--- ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะครับ เทียบกะเรื่องอื่นๆ เม้นท์น้อยมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ---
--- ขอบคุณจากใจจริงครับ มีจุดไหนควรปรับปรุงแนะนำได้เด้อ ---
ตอนที่ 15
การเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดครั้งแรกของปกรณ์จบลงด้วยความทรงจำหลายอย่าง มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่นั่นก็เป็นบทพิสูจน์ว่า... คนที่นั่งอยู่เคียงข้างของเขาในตอนนี้มีแต่ความปรารถนาดี และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
ปกรณ์รู้สึกมีคุณค่าเมื่อได้รู้จักกับคนคนนี้... ไม่สิ ต้องบอกว่าทั้งปาณัฐและนรินทร์ก็ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าด้วยเช่นกัน แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อชานนท์นั้นต่างออกไป
แต่ในความทรงจำดีๆ ก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อจิตใต้สึกนึกของภูษิตยังคงสั่งให้เชื่อว่าปกรณ์คือพ่อ แต่ยังโชคดีที่ภูษิตนั้นไม่ได้ผูกพันกับพ่อและแม่จนแยกจากกันไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้น ภูษิตแค่รู้สึกดีใจที่พ่อยอมร้องไห้ต่อหน้าเขา ยอมกอดเขา... แม้ว่าหลังจากนี้จะต้องแยกกันอยู่อีกครั้งก็ตาม
ความเหน็ดเหนื่อยส่งผลให้ชานนท์เผลอหลับตลอดทาง ปกรณ์ที่ยังคงตาสว่างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับสนิทจึงค่อยๆ ยกแขนขึ้นไปโอบอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังแล้วให้ศีรษะของร่างนั้นซบลงมาที่อกของตัวเอง
ปกรณ์อยากตอบแทนที่ชานนท์คอยดูแลเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีเขาก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ชีวิตจะมืดสนิทสักแค่ไหน
สำหรับปกรณ์นั้น... เขาไม่เคยสัมผัสว่ารักเป็นแบบไหนต้องรู้สึกอย่างไร จึงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่เขาจะใช้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นตัวตัดสินโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศไหน หน้าตาอย่างไร ฐานะการเงินดีหรือไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับปกรณ์ก็คือ ‘การกระทำ’ และ ‘ความจริงใจ’ ซึ่งชานนท์เป็นคนแรกที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นั่นคือ ‘ความรัก’
“อ้าว... ผมอยู่ท่านี้ได้ไงครับเนี่ย” น้ำเสียงของชานนท์งัวเงีย เขารีบผละร่างออกเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะปวดเมื่อย
“ผมเต็มใจให้คุณนอนท่านี้เอง” ปกรณ์ออกแรงกระชับแขนให้อีกฝ่ายมานอนอยู่ในท่าเดิม เขาเริ่มมีท่าทีแข็งข้อ กล้าต่อล้อต่อเถียงกับชานนท์ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณดีสำหรับคนที่ไม่เคยเปิดใจให้ใคร
“คุณจะเมื่อยเอานะ” ชานนท์เถียง
“ไม่หรอกครับ ผมอยากทำอะไรเพื่อคุณบ้าง” ปกรณ์เถียงกลับ “นอนต่อเถอะครับ”
ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่น เขาแหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับคนคนนี้กันแน่
“คุณดูแปลกไปนะครับ กำลังเครียดหรือเปล่าครับ”
“บ้าน่าคุณนักจิตวิทยา” ปกรณ์หลุดขำ ในหัวของคนคนนี้เอาแต่กังวลและห่วงใยเขาตลอดเวลาเลยหรือเนี่ย “ผมไม่ได้เครียด แต่ผมกำลังมีความสุขต่างหาก”
“จริงเหรอครับ”
“อื้ม” ปกรณ์พยักหน้า “เวลาคิดถึงเรื่องของคุณทีไร มันทำให้ผมยิ้มได้ทุกที ไม่รู้สิครับผมแค่อยากตอบแทนคุณบ้าง”
“ขอบคุณนะครับ” ชานนท์ยิ้มร่ากับสิ่งที่ได้ฟังแต่ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะเอาร่างออกมาแล้วยกแขนของปกรณ์ออก “แต่ผมนอนท่านี้ไม่ได้ ผมปวดคอครับ”
ถึงกระนั้น ชานนท์ก็ไม่ปล่อยให้ปกรณ์ผิดหวังและเสียใจจนคิดมากไปเอง เขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายยกแขนขึ้นโอบคอของอีกฝ่าย แล้วให้อีกฝ่ายซบอิงลงมา
“ผมชอบอยู่ท่านี้มากกว่า” ชานนท์พูดเสียงเบา ก่อนที่จะโน้มริมฝีปากลงไปใกล้ๆ แล้วเบาเสียงลงไปอีก “ผมชอบเป็นฝ่ายกอดคุณ”
ริมฝีปากของปกรณ์ค่อยๆ ขยับรอยยิ้มออกมา คำพูดคำจาของชานนท์ทำให้เขารู้สึกขัดเขิน แต่ก่อนที่ขานนท์จะสังเกตเห็น ปกรณ์เลือกที่จะทำตัวนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาอะไรออกไปแล้วนั่งอยู่ในท่านั้นไปตลอดทางตามที่อีกฝ่ายต้องการ
“คุณชานนท์ครับ” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบาหลังจากที่นั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน
“ครับ”
“ทำไมคุณถึงมาเป็นนักจิตวิทยาครับ” อยู่ๆ ปกรณ์ก็นึกสงสัย “ผมว่ามันเหนื่อยนะครับที่ต้องคอยรักษากับคนที่มีอาการแบบผม”
“ความจริงผมอยากเป็นจิตแพทย์นะครับ แต่ผมสอบไม่ติด ก็เลยเลือกเรียนทางด้านจิตวิทยาแทนครับ” ชานนท์ตอบออกมา “คือครอบครัวของผมเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอกครับ พ่อกับแม่มีปากเสียงกัน จนต้องแยกกันอยู่และผมเองก็อยู่กับแม่”
ปกรณ์รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่อบอุ่นจะมีพื้นเพหลังที่บ้านแตกเช่นเดียวกับตัวเอง
“แม่ชอบแอบไปนั่งร้องไห้ที่หน้าบ้านคนเดียวในเวลากลางคืน ตอนแรกผมก็ไม่รู้นะครับ แม่ผมเหมือนคนเข้มแข็ง อยู่ต่อหน้าผมหรือใครก็ตามแม่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาเลย คืนแรกที่ผมเห็นแม่แอบร้องไห้ผมเองไม่เข้าใจว่าทำไม เลยลองสังเกตเรื่อยๆ จนเห็นว่าแม่มักจะออกไปแอบร้องไห้ในเวลาเดิมทุกคืน
ผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าแม่เป็นอะไร ไม่กล้าเข้าไปถามตรงๆ ด้วย เลยพยายามลองศึกษาเรื่อยมาจึงพบว่าแม่เป็นโรคซึมเศร้า พอรู้แบบนั้นผมก็เลยอยากทำงานทางด้านนี้เพื่อไปรักษาแม่น่ะครับ”
สิ้นเสียง... ชานนท์ก็เงียบไปสักพัก เขาพยายามซ่อนความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้าค่าตาก่อนที่จะเล่าต่อ
“แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้รักษา แม่ผมเสียไปปีสุดท้ายก่อนที่ผมจะเรียนจบ ผมมารู้ทีหลังจากญาติๆ ว่าอาการของแม่หนักขึ้นหลังจากที่ผมย้ายเข้าไปเรียนในกรุงเทพ แม่เอาแต่ดื่มเหล้าทุกวัน ดื่มเหมือนคนขาดสติ แต่แม่ก็ห้ามไม่ให้ญาติๆ บอกผม เวลาปิดเทอมกลับบ้าน แม่ก็ดื่มนะ แต่พยายามดื่มให้น้อยที่สุดจนผมไม่ได้เอะใจ ผลสุดท้ายพิษเหล้าก็ทำให้แม่ของผมล้มป่วยและจากผมไป ผมเลยตั้งใจกับตัวเองว่าจะรักษาผู้ป่วยทุกคนด้วยให้หายดี อยากให้พวกเขารู้ว่ายังมีคนข้างหลังที่รอพวกเขาอยู่ไม่ว่าพวกเขาจะเคยผ่านกับเหตุการณ์อะไรมาก็ตาม”
“คุณชานนท์” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบา ชีวิตของชานนท์เองก็ใช่ว่าจะสวยหรู คนคนนี้ก็เคยผ่านเรื่องที่น่าเศร้าแต่เขาก็ยังสามารถผ่านความเจ็บปวดนั้นมาได้ และยังใช้ความอ่อนโยนที่มีเพื่อที่จะรักษาคนอื่นๆ ต่อไป
“เพราะฉะนั้นคุณต้องสัญญากับผมนะครับว่าจะต้องรักษาจนหายดี”
“ผมสัญญา” ปกรณ์พยักหน้าทันที เขาจะต้องไม่ทำให้คนที่แสนดีคนนี้ต้องผิดหวัง
ชานนท์ยิ้มออกมา ความรู้สึกหลายอย่างมันปนเปกันไปหมด ดีใจ ภูมิใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้เช่นกันว่าปกรณ์จะต้องทุกข์ทรมานสักแค่ไหนระหว่างการรักษา
มันคงจะเจ็บปวด เมื่อคนที่ปกรณ์คิดมาเสมอว่ามีตัวตนอยู่บนโลกนี้ คนที่คอยรับฟังความสำเร็จ คอยชื่นชมและแสดงความยินดีนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงภาพมายา ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกมีคุณค่าก็เท่านั้น
‘อีกไม่นาน เราคงจะต้องเปิดศึกแย่งชิงตัวคุณปกรณ์กันแล้วสินะ ผมไม่ยอมเสียไปให้พวกคุณหรอก คุณปาณัฐ! คุณนรินทร์!’
วันถัดมา... ชานนท์ยังมีเวลาเหลือสำหรับวันหยุดอีกหนึ่งวัน ในทีแรกปกรณ์ตั้งใจว่าจะนัดให้ปาณัฐมาหา ทว่ากลับได้รับการปฏิเสธเพราะอีกฝ่ายติดธุระ ทั้งคู่จึงเปลี่ยนแผนไปเยี่ยมภูษิตที่บ้าน
ตอนที่โทรหาน้องปาณัฐ ชานนท์สั่งเกตเห็นปกรณ์กดเบอร์โทรศัพท์แค่ไม่กี่ตัวซึ่งมันไม่น่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่มีอยู่จริง แต่ปกรณ์ไม่รู้ตัวและยังสนทนากับอีกฝ่ายอย่างฉะฉาน ...มันยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบาย เขาจึงทำได้เพียงนั่งเงียบๆ รอให้เป็นหน้าที่ของหมอเกื้อที่จะทำการรักษาปกรณ์
บ้านของภูษิตเป็นหมู่บ้านจัดสรรอยู่แถวชานเมือง รั้วบ้านมีขนาดใหญ่ ภายในรั้วมีสนามหญ้ากว้างขวางและดูเหมือนว่าตัวบ้านจะถูกต่อเติมให้มีกว้างขวางขึ้นเพราะบ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นๆ ทั้งๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
“เชิญเข้าบ้านครับ” ศรันย์เดินออกมารับ เข้ามีอายุ 21 ปี เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายและได้มาอาศัยอยู่ที่นี่เพราะต้องดูแลภูษิตอย่างใกล้ชิด
“แล้วนี่มีใครอยู่บ้างครับ” ชานนท์เอ่ยถามขณะเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“ตอนนี้มีแค่ผมกับภูษิตครับ ส่วนคุณลุงคุณป้าออกไปทำธุระข้างนอก” ศรันย์ตอบออกมา แม่ของศรันย์มีบรรดาศักดิ์เป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่ภูษิต
“อ่อ... ครับ แล้วพวกท่านจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ” ชานนท์ถามต่อ
“ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ แต่ปกติกว่าจะกลับก็ดึกๆ นู่นเลย”
“อย่างนี้ถ้าไม่มีคุณศรันย์อยู่ด้วย ภูษิตก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวใช่ไหมครับ” ปกรณ์เอ่ยถามขึ้นบ้าง
“ใช่ครับ เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ภูษิตก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวตลอด ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ตอนที่เข้ามหาลัยน่ะครับ”
ปกรณ์สังเกตภายในบ้าน... บ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่โต มีเฟอร์นิเจอร์มากมายแต่มันกลับดูเงียบเหงา ราวกับว่าข้าวของเครื่องใช้ถูกตั้งประดับไว้เฉยๆ เท่านั้น
ศรันย์เดินนำไปยังห้องนั่งเล่นก่อนที่จะบอกให้แขกรออยู่ตรงนั้น ส่วนตัวเขาจะขึ้นไปตามภูษิตที่อยู่บนห้องนอนลงมา
ไม่นานมากนัก ศรันย์ก็เดินกลับมาหาข้างๆ กายนั้นมีเด็กหนุ่มร่างผอมบางเดินตามมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“สวัสดีครับ” เป็นชานนท์ที่เอ่ยทักทายก่อน
“สวัสดีนะครับ” ปกรณ์จึงเอ่ยตาม
เด็กหนุ่มร่างบางเงยหน้ามองแขกอย่างช้าๆ พอเห็นหน้าของคนทั้งคู่ชัดๆ ริมฝีปากก็เริ่มขยับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“พ่อ” เขายังคงเรียกปกรณ์ว่าพ่อ
“เล่นตามบทบาทไปเลยครับ ไม่ต้องกังวล” ชานนท์กระซิบ
“มา... มานั่งกับพ่อสิครับ” ปกรณ์เอ่ยออกมาด้วยความขัดเขิน คำว่า ‘พ่อ’ ต้องมีบทบาทและหน้าที่อย่างไรปกรณ์ไม่มั่นใจ เพราะเขาเองก็แทบไม่เคยได้เรียนรู้บทบาทเหล่านี้จากพ่อแท้ๆ ของตัวเองเลย
“คะ... ครับ” ภูษิตก้าวขาด้วยความเชื่องช้า อาจเพราะรู้สึกประหม่าที่พ่อชวนไปนั่งด้วย
ภูษิตหยุดเคลื่อนไหวเมื่อเดินไปถึงจุดที่ปกรณ์นั่งอยู่ เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบสายตาอีกครั้งเหมือนไม่มั่นใจว่าตัวเองสมควรจะนั่งตรงนี้ไหม
ปกรณ์เห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นไปคว้าร่างของเด็กหนุ่มมานั่งใกล้ๆ กันอย่างทะนุถนอม
“น้องภูกินอะไรรึยังครับ หิวไหมครับ”
“ยังครับ”
“จริงด้วย... จะเที่ยงแล้วเดี๋ยวผมไปทำอาหารให้นะครับ ฝากดูแลภูษิตด้วยนะครับ”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า ถ้าชานนท์ยังนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเขาก็สบายใจ แต่ทว่า...
“เดี๋ยวผมไปช่วยนะครับ” ชานนท์กลับเอ่ยออกมาแบบนั้น
“เดี๋ยวสิครับ” ปกรณ์รีบคว้าแขนของคนที่นั่งข้างๆ กันเอาไว้ทันที “ถ้าเกิดผมทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะครับ”
“ผมเชื่อนะครับ” ชานนท์หันไปยิ้มให้คนที่กำลังมีสีหน้ากังวง “...ว่าคุณจะต้องเป็นพ่อที่ดีให้น้องภูษิตได้แน่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณชานนท์ คุณอยู่เป็นเพื่อนคุณปกรณ์ตรงนี้ก็ได้ครับ” ศรันย์ที่เห็นท่าทางของปกรณ์อึกอักเอ่ยขึ้นบ้าง
“ผมอยากคุยกับพ่อตามลำพัง” แต่ในท้ายที่สุด ประโยคที่เปล่งออกมาจากปากของภูษิตก็เป็นข้อสรุปว่าควรจะทำอย่างไร
ชานนท์ตามเข้าไปช่วยศรันย์ทำอาหารมือเที่ยง ส่วนปกรณ์อยู่ในห้องนั่งเล่นกับภูษิตตามลำพัง
หัวใจของปกรณ์เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เขารู้สึกวิตกจริตเกรงว่าจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควรแล้วทำให้ภูษิตมีอาการแย่ลง
“ทำไมพ่อ... ต้องยอมแม่ด้วยครับ” ภูษิตเอ่ยขึ้นหลังจากที่ศรันย์และชานนท์เดินลับสายตาไป ส่วนปกรณ์นั้นไม่เข้าใจในคำถามสักนิดว่าภูษิตกำลังสื่อถึงเรื่องอะไรกันแน่
“ยอม?” ปกรณ์ทวนคำงงๆ ก่อนที่จะพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ยอมเรื่องอะไรว้า”
“ทุกเรื่องครับ” ภูษิตตอบออกมา ปกรณ์สะดุ้งเบาๆ เพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะได้ยิน “ยอมให้แม่ด่า ยอมเป็นเบี้ยล่างของแม่ ยอมทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ยอมให้แม่มีผู้ชายอื่น ยอมแม้กระทั่งให้ผู้ชายคนนั้นทำร้ายพ่อ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของภูษิตมันดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขากำลังอัดอั้นเมื่อคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
“พ่อยอมเสียศักดิ์ศรีทำไม พ่ออดทนทำไม พ่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง ผมไม่เข้าใจ”
ปกรณ์นั่งนิ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้ พ่อกับแม่ของภูษิตมีปัญหาอะไร แต่จากที่ได้ฟังดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ภูษิตเท่านั้นที่อัดอั้น พ่อของเขาก็เหมือนจะอดทนเก็บความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้เหมือนกัน
“เพราะพ่อรักลูกไง” ปกรณ์ตัดสินใจตอบออกไป การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะอดทนกับอะไรได้นั้น แสดงว่าเขาต้องมีคนเบื้องหลังที่รักและอยากปกป้องจึงต้องยอมทนไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ตาม
“ทำไม... ทำไมกัน ผมไม่เข้าใจ พ่อไม่เห็นจำเป็นต้องอดทน” น้ำเสียงของภูษิตสั่นไหว “ผมอยากหนีไปไกลๆ ผมเกลียดบ้านหลังนี้ ผมอยากไปอยู่กับกับพี่ศรันย์แค่นั้น”
สิ้นเสียง... ภูษิตก็มีอาการแปลกไป ร่างบางค่อยๆ สั่นไหว ปลายนิ้วมือเกร็งจนน่าตกใจ แล้วอยู่ๆ ใบหน้าก็เชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเหลือกค้างและท้ายที่สุดก็ลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น
ปกรณ์ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขารีบโน้มตัวลงไปดูภูษิตก่อนที่จะประคองร่างนั้นขึ้นมา ระหว่างนั้นเองภูษิตก็ค่อยๆ อ้าปากกว้างเหมือนคนกำลังกรามค้าง ปกรณ์ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลิ้นที่แลบออกมาทำให้เขากังวลว่าภูษิตจะเผลอกัดลิ้นตัวเอง ดังนั้นจึงตัดสินใจรีบใช้ศอกสอดเข้าไปในปากของภูษิต
ทันใดนั้น ภูษิตก็งับปากลงมาสุดแรง เป็นอย่างที่ปกรณ์คิด...
แรงกัดของภูษิตมีพลังมหาศาล ปกรณ์รู้สึกแสบสะท้านไปทั่วร่างแต่เขาก็ต้องอดทนเอาไว้
“โอ๊ย...” ปกรณ์พยายามระบายความจำปวดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเพราะกลัวว่าชานนท์จะตกใจ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เขาจึงต้องระบายความเจ็บปวดด้วยเสียงอันดังก้องอยู่ดี “โอ๊ยยยยยย!!!!!”
ชานนท์รีบวิ่งออกมาจากห้องครัวทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น และเขาก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น โชคดีที่มือของเขาถือช้อนออกมาด้วย ชานนท์จึงรีบเอาช้อนในมือสอดเข้าไปในปากแล้วสั่งให้ปกรณ์ชักศอกออกมา
“คุณเป็นยังไงบ้างครับ” รอยกัดของของภูษิตปรากฏชัดเจน มันเป็นรอยลึกกะด้วยสายตาก็รู้เลยว่าคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าที่รอยนี้จะหาย
“ผมไม่ไหวแล้วครับ ผมคงเป็นพ่ออีกต่อไปไม่ได้” ปกรณ์บ่นออกมา “ผมไม่ได้โกรธภูษิตนะครับ แต่ผมเองก็มีปัญหาของตัวเอง จะให้ผมมาดูแลเด็กคนนี้ในสภาพแบบนี้ผมก็แย่เหมือนกัน”
น้ำเสียงของปกรณ์เริ่มไม่สบอารมณ์ ชานนท์รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่โทษใคร
“ผมขอโทษที่ไม่ได้อยู่กับคุณ ผมขอโทษนะครับ” ชานนท์รู้ดีว่าปกรณ์ต้องโกรธเขาเพราะเรื่องนี้แน่ๆ ถ้าเขาอยู่ดีตั้งแต่ทีแรก... บางทีเรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น
“...”
เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์เมินใส่ เขารู้ว่าถ้าหากพูดอะไรออกไป และฝ่ายนั้นตอบกลับมาอีกเขาอาจจะควบคุมสติตัวเองไม่ไหวและอาจระเบิดอารมณ์ออกมา
ระหว่างนั้นเอง... อาการของภูษิตก็ค่อยๆ สงบลงเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ศรันย์เดินออกมาจากห้องครัวพอดี
“เกิดอะไรขึ้นครับ” เขายุ่งอยู่กับการทอดปลาเลยไม่สามารถวิ่งออกมาได้ในทีแรก
“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังทีหลังนะครับ” ปกรณ์ตอบออกมา “ตอนนี้ห่วงภูษิตกันก่อนดีกว่า”
“ภูษิตเป็นอะไร” อยู่ๆ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทุกคนที่กำลังชุลมุนอยู่กับภูษิตต่างหันกลับไปดูพร้อมกัน
“คุณลุง” ศรันย์เรียกคนคนนั้น
“ภูษิตเป็นอะไร” ชายวัยกลางคนผู้ใหม่ถามย้ำอีกครั้ง เขามีรูปร่างสมส่วนหากพิจารณาจากใบหน้าน่าจะอายุ 40 กลางๆ
“น้องชักครับ” ปกรณ์อธิบาย
แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกันต่อเสียงที่ดังขึ้นจากคนที่เพิ่งหมดสติได้เรียกให้ทุกคนหันกลับไปสนใจ
“พ่อ...” ชายวัยกลางคนรีบวิ่งเข้าไปดูอาการทันที เขาทำท่าว่าจะโอบลูกชายเอาไว้แต่กลับโดนลูกชายปฏิเสธและถูกมองด้วยสายตาที่หวาดระแวง
“พ่อครับ” ภูษิตเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเขยิบเข้าไปหากับปกรณ์
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความประหลาดใจให้กับพ่อที่แท้จริง คิ้วของเขาขมวดมุ่นก่อนจะหันหน้าไปจ้องกับผู้ทีถูกเรียกว่าพ่อด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ทำไมภูษิตถึงเรียกเขาคนนี้ว่าพ่อ!”
บนรถแท็กซี่... ปกรณ์นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดทาง ไม่ว่าชานนท์จะคุยอะไรเขาก็เอาแต่เงียบท่าเดียว
หลังจากที่พ่อของภูษิตเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ ความอดทนของปกรณ์จึงขาดผึง ใช่ว่าเขาอยากให้เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เขาไม่อยากที่จะอธิบายอะไรออกไปเพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน ท้ายที่สุดปกรณ์จึงตัดสินใจวิ่งหนีออกจากบ้าน ชานนท์เห็นดังนั้นเขาจึงรีบพูดขอโทษกับเจ้าของบ้านก่อนที่จะวิ่งตามปกรณ์ออกไปในทันที
“คุณ” ชานนท์เรียกอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง “คุณโอเคไหม”
ชานนท์เลื่อนสายตามองดูรอยเขี้ยวแล้วอดนึกโทษตัวเองไม่ได้ที่ไม่ยอมนั่งอยู่เป็นเพื่อน อยากทำแผลให้ก็ไม่มีอุปกรณ์
“เอ๊ะพี่ครับ...” ชานนท์หันไปคุยกับคนขับรถ “ข้างหน้ามีป้ายร้านขายา พี่ช่วยจอดแวะให้แป๊บนึงด้วยนะครับ”
“ได้ครับ” แท็กซี่ตอบออกมา ส่วนปกรณ์ยังคงไม่พูดไม่จา
พอถึงร้านขายยา ชานนท์ก็รีบลงไปซื้อของที่ต้องการทันที ใช้เวลาไม่กี่นาทีเขาก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับถุงอะไรบางอย่างแล้วเปิดประตูกลับขึ้นมาในรถ
“ผมนึกว่าคุณจะทิ้งผมไว้นี่แล้วนะครับเนี่ย” ชานนท์เอ่ยออกมาพลางขยับยิ้มให้กับความคิดไม่เข้าท่าของตัวเอง
“ก็คิดว่าจะบอกให้พี่คนขับขับออกไปแล้วแหละ” ปกรณ์เริ่มโต้ตอบ เขาวางมาดทำเสียงขรึม “แต่ผมรู้ว่าคุณจะไปซื้ออะไรก็เลยอยู่รอ”
สิ้นเสียงปกรณ์ก็ยืนแขนข้างที่โดนกัดเข้าไปหา ชานนนท์รีบนำอุปกรณ์ในถุงออกมาแล้วเริ่มทำแผลให้ด้วยความระมัดระวัง
สีหน้าของปกรณ์เหยเกตอนที่โดนแอลกอฮอล์ล้างแผล เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนแต่ก็ต้องข่มความเจ็บปวดเอาไว้เพราะไม่อยากให้คนอื่นๆ หัวเราะ
“ระวังเลอะนะครับ” คนขับแท็กซี่หันมาพูดเมื่อเห็นว่าผู้โดยสารกำลังทำอะไร
“ครับ” ชานนท์ตอบ เข้าไม่อธิบายอะไรมากและตั้งใจทำแผลให้กับคนข้างๆ ต่อไป
เมื่อเช็ดแอลกอฮอล์ออกจนแห้งสนิท ขั้นตอนสุดท้าย ชานนท์ก็หยิบผ้าก็อซในถุงขึ้นมาพันแผลด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากว่าเขาทำงานภายในโรงพยาบาลมานาน แม้จะไม่ใช่หมอหรือพยาบาลโดยตรงแต่เขาก็คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี
“ขอบคุณนะครับ” ปกรณ์เอ่ยขึ้น เขาใจเย็นลงแล้ว ยิ่งพอเห็นท่าทีที่ห่วงใยตลอดทางของคนที่นั่งด้วยกันข้างๆ มันยิ่งทำให้เขานึกโทษตัวเองที่เผลอทำตัวงี่เง่า
“ผมสิต้องขอโทษที่ปล่อยให้คุณอยู่กับน้องตามลำพัง” ชานนท์เถียง
“เรื่องนั้นชั่งมันเถอะครับ” ปกรณ์ไม่ถือสาอะไรแล้ว “แต่ภูษิตพูดอะไรแปลกๆ ออกมา เขาพูดเหมือนกับว่าพ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน พ่อต้องทนอยู่ในบ้าน ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของแม่ แล้วแม่ก็มีคนใหม่ พ่อก็รู้แต่ก็ไม่ว่าอะไร”
“แต่คุณพ่อกับคุณแม่ของภูษิตดูรักกันมากเลยนะครับ” ชานนท์ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย “เวลาไปโรงพยาบาล พวกเขาดูรักกันมากๆ”
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าความจริงเป็นยังไง แต่ภูษิตพูดกับผมประมาณนี้”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อาการของภูษิตแย่ลง เอาไว้จะปรึกษากับหมออีกทีนะครับ และคงต้องเก็บข้อมูลให้ได้มากกว่านี้”
“แต่ถ้าให้ผมไปเป็นพ่อ ผมไม่เอาอีกแล้วนะครับ” ปกรณ์รีบเอ่ยอย่างร้อนตัว
“สบายใจได้เลยครับ ผมจะไม่บังคับคุณอีกแล้วครับ” ชานนท์ก้มหน้าอย่างสำนึก แค่นี้เขาก็สำนึกผิดไม่ทันแล้วไม่ต้องย้ำเรื่องนี้อีกได้ไหม
“ไม่เอาน่าอย่าทำหน้าจ๋อยแบบนี้สิครับ” ปกรณ์แอบขยับมือข้างที่อยู่ใกล้ๆ ไปกุมกับมือของอีกฝ่ายเบาๆ
ชานนท์เลื่อนสายตาลงต่ำมองมือนั่นก่อนจะยิ้มออกมา
“คุณคงต้องเจ็บมากแน่ๆ”
“เจ็บแค่นี้ไม่เท่าไหร่ครับ ไกลหัวใจเดี๋ยวก็หาย” ปกรณ์ตอบตามที่คิด แผลทางกายต่อให้เจ็บแค่ไหนก็มีวันหาย อย่างเลวร้ายที่สุดก็อาจจะกลายเป็นแผลเป็นเท่านั้น แต่แผลที่เกิดขึ้นในจิตใจนี่สิ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหายสักที เทียบกับเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ นานาที่เคยเกิดขึ้น เรื่องแค่นี้ถือว่าเบามากสำหรับปกรณ์
ปกรณ์นั่งกุมมือชานนท์ตลอดทาง แม้จะอยากมองใบหน้าของอีกฝ่ายตลอดเวลาแต่ก็ต้องอดทนเอาไว้เพราะกลัวจะห้ามความรู้สึกขัดเขินไม่ไหว เขาจึงต้องแสร้งหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างตลอดเวลาแล้วแอบยิ้มคนเดียว
การที่ได้กุมมือใครสักคนเอาไว้ตลอดทางมันทำให้คนที่โดดเดี่ยวมาตลอดชีวิตรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ถ้าเลือกได้ปกรณ์ไม่อยากจะปล่อยให้มือคู่นั้นของชานนท์ให้หลุดออกไปแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวด้วยซ้ำ แต่ความเป็นจริง... เมื่อถึงปลายทาง ต่อให้มือที่เคยจับกันเอาไว้นั้นแน่นแค่ไหน มันก็ต้องแยกออกจากกันอยู่ดี
ปกรณ์เปิดประตูรถแล้วออกจากรถทันทีเมื่อรถหยุดสนิท ส่วนชานนท์เป็นผู้จ่ายค่าโดยสาร เอาไว้ปกรณ์จะเป็นฝ่ายเลี้ยงอาหารตอบแทนทีหลัง
ระหว่างที่ชานนท์กำลังจะก้าวขาออกรถนั้น... มือที่คุ้นเคยของใครบางคนก็ได้ยื่นมาหยุดอยู่ตรงหน้า ชานนท์ยิ้มออกมากับสิ่งที่เห็นก่อนจะเอื้อมมือไปจับมันเอาไว้อย่างแนบแน่นแล้วออกจากรถไป
“พวกน้องนี่น่ารักกันจังเลยเนอะ ทำแผลให้กัน จับมือกัน ดูห่วงใยกันดีจังเลย ผู้ชายสมัยนี้เขาดูแลกันแบบนี้ใช่ไหมครับ เสียดายเพื่อนพี่ไม่มีแบบนี้สักคน” เป็นเสียงของคนขับแท็กซี่ที่เอ่ยออกมา เขาสังเกตมาตลอดทางก็รู้สึกมาตลอดว่าผู้โดยสารคู่นี้ดูเป็นห่วงเป็นใยกันเหลือเกิน จนเขาเองอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
ปกรณ์และชานนท์ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงหันไปยิ้มให้อย่างเขินๆ ก่อนที่แท็กซี่จะจากไป
เรื่องราวทั้งหมดเหมือนจะดีขึ้น แต่ไม่ทันไร... ความสุขของปกรณ์ก็จบลงเมื่อมองเข้าไปในบ้านแล้วมองเห็นร่างของแขกผู้มาเยือน
“พ่อ” น้ำเสียงของปกรณ์สั่นไหว ความสุขจากดวงตาหายไป มือที่กุมกับชานนท์เอาไว้รีบสะบัดออกด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะถูกสังเกตเห็น
พ่อมาที่นี่ทำไม... คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวสมอง พ่อไม่เคยมาที่นี่แม้แต่ครั้งเดียวด้วยซ้ำตั้งแต่ที่ย้ายออกไป โทรศัพท์ก็แทบไม่เคยโทรหา แล้วอยู่ๆ วันนี้ทำไมถึงโผล่มา หรือว่าเขาเผลอไปทำความผิดอะไรเอาไว้พ่อถึงต้องตามมาเอาเรื่อง
คิดดังนั้นความหวาดกลัวก็เริ่มเข้าครอบคลุมจิตใจ หัวใจสั่นไหวจนผิดปกติ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาจนชุ่มใบหน้าทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้สึกร้อนเลยสักนิด
ความกังวลส่งผลให้ปกรณ์ไม่กล้าที่จะก้าวขาเข้าไป เขายืนนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหนหากแต่ร่างกายยังคงสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว
ชานนท์เห็นท่าไม่ดีจึงประคองร่างของปกรณ์เอาไว้ด้วยความห่วงใยก่อนที่จะตัดสินใจพาร่างนั้นเดินเข้าไปในบ้านแล้วเผชิญหน้ากับบุคคลที่เขาเรียกว่า ‘พ่อ’
จบตอน
อูยยย.... จะเผชิญหน้ากับพ่อแล้ว
