังคมลงโทษเขาต่างหาก

   ค่อนข้างแน่ใจว่าโยษิตาไม่ได้อาลัยรักแหมือนอย่างที่เธอพรรณนาโวหารไว้ในเฟซบุ๊คหรอก เขาจำสีหน้าและแววตาของเธอในวันนั้นได้ดี มันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แทบไม่เห็นความรักที่เธอมีให้เขาเลย

   กรณ์พ่นลมหายใจแรงๆ ก่อนจะปัดมือเพื่อนรักออก จากนี้เขาคงต้องตั้งรับกับคำส่อเสียดต่างๆนานา และไม่ใช่แค่เขาแต่ยังรวมไปถึงดนตร์ด้วย เจ้าตัวต้องพลอยฟ้าพลอยฝนโดนด่าว่าไปอีกคน ทั้งที่คนผิดคือเขาเพียงคนเดียว

    “จะเอายังไง ฉันไม่ยอมให้เพลงทำร้ายเพลงอีกแน่”

    อริญชย์บอก ซึ่งเขาเองก็ไม่มีทางยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเช่นกัน แต่จะให้ไปขู่บังคับผู้หญิงมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายควรทำ ถึงจะไม่ใช่คนดีแต่เขาก็ไม่เลวพอที่จะรังแกผู้หญิง

    “จะทำอะไรก็ทำให้เด็ดขาดนะ เพราะฉันเองก็จะเดินหน้าเต็มแล้วเหมือนกัน ไม่สนใจด้วยว่าเพลงจะผ่านอะไรมาบ้าง ขอแค่พอใจฉัน อย่างอื่นฉันก็ไม่สน” อริญชย์เน้นเจตนาของตัวเอง แววตาเด็ดเดี่ยวไม่มีความลังเลให้เห็นแม้แต่น้อย

    “ฉันเห็นด้วยกับรัน” นักรบสำทับอีกแรง ราวกับกลัวว่าเขาจะปล่อยให้ปัญหานี้คาราคาซังต่อไป

    กรณ์เหลือบมองเด็กหนุ่มผิวขาวแก้มแดงที่นั่งปะปนอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่น ดนตร์คือผู้ถูกกระทำอย่างแท้จริง และเป็นเพราะเขาเรื่องทุกอย่างมันถึงได้ยุ่งเหยิงแบบนี้ ถ้าแค่ทำใจแข็งสักหน่อย ไม่ไขว้เขว ไม่มีความคิดบ้าๆ ที่อยากจะเอาชนะ ดนตร์คงได้อยู่อย่างสุขสงบ...น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีความคิดพวกนี้เลย ไม่สนใจด้วยว่าดนตร์จะรู้สึกอย่างไร กลับชอบใจด้วยซ้ำที่ได้เห็นสีหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่าย

    ...ทำไมความคิดมันย้อนแย้งไปหมดแบบนี้!...

     ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวจนผมเสียทรง แต่ก็แค่สางมือเสยๆ มันไปด้านหลัง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างโปร่งของดนตร์ เขาเลือกดนตร์อยู่แล้วแต่เขาจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้โยษิตาทำร้ายดนตร์ทั้งทางกายและทางใจ...บางทีเขาอาจจะต้องกลับไปสานสัมพันธ์กับพ่อดูสักครั้ง...

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
        กริชนั่งอยู่กลางร้านกาแฟในตอนหนึ่งทุ่มตรง มันน่าแปลกไม่น้อยที่เวลาหัวค่ำแบบนี้แต่กลับมานั่งจิบกาแฟ พร้อมกับเค้กหน้าตาน่ารักจนไม่กล้ากิน แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือคนที่ชวนเขามาคือกรณ์ลูกชายผู้ที่ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นพ่อ

    หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบต้นๆ นั่งกอดอกมองคู่สนทนา แม้จะเรียกว่าคู่สนทนา แต่ตลอด 20 นาทีที่ผ่านมายังไม่มีบทสนทนาเลยแม้แต่คำเดียว มีแต่เสียงขีดเขียนของดินสอบนหน้ากระดาษ อย่าว่าแต่คำพูดเลย แม้แต่ใบหน้าของบุตรชายเขาก็ยังเห็นไม่ชัด กรณ์เอาแต่ก้มหน้าก้มตาวาดรูป บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมาดูดกาแฟเย็นที่สั่งไป แต่เพิกเฉยกับเค้ก ถึงจะไม่สนิทกันแต่ก็รู้ว่ากรณ์ไม่พิสมัยของหวานเท่าไรนัก แต่ที่ไม่เข้าใจว่าไม่ชอบกินจะสั่งมาวางให้เกะกะทำไม

    กริชถอนลมหายใจเบาๆ ยกแก้วชาร้อนกลิ่นหอมอ่อนขึ้นจิบ ถึงเหตุการณ์จะแปลกประหลาดไปเสียหน่อยแต่นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นกรณ์อยู่กับสิ่งที่รัก อันที่จริงเขาก็รู้อยู่แล้วว่ากรณ์มีความสามารถด้านศิลปะ และช่วยขับกล่อมให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนกลายเป็นหนุ่มรักอิสระ รางวัลที่มาจากการรังสรรค์ผลงานบางส่วนอยู่ในตู้โชว์ที่บ้าน สำหรับคนเป็นพ่อแล้วมันน่าภูมิใจไม่น้อย แต่เขากลับไม่เคยกล่าวชื่นชมให้กรณ์ดีใจ นี่เป็นหนึ่งในข้อเสียของเขา

    ...ปากหนัก...

   อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาต้องมาเป็นลูกค้าในร้านกาแฟคือพนักงานที่ชื่อดนตร์ เด็กหนุ่มใส่แว่น ผิวขาว และเป็นคนที่กรณ์ประกาศชัดเจนว่าเป็นคนรักทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่นี่ ดนตร์ขยันขันแข็งใช้ได้เลยทีเดียว รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากใบหน้า ดวงตากลมจะหยีลงยามที่ต้อนรับลูกค้า แถมยังแคล่วคล่องว่องไว ด้วยวัยที่เกินห้าสิบปีแล้ว เขาพอจะมองออกว่าดนตร์มีเสน่ห์ไม่น้อย เพราะลูกค้าสาวๆ มักจะส่งสายตาอ้อยอิ่งไปให้ บางส่วนก็ส่งเผื่อมาถึงลูกชายของเขาด้วย นั่นไม่นับรวมลูกค้าผู้ชายบางคน

    กริชยกมือบีบขมับเบาๆ โลกมันเปลี่ยนไปจนเขาตามไม่ทัน หนุ่มใหญ่ลองตักเค้กหน้าตาน่ารักขึ้นมากิน พอใจกับรสหวานน้อยๆ แต่หอมนุ่มละมุนลิ้น ยิ่งกินคู่กับกาแฟความอร่อยยิ่งทบทวี เขาปลดปล่อยความคิดหนักหัวออกไป แล้วตั้งใจละเมียดชิมรสอร่อยๆ ของขนมแทน นานเหลือเกินที่ไม่ได้มีช่วงเวลาแบบนี้ คงตั้งแต่เข้าเรียนมัธยมปลายกระมัง

    กรณ์เงยหน้าขึ้นหลังจากผ่านไปอีกสิบนาที งานที่ก้มหน้าก้มตาทำมาพักใหญ่คืบหน้าไปมากทีเดียว มองเห็นเป็นเค้าโครงของสถาปัตยกรรมบางอย่างที่มีส่วนผสมทั้งของไทยและยุโรป ผู้สูงวัยผ่อนลมหายใจเบาๆ อีกครา เขาจัดการเค้กหมดไปตั้งแต่ห้านาทีก่อนแล้ว กาแฟก็หมดจนไม่เหลือสักหยด ยอมรับว่าขนมและกาแฟร้านนี้รสชาติดีพอๆ กับร้านหรูเลยทีเดียว

    “มีเรื่องอะไร” กริชเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน

    “ก็...ไม่มีอะไร” กรณ์ตอบพลางยกกาแฟเย็นที่มีหยดน้ำเกาะพราวรอบแก้วขึ้นดูด “ขนมอร่อยไหม”

    กริชขมวดคิ้วน้อยๆ “ทำไม”

   “ก็พ่อกินหมด ปกติพ่อไม่กินของพวกนี้นี่”

   คิ้วหนาคลายตัวออกเปลี่ยนเป็นเลิกสูงแทน กรณ์สร้างความแปลกใจให้เขาเป็นครั้งที่สามของวัน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากรณ์จะรู้ว่าเขาชอบกินหรือไม่ชอบกินอะไร ใช่...เขาไม่ค่อยชอบพวกเบเกอรี่เท่าไรนัก แต่ถ้าเป็นพวกขนมโบราณจะโปรดปรานเป็นพิเศษ กริชกระแอมแก้เก้อ เค้กร้านนี้อร่อยจริงๆ นั่นแหละ หลักฐานคือจานที่ว่างเปล่า

    “จะเข้าเรื่องได้หรือยัง”

    “โอเค” กรณ์ยกมือทำท่ายอมแพ้ แล้วปิดหน้าสมุดที่วาดภาพค้างไว้ “พ่อรู้จักครอบครัวของยาหยีใช่ไหม”

   “ใช่...ทำไม”

   “ระหว่างเพลงกับยาหยี พ่อชอบใครมากกว่ากัน”

   “ยาหยี”

   กรณ์ขมวดคิ้วฉับ ใบหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที “ดูให้ดีอีกทีครับ ตัดเรื่องเพศทิ้งไป พ่อคิดว่าระหว่างคนที่มีครอบครัวร่ำรวยไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ไปตลอดชาติ กับคนที่มีฐานะปานกลาง พ่อแม่ทำงานบริษัท ดิ้นรนมาเรียนที่นี่ อยู่ตัวคนเดียว แถมยังต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อช่วยลดภาระครอบครัว พ่อว่าคนประเภทไหนที่น่ายกย่องกว่ากัน”

   “สำหรับนักธุรกิจอย่างฉัน ถ้าเพื่อผลประโยชน์ต้องเลือกคนที่มีเงินทองอยู่แล้ว” กริชตอบตามความจริง “แต่ในฐานะของคนทำงาน ฉันชื่นชมคนขยัน”

   “แล้วสรุปพ่อชอบแบบไหน” กรณ์ถามต่อ

   “ถ้าจะให้เลือกคนที่จะมาเป็นสะใภ้ ฉันก็ยังยืนยันว่าเป็นหนูยาหยี”

    กรณ์กระตุกยิ้มเหยียด “พ่อนี่ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ เงินมาก่อนหัวใจเสมอ”

   “แกต้องการอะไรกันแน่” กริชผ่อนลมหายใจหนักๆ นึกอยากจะได้กาแฟอีกสักแก้ว หางตาเหลือบเห็นเด็กหนุ่มผิวขาวกำลังสนทนาอยู่กับลูกค้าสาวสวย และไม่ใช่แค่เขาที่เห็น ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอตรงหน้าด้วยเช่นกัน กรณ์มองภาพนั้นตาไม่กะพริบ ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ จนอดคิดไม่ได้ว่ามันอาจจะลุกขึ้นไปทำเรื่องบ้าๆ เพราะความหึงหวง

    ลูกชายคนเดียวของเขาพรูลมหายใจเบาๆ และไม่ได้ลุกขึ้นไปแสดงความหึงหวงอย่างที่คิดไว้ กรณ์แค่ทำหน้าเหมือนจะฆ่าใครเท่านั้นเอง

    “ผมเลิกกับยาหยีแล้ว ส่วนสาเหตุก็เพราะเพลง” ตาคมที่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมไปจากเขาปรายไปยังร่างโปร่งที่สาละวนอยู่กับการเสิร์ฟกาแฟ “เด็กนั่นไม่ได้มายั่วผม แต่ผมขืนใจเขา”

   ทันทีที่ได้ฟังคำสารภาพหัวของเขาก็ชาวาบ ถึงจะรู้ประวัติของดนตร์มาแบบละเอียดถี่ถ้วนแต่เรื่องที่กรณ์ขืนใจดนตร์เขาไม่เคยรู้มาก่อน กริชนิ่งงันไปร่วมนาทีก่อนจะปรับตั้งสติใหม่ รอฟังคำจากบุตรชายต่อ

    “ตอนแรกผมทำไปเพราะผมเมา แต่หลังจากนั้นมันไม่ใช่ ผมยอมรับว่าผมติดใจในร่างกายของเพลงแต่ผมไม่ได้เป็นเกย์ เพราะผมไม่เคยพิศวาสผู้ชายคนไหนอีก แต่หลังจากนั้นผมก็ชอบเพลง มันมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีผมก็เลิกมองเพลงไม่ได้แล้ว”

    “ทั้งที่ตอนนั้นแกยังคบกับยาหยีอยู่?”

   “ใช่ครับ” กรณ์ยอมรับ ใบหน้าขึงขังจริงจัง “ส่วนยาหยี ผมก็รู้สึกดีกับเธอนะครับ แต่ไม่รู้เรียกว่ารักได้เต็มปากหรือเปล่า เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความรักหน้าตาเป็นยังไง ตั้งแต่เกิดมาผมแทบจะสัมผัสกับมันไม่ได้ด้วยซ้ำ”

    “แกต้องการอะไรกันแน่”

    “ผมจะยอมทำงานให้พ่อ ผมขออย่างเดียว...” กรณ์หนาวเว้นวรรค “...ขอให้พ่อยอมรับเพลง”

    กริชนิ่งเงียบไป เขาไม่เคยได้ยินคำขอร้องของกรณ์มาก่อน ตั้งแต่ยังเยาว์วัยกรณ์ไม่เคยร้องขอหรืออ้อนเอาอะไรจากเขาเลยแม้แต่ความรัก

    “แล้วฉันจะเชื่อใจแกได้ยังไง”

    “เทอมหน้าผมต้องฝึกงานแล้ว ผมจะไปฝึกงานที่บริษัทพ่อ”

    ผู้สูงวัยไม่ได้กล่าวอะไร หากแต่ไตร่ตรองนึกย้อนถึงคำพูดที่สร้างความแปลกใจให้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็พบว่าสิ่งที่ทำให้กรณ์เปลี่ยนไป จากคนก้าวร้าว ต่อต้าน เฉยเมินกับทุกสิ่งแม้แต่คนเป็นพ่ออย่างเขาคือดนตร์ ด้วยประสบการณ์ชีวิต เขาเชื่อเหลือเกินกว่าอีกไม่นานบุตรชายคงจะได้รู้จักกับว่า ‘รัก’ กริชลอบผ่อนลมหายใจ ก่อนจะปรายตามองไปยังร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดของกรณ์ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กคนนั้นจะมีอิทธิพลกับกรณ์ได้มากถึงเพียงนี้ แม้แต่เขาเองที่เป็นพ่อแท้ๆ ยังทำไม่ได้...แต่ก็ไม่อาจโทษใครได้ในเมื่อทุกอย่างมันเริ่มที่ตัวเขาเองทั้งสิ้น

    ดนตร์ยังง่วนอยู่กับการทำหน้าที่ของตัวเอง ใบหน้าขาวมีรอยยิ้มประดับตลอดเวลา ดนตร์ทำให้เขาหวนคิดไปเมื่อตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นเขาช่วยบิดาทำงานทุกอย่างเพื่อประคับประคองกิจการที่บรรพบุรุษสร้างเอาไว้ เขาเลยกลายเป็นคนเย็นชา เพิกเฉยกับสิ่งรอบข้าง แม้แต่สตรีที่มาเป็นคู่ชีวิต เขาก็ไม่ได้เป็นคนเลือก พวกผู้ใหญ่เลือกให้และคิดว่าแม่ของกรณ์คือคนที่เหมาะสมที่สุด เขาเองก็เห็นด้วย เธอสวย เพียบพร้อม ขาดแต่อย่างเดียวคือเขายังไม่ได้รักเธอ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปความใกล้ชิดก็ผลักดันให้คนแปลกหน้ายอมหันหน้าเข้าหากัน จนในที่สุดเขาก็มีกรณ์เป็นทายาทและตอนนั้นเองที่เขารู้จักคำว่าความรัก แต่เพราะเพิ่งรู้จักเลยไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร อีกทั้งยังแสดงออกไม่เป็น ภาวินีเลยไม่รู้ว่าเขารักเธอ ตอนที่เธอทำเรื่องขอหย่าและย้ายไปอยู่ที่อเมริกา การจากลาทั้งที่ยังรักมันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่ด้วยทิฐิและศักดิ์ศรีทำให้เขาต้องสูญเสียคนที่รักไปหนึ่งคน โชคยังดีที่เขายังเหลือกรณ์อยู่

    ...มันคงถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่พ่อจริงๆ เสียที...

   “ถ้าแกต้องการอย่างนั้นฉันก็ยินดี แต่ฉันจะไม่ให้แกไปฝึกงานในบริษัทของฉันหรอกนะ แกต้องไปฝึกงานที่บริษัทอื่นในตำแหน่งของพนักงาน ไม่อย่างนั้นเรื่องที่คุยกันวันนี้ถือว่าเป็นโมฆะ”

    กรณ์ยักไหล่ “ก็แล้วแต่พ่อ”



    ป้าย open เปลี่ยนเป็น closed หลังจากสี่ทุ่ม พนักงานทุกคนในร้านต่างถอนหายใจเสียงดังเมื่อหน้าที่อันหนักหน่วงหมดไปอีกวัน ช่วงนี้ลูกค้าเยอะเป็นพิเศษเพราะหลายคนหลบอากาศเย็นด้วยการมานั่งจิบชา กาแฟ อุ่นๆ ในร้าน ดนตร์นั่งเหยียดขาตามความยาวเพื่อคลายความเหนื่อยล้า วันนี้เขาเดินรับออร์เดอร์ไม่หยุด ไหนจะเมื่อยแก้มเพราะลูกค้าชอบให้เขายิ้ม สามวันมานี่พี่พายใช้งานเขาคุ้มกับที่ลางานไปหลายวัน

    แล้วจู่ๆ แผ่นหลังก็เกิดร้อนผ่าวขึ้นมา เขารู้สาเหตุดีว่าเป็นเพราะอะไร เพราะตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้วที่มีอาการร้อนวูบวาบแถวแผ่นหลัง คงเพราะสายตาของใครบางคนที่มักจะมองมาอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง

    การที่ได้เห็นกรณ์กับบิดามันเป็นเรื่อมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเห็นหมีแพนด้าบินได้เสียอีก นี่เป็นคำกล่าวของชนวีร์หลังจากที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังทางโทรศัพท์ทันทีที่เห็นสองพ่อลูกเข้ามาในร้าน

    ‘เป็นบุญของแกแล้ว รู้ไหมสองพ่อลูกคู่นี้ไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันเลย เห็นหมีแพนด้าบินได้ยังไม่น่าตื่นเต้นเท่านี้’

    ดนตร์ค่อยๆ เบือนหน้าหันมองเจ้าของสายตาที่แผดเผาแผ่นหลัง พอเห็นแก้วตาสีนิลก็รีบหันหน้ากลับ กรณ์ยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น ถ้าจำไม่ผิดก็ร่วมยี่สิบนาทีแล้ว

   ...จะจ้องให้ท้องเลยหรือไง!...

    “พวกเราจะไปกินเหล้ากันต่อ นายสนใจไหม”

    พี่กายถาม ทางนั้นเปลี่ยนชุดแล้วเรียบร้อยขณะที่เขายังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่เลย ดนตร์อยากจะพยักหน้าตอบรับเพราะห่างหายไปจากวงเหล้าเสียนานชักจะเปรี้ยวปากขึ้นมาเหมือนกัน ทว่าเจ้าของดวงตาสีดำคู่นั้นคงฆ่าเขาตายแน่ถ้าหากทำตามใจตัวเอง

   “พวกพี่ไปกันเถอะครับ ผมกลับไปนอนดีกว่า”

    พี่กายยิ้มเผล่อย่างรู้ทัน “ไอ้หนุ่มรูปหล่อนั่นมาเฝ้าน่ะสิถึงไม่กล้าไป เอาเถอะๆ ไว้วันไหนผัวเผลอแล้วค่อยเจอกันก็ได้”
   แก้มเขาร้อนวูบกับคำแซวของรุ่นพี่ตัวสูง ให้ตายเถอะ! เขาไม่ได้มีทีท่าเหมือนพวกมี ‘สามี’ เสียหน่อย ทำไมคนพวกนี้ถึงคิดว่าเขาเป็น ‘เมีย’ กันหมด!

    “จะไปไหนก็ไปเลย ผมไม่อยากคุยกับพี่แล้ว” ดนตร์ย่นจมูกใส่ ก่อนจะลุกหนีหายเข้าไปด้านหลังร้าน

     พนักงานคนอื่นๆ ทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว เหลือแค่เขากับพี่พาย  ที่ยังเคลียร์บัญชีอยู่หน้าร้าน ดนตร์เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพักพนักงาน ภายในมีตู้ล็อคเกอร์เล็กๆ ตั้งเรียงติดกันเกือบสิบตู้ อีกฟากของห้องมีกระจกบานยาวขนาด 1 x 1.20 เมตรไว้ให้เสริมหล่อเสริมสวย ดนตร์ดึงสายคาดเอวออก แล้วยกผ้ากันเปื้อนแบบเต็มตัวออกทางศีรษะ สะบัด สองสามทีแล้วพับเก็บเข้าตู้ มือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตนักศึกษาด้วยความเหนื่อยล้า พอหลุดครบทุกเม็ดก็จับมันใส่กระเป๋าเป้ เพราะต้องเอาไปซัก ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ไอเย็นเล่นเอาขนลุกชัน เขารีบคว้าเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลขึ้นมาสวมแทน เสื้อตัวนี้เป็นของกรณ์ที่เขาแอบขโมยมา แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้คืนสักที เขาค่อนข้างชอบเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่มของมัน รวมถึงขนาดที่ใหญ่เกินตัวเพราะมันทำให้สบายไม่อึดอัด แต่แค่ศีรษะผ่านลอดเข้าไปในตัวเสื้อ อะไรบางอย่างก็รวบเข้าที่เอว

    “เฮ้ย! อะไรวะ!”

    ดนตร์ร้องโวยวาย เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่ยังไม่กลับแล้วเล่นพิเรนทร์หากแต่เมื่อดึงเสื้อลงจากศีรษะได้สำเร็จเขาถึงได้รู้ว่าคนนั้นๆ ไม่ใช่เพื่อน

   “พี่กรณ์!”

    เจ้าของชื่อเลิกคิ้วสูง ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างไปแค่คืบเดียวเท่านั้น ท่อนแขนแข็งแรงรวบรัดอยู่ที่รอบเอวเปลือยเปล่า ดวงตาสีนิลมีแววไม่พอใจเล็กๆ เจืออยู่ด้วย

    “ทำไมต้องตกใจ” น้ำเสียงเกือบห้วนถามขึ้น

    “ก็นี่มันห้องพักพนักงานจะไม่ให้ผมตกใจได้ยังไง” ดนตร์บอก “แล้วนี่พี่เข้ามาได้ยังไง”

   “ก็เดินเข้ามา” กรณ์ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ดวงตาดุดันคู่นั้นอ่อนแสงลงเล็กน้อย แต่ใบหน้าได้รูปกลับยื่นเข้ามาใกล้กว่าเดิม ดนตร์หันหน้าหนีโดยอัตโนมัติ ปลายจมูกโด่งเฉียดผิวแก้มไปแค่นิดเดียวเท่านั้น เขาขืนตัวไว้เต็มกำลัง ถึงจะเคยเห็นอะไรต่อมิอะไรมาหมดแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ชินกับความสนิทสนมแบบนี้สักที ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดลำคอจนขนอ่อนลุกฮือ ดนตร์เกือบจะเผลอครางสะท้านกับปฏิกิริยาตอบกลับของตัวเอง แล้วเสียงทุ้มๆ ต่ำๆ นั่นก็ดังขึ้นใกล้ใบหู

   “คิดถึง”

   คำพูดเดียวที่ทำให้เขาละลายกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ดนตร์ผินหน้ากลับมาหาคนตัวสูง ทำใจกล้ามองตาสีดำ มันอยู่ใกล้เสียจนมองเห็นภาพสะท้อนในเงาตาของอีกฝ่าย สามวันแล้วที่เขาไม่ได้เจอกับกรณ์ ลึกๆ แล้วเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่เขาไม่อาจแสดงออกหรือบอกได้ สถานะของพวกเขาไม่ชัดเจน ไม่ใช่คู่รักแต่ก็เกินพี่น้อง

    เขากลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ เรียน ทำกิจกรรมและทำงานพิเศษ คุยกับพี่สาว พ่อแม่และหลานชายตัวอ้วน โดยซ่อนอีกความรู้สึกเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด แต่วันนี้กำแพงที่เคยตั้งไว้มันทลายลงเพราะเขาเองก็ ‘คิดถึง’ กรณ์เหมือนกัน

    อุ้งมือร้อนประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยรอบขอบริมฝีปาก กดคลึงเบาๆ ราวกับจะทดสอบความนุ่ม ดวงตาดุบัดนี้อ่อนเชื่อมจนคนมองใจหวามหวิว ดนตร์มองส่วนประกอบบนใบหน้า ทั้งคิ้วหนาดำที่เข้ากับดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหนา เส้นผมสีดำถูกหวีเสยไปด้านหลัง ด้านข้างไถเรียบ จอนไล่ยาวเป็นระเบียบจนเกือบถึงแนวขากรรไกรแข็งแรง กลิ่นกายหอมเย็นคล้ายมินต์ ไม่แปลกใจเลยที่กรณ์จะเป็นหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัย มิหนำซ้ำยังทำท่าจะได้เข้าไปในวงการบันเทิงอีกด้วย พี่วินบอกว่ามีโมเดลลิ่งติดต่อให้กรณ์ไปร่วมงานหลายแห่ง หลังจากที่หนังสั้นถูกปล่อยทางออนไลน์เพียงไม่กี่วัน เช่นเดียวกับลลิตา รายนั้นก็มีคนติดต่อให้ไปถ่ายแบบลงนิตยสารแล้วด้วย

    กรณ์กดประทับริมฝีปากลงมา กลีบปากถูกบดคลึงอย่างเอาใจ ไม่ได้จาบจ้วงหรือรุนแรง ดนตร์เผยอปากขึ้นเล็กน้อยต้อนรับลิ้นอุ่นที่สอดเข้ามาคลอเคลีย แบ่งปันจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึง เรียวลิ้นเกี่ยวพัน บางจังหวะถอยหนีให้เขารุกไล่ แต่พอได้จังหวะก็ดูดกลืนจนเสียการทรงตัว หน้าท้องของเขาเสียววูบความคิดถึงผสมตีเคล้ากับความต้องการที่ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว จากจูบที่หวานล้ำเปลี่ยนเป็นกำซ่านร้อนแรง

    คนตัวสูงก้าวตามประกบติด ทุกส่วนของอวัยวะด้านหน้าแนบชิดแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศได้ลอดผ่านไปได้ มือใหญ่เลื่อนจากเอวเล็กลงไปที่เนินสะโพกกลม กดมือพลางดันหน้าขาของตัวเองให้เสียดสี สัดส่วนกลางลำตัวร้อนผ่าว แม้จะมีผ้ากางกั้นอยู่หลายชั้นก็ยังรู้สึกได้ แข้งขาพาลอ่อนแรง ขาเริ่มสั่นจนต้องยกมือโอบรอบลำคอหนาเพื่อพยุงกายเอาไว้

     พวกเขาจูบกันอยู่นาน กรณ์กอดกระชับร่างเล็กกว่าแน่นพลางก้าวขาพาให้อีกคนต้องก้าวตามไปด้วย ก่อนจะมาหยุดที่หน้ากระจกบานยาว เขาเหลือบตามองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก หน้าแดงขึ้นจากเลือดที่สูบฉีด ชายหนุ่มหลุบตามองอีกคน แก้มใสระเรื่อเหมือนลูกมะเขือเทศ ตากลมหรี่ปรืออยู่หลังแว่นกรอบสี่เหลี่ยม กรณ์ดึงแว่นน่าเกะกะนั่นอก แล้ววกสายตากลับมาที่กลีบปากอิ่มแดงจัดอีกครั้ง ตอนนี้มันบวมเห่อน้อยๆ จากการถูกจูบซ้ำๆ ดนตร์หายใจไม่เป็นจังหวะ มือเกาะเกี่ยวเขาเอาไว้ ผิวกายใต้เนื้อผ้าร้อนผ่าวไม่ต่างกับเขา ราวกับรู้ว่ากำลังถูกจับจ้อง เปลือกตาบางเปิดขึ้น ตาใสมองเขาทั้งสงสัยและเว้าวอน ใบหน้าที่กึ่งไร้เดียงกึ่งเรียกร้องมันกระตุ้นเขายิ่งกว่ายาปลุกเซ็กซ์เสียอีก

    ความคิดดีๆ ผุดขึ้น เขาอยากให้ดนตร์เห็นหน้าตัวเองชัดๆ เหลือเกิน จะได้รู้ว่าทำไมเขาถึงได้หลงใหลนัก กรณ์จับร่างโปร่งพลิกกลับ แผ่นหลังชิดกับอกของเขา โดยที่ส่วนหน้าปรากฏอยู่ในกระจกทรงยาว ดนตร์หน้าแดงกว่าเดิม พยายามจะหันตัวหนีแต่เขาไม่ยอม เขายึดคางมนเอาไว้ ยื่นใบหน้าเข้าไปแนบชิด กดจมูกลงที่ข้างแก้มเนียนสูดเอากลิ่นน้ำนมไว้ในปอด ขณะที่มืออีกข้างสอดเข้าไปในชายเสื้อแขนยาวที่จำได้ว่าเป็นของตัวเองลูบไล้สีข้างแล้วลากเลยขึ้นมาแถวหน้าอก จงใจใช้ปลายนิ้วปัดผ่านปลายถันจนมันแข็งชัน

    ดนตร์ครางเบาๆ ผินหน้าหนีจากภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ปากพึมพำปรามคนตัวสูง “เดี๋ยวพี่พายเข้ามา”

   “แค่ห้านาที”

    กรณ์บอก ตอนนี้เขาทั้งคิดถึงทั้งต้องการ ถ้าหากไม่ทำอะไรคงต้องตายแน่ ส่วนหน้าร้อนและแข็งกร้าวจนปวดหนึบไปหมด มันดันตัวเสียดสีกับก้นกลม แม้จะรู้ว่าสถานที่ไม่อำนวยนักและเสี่ยงต่อการถูกเห็น แต่ความอดทนมันมีขีดจำกัด! เขาไม่รอให้ดนตร์ทักท้วงอีก มือทั้งสองเลื่อนลงสู่ขอบกางเกง จัดการรูดเข็มขัดปลดตะขออย่างรีบร้อน ใช้เวลาแค่อึดใจเดียวท่อนล่างก็เปล่าเปลือย ฝ่ามือกร้านขยำก้อนเนื้อกลม ใช้เข่าแทรกลงไปตรงกลางระหว่างเรียวขาขาว ดนตร์ย่อตัวลงอย่างรู้หน้าที่ เขามองก้นกลมขาวโพลน พลางกรีดนิ้วลากผ่านรอยแยก ก่อนจะกดนิ้วลงไปในช่องทางคับแคบ ผนังร้อนดูดรัดสิ่งแปลกปลอมทันที กรณ์กัดฟันกรอดเขาต้องคอยห้ามไม่ให้พาตัวเองแทรกเข้าไปแทนนิ้ว

    ดนตร์สูดปากคราง แต่พอนึกได้ว่าที่นี่คือห้องพักของพนักงานก็รีบยกมือขึ้นปิดปาก พอเหลือบไปเห็นหน้าของตัวเองในกระจก ก็ต้องหันหนี เพราะไม่อาจทนมองสีหน้าและอารมณ์ของตัวเองได้ กรณ์กดแผ่นหลังบางให้ต่ำลงอีกนิด จนระดับสะโพกพอดีกับตำแหน่ง ชายหนุ่มรีบร้อนรูดซิปลง ดึงเอาท่อนเนื้อร้อนออกมาแล้วประคองมันจดจ่อกับทางรักสีสด เขาค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะไม่มีทั้งเจลหล่อลื่นทั้งถุงยาง หากบุ่มบ่ามเอาแต่ใจดนตร์จะเจ็บหนัก ดนตร์คับแน่นเหลือเกินแค่ส่วนปลายยังผ่านเข้าไม่ได้ เขาต้องดึงตัวเองออกมาแล้วใช้นิ้วช่วยขยายทางอีกครั้ง

    “อื้อ พี่ครับ เร็วหน่อยเดี๋ยวมีคนเห็น”

   ดนตร์เร่งเร้า เขาจับกายร้อนผ่านทางรักสีสดอีกรอบ คราวนี้มันสามารถผ่านเข้าไปได้ กรณ์กลั้นใจตลอดเวลาที่ผ่านผนังร้อน จนมิดเม้น เขาแช่กายอยู่อย่างนั้น ผ่อนลมหายใจให้ช้าลง รอจนกระทั่งสามารถควบคุมตัวเองได้แล้วจึงค่อยๆ ถอยกายออกมาเกือบหมดและกลับเข้าไป จังหวะช้าเนิบนาบแต่หนักแน่น ระหว่างนั้นก็มองใบหน้าของอีกฝ่ายผ่านบานกระจกไปด้วย

    คนตัวเล็กกว่ายังยกมือปิดปากระงับเสียงคราง ซึ่งมันขัดใจเขาไม่น้อย เขาชอบฟังเสียงร้องครวญครางที่ทั้งสุขสมและทรมานของดนตร์มากที่สุด ใบหน้าขาวแดงระเรื่อมาจนถึงลำคอ ร่างกายท่อนบนยังมีเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำตาลปกปิดอยู่ เขาเลยเลิกเสื้อขึ้นจากด้านหลังเปิดเผยผิวผ่อง แล้วก้มลงพรมจูบลงไป ดนตร์ตัวสั่น ทำท่าจะทรุดลงไปกองหลายรอบ กรณ์เร่งสะโพกเร็วขึ้นเมื่อการเข้าออกคลายความคับแน่น เขามองท่อนเนื้อตัวเองผลุบหายเข้าไปในก้อนขาวด้วยหัวใจที่เต้นระทึก มือเลื่อนจากเอวเล็กเลยไปที่แผ่นอกบาง เคล้าคลึงยอดอกจนมันแข็งเป็นไต ที่สุดเมื่อไม่อาจทนต่อความกระสันซ่านที่เล่นงานอย่างหนัก ดนตร์ก็ต้องยอมละมือจากปากแล้วยันกำแพงเอาไว้ ใบหน้าน่ารักแหงนเงย ดวงตาหรี่ปรือและมองไปเบื้องหน้า

    ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์พิศวาส แสดงความเย้ายวนออกมาเต็มที่ ริมฝีปากอิ่มเห่อบวมน้อยๆ เผยอเพื่อช่วยหายใจ บางครั้งก็แตะลิ้นที่กลีบปากราวกับจะยั่วกันให้ตบะแตก เส้นผมสีดำไหวน้อยๆ ตามแรงกระแทกจากด้านหลัง ดนตร์เอี้ยวตัวกลับมามอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจะแตะที่หน้าท้อง คล้ายกับจะปรามให้ช้าลง กรณ์คว้าข้อมือเล็กเอาไว้ใช้มันเป็นที่เหนี่ยวแล้วโหมสะโพกเต็มแรง

    ร่างเล็กกว่าสั่นคลอน เสียงร้องลมหายใจหนักๆ ปนกับเสียงเนื้อกระทบกัน ดังก้องทั่วห้อง อย่างไม่มีใครสนใจว่าจะมีใครเข้ามาเห็นฉากสำคัญหรือเปล่า กรณ์กระแทกกายหนักๆ ยกสะโพกเสยขึ้นหรือหมุนควานเป็นวงกลม จนส่วนปลายเสียดสีกับจุดด้านใน ดนตร์หลุดครางเสียงสูงเลยยิ่งแกล้ง เน้นย้ำในจุดนั้นอยู่ไม่นาน ด้านในก็ตอดรัดเขาถี่ยิบ ซ้ำยังดูดแน่น ดนตร์หวีดร้อง ก่อนจะปล่อยหยาดน้ำสีขาวออกมา มันพุ่งเปื้อนไปติดหน้ากระจก กรณ์เร่งสะโพกให้เร็วกว่าเดิมทั้งที่เนื้ออ่อนยังตอดรัดไม่หยุด ไม่นานทุกอย่างก็แตกพร่า หัวเขาขาวไปหมด ร่างกายเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการที่มองไม่เห็น สายธารร้อนขาวขุ่นหลั่งรินภายใน เขาเอนกายกอดดนตร์แน่น จูบไปบนท้ายทอยหอมหนักๆ เพื่อเป็นการปลอบขวัญและขอบคุณไปพร้อมกัน

    ถึงจะแค่ห้านาที แต่ก็ช่วยทำให้คลายความคิดถึงลงไปบ้าง...



    กรณ์มาส่งดนตร์ที่หน้าหอพักตอนเกือบตีหนึ่ง เพราะต้องไปส่งบิดาขึ้นเครื่องบินกลับภูเก็ตก่อน แล้วบิดาที่เคารพจองเที่ยวบินไว้ตอนเที่ยงคืน เขาหิ้วปีกดนตร์ติดมาด้วยเพราะอีกฝ่ายทำท่าจะล้มพับไปหลังจากที่ระบายความคิดถึงไปห้านาที

    ก่อนหน้าที่เขาจะตามดนตร์เข้าไปถึงห้องพักพนักงาน เขาขอให้บิดารอก่อนซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่หลังจากที่พากันออกมาท่านก็ใช้สายตาตำหนิคงจะรู้ว่าที่หายไปมากกว่าห้านาที บวกกับหน้าซีดๆ ของดนตร์ พวกเขาไปทำอะไรกันมา ดีตรงที่ท่านไม่กล่าวว่าให้ดนตร์ต้องอับอายกว่าเดิม ได้แต่บอกให้เขารีบหน่อยเดี๋ยวจะขึ้นเครื่องไม่ทัน

    ตลอดทางไม่มีการสนทนาใดๆ ดนตร์เองก็ฟุบหลับอยู่ที่เบาะหลัง จนถึงสนามบินเขาถึงได้ปลุกขึ้นมา เจ้าตัวตื่นมาหัวยุ่ง งัวเงียเล็กน้อยแต่พอรู้ว่าถึงแล้วก็กระวีกระวาดช่วยยกกระเป๋าให้ แต่คงจะลืมไปว่าก่อนหน้านี้เพิ่งรับศึกใหญ่มาเลยสูดปากร้องซี๊ด คุณท่านกริชหันมาทำตาขวางใส่เขา แต่ก็นั่นแหล่ะแค่มองมันทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

    ก่อนขึ้นเครื่องบิดาเรียกดนตร์ไปคุยส่วนตัว นานเกือบสิบนาที เขาไม่รู้หรอกว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่สีหน้าของดนตร์ไม่ผิดปกติอะไร นอกจากความอ่อนเพลียเขาก็เลยเลิกสงสัย ถึงตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าบิดายอมรับดนตร์ได้แล้ว ถึงจะไม่มีหลักฐานอะไรก็ตาม คงด้วยสัญชาตญาณกระมังที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น

    ดนตร์ขอบคุณเขาเบาๆ เมื่อรถจอดนิ่ง เขาคว้าคออีกฝ่ายเอาไว้แล้วกดจูบหนักๆ ไปที่หน้าผากนูน ดนตร์ทำหน้าเหวอจนน่าขำ พอตั้งหลักได้ก็รีบเปิดประตูแล้ววิ่งหนีหายเข้าไปในตัวตึก กรณ์อมยิ้มกับตัวเองรอจนเห็นไฟที่ห้อง 502 สว่างขึ้นแล้วค่อยเคลื่อนรถออกไป...


**********************************

 :hao7: อัพไวกว่าเดิมนิดส์นึงงงงงง

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
โอ้ยยยย ใจเต้น อิฉากในห้องพักนี่แบบ  อืมหืมมมม

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อื้อหือออ อีพี่กรณ์หื่นทุกที่ทุกเวลาเลย นอกสถานที่ตลอด  :laugh:
นี่ยังเชียร์พี่รันได้อยู่ไหมม สงสารพี่รัน
เย้ๆ มาอัพไวกว่าเดิมดีใจๆ ขอบคุณมากค่าา   :pig4:

“จะเอายังไง ฉันไม่ยอมให้เพลงทำร้ายเพลงอีกแน่”
ประโยคนี้น่าจะเป็นไม่ให้ยาหยีทำร้ายเพลงใช่ไหมคะ

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อยากตัดจู๋กรณ์ทิ้ง
ลูกเจี๊ยบก็ใจง่าย
ปล่อยเขาทำตามใจตัวเอง
ห้องพักพนักงานนะลูกกก

คุณพ่อก็แซ่บอยู่นะ
ห้าสิบกว่านี่ป๋าดีๆ เลย

อยากให้กรณ์จัดการเรื่องยาหยีสักที
สร้างแต่เรื่อง
ยาหยีคิดจะใช้สังคมประณามกรณ์
ให้กรณ์กลายเป็นคนผิด(ถึงแม้กรณ์จะผิดจริงก็เถอะ)
ตัวเองก็ใช่ย่อยนะยาหยี

พี่กวางนี่สายหื่นของจริง
กราบเจ้าแม่สายหื่น

ปล.พิมพ์ชื่อคนสับสนกตนอีกแล้วเน้อ
ประโยคของพี่รัน
เพลงทำร้ายเพลง อะไรประมาณนี้แหละ
เพลงไม่ทำร้ายตัวเองสิ ไม่เอาาาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 16 คิดถึง


    การซ้อมเชียร์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันกีฬาภายในที่จะจัดในเดือนพฤษภาคมยังคงดำเนินต่อไป ดนตร์และเมธัส ปรบมือจนมือแทบด้าน ตะโกนร้องเพลงจนแสบคอ ขณะที่ลลิตาบ่นกระปอดกระแปดหลังจากต้องทำหน้าที่เชียร์ลีดเดอร์ของคณะ

    เด็กปีที่หนึ่งหน้าตาดี ทั้งชายและหญิงหลายคนจะถูกจับไปทำหน้าที่นี้ แน่นอนว่าสาวน้อยน่ารักอย่างลลิตาย่อมหนีไม่พ้นอยู่แล้ว ความน่ารักของลลิตาโดดเด่นจนถูกชนวีร์ดึงตัวไปเล่นหนังสั้น และถึงแม้จะเป็นการแสดงเรื่องแรกแต่เจ้าตัวก็ทำออกมาได้ดี เช่นเดียวกับกรณ์

    หลังจากหนังสั้นจากฝีมือของนักศึกษามหาวิทยาลัยได้รับรางวัลมา ชื่อของกรณ์พระเอกของเรื่องได้รับความสนใจไม่น้อย แม้ว่าปกติแล้วกรณ์จะหล่อ ดูดี กว่าคนทั่วไปอยู่พอสมควร แต่เมื่ออยู่ในกล้องทุกอย่างมันจะทบทวี หรือที่เรียกว่าขึ้นกล้องนั่นเอง ดวงตาคมดุยิ่งชัดเจน ยามที่กล้องจับที่สายตาคู่นี้มันราวกับจะหลอมละลายผู้คนที่ได้มองแม้จะแค่ผ่านเลนส์กล้องก็ตาม จำนวนแฟนคลับของกรณ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนักศึกษาธรรมดากลายเป็นไอดอลไปแล้ว ไม่ใช่แค่กรณ์เท่านั้นที่ได้รับความสนใจมากขึ้น ยังรวมไปถึงเพื่อนสนิทอีกสามคนด้วยเนื่องจากคนอื่นก็หน้าตาดีไม่แพ้กัน

    พี่วินบอกว่ามีเอเจนซี่ติดต่อเข้ามาหลายงาน ทั้งโฆษณาและถ่ายแบบ ทว่ากรณ์ยังไม่ได้ตัดสินใจรับงานชิ้นไหน ที่จริงแล้วจุดที่กรณ์ยืนอยู่มันน่าอิจฉาไม่น้อยสำหรับคนที่เรียนสายการแสดงอย่างเขา แต่บุญวาสนาคนเราไม่เท่ากัน เพราะรูปร่างหน้าตาของกรณ์โดดเด่นกว่า คนธรรมดาอย่างเขาก็ยังคงเป็นแค่เงาต่อไป

    หมู่นี้พวกปีสามยุ่งเป็นพิเศษเพราะต้องหาที่ฝึกงาน กรณ์ก็เหมือนกัน ถึงแม้บิดาจะมีบริษัทใหญ่โตอยู่ที่ภูเก็ตและเป็นหุ้นส่วนในหลายบริษัทที่กรุงเทพฯ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เลือกว่าจะลงฝึกที่ไหน คนที่ถือตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางอย่างกรณ์คงไม่ทำเหมือนคนอื่นเป็นแน่ แล้วก็น่าเชื่อเหลือเกินว่าบริษัทที่กรณ์เลือกคงไม่มีเส้นสายของบิดาอยู่ ส่วนพี่วินคนเก่งถูกค่ายหนังใหญ่ทาบทามให้ลองไปฝึกงานดู ถ้าฝีมือดีเข้าตามีแววว่าจะได้ร่วมงานหลังจากเรียนจบ

    ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยระยะนี้ราบรื่นดี ติดขัดนิดหน่อยตรงที่มักจะมีสายตาจับจ้องมากขึ้น ไม่ใช่เพราะมีผลงานอะไร แต่เป็นเพราะชื่อของเขาไปปรากฏอยู่ในความสัมพันธ์ของกรณ์และโยษิตา

   พูดถึงโยษิตา ดูเหมือนเธอจะหายไปจากชีวิตของเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาควรจะโดนเธอตามราวีหรือหาเรื่อง แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่เขายังอยู่สุขสบายดีในระดับหนึ่ง ทว่าก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี รู้สึกคล้ายกับท้องทะเลยามก่อนมีพายุใหญ่ มันเงียบสงบจนน่ากลัว….เชื่อเหลือเกินว่าโยษิตายังไม่ยอมลามือง่ายๆ เธอเพียงแค่กำลังรอเวลาเท่านั้นเอง

     ถึงตอนนี้เขาก็ยังจัดการปัญหานี้ไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระหว่างเขากับกรณ์เรียกว่าอะไร คนรัก? แฟน? หรือแค่คู่ขา? แต่น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะรู้ดีว่าพื้นที่ข้างๆ ของกรณ์ไม่เหมาะกับเขา

    ดนตร์ถอนหายใจเบาๆ กรมอุตุฯ ประกาศว่าอุณหภูมิจะลดลงอีกหนึ่งถึงสามองศา ที่กรุงเทพฯยังหนาวขนาดนี้เชียงใหม่บ้านเขาคงยิ่งกว่าหลายเท่า วันก่อนพี่สาวเพิ่งโทรมาบอกว่าต้องซื้อเสื้อกันหนาวตัวใหม่ให้น้ำเหนือ เจ้าหลานตัวอ้วนเพราะตัวเก่าคับจนใส่ไม่ได้แล้ว เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว ทว่าพอนึกถึงตัวเองก็อดสลดใจไม่ได้ เขาเป็นลูกชาย แต่กลับมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน เขาไม่กล้าหาญเท่ากรณ์ที่จะเปิดเผยทุกอย่างต่อหน้าบิดา เขาขลาดกลัว กลัวว่าจะทำให้พ่อแม่เสียใจ กลัวจะถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นพวกวิปริต ในรั้วมหาวิทยาลัยไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นสังคมใหญ่ เรื่องเพศที่สามยังไม่เป็นที่ยอมรับ

    ดวงตาสีอ่อนทอดมองก้อนเมฆสีเทาที่ลอยเอื่อยเลาะเรื่อยตามสายลมที่พัดไป ทิวไม้ลู่ไหวเล็กน้อย ไอเย็นสูดเข้าปอดครั้งแล้วครั้งเล่า บรรยากาศในฤดูหนาวมันชวนหดหู่จริงๆ ยิ่งช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน จิตใจยิ่งดำดิ่ง ดนตร์เอนตัวพิงกับลำต้นต้นท้อ ร่มเงาของมันยิ่งเพิ่มความหนาวเย็นในบริเวณนี้ให้มากกว่าเดิม

   สวนหลังคณะยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นทุกที โดยเฉพาะในตอนเย็น มองจากภายนอกมันดูวังเวงจนน่ากลัว แต่สำหรับเขาความเงียบของมันคือเสน่ห์อันล้ำลึก เขาชอบมาปลดปล่อยอารมณ์ที่นี่ในยามที่ต้องการความสงบ ครั้งล่าสุดที่มาเยือนคือเมื่อเดือนก่อน แม้ความทรงจำจะไม่ชัดเจนนัก มันเลือนรางเหมือนความฝัน สภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เพราะเมื่อลืมตาจากสวนมันกลับกลายเป็นห้องนอนของใครบางคนไปเสียแล้ว

    หน้าของเขาร้อนผ่าวเมื่อระลึกกลับไปในอดีต กรณ์ลักหลับเขาในวันนั้น เขาไม่รู้หรอกว่ากรณ์ตามมาเจอได้อย่างไร และไม่คิดจะถามด้วย รู้แค่ว่ากรณ์คือตัวอันตราย คนบ้านั่นสามารถ ‘ทำ’ เขาได้ในทุกที่และทุกเวลา เขาเคยหลับไประหว่างที่ร่วมรักกันอยู่ พอรู้สึกตัวขึ้นมาส่วนนั้นของกรณ์ก็ยังแทรกอยู่ในตัวเขา สาบานด้วยใจจริง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ากรณ์จะมีอารมณ์ทางเพศมากขนาดนี้ แถมยังเก่งจนเขาหัวหมุนไปหมด แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าคนๆ นี้จะมีคนรักเป็นผู้หญิง และมีอะไรกับเขาซึ่งเป็นผู้ชายเป็นคนแรก

    เขาเองก็เพิ่งมีอะไรกับผู้ชายเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ทว่าความชำนาญต่างกันมากเหลือเกิน กรณ์สามารถจับจุดอ่อนไหวของเขาได้ รู้ว่าตรงไหนจะทำให้เขาระทวยอ่อนยวบได้ ไหนจะท่วงท่าลีลาและความอดทนนั่นอีก หลายต่อหลายครั้งที่เขาหวีดร้องด้วยความสุขสมเพียงแค่การสอดใส่โดยไม่มีการปรนเปรอส่วนหน้าด้วยซ้ำ

    ดนตร์สะบัดหัวแรงๆ ไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากสมอง เขาไม่ควรเอาความเก่งกาจแสนชำนาญของกรณ์มาคิด ที่ควรต้องจัดการคือความสัมพันธ์แบบรักสามเส้าเราสามคนนี่ต่างหาก

   เพราะเชื่อว่าอีกไม่นานนี้โยษิตาต้องกลับมาแน่ ถึงเธอจะมีคนรักใหม่เป็นหนุ่มหล่อไม่แพ้กรณ์ก็ตาม แต่อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าโยษิตาไม่ยอมปล่อยมือจากกรณ์ง่ายๆ คนคบกันมาตั้งสองปีสายสัมพันธ์แน่นหนาพอสมควร ถึงจะมีมือที่สามแต่ถ้าหากตกลงกันดีๆ ตัวแปรอย่างเขาหรืออคิราห์อาจจะสิ้นความหมายลงง่ายๆ เช่นกัน

    เปลือกตาบางปิดลง รอบขมับปวดเบาๆ จากความคิดที่ประเดประดังเข้าใส่ ไหนจะคิดถึงบ้าน ไหนจะเรื่องของกรณ์ แล้วไหนจะสอบอีก อีกไม่กี่สัปดาห์เขาก็สอบปลายภาคแล้ว อยากสอบได้คะแนนดีๆ พ่อกับแม่จะได้สบายใจ แต่กะจิตกะใจจะอ่านหนังสือไม่มีสักนิด ที่ถือติดมือมาตั้งแต่ช่วงเย็นวางแหมะอยู่ข้างๆ แค่เปิดอ่านไปสามสี่หน้าก็มีเรื่องรบกวนสมองเสียแล้ว

    “อื้อ เบาๆ สิ เดี๋ยวมีคนได้ยิน”

   “ใครจะมาอยู่แถวนี้…นอกจากพวกเรา”

    ดนตร์เปิดตาขึ้นเพราะได้ยินบทสนทนาปริศนา เขารีบมองหาที่มาแล้วเห็นสองร่างกอดรัดกันอยู่ใต้ต้นจำปีที่ออกดอกเยอะที่สุด อยู่ห่างจากจุดที่เขาอยู่ร่วมสิบเมตร ในระยะนี้เขาสามารถเห็นผู้ชายสองคนที่มีขนาดตัวต่างกันพอสมควรกอดจูบกันอย่างเร่าร้อน มือไม้ของแต่ละฝ่ายเลื้อยไปบนร่างกายของอีกคน ผิวหน้าของเขาร้อนวูบ ท่วงท่าพวกนั้นไม่ต่างกันกับของกรณ์กับเขาเลย

    เขาตั้งใจจะแอบหนีไปก่อนที่คนพวกนั้นจะรู้ตัวว่ามีคนเห็น แต่ในจังหวะที่เขาหันหน้า หางตากลับสะดุดกับใบหน้าของผู้ชายที่ตัวเล็กกว่า ดวงตาแบบนั้น จมูกแบบนั้นหรือแม้แต่ริมฝีปาก ดนตร์เบิกตาโพลงนั่นมันเมธัส! เพื่อนสนิทของเขา

    หัวใจเขาเต้นโครมคราม ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเมธัสจะมีรสนิยมแบบนี้ เพราะจากภายนอกเมธัสก็เหมือนผู้ชายปกติทั่วไป ออกจะดิบห่ามมากกว่าเขาด้วยซ้ำ ดนตร์เคลื่อนไหวตัวโดยระวังไม่ให้เกิดเสียงมากที่สุดและใช้ต้นไม้เป็นที่กำบังกาย เขาต้องการรู้ว่าผู้ชายอีกคนเป็นใคร จากมุมนี้เขาเห็นเพียงแค่แผ่นหลังที่ค่อนข้างกว้าง เส้นผมสีดำ และส่วนสูงที่น่าจะเกินหกฟุต ลักษณะโดยรวมดูคุ้นตาไม่น้อยแต่ก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร แล้วก็เหมือนสวรรค์เป็นใจ เมื่อฝ่ายนั้นพลิกตัวกอดรัดเมธัส เสี้ยวหน้าคมคาย ดวงตาดำใหญ่นั่น…นักรบ!!!

    ดนตร์กลั้นหายใจไปชั่วคราว ตาจับจ้องไปยังบทรักที่เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ มือของนักรบล้วงต่ำไปที่กลางลำตัวของเมธัส ขณะที่ใบหน้าคลุกเคล้าอยู่กับซอกคอ เมธัสเงยหน้าสูดปาก เสียงลมหายใจกระชั้นถี่ค่อนข้างชัดเจนด้วยความเงียบสงบของสวนต้นท้อ มือเหนี่ยวรั้งลำคอหนาของรุ่นพี่ตัวสูง สะโพกยกสูงเสียดสีกันอย่างเร่าร้อน ดนตร์หน้าชาตัวชา ลำคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง กระทั่งเขาเห็นนักรบรูดซิปกางเกงลง ถึงได้ตบหน้าเรียกสติ เขาไม่ควรอยู่ตรงนี้

    สองเท้าขยับด้วยความเงียบเท่าเดิม พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่หันกลับไปมองบทรักของเพื่อนรักกับหนุ่มรุ่นพี่ตาคม เสียงลมหายใจกับเสียงครวญเบาๆ ยังมีอย่างต่อเนื่อง ภาพในหัวปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนเพราะรู้ดีว่าเมธัสจะต้องเจอกับอะไร แต่แล้วทั้งร่างก็ถูกรวบจากด้านหลัง เขาหลุดร้องเสียงอุทานด้วยความตกใจทว่าก็มีบางอย่างมาอุดที่ปากกับจมูกไว้พอดี เสียงร้องเลยดังอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น และก่อนที่จะตั้งหลักได้ทั้งร่างก็ถูกลากด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลที่โอบรอบลำตัวไว้

    เขารู้ในนาทีนั้นว่าสิ่งที่พันธนาการตัวเองอยู่คืออ้อมแขนของผู้ชาย ท่อนแขนกำยำและยาวโอบรอบลำตัวเขาได้พอดี หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติแนบติดกับแผ่นหลัง กลิ่นหอมคล้ายผลไม้สุกไม่ค่อยคุ้นจมูกนักแต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้กลิ่นมาก่อน กระทั่งร่างของทั้งคู่พ้นจากรัศมีที่มองเห็น สิ่งที่อุดปากกับจมูกอยู่ก็คลายลง ดนตร์รีบโกยอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุด แล้วพลิกร่างเข้าหาอีกคนทันที

   “พี่ธา..!!”

    เจ้าของชื่อยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของเขาเอาไว้เป็นเชิงปราม ดนตร์ขมวดคิ้วน้อยๆ ทำท่าจะขยับปากพูดแต่ธาวินก็ส่งเสียงชู่วเตือนอีกครั้ง ก่อนจะดันเขาเข้าไปติดกับต้นท้อ ยกมือขึ้นวางกับลำต้นกักเขาไว้ในอ้อมแขนกลายๆ ทิ้งระยะห่างไม่ถึงหนึ่งช่วงแขนดี จากตรงนี้เขาสามารถมองเห็นไรหนวดจางๆ เหนือริมฝีปาก จมูกโด่งที่ส่วนปลายมีรอยกะเล็กน้อย แก้วตาสีน้ำตาลเข้ม หรือแม้แต่ขนตาที่กำลังดีเหมาะกับรูปตาค่อนข้างเรียว โดยรวมแล้วธาวินก็หล่อเหลาสูสีกับกรณ์ อริญชย์และอีกคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเพื่อนรักของเขา ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสี่คนจะเป็นหนุ่มฮ็อตของมหาวิทยาลัย

     แต่ที่น่าแปลกใจคงเป็นเรื่องที่ว่าทำไมสองในสี่ถึงได้มาอยู่ที่สวนนี้ต่างหาก...นั่นไม่นับรวมกรณ์ที่เคยมาแล้วก่อนหน้านี้

    ดวงตาที่มักจะติดแววขี้เล่นมองมาที่เขา สลับกับเหลือบไปด้านหลังเป็นระยะ คงระแวงว่าคนที่อยู่ห่างออกไปร่วมสิบเมตรจะรับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเขา ธาวินขยับขาเข้ามาอีกหนึ่งก้าว ระยะห่างจากหนึ่งช่วงแขนเลยเหลือเพียงแค่ครึ่งช่วงแขน ดนตร์กลั้นหายใจยืดตัวตรง เผลอเบียดแผ่นหลังเข้ากับลำต้นของต้นท้อ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของจำปีถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมเย็นจากธาวิน ผิวแก้มรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา

    ช่วงเวลาอิหลักอิเหลื่อผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทั้งเข็มนาฬิกาก็ยังเดินตามปกติ เสียงร้องดังแผ่วๆ จากนักรบกับเมธัสยังมีให้ได้ยิน กระทั่งความร้อนจากในกายทำงานจนทำให้หายหนาว เสียงพวกนั้นก็หยุดไปพร้อมกับคำพูดคล้ายปลอบโยนแล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ แสงอาทิตย์แทบไม่เหลือแล้วมีเพียงแต่แสงไฟจากตัวอาคารที่มองเห็นเป็นดวงเล็กๆ ภายในนี้เหมือนเป็นอีกโลกที่ตัดขาดจากภายนอก มีแค่เขากับคนตรงหน้าเท่านั้น ทั้งสองยืนมองหน้ากันท่ามกลางความมืดที่เพิ่มมากขึ้น

    “พี่ธาม....”

   ทันทีที่เรียกชื่อไป หัวไหล่ตั้งตรงของอีกฝ่ายก็ลู่ลงพร้อมกับถอนหายใจเสียงดัง

    “ไอ้บ้ารบ! ไม่คิดว่ามันจะพาเด็กนั่นมาเอาถึงที่นี่ โคตรบ้าเลย โรงแรมก็มี คอนโดก็มี ในรถก็ได้ นี่อะไรมาเอากันในป่า”

    คำพูดของธาวินเล่นเอาหน้าคนฟังร้อนฉ่าเพราะแต่ละสถานที่ที่หลุดออกมาแทบทั้งหมดต่างเคยถูกใช้มาแล้วทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่โรงแรมเพราะมันไกลไปสำหรับคนใจร้อนอย่างกรณ์ ดนตร์กระแอมแก้เก้อ ก้มหน้าซ่อนผิวแก้มที่น่าจะแดงของตัวเอง

    “เออ แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ...” ธาวินหลุบตามองพื้น เห็นหนังสือสองสามเล่มวางอยู่ “มาอ่านหนังสือสอบเหรอ เลือกที่ได้ดีชะมัด เงียบหยั่งกับป่าช้า มิน่าเจ้าพวกนั้นถึงมาสร้างแลนด์มาร์ก”

    ดนตร์กลืนน้ำลายลงคอ แลนด์มาร์กที่ว่าเขากับกรณ์เคยทำไว้แล้ว ถึงเขาจะรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้างก็ตาม เขาทำทีเป็นหัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อนแล้วค่อยตอบคำถาม

    “ครับ…ผมมานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆ แล้วพี่ล่ะครับมาทำอะไร”

   “ตามไอ้รบมาไง มันชอบทำตัวแปลกๆ แยกไปจากกลุ่ม ติดโทรศัพท์ ที่จริงก็ระแคะระคายมาสักพักแล้วล่ะ แต่ไม่คิดว่ามันจะใจกล้าขนาดนี้”

    “เหอ เหอ ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน”   

    “ไอ้เจ้าเด็กตาโตนั่นเพื่อนนายไม่ใช่เหรอ มันไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลยเหรอ”

   “เอ่อ…พวกเราไม่ค่อยคุยเรื่องส่วนตัวกันเท่าไร ผมเองก็ทำพาร์ทไทม์ด้วยเลยไม่ค่อยมีเวลา”

   ธาวินพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตาสีเข้มเป็นประกายในความมืดที่ปกคลุมเต็มพื้นที่ ถึงตอนนี้ดนตร์ถึงสำเหนียกได้ว่ารอบตัวมืดมากขนาดไหน

    “เราไปกันดีกว่าครับ ผมหนาวแล้ว”

   “เออ ในนี้ทั้งมืดทั้งหนาว แล้วนี่กินอะไรหรือยัง พี่กำลังจะไปกินข้าวกับไอ้ทิว ไปด้วยกันไหม”

    “พี่ทิว…ดีเลย กำลังคิดถึงพอดี ตั้งแต่วันงานพี่วินก็ไม่เจอกันเลย”

    ดนตร์ก้มลงเก็บหนังสือที่เพิ่งอ่านไปได้ไม่กี่หน้าแล้วรีบก้าวตามร่างสูงไป ทิ้งความทรงจำอันน่าอายไว้ใต้ต้นจำปี…



    ธาวินพาดนตร์มาพบกับจันทร์ทิวาที่ร้านอาหารแถวย่านคนเดิน ที่คร่าคร่ำไปด้วยเหล่านักกินนักช้อปยามตะวันตกดิน คนเยอะเสียจนเดินเบี่ยงตัวหนีไม่ได้ หลายครั้งต้องพึ่งแผ่นหลังกว้างๆ ของธาวินช่วย ต้องขอบคุณส่วนสูงที่ไม่มากของเขาที่ทำให้ธาวินช่วยบดบังทั้งคนเบียดและอากาศหนาวระดับติดลบได้พอดี

    แต่พอหลุดจากกลุ่มคน โผล่เข้ามาในร้านได้มันเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว ภายในร้านอาหารอัดแน่นไปด้วยลูกค้าก็จริง ทว่ามันอบอุ่นและไม่ต้องเดินเบียดกับใคร พี่ทิวนั่งอยู่ด้านในสุดของร้าน มีขวดเหล้าตั้งอยู่ตรงหน้า พร่องไปแล้วเกินครึ่ง แก้มขาวๆ เลยแดงขึ้นมานิดหน่อย พอเห็นพวกเขาก็ยกมือทักทาย

    ดนตร์ยกมือทำความเคารพหนุ่มรุ่นพี่ จันทร์ทิวายิ้มอย่างมีไมตรีพลางเรียกบริกรนำแก้วมาเพิ่ม ธาวินนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับจันทร์ทิวา ส่วนดนตร์นั่งถัดมา จันทร์ทิวาเลื่อนเมนูอาหารให้ แล้วสั่งในส่วนของตัวเองกับธาวินโดยที่ไม่ต้องพึ่งเมนู ไม่นานทั้งเหล้าทั้งอาหารก็พร้อม จันทร์ทิวากับธาวินลงมือกินโดยที่ยังไม่พูดอะไร ดนตร์มองรุ่นพี่สองคนสลับกัน รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง โดยปกติแล้วธาวินไม่ใช่คนพูดน้อย แต่ตอนนี้กลับเงียบกริบมีแค่เสียงกินอาหารเบาๆ เท่านั้น ส่วนรุ่นพี่จากคณะแพทย์ยิ่งแล้วใหญ่ จากที่เย็นชาเหมือนเจ้าชายน้ำแข็งอยู่แล้วตอนนี้กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งเลยก็ว่าได้

    เขาไม่มีเซ้นส์เรื่องจับผิดความรู้สึกของใครหรอกแต่กับสองคนนี้เขาสัมผัสได้จริงๆ

   ...มันคือความเงียบที่น่าอึดอัด...

    ดนตร์แกล้งกระแอมก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม รสขมฝาดแกมหวานและดีกรีอ่อนๆ ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ที่สำคัญมันเพิ่มความกล้าให้กับเขาด้วย

    “พี่ทิวเป็นยังไงบ้างครับ ไม่เจอกันหลายวันเลย”

    จันทร์ทิวาเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว ดวงตาเหลือบมองไปฝั่งตรงข้ามก่อนแล้วค่อยหันมาทางเขา

   “สบายดี...เรื่องคืนนั้นพี่ต้องขอโทษด้วยนะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ...” จันทร์ทิวาหยุดพูด ลำคอขยับเล็กน้อยคล้ายกับกลืนน้ำลาย “แล้วไอ้รันมันไปส่งถึงหอหรือเปล่า”

    “ก็ถึงครับ...” ดนตร์ยิ้มแหย ตอนแรกก็ตั้งใจจะกลับกับอริญชย์หรอกทว่าคดีพลิกเขาวิ่งตามรถของกรณ์หนาเสียจนลืมเหนื่อย “เออ จะว่าไป ผมไม่เห็นพี่ธามเลย คืนนั้นพี่ธามไปไหนล่ะครับ”

     “ท้องเสียน่ะ….ดันกินเค้กเสียเข้าไปน่ะซิ” จันทร์ทิวาตอบแทน

    แค่ก แค่ก แค่ก

   เหล้าที่เพิ่งเข้าปากไปทำท่าพุ่งออกมาพร้อมกับอาการไอ เพิ่งนึกออกว่าเค้กที่ธาวินขอไปเมื่อหลายวันก่อนมันตกไปอยู่ในท้องของคนขอแล้ว ตอนนั้นเขาก็ปากหนักห้ามไม่ทัน ดังนั้นเจ้าเค้กหมดอายุเลยสำแดงฤทธิ์ มันทั้งน่าขำและสงสารแกมสำนึกผิดไปพร้อมกัน ดนตร์ทำหน้ากระอักกระอ่วน พึมพำขอโทษ

    “ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก...ต้องโทษความตะกละต่างหาก”

    “พูดมากน่า!” ธาวินสั่ง หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย

    จันทร์ทิวาทำปากขมุบขมิบแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป แล้วความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้ง ดนตร์คอยชำเลืองรุ่นพี่เป็นระยะๆ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะแอบมองกันและกันด้วย ถึงจะเพิ่งสัมผัสกับเรื่องแบบนี้ได้แต่ก็ภูมิใจเล็กๆ ที่เซ้นส์เขามันไม่พลาด

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
         ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับอาหารและเหล้า รวมไปถึงการแอบสังเกตความผิดปกติของธาวินและจันทร์ทิวา สัมผัสที่หกของดนตร์ก็ทำงานอีกครั้ง แผ่นหลังร้อนราวกับถูกเปลวไฟเผา เขาเอี้ยวตัวกลับไปด้านหลัง แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ครั้งนี้เซ้นส์ของเขาทำงานดีเกินไปจริงๆ เพราะที่เห็นคือร่างสูงใหญ่ของผู้ชายที่รู้จักเป็นอย่างดี...กรณ์!

    เขาเกือบจะสะบัดหน้าหนีเพราะวูบแรกในหัวมันคิดว่ากรณ์มาตามหาตัวเอง ทว่าสตรีที่ก้าวตามมาทำให้ต้องเปลี่ยนความคิด กรณ์ไม่ได้มาตามหาเขาแต่มากับรดา ดาราและเน็ตไอดอลชื่อดัง ดนตร์หยุดสายตาที่ทั้งสอง จ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวที่เดินตามกันเงียบๆ เพื่อหามุมนั่ง แล้วก็ได้โต๊ะว่างซึ่งติดอยู่กับกำแพงห้องอีกฟากของร้าน ตรงข้ามกับจุดที่เขานั่ง แต่ต้องหันหน้าไปมองเกิน สี่สิบห้าองศาถึงจะมองได้ถนัด

    กรณ์ช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้รดา ทำหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดี รดาสมเป็นดารา ความสวยของเธอเปล่งประกายแม้จะอยู่ในร้านอาหารธรรมดาและอัดแน่นไปด้วยผู้คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไม่ได้สนใจว่ามีดารามาอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าของเธอเล็กเท่าหนึ่งฝ่ามือ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนถูกจัดแต่งเป็นทรงสวยรับกับรูปหน้า ดวงตากลมค่อนข้างยาว จมูกโด่งแหลม ริมฝีปากบางรูปกระจับ ผิวขาวผ่องยิ่งกว่าน้ำนม เธอยิ้มหวานให้กับบริกรที่เข้ามารับออเดอร์ ส่วนกรณ์ก็หล่อเหลาในชุดลำลองแต่ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า อาภรณ์ที่อยู่บนร่างล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์ดัง ราคาแพงยับชนิดที่จ่ายค่าเทอมเขาได้เลยทีเดียว

    ดนตร์เผลอมองทั้งคู่อยู่นาน เฝ้ามองทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยที่มีพอประมาณ อาการยิ้มคล้ายเขินอายของรดาหรือรอยยิ้มของกรณ์ หัวใจของเขาปวดหนึบขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับมีมีดปักลงไปทีละน้อยๆ

    “พี่เพลง! พี่เพลงจริงๆ ด้วย”

    แล้วเสียงร้องทักก็หยุดความเจ็บปวดให้หยุดลง ดนตร์เบนสายตาจากสองหนุ่มสาว แล้ววกหาที่มาของเสียง แล้วก็สะดุดกับร่างเล็กของเด็กสาว ใบหน้าน่ารักเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี ดวงตากลมโตสุกใส ที่สำคัญเธอยังอยู่ในชุดนักเรียน

    “ต้องตา!”

    “พี่เพลงจำต้องตาได้ด้วย” เด็กสาวยิ้มกว้างจนแก้มขาวใสเต่ง ตากลมยิบหยีลง มือเล็กจับสายสะพายของกระเป๋าเป้เอาไว้

    ต้องตาซอยเท้าเข้ามาหาเขา เธอกวาดสายตามองทุกคนก่อนจะทำความเคารพ “สวัสดีค่ะ หนูชื่อต้องตา”

   “เอ่อ...สวัสดีครับพี่ชื่อทิว ส่วนนี่ธาม”

   “พวกพี่เป็นเพื่อนกับพี่เพลงเหรอคะ” ต้องตาถาม เธอเอียงคอมองคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความสนใจ

   “รุ่นพี่ที่มหา’ลัยน่ะ แล้วนี่เรามากับใครล่ะ” ดนตร์ถาม

    “มาคนเดียวค่ะ เอ่อ หนูเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ค่ะ”

   ดนตร์หันหน้ากลับมาที่เด็กสาวอีกครั้ง เขายังปั้นหน้าไม่ถูกนักเพราะครั้งแรกที่พบกันมันไม่ค่อยประทับใจเท่าไรนัก เดิมทีเขาตั้งใจจะจีบเธอในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง แต่ก็ถูกกรณ์ทำลายจนย่อยยับ ที่จริงเขาอดเสียดายเธอไม่ได้ ต้องตาจัดเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง เธอทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปในวัยมัธยมอีกครั้ง

   “นั่งด้วยกันก่อนไหม” จันทร์ทิวาเอ่ยปากชวนเมื่อเห็นต้องตายืนยิ้มกว้างโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เด็กสาวพยักหน้ารัวดวงตาเป็นประกาย ว่าที่คุณหมอเลื่อนกายไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ติดกับกำแพง สละที่นั่งของตัวเองให้ ต้องตาหย่อนสะโพกลงนั่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ แก้มใสระเรื่อขึ้นเล็กน้อย

    จันทร์ทิวากับธาวินต่างก็พากันมองมาที่ดนตร์เพื่อขอคำตอบ ดนตร์ยิ้มแห้งๆ ให้รุ่นพี่ทั้งสองแล้วแนะนำต้องตาให้ทั้งสองรู้จักอีกที

    “คือ…ต้องตาเป็นลูกค้าร้านกาแฟที่ผมทำงานอยู่”

    ธาวินผงกหัวรับรู้ ขณะที่จันทร์ทิวาไม่ได้ถามอะไรต่อแต่ตะโกนเรียกบริกรมารับออเดอร์เพิ่ม สั่งเครื่องดื่มที่มีนมเป็นส่วนผสมหลักให้เธอ ต้องตาขอบคุณเบาๆ แก้มแดงมากกว่าเดิม ทว่าดวงตากลับสดใส หลายครั้งที่เหลือบมองมาทางดนตร์เธอจะรีบหลบตา ก้มหน้า ใช้มือจับปอยผมทัดไปที่ด้านหลัง เป็นกิริยาน่ารักที่ผู้ชายทั้งสามคนนึกเอ็นดูในความขี้อายของเธอ

    “แล้วนี่มาทำอะไรกันเหรอ” ดนตร์ชวนคุย ต้องตาเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากยังฉีกยิ้มอยู่

    …ทั้งเขินทั้งดีใจ…

    “มากินข้าวกับเพื่อนน่ะค่ะ…” เด็กสาวตอบ แล้วถามกลับ “พี่เพลงล่ะคะเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่วันนั้นหนูก็ยุ่งๆ อยู่กับเรื่องเรียนไม่ได้ไปที่ร้านเลย”

    “เอ่อ…” ดนตร์อึกอัก จะให้เล่าทั้งหมดก็คงไม่ได้ วันนั้นหลังจากถูกกรณ์แบกใส่บ่าพาไปบ้านหลังเก่าเขาก็ลุกไปไหนไม่ได้ ถูกทำรักซ้ำไปซ้ำมาจนอ่อนเปลี้ยไปหมด ไม่ป่วยจนต้องหามเข้าโรงพยาบาลก็ดีแค่ไหนแล้ว กรณ์เหมือนสัตว์ป่าในฤดูผสมพันธุ์ ความต้องการมีมากเหลือล้นและมีตลอดเวลาอีกด้วย พอคิดถึงกรณ์เขาก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายยังอยู่ที่ร้านนี้ ดนตร์แอบเอี้ยวตัวชำเลืองมองคนที่อยู่ในความคิด กรณ์นั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่ แม้จะเป็นระยะประมาณนี้เขาก็ยังรู้สึกว่ากรณ์มีเสน่ห์ดึงดูดเหลือเกิน ดนตร์ผินหน้ากลับ เผลอถอนหายใจเสียงดัง จนอีกสามคนต้องหันมามอง

    “พี่เพลงมองใครเหรอคะ” ต้องตาถาม พลางหันมองไปรอบๆ ตัว แต่คงเพราะไม่ได้สนใจใครไปมากกว่ารุ่นพี่หนุ่มหน้าตาน่ารักเลยไม่ได้โฟกัสไปที่ใครเป็นพิเศษ

    “เปล่าหรอก” ดนตร์ปฏิเสธ “พี่เองก็ยุ่งๆ เหมือนกัน ทั้งเรียนทั้งกิจกรรม”

   “เหรอคะ” ต้องตาพึมพำในคอ หลุบตาต่ำไม่กล้ามองชายหนุ่มทั้งสาม

    ดนตร์พรูลมหายใจเบาๆ ในสายตาของเขาแล้วต้องตายังเป็นเด็กสาวน่ารัก และเหมาะสมกับเขา แต่คงต้องพักความคิดที่จะจีบเธอเอาไว้ก่อน แค่เรื่องเรียน กับกรณ์เขาก็จัดระเบียบความคิดไม่ลงล็อคแล้ว

    รอไม่นานเมนูนมของต้องตาก็ถูกวางตรงหน้า เด็กสาวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ดูดเครื่องดื่มอย่างสุภาพ กิริยาท่าทางของเธอเต็มไปด้วยความเขินอายและประหม่า ทว่ากลับน่าเอ็นดูในสายตาของคนมองนัก ธาวินหันมายิ้มให้เขา คงพอมองออกว่าต้องตาคิดอะไรกับเขาอยู่

     ดนตร์ชวนต้องตาคุย พยายามทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย โชคดีที่ธาวินมีนิสัยขี้เล่น ใช้เวลาเพียงไม่นานการพูดคุยก็ไหลลื่นขึ้น ต้องตาหลุดขำกับมุขงี่เง่าของธาวินหลายครั้ง แต่ที่น่าขำมากกว่าคือคำพูดปาดหน้าของจันทร์ทิวาต่างหาก สั้นๆ แต่เจ็บปวด หักมุขธาวินได้อย่างเฉียบขาดที่สุด

    เหล้าถูกเสิร์ฟเป็นระยะ จากหนึ่ง เป็นสอง สาม สี่และห้า ดนตร์รู้สึกหนักๆ ที่ท้องน้อย เหล้าที่กินเข้าไปชักจะทำพิษ เขาขอตัวออกมาทำธุระ โดยฝากให้จันทร์ทิวาและธาวินดูแลต้องตา

    ห้องน้ำของร้านอยู่ด้านหลัง ค่อนข้างเงียบแต่ก็มีเสียงพ่อครัวทำอาหารให้ได้ยิน ดนตร์รู้สึกมึนงงเล็กน้อย จังหวะการเดินเสียไปบ้างแต่ก็ตั้งหลักได้ ภาพการมองเห็นพร่าเลือน หลังจากเสร็จกิจก็เดินออกมาล้างมือที่หน้าห้องน้ำ ถอดแว่นออกแล้วกวักน้ำขึ้นล้างหน้าเพื่อลดอาการเมา แต่แล้วก็ต้องตกใจจนตัวชาเมื่อกระจกบานเล็กสะท้อนภาพของใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา ใครคนนั้นยืนอยู่ด้านหลัง ทิ้งระยะห่างไม่เกินสามเมตรดี แต่ด้วยบริเวณนั้นค่อนข้างอับแสงทำให้เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้า ส่วนอีกเสี้ยวจมหายในความมืด แม้จะไม่มีแว่นช่วยในการมองเห็นแต่เขาก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่รายล้อมตัวคนๆ นั้น

    เขาเผลอกลั้นลมหายใจไม่กล้าละสายตาไปจากกระจกพอๆ กับไม่กล้าเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ สองสายตาประสานกันในเงากระจก นานจนขนในกายลุกทุกเส้น ประสาทในกายตื่นตัว การได้ยินจับไปที่อีกฝ่ายและเสียงหัวใจของตัวเองเท่านั้น ดนตร์กระพริบตาสองสามครั้งเป็นจังหวะเดียวกับคนในเงามืดปรากฏตัว

    กรณ์ก้าวยาวๆ แค่สามก้าวก็ประชิดตัวคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกเสียแล้ว ตลอดการเคลื่อนไหวเขาไม่ได้ละสายตาจากร่างโปร่งบางเลยแม้แต่วินาทีเดียว ที่จริงต้องบอกว่าตั้งแต่อยู่ในร้านแล้วต่างหาก มันเหมือนตลกร้าย ร้านอาหารที่กรุงเทพฯมีนับพันนับหมื่น แต่เขากลับเลือกร้านนี้และได้พบกับคนที่ไม่ได้เจอกันมานานร่วมสัปดาห์

    แม้ไม่ใช่การหนีหน้าแต่ด้วยภารกิจที่ไม่อาจปลีกตัวได้ทำให้เขาไม่ได้พบกับคนๆ นี้เลยตั้งแต่วันที่ไปส่งบิดาขึ้นเครื่องบิน ไม่ใช่ไม่คิดถึง แต่คิดถึงแทบขาดใจต่างหาก ทว่าทั้งงานราษฎร์งานหลวงรุมเร้าไม่ขาดสาย มีเอเจนซี่มาติดต่อให้เขาไปร่วมงานด้วยหลายที่ รวมไปถึงค่ายหนังของรดาด้วย ชนวีร์แนะนำให้เขาเลือกข้อเสนอของค่ายนี้เพราะเป็นงานไม่ยาก แค่ถ่ายแบบเซ็ตคู่รักคู่กับรดา และถ้าเขาได้ดีก็อาจจะมีงานโฆษณาด้วย เดิมทีเขาไม่ค่อยสนใจงานด้านวงการบันเทิงเท่าไรนัก แต่ชนวีร์ยุไม่หยุด พูดถึงรายได้และผลประโยชน์ที่จะตามมา เขารำคาญเสียงหงุงหงิงเหมือนหมูหิวของมันเลยจำใจต้องตอบรับไป

    เรื่องเรียนก็หนักหนาไม่แพ้กัน งานที่อาจารย์สั่งเพิ่มและเร่งวันส่ง เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการขอฝึกงาน เขาเองลั่นวาจาไว้กับบิดาแล้วว่าจะทำตามที่ท่านต้องการ ขอเพียงแค่ยอมรับดนตร์และกันโยษิตาให้เท่านั้น ที่จริงเขาเคยเลือกไว้แล้วว่าจะไปฝึกงานที่ไหน ทว่าเพราะดนตร์ทำให้เขาต้องเปลี่ยนใจ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมางานรุมเร้าเสียจนปลีกเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ได้เลย
 
    แต่ถึงแม้จะไม่ได้เจอหน้า เขาก็ให้เมธัสส่งข่าวดนตร์ให้แทบทุกวัน ดนตร์เองก็วุ่นวายไม่แพ้เขา เพราะต้องไปซ้อมเชียร์ทุกวัน น่าเสียดายที่ความสามารถด้านกีฬาของดนตร์ไม่มีใครพูดถึงเท่าไรนัก เจ้าตัวเลยพลาดเป็นหนึ่งในทีมบาสของคณะ ที่จริงแล้วดนตร์เล่นบาสฯ เก่งไม่หยอก ถึงจะไม่สูงมากแต่คล่องแคล่ว แถมกระโดดสูงราวกับติดสปริง แต่อย่างว่าทีมบาสของคณะนิเทศน์สูงเกินร้อยแปดสิบกันทุกคน ส่วนสูงที่แตะแค่ร้อยเจ็ดสิบห้าเลยไร้ประโยชน์

    วันนี้ทีมงานของนิตยสารที่ต้องการให้เขากับรดาไปขึ้นปกได้ติดต่อมาเพื่อคุยเรื่องคอนเซ็ปต์ของงานรวมไปถึงข้อตกลงต่างๆ หลังจากคุยกันพักใหญ่ก็ได้ข้อสรุป มันไม่ใช่งานยาก ถ้าเทียบกับหนังใบ้ของชนวีร์ ขากลับรดาขอติดรถกลับมาด้วยเพราะรถของเธอเข้าอู่ เขาเลยพาเธอมาแวะกินข้าวเย็นที่ร้านประจำ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับดนตร์ที่นี่...ไม่ใช่แค่ดนตร์ แต่เขายังเป็นธาวิน จันทร์ทิวาและเด็กผู้หญิงคนนั้น

    ลืมไปได้อย่างไรว่าร้านประจำของเขา ก็เป็นร้านประจำของเพื่อนสนิทเหมือนกัน

    เขาเห็นดนตร์กับคนอื่นๆ ในจังหวะที่จันทร์ทิวาตะโกนเรียกบริกรพอดี ความโกรธทำงานอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเด็กที่ชื่อต้องตา ยัยนั่นนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับดนตร์ ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย มือคอยจับผมทัดหูเป็นระยะ สำหรับผู้ชายคนอื่นแล้วคงน่ารักน่ามอง แต่เขาคิดว่ามันน่ารำคาญมากกว่า

    ...เขินเมียคนอื่นมันใช่เรื่องเสียที่ไหน!...

    กรณ์อาศัยจังหวะที่ดนตร์ปลีกตัวมาจากคนพวกนั้น ก้าวตามมาห่างๆ ดีหน่อยที่รดาไม่ได้ซักถามอะไรตอนที่เขาบอกว่าจะไปห้องน้ำ ท่าทางเด็กดื้อของเขาจะดื่มไปไม่น้อย สังเกตได้จากการเดินที่ไม่ค่อยคงที่เท่าไรนัก เขารออยู่หน้าห้องน้ำจนดนตร์ทำธุระเสร็จ โดยเลือกที่จะซ่อนกายอยู่ในความมืดของเงาอาคาร การที่ห้องน้ำสร้างแยกออกมานับว่าเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้บริเวณนี้แยกออกมา เงียบ และไม่มีใคร

    เขาหงุดหงิดที่ยัยเด็กบ้านั่นไม่ยอมเลิกรากับดนตร์ซักที ทั้งที่วันนั้นเขาประกาศชัดเจนแล้วว่าดนตร์เป็น ‘เมีย’ แต่ยัยเด็กต้องตายังกล้าที่จะให้ความหวังตัวเอง เขาอยากจะเข้าไปถามเหลือเกินว่าดนตร์ยังเหลือตรงไหนให้ทำแฟนได้อีก ยิ่งคิดก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง อารมณ์อยากอาหารหายไปสิ้น เขาพาลหงุดหงิดไปหมด ยิ่งได้เห็นดนตร์ชวนเด็กนั่นคุยเขายิ่งโมโห เขาอุตส่าห์คิดถึงแทบขาดใจแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มระรื่นให้ผู้หญิงอื่น

    แต่ถึงแม้คิดถึงแค่ไหนเขาก็ไม่เคยส่งข้อความหวานๆ ไปหาเลยสักครั้ง เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่หมู่นี้ไม่ค่อยจะอัพเดทอะไรในเฟซบุ๊คเลย เขาเคยไล่ดู ครั้งล่าสุดที่ดนตร์อัพก็เมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว เป็นช่วงที่เขาประสบอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาลพอดี แล้วก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวอีก คงเป็นเพราะเขาที่ทำให้ดนตร์ต้องอยู่ห่างจากโลกโซเชียล ดังนั้นคำหวานๆ เช่นคิดถึงหรืออยากเจอไม่มีทางหลุดจากดนตร์มาถึงเขาแน่

    ...นี่ดนตร์ชอบเขาจริงๆ หรือเปล่า…

   ความคิดนี้เขาไม่ได้มโนไปเองแต่ไอ้เจ้าอ้วนมันมาบอกเขาต่างหาก มันไม่ได้บอกตรงๆ แต่อ้อมโลกเสียจนต้องนอนคิดอยู่หลายคืน

    ‘ถ้าลูกเจี๊ยบมันไม่คิดอะไรกับแก มันจะยอมแกขนาดนี้เหรอ หัดเอาหัวใจมองแทนลูกตาซะบ้าง’

    มันก็จริงอย่างที่ชนวีร์พูด แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจนัก เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำตัวให้เหมาะแก่การแอบชอบเลย ทั้งแกล้ง รังแก เอาเปรียบ ไม่เคยทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ผิดกับเพื่อนรักศัตรูหัวใจทั้งสองราย ที่ผลัดกันทำตัวเป็นพระเอกปล่อยให้เขาเป็นตัวร้ายอยู่คนเดียว มันช่วยไม่ได้จริงๆ เขามันพวกไร้ความรู้สึก แม้แต่คำว่า ‘รัก’ ยังไม่แน่ใจเลยว่ารู้จักมันหรือเปล่า

    กรณ์ดึงตัวเองออกจากภวังค์ความคิด เขาคลี่ยิ้มมุมปากมองดูใบหน้าขาวซีดของดนตร์อย่างใจเย็น นี่นับว่าปราณีมากแล้วที่เขาไม่กระชากอีกฝ่ายมาบดจูบลงโทษข้อหาที่ไปอ่อยเหยื่อ มีผัวอยู่แล้วทั้งคนยังไปให้ความหวังเด็กนั่นอีก

    “พะ...พี่กรณ์”

    ดนตร์เบิกตากว้างเท่าที่ตากลมๆ นั้นจะอำนวย เจ้าตัวหมุนร่างรวดเร็วหันมาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้ายามไร้แว่นน่ารักขึ้นเป็นกอง ริมฝีปากอิ่มเผยอน้อยๆ แก้วตาสีอ่อนมีแววตื่นตระหนก ดนตร์ถอยหลังโดยอัตโนมัติจนสะโพกชนกับขอบอ่างล้างหน้า หยดน้ำเกาะพราวบนใบหน้า บางส่วนเปียกไปถึงปอยผม เขาเพิ่งสังเกตว่าผมของดนตร์ยาวแล้ว จำได้ว่าเจอกันครั้งแรกผมของหมอนี่ยังสั้นกุดอยู่เลย

    กรณ์ไม่ได้พูดอะไร แต่ก้าวขาเข้าไปใกล้กว่าเดิม ตั้งใจคุกคามเพื่อให้อีกฝ่ายหวาดเกรงเผื่อจะได้รู้ตัวว่ากำลังทำผิด ดนตร์เบี่ยงตัวหนีแต่เขายกแขนกักไว้เสียก่อน มือวางบนบานกระจก กักร่างน้อยไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบดีด้วยซ้ำ เขาได้ยินเสียงลมหายใจถี่ๆ ของดนตร์ กรณ์เอื้อมมือไปยังแว่นตาแล้วบีบมันเต็มแรง แว่นตาทรงเห่ยหักคามือ ดนตร์หน้าเหวอหันมองเครื่องช่วยมองที่สิ้นสภาพอยู่ในมือของเขา

    “พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย! นั่นมันแว่นของผมนะ”

    คนตัวสูงยังไม่พูดอะไรเช่นเคย สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอีกคนเท่านั้น ดนตร์หันรีหันขวาง ทำตัวไม่ถูก คงทั้งอยากจะหนีและอยากจะต่อว่าพร้อมกัน

    ก้านนิ้วยาวจับคางเชยขึ้น พิจารณาเครื่องหน้า ทั้งคิ้ว ตา จมูก และริมฝีปาก จริงอยู่ที่ดนตร์ไม่ได้มีอะไรสะดุดตา แต่ยิ่งมอง ยิ่งพิศ ก็ยิ่งดึงดูด ส่วนประกอบทุกอย่างมันเข้ากันอย่างลงตัว โดยเฉพาะริมฝีปาก ไม่ต้องพึ่งลิปสติกยี่ห้อแพงๆ ก็แดงฉ่ำน่าจูบ ถ้าไม่ติดว่ากำลังโกรธเรื่องที่เจ้าตัวไปหว่านเสน่ห์ใส่เด็กนั่น เขาคงหลุดคำชมไปแล้ว

    ดังนั้นก่อนจะชมเขาต้องลงโทษก่อน!

    วินาทีที่ดนตร์ยังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็ประทับริมฝีปากลงไปเสียแล้ว กรณ์บดคลึงกลีบปากนุ่มหยุ่นด้วยความหมั่นเขี้ยวแกมหงุดหงิด แค่คิดว่าปากสวยๆ นี้ใช้พูดจากับคนอื่น หัวเราะกับคนอื่นเขาก็ทนไม่ได้ ชายหนุ่มเพิ่มน้ำหนักการรุกเร้า ใช้ฟันงับกลีบปากล่างอิ่มฉ่ำหนักๆ เป็นการลงโทษ ดนตร์ดิ้นอึกอักยกมือขึ้นยันหน้าอกเขาเอาไว้ เกร็งร่างไม่ให้ถูกรวบกอด กรณ์ผละห่างออกมาแต่เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็กลับลงไปใหม่ คราวนี้เขาสอดลิ้นเข้าไปด้วย

    อาการขัดขืนลดลงทีละน้อย ด้วยความสามารถและความชำนาญที่ต่างกัน ไม่นานร่างโปร่งก็อ่อนระทวย ซวนซบกับอก ดนตร์เงยหน้ารับจูบปรับหน้าให้ได้องศาที่เหมาะสม ลิ้นน้อยขยับตอบโต้กลับมา มือที่ยันเปลี่ยนเป็นโน้มเหนี่ยวต้นคอไว้ เพลิงอารมณ์ถูกจุดอย่างรวดเร็ว จูบลงโทษเลยกลายเป็นการถ่ายทอดอารมณ์แทน เสียงการเสียดสีของผ้าเหมือนเป็นเครื่องมือกระตุ้นอารมณ์ให้มากกว่าเดิม ดนตร์เผลอเบียดกายแนบชิด กรณ์ละมือจากกระจกมาวางลงที่บั้นเอวเล็กแทน นิ้วมือบีบนวดผิวเนื้อเนียนอย่างเพลินมือ

    นานจนอากาศลดน้อยลง กรณ์ถึงได้ปล่อยกลีบปากนุ่มให้เป็นอิสระ ดนตร์หอบหายใจจนหน้าแดง ริมฝีปากอิ่มบวมเห่อน้อยๆ ดวงตากลมฉ่ำปรือคล้ายกับจะยั่วกันให้ตบะแตก กรณ์นับหนึ่งถึงสิบอย่างอดกลั้น เขาไม่อยากร่วมรักกับดนตร์ที่หน้าห้องน้ำนี้ แม้ว่าส่วนกลางลำตัวจะปวดหนึบแค่ไหนก็ตาม

    “พี่...”

   “อย่าเพิ่งพูด” กรณ์ห้าม

   ดนตร์เองก็ทำตามอย่างว่าง่าย ทำแค่ซุกหน้าอยู่กับอกอุ่นเท่านั้น ความน้อยใจที่เห็นกรณ์กับรดามันหายไปตั้งแต่โดนปล้นจูบ เขาเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง ไม่ว่าจะเมื่อไรเขาก็ต่อต้านกรณ์ไม่ได้สักที...

*************************************

ขออภัยที่ล่าช้า เพราะคุณแม่เข้าโรงพยาบาลค่ะ

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 17 Be my baby


    ภายในรถ Toyota 86 สีแดงเพลิงที่บรรทุกผู้โดยสารไว้สามคน หนึ่งคือกรณ์ ผู้เป็นเจ้าของรถและทำหน้าที่สารถี ผู้โดยสารคนที่สองเป็นสตรีสาวสวยดีกรีระดับว่าที่นางเอก หล่อนนั่งเคียงข้างกับคนขับ และสามคือเด็กหนุ่มธรรมดาที่ถือครองที่นั่งเบาะหลังแต่เพียงผู้เดียว ทว่าด้านในรถมันไม่ได้กว้างขวางเหมือนรถยนต์เอนกประสงค์ เพราะรถยนต์รุ่นนี้เน้นสมรรถนะด้านความเร็วเสียมากกว่า ด้วยรูปทรงสปอร์ตที่เหมาะแก่การประชันความเร็วในสนามแข่งมากกว่าจะเป็นยานพาหนะทั่วไปบนท้องถนน

    ดนตร์ขยับตัวอย่างอึดอัด ไม่เพียงแค่ห้องโดยสารที่คับแคบแต่ยังรวมไปถึงผู้ร่วมเดินทางสองคนที่ทำให้เขากลายเป็นคนนอกไปโดยปริยาย

    รดาตัวจริง ยิ่งในระยะห่างแค่หนึ่งช่วงแขนน่ารักเสียจนแทบลืมหายใจ เรือนร่างโปร่งบางเสียจนน่ากลัวว่าอาจจะถูกลมพัดปลิวไปได้ เส้นผมสีอ่อนหอมกลิ่นดอกไม้ยามที่เจ้าตัวสะบัดเคลื่อนไหว ชุดที่สวมใส่ก็หรูหราราคาแพง นั่นยังไม่รวมถึงกระเป๋า รองเท้าและเครื่องประดับอีกหลายชิ้น เรียกได้ว่าทุกอย่างบนตัวถ้าหากนับเป็นมูลค่าน่าจะพอๆ กับค่าเทอมของเขาเลยทีเดียว...แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาอยากจะกระโดดลงจากรถ

    หากแต่เป็นการสนทนาอย่างสนิทสนมและเป็นกันเองมากกว่า เสียงรดาเจื้อยแจ้วเหมือนนกตัวน้อยๆ เธอพูดคุยตอบโต้ได้อย่างน่าฟัง เช่นเดียวกับอีกคนที่ใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มลึก แม้ประโยคที่พูดจะไม่ได้ยาวนักแต่ก็กระชับได้ใจความ ไหนจะเสียงหัวเราะที่มีให้ได้ยินเรื่อยๆ นั่นอีก ตลอดระยะเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงทำให้เขาจับใจความถึงเรื่องที่ทั้งคู่พูดคุยกันได้ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับงานที่กำลังจะได้ทำร่วมกัน นิสัยใจคอของผู้ร่วมงาน โดยมีมุขตลกน่ารักๆ ของรดาแทรกมาให้หลุดขำได้เป็นระยะ

    ทว่าดนตร์กลับยิ้มไม่ออก ราวกับว่าปากของเขาถูกเย็บติดกันไปแล้ว

    ย้อนกลับไปเมื่อ สามสิบนาทีก่อน เขาถูกกรณ์พาออกมาจากห้องน้ำ แล้วบังคับให้กล่าวลาธาวิน จันทร์ทิวาและต้องตา ก่อนจะสั่งให้เขาไปรอที่รถ Toyota 86 สีแดงโดยไม่ลืมบอกหมายเลขทะเบียนรถมาด้วยพร้อมกับกุญแจ เป็นการบัญชาอย่างผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง ตอนนั้นพี่ธามพยายามจะคัดค้าน แต่กรณ์ไม่ฟังเสียง ผลักไหล่ให้เขาไปรอที่รถ คนอื่นๆ เลยได้แต่ส่งสายตาเห็นใจให้เท่านั้น

    จากนั้นไม่ถึงห้านาที เจ้าตัวก็ตามมาพร้อมกับรดา หล่อนดูแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเขายืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อรออยู่ แต่กรณ์คงอธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับตัวเขาไปบ้างแล้ว เลยไม่มีคำถามใดๆ เกี่ยวกับตัวเขาหลุดมาให้ได้ยินเลย

    ทั้งคู่เปลี่ยนเรื่องคุยขณะที่รถกำลังแล่นเข้าสู่ย่านกลางเมืองที่คึกคักที่สุด บริเวณนี้มีทั้งแหล่งชอปปิ้งที่ใหญ่ที่สุด สิ่งปลูกสร้างน่าตื่นตาตื่นใจ และมีที่พักที่มีราคาแพงที่สุดด้วยเช่นกัน รดาถามเกี่ยวกับการเรียนของกรณ์ เพราะเธอก็กำลังเรียนอยู่ชั้นปีเดียวกันแต่คนละคณะและต่างมหาวิทยาลัย แม้จะไม่อยากได้ยินบทสนทนาพวกนั้น แต่มันเลี่ยงไม่ได้เพราะนอกจากเพลงสากลที่เบาเสียยิ่งกว่าเสียงยุง ก็มีแต่เสียงของทั้งสองคนนี้เท่านั้น แถมสภาวะจิตของเขาก็แข็งจนเกินกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้

    แล้วช่วงเวลาที่น่าอึดอัดก็หยุดลงเมื่อรถยนต์จอดนิ่งที่หน้าคอนโดหรูหรา ภายนอกมันดูโอ่อ่าและใหญ่โต แถมสูงเสียดฟ้า รดากล่าวขอบคุณกรณ์ที่มาส่ง พร้อมกับชวนขึ้นไปดื่มชาที่ได้มาจากญาติผู้ใหญ่ทางตอนเหนือ และไม่ลืมปันน้ำใจมาถึงเขาด้วย

    ดนตร์ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็ภาวนาให้กรณ์ตอบรับไป เขาจะได้ใช้โอกาสนี้ขึ้นรถประจำทางกลับหอพัก ทว่าคำขอของชายผู้อับโชคไม่เคยเป็นจริง กรณ์ปฏิเสธคำชวนนั้นด้วยเช่นกัน รดาทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร หล่อนโบกมือลา อวยพรให้กรณ์โชคดี ก่อนที่รถจะเคลื่อนห่างออกมา

    เขายังนั่งอยู่ที่เดิม เพราะไม่มีคำสั่งจากเจ้าของรถ ซึ่งเขาก็เห็นดีด้วย การนั่งตรงนี้มันดีกว่าต้องไปนั่งทับที่ใคร!

    กรณ์ขับรถวกกลับไปยังเส้นทางเดิมเนื่องจากมหาวิทยาลัยของเขาอยู่ใกล้กว่าที่พักของรดา เจ้าของรถไม่ยอมคุยกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว ราวกับว่าไม่พอใจที่มีเขาอยู่ในรถด้วย ทั้งที่เขาไม่ได้อยากมาด้วยสักนิด ถ้าเลือกได้ขอนั่งรถไฟฟ้ากลับพร้อมกับต้องตาจะดีกว่า

   รถวิ่งไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ดนตร์แอบมองหน้าปัดแล้วก็อดตกใจไม่ได้ เข็มไมล์แตะเลย 140 กม./ ชม. ไปแล้ว ตั้งแต่คราวอริญชย์จนถึงเหตุการณ์แข่งรถทำให้เขากลัวความเร็วยิ่งกว่าเดิม เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดแถวข้างขมับทั้งที่อากาศเย็นเยียบ ร่างกายแข็งทื่อ มือหาที่ยึดโดยอัตโนมัติ ภาพในหัวย้อนไปในวันที่รถยนต์ของกรณ์หมุนคว้างกลางอากาศ สวดมนต์ภาวนาอย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกเลย เขาไม่กล้าหันมองทิวทัศน์เหมือนตอนที่มีรดานั่งมาด้วย มันไหลผ่านไปเร็วเสียจนต้องหลับตาหนี พยายามห้ามจินตนาการไม่ให้เตลิดไปสู่ความน่ากลัว

    ชั่วอึดใจที่เขาทำใจกล้าลืมตาขึ้นมอง ความเร็วของรถยังไม่ลดลง เส้นทางการจราจรก็เป็นใจเสียเหลือเกิน ถนนโล่ง มีรถวิ่งสวนแต่ก็ไม่ได้ติดแหง็กเหมือนทุกที แถมต้นไม้ก็เยอะมากกว่าอาคารบ้านเรือน ร้านรวงต่างๆ หัวคิ้วกระตุกหงึก รู้สึกว่าแถวนี้ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ดนตร์เหลียวหน้าเหลียวหลังหันซ้ายมองขวาสลับกัน ใจหายหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นี่ไม่ใช่ทางไปมหาวิทยาลัย!

    “พี่จะไปไหนเหรอ ผมอยากกลับไปนอนแล้ว”

    “กลับบ้าน”

   “บ้านใคร นี่ไม่ใช่ทางไปมหา’ ลัยนี่นา” เขาแย้ง

    “บ้านฉัน”

   “ไปส่งผมก่อนได้ไหม หรือไม่ก็จอดให้ผมลงตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวผมหารถกลับเอง” ดนตร์บอก เดาไม่ออกว่า ‘บ้าน’ ที่กรณ์ว่าคือบ้านหลังนั้นที่เคยไปอยู่ด้วยกันหรือคอนโด แต่จากเส้นทางที่ไม่ชินตาเขาเดาว่าน่าจะเป็นข้อสันนิษฐานแรกมากกว่า

    กรณ์ไม่มีทีท่าจะทำตามอย่างที่เขาขอเลยสักนิด ความเร็วลดระดับลงเล็กน้อยเมื่อเข้าสู่แหล่งชุมชน บ้านหลังเก่าของกรณ์ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจุดที่ตั้งของมหาวิทยาลัย เขาจำได้เพราะคราวก่อนต้องนั่งรถหลายต่อกว่าจะถึงมหาวิทยาลัย

    เมื่อคำคัดค้านไม่เป็นผลเขาเลยจำใจต้องยอมสงบปากสงบคำ ความจริงการที่ต้องมานอนบ้านเก่าของกรณ์ก็ไม่เลวร้ายเท่าไรนัก ดีกว่าไปนอนบนเตียงแคบๆ ที่หอเสียอีก ดนตร์ผ่อนร่างลงกับเบาะพิงหลังจากนั่งเกร็งอยู่นานหลายสิบนาที กระทั่งรู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่คลายตัวลง รถ Toyota 86 ก็หยุดลง

    กรณ์เปิดประตูออกไปก่อน แล้วยืนรออยู่ตรงนั้น เขามุดตัวออกมาจากด้านหลังด้วยความทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะไอ้เจ้ารถสปอร์ตคันนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อผู้โดยสารคนที่สามหรือสี่ ขนาดคนที่สูงร้อยเจ็ดสิบห้าอย่างเขา หัวยังชนขอบประตูได้เลย นั่นหมายความว่ารถคันนี้มีขนาดเล็กมากจริงๆ และไม่เหมาะแก่การเอาเขาพ่วงติดมาด้วย แค่เจ้าของกับตุ๊กตาหน้ารถก็พอแล้ว!

    ดนตร์เหลือบมองร่างสูงในชุดสูทดูดี ก่อนจะกระชับเสื้อคลุมไหมพรมของตัวเอง พอเห็นสีหน้าที่ทำเหมือนแวมไพร์ไร้ความรู้สึกกับดวงตาสีดำสงบนิ่งของอีกฝ่ายก็อดเบ้ปากไม่ได้ ทำเป็นไม่แยแสเขาทั้งที่เป็นฝ่ายบังคับเขามาแท้ๆ ดนตร์ยักไหล่ เดินไปหยุดที่หน้าประตูไม้สีน้ำตาลเข้ม

   คราวก่อนไม่ทันได้สังเกตว่ามันสีอะไร แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสีหลุดลอกไปเกือบหมดแล้ว ดีหน่อยที่เนื้อไม้ดีมันเลยยังทำหน้าที่ป้องกันได้อย่างดีเยี่ยม เขาปรับสายตาจนชินกับความมืดเลยพอเห็นหญ้าแห้งๆ กับต้นไม้ตายซากข้างบ้าน เพ่งสายตาอีกนิดก็เป็นแนวสันดินที่นูนขึ้นมา เดาว่าก่อนหน้านี้มันคงเคยเป็นแปลงดอกไม้มาก่อน แล้วถ้าสังเกตดีๆ มีสระเลี้ยงปลาเก่าๆ พังๆ อยู่ด้วย เมื่อหลายปีก่อนบ้านหลังนี้คงน่าอยู่ไม่น้อย น่าเสียดายที่ถูกปล่อยให้กาลเวลาทำลายลงไป แล้วก็นึกแปลกใจตัวเองที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ในราตรีได้ทั้งที่ไม่มีแว่นตา แม้ภาพจะพร่าเลือนไปสักหน่อยแต่ก็มองออกว่ามันมีรูปร่างเป็นอย่างไร

    “หลบหน่อย”

   ดนตร์ย่นจมูกให้กับคนที่กำลังไขกุญแจ ไม่นึกเห็นใจสักนิดที่เจ้าตัวต้องต่อสู้กับความมืดเพื่อหารูไข ไม่คิดแม้แต่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาช่วยให้แสงสว่างด้วย เขายกมุมปากน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงสบถไม่พอใจจากคนตัวสูง หลังจากทนฟังเสียงก๊องแก๊งอยู่นานเกือบห้านาที บวกกับสายตาที่ชินกับความมืดแบบที่ไม่ต้องเปิดไฟก็เดินไม่ชนกับอะไรได้ ที่สุดประตูไม้ก็เปิดออก กรณ์พ่นคำหยาบคายออกมาสองสามคำก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน

    กรณ์สามารถหาสวิตช์ไฟได้อย่างแม่นยำเพราะสายตาปรับเข้ากับความมืดได้ดีเท่าๆ กับสัตว์กลางคืนไปแล้ว แต่เมื่อโคมระย้าเก่าแก่บนเพดานทำงานก็ทำให้การมองเห็นแย่ลงในทันที ดนตร์รีบหลับตาหลบแสงจ้า ใต้เปลือกตาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนมีใครมาจุดพลุเล่น เขาใช้นิ้วขยี้หัวตาเพื่อช่วยเร่งให้อาการดีขึ้น ทว่าข้อมือกลับถูกยึดเอาไว้

    “เดี๋ยวตาก็ช้ำหมดพอดี”

   เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นใกล้ๆ ดนตร์เปิดตาขึ้น ภาพที่เห็นครั้งแรกพร่าเลือนไม่เป็นรูปร่าง จากนั้นมันก็ค่อยๆ ประกอบเข้าด้วยกัน เขาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของกรณ์เต็มสองตา ชนิดที่ไม่เหลือพื้นที่ใดๆ เป็นพื้นหลังเลย ใกล้เสียจนปลายจมูกชิดกัน กระทั่งเห็นหน้าของตัวเองในแก้วตาสีนิล ดนตร์ผงะไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ

    “เป็นบ้าอะไร นอนกันมาตั้งกี่รอบแล้วยังจะทำเป็นสาวน้อยขี้กลัวอยู่อีก”

    “ปากหมา!” ดนตร์หลุดปากตอบกลับไป แล้วก็ต้องรีบยกมืออุดปากตัวเอง เขากำลังหาเรื่องให้หัวหลุดจากบ่า

    หัวคิ้วของกรณ์ขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ ส่งสัญญาณไม่ปลอดภัยออกมา ดนตร์มองหาทางรอด ข้อมือถูกยึดไว้ก็จริงแต่ไม่แน่นนัก ถ้าออกแรงบิดหน่อยก็น่าจะหลุดแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำอะไรอ้อมแขนแข็งแรงก็ตวัดรัดร่างไว้เสียแล้ว

    “หมู่นี้ชักจะปากดีใหญ่แล้วนะเพลง หรือคิดว่าได้เป็น ‘คนของฉัน’ แล้วมันเลยทำให้นายได้ใจ”

    “ใครเป็นคนของพี่วะ! มั่ว!”

    กรณ์ทำเสียงขึ้นจมูก กระชับท่อนแขนให้แน่นกว่าเดิม สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากลูกหนูตัวน้อยที่กำลังจะตกเป็นเหงื่อของงูเหลือมยักษ์ ระยะห่างของใบหน้าสั้นลงเรื่อยๆ ลมหายใจอุ่นๆ ลอยอ้อล้ออยู่ที่ผิวแก้ม ดนตร์พลิกหน้าหนีไปทางซ้าย ลมอุ่นที่มีกลิ่นมิ้นต์อ่อนๆ ก็ตามมา หันไปขวาก็ยังตามมาอีก แถมซ้ำร้ายลมนั่นมันกำลังไล้เลียอยู่ที่ซอกคออีก   “ทำไมถึงไปกับไอ้ธาม บอกแล้วไงว่าไม่ให้ไปไหนมาไหนกับมัน เป็นปลาทองหรือไงความจำถึงได้สั้นนัก” เสียงเอ็ดดังอยู่แถวกกหู ดนตร์ย่นคอหนี ขนอ่อนในกายลุกฮือ ไขสันหลังเสียววาบพาลให้แข้งขาอ่อนแรง...ใบหูเป็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของเขา!

    ขณะที่กำลังจะอ้าปากอธิบาย ไอเย็นจากบางอย่างก็แตะลงที่ปลายติ่งหู เท่านั้นทั้งความคิดและคำพูดทุกอย่างก็เลือนหาย เขาตัวอ่อนยวบ ยอมให้คนตัวใหญ่กว่ากอดไว้โดยไร้การขัดขืน

    เขาเกลียดความชำนาญกรณ์...แต่ที่เกลียดยิ่งกว่าคือความอ่อนไหวของตัวเอง!

    “ฉันถามทำไมไม่ตอบล่ะ”

    “ปล่อยก่อนได้ไหมล่ะ กอดแบบนี้ผมหายใจไม่ออก”

   คิ้วหนายกสูงแต่อ้อมแขนยังไม่มีทีท่าว่าจะคลายออกแม้แต่น้อย ลมหายใจอุ่นอ้อยอิ่งอยู่ที่ต้นคอไล่มาถึงใบหู บางจังหวะเขาก็รู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นปนชื้นที่แตะลงมา จังหวะหัวใจเขาเต้นระห่ำขณะที่การหายใจเริ่มมีปัญหา ดนตร์ค่อยๆ รวบรวมสติ ทวนคำถามแล้วค่อยเค้นคำตอบออกไป

    “เขาชวน...มีพี่ทิวไปด้วย ผมเลย...ไม่ปฏิเสธ” คำพูดของเขาขาดห้วง ระหว่างที่ลำคอถูกรุกรานอย่างหนัก ลิ้นเปียกเย็นลากแผ่วๆ จากรอยต่อของหัวไหล่ขึ้นไปจนถึงใบหู ขนในกายลุกชันซ้ำแล้วซ้ำเล่าโลกใต้เท้าโคลงเคลง จนเผลอยกมือยึดเสื้อเนื้อหนาแต่นุ่มไว้

    “แล้วยัยเด็กต้องตานั่นหละ...ชักจะหว่านเสน่ห์เกินไปแล้วนะ ไอ้ตัวยุ่ง” เสียงทุ้มเพราะๆ ดังใกล้เหลือเกินราวกับมันเป็นอากาศที่ดูดเข้ามาในตัวเขา

    “บังเอิญ..” เขาตอบ รู้สึกถึงเสียงที่เบาหวิว

    “ความบังเอิญไม่มีในโลกหรอก รู้ไหม”

     สมองสั่งการได้ช้าลง แต่ร่างกายกลับรู้สึกไวขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว โชคดีที่กรณ์ไม่ได้ถามอะไรอีกคงรู้ว่าเขาไม่มีกะจิตกะใจจะตอบคำถามอีกได้

    กรณ์ดันร่างเขาไปชิดกับขอบหน้าต่าง ลมหายใจเป่ารดรินใส่กันละกัน สองสายตามองสบประสาน ต่างเป็นภาพของตัวเองในกระจกตาของอีกฝ่าย คำพูดกลืนหายไปอยู่ในคอ กรณ์กดริมฝีปากทาบลงบนกลีบปาก ดูดกลืนความนุ่มหยุ่นจนหนำใจ แล้วค่อยสอดลิ้นเข้าไปควานล้อหยอกเย้า คนอ่อนประสบการณ์ตัวอ่อนราวกับเป็นร่างไร้กระดูก ทอดกายในอ้อมแขน แถมยังปรับศีรษะตอบรับจูบหวานกำซ่านแต่ก็เรียกร้องอยู่ในที เรียวลิ้นทั้งสองเกี่ยวพันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนเมื่อรู้สึกถึงอากาศในปอดที่ลดน้อยลง กรณ์ถึงได้ยอมเป็นฝ่ายล่าถอยไป ไม่ใช่เพราะยอมแพ้แต่ไม่อยากให้เด็กแถวนี้ขาดใจเสียก่อน

    ทั้งสองต่างรู้ดีว่าต้องการอะไร เสื้อผ้าถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าเท่ากัน ดนตร์ห่อตัวหันหน้าหนี เมื่อไม่อาจทนต่อสายตาลามเลียของกรณ์ได้ ขาเรียวยกขึ้นไขว้กันเพื่อปกปิดสัดส่วนน่ารัก กรณ์ไม่รอให้เสียเวลา ร่างสูงใหญ่เข้ารวบร่างโปร่งเอาไว้อีกครั้ง ก่อนจะระดมจูบไปทั่วทุกที่ที่ทำได้ มือหนาเลื่อนลงเบื้องล่าง รูดเร้าด้านหน้าปลุกเร้าเจ้าของอีกทาง ดนตร์ตัวอ่อนไปหมดไม่ว่าจะจับพลิกไปทางไหนเจ้าตัวก็ไม่ขัดขืน กรณ์งับที่ปลายติ่งหูเบาๆ ด้วยอดมันเขี้ยวไม่ได้ เจ้าตัวยุ่งครางผะแผ่ว ยกมือขึ้นเหนี่ยวต้นคอหนาไว้แน่น

    หลังจากปรนเปรอส่วนหน้าให้แล้ว มือหนาก็เลื่อนเลยไปด้านหลัง ก้านนิ้วยาวจุ่มจ้วงลงสู่ความคับแน่นร้อนจัด ดนตร์ขยับตัวอย่างอึดอัด พลางแยกขาเล็กน้อย จากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง กรณ์หมุนควานนิ้วในโพรงร้อนอย่างชำนาญ กระทั่งความฝืดเคืองลดน้อยลงถึงได้จับข่งน้อยของตัวเองจดจ่อกับปากทางสีสด ขณะที่มืออีกข้างยกขาขาวเกี่ยวเอวของตัวเองเอาไว้

    ดนตร์เบ้หน้าเพราะส่วนปลายแข็งและร้อนจัดกำลังจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น ด้วยความใหญ่โตบวกกับด้านหลังของเขาที่แคบเกินไปทำให้กรณ์ไม่อาจผ่านเข้ามาได้ง่ายๆ

   “เจ็บเหรอ” กรณ์เงยหน้าขึ้นถาม ดวงตาคมมีแววตื่นตกใจเล็กน้อย ก่อนจะใช้ริมฝีปากจูบเบาๆ ที่หางตา ถึงตอนนี้ดนตร์เพิ่งรู้ว่ามันเจ็บจนน้ำตาไหล

    ท่วงท่านี้คงไม่เหมาะสมนัก กรณ์เลยใช้กำลังที่มากกว่า โอบเอวเล็กแล้วออกแรงยกร่างของดนตร์วางบนขอบหน้าต่าง ก้นกลมทับบนขอบวงกบได้พอดี ชายหนุ่มช้อนข้อพับของเขาทั้งสองข้างแล้วยกสูง จนสะโพกมนลอยเด่น แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างสาดกระทบกับผิวขาวเนียนยิ่งดูผ่องลออตาไปหมด กรณ์จำไม่ได้ว่าเคยชมผิวของดนตร์ไปกี่ครั้ง แต่ไม่ว่าจะครั้งไหนก็ยังหลงใหลคลั่งไคล้ได้เสมอ ดนตร์เป็นคนที่มีผิวสวยมากจริงๆ เนียนใสไร้ตำหนิ คงมีแค่ที่ผิวแก้มเท่านั้นที่เห็นรอยกะจางๆ แต่ก็น้อยเสียจนแทบจะกลืนหายไปกับผิว ต้องเพ่งใกล้ๆ

    ยิ่งกว่าผิวขาวเขายังรักในรสหวานอ่อนๆ และกลิ่นนมที่หาที่มาไม่ได้ เขามั่นใจว่าเจ้าตัวไม่ได้ปะพรมน้ำหอมยี่ห้อดังที่ไหน ใช้แค่โรลออนธรรมดาเท่านั้น กรณ์จับเนื้อร้อนของตัวเองประชิดที่ปากทางสีสดอีกครั้ง ด้วยท่วงท่านี้ทำให้เขาสามารถดันส่วนปลายเข้าไปได้ดีกว่าเมื่อครู่ ดนตร์ผวากอดรัดรอบคอเขาเอาไว้เหมือนลูกลิง ท่อนขาขาวเกี่ยวกระหวัดรอบเอว ผนังร้อนดูดกลืนตัวตนเขาไปเรื่อยๆ จนมิดเม้น ดนตร์ตัวสั่นกอดเขาไว้แน่นกว่าเดิม เสียงครางกับเสียงลมหายใจกระชั้นยิ่งกระตุ้นให้เขาตื่นเร้า

    กรณ์ข่มความต้องการที่ปะทุถึงขีดสุดของตัวเองเอาไว้ เขาต้องห้ามไม่ให้กระชากกายเข้าออกในความคับแน่นนั้น หน้าท้องปวดหนึบระหว่างที่รอให้ภายในปรับสภาพได้ จากนั้นก็ถอยออกมาจนเกือบสุดเหลือแค่ส่วนปลายไว้ จากนั้นก็ดันสะโพกกลับเข้าไปใหม่ ระหว่างพวกเขาน้อยครั้งนักจะใช้เครื่องป้องกันเพราะมันไม่ทันใจและเพราะมั่นใจว่าดนตร์เป็นของเขาแค่คนเดียว ส่วนเขาระยะนี้ก็เสพติดร่างกายของอีกฝ่ายจนไม่อาจทำกับใครได้

    สะโพกแกร่งขยับเคลื่อนไหวเข้าออกเป็นจังหวะอย่างเชื่องช้าในนาทีแรก ก่อนที่ความเร็วจะเพิ่มขึ้นในนาทีต่อมา ดนตร์ครางกระเส่า เผลอสวนสะโพกกลับมาหลายครั้ง ก้นกลมขาวผ่องลอยเหนือวงกบหน้าต่าง รู้สึกเจ็บนิดๆ เมื่อต้องกดทับ จนต้องใช้ขาเกี่ยวเอวสอบเอาไว้ มือทั้งสองเหนี่ยวรัดลำคอแข็งแรง เรียกว่าฝากทั้งร่างให้กรณ์ดูแล

    คนตัวสูงกว่า ใหญ่กว่า หนากว่าและแข็งแรงกว่า ช้อนใต้หัวเข่าประคองร่างโปร่งเอาไว้ ด้วยท่านี้ทำให้ส่วนนั้นตอกล้ำลึกกว่าที่ผ่านมา ดนตร์ร้องครวญครางไม่หยุด ความเจ็บเสียดแกมเสียวกระสันไล่ไปตามแนวกระดูกสันหลัง หน้าท้องปวดหน่วง เป็นท่าร่วมรักที่เขาเพิ่งริลอง มันเร่าร้อนเสียจนควบคุมตัวเองไม่ได้ กรณ์ก้าวเดินทั้งที่ยังสอดใส่และอุ้มประคองดนตร์อยู่อย่างนั้น และวางอีกฝ่ายลงเมื่อถึงโต๊ะสูงแค่เอวที่มีผ้าสีขาวคลุมอยู่ ชายหนุ่มยกขาเรียวขึ้นพาดกับหัวไหล่ตัวเองแล้วโหมสะโพกใส่อย่างไม่ถนอมแรง ดนตร์ผ่อนร่างลงปล่อยให้เขารุกรานรุนแรงอย่างไร้การทัดทาน มือใหญ่กร้านเคล้นบนแผ่นอกแน่น ด้านหน้าน่ารักของดนตร์แข็งชูชันอวดขนาดและสีที่น่ารักเหมือนเจ้าของ กรณ์กุมมือกับส่วนนั้นแล้วรูดรั้งตามจังหวะการเข้าออกของสะโพก ไม่กี่อึดใจน้ำขุ่นก็พุ่งทะลักไหลเต็มฝ่ามือ

    กรณ์ก้มลงจูบริมฝีปากอิ่มแดงหนักๆ สอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดเพื่อลดความเสียวที่หน้าขาลง เสียงลมหายใจประสานกับการเคลื่อนไหวของส่วนล่างเป็นท่วงทำนองเร้าใจ ชายหนุ่มขยับสะโพกเร็วๆ หนักๆ อีกไม่กี่ครั้ง ก็คำรามลั่น ความเสียวสุดใจทำให้เผลอกัดริมฝีปากล่างของคนใต้ร่างระหว่างที่ปลดปล่อยภายใน

    ทั้งคู่ประสานสายตากัน มีแววเหนื่อยอ่อนให้เห็นขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็ชัดเจนขึ้น กรณ์กอดร่างเล็กไว้แน่น พรมจูบเส้นผมหอม ความผูกพันทางร่ายกายมันเชื่อมโยงไปถึงหัวใจ ระหว่างเขากับดนตร์ไม่ใช่คู่ขาแต่มันคือคู่รัก

    ...เขารักดนตร์เข้าเสียแล้ว...

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
          เจ้าของกระเป๋าใบใหญ่ทั้งสามใบ ทำหน้าย่นมู่ทู่เหมือนโดนบังคับให้กินยา ดวงตากลมไร้แว่นเพราะถูกคนบ้าอำนาจหักไปเมื่อหลายวันก่อนเฝ้ามองกระเป๋าพวกนั้นลำเลียงเข้าสู่ตัวบ้าน แม้จะคัดค้าน ต่อต้าน อ้อนวอน ขอร้อง อ้างเหตุผล หรือจะชักแม่น้ำทั้งห้า แต่สุดท้ายของที่อยู่ในหอพักนักศึกษาก็ลงไปอยู่ในกระเป๋าทั้งสามใบอยู่ดี

    กรณ์บังคับให้เขามาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้หลังจากคืนนั้นสำเร็จโทษเขาไปหลายยก ตั้งแต่ห้องโถงขึ้นไปห้องน้ำและจบลงที่เตียง พอลืมตาก็เข้าสู่วันใหม่แล้วจากนั้นเขาก็ได้ยินคำสั่งสายฟ้าฟาด

    “ไปเก็บของแล้วมาอยู่ด้วยกันที่นี่”

    เขาปฏิเสธในทันทีที่ได้ยิน แต่มันไม่เคยได้ผลเพราะกรณ์มีความเอาแต่ใจและเผด็จการพร้อมบ้าอำนาจอยู่เต็มเปี่ยม เขาเลยต่อรองขอมาอยู่แค่ช่วงวันหยุด ทว่ากรณ์ก็ยังไม่ยอม หนักเข้าก็ขู่ถึงขนาดจะโทรไปหาพี่สาวของเขาเพื่อบอกว่าเขากับกรณ์เป็นอะไรกัน เมื่อมีครอบครัวมาเป็นเงื่อนไขเขาเลยจำใจต้องขนข้าวของมาอยู่ที่บ้านของกรณ์ ซึ่งก็ไม่ใช่หลังไหน ก็บ้านหลังเดิมที่เคยมาเยือนแล้วสองครั้ง

    กรณ์ให้เวลาเขาจัดการกับข้าวของส่วนตัวอยู่สองวัน โดยระหว่างนั้นเจ้าตัวก็บูรณะบ้านหลังเก่าให้มีสภาพพร้อมอาศัยได้ในระดับหนึ่ง พงหญ้าแห้งๆ ถูกแพ้วถางจนเตียน และมีดอกไม้ที่พร้อมจะลงปลูกกองอยู่หลายต้น ต้นไม้ตายซากก็ไม่มีเหลือแม้แต่ตอให้เห็น ตัวบ้านด้านนอกยังมีความทรุดโทรมอยู่ แต่ด้านในได้รับการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ใหม่หลายชิ้นรวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างจะครบครัน ทว่าที่ทำให้เขาพอจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างก็คงจะเป็นห้องครัว กรณ์ซื้ออุปกรณ์ทำครัวมาแทบจะครบทุกอย่าง มีแม้กระทั่งเตาอบขนมเค้ก

    “ฉันชอบกินแบบโฮมเมดน่ะ”

    เจ้าตัวบอกแบบนั้นตอนที่เขาทำตาโตแล้ววิ่งไปลูบๆ คลำๆ เตาอบ ก่อนที่จะถูกบังคับให้เลิกทำพาร์ทไทม์ เขาได้สูตรเค้กเจ๋งๆ มาจากพี่พาย แถมวิธีการชงกาแฟสดอีกต่างหาก เรียกได้ว่าถ้าอยู่ทำงานอีกสักสองสามเดือนบวกกับอาศัยครูพักลักจำสักหน่อยเขาก็สามารถเปิดร้านกาแฟได้เลยทีเดียว แต่ก็อย่างว่ามันเป็นได้แค่ฝัน จะเอาทุนรอนมาจากไหน

    กระเป๋าสามใบ ถูกลำเลียงขึ้นไปด้านบนด้วยน้ำแรงจากเจ้าของบ้านสองใบ และจากเขาเองหนึ่งใบ ห้องนอนที่เคยมีแค่เตียงกว้างๆ บัดนี้มีทั้งโคมไฟ ลิ้นชัก ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง กระจกบานใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์และโต๊ะสำหรับทำงานของกรณ์ด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นห้องที่พร้อมใช้งานมากที่สุด โดยเฉพาะเตียงขนาดคิงไซส์ที่มีการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเป็นสีแดงดำ มันเร่าร้อนเสียจนไม่กล้าลงไปนอน จู่ๆ หน้าเขาก็อุ่นซ่านขึ้นมาเมื่อคิดว่าต้องนอนร่วมเตียงกับกรณ์ ที่ผ่านมาพวกเขานอนด้วยกันแค่ข้ามคืน แต่จากนี้ไปจะต้องนอนด้วยกันทุกคืน ที่ร้ายที่สุดคือกรณ์ไม่ได้แค่นอนอย่างเดียวแน่

    “ทำไม เห็นแล้วอยากลงไปนอนเหรอ” ดนตร์หันไปย่นจมูกใส่คนพูด เจ้าตัวกอดอกยิ้มกวนๆ มาให้ “เสื้อผ้านายไม่เยอะ แขวนรวมกันได้ แต่ถ้ามันเพิ่มขึ้นค่อยซื้อใหม่”

    “พับใส่ตะกร้าเอาก็ได้” เขาบอก แล้วก็จริงอย่างที่กรณ์พูด เสื้อผ้าของเขามีไม่กี่ตัว เขาไม่ใช่เจ้าพ่อแฟชั่นจ๋าเหมือนกรณ์ที่จะมีสะสมครบทุกคอลเลกชันแถมแต่ละตัวยังเป็นแบรนด์ระดับโลก แค่เสื้อยืดธรรมดายังตัวละหลายพัน ราคาพอๆ กับค่ากินทั้งเดือนของเขาเลยทีเดียว

    “แขวนๆ ไปเถอะน่า แบ่งที่ไว้ให้แล้ว” เจ้าของบ้านผู้แสนใจดีสั่ง เขาเลยจำใจต้องดึงเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าแล้วลงมือจัดเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆ ไปเงียบๆ

   ระหว่างที่จัดของกรณ์ก็หายไป แต่ก็ไม่ได้น่าตกใจนักเพราะหนุ่มนักออกแบบไปขลุกตัวอยู่ในห้องติดกัน เขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของอุปกรณ์เบาๆ คิดว่ากรณ์คงเร่งทำงานส่งอาจารย์เพราะใกล้สอบเข้ามาทุกที ไม่ใช่แค่รุ่นพี่ปีสามแต่น้องปีหนึ่งอย่างเขาด้วย หนังสือที่พยายามอ่าน เข้าหัวมาได้แค่ 30% เท่านั้น แถมยังโดนรบกวนจากสารพัดเรื่องที่เข้ามาอีก

    พอจัดโน่นนี่ลงตัวก็ต้องแผ่ตึงบนพื้นพรมนุ่มๆ รู้สึกล้าที่ตากลมน้อยเพราะยังไม่ชินกับการใส่คอนแทคเลนส์ กรณ์แสดงความรับผิดชอบที่เป็นคนหักแว่นเขาทิ้งด้วยการพาเข้าร้านแว่น บังคับให้วัดค่าสายตา เลือกสีคอนแทคเลนส์ พนักงานสอนวิธีการใส่และถอดให้ วันแรกที่ใส่เขาต้องพึ่งน้ำตาเทียมอยู่หลายครั้งเพราะไม่ชิน วันนี้ดีขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ยังต้องหลับตาอยู่หลายครั้ง
 
    จ๊อก~

   ดนตร์สูดปากครวญ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เกือบจะเที่ยงแล้วแต่เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้าเพราะโดนลากออกมาจากหอตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมง เขายันตัวขึ้นลงไปที่ห้องครัว จำได้ว่าในตู้เย็นใบใหม่เอี่ยมมีของสดของแห้งบรรจุไว้เต็มเปี่ยม

    มื้อเที่ยงถูกปรุงง่ายๆ เป็นเมนูเกี๊ยวหมู เขาได้สูตรหมักหมูมาจากพี่สาว แค่เอาหมูบดผสมกับซอสปรุงรส กระเทียมสับละเอียด พริกไทย และแป้งข้าวโพดนิดหน่อย ขย้ำๆ ให้เข้ากัน ทิ้งไว้สักพัก ระหว่างนั้นก็ทำน้ำซุป โชคดีที่กรณ์รอบคอบซื้อผงน้ำซุปแบบสำเร็จรูปเอาไว้หลายรส เขาเลือกใช้รสหมู ใช้ไฟอ่อนๆ ต้มน้ำ พอหมูได้ที่ก็ปั้นใส่แผ่นเกี๊ยว มีผักกวางตุ้ง แครอทหั่นเป็นรูปดาว ช่วยเพิ่มสีสัน ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงและอดทนกับเสียงร้องของท้อง ก็ได้เกี๊ยวหมูสีเหลืองสำหรับสองที่ ส่วนเจ้าของบ้านก็จมูกดียิ่งกว่าบลัดฮาวน์หมาแกะรอยเสียอีก เพราะทันทีที่เกี๊ยวสุก กรณ์ก็ลงมารอที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว

    ท่าทางกรณ์จะหิวกว่าเขาหลายเท่า แค่เอาถ้วยเกี๊ยวมาวางตรงหน้าก็สวาปามโดยไม่รอให้เย็นลง ไม่เติมเครื่องปรุงด้วยซ้ำ กินไปก็บ่นว่าร้อนบ้าง ลิ้นพองบ้าง เขาได้แต่ส่ายหัวและคอยหลบไม่ให้ตะเกียบจากฝั่งตรงข้ามทิ่มลงมาในถ้วยของตัวเอง ไม่ถึงสิบนาทีดี เกี๊ยวก็หมดเรียบ เขามีนมเป็นของหวานตบท้ายให้ตัวเองและกาแฟดำให้กรณ์ ไม่ได้รู้หรอกว่าคนตัวสูงชอบกินกาแฟดำ แต่เป็นคำสั่งที่ได้รับมาเมื่อเขาเดินมาเทนม

    “ฉันมีถ่ายแบบตอนบ่ายสอง”

   ถ่ายแบบ? เขาพยักหน้าหงึกหงัก คงเป็นงานที่ทำร่วมกับรดา คืนนั้นที่ทั้งคู่คุยกันถึงคอนเซ็ปต์แบบคร่าวๆ กับสถานที่ ซึ่งก็เป็นสตูดิโอแถวลาดพร้าว ไกลจากที่นี่พอสมควร

    “ไม่ได้ยิน?”

    เขาเหลือบมองคนพูด “ได้ยิน”

   “ได้ยินแล้วทำไมไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

   “เปลี่ยนเสื้อผ้า...ทำไม?”

    “ก็ไปด้วยกัน ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง ไม่อยากให้อยู่คนเดียว” กรณ์บอก จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตว่าเสื้อตัวเดิมที่ใส่เมื่อเช้าถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีดำยี่ห้อดัง กางเกงวอร์มเนื้อดี เขาเห็นเสื้อฮู้ดสีเดียวกันพาดอยู่ที่พนักพิงเก้าอี้ด้วย กรณ์คงพร้อมไปทำงานแล้ว...ซึ่งก็ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกับเขาตรงไหน

   “ผมอยู่ได้ อยากอ่านหนังสือด้วย”

    “เอาไปอ่านที่โน่น ให้เวลาสิบห้านาที ถ้าช้าจะขึ้นไปช่วยเปลี่ยน”

   เมื่อไม่เคยทัดทาน คัดค้าน หรือโต้แย้งอะไรได้ สุดท้ายเขาก็ต้องมากับกรณ์จนได้ สถานที่ที่รถ Toyota 86 มาหยุดคือสตูดิโอขนาดใหญ่กลางเมือง มีการแบ่งสัดส่วนการใช้งานอย่างชัดเจน ห้องที่กรณ์ทำงานอยู่ส่วนท้ายๆ มีทีมงานมาเตรียมสถานที่ จัดฉาก ยกของ เดินวุ่นไปหมด ดนตร์เดินตามว่าที่นายแบบไปอย่างงงๆ แต่ขณะเดียวกันก็อยากรู้อยากเห็นไปด้วย เพราะเรียนในสายนิเทศน์ดังนั้นงานพวกนี้มันน่าสนใจสำหรับเขาไม่น้อย บางอย่างมันหาไม่ได้จากหน้ากระดาษแต่ต้องลงมือทำเองต่างหาก

    กรณ์เข้าไปในฉากที่กั้นไว้สำหรับแต่งหน้าและทำผม เขาถูกห้ามไม่ให้ตามเข้าไป กรณ์ทำท่าจะขอให้เขาเข้ามา แต่เขายินดีที่จะรอด้านนอก จะได้ใช้โอกาสนี้สำรวจและศึกษาวิธีการทำงานไปด้วยในตัว

   ดนตร์ผงกหัวเบาๆ ตามจังหวะเพลงสากลที่เปิดเพื่อช่วยเพิ่มสีสันในการทำงาน เขาไปด้อมๆ มองๆ อยู่แถวที่ตั้งกล้อง มันมีสายต่อที่เชื่อมเข้ากับโน้ตบุ๊กเพื่อให้เห็นภาพถ่ายที่ชัดเจน ของประกอบส่วนใหญ่เป็นดอกไม้โทนสีน้ำตาลและชมพู แสดงถึงความรักของหนุ่มสาว เขาเห็นรดาเดินผ่านและหายเข้าไปในห้องฉากกั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุย ทักทายอย่างเป็นกันเอง ดนตร์ถอนหายใจหนักๆ รู้สึกปวดหน่วงในหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก เขาพยายามไม่คิดมาก...แต่มันยากจริงๆ เขาไม่อาจหักห้ามความคิดของตัวเองได้ ไม่อาจหยุดภาพการหยอกล้อของคนทั้งคู่ได้

    “อ้าว! เพลงทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

   ความคิดดำดิ่งสะดุดกึก ดนตร์มองหาเสียงทักทาย แล้วก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของคนรู้จัก

    “พี่รัน!”

    อริญชย์อยู่ในชุดลำลองแต่เป็นแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทั้งแว่นตาสีดำที่เกี่ยวอยู่ที่คอเสื้อยืดสีเดียวกันยี่ห้อดัง กางเกงยีนส์ขาดอย่างมีสไตล์ รองเท้าหนังสีน้ำตาล รุ่นพี่หนุ่มตัวสูงฉีกยิ้มให้เขา ดวงตาเรียวแต่คมดุมีแววประหลาดใจแกมดีใจ ขณะมาหยุดอยู่ตรงหน้า

    “นายมาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่าหลงมา” ดนตร์ส่ายหน้า สายตาเหลือบไปยังฉากกั้นที่ยังมีเสียงพูดคุยปนหัวเราะให้แสลงใจ อริญชย์มองตาม คิ้วหนาขมวดน้อยๆ “มองอะไร ตรงนั้นมีอะไรเหรอ”

    “ผมมากับพี่กรณ์ครับ” อริญชย์หลุดร้องอ๋อ พยักหน้าเข้าใจโดยไม่ถามอะไรต่อ ราวกับไร้ข้อสงสัยใดๆ อีก “แล้วพี่รันล่ะครับ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”

    อริญชย์ยิ้มมุมปาก ปรายตายังที่ตั้งกล้อง “มาฝึกงานน่ะ”

    “ฝึกงาน?”

   “ใช่...มาดูนี่สิ”

    อริญชย์ใช้มือโอบรอบหัวไหล่ของเขาอย่างสนิทสนม พาเดินมาที่กล้อง เขาเพิ่งเห็นว่าตอนนี้มีผู้ชายไว้หนวดเครารุงรังอยู่ด้วย ชายคนนั้นเหลือบมาทางพวกเขาเล็กน้อย ดวงตาสีสนิมติดเคร่งเครียดขณะเดียวกันก็มีแววอ่อนโยนอยู่ในที

    “นี่อาใหญ่ เป็นช่างภาพอันดับต้นๆ ของไทยเชียวนะ นายเคยได้ยินชื่อของพี่เขาหรือเปล่า”

    ดนตร์ส่ายหน้าอีกรอบ เขาไม่ได้คร่ำหวอดในวงการภาพถ่าย ถ่ายรูปก็ไม่เป็น เซลฟี่ตัวเองก็ยังแย่แล้วจะไปรู้จักอาใหญ่คนนี้ได้อย่างไร

    อริญชย์เลยอธิบายว่าอาใหญ่เป็นช่างภาพที่รับถ่ายภาพนิ่ง ผลงานของอาใหญ่ปรากฏอยู่ในนิตยสารชื่อดังหลายเล่ม เป็นหนึ่งในช่างภาพที่มีค่าตัวแพงที่สุดคนหนึ่ง แต่ผลงานที่ได้คุ้มยิ่งกว่า ดารานักร้องหลายคนมีชื่อเสียงมากขึ้นถ้าหากอาใหญ่เป็นคนถ่ายภาพให้ นิตยสารต่างพากันแย่งตัว แถมคิวยังยาวไปถึงกลางปีหน้าอีกด้วย อริญชย์เล่าขณะที่อาใหญ่ยุ่งอยู่กับการเช็คกล้อง

    “แล้วพี่รันรู้จักกับเขาได้ยังไงล่ะครับ”

    “ก็เพราะว่ามันเป็นหลานของฉันน่ะสิ” อาใหญ่ตอบโดยไม่ได้หันมามองพวกเขาเลย

    “อาใหญ่ มีศักดิ์เป็นอาของฉันเอง” อริญชย์ขยายความ “แต่คนละแม่กัน คุณปู่เจ้าชู้มากมีเมียรอบเอวได้เลยมั้ง”

    รุ่นพี่หนุ่มพูดติดตลก ไม่คิดว่าการที่ปู่ของตัวเองมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องน่าอายหรือเศร้าอะไร ส่วนที่บอกว่ามาฝึกงานเพราะจู่ๆ เจ้าตัวก็เกิดสนใจงานถ่ายภาพขึ้นมา เลยขอติดตามผู้เป็นอามาด้วย อริญชย์แนะนำถึงวิธีการถ่ายภาพให้ออกมาสวยคร่าวๆ เทคนิคการจัดแสง จุดโฟกัสและธีมที่ใช้ในการถ่าย ซึ่งวันนี้เป็นความรักของวัยหนุ่มสาว ที่ทั้งอ่อนหวาน โรแมนติกและเซ็กซี่น้อยๆ เห็นได้จากการใช้สีแดงเป็นตัวเสริม

    ดนตร์นั่งฟังเพลิน สอบถามบ้างเมื่อมีข้อสงสัย แถมยังได้ความรู้เรื่องการทำงานในวงการนิตยสารจากอาใหญ่อีกด้วย การได้พูดคุยกับสองอาหลานทำให้ลืมเรื่องปวดหน่วงในอกไปได้ ทว่าเมื่อกรณ์ออกมาจากฉากกั้นความคิดของเขาก็ดำดิ่งลง

    กรณ์ดูดีเหมือนคุณชาย เสื้อสูทพอดีตัวสีเข้ม กับกางเกงสีขาวเน้นช่วงขายาว เส้นผมสีดำถูกเซ็ตตัวยกสูง เปิดให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลา ดวงตาคมเข้มขึ้นด้วยฝีมือของช่างเมคอัพ จากนั้นรดาก็ก้าวตามมา ไอดอลสาวสวยสง่าราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย เรือนร่างโปร่งบางในชุดเดรสสีสวยและแบบใกล้เคียงกับกรณ์ ผมสีสวยถูกดัดเป็นคลื่น มีกิ๊บที่ทำจากมุกติดไว้ที่ด้านซ้าย รองเท้าและเครื่องประดับเข้าชุดกันไปหมด ทั้งคู่เหมาะสมกันจนเขาสะท้อนใจ

    “เฮ้อ”

    “เป็นอะไร? ทนเห็นภาพบาดตาไม่ได้หรือไง”

    เสียงกระเซ้าดังมาจากอริญชย์ เขาสั่นหัวปฏิเสธแม้ในอกจะบีบรัดจนหายใจไม่ค่อยออกก็ตาม

    “ฉันก็เพิ่งรู้ว่าไอ้กรณ์เป็นนายแบบตอนที่มาถึงสตูดิโอนี่แหละ”

    “พี่รู้? แล้วหลอกถามผมทำไม”

    อริญชย์มองดนตร์ที่ทำหน้าเง้าต่อว่า มันน่ารักน่าชังเสียจนต้องยกมือขึ้นดึงปากสีสวยที่ยู่ขึ้นจนเกือบจะชนกับโคนจมูก วันนี้ดนตร์ไม่ได้สวมแว่นอย่างที่เคยเห็น ใบหน้ายามไร้สิ่งบดบังน่ารักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ดวงตากลมที่มีแก้วตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายและมักจะฉายความรู้สึกออกมาเสมอ จมูกโด่งได้รูปสวย แต่ที่เขาชอบมากที่สุดคือริมฝีปากอิ่มสดปลั่งที่ลอยยั่วเย้าอยู่ตรงหน้า

    ...เสียดายที่เจอช้า...เสียดายที่พลาดโอกาส...

    “งื้อ ทำอะไรน่ะ! ผมเจ็บนะ”

    อดีตเด็กแว่นโวยวาย ปัดมือเขาทิ้ง ทำเสียงฮึดฮัดในจมูกแล้วก็หันไปชวนอาใหญ่คุย แต่เหมือนเป็นการพูดคนเดียวมากกว่า เพราะอาของเขาไม่ใช่พวกชอบพูดนัก แต่ดนตร์ก็ไม่ลดละยังคงถามโน่นถามนี่เป็นเจ้าหนูจำไมในการ์ตูนอิคคิวซัง อริญชย์เผลอผ่อนลมหายใจ ยิ่งเห็นก็ยิ่งเสียดาย...แต่ถ้าจะถอยตอนนี้ก็ดูจะไม่ใช่อริญชย์ที่สะกดคำว่าถอยไม่เป็น

    “กินไหม” อริญชย์ยื่นแท่งช็อกโกแลตที่พกติดตัวมาให้กับดนตร์ ดวงตาใสแจ๋วจ้องขนมสลับกับมองหน้ารุ่นพี่ตัวสูง คล้ายกับไม่ไว้วางใจ จนอริญชย์ต้องเน้นย้ำว่าไม่ได้ใส่ยาพิษลงไปแน่นอน สังเกตได้จากห่อที่ยังพันแน่น ไม่มีร่องรอยการแกะ “ตะกละอย่างนายไม่น่าห่วงเรื่องนี้นะ”

    สิ้นคำพูดช็อกโกแลตก็ถูกคว้าไป อริญชย์หัวเราะหึๆ ในคอ มองดูเจ้าจอมตะกละแกะห่อช็อกโกแลตแล้วกัดกิน สายตาเขาเปลี่ยนมาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโน้ตบุ๊กที่มีภาพของกรณ์และรดาอยู่ ทั้งคู่กำลังฟังอาใหญ่อธิบายท่าทางที่ต้องแสดงออกมา แม้จะไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ต้องยอมรับว่ากรณ์หล่อและขึ้นกล้องมากทีเดียว ส่วนรดาเธอทำงานในวงการนี้อยู่แล้วเรื่องความดูดีทั้งในและนอกกล้องมีมากกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่เขาแปลกใจคือคนอารมณ์ศิลปินอย่างกรณ์กลับเลือกรับงานถ่ายแบบ เพราะที่ผ่านมาเขาเห็นเพื่อนปฏิเสธหมดไม่ว่าจะเป็นการประกวดเดือนคณะ เป็นตัวแทนถือป้าย หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการใช้หน้าตา

    “ทำไมจู่ๆ กรณ์ถึงรับงานถ่ายแบบล่ะ”

    ดนตร์เงยหน้าขึ้น แก้วตาสีสวยดูมีมิติมากกว่าเดิมด้วยคอนแทคเลนส์ เด็กหนุ่มหยุดคิดประมาณหนึ่งอึดใจแล้วจึงให้คำตอบ “ไม่รู้ครับ เขาไม่ได้บอกผม”

    อริญชย์หัวเราะในคออีกครั้ง เจ้าเด็กนี่ตอบได้ยียวนดี แต่สายตาก็ยังจับจ้องนายแบบและนางแบบอยู่อย่างนั้น ดนตร์คงรู้สึกไม่ดีนักหรอกที่เห็นกรณ์แสดงท่าทางโอบประคองรดาอย่างทะนุถนอม เขาไม่เข้าใจว่าทำไมกรณ์ต้องพาดนตร์มาด้วย ทั้งที่ตัวเองมาทำงานกับผู้หญิงแถมยังมีภาพบาดตาบาดใจให้เห็น

    เขามีเวลาเป็นห่วงดนตร์ได้ไม่มากนัก เพราะหลังจากอธิบายเสร็จอาใหญ่ก็สั่งให้ลงมือทำงานทันที เขามีหน้าที่ช่วยจัดแสง ถึงมาเรียนรู้การถ่ายภาพแต่การจัดแสงและองค์ประกอบอื่นก็สำคัญไม่น้อย กรณ์ส่งสายตาประหลาดใจมาให้เมื่อเห็นเขาไปช่วยทีมงานจับไฟทังสเตน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะอาใหญ่ของเขาร้องสั่งให้นายแบบทำท่าตามที่บอกไว้

    การทำงานดำเนินไปอย่างราบรื่นในระดับหนึ่ง กรณ์มีทำผิดพลาดบ้างเพราะยังเป็นมือใหม่ในวงการนี้ อาใหญ่เผลอสบถเสียงดังครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงบ่นด้วยความหงุดหงิดออกมาอีก ไม่ใช่เพราะกรณ์ทำดีจนถูกใจแต่เป็นเพราะเจ้าเด็กผิวขาวที่ยืนประกบไม่ห่างต่างหาก กระทั่งเซ็ตแรกสิ้นสุดลงทุกคนต่างก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน กรณ์และรดาถูกต้อนให้กลับเข้าไปแต่งหน้า ทำผมใหม่ ส่วนทีมงานที่เหลือก็ช่วยกันเปลี่ยนฉาก เขาเองก็เกร็งแขนถือไฟทังสเตนขนาดน้องๆ ถังน้ำอยู่นาน เขาเดินกลับไปหาผู้เป็นอากับดนตร์ที่สุมหัวกันอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

    “เด็กนี่กวนอาหรือเปล่าครับ”

    “ไม่นี่” อาใหญ่ตอบ ก่อนจะเช็คกล้องสำหรับการถ่ายในเซ็ตต่อไป

    ดนตร์ยิ้มกว้าง อวดฟันกระต่ายน่ารักๆ ผมที่ยาวปรกหัวคิ้วทำให้ดวงหน้าดูอ่อนหวานขึ้น ดวงตากลมยิบหยีจนเป็นเส้นเดียว ข้างแก้มขวามีรอยบุ๋มของลักยิ้ม ดวงหน้าขาวเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา

    “เพลง”

    “ครับ!”

    จังหวะที่ดนตร์ขานรับการเรียกจากอาใหญ่เสียงแชะก็ดังขึ้น คิ้วยาวเรียงตัวพอดีกับตากลมขมวดน้อยๆ ขณะที่ผู้เป็นอาของรุ่นพี่เงยหน้าขึ้นจากกล้องคู่ใจ ก่อนจะเอ่ยถาม

    “สนใจจะเป็นนายแบบไหม”
**************************

ชดเชยด้วยการอัพสองตอนไปเลย! :hao5:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 653
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
โหยยย น้องจะเป็นนายแบบ   แต่แอยไม่อยากให้ทำ  แค่นี้ก็น่ารักจนวุ่นวายแล้ว

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ลุ๊คเชี้ยบบบบบบบบ
เอาเลยฮ่ะ
รับไปเลยลูกกกก

รักพี่รันนนน พี่รันจ๋าาา มาจุ้บโหน่ยย

ขอให้คุณแม่หายไวๆ เน้อเจ้าา
พี่กวางสู้ๆ

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กว่าพี่กรณ์จะยอมรับว่ารักเพลงได้ยังไม่ทำให้ชัดเจนอีกก
ขอให้เพลงเป็นนายแบบดังๆเปรี้ยงๆไปเลยลูก คิดถึงพี่รันมากในที่สุดนางก็มา
ขอบคุณมากค่าา  :pig4:

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
งื้อออออ อยากได้พี่รัน  :hao5:

เพลง เอาเลยลูก เป็นนายแบบเลย เอาให้อิพี่กรณ์มันคลั่งตายไปเลย จนป่านนี้ก็ยังไม่คิดถึงหัวจิตหัวใจน้อง!!  :z6:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ่านมาก็ไม่รุ้ว่าจะรุ้สึกยังไงกับกรและเพลงดี
กรไม่ใช่คนดีอันนี้ยอมรับ ชอบเค้าแต่ใล้วิธีดิบเถื่อนไปหน่อย ถึงตอนหลังๆจะดีขึ้นมาแต่ว่าก็ไม่จำกัดความให้ชัดเจน ยิ่งเวลาหึงนี่หน้ามืดตามัวไปอีก
ส่วนเพลงนี่คิดว่าใจง่ายไปหน่อย แอบรักมานานอันนี้เข้าใจ แต่เค้าเลวร้ายใส่เท่าไหร่ทำไมยอมง่ายเหลือเกิน
ก็นะต้องดูกันต่อไปรักกันแล้วนี่จะทำไงได้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด