[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก
Part 5# Tawan จอมเผด็จการ
เมื่อคืนผมนอนแทบไม่หลับเลย...
หลังจากที่โดนคุณภูผาทำเรื่องแบบนั้นลงไป ผมก็ได้แต่กระสับกระส่ายนอนไม่หลับเลยทั้งคืน เพราะไม่ว่าผมจะพยายามข่มตานอนเท่าไหร่ ภาพความทรงจำอันลามกมันก็ฉายชัดขึ้นมาในสมองทุกที
จนในที่สุดหลังจากที่ผมเกลือกกลิ้งไปร่วมชั่วโมงกว่า ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันมันก็ทำให้ผมนอนหลับเกือบเป็นตาย แต่ถึงอย่างนั้นยังไม่ถึง 3 ชั่วโมงผมก็ต้องตื่นขึ้นมาแล้ว เพราะเสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกเอาไว้ตอน 6 โมงตรงซึ่งเร็วกว่าเมื่อวานครึ่งชั่วโมงดังขึ้น
กรี๊งงงงงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงงงง
เฮ้ออออออ นี่แทบจะเป็นไม่กี่ครั้งที่ผมอยากนอนต่อไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เพราะนอกจากความง่วงแล้ว ผมยังรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงยังไงก็ไม่รู้ แต่ว่าผมคงจะคิดมากไป เพราะสาเหตุมันก็มาจากเรื่องเลวร้ายที่คุณภูผาทำกับผมเมื่อคืน จนผมหนักใจไม่อยากพูดคุยและสู้หน้าคุณภูผาอีกต่อไปแล้ว
รีบทำไปทำอาหารเช้าให้ทุกคนแล้วรีบหลบออกไปเรียนดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็รีบไปทำอาหารเช้าให้ทุกคนด้วยความเร่งรีบ ก่อนที่จะกลับเข้าห้องมาอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว แล้วก็ว่าจะหลบออกไปจากบ้านด้วยความไวแสงก่อนที่จะมีใครลงมาจากบนห้อง
แต่แล้ว...
แผนการของผมมันก็ต้องพังไม่เป็นท่า เพราะคุณภูผาที่จะออกจากห้องมาตอนเฉียด 7.00 น. กำลังนั่งดื่มกาแฟดำที่โต๊ะอาหารซะงั้น ทั้งที่ตอนนี้พึ่งเป็นเวลา 6.30 น. เท่านั้นเอง!
“กาแฟรสชาติกำลังดีเลยล่ะ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าฉันมีคนนั่งดื่มหรือกินอะไรเป็นเพื่อน” คุณภูผายิ้มที่มุมปากพลางส่งสายตาคมกริบมาทางผม ผมไม่รู้ว่าสายตาและคำพูดนั้นมันสื่อถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ ผมมั่นใจว่าคุณภูผาไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆ แน่นอน!
“อีกสักพักทุกคนก็คงลงมาแล้วล่ะครับ เพราะงั้นผมขอตัวก่อน” ผมพูดจบก็หมุนตัวกลับจะเดินไปยังประตูบ้าน แต่ก็ถูกคนภูผาเรียกเอาไว้แล้วตรงเข้ามาคว้าข้อมือของผมซะก่อน
“เดี๋ยว นายจะรีบไปไหน”
“ไปมหา’ลัยครับ” ในขณะที่พูดผมก็ก้มหน้าลงเพราะไม่อยากสบตากับคุณภูผา ส่วนมือก็พยายามสะบัดทิ้งแต่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์
“รอไปพร้อมพฤกษ์ก็ได้นี่”
“วันนี้พฤกษ์มีเรียนบ่าย ส่วนผมมีเรียนเช้าครับ”
“เช้าที่ว่าน่ะมันกี่โมง นี่พึ่งจะ 6 โมงครึ่งเองนายจะรีบออกไปทำไม มหา’ลัยก็อยู่ใกล้ๆ ทำอย่างกับว่าตั้งใจจะหลบหน้าใครอย่างนั้นแหละ” พอโดนพูดจี้ใจดำแบบนี้ ผมก็รีบเงยหน้าขึ้นไปแล้วแก้ตัวอย่างรวดเร็ว
“ผมไม่ได้หลบหน้าคุณภูผาสักหน่อย!”
“หืม? แล้วฉันบอกรึไงว่านายกำลังหลบหน้าฉัน?” เท่านั้นแหละผมก็รู้ทันทีว่าเสียท่าตกหลุมพรางของคุณภูผาเข้าแล้ว
“กะ...ก็...คือ...แบบว่า...” ตอนนี้เซลล์สมองของผมมันตายไปหมดแล้วรึไงนะ ทำไมถึงได้คิดข้ออ้างหรือหาข้อแก้ตัวไม่ได้เลย
“นายตั้งใจจะหลบหน้าฉันเพราะเรื่องที่ฉันใช้มือช่วย...”
“ว้ากกกกกกกก! หยุดนะครับคุณภูผา! อย่าพูดเรื่องนั้นออกมานะครับ! ถ้ามีใครมาได้ยินเข้าจะทำยังไง!” ผมรีบพูดขัดขึ้นก่อนที่คุณภูผาจะพูดอะไรออกมามากกว่านี้ เพราะถ้าเกิดทุกคนในบ้านรู้เรื่องเมื่อคืน ผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนน่ะสิ
“ทำไม? หรือว่านายกลัวใครจะเข้าใจผิด” คุณภูผาบีบที่ข้อมือของผมแรงขึ้น ผมรู้สึกไปเองรึเปล่านะว่าคุณภูผาดูท่าทางอารมณ์ไม่ดียังไงก็ไม่รู้
“ก็กลัวทุกคนได้ยินนั่นแหละครับ คุณภูผาปล่อยมือผมด้วยนะครับผมเจ็บ” พอได้ยินแบบนี้คุณภูผาก็ผ่อนแรงที่บีบข้อมือของผมลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยตามคำขอของผมอยู่ดี
“ฉันจะปล่อยก็ได้ แต่ว่านายต้องให้ฉันไปส่งที่มหา’ลัย”
“หา! ไปส่งผม? ไปทำไมไม่ต้องหรอกครับ”
“ฉันมีธุระที่ต้องไปทำแถวนั้นพอดี หรือว่านายนัดเจอใครถึงไม่อยากให้ฉันไปส่งห้ะ”
“ผมไม่ได้นัดใครทั้งนั้น ก็บอกแล้วไงครับว่าผมมีเรียนตอนเช้า”
“ถ้างั้นนายก็ให้ฉันไปส่งสิ”
“ถ้าคุณภูผาไปส่งผมแล้วใครจะไปส่งน้องวาล่ะครับ”
“ก็พฤกษ์ไง ช่วงเช้าไม่มีเรียนก็ไปส่งวาได้อยู่แล้ว”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ตามฉันมาขึ้นรถซะ นี่คือคำสั่ง” พูดจบคุณภูผาก็จูงมือ (ลาก) ผมออกจากบ้านไปขึ้นรถทันที โดยที่ผมไม่มีสิทธิ์ขัดขืนหรือปฏิเสธอะไรทั้งนั้น
เผด็จการที่สุดเลย!
หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมตลอดเวลาที่ผมกับคุณภูผาอยู่ในรถ มหา’ลัยที่อยู่ใกล้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไกลมากเพราะต้องตกอยู่ในบรรยากาศอันน่าอึดอัดแบบนี้
ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่คุณภูผากำลังทำอยู่ตอนนี้นั้นต้องการอะไร ทำไมถึงได้เกลียดผมจนต้องหาเรื่อง บังคับขู่เข็ญ แล้วก็กลั่นแกล้งผมถึงขนาดนี้ด้วยนะ
“จอดข้างหน้าก็ได้ครับ ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ผมพูดขึ้นเมื่อรถของคุณภูผาขับมาถึงหน้าคณะที่ผมเรียนอยู่
“ไม่เป็นไร ก็บอกแล้วว่าฉันต้องมาทำธุระแถวนี้พอดี” คุณภูผาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนผมที่ไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็เปิดประตูลงจากรถเดินขึ้นตึกเรียนไปเลย
ตลอดช่วงเช้าผมได้แต่สัปหงกระหว่างเรียนเพราะนอนไม่พอ ยังดีที่ช่วงพักเที่ยงผมไปซื้อกาแฟมาดื่มและหาที่งีบสัก 15 นาทีได้แล้ว เพราะงั้นคาบบ่ายที่เป็นวิชาบรรยายผมจึงตาสว่างและจดตามอาจารย์ได้ทั้งหมดจนกระทั่งจบคาบ
หลังจากเรียนเสร็จผมก็รีบขึ้นรถเมล์ไปยังร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ แต่โชคร้ายที่ฝนดันตกหนักเลยทำให้การจราจรติดขัดเป็นอย่างมาก จนผมต้องตัดสินใจโบกวินมอเตอร์ไซค์เพื่อให้ไปส่งที่ร้าน ซึ่งก็มาถึงได้ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด แต่ว่าผมก็ต้องเปียกไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ว้ายตายแล้ว+ ทำไมเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำขนาดนั้นล่ะฮ้าน้องตาหวาน” พี่กิตติ หรือ ‘เจ๊คิตตี้’ เจ้าของร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่พูดขึ้นเมื่อเห็นสภาพของผมที่เดินเข้ามาในร้าน
ถ้าคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนคงมองไม่ออกและไม่รู้เลยว่าพี่กิตติแกเป็นกะเทย เพราะพี่แกจะแสดงท่าทางออกสาวเฉพาะคนคุ้นเคยเท่านั้น แถมรูปร่าง หน้าตา และการแต่งตัวของพี่แกก็ไม่ต่างจากผู้ชายแท้ๆ ซ้ำยังหล่อและดูเท่อีกด้วย แต่หากได้รู้จักจะรู้เลยว่าพี่กิตติแกมีหัวใจเป็นสาวน้อยมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้สาวๆ บางคนที่ส่งสายตามาให้พี่แกเกิดอาการเซ็งไปตามๆ กัน
“ฝนมันตกน่ะครับผมเลยนั่งพี่วินมา ว่าแต่เมื่อไหร่พี่กิตติจะเลิกเรียกผมว่าตาหวานสักที พี่รู้มั้ยครับว่าตอนนี้ลูกค้าขาประจำบางคนก็เรียกผมว่าตาหวานไปด้วยแล้วนะ” ผมทำหน้ามุ่ย
การที่พี่กิตติเรียกผมแบบนี้ เป็นเพราะตอนที่ผมมาสมัครงานพี่แกได้ยินผมแนะนำตัวเองว่าชื่อตาหวาน ถึงแม้ผมจะแก้ความเข้าใจผิดไปแล้วว่าผมชื่อตะวัน แต่พี่แกก็ตีมึนไม่สนใจแล้วเรียกผมว่าตาหวานมาเรื่อยๆ ไม่ยอมเปลี่ยนจวบจนปัจจุบัน
“ใครอยากเรียกก็ให้เรียกไปสิจ๊ะอย่าได้แคร์”
“โธ่...พี่กิตติอะ”
“ไม่ต้องมาธ่งมาโธ่อะไรแล้วน้องตาหวาน รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนะเดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี” พี่กิตติรุนหลังผมไปที่หลังร้าน จากนั้นก็เอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ผมเปลี่ยน
จากนั้นผมก็เริ่มทำงานตามปกติ หน้าที่ของผมคือพนักงานเสิร์ฟจึงต้องเดินไปโต๊ะนั้นโต๊ะนี้จนทั่วร้าน ซึ่งปกติผมก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีไม่มีบกพร่อง แต่วันนี้พอผ่านไปได้สัก 3 – 4 ชั่วโมงผมกลับรู้สึกว่าตัวหนักอึ้งและเดินได้อย่างเชื่องช้า
“เป็นอะไรรึเปล่าตะวัน? ไม่สบายรึเปล่า?” หมิว พนักงานเสิร์ฟในร้านถามขึ้นเมื่อเห็นผมเดินเซๆ ในระหว่างที่กำลังเดินเอาใบออเดอร์ของลูกค้ามาส่งพ่อครัว
“ไม่เป็นไร เราสบายดี” ผมฝืนยิ้มแล้วพยายามทรงตัวก้าวเดินต่อไป แต่คราวนี้ผมกลับเซมากกว่าเดิมจนล้มลงไปกองกับพื้นในที่สุด
“เฮ่ย! ตะวัน!” หมิวอุทานขึ้นอย่างตกใจแล้วรีบเข้ามาประคองผมที่ยังคงมีสติหลงเหลืออยู่นิดหน่อย จากนั้นก็รีบตะโกนบอกให้คนไปตามพี่กิตติมา ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมาพี่แกก็พรวดพราดเข้ามาเลย
“คุณพระช่วย! ตาหวานเป็นอะไรไปหมิว!”
“น่าจะเป็นไข้ค่ะเจ๊ ตะวันตัวร้อนจี๋เลย”
“ว้าย! แล้วนี่มีใครรู้จักบ้านหรือครอบครัวตะวันบ้าง?...หา! ไม่มีเลยหรอ! โอ๊ยยยยย แล้วนี่จะเอาไงดี...เออใช่! โทรศัพท์ของตะวันไง! ใครก็ได้ไปเอาที่ล็อกเกอร์มาให้เจ๊ด่วน!” แล้วหลังจากนั้นสักพักก็มีคนไปเอาโทรศัพท์ของผมมาให้พี่กิตติ พอพี่แกได้มาก็รีบโทรเข้าเบอร์ของคุณพ่อผมทันที แต่ไม่ว่าจะโทรไปเท่าไหร่คุณพ่อก็ยังคงปิดเครื่องติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม
ตอนนี้ผมรู้สึกจุกและหน่วงที่หัวใจจนน้ำตาอุ่นๆ มันรื้นขึ้นมา ก่อนที่ความเหนื่อยล้าทั้งใจและกายมันจะทำให้สติของผมค่อยๆ ดับวูบลง โดยสิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้คือเสียงของพี่กิตติที่คุยโทรศัพท์กับใครบางคน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าใครและจับใจความอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...
.............................................
..............................
...............
“อืม...” ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะรู้สึกถึงอะไรชื้นๆ กำลังสัมผัสอยู่ที่ใบหน้าของผม
“รู้สึกตัวแล้วหรอตะวัน เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวรึเปล่า” ใครสักคนถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในระหว่างที่กำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าของผม แต่ว่าผมก็มองไม่เห็นว่าเป็นใครเพราะห้องนี้ไม่ได้เปิดไฟเอาไว้ ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นเงาลางๆ อยู่ดี จึงเห็นว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าได้สวมแว่นสายตาเอาไว้ด้วย
เป็นพฤกษ์สินะ...
“ยังปวดนิดหน่อยอยู่เลย ว่าแต่...เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ที่นี่ที่ว่าก็คือห้องนอนของผมเอง ผมจำได้ว่าผมหมดสติไปที่ร้านอาหาร แต่ทำไมพอฟื้นขึ้นมาถึงกลับมาที่นี่ได้ก็ไม่รู้
“เจ้าของร้านที่นายทำงานอยู่โทรเข้าเบอร์บ้านมาบอกน่ะ” พอพี่กิตติโทรเข้าเบอร์คุณพ่อไม่ติด ก็เลยโทรเข้าเบอร์ของบ้านหลังนี้สินะ
“ลำบากแย่เลย ขอโทษที่ต้องรบกวนจริงๆ” ผมพูดอย่างรู้สึกผิด เวลานี้พฤกษ์ควรจะได้นอนพักผ่อน ไม่ควรเสียเวลาขับรถไปรับผมแถมยังต้องคอยดูแลผมแบบนี้เลย
“พูดอะไรอย่างนั้น การดูแลนายไม่ใช่เรื่องลำบากสักหน่อย” พฤกษ์ดุผมเบาๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเช็ดที่ใบหน้าและลำคอของผมอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม
“นายเป็นคนดีจริงๆ”
“วันนี้นายพูดจาแปลกๆ นะตะวัน”
“ฮะๆ คงเพราะฉันไม่สบายล่ะมั้ง”
“ถ้างั้นก็รีบนอนซะ แล้วถ้าพรุ่งนี้ไปเรียนหรือไปทำงานไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนนะเข้าใจมั้ย” อะไรกัน นี่จอมเผด็จการเข้าสิงพฤกษ์รึไงเนี่ย
“เข้าใจแล้ว”
“ดีมาก” พฤกษ์พูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ผมจนถึงแผ่นอก จากนั้นก็ลูบที่ศีรษะของผมเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน
“ฝันดีนะตะวัน”
“ฝันดีเหมือนกันพฤกษ์” แต่ทันทีที่ผมพูดประโยคนี้จบ มือของพฤกษ์ที่กำลังลูบที่ศีรษะของผมก็หยุดชะงักทันที จากนั้นผมก็ได้ยินเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูกเบาๆ ก่อนที่พฤกษ์จะชักมือกลับแล้วเดินออกจากห้องไปเลย
เป็นอะไรของเขากันนะ? นี่ผมพูดอะไรผิดไปงั้นหรอ?
Phupha “พรุ่งนี้พี่ภูจะไปส่งผมที่โรงเรียนรึเปล่าครับ?” วาถามขึ้น ในขณะที่พวกเรา 5 คนพี่น้องกำลังทานข้าวเย็นฝีมือตะวันที่เตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืน
“อืม พี่ไม่มีธุระที่ไหน เดี๋ยวพี่จะไปส่งวาเหมือนเดิม”
“โอเคครับ ว่าแต่...พี่ภูไปไหนตั้งแต่เช้าหรอ ปกติผมไม่เห็นพี่ภูจะออกไปไหนเช้าขนาดนี้เลย” คำถามของวาทำให้ผมที่กำลังทานข้าวอยู่ถึงกับชะงัก
“คือ...ลูกค้าต้องการแก้แบบบ้านกะทันหันน่ะ พี่เลยต้องรีบเอาไปให้ดู” ผมพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าปกติทั้งที่ในใจกำลังร้อนรน เพราะสิ่งที่ผมพูดเมื่อกี้ผมโกหก ความจริงแล้วผมแค่จะไปส่งตะวันเฉยๆ ไม่ได้มีธุระที่ไหนทั้งนั้น
ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปส่งตะวันหรอก แต่ที่ตื่นมาแต่เช้าก็เพราะมั่นใจว่าจะต้องถูกตะวันหลบหน้าแน่นอน ซึ่งผมก็คิดถูกจริงๆ
“แต่เห็นตะวันบอกว่าพี่ภูไปส่งที่มหา’ลัยตอนเช้าไม่ใช่หรอครับ” พฤกษ์พูดขึ้นแล้วมองตรงมาทางผม สายตาแบบนั้นทำอย่างกับว่ากำลังสืบสวนไม่ก็จ้องจับผิดผมยังไงยังงั้น
รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาเลยแฮะ
“ก็พี่ผ่านไปทางนั้นพอดีเลยแวะไปส่งตะวันด้วย แกมีปัญหาอะไรรึไง” นอกจากผมจะไม่สบอารมณ์เรื่องที่พฤกษ์ทำเหมือนจ้องจับผิดผมแล้ว ผมยังไม่สบอารมณ์เรื่องที่ตะวันรายงานทุกอย่างในชีวิตให้พฤกษ์ฟังด้วย
ก็แค่เพื่อนไม่ใช่รึไง รายงานทุกอย่างขนาดนี้ไม่เลื่อนขั้นสถานะไปเลยล่ะ!
“ผมก็แค่ถามดูเฉยๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไรสักหน่อย” พฤกษ์พูดแบบนั้นแล้วก็ทานข้าวต่อ ผมที่ไม่ใช่คนพูดมากอะไรอยู่แล้วเลยให้บทสนทนาหยุดอยู่แค่นั้น จากนั้นก็ทานข้าวกับทุกคนต่อจนหมดก่อนที่จะแยกย้ายกันไปที่อื่น
ผมเริ่มทำงานต่อจากช่วงเย็นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นจากห้องนั่งเล่น ผมจึงได้พักจากการทำงานแล้วเดินไปรับสาย
“ภูผาพูดครับ”
[“สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าของร้านอาหารที่น้องตาหวาน...เอ๊ย! น้องตะวันทำงานอยู่นะครับ ไม่ทราบว่าที่นั่นใช่บ้านของน้องตะวันรึเปล่า”] เสียงเข้มๆ ของผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ตอนแรกผมก็ยังอารมณ์ปกติอยู่นะ แต่พอได้ยินไอ้หมอนั่นเรียกตะวันว่าตาหวาน ผมก็ชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
หึ! ขยันส่งสายตายั่วยวนผู้ชายจริงนะ!
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านของตะวัน แต่ตะวันอยู่ที่นี่เพราะทำงานเป็นแม่บ้าน” ผมพูดด้วยเสียงแข็งๆ และห้วนต่างจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง
[“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นผมสามารถแจ้งอาการของน้องตะวันให้คุณทราบและมารับได้มั้ยครับ พอดีผมโทรหาพ่อของน้องตะวันไม่ติดเลย”] น้ำเสียงอันร้อนรนจากปลายสายทำให้ผมเลิกคิดเรื่องอื่น เพราะรู้สึกเป็นห่วงตะวันขึ้นมาแล้ว
“ตะวันเป็นอะไร?”
[“หมดสติไปเพราะเป็นไข้ครับ ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากการนั่งวินตากฝนมาทำงานที่ร้าน แถมยังอดนอนเพราะเห็นใต้ตาคล้ำๆ ร่างกายเลยน่าจะอ่อนแอน่ะครับ”] ทีแรกผมก็นึกบ่นตะวันในใจอยู่หรอกที่นั่งวินตากฝนไปทำงาน แต่พอเจ้าของร้านบอกว่าเห็นตะวันใต้ตาคล้ำๆ เพราะอดนอน ผมก็อดที่จะรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้
นอนไม่หลับเพราะผมทำเรื่องแบบนั้นไปสินะ...
“คุณบอกที่อยู่ร้านมาเลย ผมจะออกไปรับตะวันเดี๋ยวนี้” ผมพูดผมก็หยิบกระดาษกับปากกาที่อยู่ใกล้ๆ มาจดที่อยู่ร้านตามคำบอกของปลายสาย เสร็จแล้วก็รีบเข้าห้องไปหยิบกุญแจรถออกมา โดยไม่ลืมหยิบแว่นสายตาออกมาด้วยเพราะผมเป็นคนสายตาสั้น แต่ที่ผมไม่ชอบใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ก็เพราะมันเกะกะ ยกเว้นตอนที่ต้องขับรถในเวลากลางคืนเท่านั้นผมจึงจะใส่เพราะมองทางไม่ค่อยเห็น
ผมใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่ร้านแล้ว เพราะถนนค่อนข้างโล่งเลยสามารถเหยียบคันเร่งได้เต็มฝีเท้า ผมจอดรถที่ด้านหลังตามคำบอกของเจ้าของร้าน ก่อนที่จะรีบเปิดประตูเข้าไปข้างใน
“คุณ...เอ่อ...ใช่คุณภูผามั้ยคะ?” พอเข้าไปข้างในก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งถามผม บางทีเจ้าของร้านอาจจะสั่งเอาไว้ล่ะมั้ง
“ครับ ผมมารับตะวัน”
“ถ้างั้นเชิญที่ชั้น 2 เลยค่ะ คุณกิตติเจ้าของที่นี่กำลังเฝ้าไข้ตะวันอยู่” ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์อีกแล้วที่รู้ว่าไอ้เจ้าของร้านกำลังเฝ้าไข้ตะวัน
ไม่รู้จะเป็นห่วงเป็นไยอะไรกันนักหนา ก็แค่เจ้านายกับลูกน้องไม่ใช่รึไง!
ผมเดินตามพนักงานสาวขึ้นไปจนกระทั่งถึงห้องที่อยู่ชั้น 2 พอเข้าไปเท่านั้นแหละจากที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ก็กลายเป็นว่าผมกลับยิ่งอารมณ์เสียมากกว่าเดิม เพราะที่นี่เป็นห้องนอนของไอ้เจ้าของร้านน่ะสิ!
“อ้าว! มาแล้วหรอครับ คุณคงเป็นคุณภูผาสินะ” เจ้าของเสียงและหน้าตาอันหล่อเหลาพูดขึ้น ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ว่าไอ้หมอนี่ต้องเป็นเจ้าของร้านแน่นอน เพราะกำลังนั่งอยู่ปลายเตียงแล้วลูบศีรษะของตะวันด้วยความเป็นห่วง
“ใช่ ผมภูผา” ผมขบกรามแน่นและแผ่รังสีมาคุออกไปอย่างไม่รู้ตัว เพราะงั้นผมจึงไม่ทันสังเกตว่าไอ้เจ้าของร้านและพนักงานสาวมองมาที่ผมด้วยสายตาแบบไหน
“อะ...เอ่อ...คะ...คือ...ถ้างั้น...ผะ...ผมจะอุ้มตะวันไปส่งที่รถนะครับ” เสียงที่พูดอย่างตะกุกตะกักของไอ้เจ้าของร้านทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด แต่ที่หงุดหงิดมากกว่านั้นก็ตรงที่ได้ยินว่ามันจะอุ้มตะวันไปส่งให้ที่รถน่ะสิ!
“ไม่ต้อง! ตะวันเป็นคนของผม! ผมดูแลเองได้!” พูดจบผมก็ตรงเข้าไปเบียดไอ้เจ้าของร้านแล้วช้อนตัวของตะวันขึ้นมาในอ้อมแขน การกระทำนั้นทำให้ผมชนไอ้หมอนั่นแรงไปหน่อยจนมันเซไปข้างหลังและเกือบจะหงายลงพื้น
“ว้าย!!” แต่โชคดีที่ไอ้หมอนั่นทรงตัวได้ก่อนเลยไม่หงายลงไป
แต่เอ๊ะ...ว้ายงั้นหรอ?
“แหมเจ๊คิตตี้ แค่โดนหนุ่มหล่อชนนิดๆ หน่อยๆ ก็ถึงกับขาเปลี้ยเลยนะคะ” พนักงานสาวที่อยู่ในห้องด้วยเอ่ยแซว
เจ๊คิตตี้งั้นหรอ?
โอเค ชัดเลย
“เอ๊ะยัยนี่ อย่าพูดมากได้มะเดี๋ยวแม่ตบปากฉีก! เอ่อ...ต้องขอโทษคุณภูผาด้วยนะคะ อย่าไปใส่ใจที่ยัยหมิวพูดเลยค่ะ แล้วก็ถ้าหากดิฉันแสดงกิริยาไม่ดีก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ” เจ้าของร้านที่เปลี่ยนมาใช้คำพูดแบบผู้หญิงพูดจบก็ก้มศีรษะให้ผมเล็กน้อย ส่วนผมแทนที่จะรู้สึกไม่ดีที่เจ้าของร้านเป็นสาวประเภทสอง แต่ผมกลับรู้สึกดีใจมากจนเผลอยิ้มออกมาเลยด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ต้องขอโทษด้วยที่เผลอชนคุณไปเมื่อกี้” ปฏิกิริยาของผมที่เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือทำให้เจ้าของร้านถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
แต่นั้นเรื่องผมไม่ได้สนใจ เพราะเรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องพาตะวันกลับไปที่บ้าน หากพรุ่งนี้เช้าอาการยังไม่ดีขึ้นผมจึงจะพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล
“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวพาตะวันกลับบ้านก่อนแล้วกันครับ” พูดจบผมที่อุ้มตะวันอยู่ก็เดินลงไปข้างล่าง ส่วนเจ้าของร้านก็ตามมาส่งที่รถแล้วให้นามบัตรผมเอาไว้เพื่อแจ้งอาการของตะวัน
หลังจากที่ขับรถกลับถึงบ้านแล้ว ผมก็อุ้มตะวันที่ยังคงตัวร้อนจี๋เข้าไปนอนในห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ เพราะกลัวแสงไปรบกวนการนอน จากนั้นผมก็พยายามปลุกตะวันเพื่อให้ลุกมากินยา แต่ไม่ว่าจะปลุกเท่าไหร่ตะวันก็ยังคงไม่ได้สติเลยแม้แต่น้อย
ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องใช้วิธีสุดท้าย...
ผมลังเลนิดหน่อยเพราะถ้าหากตะวันรู้อาจจะคิดมากจนนอนไม่หลับอีก แต่พอคิดว่าในห้องนี้ไม่มีใครอื่นแล้วผมเลยตัดสินใจหยิบเม็ดยาเข้าปาก จากนั้นก็ดื่มน้ำตามด้วยการก้มลงไปประกบปากกับตะวันเพื่อป้อนยาทันที
ผมบีบแก้มของตะวันเบาๆ ให้ช่องปากเปิดออก จากนั้นก็ปล่อยให้เม็ดยาและน้ำไหลลงไปในลำคอ โดยใช้ลิ้นดุนและดันเม็ดยาให้เข้าไปได้ง่ายขึ้น ส่วนคราบน้ำที่เลอะอยู่ตรงมุมปากผมก็ใช้ทิชชู่ซับให้แห้ง แต่ไหนๆ ก็ทำมาถึงขนาดนี้แล้ว เพราะงั้นผมเลยไปหากะละมังใบเล็กๆ มารองน้ำอุ่น และหาผ้าขนหนูเพื่อจะมาเช็ดใบหน้ากับลำตัวของตะวันซะเลย
ซึ่งในจังหวะที่ผมวางผ้าขนหนูลงที่หน้าผากของตะวันนั่นเอง
“อืม...” ตะวันก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ
“รู้สึกตัวแล้วหรอตะวัน เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวรึเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะดูท่าทางตะวันยังคงไม่สู้ดีและดูสะลึมสะลือ
“ยังปวดนิดหน่อยอยู่เลย ว่าแต่...เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ตะวันมองซ้ายมองขวา ถึงแม้ในห้องจะไม่ได้เปิดไฟ แต่ก็มีแสงเลือนรางส่องเข้ามาจากหน้าต่างทำให้รู้ว่าที่นี่คือห้องนอนของที่บ้าน
“เจ้าของร้านที่นายทำงานอยู่โทรเข้าเบอร์บ้านมาบอกน่ะ” พอได้ยินแบบนี้ตะวันก็ทำหน้ารู้สึกผิดทันที
“ลำบากแย่เลย ขอโทษที่ต้องรบกวนจริงๆ”
“พูดอะไรอย่างนั้น การดูแลนายไม่ใช่เรื่องลำบากสักหน่อย” ผมดุตะวันเบาๆ ที่คิดอะไรแบบนี้ ตัวเองป่วยอยู่แท้ๆ ยังมีกะจิตกะใจเป็นห่วงผมอีก แต่ถึงจะดุตะวันแบบนั้น ผมก็ยังคงเช็ดที่ใบหน้าและลำคอของตะวันอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม
“นายเป็นคนดีจริงๆ” คำพูดนั้นทำให้ผมถึงกับขมวดคิ้วด้วยความงุนงง เพราะตะวันไม่เคยพูดจาแบบนี้กับผมเลยสักครั้ง
“วันนี้นายพูดจาแปลกๆ นะตะวัน” แถมยังดูผ่อนคลายไม่เกร็งเหมือนปกติอีกต่างหาก หรือบางทีจะเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้ตะวันเป็นแบบนี้
“ฮะๆ คงเพราะฉันไม่สบายล่ะมั้ง” คิดเหมือนกันขนาดนี้ก็คงจะใช่แล้วล่ะ
“ถ้างั้นก็รีบนอนซะ แล้วถ้าพรุ่งนี้ไปเรียนหรือไปทำงานไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนนะเข้าใจมั้ย” ผมคิดว่าเจ้าของร้านคงจะเข้าใจไม่ว่าอะไรตะวันหรอกที่ไม่ไปทำงาน
“เข้าใจแล้ว” ตะวันรับปากแต่โดยดีไม่ดื้ออย่างที่คิด
“ดีมาก” ผมยิ้มบางๆ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ตะวันจนถึงแผ่นอก เสร็จแล้วก็ลูบที่ศีรษะกลมมนเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน
“ฝันดีนะตะวัน” นานขนาดไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้พูดประโยคนี้กับใครที่ไม่ใช่คนในครอบครัว เพราะว่าผมเป็นคนค่อนข้างโลกส่วนตัวสูงและไม่ค่อยเปิดใจรับใครง่ายๆ ขนาดผมยังงงกับตัวเองเลยที่จู่ๆ ก็พูดประโยคนี้ออกไป
หรือว่าผมอาจจะกำลังเปิดใจให้ตะวัน?
ความคิดนั้นทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่แล้วผมก็ต้องชะงักไปและหุบยิ้มลงเมื่อตะวันพูดตอบมาว่า...
“ฝันดีเหมือนกันพฤกษ์”
ประโยคนั้นทำให้ผมรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ผมรู้สึกหน้าชาและตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าท่อนไม้
พฤกษ์งั้นหรอ...?
ไม่ใช่ภูผาสินะ...?
ตอนนี้ผมอยากหัวเราะเพราะรู้สึกสมเพชตัวเองจริงๆ ที่เป็นได้แค่ตัวแทนของพฤกษ์ ถึงว่าล่ะทำไมตะวันถึงได้พูดจาแปลกๆ ดูไม่เกร็ง ผ่อนคลาย แล้วก็ว่าง่ายต่างจากเวลาปกติที่อยู่กับผม
“หึ” ผมทำเสียงขึ้นจมูกแล้วชักมือที่กำลังลูบศีรษะของตะวันกลับไป ก่อนที่ผมจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจตะวันที่กำลังทำหน้างุนงงอีกเลย
ผมไม่ใช่ตัวแทนของใคร ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่าอาจจะเปิดใจให้ตะวันมันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอยู่แล้ว!
คนอย่างผมเนี่ยนะจะไปชอบคนอย่างตะวัน? ผู้ชายที่มีแต่ตัวไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า แถมยังชอบทำหน้าใสซื่อและส่งสายตาหวานๆ ยั่วยวนผู้ชายไปวันๆ อีกต่างหาก
คนแบบนั้นผมจะไปชอบได้ยังไง พูดเลยว่าไม่มีทาง!
2BC
ฮัลโหลววว สวัสดีค่าทุกคน หัวใจชิงรักตอนที่ 5 ก็จบลงไปแล้วน้า

ครึ่งแรกก็เป็นการบรรยายของน้องตาหวาน...เอ๊ย! ตะวัน ส่วนครึ่งหลังก็เป็นของคุณภูผา (จอมซึน)

ซึ่งครึ่งแรกทุกคนก็จะได้เห็นความน่ารักและขยันขันแข็งของตะวัน ในขณะที่ครึ่งหลังก็จะเห็นคุณภูผาในหลากหลายอารมณ์ (มีอารมณ์ไหนบ้างน้อไหนใครไล่ได้หมดบ้าง อิอิ)

ซึ่งหลังจากนี้จะเป็นยังไง ภูผากับตะวันจะเข้าใจกันตอนไหน (หรือต้องลุ้นให้ภูผาหายปากแข็งก่อนก็ไม่รู้นะอันนี้) ยังไงก็มาเอาใจช่วยทั้งคู่กันด้วยนะคะ

แล้วเจอกันวันจันทร์น้าทุกคน ก่อนจากกันไปที่ขาดไม่ได้เลยก็คือขอขอบคุณทุกคนมากๆนะคะที่เม้นให้และเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้

ทุกคนคือกำลังใจของเค้าจริงๆ กอดดดดดดดด

(14 ก.ค. 60)