ตอนที่ 19
ชานนท์เดินไปส่งประสิทธิ์ที่หน้าบ้านราวกับเป็นเจ้าของบ้านส่วนอีกฝ่ายเป็นแค่แขกผู้มาเยือน แต่เจ้าของบ้านตัวจริงก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะถึงอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะยกบ้านหลังนี้ให้ปกรณ์อยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกอีกต่อไปว่านี่คือบ้านของตัวเอง
หลังจากที่ประสิทธิ์จากไป ชานนท์ก็รีบเดินกลับขึ้นไปหาปกรณ์บนห้องนอนทันที
“พ่อกลับไปแล้วเหรอครับ” ปกรณ์รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปถามเมื่อเห็นคนที่เขาเฝ้ารอกลับขึ้นมาบนห้อง
“ครับ” ชานนท์ตอบ
“พ่อว่าไงบ้างครับ พ่อยอมให้ผมรักษาไหม” ปกรณ์คาดคั้น เขารู้สึกกระวนกระวายกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง
“นี่คุณไม่เชื่อใจนักจิตวิทยาอย่างผมเหรอครับ” ชานนท์กอดอกเก๊กท่าก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงร้อนรน “ยอมสิครับ”
“จริงเหรอครับ” ปกรณ์ไม่อยากจะเชื่อ “คุณคุยอะไรกันบ้างเนี่ย พ่อผมยอมได้ยังไง”
“มันเป็นความลับระหว่างผมกับพ่อคุณครับ” ชานนท์ยักคิ้ว
“ไม่ได้ไปขู่อะไรพ่อผมใช่ไหม” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอกเหตุผล เขาก็เริ่มระแวง
“คุณมองผมเป็นคนยังไงกันครับเนี่ย อย่างผมเนี่ยนะจะไปขู่ใคร” ชานนท์แกล้งทำน้ำเสียงตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ
“ก็ขู่ผมไง ชอบแกล้งผมดีนัก ครั้งก่อนก็เกือบจูบผมตรงนั้น” ปกรณ์รีบยกมือขึ้นมาปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ‘พูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย’
“ตรงไหนนะครับ” ชานนท์แกล้งลากอีกฝ่ายไปยังจุดที่ว่านั่น ส่วนปกรณ์ก็พยายามต่อสู้โดยยื้อร่างเอาไว้จนชานนท์ต้องยอมแพ้
“ผมหิวแล้ว ออกไปหาไรกินกันดีกว่าครับ” ปกรณ์พยายามเปลี่ยนเรื่อง
“งั้นเก็บของออกไปเลยดีไหมครับ คืนนี้ก็ไปค้างที่ห้องผมเลย พรุ่งนี้ก็จะได้ไปพบหมอด้วยกัน” ชานนท์เสนอ
“ก็ได้ครับ” ปกรณ์พยักหน้าตกลง ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ในตู้เสื้อผ้าออกมาแล้ววางมันไว้ที่พื้น “ผมควรจะเอาอะไรไปบ้างครับเนี่ย”
“ก็แล้วแต่เลยครับ เอาเสื้อกับกางเกงไปเผื่อสักอย่างละสามสี่ตัวก็พอครับ ยังไงคุณก็ต้องใส่ชุดผู้ป่วยของโรงบาลอยู่ดี” ชานนท์ตอบออกมา ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วรีบถอนหายใจ
ไม่เข้าใจตัวเองสักนิด ทำไมถึงรู้สึกใจหวิวแปลกๆ พอรู้ว่าปกรณ์จะต้องเข้ารับการรักษาจริงๆ เพราะการรักษาควบคู่กับยาที่หมอให้มันจะส่งผลให้สติของเขาเลื่อนลอยแต่สงบลง กล้าพูดในสิ่งที่คิด กล้าพูดความจริง แต่มันก็ต้องทรมานมากๆ เมื่อต้องรับรู้ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องของปาณัฐและนรินทร์ และระหว่างการรักษา หากโชคร้ายฤทธิ์ของยาอาจทำให้ปกรณ์อาจจำชานนท์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
“งั้นคุณช่วยเลือกให้ผมหน่อยสิครับ” ปกรณ์เดินมาใกล้ๆ แล้วสบตากับคนที่กำลังคุยด้วย เขาทำสายตาออดอ้อนสุดพลัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ อาจเพราะชานนท์ทำให้เขาเชื่อใจและด้วยนิสัยที่เป็นสุภาพบุรุษทำให้หัวใจและความรู้สึกของเขาไม่คิดต่อต้านคนคนนี้เลย
“ได้ครับ” ชานนท์ใจอ่อนทันทีที่เห็น แววตาออดอ้อนคู่นั้นสะกดใจเขาอยู่หมัดทันที จนเขาไม่รู้ว่าถ้าเจอสายตาแบบนี้อีกครั้งเขาจะใจแข็งและเอาชนะได้อย่างไร
หลังจากที่พับเสื้อผ้าเสร็จ ชานนท์ก็ยกกระเป๋าขึ้นมาสะพายทันที
“เดี๋ยวผมสะพายให้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว” ปกรณ์ปฏิเสธ พยายามจะแย่งกระเป๋ากลับคืนมา แต่ชานนท์ก็เอามือขวางไว้
เมื่อเห็นว่าปกรณ์ไม่ยอมแพ้ เขาจึงคว้าร่างที่กำลังพยายามยื้อแย้งกระเป๋ามากอดหมับเอาไว้แน่น
“ผมบอกว่าผมจะสะพายให้” ชานนท์โน้มหน้าไปกระซิบที่ข้างหูด้วยความรวดเร็วด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะดิ้นหลุดออกไปเสียก่อน
“ครับ” น้ำเสียงของปกรณ์ตะกุกตะกักไม่คิดว่าจะโดนอีกฝ่ายใช้ไม้นี้ “ปล่อยได้แล้ว”
ชานนท์ขำออกมาก่อนที่จะค่อยๆ คลายอ้อมกอดอย่างผู้มีชัย
พวกเขานั่งรถประจำทางเพื่อที่จะไปแหล่งท่องเที่ยวใจกลางเมือง ไปในที่ที่คนพลุกพล่านจะได้มีของกินอร่อยๆ ให้เลือกสรร
หลังจากที่ลงจากรถ ชานนท์ก็จับมือปกรณ์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย เขาไม่แคร์สายตาว่าใครจะมองอย่างไร ขอแค่มีคนที่เขาแคร์ที่สุดอยู่ข้างๆ กันก็พอ
ที่นี่เป็นตลาดนัดกลางคืน มีร้านค้าตั้งอยู่ตามทางเดินตลอดทาง ผู้คนแน่นขนัด แม้จะรู้สึกอึดอัดไปบ้างแต่มันก็เป็นการเปิดหูเปิดตาที่ดีทีเดียว
ปกรณ์ไม่เคยมาในที่แบบนี้ ทุกอย่างดูแปลกใหม่จนทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น มีเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่นที่เขาไม่เคยเห็นหลายอย่างวางขายตามร้าน โซนขายอาหารก็มีเมนูแปลกๆ ที่ไม่เคยลองหลายอย่าง
“ไอ้นั่นคืออะไรครับ” ปกรณ์หันไปสนใจกับของหวานชนิดหนึ่ง มันอยู่ภายในถ้วยขนาดใหญ่แต่มีน้ำแข็งเม็ดละเอียดจนพูนชาม รอบๆ น้ำแข็งมีสตรอว์เบอร์รี่เสียบอยู่ บางขามก็เป็นเมล่อน เป็นส้มแมนดาริน แตกต่างกันออกไป
“บิงชูครับ เดี๋ยวนี้วัยรุ่นกับลังฮิตเลยนะครับ” ชานนท์ตอบออกมา “อยากกินเหรอครับ”
“เปล่าครับ” ปกรณ์ปฏิเสธอย่างมีฟอร์ม “ผมแค่สงสัยมันเหมือนกับน้ำแข็งใส แต่ก็ไม่น่าจะใช่”
“อร่อยมากๆ เลยล่ะครับ ป่ะ ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า ไว้เดี๋ยวผมพาวกกลับมากิน”
“ไม่ได้อยากกินสักหน่อย” ปกรณ์ตอบออกไปก่อนจะแกล้งสาวเท้าเดินนำไปข้างหน้า เลยทำให้เขาเป็นฝ่ายจูงมือชานนท์บ้าง
พอไปถึงโซนอาหารคาว... ก็มีร้านค้าหลายร้านจนเขาเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี
“คุณเลือกเลยนะครับ” ปกรณ์เอ่ยขึ้น
“งั้น...” ชานนท์ครุ่นคิด เขาเองก็ยังคงคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี “ไปกินนี่ละกันครับ”
ชานนท์เดินนำไปหยุดอยู่ที่ร้านร้านหนึ่ง มันเป็นร้านขายผัดไทยหอยทอด ทว่าแม้ตอนนี้จะเพิ่งหัวค่ำแต่ก็มีลูกค้านั่งอยู่จนเต็มร้าน
“คุณกินกุ้งได้ใช่ไหมครับ” ชานนท์หันไปถาม
“ได้ครับ” ปกรณ์ตอบออกมา
“พี่ครับ เอาผัดไทยกุ้งสดสองที่ครับ” ชานนท์หันไปสั่ง พอสั่งเสร็จก็มีลูกค้าลุกออกพอดีสองที่ เขาจึงรีบจูงมือปกรณ์ไปนั่งตรงนั้น
เนื่องจากลูกค้าเยอะ จึงใช้เวลารอค่อนข้างนานกว่าที่ผัดไทยจะมาเสิร์ฟ แต่พอมาเสิร์ฟก็ไม่ผิดหวัง สีสันของผัดไทยดูเข้มข้น และยิ่งไปกว่านั้นกุ้งที่อยู่ในจานผัดไทยถูกปาดครึ่งเพื่อให้รับประทานง่าย มันตัวอ้วนใหญ่เนื้อแน่นมาก... เพียงแค่เห็นก็ทำให้น้ำลายสอ ถึงกับต้องรีบลงมือชิม
รสชาติของผัดไทยไม่ทำให้ปกรณ์ผิดหวัง ถ้าไม่ติดกลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นคนมูมมามเขาคงสั่งเพิ่มอีกจานแล้ว
“เอาอีกจานไหมครับ” ชานนท์เอ่ยถามเหมือนรู้ใจ
“ไม่ครับ” ปกรณ์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทั้งๆ ที่อยากกินอีกจะแย่
“นะครับ นะนะ สั่งมาแล้วแบ่งกันคนละครึ่ง ผมยังไม่อิ่มเลย” ชานนท์เซ้าซี้ เขาพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายก็อยากกินอีกเหมือนกัน แต่ถ้าพูดตรงๆ คงมีฟอร์มไม่ยอมรับแน่จึงต้องใช้ไม้นี้
“ตามใจคุณละกัน”
ชานนท์รอบยิ้มออกมาในทันที เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินไปสั่งผัดไทยอีกจานแล้วรีบมากินจานของตัวเองต่อจนหมด นั่งรอสักพักผัดไทยจากใหม่ก็มาเสิร์ฟ
“เก็บจานเก่าเลยนะครับ” ชานนท์บอกพนักงาน หลังจากที่พนักงานเก็บจานไป ปกรณ์ก็เอ่ยถาม
“ยังไม่ได้แบ่งกันเลย แล้วจะกินกันยังไง”
“ก็... นี่ไง” ชานนท์ใช้ส้อมหมุนเส้นผัดไทยก่อนจะยกไปป้อนที่ปากของปกรณ์ “ป้อนกันคนละคำ กินสิครับ อ้ำเร็ว”
ปกรณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองหน้ากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามราวกับต้องการจะดุว่าเล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ แต่สุดท้ายเขาก็อ้าปากให้อีกฝ่ายป้อนแต่โดยดี
“เอาส้อมมา เดี๋ยวผมทำให้บ้าง”
พอชานนท์ยื่นส้อมให้ ปกรณ์ก็ใช้ส้อมหมุนเส้นผัดไทยก่อนจะป้อนอีกฝ่ายบ้าง ทั้งคู่นั่งป้อนผัดไทยให้กันโดยไม่เกรงใจสายตารอบข้างเลยสักนิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะรู้สึกอิจฉามากแค่ไหน ยิ่งถ้าใครไม่มีคู่ พอได้มาเห็นความน่ารักของคู่นี้แทบจะดิ้นตายอย่างกับเขียด แม้แต่พนักงานในร้านยังต้องแอบยกมือถือมาเก็บภาพการป้อนผัดไทยที่น่ารักๆ ของคนทั้งคู่เอาไว้
พออาหารหมดจาน พวกเขาทั้งคู่เพิ่งรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เพิ่งรู้สึกว่าโดนจับจ้องแต่ชั่วขณะทุกคนก็พยายามเลิกให้ความสนใจเพราะเห็นว่าพวกเขาเริ่มรู้ตัวแล้ว
“เมื่อกี้มันอะไรกัน” ปกรณ์เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ แต่ชานนท์พอที่จะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ช่างมันเถอะครับ ไปกินบิงชูกันต่อดีกว่า”
"ครับ"
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปจ่ายเงินก่อนที่จะออกจากร้านผัดไทยแล้วไปต่อที่ร้านขายบิงชู คราวนี้ปกรณ์รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะหน้าตาของของหวานชนิดนี้มันดูน่ากินและแปลกใหม่สำหรับเขา แต่เขาก็พยายามวางฟอร์มเอาไว้ไม่ให้ชานนท์จับได้
แต่มีหรือที่ชานนท์จะดูไม่ออก เพียงแค่มองสายตาของปกรณ์ปราดเดียว ก็รู้แล้วว่ากำลังตื่นเต้นที่จะได้ลองชิม แต่ชานนท์ก็เลือกที่จะเงียบไว้ไม่พูดอะไรเพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ไว้รอให้หายดีเมื่อไรค่อยแกล้งให้สมใจอยากอีกทีแล้วกัน
ทางด้านของประสิทธิ์ หลังจากที่เขาเดินทางกลับไปถึงบ้าน ฤทัยดีก็รีบวิ่งมาต้อนรับด้วยความใคร่รู้ทันที ความจริงหล่อนอยากจะไปที่บ้านเก่าด้วย แต่พอได้มาอยู่ที่นี่และเคยชินกับความสะดวกสบาย หล่อนก็ไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีก
“พี่คะ เป็นยังไงบ้างคะ” หล่อนถาม “ไปพบกันมาแล้วใช่ไหมคะ”
“ไปมาแล้ว” ประสิทธิ์ตอบออกมาแค่นั้นก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟานุ่มๆ ให้นั่ง
“เดี๋ยวฤทัยไปเอาน้ำให้นะคะ” หล่อนวิ่งเข้าไปในครัวทันที วันนี้รู้สึกอยากเอาใจสามีเป็นพิเศษ
“จะบอกกับฤทัยยังไงดีนะ” ประสิทธิ์พึมพำออกมา เขาพอจะดูออกว่าหล่อนนั้นคาดหวังแค่ไหนกับเรื่องนี้ เพราะหล่อนก็ค่อนข้างห่วงชื่อเสียงของตัวเองเช่นกัน
ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ฤทัยดีก็เดินกลับออกมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นที่ถูกรินจนเต็มแก้ว
“น้ำค่ะพี่” หล่อนยื่นให้
“ขอบใจ” ประสิทธิ์รับแก้วน้ำมาก่อนที่จะดื่มมันลงไปจนหมดแก้ว
“ปกรณ์ว่ายังไงบ้างคะ พี่ไปห้ามแล้วใช่ไหมคะ” ฤทัยดีเข้าเรื่องทันที เธอไม่อยากจะอ้อมค้อมให้เสียเวลา
“ไปห้ามมาแล้ว...” ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ฤทัยดีก็พูดแทรกขึ้นมา
“ดีค่ะ แค่นี้ฤทัยก็โล่งใจแล้วค่ะ จะปล่อยให้ปกรณ์ไปพบกับหมอจิตแพทย์แล้วเล่าเรื่องที่บ้านไม่ได้เด็ดขาดนะคะ ไม่งั้นพี่คงเสียชื่อเสียงแน่ๆ ค่ะ” หล่อนพูดออกมาอย่างมีความสุข ริมฝีปากที่ถูกทาด้วยลิปสติกสีพีชขยับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“ไม่ใช่นะฤทัย คือพี่ไปห้ามมันแล้ว... แต่พี่ห้ามไม่ได้” พอประโยคนี้จบลง รอยยิ้มของฤทัยดีก็หุบลงทันที แววตาของหล่อนเปลี่ยนไปเป็นความสับสน
“ทำไมคะ พี่ห้ามไม่ได้ หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงของหล่อนร้อนรน เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“พี่จะเล่ายังไงดี คือเรื่องมันยาว” ประสิทธิ์ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร อาการของปกรณ์มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือแต่มันก็มีอยู่จริง จากสิ่งที่เขาเห็น
“เล่ามาเถอะค่ะ” หล่อนเซ้าซี้
“คือมันเป็นโรคเครียดและย้ำคิดย้ำทำ มันเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ในอดีตจนจิตใจของมันอ่อนแอ มันก็เลยสร้างตัวตนของคนที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาเพื่อทำให้ตัวมันเองมีอาการดีขึ้น” ประสิทธิ์หยุดพูดแค่นั้น เพราะเขาพยายามจะเรียบเรียงราวให้กระชับและเข้าใจง่ายที่สุด
“ยังไงคะ ฤทัยไม่เข้าใจ งงไปหมดแล้ว สร้างตัวตนของคนที่ไม่มีตัวตนขึ้นมา” น้ำเสียงของฤทัยดีเริ่มอ่อนลงเพราะหล่อนกำลังสับสนกับสิ่งทีได้ฟัง
“ก็คือมันมองเห็นคนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง มันคุยกับอากาศ โดยที่เราไม่รู้เรื่อง แต่มันรู้เรื่องเพราะมันจิตใต้สำนึกของมันสร้างภาพให้มันมองเห็นคนที่กำลังคุยด้วย”
“ฤทัยเข้าใจแล้วค่ะ” หล่อนพยักหน้า “แล้วไงต่อคะ พี่ก็เลยยอม”
“ใช่... พี่กลัวมันจะบ้าแล้วไปทำร้ายคนอื่นเอา ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะยิ่งทำให้เราดูแย่ในสายตาคนอื่น เพราะถึงยังไงพี่ก็เป็นพ่อของมัน”
“อ่อค่ะ... งั้นฤทัยไปพักก่อนนะคะ พี่ก็อย่าคิดมากนะคะ” พอทราบเรื่องราวทั้งหมด หล่อนก็ไม่มีธุระอะไรที่จะต้องพูดคุยกับสามีอีกแล้ว
“เดี๋ยวก่อนฤทัย” ประสิทธิ์รู้สึกสงสัยว่าทำไมฤทัยดีไม่โต้แย้งอะไรออกมาสักคำ หรือเพราะหล่อนเองก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับปกรณ์อย่างนั้นหรือ
“คะ”
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” ประสิทธิ์ถามตรงๆ
“อ๋อ ไม่ค่ะ ฤทัยเข้าใจ” หล่อนตอบออกมาเพียงแค่นั้น
“งั้นก็ดี” ประสิทธิ์พยักหน้า “เธอจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ พี่เองก็ไม่มีธุระอะไรกับเธอแล้วเหมือนกัน”
“ค่ะ” ฤทัยดีตอบเพียงเท่านั้นก่อนที่จะเดินแยกจากไป
หล่อนเดินออกมาด้วยท่าทางที่ปกติเพราะไม่อยากให้ประสิทธิ์สงสัย ทว่าพอลับสายตามือของหล่อนก็กำแน่น ดวงตาของหล่อนเหลือกถลนก่อนที่จะกัดริมฝีปากของตัวเอง ...มีหรือที่คนอย่างหล่อนจะยอมให้มันจบง่ายๆ ปกรณ์จะต้องไม่ได้รับการรักษา ถ้ามันเข้ารับการรักษาเมื่อไร เรื่องเลวร้ายที่หล่อนได้กระทำอาจจะถูกเปิดเผย
เพราะฉะนั้นหล่อนจะต้องขัดขวางทุกวิถีทาง
จบตอน
