❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60  (อ่าน 31038 ครั้ง)

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สงสารปกรณ์ :sad4: ชานนท์ปกป้องและรักษาปกรณ์ให้หายนะะ  :katai1:จะได้มีแรงมาสู้กะคนใจร้าย

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ว่าแล้วเชียว พอทุกอย่างกำลังจะไปได้สวยก็ต้องมีมารผจญแน่ๆ
คุณชานนท์สู้ๆ นะคะ คงต้องเหนื่อยอีกเยอะแน่ๆ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
   ตอนที่ 12





       หลังจากที่เดินทางไปถึงตีนเขา ปกรณ์ได้ขอเวลาไปเก็บภาพถ่ายรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นเพราะเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก

   ส่วนชานนท์ได้แยกไปติดต่อเรื่องลูกหาบสำหรับขนของและติดต่อขอจองที่พัก หลักจากที่เสร็จสรรพเขาก็เดินกลับมารอปกรณ์ยังจุดที่ได้นัดหมาย

       “ยิ้มหน่อยสิครับ” เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ส่งผลให้ชานนท์หันกลับไปมอง

   วินาทีนั้น... เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นพอดี ปกรณ์ตั้งใจจะเก็บภาพถ่ายทีเผลอของออกฝ่าย หลังจากที่ถ่ายได้สำเร็จ เขาก็ก้มมองจอแล้วอมยิ้มออกมาคนเดียว

   “ไหน ขอดูด้วยสิครับ” ชานนท์เขยิบเข้าไปใกล้ๆ

   “นี่ครับ” ปกรณ์ยื่นให้ดูอย่างว่าง่าย ส่วนคนที่ถูกแอบถ่ายก็อมยิ้มออกมาเหมือนกันเมื่อเห็นภาพ

   “คุณว่าภาพนี้ผมดูดีรึยัง”

   ผู้ที่ถูกถามยืนอ้ำอึ้ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความคิดเห็นหรอกนะ แต่ในสายตาของปกรณ์ในยามนี้ต่อให้ชานนท์ทำหน้าบูดหน้าบึ้งหรือท่าทางตลกๆ เขาก็ดูดีเสมอ

   “ขึ้นภูกันเถอะครับ” ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วเดินหนีทันที

   “เฮ้ย.. เดี๋ยวสิคุณ” ชานนท์วิ่งตาม “คุณยังไม่ตอบผมเลยนะ”

   “คุณหิวไหมครับ” ปกรณ์เร่งฝีเท้าวิ่งหนี

   “เฮ้ย... อย่าเปลี่ยนเรื่องสิครับ” ทั้งพูดทั้งขำกับท่าทีของปกรณ์ ถ้าเขาไม่มีสภาวะความเครียด คงเป็นคนที่มีเสน่ห์และน่าค้นหาในสายตาของสาวๆ แน่นอน

   ชานนท์มองเขาวิ่งขึ้นภูในตอนนี้ก็ได้อมยิ้มไม่หยุด ทุกครั้งที่เจอกัน... ความน่ารักของปกรณ์จะเพิ่มมากขึ้น และมันมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้ง... ก็มากจนกลัวว่าจะเสียเขาไป

   หากปกรณ์หายเป็นปกติ ชานนท์จะยังมีความสำคัญกับปกรณ์อยู่ไหม มีผู้ป่วยหลายรายที่อยู่ในสภาวะเครียดจะเห็นความสำคัญของคนใกล้ตัว แต่พออาการดีขึ้น ความรู้สึกที่มีก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

   ชานนท์สะบัดศีรษะไล่ความเครียดแล้วตั้งใจขึ้นภูต่อไป

   “รอผมด้วยสิครับ” ชานนท์ร้องเรียก “ผมเหนื่อยแล้วนะเนี่ย คุณจะรีบไปไหน”

   ปกรณ์หยุดวิ่งแล้วหันกลับไปมองคนข้างร่าง เขาอ้าปากหวอตกใจเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าจะทิ้งระยะห่างมาไกลขนาดนี้

   “ไหวไหมครับ” ปกรณ์ยื่นมือลงไปเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้ๆ

   “แค่นี้สบายๆ ครับ” ชานนท์ตอบกลับ “ไปกันต่อเถอะครับ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงถึงจุดพักระหว่างทาง”

   ไม่นานมากนักก็มาถึงจุดพักจุดที่หนึ่ง มีนักท่องเที่ยวมักมายที่แวะพักที่นี่ เพราะบริเวณรอบๆ มีซุ้มอาหารตั้งเรียงรายอยู่หลายราย

   “ทานข้าวกันก่อนดีกว่าครับ” ชานนท์เสนอ

   “ดีครับ” ปกรณ์พยักหน้าเห็นด้วย

   “คุณอยากกินอะไรครับ” ชานนท์ให้อีกฝ่ายเป็นคนเลือก

   ปกรณ์กวาดสายตามองรอบๆ เมื่อเห็นร้านที่ถูกใจจึงหันกลับไปตอบ

   “กินง่ายๆ ล่ะกันครับ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ส้มตำ”

   “นี่ง่ายแล้วเหรอครับ” ชานนท์หลุดขำเพราะสิ่งที่ปกรณ์สั่งนั้นมันเป็นของหนักที่อาจจะทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนได้เชียวล่ะ

   “ก็อยากกินครับ แต่ไม่เอาเผ็ดนะครับ พริกสองเม็ดพอ”

   “ได้ครับ เดี๋ยวคุณนั่งรอก่อนนะครับ ผมจะไปสั่งให้” ปกรณ์ส่ายหน้าปฏิเสธ

   “มาด้วยกัน... ก็ไปด้วยกันสิครับ” คำพูดของปกรณ์ทำเอาคนฟังยิ้มแก้มแทบปริ

   “คุณรู้ตัวไหมครับ คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นขนาดมุ่งตรงไปสั่งอาหาร

   “เหรอครับ”

   “คุณยิ้มเก่งขึ้น กล้าพูดกล้าคุยมากขึ้น” ชานนท์อธิบาย

   “ไม่หรอกครับ” ปกรณ์ปฏิเสธขณะเดินตามหลัง “ก็แค่กับคุณคนเดียว”

   “เอาตำไทยพริกสองเม็ด ตับหวาน แล้วก็ไก่ทอด แล้วก็ข้าวเหนียวด้วยนะครับ” ชานนท์มัวแต่สั่งอาหารเลยไม่ได้ยินในสิ่งที่ปกรณ์พูด เขาจึงหันไปถาม “เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ”

   “อ้อ... เปล่าครับ” ปกรณ์ตอบยิ้มๆ

   ไม่นานมากนัก อาหารที่สั่งไว้ก็เสร็จสรรพ ทั้งคู่ช่วยกันยกอาหารที่สั่งก่อนจะนั่งกินกันอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างกินราวกับอดอยากมาแต่ชาติปางไหน เพียงครู่เดียวเท่านั้น อาหารก็ถูกจัดการจนเกลี้ยง

   “เอาไรอีกไหมครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นขณะที่อีกฝ่ายกำลังยกขวดน้ำขึ้นมาดื่ม

   “พอแล้วครับ ขืนกินอีกได้เดินไม่ไหวกันพอดี”

   “ครับ”








   เวลาผ่านไปกว่า 6 ชั่วโมง ชานนท์และปกรณ์ก็สามารถพิชิตยอดภูได้สำเร็จ ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งหมดค่อยๆ จางหายไปเมื่อได้สัมผัสกับอาการที่หนาวเย็นบนยอดและมองเห็นที่พักอยู่ไกลๆ

   “เหนื่อยไหมครับ” เป็นปกรณ์ที่เอ่ยปากถาม แม้เขาจะดูตัวผอมบางกว่าแต่เพราะชอบเดินถ่ายภาพตามท้องถนนไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากนัก เดินตั้งแต่เช้ายันค่ำเขาก็เคยทำมาแล้ว

   “ก็นิดนึงครับ” ชานนท์ตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เขาเอาแต่นั่งทำงานอยู่ภายในห้อง เดินไปเดินมาก็แค่วันละนิดหน่อยเท่านั้น เรื่องออกกำลังกายยิ่งลืมไปได้เลย แค่ต้องมานั่งวิเคราะห์ปัญหาของผู้ป่วยในแต่ละวันพลังงานของเขาก็หมดแล้ว

   “แต่ผมว่าไม่นิดนะครับ” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเหนื่อย แต่ให้เตรียมตัวหรือออกกำลังกายมาเป็นประจำก็ตาม การเดินทางขึ้นภูไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ ไม่เหนื่อยสิแปลก

   “แล้วคุณไม่เหนื่อยเหรอครับ” ชานนท์ถามกลับ

   “ก็เหนื่อยครับ” ชานนท์ตอบ แต่ตอนนี้เขาเริ่มจะกลับมาเป็นปกติแล้ว “แต่น่าจะไม่เท่าคุณ”

   “คุณแข็งแรงกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี่ย” ชานนท์เอ่ยยิ้มๆ เขาคิดว่าปกรณ์ที่รูปร่างผอมบางกว่าจะเหนื่อยง่าย แต่จากที่เดินทางมาด้วยกัน ปกรณ์ไม่แม้แต่จะปริปากบอกว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว กลับกันเป็นเขาต่างหากที่รู้สึกเหนื่อยหอบและบอกให้อีกฝ่ายนั่งพักเรื่อยๆ

   “ไม่หรอกครับ ผมแค่ชินกับการเดินไกลๆ ผมชอบเดินเรื่อยเปื่อยแล้วถ่ายรูปไปเรื่อยๆ น่ะครับ” ปกรณ์ตอบออกมา

   “มิน่าล่ะ” ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

   “ดูนี่สิครับ” ปกรณ์เขยิบเข้าไปใกล้ๆ แล้วยื่นภาพบนกล้องถ่ายรูปให้ดู “ตอนที่กำลังเดินผมถ่ายรูปคุณไว้เยอะเลย”

   “เมื่อไหร่กันเนี่ย” ชานนท์เบิกตาด้วยความประหลาดใจ เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าโดนแอบถ่าย ปกรณ์เลื่อนภาพให้ดูเรื่อยๆ เขาโดนแอบถ่ายในหลายๆ อิริยาบถแถมทุกท่วงท่าที่ถ่ายนั้นเป็นอากัปกิริยาในตอนที่ไม่รู้ตัวทั้งสิ้น สีหน้าท่าทางล้วนเป็นธรรมชาติ

   “ก็เรื่อยๆ น่ะครับ” คนถ่ายยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

   “ไม่ได้ละ ผมต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นเซเลปชื่อดังเลยนะครับเนี่ย” ชานนท์หยิบแว่นดำที่แขวนไว้อยู่บนคอเสื้อมาใส่ ก่อนจะเก๊กท่าที่คิดว่าตัวเองหล่อที่สุดให้ดูเหมือนกับคนดังจนปกรณ์ต้องหลุดขำ

   “เซเลปอะไรกันครับ ผมไม่เอาภาพคุณไปปล่อยหรอกน่า”

   “งั้นคุณก็จะเก็บไว้ดูคนเดียวสินะครับ ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกดีใจแปลกๆ แฮะ” ชานนท์พูดเย้าแหย่

   “เปลี่ยนใจละ ผมเอาไปโพสต์ทุกภาพเลยดีกว่า” ปกรณ์ตอบกลับด้วยความหมั่นไส้นิดๆ

   “ไม่ดีหรอกครับ” ชานนท์แย้งกลับก่อนจะยกแขนกอดคออีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด “เดี๋ยวผมดังคุณจะลำบากนะครับที่ต้องคอยตามหึงผม”

   ปกรณ์ผลักร่างของอีกฝ่ายออกทันที

   “หึงอะไรกันล่ะครับ” เขาส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา “ผมเพิ่งรู้นะครับเนี่ยว่าคุณนักจิตวิทยาเป็นโรคหลงตัวเอง”

   “เป็นโรครักเดียวใจเดียวด้วยครับ” ชานนท์ขยับเข้าไปกอดคออีกครั้ง

   “คุณ... ไปเอาของแล้วรีบไปพักกันเถอะครับ” ปกรณ์พูดด้วยน้ำเสียงอึกอักและไม่ยอมสบตา ชานนท์มักทำให้เขาใจเต้นแรงเสมอ

   “ครับ” ชานนท์ยิ้มร่าเมื่อรู้ว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายหวั่นไหวด้วยสำเร็จ ...ช่างเป็นนักจิตวิทยาที่ขี้แกล้งเสียจริง

   ทั้งคู่ไปเอาของที่ลูกหาบยกขึ้นมาให้ก่อนจะนำมันไปเก็บยังเต็นท์ที่พัก เต็นท์ที่พักที่ชานนท์ของไว้เป็นเต็นท์เล็ก เหมาะสำหรับนอนสองคน หรือมากสุดไม่ควรเกินสามคน หมอนและผ้าห่มมีให้เช่าซึ่งชานนท์ได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้จนเสร็จสรรพ

   “เดี๋ยวเราพักกันก่อนนะครับ อีกสักชั่วโมงเราค่อยเดินทางไปดูพระอาทิตย์ตกกันนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นหลังเหลือบมองดูเวลา ตอนนี้เพิ่งบ่ายสองโมง ออกจากที่พักสักบ่ายสามโมน่าจะไม่มีปัญหา แม้ระยะทางไปชมพระอาทิตย์จะค่อนข้างไกล แต่บนภูก็มีจักรยานให้เช่า

   “ครับ”

   ทั้งคู่ออกจากเต็นท์ไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะกลับมาที่พักอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างทิ้งตัวลงนอนกับหมอนด้วยความเหน็ดเหนื่อย พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพราะแม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแต่ก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลย

   “คุณชานนท์หลับหรือยังครับ” ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ปกรณ์ก็เอ่ยถามอีกฝ่าย

   “ยังครับ” ชานนท์ตอบกลับ

   “ผมตื่นเต้นจังเลยครับ ที่จะได้ไปดูพระอาทิตย์ตกในจุดเดียวกับที่น้องชายเขียนโปสการ์ดให้”

   “ถ้าน้องชายคุณรู้ น้องคุณก็คงจะดีใจมากๆ ครับ”

   “ผมอยากคุยกับเขาจัง” ปกรณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่ผมก็กลัวทุกอย่างมันจะไม่เป็นไปตามที่ผมคิด”

   “แล้วน้องชายคุณจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะครับ”

   “ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะกลับมาไทยช่วงไหน แต่ถึงกลับมาเราก็คงไม่ได้พบกันหรอกครับ ผมคงไม่กล้าไปพบ แค่คิดว่าตัวเองเป็นพี่ชายของเขา ผมก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว น้องชายที่ทั้งหล่อและฉลาด ไม่สมควรมีพี่ชายแบบผมหรอกครับ”

   “คุณคิดแบบนี้อีกแล้วนะครับ” ชานนท์แกล้งทำเสียงดุ “คุณค่าของคนมันไม่ได้วัดกันตรงนั้นนะครับ ถ้าผมเป็นน้องคุณ ผมคงดีใจที่มีพี่ชายที่คิดถึงเขาตลอดเวลาแบบนี้ แต่ผมเองก็สงสัยนะครับ คุณเคยบอกว่ากลัวเขา แต่เวลาพูดถึงเขา คุณดูมีความสุขมากๆ เลยนะครับ”

   “เหรอครับ” ปกรณ์พลิกร่างหันหน้าไปหาอีกฝ่าย “เอาจริงผมก็กลัวเขานะครับ กลัวมากด้วย พอคิดถึงเรื่องแย่ๆ หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ในหลายๆ ครั้งผมก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ผมอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ครับ”

   “ผมชักอยากเจอน้องชายคุณซะแล้วสิ”

   “ไม่ได้นะครับ ถ้าเขารู้ว่าผมเล่าเรื่องครอบครัวให้คุณฟัง เขาจะต้องไม่พอใจแน่” ปกรณ์รีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงร้อนรน แววตาของเขาแสดงออกถึงความเครียดอย่างเห็นได้ชัด

   “แล้วถ้าเป็นน้องปาณัฐล่ะครับ” ชานนท์ลองถามถึงอีกคน “ผมจะพบเขาได้ไหมครับ”

   “กับปาณัฐเหรอครับ” ปกรณ์ทำสีหน้าครุ่นคิด เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้าย ทุกครั้งที่เจอกันมันจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขและสบายใจเสมอ ความรู้สึกนี้มันคล้ายๆ กับตอนที่อยู่กับชานนท์ เพราะฉะนั้นถ้าคนทั้งคู่ได้เจอกันจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร “ได้สิครับ”

   ชานนท์พยักหน้ารับเบาๆ เขารู้สึกยินดีที่ไม่ได้รับฟังคำปฏิเสธ หากแต่นึกสงสัยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าปกรณ์พาเขาไปพบปาณัฐ แล้วเขาไม่สามารถมองเห็นคนคนนั้นได้ ปกรณ์จะรู้สึกอย่างไร  จะทำใจยอมรับได้หรือไม่หากเขาบอกออกไปตรงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นเพียงจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยปกป้องความอ่อนแอในจิตใจ

   คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวสมอง... แล้วถ้าปกรณ์ไม่เชื่อ เขาจะยังคงได้รับความไว้วางใจหรือไม่ ความสัมพันธ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันจะเปลี่ยนไหมไหม

   “ไว้ถ้าเรากลับกันเมื่อไหร่ผมจะนัดให้นะครับ”






------------------------







   ภายในโรงพยาบาล... ประสิทธิ์และฤทัยดีกำลังเดินหาแผนกจิตเวช พวกเขาสอบถามพยาบาลระหว่างทางจนกระทั่งในที่สุดก็ถึงจุดหมาย

   “คือผมอยากจะมาเยี่ยมผู้ป่วยที่ชื่อปกรณ์ครับ” ประสิทธิ์สอบถามข้อมูลกับพยาบาลที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าแผนก

   “ขอโทษนะคะ คุณเป็นอะไรกับผู้ป่วยคะ” พยาบาลถามกลับหลังจากที่ค้นประวัติผู้ป่วยจากรายชื่อที่ได้ฟังมา

   “ผมเป็นพ่อเขาครับ” ประสิทธิ์ยื่นบัตรประชาชนให้ดู “นี่นามสกุลผมครับ เรานามสกุลเดียวกัน”

   “อ่อค่ะ” พยาบาลพยักหน้าก่อนจะเช็คประวัติอย่างละเอียดอีกที “คุณปกรณ์ไม่ได้พักที่โรงพยาบาลนะคะ เขามาทำการรักษาที่นี่กับคุณหมอเกื้อค่ะ รู้สึกจะมีนัดอีกทีอีกสองวันข้างหน้าค่ะ”

   “อ่อครับ พอดีเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมเลยไม่รู้ข้อมูลลูกชายเท่าไหร่” ประสิทธิ์อธิบายเหตุผลเพราะกลัวว่าพยาบาลจะจับผิด “งั้นผมขอพบหมอเกื้อได้ไหมครับ”

   “ได้ค่ะ แต่รออีกประมาณครึ่งชั่วโมงนะคะ พอดีหมอกำลังดูแลผู้ป่วยอยู่ เดี๋ยวเชิญนั่งรอที่หน้าห้องเลยค่ะ ดิฉันจะแจ้งให้นะคะ”

   “ขอบคุณครับ”

   เวลาผ่านไปจนกระทั่งครึ่งชั่วโมง ไม่นานมากนัก พยาบาลคนเดิมก็เดินมาแจ้งประสิทธิ์ว่าให้เข้าไปพบหมอเกื้อที่ห้องทำงานได้เลย

   ห้องทำงานของหมอแผนกจิตเวชดูโล่งและปลอดโปร่งกว่าแผนกอื่นๆ ประสิทธิ์และฤทัยดีรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับการเข้าพบเพราะรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยเสียเอง

   “สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อนครับ” หมอเกื้อลากเก้าอี้มาให้คนทั้งสองด้วยท่าทีที่สุภาพ

   “คือผมอยากมาถามหมอเรื่องของเจ้าปกรณ์” หลังจากที่นั่ง ประสิทธิ์ก็เปิดประเด็นที่ต้องการพูดคุยทันที “ผมเป็นพ่อของมันน่ะครับ พยาบาลคงบอกหมอแล้วใช่ไหมครับ”

   “ครับ” หมอเกื้อพยักหน้า “คุณพ่อมีอะไรสงสัยถามมาได้เลยนะครับ”

   “คือผมอยากจะทราบอาการของมันน่ะครับ” ประสิทธิ์ถามตรงๆ เขาไม่ชอบอ้อมค้อม

   “อาการของคุณปกรณ์ผมยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้แน่ชัดนะครับ แต่มองดูเผินๆ อาการของคุณปกรณ์ดูเหมือนคนปกติทั่วไป แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกันมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ คุณปกรณ์มีความคิดผิดๆ อยู่ในสมองหลายเรื่อง และจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาแบบจริงจังนะครับ” หมอเกื้ออธิบายคร่าวๆ เขาไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้ฟังทั้งหมด เพราะถึงแม้จะเป็นพ่อลูกกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าคนคนนี้อาจจะมีส่วนที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแบบนี้

   “อย่างนั้นเหรอครับ” ประสิทธิ์หน้าเครียด ภาพความทรงจำต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัวสมอง หลายครั้งที่เขาทำร้ายภรรยาต่อหน้าปกรณ์ จนกระทั่งเธอเสียชีวิต และเขารู้ตัวดีว่าไม่เคยมอบความรักให้กับปกรณ์เลยผิดกับลูกชายอีกคน “แล้วถ้าไม่ได้รับการรักษา มันจะเป็นอะไรมากไหมครับ”

   “ผมต้องขอโทษที่พูดตรงๆ นะครับ ถ้าไม่ได้รับการรักษา เขาอาจจะกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบไปเลย หรือ... อาจจะเครียดจนทำร้ายผู้อื่นโดยที่ไม่รู้ตัวครับ”

   “หนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ประสิทธิ์เริ่มเครียด เขาชักลังเล แม้จะเห็นด้วยกับฤทัยดีแต่ก็อดเป็นห่วงปกรณ์ไม่ได้เช่นกัน

   “คุณพี่คะ” ฤทัยดีที่สังเกตเห็นว่าสามีของหล่อนลังเล หล่อนจึงเขยิบเข้าไปกระซิบใกล้ๆ “ถ้าลูกชายพี่เข้ารับการรักษา เขาอาจจะเผลอพูดเรื่องของพี่ เรื่องของเรากับหมอก็ได้นะคะ คุณพี่จะเสียชื่อเสียงเอาได้นะคะ”

   สิ่งที่ฤทัยดีพูดมานั้นมีเหตุผล แน่นอนว่าการเข้ารับการรักษาอาการป่วยทางจิต ผู้ป่วยจะต้องเล่าถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ในอดีตให้หมอฟังเพื่อเป็นแนวทางในการรักษา และหากเป็นเช่นนั้นปกรณ์ก็อาจเล่าถึงการกระทำแย่ๆ ที่เขาเคยแสดงต่อหน้าลูก ทั้งการที่แม่ของปกรณ์จับได้ว่าเขาเป็นชู้กับฤทัยดีคาหนังคาเขา ทั้งการที่เขาตบตีภรรยาเก่า

   พอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ประสิทธิ์ก็รู้สึกผิดเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่แม่ของปกรณ์ประสบอุบัติเหตุกระทั่งถึงแก่ชีวิต เขาก็แทบไม่สนใจปกรณ์เลย เอาแต่แสดงความรักใคร่กับฤทัยดีจนในที่สุดมีลูกชายอีกคน

   ระหว่างจัดงานศพ ประสิทธิ์ก็เอาแต่ขังปกรณ์ไว้ในบ้านเพราะรำคาญที่เขาเอาแต่ร้องไห้โหยหาแม่ ปกรณ์ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ฟังพระสวดสักคืน ในตอนนั้นปกรณ์ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าการประสบอุบัติเหตุของแม่ คือการที่แม่จะต้องจากเขาไปตลอดชีวิต

   อีกทั้งยังอีกหลายเหตุการณ์ในวัยเด็ก นั่นจึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ปกรณ์เครียดจนมีอาการทางจิต แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ฤทัยดีพูดก็ไม่ผิด ...เขาจะยอมเสียชื่อเสียงไม่ได้

   “ขอบคุณครับหมอ เดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ประสิทธิ์ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องทันทีที่พูดจบ ฤทัยดีวิ่งตามเขาไปจนกระทั่งออกจากห้อง

   “พี่คะ คุณพี่จะยอมให้ปกรณ์รักษาไม่ได้นะคะ” หล่อนพูดอีกครั้ง

   “พี่รู้” ประสิทธิ์ตอบ “แต่เราคงคุยเรื่องนี้กับหมอตรงๆ ไม่ได้ พี่จะไปคุยกับไอ้ปกรณ์ห้ามไม่ให้มันทำการรักษาด้วยตัวของพี่เอง”
   ฤทัยดีกระตุกยิ้มออกมาในทันที แววตาเจ้าเล่ห์ฉายชัดว่าหล่อนกำลังคิดวางแผนที่จะทำอะไรบางอย่างกับปกรณ์





จบตอน

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ไม่สมควรชื่อฤทัยดี ควรชื่อฤทัยทราใ :mew5:

ไม่น่ามีพ่อโง่เลยปกรณ์  :katai4:

ชานนท์ดูแลปกรณ์ดีๆนะ  :mew2:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นี่คิดว่ามีลูกคนเดียวหรือเปล่า ทำไมทำอย่างกับปกรณ์ไม่ใช่ลูก
เราว่าทั้งเรื่องภรรยาคนแรกเสียชีวิต กับอาการป่วยของปกรณ์ ยังป้าฤทัย...นี่ต้องมีเอี่ยวแน่

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เครียดได้อีก ฤทัยดีกับพ่อนี่หืมม น่าตบ
ส่วนชานนท์กับปกรณ์ น่ารักมุ้งมิ้งมาก
รักคุณชานนท์จัง

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เห๊อะ ห่วงชื่อเสียงมากกว่าสุขภาพจิตใจของลูกแท้ๆ ของตัวเองหรอคุณพ่อ ตอนแรกก็นึกว่าจะคิดได้นะ เหมือนแอบห่วงลูก
พอฤทัยชั่ว เอ้ย ฤทัยดีพูดนิดหน่อยก็เชื่อ หลงอะไรขนาดนั้น

เกลียดฤทัยดีมาก เลวจริง  ที่ปกรณ์เป็นแบบนี้ นอกจากพ่อ
อีกสาเหตุใหญ่ก็คงมาจากฤทัยดีเนี่ยแหละ โอ้ย อยากถีบว่ะ

ออฟไลน์ nin@

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เพิ่งอ่านได้ 4 ตอน คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากค่ะ ให้กำลังใจในการเขียนนะคะ จะรอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ

ตอนที่ 13


         พระอาทิตย์สุดเส้นขอบฟ้ากำลังคล้อยต่ำลงจนเกือบจะหายไป ท้องฟ้าที่เคยสดใสค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิด แสงสีทองที่สาดส่องออกมานั้นได้เนรมิตให้ก้อนเมฆตรงหน้ากลายเป็นสีดำทมิฬ เมฆสีดำที่ตัดกับแสงสีส้มนั้นดูสวยงามราวกับโลกในจินตนาการ

            ปกรณ์หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเบื้องหน้า วิวทิวทัศน์ในยามนี้ดูคล้ายกับโปสการ์ดที่เขาได้รับมาจากน้องชาย ธรรมชาติมักมีอะไรให้ชื่นชมและตื่นตาตื่นใจเสมอ เขารู้แล้วว่าเพราะเหตุใดน้องชายจึงอยากให้เขามาดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่

            “เอ๊ะ... คุณ... ชานนท์ใช่ไหมครับ” ระหว่างที่กำลังถ่ายภาพอยู่นั้น เสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นได้ทำให้ปกรณ์และชานนท์ที่กำลังถ่ายภาพอยู่หันไปให้ความสนใจ

            “อ้าว... คุณศรันย์” ชานนท์เรียกชื่อของคนที่เอ่ยทักบ้าง “ภูษิตก็มาด้วยนี่ครับ”

            “สวัสดีครับคุณชานนท์” ภูษิตยกมือไหว้ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี รูปร่างผอมบาง ผิวขาวสูงประมาณร้อยหกสิบปลายๆ

            “สวัสดีครับ เป็นไงเรา มาเที่ยวเหรอครับ” ชานนท์ยื่นมือไปขยี้ศีรษะอย่างคุ้นเคย

            “ใช่ครับ” ภูษิตพยักหน้า ดูเหมือนว่าเขามีท่าทีประหม่าเล็กน้อย

            “พอดีผมมาภูษิตมาเปิดหูเปิดตาน่ะครับ ตั้งแต่ที่เข้ารับการรักษาอาการของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ” ศรันย์ตอบออกมา “แล้วนั่น คุณชานนท์มากับใครครับ”

            “อ้อ... นี่คุณปกรณ์ครับ” ชานนท์แนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน “ส่วนนี่คุณศรันย์และภูษิตนะครับ”

            ทั้งสองฝ่ายยิ้มและกล่าวทักทายกันอย่างเขินๆ โดยเฉพาะปกรณ์กับภูษิต เนื่องจากทั้งคู่ไม่คุ้นเคยกับการพูดคุยกับคนแปลกหน้าสักเท่าไร

            “แล้วนี่คุณศรันย์จะไปที่ไหนต่อครับ” ชานนท์ถาม

            “ผมคงพาภูษิตกลับไปที่พักครับ นี่ก็มืดแล้วด้วย เดี๋ยวภูษิตจะคิดมากน่ะครับ” ศรันย์หันไปมองภูษิตด้วยความกังวล

            “รีบกลับที่พักเถอะครับพี่” ภูษิตกระตุกชายเสื้อเบาๆ สายตาของเขาลอกแลกเหมือนมีความหวาดกลัวอะไรบางอย่างในใจ

            “เราก็จะกลับพอดี งั้นกลับพร้อมกันเลยดีไหมครับ ผมจะได้ดูอาการของภูษิตด้วย” ชานนท์เสนอ

            ภูษิตเป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เขามีอาการกลัวความมืดขั้นรุนแรง และกลัวการเข้าสังคม เขาไม่พูดคุยกับคนแปลกหน้า จนกระทั่งนานวันเข้า เขาก็ลืมพ่อแม่ตัวเอง มีเพียงศรันย์ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเท่านั้นที่ภูษิตไว้วางใจและพูดด้วย เนื่องจากศรันย์เคยมาเล่นกับภูษิตอยู่บ่อยครั้งเมื่อเขายังเป็นเด็ก แล้วก็แวะมาหาเรื่อยๆ ศรันย์จึงเปรียบเสมือนเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา

            เหตุผลที่ทำให้ภูษิตกลัวความมืดเพราะเขาเคยถูกขังอยู่ในห้องเก็บของที่บ้านทั้งคืนตอนอายุ 3 ขวบ และเนื่องจากพ่อแม่ของภูษิตไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกของตน ต่างคนต่างเอาแต่ทำงานหรือพบปะกับสังคมเพื่อนฝูง ทิ้งลูกเอาไว้บ้านคนเดียว ไม่มีแม้แต่พี่เลี้ยงที่คอยดูแล นานวันเข้าความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูกก็ค่อยๆ หายไป

            ภูษิตมักโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่เล็กจนโต เคยพยายามจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟังแต่พวกเขาก็ไม่สนใจ ภูษิตโดนเพื่อนล้อเรื่องพ่อแม่มาตลอด บ้างก็หาว่าเป็นลูกกำพร้า บ้างก็หาว่าพ่อแม่เสียแล้ว เนื่องจากเวลามีงานโรงเรียนพ่อกับแม่ของเขาไม่เคยไปที่โรงเรียนแม้แต่ครั้งเดียว
             บางครั้งคุณครูก็ไม่เข้าใจ ดุว่าภูษิตเป็นเด็กมีปัญหาครอบครัว ความเครียด ความน้อยใจต่างๆ ที่ถูกสะสมมาทำให้ท้ายที่สุดในวันหนึ่ง... ภูษิตก็ลืมพ่อกับแม่ของตัวเอง มันเป็นอาการของคนที่สูญเสียความทรงจำของคนที่ตัวเองรักและไว้ใจมากที่สุดไปชั่วขณะ เพราะเขารู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า จนทำให้ในที่สุดก็คิดว่าคนคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง

            “ตอนนี้ภูษิตจำได้หรือยังครับ” ชานนท์ถามศรันย์เสียงเบา แม้ไม่บอกว่าหมายถึงใครแต่ศรันย์ก็เข้าใจดีว่าหมายถึงพ่อกับแม่

            “ยังเลยครับ แต่เริ่มกล้าพูดคุย กล้าสบตากับคนอื่นมากขึ้นแล้วครับ”

            “ดีแล้วครับ เพราะมีคุณศรันย์คอยช่วยเหลือเด็กคนนี้ ทุกอย่างก็เลยดีขึ้นเรื่อยๆ”

            “ครับ ยังไงเราก็เป็นญาติกัน เขาก็เหมือนน้องชายแท้ๆ ของผมคนหนึ่งน่ะครับ” ศรันย์ตอบออกมาก่อนจะหันไปสนใจปกรณ์บ้าง “แล้วคุณปกรณ์นี่เป็นเพื่อนคุณชานนท์เหรอครับ”

            ชานนท์หันไปมองปกรณ์ เขาไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไรดี สถานะความสัมพันธ์ในตอนนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

            “ผมเองก็เป็นคนป่วยของคุณชานนท์เหมือนกันครับ” ปกรณ์ตัดสินใจตอบออกมาเอง เขารู้ว่าชานนท์คงใจอึกอักและกลัวว่าตัวเขาจะคิดมาก

            “จริงเหรอครับ” ศรันย์ทำน้ำเสียงตื่นเต้น “งั้นคุณสบายใจได้เลยนะครับ คุณชานนท์เป็นนักจิตวิทยาที่เก่งมากๆ ไม่ว่าคุณจะมารักษาด้วยเหตุผลอะไร ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณหายไวๆ นะครับ”

            “ขอบคุณครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเกร็งๆ แม้จะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีมนุษยสัมพันธ์แต่เขาก็ไม่ชินอยู่ดี “ผมก็ขอให้น้องภูษิตหายดีเหมือนกันนะครับ”

            “ขอบคุณครับคุณปกรณ์” ศรันย์ยิ้มรับ

            “อ้อ... จริงด้วย” ชานนท์แทรกขึ้น “เดี๋ยวคุณปกรณ์จะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้วนะครับ ถ้าโชคดีน่าจะมีโอกาสได้เจอน้องภูษิตในการบำบัดแบบหมู่นะครับ”

            “บำบัดแบบหมู่งั้นเหรอครับ อ่อ... ที่คุณหมอเกื้อเคยบอกสินะครับ บอกว่าต้องให้เวลาภูษิตคุ้นเคยกับคนอื่นๆ อีกสักระยะ”
 
            “ใช่ครับ”

            “แล้วจะเป็นไรไหมครับ ถ้าให้ภูษิตทำความสนิทสนมกับคุณปกรณ์ซะตั้งแต่ตอนนี้” ศรันย์เอ่ยถามพลางเอื้อมมือไปจับกับมือของน้องชายเอาไว้

            “ไม่มีปัญหาครับ” ชานนท์ตอบออกมา

            “เจ้าภู” ศรันย์กอดคอภูษิตด้วยความสนิทสนม “นี่คุณปกรณ์นะ เป็นผู้ป่วยของคุณชานนท์เหมือนกับภูษิต สวัสดีพี่เขาสิครับ”

            “สวัสดีครับ” ภูษิตปฏิบัติตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เด็กชายเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ

            “สวัสดีครับ” ปกรณ์ยกมือรับ พอเห็นภูษิตมีท่าทีแบบนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมาทันที เด็กคนนี้คงจะเจอเหตุการณ์ร้ายๆ เช่นกัน พอคิดดังนั้นก็รู้สึกสงสารและเข้าอกเข้าใจ

            ปกรณ์มองภูษิตตาเขม็งโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว ภาพเหตุการณ์ในตอนที่แม่เห็นพ่อนอนอยู่บนเตียงกับผู้หญิงคนอื่น ภาพที่พ่อตบตีแม่มันย้อนเข้ามาในห้วงความคิด เขารับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเหล่านั้น ฉับพลันน้ำตาก็ไหล... แล้วเด็กคนนี้ล่ะต้องผ่านกับอะไรมาบ้าง

            ปกรณ์ขยับเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงแล้วโผเข้ากอดภูษิต จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาทำแบบนั้น ภูษิตตกใจในทีแรกแต่พอเห็นน้ำตาของปกรณ์รินไหลลงมาไม่ขาดสาย ความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยและกลายเป็นความสงสารในที่สุด

            ภูษิตยกแขนขึ้นมาโอบกอดอีกฝ่ายเช่นกัน... กอดเพราะอยากปลอบโยน กอดเพราะเขาเคยผ่านช่วงเวลาที่ร้องไห้มาอย่างโดดเดี่ยวมานับครั้งไม่ถ้วน
   
            ภูษิตนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเองร้องไห้ ภาพต่างๆ ลอยเข้ามาในหัวสมอง ฉับพลันความทรงจำบางอย่างก็ทำให้เขาลืมไปว่าคนที่กำลังกอดอยู่ไม่ใช่ปกรณ์

            “ไม่เป็นไรนะครับ” ภูษิตเอ่ยเสียงเบากับคนที่กำลังสะอื้นไห้ “ร้องออกมาเลยครับพ่อ ร้องออกมาจนกว่าพ่อจะสบายใจ ผมจะอยู่กับพ่อตรงนี้ ไม่ทิ้งพ่อไปไหน”

            ศรันย์และชานนท์มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างงุนงง เขาไม่อาจรับรู้ได้ว่าคนทั้งสองกำลังคิดอะไร แต่ก็ปล่อยให้คนทั้งคู่ได้สื่อสารกันต่อไปทั้งทางร่างกายและวาจา

            ปกรณ์ยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตา เขาสับสนที่ถูกภูษิตเรียกว่า ‘พ่อ’ จึงเหลือบสายตาไปมองชานนท์ราวกับต้องการจะสอบถามว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบอะไร คำพูดประโยคถัดไปของภูษิตก็ทำให้ปกรณ์รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

            “ผมรู้ว่าพ่อเจ็บปวดแค่ไหนกับสิ่งที่เจอ แม้พ่อจะไม่รักผม แม้พ่อจะไม่เห็นผมในสายตา แต่ผมก็รักพ่อนะครับ” น้ำเสียงของภูษิตสั่น ตัวของเขาสั่นสะท้านหากแต่ไม่มีน้ำตารินไหลลงมา ราวกับว่ากำลังพยายามแสร้งทำตัวเข้มแข็งเพื่อปกปิดความอ่อนแอของตน

            ปกรณ์กอดภูษิตเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน แสร้งทำตัวเป็นพ่อเพื่อให้ภูษิตมีความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจต่อไป

            คำพูดของภูษิตนั้นเหมือนกุญแจสำคัญในการรักษา ก่อนหน้านี้ชานนท์และศรันย์ไม่เคยรู้เลยว่าพ่อของเขามีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรกันแน่ ภูษิตคงไม่กล้าบอกใคร ทำได้เพียงเก็บความทรมานเหล่านั้นไว้ในจิตใจตัวเองคนเดียว แม้ในตอนนี้เขาจะจำพ่อกับแม่ของตัวเองไม่ได้ แต่ความรู้สึกทุกอย่างภูษิตยังคงจำได้เป็นอย่างดี

          “คุณชานนท์ครับ” ศรันย์เขยิบเข้าไปกระซิบถาม “ถ้าภูษิตเข้าใจว่าคุณปกรณ์คือพ่อต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้นครับ”

            “มันเหมือนจะดีนะครับ ถ้าให้คุณปกรณ์แกล้งเป็นพ่อแล้วทำดีกับภูษิตต่อไป ภูษิตอาจจะมีอาการดีขึ้นหรือมีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับพ่อ” น้ำเสียงของชานนท์แสดงออกถึงความเครียดเล็กน้อย “แต่ถ้าทำแบบนั้นมันน่าจะเป็นผลร้ายมากกว่า ถ้าวันหนึ่งเขารู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการแสดง ความทรงจำดีๆ ที่เกิดขึ้นของเขาคงพังทลายลงไป อาจส่งผลให้จิตใจของภูษิตย่ำแย่และอาจทำให้ภูษิตไม่ยอมรับรู้อะไรอีกเลย... เขาอาจจะอยู่อย่างเลื่อนลอยในโลกที่มีแต่ตัวเองเท่านั้น”

            “ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรห้ามสิครับ” ศรันย์เริ่มทุกข์ใจ

            “ผมคิดว่าไม่ทันแล้วล่ะครับ” ชานนท์ตอบเสียงเบา “ผมต้องกลับไปปรึกษากับหมอเกื้อ และภูษิตอาจต้องเข้าทำการรักษากับทางโรงพยาบาลพร้อมๆ กับคุณปกรณ์ หรือถ้าโชคดีที่สุด เราต้องภาวนาให้พรุ่งนี้ภูษิตตื่นมาแล้วลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นและแยกได้เองว่าคุณปกรณ์ไม่ใช่พ่อ”

            ไม่ใช่แค่ศรันย์ที่ทุกข์ใจ ชานนท์เองก็ทุกข์ใจไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าภูษิตไม่หายเป็นปกติ ปกรณ์ก็จะลำบากไปด้วยเพราะต้องเล่นบทพ่อทั้งยังต้องทำการรักษาตัวเองด้วย และอาจต้องใกล้ชิดกับภูษิตจนขาดความเป็นส่วนตัว

            ส่วนปกรณ์ในตอนนี้ยังคงเล่นบทพ่อต่อไปด้วยความเต็มใจ เขารู้สึกดีที่ทำให้ภูษิตมีความสุขโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเรื่องยุ่งๆ กำลังจะเกิดขึ้น
 
 


-------------



 
          คืนนี้... ปกรณ์ไม่อาจข่มตานอนได้ หลังจากที่เขาต้องไปนั่งเฝ้าภูษิตในเต็นท์อยู่หลายชั่วโมง เขาก็ต้องทราบข่าวร้ายจากชานนท์เกี่ยวกับอาการของภูษิต

             ปกรณ์ไม่คิดเลยว่าความหวังดีที่เกิดขึ้นมันจะทำให้เรื่องเลวร้ายลง เขานึกโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้ทุกคนต้องวุ่นวาย ...บางทีอาจจะดีถ้าไม่มีเขาบนโลกใบนี้ เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นมันจะได้จบลงสักที

            ปกรณ์ปล่อยให้อารมณ์ความเครียดชั่ววูบอยู่เหนือเหตุผลจนเผลอให้ครอบงำจิตใจ เขาหันไปมองชานนท์อย่างระมัดระวัง เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิทจึงแอบออกไปนอกเต็นท์

            แม้ความมืดมิดจะปกคลุมทั่วแผ่นฟ้าและผืนป่า แต่ปกรณ์กลับรู้สึกว่ามันสว่างไสวกว่าจิตใจของเขาที่กำลังมืดสนิท

            ปกรณ์สาวเท้าไปเรื่อยๆ ท่ามกลางผืนป่าที่มืดมิด ทุกสรรพสิ่งรอบข้างดูสงบ มันเงียบสงัดจนดูเหมือนว่าบนโลกนี้มีเพียงเขาเท่านั้น

            ในเมื่อเขาเป็นตัวการที่ทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวาย เขาก็ควรจะทำให้ทุกอย่างมันจบลงพร้อมๆ กับลมหายใจของเขา

            ขณะนั้น... ภาพความทรงจำก็ได้ฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง มันตอกย้ำให้ปกรณ์รู้ว่าเขาไม่มีค่าควรที่จะเกิดมาบนโลกใบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

            วันนั้น... เป็นอีกครั้งที่พ่อกับแม่มีปากเสียงกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่แม่จับได้ว่าพ่อคบชู้กับฤทัยดีเพียงไม่กี่วัน

            “พี่สิทธิ์  พี่ต้องเลิกกับอีนั่นนะ พี่ทำแบบนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เดี๋ยวใครๆ ก็นินทาแล้วลูกเราก็จะกลายเป็นเด็กมีปัญหานะ” แม่พูดเสียงสะอื้นขณะที่อยู่บนเตียงนอน

            “โอ๊ยอีนี่หนิ กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่ากูรักฤทัยดี กูไม่เลิกกับฤทัยหรอก” ในมือของพ่อถือขวดเหล้า เวลาที่พ่อเมาทีไรพ่อมักจะพ่นคำหยาบออกมาทุกที

            “แล้วฉันล่ะ! พี่ไม่สงสารฉันบ้างเหรอ พี่จะให้ฉันเป็นเมียหลวงแล้วยอมรับอีนั่นเป็นเมียน้อยเหรอ ฉันทำไม่ได้หรอก เรามีลูกด้วยกันแล้วนะพี่” แววตาของแม่ในขณะนั้นมีแต่ความเจ็บปวด

            “หรือมึงอยากเป็นเมียน้อย” และประโยคนี่พ่นออกมาจากโสมมของพ่อได้ทำให้แววตาของแม่ระทมมากยิ่งขึ้น

            แม่นิ่งไปชั่วขณะ เด็กชายไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าตอนนั้นแม่ของเขาต้องทรมานแค่ไหน การมีชีวิตอยู่ราวกับตายทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นอย่างไร

            น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลลงมาไม่ขาดสาย เมื่อไม่สามารถปลอบให้ตัวเองสงบได้แม่ก็หันไปกอดพ่อ

            “ไม่นะพี่ ฉันไม่อยากเป็นเมียน้อย” แม่พูดทั้งน้ำตา เธอไม่คิดว่าจะได้ยินคำๆ นี้พ่อออกมาจากปากของคนที่เป็นสามี

            “งั้นมึงก็ต้องเชื่อฟังกู หึ” พ่อกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ สายตาของพ่อไม่หลงเหลือความรักให้แม่เลยสักนิด

            “ฉันจะเชื่อฟังพี่จ้ะ” แม่เขยิบเข้าไปกอดพ่ออยากออดอ้อน หากแต่กลับโดนพ่อผลักออกมาเต็มแรง

            “มึงอย่ามากอดกู มึงทำกูอารมณ์เสีย เดี๋ยวคืนนี้กูจะเรียกฤทัยดีมานอนด้วย ส่วนมึงจะไปนอนที่ไหนก็ไสหัวไปซะ”

            “พี่!!!” แม่ร้องด้วยน้ำเสียงขัดใจ “แล้วลูกล่ะ พี่มีลูกแล้วนะ พี่ไม่นึกถึงฉันก็นึกถึงลูกของพี่บ้างสิ”

            “มึงอย่าเอาลูกมาอ้าง! มึงไม่ได้รักลูกจริงๆ มึงก็เห็นลูกเป็นแค่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้ต่อรองกู กูรู้... ที่มึงท้องก็เพราะมึงตั้งใจจับกู มึงอยากให้กูเล่าความสารเลวของมึงต่อหน้าลูกใช่ไหม” พ่อเริ่มมีน้ำโหอีกครั้ง

            “ไม่ใช่นะพี่” แม่พยายามเถียง

            “มึงฟังไว้นะไอ้ปกรณ์ แม่มึงขึ้นปล้ำกูตอนที่กูเมา มันจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง อีแพศยา! กูยอมรับว่ากูพลาดท่า แต่เพราะกูเมาหรอกนะ ไม่งั้นไอ้ปกรณ์ไม่มีวันได้เกิดมาลืมตาดูโลกหรอก มึงก็แค่ใช้มันเป็นเครื่องมือในการจับกู” พ่อตะคอกเสียงดังลั่น “อีดอกทอง!”

            “เออ! กูทำเอง กูตั้งใจจะจับมึง แล้วไง  ลูกก็เกิดมาแล้ว กูก็รักของกู” แม่เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างหลังจากที่โดนดูถูก

            “มึงกล้าขึ้นเสียงกับกูเหรอ” พ่อฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของแม่เต็มแรง “มึงไม่ได้รักมัน มึงใช้มันเป็นเครื่องมือ ไอ้ปกรณ์มึงฟังไว้นะ แม่ของมึงไม่ได้รักมึง แม่ของมึงใช้มึงเพื่อจับกู และกูก็ไม่มีทางรักลูกแบบมึง”

            ปกรณ์พยายามจบภาพความทรงจำไว้แค่นั้น... เขาไม่สามารถทนเห็นฉากถัดไปได้ไหว เพียงแค่นี้หัวใจของเขาก็เจ็บปวดมากเกินทน

          เขาเป็นลูกที่เกิดมาเพราะความไม่เต็มใจของพ่อ
            เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ทะเลาะกัน
            แม่มีเขาเพราะต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือในการจับพ่อ
            พ่อมักพูดย้ำต่อหน้าแม่ว่าไม่คิดจะรักลูกอย่างเขา
            แม่เอง... ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เพราะสิ่งที่แม่ทำกับพ่อก็เลวร้ายพอควร
            พ่อเอง... ก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษ ไม่มีความรับผิดชอบและเอาแต่ทำร้ายแม่

            แต่ไม่ว่าทั้งแม่และพ่อจะเลวร้ายเพียงใด... ปกรณ์ก็ไม่อาจเกลียดพวกเขาได้ลง ในเมื่อเขาไม่ควรเกิดมาตั้งแต่ต้น แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่เขาควรมีชีวิตอยู่ต่อไป

            ปกรณ์ก้าวเท้าต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความเจ็บปวด น้ำตาของเขาไหลลงมาไม่ขาดสาย ภาพในความทรงจำมีแต่สิ่งร้ายๆ ที่ย้ำเตือนว่าเขาไม่มีค่า

            “แม่... รอกรอีกนิดนะครับ เดี๋ยวกรจะไปอยู่กับแม่” ปกรณ์พึมพำออกมาก่อนจะหยุดแหงนหน้าบนท้องฟ้าที่มืดมน

            หนทางที่ยาวไกลทำให้ปกรณ์รู้สึกเหนื่อยหอบ... เมื่อไรจะถึงหน้าผาสักที ความมืดมิดเป็นอุปสรรคต่อการเดิน เพราะปกรณ์ไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้าที่กำลังก้าวขาต่อไปจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง

            ระหว่างนั้นเอง... ภาพของใครบางคนที่แทรกเข้ามาในหัวสมองก็ทำให้ปกรณ์ชะงัก

            “คุณชานนท์”

            รอยยิ้มของคนคนนี้ทำให้เขาเริ่มลังเลใจ...

            เขาควรจะเดินต่อไปหรือไม่ หรือควรกลับไปยังเส้นทางที่เดินผ่านมา...

            มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ก่อนหน้านี้เวลาที่เครียด เขาจะต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดเพียงคนเดียว แต่เพราะอะไร... ผู้ชายคนนี้ถึงโผล่ขึ้นมาในความคิดขณะที่เขากำลังเจ็บปวดได้

            “คุณอย่าทำให้ผมลังเลสิครับ” ปกรณ์พึมพำกับตัวเอง

            “ทำไมคุณต้องทำดีกับผม ทำไม... สิ่งที่คุณทำ คุณเต็มใจ หรือทำเพราะหน้าที่กันแน่ ผมจะเชื่อคุณได้ไหม เพราะขนาดพ่อกับแม่ก็ยังไม่รักผมจริง คนอย่างผมน่ะ... มันไม่คู่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ใช่ไหมครับ”

            ปกรณ์ทรุดลงกับพื้น ความคิดของเขากำลังตีกันอยู่ในหัวสมอง ร่างกายสั่งให้เดินต่อไป... ไปให้ถึงริมผา ทว่าหัวใจกับสั่งให้หยุด... หยุดเพราะอยากเห็นรอยยิ้ม อยากกลับไปสัมผัสกับอ้อมกอดของใครบางคนที่แสนดี

            “ผมจะเชื่อความรู้สึกคุณได้มากแค่ไหนกัน”






จบตอนครับ
อ่านตอนนี้คิดยังไงก็ระบายออกมาได้เลยครับ T_T
ดีใจที่ได้อ่านคอมเม้นท์นะครับ มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ชาน๊นนนนนนนน ไปช่วยปกรณ์เร๊ววววววว :katai1:

สงสารปกรณ์ :mew6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
อดีตที่เลวร้ายจริงๆ ถ้าเลิกยึดติดกับอดีตได้คงไม่เป็นงี้
ได้แต่ขอให้ปกรณ์หายไวๆ แล้วอยู่กับปัจจุบัน ชานนท์อยู่ข้างๆปกรณ์นะ  เวลาปกรณ์อยู่ในภาวะที่จิตใจอ่อนแอรู้สึกแย่จริงๆ

ดีนะ ที่นึกถึงชานนท์ ไม่งั้นเดินไปตกผาแน่นอน

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o12:

สงสารปกรณ์มาก เข้าใจความเจ็บปวดของปกรณ์
ปกรณ์อย่าโทษตัวเองนะลูก ต้องเชื่อในตัวคุณชานนท์นะ

รอนะคะ กำลังอิน อ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบเลยค่ะ

ออฟไลน์ lostboy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
อ่านแล้วหน่วงนิดๆ รอติดตามครับ  :hao5:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
       ตอนที่ 14



               ชานนท์ที่กำลังหลับใหลเพราะความเหน็ดเหนื่อยได้ถูกปลุกขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงเอะอะโวยวายที่ดังขึ้นจากภายนอกเต็นท์ และความตกใจของเขาก็เพิ่มขึ้นเมื่อหันไปมองข้างๆ แล้วไม่พบกับร่างของใครอีกคน

            ชานนท์รีบออกจากเต็นท์ทันที ภายนอกดูชุลมุนวุ่นวาย มีผู้คนมากมายต่างพากันยืนอยู่หน้าเต็นท์นอนของตัวเองทั้งที่เป็นเวลาหลับใหล

            “ขอโทษนะครับ มีเรื่องอะไรกันครับ” ชานนท์เดินไปถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับเต็นท์ของตัวเอง

            “เจ้าหน้าอุทยานประกาศค่ะว่ามีคนมาแจ้งว่าเห็นนักท่องเที่ยวเดินเข้าไปในป่าทางด้านทิศตะวันตกคนเดียว เลยสั่งให้ตรวจดูว่าเพื่อนหรือญาติพี่น้องที่มาด้วยกันยังอยู่ครบไหม ถ้าใครหายไปให้รีบไปแจ้งค่ะ”

            ชานนท์หัวใจกระตุกวูบทันที เขาไม่เสียเวลาคิดรีบวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าที่พักด้วยความรวดเร็ว

            “คุณปกรณ์!”

            ชานนท์ไม่แน่ใจว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่เขามั่นใจว่านักท่องเที่ยวที่หายไปคนนั้นจะต้องเป็นปกรณ์แน่นอน ...เกิดอะไรขึ้นกับปกรณ์กันแน่

          “พี่ครับ นักท่องเที่ยวที่หายไปเป็นผู้ชาย สูงประมาณร้อยเจ็บสิบนิดๆ ใส่กางเกงวอร์มขายาวสีดำ และเสื้อกันหนาวแขนยาวมีฮู้ดสีเทาใช่ไหมครับ” ชานนท์รีบถามทันทีที่วิ่งไปถึงจุดที่เจ้าหน้าที่ยืนอยู่

            “เราไม่แน่ใจเรื่องสีชุดนะครับเพราะคนที่แจ้งบอกว่ามันมืด แต่เขาแจ้งว่ารูปร่างน่าจะเป็นผู้ชาย สวมกางเกงวอร์มขายาวและเสื้อกันหนาวมีฮู้ดครับ”

            “คุณปกรณ์!” ชานนท์ไม่รอช้า รีบวิ่งไปยังทางทิศตะวันตกทันที ทางเดียวกับที่พวกเขาได้ปั่นจักรยานไปดูพระอาทิตย์ตกดินกัน

            “คุณครับ มันอันตรายนะครับ” เจ้าหน้าที่ร้องห้าม เมื่อเห็นว่าชานนท์ไม่หยุด จึงมีบางส่วนวิ่งตามชานนท์ไป

            ชานนท์ไม่มีเวลาคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับปกรณ์ สมองของเขาสั่งให้เขาวิ่งไปให้ไวที่สุด อย่าหยุดวิ่งจนกว่าจะเจอร่างของคนที่กำลังตามหา

            ทว่าวิ่งไปได้สักพักเรี่ยวแรงก็ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาถูกใครบางคนถูกจับตัวเอาไว้แน่นจากทางด้านหลัง

            “คุณวิ่งเข้าป่ากลางดึกแบบนี้มันไม่ปลอดภัยนะครับ” ชานนท์จำเสียงนี้ได้ เป็นเสียงของเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งคุยกันเมื่อครู่

            “แต่ปกรณ์... เพื่อนผม เพื่อนผมอยู่ข้างใน ผมต้องไปตามหาตัวเขาครับ”

            “คุณใจเย็นนะครับ เราให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตามหาแล้วส่วนหนึ่ง แต่การที่คุณวิ่งมาแบบนี้มันอาจจะทำให้คุณหลงทางอีกคนได้นะครับ” เจ้าหน้าที่พูดด้วยเหตุผล

            “แต่ผมรออยู่เฉยๆ ไม่ได้” ชานนท์พยายามแกะแขนของเจ้าหน้าที่ที่กำลังล็อกร่างของเขาไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ “พี่ครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ออกตามหาปกรณ์กับผมสิครับ”

            “แต่ว่า...”

            “นะครับพี่” ชานนท์พูดแทรก “เขาสำคัญกับผมมากจริงๆ ถ้าเขาเป็นอะไรไปผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”

            “ถ้าอย่างนั้นน้องต้องสัญญาว่าจะไม่ออกนอกเส้นทาง และจะเดินตามหลังพี่ติดๆ”

            “สัญญาครับ ผมสัญญา”

            เจ้าหน้าที่อุทยานคลายแขนที่ล็อกร่างของชานนท์ออก เมื่อเห็นว่าชานนท์มีท่าทีสงบนิ่งไม่วิ่งหนี เขาจึงยกไฟฉายส่องทางด้านหน้าแล้วเดินนำไป

            ชานนท์เดินตามไปติดๆ ทุกฝีก้าวตามคำสั่ง แม้ในใจจะว้าวุ่น แต่เขาก็ยอมที่จะเชื่อฟัง พอคิดทบทวนให้ดี ผืนป่าบนภูแห่งนี้กว้างใหญ่ การที่เขาวิ่งออกไปโดยที่ไม่รู้จุดหมายมันย่อมอันตรายและเสี่ยงกว่าการเดินตามคนที่ชำนาญในพื้นที่

            ระหว่างที่กำลังค้นหาตัวของปกรณ์อยู่นั้น สัญญาณวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่ก็ดังขึ้น เสียงที่ดังออกมาบอกว่าพบเบาะแสเส้นทางของนักท่องเที่ยวที่หายตัวไป เพราะพงหญ้าบริเวณนั้นถูกแหวกออกราวกับมีใครเดินผ่านมา และพอเดินตามไปก็พบรอยเท้าของมนุษย์

            เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับชานนท์รีบวิ่งนำไปยังจุดที่ว่าทันที ไม่นานมากนักก็เจอพงหญ้าที่แหวกออก และพอวิ่งตามเส้นทางนั้นไปก็พบกับรอยเท้าตามที่ได้รับแจ้ง

            เจ้าหน้าที่ส่องไฟฉายลงพื้นเพื่อตรวจสอบรอยเท้าที่เห็น

            “รอยเท้าชิดกันมาก มันถี่เกินผิดวิสัยจากรอยเท้าคนทั่วไป”

            “เรารีบตามไปเถอะครับ” ชานนท์มั่นใจว่าเป็นรอยเท้าของปกรณ์ไม่ผิดแน่ การที่คนเราจะเดินด้วยรอยเท้าชิดกันแบบนี้ นั่นหมายความว่าคนนั้นต้องกำลังมีเรื่องเครียดรบกวนสมอง จนทำให้เขาก้าวเท้าสั้นๆ ช้าๆ เหมือนกับคนที่กำลังสูญเสียจิตวิญญาณไป

            ระหว่างที่วิ่งตามรอยเท้าอยู่นั้น ชานนท์ทำได้เพียงภาวนาไม่ให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น จนกระทั่งในที่สุดก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของคนที่สวมชุดเจ้าหน้าที่อุทยานประมาณสี่คนยืนรวมกันอยู่ไกลๆ

            แต่เพราะอะไร... เจ้าหน้าที่เหล่านั้นถึงยืนอยู่แน่นิ่งราวกับว่ามีเหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้น

            ชานนท์รีบเร่งฝีเท้าแซงหน้าเพื่อที่จะไปดูให้เห็นกับตาว่า ณ ที่แห่งนั้นมันมีเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับปกรณ์
 
 

----------------------------------





          “ผมจะเชื่อความรู้สึกคุณได้มากแค่ไหน”
 
            เสียงนั่นแผ่วเบาราวกับกลัวว่าทุกอย่างมันจะเป็นแค่เรื่องลวงหลอก ร่างกายของปกรณ์ไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินต่อไป มือของเขากุมที่หน้าอกเอาไว้แน่น อากาศรอบข้างร้อนขึ้นจนน่าประหลาดทั้งๆ ผิดจากความเป็นจริง เขารู้สึกอึดอัด ทรมานราวกับร่างกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียให้ได้

            ทว่า... ทันใดนั้น สัมผัสที่กระทบมาจากทางด้านหลังก็ทำให้เขาผ่อนคลายมากขึ้น ใครคนนั้นกอดเขาเอาไว้แน่น ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือมาปาดน้ำตาที่กำลังไหลลงมาให้เขา ริมฝีปากของร่างนั้นซุกไซ้มาที่ต้นคอ ลมหายใจร้อนผ่าว ปกรณ์สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ส่งผ่านมาจากอากัปกิริยา

            “ใช้ความรู้สึกของคุณเป็นตัวตัดสินสิครับ”

            ร่างนั้นกระซิบที่ข้างใบหู เขาเลือกที่จะไม่ตอบออกไปตรงๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อแต่เลือกที่จะให้ปกรณ์ตัดสินโดยใช้ความรู้สึกของตัวเอง

             ชานนท์เชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณที่สามารถแยกแยะได้ว่า ความรู้สึกไหนจริง ความรู้สึกไหนปลอม และจะยอมรับมันได้มากน้อยแค่ไหน บางคนรู้มาตลอดว่าอีกฝ่ายนั้นหาได้มีความจริงใจไม่ แต่เพราะไม่กล้าที่จะยอมรับในความรู้สึกที่สัมผัสได้จึงพยายามโกหกตัวเองตัวไป ผลสุดท้าย... ก็ต้องเจ็บปวดอยู่ดี

             ในขณะที่บางคนรับรู้ถึงความจริงใจที่ได้รับ แต่เพราะเคยผ่านการผิดหวังมานับครั้งไม่ถ้วน จึงเป็นการยากที่จะยอมรับใครสักคน ...ปกรณ์ก็เช่นกัน การจะยอมรับใครสักคนนั้นโดยไม่มีความหวาดระแวงในจิตใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

           “คุณชานนท์” เสียงของปกรณ์สั่นไหว ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป

           “เกิดอะไรขึ้นครับ” ชานนท์ยังคงกอดร่างนั้นแน่น เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปกรณ์สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและปลอดภัยในขณะที่อยู่ในอ้อมกอด

            "ผมไม่อยาก...” ปกรณ์สะอึกอื่น กว่าที่จะเปล่งคำพูดออกมาแต่ละคำได้ช่างยากลำบาก “มีชีวิตอยู่ต่อไป”

               “คุณจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” ชานนท์รีบแย้งขึ้นทันที เขาไม่สนใจว่าปกรณ์จะมีเหตุผลอะไรที่คิดเช่นนั้น แต่เหตุผลที่คนคนนี้จะต้องมีชีวิตต่อไปก็คือ “เพราะคุณคือกำลังใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมนะครับ”


            คำพูดนั้นเหมือนยารักษาที่เยียวยาจิตใจของคนที่กำลังเจ็บปวด คนที่คิดมาเสมอว่าตัวเองไร้ค่า คนที่แม่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้เขาเกิดมา คนที่ไม่รู้จะสรรหาความภูมิใจในชีวิตได้อย่างไร

            ตั้งแต่ได้รู้จักกับชานนท์ เขาก็เริ่มค้นพบคำว่าความสุข หลายครั้งที่ลังเลใจอยู่บ้างว่าสิ่งที่คนคนนี้แสดงออกมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มันจะเป็นอะไรไป... ถ้าเขาจะลองเชื่อใจอีกสักครั้ง ในเมื่อที่ผ่านมาชานนท์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งกัน

            “ผมขอโทษ” ปกรณ์ยังคงสะอื้นไห้ เสียงของเขายังคงสั่นไหวไม่ยอมหยุด “อารมณ์ของผมมันแปรปรวน ผมไม่อยากเป็นแบบนี้เลย คุณคงลำบาก คนอื่นก็ลำบากไปด้วย”

            “ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่ลำบากเลย มันอาจจะยากแต่เดี๋ยวคุณจะต้องผ่านมันไปได้แน่ เพราะผมจะอยู่ข้างๆ แล้วพาคุณข้ามผ่านความเจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน”

            “แล้วคุณศรันย์ เขาคงไม่ชอบผมแล้วใช่ไหมครับ” ปกรณ์เริ่มเผยสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ “ผมเป็นต้นเหตุที่อาจทำให้ภูษิตมีอาการแย่ลง”

            “ไม่เลยครับ คุณอย่าคิดไปเองนะ” ชานนท์ลูบศีรษะ “คุณศรันย์เข้าใจ เขารู้ดีว่าไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เขายังพูดกับผมเลยว่าให้จับตาคุณให้ดี เพราะคุณอาจจะเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดมาก แต่ผมก็พลาด ปล่อยให้คุณต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้”

            ชานนท์นึกโทษตัวเอง เขาประมาทเกินไปและคิดว่าไม่ใส่ใจปกรณ์เท่าที่ควร บทเรียนในคืนนี้ทำให้ชานนท์ย้ำกับตัวว่า จะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

            “คุณชานนท์ไม่ผิดเลยนะครับ” ปกรณ์ออกแรงกอดแน่นขึ้นเพื่อยืนยันในคำพูด “เป็นคุณซะอีกที่ช่วยผม คุณทำให้ผมลังเล และพยายามหยุดยั้งความคิดบ้าๆ”

            “ยังไงครับ” ชานนท์เอ่ยถามไปตรงๆ

            “ตอนที่ภาพเหตุการณ์แย่ๆ มันวนเวียนอยู่ในหัว อยู่ๆ ผมก็คิดถึงคุณ คิดถึงรอยยิ้มของคุณ คิดถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เราได้อยู่ด้วยกัน มันทำให้ผมรู้ว่าคุณมีความสำคัญกับผมมากแค่ไหน แต่...” ปกรณ์หยุดพูดชั่วขณะแล้วแหงนหน้าสบตากับคนตรงหน้า “แต่ผมเองไม่มั่นใจเลยว่าสิ่งที่คุณทำผมจะเชื่อใจได้มากน้อยแค่ไหน”

            “แล้วตอนนี้คุณคิดว่ายังไงล่ะครับ” ชานนท์กระซิบถาม

            “ความรู้สึกของผมมันบอกว่า...” แววตาของปกรณ์ในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวัง... หวังว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง “...ผมจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อเรียนรู้เรื่องราวของความรักกับใครสักคน และคนคนนั้นก็คือ...”

            ปกรณ์หลบสายตาตาจากอีกฝ่ายก่อนจะซุกใบหน้าไปที่อ้อมอกด้วยความละมุน

            “คุณ”





จบตอน


ขอบคุณที่ติดตามครับ โปรดติดตามตอนต่อไป....



ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จิ้มไว้ก่อน

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เป็นการสารภาพรักที่น่ารักมากๆเลย

ออฟไลน์ That XN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราพึ่งมาอ่าน ชอบแนวนี้ หาอ่านยากมาก เพราะส่วนใหญ่แนวนี้ค่อนข้างดาร์ก หนักมาก ขอบคุณนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โห เป็นมาม่าที่หวานมาก
อะไรจะน่ารักขนาดนี้ ยิ่งอ่านยิ่งชอบ
หลงเสน่ห์ในความดีและความจริงใจของคุณชานนท์
ส่วนคุณปกรณ์ หวานได้อีก กรี๊ดค่ะกรี๊ดดกก

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ในความหนักหน่วงก็ยังแอบหวานนะตอนนี้
ผ่านไปให้ได้นะปกรณ์ แอบเอาใจช่วย

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
--- ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะครับ เทียบกะเรื่องอื่นๆ เม้นท์น้อยมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ---
--- ขอบคุณจากใจจริงครับ มีจุดไหนควรปรับปรุงแนะนำได้เด้อ ---


           


ตอนที่ 15

            การเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดครั้งแรกของปกรณ์จบลงด้วยความทรงจำหลายอย่าง มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่นั่นก็เป็นบทพิสูจน์ว่า... คนที่นั่งอยู่เคียงข้างของเขาในตอนนี้มีแต่ความปรารถนาดี และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

            ปกรณ์รู้สึกมีคุณค่าเมื่อได้รู้จักกับคนคนนี้... ไม่สิ ต้องบอกว่าทั้งปาณัฐและนรินทร์ก็ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าด้วยเช่นกัน แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อชานนท์นั้นต่างออกไป

            แต่ในความทรงจำดีๆ ก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อจิตใต้สึกนึกของภูษิตยังคงสั่งให้เชื่อว่าปกรณ์คือพ่อ แต่ยังโชคดีที่ภูษิตนั้นไม่ได้ผูกพันกับพ่อและแม่จนแยกจากกันไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้น ภูษิตแค่รู้สึกดีใจที่พ่อยอมร้องไห้ต่อหน้าเขา ยอมกอดเขา... แม้ว่าหลังจากนี้จะต้องแยกกันอยู่อีกครั้งก็ตาม

            ความเหน็ดเหนื่อยส่งผลให้ชานนท์เผลอหลับตลอดทาง ปกรณ์ที่ยังคงตาสว่างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับสนิทจึงค่อยๆ ยกแขนขึ้นไปโอบอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังแล้วให้ศีรษะของร่างนั้นซบลงมาที่อกของตัวเอง

            ปกรณ์อยากตอบแทนที่ชานนท์คอยดูแลเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีเขาก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ชีวิตจะมืดสนิทสักแค่ไหน

            สำหรับปกรณ์นั้น... เขาไม่เคยสัมผัสว่ารักเป็นแบบไหนต้องรู้สึกอย่างไร จึงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่เขาจะใช้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นตัวตัดสินโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศไหน หน้าตาอย่างไร ฐานะการเงินดีหรือไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ

            สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับปกรณ์ก็คือ ‘การกระทำ’ และ ‘ความจริงใจ’ ซึ่งชานนท์เป็นคนแรกที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นั่นคือ ‘ความรัก’

            “อ้าว... ผมอยู่ท่านี้ได้ไงครับเนี่ย” น้ำเสียงของชานนท์งัวเงีย เขารีบผละร่างออกเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะปวดเมื่อย

            “ผมเต็มใจให้คุณนอนท่านี้เอง” ปกรณ์ออกแรงกระชับแขนให้อีกฝ่ายมานอนอยู่ในท่าเดิม เขาเริ่มมีท่าทีแข็งข้อ กล้าต่อล้อต่อเถียงกับชานนท์ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณดีสำหรับคนที่ไม่เคยเปิดใจให้ใคร

            “คุณจะเมื่อยเอานะ” ชานนท์เถียง

            “ไม่หรอกครับ ผมอยากทำอะไรเพื่อคุณบ้าง” ปกรณ์เถียงกลับ “นอนต่อเถอะครับ”

            ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่น เขาแหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับคนคนนี้กันแน่

            “คุณดูแปลกไปนะครับ กำลังเครียดหรือเปล่าครับ”

            “บ้าน่าคุณนักจิตวิทยา” ปกรณ์หลุดขำ ในหัวของคนคนนี้เอาแต่กังวลและห่วงใยเขาตลอดเวลาเลยหรือเนี่ย “ผมไม่ได้เครียด แต่ผมกำลังมีความสุขต่างหาก”

            “จริงเหรอครับ”

            “อื้ม” ปกรณ์พยักหน้า “เวลาคิดถึงเรื่องของคุณทีไร มันทำให้ผมยิ้มได้ทุกที ไม่รู้สิครับผมแค่อยากตอบแทนคุณบ้าง”

            “ขอบคุณนะครับ” ชานนท์ยิ้มร่ากับสิ่งที่ได้ฟังแต่ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะเอาร่างออกมาแล้วยกแขนของปกรณ์ออก “แต่ผมนอนท่านี้ไม่ได้ ผมปวดคอครับ”
           
             ถึงกระนั้น ชานนท์ก็ไม่ปล่อยให้ปกรณ์ผิดหวังและเสียใจจนคิดมากไปเอง เขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายยกแขนขึ้นโอบคอของอีกฝ่าย แล้วให้อีกฝ่ายซบอิงลงมา
         
            “ผมชอบอยู่ท่านี้มากกว่า” ชานนท์พูดเสียงเบา ก่อนที่จะโน้มริมฝีปากลงไปใกล้ๆ แล้วเบาเสียงลงไปอีก “ผมชอบเป็นฝ่ายกอดคุณ”

            ริมฝีปากของปกรณ์ค่อยๆ ขยับรอยยิ้มออกมา คำพูดคำจาของชานนท์ทำให้เขารู้สึกขัดเขิน แต่ก่อนที่ขานนท์จะสังเกตเห็น ปกรณ์เลือกที่จะทำตัวนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาอะไรออกไปแล้วนั่งอยู่ในท่านั้นไปตลอดทางตามที่อีกฝ่ายต้องการ

          “คุณชานนท์ครับ” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบาหลังจากที่นั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน

            “ครับ”

            “ทำไมคุณถึงมาเป็นนักจิตวิทยาครับ” อยู่ๆ ปกรณ์ก็นึกสงสัย “ผมว่ามันเหนื่อยนะครับที่ต้องคอยรักษากับคนที่มีอาการแบบผม”

            “ความจริงผมอยากเป็นจิตแพทย์นะครับ แต่ผมสอบไม่ติด ก็เลยเลือกเรียนทางด้านจิตวิทยาแทนครับ” ชานนท์ตอบออกมา “คือครอบครัวของผมเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอกครับ พ่อกับแม่มีปากเสียงกัน จนต้องแยกกันอยู่และผมเองก็อยู่กับแม่”

            ปกรณ์รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่อบอุ่นจะมีพื้นเพหลังที่บ้านแตกเช่นเดียวกับตัวเอง

            “แม่ชอบแอบไปนั่งร้องไห้ที่หน้าบ้านคนเดียวในเวลากลางคืน ตอนแรกผมก็ไม่รู้นะครับ แม่ผมเหมือนคนเข้มแข็ง อยู่ต่อหน้าผมหรือใครก็ตามแม่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาเลย คืนแรกที่ผมเห็นแม่แอบร้องไห้ผมเองไม่เข้าใจว่าทำไม เลยลองสังเกตเรื่อยๆ จนเห็นว่าแม่มักจะออกไปแอบร้องไห้ในเวลาเดิมทุกคืน
ผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าแม่เป็นอะไร ไม่กล้าเข้าไปถามตรงๆ ด้วย เลยพยายามลองศึกษาเรื่อยมาจึงพบว่าแม่เป็นโรคซึมเศร้า พอรู้แบบนั้นผมก็เลยอยากทำงานทางด้านนี้เพื่อไปรักษาแม่น่ะครับ”

            สิ้นเสียง... ชานนท์ก็เงียบไปสักพัก เขาพยายามซ่อนความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้าค่าตาก่อนที่จะเล่าต่อ

            “แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้รักษา แม่ผมเสียไปปีสุดท้ายก่อนที่ผมจะเรียนจบ ผมมารู้ทีหลังจากญาติๆ ว่าอาการของแม่หนักขึ้นหลังจากที่ผมย้ายเข้าไปเรียนในกรุงเทพ แม่เอาแต่ดื่มเหล้าทุกวัน ดื่มเหมือนคนขาดสติ แต่แม่ก็ห้ามไม่ให้ญาติๆ บอกผม เวลาปิดเทอมกลับบ้าน แม่ก็ดื่มนะ แต่พยายามดื่มให้น้อยที่สุดจนผมไม่ได้เอะใจ ผลสุดท้ายพิษเหล้าก็ทำให้แม่ของผมล้มป่วยและจากผมไป ผมเลยตั้งใจกับตัวเองว่าจะรักษาผู้ป่วยทุกคนด้วยให้หายดี อยากให้พวกเขารู้ว่ายังมีคนข้างหลังที่รอพวกเขาอยู่ไม่ว่าพวกเขาจะเคยผ่านกับเหตุการณ์อะไรมาก็ตาม”

            “คุณชานนท์” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบา ชีวิตของชานนท์เองก็ใช่ว่าจะสวยหรู คนคนนี้ก็เคยผ่านเรื่องที่น่าเศร้าแต่เขาก็ยังสามารถผ่านความเจ็บปวดนั้นมาได้ และยังใช้ความอ่อนโยนที่มีเพื่อที่จะรักษาคนอื่นๆ ต่อไป

            “เพราะฉะนั้นคุณต้องสัญญากับผมนะครับว่าจะต้องรักษาจนหายดี”

            “ผมสัญญา” ปกรณ์พยักหน้าทันที เขาจะต้องไม่ทำให้คนที่แสนดีคนนี้ต้องผิดหวัง

            ชานนท์ยิ้มออกมา ความรู้สึกหลายอย่างมันปนเปกันไปหมด ดีใจ ภูมิใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้เช่นกันว่าปกรณ์จะต้องทุกข์ทรมานสักแค่ไหนระหว่างการรักษา
           
             มันคงจะเจ็บปวด เมื่อคนที่ปกรณ์คิดมาเสมอว่ามีตัวตนอยู่บนโลกนี้ คนที่คอยรับฟังความสำเร็จ คอยชื่นชมและแสดงความยินดีนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงภาพมายา ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกมีคุณค่าก็เท่านั้น

            ‘อีกไม่นาน เราคงจะต้องเปิดศึกแย่งชิงตัวคุณปกรณ์กันแล้วสินะ ผมไม่ยอมเสียไปให้พวกคุณหรอก คุณปาณัฐ! คุณนรินทร์!’










 
          วันถัดมา... ชานนท์ยังมีเวลาเหลือสำหรับวันหยุดอีกหนึ่งวัน ในทีแรกปกรณ์ตั้งใจว่าจะนัดให้ปาณัฐมาหา ทว่ากลับได้รับการปฏิเสธเพราะอีกฝ่ายติดธุระ ทั้งคู่จึงเปลี่ยนแผนไปเยี่ยมภูษิตที่บ้าน

            ตอนที่โทรหาน้องปาณัฐ ชานนท์สั่งเกตเห็นปกรณ์กดเบอร์โทรศัพท์แค่ไม่กี่ตัวซึ่งมันไม่น่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่มีอยู่จริง แต่ปกรณ์ไม่รู้ตัวและยังสนทนากับอีกฝ่ายอย่างฉะฉาน ...มันยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบาย เขาจึงทำได้เพียงนั่งเงียบๆ รอให้เป็นหน้าที่ของหมอเกื้อที่จะทำการรักษาปกรณ์

            บ้านของภูษิตเป็นหมู่บ้านจัดสรรอยู่แถวชานเมือง รั้วบ้านมีขนาดใหญ่ ภายในรั้วมีสนามหญ้ากว้างขวางและดูเหมือนว่าตัวบ้านจะถูกต่อเติมให้มีกว้างขวางขึ้นเพราะบ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นๆ ทั้งๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน

            “เชิญเข้าบ้านครับ” ศรันย์เดินออกมารับ เข้ามีอายุ 21 ปี เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายและได้มาอาศัยอยู่ที่นี่เพราะต้องดูแลภูษิตอย่างใกล้ชิด

            “แล้วนี่มีใครอยู่บ้างครับ” ชานนท์เอ่ยถามขณะเดินเข้าไปในตัวบ้าน

            “ตอนนี้มีแค่ผมกับภูษิตครับ ส่วนคุณลุงคุณป้าออกไปทำธุระข้างนอก” ศรันย์ตอบออกมา แม่ของศรันย์มีบรรดาศักดิ์เป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่ภูษิต
         
            “อ่อ... ครับ แล้วพวกท่านจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ” ชานนท์ถามต่อ

            “ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ แต่ปกติกว่าจะกลับก็ดึกๆ นู่นเลย”

            “อย่างนี้ถ้าไม่มีคุณศรันย์อยู่ด้วย ภูษิตก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวใช่ไหมครับ” ปกรณ์เอ่ยถามขึ้นบ้าง

            “ใช่ครับ เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ภูษิตก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวตลอด ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ตอนที่เข้ามหาลัยน่ะครับ”

            ปกรณ์สังเกตภายในบ้าน... บ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่โต มีเฟอร์นิเจอร์มากมายแต่มันกลับดูเงียบเหงา ราวกับว่าข้าวของเครื่องใช้ถูกตั้งประดับไว้เฉยๆ เท่านั้น
           
          ศรันย์เดินนำไปยังห้องนั่งเล่นก่อนที่จะบอกให้แขกรออยู่ตรงนั้น ส่วนตัวเขาจะขึ้นไปตามภูษิตที่อยู่บนห้องนอนลงมา

            ไม่นานมากนัก ศรันย์ก็เดินกลับมาหาข้างๆ กายนั้นมีเด็กหนุ่มร่างผอมบางเดินตามมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

            “สวัสดีครับ” เป็นชานนท์ที่เอ่ยทักทายก่อน

            “สวัสดีนะครับ” ปกรณ์จึงเอ่ยตาม

            เด็กหนุ่มร่างบางเงยหน้ามองแขกอย่างช้าๆ พอเห็นหน้าของคนทั้งคู่ชัดๆ ริมฝีปากก็เริ่มขยับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม

            “พ่อ” เขายังคงเรียกปกรณ์ว่าพ่อ

            “เล่นตามบทบาทไปเลยครับ ไม่ต้องกังวล” ชานนท์กระซิบ

            “มา... มานั่งกับพ่อสิครับ” ปกรณ์เอ่ยออกมาด้วยความขัดเขิน คำว่า ‘พ่อ’ ต้องมีบทบาทและหน้าที่อย่างไรปกรณ์ไม่มั่นใจ เพราะเขาเองก็แทบไม่เคยได้เรียนรู้บทบาทเหล่านี้จากพ่อแท้ๆ ของตัวเองเลย

            “คะ... ครับ” ภูษิตก้าวขาด้วยความเชื่องช้า อาจเพราะรู้สึกประหม่าที่พ่อชวนไปนั่งด้วย

            ภูษิตหยุดเคลื่อนไหวเมื่อเดินไปถึงจุดที่ปกรณ์นั่งอยู่ เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบสายตาอีกครั้งเหมือนไม่มั่นใจว่าตัวเองสมควรจะนั่งตรงนี้ไหม

            ปกรณ์เห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นไปคว้าร่างของเด็กหนุ่มมานั่งใกล้ๆ กันอย่างทะนุถนอม

            “น้องภูกินอะไรรึยังครับ หิวไหมครับ”

            “ยังครับ”

            “จริงด้วย... จะเที่ยงแล้วเดี๋ยวผมไปทำอาหารให้นะครับ ฝากดูแลภูษิตด้วยนะครับ”

            “ครับ” ปกรณ์พยักหน้า ถ้าชานนท์ยังนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเขาก็สบายใจ แต่ทว่า...

            “เดี๋ยวผมไปช่วยนะครับ” ชานนท์กลับเอ่ยออกมาแบบนั้น

            “เดี๋ยวสิครับ” ปกรณ์รีบคว้าแขนของคนที่นั่งข้างๆ กันเอาไว้ทันที “ถ้าเกิดผมทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะครับ”

            “ผมเชื่อนะครับ” ชานนท์หันไปยิ้มให้คนที่กำลังมีสีหน้ากังวง “...ว่าคุณจะต้องเป็นพ่อที่ดีให้น้องภูษิตได้แน่”

            “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณชานนท์ คุณอยู่เป็นเพื่อนคุณปกรณ์ตรงนี้ก็ได้ครับ” ศรันย์ที่เห็นท่าทางของปกรณ์อึกอักเอ่ยขึ้นบ้าง

            “ผมอยากคุยกับพ่อตามลำพัง” แต่ในท้ายที่สุด ประโยคที่เปล่งออกมาจากปากของภูษิตก็เป็นข้อสรุปว่าควรจะทำอย่างไร

            ชานนท์ตามเข้าไปช่วยศรันย์ทำอาหารมือเที่ยง ส่วนปกรณ์อยู่ในห้องนั่งเล่นกับภูษิตตามลำพัง

            หัวใจของปกรณ์เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เขารู้สึกวิตกจริตเกรงว่าจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควรแล้วทำให้ภูษิตมีอาการแย่ลง

            “ทำไมพ่อ... ต้องยอมแม่ด้วยครับ” ภูษิตเอ่ยขึ้นหลังจากที่ศรันย์และชานนท์เดินลับสายตาไป ส่วนปกรณ์นั้นไม่เข้าใจในคำถามสักนิดว่าภูษิตกำลังสื่อถึงเรื่องอะไรกันแน่

            “ยอม?” ปกรณ์ทวนคำงงๆ ก่อนที่จะพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ยอมเรื่องอะไรว้า”

            “ทุกเรื่องครับ” ภูษิตตอบออกมา ปกรณ์สะดุ้งเบาๆ เพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะได้ยิน “ยอมให้แม่ด่า ยอมเป็นเบี้ยล่างของแม่ ยอมทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ยอมให้แม่มีผู้ชายอื่น ยอมแม้กระทั่งให้ผู้ชายคนนั้นทำร้ายพ่อ”

            น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของภูษิตมันดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขากำลังอัดอั้นเมื่อคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้น

            “พ่อยอมเสียศักดิ์ศรีทำไม พ่ออดทนทำไม พ่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง ผมไม่เข้าใจ”

            ปกรณ์นั่งนิ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้ พ่อกับแม่ของภูษิตมีปัญหาอะไร แต่จากที่ได้ฟังดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ภูษิตเท่านั้นที่อัดอั้น พ่อของเขาก็เหมือนจะอดทนเก็บความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้เหมือนกัน

            “เพราะพ่อรักลูกไง” ปกรณ์ตัดสินใจตอบออกไป การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะอดทนกับอะไรได้นั้น แสดงว่าเขาต้องมีคนเบื้องหลังที่รักและอยากปกป้องจึงต้องยอมทนไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ตาม

            “ทำไม... ทำไมกัน ผมไม่เข้าใจ พ่อไม่เห็นจำเป็นต้องอดทน” น้ำเสียงของภูษิตสั่นไหว “ผมอยากหนีไปไกลๆ ผมเกลียดบ้านหลังนี้ ผมอยากไปอยู่กับกับพี่ศรันย์แค่นั้น”

            สิ้นเสียง... ภูษิตก็มีอาการแปลกไป ร่างบางค่อยๆ สั่นไหว ปลายนิ้วมือเกร็งจนน่าตกใจ แล้วอยู่ๆ ใบหน้าก็เชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเหลือกค้างและท้ายที่สุดก็ลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น

            ปกรณ์ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขารีบโน้มตัวลงไปดูภูษิตก่อนที่จะประคองร่างนั้นขึ้นมา ระหว่างนั้นเองภูษิตก็ค่อยๆ อ้าปากกว้างเหมือนคนกำลังกรามค้าง ปกรณ์ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลิ้นที่แลบออกมาทำให้เขากังวลว่าภูษิตจะเผลอกัดลิ้นตัวเอง ดังนั้นจึงตัดสินใจรีบใช้ศอกสอดเข้าไปในปากของภูษิต
            ทันใดนั้น ภูษิตก็งับปากลงมาสุดแรง เป็นอย่างที่ปกรณ์คิด...

            แรงกัดของภูษิตมีพลังมหาศาล ปกรณ์รู้สึกแสบสะท้านไปทั่วร่างแต่เขาก็ต้องอดทนเอาไว้

            “โอ๊ย...” ปกรณ์พยายามระบายความจำปวดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเพราะกลัวว่าชานนท์จะตกใจ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เขาจึงต้องระบายความเจ็บปวดด้วยเสียงอันดังก้องอยู่ดี “โอ๊ยยยยยย!!!!!”

            ชานนท์รีบวิ่งออกมาจากห้องครัวทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น และเขาก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น โชคดีที่มือของเขาถือช้อนออกมาด้วย ชานนท์จึงรีบเอาช้อนในมือสอดเข้าไปในปากแล้วสั่งให้ปกรณ์ชักศอกออกมา

            “คุณเป็นยังไงบ้างครับ” รอยกัดของของภูษิตปรากฏชัดเจน มันเป็นรอยลึกกะด้วยสายตาก็รู้เลยว่าคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าที่รอยนี้จะหาย

            “ผมไม่ไหวแล้วครับ ผมคงเป็นพ่ออีกต่อไปไม่ได้” ปกรณ์บ่นออกมา “ผมไม่ได้โกรธภูษิตนะครับ แต่ผมเองก็มีปัญหาของตัวเอง จะให้ผมมาดูแลเด็กคนนี้ในสภาพแบบนี้ผมก็แย่เหมือนกัน”

            น้ำเสียงของปกรณ์เริ่มไม่สบอารมณ์ ชานนท์รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่โทษใคร

            “ผมขอโทษที่ไม่ได้อยู่กับคุณ ผมขอโทษนะครับ” ชานนท์รู้ดีว่าปกรณ์ต้องโกรธเขาเพราะเรื่องนี้แน่ๆ ถ้าเขาอยู่ดีตั้งแต่ทีแรก... บางทีเรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น

            “...”

            เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์เมินใส่ เขารู้ว่าถ้าหากพูดอะไรออกไป และฝ่ายนั้นตอบกลับมาอีกเขาอาจจะควบคุมสติตัวเองไม่ไหวและอาจระเบิดอารมณ์ออกมา

            ระหว่างนั้นเอง... อาการของภูษิตก็ค่อยๆ สงบลงเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ศรันย์เดินออกมาจากห้องครัวพอดี

            “เกิดอะไรขึ้นครับ” เขายุ่งอยู่กับการทอดปลาเลยไม่สามารถวิ่งออกมาได้ในทีแรก

            “เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังทีหลังนะครับ” ปกรณ์ตอบออกมา “ตอนนี้ห่วงภูษิตกันก่อนดีกว่า”

            “ภูษิตเป็นอะไร” อยู่ๆ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทุกคนที่กำลังชุลมุนอยู่กับภูษิตต่างหันกลับไปดูพร้อมกัน

            “คุณลุง” ศรันย์เรียกคนคนนั้น

            “ภูษิตเป็นอะไร” ชายวัยกลางคนผู้ใหม่ถามย้ำอีกครั้ง เขามีรูปร่างสมส่วนหากพิจารณาจากใบหน้าน่าจะอายุ 40 กลางๆ

            “น้องชักครับ” ปกรณ์อธิบาย

            แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกันต่อเสียงที่ดังขึ้นจากคนที่เพิ่งหมดสติได้เรียกให้ทุกคนหันกลับไปสนใจ

            “พ่อ...” ชายวัยกลางคนรีบวิ่งเข้าไปดูอาการทันที เขาทำท่าว่าจะโอบลูกชายเอาไว้แต่กลับโดนลูกชายปฏิเสธและถูกมองด้วยสายตาที่หวาดระแวง

            “พ่อครับ” ภูษิตเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเขยิบเข้าไปหากับปกรณ์

            เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความประหลาดใจให้กับพ่อที่แท้จริง คิ้วของเขาขมวดมุ่นก่อนจะหันหน้าไปจ้องกับผู้ทีถูกเรียกว่าพ่อด้วยสายตาขุ่นเคือง

            “ทำไมภูษิตถึงเรียกเขาคนนี้ว่าพ่อ!”

















           
          บนรถแท็กซี่... ปกรณ์นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดทาง ไม่ว่าชานนท์จะคุยอะไรเขาก็เอาแต่เงียบท่าเดียว

            หลังจากที่พ่อของภูษิตเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ ความอดทนของปกรณ์จึงขาดผึง ใช่ว่าเขาอยากให้เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เขาไม่อยากที่จะอธิบายอะไรออกไปเพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน ท้ายที่สุดปกรณ์จึงตัดสินใจวิ่งหนีออกจากบ้าน ชานนท์เห็นดังนั้นเขาจึงรีบพูดขอโทษกับเจ้าของบ้านก่อนที่จะวิ่งตามปกรณ์ออกไปในทันที

            “คุณ” ชานนท์เรียกอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง “คุณโอเคไหม”

            ชานนท์เลื่อนสายตามองดูรอยเขี้ยวแล้วอดนึกโทษตัวเองไม่ได้ที่ไม่ยอมนั่งอยู่เป็นเพื่อน อยากทำแผลให้ก็ไม่มีอุปกรณ์

            “เอ๊ะพี่ครับ...” ชานนท์หันไปคุยกับคนขับรถ “ข้างหน้ามีป้ายร้านขายา พี่ช่วยจอดแวะให้แป๊บนึงด้วยนะครับ”

            “ได้ครับ” แท็กซี่ตอบออกมา ส่วนปกรณ์ยังคงไม่พูดไม่จา

            พอถึงร้านขายยา ชานนท์ก็รีบลงไปซื้อของที่ต้องการทันที ใช้เวลาไม่กี่นาทีเขาก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับถุงอะไรบางอย่างแล้วเปิดประตูกลับขึ้นมาในรถ

            “ผมนึกว่าคุณจะทิ้งผมไว้นี่แล้วนะครับเนี่ย” ชานนท์เอ่ยออกมาพลางขยับยิ้มให้กับความคิดไม่เข้าท่าของตัวเอง

            “ก็คิดว่าจะบอกให้พี่คนขับขับออกไปแล้วแหละ” ปกรณ์เริ่มโต้ตอบ เขาวางมาดทำเสียงขรึม “แต่ผมรู้ว่าคุณจะไปซื้ออะไรก็เลยอยู่รอ”

            สิ้นเสียงปกรณ์ก็ยืนแขนข้างที่โดนกัดเข้าไปหา ชานนนท์รีบนำอุปกรณ์ในถุงออกมาแล้วเริ่มทำแผลให้ด้วยความระมัดระวัง

            สีหน้าของปกรณ์เหยเกตอนที่โดนแอลกอฮอล์ล้างแผล เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนแต่ก็ต้องข่มความเจ็บปวดเอาไว้เพราะไม่อยากให้คนอื่นๆ หัวเราะ

            “ระวังเลอะนะครับ” คนขับแท็กซี่หันมาพูดเมื่อเห็นว่าผู้โดยสารกำลังทำอะไร

            “ครับ” ชานนท์ตอบ เข้าไม่อธิบายอะไรมากและตั้งใจทำแผลให้กับคนข้างๆ ต่อไป

            เมื่อเช็ดแอลกอฮอล์ออกจนแห้งสนิท ขั้นตอนสุดท้าย ชานนท์ก็หยิบผ้าก็อซในถุงขึ้นมาพันแผลด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากว่าเขาทำงานภายในโรงพยาบาลมานาน แม้จะไม่ใช่หมอหรือพยาบาลโดยตรงแต่เขาก็คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี

            “ขอบคุณนะครับ” ปกรณ์เอ่ยขึ้น เขาใจเย็นลงแล้ว ยิ่งพอเห็นท่าทีที่ห่วงใยตลอดทางของคนที่นั่งด้วยกันข้างๆ มันยิ่งทำให้เขานึกโทษตัวเองที่เผลอทำตัวงี่เง่า

            “ผมสิต้องขอโทษที่ปล่อยให้คุณอยู่กับน้องตามลำพัง” ชานนท์เถียง

            “เรื่องนั้นชั่งมันเถอะครับ” ปกรณ์ไม่ถือสาอะไรแล้ว “แต่ภูษิตพูดอะไรแปลกๆ ออกมา เขาพูดเหมือนกับว่าพ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน พ่อต้องทนอยู่ในบ้าน ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของแม่ แล้วแม่ก็มีคนใหม่ พ่อก็รู้แต่ก็ไม่ว่าอะไร”

            “แต่คุณพ่อกับคุณแม่ของภูษิตดูรักกันมากเลยนะครับ” ชานนท์ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย “เวลาไปโรงพยาบาล พวกเขาดูรักกันมากๆ”

            “ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าความจริงเป็นยังไง แต่ภูษิตพูดกับผมประมาณนี้”     

            “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อาการของภูษิตแย่ลง เอาไว้จะปรึกษากับหมออีกทีนะครับ และคงต้องเก็บข้อมูลให้ได้มากกว่านี้”

            “แต่ถ้าให้ผมไปเป็นพ่อ ผมไม่เอาอีกแล้วนะครับ” ปกรณ์รีบเอ่ยอย่างร้อนตัว

            “สบายใจได้เลยครับ ผมจะไม่บังคับคุณอีกแล้วครับ” ชานนท์ก้มหน้าอย่างสำนึก แค่นี้เขาก็สำนึกผิดไม่ทันแล้วไม่ต้องย้ำเรื่องนี้อีกได้ไหม

            “ไม่เอาน่าอย่าทำหน้าจ๋อยแบบนี้สิครับ” ปกรณ์แอบขยับมือข้างที่อยู่ใกล้ๆ ไปกุมกับมือของอีกฝ่ายเบาๆ

            ชานนท์เลื่อนสายตาลงต่ำมองมือนั่นก่อนจะยิ้มออกมา

            “คุณคงต้องเจ็บมากแน่ๆ”

            “เจ็บแค่นี้ไม่เท่าไหร่ครับ ไกลหัวใจเดี๋ยวก็หาย” ปกรณ์ตอบตามที่คิด แผลทางกายต่อให้เจ็บแค่ไหนก็มีวันหาย อย่างเลวร้ายที่สุดก็อาจจะกลายเป็นแผลเป็นเท่านั้น แต่แผลที่เกิดขึ้นในจิตใจนี่สิ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหายสักที เทียบกับเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ นานาที่เคยเกิดขึ้น เรื่องแค่นี้ถือว่าเบามากสำหรับปกรณ์

            ปกรณ์นั่งกุมมือชานนท์ตลอดทาง แม้จะอยากมองใบหน้าของอีกฝ่ายตลอดเวลาแต่ก็ต้องอดทนเอาไว้เพราะกลัวจะห้ามความรู้สึกขัดเขินไม่ไหว เขาจึงต้องแสร้งหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างตลอดเวลาแล้วแอบยิ้มคนเดียว

            การที่ได้กุมมือใครสักคนเอาไว้ตลอดทางมันทำให้คนที่โดดเดี่ยวมาตลอดชีวิตรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ถ้าเลือกได้ปกรณ์ไม่อยากจะปล่อยให้มือคู่นั้นของชานนท์ให้หลุดออกไปแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวด้วยซ้ำ แต่ความเป็นจริง... เมื่อถึงปลายทาง ต่อให้มือที่เคยจับกันเอาไว้นั้นแน่นแค่ไหน มันก็ต้องแยกออกจากกันอยู่ดี

            ปกรณ์เปิดประตูรถแล้วออกจากรถทันทีเมื่อรถหยุดสนิท ส่วนชานนท์เป็นผู้จ่ายค่าโดยสาร เอาไว้ปกรณ์จะเป็นฝ่ายเลี้ยงอาหารตอบแทนทีหลัง

            ระหว่างที่ชานนท์กำลังจะก้าวขาออกรถนั้น... มือที่คุ้นเคยของใครบางคนก็ได้ยื่นมาหยุดอยู่ตรงหน้า ชานนท์ยิ้มออกมากับสิ่งที่เห็นก่อนจะเอื้อมมือไปจับมันเอาไว้อย่างแนบแน่นแล้วออกจากรถไป

            “พวกน้องนี่น่ารักกันจังเลยเนอะ ทำแผลให้กัน จับมือกัน ดูห่วงใยกันดีจังเลย ผู้ชายสมัยนี้เขาดูแลกันแบบนี้ใช่ไหมครับ เสียดายเพื่อนพี่ไม่มีแบบนี้สักคน” เป็นเสียงของคนขับแท็กซี่ที่เอ่ยออกมา เขาสังเกตมาตลอดทางก็รู้สึกมาตลอดว่าผู้โดยสารคู่นี้ดูเป็นห่วงเป็นใยกันเหลือเกิน จนเขาเองอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้

            ปกรณ์และชานนท์ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงหันไปยิ้มให้อย่างเขินๆ ก่อนที่แท็กซี่จะจากไป

            เรื่องราวทั้งหมดเหมือนจะดีขึ้น แต่ไม่ทันไร... ความสุขของปกรณ์ก็จบลงเมื่อมองเข้าไปในบ้านแล้วมองเห็นร่างของแขกผู้มาเยือน

            “พ่อ” น้ำเสียงของปกรณ์สั่นไหว ความสุขจากดวงตาหายไป มือที่กุมกับชานนท์เอาไว้รีบสะบัดออกด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะถูกสังเกตเห็น

            พ่อมาที่นี่ทำไม... คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวสมอง พ่อไม่เคยมาที่นี่แม้แต่ครั้งเดียวด้วยซ้ำตั้งแต่ที่ย้ายออกไป โทรศัพท์ก็แทบไม่เคยโทรหา แล้วอยู่ๆ วันนี้ทำไมถึงโผล่มา หรือว่าเขาเผลอไปทำความผิดอะไรเอาไว้พ่อถึงต้องตามมาเอาเรื่อง

            คิดดังนั้นความหวาดกลัวก็เริ่มเข้าครอบคลุมจิตใจ หัวใจสั่นไหวจนผิดปกติ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาจนชุ่มใบหน้าทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้สึกร้อนเลยสักนิด

            ความกังวลส่งผลให้ปกรณ์ไม่กล้าที่จะก้าวขาเข้าไป เขายืนนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหนหากแต่ร่างกายยังคงสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว

            ชานนท์เห็นท่าไม่ดีจึงประคองร่างของปกรณ์เอาไว้ด้วยความห่วงใยก่อนที่จะตัดสินใจพาร่างนั้นเดินเข้าไปในบ้านแล้วเผชิญหน้ากับบุคคลที่เขาเรียกว่า ‘พ่อ’






จบตอน

อูยยย.... จะเผชิญหน้ากับพ่อแล้ว  :fire:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :katai1:ลุ้นนน คืออาการปกรณ์ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นมากเลย จะมาเจอกับพ่อซึ่งเหมือนเป็นสาเหตุอีก แต่ก็ยังดีที่คราวนี้เจอพร้อมกะชานนท์ แล้วชานนท์จะได้รู้ด้วยว่าทำไมปกรณ์ถึงเป็นแบบนี้ อาจจะดีกะการรักษาก็ได้  :katai4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
รำคาญพ่อ หลงแต่เมีย ห่วงแต่ชื่อเสียงที่ไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลูกคนนึงก็ไม่สนใจ  :fire:

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ชานนท์งัดกับพ่อปกรณ์เลยยยยยย :angry2:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอค่ะ ตื่นเต้นมาก มาเจอกับพ่อแล้วจะเป็นไงต่อ

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ติดตามนะคะะ ลุ้นว่าปกรณ์จะหายได้ยังไง>< เราว่าคนที่มีปัญหาทางจิตใจดูแล้วต่อให้รักษาได้ก็ต้องมีคนที่คอยเข้าใจอยู่ด้วยอ่ะ แบบเหมือนวันดีคืนดีอาการจะกลับมาได้ตลอดเลยถ้าเริ่มคิดมากหรือมีอะไรมากระตุ้น จะว่าอ่านแล้วก็อึดอัดกับความคิดปกรณ์ดี555+ รอตอนต่อไปนะคะ^^

ปล.การปฐมพยาบาลคนชักเราไม่เอาช้อนเข้าปากนะคะ^^ พอดีชานน์เปนบุคลากรการแพทย์ด้วยเดี๋ยวมันจะดูไม่สมจริงน้า

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เวลามีชานนท์อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจแทนปกรณ์นะ
ตอนหน้าเจอหน้ากับพ่อของปกรณ์แล้ว
พ่อจะมาคุยไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าเรื่องไม่ให้รักษา หึหึ 

รอตอนหน้าครับ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
     ตอนที่ 16


            เสียงของประตูรั้วทำให้แขกที่เฝ้ารออยู่ในบ้านรับรู้ได้ทันทีว่าคนที่พวกเขากำลังรอคอยได้กลับมาแล้ว

            ประสิทธิ์ลุกจากที่นั่งแล้วเดินออกไปต้นรับทันที ลูกชายของเขานั้นมีสีหน้าที่วิตกจริตอย่างเห็นได้ชัด มันปนเปไปด้วยความเครียด ความหวาดกลัวจนเขาไม่แปลกใจเลยว่าหากเด็กคนนี้จะเข้าไปทำการรักษาที่แผนกจิตเวช

            แต่สิ่งที่ทำให้ประสิทธิ์ประหลาดใจนั่นก็คือมีใครอีกคนที่ประคองร่างของปกรณ์แล้วเดินเข้ามาด้วย แววตาและสีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นดูนิ่งสนิทจนเขาไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาไม่แสดงออกถึงความสงสัย สงสาร ราวกับว่ากำลังเก็บความคิดทุกอย่างเอาไว้ในจิตใจเท่านั้น

            “สวัสดีครับ” ปกรณ์ยกมือไหว้ทันทีเมื่อได้เผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อตรงๆ เสี้ยววินาทีถัดมาชานนท์ก็ยกมือไหว้ตาม

            “แกเป็นอะไร” ประสิทธิ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อก่อนลูกชายไม่เคยมีอาการแบบนี้ อย่างมากก็แค่หลบหน้าไม่พูดไม่จาก็เท่านั้น

            “ผม... ไม่ได้เป็นอะไรครับ” ปฏิเสธออกไปดื้อๆ ทั้งๆ ที่ร่างกายมันฟ้องอยู่ทนโท่

            หลังจากคืนนั้น... คืนที่ได้พบกับนรินทร์ แล้วนรินทร์ทำให้ปกรณ์จำเรื่องราวในอดีตในวันที่แม่ของเขาจับว่าพ่อมีชู้ได้คาเตียง ภาพเหล่านั้นก็ฉายซ้ำไปเรื่อยๆ จนทำให้เขารู้สึกทรมาน เจ็บปวด ทั้งขยะแขยงและหวาดกลัว อาการของเขาจึงหนักขึ้นเมื่อได้มาเผชิญหน้ากับคนเป็นพ่อตรงๆ อีกครั้ง

            “อย่ามาโกหก ก็เห็นอยู่ว่าแกไม่ปกติ” ประสิทธิ์เริ่มขึ้นเสียง

             “พอดีเรามีอุบัติเหตุนิดหน่อยนะครับ แล้วปกรณ์ก็ไม่สบายด้วย เดี๋ยวผมพาปกรณ์ขึ้นไปพักก่อนนะครับ” ชานนท์ที่เห็นท่าไม่ดีรีบแก้ตัวออกมา พลางชี้นิ้วตรงแขนของปกรณ์ที่มีผ้าก๊อซพันอยู่ให้เขาดู

           ประสิทธิ์มองตาม พอเห็นแบบนี้จึงไม่เอะใจอะไร แต่ทว่าเขามีเรื่องที่จะคุยกับลูกชายตามลำพัง เพราะฉะนั้น...

           “นายกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะดูเจ้าปกรณ์ต่อเอง”

           ชานนท์อึกอัก เขาไม่อยากไปที่นี่ อยากอยู่กับปกรณ์ตรงนี้เผื่อว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้น... พวกเขาก็เป็นพ่อลูกกัน เขาเป็นเพียงคนนอกจึงไม่ควรจะไปก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวโดยที่พวกเขาไม่ต้องการ แต่ถ้าปกรณ์บอกมาเพียงคำเดียวเท่านั้นว่าให้เขาอยู่... เขาก็จะอยู่

           “เดี๋ยวครับ” ปกรณ์ที่เห็นท่าทีอึกอักของชานนท์จึงพอจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดอะไร แต่ถึงกระนั้นปกรณ์ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเน่าเฟะของคนในครอบครัว “เดี๋ยวผมกลับมา ผมขอออกไปส่งชานนท์ก่อนนะครับ”

           “หึ... ก็ได้” ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปรอในห้องนั่งเล่น

            “คุณกลับไปเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งขึ้นรถหน้าปากซอย” ปกรณ์หันไปพูดกับชานนท์

             “ทำไมครับ ทำไมไม่ให้ผมอยู่ที่นี่ด้วย” ชานนท์ถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเขาอยากก้าวก่ายเรื่องครอบครัวหรอกนะ แต่เพราะอาการที่เกิดขึ้นมันแสดงให้เห็นว่าปกรณ์มีอาการผิดปกติไป ความสุขหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเจอหน้าพ่อ

             ปกรณ์มีได้ตอบในทันที แต่เขาเดินออกไปหน้ารั้วบ้านจนอีกฝ่ายที่ประคองร่างของเขาเอาไว้ต้องรีบเดินตามอย่างไม่สามารถขัดขืนได้

              “ผมยังไม่พร้อมให้คุณรับรู้เรื่องในครอบครัวของผม” ปกรณ์ตอบออกไปตรงๆ แม้จะรู้สึกสนิทใจกับชานนท์แล้วก็ตาม แต่เขาคงไม่สามารถเล่า
เรื่องแย่ๆ ในครอบครัวให้ใครฟังได้

              “ผมเข้าใจนะครับ แต่ผมเป็นห่วงอาการของคุณ” จุดประสงค์ที่ชานนท์อยากอยู่ที่นี่มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เรื่องอื่นไม่สำคัญสำหรับเขาสักนิด

            “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ” ปกรณ์ฝืนตอบออกไปทั้งๆ ที่ภายในจิตใจเขารู้ว่าเขาจะต้องเป็นอะไรขึ้นมาแน่ๆ “แต่ถ้าผมไม่โอเค ผมจะรีบโทรหาคุณนะครับ”

            “ก็ได้ครับ” ท้ายที่สุดชานนท์ก็ต้องยอม

            “ถึงพ่อผมจะไม่ดียังไง อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยทำร้ายผมสักครั้งนะครับ คุณเชื่อได้เลย” ปกรณ์พยายามฝืนยิ้ม มันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาภูมิใจสักนิด จริงอยู่ว่าไม่เคยถูกพ่อทำร้ายร่างกาย แต่นั่นก็เพราะพ่อเกลียดเขา ขยะแขยงที่เขาเกิดมาเป็นลูก พ่อคงสมเพชกับการกระทำของแม่เลยทำใจยอมรับลูกอย่างเขาไม่ได้ จึงทำให้พ่อไม่แม้แต่จะจับจ้องตัวเขาสักครั้ง

             หลังจากที่แม่เสีย... ฤทัยดีชู้รักใหม่ของพ่อก็ก้าวเข้ามาเป็นเมียคนใหม่และพ่วงตำแหน่งแม่เลี้ยงด้วย พ่อปล่อยให้ฤทัยดีดูแลเขาตั้งแต่นั้นเรื่อยมา แต่จะบอกว่าดูแลก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะการกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างฤทัยดีกับปกรณ์น่าจะเรียกว่าการกดขี่ข่มเหงมากกว่า ยิ่งพอหล่อนท้อง... ความน่ากลัวของหล่อนก็ยิ่งทวีคูณเป็นหลายร้อยเท่า

            “ให้ผมรออยู่ที่หน้าปากซอยก็ได้” ชานนท์ยังคงกังวลใจ ไม่อยากอยู่ห่างจากที่นี่

             “คุณอย่าทำให้ผมต้องเครียดสิครับ” ปกรณ์งัดไม่ตายออกมา พอได้ยินแบบนี้ชานนท์ก็ไม่กล้าเถียง การทำให้ผู้ป่วยที่มีสภาวะเครียดต้องกดดันไม่ใช่เรื่องที่ดี เขาจึงต้องยอมทำตามแม้ว่าใจอยากที่จะปฏิเสธก็ตาม

            “คุณอ่ะ... พูดแบบนี้ผมก็ไม่กล้าเถียงสิครับ” ชานนท์ทำเสียงอ่อย

            “ดีแล้วครับ เป็นนักจิตวิทยาก็อย่าดื้อกับคนป่วยมากนัก เข้าใจไหมครับ” ปกรณ์เอ่ยกลับราวกับคนที่กำลังถือไพ่เหนือกว่า ปกติมีแต่คนป่วยต้องเชื่อฟัง แต่ความความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาเลยทำให้กลายเป็นชานนท์ที่ใจอ่อนยอมปกรณ์เสียทุกเรื่อง และเพราะเหตุนี้นี่เอง จึงได้มีกฎห้ามให้คนป่วยทางจิตเวชเข้ารับการรักษากับ เพื่อน ญาติ คนรู้จักหรือคนรักเพราะมันจะทำให้การรักษาไม่ค่อยได้ผล

            “อะไรเนี่ย เมื่อก่อนคุณกลัวและเชื่อฟังผมนะ” ชานนท์แกล้งทำน้ำเสียงโวยวายขัดใจแต่ใบหน้าก็ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

            “แต่ตอนนี้คุณต้องเชื่อฟังผม” ชานนท์แย้งกลับเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแบบนี้นี่แหละ อ่อนโยนและใจดี พอสนิทกันเขาถึงได้กล้าต่อปากต่อความด้วย

            “ผมไม่อยากคิดเลยว่าในอนาคตผมจะเป็นยังไงเนี่ย” ชานนท์แกล้งทำสีหน้าครุ่นคิด “นี่ขนาดคุณยังไม่ยอมตกลงคบกับผม ยังทำให้ผมยอมได้ขนาดนี้”

            “คุณก็...” ชานนท์หลุดขำออกมาบ้าง เขาลืมนึกถึงความเครียดเรื่องพ่อไปชั่วขณะ “พูดเกินไปหน่อยแล้วมั้งครับ”

            “ก็จริงนี่ครับ” ชานนท์แกล้งทำปากขมุบขมิบเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้ดั่งใจ การกระทำนั่นยิ่งทำให้ปกรณ์ชอบใจเข้าไปใหญ่จนต้องหลุดหัวเราะออกมา

            “คุณทำท่าอะไรเนี่ย ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้”

            “ชอบไหมล่ะ” ชานนท์ยักคิ้ว

            “ไม่ต้องมาหลอกถาม” ปกรณ์เบือนหน้าหนี

            “เขินจนต้องหลบหน้าเลยเหรอครับ” ชานนท์กระเซ้าเย้าแหย่ต่อไป

            “...” ไม่มีเสียงตอบรับ

            “แค่ทำให้คุณหัวเราะได้ผมก็ดีใจแล้วครับ” น้ำเสียงของชานนท์เริ่มกลับเข้าสู่โหมดปกติเมื่อเห็นว่าเกินใกล้ถึงหน้าปากซอยแล้ว “แต่ถ้าคุณมีอะไรไม่สบายใจ คุณต้องรับปากกับผมก่อนนะว่าจะรีบโทรหาผมทันที”

            “ครับ” ปกรณ์หันหน้ากลับมา

            หลังจากที่ส่งชานนท์ขึ้นรถแท็กซี่ ปกรณ์ก็เดินกลับเข้าไปในซอยบ้านด้วยความรู้สึกที่วิตกจริต เขาคาดคิดไปต่างๆ นานาว่าพ่อมาหาเขาที่นี่มีธุระอะไรกันแน่ เขาเผลอไปทำความผิดอะไรเอาไว้จนพ่อต้องมาเอาเรื่อง และเขาจะโดนพ่อลงโทษอย่างไรบ้าง

            ความเครียดเริ่มเข้าครอบงำจิตใจอีกครั้งจนสีหน้าและแววตาแสดงออกมาอย่างชัดเจน

            ปกรณ์เปิดประตูรั้วด้วยความยากลำบาก ราวกับว่าสิ่งนี้เป็นหนทางสู่นรกอเวจี ที่ไม่มีใครหน้าไหนต้องการเดินไป แต่ก็ไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ เพราะกรรม... กำหนดมาให้เขาต้องเป็นแบบนั้น

            ร่างของชายวัยกลางคนยังคงนั่งนิ่ง เขากอดอกและมีสีหน้าที่เรียบเฉย การที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้นั้นยิ่งทำให้ปกรณ์วิตกมากขึ้นไปอีก

            “พ่อมาที่นี่มีธุระอะไรกับผมครับ”

            เป็นประโยคที่เค้นเสียงออกมาได้อย่างยากลำบาก ปกรณ์ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรจึงพูดออกไปแบบนั้น โดยที่ไม่คาดคิดเลยว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจ เพราะการที่ถามออกไปแบบนั้นนั่นเหมือนกับว่า ‘เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมายุ่งและก้าวก่ายที่บ้านหลังนี่’





 
          ประสิทธิ์จ้องมองร่างของลูกชายตาเขม็ง ร่างนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาตัวสั่นระริกดูอ่อนแอจนน่าสมเพช เขาเกลียดที่เห็นสภาพของลูกชายเป็นแบบนี้ ถึงจะไม่เคยคิดรัก แต่มันก็ลบล้างความจริงที่ว่าปกรณ์คือลูกชายที่กำเนิดจากสายเลือดของตนเองไม่ได้อยู่ดี

            “ทำไมฉันจะมาที่นี่ไม่ได้ ก็ที่นี่มันบ้านของฉัน”

            เพียงแค่ประโยคเดียวสั้นๆ ก็ทำเอาปกรณ์สะดุ้งโหยง ตัวสั่นระริก

            “ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” แต่ก็พยายามปฏิเสธออกไป “คือผมหมายความว่าผมไปทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ หรือพ่อมีอะไรจะคุยกับผมครับ”

            “มานั่งก่อนสิ” ประสิทธิ์บอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง

            ปกรณ์เดินเข้าไปบริเวณโซฟารับแขกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะนั่งลง... แต่เขานั่งลงกับพื้น ไม่ใช่โซฟา ปกรณ์เคยชินกับการนั่งตรงนี้ เพราะคิดว่าตนไม่มีสิทธิ์ที่จะนั่ง โซฟาและของใช้ในบ้านนอกจากภายในห้องนอน เป็นสิทธิ์ของพ่อ แม่เลี้ยงและน้องชายเท่านั้น

            “หึ... ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” ประสิทธิ์พ่นลมหายใจออกมาและเหลือบตามองลูกชายตัวเองด้วยความสมเพช เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้ อยู่ๆ ก็คิดว่าอยากให้หมอนี่เข้มแข็งและกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง “ลุกขึ้นนั่งบนโซฟาสิ”

            ปกรณ์เงยหน้ามองคนพูดด้วยความฉงน เขาไม่แน่ใจว่าหูแว่วไปไหม

            “พ่อพูดว่าอะไรนะครับ” ปกรณ์ถามย้ำ

            “ฉันบอกให้แกลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟา” ผู้เป็นพ่อตอบออกมา “และอย่ามาทำตัวอ่อนแอน่าสมเพชแบบนี้ให้ฉันเห็นอีก”

            “คะ... ครับ” ปกรณ์ตอบรับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักก่อนจะพยายามยั้งกายให้ลุกขึ้นไปนั่งอยู่บนโซฟาตามคำสั่ง

            ทว่า... ปกรณ์กลับรู้สึกกดดันมากยิ่งขึ้น รู้สึกอึดอัดที่นั่งในที่ที่ไม่สมควรนั่ง มันไม่ใช่ที่ของเขา หากแม่เลี้ยงมาเห็นจะต้องไม่พอใจแน่ แต่หากขัดคำสั่งของพ่อ เขาก็จะโดนพ่อโกรธเช่นกัน ท้ายที่สุดจึงเลือกที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของคนที่กำลังสนทนาด้วย

            “ที่ฉันมาที่นี่เพราะฉันอยากรู้ว่าแกไปที่โรงพยาบาล ไปหาหมอจิตเวชจริงๆ รึเปล่า”

            คำถามของพ่อทำเอาปกรณ์ถึงกับสะดุ้งเฮือก... เพราะเหตุนี้นี่เองพ่อถึงรอพบเขาที่นี่ในวันนี้

            “ครับ” ปกรณ์ยอมรับซึ่งๆ หน้า และไม่ได้อธิบายอะไรออกไปมากกว่านั้น ความเครียดเริ่มมีมากขึ้นพอคิดว่าพ่อรู้ว่าเขามีอาการป่วยทางจิต พ่อจะรู้สึกอย่างไร จะเกลียดเขาหรือทำอะไรกับเขาหรือไม่

            “แกเป็นอะไรถึงต้องไปรักษาที่นั่น” ผู้เป็นพ่อยังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจ

            “ผมคิดว่าผมเป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้าครับ แต่หมอบอกว่าผมน่าจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำด้วย” ปกรณ์ตอบเพียงแค่นั้น

            ประสิทธิ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ เหตุผลนี้พอจะรับฟังได้บ้าง ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะสิ่งที่ลูกชายของตนต้องประสบพบเจอมา ประสิทธิ์เองก็รู้ว่ามันหนักหนาสาเหตุสำหรับเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขาต้องทนอยู่ด้วยความหวาดผวามาตลอดตั้งแต่ที่แม่แท้ๆ ของเขาจากไป

            “แล้วดีขึ้นรึยัง”

            “ก็นิดหน่อยครับ แต่ยังเครียดๆ อยู่บ้าง” ปกรณ์ตอบออกไปตรงๆ จะโกหกว่าไม่เครียดเลยก็คงถูกจับได้เพราะอาการที่แสดงออกตอนนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว

            “แล้วก่อนหน้านี้แกไม่ไปหาหมอ แกก็อยู่ของแกได้ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”

            “ครับ” ปกรณ์พยักหน้า เขายังคงไม่กล้าสบตากับผู้พูด

            “ถ้าอย่างนั้นแกก็ไม่ต้องไปที่นั่นอีก เพราะก่อนหน้านี้แกก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีปัญหาอะไร”

            “แต่พ่อครับ” คราวนี้สมองของปกรณ์สั่งให้พูดออกไปอย่างไว “ผมต้องรักษา ถ้าผมไม่รักษาอาการมันอาจจะร้ายแรงขึ้นนะครับ”

            สิ่งที่ปกรณ์พูดไม่ต่างอะไรกับหมอจิตแพทย์ที่เขาเคยไปพบ หมอบอกว่าขั้นเลวร้าย... หากไม่ได้รับการรักษา ปกรณ์อาจจะเป็นคนสติไม่สมประกอบ หรืออาจจะทำร้ายผู้อื่นโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว แต่สาเหตุสำคัญก็คือความเครียด ในเมื่อเขาและฤทัยดีก็ย้ายออกไปแล้ว ปกรณ์ก็ควรที่จะมีอาการดีขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปรับการรักษา

            “แล้วแกเครียดอะไรวะ ฉันกับฤทัยดีก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว แกก็ควรจะมีอาการดีขึ้นสิ”

            “คือผม...” ปกรณ์ไม่สามารถแย้งได้ จริงอย่างที่พ่อพูด เขาอยู่ในบ้านหลังนี้โดยที่ไม่มีใครรบกวนควรจะมีอาการดีขึ้น แต่นั่นก็เหมือนกับดาบสองคม การอยู่คนเดียวนานๆ มันทำให้เขามีเวลาคิดถึงเรื่องต่างๆ ในอดีต และพอคิด ความทรงจำเหล่านั้นก็ยิ่งตอกย้ำให้เขาต้องเจ็บปวด ...ทรมานจนกลัวว่าสักวันตัวเองจะสูญเสียความเป็นคนไป

            “ทำไม ผมทำไม แกมีอะไรก็พูดมาให้จบดิ” ประสิทธิ์คาดคั้นอย่างกดดัน

            “ผมจะพยายามไม่เครียดละกันครับ” อีกฝ่ายตอบออกไป ปกรณ์ไม่แน่ใจว่าพ่อมีเหตุผลอะไรกันแน่ เป็นห่วงเขาอย่างนั้นหรือถึงต้องมาคุยเรื่องนี้ พอคิดแบบนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกดีใจ หัวใจของเขาเต้นรัว ตื่นเต้น และสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ...นี่พ่อเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะเครียดเกินไปอย่างนั้นจริงๆ หรือ

            “อืม... ก็ดี งั้นแกก็ต้องไม่ไปที่โรงพยาบาลอีก เพราะถ้าแกไปที่นั่นมันจะทำให้คนอื่นแอบเอาฉันไปนินทาได้ว่าฉันมีลูกเป็นโรคจิต”

            ทว่าประโยคถัดมาก็ทำให้ความดีใจของปกรณ์หายไป ที่แท้เขาก็เป็นห่วงชื่อเสียงของตัวเองเท่านั้น แต่ปกรณ์เองก็รับปากกับชานนท์เอาไว้แล้วเหมือนกันว่าจะเข้ารับการรักษากับคุณหมอแบบจริงๆ จังๆ เพราะฉะนั้นเขาเองก็ไม่สามารถผิดคำพูดได้เช่นกัน

            “แกเงียบ... รึแกคิดว่าจะไปที่นั่นอีก” น้ำเสียงของผู้พูดกดดันอีกฝ่าย ราวกับว่าหากปกรณ์เลือกที่จะปฏิเสธเขาจะต้องเจอกับอะไรที่ไม่คาดคิด

            ความเครียดทวีความรุนแรงมากขึ้น ความคิดของเขาตีกันเพราะไม่อาจตัดสินใจได้ ฉับพลันก็รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดเสียให้ได้

            ปกรณ์ยกมือขึ้นมาบีบขมับทั้งสองข้าง เขาไม่สามารถหาทางออกได้ อยากมีใครสักคนที่รับฟังปัญหา ใครก็ได้ช่วยมาทำให้เขาพ้นจากความรู้สึกที่กดดันแบบนี้ที

            “ปกรณ์ ปกรณ์” จนกระทั่งในที่สุดก็มีเสียงใครบางคนร้องเรียก

            ปกรณ์รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านตามต้นเสียง ประสิทธิ์วิ่งตามออกไปดูเพราะสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

            “นรินทร์” ปกรณ์เอ่ยเรียกร่างที่เห็น

            “ไปกันเถอะ อย่าไปฟังที่พ่อนายพูดเลย พ่อนายมันก็แค่คนเห็นแก่ตัว มาเร็ว เราจะพานายหนีไปจากที่นี่เอง”

            “นายจะพาไปที่ไหน” ปกรณ์ถามอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ

            “ตามมาเหอะน่า ถ้านายเชื่อใจฉันนายก็จะไม่ต้องทนให้พ่อของนายต้องบังคับกดขี่ข่มเหงอีก”

            ปกรณ์หันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง สายตาของปกรณ์เต็มไปด้วยความสับสน ...เขาเป็นพ่อ แต่ในเมื่อพ่อไม่เคยเห็นเขาเป็นลูก ก็ไม่ผิดใช่ไหมหากเขาจะหนีไปจากที่นี่ หนีไปให้ไกลจากการที่ต้องโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ

            ปกรณ์ตัดสินใจวิ่งออกไปจากบ้านทันที นรินทร์ยิ้มให้กับการตัดสินใจของเขาก่อนจะวิ่งนำหน้าไปด้วยความรวดเร็ว

            ประสิทธิ์ยืนนิ่งไม่ไหวติง... เขาไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อครู่ปกรณ์พูดคุยอยู่กับใครกัน ทั้งๆ ที่นอกรั้วบ้านไม่มีใครนอกจากไอ้น้ำตาลหมาจรจัดประจำซอยที่ยืนกระดิกหางอยู่ตรงนั้น

            ประสิทธิ์ไม่รู้จะทำอย่างไร จะวิ่งตามออกไปก็ไม่ทันเสียแล้ว เลยตัดสินใจนั่งรออยู่หน้าบ้าน เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกเป็นห่วงปกรณ์แบบนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะสนใจสักนิด หรือเพราะว่า... ถึงอย่างไรมันก็เป็นลูก

          ระหว่างนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากทางรั้วบ้านก็ทำให้ประสิทธิ์รีบลุกพรวดเดินออกไปดูด้วยความฉับไว ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อนั่นไม่ใช่ลูกชาย

            “ขอโทษนะครับ พอดีผมคิดว่าผมทำกระเป๋าเงินตกไว้ที่นี่เลยกลับมาเอา” ชานนท์ตั้งใจโกหกออกไป กระเป๋าเงินถูกซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างหลัง แต่เพราะเป็นห่วงปกรณ์ต่างหากเลยตั้งใจกลับมา “แล้วปกรณ์ล่ะครับ”

            ประสิทธิ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับชานนท์ฟัง... เขาไม่ได้เล่าถึงตอนที่อยู่ในบ้าน บอกแค่เพียงว่าอยู่ๆ ก็เครียดแล้วทำท่าเหมือนกำลังคุยอยู่กับใครแล้วก็วิ่งออกไปเลย

            “...เห็นปกรณ์เรียกมันว่า นรินทร์”







จบตอน

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะครับ แอบดีใจเริ่มเยอะขึ้นนิดนึงแล้ว
ถ้าเห็นจุดไหนผิดพลาดต้องแก้ไข แจ้ง/แนะนำได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ ่KEI_jry

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
ไปกันใหญ่เลยทีนี้ ปกรณ์ไปไหนเนี่ยยยยยย :katai1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เพิ่งจะมานึกห่วง! หึ เห็นกับตาอย่างนี้แล้วยังจะคิดว่าอาการไม่ร้ายแรงอีกไหม
อยากจะด่าว่าเป็นพ่อที่เลวจริง ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด