❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60  (อ่าน 37350 ครั้ง)

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
นรินทร์มาถูกเวลาเหลือเกินนนนน

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตายละ ปกรณ์เอ๊ย จะเป็นยังไงบ้างลูก ไปกะนรินทร์แบบนั้น
แล้วถ้าชานนท์ตามหาแล้วไม่เห็นนรินทร์ด้วยล่ะ
โอ๊สสสสส !!!

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
คุณพ่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ต่อหน้า ยังจะไม่ให้รักษาอยู่อีกไหม
หึหึ  มันร้ายแรงแล้วนะสำหรับอาการทางจิตเวช

ปกรณ์หนีไปไหนเนี่ย ขอให้ปลอดภัยนะ
หวังว่าชานนท์จะหาปกรณ์เจอ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ปกรณ์ลูกกกก

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 17



ชานนท์เบิกตาโพลงด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยินชื่อนั่น นรินทร์ไม่มีตัวตนอยู่จริง การที่ปกรณ์เครียดจนเจ้านั่นมาปรากฏให้เห็น นั่นหมายความว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่

   แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายวิ่งไปที่ไหน แต่ชานนท์ก็รีบวิ่งลัดเลาะไปตามตรอกซอยซอยต่างๆ ทันที ระหว่างที่วิ่งตามหาอยู่นั่นเขาก็พยายามกดเบอร์โทรศัพท์โทรหาแต่ทว่าก็ไม่มีคนรับ

   ทางด้านของปกรณ์... เขาวิ่งตามนรินทร์ไปตามซอยเล็กซอยน้อยจนกระทั่งไปหยุดอยู่หน้าบ้านร้างหลังหนึ่ง มีกำแพงรั้วกันไว้แต่มันก็ผุพังและมีช่องสำหรับมุดเข้าไปในนั้นได้อย่างสบายๆ

   “มาสิ” นรินทร์มุดลอดช่องนั้นเข้าไปก่อนแล้วหันมากวักมือเรียกปกรณ์ที่มีท่าทีลังเล

   ปกรณ์หยุดคิดสักพักก่อนจะมุดช่องกำแพงที่ผุพังนั้นเข้าไป ..เข้าไปในนั้นคงดีกว่าการที่ต้องไปปะทะความกดดันกับพ่อ

   บ้านร่างหลังนี้ดูอยู่ในซอยแคบ ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจร มันเป็นบ้านปูนสองชั้นขนาดไม่ใหญ่ไม่นัก ทางเดินเข้าบ้านมีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นจนรุงรัง มีเถาวัลย์ห้อยระโยงรยางค์ดูลึกลับราวกับบ้านร้างในหนังสยองขวัญ

   พอเดินเข้าไปข้างในก็พบกับประตูที่เปิดโล่ง พื้นบ้านเต็มไปด้วยฝุ่นทราย พอลองแหงนหน้ามองด้านบ่นก็เห็นหยากไย่เต็มเพดาน มีแมงมุมกำลังเกาะอยู่บนนั้นด้วย บริเวณหน้าต่างมีเศษกระจกแตะกระจัดกระจายอยู่บนพื้น

   “ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นขณะเดินไปหยุดอยู่บริเวณบันได

   บันได้ภายในบ้านทำมาจากไม้สักหากแต่เพราะถูกทิ้งร้างมานานจึงมีฝุ่นเกาะเป็นคาบดำทำให้ดูเก่า ปกรณ์ไม่แน่ใจว่ามันจะรับน้ำหนักของเขาได้ไหวไหม แต่พอเห็นนรินทร์เดินขึ้นไป... เขาก็เดินเต็ม

   มีเสียงออดแอดของไม้ขณะเดินขึ้นข้างบน ปกรณ์จับราวบันไดไว้แน่นขณะก้าวขาแต่ท้ายที่สุดเขาก็ขึ้นไปอยู่บนชั้นสองได้สำเร็จ

   “อยู่ที่นี่พ่อนายจะต้องตามหาไม่เจอแน่ๆ” นรินทร์เอนกายลงไปกับพื้นบ้านบนชั้นสอง

   “นายรู้ได้ไงว่าเรากำลังมีปัญหากับพ่อ” ปกรณ์เอ่ยถามก่อนจะเอนกายลงไปนอนกับพื้นบ้าง

   “เราแค่รู้สึกว่านายกำลังต้องการใครสักคนก็เท่านั้น” น้ำเสียงของนรินทร์แผ่วเบา “พักเถอะปกรณ์นายเหนื่อยมามากพอแล้ว”

   “แล้วนายไม่โกรธเราเรื่อง...” ปกรณ์นึกถึงเรื่องเมื่อตอนที่เจอกันครั้งก่อน นรินทร์ทำให้เขาฉุกคิดถึงเรื่องราวเมื่อตอนอายุ 2 ขวบ แล้วอยู่ๆ เขาก็หายไป

   “ต่อให้เราโกรธ เราก็เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนายไม่ได้อยู่ดี นายคงชอบเขามากเลยสินะ”  นรินทร์พูดออกมาอย่างรู้ดี เขาพูดตามความรู้สึกที่สัมผัสได้

   ปกรณ์ไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด ภาพของชานนท์ปรากฏในความคิด ตอนที่ถูกชานนท์โอบกอดจากด้านหลังมันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นที่สุดที่เขาเคยสัมผัส คืนนั้น... ถ้าชานนท์ไม่ออกตามหา ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้สภาพของเขาจะเป็นเช่นไร

   “อีกหน่อย... เราก็คงจะเจอกันน้อยลง” นรินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

   ปกรณ์หันไปมองร่างนั้นด้วยความรู้สึกสับสน ...เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีความรู้สึกว่านรินทร์กำลังจะจากเขาไป ไปในที่ที่ไกลแสนไกล ไปในที่ที่เขาไม่อาจพบเจอได้อีก

   “ทำไม นายจะทิ้งเราไปไหน”

   นรินทร์ยิ้มให้กับคนถาม เพราะเขาเองก็ไม่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้เหมือนกัน

         “สักวันหนึ่ง... นายจะเข้าใจมันได้เอง”

         หัวใจของปกรณ์เต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกราวกับว่าอนาคตอันใกล้จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับนรินทร์ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นรินทร์ก็คือเพื่อที่ดีที่สุด เป็นคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจเขามาโดยตลอด เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาจะไม่ยอมสูญเสียเพื่อนคนนี้ไปให้กับใครหน้าไหนแน่นอน

   ระหว่างนั้น ปกรณ์เพียงสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ จึงหยิบมันออกมาดูเมื่อเห็นว่าใครโทรมาเขาก็รีบกดรับสายทันที

   “คุณปกรณ์ คุณอยู่ที่ไหนครับ” เสียงของปลายสายกระหืดกระหอบเหมือนคนหายใจไม่ทัน

   “ผมอยู่บ้านครับ” ปกรณ์ตัดสินใจโกหกออกไปเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว “แล้วคุณอยู่ที่ไหน ทำไมเสียงคุณดูเหนื่อยจัง”

   “ผมกลับมาที่บ้านคุณ ผมรู้ว่าคุณวิ่งหนีคุณพ่อไป ตอนนี้ผมกำลังตามหาคุณ คุณอยู่ที่ไหนบอกผมที ผมจะรีบไปหา” ชานนท์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่อีกฝ่ายโกหก เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตของปกรณ์

   “ผมอยู่ที่บ้านร้างครับ อยู่ถัดจากซอยบ้านมาประมาณสี่ซอย ผมอธิบายเส้นทางไม่ถูก เดี๋ยวผมส่งโลเคชั่นเข้าไลน์ให้นะครับ” คราวนี้ปกรณ์พูดความจริง

   “ได้ครับ งั้นผมวางสายเลยนะ คุณรีบส่งมาเลยนะครับ แล้วรออยู่ที่นั่นอย่าเพิ่งไปไหน ผมจะรีบไปหา”

   “ครับ”

   สิ้นเสียง... ปกรณ์ก็กดวางสายทันทีแล้วรีบส่งแผนที่เส้นทางให้ตามที่รับปาก

   “งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะ” อยู่ๆ นรินทร์ก็เอ่ยขึ้น เหมือนรับรู้ความรู้ที่กำลังสับสนสึกในจิตใจของปกรณ์

   “นายจะไปไหน” แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น เขาก็ลังเลอยู่ดี ในใจลึกๆ ก็อยากแนะนำให้เพื่อนคนนี้ได้รู้จักกับชานนท์

   “เราเองก็ไม่แน่ใจ...” นรินทร์ตอบเสียงเบาก่อนจะลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งแล้วหันไปสบตากับคนที่ยังคงนอนราบกับพื้นบ้านอยู่ “นายตอบเรามาสิ ว่านายอยากให้เราอยู่ หรืออยากให้เราไป”

   คำพูดของนรินทร์ราวกับออกมาจากความคิดของปกรณ์ เขาเองก็กำลังถามใจตัวเองเหมือนกัน

   หากนรินทร์อยู่... ปกรณ์เองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ชานนท์ฟังอย่างไร เขารับปากกับชานนท์เอาไว้ว่าหากมีปัญหาอะไรให้รีบโทรหาแต่ก็ผิดสัญญาเพราะนรินทร์มาช่วยเอาไว้เสียก่อน เขากลัวว่าชานนท์จะเสียใจ หรือแค่กลัวว่าชานนท์จะพาลไม่มีเหตุผลแล้วไม่ชอบเพื่อนเขาคนนี้กันแน่

   แต่หากให้นรินทร์ไป... นรินทร์จะต้องเสียใจแน่นอน แม้เขาอาจจะบอกว่าไม่เป็นไรเข้าใจทุกอย่างดี แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ทำร้ายจิตใจเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจคนนี้มาโดยตลอด

   ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียความรู้สึกแน่นอน ปกรณ์ไม่ชอบเหตุการณ์ที่บีบคั้นแบบนี้เลยสักนิด นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขาอยู่ในฐานะคนกลาง ต้องเลือกต้องตัดสินใจสักทางเพื่อทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียใจน้อยที่สุด

   ‘คุณชานนท์ ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนมีเหตุผลมากพอ... มากพอที่จะเข้าใจนรินทร์’

   ปกรณ์ตัดสินใจได้แล้ว และคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาต้องยอมรับความจริง ยอมให้นรินทร์พบกับชานนท์ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะใช้เหตุผลเพื่ออธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ









   หลังจากที่ได้รับเส้นทาง ชานนท์ก็รีบวิ่งตามแผนที่ไปทันที เขาต้องวกกลับไปในเส้นทางที่ผ่านมาเพราะวิ่งเลยมาค่อนข้างไกลพอสมควร แม้จะเหนื่อยหอบแต่แรงก็ไม่ตกเพราะเส้นชัยในการวิ่งครั้งนี้คือ ‘ปกรณ์’ หากเป็นการช่วยเหลือปกรณ์ ต่อให้ต้องทำอะไรที่เหน็ดเหนื่อยมากกว่านี้หลายพันเท่าเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน

    ชานนท์ลัดเลาะตามซอยแคบๆ ไปจนกระทั่งไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง มันเป็นบ้านร้างสองชั้นที่สร้างหน้าบ้านรกรุงรังไปด้วยเถาวัลย์และกอหญ้า แผนที่แสดงว่าอีกฝ่ายอยู่ในบ้านหลังนี้

   โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ ความสว่างทำให้บ้านร้างดูน่ากลัวน้อยลง ชานนท์ไม่อยากคิดเลยว่าหากตอนนี้เป็นเวลากลางคืน เขาจะกล้าย่างกายเข้าไปข้างในหรือไม่

   เขารีบวิ่งฝ่าดงหญ้ารกร้างเข้าไป เมื่อไปถึงภายในบ้านเขาก็จะโกนเรียกชื่อของคนที่กำลังตามหาด้วยเสียงอันดังก้อง

   “คุณปกรณ์ คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”

   “ผมอยู่ชั้นบนครับ” อีกฝ่ายตอบกลับในทันที

   ได้ยินดังนั้น ชานนท์ก็รีบวิ่งขึ้นบันได ไม่สนสักนิดว่ามันจะเก่าผุพังแค่ไหน ขอแค่ได้เห็นกับตาว่าคนที่กำลังตามหากำลังปลอดภัย ไม่ได้รับอันตรายใดใดทั้งสิ้น

   พอขึ้นไปถึงชั้นบน... ชานนท์ก็พบกับร่างของปกรณ์กำลังนั่งพิงผนัง ไม่ต้องเสียเวลาคิด ร่างกายของเขาสั่งให้วิ่งเข้าไปหาแล้วโอบกอดร่างนั้นเอาไว้ด้วยความแนบแน่น

   “ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”

   ปกรณ์สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่ส่งผ่านมาทางน้ำเสียงและอ้อมกอดนั้น

   “ผมขอโทษ” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบา เขารู้ตัวว่าผิดที่ไม่ยอมโทรหาชานนท์หลังจากที่เกิดเรื่อง แต่เพราะเหตุการณ์มันรวดเร็วมาก เขาเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน

   “ไม่เป็นไร แค่คุณปลอดภัย ผมก็ดีใจแล้ว” ชานนท์ยังคงกอดอีกฝ่ายเอาไว้

   ปกรณ์ยอมให้อีกฝ่ายกอดนิ่งๆ จนพอใจ พอรู้สึกว่าอีกฝ่ายคลายอ้อมแขนออก เขาจึงหันหน้าไปมองนรินทร์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก

   นรินทร์พยักหน้าเบาๆ เหมือนเป็นสัญญาณว่าพร้อมที่จะรู้จักกับคนตรงหน้าแล้ว ดังนั้นปกรณ์จึงตัดสินใจแนะนำให้ชานนท์รู้จักกับเพื่อนสนิทคนนี้ทันที

   “คุณชานนท์ครับ ผมมีคนที่อยากแนะนำให้คุณรู้จัก”

   ชานนท์สะดุ้งทันทีเพราะตั้งแต่ที่ขึ้นมาบนนี้เขาก็ไม่เห็นใครสักคนนอกจากปกรณ์

   “ใครครับ”

   “เพื่อนของผม นรินทร์ครับ” ปกรณ์พยักพเยิดใบหน้าไปทางที่นรินทร์นั่งอยู่ ชานนท์เหลือบสายตาแล้วหันไปมองตามอย่างช้าๆ แต่พบเพียงความว่างเปล่า “เขาเป็นคนช่วยผมพาออกมาจากบ้านครับ คุณชานนท์อย่าเพิ่งดุเขานะ ถ้าไม่มีเขา... ผมเองอาจจะเสียสติเพราะถูกพ่อกดดันไปแล้ว ถ้าไม่มีเขาผมเองก็อาจไม่ได้มากอดกับคุณตรงนี้ คงไม่มีโอกาสรู้ว่ามีใครที่แสนดีอย่างคุณเป็นห่วงผมมากแค่ไหน และถ้าหากไม่มีเขาผมก็คงอดทนผ่านวันคืนที่เลวร้ายมาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ผมอยากให้เขารู้จักกับคุณนะครับ ผมไม่อยากเสียเขาไปครับ”

   ชานนท์โอบกอดปกรณ์เอาไว้แน่น ตัวของเขากำลังสั่นเทาเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้ฟัง จนในที่สุดความกดดันทั้งหมดปะทุออกมาเป็นหยดน้ำตา เขาข่มตาให้หลับลงแล้วภาวนา...

   เขาภาวนาขอให้นรินทร์มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ วอนฟ้าวอนสวรรค์ให้เห็นใจ ขอแค่มีใครสักคนก็ได้นั่งอยู่ตรงนั้น เขาไม่อยากลืมตาขึ้นมาแล้วมองเห็นกำแพงที่ว่างเปล่า ...แต่ทว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง ชานนท์ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาเพื่อสู้กับความจริงอีกครั้ง

...ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นเพราะคนที่ชื่อนรินทร์ไม่มีตัวตนมาตั้งแต่ต้น

   ชานนท์ควรจะทำอย่างไรต่อไป ควรเสแสร้งแกล้งทักทายกับกำแพงว่างเปล่าเพื่อให้ปกรณ์สบายใจดีไหม แต่หากทำแบบนั้นนั่นเท่ากับว่าเขากำลังวิ่งหนีโลกแห่งความเป็นจริง

   แต่หากบอกความจริงออกไปตอนนี้... ชานนท์ไม่อยากคิดเลยว่าจิตใจของปกรณ์จะเข้มแข็งพอที่จะแบกรับเรื่องทั้งหมดได้ไหม ปกรณ์เพิ่งพูดออกมาว่าไม่อยากเสียนรินทร์ไป และเขาก็ดูห่วงใยความรู้สึกของคนที่ไม่มีตัวตนคนนี้เหลือเกิน

        การที่ต้องพรากนรินทร์ออกไปจากความคิดของปกรณ์ มันคงไม่ต่างอะไรกับฆาตกรเลือดเย็น เขาทำมันไม่ลง

        “คุณชานนท์ คุณ... ร้องไห้เหรอครับ” หยาดน้ำตาหยดลงไปที่แก้มของอีกฝ่ายเพราะใบหน้าของพวกเขาแนบชิดกัน “ผมไม่ได้เป็นอะไร คุณเองก็ไม่ต้องร้องไห้นะครับ ดูสิ... นรินทร์มองใหญ่แล้ว ร้องไห้เป็นเด็กขี้แยไปได้”

         พอพูดถึงนรินทร์ร่างกายของชานนท์ก็ยิ่งตัวสั่นเทามากขึ้น เขาไม่อาจแบกรับความรู้สึกที่แสนกดดันแบบนี้ได้อีกต่อไป

        ชานนท์ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาก่อนจะผละใบหน้าออกแล้วมองคนตรงหน้าตาเขม็ง เขาฝืนยิ้มให้กับปกรณ์ทั้งที่ในใจกำลังรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย
“โอเค ผมไม่เป็นไรแล้ว ผมแค่เป็นห่วงคุณมากเกินไป”

         ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน... หลังจากนั้นชานนท์ก็หันหน้าไปมองกับกำแพงที่ว่างเปล่า มองในจุดที่ปกรณ์บอกว่านรินทร์นั่งอยู่ตรงนั้น

         ชานนท์ขยับริมฝีปากยิ้มอย่างช้าๆ สมองของเขาพยายามสั่งให้หยุดการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์หากต้องก้าวเข้าไปอยู่ในโลกที่ผู้มีอาการป่วยทางจิตสร้างขึ้นมา ...หากแต่หัวใจของเขากลับดื้อดึงแล้วสั่งให้ฝืนยิ้มต่อไป

          การที่ได้เห็นคนที่ตนเองรักมีความสุขและไม่ต้องพบกับความเสียใจนั้นเป็นสิ่งที่คนรักกันควรทำ

         “สวัสดีครับคุณนรินทร์” น้ำเสียงของชานนท์แผ่วเบา เขาแกล้งโค้งศีรษะลงเล็กน้อยโดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

         “สวัสดีครับคุณชานนท์” นรินทร์ตอบออกมาแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ปกรณ์เห็น “ผมฝากดูแลปกรณ์ต่อด้วยนะครับ เดี๋ยวผมต้องไปแล้ว... เราไปก่อนนะปกรณ์”

         “อ้าว... นายจะไปแล้วเหรอ” ปกรณ์เอ่ยขึ้นทันที

        “เราเพิ่งนึกได้ว่าเรามีธุระ ไปก่อนนะ”

          “โอเคๆ กลับบ้านดีๆ ล่ะ ขอบใจมากๆ นะสำหรับวันนี้ ถ้าไม่มีนายเราก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง”

         ชานนท์ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ก็พยายามเพ่งสายตาไปทางเดียวกับที่ปกรณ์มอง เพื่อทำให้ปกรณ์เชื่อว่าเขามองเห็นนรินทร์จริงๆ

         “ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลคุณปกรณ์” ชานนท์พูดออกมาเพื่อความสมจริง ก่อนจะเงียบลงแล้วข่มตาให้หลับ ใจนึกโทษตัวเองที่อ่อนแอเกินกว่าที่จะกล้าบอกความจริง

        ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าท้ายที่สุดก็หนีความจริงไม่พ้น สักวันปกรณ์ก็ต้องรับรู้กับความจริงข้อนี้อยู่ดี แต่กว่าจะถึงวันนั้น... ขอให้เขาได้เก็บรอยยิ้มมากกว่านี้จะได้ไหม เขาไม่อยากเห็นปกรณ์ต้องร้องไห้และเสียใจในช่วงเวลาที่สภาพจิตใจของปกรณ์เองก็ย่ำแย่
 
       ...เขามันก็คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขของตัวเองเท่านั้น เขาทำในสิ่งที่นักจิตวิทยาไม่ควรทำ ความเชื่อใจที่ปกรณ์มีให้มันคงพังทลายในวันที่ได้รับรู้ความจริง




จบตอน

ขอบคุณที่ติดตามครับ หวังว่าคงสนุกกับการอ่านนะครับ แม้นิยายออกจะเครียดเกินไป รึเปล่า? 555+





ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
เฮ้อ ยังดีที่ปกรณ์ไม่เป็นไร (บาดเจ็บทางกาย)
ชานนท์แกล้งเนียนไปแบบนี้จะดีหรอ
กลัวจะเกิดปัญหาในอนาคต
แต่อีกใจก็เข้าใจที่ทำเพราะไม่อยากให้ปกรณ์เสียใจหรือคิดมาก

คนอ่านเครียดแทน

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o12:

หน่วงสุดๆ ตอนจบพีคได้อีก
อึดอัดแทนชานนท์ เห็นใจ สงสาร
เข้าใจที่ชานนท์เลือกทำแบบนี้

เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ รอค่ะ กำลังสนุกเลย

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 18



ปกรณ์แปลกใจที่ชานนท์ยังคงตัวสั่นระริก ชานนท์ทำราวกับว่ารู้สึกเจ็บปวด เหมือนกำลังข่มความรู้สึกอะไรบางอย่างเอาไว้ในใจ การแสดงออกนี้ทำให้ปกรณ์รู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ และเข้าใจผิดไปว่าที่ชานนท์เป็นแบบนี้ก็เพราะเขาหนีออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้โทรบอกให้รู้


“คุณชานนท์ ผมจะพยายามมีสติให้มากขึ้น จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วนะครับ” ปกรณ์อยากบอกให้เขาหยุดร้องไห้สักที เขาสำนึกผิดจะแย่อยู่แล้วแต่ก็ไม่กล้า กลัวว่าอีกฝ่ายจะยิ่งคิดมาก


ทางด้านของชานนท์ หลังจากได้ยินในสิ่งที่ปกรณ์พูดเขาก็พยายามที่จะไม่คิดเรื่องนรินทร์ พอสติเริ่มกลับมา เขาก็ค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกเปลี่ยนเป็นจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้แทน

“คุณทะเลาะอะไรกับพ่อเหรอครับ” พอสติกลับมาก็สอบถามปัญหาทันที

“พ่อไม่อยากให้ผมรักษา บอกว่าผมอยู่คนเดียวเดี๋ยวก็ดีขึ้น แต่ความจริงคือ...” ปกรณ์หลบสายตาแล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว “เขาแค่เป็นห่วงชื่อเสียงตัวเอง กลัวจะถูกคนนินทาหากรู้ว่าลูกไปหาหมอโรคจิต”

ชานนท์พยักหน้ารับรู้ด้วยความเข้าใจ หลายครั้งที่คนในครอบครัวมักมีปัญหาเพราะแค่กลัวว่าจะโดนคนอื่นนินทา แต่หากปล่อยให้เรื้อรัง อาการก็จะยิ่งหนักขึ้นและยากเกินจะเยียวยา พอรักษาไม่ทันผู้ป่วยก็อาจทำอะไรที่ขาดสติจนทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือโดนนินทามากกว่าเดิม

“แล้วคุณตัดสินใจยังไงครับ” ชานนท์อยากรู้ความคิดของอีกฝ่ายจึงลองถาม

 “ผมอยากรักษาต่อ” ปกรณ์ตอบออกมาแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด “แต่พอพ่อบอกแบบนั้น ผมก็ไม่กล้า ผมไม่รู้ ผมตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป”

“แล้วพ่อคุณบอกไหมครับว่าถ้ารักษาต่อ พ่อคุณจะทำยังไงกับคุณ”

“เปล่าครับ ผมวิ่งหนีออกมาก่อน ผมกดดันจนทำอะไรไม่ถูก”

“โอเค ผมเข้าใจละ เดี๋ยวผมจะลองคุยกับพ่อคุณเอง”

คำพูดของชานนท์ทำให้ปกรณ์ถึงกับสะดุ้ง ปกรณ์กลัวพ่อจะไม่พอใจและอาจเกลียดชานนท์ได้หากไปพูดโน้มน้าวในเรื่องของเขา ถึงอย่างไรพ่อก็ห่วงชื่อเสียงของตัวเองมากกว่าลูกที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดมาอย่างเขา

“พ่อไม่มีวันเข้าใจหรอกครับ” ปกรณ์พูดเสียงแผ่วเบา

“ผมจะทำให้พ่อของคุณเข้าใจเอง กลับบ้านกันเถอะครับ”

“ผมไม่อยากกลับ ผมกลัว...” ปกรณ์ไม่อยากเผชิญหน้ากับพ่อ เขากลัวการโดนคาดคั้น กดดันให้ตอบคำถามในสิ่งที่คิดแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้

“คุณต้องเชื่อใจผมนะครับ” ชานนท์ทำน้ำเสียงผ่อนคลาย สีหน้าของเขาดีขึ้นเมื่อไม่นึกถึงเรื่องของนรินทร์ “ผมเป็นนักจิตวิทยานะครับ ผมมีวิธีที่จะทำให้พ่อคุณยอมเชื่อผมแน่นอน”

“แล้วคุณจะทำยังไงครับ” ปกรณ์เอ่ยถามเพราะไม่มั่นใจ

“ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ครับ ผมต้องได้ลองคุยและดูท่าทีคุณพ่อของคุณก่อน”

“งั้นก็ยังไม่ชัวร์สิครับว่าจะสำเร็จ” เสียงของปกรณ์แผ่วลงอีกแล้ว

“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าผมมีวิธี” ชานนท์ยิ้มออกมา สายตาของเขาไม่มีความกังวลอยู่ในนั้น

“แล้วถ้าพ่อไม่ยอมล่ะ” ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องคิดเผื่อไว้สองด้านเสมอเผื่อมีอะไรผิดแผน ใช่ว่าทุกเรื่องจะต้องสำเร็จเสมอไป

“ผมก็จะพาคุณหนี... หนีไปอยู่กับผม ดีไหมล่ะครับ” ชานนท์ยิ้มแฉ่ง “พอคิดแบบนี้ผมก็ชักอยากจะไม่ให้พ่อยอมเข้าใจแล้วสิครับ จะได้พาคุณไปอยู่ด้วยกัน”

“คุณก็...” ปกรณ์หลุดขำ คนๆ นี้มักทำให้เขาเผลอยิ้มหรือหัวเราะออกมาได้เสมอ “แล้วถ้าพ่อยอมให้ผมรักษา แต่ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมไปอยู่กับคุณตั้งแต่ตอนนี้เลยได้ไหมครับ”

“หือ.. ว่าไงนะครับ” ชานนท์อ้าปากค้าง แกล้งทำตาโตราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินก่อนจะหลุดขำออกมาเช่นกัน “นี่คุณกำลังคิดหนีตามผู้ชายนะครับเนี่ย ว้าว... เห็นเงียบๆ แบบนี้แต่ร้ายไม่เบาเลยนะครับ”

“ก็คุณอ่อยผมก่อน” ปกรณ์เถียง

“ผมอ่อยอะไรผมแค่เสนอ” ชานนท์เถียงกลับ

“ผมก็สนองไงครับ แล้วก็เสนอด้วยเหมือนกัน” ปกรณ์เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันจนชานนท์ต้องหัวเราะออกมาอีกครั้งกับท่าทีนั่น
“ได้สิครับ” สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ “ถ้าคุณไม่คิดมาก ผมก็อยากให้คุณไปอยู่กับผมเหมือนกัน”

“ผมไม่คิดมากหรอกครับ” ปกรณ์ยิ้มออกมา “แต่ก็คงได้อยู่ด้วยกันแป๊บเดียวใช่ไหมครับ เพราะพอรักษา หมอก็คงให้ผมนอนแยกที่โรงพยาบาล”

“ครับ” ชานนท์พยักหน้า พอคิดถึงเรื่องนั้นเขาก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนเห็นภาพระหว่างการรักษาได้สักแค่ไหน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ที่จะต้องทนเห็นคนที่ตัวเองรักอาจต้องเจ็บปวดร้องไห้และสติสตังอาจหลุดลอยไปขณะที่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่แสนเจ็บปวด

“งั้นก็ไปกันเถอะครับ ไปคุยกับพ่อกัน” ปกรณ์ยั้งกายให้ลุกขึ้น

“ครับ” ชานนท์ลุกขึ้นตาม หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันออกจากบ้านร้างแล้วเดินกลับไปยังบ้านของปกรณ์





ภายในบ้าน... ชายวัยกลางคนยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เขานั่งนิ่ง ไม่ไหวติง ไม่แสดงความรู้สึกออกทางสีหน้าจึงทำให้ปกรณ์และชานนท์ที่เดินเข้าไปข้างในนั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ประสิทธิ์แหงนหน้าขึ้นมองลองชายอย่างพิจารณา ใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึม พอเห็นว่าลูกชายและเพื่อนเดินอ้อมไปนั่งที่โซฟาอีกฝั่ง เขาจึงเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน

“เมื่อกี้แกทำอะไรของแก แกวิ่งออกไปทำไม”

“คือผม...” ปกรณ์หลบสายตา ทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อ เขาถึงไม่สามารถพูดออกไปในสิ่งที่คิดได้

“ให้คุณปกรณ์ขึ้นไปพักก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมลงมาคุยกับคุณพ่อเอง” ชานนท์เอ่ยแทรกเมื่อเห็นท่าทีที่อึดอัด

“แล้วนายเป็นใคร รู้จักกับปกรณ์ได้ยังไง” ประสิทธิ์นึกสงสัยมาตั้งแต่แรกเห็น ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมจึงได้มีท่าทีสนิทสนมกับลูกชายของตน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ปกรณ์ไม่เคยมีเพื่อนสนิทแม้แต่คนเดียว

“ผมเป็นนักจิตวิทยา ทำงานอยู่โรงพยาบาลที่คุณปกรณ์เข้ารับการรักษาครับ” แล้วคำตอบของชานนท์ก็ช่วยคลายข้อสงสัย ประสิทธิ์จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“งั้นพามันขึ้นไปพัก แล้วค่อยกลับลงมาคุยกัน”

“ครับ”

ปกรณ์กับชานนท์ลุกจากที่นั่งแล้วเดินขึ้นไปชั้นสองแล้วเข้าห้องนอนในทันที

“คุณจะลงไปคุยกับพ่ออีกจริงๆ เหรอ” ปกรณ์ถาม

“ครับ ทำไมเหรอ” ชานนท์ขมวดคิ้วด้วยความฉงน

“ผมกลัวพ่อไม่เข้าใจ”

“พ่อต้องเข้าใจ” ชานนท์เชื่ออย่างนั้น

“แล้วถ้าไม่เข้าใจ แล้วพาลไม่พอใจแล้วไล่คุณออกจากบ้านล่ะ” ปกรณ์กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ

“ผมก็จะขึ้นมาหาคุณ แล้วหนีออกจากบ้านไปด้วยกัน” ชานนท์ตอบหน้าซื่อ

“โถ่... คุณ ผมไม่ขำนะ ผมจริงจัง” ปกรณ์กังวลว่าชานนท์จะโดนไล่ตะเพิดก่อนที่จะมีโอกาสได้วิ่งขึ้นมาน่ะสิ

“ผมก็จริงจังครับ ถ้ามันไม่เป็นไปตามอย่างที่ผมคิด ผมก็จะขึ้นมารับคุณแล้วออกไปด้วยกัน” น้ำเสียงของชานนท์หนักแน่น “ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหนแน่นอน”

“แล้วถ้าพ่อไม่ยอม พ่อห้ามแล้วขึ้นมาเอาตัวผมไปก่อนล่ะ” ปกรณ์เริ่มมโนภาพไปต่างๆ นานา

“คุณบอกผมเองไม่ใช่เหรอ ถึงยังไงพ่อก็ไม่เคยลงมือทำร้ายคุณ จากที่ผมสังเกตมาผมรู้สึกว่าในใจลึกๆ ของท่าน เขารู้สึกผิดต่อคุณอยู่นะครับ ผมนึกว่าเขาจะน่ากลัวกว่านี้ซะอีก” ชานนท์ตอบออกมาตามที่คิด

“เมื่อก่อนพ่อน่ากลัวมากจริงๆ นะครับ ตอนที่ทำกับแม่” ปกรณ์ก็ตอบตามความจริงแต่ไม่อธิบายให้ฟังทั้งหมด “แต่เพราะเขารังเกียจผมเลยไม่อยากถูกเนื้อต้องตัวผมมากกว่า”

“งั้นคุณก็คงไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ ว่าเขาจะมารับตัวคุณไปก่อนผม” ชานนท์เอ่ยยิ้มๆ แต่ก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะยินดีกับการที่พ่อลูกไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน “งั้นคุณพักให้สบายนะครับ ผมลงไปคุยกับพ่อคุณก่อนนะ ปล่อยให้รอนานมันจะเสียมารยาทเกินไป”

“ได้ครับ” ปกรณ์พยักหน้า พอชานนท์จะเปิดประตูห้อง เขาก็รีบร้องห้าม “เดี๋ยวก่อน”

“ครับ” ชานนท์หันหน้ากลับไปมอง

“ผมจะรอคุณอยู่ข้างบนนะครับ” ปกรณ์ตอบออกมาแบบนั้น เป็นสัญญาณบ่งบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้กลับขึ้นมาหาเขาบนนี้ด้วย

“ครับผม” ชานนท์ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้อีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ชานนท์มุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่นทันที เขาโค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินก้มๆ หน้าแล้วไปนั่งยังโซฟาตัวเดิม

“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปกรณ์วิ่งหนีทำไม แล้วนรินทร์คือใคร” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามทันที สีหน้าของเขาฉายชัดถึงความไม่เข้าใจ ทั้งกังวลและสงสัย ผิดกับเมื่อครู่ที่พยายามปั้นหน้านิ่งเพราะอยู่ต่อหน้าปกรณ์

“ผมขอตอบทีละคำถามนะครับ ข้อแรกมันเกิดอะไรขึ้น ปกรณ์มีความเครียดครับ ความเครียดที่เกิดขึ้นทำให้เขามีอาการทางจิต เขาจะไม่สามารถรับมือกับความกดดันได้ ข้อสองปกรณ์วิ่งหนีทำไม เพราะเขารู้สึกถูกกดดันจากคุณพ่อครับ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้นคุณพ่อต้องคิดเอาเองนะครับ เรื่องของครอบครัวผมจะไม่พยายามเข้าไปยุ่ง ส่วนข้อสุดท้าย ปกรณ์หนีไปกับใคร...”

ชานนท์หยุดพูดชั่วขณะ เขาเลื่อนสายตาสังเกตกับชายวัยกลางคนเพื่อที่จะจับอาการดูว่าคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ และสายตาและท่าทางของประสิทธิ์ก็แสดงออกชัดเจนว่าสนใจระคนไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ไม่มีท่าทีต่อต้านแม้แต่นิดเดียว

“ปกรณ์หนีไปกับนรินทร์ครับ ซึ่งนรินทร์เป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตน ปกรณ์สร้างคนคนนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะปกป้องความรู้สึกที่อ่อนแอของเขา ในเวลาที่เขาเครียด ท้อแท้ คิดมาก สิ้นหวัง กดดัน ไม่มีใครที่เข้าใจหรือไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ปกรณ์จะมองเห็นนรินทร์ นรินทร์จะเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเมื่ออยู่ใกล้ นรินทร์เปรียบเสมือนบุคคลที่เขาต้องการให้มีใครที่เข้าใจเขาแบบนี้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เขาไม่สามารถหาคนแบบนี้ได้ เขาจึงคิดและมโนภาพของนรินทร์ขึ้นมา ...ส่วนพวกเรา จะไม่มีวันมองเห็นและสัมผัสถึงคนคนนั้นได้เลยครับ”

“คุณหมายความว่า...” ชายวัยกลางคนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอขณะที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด “เพราะความเครียดทำให้เจ้านั่นสร้างคนขึ้นมาหนึ่งคนเพื่อที่จะเป็นเพื่อน เพื่อที่จะรับฟังมันในเวลาที่มันต้องการใครสักคนอย่างนั้นเหรอ”
“ประมาณนั้นครับ” ชานนท์ตอบออกมา “ไม่ใช่แค่หนึ่งคนนะครับ คุณปกรณ์ยังสร้างคนขึ้นมาอีกหนึ่งคน ชื่อน้องปาณัฐ แต่เด็กคนนั้นจะปรากฏในเวลาที่เขาสบายใจ มีความสุข เด็กคนนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับฟังสิ่งดีๆ ในชีวิตของเขาครับ เป็นอีกหนึ่งด้านที่แตกต่างจากนรินทร์”

ได้ยินดังนั้น ประสิทธิ์ก็ตกใจยิ่งขึ้น

“แล้วถ้าไม่ได้รับการรักษา มันจะเป็นยังไง”

“คุณปกรณ์ก็จะติดอยู่ในโลกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาครับ... ต่อไปเขาอาจจะมองไม่เห็นใคร ค่อยๆ ลืมคนรอบข้างและติดอยู่ในโลกที่มีแต่นรินทร์กับปาณัฐ เขาจะพูดคุยแค่กับสองคนนั้นที่เขาเชื่อใจ แต่ในมุมมองของคนทั่วไปอย่างเราๆ ผมต้องขอโทษนะครับที่พูดตรงๆ คนทั่วไปจะมองว่าเขาบ้า ที่เอาแต่คุยคนเดียวน่ะครับ หรือบางทีเขาอาจจะมองคนอื่นเป็นศัตรูแล้วเผลอทำร้ายขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ครับ”

“แล้วถ้ามันรักษา มันจะมีโอกาสหายใช่ไหม แล้วเรื่องที่มันเครียด มันจะต้องพูดออกมาให้หมอและคุณฟังหมดทุกเรื่องเลยใช่ไหม” ชายวัยกลางคนมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด คงกำลังห่วงเรื่องนี้สินะ

“ครับ... แต่จรรยาบรรณของคนที่ทำงานในแผนกจิตเวช เราจะไม่เอาเรื่องผู้ป่วยและคนในครอบครัวของผู้ป่วยไปพูดแน่นอนครับ แม้แต่พยาบาลก็ไม่รู้ครับ” ชานนท์ตอบออกมา

“งั้นก็หมายความว่าจะรู้แค่หมอที่รักษากับคุณแค่สองคนใช่ไหม” ชายวัยกลางคนถามย้ำ

“แค่สองคนครับหรืออาจจะมากกว่านั้นหากจำเป็นต้องมีคนช่วย แต่ไม่ใช่ผม... ถ้าเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หมอจะเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยาที่ดูแลคุณปกรณ์เพราะคุณปกรณ์ขอร้องเนื่องจากสนิทกับผมมากเกินไป กลัวว่าจะกล้าต่อรองเลยทำให้ผมเองก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งก้าวก่ายขณะที่กำลังทำการรักษาได้ครับ” ชานนท์ตอบออกไปตรงๆ

ประสิทธิ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ชานนท์จ้องชายวัยกลางคนเขม็งเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะยอมดีๆ หรือไม่

“ความจริงฉันเองก็รู้นะว่าฉันเป็นพ่อที่แย่กับมัน แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมากถึงขนาดทำให้มันต้องอาการแย่ขนาดนี้” ประสิทธิ์ตอบออกมา มีหลายครอบครัวที่คนเป็นพ่อแย่กับลูกมากกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ลูกเขาก็ยังไม่เครียดจนมีสภาวะป่วยทางจิตขนาดนี้ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ หรือมีอะไรที่เขายังไม่รู้ “ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนให้คุณดูแลปกรณ์ด้วย และคงต้องขอร้องจริงๆ ไม่ว่ามันจะพูดอะไรออกมาให้เก็บไว้เป็นความลับ อย่าเอาไปเปิดเผย”

“ไว้ใจได้เลยครับ” ชานนท์ยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัย พ่อของปกรณ์เข้าใจอะไรง่ายดายกว่าที่คิด บางทีความผิดพลาดที่เคยทำมาในอดีตอาจจะทำให้เขาเริ่มสำนึกได้ คนเราเกิดมาก็แค่หนึ่งครั้งไม่รู้จะมีชีวิตไปอีกยาวนานแค่ไหน พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้

ประสิทธิ์พยักหน้าเมื่อเห็นท่าทีที่จริงใจของอีกฝ่าย แม้อาจจะโดนคนรอบข้างนินทาว่ามีลูกชายเข้าไปพบหมอโรคจิตแต่นั่นมันก็เล็กน้อย ความจริงชีวิตเขาก็โดนนินทามาเกือบชั่วชีวิตอยู่แล้ว ความลำบากใจที่หนักที่สุดตอนนี้ก็คือเมื่อคิดถึงหน้าของฤทัยดี หล่อนจะรู้สึกอย่างไรหากเขากลับไปบอกว่ายอมให้ปกรณ์รักษาต่อไป...





จบตอน


ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่ไว้ใจเลย ถึงพ่อจะยอมแล้ว แต่เอ่ยถึงฤทัยดีแปลกๆๆ
รอตอนหน้านะคะ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
คิดไปถึงตอนที่ปกรณ์ ต้องรู้ว่าที่ผ่านมาคนที่อยู่ข้างๆทั้งสองคน ไม่มีตัวตน เราก็เศร้าเเล้ว :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 19

ชานนท์เดินไปส่งประสิทธิ์ที่หน้าบ้านราวกับเป็นเจ้าของบ้านส่วนอีกฝ่ายเป็นแค่แขกผู้มาเยือน แต่เจ้าของบ้านตัวจริงก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะถึงอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะยกบ้านหลังนี้ให้ปกรณ์อยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกอีกต่อไปว่านี่คือบ้านของตัวเอง

หลังจากที่ประสิทธิ์จากไป ชานนท์ก็รีบเดินกลับขึ้นไปหาปกรณ์บนห้องนอนทันที

“พ่อกลับไปแล้วเหรอครับ” ปกรณ์รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปถามเมื่อเห็นคนที่เขาเฝ้ารอกลับขึ้นมาบนห้อง

“ครับ” ชานนท์ตอบ

“พ่อว่าไงบ้างครับ พ่อยอมให้ผมรักษาไหม” ปกรณ์คาดคั้น เขารู้สึกกระวนกระวายกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง

“นี่คุณไม่เชื่อใจนักจิตวิทยาอย่างผมเหรอครับ” ชานนท์กอดอกเก๊กท่าก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงร้อนรน “ยอมสิครับ”

“จริงเหรอครับ” ปกรณ์ไม่อยากจะเชื่อ “คุณคุยอะไรกันบ้างเนี่ย พ่อผมยอมได้ยังไง”

“มันเป็นความลับระหว่างผมกับพ่อคุณครับ” ชานนท์ยักคิ้ว

“ไม่ได้ไปขู่อะไรพ่อผมใช่ไหม” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอกเหตุผล เขาก็เริ่มระแวง

“คุณมองผมเป็นคนยังไงกันครับเนี่ย อย่างผมเนี่ยนะจะไปขู่ใคร” ชานนท์แกล้งทำน้ำเสียงตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ

“ก็ขู่ผมไง ชอบแกล้งผมดีนัก ครั้งก่อนก็เกือบจูบผมตรงนั้น” ปกรณ์รีบยกมือขึ้นมาปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ‘พูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย’

“ตรงไหนนะครับ” ชานนท์แกล้งลากอีกฝ่ายไปยังจุดที่ว่านั่น ส่วนปกรณ์ก็พยายามต่อสู้โดยยื้อร่างเอาไว้จนชานนท์ต้องยอมแพ้

“ผมหิวแล้ว ออกไปหาไรกินกันดีกว่าครับ” ปกรณ์พยายามเปลี่ยนเรื่อง

“งั้นเก็บของออกไปเลยดีไหมครับ คืนนี้ก็ไปค้างที่ห้องผมเลย พรุ่งนี้ก็จะได้ไปพบหมอด้วยกัน” ชานนท์เสนอ

“ก็ได้ครับ” ปกรณ์พยักหน้าตกลง ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ในตู้เสื้อผ้าออกมาแล้ววางมันไว้ที่พื้น “ผมควรจะเอาอะไรไปบ้างครับเนี่ย”

“ก็แล้วแต่เลยครับ เอาเสื้อกับกางเกงไปเผื่อสักอย่างละสามสี่ตัวก็พอครับ ยังไงคุณก็ต้องใส่ชุดผู้ป่วยของโรงบาลอยู่ดี” ชานนท์ตอบออกมา ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วรีบถอนหายใจ

ไม่เข้าใจตัวเองสักนิด ทำไมถึงรู้สึกใจหวิวแปลกๆ พอรู้ว่าปกรณ์จะต้องเข้ารับการรักษาจริงๆ เพราะการรักษาควบคู่กับยาที่หมอให้มันจะส่งผลให้สติของเขาเลื่อนลอยแต่สงบลง กล้าพูดในสิ่งที่คิด กล้าพูดความจริง แต่มันก็ต้องทรมานมากๆ เมื่อต้องรับรู้ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องของปาณัฐและนรินทร์ และระหว่างการรักษา หากโชคร้ายฤทธิ์ของยาอาจทำให้ปกรณ์อาจจำชานนท์ไม่ได้ด้วยซ้ำ

“งั้นคุณช่วยเลือกให้ผมหน่อยสิครับ” ปกรณ์เดินมาใกล้ๆ แล้วสบตากับคนที่กำลังคุยด้วย เขาทำสายตาออดอ้อนสุดพลัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ อาจเพราะชานนท์ทำให้เขาเชื่อใจและด้วยนิสัยที่เป็นสุภาพบุรุษทำให้หัวใจและความรู้สึกของเขาไม่คิดต่อต้านคนคนนี้เลย

“ได้ครับ” ชานนท์ใจอ่อนทันทีที่เห็น แววตาออดอ้อนคู่นั้นสะกดใจเขาอยู่หมัดทันที จนเขาไม่รู้ว่าถ้าเจอสายตาแบบนี้อีกครั้งเขาจะใจแข็งและเอาชนะได้อย่างไร

หลังจากที่พับเสื้อผ้าเสร็จ ชานนท์ก็ยกกระเป๋าขึ้นมาสะพายทันที

“เดี๋ยวผมสะพายให้นะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว” ปกรณ์ปฏิเสธ พยายามจะแย่งกระเป๋ากลับคืนมา แต่ชานนท์ก็เอามือขวางไว้

เมื่อเห็นว่าปกรณ์ไม่ยอมแพ้ เขาจึงคว้าร่างที่กำลังพยายามยื้อแย้งกระเป๋ามากอดหมับเอาไว้แน่น

“ผมบอกว่าผมจะสะพายให้” ชานนท์โน้มหน้าไปกระซิบที่ข้างหูด้วยความรวดเร็วด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะดิ้นหลุดออกไปเสียก่อน

“ครับ” น้ำเสียงของปกรณ์ตะกุกตะกักไม่คิดว่าจะโดนอีกฝ่ายใช้ไม้นี้ “ปล่อยได้แล้ว”

ชานนท์ขำออกมาก่อนที่จะค่อยๆ คลายอ้อมกอดอย่างผู้มีชัย

พวกเขานั่งรถประจำทางเพื่อที่จะไปแหล่งท่องเที่ยวใจกลางเมือง ไปในที่ที่คนพลุกพล่านจะได้มีของกินอร่อยๆ ให้เลือกสรร

หลังจากที่ลงจากรถ ชานนท์ก็จับมือปกรณ์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย เขาไม่แคร์สายตาว่าใครจะมองอย่างไร ขอแค่มีคนที่เขาแคร์ที่สุดอยู่ข้างๆ กันก็พอ

ที่นี่เป็นตลาดนัดกลางคืน มีร้านค้าตั้งอยู่ตามทางเดินตลอดทาง ผู้คนแน่นขนัด แม้จะรู้สึกอึดอัดไปบ้างแต่มันก็เป็นการเปิดหูเปิดตาที่ดีทีเดียว
ปกรณ์ไม่เคยมาในที่แบบนี้ ทุกอย่างดูแปลกใหม่จนทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น มีเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่นที่เขาไม่เคยเห็นหลายอย่างวางขายตามร้าน โซนขายอาหารก็มีเมนูแปลกๆ ที่ไม่เคยลองหลายอย่าง

“ไอ้นั่นคืออะไรครับ” ปกรณ์หันไปสนใจกับของหวานชนิดหนึ่ง มันอยู่ภายในถ้วยขนาดใหญ่แต่มีน้ำแข็งเม็ดละเอียดจนพูนชาม รอบๆ น้ำแข็งมีสตรอว์เบอร์รี่เสียบอยู่ บางขามก็เป็นเมล่อน เป็นส้มแมนดาริน แตกต่างกันออกไป

“บิงชูครับ เดี๋ยวนี้วัยรุ่นกับลังฮิตเลยนะครับ” ชานนท์ตอบออกมา “อยากกินเหรอครับ”

“เปล่าครับ” ปกรณ์ปฏิเสธอย่างมีฟอร์ม “ผมแค่สงสัยมันเหมือนกับน้ำแข็งใส แต่ก็ไม่น่าจะใช่”

“อร่อยมากๆ เลยล่ะครับ ป่ะ ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า ไว้เดี๋ยวผมพาวกกลับมากิน”

“ไม่ได้อยากกินสักหน่อย” ปกรณ์ตอบออกไปก่อนจะแกล้งสาวเท้าเดินนำไปข้างหน้า เลยทำให้เขาเป็นฝ่ายจูงมือชานนท์บ้าง

พอไปถึงโซนอาหารคาว... ก็มีร้านค้าหลายร้านจนเขาเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี

“คุณเลือกเลยนะครับ” ปกรณ์เอ่ยขึ้น

“งั้น...” ชานนท์ครุ่นคิด เขาเองก็ยังคงคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี “ไปกินนี่ละกันครับ”

ชานนท์เดินนำไปหยุดอยู่ที่ร้านร้านหนึ่ง มันเป็นร้านขายผัดไทยหอยทอด ทว่าแม้ตอนนี้จะเพิ่งหัวค่ำแต่ก็มีลูกค้านั่งอยู่จนเต็มร้าน

“คุณกินกุ้งได้ใช่ไหมครับ” ชานนท์หันไปถาม

“ได้ครับ” ปกรณ์ตอบออกมา

“พี่ครับ เอาผัดไทยกุ้งสดสองที่ครับ” ชานนท์หันไปสั่ง พอสั่งเสร็จก็มีลูกค้าลุกออกพอดีสองที่ เขาจึงรีบจูงมือปกรณ์ไปนั่งตรงนั้น

เนื่องจากลูกค้าเยอะ จึงใช้เวลารอค่อนข้างนานกว่าที่ผัดไทยจะมาเสิร์ฟ แต่พอมาเสิร์ฟก็ไม่ผิดหวัง สีสันของผัดไทยดูเข้มข้น และยิ่งไปกว่านั้นกุ้งที่อยู่ในจานผัดไทยถูกปาดครึ่งเพื่อให้รับประทานง่าย มันตัวอ้วนใหญ่เนื้อแน่นมาก... เพียงแค่เห็นก็ทำให้น้ำลายสอ ถึงกับต้องรีบลงมือชิม
รสชาติของผัดไทยไม่ทำให้ปกรณ์ผิดหวัง ถ้าไม่ติดกลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นคนมูมมามเขาคงสั่งเพิ่มอีกจานแล้ว

“เอาอีกจานไหมครับ” ชานนท์เอ่ยถามเหมือนรู้ใจ

“ไม่ครับ” ปกรณ์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทั้งๆ ที่อยากกินอีกจะแย่

“นะครับ นะนะ สั่งมาแล้วแบ่งกันคนละครึ่ง ผมยังไม่อิ่มเลย” ชานนท์เซ้าซี้ เขาพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายก็อยากกินอีกเหมือนกัน แต่ถ้าพูดตรงๆ คงมีฟอร์มไม่ยอมรับแน่จึงต้องใช้ไม้นี้

   “ตามใจคุณละกัน”

   ชานนท์รอบยิ้มออกมาในทันที เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินไปสั่งผัดไทยอีกจานแล้วรีบมากินจานของตัวเองต่อจนหมด นั่งรอสักพักผัดไทยจากใหม่ก็มาเสิร์ฟ

   “เก็บจานเก่าเลยนะครับ” ชานนท์บอกพนักงาน หลังจากที่พนักงานเก็บจานไป ปกรณ์ก็เอ่ยถาม

   “ยังไม่ได้แบ่งกันเลย แล้วจะกินกันยังไง”

   “ก็... นี่ไง” ชานนท์ใช้ส้อมหมุนเส้นผัดไทยก่อนจะยกไปป้อนที่ปากของปกรณ์ “ป้อนกันคนละคำ กินสิครับ อ้ำเร็ว”

   ปกรณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองหน้ากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามราวกับต้องการจะดุว่าเล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ แต่สุดท้ายเขาก็อ้าปากให้อีกฝ่ายป้อนแต่โดยดี

   “เอาส้อมมา เดี๋ยวผมทำให้บ้าง”

   พอชานนท์ยื่นส้อมให้ ปกรณ์ก็ใช้ส้อมหมุนเส้นผัดไทยก่อนจะป้อนอีกฝ่ายบ้าง ทั้งคู่นั่งป้อนผัดไทยให้กันโดยไม่เกรงใจสายตารอบข้างเลยสักนิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะรู้สึกอิจฉามากแค่ไหน ยิ่งถ้าใครไม่มีคู่ พอได้มาเห็นความน่ารักของคู่นี้แทบจะดิ้นตายอย่างกับเขียด แม้แต่พนักงานในร้านยังต้องแอบยกมือถือมาเก็บภาพการป้อนผัดไทยที่น่ารักๆ ของคนทั้งคู่เอาไว้

   พออาหารหมดจาน พวกเขาทั้งคู่เพิ่งรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เพิ่งรู้สึกว่าโดนจับจ้องแต่ชั่วขณะทุกคนก็พยายามเลิกให้ความสนใจเพราะเห็นว่าพวกเขาเริ่มรู้ตัวแล้ว

   “เมื่อกี้มันอะไรกัน” ปกรณ์เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ แต่ชานนท์พอที่จะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

   “ช่างมันเถอะครับ ไปกินบิงชูกันต่อดีกว่า”

         "ครับ"

   หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปจ่ายเงินก่อนที่จะออกจากร้านผัดไทยแล้วไปต่อที่ร้านขายบิงชู คราวนี้ปกรณ์รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะหน้าตาของของหวานชนิดนี้มันดูน่ากินและแปลกใหม่สำหรับเขา แต่เขาก็พยายามวางฟอร์มเอาไว้ไม่ให้ชานนท์จับได้

   แต่มีหรือที่ชานนท์จะดูไม่ออก เพียงแค่มองสายตาของปกรณ์ปราดเดียว ก็รู้แล้วว่ากำลังตื่นเต้นที่จะได้ลองชิม แต่ชานนท์ก็เลือกที่จะเงียบไว้ไม่พูดอะไรเพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ไว้รอให้หายดีเมื่อไรค่อยแกล้งให้สมใจอยากอีกทีแล้วกัน







   ทางด้านของประสิทธิ์ หลังจากที่เขาเดินทางกลับไปถึงบ้าน ฤทัยดีก็รีบวิ่งมาต้อนรับด้วยความใคร่รู้ทันที ความจริงหล่อนอยากจะไปที่บ้านเก่าด้วย แต่พอได้มาอยู่ที่นี่และเคยชินกับความสะดวกสบาย หล่อนก็ไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีก

   “พี่คะ เป็นยังไงบ้างคะ” หล่อนถาม “ไปพบกันมาแล้วใช่ไหมคะ”


   “ไปมาแล้ว” ประสิทธิ์ตอบออกมาแค่นั้นก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟานุ่มๆ ให้นั่ง

   “เดี๋ยวฤทัยไปเอาน้ำให้นะคะ” หล่อนวิ่งเข้าไปในครัวทันที วันนี้รู้สึกอยากเอาใจสามีเป็นพิเศษ

   “จะบอกกับฤทัยยังไงดีนะ” ประสิทธิ์พึมพำออกมา เขาพอจะดูออกว่าหล่อนนั้นคาดหวังแค่ไหนกับเรื่องนี้ เพราะหล่อนก็ค่อนข้างห่วงชื่อเสียงของตัวเองเช่นกัน

   ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ฤทัยดีก็เดินกลับออกมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นที่ถูกรินจนเต็มแก้ว

   “น้ำค่ะพี่” หล่อนยื่นให้

   “ขอบใจ” ประสิทธิ์รับแก้วน้ำมาก่อนที่จะดื่มมันลงไปจนหมดแก้ว

   “ปกรณ์ว่ายังไงบ้างคะ พี่ไปห้ามแล้วใช่ไหมคะ” ฤทัยดีเข้าเรื่องทันที เธอไม่อยากจะอ้อมค้อมให้เสียเวลา

   “ไปห้ามมาแล้ว...” ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ฤทัยดีก็พูดแทรกขึ้นมา

   “ดีค่ะ แค่นี้ฤทัยก็โล่งใจแล้วค่ะ จะปล่อยให้ปกรณ์ไปพบกับหมอจิตแพทย์แล้วเล่าเรื่องที่บ้านไม่ได้เด็ดขาดนะคะ ไม่งั้นพี่คงเสียชื่อเสียงแน่ๆ ค่ะ”  หล่อนพูดออกมาอย่างมีความสุข ริมฝีปากที่ถูกทาด้วยลิปสติกสีพีชขยับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

   “ไม่ใช่นะฤทัย คือพี่ไปห้ามมันแล้ว... แต่พี่ห้ามไม่ได้” พอประโยคนี้จบลง รอยยิ้มของฤทัยดีก็หุบลงทันที แววตาของหล่อนเปลี่ยนไปเป็นความสับสน

   “ทำไมคะ พี่ห้ามไม่ได้ หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงของหล่อนร้อนรน เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

   “พี่จะเล่ายังไงดี คือเรื่องมันยาว” ประสิทธิ์ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร อาการของปกรณ์มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือแต่มันก็มีอยู่จริง จากสิ่งที่เขาเห็น

   “เล่ามาเถอะค่ะ” หล่อนเซ้าซี้

   “คือมันเป็นโรคเครียดและย้ำคิดย้ำทำ มันเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ในอดีตจนจิตใจของมันอ่อนแอ มันก็เลยสร้างตัวตนของคนที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาเพื่อทำให้ตัวมันเองมีอาการดีขึ้น” ประสิทธิ์หยุดพูดแค่นั้น เพราะเขาพยายามจะเรียบเรียงราวให้กระชับและเข้าใจง่ายที่สุด

   “ยังไงคะ ฤทัยไม่เข้าใจ งงไปหมดแล้ว สร้างตัวตนของคนที่ไม่มีตัวตนขึ้นมา” น้ำเสียงของฤทัยดีเริ่มอ่อนลงเพราะหล่อนกำลังสับสนกับสิ่งทีได้ฟัง

   “ก็คือมันมองเห็นคนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง มันคุยกับอากาศ โดยที่เราไม่รู้เรื่อง แต่มันรู้เรื่องเพราะมันจิตใต้สำนึกของมันสร้างภาพให้มันมองเห็นคนที่กำลังคุยด้วย”

   “ฤทัยเข้าใจแล้วค่ะ” หล่อนพยักหน้า “แล้วไงต่อคะ พี่ก็เลยยอม”

   “ใช่... พี่กลัวมันจะบ้าแล้วไปทำร้ายคนอื่นเอา ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะยิ่งทำให้เราดูแย่ในสายตาคนอื่น เพราะถึงยังไงพี่ก็เป็นพ่อของมัน”

   “อ่อค่ะ... งั้นฤทัยไปพักก่อนนะคะ พี่ก็อย่าคิดมากนะคะ” พอทราบเรื่องราวทั้งหมด หล่อนก็ไม่มีธุระอะไรที่จะต้องพูดคุยกับสามีอีกแล้ว

   “เดี๋ยวก่อนฤทัย” ประสิทธิ์รู้สึกสงสัยว่าทำไมฤทัยดีไม่โต้แย้งอะไรออกมาสักคำ หรือเพราะหล่อนเองก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับปกรณ์อย่างนั้นหรือ

   “คะ”

   “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” ประสิทธิ์ถามตรงๆ

   “อ๋อ ไม่ค่ะ ฤทัยเข้าใจ” หล่อนตอบออกมาเพียงแค่นั้น

   “งั้นก็ดี” ประสิทธิ์พยักหน้า “เธอจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ พี่เองก็ไม่มีธุระอะไรกับเธอแล้วเหมือนกัน”

   “ค่ะ” ฤทัยดีตอบเพียงเท่านั้นก่อนที่จะเดินแยกจากไป

   หล่อนเดินออกมาด้วยท่าทางที่ปกติเพราะไม่อยากให้ประสิทธิ์สงสัย ทว่าพอลับสายตามือของหล่อนก็กำแน่น ดวงตาของหล่อนเหลือกถลนก่อนที่จะกัดริมฝีปากของตัวเอง ...มีหรือที่คนอย่างหล่อนจะยอมให้มันจบง่ายๆ ปกรณ์จะต้องไม่ได้รับการรักษา ถ้ามันเข้ารับการรักษาเมื่อไร เรื่องเลวร้ายที่หล่อนได้กระทำอาจจะถูกเปิดเผย

   เพราะฉะนั้นหล่อนจะต้องขัดขวางทุกวิถีทาง





จบตอน

 :a5:

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปกรณ์กับชานนท์น่ารักเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
ส่วนฤทัยดีก้น่าจับตบเสมอต้นเสมอปลายเช่นกันค่ะ
โผล่มาตอนละนิดละหน่อย แต่แหม ความเกลียดทะลุล้านแล้ว

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ชานนท์อบอุ่นจัง ดีต่อใจ :katai2-1:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 20

   หลังจากที่ไปเดินตลาดนัดกลางคืนเสร็จ ชานนท์ก็พาปกรณ์กลับที่พักทันที เขาอยากให้ปกรณ์ได้พักผ่อนให้เต็มที่ เพราะหลังจากนี้เขาจะต้องเขารับการรักษาที่โรงพยาบาล อาจต้องใช้เวลานานเป็นเดือนๆ ซึ่งชานนท์เองก็ไม่อาจคาดการณ์ได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของผู้ป่วยเองด้วย


   หลังจากที่ทั้งสองอาบน้ำจนเสร็จสรรพ ก็ถึงเวลานอน หากแต่ห้องนอนของชานนท์เป็นเตียงนอนคู่ ปกรณ์จึงเดินไปหยิบหมอนแล้วนอนลงกับพื้นด้านล่างทันที


   “คุณ ขึ้นมานอนด้วยกันสิครับ” ชานนท์ลุกขึ้นแล้วเขยิบไปที่ขอบเตียงเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่าย


   “ผมไม่ชอบนอนบนเตียง ผมเคยบอกคุณแล้วไงครับ” ปกรณ์ตอบออกมา ลักษณะที่ต่อต้านแบบนี้จึงรับรู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีความฝังใจอะไรบางอย่างกับเตียงนอนแน่นอน

   ชานนท์ก้าวขาลงจากเตียงนอน ก่อนจะนั่งย่อตัวลงกับพื้นแล้วประคองร่างของปกรณ์ให้นั่งขึ้นมาคุยกัน ชานนท์จับมือของอีกฝ่ายแน่นเพื่อให้รับรู้ว่าจะอยู่ข้างๆ ไม่หนีไปไหน

   “ผมไม่รู้นะครับว่าคุณมีเหตุผลอะไรถึงไม่ยอมนอนบนเตียงนอน แต่ตอนนี้คุณอยู่กับผม... เชื่อใจผมนะครับ เราจะนอนอยู่บนนั้นด้วยกัน คุณจะมีผมอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา” ชานนท์พยายามเลือกใช้ถ้อยคำที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุด และจะไม่ไปกระทบกับจิตใจของอีกฝ่าย

   “แต่ผม...” ปกรณ์เสียงสั่น “ไม่กล้า”

   ความหวาดระแวงเริ่มครอบงำจิตใจ คนอย่างเขาไม่สมควรนอนอยู่บนนั้น

   “มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดซะว่านี่เป็นหนึ่งบททดสอบก่อนที่คุณจะเข้ารับการรักษาในวันพรุ่งนี้นะครับ ถ้าคุณอยากหาย คุณก็ต้องเอาชนะใจของตัวเองให้ได้”

   “แต่ผมกลัว” ปกรณ์เหลือบสายตาไปมองบนเตียง พอคิดภาพตัวเองกำลังนอนอยู่บนนั้นเขาก็รับเบือนหน้าหนีแล้วสะบัดศีรษะรัวๆ “ไม่เอา ไม่เอาครับ ผมไม่กล้า”

   “คุณกลัวผมเหรอครับ” ชานนท์ใช้โอกาสนี้หลอกถามเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความคิดออกมา

   “ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้กลัวคุณ” ได้ผลปกรณ์รีบปฏิเสธทันควัน เขาไม่ได้กลัวชานนท์สักนิด ผู้ชายที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่นคนนี้เขาจะรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร

   “แล้วคุณกลัวอะไร” ชานนท์ขยับร่างเข้าไปโอบกอดอีกฝ่าย เพื่อให้เขารู้สึกปลอดภัย และเมื่อรู้สึกแบบนั้น เขาจะต้องเล่าสาเหตุของความกลัวออกมาแน่นอน

“ผมไม่ได้กลัวคุณนะครับ ผมกลัวแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงบอกว่าผมไม่สมควรนอนบนเตียง บนเตียงคือที่ที่น้องชายควรนอนเท่านั้น ผมต้องสำเหนียกว่าผมเป็นแค่ไอ้คนไม่มีค่า ต้องนอนบนพื้น ต้องคอยรับใช้น้องชาย ผมต้องคิดว่าน้องชายคือผู้ที่น่าเกรงขาม มีอำนาจเหนือผมและผมต้องเชื่อฟัง ผมเคยเผลอขึ้นไปนอนบนเตียง พอแม่เลี้ยงจับได้ เธอก็ทำร้ายผม และสั่งให้น้องทำร้ายผมด้วย เธอจับผม... เธอจับผม... คือเธอจับผม”

ร่างกายของปกรณ์สั่นระริก เขาพูดซ้ำๆ แล้วหยุดอยู่แค่ตรงนั้นเหมือนไม่กล้าที่จะพูดต่อ ปกรณ์ไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น สักพักน้ำตาของเขาก็เริ่มไหลออกมา ลมหายใจของเขาเริ่มขาดช่วงราวกับคนเหนื่อยหอบ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาจิกศีรษะตัวเอง

ชานนท์กอดร่างนั้นแน่นขึ้น... เขาทำได้เพียงภาวนาให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงความห่วงใย และหวังว่าความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านไปนั้นจะทำให้เขาเชื่อใจและกล้าที่จะเล่าต่อ

‘แม้เลี้ยงจับคุณทำอะไรกันแน่’

ผ่านไปสักพัก ร่างกายของปกรณ์ก็เริ่มกลับมาแน่นิ่ง แต่ยังคงสั่นเล็กน้อย ลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ เขาคลายมือออกจากศีรษะแล้วเงยหน้ามองชานนท์... มองคนที่กำลังกอดเขาแน่น

“เธอจับผมขึ้นไปบนเตียงนอนแล้วแก้ผ้า เธอคว่ำผมไว้กับเตียง เธอใช้มือกดหัวผมลงกับที่นอนสุดแรง ผมรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก แล้วผมก็ได้ยินเธอสั่งให้น้องปล้ำผม เหมือนว่าน้องปฏิเสธที่จะทำนะ ตอนนั้นน้องเองก็คงตกใจเพราะยังเด็กอยู่ด้วย แต่สุดท้ายผมก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแทงเข้ามา... แทงตรงนั้นของผม ผมกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ผมทรมานจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ว่ามากแค่ไหน มันจุกจนผมไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกแล้ว เขาแทงเรื่อยๆ ผมรู้สึกจะตายเอาเสียให้ได้ ผมจำความรู้สึกนั้นได้ดี สติในตอนนั้นของผมเหมือนจะขาดหาย แล้วความกลัวและความเจ็บปวดก็ทำให้ผมหมดสติไป ผมรู้สึกกลัวแม่เลี้ยง กลัวน้องชาย และกลัวเตียงนอนมาตั้งแต่ตอนนั้น”

เสียงของปกรณ์หยุดลง ชานนท์ยังคงโอบกอดร่างนั้นเอาไว้ เขาไม่พูดอะไรออกมา เขากำมือแน่นราวกับกำลังโกรธแค้นใครมาแต่ชาติปางไหน ชานนท์กัดริมฝีปากตัวเอง นึกแค้นในสิ่งที่แม่เลี้ยงได้กระทำลงไป จิตใจของหล่อนต้องต่ำทรามมากแค่ไหนถึงทรมานเด็กที่ไม่มีทางสู้แบบนั้นได้

...นี่สินะคือจุดเริ่มต้นของความหวาดกลัว หลังจากนั้นปกรณก็คงโดนกระทำมาเรื่อยๆ สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่แปลกใจเลยที่ในตอนนี้จิตใจของเขาจะเปราะบาง ชานนท์ไม่อยากคิดเลยว่านอกจากนี้ยังมีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นกับปกรณ์อีกบ้าง

“คุณปกรณ์ครับ” ชานนท์เอ่ยเสียงแผ่วเบาหลังจากที่เขาควบคุมอารมณ์ได้ “ผมจะพาคุณผ่านคืนนี้ไปเอง เชื่อใจผมนะครับ”

“ผมทำไม่ได้” ปกรณ์ปฏิเสธ “ถ้าผมนอนบนเตียง ความรู้สึกที่เจ็บปวดมันก็จะกลับมา ภาพมันก็จะวนอยู่ในหัวของผม”

“ผมขอคุณแค่ห้านาที ถ้าคุณไม่ดีขึ้น ผมจะไม่บังคับคุณ” ชานนท์ขอเพียงแค่ให้ปกรณ์ยอมขึ้นไปบนนั้น ถ้าวิธีการรักษาของเขาไม่ได้ผล เขาจะไม่บังคับอีกเลย

“แค่ห้านาทีนะครับ” ปกรณ์ถามย้ำ ถ้าต้องอดทนแค่ห้านาทีอาจจะพอไหว

“ครับ”

“งั้นผมจะลองดู”

สิ้นเสียง ปกรณ์ก็สูดหายใจยาวแล้วนั่งนิ่งๆ สักพักก่อนที่จะสบตากับชานนท์แล้วพยักหน้าเป็นสัญญาบ่งบอกว่าเขาพร้อมที่จะขึ้นไปนอนบนนั้นแล้ว

ชานนท์ประคองร่างของปกรณ์ให้ยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วขยับเข้าใกล้กับขอบเตียง มือทั้งสองข้างของคนทั้งคู่ประสานกันเอาไว้แน่น

ชานนท์ปล่อยให้ปกรณ์ทำใจให้สบายอีกสักพักก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายที่ขยับลงนั่งบนเตียงก่อนโดยที่มือยังคงประสานกันเอาไว้

ชานนท์ออกแรงดึงมือเบาๆ เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเกร็งเพราะไม่ยอมขยับสักนิด แต่พอลองดึงอีกครั้ง ปกรณ์ก็เริ่มตอบสนอง

ปกรณ์หลับตาลงอย่างช้าๆ ก่อนที่จะก้าวขาขึ้นไปบนเตียงด้วยความรู้สึกที่กำลังต่อต้าน

สัมผัสแรกบนเตียงนอนนุ่ม ปกรณ์รู้สึกเหมือนกับร่างทั้งร่างของตัวเองกำลังถูกกดลงไปบนเตียงนั้น ปกรณ์เกือบจะยอมแพ้แล้วลุกออกไป หากแต่มือของชานนท์ที่ยังคงจับเอาไว้แน่นได้ทำให้เขาต่อสู้กับความกลัวต่อไป

พอร่างกายขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น ชานนท์ก็ค่อยๆ ขยับไปอีกฝั่งแล้วดึงให้ร่างของปกรณ์ขยับตามมา

ปกรณ์ขยับตามไปอย่างยากลำบากและยังคงหลับตาเอาไว้

“คราวนี้ผมจะนอนลงกับเตียงแล้วนะครับ” ชานนท์บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ก่อนที่จะค่อยๆ ทิ้งร่างลงกับที่นอน “คราวนี้ก็ตาคุณแล้วนะครับ”
ปกรณ์พยักหน้ารับทราบ แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติตามในทันที เขานั่งนิ่งพยายามรวบรวมความกล้า แต่ความกลัวกลับมีมากกว่า จึงทำให้เขาเอนกายนอนลงไม่ได้สักที

“ตอนนี้มีแค่เราสองคน คุณไม่ต้องคิดกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้นนะครับ” ชานนท์พูดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมีท่าทีหวาดระแวง

“คุณอย่าปล่อยมือผมนะ” ปกรณ์โต้ตอบ

“ครับ”

พอได้ยินชานนท์รับปากเขาก็อุ่นใจ จึงพยายามรวบรวมความกล้าอีกครั้งแล้วทิ้งร่างลงกับที่นอน

ร่างของปกรณ์ค่อยๆ เอนอ่อนลงมาอย่างช้าๆ จนในที่สุดเขาก็ทำมันได้สำเร็จ ทว่าไม่ได้รู้สึกยินดีสักนิด พอหัวกระทบกับหมอนเขาก็รู้สึกอึดอัด เตียงนอนที่นุ่มทำให้ปกรณ์รู้สึกราวกับว่าร่างของเขากำลังถูกกดเอาไว้

“ผมทำไม่ได้” ปกรณ์ร้องออกมาเสียงดังแล้วดิ้นไปมาทำเหมือนว่าพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ได้

ชานนท์เห็นดังนั้นจึงขยับร่างเข้าไปใกล้ๆ แล้วนอนตะแคงให้ใบหน้าของอีกฝ่ายซุกเข้ามาที่ต้นคอของตนเผื่อว่าจะรู้สึกอบอุ่นมากขึ้น
เหมือนว่าจะได้ผล ทันทีที่ร่างทั้งสองใกล้ชิดกัน ปกรณ์ก็ค่อยๆ นิ่งสงบลงแม้จะมีอาการสั่นเล็กน้อยก็ตาม

“คราวนี้ลองลืมตานะครับ”

“ไม่ไหว ผมลืมตาไม่ได้” ปกรณ์ปฏิเสธในทันที “จะครบห้านาทีหรือยังครับ ผมจะไปนอนข้างล่าง”

เมื่อหัวใจของปกรณ์ยังคงต่อต้าน ชานนท์จึงต้องใช้วิธีสุดท้ายในการรักษา และเขาก็หวังว่ามันจะต้องได้ผล

ชานนท์เลื่อนใบหน้าลงมาให้พอดีกับฝ่าย ก็จะใช้ริมฝีปากประกับกันด้วยความอ่อนโยน ...ชานนท์กำลังจูบปกรณ์ เขาผละมือข้างหนึ่งออกจากมือของปกรณ์แล้วเปลี่ยนเป็นโอบกอดเอาไว้แน่น

ปกรณ์ตกใจจนต้องเบิกตาโพลง พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรหัวใจก็เต้นรัว ความเครียดที่เกิดขึ้นถูกลบล้างออกจากหัวไปในทันที ในตอนนี้... ความอบอุ่นของอีกฝ่ายกำลังเป็นเกราะกำบังที่ต่อต้านความกลัวในจิตใจของเขา

ริมฝีปากของชานนท์ขยับไปมาอย่างนุ่มนวล ปกรณ์สัมผัสได้ ฉับพลันเขาก็รู้สึกตัวเบาหวิวเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ลมหายใจอุ่นร้อนที่พ่นออกมาปะทะใบหน้าตอกย้ำให้ปกรณ์รู้ว่าความสุขคืออะไร

ปกรณ์หลับตาลงอีกครั้งเขาเริ่มตอบสนองอีกฝ่ายด้วยการเป็นฝ่ายจู่โจมบ้าง มือข้างที่ว่างลูบไล้ไปมาทั่วร่างกายของอีกฝ่ายเบาๆ เขาไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปเลย

ปกรณ์พยายามเก็บความรู้สึกในตอนนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่หัวใจจะรับรู้ได้

“หายกลัวหรือยังครับ” เสียงทุ่มต่ำชวนฟังดังขึ้นหลังจากที่เขาผละริมฝีปากออกมา

ปกรณ์พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาไม่อยากจะเชื่อหัวใจตัวเองเลยว่าเพียงแค่น้ำเสียงก็สามารถสะกดความรู้สึกทุกสิ่งอย่างของเขาเอาไว้ได้

ชานนท์ประกบริมฝีปากลงอีกครั้ง ถ้าเรื่องในอดีตที่ปกรณ์เล่าคือความทรงจำที่แสนเลวร้ายที่สุดในชีวิต เขานี้แหละจะใช้คืนนี้สร้างความทรงจำที่วิเศษที่สุดให้อีกฝ่ายเช่นกัน เพื่อลบล้างความทรงจำที่แสนทรามเหล่านั้น มีเพียงวิธีเดียวที่จะรักษานั่นคือต้องทำให้ปกรณ์สัมผัสได้ว่า ความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร



ฉับพลัน... บทอัศจรรย์ก็บังเกิด



แมลงภู่โบยบินเกาะกิ่งก้าน                 ค่อยคืบคลานดอมดมอมเกสร
กระแซะเปลือกกระแซะใบคอยไชชอน          กระแซะอ้อนกระแซะรักขอกัดกิน
กระแซะจนกลีบโกมลบานสะพรั่ง        ไม่อาจยั้งอารมณ์สมถวิล
เบ่งบานหุบเป็นจังหวะด้วยราคิน        ละมุนสิ้นสลัดพ้นความหวาดกลัว


จบตอน

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
อ่านแล้วแค้นอ่ะ แม่เลี้ยงของปกรณ์จิตใจต่ำทรามจริงๆ
ทำแบบนั้นไปได้ไง จริงๆ อีกอย่าง น้องคงไม่ได้เกลียดพี่หรอก แต่เพราะแม่เนี่ยแหละตัวต้นเหตุ

ชานนท์คอยอยู่ข้างๆ ปกรณ์นะ

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กำลังเครียดๆ พอถึงฉากบนเตียงจนจบปุ๊บ กรี๊ดลั่นเลย
ชอบคุณชานนท์จัง วิธีรักษานี่ร้ายนะคะ อิอิ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แม่เลี้ยงใจร้ายจริง ๆ ตอนทำไม่กลัวบาปไม่รู้สึกผิด ทีนี้ดันกลัวคนอื่นรู้เรื่อง เฮอะ

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 21

คงไม่ผิดหากปกรณ์จะคิดว่าชานนท์เป็นนักจิตวิทยาที่เก่งที่สุด ชานนท์สามารถทำให้เขานอนหลับบนเตียงได้สำเร็จ ความหวาดกลัวในตอนนั้นหายไปกลายเป็นความทรงจำครั้งใหม่ที่เข้ามาแทนที่แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มั่นใจว่า หากไม่มีชานนท์นอนอยู่ด้วย เขาจะสามารถอยู่บนเตียงนอนคนเดียวได้ไหม

ตอนนี้ฟ้ายังไม่สาง แต่ปกรณ์ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนอาจเพราะเมื่อคืนนั้นเหตุการณ์บางอย่างทำให้เขาอิ่มอกอิ่มใจจนรู้สึกนอนหลับเต็มอิ่ม ไม่จำเป็นต้องงีบต่อ

ปกรณ์มองใบหน้าของคนที่นอนชิดกาย แม้ในยามหลับเสน่ห์ของเขาก็ยังคงท่วมท้น หรืออาจเพราะการกระทำที่เพิ่งผ่านพ้นไปกันแน่ที่ทำให้หัวใจของปกรณ์สั่นไหวตลอดเวลาทุกครั้งที่มองใบหน้าของคนคนนี้

ปกรณ์ขยับยิ้มออกมา แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ฉายชัด ใจหนึ่งก็นึกตลกตัวเองว่าทำอะไรที่น่าอายแบบนั้นลงไปได้อย่างไร แต่อีกใจหนึ่งพอคิดทบทวนให้ดี ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันล้วนเป็นความปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจคนทั้งสองฝ่าย มันเป็นเรื่องปกติของความรัก

คนที่เคยหวาดกลัวเตียงนอนในตอนนี้กลับไม่อยากลุกออกจากเตียง อยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ คิดดังนั้นปกรณ์ก็ยกแขนของชานนท์ที่กำลังนอนตะแคงกอดร่างเขาเอาไว้ให้แน่นขึ้น แล้วเขาก็นอนตะแคงบ้าง ขยับใบหน้าไปซุกที่ต้นคอของอีกฝ่ายจนลมหายใจอุ่นร้อนของเขารดศีรษะ

“ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ปกรณ์รีบแกล้งหลับตา เขาขยับตัวแรงไปอย่างนั้นหรือ ...ไม่ได้ เขาจะให้ชานนท์รู้ว่าตื่นแล้วไม่ได้ ยังไม่พร้อมที่จะสู้หน้าเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนมันยังติดตาตรึงใจ

   ความกังวลส่งผลให้ปกรณ์เผลอตอบออกไป เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้เชื่อสนิทใจว่าเขายังไม่ตื่น

   “ยังครับ” พอตอบออกไปก็เพิ่งนึกได้ว่าพลาดท่า คนหลับที่ไหนจะรู้สึกตัวและพูดออกมาได้ ‘พูดไรออกไปวะเนี่ย โง่ชะมัด’ ทำได้แค่ด่าตัวเองในใจ

   “ฮืม... ยังเหรอครับ” ชานนท์ขยับยิ้ม หากแต่ดวงตาของเขายังคงเป็นปิดอยู่ แค่รู้ว่าอีกฝ่ายเองก็กอดเขาเอาไว้แน่นเช่นกันแถมยังเอาหน้าซุกไซ้ที่ต้นคอ แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว

   “...” ปกรณ์เงียบ ไม่ตอบอะไรออกไป เขาไม่เผลอเป็นครั้งที่สองแน่

   “นอนต่อเถอะครับ ยังไม่สว่างเลย” ชานนท์รู้ว่าอีกฝ่ายต้องกำลังเขินอายแน่ ยิ่งพอคิดถึงเรื่องเมื่อคืน... ครั้งแรกที่ถูกกระทำด้วยความเต็มใจ เป็นใครก็เขินอายทั้งนั้น

   ปกรณ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก โดยลืมไปว่าใบหน้าของตัวเองกำลังซุกอยู่ที่ต้นคอของชานนท์ จึงทำให้ลมนั้นปะทะเข้ากับผิวคอของชานนท์อย่างไม่อาจเลี่ยงได้   

   ไออุ่นร้อนถูกพ่นออกมาจากลมหายใจปะทะเข้ากับต้นคอทำให้ชานนท์ต้องพยายามเก็บอาการขำขันสุดฤทธิ์ ปกรณ์คงโล่งใจมาก ...โถ่เอ๊ยเด็กน้อย

   ชานนท์ทำได้แค่เก็บความรู้สึกเอ็นดูเอาไว้ในจิตใจ นี่หากมีอะไรที่มาสะกิดเขาอีกครั้งล่ะก็เขาคงทนไม่ไหวแล้วอาจจะจับอีกฝ่ายทำมิดีมิร้ายแน่

   เวลาผ่านไปสักพัก ชานนท์ก็เผลอหลับไปอีกครั้ง ผิดกับปกรณ์ที่แม้ว่าจะยังนอนนิ่งอยู่ในท่าเดิมแต่ก็ไม่อาจหลับลงได้ จนกระทั้งท้องฟ้าเริ่มสว่างปกรณ์ก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่จะปลุกชานนท์

   หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ พวกเขาก็ไปหาอะไรทานก่อนจะไปโรงพยาบาล

   พอไปถึงโรงพยาบาล ชานนท์ก็พาปกรณ์ไปส่งให้กับหมอเกื้อ

   “ผมจะเป็นกำลังใจให้นะครับ มันอาจจะยากหน่อยนะ แต่คุณต้องอดทนนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นก่อนจะออกจากห้อง

   “ครับ” ปกรณ์พยักหน้า พอได้สบตากับชานนท์เขาก็รู้สึกมีแรงผลักดัน “ผมจะอดทนจนกว่าจะหายดี”

   ชานนท์ยิ้มให้กับคำตอบของอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย พอเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง เสียงที่ร้องเรียกก็ทำให้เขาต้องชะงัก

   “คุณชานนท์ครับ”

   “ครับ”

   “คือ... ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ปกรณ์อยากจะพูดอะไรออกไปมากกว่านั้นแต่ก็ไม่กล้า ความจริงอยากจะบอกว่า ‘รัก’ เขาเสียด้วยซ้ำ แต่ก็เพิ่งรู้ว่าคำคำนี้ไม่ใช่คำที่จะพูดออกมาได้ง่ายๆ

   “ครับผม” ชานนท์ยิ้มอีกที เขาไม่อยากล่ำลาไปมากกว่านี้อีกแล้วกว่าจะอ่อนไหวจึงตัดสินใจรีบเดินออกจากห้องให้ไวที่สุด

   หมอเกื้อที่นั่งอยู่ในห้องพอเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนก็พอจะเดาออกว่ามันคืออะไร เพราะความสนิทสนม ความห่วงใยต่างฝ่ายต่างก็แสดงออกชัดเจน หลังจากนี้ไม่ใช่แค่ปกรณ์ที่ต้องทนกับความเจ็บปวด แต่ชานนท์เองก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน เขาจะทนเห็นภาพของปกรณ์ที่ต้องทุกข์ทรมานได้ไหม สภาพจิตใจของเขาคงย่ำแย่ และอาจทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงาน

   “คุณปกรณ์ครับ” หมอเกื้อเดินมานั่งที่เก้าอี้ประจำตัวเพื่อที่จะคุยกับผู้ป่วย

   “ครับ”

   “เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลพาคุณไปเปลี่ยนชุดแล้วไปรออยู่ที่ห้องรักษาเลยนะครับ ผมจะให้คุณอยู่ห้องส่วนตัวเพื่อที่การรักษาจะได้ดำเนินการได้ง่ายขึ้น”

   “ครับ”

   จบบทสนทนาสักพัก พยาบาลก็เดินเขามา เธอถือชุดของผู้ป่วยเอาไว้ในมือแล้วพาปกรณเดินออกจากห้องไป

   พยาบาลเดินนำไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องโล่งกว้างสีขาวสว่าง มีเตียงนอนอยู่ตรงกลาง บนเพดานด้านบนมีแอร์ติดกับผนัง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย ไม่มีแม้แต่โทรทัศน์ให้ดูคลายเครียด

   ปกรณ์รู้สึกใจหวิวแปลกๆ ตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเจอ แต่เขาก็พยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้

   “เปลี่ยนชุดในนี้ได้เลยค่ะ พยาบาลจะรออยู่ที่หน้าห้องนะคะ ถ้าเปลี่ยนเสร็จคุณปกรณ์ออกมาเรียกได้เลยค่ะ” เธอยื่นชุดผู้ป่วยให้

   “ครับ” ปกรณ์รับชุดนั้นมา จากนั้นพยาบาลก็เดินออกจากห้องไป

   ปกรณ์มองดูชุดผู้ป่วยที่ถืออยู่ในมือ ...เขากำลังจะเป็นผู้ป่วยภายในแผนกจิตเวชเต็มตัว ถึงจะรู้สึกว่าอาการของตนไม่รุนแรงสักเท่าไร แต่เพราะเชื่อใจชานนท์จึงยอมเข้ารับการรักษา

   พอเปลี่ยนชุดเสร็จปกรณ์ก็ตั้งใจจะเดินออกไปเรียกพยาบาล ทว่า... ร่างที่เขาได้พบกลับทำให้เขาตกใจจนแววตาสั่นไหว

   ฤทัยดีขยับยิ้มอย่างมีเลศนัย สายตาของหล่อนจับจ้องไปที่ร่างนั้นอย่างสมเพช พอหล่อนเดินเข้าไปในห้อง ปกรณ์ก็รีบถอยหนีจนกระทั่งร่างของตัวเองไปชิดกับกำแพงอีกฝั่ง ...หล่อนมาที่นี่ได้อย่างไร

   “อย่าทำอะไรผม” ปกรณ์วิงวอน เขาก้มหน้าแล้วทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว ผู้หญิงคนนี้อำมหิตเกินหน้าตา เพราะอะไรหล่อนถึงต้องมาที่นี่ หรือนี่เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาอย่างนั้นหรือต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวใช่ไหม

   ...นี่สินะที่ชานนท์พร่ำบอกให้เขาอดทน บอกมาเสมอว่าการรักษาอาจจะทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมาน

   “ฉันไม่อยากยุ่งกับแกหรอกนะ ถ้าแกไม่มารักษาที่นี่” ฤทัยดีเอ่ยขึ้น สีหน้าของหล่อนไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่นิดเดียว “แต่ฉันมีเรื่องต้องบอกแก เผื่อแกจะได้ตาสว่างสักทีว่าพ่อแก หมอ พยาบาลและนักจิตวิทยาที่นี่ไม่มีใครจริงใจกับแกสักคน”

   “คุณหมายความว่ายังไง” ปกรณ์เอ่ยถามอย่างสงสัยโดยที่ไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย เขากลัวว่าหากเผลอสบสายตาของคนอำมหิตแล้วจะทำให้สติของตัวเองเตลิดเปิดเปิง

   “แกมีเพื่อนรักสองคนใช่ไหม พ่อแกเล่าให้ฉันฟัง”

   “ครับ” ปกรณ์พยักหน้า คงหมายถึง นรินทร์กับปาณัฐ หากแต่เขาจำได้ว่าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง หรือว่า... ‘คุณชานนท์’ คิดดังนั้นหัวใจก็เริ่มเจ็บปวด เหมือนถูกคนที่ไว้ใจหักหลัง

   “ชื่อปาณัฐ กับ นรินทร์ใช่ไหม” ฤทัยดีถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่หล่อนได้ยินมาไม่ใช่เรื่องผิดเพี้ยน

   “ใช่ ทำไม ปาณัฐกับนรินทร์ทำไมครับ” ปกรณ์เร่งถามอย่างร้อนรน ฤทัยดีมีปัญหาอะไรกับสองคนนี้อย่างนั้นหรือ

   “หึ” ฤทัยดีแสยะยิ้มออกมาก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของร่างที่กำลังสั่นเทา หล่อนยื่นมือออกไปลูบศีรษะของร่างนั้นเบาๆ ราวกับเอ็นดูหากแต่ในใจกำลังขยะแขยงสิ้นดี ชั่วครู่หล่อนก็จิกผมให้แล้วออกแรงดึงให้ใบหน้าของปกรณ์ปะทะกับสายตาของหล่อนตรงๆ “ฟังนะ”

   ทันทีที่สบตาก็รู้สึกเหมือนกับว่าอากาศหายไป การหายใจเริ่มติดๆ ขัดๆ รอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้ดูโรคจิตพิลึกพิลั่นราวกับว่าจะฆ่าเขาเอาเสียให้ได้ หล่อนสั่งให้ฟังในสิ่งที่หล่อนกำลังจะพูด แต่พอปกรณ์พยายามจะยกมือขึ้นมาปิดหูหล่อนก็ใช้มืออีกข้างปัดออก

   “ไอ้ปาณัฐกับไอ้นรินทร์อะไรนั่นมันไม่มีตัวตนอยู่จริง มันเป็นแค่สิ่งที่แกคิดไปเองว่ามีตัวตน แกกำลังจะบ้าก็เลยมองเห็นมันสองคนนั้นราวกับมันมีตัวตนอยู่จริงๆ” ฤทัยดีพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น หล่อนไม่ได้กระโชกโฮกฮากเพราะฉลาดพอจะไม่ส่งเสียงดังให้ใครที่เดินผ่านไปผ่านมาด้านนอกตกใจ

   “หมายความว่ายังไง” ปกรณ์ไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

   “ก็ไอ้ปาณัฐกับไอ้นรินทร์มันไม่มีตัวตน ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีใครสัมผัสได้ มีแต่แกเท่านั้นแหละ แกที่บ้า บ้าที่มองเห็นพวกมัน พ่อแกก็เลยยอมให้แกมารักษาตัวที่นี่ยังไงล่ะ”

   “ไม่จริง” ร่างของปกรณ์เริ่มสั่น แล้วความทรงจำระหว่างเขากับสองคนนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏในห้วงแห่งความคิด

   ปกรณ์เองก็นึกสงสัยอยู่ลึกๆ สองคนนี้ชอบปรากฏในเวลาที่เขาต้องการเสมอราวกับว่ารู้ใจ มีอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้สองคนนี้ดูไม่เหมือนคนทั่วไปแต่ก็นึกไม่ออก แต่ถึงฤทัยดีจะย้ำแบบนั้น ปกรณ์ก็ยังคงเชื่อในสิ่งที่เขามองเห็น

   “ไม่จริง คุณอย่ามาโกหก” ปกรณ์ผลักร่างของหญิงวัยกลางคนออกไปสุดแรง ฤทัยดีไถลไปด้านหลัง “ไม่จริง ไม่จริงงงงงงง!!!”

   เมื่อควบคุมสติไม่ได้ ปกรณ์ก็ร้องออกมาเสียงดันลั่น สองมือกุมขมับด้วยความเจ็บปวด ทั้งปวดหัว ทั้งทรมานจิตใจ ร่างกายร้อนลุ่มไปหมดพอคิดว่าเรื่องที่ฤทัยดีพูดนั้นเป็นความจริง

   “ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง” พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง เมื่อควบคุมสติไม่ไหว ปกรณ์ก็วิ่งออกจากห้องไป... วิ่งไปด้วยความรวดเร็ว เขากำลังจะไปในในที่เคยพบกับปาณัฐ เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องโกหก

   ปาณัฐต้องมีตัวตนอยู่จริงรวมถึงนรินทร์ด้วย ...ใช่แล้ว ฤทัยดีก็แค่โกหก เพราะหากนรินทร์ไม่มีตัวตน วันนั้น... คุณชานนท์ก็คงมองไม่เห็น และคงไม่ได้พูดคุยกับนรินทร์

   คุณชานนท์เป็นคนที่เชื่อใจได้ เคยสัญญากันแล้วว่าจะไม่โกหกไม่ว่าเรื่องใดใดก็ตาม เขาจะต้องเชื่อใจชานนท์ เพราะฉะนั้นในตอนนี้เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าปาณัฐมีอยู่จริง







จบตอน

ออฟไลน์ Aimiya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ทำไมฤทัยดีถึงเข้ามาอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่มีใครรู้ ปกรณ์ตะโกนดังโวยวายขนาดนี้น่าจะต้องมีคนเข้ามาห้ามแล้วสิ โอ้ยยย หงุดหงิดยัยฤทัยดี หงุดหงิดหมอพยาบาลที่ปล่อยให้ปกรณ์อยู่คนเดียวแบบนี้><

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :m31:  นังฤทัยดีทำเสียเรื่องอีก หืม เกลียดตัวร้ายตัวนี้มว้ากกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ทำไงละทีนี้  :z3:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 22


        ชานนท์นั่งทำงานอยู่ในห้องเพื่อค่าเวลา เขาอ่านเอกสารของผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาระหว่างที่เขาลาหยุดไป จนเวลาผ่านไปสักพัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาด้วยความรุนแรงจนเกิดเสียงดังปั้งพร้อมกับร่างกายที่กระหืดกระหอบของหมอเกื้อ ใบหน้าของหมอเกื้อส่อแวววิตก ชานนท์ฉุกคิดได้ทันทีว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับปกรณ์แน่นอน

   “หมอเกื้อครับ ปกรณ์มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” ชานนท์รีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างของหมอหนุ่มทันที

   “คุณปกรณ์...” หมอเกื้อพูดด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ เนื่องจากเข้าวิ่งวุ่นไปทั่วโรงพยาบาลหลังจากที่เกิดปัญหายังไม่ได้พัก “หนีออกไปแล้วครับ”

   “ปกรณ์หนีออกไป... ไปไหนครับ”

   “ข้างนอกโรงพยาบาล ผมก็ไม่ทราบครับ พยาบาลเพิ่งแจ้งมา”

   ได้ยินดังนั้น ปกรณ์ก็พยุงร่างของหมอเกื้อไปนั่งพัก ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็วทันที แม้จะไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

   ชานนท์วิ่งออกไปยังด้านนอกของโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว ทั้งวิ่งทั้งกวาดสายตามองหาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอะไรปกรณ์ถึงต้องหนีออกไป

   ชานนท์ลองยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา ภาวนาให้เขารับสาย เหมือนคำภาวนาจะเป็นผลเมื่อมีคนกดรับ

   “คุณปกรณ์ คุณอยู่ที่ไหนครับ” ชานนท์รีบถามด้วยความร้อนรน

   “นี่ไม่ใช่คุณปกรณ์ค่ะ ดิฉันให้คุณปกรณ์เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเขาก็ทิ้งทุกอย่างไว้ในห้อง” เป็นเสียงของพยาบาลสาวที่รับสาย

   “แล้วคุณปกรณ์หายไปไหน รู้ไหมครับ” ชานนท์วิ่งกลับไปที่ห้องผู้ป่วย เขารู้อยู่แล้วว่าหมอเกื้อจะให้ปกรณ์นอนพักอยู่ที่ห้องไหน

   “พอดีมีญาติมาหาคุณปกรณ์ค่ะ พอดิฉันกลับมาก็เห็นญาติโดนทำร้าย เธอบอกว่าคุณปกรณ์ทำร้ายเธอแล้วก็วิ่งหนีไปค่ะ”

   ชานนท์กดตัดสายทันที เขารีบเร่งฝีเท้าด้วยความรวดเร็วเพราะอยากจะรู้ว่าใครกันที่ทำแบบนี้ ใส่ร้ายปกรณ์ทำไม คนอย่างปกรณ์น่ะหรือจะลงมือทำร้ายใครได้

   แต่พอไปถึง เขาก็พบเพียงพยาบาลที่กำลังยืนหน้าเครียด สีหน้าของเธอกังวลอย่างเห็นได้ชัด รู้ตัวว่าผิดที่ไม่เฝ้าผู้ป่วยให้ดี

   “คุณชลธิชา เกิดอะไรขึ้นครับ” ชลธิชาเป็นพยาบาลสาวจบใหม่ เธอมีส่วนสูง 165 เซนติเมตร รูปร่างสมส่วนและดูแข็งแรงกว่าผู้หญิงทั่วไป ด้วยเหตุนี้จึงได้มาทำงานที่แผนกจิตเวช เพราะหลายครั้งที่ผู้ป่วยในแผนกนี้ขาดสติ จำเป็นต้องใช้พละกำลังในการปะทะกับผู้ป่วย

   “คือตอนที่ดิฉันรอคุณปกรณ์อยู่หน้าห้อง ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนเข้ามาขอพบคุณปกรณ์พอดีค่ะ เธอบอกว่าเป็นญาติ เธอยื่นบัตรประชาชนให้ดิฉันดู พอเห็นว่านามสกุลเดียวกับคุณปกรณ์ ดิฉันก็เลยอนุญาตให้เข้าพบค่ะ” ชลธิชาอธิบาย

   ปกรณ์นึกสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่ เป็นญาติฝั่งพ่องั้นหรือ พอลองคิดว่าเป็นแม่เลี้ยงก็เริ่มไม่แน่ใจ เพราะปกรณ์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าพ่อของเขาจดทะเบียนสมรสกับใครกันแน่ หรือพอแม่ของปกรณ์เสียพ่อของเขาก็เลยจดทะเบียนสมรสใหม่งั้นหรือ

   “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นครับ” ชานนท์พยายามสงบสติลง

   “ดิฉันขอโทษนะคะคุณชานนท์” ชลธิชายกมือไหว้อย่างสำนึกผิด เป็นความหละหลวมของเธอเองที่ไม่ยอมเฝ้าอยู่หน้าห้อง “ดิฉันคิดว่าญาติมาหาคงไม่เป็นไร ก็เลยไปเข้าห้องน้ำค่ะ พอกลับไปที่ห้องอีกที ก็เห็นคุณผู้หญิงคนนั้นนอนเจ็บอยู่กับพื้นแล้วค่ะ”

   “แล้วผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหนครับ”

   “เพิ่งออกไปเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ ถ้ากะจากเวลาที่เดินไป ดิฉันคิดว่าน่าจะยังไม่ถึงประตูทางออกค่ะ เธอใส่เสื้อรัดรูปแขนยาวสีฟ้าอ่อน กระโปรงยาวบางๆ สีขาวเวลาเดินจะพลิ้วๆ หน่อยค่ะ”

   “ขอบคุณครับ”

   ชานนท์รีบวิ่งออกไปจากห้องแล้วกลับไปที่ทางเดิมทันที ผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน จะใช่แม่เลี้ยงที่เคยทำเลี้ยงต่ำทรามกับปกรณ์หรือเปล่านะ และถ้าใช่... หล่อนมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องมาที่นี่ เพราะคุณประสิทธิ์เองก็ยอมให้ปกรณ์รักษาที่นี่แต่โดยดีแล้ว







   ทางด้านของปกรณ์... เขาวิ่งออกไปนอกโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว วิ่งไปเรื่อยๆ ตามริมถนนในหัวก็คิดถึงแต่เรื่องของปาณัฐกับนรินทร์

   แม่เลี้ยงเกลียดเขา หล่อนแค่ต้องการปั่นหัวเล่นเพื่อให้ขาดสติเท่านั้น

   ‘ใช่ เราจะต้องเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น’

   ปกรณ์หยุดวิ่งแล้วค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ พยายามควบคุมสติ ทันใดนั้น ใครบางคนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา

   “พี่ปกรณ์ครับ” น้ำเสียงของปาณัฐแสดงถึงความห่วงใย แววตาของเขาเศร้าสร้อยผิดกับทุกๆ ครั้ง “พี่ออกมาทำไมครับ”

   ปกรณ์ไม่ตอบอะไรพอเห็นร่างนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปหาแล้วโอบกอดร่างนั้นเอาไว้แน่นโดยไม่สนใจผู้คนที่กำลังสัญจรไปมาว่าจะมีท่าทีอย่างไร

   ปกรณ์กอดร่างนั้นเอาไว้ เขาพยายามจับสัมผัส ...ปาณัฐมีตัวตนอยู่จริง สิ่งที่ฤทัยดีพูดเป็นเพียงเรื่องโกหก

   “เดี๋ยวผมพากลับไปที่โรงพยาบาลนะครับ” ในใจลึกๆ ของเขาก็อยากกลับไป แต่พอเจอกับเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นเขาก็หวั่นวิตก กลัวว่าจะต้องกลับไปเจอกับแม่เลี้ยง กลัวว่าจะโดนระราน

   “พี่ไม่อยากกลับไป พี่ไม่อยากเจอแม่เลี้ยง” ปกรณ์ตอบออกมา

   “ถ้าพี่ไม่กลับไปพี่ก็จะไม่หายนะครับ อีกอย่างพี่ชานนท์จะต้องเป็นห่วงพี่แน่ๆ” จริงด้วย ปกรณ์ลืมเรื่องชานนท์ไปเสียสนิท ถ้าชานนท์รู้ว่าเขาวิ่งหนีออกมาแบบนี้จะต้องกำลังเป็นห่วงและกำลังตามหาแน่ๆ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องกลับไป ชานนท์สำคัญกับเขา และเขาเองก็สำคัญกับชานนท์เช่นกัน

   “พี่จะกลับไป” ปกรณ์พยักหน้า “แต่เราต้องกลับไปกับพี่ด้วย”

   “ได้สิครับ” ปาณัฐยิ้มให้

   หลังจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เดินกลับไปยังโรงพยาบาลด้วยกัน ระหว่างที่เดินอยู่นั้น คำพูดของฤทัยดีก็วนเวียนอยู่ในสมอง คำที่บอกว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริง

   ปกรณ์รู้สึกลังเล จังหันไปมองร่างของปาณัฐที่เดิมตามหลังอยู่บ่อยครั้ง แต่ปาณัฐก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงเดินตามทุกฝีก้าวแถมยังยิ้มให้เวลาที่เขาหันหลังกลับไป ...ปาณัฐยังอยู่และแสดงท่าทางออกมาตามที่เขาคิดทุกประการ

   “ปาณัฐ เราจะไม่ทิ้งพี่ไปไหนใช่ไหม” อยู่ๆ ปกรณ์ก็เอ่ยถาม

   ปาณัฐยิ้มออกมา แววตาของเขาดูเศร้าสลดลงเหมือนไม่มั่นใจที่จะตอบ

   “มันขึ้นอยู่กับพี่ครับ ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมหายไป ผมก็จะไม่ไป” คำตอบของปาณัฐไม่ได้ทำให้คนถามรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ทำไมเขาถึงตอบออกมาราวกับว่า...

   “ถ้าพี่อยากให้เราหายไป เราก็จะหายไปอย่างนั้นเหรอ”

   คราวนี้ปาณัฐไม่ตอบออกมา เขาก้มหน้า แววตายังคงแสดงถึงความเศร้าสร้อย การแสดงออกของปาณัฐทำให้ปกรณ์รู้สึกกังวลขึ้นมา หรือว่าสิ่งที่ฤทัยดีพูดจะเป็นความจริง

   ปกรณ์หลับตาลงแล้วพยายามบอกว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ ปาณัฐต้องหายไป แต่พอลืมตาก็พบว่า ปาณัฐยังคงอยู่ที่เดิม... ความจริงเขาพยายามจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็ทำไม่ได้ เขากลัวว่ามันจะเป็นเรื่องจริงจิตใต้สำนึกของเขาจึงเอาแต่พร่ำบอกว่าปาณัฐมีตัวตน

   “ถ้าพี่เข้ารักษา ปาณัฐจะกลับมาเจอพี่หลังจากที่หายดีอีกได้ไหม” ปกรณ์ชักลังเลใจ เขาไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลย คำพูดของฤทัยดีบั่นทอนจิตใจเขา แต่พอนึกถึงวันที่ชานนท์เจอกับนรินทร์มันก็ช่วยทำให้เขาสบายใจขึ้นมาได้พอสมควร

   “ผมเองก็ไม่แน่ใจ” ปาณัฐตอบออกมา เป็นความคิดเดียวกับปกรณ์อีกครั้ง เพราะปกรณ์เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

   ปกรณ์เดินก้มหน้าไม่พูดไม่จาจนกระทั่งไปถึงโรงพยาบาล เขาหยุดนิ่งแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ การวิ่งหนีออกไปคงทำให้ใครหลายๆ คนต้องวุ่นวาย และชานนท์ก็คงจะตกใจเอามากๆ ปกรณ์รู้สึกผิด

   “ปาณัฐ ช่วยเดินนำหน้าพี่ที่” ปกรณ์ขอร้อง เขาไม่ชอบที่คนรอบข้างจ้องมองเขาราวกับตัวประหลาด ใส่ชุดคนป่วยวิ่งหนีออกไปแล้วก็กลับมา เหงื่อก็โชกร่างคนรอบข้างต่างพากันหวาดระแวงเขา ปกรณ์ไม่ชอบที่โดนมองแบบนั้น

   “ครับ” ปาณัฐตอบตกลงแล้วเดินนำมาข้างหน้าทันที

   ปกรณ์เดินตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้าตึก เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเห็นร่างของชานนท์กำลังวิ่งมาจากข้างในพอดี

   ชานนท์เองก็มองเห็นร่างของปกรณ์แล้วเช่นกัน... เขาวิ่งตรงไปหาร่างนั้นด้วยความรวดเร็วทันที แค่เห็นปกรณ์กลับมาอย่างปลอดภัย เขาก็รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

   ชานนท์วิ่งไปกอดร่างของปกรณ์เอาไว้แน่น แม้เนื้อตัวของอีกฝ่ายจะเฉอะแฉะไปด้วยเม็ดเหงื่อแต่เขาก็ไม่รังเกียจ

   “อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่” เป็นอีกครั้งที่ชานนท์ต้องพูดแบบนี้ เขาไม่ได้เหนื่อยหรือท้อแท้กับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เพราะกลัวว่าปกรณ์จะเป็นอะไรไปเวลาที่ทำอะไรบุ่มบ่ามต่างหาก

   ทว่าอีกฝ่ายกลับยืนนิ่งแข็งราวกับรูปปั้น ไม่โต้ตอบอะไรสักคำ ชานนท์สังเกตเห็นถึงความผิดปกติจึงผละร่างออกเล็กน้อยแล้วตั้งใจสบตากับอีกฝ่ายเพื่อจับพิรุธ

   ดวงตาของปกรณ์ในตอนนี้นิ่งสนิท จนชานนท์ไม่อาจคาดเดาสาเหตุได้ว่าเกิดจากอะไร แต่ท่าทีแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีแน่

   “คุณชานนท์ครับ”น้ำเสียงเยือกเย็นไร้โทนสูงต่ำถูกเปล่งออกมาอย่างช้าๆ “คุณโกหกผมทำไม”

   ปกรณ์ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช ...เมื่อครู่นี้ชานนท์วิ่งผ่านร่างของปาณัฐราวกับอากาศธาตุก่อนจะมากอดเขา นักจิตวิทยาคนนี้มองไม่เห็นตัวของปาณัฐ นั่นหมายความว่าสิ่งที่ฤทัยดีพูดเป็นเรื่องจริง

   “ผมโกหกอะไรครับ” ชานนท์เริ่มใจเสีย เขานึกไม่ออกว่าตัวเองไปโกหกปกรณ์ตั้งแต่ตอนไหน พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

   ปกรณ์สบสายตาจ้องมองอีกฝ่ายบ้าง

       “เมื่อกี้... คุณวิ่งทะลุร่างของปาณัฐ”   

   เสียงเยือกเย็นที่เปล่งออกมาทำให้ชานนท์ยืนนิ่ง เขารวบรวมสติไม่ทัน ไม่สามารถคิดหาคำพูดมาทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงได้ จนปกรณ์ต้องเป็นฝ่ายพูดต่อ

   “เรื่องนรินทร์ คุณโกหกผมทำไม คุณโกหกว่าคุณมองเห็นนรินทร์ คุณเสแสร้งพูดคุยกับนรินทร์ เพราะคุณแค่เห็นว่าผมเป็นคนบ้า... ใช่คุณเห็นผมเป็นคนบ้า ผมมันบ้า ผมมันบ้า คุณคิดแบบนี้ใช่ไหม ผมมันแค่คนบ้า!!!!!”

ปกรณ์ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น ความเครียดที่ครอบงำทำให้สติของเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอชานนท์ขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อที่จะกอดอีกครั้ง ทว่าร่างนั้นกลับต่อต้อนแล้วผลักออกไปสุดแรงจนชานนท์ล้มลงกับพื้น

“ผมเกลียดคุณ” ปกรณ์พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นก่อนจะวิ่งหนีออกไปอีกครั้ง

   ความผิดหวังที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันมากมายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ความเสียใจพรั่งพรูออกมาเป็นหยดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย

   คนที่เขายอมเปิดใจ... คนที่ไว้ใจที่สุดในชีวิตกลับเลือกที่จะโกหก

มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนโดนหักหลัง ปกรณ์ไม่อาจประเมินได้ว่าตนเองทรมานมากแค่ไหน มันเหมือนกับมีหอกแหลมคมทิ่มแทงเข้ามาที่กลางหัวใจ แทงซ้ำๆ จนระบมไปทั่วร่าง เหมือนมีคนเอาน้ำร้อนมาสาดแผลสด แล้วโรยด้วยพริกเกลือย้ำที่แผลนั้นอีกที มันเจ็บจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

ไม่ใช่แค่เรื่องที่โดนชานนท์โกหกเท่านั้นที่ทำร้ายความรู้สึก การที่รู้ว่าปาณัฐและนรินทร์ไม่ตัวตนอยู่บนโลกนี้จริงๆ มันยิ่งต้องย้ำให้ความเจ็บปวดทวีคูณมากขึ้น

หากต้องทนทุกข์กับความทรมานมากมายขนาดนี้ ...บางทีการตายไปให้รู้แล้วรู้รอดมันอาจจะเจ็บปวดน้อยกว่า ปกรณ์คิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้เขายังทำแบบนั้นไม่ได้ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะยืนยันว่าเป็นเรื่องใจ แต่ก้นเบื้องลึกของหัวใจเขายังเชื่อว่าปาณัฐกับนรินทร์มีตัวต้นอยู่จริง เขาต้องพิสูจน์ให้ได้



จบตอน
   

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ความไว้ใจที่ให้มันกู้ยากเน้อ ชานนท์ก็แอบผิดจริงๆที่ไม่บอกตรงๆตั้งแต่แรก
ติดตามต่อไปป :katai1:

ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o12:

มันหนักหน่วงเกินไปแล้วสำหรับปกรณ์ สงสารอ่า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
สงสารรร

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 23


ชานนท์ที่ถูกผลักล้มจนก้นจ้ำเบ้ากับพื้นพยายามลุกขึ้นแล้ววิ่งตามออกไป ทว่าปกรณ์นั้นวิ่งไวเหลือเกิน คนที่มีอาการป่วยทางจิตมักเป็นแบบนี้ เวลาที่หวาดกลัวหรือผิดหวังจากอะไรมากๆ มักจะมีเรี่ยวแรงมหาศาลและวิ่งไวกว่าคนปกติทั่วไป

ชานนท์พยายามวิ่งตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบจะออกจากโรงพยาบาล รถมอเตอร์ไซค์ที่หักเลี้ยวเข้ามาได้มาชนกับเขาเข้าอย่างจังจนทำให้เขาเซไปข้างหลังแล้วล้มลงอีกครั้ง

มอเตอร์ไซค์คู่กรณีล้มลงเช่นกัน

“ผมขอโทษนะครับ นี่นามบัตรผม เดี๋ยวผมชดใช้ค่าเสียหายให้” ชานนท์ยื่นนามบัตรให้คู่กรณีก่อนจะวิ่งตามออกไป ทว่า... พอออกจากรั้วโรงพยาบาล เขาก็ไม่พบร่างของปกรณ์เสียแล้ว

อุบัติเหตุเมื่อครู่ส่งผลให้แขนและขาของเขาถลอก มันเจ็บปวดแต่คงเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวกับสิ่งที่ปกรณ์ต้องพบเจอ

   ชานนท์ลองวิ่งลัดเลาะตามตรอกซอกซอยใกล้ๆ เมื่อไม่พบ จึงกลับไปตั้งหลักที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

   “ชานนท์” หมอเกื้อตกใจเมื่อเห็นสภาพของชานนท์สะบักสอบ ชุดเปรอะเปื้อน เหงื่อชุ่มร่างราวกับไปทำศึกสงครามที่ไหนมา “นั่งก่อนครับ”

   “หมอครับ ปกรณ์รู้แล้วว่าปาณัฐกับนรินทร์ไม่มีตัวตน” ชานนท์เอ่ยเสียงเครียด เขาไม่ได้นั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานหมอแต่เขาฟุบลงกับพื้นก้มหน้ากอดเข่า

   “แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นคนบอกแน่ๆ คุณชลธิชามาเล่ารายละเอียดให้ผมฟังแล้ว แต่ผมแปลกใจว่าทำไมคุณปกรณ์ถึงเครียดจนกระทั่งหนีออกจากโรงพยาบาล”

   “ตอนแรกปกรณ์กลับมาแล้วครับ” ชานนท์กำมือแน่นนึกโกรธตัวเอง “แต่ผมเคยโกหกว่ามองเห็นนรินทร์ ผมแกล้งพูดคุยกับนรินทร์เพื่อให้เขาเชื่อว่านรินทร์มีจริง ตอนที่กลับมาปกรณ์บอกว่าปาณัฐกลับมาด้วย แล้วผมก็วิ่งทะลุร่างของปาณัฐเพราะมองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน เขาผิดหวังในตัวผม ก็เลยวิ่งหนีไปอีกครับ”

   เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ ชานนท์อยากจะชกมือเข้าที่เบ้าหน้าของตัวเองให้กับความโง่เขลา ปกรณ์คงผิดหวังและเสียใจมาก... ใช่ปกรณ์ต้องผิดหวังมากๆ

   “คุณยังไหวไหมครับ” หมอเกื้อเดินเข้ามาตบบ่า

   ชานนท์เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

   “ไหวครับ”

   “ดีครับ งั้นตามผมมา ผมจะพาคุณไปตามหาคุณปกรณ์เอง”

   ชานนท์มองหมอเกื้ออย่างมีหวัง... นอกจาก ความฉลาด หน้าตาที่หล่อเหลา และบุคลิกที่น่าเชื่อถือ หมอเกื้อยังมีข้อความสามารถอีกเรื่องคือเป็นนักซิ่งมอเตอร์ไซค์ทั้งมินิไบค์และบิ๊กไบค์ หมอเกื้อเคยเข้าร่วมแข่งขันประลองความเร็วมาแล้ว แม้จะไม่ได้อันดับหนึ่งแต่ก็เคยได้ถ้วยอันดับสามมาครอบครอง

   หมอเกื้อขับมินิไบค์มาทำงานที่โรงพยาบาลทุกวันเนื่องจากที่พักอยู่ค่อนข้างไกล การขับมินิไบค์อย่างปลอดภัยบนท้องถนนแล้วค่อยๆ ลัดเลาะตามช่องเวลารถติดมันจึงทำให้หมอเกื้อมาถึงที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว

   ชานนท์เดินตามหมอเกื้อไปจนกระทั่งถึงลานจอดรถ หมอเกื้อสะบัดชุดกาวน์ออกจากร่างก่อนจะฝากมันไว้กับยามหนุ่มตรงทางเข้า แว่นดำที่เสียบไว้ที่เชิ้ตขาวด้านในถูกหยิบขึ้นมาสวมใสทำให้หมอเกื้อในตอนนี้ดูราวกับพระเอกละครสุดเท่

   ก่อนจะสตาร์ทรถ หมอเกื้อได้หยิบหมวกกันน็อคออกมา หมอสวมหมวกนั่นให้กับชานนท์ก่อนที่จะสวมให้กับตัวเองเพื่อความปลอดภัย

   “เกาะแน่นๆ นะครับ” สิ้นทุ้มต่ำของคนขับสั่งเมื่อทั้งสองร่างอยู่บนมินิไบค์

   “ครับ” ชานนท์ตอบรำ แต่ถึงกระนั้นเขาก็จับเพียงแค่ขอบเสื้อของหมอเกื้อเท่านั้น เขาไม่ชินกับการนั่งซ้อนท้ายมินิไบค์

   “จับอย่างนี้เดี๋ยวก็ตกหรอกครับ” หมอเกื้อหันมาดุเบาๆ ก่อนจะจับแขนของชานนท์ให้โอบร่างของตนเอาไว้แน่น “กอดแน่นๆ ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”

   “เอ่อ... ครับ” ชานนท์กอดแน่นตามที่หมอเกื้อสั่งจากนั้นหมอหนุ่มก็ซิ่งรถออกไปทันที







   ทางด้านของปกรณ์...

   เขาวิ่งออกมาโดยไม่มีจุดหมาย ลัดเลาะตามตรอกซอกซอยต่างๆ จนกระทั่งเข้าไปในซอยซอยหนึ่ง เดินเข้าไปต้นซอยจะมีบ้านของคนซึ่งมีเขตรั้วกั้นเอาไว้แบ่งเป็นบ้านใครบ้างมัน แต่เพียงประมาณ 500 เมตรเท่านั้นบ้านคนก็ไม่มี กลายเป็นทุ่งหญ้าสูงใหญ่

   ปกรณ์เดินแหวกฝูงหญ้าไปจนไปหยุดพักที่ใต้ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ปาณัฐที่วิ่งตามมาตลอดเดินไปหยุดพักใกล้ๆ กับร่างของเขาด้วย

   ปกรณ์มองดูร่างนั้นอย่างพิจารณา ปาณัฐเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างกำยำ อะไรหลายๆ อย่างดูคล้ายกับน้องชายของเขาแต่ตัวเล็กกว่าชัดเจน เขาจึงรู้สึกรักและเอ็นดูเด็กคนนี้มากเป็นพิเศษ แต่พอรู้ความจริงว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีตัวตนอยู่จริง เขาก็ผิดหวัง แม้ความจริงจะปรากฏให้เห็นจนแน่ชัดตอนที่ชานนท์วิ่งทะลุร่างของปาณัฐ แต่ในใจลึกๆ ปกรณ์ก็ยังหวังให้มันเป็นแค่เรื่องโกหก

   ปกรณ์ลองเอื้อมมือไปลูบที่แก้มของปาณัฐ เขาสัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่ม แล้วความสับสนก็เกิดขึ้นในจิตใจอีกครั้ง

   “ใช่... มันก็แค่เรื่องโกหก” ปกรณ์พึมพำ “ปาณัฐนั่งอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ทำไมเขาจะไม่มีตัวตน”

   ปาณัฐเพียงยิ้มออกมาเท่านั้น ไม่ยอมพูดอะไรสักคำตั้งแต่วิ่งออกมา

   “พี่เหนื่อยไหมครับ” นั่นเป็นคำแรกที่ปาณัฐเอ่ยออกมา

   ปกรณ์พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ จนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะกุญแจและข้าวของที่นำออกมาก็ขนไปไว้ที่ห้องของชานนท์ทั้งหมด

   พอคิดถึงชานนท์... ก็รู้สึกจุกขึ้นมา เจ็บเหมือนใจแตกสลาย ร่างกายเหมือนจะระเบิดเสียให้ได้ อุตส่าห์เชื่อใจ เปิดใจและยอมรับในความรู้สึกของตัวเองว่าคิดอย่างไรกับคนคนนี้ แต่กลับโดนหลอกลวง

   “คุณเห็นผมเป็นแค่คนป่วยจริงๆ สินะ คงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับที่ผมรู้สึก” ปกรณ์พึมพำออกมาก่อนจะทิ้งร่างนอนลงไปกับผืนดิน

   “บางทีพี่ชานนท์อาจจะมีเหตุผลก็ได้นะครับ” ปาณัฐเอ่ยขึ้นมา จิตใจของปกรณ์คงกำลังหวั่นไหว “พี่ลองนึกสิครับว่าถ้าตอนนั้นพี่ชานนท์ไม่ตัดสินใจโกหกเล่นละครตบตาพี่ พี่จะเชื่อเขาไหม และพี่จะรู้สึกยังไงในสถานการณ์นั้น”

   ปกรณ์ลองนึกตามคำพูด ...ตอนนั้นเขากำลังเครียดที่โดนพ่อกดดัน สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่ที่พ่อไม่อยากให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ชานนท์ที่ออกตามหาคงกังวลมากหลังจากที่รู้ว่าเขาวิ่งหนีออกจากบ้านไป ชานนท์จึงพยายามตามหาทุกหนแห่ง และพอได้มากับกันในสภาพที่ตนเองกำลังอ่อนแอนั้น จึงไม่แปลกหากชานนท์ที่รู้อยู่แล้วว่านรินทร์ไม่มีตัวตนอยู่จริงนั้นแกล้งเล่นละครตบตา

   “แต่มัน...” สิ่งที่กำลังคิดนั้นมีเหตุผล ปกรณ์พยายามจะหาข้อมาโต้แย้งแต่ก็เถียงกับความคิดเหล่านี้ไม่ได้ หากตอนนั้นชานนท์เลือกที่จะพูดความจริง เขาคงเกลียดชานนท์และคงไม่กลับไปรักษาที่โรงพยาบาลแน่นอน

   “พี่เองก็คิดไม่ออกใช่ไหมล่ะครับว่าควรทำยังไง แล้วกับพี่ชานนท์ที่ห่วงพี่มากๆ เขาคงตัดสินใจได้ยากลำบากเหมือนกันนะครับ” ปาณัฐพยายามพูดย้ำให้ปกรณ์นึกถึงความรู้สึกของชานนท์

   “แต่เราเคยรับปากกันว่าจะไม่โกหก” การโดนหลอกลวงและทำให้ผิดหวังมันเหมือนเป็นปมฝังใจที่แก้ไม่หาย ยิ่งพอนึกย้อนไปในอดีตที่ผ่านมา มันยิ่งตอกย้ำให้เขากลัวการที่จะเปิดใจรับใคร

   เสียงของพ่อที่ก่นด่าในการกระทำของแม่

   เสียงร้องไห้ของแม่ที่เห็นพ่อเล่นชู้คาเตียง

   เสียงตบตี เสียงก่นด่า และภาพเหล่านั้นมันยังคงหลอกหลอนจิตใจของปกรณ์มาจนถึงทุกวันนี้

   “งั้นพี่ลองใช้ความรู้สึกตัดสินดูนะครับ หากไม่นับเรื่องนี้ การกระทำที่ผ่านมาของพี่ชานนท์นั้นมันเป็นความจริงใจหรือการหลอกลวง”

   ปกรณ์ลองนึกตามอีกครั้ง เขาพยายามที่จะไม่คิดเข้าข้างตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่นับเรื่องที่โกหกนั้น... คุณชานนท์แทบหาข้อเสียไม่ได้ ทุกการกระทำของเขามันมีแต่ความจริงใจ น้ำเสียง สายตา ท่าทางทุกสิ่งอย่างไม่ใช่เรื่องโกหก แต่เพราะเหตุผลอะไรล่ะ มันจะใช่เพราะความรู้สึกแบบเดียวกันกับของปกรณ์ไหม หรือเพราะแค่ว่าชานนท์เห็นเขาเป็นแค่คนป่วนทางจิตคนหนึ่งเท่านั้น

   ...นี่แหละคือสิ่งที่ปกรณ์ไม่อาจตัดสินได้

   “พี่ไม่แน่ใจเหรอครับ” ปาณัฐเอ่ยถามขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปนาน

   “เปล่า” ปกรณ์รีบปฏิเสธ “คุณชานนท์เป็นคนจริงใจ แต่พี่ไม่รู้ว่าที่เขาดีกับพี่นั้นเพราะเรารู้สึกแบบเดียวกันหรือเพราะเขาแค่ต้องการรักษาพี่ให้หายเท่านั้น”

   “ถ้าพี่ชานนท์แค่อยากรักษาพี่ให้หาย เขาจำเป็นต้องทำกับพี่ถึงขนาดนี้ไหมล่ะครับ เขานั่งรอพี่อยู่ที่โรงพยาบาล รอให้แค่ให้พี่ไปรักษาไม่ง่ายกว่าเหรอครับ ไม่เหนื่อยด้วย”

   สิ่งที่ปาณัฐพูดออกมามีเหตุผล ชานนท์ไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยเพื่อเขามากถึงเพียงนี้ ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวด้วยกันด้วยซ้ำ

   “ช่างมันเถอะ” ปกรณ์เลือกตัดบทเอาเสียดื้อๆ เขาไม่กล้าคิดอะไรไปเองอีกแล้ว “ว่าแต่เราตามพี่มาแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอ กลับไปบ้านก่อนก็ได้นะ”

   ปกรณ์หลุดถามออกไป พอรู้ตัวก็รีบหันไปมองอีกฝ่ายตาเขม็ง หัวใจเต้นแรงขึ้นเพราะกลัวคำตอบที่จะได้ยิน

   ปาณัฐส่งยิ้มออกมาหากแต่แววตาของเขากลับเศร้าสร้อย

   “ผมไม่มีบ้านให้กลับหรอกครับ” เสียงนั้นเปล่งออกมาด้วยความแผ่วเบา “บ้านของผมก็คือจิตใจของพี่ ถ้าไม่มีพี่ก็ไม่มีผม”

   ฉับพลันร่างของปาณัฐก็หายไปต่อหน้าต่อตา หายไปราวกับปาฏิหาริย์ ปกรณ์เบิกตาโพลงออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบยื่นมือไปยังจุดที่ปาณัฐนั่งอยู่เมื่อครู่ แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาสัมผัสได้เพียงลม จิตใจของเขาในตอนนี้เริ่มเชื่อแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่มีตัวตน เป็นสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

   หัวใจก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง เคราะห์กรรมอะไรนักหนาเมื่อคนที่เขาคิดว่ารักและมีอยู่จริงกลับเป็นเพียงสิ่งลวงตา จิตใจของเขาอ่อนแอถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้ามันอ่อนแอขนาดนั้นก็ช่วยปรากฏตัวออกมารักษาความรู้สึกที่เปราะบางอีกสักที อย่าปล่อยให้เขาต้องรู้สึกโดดเดี่ยวต่อไปอีกเลย

   “ปกรณ์” แล้วเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ปกรณ์เงยหน้ามองก็ถึงกับอ้าปากค้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนอย่างไม่มีข้อกังขาอีกแล้วว่าสิ่งที่ฤทัยดีพูดเป็นเรื่องจริง

   “นรินทร์” ปกรณ์เอ่ยเสียงแผ่วเบาเมื่อมองเห็นร่างนั้นกำลังยืนจ้องเขาอยู่ตรงหน้า อยู่ๆ ปาณัฐก็หายไปแล้วกลายเป็นนรินทร์ที่โผล่มา

   “สีหน้าของดูไม่ดีเลย นายคงเหนื่อยมากสินะ เราเองก็เหนื่อย” นรินทร์เอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นมือออกไปตรงหน้า “ป่ะ... ไปกันเถอะ”

   “ไปไหน” ปกรณ์ถาม

   “ไปในที่ที่เราควรอยู่ไง” นรินทร์ส่งยิ้มให้ แววตาของนรินทร์ไม่มีความเศร้าสร้อยเลยสักนิด มันเหมือนกับคนที่กำลังมีแต่ความสุข ความสบาย “ไปในที่ที่เราชอบ ไปในที่ที่เราอยู่อย่างสบายกายสบายใจ”

   น้ำเสียงที่จริงใจของนรินทร์ส่งผลให้ปกรณ์ยื่นมือไปตอบรับก่อนจะยั้งกายลุกขึ้น เขาเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยมามากเกินพอแล้ว เขาไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว เขาจะไปอยู่กับนรินทร์...

   นรินทร์จับมือของปกรณ์เอาไว้แน่น ก่อนจะเดินนำออกไป เดินไปเรื่อยๆ ช้าๆ ปกรณ์ก้าวตามไปอย่างไม่รู้จุดหมาย หัวใจของเขาในตอนนี้ล่องลอยว่างเปล่า ความหนักอึ้งทั้งหมดที่เคยแบกรับถูกปล่อยทิ้งไปในก้นเบื้องลึกของหัวใจจนเขาไม่มีความรู้สึกอะไรอีกเลย

   ภาพเบื้องหน้าที่เป็นทุ้งหญ้ากว้างใหญ่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสีขาว มองไปทางนั้นก็มีแต่สีขาวเท่านั้น สีขาวที่แสนบริสุทธิ์ สีขาวที่ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ เขากำลังเดินอยู่บนโลกที่มีแต่สีขาวไม่รับรู้อีกต่อไปว่ารอบกายในตอนนี้มีอะไรอยู่บ้าง

   มันเป็นความรู้สึกที่สบายใจอย่างที่ปกรณ์ไม่เคยสัมผัสได้ เขาอยากจะอยู่ในโลกที่มีแต่สีขาวนี้ตลอดไป

   ฉับพลันความคิดของเขาก็ดับลง เมื่อเสียงของอะไรบางอย่างที่ดังขึ้นได้เรียกสติของเขาให้กลับคืนมา

   เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น โลกสีขาวก็หายไป ปกรณ์มองภาพเบื้องหน้าก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนท้องถนน และเสียงที่ดึงสติของเขาให้กลับมานั้นก็คือเสียงของแตรรถบรรทุกคันใหญ่

   ความตกใจส่งผลให้ความหวาดกลัวเข้าครอบงำอีกครั้ง ปกรณ์ยืนตัวแข็งทื่อก้าวขาไม่ออกเมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าร่างของคงจะโดนบดขยี้

   น่าแปลก... เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วแบบนี้ เขากลับมีเวลาคิดทบทวนอะไรได้หลายอย่าง ภาพใบหน้าของชานนท์ปรากฎขึ้นมา รอยยิ้มอบอุ่นของคนๆ นั้นอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาสัมผัสได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต

   ‘ขอบคุณนะครับคุณชานนท์ ที่ทนเหนื่อยกับคนอย่างผมมานาน’ ปกรณ์หลับตาลงพร้อมรับเคราะห์กรรมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

   ปี๊กกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!






จบตอน

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
ฝากอีกเรื่องด้วยนะครับ
- ซื่อสัตว์ - คลิกเลยจ้า
เรื่องนี้จะเป็นแนวฝาแฝดที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว จึงได้รับการปฏิบัติจากพระเอกสุดหล่อที่ต่างกัน
คนละแนวกับเรื่องนี้เลย ยังไงฝากติดตามด้วยนะครับ รู้สึกเหงาๆ นิยายเงียบๆ T__T
เรื่องนี้เงียบพอเข้าใจเพราะมันเป็นแนวนี้ แต่ถ้าเรื่องใหม่เงียบด้วย ท้อเลย T__T

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ้าวเฮ้ย ปกรณ์จะเป็นอะไรไหม

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ไม่น้าา :katai1:


ออฟไลน์ Monjara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ค้างได้อีก ปกรณ์ ไม่เป็นไรใช่ไหม
กลัว สั่นไปหมด อินจนซึมเลย
เข้าใจปกรณ์ คนแบบนี้เวลาเสียใจจะมีมากกว่าคนปกติทั่วไป
 :ling2:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ตอนที่ 24


       หลังจากที่เปลือกตาเปิดขึ้นมา ภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ ปรากฏ เขามองเห็นเพดานสีขาว พยายามหลับตาลงอีกครั้งแล้วทบทวนความคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่

   ความทรงจำสุดท้าย... ใช่แล้ว... เขากำลังยืนอยู่กลางถนน มีรถบรรทุกคันใหญ่กำลังแล่นตรงมาที่ร่างของเขา

   เขาคงถูกรถบดขยี้เข้าอย่างจัง แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ปกรณ์ยังคงหลับตาครุ่นคิด ที่นี่คือสวรรค์งั้นเหรือ พอลืมตาก็เห็นเพียงแต่สีขาว คนอย่างเขาจะขึ้นสวรรค์ได้จริงหรือ นรกจะต้อนรับหรือเปล่ายังไม่แน่ใจเลย ชีวิตที่ไม่ควรเกิดมาตั้งแต่ต้น ใครๆ ก็คงรังเกียจ

   พอพยายามหาเหตุผลมายืนยันว่าตนเองหมดลมหายใจไปแล้ว ปกรณ์ก็รีบลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะนั่นเป็นความคิดที่ผิด นี่ไม่ใช่สวรรค์หรือนรก เขายังไม่ตาย... ที่นี่คือที่ไหนกันแน่

   ปกรณ์สอดสายตาไปรอบข้าง พอเห็นร่างที่ฟุบอยู่ข้างเตียงก็ยิ่งทำให้ประหลาดใจเข้าไปใหญ่ เขาจำเส้นผมของคนคนนี้ได้ ผมดำที่มีหงอกแซมขึ้นมาในบางจุด

   “พ่อ” เสียงของปกรณ์เบาหวิวอาจเพราะเหนื่อยล้า ร่างนั้นขยับเล็กน้อยแต่พอพูดเรียกอีกทีเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา “พ่อครับ”

   “แก... ฟื้นแล้วเหรอ” พ่อมองมาทางเขา สายตาแน่นิ่งไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้

   “พ่อผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง มันเกิดอะไรขึ้น” ปกรณ์รู้แล้วว่าที่นี่คือห้องผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เขาพยายามจะยั้งกายเพื่อที่จะเข้าไปหาพ่อแต่ก็ทำไม่ได้ มีอะไรบางอย่างรั้งเขาเอาไว้

   ปกรณ์แหงนหน้ามองดูเหนือศีรษะ มือทั้งสองข้างของเขาถูกพันธนาการเอาไว้กับกุญแจมือ ล็อกไว้กับเตียงนอน พอก้มมองดูที่เขาก็พบว่าขาทั้งสองข้างถูกล็อกเอาไว้เช่นกัน

   “แกต้องเข้ารับการรักษา” พ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ก่อนที่มันจะแย่เกินไปกว่านี้”

   ปกรณ์เข้าใจในความหมายของพ่อ เขาเองก็เหนื่อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเกินกว่าที่จะปฏิเสธ แต่สิ่งที่เขาอยากรู้ในตอนนี้คือ... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

   “ผมมาอยู่นี่ได้ยังไงครับ”

   “แกตกใจ สลบไปที่ข้างถนน แล้วคนไปเห็นก็เลยพาแกไปส่งที่โรงพยาบาล” ชายวัยกลางคนตอบเพียงแค่นั้น

   “ใครเห็น ใครช่วยผม” ปกรณ์ถามอย่างเซ้าซี้ ท่าทีของพ่อดูแปลกไป และภาพที่เขาจำได้ล่าสุด เขาไม่ได้สลบแต่เขากำลังจะถูกรถบรรทุกชน

   “ฉันก็ไม่รู้” ชายวัยกลางคนเลือกที่จะปฏิเสธตอบคำถามนั้น “พยาบาลโทรมาบอกว่าแกมีอุบัติเหตุ ฉันก็เลยรีบมาดู”

   “พ่อเนี่ยนะครับรีบมาดู” ปกรณ์พึมพำกับตัวเองเสียงเบา เขาไม่มีค่ามากพอให้คนอย่างพ่อมาสนใจหรอก

   “แกว่าไงนะ”

   “อ่อ ผมบอกว่าผมอึดอัดครับ” ปกรณ์เปลี่ยนเรื่อง “ขยับไปไหนไม่ได้เลย”

   “ฉันถึงจะไปเรียกพยาบาลมาให้ไง เขากลัวว่าแกจะหนีออกไปอีก ก็เลยจับแกล็อกกับเตียงเอาไว้ก่อน” คนเป็นพ่อตอบออกมา “ไม่ต้องสงสัยนะว่ารู้ได้ไง พยาบาลเล่าให้ฟังหมดแล้ว”

   “ครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเรื่องแม่เลี้ยงล่ะมีใครรู้หรือยัง “เอ่อ... พ่อครับ”

   เสียงที่ดังขึ้นทำให้ชายวัยกลางคนหันมามองอีกครั้งก่อนที่จะออกจากห้อง

   “อะไร”

   “แล้วคุณน้าล่ะครับ”

   “ฤทัยน่ะเหรอ อยู่บ้านมั้ง ไม่ก็คงออกไปเที่ยว” ประสิทธิ์ตอบออกมา เป็นปกติของฤทัยดีอยู่แล้ว หล่อนไม่ได้ทำงาน ใช้ชีวิตอิสระอยู่บ้าน เที่ยวห้าง ดูหนังฟังเพลงไปเรื่อย เงินหมดเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับมาอ้อนขอประสิทธิ์

   “อ่อครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แสดงว่าที่ฤทัยดีมาที่นี่พ่ออาจจะยังไม่รู้เรื่อง พยาบาลอาจไม่ได้เล่าให้ฟัง

   “แกมีไรหรือเปล่า”

   “เปล่าครับ”

   ประสิทธิ์จ้องมองร่างของลูกชายด้วยความสงสัย ปกติเจ้านี่ไม่พูดถึงฤทัยดีด้วยซ้ำ แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงเอ่ยถาม แสดงว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน แต่เขาก็ไม่คาดคั้นก่อนจะออกจากห้องพักไปตามพยาบาลให้มาดูอาการของปกรณ์

   ประสิทธิ์เก็บความสงสัยพร้อมกับเดินไปหาพยาบาล

   “คุณพยาบาล เจ้านั่นฟื้นแล้วครับ”

   “ค่ะ” พยาบาลพยักหน้ารับทราบก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องของผู้ป่วย

   ปกรณ์ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก เขาเพียงช้ำเล็กน้อยจากแรงกระแทกตอนล้ม หมอได้ดูอาการและฉีดยาแก้ปวดให้ตั้งแต่ตอนที่ถูกส่งตัวกลับมาโรงพยาบาลแล้ว

   “ผมถามอะไรหน่อยครับ” ประสิทธิ์หันไปคุยกับพยาบาลอีกคน “มีใครมาหาเจ้านั่นก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นไหมครับ”

   “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ค่ะ” พยาบาลตอบออกมา “ต้องลองสอบถามกับพยาบาลแผนกจิตเวชที่เข้าเวรช่วงเช้าดูค่ะ”

   “ครับ” ประสิทธิ์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินกลับไปดูปกรณ์ที่ห้อง

พยาบาลกำลังคุยกับปกรณ์ด้วยท่าทางปกติ ไม่ว่าจะสอบถามอะไรผู้ป่วยก็ให้ความร่วมมือในการตอบคำถามอย่างดี เขาดูนิ่งและไม่มีท่าทางต่อต้าน เห็นดังนั้นประสิทธิ์ก็โล่งใจจึงตัดสินใจที่จะไปยังแผนกจิตเวชเพื่อสอบถามถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น








   ภายในห้องพัก ทันทีที่พยาบาลเดินเข้ามา ปกรณ์ก็มองอย่างมีความหวัง

   “คุณพยาบาลครับ ช่วยปลดล็อกออกทีครับ” ปกรณ์อึดอัดจะแย่ อยากจะเข้าห้องน้ำก็ไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้โกรธอะไรเพราะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่แปลกที่ทางโรงพยาบาลจะต้องทำกับเขาแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาสร้างปัญหามากมายเอาไว้

   “ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันตามหมอมาปลดให้นะคะ” พยาบาลพยักหน้า เธอยิ้มให้กับคนไข้อย่างเป็นมิตรสังเกตสีหน้าและแววตาพบว่าผู้ป่วยสติสัมปชัญญะครบถ้วน เธอจึงไม่ติดใจอะไร

   แต่พอกำลังจะออกจากห้อง ปกรณ์ก็ร้องเรียกเอาไว้เสียก่อน

   “เดี๋ยวครับคุณพยาบาล”

   “คะ” พยาบาลสาวหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองคนเรียก

   “คือว่าคุณ... คุณชานนท์น่ะครับ ที่เป็นนักจิตวิทยา เขาอยู่ที่นี่ไหมครับ เอ่อผมหมายถึง ยังทำงานอยู่ที่แผนกไหมครับ หรือว่าเลิกงานกลับไปแล้ว”

   พอได้ยินคำถาม พยาบาลก็หลบสายตา ท่าทางของเธอดูมีพิรุธเล็กน้อย

   “ดิฉันไม่แน่ใจค่ะ คิดว่าน่าจะกลับไปแล้วค่ะ”

   “อ่อ ขอบคุณครับ”

ปกรณ์ก้มหน้าขอบคุณ จากนั้นพยาบาลก็เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องไปเหมือนว่ากลัวจะโดนถามคำถามอีก

ไม่นานมากนัก ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เป็นคุณหมอเพศชายสวมชุดกาวน์สีขาว พิจารณาจากใบหน้าน่าจะอายุ 40 ปลายๆ ไม่ใช่หมอเกื้ออย่างที่ปกรณ์คิดในทีแรก

ทั้งๆ ที่เครื่องแต่งกายและผ้าปูเตียงยืนยันว่าที่นี่คือโรงพยาบาลเดียวกัน แต่ทำไมทั้งชานนท์และหมอเกื้อถึงหายไป ไม่มีใครมาดูแลเขาสักคน

ความสงสัยต่างๆ นานาเริ่มถาโถม ปกรณ์พยายามนึกหาเหตุผลแต่ก็นึกไม่ออก หรือว่าชานนท์อาจจะเบื่อเขาแล้ว ก็แน่ล่ะ เป็นใครก็เบื่อ อยู่กับคนสติขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์ไม่แน่นอนใครจะทนได้ แต่คุณหมอเกื้อที่เป็นหมอประจำตัวเขาตั้งแต่ที่เข้ารับการรักษาที่นี่ ทำไมถึงไม่ใช่เขาที่มาดูแล

คุณหมอวัยกลางคนปลดล็อกที่ข้อมือของปกรณ์ออกให้ก่อน แล้ววัดความดัน ฟังอัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจเบื้องต้นทุกอย่างที่ผู้ป่วยควรตรวจแล้วก็ลงบันทึก

“คุณปกติดี แต่แขนข้างขวาที่ช้ำจากการกระแทก อีกสักสองสามชั่วโมงอาจจะทำให้รู้สึกปวดนิดนึงนะครับ”

พอพูดจบก็เก็บของทำราวกับว่าจะเดินออกจากห้องไป

“เดี๋ยวครับหมอ” ปกรณ์แคลงใจ “ทำไมไม่ปลดล็อกที่ขาให้ผมด้วย”

“เป็นหน้าที่ของหมอจิตเวชครับ เดี๋ยวพยาบาลจะพาคุณย้ายไปที่แผนกจิตเวชอีกทีนะครับ”

“อ่อ ขอบคุณครับ” ปกรณ์ยกมือไหวอย่างเข้าใจ อย่างนี้นี่เอง เขาแค่คิดมากไป... นี่ไม่ใช่แผนกจิตเวช จึงไม่แปลกหากหมอเกื้อและชานนท์อาจจะไม่ได้มาพบเขา หรืออาจจะมาแล้วตอนที่เขายังไม่ฟื้น

พอคิดถึงชานนท์ ความรู้สึกสับสนก็เริ่มวนเวียนกลับเข้ามาในหัว ไม่แน่ใจว่าควรจะทำตัวเช่นไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน
มันไม่ใช่ความโกรธเลยสักนิด แค่เพียงคิดมากว่าตกลงชานนท์รู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่ เพียงหวาดระแวง ไม่ไว้ใจ แต่ก็ไม่อยากเสียเขาไปเมื่อนึกถึงความอบอุ่นเวลาที่ได้อยู่ใกล้กัน

   สักพักประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นร่างของผู้ชายรูปร่างสมส่วนไม่เตี้ยไม่สูงมากนัก เขาสวมชุดพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับรถเข็น เขาเอ่ยทักทายกับปกรณ์อย่างมิตรภาพ ใบหน้าดูเป็นมิตรก่อนจะปลดล็อกที่ขาออกให้

   “นั่งที่รถเข็นนะครับ เดี๋ยวผมพาไปที่แผนกจิตเวช” เสียงของเขาดูใจดี สมแล้วที่เป็นบุรุษพยาบาล

   “ครับ” ปกรณ์ยิ้มรับก่อนจะรีบลงจากเตียงแล้วไปนั่งที่รถเข็นทันที โชคดีที่คืนนั้น... ชานนท์ช่วยทำให้เขาหายหวาดกลัวจากการนอนบนเตียง ไม่อย่างนั้นวันนี้เขาคงรู้สึกกลัวจนบ้าคลั่งถ้าตื่นมาแล้วรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่บนเตียงนอน

   อีกครู่เดียวเท่านั้น ถ้าชานนท์ยังไม่กลับที่พัก ก็คงจะได้พบกัน





   ทางด้านของชานนท์

   หลังจากที่เกิดปัญหา เขาก็ถูกนำตัวมาส่งยังโรงพยาบาลเช่นกัน เขาได้รับบาดเจ็บแขนข้างขวาหัก ต้องเข้าเฝือกเพราะขณะที่เขากำลังซ้อนท้ายรถของหมอเกื้อนั้น เขาก็เห็นร่างของปกรณ์กำลังตรงมาตรงถนนราวกับคนที่กำลังไร้จิตวิญญาณ ชานนท์จึงบอกให้หมอเกื้อเร่งความเร็วไปตรงจุดนั้น

   ปกรณ์เดินไปอยู่กลางถนน เป็นเวลาเดียวกับที่หมอเกื้อขับมินิไบค์มาจอดอยู่ข้างทางพอดี และระหว่างนั้นเอง รถบรรทุกที่กำลังเหยียบคันเร่งมาด้วยความเร็วก็ได้วิ่งตรงมาทางนี้พอดี เนื่องจากถนนในซอยนี้ไม่ค่อยมีรถสัญจรอยู่แล้ว คนขับรถจึงมักจะชอบเหยียบคันเร่งเร็วกว่าปกติและไม่ระมัดระวัง

   ชานนท์ที่เห็นรถพุ่งมาด้วยความเร็ว จึงรีบลงจากท้ายรถแล้ววิ่งไปกลางถนนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ในหัวคิดเพียงแค่ว่าจะปล่อยให้ปกรณ์เป็นอะไรไปไม่ได้ วินาทีนั้น เสียงแตรรถก็ดังขึ้น ร่างของปกรณ์ที่ถูกผลักออกไปด้วยความแรงส่งผลให้ปกรณ์กระเด็นไปล้มอยู่ข้างทางอีกฝั่ง เขารอดจากการถูกรถบรรทุกชนด้วยความหวุดหวิด...

   ...ชานนท์หยุดคิดเพียงแค่นั้น ฉับพลันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

   “สวัสดีครับ” ชานนท์กดรับสาย

   “สวัสดีค่ะคุณชานนท์ คุณปกรณ์ฟื้นแล้วนะคะ” เป็นเสียงของพยาบาลสาวดังขึ้น

   “ครับ คุณปกรณ์เป็นยังไงบ้างครับ”

   “ไม่เป็นอะไรมากค่ะ”

   “แล้วปกรณ์จำอะไรได้บ้างครับ”

   “ดูเหมือนจะจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ ก่อนที่ดิฉันจะออกจากห้อง คุณปกรณ์ยังถามถึงคุณอยู่เลยค่ะว่ากลับบ้านหรือยัง ดิฉันเลยแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง”

   “ครับ”

   “ถ้ายังไง เดี๋ยวคุณหมออาจจะตรวจอาการคุณปกรณ์ก่อนนะคะ ถ้าไม่มีอะไรมากน่าจะส่งตัวกลับไปที่แผนกจิตเวชค่ะ”

   “ครับ ขอบคุณครับ อ้อ... รบกวนกำชับทุกคนด้วยนะครับ อย่าบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับคุณปกรณ์รู้เด็ดขาด”

   “ได้ค่ะ”

   “ขอบคุณมากๆ ครับ”

   ชานนท์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกใดใดออกมาได้ เพราะความรู้สึกหลายอย่างกำลังตีกันในหัวสมอง แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน ชีวิตของชานนท์ก็ต้องดำเนินต่อไป ไม่ได้จบอยู่แค่วันนี้ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น





จบตอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2017 17:16:00 โดย Mr.กุ๊กกู๋ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด