ตอนที่ 32
สองวันต่อมา...
วันนี้เป็นวันที่หมอการุณอนุญาตให้คนสนิทของปกรณ์สามารถเข้าเยี่ยมปกรณ์ได้อีกครั้ง ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายสอง ชานนท์จึงโทรนัดให้ปรปรัชญ์มาที่โรงพยาบาลหลัง 10 โมง ส่วนตอนเช้านั้นชานนท์ขออยู่กับปกรณ์ตามลำพัง อาจจะดูเหมือนชานนท์เห็นแก่ตัว แต่เพราะชานนท์มีเหตุผล
ไม่ใช่แค่เพราะคิดถึงปกรณ์และต้องการความเป็นส่วนตัวเท่านั้น แต่เขาต้องพูดโน้มน้าวเรื่องที่ปรปรัชญ์จะมาเยี่ยมให้ปกรณ์รับรู้แล้วเข้าใจด้วย เพราะยังไม่แน่ใจว่าปกรณ์พร้อมไหมหากต้องเผชิญหน้ากับปรปรัชญ์
ทางด้านของปกรณ์ พอทราบจากหมอการุณว่าวันนี้จะอนุญาตให้ชานนท์เข้าเยี่ยม เขาก็รีบตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า รอคอยคนที่คิดถึง
การห่างกันเพียงแค่ไม่กี่วัน มันทำให้ปกรณ์รู้ความรู้สึกของตัวเองแล้วว่าชานนท์สำคัญมากขนาดไหน
“เดี๋ยวพี่ชานนท์ก็มาน่า” เป็นเสียงของปาณัฐที่เอ่ยแซว ก่อนหน้านี้เขาไม่เจอกับปาณัฐมาหลายวันแล้ว แต่อาจเพราะวันนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอตื่นเช้ามาก็เห็นปาณัฐมานั่งเฝ้าที่โซฟาตัวเดิม
“ก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน ทำไงได้ ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอก แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย” ปกรณ์พูดออกไปตรงๆ คนที่ไม่มีใครรักมาทั้งชีวิตพอได้พบกับใครสักคนที่ทำให้เชื่อมั่น มันจึงไม่แปลกอะไรหากเขาจะมีอาการดีใจ ตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้มากกว่าคนทั่วไป ...คนที่รายล้อมไปด้วยคนรักคงไม่มีวันเข้าใจหัวอกของหมาหัวเน่าแบบปกรณ์หรอก
“ดีจังเลยนะครับ” ปาณัฐพึมพำ
ปกรณ์สังเกตเห็นสายตาของปาณัฐส่อแววเศร้าลงระคนความยินดีไปด้วย มันเหมือนคนแอบรักที่กำลังอกหัก เสียใจแต่ก็ต้องฝืนแสดงความยินดีอย่างไรอย่างนั้น ...หรือว่าใกล้จะถึงเวลาที่ต้องจากกันแล้ว
“ไม่ใช่นะปาณัฐ” ปกรณ์รีบเอ่ยขึ้น เขากลัวความคิดนั้นจะเป็นจริง “กับเราพี่ก็ดีใจที่ได้เจอเหมือนกัน”
“ผมเองก็ดีใจที่ได้เจอกับพี่” ปาณัฐยิ้มออกมา ทุกครั้งที่คุยกับปาณัฐปกรณ์รู้สึกเหมือนความคิดของตัวเองกำลังโต้ตอบกันไปมา เด็กคนนั้นมักจะตอบตามที่ใจเขาต้องการเสมอ “ไม่อยากจากพี่ไปไหนเลย”
ปกรณ์รู้สึกหดหู่ทันทีที่ได้ยินคำนี้ อาการตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบเจอกับชานนท์หายไป เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย อารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวสุขเดี๋ยวเศร้า
ระหว่างนั้นเอง ใครที่เขารอคอยก็เปิดประตูเข้ามา แต่เพราะความเครียดเลยทำให้ปกรณ์ไม่รู้ตัวเพราะเอาแต่คิดเรื่องปาณัฐจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง
“คุณปกรณ์ เป็นอะไรไปครับ ทำไมหน้าเป็นอย่างนั้น” ชานนท์รีบเดินเข้าไปหาทันที
“อ้าว คุณชานนท์” ปกรณ์หันหน้ามามอง เขาไม่รู้ตัวสักนิดจนกระทั่งชานนท์เดินเข้ามาใกล้ๆ “มาตั้งแต่ตอนไหนครับ”
“เพิ่งมาครับ แต่คุณสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ กำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย หรือว่า... เสียใจที่จะได้พบผม” ชานนท์เอ่ยยิ้มๆ เขาแกล้งพูดเล่นแต่อีกฝ่ายกลับจริงจัง
“ไม่ใช่นะครับ ผมดีใจมากที่รู้ว่าวันนี้จะได้พบคุณ” ปกรณ์รีบโพล่งออกมา กลัวว่าชานนท์จะเข้าใจผิด “พอดีเมื่อกี้กำลังคุยกับปาณัฐอยู่ครับ เขาบอกว่าไม่อยากจากผมไปไหนเลย”
ชานนท์รับฟังด้วยความเข้าใจ ตอนนี้ปกรณ์รู้อยู่แล้วว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่ที่ยังพบเห็นเพราะหัวใจของเขายังไม่พร้อมที่จะให้เด็กคนนั้นหายไป ปาณัฐหรือนรินทร์จึงยังโผล่มาเรื่อยๆ ชานนท์เองก็ลำบากใจ ถ้าจะบอกให้ตัดใจตัดขาดให้ได้ไปเลยก็คงจะใจดำเกินไป ค่อยๆ ให้เวลาเป็นยารักษาคงจะดีกว่า อะไรที่ฝืนใจมากไปไม่เป็นผลดีหรอก
“งั้น...” ชานนท์แกล้งทำเสียงสูงเรียกร้องให้อีกฝ่ายสนใจ “เดี๋ยวผมมาใหม่ดีไหมครับ ให้คุณคุยกับน้องปณัฐก่อน”
“ไม่เอาหรอกครับ” ปกรณ์รีบปฏิเสธออกมา “กว่าจะได้เจอคุณ ผมก็ไม่อยากให้คุณจากไปไหนเหมือนกัน”
ได้ผล... ชานนท์เริ่มหันมาสนใจที่เขา ถ้าชวนคุยอีกสักนิด ปกรณ์ก็คงจะลืมแล้วปาณัฐก็คงจะหายไป
“นี่รู้อะไรไหม ตั้งแต่ที่คุณมารักษาอยู่ที่นี่ผมทรมานโคตรๆ เลยล่ะครับ อยู่ใกล้กันแต่รู้สึกเหมือนอยู่ไกลยิ่งกว่าตอนที่คุณไม่ได้นอนพักที่นี่อีกนะครับ เห็นแต่ไม่สามารถพูดคุย มองแต่ไม่สามารถเข้ามาหาได้... แต่ผมก็ดีใจนะครับ ที่คุณเองพยายามสู้กับมัน สู้ต่ออีกนิดนะครับ ออกจากที่นี่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ต้องทนคิดถึงคุณแบบนี้อีกแล้ว”
ชานนท์พูดประโยคที่ยืดยาวออกมา มันใช่แค่คำพูดที่เพียงต้องการให้อีกฝ่ายสนใจเท่านั้น แต่มันเป็นความรู้สึกที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจของเขาจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นคนที่ตนเองรักทนอยู่ในสภาพที่ทรมาน บางวันก็ห่อเหี่ยวเหมือนคนไร้จิตวิญญาณ บางทีก็ต้องเห็นเขานั่งคุยคนเดียว บางทีก็ร้องไห้ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จนหลายๆ ครั้งปกรณ์ก็เกือบจะร้องไห้ตามไปด้วย แต่พอได้เข้ามาหา ชานนท์ก็ต้องพยายามข่มความรู้สึกหลายๆ อย่างเอาไว้ ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ปกรณ์เห็น เพื่อที่เขาเองก็จะได้มีกำลังใจสู้ต่อไป ไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องของเขาด้วย
ไม่ใช่แค่ปกรณ์เท่านั้น... หลายครั้งลังจากที่แอบดูปกรณ์จากหน้าประตูห้อง ชานนท์ก็ต้องไปเฝ้าหมอเกื้อต่อด้วยความรู้สึกที่ทรมานไม่ต่างกัน
“ได้ยินคุณพูดแบบนี้ผมเองก็มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ขี้เกียจจะทนคิดถึงคุณแล้วเหมือนกัน” ปกรณ์ตอบออกมา พักหลังมานี้พวกเขาเปิดใจให้กันมากขึ้น กล้าพูดอะไรออกไปตามความรู้สึก อาจเพราะความไว้ใจ เชื่อใจและความผูกพันที่มีมากขึ้นจึงทำให้พวกเขาไม่รู้สึกขัดเขินหากเทียบกับเมื่อก่อน ...แต่จะว่าไม่เขินเลยก็ไม่ใช่ แค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
“งั้นกินข้าวเช้ากันก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”
“ข้าวโรงบาลเหรอครับ” ปกรณ์แกล้งทำหน้าบู้ อิดออดเหมือนไม่อยากกิน “ข้าวโรงบาลจืดจะตาย ไม่อยากกินเลย”
“ใครว่าล่ะครับ” ชานนท์ยิ้มออกมาให้กับการกระทำที่ดูน่าเอ็นดูนั่น “ผมมาเยี่ยมคุณได้ทั้งทีก็ต้องทำอะไรอร่อยๆ มาให้คุณทานอยู่แล้ว”
“จริงเหรอครับ” ปกรณ์ตาลุกวาว “คุณบอกว่าคุณทำมาให้ ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมครับ ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมครับเนี่ย”
ชานนท์ขำออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางดีใจราวกับเด็กๆ อดหมั่นไส้ไม่ได้จึงยกมือไปดึงแก้มเบาๆ
“ฝันไหมล่ะครับ”
“แหม่... เชื่อๆ แล้วครับว่าไม่ได้ฝัน” ปกรณ์พูดติดตลก มีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยกับผู้ชายคนนี้ “แต่ถ้าเป็นฝันก็คงเป็นฝันดีที่สุดเพราะมีคุณอยู่ในนี้”
“โอ้โห... คำพูดคำจาแบบนี้ ไม่สมควรเป็นคนป่วยแล้วมั้ง” ชานนท์เอ่ยแซว แกล้งทำตาเบิกโพลงให้กับคนที่เคยไม่กล้าสู้หน้าคน ...ตอนเจอกันครั้งแรก ปกรณ์ไม่มองหน้าเข้าด้วยซ้ำ แต่พอมาวันนี้ทั้งมอง ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะอย่างมีความสุข แถมยังปากหวานอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่ดีเยี่ยม
“ก็ดีครับ ไม่อยากเป็นคนป่วยแล้ว แต่ถ้าไม่ป่วยผมก็จะไม่ได้เป็นคนไข้ของคุณแล้วน่ะสิครับ” ปกรณ์แกล้งทำเสียงงอแงเหมือนเด็กๆ เกิดมาเพิ่งเคยอ้อนใครแบบนี้ก็ครั้งแรก มันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง
“ก็มาเป็นคนรักแทนไงครับ”
ท่าทีที่ดุกดิกไปมาเมื่อครู่ของปกรณ์หยุดลงในทันทีที่ได้ยินคำนี้ เขากำลังทบทวนคำพูดของชานนท์ การที่คุณชานนท์พูดออกมาแบบนี้จะสื่อเป็นนัยๆ ว่าขอคบกับเขาหรือเปล่านะ หรือแค่พูดเพื่อให้รู้สึกดีใจเท่านั้น แม้ชานนท์จะแสดงออกว่าห่วงใย และปกรณ์ก็เข้าใจในความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองดี พอได้ยินแบบนี้เขาก็เลยไม่แน่ใจว่าคนอยากเขาจะมีคนรักได้เหมือนกับคนอื่นจริงๆ น่ะหรือ ....เขาเนี่ยนะกำลังถูกขอความรัก
ปกรณ์ไม่อยากมโนเข้าข้างตัวเองเลย แต่ก็อดคิดไม่ได้ นี่เขากำลังเป็นอะไรไปเนี่ย กำลังสูญเสียความเป็นตัวตน กำลังเขิน ไม่กล้าตอบ ไม่กล้าสบตาจนต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง
“แต่ถ้าไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันก็ไม่เป็นไรนะครับ” ชานนท์ที่เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งแถมยังเบือนหน้าหนีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา รู้สึกใจแป้วเหมือนกันที่พูดอะไรออกไปแบบนั้นแถมยังโดนปฏิเสธอีก แต่พอปกรณ์ได้ยินประโยคนี้ปุ๊บจึงรีบหันกลับมาปั๊บเพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสสำคัญนี้ไป
“เปล่านะครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ตกลงครับ ผมโอเค ตอนนี้เราตกลงคบกันแล้วนะครับ” ปกรณ์พยักหน้าหงึกๆ เหมือนยืนยันในคำตอบ ไม่ยอมเสียโอกาสนี้เด็ดขาด เขาดูถูกตัวเองมาทั้งชีวิตแล้ว จะเป็นอะไรไปถ้ายอมเชื่อและทำตามความรู้สึกสักครั้ง เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในความรู้สึก ...และเชื่อมั่นในคนรัก
ชานนท์ค่อยๆ ขยับริมฝีปากยิ้มออกมา รอยยิ้มของชานนท์แฝงไปด้วยพลังประหลาด มีอานุภาพมหาศาลที่สามารถสะกดให้ผู้ที่เผลอจ้องมองต้องตัวอ่อนระทวยได้ในบันดล จนปกรณ์ต้องรีบเบือนหน้าหนี
“ดีใจจังที่ไม่โดนปฏิเสธ งั้นเดี๋ยวผมไปเอาข้าวที่ผมตั้งใจทำมาให้ทานนะครับ รอแป๊บนึงนะ”
“ครับ”
พอชานนท์เดินออกไป ปกรณ์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าครั้งไหนๆ เลิกคิดสงสัยในความรู้สึกของตัวเองแล้วว่ามันคืออะไร ที่เหลือก็แค่ภาวนาให้อีกฝ่ายเป็นแบบนี้ตลอดไป อย่าเปลี่ยนแปลงไปและทำให้ผิดหวังหรือเสียใจก็พอ
ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ฝั่งของชานนท์เองก็มีอาการไม่ต่างกัน เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะยืนพิงกับประตู พอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองยังคงเต้นแรงอย่างต้องเนื่องจึงยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกแล้วสั่งให้มันสงบอาการลง
‘ใจเย็นเอาไว้ โล่งแล้วชานนท์’ เขาพูดกับตัวเอง... หลายวันมานี้เขาเป็นทุกข์ในการตัดสินใจว่าควรจะเลือกรักใครดี
ชานนท์คิดว่าความรู้สึกของคนเราไม่สามารถบังคับได้ แม้หมอเกื้อจะเอาชีวิตเข้าปกป้อง และแม้จะรู้ว่าเหตุผลที่ทำลงไปนั้นคือความรักก็ตาม แต่ความรักที่มีให้หมอเกื้อนั้นเป็นเพียงความรักแบบพี่ชายที่แสนดีเท่านั้น ชานนท์ต้องแยกให้ออกระหว่าง ความดี ความสงสาร กับความรัก จะรักใครเพราะดีหรือสงสารไม่ได้ เพราะถ้าทำแบบนั้นไม่วันใดวันหนึ่งมันก็ต้องมีจุดสิ้นสุด
...แต่ถึงจะเลือกไปแล้ว ชานนท์เองก็ไม่มั่นใจว่าถ้าหมอเกื้อฟื้นขึ้นมา ถ้าเขาได้มีโอกาสพูดคุยกับหมอเกื้ออีกครั้ง เขาจะยังสามารถหนักแน่นในความรู้สึกที่มีให้กับปกรณ์ไว้ได้หรือไม่ ชานนท์ไม่อยากคิดอะไรแล้ว รอไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนค่อยคิดแล้วกัน เขาควรจะมีความสุขกับปัจจุบัน และตอบแทนความดีของหมอเกื้อด้วยการดูแลพ่อกับแม่ของหมอเกื้อเพื่อเป็นการขอบคุณ แม้มันจะไม่สามารถทดแทนกันได้ก็ตาม แต่ก็น่าจะดีกว่าการที่ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเอง
หลังจากที่สติกลับมาพร้อมกับความตื่นเต้นที่จากไป ชานนท์ก็รีบเดินไปที่ห้องทำงานเพื่อไปหยิบข้าวกล่องที่เตรียมมา ชานนท์ไม่เคยทำอาหาร เรื่องฝีมือคงอยู่ปลายแถว แต่เขาก็อยากทำเพื่อปกรณ์ จึงลองศึกษาวิธีทำข้าวห่อไข่สไตล์ญี่ปุ่นจากคลิปวีดีโอฝึกสอนแล้วหัดทำตาม ถึงรสชาติที่ออกมาจะไม่ได้อร่อยมากแต่ก็ไม่ได้แย่จนกลืนไม่ลงแน่นอนเพราะเขาลองทพและชิมเองแล้วหลายรอบ
ชานนท์เดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งแต่ยื่นข้าวกล่องสีฟ้าไปให้ ที่เลือกสีฟ้าเพราะอยากให้จิตใจของปกรณ์สดใสเพราะเขาต้องทนอยู่ในโลกที่มืดมนมาแล้วทั้งชีวิต
ปกรณ์รับกล่องข้าวสี่เหลี่ยมสีฟ้าแล้วเปิดฝาออกทันที พอเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น รอยยิ้มก็ผุดขึ้น
“ข้าวห่อไข่ แล้วนี่อะไรครับเนี่ย” ปกรณ์ชอบใจซอสมะเขือเทศที่ชานนท์แต่งออกมาเป็นรูปหัวใจ พร้อมกับข้อความที่เขียนเอาไว้สั้นๆ ว่า ‘ LoVe U’ แล้วมีรูปใบหน้ายิ้มต่อท้าย “เป็นข้าวห่อไข่ที่มุ้งมิ้งน่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นตั้งแต่เกิดมาเลยนะครับเนี่ย”
“พูดมากน่า... กินๆ ไปเถอะ” ชานนท์เอ่ยขึ้น คราวนี้เป็นเขาที่ไม่กล้าสบตากับปกรณ์บ้าง
“คุณนี่จริงๆ เลย เป็นผู้ชายที่อบอุ่นและน่ารักขนาดนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะปล่อยตัวให้โสดมาจนถึงทุกวันนี้” พอได้ทีก็แซวใหญ่
“จะกินไม่กินครับ” ชานนท์ทำท่าว่าจะแย่งข้าวกล่องคืนแต่ปกรณ์ก็รีบคว้าหลบเอาไว้ได้ทัน
“กินๆ ครับ ไม่แกล้งแล้วครับ” ปกรณ์พูดออกมา “แต่ผมก็ต้องขอบคุณจริงๆ นะครับ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองสำคัญสำหรับใคร พอเห็นคุณทำข้าวกล่องมาให้ และที่ผ่านมาก็ทำนู่นทำนี่เพื่อผมสารพัด ผมรู้สึกว่าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่มารักษาที่นี่แล้วได้รู้จักกับคุณ ผมไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดกล้าคุยกับใครแบบนี้ด้วยซ้ำ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าคุณคือคนที่พิเศษที่ผมจะยอมเสียไปให้ใครไม่ได้ ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะครับ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแต่ละคำนั้นมีแต่ความจริงใจ ปกรณ์ไม่ใช่คนที่มีลูกเล่นแพรวพราว รู้สึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
“แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง สมมตินะครับแค่สมมติ ถ้าคุณเสียผมไปให้ใครคุณจะทำยังไง” อดไม่ได้ที่จะลองถาม อยู่ๆ ภาพของหมอเกื้อก็ผุดขึ้นมาในสมองตอนที่ปกรณ์บอกว่าจะไม่ยอมเสียเขาให้ไป
“สมมติเหรอครับ” ปกรณ์ทำสีหน้าครุ่นคิด เขาจริงจังกับคำถามนี้มากพยายามจะหาผลลัพธ์ให้ได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็นึกไม่ออก “ไม่รู้สิครับ ตอบไม่ได้เลย ไม่กล้าคิดแบบนั้น กลัวจะเสียใจ”
“อ่อครับ” ชานนท์พยักหน้า “แค่สมมติเฉยๆ นะครับ อย่าคิดมากล่ะ กินข้าวเถอะ”
“ครับ” ปกรณ์หยักหน้า ถึงชานนท์จะบอกว่าสมมติก็เถอะ แต่เขากลับรู้สึกแปลกๆ หลังจากที่ได้ยินคำถาม เหมือนว่าวันหนึ่ง... เรื่องที่ชานนท์ถามนั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านั้น รีบตักตวงวามสุขที่เกิดขึ้นในตอนนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุดดีกว่า
ชานนท์จ้องมองปกรณ์ตักอาหารคำแรกเข้าปากด้วยความตื่นเต้น ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะกินลงไหม
“เป็นไงบ้างครับ ผมไม่เคยทำอาหารเลยนะ นอกจากต้มมาม่าและทอดไข่”
“ครั้งแรกเหรอครับ” ปกรณ์เอ่ยออกมาหลังจากที่กลืนคำแรกลงไป “มิน่าล่ะ... ยังต้องปรับปรุงอีกเยอะ”
“โถ่... ไม่อร่อยจริงๆ ด้วย” ชานนท์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เขาก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เทียบกับสเต๊กที่ปกรณ์เคยทำมันคนละเรื่องกันเลย
“เปล่านะครับ ไม่ใช่ไม่อร่อย แต่หมายถึงว่าสามารถทำให้อร่อยได้มากกว่านี้ครับ” ปกรณ์ปลอบใจก่อนที่จะตักคำต่อไป “ อาหารที่คุณทำ ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็อร่อยหมดนั่นแหละ ผมชอบ”
“ผมว่าคุณอาการดีขึ้นเยอะเลยนะครับ รู้จักวิธีใช้คำพูดให้คนอื่นรู้สึกดีได้ด้วยทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังต้องรักษา อีกไม่นานผมว่าคงออกจากโรงบาลได้แล้วล่ะ”
“คนอื่นที่ไหนล่ะครับ” ปกรณ์แกล้งทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ “เราไม่ใช่คนอื่นแล้วนะ อีกอย่างก็กล้าคุยแค่กับคุณคนเดียวนั่นแหละ”
“ให้จริงเถอะครับ จะรอดูหลังจากที่คุณหายดี”
“รอเก้อเหอะครับ เพราะมันจะไม่มีวันนั้น วันที่ผมไปรู้สึกแบบนี้กับใคร”
“นั่นไง เถียงเก่งจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ชวนคุยแล้วเดี๋ยวกินข้าวไม่หมดสักทีจะเลยเวลากินยาเอา”
“ครับ”
จากนั้นทั้งคู่ก็เงียบเสียงลง แต่ยังคงส่งสายตาหากัน จนกระทั่งอาหารในกล่องหมดเกลี้ยง ชานนท์ก็ส่งยาที่ต้องกินทันทีหลังรับประทานอาหารให้ ปกรณ์กินยานั้นลงไปอย่างง่ายดาย เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จึงถึงเวลาที่ชานนท์จะต้องบอกกับปกรณ์ว่าวันนี้จะมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยม
“ตอนนี้คุณคิดว่าอาการของคุณเป็นยังไงบ้างครับ อาการ ความคิด คิดว่ามีอะไรดีขึ้นจากเมื่อตอนก่อนที่เข้ารับการรักษาไหม” ชานนท์เริ่มสอบถามอาการจากผู้ป่วย เพื่อฝึกให้เขาวิเคราะห์
“ก็น่าจะดีขึ้นนะครับ” ปกรณ์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปพอสมควร “ผมคิดว่าผมกล้าสบตาคนมากขึ้น กล้าพูดคุยมากขึ้นนะครับ ยิ่งถ้ากับคุณนะผมยิ่ง...”
“พอๆ” ชานนท์รีบยกมือห้ามปราม เขาพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไรต่อ
“ทำไม ไม่อยากฟังเหรอครับว่าผมจะพูดอะไร” ปกรณ์ส่งยิ้มทะเล้นออกมา
“แค่นี้ผมก็รู้แล้วครับว่าคุณดีขึ้น” ชานนท์พูดด้วยเหตุผล
“แต่ผมอยากตอบ” ปกรณ์เถียงและไม่รอให้อีกฝ่ายขัด เขารีบคว้าร่างที่อยู่ใกล้ๆ มากอดเอาไว้แน่น “ยิ่งถ้ากับคุณต่อให้เป็นฝ่ายเข้าไปกอดผมก็กล้าทำ...”
ชานนท์แกะอ้อมกอดของคนป่วยที่เริ่มฉายแววความทะเล้นออกจากร่างของตน ก่อนจะขยับออกไปให้ไกลจากจุดอันตราย
“เดี๋ยวมีคนมาเห็นน่าครับ” ชานนท์ไม่ได้โกรธ แต่ก็ต้องห้ามเอาไว้ ถ้าปล่อยให้ปกรณ์ทำอะไรตามใจเกินไปมันก็ย่อมไม่เป็นผลดีเหมือนกัน พออาการเริ่มดีขึ้น เขากล้าคิดกล้าทำแต่ต้องสอนให้รู้จักแยกแยะด้วยว่า ควรพูดหรือควรทำในสถานที่ไหน อย่างไร
“ผมขอโทษ” ปกรณ์ก้มหน้าจ๋อย
“อย่าทำหน้าจ๋อยสิครับ ผมไม่ได้ว่าคุณผิดนะ แต่ถ้าคนอื่นมาเห็นมันจะดูไม่ดี” ชานนท์อธิบายออกไป แต่อีกฝ่ายสีหน้ายังไม่ดีขึ้น จึงต้องหาวิธีทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาให้ได้ “เอาไว้เราค่อยไปกอดกันที่อื่นเนอะ รีบๆ หายละกัน ถึงตอนนั้นจะไม่บ่นคุณสักคำ”
“จริงนะ” ได้ผล ปกรณ์สายตาลุกวาว
“สัญญาเลยครับ” ชานนท์ยกนิ้วก้อยขึ้นมาเป็นการยืนยันอย่างหนักแน่น พอปกรณ์กำลังอารมณ์ดีเขาจึงรีบเอ่ยในเรื่องที่ต้องการจะพูดต่อทันที “แล้วตอนนี้คุณรู้สึกยังไงกับน้องชายคุณบ้างครับ”
“ปรัชญ์น่ะเหรอ” ปกรณ์ครุ่นคิด เขาไม่แน่ใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ถ้าถามว่ายังกลัวไหม ก็คงกลัวเพราะปรปรัชญ์เคยเตะต่อยเขารุนแรงเหมือนกัน แต่พอคิดย้อนไปตอนนั้น ปกรณ์รู้สึกว่าสีหน้าและแววตาของปรปรัชญ์ไม่เต็มใจสักนิด “ไม่รู้สิครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจ”
“ถ้าเกิดว่าต้องเจอกัน คุณคิดว่าจะส่งผลอะไรต่อสภาพจิตใจคุณไหม” ชานนท์ถามออกไปตรงๆ
“กับปรัชญ์เหรอครับ”
“ใช่ครับ”
“คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เราไม่ได้เจอกันนานมากๆ ตั้งแต่ที่เขาเรียนจบมัธยมปลาย เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย คงไม่น่าจะเป็นอะไรมั้งครับ ผมอธิบายไม่ถูกนะ แต่ในใจลึกๆ ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้เกลียดผม ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังรู้สึกกลัวปรัชญ์นิดๆ อยู่ก็ตามที” ปกรณ์ตอบออกไปตามความรู้สึก
“แน่ใจนะครับ” ชานนท์ถามย้ำ
“ครับ” ปกรณ์ยืนยันในความตอบโดยไม่เอะใจสักนิดว่าทำไมชานนท์ถึงถามเรื่องนี้
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ ผมจะให้น้องชายมาพบคุณที่นี่นะครับ”
“ว่าไงนะครับ” ปกรณ์ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม “เจอกับปรัชญ์น่ะเหรอครับ ปรัชญ์เรียนอยู่อเมริกานู่นจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”
“ปรัชญ์ทราบข่าวเรื่องคุณจากคุณพ่อ พอว่างก็เลยรีบบินมาที่นี่เพื่อที่จะมาเยี่ยมคุณน่ะครับ” ชานนท์ชี้แจง
“ไม่จริงน่า คุณอย่ามาโกหกผม” ปกรณ์ไม่อยากปักใจเชื่อ อย่างเขาเนี่ยนะจะมีค่าพอให้น้องชายบินมาหาเพื่อแค่ดูอาการ คุยกันดีๆ สักครั้งยังไม่เคย “นี่เป็นขั้นตอนการรักษาใช่ไหมครับ คุณกำลังทดสอบอะไรผมใช่ไหมครับ”
ยังไม่ทันที่จะได้ตอบคำถาม เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะสามครั้ง พร้อมกับร่างของใครบางคนที่เดินเข้ามา
เขาไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบของโรงพยาบาล เขาไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พยาบาล แต่ปกรณ์จำเขาได้... เขาเปลี่ยนไปมาก ตัวหนาและสูงขึ้น ผมยาวกว่าเมื่อก่อน และที่สำคัญเขาหล่อขึ้นผิดหูผิดตา อาจเพราะโตเต็มวัยแล้ว
ส่วนชานนท์ก็ตกใจไม่แพ้กัน ยังไม่ทัน 10 โมงด้วยซ้ำ แต่เขาก็มาที่นี่ก่อนเวลานัดหมาย แต่ยังดีที่ชานนท์เพิ่งคุยกับปกรณ์จบไป และมั่นใจว่าปกรณ์จะไม่เป็นอะไรแน่นอน
“ปรัชญ์” ปกรณ์เอ่ยเรียกชื่อของคนๆ นั้นก่อนจะกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ ทั้งๆ ที่เพิ่งบอกกับชานนท์ว่าคงไม่กลัว แต่พอได้พบกันอีกครั้ง... ปกรณ์เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในความคิดขึ้นมา หรืออาจแค่เพราะปกรณ์คิดไปว่าปรปรัชญ์ตัวโตขึ้น หากต้องโดนเจ้านี่ต่อยอีกสักครั้ง ความรุนแรงคงเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนหลายเท่า มันเลยทำให้เขารู้สึกหวั่นๆ ก็เท่านั้นเอง
จบตอน
T__T สงสัยเรื่องนี้ไม่สนุก แฮ่คอมเม้นท์ไม่ค่อยมีเลย
