ซีรีส์ [H.E.A.R.T.] ❤ หัวใจ...รัก [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ซีรีส์ [H.E.A.R.T.] ❤ หัวใจ...รัก [END]  (อ่าน 205615 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
 :laugh:ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

H.E.A.R.T.


        โปรเจคซีรีส์ความรักเกี่ยวกับพี่น้องทั้ง 5 ได้แก่ ภูผา ธารา ภูมิพฤกษ์ เพลิงกัลป์ และวาโย โดยโปรเจคซีรีส์นี้จะมีทั้งหมด 5 เรื่อง ซึ่งชื่อของแต่ละเรื่องจะขึ้นต้นด้วย H. E. A. R. T. รวมกันเป็น HEART ที่หมายถึงหัวใจนั่นเอง

        เรื่องแรกของโปรเจคซีรีส์นี้จะมีชื่อว่า H. Hanger หัวใจชิงรัก จะเป็นเรื่องราวความรักของภูผาพี่ใหญ่สุดซึน กับตะวันหนุ่มเรียบร้อยใสซื่อที่กลายมาเป็นแม่บ้านจำเป็น (จบแล้ว)

        ส่วนเรื่องที่สอง E. Erotic หัวใจร้อนรัก จะเป็นเรื่องราวความรักของธาราพี่รองของบ้าน หนุ่มหน้าสวยที่เคยมีแต่เซ็กส์เฟรนด์เพราะคิดว่าความรักน่าเบื่อ แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เพราะได้ส่ง2หนุ่มที่หน้าเหมือนกันแต่นิสัยต่างกันสุดขั้วเข้ามาในชีวิต แต่หนุ่มคนไหนจะเป็นตัวจริงและได้ใจของธาราไปก็ต้องมาลุ้นกันแล้วจ้า (จบแล้ว)

       สำหรับเรื่องที่สาม A. Avert หัวใจซ่อนรัก ก็จะเป็นเรื่องของพฤกษ์ หนุ่มแว่นสุดหล่อแสนดี ที่เคยเป็นพระรองในเรื่องแรกอย่างหัวใจชิงรัก คราวนี้พฤกษ์จะได้เป็นพระเอกกับเขาสักที แต่หวานใจที่ฟ้าประทานมากลับตรงข้ามเสปคทุกอย่าง ทั้งหยาบคาบ เปลี่ยนสีไวอย่างกับกิ้งก่า แถมยังหน้าเงินเป็นที่สุด! (จบแล้ว)

       มาต่อกันเรื่องที่สี่ R. Rabid หัวใจคลั่งรัก ซึ่งเรื่องราวความ (คลั่ง) รักของ "เพลิง" แบดบอยคนดังรักไม่จริงหวังแค่ฟัน แต่หลังจากได้ฟันเขากับถูก “พาย” ทิ้งไว้ในห้องพร้อมกับเงินพันห้า มาดูกันว่าแบดบอยวายร้ายอย่างเพลิงจะทำยังไงต่อไป เพราะพายเหมือนจะหยามศักดิ์ศรีจนเพลิงหัวร้อนสุดๆ


สารบัญ HANKER

บทนำ     ตอนที่ 1     ตอนที่ 2     ตอนที่ 3     ตอนที่ 4 NC

ตอนที่ 5     ตอนที่ 6     ตอนที่ 7 NC     ตอนที่ 8     ตอนที่ 9    

ตอนที่ 10     ❤ เปิดจอง Hanker ❤     ตอนที่ 11 NC     ตอนที่ 12    

ตอนที่ 13     บทส่งท้าย


สารบัญ EROTIC

บทนำ     ตอนที่ 1 NC     ตอนที่ 2.1     ตอนที่ 2.2     ตอนที่ 3.1     ตอนที่ 3.2 NC

ตอนที่ 4     ตอนที่ 5 NC     ตอนที่ 6     ตอนที่ 7.1 NC     ตอนที่ 7.2     ❤ เปิดจอง Erotic ❤

ตอนที่ 8     ตอนที่ 9     ตอนที่ 10     ตอนที่ 10.2     ตอนที่ 11 NC     ตอนที่ 11.2

ตอนที่ 12     บทส่งท้าย


สารบัญ AVERT

บทนำ     ตอนที่ 1     ตอนที่ 2.1     ตอนที่ 2.2     ตอนที่ 3.1     ตอนที่ 3.2    

ตอนที่ 4.1     ตอนที่ 4.2     ตอนที่ 5     ตอนที่ 5.2     ตอนที่ 6     ตอนที่ 7

❤ เปิดจอง Avert ❤     ตอนที่ 8.1     ตอนที่ 8.2     ตอนที่ 9     ตอนที่ 10.1 NC    

ตอนที่ 10.2 NC     ตอนที่11     ตอนที่ 12     ตอนที่ 13     บทส่งท้าย


สารบัญ Rabid





Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2019 12:26:18 โดย Sameejaejung »

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Intro# ผู้ชายในสายฝน


   “หยุดก่อนครับคุณป้า! นี่มันอะไรกันน่ะครับ!” ผมรีบวิ่งไปหาคุณป้าเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ ที่ตอนนี้กำลังชี้นิ้วสั่งใครก็ไม่รู้ให้รื้อและขนข้าวของออกมาจากห้องที่ผมเช่าอยู่


   “จะอะไรซะอีกล่ะ เธอไม่จ่ายค่าเช่ามา 3 เดือนแล้ว ฉันก็ต้องขอห้องคืนน่ะสิ...เอ้าตรงนั้นน่ะเร็วๆ หน่อย! พรุ่งนี้จะมีคนย้ายเข้าแล้วนะ!” ประโยคแรกคุณป้าหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปเร่งผู้ชาย 2 คนที่ยังคงรื้อข้าวของของผมอยู่ในห้อง


   “แต่ว่าคุณป้าครับ...ค่าเช่าห้องของเดือนนี้กับที่ค้างไว้ ผมฝากคุณพ่อไปจ่ายตั้งแต่สิ้นเดือนแล้วนะครับ”
หลังจากที่เงินทำงานพิเศษออก ผมก็รีบกดให้คุณพ่อเอาไปจ่ายคุณป้าทันที ความจริงผมก็อยากเอาไปจ่ายเองอยู่หรอก แต่ว่าผมต้องรีบไปเข้ากะอีกงานหนึ่ง แถมวันต่อมาผมยังต้องรีบไปทำงานที่ค้างคืนต่างจังหวัดเป็นเวลา 3 วันด้วย เพราะงั้นผมเลยต้องฝากคุณพ่อเอาค่าเช่าห้องทั้ง 3 เดือนไปจ่ายแทน


   “ถ้างั้นเธอก็ต้องไปถามพ่อเธอแล้วล่ะว่าเอาเงินไปไหน เพราะฉันยังไม่ได้เงินจากพ่อเธอเลยแม้แต่บาทเดียว” พอได้ยินแบบนี้ผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคุณพ่อทันที แต่ไม่ว่าจะโทรไปกี่ครั้งท่านก็ปิดเครื่องตลอด จนผมต้องฝากข้อความเสียงเอาไว้


   “โทรไม่ติดงั้นหรอ?” คุณป้าที่ก่อนหน้านี้ทำหน้ารำคาญผมตลอด แต่พอเห็นว่าริมฝีปากของผมกำลังสั่น ส่วนดวงตาก็มีน้ำตาคลอ จึงได้เปลี่ยนสีหน้าไปเป็นสงสารและเห็นใจ


   “ครับ คุณพ่อปิดเครื่อง” ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาออกไปก่อนที่มันจะไหลลงมา ผมไม่เคยคิดเลยว่าคุณพ่อจะทำกับผมได้ถึงขนาดนี้ นั่นน่ะมันเงินก้อนสุดท้ายที่ผมอุตส่าห์หามาแทบตายเลยนะ


   “ถ้างั้นก็คงจะไปกินเหล้าหรือว่าไปเล่นพนันที่ไหนสักที่นั่นแหละ เฮ้อ...ฉันก็สงสารเธออยู่นะที่มีพ่อแบบนี้ แต่ก็ช่วยเห็นใจฉันด้วย ฉันสร้างห้องให้คนเช่าไม่ได้ทำทานให้พักฟรี ในเมื่อเธอไม่มีเงินจ่ายฉันก็ต้องไล่ออกให้คนอื่นมาอยู่แทน ที่ให้ค้างมา 2 เดือนก็ถือว่าปราณีสุดๆ แล้ว”


   “เรื่องนั้น...ผมเข้าใจครับ ต้องขอบคุณและขอโทษคุณป้าจริงๆ” ผมพูดจบก็ยกมือขึ้นไหว้คุณป้า


   “เอาล่ะๆ ไปเก็บเสื้อผ้ากับข้าวของที่จำเป็นซะ ส่วนของมีค่าฉันขอยึดนะ ยังไงเธอก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าที่ค้างอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”


   “ครับ ผมให้คุณพ่อไปหมดแล้ว” ผมพูดจบก็เดินคอตกเข้าไปเก็บเสื้อผ้า หนังสือ กับของใช้เท่าที่จะเอาใส่เป้และถุงพลาสติกไปได้ ผมใช้เวลาเก็บไม่นานเท่าไหร่ เพราะว่าข้าวของในห้องก็ไม่ได้มีอะไรมากมายอยู่แล้ว


   “คุณป้าครับ ถ้าเกิดคุณพ่อกลับมาฝากบอกให้ท่านโทรหาผมด้วยนะครับ” ผมพูดจบก็ยื่นกระดาษที่เขียนเบอร์โทรของผมเอาไว้ เพราะบางทีท่านก็เอาโทรศัพท์ไปจำนำเวลาไม่มีเงินไปกินเหล้าหรือเล่นพนัน ซึ่งท่านก็คงจะจำเบอร์ของผมไม่ได้


   “เฮ้อ...เธอนี่มันเป็นเด็กแบบไหนกัน จนถึงขนาดนี้แล้วก็ยังเป็นห่วงคนแบบนั้นอีกหรอ นั่นก็แค่พ่อเลี้ยงไม่ใช่พ่อแท้ๆ สักหน่อย”


“นั่นก็ใช่ครับคุณป้า แต่ว่า...ถึงอย่างนั้นท่านก็เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของผม...” พูดถึงตรงนี้น้ำตาของผมมันก็ทำท่าจะรื้นขึ้นมาอีกครั้ง จนผมต้องเงยหน้าแล้วกะพริบตาเพื่อไล่มันกลับลงไป


แม่ผมเสียชีวิตจากอุบัติเหตุประมาณ 2 ปีที่แล้ว โดยทิ้งหนี้สินจากการลงทุนล้มเหลวร่วม 3 ล้านเอาไว้ แถมเงินที่ได้จากประกันชีวิตก็ไม่ได้มากมายอะไร เพราะงั้นบ้านและทรัพย์สินที่มีเลยต้องถูกยึดเพื่อไปใช้หนี้ ส่งผลให้คุณพ่อและผมต้องกลายเป็นคนยากไร้ ไม่มีสมบัติและที่อยู่ จึงต้องมาเช่าอพาร์ทเม้นท์เก่าๆ อยู่ด้วยกันเพียงแค่ 2 คน


ถึงจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่ว่าผมก็รักและเคารพท่านมาก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตท่านเลี้ยงดูผมเป็นอย่างดีราวกับลูกในไส้ แม้ว่าท่านจะเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคนหลังจากที่คุณแม่เสีย ทั้งติดเหล้า ติดพนัน และไม่ทำการทำงาน แต่ว่าผมก็ยังรักและเคารพท่านเหมือนเดิม จึงได้ทำงานพิเศษหาเงินมาใช้จ่ายทุกอย่างในระหว่างเรียนไปด้วย แม้ว่ามันจะทำให้ผมเหนื่อยเป็น 2 เท่าก็ตาม


“เฮ้อ...ก็ได้ๆ เดี๋ยวถ้าพ่อของเธอกลับมาฉันจะบอกให้โทรหาเธอแล้วกัน” คุณป้าทำหน้ารำคาญ แต่ก็รับกระดาษจากมือของผมไป ผมจึงยกมือไหว้ขอบคุณและกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงได้สะพายเป้และถือถุงพลาสติกเดินออกมาจากอพาร์ทเม้นท์อย่างเศร้าๆ
   

ผมเดินไปตามทางเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ตอนนี้ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะทำอะไร จะไปที่ไหน หรือว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครดี
ผมไม่มีญาติที่ไหน ส่วนเพื่อนที่คณะก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ผมเป็นคนเงียบๆ พูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ การเรียนก็ธรรมดาทั่วไป กิจกรรมก็แทบไม่ได้เข้าเพราะเอาแต่ทำงานพิเศษ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกถ้าหากผมจะไม่ค่อยมีเพื่อน


ผมลองนับเงินในกระเป๋า กับเช็คยอดเงินในบัญชีแบบออนไลน์ ซึ่งก็มีรวมกันประมาณ 2 พันกว่าบาท เงินจำนวนนี้ถ้าหากใช้อย่างประหยัดสุดๆ ก็คงพออยู่ได้จนถึงสิ้นเดือน ส่วนเรื่องที่จะต้องเสียเงินกับค่าที่พักก็โยนทิ้งไปได้เลย ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีค่าอาหารกับค่าเดินทางไปทำงานพิเศษแน่ๆ


บางทีช่วงนี้ผมอาจจะต้องไปนอนวัดก็ได้ล่ะมั้ง ถึงแม้ว่าการทำแบบนั้นจะเป็นภาระของหลวงพ่อ แต่ว่าผมก็จะพยายามทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าจะกวาดลานวัด ทำความสะอาด หรือว่างานจิปาถะต่างๆ เพื่อตอบแทนบุญคุณ
   

“อ๊ะ!” ซึ่งขณะที่คนไร้จุดหมายอย่างผมกำลังจะไปพึ่งใบบุญของหลวงพ่อนั่นเอง ฝนเจ้ากรรมก็ดันเทกระหน่ำลงมาซะได้ ผมจึงต้องเปลี่ยนแผนไปหาที่หลบฝนก่อน ซึ่งก็คือป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไหร่
   

ทำไมต้องมาตกเอาตอนนี้ด้วยนะ ชีวิตของผมวันนี้มันยังแย่ไม่พออีกรึไง...
   

ผมตัดพ้อในใจระหว่างกำลังวิ่งไปยังป้ายรถเมล์ที่ร้างผู้คน เมื่อไปถึงผมก็วางถุงที่ใส่หนังสือไว้ข้างตัว จากนั้นก็ชันเข่าขึ้นแล้วซบหน้าลงไป เพราะน้ำตาที่พยายามห้ามเอาไว้ตั้งหลายครั้ง มันได้ไหลทะลักลงมาอย่างไม่ขาดสาย


หนาวจัง แถมยังเหงามากเลยด้วย...


ปกติผมชินกับการที่ต้องอยู่คนเดียว แต่ว่าตอนนี้ผมกลับต้องการใครสักคนมาอยู่ข้างกาย ผมไม่อยากอยู่คนเดียวอีกต่อไป ตอนนี้ผมเหงาเหลือเกิน


จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น...


ขอแค่เพียงสักคน...


แค่คนเดียว...


ตึก ตึก ตึก


ซึ่งขณะนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าเดินมาทางนี้ ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงจะมารอรถเมล์ไม่ก็มาหลบฝน แต่พอได้ยินว่าเสียงนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้า ผมจึงได้เงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายคนนั้น ซึ่งตอนนี้กำลังถือร่มและจ้องมองมาที่ผม พลางส่งยิ้มบางๆ อย่างอบอุ่นมาให้
   

“ตะวันใช่มั้ย? ท่าทางคงจะไม่มีที่ไปสินะ ถ้างั้นมาอยู่ด้วยกันมั้ยล่ะ ที่บ้านกำลังขาดแม่บ้านอยู่พอดี”
   

2BC


 :m4: สวัสดีค่ะ นี่เป็นนิยายเรื่องแรกในรอบกี่ปีก็ไม่รู้ที่เราลงนิยายในนี้ ปกติจะลงในเด็กดีไม่ก็ธัญวลัย ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ  :m5:
มาพูดถึงตัวนิยายกันหน่อย อย่างที่แนะนำไปด้านบนเนอะว่านิยายเรื่องนี้เป็นหนึ่งในโปรเจคซีรีส์ 5 เรื่องของ 5 พี่น้อง (แต่ละคนจะมีคู่ของตัวเองไม่ได้กินกันเองน้า > <) ซึ่งชื่อของแต่ละเรื่องจะขึ้นต้นด้วย H. E. A. R. T. รวมกันเป็น HEART ที่หมายถึงหัวใจ โดยเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องแรกนั้นมีชื่อว่า H. Hanger หัวใจชิงรัก ค่ะ
ชื่อเรื่องก็บอกชัดเจนแล้วเนอะว่าต้องมีการแย่งชิงความรักเกิดขึ้น เพราะงั้นก็ต้องมาลุ้นกันแล้วล่ะค่ะว่า หนุ่มน้อยแสนอาภัพที่ชื่อตะวัน ในที่สุดแล้วจะกลายเป็นของหนุ่มคนไหน จะใช่หนุ่มที่ถือร่มมาชวนไปอยู่ด้วยกันมั้ย แล้วมาลุ้นกันน้า  :impress:
ปล.เราจะอัพนิยายทุกๆ 2 วันนะคะ ยังไงก็ขอฝาก H. Hanger หัวใจชิงรัก ไว้ด้วยน้า บทนำเหมือนจะดราม่า แต่จริงๆแล้วเรื่องนี้มุ้งมิ้งน่ารักนะคะ   :-[
(7.06.60)

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :impress2: รอติดตามลุ้นจ้า

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
อยากอ่านต่ออยากรู้ว่าใครเป็นพระเอก

เป็นกำลังใจให้นะ

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก



Tawan# ศึกระหว่างพี่น้อง


   นี่ผมคิดอะไรอยู่นะ ถึงได้พยักหน้าแล้วก็เดินขึ้นรถตามคำชวนมาอย่างง่ายดายแบบนี้ ถึงจะรู้ว่าคนที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังขับรถอยู่ไม่ได้เป็นคนไม่ดี แถมยังเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่เอกเดียวกันอีกต่างหาก แต่ว่าเราสองคนก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น
เอาจริงๆ เคยคุยกันถึง 5 ประโยครึเปล่าผมยังไม่รู้เลย!


   “พฤกษ์” หรือ “ภูมิพฤกษ์” หนุ่มอัจฉริยะสุดหล่อประจำเอก เป็นคนที่โดดเด่นทั้งเรื่องเรียน กิจกรรม และหน้าตา เป็นคนที่ดังมากๆ จนน่าจะไม่มีใครในมหา’ลัยที่ไม่รู้จัก ซึ่งต่างจากผมที่แทบจะไม่เป็นที่จดจำของคนในเอกด้วยซ้ำไป


   “หน้าเรามีอะไรติดหรอตะวัน?” ที่พฤกษ์ถามอย่างนี้คงเพราะสังเกตเห็นว่าผมมองอยู่นานแล้ว ปกติผมก็เห็นพฤกษ์พูดมึง-กูกับเพื่อนผู้ชายคนอื่นตลอด แต่ที่เรียกแทนตัวเองว่าเราคงเพราะไม่สนิทกับผม หรือไม่ก็เห็นว่าผมไม่พูดคำหยาบเลยไม่อยากพูดก็ได้ล่ะมั้ง


   เป็นคนที่ละเอียดอ่อนจังเลยนะ


   “เอ่อ...หน้าพฤกษ์ไม่มีอะไรติดหรอก แต่เราแค่ยังงงๆ อยู่น่ะว่าคนอย่างพฤกษ์จะชวนเราไปอยู่ด้วยจริงๆ หรอ มันดูน่าเหลือเชื่อยังไงก็ไม่รู้”


   “หืม? ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ?”


   “ก็พฤกษ์เป็นคนดังนี่นา ความจริงเราไม่คิดว่าพฤกษ์จะจำเราได้เลยด้วยซ้ำ” พอได้ยินแบบนี้พฤกษ์เลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหน้ามามองผมแว้บหนึ่ง จากนั้นจึงได้หันกลับไปมองถนนที่อยู่ตรงหน้าต่อ


   “ตะวันนี่ไม่ได้รู้อะไรเลยนะ คนดังในเอกคือตะวันที่ทำตัวลึกลับจนแทบไม่สุงสิงกับใครมากกว่า”


   “หา? เราเนี่ยนะ? นี่พูดเล่นใช่มั้ยพฤกษ์” ผมชี้มือเข้าหาตัวเองอย่างงงๆ แต่พฤกษ์กลับไม่ตอบอะไร ได้แต่ยักไหล่แล้วขับรถต่อไปเท่านั้น


   “ว่าแต่...พฤกษ์รู้ได้ยังไงว่าเราไม่มีที่ไปถึงได้ชวนไปอยู่ด้วย แถมยังจะให้เราไปเป็นแม่บ้านด้วยอีก” อันที่จริงต้องพูดว่าพ่อบ้านถึงจะถูกมากกว่านี่เนอะ


   “ก็ไม่รู้หรอก แค่เดาเอาจากท่าทางตะวันกับข้าวของที่หอบมาน่ะ ส่วนเรื่องแม่บ้าน เราจำได้ว่าเข้าค่ายตอนปี 1 ตะวันทำกับข้าวอร่อยมาก แถมยังดูแลคนอื่นเก่งด้วยเลยน่าจะเหมาะ เพราะแม่บ้านคนเก่าพึ่งออกไปพอดี” สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมถึงกับอึ้งไปเลย


“โห...จำได้ถึงขนาดนั้นเลยหรอ พฤกษ์นี่จะความจำดีเกินไปแล้วนะ” ถ้าผมความจำดีสักครึ่งหนึ่งของพฤกษ์ก็ดีสินะ งานพิเศษจะได้ทำได้หลากหลายมากขึ้น


“ก็ถ้าเรื่องนั้นมันสำคัญ ถึงไม่ต้องพยายามก็จำได้เองใช่มั้ยล่ะ”


   “หา? เมื่อกี้พฤกษ์ว่ายังไงนะ?” ผมมัวแต่คิดเรื่องงานพิเศษอยู่เลยไม่ทันได้ฟังสิ่งที่พฤกษ์พูด ได้ยินแต่อะไรสำคัญๆ ก็ไม่รู้


   “ถ้าไม่ได้ยินก็ไม่เป็นไร...จะว่าไปเรายังไม่ได้โทรบอกคนที่บ้านเลยนี่นะ งั้นขอคุยโทรศัพท์แป๊บนึง” ตอนนี้กำลังติดไฟแดงพอดี พฤกษ์เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนที่บ้าน


   “อยู่ไหนน่ะเพลิง?....เออดีเลย งั้นฝากบอกทุกคนด้วยว่ากูหาแม่บ้านคนใหม่ได้แล้ว...เรื่องนั้นเดี๋ยวค่อยคุยที่บ้าน แค่นี้แหละกูขับรถอยู่” พูดถึงตรงนี้พฤกษ์ก็ตัดสายไปเลยเพราะไฟจราจรได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว


   หลังจากนั้นรถก็ตกอยู่ในความเงียบ เพราะทั้งผมและพฤกษ์ต่างก็เป็นคนพูดไม่เก่งทั้งคู่ ผมเลยได้แต่มองเส้นทางตามกระจกข้างไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผ่านไปสักพักพฤกษ์ก็ชะลอรถแล้วเลี้ยวเข้าไปในซอยที่อยู่ข้างหน้า จากนั้นจึงได้เอ่ยปากพูดกับผม


“ใกล้จะถึงบ้านแล้วนะ ตะวันเก็บของเตรียมตัวเลยแล้วกัน”


“อ๋อ โอเค” ผมพยักหน้าแล้วรีบเก็บของให้เข้าที่ ซึ่งหลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที พฤกษ์ก็เลี้ยวรถเข้าไปในบ้าน 2 ชั้นหลังหนึ่งที่สร้างได้สวยเก๋และทันสมัยมาก ผมไม่แน่ใจว่านี่ใช่สไตล์โมเดิร์นรึเปล่า แต่ว่ามันแตกต่างจากบ้านทั่วไปแบบฉีกออกมาเลย


   “บ้านสวยจังพฤกษ์ สวยสุดๆ เลย” ผมเบิกตากว้างด้วยความทึ่ง


   “ถ้าพี่ภูได้ยินคงดีใจ เพราะนี่คือผลงานที่พี่ภูภูมิใจมากที่สุด...พี่ภูเป็นสถาปนิกที่ออกแบบบ้านหลังนี้น่ะ”


   “ว้าว พี่ของพฤกษ์เก่งจัง แล้วนี่ที่บ้านอยู่กันกี่คนหรอ?” ถึงแม้จะเรียนเอกเดียวกัน แต่ผมก็ไม่ได้สนิทกับพฤกษ์ขนาดที่จะรู้ว่าครอบครัวมีกี่คน แต่ถ้าเพื่อนผู้หญิงในห้องก็คงจะรู้หมดแม้กระทั่งชื่อเลยล่ะมั้ง


   “ที่นี่อยู่กัน 5 คน มีพี่ชาย 2 คน น้องชาย 2 คน แล้ว 1 ในนั้นก็มีน้องชายฝาแฝดของเราด้วย”


   “หา! พฤกษ์มีแฝดด้วยหรอ?”


   “อืม ชื่อเพลิง แต่เอาจริงๆ ก็มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าเราเป็นแฝดกัน เพราะนอกจากหน้าก็ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง”


   “ขนาดนั้นเลยหรอ?” ผมทำหน้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เพราะขึ้นชื่อว่าแฝดอย่างน้อยมันก็น่าจะมีอะไรที่เหมือนกันบ้างสินอกจากหน้าตา


   “เดี๋ยวพอได้เจอตะวันก็รู้ แต่ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปสุงสิงกับมันมากหรอกนะ เพราะไอ้นี่มันเป็นตัวอันตราย” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พฤกษ์ก็ไม่ได้มีท่าทีเกลียดชังแฝดคนน้องแต่อย่างใด แถมยังอมยิ้มน้อยๆ เมื่อพูดถึงอีกต่างหาก


   “เราจะพยายามก็แล้วกัน แต่ว่าท่าทางพฤกษ์จะสนิทกับพี่น้องมากเลยเนอะ คุณพ่อกับคุณแม่คงดีใจมากที่มีลูกชายตั้ง 5 คน เราอยากมีครอบครัวอบอุ่นแบบนี้บ้างจัง” พอผมพูดแบบนี้ สีหน้าของพฤกษ์ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นยิ้มหยันทันที


   “พ่อกับแม่งั้นหรอ? หึ!” พฤกษ์พูดแค่นี้ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ผมที่รู้สึกสงสัยเลยว่าจะถามสักหน่อย แต่พฤกษ์ก็ชวนผมเข้าบ้านซะก่อน


   “เข้าไปข้างในกันเถอะตะวัน ป่านนี้ทุกคนคงกำลังรออยู่ มีอะไรให้ช่วยถือรึเปล่า?”


   “ไม่มีหรอก ของมีไม่กี่อย่างเราถือเองได้” จะให้คนที่มีบุญคุณอย่างพฤกษ์มาช่วยถือของได้ยังไงกันล่ะ


   “ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ถุงหนังสือท่าทางจะหนักนะ เดี๋ยวเราช่วยดีกว่า” แล้วพฤกษ์ก็เอื้อมมือมาหยิบถุงหนังสือที่ตักของผมไปเลย จากนั้นก็เปิดประตูแล้วเดินลงจากรถ ผมที่ถึงแม้จะไม่อยากรบกวน แต่พอพฤกษ์ทำแบบนี้ก็เลยต้องเลยตามเลย


   ผมเปิดประตูลงจากรถแล้ววิ่งตามไปหาพฤกษ์ที่ตอนนี้กำลังกดรหัสเข้าบ้าน จากนั้นก็พาผมเดินเข้าไปข้างใน ซึ่งพอได้เห็นก็ทำเอาผมถึงกับตกตะลึงจนตาค้างอีกครั้ง


แต่ที่ตาค้างไม่ใช่เพราะการตกแต่งภายในที่ดูสวยเก๋แบบโมเดิร์นที่เห็นภายนอกหรอก ที่ผมตาค้างเพราะเห็นผู้ชายที่มีออร่าความหล่อรายล้อมตัวเหมือนพฤกษ์ถึง 3 คนต่างหาก!


   “หืม? นี่หรอแม่บ้านคนใหม่ที่มึงพูดถึง?” ผู้ชายที่มีใบหน้าเหมือนพฤกษ์ราวกับแกะพูดขึ้น จะต่างกันก็แค่ทรงผมและการแต่งตัวที่ไม่ค่อยเรียบร้อยสักเท่าไหร่ ซึ่งหลังจากที่พูดจบผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วใช้สายตาคมกริบมองผมจนแทบจะทะลุเข้าไปในร่าง


“น่ารักใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า พอเห็นท่าทางใสๆ แบบนี้แล้วชักอยากทำให้แปดเปื้อนยังไงก็ไม่รู้” ไม่พูดเปล่าผู้ชายตรงหน้ายังแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหายอีกต่างหาก สายตาที่มองมากับการกระทำนั้นทำให้ผมถึงกับกลัวจนขนลุกซู่


คนคนนี้ต้องเป็นน้องชายฝาแฝดของพฤกษ์ที่ชื่อเพลิงไม่ผิดแน่ ผมเชื่อแล้วล่ะว่านอกจากหน้าตา สองคนนี้ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้แต่อย่างเดียว!


   “เดี๋ยวเถอะเพลิง พูดอะไรอย่างนั้นกันเล่า ไม่เห็นรึไงว่าหนุ่มน้อยหน้าหวานคนนี้กำลังกลัวน่ะ...ชื่ออะไรหรอเรา? ฉันชื่อธารนะ” ผู้ชายหน้าสวย ที่มีรูปร่างสูงโปร่งแต่เพรียวบางถามขึ้น แถมยังใช้ปลายนิ้วเรียวยาวเชยคางของผมขึ้นอีกต่างหาก


   “อะ...เอ่อ...ตะวัน...ผมชื่อตะวันครับ” ผมตอบอย่างตะกุกตะกักเพราะยังปรับอารมณ์ไม่ทัน แถมยังตกตะลึงกับความสวยของผู้ชายอย่างคุณธาร มิหนำซ้ำยังมีความยั่วยวนถึงแม้ว่าจะกำลังสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแลคก็ตาม


   เป็นคนที่เสน่ห์เหลือล้นและเซ็กซี่เรี่ยราดจริงๆ!


   “ตะวันงั้นหรอ? แหม...ช่างเป็นชื่อที่ทำให้รู้สึกร้อนรุ่มซะจริง ถามตรงๆ เลยนะ สนใจลองมามีเซ็กส์กับฉันมั้ยหนุ่มน้อย?”
“ห้ะ!” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อกี้ผมฟังผิดไปใช่มั้ย ใครมันจะไปชวนคนที่พึ่งเจอกันมีเซ็กส์ได้เล่า!


แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นคุณธารกลับก้มหน้าลงมาหาผมเพื่อที่จะจูบซะงั้น ผมที่กำลังช็อกอยู่ร่างกายเลยขยับไปไหนไม่ได้ ยังดีที่หนุ่มน้อยน่ารักในชุดนักเรียนม.ปลายเข้ามาขวางเอาไว้ได้ทัน เลยทำให้ริมฝีปากของคุณธารเฉียดริมฝีปากของผมไปแค่นิดเดียว


   “หยุดเลยนะครับพี่ธาร! ว่าพี่เพลิงไม่ดูตัวเองเลยนะ! พี่ธารทำให้พี่ตะวันกลัวจนสั่นไปหมดแล้วนะครับ!”


   “ถ้างั้นวาก็ไม่ดูตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ มือน่ะจับเต็มๆ เลยไม่ใช่หรอ แล้วก็อย่าอ้างนะว่าไม่ได้ตั้งใจ ใครจะไปเชื่อก็เล่นขยำซะขนาดนั้น” ที่คุณธารบอกว่ามือน้องวาจับเต็มๆ...ไม่สิ ต้องเรียกว่าขยำมากกว่า ก็เพราะตอนนี้มือทั้ง 2 ข้างของน้องวากำลังวางอยู่ที่แผ่นอกของผม!


   ใจจริงผมก็อยากจะผลักน้องวาออกไปหรอกนะ แต่มันก็ติดอยู่ที่ว่าผมไม่กล้าทำร้ายเด็ก แถมตัวของผมตอนนี้ก็ยังช็อกจนแข็งค้างอยู่เลย


“ชิ! เกลียดจริงๆ คนรู้ทัน” น้องวาแลบลิ้นใส่คุณธาร จากนั้นก็ปล่อยมือที่ขยำแผ่นอกของผม แล้วเอาไปกอดอกของตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่


   “อะ...เอ่อ...นะ...นี่มันอะไรกันพฤกษ์...” ผมถามอย่างตะกุกตะกักพลางหันหน้าไปหาพฤกษ์ช้าๆ ซึ่งตอนนี้พฤกษ์กำลังทำหน้ากลุ้มใจแล้วใช้มือข้างหนึ่งเสยผมของตัวเองขึ้นไปด้านบน


   “เฮ้อออออ ก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะนะว่าทุกคนต้องเข้ามาจีบตะวัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะรุกจีบหนักกันถึงขนาดนี้”


   “หา? จีบ? จีบเราเนี่ยนะ?” ผมชี้มือเข้าหาตัวเองด้วยความงุนงง ผมว่าวันนี้ผมต้องเสียใจเรื่องคุณพ่อจนสมองทำงานไม่ปกติแน่ๆ แล้วบางทีการกระทำกับคำพูดของพี่น้องบ้านนี้ผมอาจจะคิดไปเองคนเดียวก็ได้


   ใช่...มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ!


   แต่ทั้งๆ ที่กำลังจะสะกดจิตตัวเองให้คิดแบบนั้นได้อยู่แล้ว พฤกษ์กลับขยับเข้ามาใกล้แล้ววาดมือมากอดคอของผม จากนั้นจึงก้มหน้าลงมาจนจมูกแทบจะชนกัน แล้วจึงพูดขึ้นมาว่า...


   “บ้านนี้ไม่มีใครชอบผู้หญิงหรอกนะ แล้วรูปร่างหน้าตาแบบตะวันถึงแม้จะไม่ใช่สเปค แต่ทุกคนก็ยังอยากได้อยู่ดี”


   หา! หา!! หา!!!


   นี่มันอะไรกันเนี่ยยยยยยยยยย!!!


        ผมเบิกตากว้างจนแทบจะถลนกับเรื่องที่ได้ยินเมื่อกี้ แถมท่าทีของพฤกษ์ก็ไม่มีวี่แววล้อเล่นอีกต่างหาก มิหนำซ้ำทุกคนในบ้านก็ยังยิ้มรับไม่มีปฏิเสธอีกด้วย แล้วอย่างนี้การเป็นแม่บ้านของผมจะเป็นยังไงล่ะเนี่ย!


   ซึ่งขณะที่ผมกำลังสองจิตสองใจว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี จะเป็นแม่บ้านของที่นี่หรือว่าจะไปตายเอาดาบหน้า ก็มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาซะก่อน


   “อย่าเหมารวมพี่ไปกับพวกแกสิพฤกษ์ พี่ไม่เคยบอกสักคำว่าพี่ชอบผู้ชาย”


   ผู้ชายที่พึ่งเปิดประตูออกมาจากห้องคนนี้ คงต้องเป็นพี่ชายอีกคนของพฤกษ์ที่ชื่อภูผา แน่นอนว่าออร่าความหล่อที่รายล้อมตัวก็มีเหมือนกันกับทั้ง 4 คน แต่ผมกลับรู้สึกว่าคุณภูผาแตกต่าง เพราะนอกจากจะดูเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้แล้ว คุณภูผายังบอกว่าไม่ได้ชอบผู้ชายอีกด้วย


   คนคนนี้อาจทำให้การเป็นแม่บ้านของผมไม่ลำบากอย่างที่คิดก็ได้!


   “แต่พี่ภูก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงใช่มั้ยล่ะ ไม่สิ...ต้องบอกว่าเกลียดผู้หญิงเหมือนพวกเราทุกคนมากกว่า”


   “หา! เกลียดผู้หญิง?” ผมก็ว่าจะอุทานขึ้นมาในใจเฉยๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้กลายเป็นอุทานออกเสียงซะได้ ยังดีที่ไม่มีใครว่าผมสอดรู้สอดเห็น มีแต่คุณภูผาคนเดียวที่ใช้สายตาดุๆ ตวัดมองมาทางผม


   “ก็จะไม่ให้เกลียดได้ยังไง ก็แม่ของพวกเราเป็นกะ...โอ๊ย! พี่ธาร! ผมเจ็บนะ!” แต่ยังไม่ทันที่เพลิงจะได้พูดไขข้อข้องใจให้ผมจนจบประโยค ก็ถูกคุณธารเอื้อมมือไปบิดหูซะก่อน แถมยังบิดอย่างแรงจนหูของเพลิงแดงเถือกอีกต่างหาก


   เพลิงกำลังจะบอกว่าแม่ของทุกคนเป็นอะไรกันนะ จะเป็นกะลาสี หรือว่าเป็นเกษตรกร?


   “พูดให้มันดีๆ หน่อย ถึงจะเกลียดยังไงแต่นั่นก็แม่นะเพลิง”


   “เออๆๆ ผมไม่พูดคำนั้นก็ได้ งั้นเปลี่ยนเป็นอีตัวที่รับแต่แขก VIP พอมีลูกทีก็เอามาทิ้งให้ยายเลี้ยงแทนก็แล้วกัน พอใจแล้วนะ”


   “พอใจกับผีน่ะสิ! ไอ้น้องคนนี้!” แล้วหลังจากนั้นคุณธารก็บิดหูของเพลิงแรงขึ้นไปอีก จนเพลิงต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด โดยมีน้องวาคอยปรบมือเชียร์และหัวเราะสมน้ำหน้าเพลิงใหญ่ แต่ผมกลับรู้สึกหดหู่กับเรื่องที่ได้ยินยังไงก็ไม่รู้


   “ขอโทษนะตะวัน คงจะรู้สึกแย่กับพวกเราสินะ” พฤกษ์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป สีหน้าของพฤกษ์ตอนนี้ราวกับว่าเสียใจเพราะคิดว่าถูกผมรังเกียจ


   “เปล่านะพฤกษ์ เราไม่ได้รู้สึกแย่หรือว่ารังเกียจทุกคนเลยนะ แต่ว่าเรารู้สึกสงสารน่ะ ตอนเด็กๆ คงจะลำบากกันน่าดู”


   “ก็...ไม่เท่าไหร่หรอก แม่ส่งเงินมาให้ยายเดือนละหลายหมื่น แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราทุกคนก็เกลียดแม่กันอยู่ดี เกลียดทั้งเงิน ทั้งนิสัย และอาชีพที่แม่ทำ จนพาลเกลียดผู้หญิงทุกคนบนโลกไปด้วยน่ะ” พอได้ยินแบบนี้ผมก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมพี่น้องบ้านนี้ถึงได้ไม่ชอบผู้หญิง ก็มีปมขนาดใหญ่อยู่ในใจเลยนี่นา


   “แล้วตอนนี้คุณแม่ของพฤกษ์เป็นยังไงบ้าง?” ผมคิดว่าอายุท่านน่าจะมากแล้ว คงไม่น่าจะทำอาชีพแบบนั้นได้หรอก แต่ผมก็ไม่คิดว่าท่านจะ...


   “ตายแล้ว ถูกฆ่าปิดปากเพราะไปรู้ความลับของนักการเมืองที่นอนด้วยได้ 10 กว่าปีแล้ว” สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมถึงกับใจหล่นวูบ แต่ถึงอย่างนั้นพฤกษ์กลับเล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้แสดงความรู้สึกเศร้าหรือว่าเสียใจเลยแม้แต่น้อย


        ผิดกับผมที่กลับรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก พฤกษ์ที่เห็นสีหน้าของผมตอนนี้จึงได้ยิ้มออกมาบางๆ แล้ววางมือลงบนศีรษะของผม จากนั้นก็ลูบไปมาเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน


   “เรื่องมันผ่านมานานแล้ว ตะวันไม่ต้องทำหน้าเศร้าไปหรอก แค่เรื่องของตะวันก็หนักหนามากพออยู่แล้ว เพราะงั้นไม่ต้องเก็บเรื่องของครอบครัวเราไปใส่ใจหรอกนะ” ที่พฤกษ์พูดแบบนี้ ก็เพราะว่าผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตอนที่พฤกษ์เดินกางร่มลงจากรถมาหาผมที่ป้ายรถเมล์


   “จะให้ทำอย่างนั้นได้ยังไงกันล่ะ เพราะงั้นเราจะดูแลทุกคนเป็นอย่างดีเอง เราจะทำหน้าที่ของแม่บ้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย” ผมยิ้มกว้างอย่างหมายมั่นปั้นมือ


   แต่แล้วยังไม่ทันที่พฤกษ์จะได้พูดตอบกลับมา เสียงของคุณภูผาก็ดังขัดขึ้นมาซะก่อน


   “เดี๋ยวนะ แม่บ้านงั้นหรอ? นี่มันเรื่องอะไรทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่อง” พอได้ยินแบบนี้พฤกษ์เลยรีบหันหน้าไปหาเพลิงทันที


   “ไอ้เพลิง กูสั่งให้มึงบอกทุกคนเรื่องตะวันแล้วไม่ใช่หรอวะ”


   “ก็กูบอกทุกคนแล้วไง แต่ยกเว้นพี่ภูที่ทำงานอยู่ในห้อง”


   “เอ๊า แล้วอย่างนี้มันจะเรียกว่าทุกคนได้ยังไงล่ะวะ”


   “ก็ทุกคนนั่นแหละ ยกเว้นแต่พี่ภูคนเดียว มึงนี่เข้าใจอะไรยากเนอะ”


   “มึงนั่นแหละที่เข้าใจอะไรยาก ไอ้...”


   “พอได้แล้วทั้งสองคน เถียงกันเป็นเด็กๆ ไปได้ ปีนี้ก็จะ 22 กันแล้วนะให้ตายเถอะ” คุณภูผาพูดขึ้นเพื่อห้ามทัพของพฤกษ์และเพลิงที่มีแววจะทะเลาะกันจริงๆ


   “เฮ้ออออ ผมไม่เถียงกับไอ้เพลิงก็ได้ ส่วนเรื่องตะวันก็เอาเป็นว่าผมบอกตอนนี้เลยแล้วกันว่าจะมาเป็นแม่บ้านคนใหม่ของที่นี่ พี่ภูคงยังไม่ได้จ้างแม่บ้านที่ไหนหรอกใช่มั้ย”


   “อืม พี่ยังไม่ได้จ้าง” เท่านั้นแหละพฤกษ์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่จะยิ้มบางๆ ออกมาด้วยความดีใจ แต่ยังไม่ทันไรรอยยิ้มของพฤกษ์ก็ต้องหุบลงซะแล้ว เพราะคุณภูผาได้พูดขึ้นมาอีกว่า...


   “แต่ถึงยังไม่ได้จ้างแม่บ้าน ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะรับคนที่แกพามาสักหน่อย เพราะงั้นแกไปเก็บมาจากไหนก็เอาไปคืนที่เดิมซะ” คำพูดนั้นทำให้ผมช็อกจนตัวแข็งค้าง ยิ่งสายตาอันดุดันของคุณภูผาที่มองมา มันก็ยิ่งทำให้ผมใจหล่นวูบจนแทบจะตกลงไปที่พื้น


   ผมได้ไปทำอะไรให้คุณภูผาไม่พอใจรึเปล่านะ?


   “ผมจะไม่พาตะวันไปไหนทั้งนั้น ตะวันกำลังลำบากไม่มีที่ไป บ้านเราก็ต้องการแม่บ้านอยู่พอดี ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ภูต้องมีปัญหาด้วย เพราะทุกคนก็โอเคกันหมดแล้ว” หลังจากที่พฤกษ์พูดจบทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยกันหมด แต่คุณภูผากลับยิ้มหยันออกมาซะงั้น


   “หึ แม่บ้านงั้นหรอ นั่นมันเป็นแค่ข้ออ้างมากกว่า จริงๆ แล้วพวกแกแค่อยากได้คู่นอนที่สะดวกเวลาอยากไม่ใช่รึไง” คำพูดนั้นทำให้ผมถึงกับหัวร้อนด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องมีราวอะไรเลยได้แต่เงียบแล้วก็เม้มปากแน่นเท่านั้น เป็นพฤกษ์ซะอีกที่ทนไม่ได้จึงรีบแก้ตัวแทนให้ผม


   “ตะวันเป็นเพื่อนที่เรียนเอกเดียวกันกับผม ตะวันไม่ใช่คู่นอนของพวกเราหรือว่าใครคนใดคนหนึ่งทั้งนั้น พี่ภูควรจะถอนคำพูดและขอโทษตะวันเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของพฤกษ์ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดังหรือว่าตะคอก แต่กลับดูแข็งกร้าวและน่ากลัวเอามากๆ


   “นี่แกกล้าสั่งพี่หรอพฤกษ์” ส่วนคุณภูผาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าน่ากลัวไม่ต่างกัน...ไม่สิ ต้องเรียกว่าน่ากลัวมากกว่าต่างหาก


   “คำว่า ‘ควรจะ’ มันเป็นคำสั่งตรงไหนหรอพี่ภู ผมก็แค่พูดให้พี่คิดเท่านั้นเองว่าสมควรมั้ยที่พูดกับตะวันไปแบบนั้น”


   “พฤกษ์!”


   “ทำไมครับพี่ภู?”


   ตอนนี้คุณภูผาจ้องมองมาที่พฤกษ์ด้วยสายตาวาวโรจน์ ส่วนพฤกษ์ที่ถึงแม้สีหน้าจะยังเรียบเฉย แต่ก็จ้องคุณภูผากลับไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน ผมที่เห็นแบบนั้นเลยคิดว่าคงปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้ จะให้พี่น้องมาทะเลาะกันเพราะผมได้ยังไงกันล่ะ


   “พฤกษ์ เอ่อ...อย่าทะเลาะกับคุณภูผาเพราะเราเลยนะ เราไม่ทำงานที่นี่ก็ได้” ถึงแม้ว่าผมจะกำลังลำบากเรื่องที่พักก็เถอะ แต่เดี๋ยวผมไปนอนที่วัดอย่างที่เคยคิดเอาไว้น่าจะดีกว่า


   “ไม่ได้ เราไม่ให้ตะวันไปไหนทั้งนั้น” พฤกษ์พูดจบก็จับมือของผมเอาไว้แล้วดึงให้เข้าไปประชิดตัว คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยเดินเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นก็ตวัดสายตามองมาที่ผมอย่างไม่พอใจ ก่อนที่จะเบนกลับไปจ้องที่พฤกษ์เหมือนเดิม


   “แต่พี่ก็ไม่ยอมรับผู้ชายคนนี้เป็นแม่บ้านเหมือนกัน ที่นี่เป็นบ้านของพี่ เพราะงั้นพี่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด” พอได้ยินแบบนี้พฤกษ์ก็ทำเสียงขึ้นจมูก จากนั้นก็ใช้นิ้วดันแว่นพลางใช้สายตาคมกริบจ้องมองไปที่คุณภูผา


   “แต่พวกเราเคยตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอว่า บ้านหลังนี้ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครใหญ่กว่าใครถึงแม้จะเป็นพี่ภูก็ตาม”


        สายตาและคำพูดของพฤกษ์ยิ่งทำให้คุณภูผาไม่สบอารมณ์หนักขึ้นไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นพฤกษ์ก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด เพราะงั้นทั้งสองคนจึงได้จ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนผมแทบจะเห็นสายฟ้าผ่าลงมาตรงกลาง แถมยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศมาคุสุดๆ อีกต่างหาก


   ทำยังไงดี เรื่องราวมันชักจะบานปลายไปกันใหญ่แล้ว ผมต้องทำยังไงถึงจะให้พฤกษ์กับคุณภูผาเลิกทะเลาะกันได้ล่ะเนี่ย!


   2BC


 :m9: สวัสดีค่ะทุกคนหัวใจชิงรักก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า แต่ตอนแรกก็เกิดศึกระหว่างพี่น้องซะแล้ว แล้วต่อไปเรื่องราวมันจะวุ่นวายบานปลายไปจนถึงขนาดไหนกันน้อ ยังไงก็ขอฝากทุกคนเป็นกำลังใจให้กับตะวันกับพี่น้องทั้ง 5 ด้วยนะคะ  :m13:
ว่าแต่...อ่านมาจนถึงตอนนี้พอจะเดากันได้รึยังน้อว่าใครคือพระเอกของเรื่องนี้ (บอกไว้ก่อนเน่อว่าไม่ใช่ 3 4 5 6P นะคะ) มีคนที่เชียร์เป็นพิเศษมั้ยคะ คือเท่าที่เห็นเหมือนเรื่องมันจะเอนเอียงเอียงไปทางพฤกษ์ไม่ก็ภูผาใช่ม้า แต่ก็ไม่แน่น้าว่าบางทีพระเอกอาจจะเป็นเพลิง ธาร หรือว่าวาก็ได้ (ถึง 2 คนหลังจะเป็นเคะก็เถอะ แต่เคะxเคะก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเขียนใช่ม้า อิอิ)  o3
แล้วมาลุ้นกันตอนต่อๆไปนะคะว่าใครจะเป็นพระเอก ซึ่งตอนหน้าอีกสัก 2 วันเราน่าจะมาลงให้อ่านกันได้ค่ะ หวังว่าคงจะไม่นานเกินไปเนอะ ยังไงก็รอเค้าด้วยน้า ขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะที่เข้ามาอ่านและเม้นให้นิยายเรื่องนี้  :pig4: ตอนแรกๆถึงคนอ่านและเม้นจะยังน้อยอยู่แต่เราก็หวังว่าต่อไปจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆนะคะ ยังไงก็อย่าพึ่งทิ้งเราไปไหนน้า  :dont2:  แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ บ๊ายบายยยยยยยย  :bye2:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-06-2017 23:32:55 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ถ้าดูจากรูป ภูมิพฤกษ น่าจะเป็นคนผมดำลำดับที่ไม่สองก็สาม ดังนั้นเดาว่าพระเอกเรื่องนี้น่าจะเป็นพี่ใหญ่ ภูผา นั่นเอง

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
อิจฉาตะวันอยากไปอยู่ตรงนั้นแทน :hao6:

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
ภูผาพี่ใหญ่นี่หล่ะพระเอก
ส่วนตัวชอบคู่แฝดพฤกษ์เพลิงมากกว่า

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao7: ลุ้นไปด้วยเลยแต่เราชอบพฤกษ์นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Part 2# Tawan บททดสอบแม่บ้านคนใหม่


   “พอได้แล้วทั้งสองคน จะทะเลาะกันให้อายแขกอย่างตะวันทำไม” คุณธารพูดขึ้นหลังจากที่พฤกษ์และคุณภูผาจ้องตากันโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาได้เป็นนาที พอได้ยินแบบนี้คุณภูผาเลยเหลือบสายตามองมาทางผมแว้บหนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมาว่า...


   “พี่ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้คือแขกของบ้านเราหรอกนะ” สายตาที่มองมานั้นไม่เท่าไหร่ แต่คำพูดที่แสดงออกถึงความเกลียดชังมันทำให้ผมรู้สึกแย่มากจนอยากจะร้องไห้อยู่แล้ว อยากรีบออกไปจากบ้านหลังนี้จัง


   “เอาเข้าไป นี่พี่ภูจะจงเกลียดจงชังอะไรตะวันนักหนา พฤกษ์ก็บอกแล้วไงว่าตะวันคือเพื่อนที่เรียนเอกเดียวกัน ไม่ได้เป็นผู้ชายขายน้ำอย่างที่พี่คิดสักหน่อย” คุณธารกอดอกแล้วทำหน้าดุใส่คุณภูผา แต่คุณภูผาก็ไม่แคร์แถมยังยักไหล่ใส่อีกต่างหาก


   “ให้ตายสิ คนแก่นี่มันพูดยากจริงๆ” พอได้ยินคุณธารพูดใส่แบบนี้คุณภูผาก็เลยชักยั้วะขึ้นมา


   “นี่ธาร...” แต่ยังไม่ทันที่คุณภูผาจะได้พูดอะไร คุณธารก็หันมาทางผมแล้วชิงพูดตัดหน้าขึ้นมาซะก่อน


   “ตะวันไม่ต้องไปสนใจคนแก่ทิฐิมากคนนั้นหรอกนะ เพราว่าฉัน พฤกษ์ เพลิง แล้วก็วาเต็มใจให้ตะวันทำงานที่นี่...จริงมั้ยทุกคน?” ประโยคหลังคุณธารหันหน้าไปถามทุกคนที่กล่าวถึง ซึ่งทั้งหมดก็พยักหน้าลงแล้วตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน


   “จริงครับพี่ธาร!”


   “เฮ้อออออ ให้มันได้อย่างนี้สิ” คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมศีรษะ ส่วนผมที่ถึงแม้คุณธาร พฤกษ์ เพลิง แล้วก็น้องวาจะเต็มใจให้ทำงานที่นี่ แต่ถ้าคุณภูผาไม่โอเคผมก็ไม่อยากทำงานที่นี่ให้บรรยากาศมันอึดอัดหรอก


   “ผมขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะครับ แต่ผมไม่ขอรบกวนดีกว่า ผมขอรับไว้แค่น้ำใจก็พอครับ”


   “อ้าว ทำไมล่ะตะวัน หรือเป็นเพราะพี่ภูงั้นหรอ?” พฤกษ์พูดขึ้นก่อนที่จะตวัดสายตาไปทางคุณภูผา ผมเลยรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที


   “เปล่านะพฤกษ์! มันไม่ใช่เพราะคุณภูผาหรอก!” ถึงแม้ความจริงมันจะเป็นเพราะเรื่องนี้ แต่ผมจะกล้าพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไงกันเล่า


   “ถ้างั้นแล้วมันเป็นเพราะอะไร ก่อนหน้านี้ตะวันก็โอเคไม่ใช่หรอถึงได้ขึ้นรถมากับเรา”


   “นั่นมันก็ใช่ แต่...”


   “แต่อะไร?” พฤกษ์จ้องหน้าผมอย่างจับผิด ผมที่โกหกไม่เก่งและไม่ทันได้คิดข้ออ้างเอาไว้ เลยได้แต่เงียบแล้วก้มหน้าลงต่ำเท่านั้น


   “สรุปก็เป็นเพราะพี่ภูสินะ” พอพฤกษ์พูดแบบนี้ผมเลยเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะปฏิเสธอีกครั้ง แต่พอเห็นสายตาดุๆ ของคุณภูผาที่มองมา มันก็ทำให้ผมกลัวจนต้องก้มหน้าลงไปเหมือนเดิม


   คนอะไรตาดุชะมัด!


   “พี่ตะวันจะไม่เป็นแม่บ้านให้พวกเราจริงๆ หรอครับ ผมเบื่อที่จะต้องกินข้าวกล่องเซเว่นแล้วนะ ผมอยากให้พี่ตะวันทำให้กิน ผมเชื่อว่ามันต้องอร่อยมากแน่ๆ เลย” น้องวาเกาะแขนของผมแล้วมองตาปริบๆ เพลิงเลยพยักหน้าแล้วพูดขึ้นสนับสนุนน้องวา


   “จริงด้วยวา พี่ก็เบื่อข้าวเซเว่นเหมือนกัน ให้น้อยไม่พอยังไม่อร่อยอีกต่างหาก...นี่ นายเปลี่ยนใจมาเป็นแม่บ้านให้พวกเราเถอะ”


   “เอ่อ...คือเราไม่...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบปฏิเสธเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ออกไป คุณธารก็ชิงพูดขัดขึ้นมาซะก่อน


   “อย่าปฏิเสธเลยนะตะวัน ทุกวันนี้ฉันไปทำงานเกือบจะสายตลอด ก็เพราะต้องตื่นมาทำอาหารเช้าให้ไอ้พวกนี้ แถมยังต้องรีดผ้า แล้วก็ซักผ้าให้อีกต่างหาก จนตอนนี้ฉันแทบจะเปลี่ยนสถานะจากพี่ไปเป็นแม่ของพวกมันอยู่แล้วนะ” แต่เอาจริงๆ ผมคิดว่าคุณธารก็เหมาะจะเป็นแม่ของทุกคนในบ้านอยู่นะ ส่วนพ่อก็ต้องเป็นคุณภูผาอย่างไม่ต้องสงสัย


   “ก็อย่างที่ทุกคนพูดไปนั่นแหละ ถ้าตะวันมาเป็นแม่บ้านของที่นี่ก็จะช่วยทุกคนได้เยอะเลย ส่วนตะวันก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพราะนอกจากจะพักอยู่ที่นี่ฟรีก็ยังมีเงินเดือนให้อีกต่างหาก ตะวันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำงานหลายๆ อย่างเหมือนเมื่อก่อน แล้วถ้าวันไหนวิชาเรียนตรงกันกับเราก็สามารถติดรถเราไปเรียนได้อีกต่างหาก อยู่ที่นี่ตะวันมีแต่ได้กับได้ลองคิดดูดีๆ นะ”


        สิ่งที่พฤกษ์พูดนั้นถูกต้องทั้งหมด ผมมีแต่ได้กับได้จริงๆ ถ้าทำงานเป็นแม่บ้านที่นี่ แต่ว่าถ้าต้องทำงานกับคนที่ไม่ชอบผมไปตลอด มันก็จะเป็นการอึดอัดทั้งสองฝ่ายเลยน่ะสิ


   “นี่สรุปพวกแกจะเอาผู้ชายคนนี้เป็นแม่บ้านจริงๆ ใช่มั้ย” คุณภูผาพูดขึ้น พลางใช้สายตาดุๆ จ้องมองมาที่ผม จนตอนนี้ผมที่แทบจะทำตัวหดลีบอยู่แล้วยิ่งลีบลงเข้าไปใหญ่


   “ใช่ ถึงพี่ภูไม่จ่ายค่าจ้างแต่ผมก็จ่ายเองได้ไม่มีปัญหา” คุณธารพูด


   “เรื่องเงินมันไม่ใช่ปัญหาหรอกนะ แต่พวกแกไม่คิดจะทดสอบดูหน่อยหรอว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรเป็นบ้าง เอาเรื่องหลักๆ เลยก็คือกับข้าว ไม่รู้ว่าจะทำออกมารสชาติเป็นยังไง กินได้รึเปล่าก็ไม่รู้” พอได้ยินแบบนี้พฤกษ์เลยรีบตอบคุณภูผาไปเลยทันที


   “ทำไมจะกินไม่ได้ ในเมื่อผมเคยกินมาแล้ว”


   “แต่พี่ยังไม่เคยกิน เพราะงั้น...ไปลองทำกับข้าวมาให้ฉันกินสิ ถ้าหากรสชาติผ่านฉันก็จะให้นายทำงานที่นี่” ประโยคหลังคุณภูผาหันหน้ามาคุยกับผม


   “เอ่อ...แต่ว่าผมไม่ได้...” ผมตั้งใจจะบอกว่าผมไม่ได้คิดจะทำงานที่นี่ แต่ก็ถูกพฤกษ์พูดขัดขึ้นมาซะก่อน ก็ไม่รู้ว่าคนบ้านนี้ชอบพูดขัดจังหวะ หรือว่าผมกันแน่ที่คิดช้าพูดช้าจนเกินไป


   “มันจะไปผ่านได้ยังไงล่ะพี่ภู ก็ในตู้เย็นมีแต่ของเหลือทั้งนั้น” พฤกษ์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ แต่คุณภูผากลับยักไหล่อย่างไม่แคร์


   “ของเหลือแล้วยังไง ในเมื่อมันก็เป็นของกินเหมือนกัน”


   “พี่ภู!”


   “เอ่อ...พฤกษ์ เราว่าเราทำได้นะ ปกติเราก็เอาของเหลือมาทำกับข้าวกินอยู่แล้ว” คำพูดนั้นทำเอาพฤกษ์และคุณภูผาที่กำลังจะเริ่มเปิดศึกกันอีกครั้งถึงกับชะงัก จากนั้นพฤกษ์ก็หันหน้ามองมาทางผม


   “นี่ตะวันพูดจริงๆ หรอ?”


   “อืม เราทำงานพิเศษที่ร้านอาหาร บางวันมีอาหารหรือวัตถุดิบที่ใกล้เสีย เจ้าของร้านก็จะให้เราเอากลับมาทำกินที่บ้านน่ะ”


   “งั้นก็ดีเลย...พี่ภู ถ้าเกิดตะวันทำกับข้าวอร่อยก็อย่าคืนคำก็แล้วกัน” พฤกษ์หันไปพูดกับคุณภูผาที่กำลังทำหน้าเซ็งหน่อยๆ จากนั้นก็จูงมือผมพาเดินไปที่ห้องครัว โดยมีน้องวาเดินตามมาติดๆ


   “นี่ๆ พี่ตะวันจะทำอะไรให้พี่ภูกินหรอครับ แล้วมีส่วนของผมด้วยมั้ย ผมก็อยากกินข้าวที่พี่ตะวันเป็นคนทำเหมือนกันนะครับ” น้องวาถามหลังจากที่ผมเปิดตู้เย็น แล้วก็เอาของที่พอจะทำเป็นอาหารได้ออกมาวางเรียงกันตรงข้างๆ เตาไฟฟ้า


   ของทั้งหมดมีอย่างละนิดละหน่อย แต่ก็พอจะเอามาทำเป็นอาหารได้อยู่ ซึ่งก็มีข้าวสวยของเซเว่น เนื้อหมู เต้าหู้ ไส้กรอก แฮม เศษผักต่างๆ แล้วก็ไข่ไก่อีก 3 ฟอง


   “อืม...ของคุณภูผาน่าจะเป็นข้าวผัดห่อไข่กับแกงจืดมั้ง ส่วนของน้องวา...ถ้าเป็นข้าวผัดอเมริกันก็น่าจะพอทำได้” เพราะพวกซอสที่นี่ก็มีครบ ส่วนลูกเกดกับน่องไก่ถึงแม้ว่าจะไม่มีแต่ก็พอถูๆ ไถๆ ทำได้ล่ะนะ


   “ว้าววววว แค่ได้ยินน้ำลายผมก็เริ่มไหลแล้วครับพี่ตะวัน” น้องวาพูดด้วยสายตาเป็นประกาย ความน่ารักสดใสนั้นทำเอาผมอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้


   “เอาล่ะวา พี่ว่าตอนนี้เราออกไปรอที่ห้องนั่งเล่นกันดีกว่า อยู่ที่นี่มีแต่จะเกะกะตะวันจนทำอะไรไม่สะดวก”


   “โอเคครับพี่พฤกษ์ ถ้างั้นพี่ตะวันก็สู้ๆ น้า” น้องวาหันมาพูดให้กำลังใจผม ส่วนพฤกษ์ก็ยิ้มให้บางๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากห้องครัวไปรอที่ห้องนั่งเล่น


   จากนั้นผมก็เอาวัตถุดิบมาหั่นเตรียมไว้ โดยแยกเป็นของอาหารแต่ละอย่างเพื่อไม่ให้ปนกัน แล้วเริ่มต้นลงมือทำซึ่งก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง


   ถ้าหากคุณภูชอบกับข้าวพวกนี้ และยอมรับผมโดยไม่มีท่าทีต่อต้านอีกก็ดีสินะ เพราะการจะหางานที่มีที่พักฟรีแถมยังมีเงินเดือนให้ด้วยอีกมันแทบไม่มีแล้วล่ะ


   “เสร็จรึยังตะวัน พี่ภูเริ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้งแล้ว” คุณธารเดินมาตามผมด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย


   “เสร็จพอดีเลยครับคุณธาร” ผมพูดจบก็ยกจานข้าว 2 ใบขึ้นมา แต่ยังเหลือถ้วยแกงจืดอยู่ที่โต๊ะ คุณธารที่เห็นอย่างนั้นเลยเดินมายกขึ้นไป


   “เดี๋ยวฉันช่วยถือนะ”


   “ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มพร้อมกับค้อมศีรษะให้คุณธาร จากนั้นจึงได้เดินออกไปยังห้องรับแขก แล้ววางจานข้าวผัดอเมริกันไว้ตรงหน้าน้องวา ส่วนข้าวผัดห่อไข่ไว้ตรงหน้าคุณภูผา โดยมีคุณธารวางแกงจืดตามลงมาติดๆ


   “ว้าววววว น่ากินมากๆ เลยครับพี่ตะวัน” น้องวาพูดด้วยสายตาเป็นประกาย ส่วนคุณภูผาก็พูดขึ้นด้วยหน้าตาบูดบึ้งเหมือนเดิม


   “หน้าตาน่ากินก็จริงนะวา แต่ก็ใช่ว่ารสชาติจะดีไม่ใช่รึไง”


   “งั้นผมจะลองกินเดี๋ยวนี้แหละพี่ภู” พูดจบน้องวาก็ตักกับข้าวที่อยู่ในจานเข้าปาก เท่านั้นแหละ...


   “ว้าววววว อร่อยสุดยอดดดดด!” น้องวาทำตาเป็นประกายขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็รีบตักทั้งแฮมและไข่ดาว รวมทั้งแกงจืดที่ผมทำให้คุณภูผาเข้าปากตามไปติดๆ


   “โอ๊ยยยยย อันนี้ก็อร่อยสุดๆ เหมือนกัน!”


   “รีบกินอะไรขนาดนั้นวา เดี๋ยวก็ติดคอกันพอดีหรอก” คุณภูผาหันไปทำหน้าดุใส่น้องวา


   “โหยพี่ภู ผมไม่ได้กินกับข้าวที่อร่อยขนาดนี้มานานมากแล้วนะ ฮืออออ น้ำตาจะไหล” น้องวากินไปพูดไป ภาพที่เห็นทำเอาผมเอ็นดูจนต้องยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ แต่พอเห็นสายตาดุๆ ของคุณภูผาที่มองมา ผมก็ต้องรีบหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็ว


   “แล้วนี่เมื่อไหร่พี่ภูจะลองกินกับข้าวฝีมือตะวันสักที หวังว่าคงไม่ได้กะรอให้มันเย็นแล้วก็หาเรื่องว่าไม่อร่อยหรอกนะ” ประโยคนี้พฤกษ์เป็นคนพูดขึ้น เพลิงเลยพูดเสริมขึ้นบ้าง


   “แต่กูว่าไม่ใช่หรอกว่ะ พี่ภูคงกลัวว่าจะติดใจเหมือนกับวามากกว่าล่ะมั้ง” พอพูดจบเพลิงก็หัวเราะคิกๆ คักๆ จนคุณภูผาชักยั้วะขึ้นมา


   “เงียบไปเลยไอ้พวกแฝดนรก” คุณภูผาหันไปทำหน้าดุใส่พฤกษ์กับเพลิง จากนั้นก็จับช้อนกับส้อมขึ้นมาแหวกไข่เจียวที่ห่อข้าวผัดเอาไว้ แล้วตักข้าวผัดที่อยู่ข้างในขึ้นมาใส่ปาก


   “พี่ไม่คิดว่าข้าวผัดที่ทำจากของเหลือแบบนี้มันจะ...เฮ้ย อร่อย!” แล้วคุณภูผาที่เบ้ปากทำหน้าตาเหยียดข้าวผัดที่ผมทำอยู่เมื่อกี้ ก็เปลี่ยนสีหน้าไปเป็นตรงข้ามกันทันทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ


   “ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ เลยนะครับคุณภูผา” ผมยิ้มกว้างด้วยความดีใจ


   “เฮ้ย ฉันไม่ได้...” แต่ยังไม่ทันที่คุณภูผาจะได้พูดอะไรออกมา น้องวาก็ตักหมูสับและเต้าหูhในแกงจืดเข้าปากของคุณภูผาเข้าไปซะก่อน


   “นี่ก็อร่อยใช่มั้ยล่ะครับ! พี่ธาร พี่พฤกษ์ แล้วก็พี่เพลิงลองมากินด้วยกันสิ กับข้าวฝีมือพี่ตะวันอร่อยสุดยอดไปเลย” พอน้องวาเอ่ยชวนแบบนี้ ทุกคนเลยลองชิมอาหารทุกจานฝีมือของผมบ้าง ซึ่งก็ได้รับคำชมว่าอร่อยถูกปากจนตอนนี้ผมหน้าบานยิ่งกว่าจานข้าวซะอีก


   “เห็นมั้ยล่ะ ผมบอกแล้วว่ากับข้าวฝีมือตะวันอร่อยจริงๆ…เก่งมากเลยนะตะวัน” พฤกษ์หันไปเย้ยคุณภูผาก่อนที่จะหันหน้ามายิ้มให้ผม รอยยิ้มกับคำชมนั้นทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาอย่างเขินๆ และดีใจไม่ได้


   “เพราะงั้นพี่ภูก็คงไม่คัดค้านแล้วนะ ถ้าพวกเราจะให้ตะวันทำงานเป็นแม่บ้านของที่นี่” คุณธารพูดขึ้น เท่านั้นแหละทุกคนก็หันไปจ้องมองคุณภูผาเป็นสายตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่ผมเช่นกัน


ตอนนี้ผมกับทุกคนลุ้นกับคำตอบของคุณภูผาจนแทบจะหยุดหายใจอยู่แล้ว!


   “เอ่อ...กับข้าวเมื่อกี้มันก็รสชาติไม่ได้แย่ล่ะนะ เพราะงั้น...ฉันจะยอมให้นายทำงานเป็นแม่บ้านของที่นี่ก็ได้”


คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาจนแก้มแทบปริ ส่วนคุณธาร พฤกษ์ และเพลิงก็ยิ้มกว้างออกมาเช่นกัน มีน้องวานี่แหละที่ดีใจกว่าใครเพื่อน เลยรีบลุกจากโซฟาเข้ามาสวมกอดผมอย่างแนบแน่นด้วยความลิงโลด


“ไชโย! ได้เวลาบอกลาข้าวเซเว่นแล้ว! เย่ๆๆ!”


“ต่อไปน้องวาอยากกินอะไรก็บอกพี่ได้เลยนะ เอ่อ...ขอบคุณคุณภูผาด้วยนะครับที่อนุญาตให้ผมทำงานที่นี่” ประโยคหลังผมหันไปมองคุณภูผาแล้วยิ้มออกมาบางๆ


“ก็หวังว่าจะทำหน้าที่อย่างดีไม่ขาดตกบกพร่องล่ะนะ” คุณภูผาพูดจบก็ลุกขึ้นจากโซฟา จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในห้องของตัวเอง


ถึงแม้ว่าคำพูดนั้นจะดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ ส่วนสีหน้าก็ยังดูดุเหมือนเดิม แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าคุณภูผาลดความอคติที่มีต่อผมไปจนเกือบหมดแล้ว เพราะงั้น...


“ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะทุกคน”


การเป็นแม่บ้านของผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!


_________________________________


“นี่คือห้องนอนของตะวันนะ อยู่ได้ใช่มั้ย เล็กไปรึเปล่า?” พฤกษ์เดินมาส่งผมยังห้องนอนที่อยู่ชั้นล่างของบ้าน ส่วนทุกคนจะอยู่ชั้นสองและมีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเอง


               “ไม่เล็กเลยพฤกษ์ นี่มันกว้างจะตาย แทบจะเท่าห้องที่อพาร์ทเม้นท์เก่าของเราเลยด้วยซ้ำ เราชอบมากเลย” ห้องนี้มีโต๊ะ ตู้ เตียง แล้วก็เครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นครบครัน เรียกได้ว่าดีกว่าห้องที่ผมเคยเช่าอยู่ไม่รู้กี่เท่า ถึงแม้ว่าจะไม่มีห้องน้ำในตัว แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะห้องน้ำก็อยู่ข้างๆ ห้องผมนี่แหละ


               “ดีแล้วที่ตะวันชอบ ถ้างั้นคืนนี้ก็พักผ่อนซะนะ พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์เพราะงั้นไม่ต้องตื่นเช้ามากก็ได้ วันนี้ตะวันก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วด้วย” พฤกษ์วางมือลงบนศีรษะของผมแล้วส่งยิ้มออกมาบางๆ รอยยิ้มนั้นทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาเลย


               “ขอบคุณนะพฤกษ์ ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องเลย” ผมยิ้มกว้างจนตาหยี เพราะรู้สึกขอบคุณพฤกษ์จากใจจริงที่ชวนผมมาอยู่ที่นี่


               “ตะวัน...” พฤกษ์เรียกชื่อผมอย่างแผ่วเบา พร้อมกับจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผมเพื่อที่จะสื่ออะไรบางอย่าง แต่ผมไม่เข้าใจเลยได้แต่จ้องกลับไปด้วยความงุนงง พฤกษ์เลยเลื่อนฝ่ามือลงมาประคองที่ข้างแก้มของผม แล้วก้มหน้าลงมาช้าๆ แต่พอเห็นว่าผมยังคงทำตาแป๋วเหมือนเดิม พฤกษ์ก็ถอนหายใจออกมาแล้วเงยหน้ากลับขึ้นไปด้านบน


               “ฝันดีนะตะวัน เราไม่กวนละ” พฤกษ์พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องทันที ส่วนผมก็งงไปเลยน่ะสิกับการกระทำของพฤกษ์ แต่ก็พยายามคิดว่าพฤกษ์อาจจะง่วงนอนเลยมึนๆ ผมจึงไม่สนใจอะไรต่อ


               ผมจัดการเก็บเสื้อผ้าและข้าวของให้เข้าที่อย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดตัว อุปกรณ์อาบน้ำ และชุดสำหรับใส่นอนเข้าไปในห้องน้ำ


                ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานมากนักก็เดินออกมา แต่พอเข้าห้องไปเท่านั้นแหละผมก็ต้องชะงักเพราะเห็นน้องวากำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงของผม แถมยังเปิดแอร์ในห้องซะเย็นฉ่ำ ทั้งๆ ที่ผมตั้งใจว่าจะเปิดพัดลมนอนเพราะกลัวเปลืองไฟ


               “อ้าว น้องวามาทำอะไรที่นี่งั้นหรอ?”


               “ผมว่าจะมาขอนอนด้วยคนน่ะครับ พี่ตะวันคงไม่ว่าอะไรหรอกเนอะ” น้องวาวางโทรศัพท์ลงแล้วยิ้มให้ผมอย่างน่ารัก


               “พี่ไม่ว่าหรอก ยินดีเลยล่ะ” ผมยิ้มตอบน้องวา จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดตัวไปตาก ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่แล้วก็ใส่ลงในตะกร้า


               “น้องวาจะทำอะไรรึเปล่า พี่ว่าจะปิดไฟนอนแล้ว”


               “ไม่ครับ พี่ตะวันปิดไฟได้เลย” พอได้ยินแบบนี้ผมก็ปิดไฟแล้วเดินขึ้นไปนอนบนเตียงข้างน้องวา เตียงในห้องนี้มีขนาดกว้าง 5 ฟุต เพราะงั้นผมกับน้องวาเลยสามารถนอนด้วยกันได้อย่างสบาย โดยไม่รู้สึกว่าเบียดแต่อย่างใด


               “ราตรีสวัสดิ์นะน้องวา”


               “ราตรีสวัสดิ์เหมือนกันครับพี่ตะวัน”


               หลังจากที่ผมกับน้องวาพูดจบห้องนี้ก็เริ่มเข้าสู่ความเงียบ ผมเป็นคนนอนง่ายอยู่แล้ว เพราะงั้นเพียงไม่กี่นาทีก็เคลิ้มจนแทบจะหลับ แต่น้องวาท่าทางจะเป็นคนนอนยากถ้าผิดที่ เพราะได้พลิกไปพลิกมาเปลี่ยนท่าอยู่หลายรอบ


               “นอนไม่หลับหรอน้องวา?”


               “เอ่อ...ครับ คือผมเป็นคนติดหมอนข้าง พอไม่มีกอดผมเลยนอนไม่ค่อยหลับอะครับ”


               “อ้อ แล้วทีนี้จะทำไงดีล่ะ ที่ห้องนี้ก็ไม่มีหมอนข้างซะด้วย หรือว่าจะให้พี่ขึ้นไปเอาที่ห้องให้มั้ย?”


               “ไม่ต้องหรอกครับพี่ตะวัน ผมเกรงใจ”


               “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ก็พี่เป็นแม่บ้านของบ้านนี้นี่นา ถ้าน้องวามีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” ตอนแรกผมก็คิดว่าน้องวาจะให้ผมขึ้นไปเอาหมอนข้างที่ห้องให้ แต่สิ่งที่น้องวาพูดกลับเป็น...


               “ถ้างั้นผมขอกอดพี่ตะวันแทนหมอนข้างได้มั้ยครับ?”


               “หา!” ผมอุทานด้วยความตกใจ แต่พอได้ยินน้องวาทำเสียงเศร้าๆ แล้วพูดเบาๆ ออกมาว่า ‘ไม่ได้จริงๆ ด้วยสินะ’ ผมก็ใจอ่อนยวบลงทันที


               “ทำไมจะไม่ได้ล่ะน้องวา เมื่อกี้พี่แค่ตกใจเฉยๆ” เท่านั้นแหละเสียงของน้องวาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นสดใสเหมือนเดิม


               “ถ้างั้นผมก็กอดพี่ตะวันได้เลยใช่มั้ยครับ!”


               “เอ่อ...ได้สิ มาเลยน้องวา” ผมกางแขนออก น้องวาเลยรีบขยับเข้ามากอดผมโดยซุกหน้าลงที่แผ่นอก


               ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นนอนกอดเป็นครั้งแรกทำให้ผมใจเต้นขึ้นมานิดนึง แถมยังรู้สึกแปลกๆ เวลาที่น้องวาขยับใบหน้า วงแขน และฝ่ามือไปมา ซึ่งอาจเป็นเพราะกำลังจัดท่าทางให้นอนได้อย่างสบายก็ได้ล่ะมั้ง


               ผมพยายามไม่คิดอะไรแล้วอยู่นิ่งๆ เพื่อจะได้นอนหลับอย่างที่ตั้งใจ แต่น้องวาก็ยังไม่ยอมหยุดขยับสักที แถมยังมีแนวโน้มจะขยับมากกว่าเดิมจนผมชักรู้สึกอึดอัด ซึ่งขณะนั้นเองก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นเพื่อช่วยเหลือผมจากสถานการณ์ตรงนี้


               ก๊อก ก๊อก ก๊อก


               เสียงเคาะประตูห้องผมดังขึ้น ถึงจะไม่รู้ว่าใครแต่ผมก็รีบลุกพรวดขึ้นจากที่นอนไปเปิดประตูทันที เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะดีกว่านอนอยู่บนเตียงกับน้องวา


               แต่แล้ว...


              ผมก็คิดผิดถนัด! เพราะเมื่อเปิดมาเจอเพลิงก็ถูกดันเข้ามาในห้อง ก่อนที่เพลิงจะปิดประตูแล้วดันผมติดกำแพง แถมยังใช้มือทั้งสองข้างปิดกั้นทางหนีของผมเอาไว้อีกต่างหาก


               “จะ...จะทำอะไรน่ะเพลิง!” ผมถามอย่างตะกุกตะกักด้วยความกลัวและตกใจ


               “แล้วนายคิดว่าเรากำลังจะทำอะไรล่ะ?” เพลิงก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ผม แล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ที่พวงแก้มไปมา ถึงแม้ว่าห้องนี้มันจะมืดเพราะไม่ได้เปิดไฟ แต่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้เพลิงต้องกำลังทำหน้าเจ้าเล่ห์อยู่แน่ๆ


               แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร จู่ๆ ไฟในห้องก็สว่างวาบขึ้นมา ตามด้วยเสียงของน้องวาที่ดังขึ้นอยู่ใกล้ๆ พลางเบ้ปากใส่เพลิง


               “ถามจริงเถอะครับ นี่พี่เพลิงมองไม่เห็นผมเลยงั้นหรอ?”


               “เฮ้ย! นี่แกก็อยู่ที่นี่ด้วยหรอวา!” ท่าทางแบบนี้ก็ชัดเจนเลยล่ะว่าเพลิงต้องมองไม่เห็นน้องวาชัวร์ ผมเลยถือโอกาสที่เพลิงกำลังตกใจ เบี่ยงตัวหลบออกมาแล้วไปยืนที่ด้านหลังของน้องวา


               “พี่เพลิงนี่น้า มาช้าไม่พอยังตาถั่วด้วยอีกต่างหาก” น้องวาส่ายหน้าไปมาพลางทำหน้าสงสาร...ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องเป็นสมเพชมากกว่า


               “หนอย...ไอ้น้องคนนี้ ปากดีแบบนี้มันน่าจับมัดแล้วตีก้นซะให้เข็ด!”


               “ผมคงจะอยู่เฉยๆ รอให้พี่เพลิงมาจับตัวได้หรอก! แบร่!” น้องวาแลบลิ้นใส่แล้ววิ่งหนี เพลิงที่เห็นอย่างนั้นเลยชี้หน้าแล้ววิ่งไล่ตามทันที แต่วิ่งไล่จับในห้องนอนแบบนี้พื้นที่มันก็มีแค่นิดเดียวล่ะนะ


               ผมมองสองพี่น้องวิ่งไล่จับและตะโกนใส่กันด้วยความเอ็นดู แต่ดูท่าผมจะคิดแบบนั้นคนเดียว เพราะเพียงไม่กี่นาทีต่อมาก็มีเสียงเคาะประตูห้องของผมดังขึ้น ซึ่งพอเปิดออกมาก็พบกับคุณธารที่กำลังขมวดคิ้วทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่


               “เสียงอะไรน่ะตะวัน มันดังขึ้นไปถึงห้องของฉันที่อยู่ด้านบนเลย” ท่าทางห้องของคุณธารคงจะอยู่ด้านบนห้องของผมล่ะมั้ง


               “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่ว่าตอนนี้น้องวากับเพลิงกำลัง...” ผมพูดแค่นี้ก็ชี้นิ้วให้คุณธารมองดูด้วยตัวเอง พอเห็นแล้วคุณธารก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความระอา


               “เฮ้ออออ ไอ้พวกเด็กไม่รู้จักโต เดี๋ยวฉันจัดการเองตะวัน” พูดจบคุณธารก็เดินเข้าไปในห้องของผม ผมจึงปิดประตูเพื่อกันไม่ให้เสียงหลุดรอดออกไป แล้วยืนดูสามพี่น้องคุยกันอยู่ห่างๆ


               “พอได้แล้วทั้งสองคน ไม่อย่างนั้นพี่จะหักค่าขนมเหลือแค่ครึ่งเดียวนะ” เท่านั้นแหละน้องวากับเพลิงก็หยุดชะงักพร้อมกัน จากนั้นก็นั่งลงที่ปลายเตียงอย่างสงบเสงี่ยม


               “แล้วนี่เข้ามาทำอะไรที่ห้องของตะวัน ดึกแล้วนะทำไมไม่รู้จักหลับจักนอน”


               “คือ...ผม...เอ่อ...ผมกลัวพี่ตะวันเหงาเลยอาสามานอนเป็นเพื่อนครับพี่ธาร” ประโยคนี้น้องวาเป็นคนพูด แน่นอนว่าคุณธารต้องไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากซักไซ้เลยหันหน้าไปทางเพลิงเพื่อเร่งเอาคำตอบ


               “แล้วเราล่ะว่าไง?”


               “ผมหิวเลยมาบอกให้ตะวันไปทำกับข้าวให้กินน่ะ”


               “หรอ? แล้วอยากกินอะไรบอกตะวันไปรึยัง?”


               “ก็ยัง แบบว่า...ไอ้วามันมากวนประสาทผมก่อนน่ะพี่ธาร” พอได้ยินเพลิงพูดแบบนี้น้องวาก็รีบขัดขึ้นทันทีเลยว่า...


               “แต่นั่นก็เพราะพี่เพลิงกำลังจะลวนลามพี่ตะวันนั่นแหละ!”


               “เฮอะ! แกเองก็คงไม่ต่างกันหรอก ไม่อย่างนั้นจะทำทีอาสามานอนเป็นเพื่อนตะวันทำไม”


               “ผมอาสาเพราะความบริสุทธิ์ใจหรอก!”


               “เชื่อก็โง่แล้วเฟ้ย!”


               “โอ๊ย! พอสักทีทั้งสองคน! ถ้าไม่เลิกเถียงกันพี่จะตัดค่าขนมจริงๆ แล้วนะ!” แล้วหลังจากนั้นคุณธารก็เทศน์น้องวากับเพลิงซะยกใหญ่ ส่วนผมก็ได้แต่ฟังเงียบๆ เพราะไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของพี่น้องครอบครัว ซึ่งขณะที่ผมกำลังเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำนั่นเอง เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง


               ก๊อก ก๊อก ก๊อก


               “หืม...ใครมาอีกเนี่ย?” นี่เป็นเสียงของคุณธารไม่ใช่เสียงของผม แต่ว่าผมก็กำลังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน ทำไมคืนนี้ประตูห้องผมถึงได้มีเสียงเคาะไม่หยุดหย่อนเลยนะ

 
               “ครับ! มาแล้วครับ!” ผมพูดขึ้นแล้วรีบเดินไปที่ประตู ซึ่งพอเปิดออกมาก็พบว่าเป็นพฤกษ์ที่บอกฝันดีกับผมไปแล้ว


               “เอ่อ...มีอะไรรึเปล่าพฤกษ์?” ผมเดาไม่ออกเลยว่าพฤกษ์จะมาเคาะห้องของผมทำไม จะมาขอนอนด้วยอย่างน้องวา หรืออ้างว่าหิวข้าวอย่างเพลิงก็คงไม่น่าใช่


               “คือเราจะมาถามตะวันน่ะว่า ที่ห้องนี้มีอะไรขาดเหลือ...อ้าว! พี่ธาร เพลิง วา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กันได้ล่ะ!” พฤกษ์ที่กำลังพูดอยู่ดีๆ พอเห็นทั้ง 3 คนอยู่ในห้องกับผมก็เบิกตากว้างแล้วอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ


               “เรื่องมันยาวน่ะ เอาเป็นว่าถ้าอยากฟังก็เข้ามา” คุณธารพูดขึ้น พฤกษ์เลยหันมามองหน้าผม ผมจึงยิ้มแล้วก็พยักหน้าให้พฤกษ์เข้าไปข้างใน


               หลังจากนั้นคุณธารก็เล่าที่มาที่ไปของแต่ละคนที่เข้ามาในห้องนี้ให้พฤกษ์ฟัง ตามด้วยการคุยเล่นต่างๆ นานา ซึ่งก็เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลของแต่ละคนให้ผมรับรู้ อย่างเช่นนิสัย งานอดิเรก อาหารที่ชอบ โดยที่ผมได้จดใส่สมุดเล็กๆ เอาไว้ เพราะจะได้ทำหน้าที่ของแม่บ้านให้สมบูรณ์มากขึ้น


               “ฮ้าวววววว” เมื่อเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงน้องวาก็อ้าปากหาวขึ้นมา แต่ละคนเลยตัดสินใจว่าจะแยกย้ายกันกลับห้อง เพราะว่านี่เป็นเวลา 5 ทุ่มเกือบจะเที่ยงคืนซึ่งมันก็ดึกมากแล้ว


               “ราตรีสวัสดิ์นะทุกคน” ผมเดินออกมาส่งทุกคนที่หน้าห้องแล้วโบกมือให้ ทุกคนจึงโบกมือกลับก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดแล้วแยกย้ายเข้าไปในห้องของตัวเอง ส่วนผมก็ปิดประตูแล้วเดินขึ้นไปนอนบนเตียง ในที่สุดก็จะได้นอนสักทีสินะ...


               แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น เพียงไม่กี่นาทีต่อมาในระหว่างที่ผมกำลังจะเคลิ้มหลับไปอีกรอบ ก็มีเสียงเคาะประตูห้องผมดังขึ้น


               หืม...ใครอีกเนี่ย?


               ผมคิดในใจก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอนตรงไปยังประตู พลางคิดว่าบางทีคุณธาร พฤกษ์ เพลิง หรือว่าน้องวาอาจจะมีใครลืมของเอาไว้ในห้องของผมก็ได้


               แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น...


              พอผมเปิดประตูออกไปกลับพบว่า…คนที่มาเคาะประตูกลับเป็นคนที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายอย่างคุณภูผาซะงั้น!


              คุณภูผามีธุระอะไรกับผมล่ะเนี่ย!


               2BC
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 20:07:29 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
พ่อบ้านคนใหม่ จะฝ่าด่านไปได้มั้ยเนี่ยย

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
 :m25:มาติดตามโปรเจคซีรีย์ค่ะ ชอบแนวแบบนี้ เอาใจตัวตะวัน พ่อบ้านมือใหม่นะคะ

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
ยอมได้ซักทีนะพี่ภู

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
พี่ภูคิดอะไรกับตะวันอะป่าว

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
อยากให้ตะวันคู่กับพี่ภู

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Part 3# Tawan ผู้ชายอบอุ่น?


   “นอนรึยัง?” คุณภูผาถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบเฉย แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกกลัวจนมือไม้เกิดสั่นขึ้นมา แถมยังตอบคำถามแบบตะกุกตะกักไปอีกต่างหาก


   “เอ่อ...กำลังจะนอนครับ คุณภูผามีธุระอะไรกับผมรึเปล่า?”


   “พรุ่งนี้ฉันจะพานายออกไปข้างนอก”


   “หา!” ข้างนอกที่ว่า คงไม่ได้หมายถึงจะไล่ผมออกจากบ้านนี้หรอกนะ!


   “ตกใจอะไรนักหนา คิดว่าฉันจะไล่นายออกจากบ้านรึไง” คุณภูผาพูดขึ้นด้วยท่าทีรำคาญราวกับว่าอ่านใจผมได้ แถมพอผมก้มหน้าหลบสายตาไม่ตอบอะไร คุณภูผาก็ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที


   “พรุ่งนี้ฉันจะพานายออกไปซื้อของเข้าบ้าน โดยเฉพาะของกินนายก็เห็นแล้วนี่ว่าในตู้เย็นมันแทบไม่มีอะไรเหลือเลย”


   “อ๋อ ครับ” เฮ้ออออ โล่งอกไปที นึกว่าผมจะโดนคุณภูผาไล่ออกจากบ้านซะแล้ว


   “พรุ่งนี้เจอกัน 6 โมงตรง ทำอะไรเสร็จก็เข้าไปเรียกฉันในห้องทำงานด้วยแล้วกัน” ห้องทำงานของคุณภูผาก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล แต่อยู่ตรงข้ามห้องนอนของผมนี่เอง


   “ได้ครับ ว่าแต่คุณภูผาไม่ขึ้นไปนอนบนห้องล่ะครับ”


   “มีงานด่วนเข้ามา ฉันเลยต้องทำจนถึงเช้า”


   “ถ้างั้นคุณภูผาจะเอากาแฟมั้ยครับ เดี๋ยวผมไปชงมาให้” พูดจบผมก็ว่าจะเดินไปที่ห้องครัว แต่ก็ถูกคุณภูผากางแขนข้างหนึ่งกั้นเอาไว้ก่อน


   “ไม่ต้อง เรื่องแค่นี้ฉันทำเองได้ นี่มันก็ดึกมากแล้วนายรีบไปนอนซะ ถ้าพรุ่งนี้ตื่นสายฉันไล่นายออกจากบ้านจริงๆ แน่” คุณภูผาใช้น้ำเสียงและสายตาดุๆ มองมาที่ผม ก่อนจะหันหลังแล้วกลับเข้าไปในห้องทำงานโดยไม่สนใจผมอีกเลย


   คนอะไรดุชะมัด เมื่อกี้ผมทำตัวลีบจนแทบจะติดกำแพงอยู่แล้วนะ


        ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณภูผามีความคิดจะไล่ผมออกจากบ้านจริงๆ รึเปล่า ผมรู้แต่ว่าถ้าพรุ่งนี้ผมตื่นสายคุณภูผาต้องใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการไล่ผมออกไปแน่ๆ เพราะงั้นผมเลยรีบกลับเข้าไปในห้องแล้วตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 5 ถึงแม้ว่าผมจะอาบน้ำทำอะไรไม่นาน แต่ตื่นมาก่อนเวลามันก็อุ่นใจกว่าตื่นอย่างกระชั้นชิดมากกว่าล่ะนะ


......................................................
....................................
..................


   กรี๊งงงงงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงงงง


   เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นทำให้ผมรู้สึกตัวตื่น จึงได้รีบลุกขึ้นจากที่นอนไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวรวมกันประมาณ 20 นาที พอมีเวลาเหลือเลยไปทำความสะอาดตู้เย็นและจัดห้องครัวรอ


จนกระทั่งใกล้ถึงเวลานัดผมถึงได้วางมือจากงานที่ทำอยู่ แล้วเดินไปยังห้องทำงานของคุณภูผาพลางเคาะประตูเรียก


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“คุณภูผาครับ ผมตะวันเองนะครับ” ผมรออยู่สักพักแต่ก็เงียบไร้เสียงตอบรับ ดังนั้นผมเลยลองจับลูกบิดประตูแล้วหมุนดู ซึ่งก็ปรากฏว่าประตูเปิดได้เพราะไม่ได้ล็อกเอาไว้ ผมเลยถือวิสาสะเดินเข้าไปข้างใน หวังว่าคุณภูผาคงจะไม่ว่าอะไรผมหรอกนะ


ห้องนี้เป็นห้องที่มี 2 ห้องเชื่อมต่อกัน โดยเจาะผนังตรงกลางให้โค้งเป็นช่องว่างเพื่อที่จะสามารถเดินไปยังอีกห้องหนึ่งได้ ห้องที่ผมยืนอยู่ตรงนี้มีแต่ชั้นหนังสือและโมเดลบ้านเยอะแยะมากมาย เพราะงั้นคุณภูผาก็น่าจะอยู่ห้องข้างๆ ถึงว่าล่ะเลยไม่ได้ยินเสียงเรียกและเคาะประตูจากผม


ผมเดินไปยังช่องว่างแล้วชะโงกมองไปยังห้องข้างๆ จึงเห็นว่าคุณภูผาที่นั่งหันหลังอยู่กำลังออกแบบบ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่แล้วสักพักคุณภูผาก็หาวออกมาด้วยความง่วง ดูท่าคงจะอดนอนมานานหลายชั่วโมงแล้วสินะ เผลอๆ อาจจะเป็นวันเลยก็ได้


ไปชงกาแฟให้คุณภูผาสักแก้วดีกว่า


เมื่อคิดได้แบบนั้นผมก็เดินกลับออกไปจากห้อง แล้วตรงไปยังครัวเพื่อชงกาแฟให้คุณภูผาทันที ผมไม่รู้ว่าปกติคุณภูผาดื่มสูตรไหน แต่ถ้าให้เดาก็คงไม่น่าชอบหวานล่ะมั้ง เพราะงั้นผมจึงได้ใส่น้ำตาลเพียงแค่ช้อนเดียวเท่านั้น จากนั้นจึงได้เอาไปให้คุณภูผาที่ห้องทำงาน


“กาแฟครับคุณภูผา” ผมพูดขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้ๆ คุณภูผาจึงรีบลุกขึ้นแล้วหันขวับมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยความหัวเสียใส่ผม


“ใครใช้ให้นายเข้ามาในนี้ แล้วฉันสั่งให้นายไปชงกาแฟตั้งแต่เมื่อไหร่”


นั่นไง กะแล้วเชียวว่าต้องถูกดุแน่ๆ ถึงผมจะเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วที่ทำลงไปโดยพละการ แต่ว่าผมก็อดที่จะก้มหน้าลงและรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อยไม่ได้


“ผมเคาะประตูกับส่งเสียงเรียกแล้วนะครับ แต่คุณภูผาไม่ได้ยิน ส่วนกาแฟผมชงมาให้เองเพราะคิดว่าคุณภูผาอาจจะง่วง แต่ถ้าผมทำให้คุณภูผาโกรธผมก็ต้องขอโทษ...”


“พอๆๆ ไม่ต้องสาธยายด้วยใบหน้าแบบนั้นได้แล้วฉันรำคาญ” คุณภูผาพูดจบก็ยื่นมือมาหยิบแก้วกาแฟจากมือของผมไปดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นก็วาง (กระแทก) ลงบนจานรองที่อยู่ในมือของผม


“คราวหน้าไม่ต้องใส่น้ำตาลมานะ ฉันดื่มแต่กาแฟดำ”


“ครับ ผมจะจำเอาไว้” คิดอยู่แล้วว่าคุณภูผาไม่น่าจะชอบหวาน แต่ก็ไม่คิดว่าจะชอบขมๆ เข้มๆ ขนาดนี้


“นายออกไปรอข้างนอกซะ เดี๋ยวฉันเก็บของเสร็จแล้วจะเดินตามออกไป” คุณภูผาพูดจบก็หันหลังจะเดินไปเก็บของ แต่ก็ต้องชะงักซะก่อนเพราะถูกผมเรียกเอาไว้


“เดี๋ยวก่อนครับ เอ่อ...คือ...ผมว่า...คุณภูผาไปงีบสักหน่อยน่าจะดีกว่านะครับ” พอได้ยินแบบนี้คุณภูผาก็รีบหันหน้ากลับมาทันที


“หา? งีบเนี่ยนะ? พูดบ้าอะไรของนาย”


“ผมไม่ได้บ้านะครับ แต่ว่าคุณภูผาดูง่วงแล้วก็ล้ามากเลย ถ้าขับรถออกไปข้างนอกตอนนี้ผมกลัวว่าจะไม่ไหวเอาน่ะครับ”


“ไหวไม่ไหวฉันรู้ตัวดีนายไม่ต้องมายุ่ง หน้าที่ของแม่บ้านอย่างนายคือทำตามคำสั่งของฉันก็พอเข้าใจมั้ย!”


“ก็เข้าใจอยู่หรอกครับ แต่เรื่องนี้ผมไม่ยุ่งไม่ได้จริงๆ ผมคิดว่าหน้าที่แม่บ้านนอกจากทำงานภายในบ้านแล้ว ก็ต้องดูแลทุกคนที่อยู่ในบ้านด้วยนะครับ”


“นายนี่มันดื้อกว่าที่ฉันคิดอีกนะ!”


“ครับ ผมยอมรับว่าดื้อก็ได้ แต่คุณภูผาก็ต้องยอมไปงีบสักหน่อยตามที่ผมบอกนะครับ เชื่อผมสิว่าหลังจากดื่มกาแฟแล้วได้งีบสัก 15 นาที ตื่นขึ้นมาคุณภูผาจะรู้สึกสดชื่นแน่นอน เพราะคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะออกฤทธิ์พอดีเลยครับ”


ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่องที่ผมพูดนั้นมันจริงมั้ย แต่เท่าที่ผมสังเกตดู ถ้าผมดื่มกาแฟแล้วนอนงีบสัก 15 นาทีก่อนออกไปทำงานกะดึกหรือออกไปเรียนตอนเช้า ผมจะรู้สึกสดชื่นแล้วก็ไม่รู้สึกง่วงเลย


“แล้วถ้าฉันไม่รู้สึกสดชื่นแต่ยิ่งง่วงมากกว่าเดิมล่ะ?” ผมรู้สึกไปเองรึเปล่านะว่าสีหน้าของคุณภูผาเปลี่ยนไป จากกำลังหัวเสียกลายเป็นเจ้าเล่ห์ซะงั้น


“เอ่อ...ระ...เรื่องนั้น...”


“ถ้าฉันรู้สึกง่วงมากกว่าเดิม นายต้องรับผิดชอบโดยการเก็บข้าวของแล้วออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ” นั่นไง! ผมกะแล้วเชียวว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆ แน่นอน


“ตะ...แต่ว่าคุณภูผา...อ๊ะ!” แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไป ผมก็ถูกคุณภูผาคว้าที่ข้อมือแล้วลากให้เดินตามไปซะก่อน


“คุณภูผาจะพาผมไปไหนน่ะครับ!” ผมถามด้วยความตกใจ แต่จะขืนตัวเอาไว้ก็ไม่ได้เพราะแรงคุณภูผานั้นเยอะกว่าผม


“ฉันก็จะไปนอนตามที่นายบอกน่ะสิ แล้วจานกับแก้วก็วางเอาไว้ที่โต๊ะซะ ถือเอาไว้อย่างนั้นเดี๋ยวก็เมื่อยตายกันพอดี”


“คะ...ครับ แต่ว่า...คุณภูผาจะไปนอนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ” ผมวางจานรองกับแก้วกาแฟเอาไว้บนโต๊ะตามที่คุณภูผาบอก ก่อนจะถูกคุณภูผาลากไปยังโซฟาตัวยาวที่อยู่ติดกับกำแพงภายในห้อง


“ทำไมจะไม่เกี่ยว ห้องนี้ไม่มีหมอน เพราะงั้นนายก็ต้องเป็นหมอนให้ฉัน”


“หา?” ผมงงกับสิ่งที่คุณภูผาพูด ก่อนที่จะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเมื่อคุณภูผาดันผมให้ลงไปนั่งที่โซฟา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงมาเหยียดขาหนุนนอนที่ตักของผม!


“อีก 15 นาทีปลุกฉันด้วยล่ะ” คุณภูผาพูดจบก็ปิดเปลือกตาลง ส่วนผมก็ได้แต่นั่งตัวเกร็งและแข็งทื่อไม่กล้าเคลื่อนไหว เพราะกำลังอึ้งและทำตัวไม่ถูกที่มีคนมานอนหนุนตักเป็นครั้งแรกแบบนี้


ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณภูผาอาจจะพูดเล่นไม่ได้กะนอนจริงจัง แต่พอผ่านไปสักพักลมหายใจของคุณภูผาก็สม่ำเสมอ ซึ่งนั่นก็แปลว่าคุณภูผาได้หลับไปจริงๆ เล่นหลับเร็วขนาดนี้แสดงว่าต้องอดนอนมานานมากเลยสินะ


ถ้างั้น...ผมจะยอมเป็นหมอนให้คุณภูผาสัก 15 นาทีก็ได้


ในระหว่างที่รอผมก็ฆ่าเวลาโดยการมองสำรวจห้องนี้ จนกระทั่งไม่มีอะไรที่จะมองแล้วจึงได้เบนสายตาลงมายังเจ้าของห้องที่กำลังนอนหลับหนุนตักของผมอยู่


ถ้าเป็นปกติผมคงกลัวจนไม่กล้ามองหน้าของคุณภูผานานขนาดนี้ แต่ตอนนี้คุณภูผากำลังหลับอยู่ เพราะงั้นผมก็จะมองจนกว่าจะพอใจเลยล่ะนะ
จะว่าไปพอได้มองใกล้ๆ ผมก็รู้สึกว่าคุณภูผานั้นดูหล่อดีแล้วก็หน้าเด็กกว่าที่คิด ปกติเห็นชอบทำแต่หน้าโหดๆ ตาดุๆ แต่พออยู่นิ่งๆ แบบนี้ ผมกลับรู้สึกว่าคุณภูผานั้นดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่นแล้วก็ใจดียังไงไม่รู้


ถ้าตื่นมาแล้วเลิกตีหน้ายักษ์ใส่ผมก็ดีสินะ แต่ว่ามันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณภูผาเกลียดผมอย่างกับอะไรดี


ผมมองพิจารณาใบหน้าของคุณภูผาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งครบ 15 นาที ก่อนที่ผมจะทำใจอยู่หลาย 10 วินาทีจึงจะกล้าส่งเสียงเรียกคุณภูผาออกไป


“ตื่นได้แล้วครับคุณภูผา ครบ 15 นาทีแล้วนะครับ”


หลังจากที่ผมพูดจบเปลือกตาของคุณภูผาก็ขยับเคลื่อนไหว ก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมสบตากับคุณภูผาเข้าอย่างจัง


ก็ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่สามารถเบนสายตาออกไปจากคุณภูผาได้เลย หรือบางทีผมอาจจะกลัวคนคนนี้มากก็ได้ เพราะทันทีที่ตื่นมาใบหน้าที่ผมเคยมองว่าอบอุ่นและใจดี ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นดุราวกับยักษ์ไปซะแล้ว


เราสองคนต่างจ้องเข้าไปในดวงตาของกันและกันอยู่นาน คุณภูผาจึงได้พูดทำลายความเงียบขึ้นมาว่า...


“นายน่ะชอบใช้สายตาไร้เดียงสายั่วคนอื่นเขาไปทั่วเลยรึไง”


“เอ๊ะ?” ผมไม่เข้าใจความหมายของเรื่องที่คุณภูผาพูด เลยได้แต่ขมวดคิ้วทำหน้างุนงง ไม่ได้ตอบปฏิเสธออกไปแต่อย่างใด


“เถียงไม่ได้เพราะฉันพูดแทงใจดำสินะ” คุณภูผาเหยียดยิ้มออกมาที่มุมปาก ก่อนที่จะลุกขึ้นจากตักของผมไปหยิบกุญแจรถกับกระเป๋าตังที่วางเอาไว้บนโต๊ะ แล้วจึงหันมองมาทางผมที่ยังคงนั่งเอ๋ออยู่ตรงโซฟาที่เดิม


“ถึงนายจะใช้สายตานั้นยั่วคนทั้งบ้านได้ แต่สำหรับฉันจำเอาไว้ว่ามันไม่มีทางได้ผลแน่นอน” พูดจบคุณภูผาก็เดินออกจากห้องไปเลย ส่วนผมก็ได้แต่นั่งอย่างงุนงงอยู่นานสองนาน พลางคิดในใจว่า ผมได้ไปใช้สายตายั่วคุณภูผากับทุกคนในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่?


แต่บางทีคุณภูผาอาจจะกำลังมึนเพราะพึ่งตื่นก็ได้ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่พูดอะไรแปลกๆ แบบนั้นออกมาหรอก...คงจะเป็นเพราะนอนไม่พอจริงๆ นั่นแหละ


หลังจากที่สรุปได้แล้ว ผมก็รีบลุกขึ้นแล้วตามคุณภูผาออกไปจากห้อง ซึ่งตอนนี้กำลังเดินตรงไปทางประตูหน้าบ้าน ก่อนที่จะไปยังโรงจอดรถที่มีรถจอดเรียงอยู่ 4 คัน แต่ละคันนั้นมีคนละสีและเป็นคนละยี่ห้อ


ถ้าให้เดาทุกคนในบ้านยกเว้นน้องวาน่าจะมีรถส่วนตัวใช้กันหมด ส่วนใครจะเป็นเจ้าของรถคันไหนก็เดาได้ไม่ยาก เพราะรถของพฤกษ์ที่ผมนั่งมาเมื่อวานเป็นสีน้ำเงินเข้ม สีแดงก็น่าจะเป็นของเพลิง สีขาวก็น่าจะเป็นของคุณธาร ส่วนสีดำก็น่าจะต้องเป็นของคุณภูผาอย่างไม่ต้องสงสัย


แล้วความคิดของผมก็ถูกต้องจริงๆ เมื่อคุณภูผาเปิดประตูรถคันสีดำแล้วเข้าไปนั่งข้างใน พอเห็นแบบนี้ผมก็ว่าจะตามเข้าไปอยู่หรอก แต่มันก็ติดอยู่ที่ผมไม่รู้จะเข้าไปนั่งตรงไหนระหว่างเบาะหน้ากับเบาะหลัง


หากผมเลือกเบาะหน้าคุณภูผาอาจคิดว่าผมทำตัวตีเสมอเจ้านาย แต่ถ้าผมเลือกเบาะหลังคุณภูผาก็จะกลายเป็นคนขับรถของผมไปน่ะสิ


โธ่เอ๊ย ทำไมเรื่องแค่นี้มันถึงได้ตัดสินใจลำบากนักนะ ถ้าเป็นคนอื่นผมคงไม่ต้องคิดมากถึงขนาดนี้ แต่นี่เป็นคุณภูผาที่ดูท่าจะไม่ชอบผมเอามากๆ ถ้าหากผมทำอะไรไม่ถูกใจคงจะหาเรื่องต่อว่าไม่ก็ตีหน้ายักษ์ใส่ผมแน่นอน


ซึ่งขณะที่กำลังคิดไม่ตกอยู่นั่นเอง คุณภูผาก็เลื่อนกระจกรถลง จากนั้นก็ใช้สายตาดุๆ มองมาทางผมอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก


“นี่! จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย! รีบขึ้นมาสักที!” ไม่พูดเปล่าคุณภูผายังเอื้อมมือมาเปิดประตูเบาะหน้าให้ผมอีกต่างหาก ถึงแม้ว่าคุณภูผาจะกำลังทำหน้าอารมณ์เสีย แต่ผมกลับยิ้มออกมาด้วยท่าทางดีใจและโล่งใจ เพราะในที่สุดผมก็ไม่ต้องเครียดแล้วว่าจะเลือกนั่งตรงไหนระหว่างเบาะหน้ากับเบาะหลัง


“โดนด่าแล้วยิ้มเนี่ยนะ? นายเป็นบ้ารึไง” ผมไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงแค่ส่งยิ้มไปให้เท่านั้น คุณภูผาเลยทำหน้างง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรก่อนจะหันหน้ามองตรงแล้วเริ่มต้นขับรถออกไปจากตัวบ้าน


ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณภูผาจะพาผมไปตลาดเช้า แต่เปล่าเลยเพราะคุณภูผากลับพาผมเข้าแม็กซ์แวลูที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง


ผมเคยมาซื้อของสดที่แม็กซ์แวลูอยู่เหมือนกัน ถึงจะไม่ใช่สาขานี้แต่ว่าของก็มีคุณภาพดีใช้ได้ ส่วนราคานี่ไม่ต้องพูดถึงเพราะแพงกว่าห้างสรรพสินค้าทั่วไปอย่างบิ๊กซีหรือว่าโลตัสพอดู ยกเว้นก็แต่วันพุธหรือว่าช่วงดึกๆ ที่จะมีของลดราคาให้ซื้อเพียบ


“คุณภูผาจะซื้ออะไรเข้าบ้านบ้างหรอครับ?” ผมถามขึ้นหลังจากที่เราสองคนเข้าไปข้างใน ก่อนที่คุณภูผาจะไปเอารถเข็นออกมา


“หลักๆ เลยก็คือของไว้ทำอาหารสำหรับ 1 อาทิตย์ กับของใช้ทั่วไปภายในบ้าน แล้วถ้านายอยากได้อะไรเพิ่มเติม ไม่ว่าของส่วนตัวหรือส่วนรวมก็หยิบได้เลยเดี๋ยวฉันจ่ายให้เอง”


“อุ้ย ถ้าเป็นของของผมไม่ต้องหรอกครับ ผมเกรงใจ” ผมรีบปฏิเสธ เพราะแค่ให้งานทำและที่อยู่อาศัยมันก็มากเกินพอแล้ว


“จะมาเกรงใจทำไมกับเรื่องแค่นี้” คุณภูผาพูดอย่างไม่ใส่ใจแล้วเข็นรถเข็นเดินหนี


“เดี๋ยวสิครับคุณภูผา” ผมวิ่งตามไป แต่คุณภูผาก็พูดตัดบทและเปลี่ยนไปเรื่องอื่นซะก่อน


“ถ้าจะมาพูดเรื่องที่ฉันตัดสินใจแล้วก็ไม่ต้อง หน้าที่ของนายตอนนี้คือหยิบของเข้ารถเข็นอย่างเดียวเข้าใจมั้ย”


“ขะ...เข้าใจก็ได้ครับ” ความจริงผมก็อยากตอบไปว่าไม่เข้าใจอยู่หรอก แต่เดี๋ยวผมจะถูกคุณภูผาทำตาดุใส่มากกว่านี้ ถ้าทำตัวดีๆ คุณภูผาอาจจะลดความไม่ชอบผมลงกว่านี้ก็ได้ล่ะมั้ง


“ถ้างั้นก็ดี แล้วนี่นายจะซื้ออะไรเข้าบ้านบ้าง”


“เอ่อ...แป๊บนึงนะครับ” ผมพูดจบก็หยิบสมุดโน้ตเล็กๆ ออกจากกระเป๋ากางเกงมาเปิดดู คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยถามพลางขมวดคิ้วทำหน้างุนงง


“นั่นอะไรน่ะ?”


“สมุดโน้ตน่ะครับ ผมจดเอาไว้เมื่อคืนว่าใครในบ้านชอบหรือไม่ชอบทานอะไรบ้าง”


“หืม? งั้นไหนลองไล่มาให้ฉันฟังซิ” คุณภูผาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ผมเลยหน้ามุ่ยเล็กน้อย ก่อนจะอ่านสิ่งที่จดไว้ให้คุณภูผาฟัง


“คุณธารชอบทานผักและผลไม้ อาหารเช้าและเย็นกำหนดว่าให้เป็นสลัดทุกวัน แต่ตอนเช้าให้ใส่ทูน่าหรือว่าแซลมอนลงไปด้วย ส่วนเพลิงทานอะไรก็ได้แต่เน้นเนื้อเป็นหลัก อาหารเย็นถ้าเป็นสเต็กจะดีมาก ส่วนพฤกษ์กับน้องวาบอกว่าทานอะไรก็ได้ แต่น้องวาจะไม่ทานเผ็ดและไม่ชอบทานผักทุกชนิดครับ”


ผมอ่านจบก็เลื่อนสมุดโน้ตลงแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองคุณภูผา ตอนแรกผมก็ว่าจะยืดอกนิดหน่อยเพราะผมจดมาจริงๆ ไม่ได้โม้อย่างที่คุณภูผาคิด แต่ผมก็ต้องชะงักไปซะก่อนเพราะเห็นว่าตอนนี้คุณภูผากำลังส่งยิ้มมาให้ผม


กะ...โกหกใช่มั้ยเนี่ย หวังว่าผมคงไม่ได้ตาฝาดไปหรอกนะ ถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นมันจะแค่บางๆ แต่ว่านั่นมันก็เป็นรอยยิ้มครั้งแรกเลยที่คุณภูผาส่งมาให้


“นายนี่เป็นคนละเอียดใช้ได้เลยนะ” ยิ้มให้ไม่พอคุณภูผายังชมผมอีกต่างหาก ตอนนี้ผมดีใจมากจนตัวแทบจะลอยทะลุเพดานอยู่แล้ว


“ขะ...ขอบคุณครับ” ผมอมยิ้มน้อยๆ รู้สึกทำตัวไม่ถูกยังไงไม่รู้ที่จู่ๆ คุณภูผาก็ชมผมแบบนี้


“แล้วข้อมูลเกี่ยวกับฉันนายไม่ได้จดเอาไว้บ้างหรอ?”


“เอ่อ...คือเมื่อคืนแต่ละคนบอกข้อมูลของตัวเองอย่างเดียว ไม่มีใครบอกเรื่องของคุณภูผาเลยน่ะครับ” ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยเพราะกลัวว่าคุณภูผาจะไม่พอใจ แต่ผมก็คิดมากไปเพราะคุณภูผาไม่ได้ชักสีหน้าใส่ผมอย่างที่คิด


“ถ้าไม่มีใครบอกงั้นฉันบอกเองก็ได้ นายเอาปากกามารึเปล่า?”


“เอามาครับ” ผมพูดจบก็หยิบปากกาออกมาจากกระเป๋ากางเกง


“ดี ถ้างั้นก็เริ่มจากกาแฟ...”


“กาแฟดำไม่ได้ใส่น้ำตาล เรื่องนี้ผมจำได้ครับ” ผมรีบพูดขัดขึ้นก่อนที่คุณภูผาจะได้พูดอะไร เพราะผมไม่อยากให้คุณภูผารู้สึกว่าผมลำเอียงหรือแบ่งแยกคุณภูผาออกจากคนอื่นๆ ในบ้าน ถึงแม้คุณภูผาจะทำเหมือนไม่ชอบผม แต่ว่าผมก็จะปฏิบัติต่อคุณภูผาเหมือนกับที่ปฏิบัติกับคนอื่นๆ เช่นกัน


“ดีมาก แล้วก็จดลงไปด้วยล่ะว่าตอนเช้าฉันดื่มแต่กาแฟดำ”


“ครับ” ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่าน้ำเสียงของคุณภูผาดูอ่อนโยนขึ้น ขอให้ผมไม่ได้คิดไปเองด้วยเถอะเพี้ยง


“แล้วตอนเที่ยงกับตอนเย็นล่ะครับคุณภูผา?”


“อะไรก็ได้ ฉันกินได้ทุกอย่าง แต่ว่าตอนเย็นอย่าเป็นของทอดก็พอ กินของมันๆ แล้วฉันปวดหัวคิดงานไม่ค่อยออกน่ะ”


“โอเคครับ” ผมจดทุกคำพูดของคุณภูผาลงในสมุดอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อจดเสร็จแล้วผมจึงได้เงยหน้าขึ้นมา...


“อ๊ะ!” แต่ว่าผมก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าคุณภูผาจะก้มหน้าลงมาจนอยู่ใกล้ผมเพียงไม่กี่เซนติเมตร!


“โทษที ฉันแค่อยากรู้ว่านายจดตามที่ฉันบอกถูกต้องรึเปล่า” คุณภูผายืดตัวขึ้นแล้วถอยห่างออกไปก้าวหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“อ๋อ ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่คุณภูผาจะชวนผมไปซื้อของเข้าบ้านทั้งของกินและของใช้ ปริมาณทั้งอาทิตย์สำหรับ 6 คนรวมผมด้วย ทำให้ข้าวของมีเยอะแยะมากมายจนเกือบเต็มรถเข็นเลยล่ะ


ขากลับบรรยากาศของการนั่งอยู่ด้วยกันกับคุณภูผาภายในรถไม่ได้อึดอัดเหมือนอย่างขามา ถึงแม้ว่าเราสองคนจะไม่ได้พูดคุยกันสักเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่ได้นั่งตัวเกร็ง ส่วนคุณภูผาก็ไม่ได้นั่งตีหน้ายักษ์ใส่เหมือนกัน


จนกระทั่งถึงบ้าน ผมกับคุณภูผาก็ช่วยกันหอบถุงพลาสติกเต็มสองไม้สองมือลงมาจากรถ สีหน้าตอนนี้ของคุณภูผาถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยิ้มแต่ก็ไม่ได้บูดบึ้งแต่อย่างใด แต่พอเปิดประตูเข้าไปในบ้านเท่านั้นแหละ สีหน้าของคุณภูผากลับกลายเป็นไม่สบอารมณ์ขึ้นมาซะงั้น


“ทุกคนครับ! พี่ภูกับพี่ตะวันกลับมาแล้ว!” เสียงใสๆ ของน้องวาตะโกนขึ้นที่หน้าประตู คุณธาร พฤกษ์ และเพลิงจึงได้รีบตามมาสมทบ ก่อนที่พฤกษ์และเพลิงจะรีบอาสาช่วยถือถุงพลาสติกจากมือของผมไปคนละข้าง


“ขอบใจนะทั้งสองคน” ผมยิ้มให้กับความมีน้ำใจของพฤกษ์และเพลิง


“ไม่เป็นไร เราจะให้ตะวันถือของหนักๆ ได้ยังไงกันล่ะ” พฤกษ์ตอบ แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร คุณภูผาก็ชิงพูดขัดขึ้นอย่างหัวเสียซะก่อน
“แล้วพี่ที่เป็นพี่ชายของพวกแกล่ะ นี่ไม่คิดจะมาช่วยกันถือเลยรึไง”


“ไม่ล่ะ ก็พี่ภูตัวใหญ่ไม่เหมือนตะวันที่ตัวเล็กนี่นา” ประโยคกวนๆ แบบนี้แน่นอนว่าเพลิงต้องเป็นคนพูด


“ไอ้น้องทรพี” คุณภูผาถลึงตาใส่ แต่เพลิงก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแถมยังทำลอยหน้าลอยตาใส่อีกต่างหาก คุณภูผาที่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเลยเปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปทางน้องวาแทน


“แล้วนี่ทำไมถึงได้มารวมกันอยู่ที่นี่ ปกติเวลานี้ยังไม่ตื่นกันเลยไม่ใช่รึไง”


“ผมตื่นเต้นน่ะสิครับเลยนอนไม่ค่อยหลับ พอถึงเวลาที่คิดว่าพี่ตะวันจะตื่นแล้วเลยลงมาหา แต่พอไม่เห็นอยู่ในห้องนอนหรือในบ้าน แถมพี่ภูยังไม่อยู่ด้วยอีกต่างหาก ผมก็ไปปลุกทุกคนเพราะนึกว่าพี่ภูจะไล่พี่ตะวันออกแล้วพาไปส่งที่ไหนน่ะสิ” เอาจริงๆ มันก็ไม่แปลกหรอกที่น้องวาจะคิดแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้ผมก็คิดแบบเดียวกันกับน้องวาเหมือนกัน


“ไร้สาระ ถ้าพี่จะไล่ตะวันออกแล้วพี่จะเสียเวลาไปส่งทำไม”


“ไม่รู้แหละ ก็ผมโทรหาเท่าไหร่พี่ภูก็ไม่รับสายนี่นา แถมเบอร์มือถือของพี่ตะวันก็ไม่มีใครรู้อีกต่างหาก ว่าแล้วก็บอกเบอร์พวกผมมาเดี๋ยวนี้เลยครับพี่ตะวัน” ประโยคหลังน้องวาหันมาพูดกับผม ผมเลยบอกเบอร์มือถือของตัวเองไป ซึ่งคนที่เม็มเอาไว้ก็ไม่ได้มีเพียงน้องวาคนเดียว เพราะคุณธาร พฤกษ์ และเพลิงก็เม็มเอาไว้เช่นกัน


“ก็พี่ลืมเอาโทรศัพท์ไปจะกดรับสายได้ยังไงล่ะวา”


“ไม่ต้องมาอ้างเลยครับ พี่ภูอยากเดทกับพี่ตะวันสองต่อสองไม่อยากให้พวกผมไปเป็นก้างขวางคอล่ะสิ ฮึ่ย...ตอนแรกผมก็อุตส่าห์ตัดพี่ภูออกจากรายชื่อคู่แข่งไปแล้ว แต่นี่ผมต้องใส่ชื่อพี่ภูลงไปใหม่งั้นหรอเนี่ย เซ็งจริงๆ” น้องวาทำแก้มป่องแล้วกอดอกอย่างขัดใจ ส่วนคุณภูผาก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์หนักขึ้นยิ่งกว่าเดิม


“พี่ว่าแกเข้าใจพี่ผิดไปใหญ่แล้วนะวา พี่แค่พาตะวันไปซื้อของเข้าบ้าน ไม่ได้ไปเดทหรือว่าคิดจะเป็นคู่แข่งของพวกแกเลยสักนิด เพราะงั้น...แกลบชื่อของพี่ออกไปจากคู่แข่งของพวกแกแบบถาวรได้เลย” คุณภูผาพูดจบก็ตีหน้ายักษ์แล้วทำตาดุใส่ผมยิ่งกว่าครั้งไหนๆ จากนั้นก็วางถุงข้าวของที่ซื้อมาลงพื้น แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานโดยไม่สนใจอะไรอีกเลย


นี่มันอะไรกันเนี่ย ผมก็นึกว่าคุณภูผาจะเลิกอคติและญาติดีกับผมแล้ว แต่ไหงตอนนี้กลับยิ่งดูหนักข้อมากขึ้นไปอีกได้ล่ะ


เฮ้อออออออออออ


2BC


สวัสดีค่ะทุกคน H.Hanger หัวใจชิงรักตอนที่ 3 ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า ตอนนี้แทบจะเป็นตอนของตะวันและภูผาล้วนๆเลย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าพออ่านจบแล้วความนิยมของพี่แกจะเพิ่มมากขึ้นมั้ย (แต่มีแววจะลดลงนะเนี่ย อิอิ  :o11:) ไหนใครเชียร์ภูผาให้เป็นพระเอกขอเสียงหน่อยค่า > <  :katai2-1:
ส่วนทีมอื่นอย่างพฤกษ์ เพลิง ธาร วา ก็อย่าพึ่งถอดใจไปน้า บางทีตอนหน้าอาจจะมีโมเมนท์กับตะวันก็ได้ใครจะไปรู้ ยังไงก็มาลุ้นกันต่อไปและส่งใจเชียร์ทีมตัวเองด้วยน้า  :give2:
แล้วเจอกันตอนหน้าในอีก 2-3 วันนะคะ ขอขอบคุณทุกคนมากๆเลยค่ะที่เข้ามาอ่านและเม้นให้นิยายเรื่องนี้  :pig4: ทุกคนคือกำลังใจของเค้าจริงๆ รักทุกคนม้ากกกกมาก จุ๊บบบบบบ  :จุ๊บๆ:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2017 23:13:13 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 :hao7: อยากอ่านต่อมากมาย
ถึงขนาดนี้ก้ชัดเจนแล้วหละว่าภูผาเป็นพระเอก o13

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
น่าสนุก ปักไว้ก่อนนะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
คุณภูผา มาเนียนกว่าน้องๆคนอื่นเลยสินะ 555

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
พี่ภูผาปากไม่ตรงกับใจเลย แต่นี่หละพระเอก

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
  :fcuk: อยากตบปากคุณภูผา แข็งไปไหน

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
อู๊ววววผ้าหลุด  :pighaun:

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
คาใจเรื่องวาโย แต่เอาเรื่องตะวันผ้าหยุดก่อนครับ เรื่องใครคือพระเอกด้วย ขอให้เป็นภูผาอย่างที่คิด

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Part 4# Tawan ไร้เดียงสาหรือมารยากันแน่?


   หลังจากนั้นคุณภูผาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็นถึงออกมาทานข้าวกับทุกคนด้วยหน้าตาบอกบุญไม่รับ เสร็จแล้วก็ขึ้นห้องไปนอนแบบยาวๆ โดยกำชับว่าจะนอนถึงเช้าห้ามใครไปรบกวนเด็ดขาด


   ส่วนผม หลังจากที่ทุกคนทานข้าวกันหมดแล้วก็ทำความสะอาดโต๊ะอาหาร ตามด้วยการเอาจานชามไปล้างโดยมีพฤกษ์อาสามาช่วย ตอนแรกผมก็ยืนยันจะทำคนเดียวเพราะมันเป็นหน้าที่ของผม แต่พฤกษ์ก็ไม่ยอมยังดึงดันจะช่วยเหมือนเดิม ผมเลยต้องเลยตามเลยเพราะเถียงใครไม่ค่อยเป็นซะด้วย


   “พรุ่งนี้ตะวันมีเรียนเช้ากับบ่ายเหมือนเรารึเปล่า?” พฤกษ์ถามในระหว่างที่กำลังช่วยผมล้างจาน โดยผมเป็นคนล้างน้ำยา ส่วนพฤกษ์เป็นคนล้างน้ำสะอาด


   ถึงแม้เราสองคนจะเรียนเอกเดียวกันแต่ก็ไม่ได้ลงเรียนเหมือนกันซะทีเดียว เพราะว่าผมต้องปรับตารางเรียนให้เป็นคนละเวลากับการทำงานพิเศษ ส่วนพฤกษ์ที่เรียนอย่างเดียวจึงลงเรียนตามตารางที่มหา’ลัยกำหนดมาให้ไม่ได้ปรับเปลี่ยนเหมือนผม


   “ใช่ ทำไมหรอพฤกษ์?”


   “ก็ถ้าเรียนเหมือนกันตะวันจะได้นั่งรถไปพร้อมเราเลยไง จะได้ไม่เสียค่ารถแล้วก็สะดวกดีด้วย”


   “อ๋อ ถ้างั้นเราก็ขอรบกวนด้วยนะ”


   “รบกวนอะไรกันเล่า เรื่องแค่นี้เอง งั้นเดี๋ยวพอล้างจานเสร็จเราขอดูตารางเรียนของตะวันหน่อยนะว่ามีวันไหนตรงกับเราบ้าง”


   “โอเค”


แล้วหลังจากที่ล้างจานเสร็จ พฤกษ์ก็ตามผมเข้าไปในห้องเพื่อดูตารางเรียนที่ผมพับใส่กระเป๋าตังเอาไว้ ซึ่งก็มีวันที่ตรงกันอยู่ 2 วันนั่นก็คือจันทร์และพฤหัส ส่วนวันอังคารและพุธตอนเช้าพฤกษ์ไม่มีเรียนเหมือนผม ในขณะที่วันศุกร์พฤกษ์มีเรียนทั้งวันแต่ผมไม่มี


   “เราเห็นมีตารางที่ด้านหลังด้วย มันคือตารางทำงานพิเศษหรอตะวัน”


   “อืม เราทำงานพิเศษ 2 ที่น่ะ แถมวันศุกร์ก็ต้องทำทั้งคู่เราเลยจดไว้เพราะกลัวสับสน”


   “หา! เยอะขนาดนี้ทำไหวหรอตะวัน?” สีหน้าของพฤกษ์ดูตกใจและเป็นห่วงผมมาก ถึงแม้แต่ละวันผมจะรู้สึกเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่ผมก็ต้องโกหกออกไปเพราะไม่อยากให้พฤกษ์เป็นกังวล


   “ไหวสิ พอขึ้นปี 4 วิชาเรียนก็เหลือนิดเดียว ไม่ได้เรียนหนักเหมือนปีก่อนๆ นี่นา”


   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ว่าทำงานแบบไม่มีวันพักแบบนี้มันไม่หนักเกินไปหรอตะวัน แถมตอนนี้ตะวันยังรับงานเป็นแม่บ้านของที่นี่ ที่ต้องดูแลคนในบ้าน 5 คนทุกวันอีกต่างหาก เราว่าตะวันลาออกจากงานพิเศษหรือไม่ก็ลดลงเหลือแค่งานเดียวจะดีกว่ามั้ย”


   เรื่องที่พฤกษ์พูดมาผมก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ที่ผมต้องทำงาน 2 ที่ก็เพราะต้องแบกค่าใช้จ่ายทั้งค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเทอม แล้วก็ค่าใช้จ่ายจิปาถะต่างๆ แต่ในเมื่อตอนนี้ค่าใช้จ่ายของผมไม่ได้มีเท่าเมื่อก่อน แถมยังต้องมีเวลาทำงานบ้านด้วยอีก บางทีผมอาจจะต้องลาออกจากงานพิเศษจริงๆ นั่นแหละมั้ง


   งานพิเศษที่ผมทำอยู่มี 2 ที่คือร้านอาหารและร้านกาแฟ โดยร้านอาหารผมจะทำทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่ 5 โมงเย็น – 5 ทุ่ม ส่วนร้านกาแฟผมจะทำทุกวันศุกร์ – อาทิตย์ ตั้งแต่ 9 โมงเช้า – 4 โมงเย็น ซึ่งวันนี้จริงๆ ผมต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟ แต่ว่าผมขอลาหยุดโดยให้เหตุผลว่าย้ายที่อยู่เลยไม่สะดวกไปทำงาน


   “ไว้เดี๋ยวเราจะไปคุยกับเจ้าของร้านแล้วกันนะว่ายังไง ถ้าออกกะทันหันแบบนี้จะมีคนมาทำแทนรึเปล่า” เจ้าของร้านทั้ง 2 ที่ก็ใจดีและช่วยเหลือผมเอาไว้เยอะเหมือนกัน ผมไม่ใช่คนที่จะถีบหัวส่งเจ้าของร้านเมื่อได้งานที่ดีกว่าหรอกนะ


   หลังจากที่คุยกับพฤกษ์เสร็จแล้ว ผมก็กลับเข้าครัวอีกครั้งเพื่อทำแกงกะหรี่สำหรับเย็นวันพรุ่งนี้ เพราะกว่าที่ผมจะกลับถึงบ้านก็คงสักเที่ยงคืนเพราะต้องทำงานพิเศษ ถ้าหากให้ทุกคนต้องมารอผม หรือว่าซื้อกับข้าวมาทานเองมันก็ไม่ใช่ เพราะในส่วนนี้มันคือหน้าที่ของผมที่ต้องรับผิดชอบ


   วันต่อมาผมจึงตื่นตอน 6 โมงครึ่งเพื่อทำอาหารเช้าให้ทุกคนทาน ซึ่งก็เป็นอาหารที่ทำง่ายๆ อย่างข้าวผัด ไข่ดาว ไส้กรอก และเบคอน ยกเว้นคุณธารที่เป็นสลัดแซลมอน ส่วนคุณภูผาก็เป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล


   “อาหารถูกปากกันมั้ยครับ?” ผมถามทุกคนที่ลงมาทานอาหารเช้าพร้อมกันตอน 7 โมงตรง หลังจากที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว


   “สลัดอร่อยมาก” คุณธารเอ่ยชม ส่วนคนอื่นๆ ก็ตอบว่าอร่อยเหมือนคุณธารเช่นกัน ผมจึงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่ทำอาหารได้ถูกปากทุกคน


   “ถ้างั้นผมขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเรียนก่อนนะครับ” ผมพูดจบก็ว่าจะถอดผ้ากันเปื้อนที่ใส่อยู่ออกไป แต่คุณภูผาก็พูดขัดขึ้นมาซะก่อน


   “เดี๋ยว นายยังไปไหนไม่ได้” คุณภูผาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ แถมยังใช้สายตาดุๆ ตวัดมองมาทางผมอีกต่างหาก


“ทะ...ทำไมหรอครับคุณภูผา” ผมถามอย่างตะกุกตะกัก พลางคิดในใจว่าได้ไปทำอะไรให้คุณภูผาไม่พอใจอีกรึเปล่า ถ้าจะเป็นเรื่องกาแฟ ผมก็มั่นใจว่าชงกาแฟดำเพียวๆ ไม่ใส่น้ำตาลตามที่คุณภูผาบอกมาแล้วนะ


“นายกินข้าวแล้วรึยัง” คำถามนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายไปไกลมาก จนผมถึงกับยืนอึ้งไปไม่เป็นเลยทีเดียว


“ว่ายังไง ที่ฉันถามไม่ได้ยินหรอ”


“เอ่อ...ได้ยินครับ”


“ถ้าได้ยินก็ตอบมาสิ มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม” ก็ผมไม่คิดว่าคุณภูผาจะถามอะไรแบบนี้น่ะสิถึงได้ยืนอึ้งเพราะว่าไม่ชิน ปกติก็เห็นชอบหาเรื่องติ ด่า แล้วก็ต่อว่าผมอย่างเดียวแท้ๆ


   “ขอโทษครับ ส่วนเรื่องข้าวผมยังไม่ได้กินครับ”


   “ถ้างั้นก็ไปทำส่วนของตัวเองแล้วมากินซะ เสร็จแล้วค่อยไปอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน”


   “เอ่อ...แต่ถ้าทำแบบนั้นผมกลัวพฤกษ์จะสาย...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบประโยค พฤกษ์ก็ชิงพูดขัดขึ้นมาซะก่อน


   “ไม่สายหรอก มหา’ลัยมันไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ตะวันไปทำกับข้าวมากินเถอะ มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดเลยนะ”


   “เอ่อ...ก็ถ้าพฤกษ์บอกว่าไม่สาย งั้นเดี๋ยวเราไปทำมากินก็ได้” พอได้ยินแบบนี้พฤกษ์ก็ส่งยิ้มอันอบอุ่นมาให้ผมทันที ผิดกับคุณภูผาที่ทำหน้ารำคาญ แถมยังพูดเบาๆ ในขณะที่ผมกำลังเดินเข้าครัวด้วยว่า...


   “ถ้าจะสายก็เป็นเพราะนายมัวแต่พิรี้พิไรอยู่นั่นแหละ”


   หลังจากนั้นผมก็ไปทอดไข่เจียวมากิน เพราะมันทำง่ายกินง่ายจะได้ประหยัดเวลา เสร็จแล้วก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกมาจากห้องโดยใช้เวลาเพียงแค่สิบกว่านาที


   “อ้าว ทุกคนล่ะพฤกษ์” ผมถามเพราะตอนนี้ในบ้านเหลือเพียงแค่ผมกับพฤกษ์เพียงแค่ 2 คน


   “ไอ้เพลิงไปเรียน พี่ธารไปทำงาน ส่วนพี่ภูไปส่งวาที่โรงเรียน”


   “อ่อ น้องวานี่ม.6 แล้วสินะ ปีหน้าจะเข้ามหา’ลัยที่ไหนได้มาปรึกษาพฤกษ์บ้างรึเปล่า” ผมคิดว่าคนเก่งๆ อย่างพฤกษ์น่าจะเป็นที่ปรึกษาไม่ก็เป็นติวเตอร์ให้น้องวาได้อย่างดีเลยล่ะ


   แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น พฤกษ์กลับตอบผมมาว่า...


   “ตอนนี้วาเรียนอยู่ม.5 ยังไม่ขึ้นม.6 เลย”


   “เอ๊ะ? แต่ว่าน้องวาอายุ 18 ปีแล้วไม่ใช่หรอ หรือว่าน้องวาจะเข้าเรียนช้า”


“เปล่าหรอก วาก็เรียนตามเกณฑ์นั่นแหละ แต่ตอนม.4 มีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย เลยต้องลาออกแล้วก็ดรอปเรียนเอาไว้ พอปีถัดไปค่อยเข้าโรงเรียนที่ใหม่น่ะตะวัน”


“หา! ลาออกแล้วก็ดรอปเรียน! มันเรื่องร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอพฤกษ์?” ผมไม่คิดว่าเด็กที่ร่าเริงสดใสอย่างน้องวาจะเกเรจนต้องลาออกแล้วก็ดรอปเรียนหรอกนะ จริงอยู่ว่าน้องวาอาจจะมีมุมเจ้าเล่ห์นิดๆ แต่ผมก็มั่นใจว่าน้องวาไม่ได้เลวร้ายหรือว่าร้ายกาจขนาดนั้นแน่ๆ


“จะว่ายังไงดีล่ะ หลังจากเกิดเรื่องวาก็เอาแต่เก็บตัวเงียบไม่ยอมไปไหน ขนาดกว่าจะออกจากห้องได้ก็ต้องกล่อมแล้วกล่อมอีกตั้งหลายวัน แต่ถึงจะออกมาแล้ววาก็ยืนกรานจะไม่ไปเรียนเด็ดขาด พี่ภูเลยต้องไปทำเรื่องลาออกให้วาพักรักษาจิตใจน่ะ”


“เอ่อ...เราถามได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องวา?” หวังว่าพฤกษ์คงจะไม่คิดว่าผมไม่มีมารยาท หรือว่าเป็นคนสอดรู้สอดเห็นหรอกนะ เพราะพอได้ฟังเรื่องราวมาถึงขนาดนี้ มันก็เป็นธรรมดาที่อยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมด


 “เราก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดทั้งหมดหรอก ไว้โอกาสเหมาะๆ ตะวันค่อยไปถามวาเองดีกว่าว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ส่วนตอนนี้เรารีบไปเรียนกันดีกว่า ออกช้ากว่านี้มีหวังเข้าเรียนสายแน่ๆ” พฤกษ์พูดจบก็จูงมือผมออกจากบ้านไปขึ้นรถ โดยที่ผมก็พยายามเดาสาเหตุเรื่องที่น้องวาต้องลาออกแล้วดรอปเรียนเอาไว้ไปตลอดทาง แต่ไม่ว่ายังไงผมก็เดาสาเหตุไม่ออก เพราะงั้นก็คงต้องรอโอกาสเหมาะๆ แล้วค่อยถามน้องวาอย่างที่พฤกษ์ว่านั่นแหละนะ


 ซึ่งโอกาสเหมาะๆ ที่ว่า แน่นอนว่ามันก็ต้องไม่ใช่วันนี้ เพราะหลังจากที่ผมเรียนเสร็จในคาบบ่าย ผมก็ต้องไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารจนถึง 5 ทุ่ม กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเที่ยงคืนนิดๆ ที่ทุกคนนอนกันหมดแล้ว แถมผมยังต้องล้างจานและทำกับข้าวสำหรับเย็นวันพรุ่งนี้ ดังนั้นผมจึงไม่มีเวลาไปถามน้องวา เอาจริงๆ แค่เวลาจะนึกถึงเรื่องนี้ยังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ


หลังจากที่ทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ด้วยความรีบร้อนเลยทำให้ผมลืมเอาเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนข้างในเหมือนกับทุกที แต่ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะตี 2 แล้ว คงไม่มีใครมาใช้ห้องน้ำต่อหรือว่าเดินผ่านห้องน้ำไปมา เพราะงั้นถ้าหากผมจะนุ่งผ้าเช็ดตัวเดินออกไปก็คงไม่มีใครคิดว่าผมทำตัวไม่สุภาพหรอกมั้ง


แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น หลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จแล้วก็ว่าจะเปิดประตูออกไป แต่ประตูกลับถูกเปิดออกก่อนโดยใครคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่คิดว่าจะเป็น...


“คุณภูผา!”


“อ้าว ตะวัน”


“อ๊ะ! เหวออออออออออ” ด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าคุณภูผาจะเปิดประตูเข้ามาในเวลานี้ ผมเลยผงะจนเสียหลักเซไปทางด้านหลัง


“ตะวัน! ระวัง!” คุณภูผาอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ แล้วรีบขยับเข้ามาประคองแผ่นหลังของผมเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่ผมจะล้มลงไปที่พื้น


เฮ้อออออออ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่สินะ


พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ว่าจะกล่าวขอบคุณคุณภูผาที่อุตส่าห์ช่วยผมเอาไว้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ผ้าเช็ดตัวไม่รักดีมันก็ดันเลื่อนหลุดลงจากเอวลงไปที่พื้น ทั้งๆ ที่ผมขยับตัวเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง!


Phupha


“อ๊ะ! วะ...ว้ากกกกกกกกกกกก!” ตะวันร้องลั่นด้วยความตกใจ เมื่อผ้าเช็ดตัวที่พันเอาไว้รอบเอวเลื่อนหลุดลงไปที่พื้น ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมเห็นส่วนนั้นของตะวันอย่างชัดเจน แม้เจ้าตัวพยายามลดมือข้างหนึ่งลงไปปิดไว้ก็ตาม


   “กะอีแค่ผ้าเช็ดตัวหลุดนายจะแหกปากทำไม ทำเหนียมอายเป็นผู้หญิงไปได้” ผมพูดโดยที่ยังไม่ยอมปล่อยวงแขนที่กำลังประคองแผ่นหลังของตะวันออกไป แถมยังรัดให้แน่นขึ้นเมื่อตะวันออกแรงดิ้นอีกต่างหาก


   ชักอยากรู้แล้วสิว่า ปฏิกิริยาแบบนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ หรือตะวันแค่แกล้งทำกันแน่


    “ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่ผมก็อายเป็นนะครับคุณภูผา เพราะงั้นช่วยปล่อย...อ๊ะ!” แต่ยังไม่ทันจะได้พูดให้จบประโยค ตะวันก็ต้องสะดุ้งขึ้นมาซะก่อน เพราะว่าผมใช้นิ้วจากมือข้างหนึ่งจิ้มไปที่ยอดอกสีชมพูที่เด่นสะดุดตาอยู่ตรงหน้า


   “ถ้าไม่รู้มาก่อนว่านายเป็นผู้ชาย ฉันคงจะนึกว่านายเป็นผู้หญิงที่มีหน้าอกแบนไปแล้ว โดยเฉพาะน้ำเสียงของนายที่ร้องครางออกมา” ผมก้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูของตะวัน เท่านั้นแหละใบหน้าที่แดงอยู่แล้วก็ยิ่งแดงจัดมากขึ้น ส่วนร่างกายก็สั่นสะท้าน แถมเสียงพูดก็ยังกระเส่าและขาดห้วงอีกต่างหาก


   “อา...พะ...พอเถอะครับ...ปล่อยผมเถอะคุณภูผา...”


ให้ตายสิ เล่นพูดเสียงกระเส่าแบบนี้ใครมันจะเชื่อว่านายอยากให้ฉันปล่อยจริงๆ!


    “ฉันไม่ปล่อย ถ้าหากไม่ชอบจริงๆ นายก็ออกแรงดิ้นให้มันมากกว่านี้สิ” สีหน้า ท่าทาง แล้วก็มารยาแบบนี้ ไม่แปลกหรอกที่คนทั้งบ้านจะพากันหลงตะวันซะจนหัวปักหัวปำ แต่เสียใจด้วยนะ เพราะคนอย่างฉันไม่มีทางหลงนายเหมือนกับไอ้น้องพวกนั้นแน่นอน!


   “ผะ...ผมจะไปมีแรงได้ยังไง ในเมื่อคุณภูผา...อ๊ะ...อย่าครับ...อา...” ทำเป็นบอกว่าอย่า แต่พอผมงับที่ใบหูและบีบที่ยอดอกก็ครางเสียงหวานออกมาซะแล้ว


   “แน่ใจหรอว่านายไม่อยากให้ฉันทำต่อจริงๆ?”


   “นะ...แน่ใจสิครับ”


   “แต่ว่าตรงนั้นของนายมันแข็งขึ้นมาแล้วไม่ใช่หรอ?” ผมถามยิ้มๆ ถึงแม้ว่าตะวันจะพยายามใช้มือปิด แต่มันก็หลุดรอดสายตาของผมไปไม่ได้หรอก


   “นะ...นั่นมัน...ก็เพราะคุณภูผาทำแบบนั้น...” ตะวันหน้าร้อนฉ่าแล้วก้มหน้างุด


   หึ! ทำเป็นไร้เดียงสา แต่จริงๆ แล้วมันคือมารยาที่กำลังล่อลวงผมอยู่สินะ


   ก็ได้...ไหนๆ ก็ลงทุนทำถึงขนาดนี้ ถ้างั้นผมก็จะยอมเล่นตามเกมของตะวันให้ก็แล้วกัน


   “ถ้านายจะโทษว่าเป็นความผิดของฉัน งั้นเดี๋ยวฉันจะรับผิดชอบร่างกายของนายให้เอง” พูดจบผมก็ก้มหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากของตะวันทันที


   “อึ่ก!” ปฏิกิริยาของตะวันไม่เหมือนกับที่ผมคิด เพราะไม่ได้โวยวายทำเป็นผลักไส แต่กลับเบิกตากว้างแล้วตัวแข็งทื่อเป็นขอนไม้ แถมยังไม่ยอมหายใจอีกต่างหาก


   “นี่ กลั้นหายใจนานๆ เข้าเดี๋ยวก็ตายจริงๆ หรอก ทำเป็นตกใจอย่างกับไม่เคยจูบไปได้”


   “กะ...ก็ไม่เคยน่ะสิครับ!” คำตอบที่ได้ยินทำให้ผมอดที่จะต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจไม่ได้


   “หืม? ถ้างั้นฉันขอพิสูจน์หน่อยก็แล้วกัน” แล้วผมก็ก้มหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากของตะวันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคราวนี้ผมได้สอดลิ้นเข้าไปข้างในด้วย ไม่ใช่เพียงแค่ปากแตะปากอย่างคราวแรก


    “อื้อ! อื้อ! อื้ม!” ตะวันใช้มือดันที่แผ่นอกของผมแล้วพยายามหันหน้าหนี แต่พอผมใช้มือข้างหนึ่งลงไปกอบกุมส่วนนั้นของตะวันเอาไว้ จากแรงต่อต้านก็กลายเป็นสั่นสะท้านขึ้นมาทันที


   “อ๊ะ! อึ่ก...อื้อ...อื้ม...” ตะวันส่งเสียงครางในลำคอ สองมือกำเสื้อตรงไหล่ของผมเอาไว้แน่น ส่วนริมฝีปากและปลายลิ้นก็ตอบสนองรสจูบของผมอย่างไร้เดียงสา ในขณะที่ร่างกายก็ยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก


   บอกตามตรง ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่านี่ยังเป็นการแสดงของตะวันอยู่รึเปล่า


   “ยะ...อย่าครับ...คุณภูผา...มะ...ไม่เอา...อะ...อา...” ตะวันส่งเสียงห้ามเมื่อผมถอนจูบออกมา แล้วก้มหน้าลงไปซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่องแทน ความร้อนจากปลายลิ้นและริมฝีปากของผม ทำให้แรงต่อต้านของตะวันลดน้อยลงเรื่อยๆ แล้วยิ่งเมื่อผมใช้มือที่กอบกุมส่วนนั้นของตะวันอยู่รูดขึ้นลงไปพร้อมกันด้วยอีก เสียงครางหวิวที่ชวนให้ใจสั่นก็ดังระงมขึ้นมาอีกครั้ง


   “คะ...คุณภูผา...ยะ...อ๊ะ...อา...อืม...อา...” สีหน้าของตะวันตอนนี้นั้นเร้าอารมณ์สุดๆ เพราะแก้มขาวเนียนได้แดงซ่าน ดวงตาก็หรี่ปรือ ส่วนริมฝีปากที่บวมเจ่อนิดๆ ก็เป็นสีแดงสด เล่นเอาผมอดใจไม่ไหวจึงได้ก้มหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากของตะวันซ้ำแล้วซ้ำเล่า


   “อื้อ...อื้ม...อืม...” ในขณะที่กำลังจูบและตวัดลิ้นเกี่ยวพันกับลิ้นที่ไม่ประสีประสาของตะวันอยู่นั้น มือของผมก็ยังคงขยับส่วนนั้นของตะวันขึ้นลงเหมือนเดิม โดยที่เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก


   “อื้ม...อา...คะ...คุณภูผา...ผมจะ...ยืนไม่ไหว...ยะ...หยุดเถอะ...อา...ครับ...” ตะวันพูดแทบไม่เป็นภาษา ส่วนขาก็สั่นสะท้านจนแทบจะยืนไม่ไหวจริงๆ ถ้าผมไม่ได้ใช้วงแขนประคองเอาไว้ก็คงจะทรุดลงไปกองที่พื้นตั้งนานแล้ว


   ด้วยเหตุนี้ผมเลยขยับไปนั่งที่ขอบอ่างอาบน้ำ โดยให้ตะวันนั่งคร่อมที่ตัวของผมเอาไว้ ก่อนที่ผมจะโอบรอบเอวบางให้แน่นขึ้นเพื่อไม่ให้หนี แล้วจึงก้มหน้าลงไปครอบครองยอดอกสีหวาน ที่ช่างยั่วยวนจนผมอดใจไม่ไหวที่จะลองชิม


   “อ๊ะ...ยะ...อ๊า...” ตะวันหวีดร้องเสียงสูง แถมยังสะดุ้งเฮือกเมื่อผมออกแรงดูดยอดอกที่อยู่ในปาก ก่อนที่ผมจะใช้ลิ้นตวัดเลียขึ้นลง ทั้งยังดูดดุนแรงขึ้นจนแผ่นอกของตะวันถึงกับแอ่นโค้งงอด้วยความเสียวซ่าน


   “อ๊า...คุณภูผา...อ๊ะ...อ๊า...” ในขณะที่กำลังดูดเลียที่ยอดอกของตะวัน มือของผมก็ไม่ได้อยู่เฉยเพราะยังคงรูดรั้งส่วนนั้นของตะวันขึ้นลงเช่นเดิม แถมยังเอานิ้วหัวแม่มือไปหมุนวนตรงส่วนปลายเพื่อเพิ่มความเสียว จนตอนนี้ได้มีน้ำใสๆ ไหลซึมออกมาแล้ว


   “อ๊า...อ๊ะ...อ๊า...ไม่นะ...คุณภูผา...ยะ...อ๊า...” ตะวันหวีดร้องลั่นแทบไม่เป็นภาษา ส่วนร่างกายก็บิดเร่าไปมา เพราะถูกผมมอบความสุขสมจากทั้งยอดอกและส่วนนั้นพร้อมกัน เสียงครางที่ได้ยินนั้นทำเอาผมต้องเร่งจังหวะริมฝีปากและปลายลิ้น รวมทั้งข้อมือให้ขยับอย่างรวดเร็วมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ


   “ยะ...อ๊ะ...หยุดก่อนครับ! ผะ...ผมจะ...อ๊า...คุณภูผา...”


ตอนนี้ส่วนนั้นของตะวันที่อยู่ในกำมือของผมได้ขยายใหญ่ขึ้นไปอีก ผมจึงรู้ว่าในไม่ช้านี้ตะวันก็คงจะเสร็จแล้ว เพราะงั้นผมจึงได้เลื่อนฝ่ามือที่โอบเอวของตะวันมาบีบขยี้ยอดอกที่กำลังแข็งเป็นไต ส่วนยอดอกอีกข้างแน่นอนว่าผมก็ยังคงดูดเลียอย่างไม่หยุดยั้ง เช่นเดียวกับฝ่ามือที่กำลังรูดรั้งท่อนเนื้อสีอ่อนขึ้นลงด้วยความรวดเร็ว


   “อ๊ะ...ยะ...อ๊า...อ๊ะ...อ๊า...” การถูกปลุกเร้าจากทั้ง 3 ที่ทำให้ตะวันเสียวซี้ดจนหวีดร้องลั่น จากนั้นก็จิกทึ้งที่แผ่นหลังของผมพร้อมกับบิดกายเร่าด้วยความเสียวซ่าน


   “อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า...คุณภูผา! ผมจะ...อ๊ะ...ทนไม่ไหวแล้ว!...ยะ...อ๊ะ...อ๊าาาาาาาา!” ตะวันกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็แอ่นอกขึ้นจนโค้งงอ ก่อนที่จะปลดปล่อยความสุขสมทั้งหมดออกมา จนเลอะเต็มฝ่ามือรวมทั้งเสื้อที่ผมสวมอยู่บางส่วนอีกด้วย


   “อา...” หลังจากเสร็จแล้วตะวันก็อ่อนแรงทรุดลงซบที่ไหล่ของผม แต่ยังไม่ทันไรตะวันก็ดีดตัวขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้นแล้ววิ่งไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่กองอยู่บนพื้น


   “คุณภูผาใจร้ายที่สุด! ผมรู้ว่าคุณเกลียดผม แต่ก็ไม่เห็นต้องทำเรื่องโหดร้ายขนาดนี้เลย!” ตะวันพูดตัดพ้ออย่างน้ำตาคลอ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วออกตัววิ่ง แต่ก็ต้องทรุดลงซะก่อนเพราะขาอ่อนเปลี้ยไม่มีเรี่ยวแรง


“ตะวัน!” ผมพูดขึ้นด้วยความตกใจแล้วจะพุ่งเข้าไปช่วย แต่ก็ถูกใบหน้าหวานๆ หันมาทำตาเขียวปั๊ดใส่ จนผมไม่กล้าขยับตัวไปไหนเลยได้แต่นั่งอยู่ที่เดิม


   “คุณภูผาไม่ต้องมายุ่งกับผมเลย!” พูดจบตะวันก็รวบรวมแรงที่มีทั้งหมดชันตัวลุกขึ้น จากนั้นก็ตรงดิ่งออกจากห้องน้ำเข้าไปในห้องนอน แถมยังมีการปิดประตูดังปั้งอย่างแรงใส่ผมอีกต่างหาก


   ก็ถ้าตะวันเข้าไปในห้องได้แล้วคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะนะ เพราะงั้น...ก็เหลือแต่ตัวผมเองนี่แหละที่น่าเป็นห่วงมากกว่า 


   ทำไมน่ะหรอ?


   ก็เพราะตอนนี้ท่อนล่างของผมมันกำลังแข็งสุดๆ เพราะมีอารมณ์ ทั้งที่คิดว่าตั้งใจจะแกล้งตะวันเท่านั้นน่ะสิ!


   “บ้าเอ๊ย!”


   2BC


ฮัลโหลววววสวัสดีค่าาาาา  :mew1: ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เฉลยพระเอกของเรื่องแล้วนะคะ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “ภูผา” พี่ใหญ่สายซึนนั่นเอง อิอิ  :mc4: พระเอกคนนี้มาพร้อมกับ NC ครั้งแรกของเรื่องซะด้วย ก็ไม่ได้พลิกโผจากที่เชียร์กันนะคะ (ก็นะ เดาง้ายง่าย อิอิ)
ว่าแต่...อ่านจบแล้วชอบหรือฟินกันมั้ยเอ่ย?  :z1: NC เบาๆแบบนี้คงไม่ถึงกับเสียเลือดจนตายเนอะ เชื่อว่าสายหื่นทั้งหลายน่าจะมีภูมิคุ้มกันจากเรื่องก่อนๆของเค้ากันแล้ว ส่วน NC เต็มๆจะมาตอนไหนนั้น...รอให้พี่ภูผาแกปากตรงกับใจเลิกซึนก่อนดีกว่าค่ะ ทำเป็นบอกว่าอยากจะแกล้งตะวัน แต่แหม มีอารมณ์เต็มเลยนะนั่น หึหึ  o3 ส่วนหลังจากนั้นพี่แกจะทำยังไง จะปล่อยค้างหรือว่ารีดพิษออกก็ต้องจิ้นต่อแล้วล่ะจ้า  :impress2:
สำหรับทีมพฤกษ์ที่ต้องกินแห้วก็ไม่ต้องเสียใจไปน้า ยังไงหนุ่มแว่นแสนดีคนนี้ก็มีคู่อยู่แล้วค่า แต่จะเป็นใครและจะมาเป็นเรื่องที่เท่าไหร่ก็รอลุ้นกันต่อไปนะคะที่ร้าก  :give2:
แล้วมาลุ้นเรื่องราวหลังจากนี้ และมาเอาใจช่วยให้ตะวันคนน่ารักลงเอยกับพี่ภูผาคนซึนด้วยนะคะ  :pig4: ขอบคุณทุกคนมากๆเลยค่ะที่เป็นกำลังใจให้โดยการเม้นหรือว่าเม้ามอยกับเราที่แฟนเพจ รักทุกคนมากๆเลยค่า  :กอด1:
(7 ก.ค. 60)

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 o13 พี่ภูเป็นพระเอก

 :katai1: ค้างตามพี่ภู

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :jul1: เสือดหมดตัวแล้วครับ

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Part 5# Tawan จอมเผด็จการ


   เมื่อคืนผมนอนแทบไม่หลับเลย...


   หลังจากที่โดนคุณภูผาทำเรื่องแบบนั้นลงไป ผมก็ได้แต่กระสับกระส่ายนอนไม่หลับเลยทั้งคืน เพราะไม่ว่าผมจะพยายามข่มตานอนเท่าไหร่ ภาพความทรงจำอันลามกมันก็ฉายชัดขึ้นมาในสมองทุกที


จนในที่สุดหลังจากที่ผมเกลือกกลิ้งไปร่วมชั่วโมงกว่า ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันมันก็ทำให้ผมนอนหลับเกือบเป็นตาย แต่ถึงอย่างนั้นยังไม่ถึง 3 ชั่วโมงผมก็ต้องตื่นขึ้นมาแล้ว เพราะเสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกเอาไว้ตอน 6 โมงตรงซึ่งเร็วกว่าเมื่อวานครึ่งชั่วโมงดังขึ้น
   

กรี๊งงงงงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงงงง


   เฮ้ออออออ นี่แทบจะเป็นไม่กี่ครั้งที่ผมอยากนอนต่อไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เพราะนอกจากความง่วงแล้ว ผมยังรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงยังไงก็ไม่รู้ แต่ว่าผมคงจะคิดมากไป เพราะสาเหตุมันก็มาจากเรื่องเลวร้ายที่คุณภูผาทำกับผมเมื่อคืน จนผมหนักใจไม่อยากพูดคุยและสู้หน้าคุณภูผาอีกต่อไปแล้ว


   รีบทำไปทำอาหารเช้าให้ทุกคนแล้วรีบหลบออกไปเรียนดีกว่า


   เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็รีบไปทำอาหารเช้าให้ทุกคนด้วยความเร่งรีบ ก่อนที่จะกลับเข้าห้องมาอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็ว แล้วก็ว่าจะหลบออกไปจากบ้านด้วยความไวแสงก่อนที่จะมีใครลงมาจากบนห้อง
แต่แล้ว...


แผนการของผมมันก็ต้องพังไม่เป็นท่า เพราะคุณภูผาที่จะออกจากห้องมาตอนเฉียด 7.00 น. กำลังนั่งดื่มกาแฟดำที่โต๊ะอาหารซะงั้น ทั้งที่ตอนนี้พึ่งเป็นเวลา 6.30 น. เท่านั้นเอง!


   “กาแฟรสชาติกำลังดีเลยล่ะ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าฉันมีคนนั่งดื่มหรือกินอะไรเป็นเพื่อน” คุณภูผายิ้มที่มุมปากพลางส่งสายตาคมกริบมาทางผม ผมไม่รู้ว่าสายตาและคำพูดนั้นมันสื่อถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ ผมมั่นใจว่าคุณภูผาไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆ แน่นอน!


   “อีกสักพักทุกคนก็คงลงมาแล้วล่ะครับ เพราะงั้นผมขอตัวก่อน” ผมพูดจบก็หมุนตัวกลับจะเดินไปยังประตูบ้าน แต่ก็ถูกคนภูผาเรียกเอาไว้แล้วตรงเข้ามาคว้าข้อมือของผมซะก่อน


   “เดี๋ยว นายจะรีบไปไหน”


   “ไปมหา’ลัยครับ” ในขณะที่พูดผมก็ก้มหน้าลงเพราะไม่อยากสบตากับคุณภูผา ส่วนมือก็พยายามสะบัดทิ้งแต่ว่ามันก็ไม่มีประโยชน์


   “รอไปพร้อมพฤกษ์ก็ได้นี่”


   “วันนี้พฤกษ์มีเรียนบ่าย ส่วนผมมีเรียนเช้าครับ”


   “เช้าที่ว่าน่ะมันกี่โมง นี่พึ่งจะ 6 โมงครึ่งเองนายจะรีบออกไปทำไม มหา’ลัยก็อยู่ใกล้ๆ ทำอย่างกับว่าตั้งใจจะหลบหน้าใครอย่างนั้นแหละ” พอโดนพูดจี้ใจดำแบบนี้ ผมก็รีบเงยหน้าขึ้นไปแล้วแก้ตัวอย่างรวดเร็ว


   “ผมไม่ได้หลบหน้าคุณภูผาสักหน่อย!”


   “หืม? แล้วฉันบอกรึไงว่านายกำลังหลบหน้าฉัน?” เท่านั้นแหละผมก็รู้ทันทีว่าเสียท่าตกหลุมพรางของคุณภูผาเข้าแล้ว


   “กะ...ก็...คือ...แบบว่า...” ตอนนี้เซลล์สมองของผมมันตายไปหมดแล้วรึไงนะ ทำไมถึงได้คิดข้ออ้างหรือหาข้อแก้ตัวไม่ได้เลย


   “นายตั้งใจจะหลบหน้าฉันเพราะเรื่องที่ฉันใช้มือช่วย...”


   “ว้ากกกกกกกก! หยุดนะครับคุณภูผา! อย่าพูดเรื่องนั้นออกมานะครับ! ถ้ามีใครมาได้ยินเข้าจะทำยังไง!” ผมรีบพูดขัดขึ้นก่อนที่คุณภูผาจะพูดอะไรออกมามากกว่านี้ เพราะถ้าเกิดทุกคนในบ้านรู้เรื่องเมื่อคืน ผมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนน่ะสิ


   “ทำไม? หรือว่านายกลัวใครจะเข้าใจผิด” คุณภูผาบีบที่ข้อมือของผมแรงขึ้น ผมรู้สึกไปเองรึเปล่านะว่าคุณภูผาดูท่าทางอารมณ์ไม่ดียังไงก็ไม่รู้


   “ก็กลัวทุกคนได้ยินนั่นแหละครับ คุณภูผาปล่อยมือผมด้วยนะครับผมเจ็บ” พอได้ยินแบบนี้คุณภูผาก็ผ่อนแรงที่บีบข้อมือของผมลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยตามคำขอของผมอยู่ดี


   “ฉันจะปล่อยก็ได้ แต่ว่านายต้องให้ฉันไปส่งที่มหา’ลัย”


   “หา! ไปส่งผม? ไปทำไมไม่ต้องหรอกครับ”


   “ฉันมีธุระที่ต้องไปทำแถวนั้นพอดี หรือว่านายนัดเจอใครถึงไม่อยากให้ฉันไปส่งห้ะ”


   “ผมไม่ได้นัดใครทั้งนั้น ก็บอกแล้วไงครับว่าผมมีเรียนตอนเช้า”


   “ถ้างั้นนายก็ให้ฉันไปส่งสิ”


   “ถ้าคุณภูผาไปส่งผมแล้วใครจะไปส่งน้องวาล่ะครับ”


   “ก็พฤกษ์ไง ช่วงเช้าไม่มีเรียนก็ไปส่งวาได้อยู่แล้ว”


   “แต่ว่า...”


   “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ตามฉันมาขึ้นรถซะ นี่คือคำสั่ง” พูดจบคุณภูผาก็จูงมือ (ลาก) ผมออกจากบ้านไปขึ้นรถทันที โดยที่ผมไม่มีสิทธิ์ขัดขืนหรือปฏิเสธอะไรทั้งนั้น


เผด็จการที่สุดเลย!


   หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมตลอดเวลาที่ผมกับคุณภูผาอยู่ในรถ มหา’ลัยที่อยู่ใกล้ๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไกลมากเพราะต้องตกอยู่ในบรรยากาศอันน่าอึดอัดแบบนี้


ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่คุณภูผากำลังทำอยู่ตอนนี้นั้นต้องการอะไร ทำไมถึงได้เกลียดผมจนต้องหาเรื่อง บังคับขู่เข็ญ แล้วก็กลั่นแกล้งผมถึงขนาดนี้ด้วยนะ


“จอดข้างหน้าก็ได้ครับ ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” ผมพูดขึ้นเมื่อรถของคุณภูผาขับมาถึงหน้าคณะที่ผมเรียนอยู่


“ไม่เป็นไร ก็บอกแล้วว่าฉันต้องมาทำธุระแถวนี้พอดี” คุณภูผาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนผมที่ไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็เปิดประตูลงจากรถเดินขึ้นตึกเรียนไปเลย


ตลอดช่วงเช้าผมได้แต่สัปหงกระหว่างเรียนเพราะนอนไม่พอ ยังดีที่ช่วงพักเที่ยงผมไปซื้อกาแฟมาดื่มและหาที่งีบสัก 15 นาทีได้แล้ว เพราะงั้นคาบบ่ายที่เป็นวิชาบรรยายผมจึงตาสว่างและจดตามอาจารย์ได้ทั้งหมดจนกระทั่งจบคาบ


หลังจากเรียนเสร็จผมก็รีบขึ้นรถเมล์ไปยังร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ แต่โชคร้ายที่ฝนดันตกหนักเลยทำให้การจราจรติดขัดเป็นอย่างมาก จนผมต้องตัดสินใจโบกวินมอเตอร์ไซค์เพื่อให้ไปส่งที่ร้าน ซึ่งก็มาถึงได้ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด แต่ว่าผมก็ต้องเปียกไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า


 “ว้ายตายแล้ว+ ทำไมเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำขนาดนั้นล่ะฮ้าน้องตาหวาน” พี่กิตติ หรือ ‘เจ๊คิตตี้’ เจ้าของร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่พูดขึ้นเมื่อเห็นสภาพของผมที่เดินเข้ามาในร้าน


ถ้าคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนคงมองไม่ออกและไม่รู้เลยว่าพี่กิตติแกเป็นกะเทย เพราะพี่แกจะแสดงท่าทางออกสาวเฉพาะคนคุ้นเคยเท่านั้น แถมรูปร่าง หน้าตา และการแต่งตัวของพี่แกก็ไม่ต่างจากผู้ชายแท้ๆ ซ้ำยังหล่อและดูเท่อีกด้วย แต่หากได้รู้จักจะรู้เลยว่าพี่กิตติแกมีหัวใจเป็นสาวน้อยมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้สาวๆ บางคนที่ส่งสายตามาให้พี่แกเกิดอาการเซ็งไปตามๆ กัน


“ฝนมันตกน่ะครับผมเลยนั่งพี่วินมา ว่าแต่เมื่อไหร่พี่กิตติจะเลิกเรียกผมว่าตาหวานสักที พี่รู้มั้ยครับว่าตอนนี้ลูกค้าขาประจำบางคนก็เรียกผมว่าตาหวานไปด้วยแล้วนะ” ผมทำหน้ามุ่ย


การที่พี่กิตติเรียกผมแบบนี้ เป็นเพราะตอนที่ผมมาสมัครงานพี่แกได้ยินผมแนะนำตัวเองว่าชื่อตาหวาน ถึงแม้ผมจะแก้ความเข้าใจผิดไปแล้วว่าผมชื่อตะวัน แต่พี่แกก็ตีมึนไม่สนใจแล้วเรียกผมว่าตาหวานมาเรื่อยๆ ไม่ยอมเปลี่ยนจวบจนปัจจุบัน


   “ใครอยากเรียกก็ให้เรียกไปสิจ๊ะอย่าได้แคร์”


   “โธ่...พี่กิตติอะ”


   “ไม่ต้องมาธ่งมาโธ่อะไรแล้วน้องตาหวาน รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนะเดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี” พี่กิตติรุนหลังผมไปที่หลังร้าน จากนั้นก็เอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ผมเปลี่ยน


   จากนั้นผมก็เริ่มทำงานตามปกติ หน้าที่ของผมคือพนักงานเสิร์ฟจึงต้องเดินไปโต๊ะนั้นโต๊ะนี้จนทั่วร้าน ซึ่งปกติผมก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีไม่มีบกพร่อง แต่วันนี้พอผ่านไปได้สัก 3 – 4 ชั่วโมงผมกลับรู้สึกว่าตัวหนักอึ้งและเดินได้อย่างเชื่องช้า


   “เป็นอะไรรึเปล่าตะวัน? ไม่สบายรึเปล่า?” หมิว พนักงานเสิร์ฟในร้านถามขึ้นเมื่อเห็นผมเดินเซๆ ในระหว่างที่กำลังเดินเอาใบออเดอร์ของลูกค้ามาส่งพ่อครัว


   “ไม่เป็นไร เราสบายดี” ผมฝืนยิ้มแล้วพยายามทรงตัวก้าวเดินต่อไป แต่คราวนี้ผมกลับเซมากกว่าเดิมจนล้มลงไปกองกับพื้นในที่สุด


   “เฮ่ย! ตะวัน!” หมิวอุทานขึ้นอย่างตกใจแล้วรีบเข้ามาประคองผมที่ยังคงมีสติหลงเหลืออยู่นิดหน่อย จากนั้นก็รีบตะโกนบอกให้คนไปตามพี่กิตติมา ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมาพี่แกก็พรวดพราดเข้ามาเลย


   “คุณพระช่วย! ตาหวานเป็นอะไรไปหมิว!”


   “น่าจะเป็นไข้ค่ะเจ๊ ตะวันตัวร้อนจี๋เลย”


   “ว้าย! แล้วนี่มีใครรู้จักบ้านหรือครอบครัวตะวันบ้าง?...หา! ไม่มีเลยหรอ! โอ๊ยยยยย แล้วนี่จะเอาไงดี...เออใช่! โทรศัพท์ของตะวันไง! ใครก็ได้ไปเอาที่ล็อกเกอร์มาให้เจ๊ด่วน!” แล้วหลังจากนั้นสักพักก็มีคนไปเอาโทรศัพท์ของผมมาให้พี่กิตติ พอพี่แกได้มาก็รีบโทรเข้าเบอร์ของคุณพ่อผมทันที แต่ไม่ว่าจะโทรไปเท่าไหร่คุณพ่อก็ยังคงปิดเครื่องติดต่อไม่ได้เหมือนเดิม


   ตอนนี้ผมรู้สึกจุกและหน่วงที่หัวใจจนน้ำตาอุ่นๆ มันรื้นขึ้นมา ก่อนที่ความเหนื่อยล้าทั้งใจและกายมันจะทำให้สติของผมค่อยๆ ดับวูบลง โดยสิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้คือเสียงของพี่กิตติที่คุยโทรศัพท์กับใครบางคน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าใครและจับใจความอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...


.............................................
..............................
...............


   “อืม...” ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะรู้สึกถึงอะไรชื้นๆ กำลังสัมผัสอยู่ที่ใบหน้าของผม


   “รู้สึกตัวแล้วหรอตะวัน เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวรึเปล่า” ใครสักคนถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในระหว่างที่กำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าของผม แต่ว่าผมก็มองไม่เห็นว่าเป็นใครเพราะห้องนี้ไม่ได้เปิดไฟเอาไว้ ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นเงาลางๆ อยู่ดี จึงเห็นว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าได้สวมแว่นสายตาเอาไว้ด้วย


   เป็นพฤกษ์สินะ...


   “ยังปวดนิดหน่อยอยู่เลย ว่าแต่...เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ที่นี่ที่ว่าก็คือห้องนอนของผมเอง ผมจำได้ว่าผมหมดสติไปที่ร้านอาหาร แต่ทำไมพอฟื้นขึ้นมาถึงกลับมาที่นี่ได้ก็ไม่รู้


   “เจ้าของร้านที่นายทำงานอยู่โทรเข้าเบอร์บ้านมาบอกน่ะ” พอพี่กิตติโทรเข้าเบอร์คุณพ่อไม่ติด ก็เลยโทรเข้าเบอร์ของบ้านหลังนี้สินะ


   “ลำบากแย่เลย ขอโทษที่ต้องรบกวนจริงๆ” ผมพูดอย่างรู้สึกผิด เวลานี้พฤกษ์ควรจะได้นอนพักผ่อน ไม่ควรเสียเวลาขับรถไปรับผมแถมยังต้องคอยดูแลผมแบบนี้เลย


   “พูดอะไรอย่างนั้น การดูแลนายไม่ใช่เรื่องลำบากสักหน่อย” พฤกษ์ดุผมเบาๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเช็ดที่ใบหน้าและลำคอของผมอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม


   “นายเป็นคนดีจริงๆ”


   “วันนี้นายพูดจาแปลกๆ นะตะวัน”


   “ฮะๆ คงเพราะฉันไม่สบายล่ะมั้ง”


   “ถ้างั้นก็รีบนอนซะ แล้วถ้าพรุ่งนี้ไปเรียนหรือไปทำงานไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนนะเข้าใจมั้ย” อะไรกัน นี่จอมเผด็จการเข้าสิงพฤกษ์รึไงเนี่ย


   “เข้าใจแล้ว”


   “ดีมาก” พฤกษ์พูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ผมจนถึงแผ่นอก จากนั้นก็ลูบที่ศีรษะของผมเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน


   “ฝันดีนะตะวัน”


   “ฝันดีเหมือนกันพฤกษ์” แต่ทันทีที่ผมพูดประโยคนี้จบ มือของพฤกษ์ที่กำลังลูบที่ศีรษะของผมก็หยุดชะงักทันที จากนั้นผมก็ได้ยินเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูกเบาๆ ก่อนที่พฤกษ์จะชักมือกลับแล้วเดินออกจากห้องไปเลย


   เป็นอะไรของเขากันนะ? นี่ผมพูดอะไรผิดไปงั้นหรอ?



Phupha



   “พรุ่งนี้พี่ภูจะไปส่งผมที่โรงเรียนรึเปล่าครับ?” วาถามขึ้น ในขณะที่พวกเรา 5 คนพี่น้องกำลังทานข้าวเย็นฝีมือตะวันที่เตรียมไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืน


   “อืม พี่ไม่มีธุระที่ไหน เดี๋ยวพี่จะไปส่งวาเหมือนเดิม”


   “โอเคครับ ว่าแต่...พี่ภูไปไหนตั้งแต่เช้าหรอ ปกติผมไม่เห็นพี่ภูจะออกไปไหนเช้าขนาดนี้เลย” คำถามของวาทำให้ผมที่กำลังทานข้าวอยู่ถึงกับชะงัก


   “คือ...ลูกค้าต้องการแก้แบบบ้านกะทันหันน่ะ พี่เลยต้องรีบเอาไปให้ดู” ผมพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าปกติทั้งที่ในใจกำลังร้อนรน เพราะสิ่งที่ผมพูดเมื่อกี้ผมโกหก ความจริงแล้วผมแค่จะไปส่งตะวันเฉยๆ ไม่ได้มีธุระที่ไหนทั้งนั้น


   ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปส่งตะวันหรอก แต่ที่ตื่นมาแต่เช้าก็เพราะมั่นใจว่าจะต้องถูกตะวันหลบหน้าแน่นอน ซึ่งผมก็คิดถูกจริงๆ


   “แต่เห็นตะวันบอกว่าพี่ภูไปส่งที่มหา’ลัยตอนเช้าไม่ใช่หรอครับ” พฤกษ์พูดขึ้นแล้วมองตรงมาทางผม สายตาแบบนั้นทำอย่างกับว่ากำลังสืบสวนไม่ก็จ้องจับผิดผมยังไงยังงั้น


   รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาเลยแฮะ


   “ก็พี่ผ่านไปทางนั้นพอดีเลยแวะไปส่งตะวันด้วย แกมีปัญหาอะไรรึไง” นอกจากผมจะไม่สบอารมณ์เรื่องที่พฤกษ์ทำเหมือนจ้องจับผิดผมแล้ว ผมยังไม่สบอารมณ์เรื่องที่ตะวันรายงานทุกอย่างในชีวิตให้พฤกษ์ฟังด้วย


   ก็แค่เพื่อนไม่ใช่รึไง รายงานทุกอย่างขนาดนี้ไม่เลื่อนขั้นสถานะไปเลยล่ะ!


   “ผมก็แค่ถามดูเฉยๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไรสักหน่อย” พฤกษ์พูดแบบนั้นแล้วก็ทานข้าวต่อ ผมที่ไม่ใช่คนพูดมากอะไรอยู่แล้วเลยให้บทสนทนาหยุดอยู่แค่นั้น จากนั้นก็ทานข้าวกับทุกคนต่อจนหมดก่อนที่จะแยกย้ายกันไปที่อื่น


   ผมเริ่มทำงานต่อจากช่วงเย็นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นจากห้องนั่งเล่น ผมจึงได้พักจากการทำงานแล้วเดินไปรับสาย


   “ภูผาพูดครับ”


   [“สวัสดีครับ ผมเป็นเจ้าของร้านอาหารที่น้องตาหวาน...เอ๊ย! น้องตะวันทำงานอยู่นะครับ ไม่ทราบว่าที่นั่นใช่บ้านของน้องตะวันรึเปล่า”] เสียงเข้มๆ ของผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ตอนแรกผมก็ยังอารมณ์ปกติอยู่นะ แต่พอได้ยินไอ้หมอนั่นเรียกตะวันว่าตาหวาน ผมก็ชักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที


   หึ! ขยันส่งสายตายั่วยวนผู้ชายจริงนะ!


   “ที่นี่ไม่ใช่บ้านของตะวัน แต่ตะวันอยู่ที่นี่เพราะทำงานเป็นแม่บ้าน” ผมพูดด้วยเสียงแข็งๆ และห้วนต่างจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง


   [“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นผมสามารถแจ้งอาการของน้องตะวันให้คุณทราบและมารับได้มั้ยครับ พอดีผมโทรหาพ่อของน้องตะวันไม่ติดเลย”] น้ำเสียงอันร้อนรนจากปลายสายทำให้ผมเลิกคิดเรื่องอื่น เพราะรู้สึกเป็นห่วงตะวันขึ้นมาแล้ว


   “ตะวันเป็นอะไร?”


   [“หมดสติไปเพราะเป็นไข้ครับ ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากการนั่งวินตากฝนมาทำงานที่ร้าน แถมยังอดนอนเพราะเห็นใต้ตาคล้ำๆ ร่างกายเลยน่าจะอ่อนแอน่ะครับ”] ทีแรกผมก็นึกบ่นตะวันในใจอยู่หรอกที่นั่งวินตากฝนไปทำงาน แต่พอเจ้าของร้านบอกว่าเห็นตะวันใต้ตาคล้ำๆ เพราะอดนอน ผมก็อดที่จะรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้


   นอนไม่หลับเพราะผมทำเรื่องแบบนั้นไปสินะ...


   “คุณบอกที่อยู่ร้านมาเลย ผมจะออกไปรับตะวันเดี๋ยวนี้” ผมพูดผมก็หยิบกระดาษกับปากกาที่อยู่ใกล้ๆ มาจดที่อยู่ร้านตามคำบอกของปลายสาย เสร็จแล้วก็รีบเข้าห้องไปหยิบกุญแจรถออกมา โดยไม่ลืมหยิบแว่นสายตาออกมาด้วยเพราะผมเป็นคนสายตาสั้น แต่ที่ผมไม่ชอบใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ก็เพราะมันเกะกะ ยกเว้นตอนที่ต้องขับรถในเวลากลางคืนเท่านั้นผมจึงจะใส่เพราะมองทางไม่ค่อยเห็น


   ผมใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่ร้านแล้ว เพราะถนนค่อนข้างโล่งเลยสามารถเหยียบคันเร่งได้เต็มฝีเท้า ผมจอดรถที่ด้านหลังตามคำบอกของเจ้าของร้าน ก่อนที่จะรีบเปิดประตูเข้าไปข้างใน


   “คุณ...เอ่อ...ใช่คุณภูผามั้ยคะ?” พอเข้าไปข้างในก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งถามผม บางทีเจ้าของร้านอาจจะสั่งเอาไว้ล่ะมั้ง


   “ครับ ผมมารับตะวัน”


   “ถ้างั้นเชิญที่ชั้น 2 เลยค่ะ คุณกิตติเจ้าของที่นี่กำลังเฝ้าไข้ตะวันอยู่” ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์อีกแล้วที่รู้ว่าไอ้เจ้าของร้านกำลังเฝ้าไข้ตะวัน
ไม่รู้จะเป็นห่วงเป็นไยอะไรกันนักหนา ก็แค่เจ้านายกับลูกน้องไม่ใช่รึไง!


   ผมเดินตามพนักงานสาวขึ้นไปจนกระทั่งถึงห้องที่อยู่ชั้น 2 พอเข้าไปเท่านั้นแหละจากที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ก็กลายเป็นว่าผมกลับยิ่งอารมณ์เสียมากกว่าเดิม เพราะที่นี่เป็นห้องนอนของไอ้เจ้าของร้านน่ะสิ!


   “อ้าว! มาแล้วหรอครับ คุณคงเป็นคุณภูผาสินะ” เจ้าของเสียงและหน้าตาอันหล่อเหลาพูดขึ้น ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ว่าไอ้หมอนี่ต้องเป็นเจ้าของร้านแน่นอน เพราะกำลังนั่งอยู่ปลายเตียงแล้วลูบศีรษะของตะวันด้วยความเป็นห่วง


   “ใช่ ผมภูผา” ผมขบกรามแน่นและแผ่รังสีมาคุออกไปอย่างไม่รู้ตัว เพราะงั้นผมจึงไม่ทันสังเกตว่าไอ้เจ้าของร้านและพนักงานสาวมองมาที่ผมด้วยสายตาแบบไหน


   “อะ...เอ่อ...คะ...คือ...ถ้างั้น...ผะ...ผมจะอุ้มตะวันไปส่งที่รถนะครับ” เสียงที่พูดอย่างตะกุกตะกักของไอ้เจ้าของร้านทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด แต่ที่หงุดหงิดมากกว่านั้นก็ตรงที่ได้ยินว่ามันจะอุ้มตะวันไปส่งให้ที่รถน่ะสิ!


   “ไม่ต้อง! ตะวันเป็นคนของผม! ผมดูแลเองได้!” พูดจบผมก็ตรงเข้าไปเบียดไอ้เจ้าของร้านแล้วช้อนตัวของตะวันขึ้นมาในอ้อมแขน การกระทำนั้นทำให้ผมชนไอ้หมอนั่นแรงไปหน่อยจนมันเซไปข้างหลังและเกือบจะหงายลงพื้น


   “ว้าย!!” แต่โชคดีที่ไอ้หมอนั่นทรงตัวได้ก่อนเลยไม่หงายลงไป


แต่เอ๊ะ...ว้ายงั้นหรอ?


“แหมเจ๊คิตตี้ แค่โดนหนุ่มหล่อชนนิดๆ หน่อยๆ ก็ถึงกับขาเปลี้ยเลยนะคะ” พนักงานสาวที่อยู่ในห้องด้วยเอ่ยแซว


เจ๊คิตตี้งั้นหรอ?


โอเค ชัดเลย


“เอ๊ะยัยนี่ อย่าพูดมากได้มะเดี๋ยวแม่ตบปากฉีก! เอ่อ...ต้องขอโทษคุณภูผาด้วยนะคะ อย่าไปใส่ใจที่ยัยหมิวพูดเลยค่ะ แล้วก็ถ้าหากดิฉันแสดงกิริยาไม่ดีก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ” เจ้าของร้านที่เปลี่ยนมาใช้คำพูดแบบผู้หญิงพูดจบก็ก้มศีรษะให้ผมเล็กน้อย ส่วนผมแทนที่จะรู้สึกไม่ดีที่เจ้าของร้านเป็นสาวประเภทสอง แต่ผมกลับรู้สึกดีใจมากจนเผลอยิ้มออกมาเลยด้วยซ้ำ


“ไม่เป็นไรครับ ผมก็ต้องขอโทษด้วยที่เผลอชนคุณไปเมื่อกี้” ปฏิกิริยาของผมที่เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือทำให้เจ้าของร้านถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก


แต่นั้นเรื่องผมไม่ได้สนใจ เพราะเรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องพาตะวันกลับไปที่บ้าน หากพรุ่งนี้เช้าอาการยังไม่ดีขึ้นผมจึงจะพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล


“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวพาตะวันกลับบ้านก่อนแล้วกันครับ” พูดจบผมที่อุ้มตะวันอยู่ก็เดินลงไปข้างล่าง ส่วนเจ้าของร้านก็ตามมาส่งที่รถแล้วให้นามบัตรผมเอาไว้เพื่อแจ้งอาการของตะวัน


   หลังจากที่ขับรถกลับถึงบ้านแล้ว ผมก็อุ้มตะวันที่ยังคงตัวร้อนจี๋เข้าไปนอนในห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ เพราะกลัวแสงไปรบกวนการนอน จากนั้นผมก็พยายามปลุกตะวันเพื่อให้ลุกมากินยา แต่ไม่ว่าจะปลุกเท่าไหร่ตะวันก็ยังคงไม่ได้สติเลยแม้แต่น้อย


ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องใช้วิธีสุดท้าย...


ผมลังเลนิดหน่อยเพราะถ้าหากตะวันรู้อาจจะคิดมากจนนอนไม่หลับอีก แต่พอคิดว่าในห้องนี้ไม่มีใครอื่นแล้วผมเลยตัดสินใจหยิบเม็ดยาเข้าปาก จากนั้นก็ดื่มน้ำตามด้วยการก้มลงไปประกบปากกับตะวันเพื่อป้อนยาทันที


ผมบีบแก้มของตะวันเบาๆ ให้ช่องปากเปิดออก จากนั้นก็ปล่อยให้เม็ดยาและน้ำไหลลงไปในลำคอ โดยใช้ลิ้นดุนและดันเม็ดยาให้เข้าไปได้ง่ายขึ้น ส่วนคราบน้ำที่เลอะอยู่ตรงมุมปากผมก็ใช้ทิชชู่ซับให้แห้ง แต่ไหนๆ ก็ทำมาถึงขนาดนี้แล้ว เพราะงั้นผมเลยไปหากะละมังใบเล็กๆ มารองน้ำอุ่น และหาผ้าขนหนูเพื่อจะมาเช็ดใบหน้ากับลำตัวของตะวันซะเลย


   ซึ่งในจังหวะที่ผมวางผ้าขนหนูลงที่หน้าผากของตะวันนั่นเอง   


“อืม...” ตะวันก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ


   “รู้สึกตัวแล้วหรอตะวัน เป็นยังไงบ้าง ปวดหัวรึเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะดูท่าทางตะวันยังคงไม่สู้ดีและดูสะลึมสะลือ


   “ยังปวดนิดหน่อยอยู่เลย ว่าแต่...เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ตะวันมองซ้ายมองขวา ถึงแม้ในห้องจะไม่ได้เปิดไฟ แต่ก็มีแสงเลือนรางส่องเข้ามาจากหน้าต่างทำให้รู้ว่าที่นี่คือห้องนอนของที่บ้าน


   “เจ้าของร้านที่นายทำงานอยู่โทรเข้าเบอร์บ้านมาบอกน่ะ” พอได้ยินแบบนี้ตะวันก็ทำหน้ารู้สึกผิดทันที


   “ลำบากแย่เลย ขอโทษที่ต้องรบกวนจริงๆ”


   “พูดอะไรอย่างนั้น การดูแลนายไม่ใช่เรื่องลำบากสักหน่อย” ผมดุตะวันเบาๆ ที่คิดอะไรแบบนี้ ตัวเองป่วยอยู่แท้ๆ ยังมีกะจิตกะใจเป็นห่วงผมอีก แต่ถึงจะดุตะวันแบบนั้น ผมก็ยังคงเช็ดที่ใบหน้าและลำคอของตะวันอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม


   “นายเป็นคนดีจริงๆ” คำพูดนั้นทำให้ผมถึงกับขมวดคิ้วด้วยความงุนงง เพราะตะวันไม่เคยพูดจาแบบนี้กับผมเลยสักครั้ง


   “วันนี้นายพูดจาแปลกๆ นะตะวัน” แถมยังดูผ่อนคลายไม่เกร็งเหมือนปกติอีกต่างหาก หรือบางทีจะเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้ตะวันเป็นแบบนี้
“ฮะๆ คงเพราะฉันไม่สบายล่ะมั้ง” คิดเหมือนกันขนาดนี้ก็คงจะใช่แล้วล่ะ


   “ถ้างั้นก็รีบนอนซะ แล้วถ้าพรุ่งนี้ไปเรียนหรือไปทำงานไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนนะเข้าใจมั้ย” ผมคิดว่าเจ้าของร้านคงจะเข้าใจไม่ว่าอะไรตะวันหรอกที่ไม่ไปทำงาน


   “เข้าใจแล้ว” ตะวันรับปากแต่โดยดีไม่ดื้ออย่างที่คิด


   “ดีมาก” ผมยิ้มบางๆ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ตะวันจนถึงแผ่นอก เสร็จแล้วก็ลูบที่ศีรษะกลมมนเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน


   “ฝันดีนะตะวัน” นานขนาดไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้พูดประโยคนี้กับใครที่ไม่ใช่คนในครอบครัว เพราะว่าผมเป็นคนค่อนข้างโลกส่วนตัวสูงและไม่ค่อยเปิดใจรับใครง่ายๆ ขนาดผมยังงงกับตัวเองเลยที่จู่ๆ ก็พูดประโยคนี้ออกไป


   หรือว่าผมอาจจะกำลังเปิดใจให้ตะวัน?


   ความคิดนั้นทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แต่แล้วผมก็ต้องชะงักไปและหุบยิ้มลงเมื่อตะวันพูดตอบมาว่า...


   “ฝันดีเหมือนกันพฤกษ์”


ประโยคนั้นทำให้ผมรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ผมรู้สึกหน้าชาและตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าท่อนไม้


พฤกษ์งั้นหรอ...?


ไม่ใช่ภูผาสินะ...?


ตอนนี้ผมอยากหัวเราะเพราะรู้สึกสมเพชตัวเองจริงๆ ที่เป็นได้แค่ตัวแทนของพฤกษ์ ถึงว่าล่ะทำไมตะวันถึงได้พูดจาแปลกๆ ดูไม่เกร็ง ผ่อนคลาย แล้วก็ว่าง่ายต่างจากเวลาปกติที่อยู่กับผม


“หึ” ผมทำเสียงขึ้นจมูกแล้วชักมือที่กำลังลูบศีรษะของตะวันกลับไป ก่อนที่ผมจะเดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจตะวันที่กำลังทำหน้างุนงงอีกเลย
ผมไม่ใช่ตัวแทนของใคร ส่วนเรื่องที่ผมบอกว่าอาจจะเปิดใจให้ตะวันมันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอยู่แล้ว!


คนอย่างผมเนี่ยนะจะไปชอบคนอย่างตะวัน? ผู้ชายที่มีแต่ตัวไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า แถมยังชอบทำหน้าใสซื่อและส่งสายตาหวานๆ ยั่วยวนผู้ชายไปวันๆ อีกต่างหาก


คนแบบนั้นผมจะไปชอบได้ยังไง พูดเลยว่าไม่มีทาง!


   2BC


ฮัลโหลววว สวัสดีค่าทุกคน หัวใจชิงรักตอนที่ 5 ก็จบลงไปแล้วน้า  :m18: ครึ่งแรกก็เป็นการบรรยายของน้องตาหวาน...เอ๊ย! ตะวัน ส่วนครึ่งหลังก็เป็นของคุณภูผา (จอมซึน)  o8 ซึ่งครึ่งแรกทุกคนก็จะได้เห็นความน่ารักและขยันขันแข็งของตะวัน ในขณะที่ครึ่งหลังก็จะเห็นคุณภูผาในหลากหลายอารมณ์ (มีอารมณ์ไหนบ้างน้อไหนใครไล่ได้หมดบ้าง อิอิ)  o3 ซึ่งหลังจากนี้จะเป็นยังไง ภูผากับตะวันจะเข้าใจกันตอนไหน (หรือต้องลุ้นให้ภูผาหายปากแข็งก่อนก็ไม่รู้นะอันนี้) ยังไงก็มาเอาใจช่วยทั้งคู่กันด้วยนะคะ  :man1:
แล้วเจอกันวันจันทร์น้าทุกคน ก่อนจากกันไปที่ขาดไม่ได้เลยก็คือขอขอบคุณทุกคนมากๆนะคะที่เม้นให้และเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้  :pig4: ทุกคนคือกำลังใจของเค้าจริงๆ กอดดดดดดดด  :กอด1:
(14 ก.ค. 60)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2017 21:16:48 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด